ชายาเคียงหทัย 90.1-91.3

ตอนที่ 90-1 รักษาเมืองหย่งหลิน

 

          ด้วยเพราะเวลาในการจัดสร้างค่อนข้างกระชั้นชิด ห้องโถงใหญ่จึงดูเรียบง่าย ซย่าซูจ้องมองชายหนุ่มในชุดดำที่กำลังมองสำรวจห้องโถงใหญ่ด้วยท่าทีสบายๆ กับทหารม้าในชุดดำสี่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ คอยอารักขาด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชาย ยามนี้มีอันใด สามารถสนทนากันได้แล้วกระมัง ข้ายังมิได้สอบถามว่าพวกท่านเป็นผู้ใดมาจากที่ใดกันเลย”


 


 


เยี่ยหลีหันมองทั้งสองคน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “มิน่าท่านแม่ทัพมู่หรงถึงได้ส่งให้ท่านทั้งสองมาปกป้องเมืองหย่งหลิน นายทหารอวิ๋นเก่งกาจกล้าหาญ นายทหารซย่าสุขุมรอบคอบ ช่างเป็นการทำงานร่วมกันที่หาได้ยากยิ่ง”


 


 


ซย่าซูยิ้มขื่น “วันนี้หากมิได้คุณชายและทุกท่านมาช่วยได้ทันเวลา เกรงว่าซย่าซูกับอวิ๋นถิงคงต้องตายเพื่อชดเชยความผิดเสียแล้ว” สายตาเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เยี่ยหลี เขายังไม่ลืมว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังมิได้บอกถึงฐานะของตน


 


 


           เยี่ยหลีจึงได้แต่ยกมือขึ้นดึงปิ่นที่ตรึงเส้นผมบนศีรษะออก ปล่อยให้ผมดำขลับลงมายาวเคลียบ่าพร้อมยิ้มเรียบๆ “ข้าคือชายาติ้งอ๋อง”


 


 


           ชายาติ้งอ๋องหรือ อวิ๋นถิงและซย่าซูหันมาสบตากัน สถานการณ์ตรงหน้าถึงแม้จะเกินกว่าที่คาดการณ์ไปบ้าง แต่ก็ฟังดูสมเหตุสมผลทีเดียว เพราะนอกจากติ้งอ๋องแล้ว ก็มีเพียงชายาติ้งอ๋องเท่านั้นที่สามารถสั่งให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเคลื่อนพลได้


 


 


แต่ชายาติ้งอ๋องที่มีข่าวว่าหายตัวไป เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่ด่านซุ่ยเสวี่ยได้ หนำซ้ำยังได้นำหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาช่วยเสริมทัพที่เมืองหย่งหลินอีก อีกอย่าง…ได้ยินว่าชายาติ้งอ๋องเป็นบุตรสาวเจ้ากรมอากรในราชสำนักปัจจุบัน ซ้ำยังเป็นหลานสาวของท่านชิงอวิ๋น คุณหนูชนชั้นสูงเช่นนั้นเหตุถึงได้…อวิ๋นถิงรู้สึกมึนงงหนักเข้าไปใหญ่ จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่มิได้พูดอันใด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซย่าซูที่นิ่งขรึมเสียยิ่งกว่าตน


 


 


ซย่าซูเองก็ตกใจไม่น้อย หลายอึดใจกว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้ “พระชายา…มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “เดิมที่ก็มิได้อยู่ที่นี่หรอก แต่เมื่อได้ยินว่าด่านซุ่ยเสวี่ยถูกปิดล้อมจึงรีบมา โชคดีที่มาทัน หากทั้งสองท่านไม่เชื่อในฐานะของข้า…คุณหนูมู่หรง บุตรสาวของท่านแม่ทัพมู่หรงอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยใช่หรือไม่”


 


 


สีหน้าซย่าซูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอบด้วยความกระอักกระอ่วนว่า “ข้าน้อยมิได้ไม่เชื่อในฐานะของพระชายา เพราะถึงอย่างไร หน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด เพียงแต่…”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจความหมายของนายทหารซย่า ไม่ต้องตื่นตกใจไป เชิญทั้งสองท่านนั่งลงก่อน”


 


 


           ซย่าซูและอวิ๋นถิงสบตากัน แล้วจึงเอ่ยขอบคุณก่อนนั่งลง เดิมทีการที่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาช่วยเป็นกองหนุนนั้น พวกเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ตอนนี้เมื่อได้รู้ว่าคนที่นำทัพหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาคือชายาติ้งอ๋อง ทั้งสองจึงไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไร และควรจะรู้สึกเช่นไรดี


 


 


เรื่องที่ยามนี้ติ้งอ๋องไม่สามารถเดินได้นั้นทุกคนต่างรู้ดี หากต้องการเคลื่อนพลหน่วยเฮยอวิ๋นฉี คงมีแต่ชายาติ้งอ๋องเท่านั้นที่ทำได้ แต่หากหญิงสาวที่บอบบางเช่นนี้มีความสามารถบัญชาการหน่วยทหารที่แข็งแกร่ง ทั้งยังนำพวกเขามาต้านทัพกบฏจำนวนหลายแสนคนของหลีอ๋องได้จริง ก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวทั้งสองมาก่อน


 


 


“ข้าน้อยขอเข้าเฝ้าพระชายา” มีเสียงองครักษ์ลับสองและสามดังขึ้นที่หน้าประตู ซย่าซูและอวิ๋นถิงจึงชะงักไป พร้อมหันมองไปทางด้านหน้าประตูด้วยควมระมัดระวัง ชายสองสามคนที่แต่งกายในเครื่องแบบทหารธรรมดาทั่วไปเดินเข้ามา ถึงแม้เครื่องแบบทหารของต้าฉู่จะมีเพียงไม่กี่แบบ แต่ซย่าซูมองปราดเดียวก็รู้ว่าลวดลายที่อยู่บนชุดทหารนั้นเป็นของทหารหลิงโจวที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหลีอ๋อง คนกลุ่มนี้จะต้องมิใช่คนที่ทหารเฝ้าประตูเมืองปล่อยให้เข้ามาอย่างแน่นอน


 


 


           “ลำบากพวกเจ้าแล้ว จัดการเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


           องครักษ์ลับสองเดินหน้าเข้ามาก้าวหนึ่ง “ตามบัญชาของพระชายา สำเร็จโทษผู้ว่าการเขตหย่งโจวแล้วขอรับ น่าเสียดายก็เพียงคนของหลีอ๋องมีจำนวนมากเกินไป ข้าน้อยจึงมิอาจนำหัวของผู้ว่าการเขตหย่งโจวมาได้ ขอพระชายาโปรดอภัยด้วย”


 


 


เยี่ยหลียกมือขึ้น “ไม่เป็นไร พวกเจ้าทำได้ดีมาก ออกไปพักก่อนเถิด” ทุกคนรับบัญชาพร้อมถอยออกไป


 


 


อวิ๋นถิงเอ่ยถามด้วยความตกใจว่า “พวก…พวกท่านสังหารผู้ว่าการเขตหย่งโจวหรือ!”


 


 


           “อวิ๋นถิง อย่าเสียมารยาท” ซย่าซูเอ่ยเตือนเสียงขรึม ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าคือชายาติ้งอ๋องที่แท้จริง เช่นนั้นคงยังไม่ต้องพูดถึงว่านางสามารถบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและกองทัพหย่งหลินได้หรือไม่ แต่อย่างไรนางก็มิใช่คนที่พวกเขาจะเสียมารยาทด้วยได้ ถึงแม้บทสนทนาเมื่อครู่จะทำให้เขาตกใจไม่น้อยเช่นกันก็ตาม


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าเรียบๆ “ผู้ว่าการเขตหย่งโจวไม่คิดที่จะทำคุณเพื่อประเทศ ยอมศิโรราบให้แก่ฝ่ายหลีอ๋อง หากไม่สำเร็จโทษเขาให้เป็นเยี่ยงอย่าง เกรงว่าขุนนางคนอื่นๆ หากถูกเขาหว่านล้อมจนใจอ่อน ผลจะออกมาเป็นแบบเดียวกัน”


 


 


ซย่าซูพยักหน้า “ที่พระชายากล่าวล้วนถูกต้อง หากมิใช่เพราะผู้ว่าการเขตหย่งโจวแปรพักตร์ไปเข้ากับหลีอ๋อง คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่เมืองหย่งหลินถูกปิดล้อมเช่นวันนี้”


 


 


           อวิ๋นถิงเหลือบมองซย่าซู แล้วหันมองเยี่ยหลี ก่อนถามขึ้นว่า “พระชายา กองหนุนจะมาถึงเมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่แคว้นหนานจ้าว เมื่อได้ยินข่าวเรื่องด่านซุ่ยเสวี่ยก็รีบเดินทางกลับมา เพียงแต่…ใต้เท้าอู๋ผู้บัญชาการทหารเขตยงโจวถูกลอบสังหารที่แม่น้ำอวิ๋นหลัน เกรงว่าภายในสามสี่วันนี้คงยังไม่มีกองหนุนมาช่วยเสริม”


 


 


           พื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันสามารถรักษาพื้นที่ตนเองไว้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องกองหนุนเลย แต่ทางตอนเหนือของแม่น้ำ มีเพียงเขตยงโจวที่อยู่ใกล้เขตหย่งโจวมากที่สุด เมื่อกองทัพยงโจวถูกลอบโจมตีเช่นนี้ กองทัพของเขตอื่นหากมิมีราชโองการจากราชสำนักแล้ว เป็นไปได้สูงมากที่จะไม่เคลื่อนทัพลงมาช่วย


 


 


           อวิ๋นถิงและซย่าซูเป็นผู้บัญชาการทหารที่รักษาการณ์เมืองหย่งหลิน มิใช่พลทหารธรรมดา ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะปิดบังพวกเขา หากคนที่เป็นผู้บัญชาการยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่แท้จริงแล้ว เรื่องอื่นคงไม่ต้องพูดถึง


 


 


           “บ้าเอ๊ย!” อวิ๋นถิงก่นด่าเสียงต่ำ ต่อให้นับรวมหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจำนวนสองพันนายแล้ว พวกเขาตอนนี้ยังมีกำลังพลอยู่ไม่ถึงสองหมื่นนายดี ต่อให้พวกเขาไม่กลัวตาย แต่หากตายแล้วพวกเขาสามารถรักษาเมืองหย่งหลินไว้ได้ เขาก็ยินดีที่จะตายอยู่ในสนามรบโดยทันที


 


 


           ซย่าซูค่อยๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะในใจ แล้วจึงเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอเชิญพระชายาเดินทางออกจากเมืองหย่งหลินเพื่อกลับไปยังเมืองหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “ไปจากที่นี่หรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถาม


 


 


           ซย่าซูยิ้มขื่น “เรียนพระชายาตามตรง ถึงแม้พวกข้าสองคนจะได้ให้คำสัตย์ต่อหน้าท่านแม่ทัพมู่หรง แต่เมืองหย่งหลิน….ก็มีกำลังพวกข้าเพียงสองคนคอยดูแล รักษาไว้ได้นานเท่าไรก็เท่านั้น เรื่องราวระหว่างพระชายากับหลีอ๋อง ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินมาบ้าง หากถึงตอนนั้น…ดังนั้นจึงขอเชิญพระชายาไปจากที่นี่เสียก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เยี่ยหลีระบายยิ้มเต็มใบหน้า “นายทหารซย่า เจ้าคิดว่าที่ข้ามาที่หย่งหลินเพื่อมาเดินเล่นแล้วก็จากไปอย่างนั้นหรือ อีกอย่าง…หากข้าไปแล้ว ต่อให้ทิ้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไว้ให้เจ้า เจ้าจะสั่งการพวกเขาได้หรือ”


 


 


ซย่าซูมองเยี่ยหลีด้วยความอับอาย เขามีความคิดที่อยากจะให้พระชายาทิ้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไว้คอยช่วยพวกเขารักษาเมืองจริง ทว่าที่ชายาติ้งอ๋องพูดก็ถูกต้อง หากฮ่องเต้องค์ก่อนๆ ยังมิมีผู้ใดสามารถสั่งการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้ เช่นนั้นนายทหารธรรมดาๆ เช่นเขาจะสามารถสังการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้อย่างไร


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วมองท่าทางลังเลใจของเขา แล้วจึงยิ้ม “ทำไมหรือ ข้าอยู่รักษาเมืองกับพวกเจ้าทำให้พวกเจ้ารู้สึกขายหน้ามากหรือ”


 


 


           “เรื่องนี้…” ซย่าซูถึงกับพูดไม่ออก อวิ๋นถิงปากไวกว่า พูดในสิ่งที่ใจคิดว่า “พระชายา ในสนามรบนั้นอันตรายเกินไป ท่านมีฐานะสูงส่ง ซ้ำยังเป็นคุณหนูตระกูลชั้นสูง พวกเราจะให้ท่านอยู่รักษาเมืองกับพวกเราได้อย่างไร มิเช่นนั้นท่านลองไปพูดกับพี่น้องหน่วยเฮยอวิ๋นฉีให้พวกเราหน่อยเถิด ทิ้งพวกเขาไว้ให้ช่วยพวกเรารักษาเมืองก็พอ เช่นนี้ตัวท่านก็จะปลอดภัย พวกเราก็สามารถรักษาเมืองหลวงไว้ได้ดีขึ้น”


 


 


เยี่ยหลีหัวเราะพรืดออกมาจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก “นายทหารอวิ๋น เมื่อครู่ข้าขี่ม้าเข้ามาในเมืองด้วยตนเอง มิได้นั่งเกี้ยวเข้ามาใช่หรือไม่”


 


 


อวิ๋นถิงอึ้งไป แล้วจึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า ในสถานการณ์วุ่นวายเมื่อครู่ เขาไม่เห็นผู้ใดคอยคุ้มครองผู้ใดเป็นพิเศษจริงๆ ดังนั้นหญิงสาวที่รูปร่างสูงไม่ถึงหัวไหล่เขาผู้นี้ สู้รบมาท่ามกลางทหารนับพันนับหมื่นร่วมกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีด้วยตนเองเชียวหรือ!


 


 


           ซย่าซูกระแอมไอขึ้น ประสานมือคารวะเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “ข้าเสียมารยาทแล้ว ท่านแม่ทัพมู่หรงอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย เชิญพระชายาไปพบท่านแม่ทัพมู่หรงเสียก่อนค่อยวางแผนต่อดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน สองวันนี้ทหารฝ่ายกบฏถูกตีจนล่าถอยออกไป ตอนนี้ถอยไปไกลกว่ายี่สิบลี้แล้ว หากยังไม่สืบทราบโดยละเอียดก่อน เชื่อว่าม่อจิ่งหลีไม่มีทางรีบร้อนบุกกลับเข้ามาอีกเป็นแน่ ในเมื่อข้ามาแล้วจะไม่ไปพบท่านแม่ทัพมู่หรงก็คงกระไรอยู่ เช่นนั้นไปที่ด่านซุ่ยเสวี่ยก่อนก็แล้วกัน”


 


 


อวิ๋นถิงเอ่ยปากอาสาอย่างแข็งขันว่า “ข้าน้อยจะไปส่งพระชายาเองพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ซย่าซูเหลือบมองอวิ๋นถิงด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ประหนึ่งรู้ถึงความคิดในใจของเขา จึงยิ้มขึ้นอย่างเข้าใจ “ข้าน้อยจะรั้งอยู่ที่เมืองหย่งหลินเองพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ลำบากนายทหารซย่าแล้ว ข้าจะทิ้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไว้ให้คอยช่วยเหลือ นายทหารซย่าเพิ่มกำลังรักษาการณ์กำแพงเมืองด้วย”


 


 


ซย่าซูยินดีเป็นอย่างยิ่ง เป็นที่รู้กันดีว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเชี่ยวชาญการบุกโจมตี เช่นเดียวกัน คนที่เชี่ยวชาญการบุกโจมตีย่อมเข้าใจว่าจุดอ่อนของการป้องกันนั้นอยู่ที่ใด และการที่ได้สังเกตการณ์หน่วยเฮยอวิ๋นฉีในระยะประชิดนั้นถือเป็นความภาคภูมิใจของนายทหารทุกคน


 


 


เมื่อได้ฟังเช่นนั้น อวิ๋นถิงจึงเกิดลังเลใจขึ้นมาเล็กน้อย ว่าการได้เห็นชายาติ้งอ๋องกับท่านแม่ทัพมู่หรงวางแผนรบกัน หรืออยู่เพื่อคอยสังเกตการณ์หน่วยเฮยอวิ๋นฉี อย่างใดจะน่าสนใจกว่ากัน


 


 


เมื่อเห็นเยี่ยหลีลุกยืนขึ้นแล้ว นายทหารอวิ๋นถิงก็นึกกำหมัดในใจ การเอาใจชายาติ้งอ๋องอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำ หากเสร็จการศึกครั้งนี้เขาอาจขอให้พระชายารับเขาเข้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็เป็นได้ ต่อให้เป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยเขาก็ยอม!


 

 

 


ตอนที่ 90-2 รักษาเมืองหย่งหลิน

 

ณ ด่านซุ่ยเสวี่ย


 


 


           มู่หรงเซิ่นที่ชุดเต็มไปด้วยคราบเลือด เดินเข้ามาในกระโจมด้วยท่าทางผึ่งผาย ประหนึ่งรู้ว่ากองทัพกบฏของหลีอ๋องใกล้เข้ามาทุกที วันนี้กองทัพหนานจ้าวที่อยู่นอกเมืองก็เริ่มโจมตีขึ้นมาอย่างหนักหน่วง ท้ายที่สุดมู่หรงเซิ่นจึงต้องนำทัพออกไปสู้รบกับอีกฝ่ายตัวตนเองอยู่พักใหญ่ พวกเขาจึงค่อยล่าถอยกลับไป ยามนี้จึงพอมีเวลาพักหายใจได้หน่อย มู่หรงเซิ่นยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดก็รีบร้อนกลับเข้ามายังกระโจม เพื่อฟังรายงานการศึกจากเมืองหย่งหลิน “ท่านแม่ทัพ เช้าวันนี้หลีอ๋องได้นำทัพจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายมาถึงที่ด้านหน้าเมืองหย่งหลินแล้วขอรับ”


 


 


           มู่หรงเซิ่นสะบัดมือขึ้นทันที “เหลวไหล! เมืองหย่งหลินมีพื้นที่อยู่เท่านั้น ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเขาจะเอาไปไว้ที่ใดกัน”


 


 


           หัวหน้าหน่วยทหารนายหนึ่งยืดตัวขึ้นกล่าวว่า “ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนั่น เกรงว่าน่าจะจัดเตรียมมาสำหรับโจมตีด่านซุ่ยเสวี่ยของเราขอรับ วานนี้อวิ๋นถิงและซย่าซูได้ออกไปต่อสู้กับทัพหน้าของหลีอ๋องจนถอยทัพกลับไป ทั้งยังได้ตัดหัวผู้นำทัพหน้าที่เข้ามาเปิดทางอีกด้วย วันนี้เกรงว่าสถานการณ์ทางสองคนนั่นคงไม่ดีนักขอรับ”


 


 


มู่หรงเซิ่นพยักหน้า “ครั้งนี้อวิ๋นถิงกับซย่าซูทำศึกได้ไม่เลว”


 


 


           “ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นข้าน้อยให้คนไปดูที่หย่งหลินหน่อยดีหรือไม่ เกรงว่าวันนี้สองคนนั่นคงจะเอาไม่อยู่” รองผู้บัญชาการทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นกังวล


 


 


มู่หรงเซิ่นส่ายหน้าด้วยความหนักใจ “ทหารของหนานจ้าวสามารถบุกโจมตีได้ทุกเมื่อ อีกอย่างพวกเราเองก็แบ่งกำลังพลออกไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”


 


 


หัวหน้าหน่วยทหารทุกคนต่างนิ่งเงียบไป การแบ่งกำลังพลออกจากด่านซุ่ยเสวี่ย ก็เท่ากับเป็นการเปิดด่านซุ่ยเสวี่ยต้อนรับทหารหนานจ้าวให้เข้ามา หากไม่แบ่งกำลังพลออกไป เมืองหย่งหลินที่มีทหารอยู่เพียงสองหมื่นนาย ไม่ช้าก็เร็วคงถูกทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของหลีอ๋องกลืนกินไปจนสิ้น ถึงตอนนั้นด่านซุ่ยเสวี่ยที่ถูกโอบล้อมจากทั้งสองด้าน คงรักษาไว้ไม่ได้เช่นกัน ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือ…พวกเขาทำไม่ได้แม้แต่จะบุกออกจากวงล้อมไปด้วยซ้ำ ด้วยเพราะจุดที่พวกเขาต้องรักษาการณ์คือด่านซุ่ยเสวี่ย ต้องคอยปกป้องประตูแห่งแคว้นของต้าฉู่ นอกเสียจากทหารประจำด่านซุ่ยเสวี่ยถูกสังหารจนสิ้นแล้ว พวกเขาไม่มีทางให้คนต่างชนเผ่าเหยียบเข้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว นี่เป็นสัตย์สาบานที่ผู้ที่คอยปกป้องด่านซุ่ยเสวี่ยด้วยชีวิตและเลือดเนื้อทุกรุ่นตลอดร้อยกว่าปีได้ให้ไว้


 


 


           “แม้งเอ้ย! หลีอ๋องถึงขนาดสมคบคิดกับคนหนานจ้าว!” หัวหน้าหน่วยทหารหัวร้อนสบถออกมาด้วยความโกรธ จะมีเรื่องใดที่น่าหัวเสียไปกว่าการที่ตนเองกำลังต่อสู้ด้วยชีวิตอยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด แต่กลับถูกคนของตนเองแทงจากข้างหลังอีกหรือ ตัวเป็นถึงท่านอ๋องผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นน้องชายร่วมอุทรกับฮ่องเต้ แต่กลับสมคบคิดกับคนต่างชนเผ่า นี่มันเรื่องอันใดกัน


 


 


           “เรียนท่านแม่ทัพ มีรายงานทหารจากเมืองหย่งหลินขอรับ!”


 


 


           “รีบให้เข้ามา!” เสียงก่นด่าภายในกระโจมใหญ่เงียบกริบลงทันที ทุกคนต่างหันไปมองนายทหารที่เข้ามารายงานสถานการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ด้วยเกรงว่าจะได้ยินข่าวที่ไม่ดีออกจากปากเขา


 


 


           “เรียนท่านแม่ทัพ เช้าตรู่วันนี้ กองทัพกบฏฝ่ายหลีอ๋องบุกเข้าโจมตีเมืองอยู่ประมาณหนึ่งชั่วยาม ตอนเที่ยงตรงกองทัพฝ่ายกบฏถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ถอยไป นายทหารซย่าขอให้ท่านแม่ทัพวางใจ ขอเพียงเมืองหย่งหลินยังมีทหารอยู่เพียงหนึ่งคน จะไม่ยอมให้กองทัพฝ่ายกบฏข้ามเมืองหย่งหลินมาได้ขอรับ” นายทหารเอ่ยรายงานด้วยเสียงก้องกังวาน


 


 


           “ดียิ่งนัก เจ้าสองคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ” มู่หรงเซิ่นยินดีเป็นอย่างยิ่ง อันที่จริงก่อนหน้านี้ที่เขาส่งอวิ๋นถิงและซย่าซูไปยังเมืองหย่งหลินนั้น ในใจเขายังเป็นกังวลอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ยังหนุ่มนัก แต่ด่านซุ่ยเสวี่ยก็มิมีผู้ใดที่สามารถส่งไปได้แล้วจริงๆ ไม่คิดว่าเจ้าเด็กสองคนนั้นจะรบชนะได้ถึงสองวันติดกัน คิดไปคิดมา มู่หรงเซิ่นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ทหารของหลีอ๋องจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายมากันครบแล้วอวิ๋นถิงกับซย่าซูโจมตีพวกเขาจนล่าถอยไปได้อย่างไร”


 


 


           ทหารที่มารายงานข่าวตอบอย่างไม่ปิดบังว่า “เดิมทีพวกเราก็เกือบต้านไว้ไม่อยู่แล้วขอรับ เพียงแต่จู่ๆ ก็มีทหารม้าในชุดดำจำนวนมากเข้ามาช่วยโจมตีศัตรูจนล่าถอยไป นอกจากนี้ ผู้ว่าการเขตหย่งโจวยังถูกสังหารกลางกองทัพของหลีอ๋องด้วยขอรับ”


 


 


           มู่หรงเซิ่นอึ้งไป มึนงงเล็กน้อยว่านายม้าในชุดดำเหล่านั้นคือผู้ใด เพียงแต่การที่ผู้ว่าการเขตหย่งโจวถูกสังหารนั้นก็ถือเป็นเรื่องดี “ฆ่าได้ดี! กลับไปสืบเรื่องทหารม้าในชุดดำพวกนั้นอีกที แล้วรีบกลับมารายงาน”


 


 


           “ขอรับ!”


 


 


           “เรียนท่านแม่ทัพ นายทหารอวิ๋นถิงขอเข้าพบขอรับ”


 


 


           “อวิ๋นถิงหรือ เขามาได้อย่างไร ให้เข้ามา!” มู่หรงเซิ่นขมวดคิ้ว พร้อมโบกมือสั่งการ


 


 


           ไม่นาน อวิ๋นถิงก็เดินกระหืดกระหอบเข้ามา เดินพ้นประตูมาได้ไม่เท่าไรก็รีบพูดกับมู่หรงเซิ่นว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านดูสิว่านี่คือผู้ใด!” มู่หรงเซิ่นกำลังจะเอ่ยปากอบรมอวิ๋นถิงที่ทำกิริยาไม่สุภาพ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพูดไม่ออกไปพักใหญ่


 


 


ถึงแม้เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหลวง มู่หรงเซิ่นจะไม่ค่อยชื่นชอบการคบหาสมาคมสักเท่าใด ส่วนเยี่ยหลีเองก็มิใช่คนชอบออกไปไหนมาไหน ทว่ามู่หรงถิงกับเยี่ยหลีก็ถือได้ว่าเป็นสหายรักกัน ดังนั้นท่านแม่ทัพมู่หรงที่รักลูกสาวดุจหัวแก้วหัวแหวน จึงเคยได้พบชายาติ้งอ๋องที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ยามนี้อีกฝ่ายจะอยู่ในชุดสีดำทมึน ซ้ำยังแต่กายเป็นชาย แต่ใบหน้างดงามที่ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยกับรอยยิ้มเรียบๆ สบายๆ นั่น กลับยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของมู่หรงเซิ่นเป็นอย่างดี “พระ…” มู่หรงเซิ่นใช้ความพยายามทั้งหมดในการกลืนคำสองคำหลังลงไป


 


 


เขาได้ยินเพียงเยี่ยหลีประสานมือพร้อมพูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านแม่ทัพมู่หรง ออกจากเมืองหลวงมาแล้วท่านสบายดีหรือไม่”


 


 


มู่หรงเซิ่นอย่างไรก็เป็นแม่ทัพที่กรำศึกมาครึ่งชีวิต เขากลับมารักษาท่าทีสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว แล้วจึงรีบประสานมือคารวะตอบพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ลำบากคุณชายเป็นห่วงแล้ว ข้าต้องขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยเหลือเมืองหย่งหลินให้รอดพ้นจากวิกฤต” ทหารม้าในชุดดำ แล้วยิ่งได้เห็นชายาติ้งอ๋องที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ หากมู่หรงเซิ่นยังคิดไม่ตกว่าผู้ใดเป็นผู้ที่ช่วยให้หย่งหลินรอดพ้นจากวิกฤต เขาคงมิใช่มู่หรงเซิ่นที่เคยร่วมรบกับม่อหลิวฟางแล้ว


 


 


           ผู้บัญชาการทหารคนอื่นๆ ที่อยู่ ณ ที่นั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชายหนุ่มในชุดดำที่มาพร้อมกับอวิ๋นถิงและเป็นคนที่ช่วยให้เมืองหย่งโจวให้พ้นจากวิกฤตมาได้นั้นคือผู้ใด แต่พวกเขารับรู้ได้ว่าแม่ทัพมู่หรงรู้จักคนผู้นี้ จึงต่างรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เพียงมองเยี่ยหลีด้วยความสงสัยเท่านั้น


 


 


มู่หรงเซิ่นกวาดตามองทุกคน โบกมือให้ทุกคนออกไปก่อน แล้วจึงเชิญให้เยี่ยหลีนั่งลง เยี่ยหลีเองก็ไม่เกรงใจ เอ่ยชอบคุณแล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งทันที “ท่านแม่ทัพ ด่านซุ่ยเสวี่ยนี้สามารถรักษาไว้ได้หรือไม่” เยี่ยหลีรู้จักนิสัยมู่หรงเซิ่นเป็นอย่างดี จึงไม่พูดอ้อมค้อมให้เสียเวลา เอ่ยถามออกไปตรงๆ


 


 


           มู่หรงเซิ่นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยหลี ครู่ใหญ่ถึงได้ถอนหายใจออกมา “ข้าเองก็จะไม่ปิดบังพระชายา หากไม่มีทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของหลีอ๋องเข้ามาโจมตีทางด้านหลัง มู่หรงเซิ่นกล้ารับประกันได้เลยว่า จะไม่มีทางให้คนหนานเจียงเข้ามาเหยียบด่านซุ่ยเสวี่ยได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว เพียงแต่…เมื่อใดก็ตามที่เมืองหย่งหลินแตก…หึหึ เกรงว่าด่านซุ่ยเสวี่ยแม้แต่ครึ่งวันก็คงต้านไว้ไม่ได้” ระหว่างด่านซุ่ยเสวี่ยกับเมืองหย่งหลินไม่มีสิ่งขวางกั้นระหว่างกัน เมื่อใดก็ตามที่กองทัพกบฏผ่านเมืองหย่งหลินมาได้ ก็เท่ากับเป็นการเปิดด้านหลังของกองทัพให้ฝ่ายศัตรูเข้าโจมตี ถึงตอนนั้นเมื่อต้องเจอศึกสองด้าน คงไม่ต้องเปลืองแรงคนของหนานจ้าว ทหารรักษาการณ์ด่านซุ่ยเสวี่ยคงได้บาดเจ็บล้มตายจนสิ้น


 


 


           เยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่มู่หรงเซิ่นกล่าวเป็นความจริง นางขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตามความเห็นของท่านแม่ทัพ กองหนุนจะต้องใช้เวลาอีกกี่วันจึงจะเดินทางมาถึงหรือ”


 


 


           มู่หรงเซิ่นยิ้มขื่น “หากเป็น…กองหนุนคงสามารถมาถึงได้ภายในสองวัน เพียงแต่ยามนี้…ภายในสิบวันนี้คงไม่มีหวังที่จะได้เห็นแม้แต่เงาของกองหนุน”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “เช่นนั้นความหมายของท่านแม่ทัพคือ อย่างไรก็รักษาด่านซุ่ยเสวี่ยไว้ไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ”


 


 


           มู่หรงเซิ่นกัดฟันตอบว่า “รักษาไม่ได้อย่างไรก็ต้องรักษา ขอเพียงมู่หรงเซิ่นยังมีลมหายใจ คนหนานจ้าวอย่าหวังจะได้เหยียบเข้ามาในด่านซุ่ยเสวี่ยเลย” 

 

 


ตอนที่ 90-3 รักษาเมืองหย่งหลิน

 

เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นถามว่า “ท่านแม่ทัพคาดว่าจะรักษาด่านนี้ไว้ได้อีกกี่วันหรือ”


 


 


มู่หรงเซิ่นตอบเสียงขรึมว่า “คงต้องดูว่าเมืองหย่งหลินสามารถต้านไว้ได้อีกกี่วัน ไม่รู้ว่าครานี้พระชายานำหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมามากน้อยเพียงใดหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีถอนหายใจ “ครานี้ด้วยความบังเอิญ จึงมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่เพียงสองพันนายเท่านั้น ท่านแม่ทัพ…หากด่านซุ่ยเสวี่ยไม่สามารถรักษาไว้ได้แล้วจริง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะ…ถอยไปรักษาการณ์ที่แม่น้ำอวิ๋นหลันแทน”


 


 


มู่หรงเซิ่นโบกมือตอบด้วยความแน่วแน่ว่า “คนอื่นถอยได้ มู่หรงเซิ่นถอยไม่ได้! ในเมื่อฝ่าบาทส่งมู่หรงเซิ่นในมาประจำการรักษาด่านซุ่ยเสวี่ยแล้ว ข้าก็จะอยู่หรือไปพร้อมๆ กับด่านซุ่ยเสวี่ยเท่านั้น!”


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เช่นนั้น ท่านแม่ทัพเคยคิดเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่ หากว่าด่านซุ่ยเสวี่ยแตกแล้ว คนหนานเจียงใช้โอกาสนี้เคลื่อนทัพขึ้นเหนือไปจะเป็นอย่างไร กำลังพลสองหมื่นนายที่ประจำอยู่ที่เมืองยงโจว เคลื่อนทัพออกมาได้ไม่เท่าไร ก็ถูกสังหารที่แม่น้ำอวิ๋นหลันทั้งหมด ตอนนี้ไม่เพียงหย่งโจวเท่านั้นที่อยู่ในอันตราย ยงโจวเองก็ไม่มีกองกำลังประจำการอยู่เช่นกัน”


 


 


           มู่หรงเซิ่นหัวเราะหึหึ แล้วเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจว่า “พระชายาวางใจเถิด ข้าคิดถึงจุดนี้ตั้งแต่ได้รับข่าวเรื่องการเสียชีวิตของผู้บัญชาการอู๋แล้ว ดังนั้นข้าจึงได้สั่งให้คนไปคอยจับตาดูสะพานข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันไว้ตลอดเวลา หากกองหนุนมาก่อนก็แล้วไป แต่เมื่อใดก็ตามที่ด่านซุ่ยเสวี่ยแตก และกองหนุนยังมาไม่ถึง คนที่อยู่ที่นั่นจะทำลายสะพานข้ามแม่น้ำนั้นทันทีไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอันใดก็ตาม ไม่ว่าคนหนานจ้าวคิดอยากจะสร้างขึ้นใหม่หรือคิดจะใช้เรือข้ามแม่น้ำ หรือจะเดินทางอ้อมไป อย่างน้อยๆ จะยืดเวลาการเดินทางออกไปได้ครึ่งเดือน ถึงตอนนั้น…กองหนุนจากราชสำนักก็น่าจะมาถึงแล้ว ส่วนพระชายา เรื่องครานี้ขอบพระทัยพระชายามากที่เข้าช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ขอเชิญพระชายารีบไปจากเขตหย่งโจวโดยไวเพื่อความปลอดภัยจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น ประสานมือให้มู่หรงเซิ่นด้วยความเลื่อมใส “ในเมื่อท่านแม่ทัพตัดสินใจแล้ว เช่นนั้น…มอบเมืองหย่งหลินให้ข้าจัดการได้หรือไม่”


 


 


           “พระชายา” มู่หรงเซินมองนางด้วยความตกใจระคนประหลาดใจ


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ในเมื่อข้ามีฐานะเป็นชายาติ้งอ๋อง เมืองหย่งโจวอยู่ในอันตราย แล้วจะให้ข้าจากไปก่อนได้อย่างไร เยี่ยหลีเองก็ยินดีที่จะเป็นตายไปพร้อมกับเมืองหย่งหลินเช่นเดียวกัน จะได้ไม่เสียชื่อตำหนักติ้งอ๋อง มิใช่หรือ”


 


 


           มู่หรงเซิ่นนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วในที่สุดถึงได้กล่าวว่า “มิน่า…” มิน่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีถึงได้ยอมฟังคำสั่งของชายาติ้งอ๋อง ช่างมิใช่คนที่คุณหนูชนชั้นสูงทั่วไปจะสามารถเทียบได้จริงๆ ทุกคนต่างคิดว่ามีเพียงติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องเท่านั้นที่สามารถบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้ แต่กลับไม่รู้ว่า ถึงแม้ในประวัติศาสตร์จะมีชายาติ้งอ๋องมาแล้วหลายรุ่น แต่กลับมีเพียงสองสามท่านเท่านั้นที่สามารถบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้อย่างแท้จริง ชายาติ้งอ๋องรุ่นก่อนคงไม่ต้องพูดถึง แต่แม้แต่มารดาผู้ให้กำเนิดติ้งอ๋อง ที่ในสมัยนั้นเป็นชายาแสนรักของติ้งอ๋อง ม่อหลิวฟาง ก็ยังไม่เคยได้รับสิทธิ์ในการบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเช่นนี้


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว รอให้มู่หรงเซิ่นพูดต่อ มู่หรงเซิ่นเพิ่งส่ายหน้าแต่กลับไม่พูดต่อให้จบ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น เมืองหย่งหลินคงต้องฝากพระชายาด้วย ข้าไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่พระชายาได้ ทำได้เพียงแบ่งกำลังพลให้พระชายาอีกหนึ่งหมื่นนายเท่านั้น” กำลังพลหนึ่งหมื่นนายนี้เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะรอให้อวิ๋นถิงและซย่าซูต้านทานกองทัพฝ่ายตรงข้ามไม่ได้จริงๆ ก่อน แล้วค่อยส่งไปช่วยเหลือพวกเขา ซึ่งนี่เป็นจำนวนทหารที่มากที่สุดที่เขาพอจะแบ่งออกไปให้ได้แล้ว


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ไว้ใจ”


 


 


           เมื่อได้ตราทหารจากมู่หรงเซิ่นมาแล้ว เยี่ยหลีก็ไม่รั้งรอ ลุกขึ้นเตรียมเดินทางกลับเมืองหย่งหลินทันที มู่หรงเซิ่นเป็นนายทหารที่กรำศึกอยู่ในสนามรบมานาน หากมิใช่เพราะครานี้เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป และตนมีกำลังทหารอยู่ไม่เพียงพอจริงๆ จะไม่มีทางตึงมือเช่นนี้ การป้องกันด่านซุ่ยเสวี่ยวก็คงไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยหลียื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ


 


 


เมื่อออกมาจากค่ายทหาร ก็เห็นมู่หรงถิงกำลังเดินถือกระบี่เข้ามาด้วยฝีเท้าเร่งรีบ “ถิงเอ๋อร์หรือ”


 


 


           “เอ๋!” มู่หรงถิงที่ตอนแรกกำลังรีบร้อนจะเข้าไปหาท่านพ่อ เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูคุ้นหูเอ่ยเรียกขึ้นจึงรีบหยุดฝีเท้าลงทันที นางมองจ้องไปใบที่ดูคุ้นเคยแต่ไม่คุ้นตาอยู่พักใหญ่ถึงดึงสติกลับมาได้ รีบยกมือขึ้นชี้หน้านาง “เจ้า…เจ้าเจ้า…”


 


 


           “บังอาจ!” มู่หรงเซิ่นเดินตามหลังออกมา หันไปถลึงตาใส่มู่หรงถิง “เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดจึงเสียมารยาทกับคุณชายสวีเช่นนี้”


 


 


           “คุณชายสวีหรือ!” มู่หรงถิงร้องเสียงแหลมขึ้น เยี่ยหลีระบายยิ้มเต็มไปหน้า เลิกคิ้วใส่มู่หรงถิง “ข้าน้อยสวีชิงหลิวคารวะคุณหนูมู่หรง”


 


 


           ใบหน้าเรียวของมู่หรงถิงแดงก่ำ รีบเดินไปหลบหลังมู่หรงเซิ่นทันที แล้วจึงหันมาถลึงตาต่อว่าใส่เยี่ยหลี จะโทษที่นางจู่ๆ ก็เขินอายเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่เยี่ยหลีแต่งกายเป็นชายได้ดีจนเกินไป ถึงแม้นางจะมิได้แต่งหน้าเพื่อเปลี่ยนรูปโฉม แต่มองอย่างไรก็ยังเหมือนเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ดูทั้งหล่อเหลาและอ่อนเยาว์ ไม่มีท่าทางอ่อนหวานอย่างหญิงสาวให้เห็นแม้แต่น้อย มู่หรงถิงคิดมาตลอดว่าท่าทางและนิสัยของตนมีความเป็นชายอยู่มาก แต่นางก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ต่อให้ตนแต่งกายเป็นชาย ก็คงดูไม่เหมือนชายหนุ่มไปกว่าคนตรงหน้านี้


 


 


ถึงแม้รู้ว่าแท้จริงแล้วเยี่ยหลีเป็นหญิงสาว แต่เมื่อได้เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและอ่อนเยาว์มายืนตรงหน้าเช่นนี้ มู่หรงถิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายขึ้นมา


 


 


           เมื่อได้เห็นมู่หรงถิงหน้าแดงอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็นแล้ว เยี่ยหลีจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มล้อเลียนใส่นาง ชายหนุ่มที่ทั้งสง่างามและหล่อเหลาภายใต้แสงอาทิตย์ ถึงจะแต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งชุดแต่ก็มิอาจปกปิดความสะอาดสะอ้านและความฉลาดเฉลียวไว้ได้ มู่หรงถิงจึงทำได้เพียงถลึงตาให้โตขึ้นไปอีก ส่วนในใจนึกก่นด่าว่า “นังปีศาจ!”


 


 


           “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอตัวก่อน” เยี่ยหลีมิได้ยั่วอันใดมู่หรงถิงอีก เพียงหมุนตัวไปทางมู่หรงเซิ่นแล้วเอ่ยปากขอตัว


 


 


มู่หรงเซิ่นพยักหน้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้น เมืองหย่งหลินคงต้องลำบากคุณชายแล้ว”


 


 


           “ข้าจะไม่ทำให้ท่านแม่ทัพผิดหวัง” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ


 


 


           มู่หรงถิงมองเยี่ยหลีด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปทันที “ท่านพ่อ อา…คุณชายสวีไปทำอันใดที่เมืองหย่งหลินหรือ”


 


 


           มู่หรงเซิ่นขมวดคิ้ว “คุณชายสวีไปช่วยอวิ๋นถิงกับซย่าซูรักษาเมืองน่ะ”


 


 


มู่หรงถิงรีบพูดขึ้นว่า “ข้าก็จะไปด้วย”


 


 


           “หยุดโวยวายได้แล้ว คุณชายสวีไปจัดการเรื่องสำคัญ เจ้าจะตามไปเล่นสนุกอันใด”


 


 


           มู่หรงถิงโกรธจนต้องกระทืบเท้า ก่อนหน้านี้บอกว่านางเป็นผู้หญิงจะออกไปทำศึกไม่ได้ มายามนี้มิได้ให้อาหลีไปออกศึกหรอกหรือ “ข้าไม่สน ข้าก็อยากไปช่วยรักษาเมืองด้วย! ข้าเป็นบุตรสาวของท่านพ่อ มิได้เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ที่ทำได้เพียงกินข้าวอยู่ในค่ายไปวันๆ เสียหน่อย! อา…คุณชายสวี พาข้าไปด้วยได้หรือไม่” อารามร้อนใจ มู่หรงถิงจึงลืมไปว่าเยี่ยหลีแต่งกายเป็นชาย จึงโผเข้าไปจับแขนนางแกว่งแกว่งมา ทำให้ทหารที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหันมามอง


 


 


เยี่ยหลีกระแอมขึ้นเบาๆ ปลดมือนางออกแล้วหันไปพูดยิ้มๆ ว่า “มู่หรง…ชายหญิงนั้นต่างกัน”


 


 


           มู่หรงจึงได้สังเกตเห็นทหารที่อยู่โดยรอบมองมาด้วยสายตาประหลาด จึงรีบปล่อยมือเยี่ยหลีพร้อมทำสีหน้าล้อเลียน แล้วหันไปจับแขนอ้อนท่านพ่อของตนแทน “ท่านพ่อ…ให้ถิงเอ๋อร์ไปเถิด ลูกจะไม่ไปสร้างความวุ่นวายให้ผู้ใดหรอก”


 


 


           มู่หรงเซิ่นถูกนางอ้อนจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี จึงได้แต่หันหน้าหาเยี่ยหลี เยี่ยหลีก้มหน้าลงหัวเราะ “หากท่านแม่ทัพวางใจ ให้มู่หรงมากับข้าก็ได้”


 


 


มู่หรงเซิ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ณ ตอนนี้อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน จะรั้งอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยหรืออยู่ที่เมืองหย่งหลินก็มิได้ต่างกันมากนัก ต่อให้รั้งอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย แต่หากเกิดการสู้รบขึ้นแล้ว อย่างไรเขาก็ไม่สามารถดูแลนางได้ “เอาเถิด เจ้าเด็กคนนี้ก็ฝากคุณชายสวีเป็นธุระด้วยก็แล้วกัน หากนางกล้าโวยวายเอาแต่ใจ คุณชายสวีสามารถจัดการตามกฎทหารได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ!”


 


 


           “ขอบคุณท่านพ่อ!” มู่หรงถิงดีใจเป็นอย่างยิ่ง จนลืมสนใจไปเลยว่า ท่านพ่อของนางบอกให้จัดการตามกฎทหารได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าท่านพ่อยินยอมที่จะเห็นนางเป็นนายทหารคนหนึ่ง มิใช่คุณหนูตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้ความอีกแล้วกระมัง


 


 


           เมื่อบอกลามู่หรงเซิ่นแล้ว คณะของเยี่ยหลีใช้เวลาอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดี ก็เร่งรีบออกเดินทางกลับ


 


 


มู่หรงถิงที่นั่งอยู่บนหลังม้า เหลือบมองเยี่ยหลีและทหารเฮยอวิ๋นฉีที่ขี่ม้าชั้นดีอยู่ด้วยสีหน้าอิจฉา นี่มีกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ยังดูยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ หากได้เห็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉีทั้งหน่วยอยู่ตรงหน้า จะเป็นภาพที่งดงามเพียงไหนกันนะ เพียงแค่คิดภาพก็ทำให้เลือดในกายนางร้อนไปหมดแล้ว


 


 


“อา…อา คุณชายสวี เจ้ามาที่ด่านซุ่ยเสวี่ยได้อย่างไร ท่านพ่อข้าไว้ใจท่านมาก ไม่ว่าข้าพูดอย่างไรท่านพ่อก็ไม่ยอมให้ข้าออกไปทำศึก แต่พอเจ้ามา ท่านพ่อถึงกับยอมมอบหมายการปกป้องเมืองหย่งหลินให้กับเจ้า” เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ มู่หรงถิงก็อดรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ท่านพ่อเห็นว่านางไม่มีความสามารถจริงๆ จึงไม่ยอมให้นางออกไปทำศึกหรือเปล่านะ


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “ข้าไปจัดการธุระที่ชายแดนใต้มานิดหน่อย แล้วจึงบังเอิญพบเข้าน่ะ”


 


 


           “ท่านอ๋องยอมให้เจ้ามาจัดการธุระที่ชายแดนใต้คนเดียวเชียวหรือ ท่านอ๋องช่างเป็นคนดีจริงๆ ไม่เหมือนพ่อข้า ทั้งวันเอาแต่พูดกรอกหูข้าว่าเป็นลูกผู้หญิงอีกหน่อยหากแต่งงานไปแล้วจะต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนคอยจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้าน ต้องมีเมตตาธรรม มีศีลธรรม…ข้าจะไม่ยอมอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนหรอก” มู่หรงถิงโอดครวญด้วยความไม่พอใจ ประโยคสุดท้ายนั้นเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทว่าทุกคนในที่นั้นต่างเป็นคนที่มีประสาทหูเป็นเลิศ ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน


 


 


อวิ๋นถิงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คุณหนูมู่หรง ท่านกล่าวเช่นนี้คุณชายเหลิ่งจะร้องไห้เอาได้นะ”


 


 


มู่หรงถิงยิ้มแยกเคี้ยว หันไปส่งเสียงเหอะใส่อวิ๋นถิงแล้วจึงบังคับม้าให้ออกวิ่งขึ้นหน้าไป เยี่ยหลีอมยิ้มควบม้าตามไป “ท่านแม่ทัพมู่หรงรักเจ้า กลัวว่าเจ้าจะมีอันตรายหรอก”


 


 


           “ข้ารู้ แต่ท่านพ่อมีข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ข้าเองก็อยากทำให้ท่านพ่อภูมิใจนี่ อีกอย่างข้าเองก็มิใช่เด็กๆ แล้ว มิได้จะทำอันใดวู่วามเสียหน่อย ท่านพ่อไม่ยอมให้ข้าออกไปทำศึก ต่อให้ข้าร้อนใจเพียงใดก็ไม่เคยลอบหนีออกไปทำศึกเสียหน่อย”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า ถึงแม้บางครั้งมู่หรงถิงจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่อันที่จริงแล้วนางเป็นคนที่รู้ว่าอันใดควรไม่ควร ไม่มีทางทำให้ผู้ใดร้อนใจด้วยความเป็นห่วงอย่างแน่นอน 

 

 


ตอนที่ 91-1 ลอบโจมตีกลางดึก

 

           เมื่อกลับถึงเมืองหย่งหลิน ซย่าซูตามไปช่วยหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีวุ่นอยู่กับการเพิ่มกำลังป้องกันเมืองหย่งหลินตามคาด อวิ๋นถิงในใจนึกอยากมานานแล้ว เมื่อกลับถึงเมืองก็เพียงหันมาบอกเยี่ยหลีคำหนึ่ง แล้วก็มิสนใจชายาติ้งอ๋องอย่างนางอีก รีบตามไปยุ่งวุ่นวายด้วยทันที  


 


 


มู่หรงถิงนั่งอยู่ในห้องหนังสือกับเยี่ยหลี นั่งมองนางดูแผนที่กองโตอย่างไม่ใครใส่ใจนัก แล้วจึงออกไปตามหาหญิงสาวในเมืองที่ยังเป็นสาวเป็นแซ่และมีความคล่องแคล่ว เตรียมจับพวกนางรวมกลุ่มกันเพื่อช่วยเหลือเวลาที่เกิดสงคราม ถึงแม้จะออกไปร่วมรบด้วยไม่ได้ แต่หากให้พวกนางคอยช่วยดูแลทหารที่บาดเจ็บหรือเรื่องจิปาถะอื่นๆ น่าจะไม่มีปัญหา  


 


 


เยี่ยหลีเห็นด้วยกับความคิดของนางเป็นอย่างยิ่ง มู่หรงถิงที่ถูกมู่หรงเซิ่นควบคุมความประพฤติอยู่นาน จึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง เดินออกไปด้วยสีหน้าแช่มชื่น 


 


 


           เยี่ยหลีนั่งอยู่ในกระโจมที่กางขึ้นเพื่อทำเป็นห้องหนังสือโดยเฉพาะ ขมวดคิ้วมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า นางมิใช่คนมีพรสวรรค์ อย่างน้อยนางก็มิใช่คนมีพรสวรรค์ที่จะสามารถบัญชาการกองทัพขนาดใหญ่ได้ ด้วยชาติที่แล้วที่นางเป็นทหารประจำหน่วยพิเศษ ทำให้นางเชี่ยวชาญด้านการทำศึกขนาดเล็ก และโจมตีจุดตายของศัตรูมากกว่า  


 


 


แต่ยามนี้ ด้วยอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่ที่ไม่อำนวยนัก การต้องรับมือกับทหารจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่พลิกจากแพ้ให้เป็นชนะเลย รักษาเมืองไว้ให้ได้จนกว่ากองหนุนจะมายังว่าน่าขัน  


 


 


ส่วนด่านซุ่ยเสวี่ยที่ไม่เคยถูกคนต่างชนเผ่าเคาะประตูเข้ามาได้มาก่อนเป็นเวลาหลายร้อยปีนั้น ทำให้เมืองหย่งหลินรู้สึกปลอดภัย ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยของกำแพงเมืองจึงไม่แข็งแกร่งเอาเสียเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการป้องกันภายในด้านอื่นๆ ผู้ใดเลยจะคิดว่า วันหนึ่งทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยจะต้องมารับมือกับการโจมตีจากภายในของต้าฉู่เอง 


 


 


           “คารวะพระชายา” คณะของซย่าซูและอวิ๋นถิงพากันเข้ามายืนทำความเคารพเยี่ยหลีอยู่ที่หน้าประตู  


 


 


เยี่ยหลีโบกมือให้พวกเขาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง “เข้ามาสิ เป็นอย่างไรบ้าง”  


 


 


อวิ๋นถิงที่เป็นคนเปิดเผยที่สุดพูดกลั้วหัวเราะว่า “โชคดีที่ได้พี่น้องหน่วยเฮยอวิ๋นฉีคอยช่วยเหลือ พวกเราจึงคุ้มกันเมืองได้แน่นหนาขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


หัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่เข้ามาพร้อมกันส่ายหน้า “เมืองหย่งหลินเองย่ำแย่เกินไป ต่อให้พวกเราเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้น แต่เกรงว่าคงต้านไว้ได้ไม่นานนัก” การโจมตีเมื่อวานถือเป็นเพียงการโยนหินถามทางเท่านั้น การโจมตีครั้งต่อไปเกรงว่าคงจะไม่จบลงง่ายๆ 


 


 


           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “สองวันนี้กองทัพฝ่ายกบฏคงยังไม่บุกมาโจมตีเราอีก แต่ถึงอย่างไรเราจะไม่ป้องกันไว้ก่อนคงไม่ได้ พวกเจ้าต้องเพิ่มความระมัดระวังไว้ด้วย”  


 


 


การโจมตีของวานนี้พวกเขาตั้งใจหลอกม่อจิ่งหลีให้หลงทาง ในขณะที่ม่อจิ่งหลียังไม่รู้ว่าพวกเขามีกำลังพลกันอยู่เท่าไรนั้น ม่อจิ่งหลีไม่น่าบุกเข้าโจมตีอย่างเร่งร้อน แต่ละครที่ใช้หลอกคนนั้นอย่างไรก็หลอกได้ไม่นาน เมื่อใดก็ตามที่ม่อจิ่งหลีรู้ความจริง สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คงมีเพียงแค่การโจมตีที่หนักหน่วงขึ้นเท่านั้น  


 


 


“อวิ๋นถิง ซย่าซูพวกเจ้าคุ้นเคยกับพื้นที่โดยรอบนี้ มาดูแผนที่นี่ที”  


 


 


อวิ๋นถิงและซย่าซูเดินเข้าไปด้วยความสงสัย สิ่งที่กางอยู่เบื้องหน้าเยี่ยหลีคือแผนที่ขนาดใหญ่ ด้านบนมีตัวอักษรเขียนไว้อย่างสวยงามว่าแผนที่เมืองหย่งหลิน อวิ๋นถิงและซย่าซูรับรู้อย่างรวดเร็วว่า แผนที่แผ่นนี้ทิได้เป็นเพียงแผนที่ของเมืองหย่งหลินเท่านั้น มียังครอบคลุมถึงโครงสร้างภูมิประเทศของพื้นที่รอบเมืองหย่งหลินในรัศมีเกือบหนึ่งร้อยลี้อีกด้วย หนึ่งในนั้นยังรวมถึงด่านซุ่ยเสวี่ยและพื้นที่บางส่วนของหนานเจียงด้วย  


 


 


จุดที่สำคัญคือ แผนที่ฉบับนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนที่ที่วาดขึ้นใหม่ อวิ๋นถิงถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “พระชายาต้องการแผนที่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ พวกเรายังมีแผนที่เก็บไว้อีกหลายฉบับ ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยก็มีแผนที่ทั้งหมดของเขตหย่งโจวพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า ไม่ว่านางหรือหน่วยเฮยอวิ๋นฉีต่างไม่คุ้นเคยกับเขตหย่งโจวนัก แต่ในการศึก หากไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แล้ว ถือเป็นจุดตายที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นนางจึงได้ส่งข่าวไปบอกให้ทางหน่วยเฮยอวิ๋นฉีรวบรวมข้อมูลของพื้นที่โดยรอบเมืองหย่งหลินตั้งแต่ตอนที่นางยังอยู่ที่หนานเจียง จนคืนวานนี้จึงได้ให้พวกเขาวาดขึ้นใหม่โดยอาศัยแผนที่ฉบับเดิมเป็นต้นแบบ แต่ด้วยเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่นางมิได้ไปสำรวจด้วยตนเอง มีหลายจุดที่นางไม่แน่ใจ จึงอยากให้อวิ๋นถิงและซย่าซูซึ่งเป็นคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่มากกว่ามาช่วยลองดู 


 


 


           ซย่าซูจ้องแผนที่ฉบับนั้นอย่างจริงจังอยู่เป็นนาน นัยน์ตามีประกายอันร้อนแรงปรากฏขึ้น เขาเอ่ยชื่นชมเสียงต่ำขึ้นว่า “พระชายาวาดแผนที่นี้ด้วยตนเองหรือพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


เยี่ยหลีนวดขมับพลางเอ่ยว่า “ถึงแม้ข้าจะเชื่อในทหารของหน่วยเฮยอวิ๋นฉี แต่ข้าก็มิได้ไปสำรวจด้วยตนเอง พวกเจ้าลองดูทีว่าบนแผนที่นี้มีจุดใดไม่ถูกต้องหรือไม่”  


 


 


ซย่าซูมองอยู่พักใหญ่ ก่อนชี้ไปยังจุดหนึ่งที่ทำเครื่องหมายไว้ว่าเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง “ที่นี่…หากแม่น้ำสายนี้อยู่ใกล้กับภูเขาลูกนี้อีกหน่อย โดยรวมก็ไม่มีปัญหาอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


เยี่ยหลียกพู่กันขึ้นพร้อมเอ่ยถามว่า “แม่น้ำสายนี้อยู่ไกลจากภูเขาลูกนี้มากน้อยเพียงใด”  


 


 


ซย่าซูก้มหน้าลงนิ่งคิด “ประมาณสามลี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว ผิดไปไกลพอสมควรทีเดียว สำหรับแผนที่แล้ว ต่างกันเพียงนิดเดียว ก็เท่ากับต่างกันเป็นพันลี้  


 


 


นางยกพู่กันขึ้นวาดแก้ไขแผนที่บนกระดาษ ซย่าซูนึกชื่นชมในใจ รู้สึกนับถือชายาติ้งอ๋ององค์นี้ด้วยใจจริง เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เรื่องการวาดแผนที่นั้น ต่อให้เป็นคนที่ไปเดินสำรวจทุกที่ด้วยตนเอง ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถวาดออกมาได้ แล้วนี่ชายาติ้งอ๋องเพียงฟังจากคนอื่น ก็สามารถวาดออกมาได้โดยแทบไม่มีข้อผิดพลาดเลย ซ้ำแผนที่ฉบับนี้ยังละเอียดกว่าของที่พวกเขามีอยู่ในปัจจุบันเป็นสิบเท่าอีกด้วย  


 


 


การทำศึกคืออันใดก็ตาม นอกจากยุทธศาสตร์ทางการทหารแล้ว หัวใจสำคัญก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมและจุดยุทธศาสตร์มิใช่หรือ เพียงแต่มิใช่ว่าผู้นำทางการทหารทุกคนจะมีโอกาสได้ลงไปศึกษาพื้นที่ที่ตนจะต้องไปทำศึก แต่หากมีแผนที่ฉบับนี้ ก็สามารถเข้าใจเมืองหย่งหลินและพื้นที่โดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ได้แล้ว 


 


 


           “พระชายา พวกเราจะรอให้กองทัพฝ่ายกบฏเข้ามาโจมตีอยู่เช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” อวิ๋นถิงเอ่ยถามด้วยความใจร้อน 


 


 


           เยี่ยหลีอมยิ้ม “เดิมทีพวกเจ้าคิดกันไว้ว่าอย่างไร” 


 


 


           อวิ๋นถิงละอายเล็กน้อย เดิมทีพวกเขาตั้งใจที่จะรอให้กองทัพฝ่ายกบฏเข้ามาบุกโจมตีก่อนจริงๆ แต่มิใช่เพราะพวกเขาอยากทำเช่นนี้ แต่ด้วยข้อจำกัดทางกำลังทหารทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น แต่ตอนนี้พวกเขามิได้มีกำลังจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอีกสองพันนายหรือ หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมิได้เชี่ยวชาญการอยู่รักษาเมือง แต่เป็นการบุกโจมตีมิใช่หรือ แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้ชอบอยู่รักษาเมืองเช่นกัน 


 


 


           “พื้นที่โดยรอบหย่งหลินเป็นป่า เป็นข้อจำกัดของทหารม้า ทำให้ไม่สามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่” ซย่าซูขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นป่าทึบในแผนที่แล้วรู้สึกรำคาญใจ หากเป็นพื้นที่ราบ สิ่งที่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีทำได้ คงมิได้มีเพียงเท่านี้ ทว่าเขาเองก็รู้ดี หากเป็นเพียงพื้นที่ราบแล้ว กองทัพฝ่ายกบฏคงได้กรีฑาทัพทหารจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเข้าบุกโจมตีเมืองเป็นแน่ เช่นนั้นคงยิ่งทำอันใดไม่ได้เข้าไปใหญ่ 


 


 


           หัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีหัวเราะขึ้น “ถึงแม้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะได้ชื่อว่าเป็นทหารม้า แต่สิ่งที่เชี่ยวชาญมิได้มีเพียงฝีมือการขี่ม้าและการยิงธนูเท่านั้น” ทหารม้านั้นจริงๆ แล้วมีไว้เพื่อรับมือทางเป่ยหรงโดยเฉพาะ ทว่าม้าของต้าฉู่กับม้าของเป่ยหรงนั้นไม่สามารถเทียบกันได้ ถึงแม้ทหารในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ แต่หากต้องสู้รับกับทหารม้าเหล็กของเป่ยหรงแล้ว คงประหนึ่งของแข็งเจอกับของแข็ง ต่างฝ่ายต่างไม่ได้เปรียบ  


 


 


ซย่าซูเหลือบมองสีหน้าภาคภูมิใจของหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและองครักษ์ลับสองและสามที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ แล้วจึงเอ่ยด้วยความลังเลใจว่า “พวกเราสามารถชิงออกไปโจมตีก่อนได้หรือไม่ ทำลายแผนของพวกมันเสีย” 


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ว่ามาสิ” 


 


 


           ซย่าซูหยิบดินสอถ่านบนโต๊ะขึ้นวาดสัญลักษณ์ลงบนแผนที่ “ตอนนี้กองทัพกบฏตั้งค่ายอยู่ห่างจากเมืองหย่งหลินไปประมาณยี่สิบลี้ หากพวกเราใช้ทหารม้าลอบเข้าไป น่าจะโจมตีโดยที่พวกมันไม่ทันตั้งตัวได้” 


 


 


           องครักษ์ลับสองพูดขึ้นว่า “ทหารม้าเสียงดังเกินไป ยิ่งหากต้องการความรวดเร็วด้วยแล้ว เกรงว่ายังไม่ทันถึงค่ายก็คงรู้ตัวกันเสียก่อน อีกอย่าง…จะให้ทหารม้าสองพันนายลอบโจมตีค่ายทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายหรือ” หากเข้าไปในค่ายทหารจำนวนมหาศาลนั่นได้จริง ก็ไม่แน่ว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย  


 


 


ซย่าซูส่ายหน้า “พวกเราไม่ต้องลอบโจมตีค่ายใหญ่ของพวกมัน ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ของเมืองหย่งหลิน ทำให้พวกมันไม่อาจและไม่สามารถตั้งค่ายรวมทุกคนไว้ในที่เดียวได้ หากค่ายใหญ่ของกองทัพกบฏตั้งอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นที่นี่ และที่นี่จะต้องมีการตั้งค่ายเป็นรูปเขาสัตว์สำหรับกำลังทหารบางส่วนอย่างแน่นอน เพื่อให้สามารถคุ้มครองค่ายใหญ่ได้ สถานที่สองแห่งนี้น่าจะเพียงพอสำหรับกำลังพลไม่เกินหนึ่งหมื่นนาย บางที…อาจสร้างความโกลาหลให้พวกมันได้” 


 


 


           “ฉินเฟิงว่าอย่างไร” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถามหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉี 


 


 


           ฉินเฟิงขมวดคิ้วกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราเข้าไปตัดเส้นทางทางปีกซ้ายที่จะเข้าไปยังค่ายใหญ่ก่อน ก็เป็นไปได้ที่จะสามารถทำลายกองทัพกลุ่มนี้ทั้งหมดได้ แต่ต่อให้ไม่ได้ เส้นทางบนเขานี้มากว้างนัก กองหนุนของอีกฝ่ายคงมาถึงได้ไม่รวดเร็วเท่าไร พวกเรายังมีเวลาถอยทัพทั้งหมดกลับได้ทันเวลา เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ เป็นไปได้อย่างมากที่อีกฝ่ายจะนึกสงสัยว่ากำลังหลักของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมิได้อยู่ที่หย่งโจว”  


 


 


เยี่ยหลีกะพริบตาเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ “หากว่า ปีกซ้ายและปีกขวาถูกทำลายทั้งคู่เล่า” 


 


 


           สายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องหนังสือต่างหันมองทางเยี่ยหลี การจะทำลายกองทัพทางปีกใดปีหนึ่งก็ว่าอยากแล้ว จะทำลายทั้งสองฝั่งพร้อมๆ กันได้อย่างไร 


 


 


           “องครักษ์ลับสอง องครักษ์ลับสาม รีบไปรวบรวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับค่ายของม่อจิ่งหลีมาที” เยี่ยหลีเอ่ยสั่งการ 


 


 


           องครักษ์ลับสองและสามพยักหน้ารับคำสั่ง พร้อมหมุนตัวออกจากห้องหนังสือไป  

 

 


ตอนที่ 91-2 ลอบโจมตีกลางดึก

 

           ผ่านมาสองวันแล้ว ด้วยเพราะม่อจิ่งหลีไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเลย จึงทำได้เพียงตั้งค่ายนิ่ง ไม่เคลื่อนพลไปที่ใด ได้แต่มองไปทางเมืองหย่งหลินที่อยู่ไกลๆ ซึ่งมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่ไม่มากนัก ม่อจิ่งหลีได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจ อันที่จริงแล้วเขตหย่งโจวไม่ได้มีคนของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่มากนัก และม่อซิวเหยาเองก็มิได้อยู่ที่เขตหย่งโจว ทว่าขณะที่เขาตัดสินใจว่าจะบุกเข้าโจมตีนั้น มักรู้สึกว่านี่เป็นแผนของม่อซิวเหยาที่ล่อให้ตนเคลื่อนพลเข้าไป แต่ไหนแต่ไรมา ม่อซิวเหยาเป็นพวกร้อยเล่ห์เพทุบาย ทำให้เขาไม่อาจนึกระแวงได้ ดังนั้น ถึงแม้ทางฝั่งหนานจ้าวจะส่งคนมาเร่งให้เขาเคลื่อนพลเข้าโจมตี แต่เขายังคงทำได้เพียงนำทหารจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนตั้งค่ายเผชิญหน้ากับเมืองเล็กๆ อย่างหย่งหลินเท่านั้น 


 


 


           “ท่านอ๋อง ทางฝั่งหนานจ้าวได้ส่งคนมาเร่งหลายครั้งแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ วันพรุ่งพวกเราจะยกพลเข้าตีเมืองหย่งหลินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ภายในกระโจมใหญ่ ชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนเสนาธิการทหารเอ่ยถามขึ้น 


 


 


           ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้ว “รีบร้อนไปไย หากพวกเขารีบร้อนเช่นนี้เหตุใดตนเองถึงไม่ตีด่านซุ่ยเสวี่ยให้แตกเสียเล่า โจมตีมาตั้งหลายวันเช่นนี้แล้ว แม้แต่เนื้อหนังสักนิดของมู่หรงเซิ่นยังเอามาไม่ได้เลย!”  


 


 


เสนาธิการทหารได้แต่ส่ายหน้าพร้อมยิ้มขื่น “ประตูด่านซุ่ยเสวี่ยแข็งแรงทนทานยิ่งนัก ยากจะทำลายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การที่พวกเขาบุกโจมตีอยู่นานแล้วยังมิอาจตีให้แตกได้ ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้พ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


ม่อจิ่งหลีมีท่าทีลังเลเล็กน้อย คิ้วคมขมวดเข้าหากันแน่นเอ่ยถามเสนาธิการทหารว่า “ปล่อยให้คนหนานจ้าวเข้ามาในด่าน…มีประโยชน์จริงหรือ”  


 


 


เสนาธิการทหารชะงักไปเล็กน้อย มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “ความหมายของท่านอ๋องคืออันใดหรือ”  


 


 


ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ “พวกเรายึดครองเขตหย่งโจวได้โดยไม่ต้องให้คนหนานจ้าวช่วยเหลือ แต่ด่านซุ่ยเสวี่ย หากเมื่อใดให้คนหนานจ้าวเข้ามาได้แล้ว เกรงว่า…เชิญเทพมานั้นง่าย แต่เชิญให้กลับไปคงจะยาก” ถึงแม้ยามนี้คนหนานจ้าวจะร่วมมือกับพวกเขา แต่เขาย่อมรู้ดีว่าคนพวกนั้นมิใช่คนที่มีความซื่อตรงเท่าไรนัก ตำนานด่านซุ่ยเสวี่ยที่ไม่เคยมีผู้ใดตีแตกมาเป็นร้อยปี หากถูกทำลายเสีย เกรงว่าต่อไปคนเหล่านี้คงเข้ามาท้าทายความแข็งแกร่งของด่านซุ่ยเสวี่ยหนักขึ้น และแทรกซึมเข้ามาอยู่ทางตอนใต้ของแผ่นดินต้าฉู่เป็นแน่ 


 


 


           “ท่านอ๋อง ธนูที่ง้างแล้วมิอาจชักกลับได้” เสนาธิการทหารเอ่ยโน้มน้าว “เมื่อใดก็ตามที่พวกเราทำลายข้อตกลง เกรงว่าหนานจ้าวคงจะถอนทัพกลับทั้งหมดทั้งที และเมื่อนั้นมู่หรงเซิ่นคงได้หันกลับมาเล่นงานพวกเรา ถึงตอนนั้นหากกองหนุนจากราชสำนักมาถึง…ผลที่ตามมาคงยากที่จะคาดเดาได้ ดังนั้น ท่านอ๋องรีบเผด็จศึกเสียจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


ม่อจิ่งหลีพยักหน้า เหตุผลนี้ไยเขาจะไม่เข้าใจ “ท่านว่า…เหตุใดหน่วยเฮยอวิ๋นฉีถึงได้มาถึงได้รวดเร็วเช่นนี้” 


 


 


           เสนาธิการทหารตอบด้วยความลำบากใจว่า “แต่ไหนแต่ไรมาติ้งอ๋องเป็นคนคิดการณ์ไกลและวางแผนรอบคอบ สองวันมานี้พวกเราสืบไม่พบร่องรอยการเดินทางของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนี้เลย เกรงว่าน่าจะเป็นหมากลับที่ติ้งอ๋องวางไว้ที่นี่ตั้งแต่แรกพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อคิดถึงจุดนนี้ เสนาธิการทหารก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น หากมิใช่เพราะหน่วยเฮยอวิ๋นฉีกลุ่มนี้ ตอนนี้เมืองหย่งหลินคงอยู่ในกำมือพวกเขาไปแล้ว ไม่แน่ว่าด่านซุ่ยเสวี่ยอาจแตกด้วยก็เป็นได้ 


 


 


           “ท่านจะบอกว่าม่อซิวเหยาเห็นแววว่าจะเกิดศึกขึ้นที่หนานจ้าวแต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ” ม่อจิ่งหลีเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี 


 


 


           เสนาธิการทหารไหนเลยจะกล้ายอมรับ จึงเพียงตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพียงหน่วยที่ติ้งอ๋องทิ้งไว้เพื่อป้องกันหนานจ้าวก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะถึงอย่างไรในตอนนั้นติ้งอ๋องก็โจมตีพื้นที่ทางหนานเจียงไว้รุนแรงพอสมควร” หากไม่เพราะราชสำนักเป็นกังวลว่าแม่ทัพหนุ่มแห่งตำหนักติ้งอ๋องในขณะนั้นจะมีชื่อเสียงโด่งดังเกินไป มีผลงานการทำศึกที่เก่งกาจเกินไปจนต้องสั่งถอยทัพ เกรงว่าหนานจ้าวในตอนนี้คงไม่เหลืออยู่แล้ว ความเจ็บแค้นที่หนานจ้าวมีต่อติ้งอ๋องนั้นคงไม่ต้องพูดถึง ซึ่งเกรงว่าติ้งอ๋องเองก็คงเห็นว่าการที่หนานจ้าวค่อยๆ ฟื้นคืนจากความตายนั้นเป็นประหนึ่งหนามแหลมในดวงตาเช่นกัน  


 


 


ม่อจิ่งหลีเบ้ปากอย่างดูแคลน “ม่อซิวเหยาอวดอ้างว่าตนเก่งกาจประหนึ่งเทพด้านการทหาร แต่ทำศึกอยู่หนึ่งปีเต็มก็ยังมิอาจทำให้หนานเจียงสงบลงได้ แต่ข้าใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็สามารถยึดครองเขตหย่งโจวได้แล้ว อย่างมากสุดครึ่งปีข้าก็จะสามารถยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันได้ในเร็ววัน!” 


 


 


           “ท่านอ๋องทรงพระปรีชา” ที่ปรึกษาการทหารเอ่ยยิ้มๆ พร้อมลอบเช็ดเหงื่อ ครั้งนี้ที่ราบรื่นมาได้ถึงเพียงนี้คงเพราะมีเทวดาฟ้าดินคอยช่วยเหลือ ตั้งแต่มู่หรงเซิ่นรับหน้าที่มาประจำการที่ด่านซุ่ยเสวี่ย ฮ่องเต้ก็ใช้สารพัดวิธีในการลดกำลังพลในเขตหย่งโจวลง ผู้ว่าการเขตหย่งโจวเองก็พยายามอย่างยิ่งในการหาเรื่องปวดหัวมาให้มู่หรงเซิ่น ดังนั้นจึงทำให้การป้องกันของเขตหย่งโจวมีช่องโหว่มากมาย  


 


 


ส่วนครานี้ ด้วยเพราะพวกเขาลงมือโดยไม่มีใครทันตั้งตัว จึงทำให้ทุกอย่างราบรื่นมาตลอด อีกหน่อยหากราชสำนักตั้งตัวได้ เกรงว่าคงไม่ราบรื่นเช่นนี้แล้ว เพียงแต่ที่ท่านอ๋องพูดก็ถูก ขอเพียงจัดการมู่หรงเซิ่นที่รักษาการด่านซุ่ยเสวี่ยไปได้ พื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันทั้งหมดจะต้องตกอยู่ในกำมือของพวกเขาแน่นอน 


 


 


           “เรียนท่านอ๋อง! ค่ายทางฝั่งตะวันตกถูกลอบโจมตีพ่ะย่ะค่ะ” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยรายงานเสียงตื่นตกใจมาจากหน้ากระโจม  


 


 


ม่อจิ่งหลีชะงักไป รีบลุกเดินออกไปนอกกระโจมมองไปยังทิศที่ค่ายตั้งอยู่ ก็เห็นมีเปลวไฟจากทางตะวันตกจริงๆ “สารเลว! เมืองหย่งหลินยังสามารถแบ่งกำลังพลมาลอบโจมตีพวกเราได้อย่างไร”  


 


 


เสนาธิการทหารเดินตามออกมา เมื่อได้เห็นสถานการณ์ทางฝั่งตะวันตกก็อึ้งไปเช่นกัน รีบเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ท่านอ๋อง…”  


 


 


ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเย็นว่า “รีบส่งกำลังเสริมไป!” 


 


 


           “ท่านอ๋อง ทอดพระเนตรฝั่งโน้นสิพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้บัญชาการทหารวิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาพร้อมร้องตะโกนขึ้น ค่ายใหญ่ทางฝั่งตะวันออกเองก็มีเปลวไฟปรากฏขึ้นเช่นกัน นายทหารอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจเช่นกันว่า “ค่ายตะวันออกก็ถูกลอบโจมตีด้วย!” 


 


 


           เสนาธิการทหารแววตาเปลี่ยนไปทันที รีบเอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง! เมืองหย่งหลินมีกำลังทหารอยู่ไม่มากนัก หากต้องการโจมตีค่ายทั้งสองฝั่งพร้อมๆ กัน เช่นนั้นในเมืองจะต้องไม่มีกำลังพลอยู่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ หากพวกเราอาศัยจังหวะช่วงนี้บุกโจมตีเมือง…”  


 


 


ม่อจิ่งหลีรีบหันไปจ้องหน้าเขา “ท่านคิดว่าเจ้าเด็กสองคนที่เมืองหย่งหลินนั้นกล้าที่จะทิ้งเมืองให้ว่างเปล่าเพื่อมาลอบโจมตีอย่างนั้นหรือ” เขาเองไม่คุ้นเคยกับอวิ๋นถิงกับซย่าซูนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่รู้จักเลย ได้ยินว่าทั้งสองคนเป็นนายทหารภายใต้การบังคับบัญชาของมู่หรงเซิ่นที่อายุน้อยที่สุด นายทหารอายุเพียงยี่สิบนิดๆ ต่อให้ใจกล้าเพียงใดก็คงมิกล้าทิ้งเมืองหย่งหลินแล้วออกมาทำอันใดที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ อีกอย่างขอเพียงมิใช่คนโง่พวกเขาก็น่าจะรู้ว่า ต่อให้พวกเขาลอบโจมตีตอนกลางดึกได้สำเร็จ ก็มิอาจโจมตีให้ทหารจำนวนนับแสนล่าถอยไปได้อยู่ดี กลับจะยิ่งเสียกำลังรักษาเมืองหย่งหลินไปเปล่าๆ อีกด้วย 


 


 


           “ท่านอ๋องหมายความว่า…” เสนาธิการทหารขมวดคิ้วถามขึ้น 


 


 


           “ส่งสายสืบไปสืบความมา! แม่ทัพจาง แม่ทัพหลี่ ส่งกองหนุนไปยังค่ายตะวันออกและตะวันตก!” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋อง” 


 


 


           บนยอดเขาลูกที่อยู่ไม่ห่างจากค่ายใหญ่ของหลีอ๋องนัก เยี่ยหลีก้มลงมองภาพควันไฟและเสียงอาวุธจากการต่อสู้ที่เบื้องล่างด้วยความพอใจ ซย่าซูและองครักษ์ลับสองและสามติดตามเยี่ยหลีมาสังเกตการณ์สถานการณ์เบื้องล่างอยู่ด้วยเช่นกัน  


 


 


“กองหนุนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ซย่าซูชี้ไปยังเส้นทางด้านล่างสายหนึ่งที่มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนพลไปทางค่ายตะวันตก เยี่ยหลีขมวดคิ้วยิ้มน้อยๆ  


 


 


“ค่ายตะวันตกใกล้เรียบร้อยแล้วกระมัง ให้คนนำพวกเขาอ้อมไปสักสามสี่รอบ”  


 


 


ซย่าซูยิ้ม “แน่นอน หากว่ากันเรื่องพื้นที่แล้ว คนพื้นที่ที่ประจำการมาหลายปีอย่างพวกเราย่อมคุ้นเคยมากกว่า ทางปีกตะวันออกเกรงว่าจะต้านไว้ได้อีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


เยี่ยหลีกล่าวว่า “คนฝั่งนั้นปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง ให้องครักษ์เตรียมตัวไว้ ข้าไม่อยากให้ม่อจิ่งหลีแบ่งกำลังทหารมาช่วยเหลืออีก” กินมากนักเดี๋ยวจะท้องอืดตายเสีย  


 


 


องครักษ์ลับสามพูดกลั้วหัวเราะว่า “พระชายาวางใจเถิด องครักษ์ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการศึก แต่เรื่องสร้างความวุ่นวายนี่งานถนัดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


           “ทหารกบฏคงคิดไม่ถึงว่า คนของตนเองจะโจมตีเข้ามาจากทางด้านหลัง” หากถูกคนบุกเข้าโจมตีจากทางด้านหลังในช่วงฟ้ามืดเช่นนี้ ก็เตรียมตัวเข้าห้ำหั่นฟาดฟันกันไปเถิด ต้องของคุณหลีอ๋องที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเครื่องแบบ ทำให้ไม่เพียงอาวุธของทหารกบฏเท่านั้น แม้แต่ชุดทหารเองก็ใกล้เคียงกับทหารที่รักษาการเมืองหย่งหลินอยู่ด้วย ส่วนที่ว่าภายในหุบเขาที่มืดสลัวนั้น พวกเขาจะสามารถมองเห็นตราของหลีอ๋องได้หรือไม่ ก็คงต้องอาศัยโชคของพวกเขาเองแล้ว 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ไปกันเถิด พวกเราไปดูกัน” ทั้งสี่เดินกลับไปขึ้นหลังม้าที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วบังคับม้าให้วิ่งห้อออกไปยังภูเขาอีกลูกท่ามกลางความเงียบสงบทันที พวกนางสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ทางฟากนั้นจะต้องมีการสู้รบที่ดุดันกว่านี้เป็นแน่ 


 


 


           ในค่ำคืนนี้ มิมีผู้ใดสามารถหลบหนีไปได้ จนฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น การสู้รบจึงค่อยๆ หยุดลง ผลที่ออกมาทำให้ใบหน้าที่เดิมบึ้งตึงอยู่แล้วของหลีอ๋อง ยิ่งดูดำสนิทประหนึ่งสีหมึก กองหนุนที่ส่งไปช่วยทางฟากตะวันออกและตะวันตกจำนวนเกือบสามหมื่นนาย บาดเจ็บล้มตายไปกว่าเจ็ดถึงแปดส่วน แต่ศพของฝ่ายตรงข้ามกลับมีอยู่ไม่ถึงสามพัน ศพที่อยู่ในหุบเขาด้านหลังค่ายตะวันออกและตะวันตกนั้นก็เป็นคนของตนเกือบทั้งหมด หากยังเดาไม่ออกว่าเกิดเหตุใดขึ้นเขาคงเป็นไองั่งแล้ว!  


 


 


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ที่ในค่ายทหารของหลีอ๋องเริ่มมีข่าวว่าติ้งอ๋องและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของเขาอยู่ในเมืองหย่งหลิน ทำให้ทหารเกือบทุกคนต่างรู้สึกตื่นตระหนก ถึงอย่างไรชื่อติ้งอ๋องและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็มีอิทธิพลต่อจิตใจของคนที่เป็นทหารทุกคนอยู่วันยังค่ำ 


 


 


           ส่วนในตอนนี้ในเมืองหย่งหลินเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความยินดี ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ทำให้อวิ๋นถิงรู้สึกว่าเดินยังประหนึ่งมีลมหอบ  

 

 


ตอนที่ 91-3 ลอบโจมตีกลางดึก

 

“อย่าด่วนยินดีเกินไปนัก รอให้ม่อจิ่งหลีจับต้นชนปลายได้ก่อนว่าเกิดอันใดขึ้น เกรงว่าถึงตอนนั้นผู้ใดก็คงต้านทัพใหญ่ของเขาไว้ไม่อยู่” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้น  


 


 


อวิ๋นถิงพูดด้วยความตื่นเต้นยินดีว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ลอบโจมตีอีกสักสามสี่รอบดีหรือไม่”  


 


 


ซย่าซูกลอกตาใส่เขาอย่างไม่เห็นขันด้วย “เจ้าคิดว่าลูกน้องของหลีอ๋องเป็นคนโง่กันหมดอย่างนั้นหรือ ถูกลอบโจมตีไปแล้วหนึ่งครั้งแล้วยังจะให้เจ้าลงมือได้อีกหรือ ไม่แน่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังรอให้เจ้าไปขุดหลุมฝังตัวเองอยู่น่ะสิ”  


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ซย่าซูพูดถูก ครานี้พวกเราใช้กลยุทธ์ใหม่จริงๆ แต่หากม่อจิ่งหลีเกิดตั้งตัวขึ้นมาได้แล้วตรงเข้าบุกเมืองหย่งหลิน ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราสังหารกองทัพกบฏได้อีกสองสามหมื่นนาย ก็คงมิได้ช่วยอันใด”  


 


 


อวิ๋นถิงค่อยๆ เรียกสติคืนจากความยินดี จึงเปลี่ยนเป็นร้อนใจจนยกนิ้วมือตนเองขึ้นกัด “เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี กองหนุนจากราชสำนักบ้านั่นเมื่อไรจะมาถึง” 


 


 


           “พระชายา” องครักษ์ลับสามเดินถือจนหมายฉบับหนึ่งเข้ามา เยี่ยพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับทั้งสองว่า “พวกเจ้าไปทำงานกันก่อนเถิด” 


 


 


           อวิ๋นถิงและซย่าซูรับคำพร้อมเอ่ยปากขอตัวออกมา  


 


 


เยี่ยหลีรับจดหมายจากมือองครักษ์ลับสามมาเปิดอ่าน แรกเริ่มเต็มไปด้วยความยินดี แต่สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นอย่างรวดเร็ว องครักษ์ลับสามมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเยี่ยหลีด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่าอย่างไรทำให้พระชายาที่สุขุมอยู่เป็นนิจมีสีหน้าแปลกไปเช่นนี้  


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้เห็นเยี่ยหลีตบจดหมายฉบับนั้นลงกับโต๊ะ “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เริ่มเตรียมพร้อมเต็มกำลัง!” 


 


 


           “พระชายา เกิดอันใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           เยี่ยหลีกล่าวว่า “เป็นไปได้สูงว่าม่อจิ่งหลีจะโจมตีเมืองหย่งหลินอย่างหนักภายในสองวันนี้” 


 


 


           องครักษ์ลับสามไม่เข้าใจ ถ้าตามที่เขาคาดการณ์ไว้ สองสามวันนี้กองทัพกบฏไม่น่าจะเคลื่อนพลถึงจะถูก  


 


 


เยี่ยหลีเหลือบมองจดหมายบนโต๊ะ “กองหนุนจะมาถึงแม่น้ำอวิ๋นหลันภายในสามวัน อีกไม่เท่าไรม่อจิ่งหลีก็น่าจะได้รับข่าวนี้ หากเขาไม่เร่งโจมตีเมืองหย่งหลินอย่างหนักในช่วงเวลานี้ แล้วรอจนกองหนุนมาถึง โอกาสของเขาคงยิ่งไม่มี  


 


 


องครักษ์ลับสามพยักหน้า “ดังนั้น…ขอเพียงต้านไว้ให้ได้สามวันนี้…” 


 


 


           “เกรงว่าสามวันนี้คงผ่านไปไม่ง่ายเช่นนั้น” 


 


 


           ภายในทัพใหญ่ของหลีอ๋อง ม่อจิ่งหลีจ้องจดหมายลับในมือที่เพิ่งได้รับเขม็งประหนึ่งจะจ้องจนมันจะเป็นรูขึ้นมาได้ พักใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นเด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวว่า “ดี…หน่วยเฮยอวิ๋นฉีช่างดีนัก ข้าอยากจะรู้นักว่าเมืองหย่งหลินจะเก่งกาจสักเท่าไรกันเชียว!” ในจดหมายลับเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า สิบวันก่อนม่อซิวเหยายังเข้าวังไปพบม่อจิ่งฉีอยู่เลย ต่อให้เขาออกเดินทางจากเมืองหลวงในตอนนั้นก็ไม่มีทางที่จะเดินทางถึงหย่งโจวภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ดังนั้นคนที่คอยขวางทางเขาในหลายวันนี้ไม่มีทางใช่เจ้าคนพิการม่อซิวเหยานั่นอย่างแน่นอน ส่วนหน่วยเฮยอวิ๋นฉี…นอกจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองพันนายในเมืองหย่งหลินแล้ว ดูเหมือนต่อให้พลิกแผ่นดินหย่งโจวก็หาไม่พบแม้แต่เงาของหน่วยเฮยอวิ๋นฉี 


 


 


           “ท่านอ๋อง ตอนนี้…” เสนาธิการทหารสีหน้าหนักใจ “กองหนุนเคลื่อนพลมารวดเร็วมาก อย่างมากไม่เกินสามวันก็จะเคลื่อนพลข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันมาแล้วขอรับ ท่านอ๋องโปรดรีบตัดสินพระทัยเถิด” จะถอนกำลังไปบุกโจมตีทางฝั่งตะวันออก หรือว่าจะบุกโจมตีทางตะวันตกต่อไปจนกว่าด่านซุ่ยเสวี่ยจะแตก แล้วไปรวมพลกับกองทัพของหนานจ้าว 


 


 


           “ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอันใด บุกเมือง!” 


 


 


           กลองศึกดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้สถานการณ์ดุดันและรุนแรงกว่าหลายวันก่อนนัก ม่อจิ่งหลีส่งกองทัพฝีมือดีที่สุดออกมาโจมตีเมืองอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้จะมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีคอยช่วยเหลือ จนการป้องกันเข้มแข็งขึ้นอีกขั้น แต่การบุกโจมตีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่หยุดพักนี้ อย่างไรก็ทำให้ทหารที่ประจำการรักษาเมืองอยู่รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก แม้แต่ตอนค่ำก็ยังมิอาจพักผ่อนอย่างสงบได้ ยังคงต้องคอยระวังการลอบโจมตีกลางดึกไปด้วย  


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองสถานกาณ์ตรงหน้า โบกมือให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีขึ้นมารักษากำแพงเมืองแทน เพื่อให้ผู้บัญชาการที่คอยรักษาเมืองอยู่ได้มีเวลาพักผ่อนกันสักเล็กน้อย 


 


 


           “อาหลี พวกเราจะรักษาเมืองหย่งหลินไว้ได้หรือไม่” กลางดึก มู่หรงถิงออกมายืนบนกำแพงเมือง มองดูสถานการณ์เบื้องล่าง จุดที่กองทัพกบฏตั้งค่ายอยู่ไกลออกไปดูมืดสนิท ทำให้อดรู้สึกหนักใจขึ้นมาไม่ได้  


 


 


เยี่ยหลีหันหน้าไปมองนางพร้อมยิ้มน้อยๆ “นึกกลัวแล้วหรือ”  


 


 


มู่หรงถิงทำปากยื่น เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ใครกลัวกัน เพียงแต่…ข้าไม่เคยเห็นคนตายมากเช่นนี้มาก่อน แต่ก่อนท่านพ่อมักบอกว่าข้านั้นไร้เดียงสานัก มาตอนนี้ข้าถึงได้รู้ว่าข้านั้นไร้เดียงสาจริงๆ คิดแต่เพียงว่าข้าไปอยู่ชายแดนกับท่านพ่อเสียหลายปีแล้วจะเข้าใจอันใดดีกว่าผู้อื่น อันที่จริงข้าไม่เคยเห็นสนามรบจริงๆ มาก่อน”  


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยปลอบใจเสียงเบาว่า “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” วันนี้มู่หรงถิงเองก็วุ่นไม่ได้หยุด นางคอยพาท่านหมอกับชายหนุ่มแข็งแรงในเมืองไปช่วยรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ช่วยส่งเสบียงอาหารและลูกธนูไม่ได้หยุด จนนางดูเหนื่อยอ่อนลงไปไม่น้อย “ท่านแม่ทัพมู่หรงจะต้องภูมิใจในตัวเจ้าเป็นแน่” 


 


 


           มู่หรงถิงยิ้มเอียงอาย “ข้ายังไม่ได้ทำอันใดเลย อาหลีต่างหากที่เก่งที่สุดเลย หากอาหลีเป็นบุตรสาวของท่านพ่อ ท่านพ่อข้าคงยินดีจนแม้แต่นอนหลับฝันก็ยังยิ้มได้เป็นแน่” 


 


 


           เยี่ยหลีหัวเราะเบาๆ “ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับไปลองไปถามท่านแม่ทัพมู่หรงดูว่าท่านยินดีจะให้ข้าเปลี่ยนตัวกับเจ้าหรือไม่” 


 


 


           “ไม่เอาหรอก ท่านพ่อรักข้าที่สุดอยู่แล้ว” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มนอ้ยๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า “วางใจเถิด พวกเราไม่เป็นอันใดหรอก” 


 


 


           มู่หรงถิงชะงักไป ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าไม่กลัวหรอก หากกองทัพกบฏบุกเข้ามาได้จริง เข้ามาคนหนึ่งข้าก็จะฆ่าคนหนึ่ง มาสองคนข้าก็จะฆ่าสองคน!” เมื่อเห็นมู่หรงถิงแสร้งทำเป็นเข้มเข็ง เยี่ยหลีจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา ก่อนถอนหายใจแล้วหันไปมองดวงจันทร์เสี้ยวที่อยู่บนฟ้า แววแห่งความเป็นกังวลค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าอันงดงาม 


 


 


           ณ มุมหนึ่งของกำแพงเมือง ซย่าซูกับอวิ๋นถิงยืนคู่กันอยู่ สายตาทั้งคู่หยุดอยู่ที่แผ่นหลังอันบอบบางของคนที่ยืนอยู่ไกลๆ เยี่ยหลีอยู่ในชุดอย่างชายหนุ่มสีขาวนวล บนศีรษะมิได้มีปิ่นปักผมเสียบแซมอยู่ แต่ใช้เพียงเชือกสีขาวนวลมัดไว้อย่างสบายๆ เท่านั้น  


 


 


ใบหน้าของนางเปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์ ทำให้เห็นแววเป็นเป็นกังวลได้อย่างชัดเจน ความสงบนิ่งดุจดอกบัวและความสง่างามดุจดอกกล้วยไม้ ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในชุดสีแดงด้านข้างดูอ่อนแสงลงอย่างช่วยไม่ได้ 


 


 


           “หากครั้งนี้ข้ามีชีวิตรอดกลับไปได้ ข้าจะต้องเข้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีให้ได้!” อวิ๋นถิงเอ่ยอย่างแน่วแน่ การเข้าร่วมหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเป็นความหวังของเขามาโดยตลอด เพียงแต่ตอนนี้เขามีความแน่วแน่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น 


 


 


           “หากพรุ่งนี้ต้านทานไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ เจ้าคุ้มกันพระชายาหนีไปก่อน เดินทางไปทิศเหนือของแม่น้ำ เมื่อข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันไปได้ ก็น่าจะพบกับกองหนุนได้โดยเร็ว” ซย่าซูเอ่ยขึ้นเรียบๆ 


 


 


           อวิ๋นถิงถลึงตามองเขา “เห็นข้าเป็นคนหนีเอาตัวรอดหรือ” 


 


 


           ซย่าซูเหลือบตามองเขานิ่งๆ “เจ้าไม่รู้หรือว่าพระชายากับหลีอ๋องมีความสัมพันธ์กันเช่นไร หากพระชายาตกไปอยู่ในมือของหลีอ๋อง ผลจะเป็นอย่างไร”  


 


 


อวิ๋นถิงอึ้งไป หันมองหญิงสาวที่ยืนรับลมอยู่ไกลๆ โดยไม่รู้ตัว เขายกมือขึ้นดึงทึ้งผมด้วยความขัดใจ “ข้าคงไม่มีความสามารถพอที่จะคุ้มครองพระชายาให้หนีไปได้ เจ้าไปก็แล้วกัน เจ้าโน้มน้าวใจคนเก่งกว่าข้า ดูท่าพระชายามิใช่คนที่จะยอมทิ้งเมืองหย่งหลินแล้วหนีไปง่ายๆ จะว่าไป ข้ายังไม่เคยเห็นพระชายาผู้ใดเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย” 


 


 


           ซย่าซูพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้จะทำความรู้จักกันได้เพียงไม่กี่วัน แต่พระชายาที่อายุน้อยกว่าพวกเขาท่านนี้ ได้ทำลายภาพลักษณ์ของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งพระชายาที่พวกเขาเคยคิดไว้โดยสิ้นเชิง ภายนอกดูบอบบาง แต่ภายในกลับเข้มแข็งเสียยิ่งกว่าชายหนุ่ม แล้วยังความเก่งกาจที่น่าตกใจนั่นอีก ความเด็ดขาดอย่างชายชาติทหาร รวมถึงฝีมือที่แข็งแกร่งและเก่งกาจกว่าใครหลายคน หลายคราที่ซย่าซูคิดว่า หญิงสาวผู้นั้นมิใช่พระชายาที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม แต่เป็นนายทหารที่ผ่านสนามรบมาแล้วเป็นร้อยครั้งเสียมากกว่า 


 


 


           “เจ้าว่าหากพวกเรารอดไปได้ ข้าขอพระชายาให้รับข้าเข้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉี พระชายาจะยอมรับข้าหรือไม่” คำถามที่จะหาคำตอบมิได้ก็อย่าเพิ่งไปคิดมัน เป็นนิสัยที่ติดตัวมาของอวิ๋นถิง เขาเอียงขอวาดฝันถึงอนาคตอันสวยงาม 


 


 


           ซย่าซูนิ่งคิดเล็กน้อยแล้วยิ้มเรียบๆ “เจ้าลองไปถามพระชายาดูสิว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉียังรับคนหรือไม่” 


 


 


           อวิ๋นถิงตาเป็นประกายทันที มองแผ่นหลังหญิงสาวในชุดสีขาวนวลที่ยืนคุยกับกับมู่หรงถิงด้วยความลิงโลด  


 


 


ซย่าซูได้แต่ส่ายหน้า หมุนตัวเดินลงจากกำแพงเมืองไปพร้อมกล่าวว่า “กลับไปพักผ่อนเถิด อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ยังมีศึกหนักรออยู่” 


 


 


           อวิ๋นถิงพยักหน้าอย่างใจลอย ยังคงลังเลว่าจะเข้าไปถามพระชายาดีหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรก็มิใช่ทุกคนที่มีโอกาสได้พบกับผู้บัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉี อวิ๋นถิงมองแผ่นหลังอันบอบบางภายใต้แสงจันทร์ แล้วจึงหมุนตัวเดินลงจากกำแพงเมืองไป หากพรุ่งนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ขอร้องก็จะขอร้องจนกว่าพระชายาจะยอมรับเขาเข้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีให้ได้! 

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม