อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 753-759

 ตอนที่ 753 ยังคงรักคุณ(4)

โดย

Ink Stone_Romance

ไป๋ซู่เย่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เล็บจิกฝ่ามือก่อนที่เธอจะเรียกอีกเสียง “เย่เซียว…”


เย่เซียวไม่ได้หันกลับมา ไป๋ซู่เย่ขยับเดินไปข้างหน้าอีกก้าวแต่ถูกหยูอันเอามือบังไว้ เขาเบนสายตามาที่ใบหน้าเธอ เงียบไปอึดใจถึงกล่าว “ห้องน้ำอยู่ทางนั้น ล้างหน้าก่อนแล้วไปร่วมงานแต่งงานของนายท่านเถอะ”


ไป๋ซู่เย่สติหลุดลอยไปพักหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปที่ห้องน้ำเองอย่างไร มองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกเห็นใบหน้าเลอะคราบเครื่องสำอางเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง สภาพดูทรุดโทรม


เมื่อเธอล้างหน้าเสร็จออกมาหยูอันได้นำบัตรเชิญมาแล้ว


สีแดงเจิดจ้าทิ่มแทงสายตาเธอ


เธอกลับไปแต่งหน้าใหม่ที่ห้อง 8801 ก่อนเดินลงไปชั้นล่างพร้อมหยูอัน สื่อมวลชนกลุ่มใหญ่ถูกกั้นไว้นอกบริเวณงานแต่งงาน แต่ก็สามารถได้ยินเสียงดนตรีสำหรับงานแต่งแสนโรแมนติกได้แต่ไกล


เธอเดินเข้าไปใกล้พวกเขาทีละก้าวๆ ทุกย่างก้าวสองขาเหมือนมีตะกั่วถ่วงไว้อย่างหนักอึ้ง


………………


ภายใต้สายตาของผู้คน น่าหลันในชุดเจ้าสาวเดินบนพรมแดงเข้าหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างบาทหลวงช้าๆ เธอไม่มีพ่อแม่ดังนั้นลุงหมิงเลยเป็นผู้ส่งตัวเธอแทนบิดาของเธอ


เธอมองเจ้าบ่าวด้วยสายตาที่ใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่งผ่านผ้าคลุมหัวชั้นบางๆ ที่คอยกั้น ผู้ชายคนนั้นที่เธอรักที่สุด…


“เอาล่ะ เจ้าบ่าว ตอนนี้คุณไปรับตัวเจ้าสาวของคุณได้แล้ว” เสียงนุ่มนวลของบาทหลวงดังก้องไปทั่วภายในงานกลางแจ้ง


ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนคอยมองเย่เซียวเดินเข้าหาเจ้าสาวของเขา ภาพตรงหน้าพร่ามัว


ถังซ่งยืนอยู่ข้างเธอ ก้มถามเธอเสียงเบา “คุณมาได้ยังไง?”


เธอพูดอะไรไม่ออก สายลมพัดเส้นผมเธอปลิวว่อน เธอยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าดั่งใจแตกสลาย


………………


เย่เซียวเดินเข้าหาน่าหลัน


ต่อให้มีผ้าคลุมหัวบางๆ กั้นอยู่น่าหลันก็เห็นแววโทสะรวมถึงแรงอาฆาตผุดขึ้นในสายตาเขากะทันหันได้อย่างชัดเจน เธอตกใจสะดุ้งตัวโยนและแทบจะถอยหลังหนึ่งก้าวอัตโนมัติ เผลอเหยียบรองเท้าส้นสูงพลาดเพราะความลนจนเธอเกือบล้มแทบพื้น โชคดีที่ลุงหมิงข้างๆ รีบมาประคองตัวเธอด้วยความมือไวตาไว


มือของเย่เซียวเองก็ยื่นไปจับมือเธอไว้ด้วยเช่นกัน


“ตื่นเต้นมาก?” เขาถามด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มหน่อยๆ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้น่าหลันตัวสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เย่เซียวที่เป็นแบบนี้คล้ายสัตว์ดุร้ายที่เก็บคมเล็บเพื่อเตรียมล่าเหยื่อ


“ฉัน…ฉันเปล่า” น่าหลันพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ชั่ววูบที่อยากกระชากมือกลับจากการกอบกุมของเขา ฝ่ามือเขาเย็นเฉียบ เย็นเข้ากระดูก


เย่เซียวเดินมาข้างเธอ “ว่าที่ภรรยาในอนาคตของผม รู้มั้ยว่าสิ่งที่ผมทนไม่ได้มากที่สุดคืออะไร?”


“…อะ อะไร?”


“ถูกปั่นหัว”


น่าหลันใจกระตุกวูบ


“ครั้งก่อนค้าขายกับเยียวหลิง เยียวหลิงกับภรรยาเขากลับกล้าปั่นหัวผม เดาดูสิว่าสุดท้ายพวกเขาสองคนจบยังไง”


“ตาย…ตายแล้วเหรอ?” น่าหลันเพียงรู้สึกสั่นไปทั้งปาก


“ผู้ชายตายแล้ว ผู้หญิงไม่ตาย” เย่เซียวพูดออกมาด้วยท่าทางเรียบเฉย “ผมไม่เคยฆ่าผู้หญิง”


น่าหลันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะหายใจคล่องขึ้นมาบ้างแต่จากนั้น…


“ผู้หญิงถูกส่งตัวไปที่ซ่อง ไม่ถึงหนึ่งเดือน เป็นบ้าไปแล้ว” น้ำเสียงเย่เซียวราบเรียบไม่มีจังหวะขึ้นลง สายตาของเขามองเธอด้วยแววตาเรียบนิ่งดุจผิวน้ำ “น่าสงสารมั้ย?”


น่าหลันหน้าขาวซีด เธอแทบจะชักมือกลับจากมือของเย่เซียวทันที


เธอเปิดผ้าคลุมหัว มองเย่เซียว “ไม่…เย่เซียว คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”


“เหตุผล” เขายังคงเย็นชาไร้ความปราณีเช่นเคย


“ฉันรักคุณ…” น่าหลันพึมพำประโยคนี้ออกมาอย่างสิ้นหวัง เธอรู้ว่าเย่เซียวต้องรู้เรื่องโทรศัพท์สายนั้นแล้วแน่แท้ เธอรู้ว่าขอแค่เขาได้เจอะเจอไป๋ซู่เย่เรื่องนี้จะปิดได้ไม่นาน แต่ทั้งที่รู้ว่ามันคือเหวลึก เธอกลับเดินไปทางนั้นราวกับต้องมนต์ “เย่เซียว ฉันรักคุณ”


“รักผม รักจนต้องฆ่าลูกของผม?!” ในที่สุดอารมณ์ของเย่เซียวก็เริ่มพุ่งสูงขึ้น


“ฉันต่างหากที่เป็นภรรยาของคุณ!คนที่ท้องลูกคุณได้คือฉัน ไม่ใช่เธอ!เย่เซียว เด็กคนนั้นคือตัวซวย!ไม่ควรมีชีวิตอยู่!”


เย่เซียวหัวคิ้วเต้นตุบๆ ดวงตาวาวโรจน์มากกว่าเดิม เขากัดฟันกรอดคว้าข้อมือเธอไว้ “คุณพูดอีกทีสิ!”


ตัวซวย?!ใครกันที่มอบความกล้าให้เธอตัดสินเช่นนี้?


สายตาเขาทำน่าหลันตกใจจนเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ข้อมือคล้ายจะถูกเขาบีบให้แหลกคามือ เย่เซียวที่เป็นแบบนี้มันน่ากลัวเหลือเกิน แต่ยังรู้สึกไม่พอใจปากขยับพยายามจะโต้กลับบางอย่างแต่ทันใดนั้น…


ดนตรีสำหรับงานแต่งถูกปิดลงกะทันหัน ภายในงานที่แต่เดิมครึกครื้นเงียบสงัดในชั่วพริบตา เงียบจนเริ่มผิดปกติ


ไม่ผิดจากที่คาดเมื่อสองวินาทีหลังจากนั้นเสียงที่ดังจากลำโพงคือ…


“คุณไม่ต้องสนใจว่าฉันคือใคร แต่พวกคุณอยากได้ข่าวสารของไฟเรนเซ่มาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ?”


นี่…กลับเป็นเสียงของน่าหลัน!


ทุกคนยืนนิ่งค้าง


แม้แต่เฉิงหมิงยังปล่อยมือเย่เซียวที่จับไว้อยู่ ไฟเรนเซ่ที่นั่งบนเก้าอี้เข็นกลับฟังอย่างใจจดใจจ่อ


ทีนี้กลายเป็นน่าหลันที่ใบหน้าขาวซีด เธอขืนตัวจากมือของเย่เซียวอย่างบ้าคลั่งราวกับตกใจจนเสียสติ


ต่อจากนั้นเสียงของเธอดังออกจากลำโพงเรื่อยๆ “ฉันช่วยติดเครื่องดักฟังไว้ข้างๆ เย่เซียวให้พวกคุณได้ แค่เขาติดต่อกับไฟเรนเซ่ พวกคุณก็จะได้ข่าวสารที่พวกคุณอยากได้”


นี่…เป็นหลักฐานที่น่าหลันเคยหักหลังไฟเรนเซ่และเย่เซียว!


ไป๋ซู่เย่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนเพิ่งจะตั้งสติได้ วันนั้นปลัดบอกว่าจะพังงานแต่งงานของเย่เซียวก็คือการพังด้วยวิธีนี้ ดูเหมือนทางกระทรวงความมั่นคงจะไม่มีวิธีอื่นใดต่อเย่เซียวแล้วถึงได้ใช้วิธีที่ไร้ขอบเขตแบบนี้


เพียงแต่ว่า…


เหตุผลที่น่าหลันหักหลังเย่เซียวและไฟเรนเซ่…เพราะต้องการโยนความผิดให้ตัวเองสินะ


น่าหลันหวาดระแวงถึงขั้นสุดกับเรื่องที่อยู่ๆ ก็ถูกเปิดโปงขึ้นมา เธอจับชายกระโปรงขึ้นวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนอย่างไม่มีสติ


เพราะกลัวเกินไปทำให้ล้มลุกคลุกคลานหลายรอบกระทั่งชุดแต่งงานเปรอะเปื้อน เธอหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ไฟเรนเซ่กำลังเช็ดปืนตรงล้อฝั่งซ้ายอย่างไม่รีบร้อน—กระสุนที่เย่เซียวเคยได้รับ เธอย่อมต้องได้รับสักครั้ง นี่เป็นกฎ ถ้ามีชีวิตต่อนั่นเพราะเธอดวงแข็ง หากตาย ก็สมน้ำหน้า


เธอตะเกียกตะกายลุกจากพื้น รองเท้าส้นสูงหลุดจากเท้าแต่ไม่กล้าไปเก็บ ทำได้เพียงวิ่งต่ออย่างกระวนกระวาย


“ปัง–” เสียงหนึ่งดังขึ้น ไฟเรนเซ่ยิงปืนใส่กลางอกเธอหนึ่งนัด


ร่างกายเธอสะท้านตรึงอยู่กับที่


เลือดทะลักพรั่งพรูจากบาดแผลกระสุนไม่หยุด สร้างภาพสยดสยองแก่ผู้พบเห็น


ผมหลุดรุ่ยไม่เป็นทรงสยายออกมาขับทำให้สภาพเธอดูอนาถที่สุด มือกุมหน้าอกไว้แน่นแต่เลือดไม่หยุดไหลสักที พร้อมย้อมถุงมือสีขาวสะอาดของเธอให้เป็นสีเลือด


ทุกอย่างตรงหน้าประกอบให้เธอดูน่าสงสารถึงขีดสุด แต่เรื่องภายในของไฟเรนเซ่ไม่มีใครในงานกล้าสอดมือเข้ามายุ่ง ไม่แม้แต่จะกล้าปริปากพูดสักประโยค


ไป๋ซู่เย่ยืนมองอย่างตะลึง ลมหายใจติดขัด


น่าหลันโดนยิงเข้าที่อกหนึ่งนัดหากแต่ยังไม่ล้มลงทันที กลับลากร่างกายที่หนักอึ้งเข้าไปหาเธอทีละก้าวๆ


ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่ตรงนั้น รอ ไม่หลบ ไม่หนี


หญิงสาวพาร่างหนักอึ้งทว่าอ่อนแอมายังตรงหน้าเธอ สองคน—สองคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันที่สุด กำลังสบตากัน


…………………………


ตอนที่ 754 เดี๋ยวได้เดี๋ยวเสีย(1)

โดย

Ink Stone_Romance

สองคน—สองคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันที่สุด กำลังสบตากัน


วัยที่เปรียบเสมือนดอกไม้กำลังเบ่งบานกลับใกล้จะร่วงหล่นเพียงเพราะรัก


ไป๋ซู่เย่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร มองใบหน้านี้ทำให้เธอหวนนึกถึงตัวเองในวัยสิบเก้า


เธอในเมื่อนั้นความจริงไม่ได้ต่างจากสภาพใกล้จะตาย…


 “ไป๋ซู่เย่…ทำไมวันนี้คุณต้องปรากฏตัวอยู่ที่นี่?” เสียงน่าหลันใกล้จะหมดลมเต็มที เธอมองไป๋ซู่เย่ “วันนี้…ขอแค่คุณไม่ปรากฏตัว ขอแค่คุณไม่มา…ฉันก็จะเป็นภรรยาของเย่เซียว…”


ไป๋ซู่เย่ทอดสายตามองไปยังเย่เซียวที่อยู่ห่างๆ ขณะนี้สายตาเย่เซียวก็ทอดมองมาทางเธอ ทั้งสองคนสอดประสานสายตาให้ห้วงอารมณ์ที่หลากหลายผุดขึ้นในแววตาของกันและกัน


ฉากนี้ตกอยู่ในสายตาของน่าหลันยิ่งรู้สึกปวดใจเกินจะรับได้


 “แต่ฉันก็มาแล้ว” ไป๋ซู่เย่เบนสายตามาที่หน้าเธออีกครั้ง เอ่ยเสียงเบา


 “ใช่ คุณมาแล้ว คุณทำลายทุกความพยายามของฉันไปอย่างง่ายดาย…ไป๋ซู่เย่ ฉัน…อิจฉาคุณจริงๆ…” ดวงตาน่าหลันน้ำตาเอ่อล้น แววตาดูล่องลอย “ถ้าพูดถึงรัก ฉันรักเขามากกว่าคุณ…ทั้งๆ ที่ คุณทรยศเขา วันนี้คุณกลับยังมีชีวิตอยู่ดี ฉันทรยศกลับมีโทษคือตายสถานเดียว? ทำไมในโลกเขาถึงมีแค่คุณคนเดียว? มีสิทธิ์อะไรที่คุณทรยศเขา ทำร้ายเขา แต่เขากลับยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อไปช่วยชีวิตคุณ? แล้วมีสิทธิ์อะไร…คุณท้องลูกของเขาได้ ส่วนฉัน…เขาไม่ยอมแตะต้องแม้แต่ปลายนิ้ว?”


ทุกคำของเธอฟังดูน่าสงสารอ้างว้าง


พูดถึงสุดท้ายเสียงแหบแห้งแตกสลาย เบาหวิวเสียจนหากลมพัดก็พร้อมจะหายไปทุกเมื่อ


ลมหนาวโกรกพัดใส่หน้าอันเศร้าโศกของเธอที่น้ำตาไหลอาบแก้ม เครื่องสำอางที่แต่งแต้มถูกน้ำตาชะล้างไปทำให้เธอดูโทรมถึงที่สุด ใบหน้าที่โผล่พ้นให้เห็นซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด


ภาพนี้ดูน่าเศร้าเหลือเกิน


ขณะนั้นเองมืออีกข้างของเธอล้วงมีดสั้นจากใต้กระโปรงขึ้นมากะทันหัน นี่เป็นสิ่งที่เธอพกติดตัวเสมอเพื่อใช้ป้องกันตัว


ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีและเย่เซียวก้าวขายาวไปแทบจะกันไป๋ซู่เย่ให้อยู่ในอ้อมแขนตัวเองด้วยสัญชาตญาณ สายตาที่มองน่าหลันแฝงด้วยความเย็นยะเยือกเสียมากกว่า


น่าหลันหัวเราะ หัวเราะทั้งน้ำตา


มือที่กำมีดสั้นอยู่สั่นเทาอย่างรุนแรงแต่สายตากลับจ้องเย่เซียวไม่ห่าง “เย่เซียว…รู้มั้ย…ว่าสิ่งที่ฉันรู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิตคืออะไร?”


 “ฉันไม่เสียใจที่รักคุณ…ไม่เสียใจที่โยนความผิดให้ไป๋ซู่เย่…ฉันยิ่งไม่เสียใจที่ใช้โทรศัพท์คุณทำให้พวกคุณผิดใจกัน…แต่ฉันกลับเสียใจที่ใช้ใบหน้านี้!” กล่าวถึงนี่อารมณ์เธอเริ่มเดือดขึ้นมาและคลุ้มคลั่งอย่างกะทันหัน เอามีดสั้นกรีดลงหน้าตัวเองอย่างโหดเหี้ยมหลายที เรียกให้ทุกคนในงานต่างสูดปากรัว แม้แต่เย่เซียวที่ใจนิ่งเสมอยังต้องมุ่นคิ้ว โอบกอดไป๋ซู่เย่ให้แนบอกมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว


จากนั้นก็เห็นใบหน้าเธอเต็มไปด้วยเลือด สภาพบิดเบี้ยวน่าสยดสยอง เธอจ้องไป๋ซู่เย่อย่างเจ็บปวดปนเคียดแค้น หางตามีแต่รอยเลือด “พอฉันส่องกระจกทุกวัน…ก็จะเห็นคนที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด…ฉันใช้ชีวิตทุกวัน ทุกนาทีทุกวินาทีอย่างทรมาน…ฉันละทิ้งความเป็นตัวเองได้เพื่อเย่เซียว แต่สุดท้ายกลับเป็นตัวสำรองของคุณไม่ได้ด้วยซ้ำ…น่าสงสารมากใช่มั้ย?”


เธอหัวเราะ “ฉันยังรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารเลย…น่าสงสารจริงๆ…”


น้ำตาของเธอถูกพัดหายไปกลางอากาศด้วยแรงลม


จากนั้นเธอหุบรอยยิ้มแสนเศร้าอย่างรวดเร็ว อยู่ๆ เธอก็ยกมีดสั้นปักลงกลางอกตัวเองอย่างแรงภายใต้สายตาของทุกคน


ทุกคนตะลึงอีกครั้ง


ไป๋ซู่เย่เผลอกลั้นหายใจ พักใหญ่ที่ในหัวเหลือเพียงแค่สายตาเคียดแค้นของน่าหลัน สุดท้ายน่าหลันก็จมอยู่ในกองเลือด สีเลือดสดย้อมชุดแต่งงานสีขาวกลายเป็นสีแดงฉาน…


เธอไม่หลับตา แค่มองมาทางเย่เซียวนิ่งโดยที่หางตายังมีรอยหยดน้ำตาจวบจนวินาทีสุดท้าย


ไป๋ซู่เย่หายใจหนักอึ้ง เหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับที่หัวใจทั้งอึดอัดทั้งอัดอั้น


การรักคนคนหนึ่ง หากรักจนละทิ้งความเป็นตัวเอง…ถ้าอย่างนั้นก็ได้กำหนดจุดจบแสนเศร้าไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว


………………


ภาพตรงหน้าเปลี่ยนจากความโรแมนติกเป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงนี้


ไป๋ซู่เย่กลับไปที่ห้องของโรงแรม


เย่เซียวกับไฟเรนเซ่ เฉิงหมิงและพวกหยูอันกำลังยุ่งกับการสลายตัวแขกรวมถึงร่างของน่าหลัน


ไป๋ซู่เย่อยู่ในห้อง เมื่อตอนบ่ายได้รับสายจากปลัดกระทรวง


 “งานแต่งงานพังไปแล้วใช่มั้ย?”


 “ค่ะ”


 “ซู่ซู่ เย่เซียวไม่มีว่าที่ภรรยาก็เท่ากับว่าอุปสรรคใหญ่ของคุณหายไปแล้ว ฉะนั้น…รีบทำเวลา”


ไป๋ซู่เย่เงียบไปครู่ถึงตอบ “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะคุยเรื่องสัญญากับเย่เซียว”


เธอรู้สึกได้ถึงความอ่อนไหวที่เย่เซียวมีต่อเรื่องนี้ หากตอนนี้เธอคุยเรื่องสัญญากับเย่เซียว เย่เซียวจะต้องคิดว่าเธอมาเพื่อคุยเรื่องสัญญาฉบับนั้นเท่านั้นอย่างแน่นอน หากทำเขาโกรธ เขาอาจจะเลื่อนทำสัญญาเร็วกว่าเดิมก็เป็นได้


 “คุณต้องหาโอกาสให้ดี” ปลัดพูดเตือนหนึ่งประโยค


ไป๋ซู่เย่ไม่ได้พูดอะไรต่อแค่กดวางสายไป


เวลาที่เหลือเธออยู่แต่ในโรงแรม กระทั่งทานมื้อเย็นฟ้ามืดลงแล้ว เย่เซียวยังไม่ปรากฏตัวในห้องของเธอ ไม่เคยแม้แต่จะมาหาเธอ


เดิมทีเธอคิดว่าเย่เซียวกำลังวุ่นวายกับเรื่องโรงแรมแต่ตอนมื้อเย็นเธอได้เดินไปดูสถานที่จัดงานแต่งโดยเฉพาะ ที่นั่น…ไม่มีใครอยู่ตั้งนานแล้ว


ฉะนั้น…


เขาไปแล้ว ไม่ได้มาหาเธอ


ไป๋ซู่เย่มองผืนหญ้าอันโล่งเปล่า เธอที่ยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวรู้สึกเศร้าใจและผิดหวังอย่างมาก…


………………


ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง


อีกฟากหนึ่งในห้องหนังสือคฤหาสน์ไฟ


เย่เซียวเซ็นเอกสารทั้งหมดส่งให้หยูอัน เขาลุกขึ้นยืนอยู่ริมหน้าต่างโดยสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ทอดสายตาไปข้างนอกเหมือนมีเรื่องให้ขบคิด บนถนนข้างนอกมีเพียงแสงจากไฟข้างทางส่องทางอันกว้างใหญ่


ใจเขามีเรื่องมากมายทับถมอยู่


หยูอันมองแผ่นหลังเขาแวบหนึ่ง พลางพูดเตือนขึ้น “นายท่าน พรุ่งนี้มีบินไปสัมมนาแปดโมงเช้า คุณอย่าลืมเวลานะครับ”


 “ไม่ลืมหรอก” เย่เซียวพูดเสียงนิ่ง หันไปมองหยูอันวูบหนึ่ง “นายออกไปก่อนเถอะ”


 “ครับ” หยูอันรับคำพร้อมเตรียมออกไปจากห้องหนังสือ เดินถึงหน้าประตู ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นว่าใครมาหยูอันก็รีบก้มศีรษะทักทาย “คุณไฟ!”


 “อืม” ไฟเรนเซ่แค่ตอบรับเสียงเรียบ หยูอันทักทายเสร็จจึงเดินออกไปก่อน


ไฟเรนเซ่ถูกเข็นเข้าห้องหนังสือโดยเฉิงหมิง เย่เซียวที่เพิ่งดึงสติกลับมาหมุนตัวหันมา “คุณพ่อ”


 “พรุ่งนี้ไปสัมมนาตั้งแต่เช้า ดึกขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่นอน กำลังคิดเรื่องอะไร?” ไฟเรนเซ่ถาม


เย่เซียวเม้มปาก สุดท้ายแค่ตอบกลับไปเรียบๆ “กำลังจะพักผ่อน”


………………………


ตอนที่ 755 เดี๋ยวได้เดี๋ยวเสีย(2)

โดย

Ink Stone_Romance

 “กำลังคิดถึงไป๋ซู่เย่” ไฟเรนเซ่ถามเองตอบเองราวกับไม่ได้ยินคำตอบของเขา


ไม่ใช่ประโยคคำถามแต่เป็นประโยคบอกเล่า


เย่เซียวรู้ว่าตัวเองคิดอย่างไร ในเมื่อปิดบังเขาไม่ได้เลยไม่ได้ปฏิเสธ


 “แกกำลังชั่งใจว่าครั้งนี้อยู่ๆ เธอก็มาที่นี่ จุดประสงค์บริสุทธิ์มั้ย?” ไฟเรนเซ่มองเย่เซียวแวบหนึ่ง“เย่เซียว ไม่มีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้หรอก ทำไมกระทรวงความมั่นคงต้องทำลายงานแต่งงานของแกใจแกรู้ดี พวกเขาแค่จงใจใช้แผนเดิม ให้ไป๋ซู่เย่มาจัดการแก นี่เป็นหลุมกับดัก ถ้าแกคิดจะกระโดดลงในนั้นอีกก็ต้องคิดให้ดี—คิดให้ดีว่าเธอมีใจให้แกมากเท่าไหร่กันแน่ คิดให้ดีว่าครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพื่อสัญญาสองฉบับนั่นวันนี้เธอจะปรากฎตัวต่อหน้าแกหรือเปล่า”


ไฟเรนเซ่มองเขาที่คงสีหน้าเรียบเฉยเย็นชามาแต่แรก“เธอมีใจต่อแกมากเท่าไหร่ เย่เซียว คิดว่าใจแกก็ไม่มั่นใจสักนิดสินะ?”


ประโยคของเขาแทงใจดำของเย่เซียวตรงจุด


ใช่ เขาไม่มีความมั่นใจเลย เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเคยรักตัวเขาหรือไม่ ถ้า—ถ้านี่ไม่ได้คิดไปเอง—เธอเคยรักจริงๆ แล้วรักมากขนาดไหน? หรือว่าในโลกของเธอ ผลประโยชน์ย่อมอยู่เหนือกว่าความรักที่เธอมีแต่เขาเสมอ?


ในเมื่อ…


การลองใจทั้งหมดในอดีตล้วนทำให้เขาผิดหวังมาแล้ว


ต่อให้วันนี้เขาให้หยูอันเอาบัตรเชิญมาให้เธอ ขณะที่เขาจูงมือน่าหลันเดินบนพรมแดง เธอไม่เคยพูดคำว่า‘อย่าแต่งงาน’ออกมา–เขากลับยังคาดหวังอยู่


เพราะเธอหัวรั้นเกินไป หรือว่า…ความรักของเธอ สู้ความหัวรั้นของเธอไม่ได้?


 “ท่านสบายใจได้ ผมไม่หลงกลอีก” ในที่สุดเย่เซียวเอ่ยปากกล่าวเสียงเรียบนิ่ง “สัญญาครั้งนี้ ไม่มีการเจรจา”


เขาอยากรอดูจริงๆ ถ้าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เปิดให้เจรจา เธอจะยังอยู่ในโลกของตัวเองอยู่หรือเปล่า หรือบางที…เธอ…จะเลือกฆ่าเขาเหมือนเมื่อสิบปีก่อน ไม่ว่าจะเลือกทางไหนระหว่างนี้ เขาจะตายใจได้ทั้งหมด


……………………


วันรุ่งขึ้น


เธอที่ต้องพึ่งยาถึงจะนอนหลับได้นั้นตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่าในตอนเช้า เพิ่งลืมตาก็แทบจะล้วงโทรศัพท์มาจากใต้หมอนทันที กดเปิดหน้าจอ


มีสายโทรเข้าหลายสายรวมถึงข้อความ


เธอเลื่อนดูรอบหนึ่ง หัวใจที่ลอยสูงดิ่งลงอย่างผิดหวังอีกครั้ง


ไม่มีคนที่เธอกำลังรอ


เธอนิ่งไปชั่วขณะ เริ่มกังวลเล็กน้อยว่าหากตนโทรไปตอนนี้จะทำให้เขาเข้าใจผิดว่าที่ตนร้อนใจขนาดนี้เป็นเพียงเพราะเรื่องสัญญา แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว


สูดอากาศเข้าลึกๆ กดโทรไปยังเบอร์หมายเลขที่ดูรอบเดียวก็ท่องจำขึ้นใจ


แต่…


เสียงที่ดังเข้าโสตประสาทกลับเป็นเสียงผู้หญิงอย่างอัตโนมัติ “เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารติดต่อได้ กรุณาติดต่อใหม่ในอีกสักครู่”


ไป๋ซู่เย่กำโทรศัพท์แนบข้างหูฟังสองรอบ ท้ายที่สุดก็วางโทรศัพท์ลงช้าๆ หลับตาลงใหม่แต่ยามนี้กลับไม่รู้สึกง่วงแม้แต่นิดเดียว


…………


เย่เซียวบินไปยังประเทศอีกฟากของโลกจากประเทศ T


นั่งเครื่องบินกว่าสิบชั่วโมง รอเปิดเครื่องอีกทีก็มีทั้งสายโทรเข้าและข้อความที่พลาดรับไป จำนวนมากเสียจนนับไม่ถ้วน เขากลับอาศัยพริบตาเดียวก็จำเบอร์ที่คุ้นเคยยิ่งกว่าเบอร์ไหนๆ ได้


สิบกว่าชั่วโมง เธอโทรมาหนึ่งสาย


เขาจ้องมองอยู่ไม่กี่วินาที


 “นายท่าน ขึ้นรถได้แล้วครับ” เสียงหยูอันเตือนเขา


เขารับคำ‘อืม’ ทีพลางเก็บโทรศัพท์โดยไม่ได้โทรกลับ


………………


ห้าวันผ่านไป


ไป๋ซู่เย่ยังคงพักในโรงแรมเดิมไม่เคยไปไหน ในห้องที่อดีตพวกเขาเคยมาพักร่วมกันนับครั้งไม่ถ้วนนี้ ความคิดถึงที่มีต่อเขา ความจริงมันกำลังกัดกินหัวใจยิ่งกว่าแมลงตัวไหน สร้างความเจ็บปวดและสร้างอารมณ์ว่างเปล่าปนเหงาแก่คนอยู่


ห้าวันนี้ เธอพยายามหาเรื่องอื่นๆ ทำเพื่อเติมเต็มตัวเอง อย่างเช่นเธอใช้ห้องครัวในห้องให้เป็นประโยชน์ บางครั้งลองทำขนมหวานที่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จตามสูตรบนอินเตอร์เน็ต—หลังเสร็จสิ้นภารกิจคราวนี้หากเธอลาออกจริงๆ หลังจากนี้จะมีเวลาว่างมากมาย ลองมาเรียนมาฝึกทำเรื่องที่ตัวเองไม่ค่อยถนัดมาก่อนหน้าก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเสียหาย


เวลาห้าวันนี้ขนมหวานยิ่งทำยิ่งประสบความสำเร็จ รสชาติดีขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่…


ของที่ไม่มีคนให้แบ่งปัน รสชาติอร่อยมากแค่ไหนก็จะติดขมขื่นอยู่บ้าง


เย่เซียว…ตอนนี้เขาอยู่ไหน?


กลางคืนวันเสาร์


ขณะพลุดอกไม้ไฟลอยขึ้นสู่ท้องทะเล เธอเอนพิงตัวนั่งอยู่ตรงขอบหน้าต่าง เมื่อกำลังดูพลุดอกไม้ไฟหลากหลายสีสันเหล่านั้น ในใจกลับมีแต่เขาเต็มไปหมด สุดท้ายกดโทรไปยังเบอร์นั้นอย่างยากที่จะควบคุมใจได้ไหว


ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงเตือนบอกว่าปิดเครื่องอีก เมื่อเสียงรอสายดังก้องหู เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างน่าแปลก


 “ฮัลโหล”


เสียงชายหนุ่มดังแว่วมาจากอีกฝั่ง หัวใจเธอกลับเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ


เงียบไปพักหนึ่ง


หลังจากนั้นแลบลิ้นเลียริมฝีปากกล่าวเสียงเบา“…ฉันเอง”


 “อืม” ไม่มีประโยคที่ยาวกว่านั้น เสียงของเขาแน่นิ่ง แค่พยางค์เดียวไป๋ซู่เย่ถึงกับจินตนาการได้ถึงเย่เซียวที่อยู่อีกฝั่งในตอนนี้กำลังใส่เสื้อเชิ้ตชุดสูทนั่งเหยียดหลังตรง


 “ตอนนี้คุณกำลังประชุมอยู่เหรอ?”


 “อืม มีธุระเหรอ?” เขายังคงน้ำเสียงเหมือนตอนคุยงานปกติที่ไม่ปนด้วยอารมณ์ส่วนตัว เธอยังพอได้ยินเสียงอื่นๆ จากรอบข้างที่ไม่ได้พูดภาษาประเทศ T หากเดาไม่ผิด ยามนี้เขาน่าจะอยู่ไกลถึงต่างประเทศ


ความคิดถึงที่อัดแน่นหัวใจของไป๋ซู่เย่ไว้อย่างเข้มข้นเมื่อเจอคนเย็นชาเรียบนิ่ง คล้ายหัวใจถูกน้ำเย็นสาดใส่จนเย็นลง


น่าอายนิดหน่อย หาเรื่องให้ตัวเองเสียหน้าแท้ๆ


มองพลุดอกไม้ไฟข้างนอกหน้าต่างนิ่ง เดิมทีอยากจะแบ่งปันกับเขาแต่ชั่วขณะนี้กลับพูดอะไรไม่ออก แค่ยกยิ้มปากส่ายศีรษะ“ไม่มีอะไร คุณทำงานก่อนเถอะ”


 “อืม”


เขาตอบรับที ไป๋ซู่เย่ชิงวางสายก่อนเขาหนึ่งก้าว


เขาที่อยู่อีกฟากไม่วางหูลงสักทีกระทั่งหยูอันเรียกเขาสองทีเขาถึงได้สติกลับมา


ไม่ได้เริ่มประชุมใหม่ทันที แค่มองหยูอันแวบหนึ่งพลางถาม“เธอยังอยู่โรงแรม?”


ประโยคคำถามที่ไม่มีที่มาที่ไป แต่หยูอันก็ฟังออกว่าเขาหมายถึงอะไรหลังจบคำถามทันท่วงที พยักหน้า“ครับ ยังอยู่”


แม้ตัวเขาจะมาต่างประเทศแต่ยังคงมีคนคอยติดตามเธออยู่


เขากำลังคอยจับตามองเธออยู่จริงๆ หรือเพราะความจริง…ปล่อยวางไม่ได้?



 “วันๆ ทำอะไร?”


 “ไม่ค่อยออกจากห้องเท่าไหร่”


 “มีการติดต่อกับคนของกระทรวงความมั่นคงมั้ย?”


 “ช่วงนี้ไม่เห็นเธอติดต่อใคร”


เย่เซียวรับคำ‘อืม’แล้วก็ไม่พูดอีก หยูอันกล่าวเสียงเบา“ตอนนี้เธอยังอยู่เมืองเยียว บางที…ยังคงคิดเรื่องสัญญาอยู่”


——


………………………….


ตอนที่ 756 เดี๋ยวได้เดี๋ยวเสีย(3)

โดย

Ink Stone_Romance

ถ้อยคำของหยูอันทำให้เย่เซียวเงียบไปสองวินาที สุดท้ายแค่พูดเสียงเรียบ “ประชุมต่อ”


หยูอันไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าเข้าสู่กระบวนการการประชุมต่อ


คืนนั้นไป๋ซู่เย่หลับไปโดยการพิงกระจกหน้าต่าง


สองวันต่อจากนั้นไป๋ซู่เย่ไม่ได้โทรหาเย่เซียวอีก


คืนนี้…


ในที่สุดเธอก็หลับได้สักทีแต่กลางดึกกลับตื่นมาเพราะอาการปวดจากการบิดตัวของท้องน้อย เริ่มแรกที่ตื่นนั้นยังพอทนเจ็บได้ เธอเลยไม่ได้เก็บมาคิดมากคิดแค่ว่าหลังไปคงไม่เป็นไร แต่ไม่นานความเจ็บนั่นกลับทวีคูณ เจ็บจนเธอเหงื่อแตกพลั่กทั้งตัว


สถานการณ์แบบนี้เธอต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้น!


ไป๋ซู่เย่เลิกผ้าห่มไม่แม้แต่จะเปลี่ยนชุดด้วยซ้ำใส่แค่ชุดนอนกระโปรงยาวกุมหน้าท้องน้อยลงจากเตียง เธอเดินออกจากห้องไปอย่างทุลักทุเล เดินไปไม่กี่ก้าวความเจ็บที่ถาโถมเข้ามาทำให้หยุดเดินพร้อมหายใจหนักหน่วงมากขึ้น


 “คุณผู้หญิง ไม่เป็นไรใช่มั้ย?” รปภที่เฝ้าเวรตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงพบความผิดปกติของเธอเลยถลาเข้ามาถาม


 “ช่วยฉัน…เรียกรถพยาบาลที…” ไป๋ซู่เย่หอบหายใจแล้วพึมพำออกมาไม่เป็นประโยค


อีกฝ่ายเห็นใบหน้าเธอขาวซีดราวกับพร้อมจะสลบเหมือดตลอดเวลาเลยไม่กล้าชักช้ารีบล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา “ครับ คุณอดทนหน่อยนะครับ ยืนพิงกำแพงไปก่อน”


อีกฝ่ายรีบโทรขอความช่วยเหลือเร่งด่วน จากนั้นไป๋ซู่เย่ก็ถูกพนักงานที่ทราบข่าวช่วยพยุงเข้าไปในลิฟต์ลงไปชั้นล่างในสภาพที่สติพร่ามัว


…………………………


เย่เซียวเพิ่งลงจากเครื่องบิน


หลี่สือขับรถมารออยู่ข้างนอกเสร็จสรรพ ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็แผดเสียงดัง


 “ฮัลโหล”


 “นายท่าน!” เสียงกระวนกระวายของอีกฝ่ายดังแว่วมา “คุณไป๋ถูกพาส่งโรงพยาบาลไปแล้วครับ!”


เย่เซียวหน้านิ่ง “เกิดอะไรขึ้น?”


“ผมก็ไม่ทราบ รู้แค่ว่าคุณไป๋ถูกคนหามลงจากชั้นบน ท่าทางเจ็บปวดมาก”


 “โรงพยาบาลไหน?”


หลังอีกคนบอกที่อยู่ไปเย่เซียวไม่ไปรับแม้แต่กระเป๋าเดินทาง แค่สับเท้าย่ำเดินตรงไปที่ประตูด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง


 “นายท่าน!” หยูอันเรียกขานทีหนึ่งตามหลังมาอย่างไม่เข้าใจ แต่เขาไม่หันกลับมาด้วยซ้ำราวกับไม่ได้ยินเสียงของหยูอัน


ข้างนอกมีขบวนรถรออยู่แล้ว


หลี่สือเห็นเขาเดินออกจากประตูทางออกมาแต่ไกล รีบลงมาแล้วเปิดประตูเบาะหลัง


 “กุญแจ” เย่เซียวไม่ได้เข้าไปกลับปิดประตูที่เขาเพิ่งเปิดให้แทน


หลี่สือชะงักไปครู่ เย่เซียวเอ่ยซ้ำอีกรอบอย่างหมดความอดทน “กุญแจรถ!รีบเอาให้ฉัน!”


 “อ้อ ครับ” หลี่สือรีบส่งกุญแจให้ ไม่รอให้เขาถามมากไปกว่านั้นก็ได้ยินเสียงรถเก๋งคันดำพุ่งทะยานสู่ความมืดไวปานลูกกระสุน


 “พี่สือ นี่…เราต้องตามไปมั้ย?” มีคนถาม “ดูจากสีหน้าของนายน้อยแล้วน่าจะเจอเรื่องอะไรเข้า”


เดิมทีทุกคนมารับเขาแต่ผลปรากฏว่าเจ้าตัวกลับไปก่อนโดยที่ทิ้งทุกคนไว้ที่เดิม


หลี่สือส่ายศีรษะ “ไม่ต้องตาม”


พวกหยูอันเข็นกระเป๋าออกมาจากประตูทางออก


 “นายท่านล่ะ?” เขาถามหลี่สือ


 “ขับรถไปแล้วคนเดียว รีบร้อนมาก น่าจะเกิดเรื่องบางอย่าง”


หยูอันเงียบไปอึดใจและรู้แจ้งแก่ใจทันทีว่าไปอย่างร้อนใจขนาดนั้นเกรงว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไป๋ซู่เย่สินะ ผู้หญิงคนนั้นอย่างไรเสียก็ยังส่งผลต่อหัวใจเขาอยู่ดี ไม่ว่าเขาจะขัดขืนอย่างไรก็ไร้ความหมาย


………………


เย่เซียวพุ่งมาที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว


เมื่อเขามาถึงห้องพักผู้ป่วยก็เห็นเธอกำลังนอนสลบอยู่บนเตียงโดยที่ตรงแขนมีสายให้น้ำเกลืออยู่ นอนบนเตียงสีขาวด้วยชุดนอนสีขาวยิ่งขับให้ใบหน้าดวงเล็กของเธอดูซีดเซียว


เธอดูท่าทางอ่อนแอเหลือเกิน


ความอ่อนแอแบบนั้นเป็นความอ่อนแอที่มาจากอาการป่วยไข้ มันต่างจากเธอที่อยู่ในสมรภูมิอย่างสิ้นเชิง


คนในชุดขาวนอนอยู่ตรงนั้น เบาหวิวเหมือนวินาทีถัดมาก็จะหายไปในอากาศ


เย่เซียวนั่งลงข้างเตียง มือใหญ่กุมมือเธออย่างห้ามใจไม่ไหว มือของเธอเย็นมาก เย็นเสียจนเหมือนไม่มีอุณหภูมิสักนิด


อีกทั้ง…


ผอมลงอีกแล้ว


กุมมือเธอไว้อยู่อย่างนั้น เขาไม่กล้าใช้แรงมากนักคล้ายว่าแค่ออกแรงจับเพียงนิดข้อมือเธอก็จะแตกสลาย


นิ้วเรียวยาวของเขาปัดผมที่ปรกข้างแก้มเธอออกเผยให้เห็นใบหน้าดวงเล็กทั้งหมด คิ้วสวยของเธอย่นเข้าหากันราวกับถูกรบกวนแต่ไม่ได้ลืมตาเหมือนเดิม


เขายากที่จะจิตนาการได้ถึงภาพที่หนึ่งเดือนก่อนเธอนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดและเอาลูกออก…


นี่เป็นบาดแผลรอยใหญ่ในหัวใจเขาที่สร้างรอยแผลเป็นไว้ ต่อให้ผ่านไปหนึ่งเดือนก็ไม่มีท่าทีจะสมานเข้าหากันเลย


เขาไม่อยากและไม่ยอมพูดถึง


แล้ว…


เธอเจ็บไหม?


ความจริงเธอก็เจ็บเหมือนเขาใช่ไหม?


ความสงสารปนปวดใจครอบคลุมพื้นที่หัวใจเขาทั้งหมด ทำให้เขารู้สึกอึดอัดตรงหน้าอกหน่อยๆ


ขณะที่เขากำลังตกอยู่ในภวังค์ประตูห้องพักก็ถูกเคาะจากข้างนอกเบาๆ พยาบาลดันประตูเข้ามา “นายท่าน”


เย่เซียวได้เก็บทุกอาการความรู้สึกเมื่อสักครู่อย่างว่องไว เก็บมือของไป๋ซู่เย่ไว้ใต้ผ้าห่มเบาๆ แล้วเดินออกจากห้อง


พยาบาลกล่าว“ท่านนี้ก็คือคุณหมอที่รับผิดชอบคุณไป๋ค่ะ”


 “นายท่าน สวัสดีค่ะ” คุณหมอหญิงรีบทักทาย คุณเย่เซียวเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้แต่กลับดูลึกลับอย่างมาก แทบไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น คุณหมอเลยไม่คิดว่าเขาจะมาที่นี่ในคืนนี้


อีกทั้งยังมาเพื่อผู้หญิงคนเดียว


 “อาการเธอเป็นยังไงบ้าง? สาหัสมั้ย?” เย่เซียวถามเสียงนิ่ง


 “ความจริงก็ไม่สาหัสมากแค่ข้างในร่างกายมันอักเสบ ฉีดยาแก้อับเสบไปไม่กี่วันแล้วสังเกตอาการไปด้วยก็พอค่ะ”


 “อักเสบ?” เย่เซียวมุ่นคิ้ว “ทำไมถึงอักเสบ? สาเหตุคืออะไร?”


 “ตอนวินิจฉัยอาการเธอเคยบอกฉันว่าเพิ่งแท้งแล้วผ่าตัดมา บวกกับเธอต้องทานยาที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมากทุกวัน สภาพจิตใจก็ไม่ดี ปัจจัยต่างๆ รวมกันเลยเป็นเหตุให้อักเสบค่ะ ”


เย่เซียวหยุดหายใจไปชั่วขณะ เชยตาจ้องคุณหมอหญิงด้วยสีหน้านิ่งขรึม “เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ?”


อีกฝ่ายสะดุ้งตกใจเพราะสายตาของเขา เกิดความหวาดกลัวขึ้นจับใจและเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าตัวเองพูดประโยคไหนผิดไปหรือไม่


 “คุณบอกว่า…เธอ แท้ง?” เย่เซียวย้ำเสียงคำว่า ‘แท้ง’ หนักๆ


“ใช่ค่ะ อย่างน้อยเธอก็บอกฉันมาอย่างนี้ บอกว่าไม่ถึงห้าสิบวันก็แท้งไปแล้ว”


โครงหน้าเย่เซียวเริ่มเกร็ง “เธอทานยาที่มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?”


คุณหมอส่ายศีรษะ “อันนี้คุณไป๋ไม่ได้บอกค่ะ”


เย่เซียวหายใจหนักอึ้งและรู้สึกถึงใจที่สั่นไหวอย่างหนัก


ถ้าเกิดว่าแท้งจริงๆ เธอแบกรับเรื่องอะไรมาบ้างภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่รับรู้อะไรเลย? ยาที่มีผลข้างเคียงอย่างมากนั่นคือยาอะไร?


หรือว่า…


เขานึกถึงยาที่กลิ้งออกมาจากกระเป๋าเดินทางเธอคราวก่อนแล้วสูดหายใจลึก ระงับสติอารมณ์ไว้ก่อนจะล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋า


เขาโทรออกไปยังเบอร์หนึ่ง


โทรศัพท์รอสายอยู่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงโหยหวนของถังซ่ง “ฉันว่านายตอนนี้มีนิสัยบ้าๆ อะไรเนี่ย!ชอบโทรมาหาฉันดึกดื่น ยังจะให้ฉันนอนอยู่หรือเปล่า!”


………………………


ตอนที่ 757 ทะนุถนอม(1)

โดย

Ink Stone_Romance

ถังซ่งโอดครวญและแทบเป็นบ้าอยู่ทางนั้น


 “ช่วยฉันเช็คดูที่ระบบของโรงพยาบาลที่เธอไปผ่าตัดคราวก่อนหน่อยว่าเธอแท้งเองใช่มั้ย ดูประวัติของเธอให้ละเอียด”


 “แท้งอะไรเหรอ?” ถังซ่งรู้ว่า ‘เธอ’ ที่เขาพูดถึงหมายถึงใคร เขาเริ่มได้สติเลยลุกขึ้นจากกองผ้าห่ม “เธอเป็นคนเลือกทำแท้งเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมอยู่ๆ ถึงกลายเป็นแท้งเองได้ล่ะ?”


 “ก็เลยให้นายไปเช็คดูไง”


 “ได้ได้ได้ พรุ่งนี้ฉันจะตื่นแต่เช้าไปเช็คให้นายเลยโอเคมั้ย?” ถังซ่งหาววอดอย่างง่วงงุน ดวงตาเริ่มหรี่ลง


 “ตอนนี้”


 “ล้อเล่นอะไรอยู่? คุณชาย นี่มันดึกดื่นแล้ว” ถังซ่งบอกปฏิเสธไป “ไม่ไป ฉันจะนอน!”


เย่เซียวกำโทรศัพท์ไว้ไม่เอ่ยเสียงและไม่วางสาย ทุกครั้งในเวลานี้จะหมายความว่า ‘ไม่มีอะไรให้คุย ไปก็ไป ไม่ไปก็ต้องไป’ ถังซ่งสบถคำหยาบทีเลิกผ้าห่มออกพลิกตัวลงจากเตียง “ชาติที่แล้วฉันต้องติดหนี้นายมาแน่ นายว่าฉันรู้จักใครไม่ว่า ทำไมต้องมารู้จักนายด้วย?”


“จะรอข่าวจากนาย” เย่เซียวมีเรื่องในใจ เสียงบ่นของถังซ่งไม่ส่งผลอะไรต่อเขา พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะวางสายไป


ถังซ่งทำได้แค่พร่ำบ่นว่าตัวเองชีวิตลำบากแต่ก็ไม่ได้ชักช้า เตรียมไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่ห้องหนังสือ


เพิ่งก้าวออกจากห้องก็ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูที่ชั้นล่าง ถังซ่งชะงักกึก จากนั้นสองแขนกอดอกปรายตามองประตูอย่างเย็นชา ให้ตาย เขาอยากจะดูหน่อยว่าหัวขโมยที่ไม่คิดจะเอาชีวิตที่ไหนกล้ามาขโมยของถึงบ้านเขา!


ผลสุดท้าย…


ประตูถูกคนเปิดจากข้างนอก คนที่ยืนอยู่ตรงประตูไม่ใช่หัวขโมยหน้าตาร้ายกาจที่ไหน แต่เป็น…


อืม ผู้หญิงคนหนึ่ง


ผู้หญิงที่สวยมาก


เขาถังซ่งก็นับได้ว่าผ่านโลกมาเยอะ คนสวยแบบไหนที่ไม่เคยเห็นมาบ้าง? แต่การปรากฎตัวที่นี่ของผู้หญิงคนนี้กลับทำให้เขารู้สึกภาพตรงหน้าเป็นประกาย


เธอแต่งตัวธรรมดาโดยมัดผมยาวไว้ด้านหลังลวกๆ ปรอยผมปรกข้างแก้ม เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยาวขาเดฟ รองเท้าส้นสูงสีดำเผยให้เห็นข้อเท้าขาวเนียนสะอาด ข้างนอกสวมทับด้วยเสื้อโค้ทสีกากี


เรียบง่ายและดูตามแฟชั่น


สิ่งสำคัญที่สุดคือรูปร่างดีมาก


ถังซ่งเหลือบมองผ่านๆ ก็ดูออกว่าหน้าอกของผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คัพ E ก็ต้องคัพ D หน้าอกได้รูปเอวคอด ผมยาวสลวย นี่มันของงามชั้นดีเลย ไม่อยู่เป็นคนสวยดีๆ กลับมาเป็นหัวขโมยแทนเสียอย่างนั้น


“เฮ้!ก่อนที่ฉันจะแจ้งตำรวจ รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้นะ เห็นแก่ว่าเธอเป็นผู้หญิง ฉันจะสงสารสักครั้ง”


หญิงสาวตรงประตูทัดผมที่ปรกข้างแก้มไว้หลังหูเผยใบหน้าเรียวงามออกมา ตวัดตามองเขาแวบหนึ่งแต่ไกล


ทั้งที่เป็น…สายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร แต่ถังซ่งกลับถูกสายตานั่นสะกดให้นิ่งค้าง ในใจเหมือนถูกไฟช็อตแปลกๆ


 “ถ้านายจะสงสารจริงๆ ยังจะมองจากข้างบนอยู่อีกเหรอ? ลงมาช่วยฉันยกกระเป๋า”


ให้ตาย!


ไฟช็อตบ้าอะไรเล่า!


เมื่อก่อนถังซ่งเดินออกไปไหน ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่แสดงท่าทีอ้อนแอ้นต่อหน้าเขาหรอกห? ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนใดนอกจากแม่เขาจะกล้าใช้เขา!แล้วยังออกคำสั่งได้หน้าตาเฉยขนาดนี้มาก่อน!


 “คุณ คุณเป็นใคร!กล้าใช้ผม คุณเรียกใช้ได้งั้นเหรอ?”


หญิงสาวก้าวเข้ามาช้าๆ ท่วงท่าเป็นธรรมชาติคล้ายเดินเข้าบ้านตัวเอง จากนั้นเธอแหงนหน้าอมยิ้มให้ถังซ่งน้อยๆ “ฉันคือใคร สงสัยต้องรบกวนให้คุณชายอย่างคุณลงมาดูด้วยตัวเองสักหน่อยแล้วล่ะ”


ถังซ่งพบว่าตอนหญิงสาวผู้นี้ยิ้มนั้นเหมือนมีไฟฟ้าสถิตอยู่ สายตาเกี่ยวกระหวัดเบาๆ นั่นก็อย่างกับปีศาจ คล้ายตัวร้ายในหนังที่เป็นประเภทดูดเอาพลังชีวิตของผู้ชายโดยเฉพาะ ผู้ชายที่ตกอยู่ในเงื้อมมือผู้หญิงแบบนี้ คิดว่าใช้นิ้วนับก็ไม่พอ


คุณชายถังก็เป็นมือปราบมารปีศาจโดยเฉพาะ ฉะนั้นจะปล่อยให้ปีศาจน้อยตัวนี้ทำตัวเหลิงในบ้านเขาได้อย่างไร?


ผูกสายคาดเอวไปก็เดินลงมาอย่างอ้อร้อ ตลอดทางใช้สายตากวาดมองร่างกายเธออย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็มายืนนิ่งตรงหน้าหญิงสาว


เขาฉายยิ้ม “รู้มั้ยว่าปกติฉันจะเช็คยังไงว่าใครเป็นใคร?”


 “คอยฟังอยู่” เธอไม่ได้ถอยหลังสักก้าว ปล่อยให้เขาเข้าใกล้โดยที่ไม่ห้าม


ถังซ่งยิ้มร้าย


ถัดจากนั้น…


สองมือตะครุบบั้นท้ายงอนของหญิงสาวไว้ออกแรงให้ร่างนุ่มนิ่มของหญิงสาวโผเข้ามาในอ้อมกอดเขา อืม!สัมผัสมือไม่แย่เลย!อีกทั้งพอมองใกล้ๆ แบบนี้พบว่าโครงหน้าเธอได้รูปมากจริงๆ ผู้หญิงข้างนอกที่ผ่านการศัลยกรรมมาพวกนั้นเขาเจอมาเยอะ แต่ก็ไม่เคยเห็นใครมีเครื่องหน้าพอดีเท่าเธอมาก่อน เป็นธรรมชาติซึ่งทำให้ดูแล้วสบายตา


ผิวพรรณก็เนียนเด้ง อย่างน้อยก็ไม่เห็นรูขุมขนสักนิด


 “ฉันจะดูยังไง ปกติก็ต้องถอดให้เปลือยค่อยๆ ดู ฉันน่ะ ชอบดูหุ่นเพรียวขาวๆ นุ่มๆ…” ถังซ่งเป็นนักรักสนุกที่ชอบความคลุมเครือ พอนิสัยเจ้าชู้กำเริบไม่มีใครจะห้ามเขาได้อีก เขากดเสียงต่ำ รอยยิ้มทั้งร้ายทั้งเจ้าเล่ห์ สายตาชำเลืองมองข้างหน้าหญิงสาวอย่างมีเลศนัย สายตานั่นคล้ายได้ถอดเสื้อผ้าเธอออกจนเปลือยเปล่าไปแล้ว “อีกอย่าง ฉันจะถอดทั้งจากบนลงล่าง ถอดหมดแล้วค่อยมาดูให้ละเอียดทีละจุด…”


หญิงสาวยิ้มเคอะเขิน นอกจากจะไม่ผลักเขาออกกลับยกแขนโอบลำคอถังซ่งแทน “ถ้าตอนนี้ให้นายถอด นายกล้ามั้ย?”


ถังซ่งพบว่าผู้หญิงคนนี้ช่างข่มอารมณ์เก่งเหลือเกิน ตัวเองหยอกเย้าขนาดนี้ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงหน้าแดงใจเต้น แกล้งทำเป็นขวยเขินกันไปนานแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้สุดยอดไปเลยที่หยอกเขาคืน!


ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์มามากจะนิ่งขนาดนี้ได้อย่างไร?


 “ฉันไม่เคยไม่กล้าทำจริงๆ ด้วยสิ โดยเฉพาะการปราบมารร้ายอย่างเธอ…” ถังซ่งว่าแล้วมือใหญ่ก็เริ่มเลื่อนจากบั้นท้ายเธอสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตเธอ “เธออย่าคิดจะหลบเชียว”


หญิงสาวไม่หลบกลับอมยิ้มตลอดเวลา โน้มหน้ากระซิบกล่าวข้างหูราวกับพ่นลมใส่“ถังซ่ง นายว่าถ้าพี่ห้านายรู้เข้าว่านายหยอกพี่สะใภ้ของนายดึกดื่นแบบนี้ กลับมาจะตัดแขนสองข้างนายทิ้งหรือเปล่า?”


ถังซ่งชะงัก


นี่มันเรื่องอะไร?


พี่ห้า?


พี่สะใภ้?!


ท่วงท่าของเขานิ่งค้างไปทันใด จากนั้นสายตาทั้งคู่ค่อยๆ เลื่อนมาบนใบหน้าหญิงสาวที่วินาทีถัดมาเจ้าตัวก็ทำหน้าบูดบึ้งเต็มที


ให้ตาย!


ผู้หญิงคนนี้มันโม่เหลียงเยียน ว่าที่ภรรยาในอนาคตของพี่ห้าถังอีไม่ใช่หรือ? เธอหมั้นกับถังอีมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ตอนที่ถังซ่งเจอเธอครั้งแรกเธอยังเป็นต้นถั่วงอกที่ยังไม่เจริญเติบโตด้วยซ้ำ!นี่ไม่ได้เจอกันแค่กี่ปีเอง…


 “ยังไม่เอามือของนายออกอีกเหรอ?” โม่เหลียงเยียนผละแขนจากไหล่เขา ดวงตาสวยงามถลึงมองเขา “อยากให้ฉันไปฟ้องพี่นายจริงๆ หรือไง?”


 “ให้ตาย!” ถังซ่งได้สติกลับมาก็สบถทีและแทบจะเด้งตัวไปข้างหลังทันที “เธอ…เอ่อ…พี่สะใภ้ ถ้าพี่สะใภ้บอกว่าเป็นพี่สะใภ้ผมแต่แรก ผมจะรังแกพี่สะใภ้ได้ยังไง?”


โม่เหลียงเยียนกลั้นหัวเราะ “งั้นตอนนี้ฉันใช้นายให้ช่วยยกกระเป๋าให้ฉันได้หรือยัง?”


 “แน่นอนอยู่แล้วสิ!นี่เป็นสิ่งที่สุภาพบุรุษทุกคนควรทำ” ถังซ่งเปลี่ยนหน้าไวมาก ยิ้มตาหยีเดินไปตรงประตูขณะเดียวกันก็หันกลับมากล่าว “พี่สะใภ้ เรื่องเมื่อกี้เราถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกันนะ พี่สะใภ้อย่าไปพูดอะไรเหลวไหลต่อหน้าพี่ห้าของผมเชียว เขาต้องฆ่าผมแน่ๆ”


 “ได้สิ ดูความประพฤติของนายแล้วกัน”


………………………


ตอนที่ 758 ทะนุถนอม(2)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่เซียวรออยู่ที่โรงพยาบาลนานหนึ่งชั่วโมงกว่าถังซ่งถึงโทรกลับมา


 “ทำไมนานขนาดนี้?”


 “ให้ตาย!อย่าพูดถึงเลย ที่บ้านมีผู้หญิงคนหนึ่งมา ตั้งแต่วันนี้ไปฉันต้องอยู่ด้วยกันกับผู้หญิงแล้ว”


เย่เซียวไม่ได้ถามมากเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง ปกติเขาไม่ถามลึกซึ้งอยู่แล้วอย่างไรเสียผู้หญิงรอบตัวถังซ่งก็เปลี่ยนเป็นว่าเล่น ไม่มีคนไหนที่เขาเคยเจอเกินสองครั้ง คิดว่าครั้งนี้คงไม่ต่างจากเดิม


 “เช็คได้มั้ย?”


 “อืม แท้งเองจริงๆ”


 “รายละเอียด”


 “จากประวัติเธอบอกว่าเด็กไม่โตตั้งแต่อยู่ในท้องเธอแต่แรกแล้ว ตอนที่เธอเพิ่งท้องไม่รู้ตัว กลืนยาลงท้องไม่น้อยทุกวัน เด็กที่ไหนจะแข็งแรงกันล่ะ?”


 “ยาอะไร ในประวัติมีบอกมั้ย?”


 “มี” ถังซ่งชะงักไปครู่ถึงตอบ “เป็นยาต้านโรคซึมเศร้ากับยานอนหลับ ยี่ห้อยาทั้งสองเป็นยาที่ปกติฉันยังไม่กล้าให้ใครกันมั่วๆ กินไปนานๆ จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเธอแอบซื้อมาจากไหน”


เย่เซียวได้ยินคำของถังซ่งแล้วหายใจหนักอึ้งขึ้นมาก มือที่กำโทรศัพท์กระชับแน่น


นอกจากยานอนหลับแล้วเธอทานยาต้านโรคซึมเศร้าอยู่จริงๆ ด้วย?


 “ยานี่…เธอกินมานานเท่าไหร่แล้ว?”


 “ในประวัติเขียนว่าหลายเดือนแล้ว”


 “…” เย่เซียวเงียบไปพักใหญ่ถึงพูดขึ้น “ฉันรู้แล้ว นายไปนอนเถอะ”


 “ก็ได้ ฉันนอนละนะ” สิ้นคำถังซ่งพูดเสริมอีกประโยค “แต่ว่าในฐานะคุณหมอ ฉันขอพูดมากอีกสักหน่อย—ยานั่นน่ะ นายบอกเธออย่ากินอีกเลยดีกว่า ถ้ากินต่อ อย่าว่าแต่เธอจะมีลูกที่ไม่แข็งแรงเลย มันไม่ดีต่อร่างกายตัวเธอด้วย กินมากไปจะส่งผลต่ออวัยวะภายในร่างกาย…แล้วก็นะ ถ้าสะดวก นายพาเธอไปตรวจสภาพร่างกายทั้งตัวหน่อย เผื่อมีอาการทิ้งท้ายบางอย่าง รีบตรวจจะได้รู้เร็วๆ”


 “…อืม”


ลมหายใจเย่เซียวหนักอึ้งอย่างมาก


ถังซ่งรู้ว่าเขารู้สึกไม่ดีเลยวางสายไปโดยไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น


เย่เซียวไม่ได้เข้าไปทันที แค่นั่งอยู่ตรงระเบียงทางเดินเงียบๆ พักหนึ่ง รู้สึกอึดอัดตรงหน้าอกอย่างรุนแรงราวกับมีหินขนาดใหญ่กดทับอยู่ให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง


ยานอนหลับ


ยาต้านโรคซึมเศร้า


ตลอดหลายเดือนนี้เธอแบกรับอะไรไว้บ้าง มันจำเป็นขนาดให้เธอต้องทานยาปริมาณมากขนาดนี้เชียวหรือ?


นั่งอยู่ครู่ใหญ่ นานเสียจนพยาบาลจะเข้าไปถอดหัวเข็มในห้องเขาถึงหลุดจากภวังค์ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพร้อมพยาบาล


…………


พยาบาลถอดหัวเข็มเสร็จหมายจะวัดไข้ให้เธอ หยิบเครื่องวัดมาลองนาบที่ปากเธอหลายครั้ง เธอขมวดคิ้วเบี่ยงหน้าหลบ ถึงจะหลับไปแล้วแต่ก็ไม่ให้ความร่วมมืออย่างมาก


เย่เซียวเกรงว่าพยาบาลจะทำเธอเจ็บเลยยื่นมือบอก “มาให้ผมเถอะ”


พยาบาลนิ่งไปครู่อย่างตะลึง รีบส่งเครื่องวัดไข้ใส่มือเขา


เย่เซียวหลุบตามองเธอที่นอนบนเตียง สีหน้าเย็นชาเฉกเช่นปกติเคล้าด้วยความทะนุถนอมมากมาย เขานั่งพิงหัวเตียงแขนยาวรั้งเธอที่หลับสนิทเข้าไปในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง ก็ไม่รู้ว่าไป๋ซู่เย่รู้ตัวหรือไม่ แต่เธอกลับไม่ขยับตัวดิ้นท้วงปล่อยให้เขากอดอย่างเป็นเด็กดี


นานๆ ครั้งเธอจะเป็นเด็กดีขนาดนี้ และนานที…จะนอนซบอกเขาแบบนี้…


 “ซู่ซู่”


เย่เซียวเรียกเธอทีหนึ่ง


แพขนตาเธอสั่นไหวแต่ก็ไม่ได้ลืมตา


 “วัดไข้หน่อย อ้าปาก” เขากล่าวอีกครั้ง


ไป๋ซู่เย่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นรู้สึกแค่ตัวเองหนักที่เปลือกตามาก ลืมขึ้นอย่างยากลำบาก สิ่งที่เข้าตาเป็นใบหน้าเท่เย็นชาที่ทำเอาเธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่เธอคิดว่าตัวเองต้องฝันอยู่แน่ๆ…


ตอนนี้เย่เซียวอยู่ต่างประเทศ…


เธอรู้ว่าเขาจงใจเมินเธอ


 “ตื่นแล้วเหรอ?” เย่เซียวอุ้มเธอขึ้นมาให้พิงไหล่ตัวเอง “ตื่นแล้วก็อ้าปาก แป๊บเดียวเท่านั้น”


ต่อให้อยู่ในฝันเสียงของเขา อ้อมกอดของเขาก็เหมือนยาที่ช่วยรักษาเธอ ช่วยปัดเป่าความไม่สบายตัว และอาการปวดจากการบีบรัดให้หายไป…


เธอชอบความรู้สึกที่ได้นอนพิงตัวเขา หากเป็นฝัน เธออยากจะฝันไม่ให้ตื่นแบบนี้ตลอดไป…


เธอไม่ได้ตอบรับแค่อ้าปากหน่อยๆ อย่างเชื่อฟัง กลีบปากไร้สีเลือดฝาดแต่พอได้ขยับอ้ากลับยังยั่วยวนใจได้ขนาดนั้น


เย่เซียวอยากจูบเธอดีๆ สักที


ไม่ได้จูบเธอดีๆ มานานแล้วจริงๆ…


นานถึงขั้นความต้องการลึกๆ เริ่มยากที่จะควบคุม


แต่นี่ไม่ใช่เวลาจริงๆ


เขาเอาเครื่องวัดไข้สอดไว้ใต้ลิ้นเธอ เธออมไว้แล้วจุดยิ้มมุมปากน้อยๆ อยู่ๆ ก็ยื่นมือมาโอบกอดเอวเขา ซบหน้าไว้ตรงหน้าอกเขา


ร่างสูงใหญ่ของเย่เซียวเกร็ง


ลมหายใจหนักหน่วงขึ้นตามลำดับ


แววตาสั่นไหว


เขาใช้สายตาล้ำลึกจดจ้องเธออยู่พักใหญ่ สุดท้ายกระชับวงแขนกอดเธอให้แน่นกว่าเดิม


เชยตามองพยาบาลข้างๆ แวบหนึ่ง “คุณออกไปเถอะ ปิดประตูด้วย”


 “แล้ว…เครื่องวัดไข้…”


 “ผมจะคอยดูเอง ถ้ามีไข้ผมจะแจ้งคุณอีกที”


 “งั้น ฉันไม่รบกวนแล้ว” พยาบาลว่าแล้วก็รีบถอยออกไปจากห้องพักผู้ป่วยอย่างไม่รอช้า


ชั่วขณะที่ปิดประตูยังไม่ลืมจะหันกลับมาดูอีกแวบหนึ่ง


นี่…ไม่ใช่ภาพลวงตาของตัวเองจริงๆ ใช่ไหม? เจ้านายเบื้องหลังของพวกเธออย่างคุณเย่เซียวขึ้นชื่อเรื่องความเย็นชาเชียวนะ ถึงก่อนหน้าจะไม่เคยเจอตัวเป็นๆ แต่จากการถ่ายทอดสดของงานหมั้นและงานแต่งงานไม่ว่าใครก็ดูออกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไม่ชอบยิ้มและพูดมาก…


อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดล้วนบอกว่าเขาเป็นเทพบุตรสายละกามกิเลส!ผู้หญิง รวมถึงเจ้าสาวที่ไม่ทันได้แต่งงานกับเขาคนนั้นด้วย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แนวที่เขาชอบ!


เมื่อนั้นเหล่าพยาบาลตัวน้อยสายจิ้นในโรงพยาบาลต่างพูดหยอกกันว่า เขาอาจจะเป็นเกย์


แต่ตอนนี้ดูแล้ว…


คุณเย่เซียวนอกจากจะไม่ใช่เกย์แล้วยังเป็นผู้ชายที่รู้จักทะนุถนอมผู้หญิงด้วยนะเนี่ย


ผ่านไปสักพัก


เย่เซียวดึงเครื่องวัดไข้จากปากน้อยๆ ของเธอดูอุณหภูมิที่วัดได้ให้มั่นใจว่าไม่ได้เป็นไข้ถึงพรูลมหายใจโล่งอก


วางเครื่องวัดไข้ไว้ข้างๆ


ไม่กล้าหันข้างมากนักกลัวว่าจะทำเธอที่เพิ่งหลับไปอีกครั้งเมื่อกี้ตื่น


หลุบตามองเธอในอ้อมแขนด้วยแววตาลึกซึ้งแวบหนึ่ง ดึงผ้าห่มขึ้นสูงคลุมเธอไว้แล้วกระชับกอดในอ้อมแขนตัวเอง


………………


ตลอดคืนนี้ไป๋ซู่เย่หลับสนิทแบบที่นานทีจะหลับลึก


วันรุ่งขึ้น


เย่เซียวตื่นมาเพราะอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย


เขานั่งแบบนี้ทั้งคืนแล้วยังกอดเธอไว้เลยมีท่าที่ไม่ค่อยสบายตัวนัก แต่ก็ไม่กล้าขยับแขนสักนิดมาตลอดคืน


เห็นเธอยังไม่ตื่นเขาถึงวางเธอลงบนเตียงอีกครั้งอย่างระมัดระวัง สีหน้าบนใบหน้าเล็กดูดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อคืน


“นายท่าน” ขณะนั้นเองหยูอันก็เปิดประตูเข้ามา


 “ชู่ว” เย่เซียวทำท่าให้เงียบเสียง นวดแขนไปพลางกดเสียงต่ำถามไป “นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่?”


 “ถามเสี่ยวซ่งมาครับ” เสี่ยวซ่งคือคนที่คอยจับตาดูเธอที่โรงแรมเรือใบมาโดยตลอด


เย่เซียวรับคำ “มีธุระอะไร?”


 “เช้านี้มีประชุมตอนเช้า ใกล้ได้เวลาแล้วครับ”


………………………


ตอนที่ 759 ทะนุถนอม(3)

โดย

Ink Stone_Romance

 “เช้านี้มีประชุมตอนเช้า ใกล้ได้เวลาแล้วครับ”


เย่เซียวพยักหน้ารับก่อนจะมองเธอที่อยู่บนเตียงอีกทีถึงพยักหน้าเดินออกไป พยาบาลที่เฝ้าเวรอยู่รีบเดินเข้ามาหา เขาสั่งเสียงนิ่ง “รอเธอตื่น อย่าให้เธอออกจากโรงพยาบาล จัดตารางการตรวจร่างกายทั้งตัวไว้ก่อน ห้ามละเว้นที่ไหนสักที่ สายๆ ผมจะมาอีก รอผมมาแล้วค่อยให้เริ่มตรวจร่างกาย”


 “ค่ะ คุณเย่”


 “แล้วก็…” เย่เซียวหันกลับไปมองในห้องอีกแวบหนึ่ง “ถ้าเธอยังไม่ตื่นก็ให้เธอนอนอีกสักหน่อย”


เกรงว่านานทีเธอจะหลับสนิทขนาดนั้นถึงทำให้ไม่ตื่นเลยตลอดคืน


 “ค่ะ” พยาบาลพยักหน้ารับอีกที


เย่เซียวพูดสั่งไว้เสร็จถึงเดินออกไปนอกโรงพยาบาล นวดคลึงแขนหลายที หยูอันถามขึ้น “บาดเจ็บตรงแขนหรือครับ?”


 “เปล่า แค่เลือดหมุนเวียนไม่คล่อง นวดแป๊บหนึ่งก็พอ”


หยูอันจึงไม่ถามให้มากความ ทั้งคู่เดินตามหลังกันออกไปจากโรงพยาบาล หยูอันเปิดประตูเบาะหลังเมื่อเขาขึ้นรถแล้วถึงขับรถไปที่บริษัทไฟกรุ๊ป


รถยนต์มุ่งตรงสู่จุดหมายปลายทางโดยที่หยูอันปรายสายตามองเขาที่นั่งอยู่เบาะหลังผ่านกระจกหน้า ในที่สุดสักพักถึงเอ่ยปาก “ทำไมจู่ๆ เธอถึงเข้าโรงพยาบาลได้ แล้วยังพอดีกับเวลาที่เราเพิ่งกลับมาถึงด้วย?”


เย่เซียวที่กำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ได้ยินประโยคของหยูอันถึงเชยตาเหลือบมองเขาที ถามเสียงเรียบ “นายคิดว่าเธอจงใจ?”


“ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ได้ ในเมื่อจุดประสงค์เธอไม่บริสุทธิ์”


 “ไม่ใช่” เย่เซียวตอบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด


หยูอันมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาจดจ่อกับนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ใดๆ หยูอันถึงไม่พูดอะไรอีก


เรื่องเมื่อสิบปีก่อนพวกเขาล้วนเป็นผู้เสียหาย แต่ความจริงผู้ที่เสียหายมากที่สุดมาโดยตลอดก็คือเย่เซียว นอกจากเขาจะต้องพบเจอการทรยศหักหลังแล้วยังต้องรู้สึกผิดต่อลูกน้องยี่สิบห้าชีวิตที่สูญเสียไป โดนทำร้ายความรู้สึกอย่างมากทำให้บางครั้งเขาย่อมต้องรอบคอบระวังยิ่งกว่าเดิมเมื่อต้องเปิดรับความสัมพันธ์ใหม่ๆ


เขาปล่อยวางไป๋ซู่เย่ไม่ได้ ลืมไม่ลง ความรู้สึกนั่นมันฝังอยู่ในใจถึงขั้นฝังรากหยั่งลึกถึงกระดูก แต่ความรักแบบนี้ไม่เคยมีคำว่าเชื่อใจ


ขณะนี้เย่เซียวที่คอยระแวงเธอมาตลอดสามารถพูดคำขาดว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้เสแสร้ง ถ้าเช่นนั้นแล้วบางทีอาจจะไม่ใช่ความบังเอิญจริงๆ


หยูอันไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น


……………………


ประชุมช่วงเช้าวุ่นวายมาก


เย่เซียวนั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะ ประชุมเช้าสองชั่วโมงดูนาฬิกาไปสี่ครั้ง กับเรื่องงานเขาจดจ่อกับมันอยู่เสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขนาดนี้


ไม่รู้ว่าเธอตื่นแล้วหรือยัง รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม อาหารเช้าล่ะ? ทานหรือยัง? อาหารของโรงพยาบาลจะถูกปากเธอหรือเปล่า?


เย่เซียวเหม่อลอยทันทีที่นึกถึงเธอ


“นายท่าน?” เสียงหยูอันดึงสติเขากลับมา


 “ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ?” มองเขาอย่างเป็นห่วงแวบหนึ่ง


เขาส่ายศีรษะ นิ้วยาวเคาะหน้าโต๊ะ “พักสิบนาที สิบนาทีหลังจากนี้ค่อยต่อ”


พูดสั่งเสร็จเขาเลื่อนเก้าอี้ ลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์เดินออกจากห้องทำงานโดยไม่หันกลับมา


หัวหน้าฝ่ายต่างๆ ที่ยังนั่งอยู่ในห้องประชุมต่างมองกันและกัน “นายน้อยเป็นอะไรไป วันนี้ดูท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย”


 “จะเป็นอะไรได้? เกิดเรื่องในวันแต่งงาน ในเวลาสั้นๆ แบบนี้จะให้กลับมาเหมือนเดิมคงยากอยู่หรอก”


 “แกคิดว่าเป็นแกหรือไง นายน้อยไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้น ได้ยินว่าในวันแต่งงานเจ้าสาวฆ่าตัวตายต่อหน้าเขา ตอนที่ถูกลากศพออกไปเขาไม่แม้แต่จะปรายตามองสักนิด ยังคงเย็นชาเหมือนเดิมเสมอเลยนะ…” เสียงของคนนั้นแผ่วลงเรื่อยๆ เมื่อพูดมาถึงประโยคท้ายๆ


 “พวกแกเบื่อที่ทำงานมานานใช่มั้ย? ถ้าเบื่อไม่มีเรื่องอะไรให้ทำก็ไสหัวไปได้เลย!” หยูอันกระแทกปิดเอกสารดัง ‘ปึง–’เงยหน้าขึ้นปรายตาที่คมเฉี่ยวเย็นชาดั่งปลายมีดแหลมคมใส่พวกที่กระซิบกระซาบกัน หลังสองคนนั้นลนอยู่ครู่ก็รีบปิดปากเงียบ ก้มหน้าไม่กล้าสบตาหยูอัน ใครจะรู้ว่าหยูอันหูดีขนาดนั้นล่ะ!


……………………


เมื่อไป๋ซู่เย่ตื่นมานั้นท้องฟ้าข้างนอกก็สว่างเต็มที่แล้ว


ช่วงนี้ร่างกายเหนื่อยล้าเกินไปทำให้เมื่อคืนหลับสนิทและตอนนี้เริ่มมีพลังขึ้นไม่น้อย


เมื่อคืน…


ความคิดเธอหยุดชะงัก


จำได้เลือนรางคล้ายว่าเย่เซียวจะอยู่เคียงข้างตัวเอง แถมเขายังกอดตัวเองอยู่ทั้งคืน…


กระทั่งตอนนี้เธอยังจำอ้อมกอดเขาได้…


เธอหันหน้ามองไปตำแหน่งข้างกายอัตโนมัติ แต่ว่า ว่างเปล่า


เธอยื่นมือสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วลูบจับ ตรงนั้นเย็นเฉียบไม่มีไออุ่นใด กวาดมองทั้งห้องแวบหนึ่งก็ไม่มีร่องรอยที่เขาเคยมา…


หัวใจดำดิ่ง


หันข้างน้อยๆ นอนขดตัวเป็นก้อน


ที่แท้ก็ฝันจริงๆ…


นั่นสิ


เย่เซียวอยู่ต่างประเทศ จะปรากฏตัวในโรงพยาบาลได้อย่างไร ลองถอยมาสักหมื่นก้าวต่อให้ตอนนี้เขากลับประเทศแล้ว จากท่าทีเย็นชาที่เขามีต่อเธอช่วงนี้เขาก็ไม่มีทางมา…


นึกถึงเขาพาลนึกไปถึงน้ำเสียงจริงจังที่ฟังดูเย็นชาในสายโทรศัพท์ของเขา อัดอั้นในอกจนบีบรัดให้รู้สึกแย่ไปหมด


จู่ๆ ก็รู้สึกว่าระหว่างพวกเขาห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ…


และจู่ๆ ก็พบว่าระยะนี้ระหว่างเธอกับเย่เซียว ความจริงมีแต่เย่เซียวที่เป็นฝ่ายเข้าหาตัวเองก่อน พอตอนนี้…ยามที่เธออยากจะเข้าหาเขากลับไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีใด


………………


หัวหน้าพยาบาลที่เฝ้าเวรอยู่ได้รับสายจากเจ้านายกะทันหันก็ตกใจอย่างมาก ต่อให้อีกฝ่ายไม่อยู่ตรงหน้าแต่ก็ลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ


 “คุณเย่”


 “คนไข้ห้อง V208 ตื่นหรือยัง?”


 “เมื่อกี้ตอนไปตรวจห้องยังนอนอยู่ค่ะ แต่ตอนนี้น่าจะตื่นแล้ว คุณจะคุยกับเธอหรือคะ? ฉันจะไปเรียกเธอมารับสาย”


 “ไม่ต้องหรอก” เย่เซียวบอกและถามเพียง “มีไข้มั้ย?”


 “เมื่อกี้ตอนไปตรวจห้องทุกอย่างปกติดีค่ะ”


 “อืม” น้ำเสียงเย่เซียวผ่อนคลายลงมาก “เตรียมอาหารเช้าชุดหนึ่งเข้าไปในห้องของเธอ ไม่เอาอาหารทะเล ไม่เอาเผ็ดและไม่มัน”


 “ได้ค่ะ คุณวางใจได้ ฉันจะรีบให้คนไปเตรียม”


เย่เซียวไม่ว่าอะไรอีกแค่เป็นฝ่ายวางสายไปก่อน


หัวหน้าพยาบาลเหลือเชื่อมากว่าคนที่เพิ่งโทรหาเธอจะเป็นเย่เซียวที่เย็นชาถึงขั้นฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาในตำนานคนนั้น?


นี่มันผู้ชายแสนดีที่เอาใจใส่มากๆ ต่างหาก!


 “คนไข้ห้อง V208 คงไม่ใช่คุณนายในอนาคตของเราหรอกนะ?” ไม่อย่างนั้นเจ้านายจะสั่งการไว้ละเอียดขนาดนี้ได้อย่างไร?


 “ก็ไม่แน่หรอก เมื่อวานเจ้านายมาอยู่เป็นเพื่อนทั้งคืนแหนะ!แล้วก็นะ จะว่าไปคุณไป๋หน้าตาคล้ายกับคุณนายคนก่อนมากเลย” พยาบาลอีกคนตอบรับ


 “งั้นเหรอ?” หัวหน้าพยาบาลอดถามไม่ได้ แต่ทันใดนั้นด้วยจรรยาบรรณในอาชีพก็ทำให้เธอโบกมือปัด ตั้งท่ากล่าว “ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเรา รีบไปทำงานตัวเองได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมอาหารเช้าให้คุณนาย”


……………………

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม