อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! 738-745

ตอนที่ 738 หลับไปพร้อมอ้อมกอด (1)

 

หัวใจไป๋ซู่เย่ในเวลานี้ปวดหนึบถึงขั้นสุด


 


 


ภาพที่เย่เซียวเป่าผมให้เธอเมื่อสิบปีก่อนแวบผ่านในหัวไม่หยุดหย่อนราวกับเปิดหนัง รายละเอียดที่อดีตหลงคิดว่าลืมไปแล้ว มาตอนนี้เพิ่งรู้ตัวว่าจดจำได้แม่นยำขนาดไหน…


 


 


 “ผมยังเปียกอยู่ ห้ามขึ้นเตียง!” เธอในเมื่อนั้นเพิ่งทิ้งตัวลงบนเตียงก็ถูกเย่เซียวฉุดตัวขึ้นอย่างไม่ปราณี


 


 


 “อื้อ ให้ฉันนอนเถอะ เย่เซียว ขอร้องล่ะ…วันนี้ฉันขี่ม้ามาทั้งวัน เหนื่อยมาก” เธอพึมพำเสียงออดอ้อน แทบจะเกยอยู่บนตัวเย่เซียวรอมร่อ


 


 


 “ลืมเรื่องที่คราวก่อนไม่เป่าผมให้แห้ง พอตื่นนอนมาก็ปวดหัวไปแล้วใช่มั้ย?” เย่เซียวกอดเธอที่ตัวอ่อนปวกเปียกเป็นก้อนพลางตีหน้าบึ้งตำหนิ


 


 


เธอกลับไม่มีท่าทีจะกลัวสักนิด ตอนนี้ใกล้จะหลับอยู่แล้วโดยที่ดวงตานั้นกึ่งหรี่ตาอยู่ ยิ้มน้อยๆ อย่างงอแง “อืม ลืมไปแล้ว ลืมไปหมดแล้ว…”


 


 


เย่เซียวทำอะไรเธอไม่ได้ ช้อนตัวเธอเดินไปที่ห้องอาบน้ำ สุดท้ายวางเธอลงบนเคาน์เตอร์ลายครามของห้องน้ำ กล่อมเธอนอนไปช่วยเธอเป่าผมไปพร้อมๆ กัน


 


 


——————


 


 


เย่เซียวในเมื่อนั้นเอาอกเอาใจเธอราวกับเด็กคนหนึ่ง


 


 


เธอคิดๆ อยู่ภาพที่แต่เดิมเป็นใบหน้าตัวเอง แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของน่าหลันฉับพลัน


 


 


วันหนึ่งในอนาคตเขาจะทำเรื่องที่กำลังทำให้ตัวเองให้กับน่าหลันเหมือนกัน…


 


 


คิดถึงเรื่องนี้หัวใจบีบคั้นอย่างแรง เจ็บจนเธอหอบหายใจหนักๆ ทีหนึ่ง


 


 


 “ไม่ต้องเป่าแล้ว” เธอเบี่ยงตัวหลบลมจากไดร์เป่าผม


 


 


สีหน้านิ่งขรึมของเย่เซียวมองท่าทางหลบหนีตัวเองของเธอ “มานี่!”


 


 


เธอส่ายศีรษะ…


 


 


ตัวพิงเคาน์เตอร์ลายคราม สองมือจิกหน้าเคาน์เตอร์อย่างแรงถึงฝืนประคองให้ตัวเองยืนทรงตัวได้ ความเจ็บตรงหน้าอกไม่หายไปสักที


 


 


หากไม่มีความอ่อนโยนนี้อีกหลังจากนี้ ตอนนี้ให้เธอจมดิ่งมันให้เธอถลำลึกยิ่งกว่าเดิม สำหรับเธอแล้วเป็นเรื่องที่โหดเ**้ยมมากเรื่องหนึ่ง…


 


 


 “มานี่ คุณเพิ่งหายป่วย อย่าเป็นหวัด” เย่เซียวใช้น้ำเสียงราบเรียบคุยกับเธออย่างปกติ แต่สายตากลับฉายแววยืนกรานไม่ยอมรามือ


 


 


ไป๋ซู่เย่อยากหนีจังเลย…


 


 


เธอแทบจะถูกความทรงจำอันหวานชื่นในอดีตกับความเศร้าเสียใจที่ต้องแยกจากกันของตอนนี้ทรมานปางตาย


 


 


เธอไม่สนเย่เซียวหมุนตัวเดินออกจากห้องอาบน้ำ แต่เย่เซียวกลับเร็วกว่าเธอหนึ่งก้าว แขนยาวยื่นกระชากตัวเธอกลับมา เจ้าตัวถูกตรึงไว้ตรงกำแพง ร่างสูงใหญ่ของเขาทาบทับลงมา


 


 


แต่ยังไม่รอให้เขาได้เอ่ยปากน้ำตาหยดหนึ่งร่วงจากดวงตาของไป๋ซู่เย่ “เย่เซียว คุณรู้มั้ยว่าคุณใจร้ายมากที่ทำแบบนี้กับฉัน?”


 


 


พอเอ่ยปาก น้ำเสียงแหบแห้ง


 


 


เขาชะงักนิ่ง


 


 


เสียงประท้วงของเธอสร้างความงุนงงแก่เขา แต่ความรู้สึกสงสารเธอ กลับกลายเป็นสัญชาตญาณ…


 


 


 “อีกไม่นานคุณก็จะเป็นสามีของผู้หญิงคนอื่นแล้ว คุณมีสิทธิ์อะไรมาสนใจฉันจะเป็นหวัดหรือไม่เป็นหวัด? แล้วมีสิทธิ์อะไรมาดีกับฉัน?” น้ำตาเธอพรั่งพรูราวกับหยาดฝน “เย่เซียว คุณรู้มั้ย ตอนนี้ฉัน…ตอนนี้ยอมให้คุณเหยียดหยามฉัน ทรมานฉันเหมือนคราวที่เราเพิ่งเจอกัน…”


 


 


เช่นนั้นอย่างน้อยในวันเวลาแสนยาวนานที่เหลือ เธอจะเกลียดเขาได้ กล่อมตัวเองให้ปล่อยวางเขา…


 


 


ดวงตาเย่เซียวฉายแววเจ็บปวดวูบหนึ่ง เขาวางไดร์เป่าผมลงช้าๆ ใช้สายตาไล่ต้อนเธอ“คุณอยากลืมผมขนาดนั้นเชียวเหรอ?”


 


 


 “…ใช่” เธอพยักหน้าแรงๆ “ฉันจะลืมคุณ จะต้องลืมคุณ…”


 


 


ไม่อย่างนั้นเธอจะตาย ไม่สิ แต่ตายทั้งเป็น…


 


 


เย่เซียวหายใจหนักอึ้ง เขาไม่อยากให้เธอลืมตัวเอง ไม่ว่าจะในความทรงจำจะดีหรือเลวร้าย เขาหวังว่าในใจเธอจะมีตำแหน่าของเขาอยู่อย่างเห็นแก่ตัว ต่อให้จะเป็นมุมเล็กๆ ก็ตาม


 


 


แต่ว่า…


 


 


สุดท้ายคำพูดเหล่านี้ล้วนถูกเก็บเข้าท้องยามเผชิญหน้ากับน้ำตาเธอ เขาได้แต่พูดเสียงเรียบ “ในเมื่อแบบนี้ คุณเป่าผมให้แห้งเองแล้วออกมาเถอะ”


 


 


ประโยคสุดท้ายน้ำเสียงแหบพร่าแฝงด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่ลึกๆ


 


 


ไป๋ซู่เย่ยืนพิงกำแพงไม่ขยับตัวอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งตัวเขาหายไปจากห้องอาบน้ำประตูถูกปิดลงเธอถึงหลังพิงกำแพงเย็นเฉียบทรุดตัวนั่งลงกับพื้นช้าๆ


 


 


ใบหน้าขาวซีดถูกซุกเข้าระหว่างหัวเข่า


 


 


ท้ายที่สุด…


 


 


ผู้ชายที่ตัวเองไม่เคยลืมมานับสิบปี ผู้ชายที่ทำตัวเองกินยานอนหลับมาตลอดสิบปี ก็กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว…


 


 


นับจากนี้ไปกลายเป็นผู้ชายที่เธอคว้าจับไม่ได้ แตะต้องไม่ได้แล้วจริงๆ…


 


 


ไป๋ซู่เย่กุมหน้าอกไว้อย่างแรงแต่ความเจ็บปวดกลับไหลทะลักเข้ามาไม่หยุด…


 


 


……………………


 


 


เย่เซียวนอนบนเตียง ดวงตาที่จ้องเพดานห้องแดงระเรื่อ ในหัวมีแต่ประโยคของเธอ ‘ฉันจะลืมคุณ จะต้องลืมคุณ…’ วนเวียนไปมาอยู่นาน


 


 


สูดหายใจเข้าลึกๆ เขาหลับตาลง


 


 


ในห้องอาบน้ำไม่มีเสียงไดร์เป่าผมดังขึ้นอีก


 


 


พักใหญ่เธอยังไม่ออกมาเสียที


 


 


ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดลงเรื่อยๆ


 


 


เขานอนบนเตียงอยู่ครู่นาน โทรศัพท์เรียกอาหารเย็นจากห้องอาหารให้ส่งมาที่ห้องโดยตรง เขาถึงผลักประตูกลับเข้าไปที่ห้องอาบน้ำอีกที


 


 


ผู้หญิงโง่คนนี้กลับยังนั่งอยู่มุมกำแพง ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด


 


 


ผมสยายปรกลงมา


 


 


เธอต้องนั่งอยู่นี่อย่างน้อยชั่วโมงสองชั่วโมง!


 


 


หัวคิ้วเขากระตุก


 


 


อยากพูดบางอย่างแต่ลำคอเหมือนมีสำลีอุดไว้ไม่ให้ได้เอื้อนเอ่ยสักคำ ย่างกรายเข้าไปก้มลงช้อนตัวเธอขึ้นจากพื้นเบาๆ


 


 


เขาคิดว่าเธอหลับไปแล้วแต่วินาทีที่เขาช้อนตัวเธอขึ้นนั้นเธอกลับอ้าแขนกอดเขาแน่น


 


 


ร่างกายเผลอเกร็ง


 


 


ชั่วขณะนี้หัวใจที่แข็งแกร่งเสมออ่อนนุ่มขึ้นอย่างมากโดยไม่รู้ตัว เขาก้มมองใบหน้าเล็กที่ขาวซีดของเธอในอ้อมแขน “ผมอุ้มคุณออกไปทานอะไรหน่อย”


 


 


 “…ฉันไม่อยากอาหาร” ทุกการขัดขืนดิ้นรนเพื่อต่อลมหายใจสุดท้ายของเธอ ท้ายมาก็สู้ความต้องการในความอบอุ่นหยาดสุดท้ายนี้ของเธอไม่ได้ ไม่ได้ผลักไสเขา กลับกอดเขาแน่นกว่าเดิม 


 


 


 “ทานให้มากๆ หน่อย” เขาเองก็ไม่อยากอาหารเหมือนกัน


 


 


ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ กล่าวอย่างวิงวอน “เย่เซียว ให้ฉันนอนหน่อย…ได้มั้ย? ฉันปวดหัว…”


 


 


เย่เซียวเงยหน้าดูเวลาแวบหนึ่ง“คุณยังนอนได้อีกสองชั่วโมง”


 


 


 “ได้ งั้นก็นอนแค่สองชั่วโมง” ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ถามไปมากกว่านี้ ทำไมถึงต้องสองชั่วโมง ความจริงใจเธอรู้ดี


 


 


ภายในห้องที่คุ้นเคยแห่งนี้ ซึ่งเป็นจุดชมพลุดอกไม้บนทะเลที่ดีที่สุด


 


 


เย่เซียววางเธอลงบนเตียง สองมือเธอที่โอบลำคอเขายังไม่ปล่อย เปลือกตาปิดลงแผ่วเบา เขาได้ยินเพียงเสียงแผ่วเบาของเธอ “เย่เซียว คุณกอดฉันนอนเถอะ ได้มั้ย?”


 


 


ดวงตาเขาฉายแววล้ำลึกวูบหนึ่ง


 


 


จ้องมองเธอ สุดท้ายพยักหน้า “ได้”


 


 


มือหนึ่งของเขากอดเธอ อีกมือเลิกผ้าห่มขึ้นให้ทั้งสองคนล้มลงบนเตียงใหญ่พร้อมกัน เขาดึงผ้าห่มมาห่อทั้งคู่อย่างมิดชิด


 


 


กายที่เย็นเฉียบทั้งสองร่าง ณ วินาทีนี้ กำลังเพรียกหาความอบอุ่นจากอีกฝ่ายอย่างสิ้นหวัง


 


 


ไป๋ซู่เย่งอตัวอยู่ตรงอกเขา พึมพำด้วยสติที่เลือนราง “ฉันไม่ได้นอนดีๆ มานานแล้ว…”


 


 


เย่เซียวตบหลังเธอเบาๆ พักใหญ่ถึงกลั่นเสียงตอบว่า“ผมก็เหมือนกัน” 

 

 


ตอนที่ 739 หลับไปพร้อมอ้อมกอด (2)

 

 


 


เธอแย้มปากยิ้มจางๆ หางตากลับมีน้ำตาซึมออกมา


 


 


ในเวลาที่ยาวนานของอนาคต เธอกลัวเพียงตัวเองจะเป็นร่างไร้วิญญาณที่ต้องพึ่งพายาพวกนั้นอีก…


 


 


ชีวิตแบบนั้นแค่คิดก็ทุกข์แล้ว


 


 


ไป๋ซู่เย่หลับไปแล้ว


 


 


ได้ฝันที่นานมากๆ


 


 


ในฝันย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อน


 


 


แสงสดใสกระจ่าง มีโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งตระหง่าน


 


 


เย่เซียวใส่ชุดเจ้าบ่าวยืนอยู่ข้างบาทหลวง


 


 


เธอสวมชุดแต่งงานมือถือช่อดอกไม้ย่างเข้าไปหาทีละก้าวๆ ภายใต้เสียงดนตรีบรรเลงคลอ


 


 


“เย่เซียว…”


 


 


เธอยิ้ม เรียกชื่อเขาเบาๆ


 


 


ใต้ผ้าห่มเย่เซียวจูบปากเธอ จูบลำคอของเธอ ไหปราร้า ได้ยินเสียงเธอเรียกตัวเองจึงเงยหน้ามอง


 


 


เธอมองเขาในสภาพที่กึ่งหลับกึ่งตื่น “ตอนที่คุณใส่ชุดเจ้าบ่าว ดูดีจังเลย…”


 


 


หัวใจบีบรัด


 


 


เย่เซียวหายใจหนักอึ้งน้อยๆ ก้มหน้าลงประทับจูบปากเธอ


 


 


เธอไร้หัวใจมากขนาดไหนกันที่เวลานี้แล้วยังพูดแบบนี้ออกมาได้อยู่อีก!


 


 


เดิมทีไป๋ซู่เย่อยากบอกว่าตอนที่ตัวเองใส่ชุดเจ้าสาวก็สวยมาก งดงามไปทั้งโบสถ์…


 


 


แต่ความเจ็บตรงริมฝีปากปลุกเธอตื่นในทันที


 


 


ชายหนุ่มที่ทับอยู่บนตัวตนเองไม่ได้ใส่ชุดเจ้าบ่าว ส่วนตัวเอง…ก็ไม่ได้ใส่ชุดเจ้าสาว


 


 


พวกเขาไม่ได้อยู่ที่โบสถ์…


 


 


เมื่อรับรู้ว่าความดีงามทุกอย่างที่สัมผัสเมื่อกี้เป็นเพียงความฝันนั้น ความรู้สึกนั่นมันช่างแย่ยิ่งกว่าโดนน้ำเย็นหนึ่งถังราดหัว คล้ายถูกจับโยนใส่บ่อน้ำเย็นยะเยือกอย่างไร้ความปราณีมากกว่า ถูกสูบเรี่ยวแรงไปทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่แรงจะหายใจ…


 


 


เธออยากร้องไห้จังเลย


 


 


แต่ความรู้สึกอัดอั้นตรงหน้าอกทำให้ร้องไห้ไม่ออก…


 


 


รู้สึกเพียงว่าทรมานไปยันทุกอณูของร่างกาย…


 


 


เย่เซียวไม่รับรู้ว่าเธอฝันเช่นไร เห็นเธอตื่นแล้วกลับประกบจูบเธอหนักหน่วง จูบที่ปะทะเข้ามาของชายหนุ่มทำให้เธอเชิดหน้าตอบรับจูบของเขาด้วยอัตโนมัติ


 


 


เย่เซียวต้องการเธอ มากเสียจนรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว คราวก่อนในห้องนี้ความเจ็บตรงหัวใจสามารถบรรเทาความต้องการที่เขาต้องการเธอจนแทบบ้าได้ แต่วินาทีนี้เขาไม่อาจทนไหวอีกต่อไป


 


 


เลิกผ้าห่มกระชากชุดนอนบนตัวเธออย่างรวดเร็ว ช้อนตัวเธอขึ้นพลางแยกขาของเธอให้นั่งควบอยู่บนร่างกายตัวเอง ยกบั้นท้ายเธอขึ้นก่อนจะสอดกายเข้าหาอย่างรุนแรงและหนักหน่วง


 


 


เจ็บ


 


 


เมื่อครู่เพิ่งลืมตารวมทั้งร่างกายของเธอที่ยังไม่ตื่นเต็มที่ ขนาดของเย่เซียวทำให้เธอยากจะรับไหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วบวกกับในเรื่องนี้เขาไม่เคยรู้จักคำว่า ‘อ่อนโยน’


 


 


เธอเจ็บจนหลุดเสียงครางฮึมเบาๆ หรี่ตามองเขา ท่าทางอย่างนั้นเย้ายวนสุดหัวใจ กระตุ้นให้เขาเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าเดิม


 


 


เย่เซียวหยุดการกระทำถามเสียงแหบ “เจ็บใช่มั้ย?”


 


 


แต่ ณ ตอนนี้ต่อให้เจ็บ…เขาก็ไม่อาจถอนตัว เขาต้องการเธอ ต้องการเธอมากๆ…ความคิดนี้ขอแค่ได้ผุดขึ้นมาก็หักห้ามไม่ได้


 


 


ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร”


 


 


“ผมจะลองเบาแรงลง แต่ถอนตัวออกไปไม่ได้”


 


 


ความจริงเธอไม่ได้อยากให้เขาถอนตัวออกไปเช่นกัน…


 


 


ไม่อยากเลยสักนิดเดียว…


 


 


ต่อให้เจ็บ เธอก็ยอมรับทุกอย่างนี้อย่างยินยอมพร้อมใจ…


 


 


ไป๋ซู่เย่กอดลำคอเขาก่อน จูบปากเขา เดิมทีเย่เซียวก็แทบหักห้ามใจไม่ไหวพอถูกเธอยั่วยวนเข้าแบบนี้ก็ยิ่งควบคุมยากเข้าไปกันใหญ่


 


 


…………


 


 


นอกหน้าต่าง


 


 


‘ปัง–’ เสียงหนึ่งดังขึ้น แสงพลุหลากหลายสีสันราวกับสายรุ้งทะยานสู่ท้องฟ้าเหนือทะเล แทบจะจุดความสว่างให้กับเมืองทั้งเมือง ด้านนอกแสงไฟระยิบระยับ ข้างในร้อนแรงไม่มีที่สิ้นสุด


 


 


บนเตียง


 


 


ชายหนุ่มและหญิงสาวตระกองกอดพัวพันอย่างกระตือรือร้น


 


 


เธอปรับร่างกายให้ชินได้แล้ว ความเจ็บในยามแรกได้หายไปท่ามกลางความเสียวซ่านที่ทำเอาเธอแทบบ้า แรงกระแทกรุนแรงของเย่เซียวทำให้เธอที่หมอบคลานอยู่ใต้ร่างเขาความคิดประติดประต่อไม่ได้ มือกำผ้าปูเตียงข้างใต้แน่น


 


 


รอพลุดอกไม้ไฟนอกหน้าต่างปรากฏขึ้นเธอถึงฝืนลืมตาดู


 


 


“เย่เซียว…”


 


 


“หืม?” เขาที่กำลังรุกรานภายในร่างกายเธอนั้นเสียงแหบพร่าเซ็กซี่ถึงที่สุด


 


 


“…คุณไม่ได้พาฉันมาดูพลุดอกไม้ไฟหรอกเหรอ?” เสียงของเธอเย้ายวนกระเส้า


 


 


“คุณอยากดูพลุดอกไม้ไฟ?”


 


 


“อืม…”


 


 


“ได้ งั้นเราไปดูพลุดอกไม้ไฟ”


 


 


ขณะที่เขาคิดจะอุ้มเธอไปดูพลุดอกไม้ไฟจริงๆ นั้นไป๋ซู่เย่ก็รู้สึกคิดผิด


 


 


“เย่เซียว คุณอย่าอยู่นี่…” เธอคลานกับพื้นติดหน้าต่างตั้งพื้นในร่างเปลือยเปล่า เย่เซียวรุกล้ำเข้ามาจากด้านหลัง พลุดอกไม้ไฟข้างนอกพาแสงเข้ามาสาดส่องเรือนร่างกันและกัน


 


 


แสงไฟที่ห่างไกลออกไปแพรวพราวน่าหลงใหล ทั้งเมืองเยียวอยู่ใต้เท้าพวกเขา


 


 


แต่ว่า…


 


 


นี่มันหน้าต่างติดพื้นเชียวนะ นี่มัน…ชักจะกล้าเกินไปหรือเปล่า?


 


 


เย่เซียวประคองเอวคอดกิ่วของเธอ พละกำลังที่กระแทกกระทั้นเข้ามาไม่ได้ผ่อนเบาลงสักนิด “คุณอยากดูพลุดอกไม้ไฟไม่ใช่เหรอ? ดูดีๆ ตั้งใจหน่อย…”


 


 


“…” แบบนี้แล้วใครจะมีอารมณ์ดูพลุดอกไม้ไฟอีก? จะตั้งใจได้อย่างไรไหว?


 


 


ยังดีที่พวกเขาอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมและเป็นตึกที่สูงที่สุด ตรงข้ามไม่มีใครเห็นพวกเขาได้


 


 


ผลสุดท้าย…


 


 


ทั้งคุ่ไม่ได้ดูพลุดอกไม้ไฟเลย เพราะในตาต่างมีเพียงกันและกัน เป็นประกายทอแสงและน่าหลงใหลยิ่งกว่าพลุดอกไม้เหล่านั้น…


 


 


ภายใต้ท้องฟ้าแสงเจิดจรัส ร่างกายของชายหนุ่มและหญิงสาวเกี่ยวกระหวัดแนบแน่น


 


 


ไป๋ซู่เย่กำลังคิด…


 


 


ในอนาคตวันใดวันหนึ่งหญิงสาวที่จะถูกเย่เซียวเพรียกพร้ำต้องการอยู่ภายใต้ร่างเขาแบบนี้จะไม่มีวันเป็นเธออีกต่อไป…


 


 


……………………


 


 


ตลอดคืนนี้ทั้งคู่แทบไม่ได้นอน


 


 


กระทั่งฟ้าสว่างทั้งคู่ถึงได้หลับตาสักที


 


 


เมื่อเย่เซียวตื่นมาอีกทีเธอได้เตรียมตัวนั่งหันหลังให้เขาอยู่ริมหน้าต่างเงียบๆ เขามองไม่เห็นสีหน้าของเธอ


 


 


 


 


 


พักใหญ่เธอหันกลับมามองเขา “เย่เซียว ส่งฉันไปที่สนามบินเถอะ ฉันควรกลับไปแล้ว…”


 


 


นัยน์ตาเธอรื้นด้วยน้ำใสจางๆ ภาพทุกอย่างตรงหน้าเริ่มพร่ามัว


 


 


เขานอนอยู่บนเตียงจดจ้องเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ เขายังคาดหวังให้เธอพูดอย่างอื่นบ้างแต่จนท้ายที่สุดเธอมีเพียงความเงียบ


 


 


กลับไปเถอะ…


 


 


ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปเถอะ…


 


 


เขาเลิกผ้าห่มออกลุกจากเตียง “รอผมก่อน ผมจะไปอาบน้ำ”


 


 


…………………


 


 


ไป๋ซู่เย่ถูกคนของประเทศ S รับกลับไปจากเมืองเยียวโดยตรง


 


 


เครื่องบินทะยานสู่ท้องฟ้าจวบจนหายไปจากสายตาเย่เซียวถึงสั่งให้คนขับรถออกรถ


 


 


ตลอดทางไร้คำพูดใดๆ


 


 


สายตาเย่เซียวมองไปนอกหน้าต่างตั้งแต่ขึ้นรถ บรรยากาศภายในรถอึดอัดแทบหายใจไม่ออก


 


 


รถยนต์ขับตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลไฟ


 


 


“ลุงหมิง ผมจะพบพ่อบุญธรรมผม” เย่เซียวเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ถอดเสื้อกันหนาวออกส่งให้คนขับใช้ข้างๆ


 


 


เฉิงหมิงหยักหน้ารับ “นายน้อย ไปห้องหนังสือเถอะ คุณไฟรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว”


 


 


……


 


 


ในห้องหนังสือไฟเรนเซ่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นและกำลังใช้พู่กันจีนเขียนบางอย่างอยู่–无欲则刚 คำว่า ‘刚’ยังเขียนไม่เสร็จดี


 


 


“ส่งกลับไปแล้วเหรอ?” ไฟเรนเซ่ได้ยินเสียงฝีเท้าไม่แม้แต่จะเชยตามอง กล่าวเพียง “นั่งสิ”


 


 


 เย่เซียวรู้ว่าไม่มีเรื่องใดปิดบังเขาได้ เขานั่งลงตรงหน้าโต๊ะหนังสือ “ท่านให้ผมแต่งงาน ได้ แต่ช่วยส่งคืนแม่ผมให้ผมด้วย” 

 

 


ตอนที่ 740 ท้องหรือ (1)

 

 “มาเจรจากับฉันอีกแล้ว?” ไฟเรนเซ่ชะงักพู่กันในมือ น้ำหมึกสีดำแต้มจุดดวงใหญ่ลงบนหน้ากระดาษแผ่นขาว “แม่ของแกมีแต่จะเป็นตัวถ่วงแก เย่เซียว ผู้ชายที่มีผู้หญิงเป็นภาระ ไม่มีวันยิ่งใหญ่หรอกนะ!”


 


 


 “เป็นภาระยังไงท่านก็เป็นแม่ของผม ผมยินยอมพร้อมใจ อีกอย่าง…” เย่เซียวหยุดค้างไปอึดใจ ปรายสายตาไปทางไฟเรนเซ่ “ผมเคยบอกท่านตั้งนานแล้วว่าธุรกิจของท่าน ผมไม่มีความสนใจ”


 


 


 “ไม่สนใจแกก็ต้องสนใจให้ได้!ที่ฉันทุ่มเทมากขนาดนี้ก็เพื่อใคร?”


 


 


เย่เซียวเชยตาเรียบนิ่ง สีหน้าเย็นชาดังเดิม “ท่านทุ่มเทก็คือการหาทุกวิถีทางเพื่อให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมไม่ได้รัก?”


 


 


ไฟเรนเซ่หลุดขำ “เย่เซียว สุดท้ายแกก็อยากให้ฉันอนุญาตให้แกแต่งงานกับเธอ แกยังคงคาดหวังอยู่ ลองใจผู้หญิงที่ใจร้ายใจดำกับแก แกลองกุมหัวใจตัวเองแล้วคิดให้ดี!”


 


 


เย่เซียวตัวสะท้านเฮือก ลมหายใจหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม


 


 


 “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แกเย่เซียวกลายเป็นคนที่ยอมผูกติดกับคนอื่น? ถ้าตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นบอกแกสักประโยคว่า ‘อย่าแต่งงาน’ ‘อย่าแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น’ ล่ะก็ แกเย่เซียวยังจะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับฉันก่อนหน้านี้แล้วแต่งงานกับน่าหลันมั้ย? ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าแกจะเชื่อฟังขนาดนี้”


 


 


ถ้อยคำของไฟเรนเซ่ตรงประเด็นทุกอย่างต่อให้ความจริงเขาไม่อยากยอมรับก็ตาม


 


 


แต่หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ยังคาดหวังอยู่ ยังลองเชิงว่าเธอสนใจตัวเองสักนิดหรือไม่ แล้วจะมีคืนพลุดอกไม้ไฟเมื่อคืนได้อย่างไร?


 


 


แต่สุดท้าย…


 


 


 


 


 


“ถ้าฉันเดาไม่ผิด เธอทำให้แกผิดหวังอีกสินะ? ตอนหมั้นเธอไม่ได้ห้ามแถมยังแสดงท่าทีเข้าอกเข้าใจ แต่ตอนนี้แกจะแต่งงานแล้ว เธอเคยพูดสักประโยคที่รั้งแกมั้ย? เย่เซียว ตอนนี้แกน่าจะตายใจได้แล้ว!”


 


 


เย่เซียวกำหมัดแน่น ลมหายใจหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิมมาก


 


 


ความจริง…


 


 


นับตั้งแต่วันที่ถังซ่งบอกว่าเขาว่าเธอรู้ข่าวแต่งงานของเขาและไร้ปฏิกิริยาใดๆ เขาก็พอจะเดาได้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร


 


 


เมื่อคืน…


 


 


เขายิ่งเข้าใจ…


 


 


นอกจากเธอจะไม่รั้ง กลับยังตัดสินใจแน่วแน่ว่า…จะลืมเขา…


 


 


จะลืมเขาให้หมดจด…


 


 


 “ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะพรากพวกแกหรอกนะ แต่เธอไม่มีค่าพอที่แกจะทำแบบนี้!เย่เซียว ถ้าแกยังไม่ตายใจ ฉันให้โอกาสแกอีกครั้งก็ได้—ถ้าวันที่แกแต่งงาน เธอกล้าก้าวออกมาขวางแกกับน่าหลันแล้วผ่านการทดสอบจากฉัน ต่อจากนี้ไปนอกจากฉันจะไม่ยุ่งเรื่องพวกแกสองคน ฉันจะส่งตัวแม่แกคืนอย่างดีไม่มีส่วนไหนขาดหาย ถ้าพวกแกอยากแต่งงานหรืออยากไปท่องโลกที่ไหนก็ไปได้เลย แต่ถ้าเธอไม่ปรากฏตัว หลังจากนี้แกต้องรับมือทุกอย่างของฉัน ห้ามพูดคำว่า ‘ไม่สนใจ’กับฉันอีก เป็นไง? แกมีความมั่นใจมั้ย? กล้าพนันหรือเปล่า?”


 


 


สายตาเย่เซียวประสานกับไฟเรนเซ่นิ่งๆ แวบหนึ่ง สุดท้ายปากบางขยับเคลื่อน “ได้ ผมจะพนันกับท่านเอง”


 


 


ความจริงแล้วเขาเย่เซียวไม่มีอะไรที่ต้องเสียอีกแล้ว


 


 


ตอนนี้เหลือเพียงตัวคนเดียว


 


 


เพียงแต่…


 


 


เขายังมีความมั่นใจนี้ได้อีกไหม?


 


 


เขาเปิดประตูห้องหนังสือย่ำเท้าเดินออกไป พิงกำแพงจุดบุหรี่ดูดเข้าปอดหนักๆ สองคำ


 


 


ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยสร้างความมั่นใจให้เขาเลย


 


 


ตั้งแต่แรกเริ่มสิ่งที่เธอทำล้วนเป็นการถอนตัวด้วยความหวังดีเสมอ ไม่เคยแก่งแย่งคล้ายว่าทุกอย่างเป็นเพียงความต้องการของเขาฝ่ายเดียว


 


 


ฉะนั้นในโลกของเธอ เขาเย่เซียวอยู่ในตำแหน่งใดกันแน่? มีหรือไม่มีก็ได้ อึดอัดหรือเป็นเพียงก้อนเนื้อที่เคี้ยวไม่ได้รสชาติแต่จะทิ้งก็เสียดาย?


 


 


…………………………


 


 


อีกฟากหนึ่ง


 


 


ไป๋ซุ่เย่ลงจากเครื่องบินขณะที่ก้าวออกจากประตูก็เห็นท่านผู้เฒ่า ฮูหยินไป๋ ไป๋เย่ฉิงรวมถึงไป๋หลางตรงนั้นแต่ไกล


 


 


เธอเพิ่งปรากฏตัวฮูหยินไป๋ก็ได้วิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา ไม่พูดพร่ำทำเพลงรวบเธอเข้าไปกอดแน่น


 


 


 “ซู่ซู่…มา ให้แม่ดูดีๆ หน่อย!” ฮูหยินไป๋ตาแดงระเรื่อ


 


 


 “แม่ หนูไม่เป็นไร…” เธอพูดปลอบ หลังกลับจากความเสี่ยงตายครั้งแล้วครั้งเล่า กลับมายังผืนแผ่นดินอันคุ้นเคยนี้ ราวกับผ่านไปแล้วครึ่งศตวรรษ


 


 


 “แม่ได้ยินว่าแขนของลูกบาดเจ็บแล้วยังป่วยเป็นโรคอะไร ตอนนี้หายหรือยัง? เจ็บตรงไหนให้แม่ดูหน่อย!”


 


 


 “แผลหายตั้งนานแล้ว หายป่วยแล้วเหมือนกัน แม่ดูสิ ตอนนี้หนูสบายดีไม่ใช่เหรอ?”


 


 


 “ดีตรงไหน? แม่เห็นลูกผอมลงตั้งเยอะ!” ฮูหยินไป๋ปาดน้ำตา


 


 


 “พอแล้ว กลับมาได้ยังไงก็เป็นเรื่องดี งานก็เป็นแบบนี้แหละ มีความอันตรายอยู่บ้าง” ท่านผู้เฒ่าพูดแทรก มองลูกสาวแวบหนึ่งที่นอกจากความปวดใจแล้วยังมีความชื่นชม “ภารกิจครั้งนี้ทำได้ไม่เลว ลูกไม่ได้ผิดต่อหน้าที่ของลูก”


 


 


 “ขอบคุณค่ะพ่อ”


 


 


 “รอกลับไปก่อน ลูกผอมลงจริงๆ ให้น้าหลินบำรุงลูกดีๆ หน่อย”


 


 


 “นั่นสิ ซู่ซู่ ครั้งนี้แม่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าห้ามลูกอาศัยข้างนอกคนเดียวอีก ต่อจากนี้ต้องกลับมาจงซันทุกวัน!”


 


 


ไป๋ซู่เย่อมยิ้มน้อยๆ ทีโดยไม่ได้พูดปฏิเสธ ความอบอุ่นของครอบครัวทำให้หัวใจที่เย็นเฉียบของเธออุ่นวาบขึ้นมาชั่วคราว


 


 


มีแรงกดตรงไหล่


 


 


เสื้อโค้ทตัวใหญ่แสนอบอุ่นถูกคลุมตรงไหล่ เธอเงยหน้าจึงสบตาไป๋เย่ฉิง


 


 


 “ข้างนอกหนาว ใส่เสื้อซะ”


 


 


 “อืม”


 


 


 “กลับไปก่อน”


 


 


 “ได้”


 


 


 “ผมไปขับรถให้!” ไป๋หลางเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก หมุนตัววิ่งไปข้างนอก


 


 


……………………


 


 


คนทั้งครอบครัวครึกครื้นอบอุ่น


 


 


ทางครัวได้ทำอาหารอร่อยๆ ไว้เต็มโต๊ะ ความจริงไป๋ซู่เย่ไม่อยากอาหารเท่าไรแต่เพื่อไม่ให้ทุกคนเป็นห่วงจึงฝืนทานไปนิดหน่อย


 


 


ตกดึกพอตอนกลับห้องถึงพบว่ากระเป๋าเดินทางของตัวเองได้ถูกย้ายมาที่นี่เสียแล้ว


 


 


อาศัยอยู่ที่นี่ก็ดี


 


 


อย่างน้อยก็คึกคัก


 


 


ขณะที่อยู่ตัวคนเดียว เธอกลัวตัวเองจะทนกับความเงียบนั้นไม่ไหว


 


 


เธอเปิดกระเป๋าพลางย้ายของข้างในออกมาทีละอย่างๆ ประตูถูกเคาะ เธอกล่าวโดยไม่เงยหน้า “เข้ามา”


 


 


ไป๋เย่ฉิงผลักประตูเข้ามานั่งบนเก้าอี้มองเธออยู่พักใหญ่


 


 


 “มองอะไร?” เธอแย้มปากแสร้งกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ “ฉันไปแค่ไม่กี่วัน แกก็จ้องฉันขนาดนี้เลยหรือไง”


 


 


 “เย่เซียวเป็นคนช่วยเธอ?” ในที่สุดไป๋เย่ฉิงก็เอ่ยปาก


 


 


เอ่ยถึงบุคคลนั้นเรียกให้สีหน้าไป๋ซู่เย่นิ่งค้างไปวูบหนึ่งแต่ก็พยักหน้าเบาๆ “…อืม”


 


 


ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของไป๋เย่ฉิง


 


 


เย่เซียวนั้นแม้ว่าจะเป็นบุคคลอันตรายโหดเ**้ยมไร้หัวใจในสายตาของทุกรัฐบาลแต่กลับเป็นคนที่มีน้ำใจต่อพวกพ้องเข้ากระดูก ไม่อย่างนั้นสิบปีก่อนเธอไม่มีทางทำภารกิจนั้นได้สำเร็จ


 


 


เขามองไป๋ซู่เย่อย่างเป็นห่วงแวบหนึ่ง “เรื่องของเขาเธอ…”


 


 


 “แกหมายถึงเรื่องที่เขาจะแต่งงาน?” ไป๋ซู่เย่ชิงพูดขัดเขา


 


 


 “…” ไป๋เย่ฉิงมีสีหน้าที่ยากจะคาดเดา “ฉันไม่ได้อยากจะพูดถึงเรื่องที่ทำให้เธอเศร้าหรอกนะ แต่ว่า…เธอต้องปรับสภาพจิตใจตัวเองให้ดี ฉันคิดว่าสภาพจิตใจของเธอไม่คงที่เท่าไหร่” 

 

 


ตอนที่ 741 ท้องหรือ (2)

 

พวกเขาเป็นฝาแฝดที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ในท้องของมารดา


 


 


ฉะนั้นความรู้สึกในใจเธอสามารถกลบเกลื่อนคนอื่นได้แต่กลับหนีไม่พ้นเขา เธอก้มหน้า ดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วยอย่างไม่รู้ตัว


 


 


เธอพยายามอย่างมากที่จะเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดในใจ อยากจะแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแต่ของรักของหวงอย่างกล่องดินสอทำจากเครื่องเคลือบเพิ่งจับขึ้นมาแต่กลับร่วงหล่นกระแทกพื้นแรงๆ ดัง ‘ปึง–’ เพราะแรงสั่นระริกที่ควบคุมไม่ได้


 


 


แตกสลายเป็นชิ้นๆ


 


 


ชิ้นส่วนเครื่องเคลือบกระจายไปทั่ว


 


 


เธอมองนิ่งๆ มองชิ้นส่วนเหล่านั้นราวกับหัวใจของตัวเองที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ และแตกสลายไปตั้งนานแล้ว…


 


 


น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงมาอย่างห้ามไม่ไหวอีก


 


 


ไป๋เย่ฉิงปวดหัวใจ ลุกยืนไปรั้งตัวเธอมากอดเงียบๆ ใบหน้าเธอซุกกับลาดไหล่เขา พยายามอดกลั้นไม่ให้ส่งเสียงร้องไห้ออกมา มีเพียงไหล่ที่สั่นเทาบ่งบอกว่าเธออดทนอดกลั้นไว้มากขนาดไหน


 


 


 “ไม่ต้องเก็บไว้แล้ว หลายปีขนาดนี้ ฉันรู้ว่าเธอใช้ชีวิตทุกวันได้ทรมานขนาดไหน”


 


 


ถ้อยคำของไป๋เย่ฉิงราวกับแทงโดนส่วนที่อ่อนที่สุดของหัวใจเธอ


 


 


น้ำตาเธอพรั่งพรู


 


 


เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นดั่งคนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง


 


 


เธอสะอื้นอย่างสิ้นหวัง “เย่ฉิง ฉันจะหายได้มั้ย? จะลืมเขาได้มั้ย?”


 


 


ไป๋เย่ฉิงไม่กล้าตอบ ต่างบอกกันว่าเวลาจะช่วยทุกอย่างเองแต่ความรักนี้ได้ผ่านไปสิบปีเต็ม นอกจากจะไม่จางลงสักนิดกลับยิ่งฝังรากลึกในเลือดกาย หากจะให้ชะล้างมัน ต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปี?


 


 


ชีวิตนี้ยังมีเวลาเหลืออีกกี่สิบปีกัน?


 


 


 “เธอ…เคยคิดที่จะสู้สักครั้งมั้ย?” ไป๋เย่ฉิงถามเสียงเบา


 


 


“สู้?”


 


 


ใช่ว่าเธอจะไม่เคยคิด? เธอคิดอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ฝันยังคิดว่าเจ้าสาวคนนั้นคือตัวเอง


 


 


แต่ว่า…


 


 


เธอกล้าหรือ?


 


 


ต่อหน้าลูกกระสุนบางทีเธออาจจะไม่กลัว แต่ให้ไปสู้เพื่อชิงตัวเขาเธอกลับต้องล่าถอย ร่างกายของเย่เซียวทนรับการทำลายไม่ได้อีกแล้วแม้แต่น้อย ชีวิตของเขาจะดวงแข็งขนาดไหนก็ไม่มีทางรอดได้เสมอไป


 


 


หากเขายอมทอดทิ้งน่าหลันเพื่อมาอยู่กับตัวเองจริงๆ สิ่งที่เขาต้องเจอไม่ใช่แค่ด่านพ่อบุญธรรมของเขา ยังมีกลุ่มลูกน้องในอดีตของเขา…


 


 


เธอกลัวจะเป็นการทำร้ายเขา จะทำเขาตาย…


 


 


สิบปีก่อนเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นก็ได้กำหนดไว้แล้วว่าเธอไม่มีสิทธิ์แม้จะสู้เพื่อตัวเขาในสิบปีให้หลัง…


 


 


…………………………


 


 


ตระกูลไฟกำลังตระเตรียมงานแต่งงาน


 


 


เย่เซียวกลับกำลังรอคนคนเดียว หากเธอต้องการตามหาตัวเองต่อให้ไม่มีเบอร์โทรของเขาเธอก็หาเขาได้ หรือจะมาที่เมืองเยียว


 


 


ขอแค่เธอคิด!


 


 


แต่ว่า…


 


 


วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าช้าๆ ในโลกของเขายังคงไร้แสงสว่าง


 


 


ผู้หญิงคนนั้น…ไม่เคยปรากฏตัว…


 


 


เธอออกรายการโทรทัศน์ รับการสัมภาษณ์ รับเหรียญเกียรติยศของประเทศ S ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดูดีไม่เปลี่ยน ทุกอย่างดีจนไม่สามารถดีไปกว่านี้ได้อีก ราวกับว่างานแต่งงานของเขาไม่มีผลกระทบต่อเธอสักนิด


 


 


บางทีไม่ใช่ว่าราวกับว่า แต่เป็น…เรื่องจริง


 


 


…………


 


 


ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ


 


 


ขณะที่แสงแฟลชแสบตาสาดมามีชั่ววูบที่เธอรู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเป็นลมหมดสติ รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มเสแสร้งต่อไม่ไหว


 


 


ช่วงนี้ยานอนหลับปริมาณน้อยๆ ไม่สามารถทำให้เธอหลับได้อีก เธอจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยา


 


 


ยาต้านโรคซึมเศร้าทานไปไม่ได้ผลสักน้อย เธอไม่เคยรู้สึกมีความสุข ต่อให้จะนาทีหรือวินาทีเดียวก็ตาม


 


 


 “รัฐมนตรี ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”


 


 


ไป๋หลางประคองร่างที่โงนเงนของเธอ


 


 


เธอฝืนกายให้ยืนตรงส่ายศีรษะ “ฉันไม่เป็นไร อาจจะเพราะไม่ได้ทานข้าวเช้ามาน้ำตาลในเลือดเลยต่ำ”


 


 


 “งั้นคุณรีบไปทานอะไรหน่อย เลขาเฉินได้เตรียมไว้ให้คุณอยู่ตรงนั้นแล้ว นักข่าวที่นี่ปล่อยเป็นหน้าที่ผมเอง”


 


 


 “ได้” ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับแล้วเดินออกไปจากสถานที่ตรงนั้น


 


 


ในที่สุดโลกก็เงียบสงบ เลขาเฉินเดินสับเท้ามา “รัฐมนตรี อาหารเช้าของคุณไป๋หลางให้ฉันวางไว้ในห้องพักผ่อนแล้ว”


 


 


 “ขอบคุณ” ไป๋ซู่เย่เคลื่อนตัวไปที่ห้องพักผ่อนช้าๆ


 


 


อาหารเช้าถูกเตรียมไว้อย่างดี เธอไม่อยากอาหารแต่ด้วยเพราะช่วงนี้สภาพร่างกายไม่ดีนัก เธอกลัวว่าหากปล่อยให้ทำร้ายตัวเองแบบนี้ต่อไปอาจจะล้มแล้วลุกไม่ได้อีก


 


 


เธอยกถ้วยโจ๊กขึ้นมา ใช้ช้อนตักเข้าปากหลายคำ


 


 


จู่ๆ…


 


 


เกิดความรู้สึกพะอืดพะอมปั่นป่วนในกระเพาะ


 


 


เธอเอามืออุดปากรีบวิ่งไปข้างนอกเพื่อพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที


 


 


 “รัฐมนตรี ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?” เลขาเฉินเห็นสีหน้าเธอผิดปกติเลยรีบเดินตามไป


 


 


ไป๋หลางย้ำนักหนาว่าช่วงนี้จะต้องจับตามองรัฐมนตรีไป๋ให้ดีเพราะกลัวเธอเป็นอะไรไป


 


 


ไป๋ซู่เย่อาเจียนในห้องน้ำ ช่วงนี้ความจริงเธอแทบไม่ได้ทานอะไรเลยแต่กลับอาเจียนอย่างรุนแรง คล้ายจะขย้อนของในกระเพาะทั้งหมดออกมา


 


 


ท่าทางนี้ทำเอาเลขาเฉินตกใจจนหน้าซีด


 


 


 “นี่อาหารเป็นพิษหรือเปล่า รัฐมนตรี ฉันจะเรียกคนขับรถ เรารีบไปโรงพยาบาลกัน”


 


 


ไป๋ซู่เย่เองก็รู้แล้วว่าตัวเองต้องป่วย เมื่อก่อนต่อให้เธอจะสภาพร่างกายแย่ขนาดไหนก็ไม่เคยอาเจียนมาก่อน ครั้งนี้ทำไม…?


 


 


เธอเงียบไปอึดใจ ในหัวเกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นที่ทำเอาเธอตกใจ


 


 


อาเจียน?


 


 


ครั้งก่อนในคืนที่เธออยู่กับเย่เซียวในโรงแรมไม่ได้มีการป้องกันใดๆ เมื่อนั้นเธอกลับจงซันโดยตรง ต่อหน้าท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินไป๋เธอไม่มีทางไปซื้อยาที่ร้านยาได้


 


 


เดิมทีวันนั้นเป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัย เธอคิดว่าจะไม่มีปัญหา


 


 


แต่…


 


 


ท้องหรือ?


 


 


 “รัฐมนตรี?” เห็นเธอเหม่อ เลขาเฉินเรียกเธอที


 


 


เธอเพิ่งได้สติกลับมา พักใหญ่ถึงพูดเสียงอ่อนแรง “ยังไม่ต้องไปโรงพยาบาล ฉันไปร้านยาก่อน”


 


 


 “หา?”


 


 


อีกฝ่ายส่งเสียงฉงน ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ตอบกลับเธอแค่กวักน้ำใส่หน้าที เธอมองใบหน้าขาวซีดที่สะท้อนในกระจกแวบหนึ่ง รีบคว้ากระเป๋าเหยียบรองเท้าส้นสูงเดินออกไปจากห้องน้ำอย่างไม่ลังเล


 


 


 “รัฐมนตรี!” เลขาเฉิงวิ่งตามไปแต่ทันแค่มองแผ่นหลังหนึ่งเท่านั้น


 


 


สักพักไป๋หลางออกมาจากงาน


 


 


 “เอ๊ะ? ท่านล่ะ?” ในห้องพักผ่อนไม่เห็นเธอ


 


 


เลขาเฉินตอบกลับ “รัฐมนตรีไปร้านยาค่ะ”


 


 


 “ร้านยา? ซื้อยาอะไรอีก?”


 


 


 “อาจจะยาเกี่ยวกับลำไส้กระเพาะมั้งคะ” เลขาเฉิงอธิบาย “เมื่อกี้รัฐมนตรีทานอาหารเช้าอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็อาเจียน อาเจียนหนักมาก ฉันให้เธอไปโรงพยาบาลแต่เธอไม่ยอม บอกว่าไปร้านยาก่อน”


 


 


 “อาเจียน?” ไป๋หลางขมวดคิ้ว “ลำไส้กระเพาะเธอมีปัญหาแล้วด้วยเหรอ? เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อน ผมต้องโทรถามคุณหมอฟู่ก่อน”


 


 


 “เมื่อก่อนไม่เคยเห็นรัฐมนตรีเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆ อา คุณว่า รัฐมนตรีจะ…” เลขาเฉิงเบิกตากว้างเพราะตกใจกับความคิดของตัวเอง


 


 


 “จะอะไร?” ไป๋หลางหยุดท่วงท่าที่กำลังจะโทรศัพท์


 


 


เลขาเฉิงไม่ได้พูดจบประโยคก่อนจะส่ายศีรษะเอง “ไม่หรอก ฉันคิดไปเอง รัฐมนตรีไป๋ไม่มีแม้แต่ฟนด้วยซ้ำแล้วจะท้องได้ยังไง? ใช่มั้ย?”


 


 


 “ท้อง?!” ส่วนไป๋หลางสะดุ้งวาบ


 


 


 “ฉันไม่ได้พูดนะ คุณอย่าพูดเหลวไหลเดี๋ยวถ้ารัฐมนตรีไป๋ได้ยินจะแย่เอา”


 


 


ไป๋หลางกลับไม่คิดว่านี่เป็นการพูดเหลวไหล


 


 


ครั้งก่อนไปปฏิบัติภารกิจเธออยู่กับเย่เซียวเป็นเวลานานขนาดนั้น จะท้องก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลย 

 

 


ตอนที่ 742 ทำอย่างไรต่อ (1)

 

ไป๋ซู่เย่ซื้อที่ตรวจครรภ์กลับไปยังคอนโดห้องเดี่ยวของตัวเองโดยไม่ได้เลือกกลับจงซัน


 


 


ไม่ได้กลับมานานในห้องยิ่งเงียบเหงา สงบไร้เสียงราวกับเหลือเพียงเธอในโลกใบนี้ ได้ยินแค่เสียงหายใจของเธอ


 


 


เธอวางกุญแจรถลงเดินเข้าไปในห้องน้ำ สองนาทีหลังจากนั้นนั่งอยู่บนฝาชักโครกมองสองขีดแดงที่ขึ้นตรงที่ตรวจครรภ์ เธอนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นไปพักใหญ่


 


 


เธอท้องแล้ว…


 


 


ท้องลูกของเย่เซียว…


 


 


แต่เดิมทีควรจะเป็นเรื่องน่ายินดีแต่ว่า…


 


 


เธอกอดเข่าแน่นให้ตัวเองงอตัวเป็นก้อน รอบข้างเย็นไปหมด ความเย็นนั้นแล่นริ้วขึ้นมาจากฝ่าเท้าซึมเข้าผิวหนังของเธอก่อนจะแผ่ไปที่หัวใจของเธอ


 


 


เย็นวาบไปทั้งหัวใจ…


 


 


เธอนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเหมือนถูกดูดวิญญาณออกจากร่าง


 


 


ไม่รู้นั่งอยู่นานเพียงใดถึงได้สติกลับมา เธอเดินออกจากห้องน้ำในสภาพร่างไร้วิญญาณ ล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าซึ่งแสดงตรงหน้าจอว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากไป๋หลางหลายสาย เธอไม่มีใจที่จะโทรกลับแค่โทรไปหาเลขาเฉิน


 


 


“เลขาเฉิน ช่วยฉันเอาคิวที่โรงพยาบาลสักที่นอกจากโรงพยาบาลเป้ยซือหยวนที” เธอได้ยินน้ำเสียงตัวเองที่ราบเรียบเกินคาด เรียบเสียจนผิดปกติ


 


 


 “อา ได้ค่ะ แต่ว่าแผนกไหนคะ?”


 


 


 “สูตินรีเวช”


 


 


 “…” เลขาเฉินมึนไปชั่วขณะ พักหนึ่งถึงตอบรับหลังได้สติกลับคืนมา แต่ไป๋ซู่เย่ได้วางสายไปแล้ว


 


 


ฉะนั้น…


 


 


เธอไม่ได้พูดเหลวไหล รัฐมนตรีไป๋ท้องจริงๆ ?!แต่พ่อของเด็กคือใครกัน!


 


 


…………………………


 


 


ไป๋ซู่เย่วางสายไปรีบเปิดยาในห้องเทขวดยานอนหลับและยาต้านโรคซึมเศร้าออกมาทั้งหมด


 


 


เม็ดยาสีขาวสีเหลืองสาดกระจายเต็มโต๊ะไปทั่วอาณาบริเวณ สภาพวุ่นวายไปหมด


 


 


เธอพลิกคู่มือมาอ่าน


 


 


ห้ามหญิงตั้งครรภ์ใช้


 


 


ประโยคสั้นๆ ที่ชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร ราวกับมีดคมทิ่มแทงดวงตาของเธอ ทิ่มจนตาเธอแดงระเรื่อ


 


 


เธอรู้ รู้มาโดยตลอด…


 


 


ยาพวกนี้เดิมก็มีผลเสียต่อร่างกายมนุษย์มากอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเด็กในครรภ์ล่ะ?


 


 


เธอล้มตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง มือหนึ่งกอดหมอนข้างอย่างสิ้นหวังส่วนอีกมือกดท้องน้อยไว้เพียงรู้สึกเจ็บขึ้นมาติดๆ


 


 


เธอกลับหาสาเหตุไม่ได้ว่าเจ็บตรงไหน หรือจะพูดได้ว่ามีส่วนไหนที่เธอไม่เจ็บบ้าง?


 


 


เด็กคนนี้…เป็นลูกของเธอกับเย่เซียว จะรอดไหม? เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด


 


 


…………


 


 


นอนไม่หลับไปอีกคืน


 


 


ในที่สุดก็ทนถึงฟ้าสว่างได้เธอลุกจากเตียงล้างหน้าแปรงฟัน ปฏิทินที่แขวนบนกำแพงเรียกให้เธอหยุดชะงักฝีเท้า


 


 


อีกแปดวัน ก็คือวันแต่งงานของเขากับน่าหลัน…


 


 


เธอก้มมองหน้าท้องแบนเรียบของตัวเองแวบหนึ่ง


 


 


เธอคิด หากเย่เซียวรู้ว่าตัวเองท้อง อย่างน้อยจะไม่แต่งงานกับน่าหลันหรือไม่? ต่อให้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาก็ไม่แต่งงานกับคนอื่น…


 


 


แม้ว่าการเอาลูกที่ยังไม่เกิดเป็นหมากจะดูหน้าไม่อายไปหน่อย แต่เธอกลับหักห้ามใจที่เห็นแก่ตัวนั่นไม่ได้…


 


 


หากแต่เงื่อนไขคือเด็กคนนี้ต้องมีชีวิตอยู่รอด…


 


 


ไป๋ซู่เย่ตัดบทความคิดตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้าและพกยาที่ใช้มาช่วงระยะหนึ่งออกจากบ้านไป ที่โรงพยาบาลตั้งแต่เจาะเลือดไปถึงอัลตร้าซาวด์ก็แทบจะใช้เวลาทั้งเช้าของเธอไป


 


 


ขณะที่กำลังรอผลเธอนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ทางเดินยาวแสนเงียบเหงาของโรงพยาบาล คอยมองคู่สามีภรรยาข้างกายด้วยท่าทางที่มีทั้งผิดหวังและมีความสุข


 


 


วินาทีนี้ต่อให้พวกเขาจะผิดหวัง ร้องไห้ เธอกลับมีความรู้สึกอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก


 


 


อย่างน้อยพวกเขาต่างมีกันและกัน…


 


 


 “หมายเลข 2302 ไป๋ซู่เย่!” เสียงพยาบาลดังขึ้นบนทางเดินยาวเรียกสติเธอกลับมา ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องตรวจของคุณหมอ


 


 


คุณหมอสูติสรีเวชเป็นคุณหมอสูงวัยท่านหนึ่งและมากประสบการณ์


 


 


 “อืม เด็กใกล้จะครบหกสัปดาห์แล้ว คุณมีความคิดยังไงบ้าง? ท้องแรกฉันแนะนำให้คลอดดีกว่า แฟนหนุ่มของคุณล่ะ? พวกคุณเคยปรึกษากันหรือเปล่า?”


 


 


ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเข้าลึกพยายามเอ่ยปากพูดอย่างใจเย็น “ฉันไม่มีแฟนค่ะ”


 


 


คุณหมอมองเธอแวบหนึ่ง คล้ายว่าไม่รู้สึกแปลกใจกับสถานการณ์อย่างเธอ แค่ดันแว่นตาบนสันจมูกหน่อยๆ พลิกดูผลตรวจทั้งหมดแล้วกล่าวอีก“ค่าโปรเจสเตอโรนของคุณค่อนข้างต่ำ วันมะรืนมาตรวจดูค่าฮอร์โมน HCG จะคลอดหรือไม่คลอดยังไงก็ต้องรีบเตรียมไว้ก่อน ถ้ารอเด็กโตอีกนิด จะผ่าตัดยาก”


 


 


ไป๋ซู่เย่พยักหน้าน้อยๆ พลางล้วงขวดยาจากกระเป๋ามาวางตรงหน้าคุณหมอเบาๆ


 


 


คุณหมอหยิบไปดูอย่างสงสัยแวบหนึ่งก่อนที่สีหน้าจะตึงเครียดขึ้น


 


 


 “ยาพวกนี้…” เธอมองมาทางไป๋ซู่เย่แล้วถาม


 


 


 “ตลอดหนึ่งเดือนนี้ฉันกินแทบทุกวัน”


 


 


 “ถ้างั้นก็แย่แล้ว ยาพวกนี้มีผลร้ายแรงต่อเด็กในท้อง อ่ะ แค่ยาต้านโรคซึมเศร้านี้ของคุณ โดยปกติแล้วคุณหมอที่จ่ายยาให้ต้องเตือนคุณไว้แล้วว่าสามเดือนหลังใช้ยาห้ามมีลูก”


 


 


ไป๋ซู่เย่หายใจติดขัดขึ้นเล็กน้อย “ฉะนั้นเด็กคนนี้…”


 


 


 “มะรืนมาวัดค่า HCG เถอะ” คุณหมอถอนหายใจ “จากอาการตอนนี้ฉันก็ให้คำตอบแน่ชัดไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงคุณต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้า ในเมื่อคุณใช้ยานี้ในปริมาณที่มากเกินไป”


 


 


……


 


 


ไป๋ซู่เย่ออกมาจากโรงพยาบาลในสภาพมึนๆ งงๆ ข้างนอกหิมะโปรยปราย เธอมองโลกที่ไร้ชีวิตชีวานิ่ง ชั่วขณะกลับไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อ


 


 


หนึ่งวันหลังจากนั้นเธอผ่านทุกนาทีมาด้วยความทรมานที่ยากยิ่งกว่าอะไร


 


 


วันที่สามหลังตรวจเสร็จกลับไปที่คุณหมอคนเดิม


 


 


 “คุณกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเตรียมผ่าตัดดีกว่า” คุณหมอเปิดผลตรวจส่งมาตรงหน้าเธอ “ปกติค่า HCG จะต้องเท่าตัว การเจริญเติบโตของเด็กถึงจะไม่มีปัญหา แต่ค่า HCG ของคุณไม่ปกติ ไม่ขยับสักนิด นั่นหมายความว่าเด็กในท้องคุณไม่มีการเจริญเติบโตอย่างปกติ”


 


 


 “งั้นมียาหรือเข็มอะไรที่ช่วยเพิ่มค่า HCG มั้ยคะ? คุณหมอ ขอแค่เก็บเด็กคนนี้ไว้ จะให้ฉันลำบากแค่ไหน เจ็บแค่ไหน ฉันก็ยอม!” เป็นครั้งแรกที่เธอร้อนรนมากขนาดนี้ ร้อนเสียจนกุมมือคุณหมอ


 


 


คุณหมอถอนหายใจส่ายศีรษะ “เราไม่เคยจ่ายยานี้ให้คนไข้มาก่อนเพราะมันช่วยอะไรไม่ได้ ต่อให้พึ่งยาสังเคราะห์ที่ช่วยเพิ่มค่า HCG เด็กในท้องคุณจะถูกกำจัดทิ้งหรือเปล่า ปัญหาอยู่แค่จะเร็วหรือเช้าเท่านั้น”


 


 


ต่อให้เตรียมใจมาอย่างดี แต่พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ พอได้รู้ผลแบบนี้ไป๋ซู่เย่ยังรู้สึกเจ็บปานใจจะขาด


 


 


ดวงตาแดงก่ำโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า


 


 


เธอมองคุณหมออย่างไร้ที่พึ่ง ถามนิ่งๆ “ไม่มี…วิธีอื่นที่จะช่วยเก็บเด็กไว้จริงๆ หรือคะ?”


 


 


ประโยคที่ถามปนสะอื้น


 


 


คุณหมอเองก็สงสารแต่มันช่วยไม่ได้ “สิ่งที่คุณต้องทำตอนนี้คือดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ปรับสภาพจิตใจและอารมณ์ของคุณเพื่อที่ว่าตอนที่ลูกคนต่อไปมา ร่างกายคุณจะเป็นเปลนอนที่แข็งแรงให้กับลูกคนต่อไปได้ ถ้าอารมณ์ซึมเศร้าตลอดเวลา ต่อให้ท้องอีกก็ส่งผลกับเด็กอย่างมากเหมือนกัน” 

 

 


ตอนที่ 743 ทำอย่างไรต่อ (2)

 

ดังนั้น…


 


 


หมดหนทางจะช่วย


 


 


ไป๋ซู่เย่แทบจะออกมาจากโรงพยาบาลในสภาพตัวโงนเงน


 


 


พักใหญ่ที่เธอนั่งเหม่อบนรถ ดวงตาว่างเปล่ามองกลุ่มคนสัญจรไปมาตรงหน้า ไม่รู้ว่ามองอย่างไร้จุดหมายแบบนี้นานเท่าไร มองจนน้ำตาแห้งเหือดถึงหลุดจากภวังค์


 


 


คุณหมอได้นัดเวลาทำแท้งเธอในอีกหกวันข้างหน้า


 


 


ช่างบังเอิญ


 


 


วันนั้นเป็นวันที่เขาแต่งงานกับคนอื่นพอดี…


 


 


นึกถึงเย่เซียวน้ำตาของไป๋ซู่เย่กลับไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง


 


 


น้ำตาเม็ดโตหล่นใส่พวงมาลัย เธอร้องไห้เหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้รับความยุติธรรม คนที่เดินขวักไขว่ข้างนอกมองเข้ามาทางหน้าต่างอย่างสงสัยและชี้นิ้วมาทางเธออย่างฉงน แต่เธอกลับไม่คิดจะสนใจว่าตัวเองในตอนนี้จะสภาพแย่ขนาดไหน อารมณ์พังทลายอย่างสิ้นเชิง


 


 


สุดท้าย…


 


 


พวกเขาก็ไร้บุญวาสนา…


 


 


แม้แต่ลูกของเขา เธอยังปกป้องไม่ได้…


 


 


……………………


 


 


เธอขับรถกลับไปที่คอนโดห้องเดี่ยวของตัวเอง


 


 


ถึงหน้าประตูไป๋หลางกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น


 


 


เธอชะงักไปครู่ จากนั้นพยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเรียบนิ่งดังเดิม


 


 


 “คุณกลับมาสักที ผมรอคุณตั้งนานแล้ว” ไป๋หลางลุกขึ้นยืน


 


 


 “นายมาได้ยังไง?” เธอเปิดประตู


 


 


 “กลัวคุณหิวตายเลยซื้อผักมาทำกับข้าวให้คุณ ซาบซึ้งมากใช่มั้ย?” ไป๋หลางยิ้มตาหยีมองเธอ เธอร้องไห้จนดวงตาทั้งคู่แดงก่ำปูดโปนเหมือนลูกวอลนัท ไป๋หลางยังไม่กล้าถาม


 


 


ไป๋ซู่เย่ฉีกปากน้อยๆ“ใช่ ซาบซึ้งใจ นายเข้ามาสิ ฉันเหนื่อยแล้ว ขอพักสักแป๊บหนึ่ง”


 


 


เธอวางกุญแจรถยนต์ไว้ตรงหน้าประตูก่อนเจ้าตัวจะเข้าไปก่อน ไป๋หลางมองแผ่นหลังเธอพลางรู้สึกว่าเหมือนตัวเธอจะลอยๆ ราวกับวินาทีถัดไปจะหายตัวไป


 


 


 “รัฐมนตรี ตอนเที่ยงเราดื่มน้ำซุปไก่กันดีกว่า ผมซื้อไก่ดำมาให้คุณโดยเฉพาะเลยนะ คุณป้าขายไก่ที่ตลาดบอกว่าคนท้องทานอันนี้ดีมาก คุณผอมเกินไป ต้องบำรุงดีๆ สักหน่อยแบบนี้ลูกถึงจะได้แข็งแรง” ไป๋หลางว่าไปก็ยกถุงเล็กถุงใหญ่เข้าไปในห้องครัวของเธอ


 


 


ไป๋ซู่เย่ทิ้งตัวลงบนโซฟา เสสายตาว่างเปล่าไปนอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงพูดไม่หยุดหย่อนของเขาผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดขึ้นมาเรียบๆ “ห้าวันหลังจากนี้นายไปที่โรงพยาบาลกับฉันหน่อยสิ”


 


 


 “ได้ ไม่มีปัญหา” ไป๋หลางตอบรับทันควันก่อนจะถามตามหลัง “ไปตรวจอะไรงั้นเหรอ?”


 


 


 “ช่วยเซ็นเอกสารให้ฉันหน่อย”


 


 


 “เซ็น?” ไป๋หลางนิ่งไปอึดใจ จากนั้นถึงจับผิดปกติได้ วางของทุกอย่างลงเดินออกมาจากห้องครัว “เซ็นอะไร?”


 


 


 “ทำแท้ง คุณพ่อของเด็กต้องเซ็น…นายมาเถอะ” เธอใช้แรงมหาศาลถึงห้ามไม่ให้ตัวเองสะอื้นออกมา หลับตาแรงเพื่อสกัดกลั้นน้ำใสในตาแล้วกล้ำกลืนทุกความรู้สึกลงท้องพร้อมกัน


 


 


ไป๋หลางขมวดคิ้ว “คุณจะเอาเด็กออก?!”


 


 


 “…อืม”


 


 


 “คุณ…คุณคิดดีแล้วเหรอ?”


 


 


ไป๋ซู่เย่ไม่ออกเสียงอีก คิดดี? มีทางเลือกให้เธอได้คิดดีหรือ? เธอ ไม่มีทางเลือก


 


 


 “แต่เรื่องนี้ผมคิดว่าต้องไตร่ตรองอีกที” ไป๋หลางนั่งลงตรงข้ามเธอ “รัฐมนตรี คุณต้องถามเย่เซียวก่อนหรือเปล่า? ผมเซ็นให้คุณเพื่อเอาลูกเขาออก เกิดเขารู้เข้าไม่แน่เขาจะมาฆ่าผมได้”


 


 


 “นายมีเบอร์เย่เซียวมั้ย?”


 


 


เธอต้องบอกเย่เซียวก่อนจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาเป็นพ่อของเด็ก ต่อให้เก็บเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้เขาก็ต้องรู้เรื่อง


 


 


 “ผมไม่มี แต่ขอคุณหมอถังได้ เขามี”


 


 


ไป๋ซู่เย่พยักหน้า “ฉันรู้แล้ว ฉันจะหาถังซ่งเอง แล้วคุยกับเย่เซียวให้รู้เรื่อง”


 


 


ความจริงไป๋หลางอยากจะเกลี้ยกล่อมให้เธอคิดใหม่อีกทีแต่ความจริงเกลี้ยกล่อมไปก็เปล่าประโยชน์


 


 


เธอเป็นคนที่มีสติแยกแยะมากกว่าผู้หญิงทั่วไปมาก หากเธอได้ตัดสินใจในเรื่องใดจะต้องผ่านการพิจารณามาอย่างดี คนนอกพูดมากเท่าไรก็ไม่มีความหมาย


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น…


 


 


เขาเย่เซียวอีกไม่กี่วันก็จะแต่งงาน หากเด็กคนนี้คลอดมาแล้วจะอยู่ที่ใด?


 


 


ไป๋หลางคิดๆ แล้วก็ทำใจไม่ได้ รอได้สติกลับมาอีกทีพบว่าเธอเอียงตัวหลับบนโซฟาไปแล้ว อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าเกินพิกัดทำให้ครั้งนี้สามารถหลับได้โดยไม่พึ่งยา


 


 


เธอดูโทรมเหลือเกิน ใต้ตามีขอบตาสีดำกว้าง


 


 


ไป๋หลางส่ายศีรษะ ผู้หญิงที่ดื้อรั้นต้องการเอาชนะมากขนาดไหนความจริงในใจก็อ่อนแอไม่แพ้ใคร


 


 


……………………


 


 


รอไป๋ซู่เย่ได้เบอร์โทรจากถังซ่งก็เป็นห้าวันหลังจากนั้น


 


 


พรุ่งนี้คือวันที่เธอต้องทำแท้ง และเป็น…วันแต่งงานของเย่เซียว


 


 


คืนนี้บอกเขาไม่นับว่าสาย


 


 


เธอจ้องเบอร์ยาวที่ถังซ่งส่งมาให้ตัวเอง คล้ายตัดสินใจแล้วถึงกดเบอร์ทีละตัวๆ


 


 


ทุกหมายเลขล้วนทำให้นิ้วเธอสั่นเทาอย่างรุนแรง


 


 


…………


 


 


อีกฟากหนึ่ง


 


 


เย่เซียวมองโทรศัพท์ที่ยังคงไร้การติดต่อมาใดๆ แวบหนึ่งด้วยแววตาเย็นชาและหม่นหมอง


 


 


วันสุดท้าย…


 


 


วันสุดท้าย สุดท้ายทุกการรอคอยและความคาดหวังของเขาก็สูญเปล่า!


 


 


เขาแพ้เช่นเดิม…


 


 


นี่เป็นการพนันที่ไม่มั่นใจมากตั้งแต่เริ่ม แต่เขากลับไม่คิดว่าตนจะพ่ายแพ้ได้ยับเยินขนาดนี้จนวินาทีสุดท้าย


 


 


วันนั้นทั้งที่เธอบอกคิดถึงเขามาก เขาคิดว่าอย่างน้อยเธอต้องสนใจเขาบ้าง…


 


 


ไม่มากก็น้อย


 


 


แต่สุดท้ายเธอได้พิสูจน์ให้เขาอีกครั้งว่าในโลกของเธอไม่จำเป็นต้องมีเขาก็ได้…


 


 


หน้าอกอึดอัดแทบหายไม่ออก เขาโยนโทรศัพท์ไว้บนเตียงแรงๆ ถอดเสื้อผ้าหมุนตัวไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำ เขาต้องให้ตัวเองมีสติหน่อย


 


 


……


 


 


คืนนี้น่าหลันมีความสุขมาก


 


 


ต่อให้ผู้ชายคนนั้นไม่รักเธอ แต่การได้แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองชื่นชม อารมณ์แบบนี้มันกระโดดโลดเต้นจนยากจะอธิบาย


 


 


เธอลองสวมชุดแต่งงานในห้องครั้งแล้วครั้งเล่ากระทั่งอาชิงโผล่หัวมาบอกเธอ “คุณหนู คุณหญิงมาแล้ว”


 


 


 “งั้นเหรอ? งั้นเธอก็อย่ามัวชักช้า รีบถอดชุดแต่งงานให้ฉันเร็ว”


 


 


อาชิงยิ้มร่ารีบวิ่งเข้ามา


 


 


ผ่านไปสักพักรอน่าหลันออกจากห้องก็เห็นคุณแม่เย่เซียวนั่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น


 


 


 “คุณป้า” เธอทักทายเสียงเบา


 


 


คุณแม่เย่ถึงได้เงยหน้าขึ้นยิ้มให้น่าหลันที “วันมะรืนก็ต้องเปลี่ยนคำเรียกแล้ว”


 


 


ใบหน้าน่าหลันแดงเถือก


 


 


 “มานี่ มาทานบัวลอยถ้วยนี้สิ รูปร่างกลมๆ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี”


 


 


 “ขอบคุณค่ะคุณป้า” น่าหลันเชื่อฟังอย่างดีและทานบัวลอยไป คุณแม่เย่แหงนมองชั้นบนที “เย่เซียวหลับไปแล้วเหรอ?”


 


 


 “น่าจะยัง แต่คืนนี้ไม่เห็นเขาออกมาเลย”


 


 


คุณแม่เย่ถอนหายใจ “หลายวันนี้เขาดูมีเรื่องให้หนักใจมากเลย และไม่ค่อยทานอะไร บัวลอยถ้วยนี้หนูก็เอาไปส่งให้ที่ห้องเขาแทนป้าแล้วกัน”


 


 


ว่าถึงนี่ก็หยุดเว้นช่วง “ในเมื่อหนูจะเป็นภรรยาของเขาแล้วก็ช่วยเกลี้ยกล่อมเขาแทนคุณป้าที ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ให้เขาปล่อยวางใจให้สบายหน่อย ฉันกับเด็กนี่แยกจากกันหลายปี มีหลายเรื่องที่ยังไม่รู้” 

 

 


ตอนที่ 744 ทำอย่างไรต่อ (3)

 

 


 


น่าหลันชิมบัวลอยที่หวานหยดแต่ในใจกลับขมขื่นยิ่งกว่า คุณหญิงไม่รู้อะไรแต่เธอกลับรู้ดีว่าทุกอารมณ์ที่เย่เซียวจะแสดงออกมาให้เห็นเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นเสมอ…


 


 


……


 


 


ไป๋ซู่เย่กดโทรไปยังเบอร์นั้น ฟังเสียงรอรับสายที่ยาวนานพร้อมหัวใจที่บีบแน่นเพราะความประหม่า


 


 


ครั้งแรก ไม่มีคนรับสาย


 


 


เธอลังเลชั่วขณะ เชยตามองท้องฟ้ามืดครึ้มนอกหน้าต่าง สูดหายใจเข้าเฮือกลึกก่อนโทรออกไปอีกครั้ง


 


 


ครั้งนี้…


 


 


รอเสียงรอสายดังเสียงที่สาม ในที่สุดโทรศัพท์ก็ถูกกดรับ


 


 


เงียบ


 


 


อีกทางยิ่งเงียบเสียจนไม่ได้ยินเสียงหายใจ


 


 


ความเงียบแบบนี้ทำให้เธออึดอัดแทบขาดอากาศหายใจ เธอพ่นลมออกมาหนักๆ ทีและหาเสียงตัวเองเจอในที่สุด “เย่เซียว ฉันท้องแล้ว…”


 


 


อีกทางหนึ่ง…


 


 


ยังคงเงียบ


 


 


เงียบเหมือนตาย


 


 


ข่าวนี้เห็นได้ชัดว่าสร้างความสะเทือนแก่เย่เซียวอย่างมาก


 


 


ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แสบตา “พรุ่งนี้…ฉันจะไปเอาเด็กออก”


 


 


พูดถึงนี่สายถูกคนอีกฝั่งกดวางไป ไป๋ซู่เย่ได้ยินเสียง ‘ตู๊ดตู๊ด’ ที่ดังมาทางสาย รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งหัวใจ


 


 


เขาไม่ได้ฟังคำอธิบายของเธอก็ตัดสายไปทันที บางทีอาจจะโกรธถึงที่สุดแล้วสินะ…


 


 


กำลังคิดว่าควรโทรไปอีกหรือไม่ โทรศัพท์กลับดังขึ้นฉับพลัน


 


 


เป็นข้อความหนึ่งฉบับ


 


 


มาจากเขา


 


 


สั้นๆ ได้ใจความ


 


 


 “กำลังซักซ้อมงานแต่ง”


 


 


เธอยังไม่ทันตั้งตัวทันก็มีอีกหนึ่งข้อความเด้งเข้ามา “เด็ก เอาออกเถอะ”


 


 


เธอมองประโยคท้ายนิ่ง มือกระตุกสั่นและถัดจากนั้นเพียงรู้สึกเจ็บเสียดที่ท้องน้อย เจ็บจนเธอหายใจไม่ออก


 


 


เธอกดท้องน้อยไว้ค่อยๆ เลื่อนตัวนั่งลงไป เดิมทีคิดว่าเช่นนี้จะรู้สึกดีขึ้นบ้างแต่ความเจ็บนั่นกลับไม่คลายลงสักนิด ยิ่งทวีความรุนแรง


 


 


เธอรู้สึกเหมือนของมีค่าบางอย่างในร่างกายกำลังถูกพรากออกไปทีละนิดๆ…


 


 


เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก


 


 


เธอรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นลมหมดสติไป กำโทรศัพท์ใช้แรงเฮือกสุดท้ายกดโทรสายฉุกเฉิน…


 


 


…………………………


 


 


น่าหลันลบข้อความและสายที่โทรเข้าอย่างเด็ดขาด วางโทรศัพท์ลงพร้อมกับวางโทรศัพท์กลับตำแหน่งเดิมอย่างรอบคอบ


 


 


ในหัวครู่นานที่เป็นประโยคที่ไป๋ซู่เย่บอกว่า ‘ท้อง’


 


 


เธอ…กลับท้องลูกของเย่เซียว!


 


 


เธอจะเอาออกไหม?


 


 


ถ้าเย่เซียวรู้ว่าเธอท้อง ถ้าอย่างนั้นเกรงว่างานแต่งงานพรุ่งนี้คงจะ…


 


 


ยิ่งคิดยิ่งลน ยิ่งคิดยิ่งว้าวุ่น


 


 


กระทั่งเสียง ‘ครืด’ดังขึ้น ประตูห้องอาบน้ำถูกผลักออกจากข้างใน เธอสะดุ้งเฮือกไม่กล้าหันกลับไป


 


 


“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?” เสียงเย่เซียวเย็นชาเช่นเคย


 


 


 “ฉัน…คุณป้าทำบัวลอยมาให้เรา บอกว่ารูปร่างกลมเกลียวมีนิมิตหมายที่ดีว่าจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ให้ฉันยกเข้ามาให้คุณ” น่าหลันอธิบาย


 


 


เย่เซียวใช้สายตาฉงนมองเธออยู่ครู่ใหญ่ หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่กล้าสบสายตาเขา


 


 


 “ยังมีธุระอีกมั้ย?”


 


 


สุดท้ายเย่เซียวถาม


 


 


เธอลอบถอนหายใจทีถึงกล่าว “เย่เซียว พรุ่งนี้เรา…”


 


 


 “ผมเหนื่อยแล้ว คุณออกไปเถอะ” เย่เซียวพูดขัดเสียงเธอ เขาดูเหนื่อยจริงๆ เพราะเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนล้า เขานั่งลงบนโซฟามองบัวลอยเหล่านั้น ไม่อยากอาหารสักนิด


 


 


กลมเกลียว?


 


 


ช่างน่าขำ


 


 


มีหัวใจที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะให้เขาไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับใคร?


 


 


……………………


 


 


ขณะนี้อีกฟากหนึ่ง…


 


 


 “เสียเลือดเยอะมาก เด็กไม่รอดแล้ว!”


 


 


เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเธอเจ็บจนลืมตาไม่ขึ้น แผ่นหลังเปียกโชกด้วยเหงื่อ


 


 


คำพูดของหมอดังสะท้อนอยู่ข้างหูเธอ ยังคงทำให้เธอรู้สึกปานใจจะขาด


 


 


ไม่รอดแล้ว…


 


 


รู้แต่แรกว่าไม่มีทางรอดแต่ยามเด็กค่อยๆ ถูกพรากไปจากเธอนั้นเธอก็แทบจะหมดสติไปเพราะแรงสะเทือนใจ


 


 


สุดท้าย…


 


 


แม้แต่ลูกของพวกเขาก็ทอดทิ้งเธอไปแล้ว…


 


 


ระหว่างพวกเขา ไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ…


 


 


“พ่อของเด็กล่ะ? ญาติอยู่ไหน? คุณ จะโทรหาใครมั้ย?”


 


 


 “ไม่นะ…” เธอใช้สติเส้นฟางสุดท้ายรวมถึงเรี่ยวแรงแทบจะทั้งตัวปฏิเสธคุณหมอ “อย่าโทรหาใคร…”


 


 


เขาไม่ต้องการเด็กคนนี้!


 


 


ภายใต้การไม่ทราบสถานการณ์ของเด็กคนนี้ ให้เธอเพียงสองพยางค์ที่กระชับและตรงไปตรงมาและใจร้ายมากที่สุด—เอาออก…


 


 


วินาทีนั้นเหมือนเฉือนหัวใจเธอทิ้งอย่างไรอย่างนั้น


 


 


………………


 


 


หลังจากนั้นทุกขั้นตอนเธอทั้งตื่นทั้งชา รู้สึกได้ถึงของบางอย่างถูกสอดเข้ามาคว้านในร่างกาย พรากเอาสิ่งของสำคัญที่สุดของเธอไป เธอเหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บแต่ก็เจ็บไปทุกอณูของร่างกาย


 


 


หลังจากนั้นเธอได้หลับไปในสภาพที่สะลือสะลือ ไม่มีสติสัมปชัญญะเหลืออีก


 


 


รอฟื้นมาอีกทีก็เป็นเช้าตรู่อีกวัน


 


 


ฟ้าสว่างแล้ว แสงอาทิตย์ลอดผ่านกลุ่มเมฆเข้ามาในห้อง หิมะข้างนอกที่ซ้อนเป็นกองๆ ละลายไปแล้ว ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย


 


 


 “คุณไป๋ ฟื้นแล้วเหรอ” พยาบาลผลักประตูเข้ามาทักทายเธอ “รู้สึกยังไงบ้าง ยังเจ็บมั้ยคะ?”


 


 


ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ อ้าปากพูดอย่างอ่อนแรงน้อยๆ “ยังดีค่ะ”


 


 


เพียงแต่ว่า…


 


 


สุดท้ายเด็กก็ไม่อยู่แล้ว…


 


 


 “พักผ่อนดีๆ สุขภาพของคุณไม่ได้ดีเท่าไหร่ จะเปิดทีวีดูหน่อยมั้ย?”


 


 


 “ค่ะ” เธอพยักหน้ารับ เปิดโทรทัศน์อย่างน้อยก็ครึกครื้นหน่อย ไม่ดูเงียบเหงาขนาดนั้น


 


 


เปิดโทรทัศน์แล้วกดเปลี่ยนช่องตามใจตัวเอง โทรศัพท์ดังขึ้นในเวลานั้น เธอหยิบขึ้นมาดูแวบหนึ่งพบว่าหน้าจอแสดงคำว่า ‘ไป๋หลาง’


 


 


“รัฐมนตรี คุณลงมาเถอะ ตอนนี้ผมอยู่ใต้ตึกห้องคุณ”


 


 


 “ไม่ต้องหรอก วันนี้นายไปทำงานของนายเถอะ ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนฉันแล้ว” ไป๋ซู่เย่ตอบกลับด้วยเสียงที่อ่อนแรง


 


 


 “คุณ…ไม่ทำแท้งแล้วเหรอ?” ไป๋หลางถาม


 


 


ทำแท้ง ไม่ใช่ไม่ทำ แต่จบลงแล้ว…


 


 


ไป๋ซู่เย่กำลังจะพูดอะไรแต่ภาพที่ฉายขึ้นหน้าจอโทรทัศน์ทำให้เธอนิ่งงันไป


 


 


ช่องโทรทัศน์กำลังออกข่าว ส่วนภาพของข่าว…กลับเป็นการถ่ายทอดสดงานแต่งงานของเย่เซียวในวันนี้


 


 


ในงานแต่งงานถูกจัดแต่งอย่างยิ่งใหญ่ กล้องแพลนไปตลอดทางกลับไม่พบตัวเจ้าบ่าวในวันนี้ แต่เจ้าสาวที่ผ่านหน้ากล้องเป็นครั้งเป็นคราวกลับมีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุข…


 


 


เธอดูไปดูไป น้ำตาเริ่มคลอหน่วย


 


 


 “รัฐมนตรี?” ไป๋หลางไม่ได้ยินเสียงเธอเลยเรียกเบาๆ ทีหนึ่ง


 


 


 “ฉันอยู่” เธอหลุดจากภวังค์ กัดปากกลั้นน้ำตา “ฉันกำลังดูถ่ายทอดสดงานแต่งงานของเย่เซียว ยิ่งใหญ่มาก…”


 


 


ไป๋หลางที่อยู่อีกทางไม่พูดสักประโยค น้ำเสียงของเธอเศร้าโศกและอ้างว้างมากขนาดนั้น


 


 


 “เรื่องที่คุณท้อง บอกเขาไปแล้วหรือยัง?” ไป๋หลางถาม


 


 


 “บอกแล้ว”


 


 


 “งั้นเขาว่ายังไง?”


 


 


 “ว่ายังไง?” เธอยิ้มขมขื่น “ตอนนี้เขาเป็นเจ้าบ่าวของคนอื่นแล้ว นายว่าเขาจะว่ายังไง?”


 


 


ไป๋หลางรู้ได้ทันทีว่าเธอได้คำตอบอย่างใดมา สบถคำหยาบออกมาทีอย่างโกรธเคือง


 


 


 “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่คุยกับนายแล้ว” ไป๋ซู่เย่วางสายไปรวมถึงปิดเครื่อง 

 

 


ตอนที่ 745 ทำอย่างไรต่อ (4)

 

 


 


 “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่คุยกับนายแล้ว” ไป๋ซู่เย่วางสายไปรวมถึงปิดเครื่อง เธอรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน…เหนื่อยจนไม่อยากจะพูดกับใครแม้แต่คำเดียว…


 


 


เธอดูภาพที่ฉายอยู่หน้าโทรทัศน์เหมือนทำร้ายตัวเอง แต่ข่าวงานแต่งงานไม่ได้มีมากนัก ไม่นานภาพก็ถูกเปลี่ยนไปยังข่าวอื่น


 


 


เธอปิดโทรทัศน์ไม่ได้ดู


 


 


หลับตานอนบนเตียง หน้าอกโล่งเปล่าราวกับถูกใครควักให้เหลือเพียงความว่างเปล่าอย่างไร้ความปราณี…


 


 


………………


 


 


ณ ตอนนี้ที่เมืองเยียว


 


 


นอกห้องโรงแรมเสียงเก้าอี้เข็นดังเข้ามาเรื่อยๆ


 


 


คนรับใช้ยืนอยู่นอกประตูอย่างหวาดระแวงโดยโค้งคำนับให้กับนายท่านบนเก้าอี้เข็นที่มีเฉิงหมิงเป็นผู้เข็น “คุณไฟ นายน้อยที่อยู่ข้างในยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า”


 


 


 “เปิดประตูห้อง” ไฟเรนเซ่หันกลับมามองเฉิงหมิง


 


 


 “ครับ นายท่าน” เฉิงหมิงหยิบการ์ดรูดเปิดประตูห้อง


 


 


ประตูบานหนาหนักอึ้งของโรงแรมเปิดออก ควันบุหรี่ลอยโขมง สำลักจนแสบไปทั้งปอด


 


 


ท่ามกลางควันสีเทา เจ้าบ่าวในวันนี้นั่งอยู่บนโซฟาโดยหันแผ่นหลังให้ประตู


 


 


 “ทำไม? พนันได้แต่แพ้ไม่ได้? นี่ไม่ใช่นิสัยของแกนะเย่เซียว!” ไฟเรนเซ่หมุนล้อเก้าอี้เข็นเข้าไป ขมวดคิ้วพลางสั่งให้คนรับใช้ “ไปเปิดหน้าต่าง สูบบุหรี่เยอะขนาดนี้ มันใช่เรื่องมั้ย!”


 


 


เย่เซียวถึงลุกขึ้นช้าๆ ดับไฟบุหรี่ในมือ เขามองไฟเรนเซ่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง“ท่านออกไปเถอะ ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”


 


 


ทันใดนั้นคุณแม่เย่เดินเข้ามาจากข้างนอก


 


 


ควันโขมงนี้ทำให้เธอมุ่นคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน อดพูดตำหนิไม่ได้ “ทำไมสูบบุหรี่อีกแล้ว? แม่บอกลูกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้สูบน้อยๆ?”


 


 


 “ลูกชายคนนี้เห็นสุขภาพตัวเองเป็นเรื่องตลก ฉันยุ่งไม่ได้แล้ว คงต้องให้คุณมาดูแล้วล่ะ” ไฟเรนเซ่หันกลับไปมองคุณแม่เย่แวบหนึ่งด้วยสีหน้าที่ไม่ดูดีนัก


 


 


คุณแม่เย่มองเขาวูบหนึ่งไม่ตอบอะไร ไฟเรนเซ่มั่นใจว่าเขาไม่คิดจะผิดคำพูดเลยไม่อยู่นานกว่านั้น


 


 


สักพักภายในห้องโรงแรมเหลือเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น คุณแม่เย่มองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ยกชุดสูทบนเตียงขึ้นมาเงยหน้ามองลูกชายตัวเอง “ให้แม่ช่วยเปลี่ยนมั้ย?”


 


 


เย่เซียวไม่ตอบ แค่ปลดกระดุมเสื้อเหมือนหุ่นยนต์ ใบหน้าไร้อารมณ์ใดๆ


 


 


คุณแม่เย่ถอนหายใจ “เย่เซียว ที่ลูกเสียใจขนาดนี้เพราะเด็กผู้หญิงอีกคนสินะ?”


 


 


เอ่ยถึงเธอ นัยน์ตาที่แต่เดิมไม่มีอารมณ์ใดปะปนวูบไหวทีหนึ่ง ฉายแววหม่นชั่ววูบ


 


 


 “ในเมื่อชอบเธอมากขนาดนั้นทำไมถึงฝืนใจไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ลองไปตามเธอกลับมาล่ะ?”


 


 


 “ตามกลับมา?” เย่เซียวแค่นหัวเราะที “ในใจเธอผมเป็นตัวอะไร? ถ้าเธอสนใจผมสักนิดจริงๆ เราไม่ถึงกับต้องเดินมาถึงจุดที่ทุกอย่างสายไปแล้วแบบนี้…”


 


 


 “ถึงแม้ว่าแม่จะไม่เคยเจอเธอหน้าต่อหน้า แต่พอดูออกว่าเธอรักลูกนะ”


 


 


 “แม่ไม่ต้องปลอบผมหรอก” มีบางคำพูดที่แม้แต่เขายังโกหกตัวเองไม่ได้…


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นสิบปีก่อน เขาเองก็เคยรู้สึกว่าเธอมีใจแก่ตน แต่…ผลสุดท้ายล่ะ?


 


 


 “แม่ไม่ได้ปลอบลูกหรอกนะ ครั้งก่อนวันที่ลูกหมั้น ความจริงแม่เคยเจอเธอแล้ว พ่อบุญธรรมของลูกเอาชีวิตแม่มาขู่เธอ ตอนนั้นแม่ก็ดูออกแล้วว่าเธอเป็นห่วงแม่จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะรักลูกจากใจจริงทำไมเธอถึงต้องโดนพ่อบุญธรรมของลูกขู่เพราะแม่ล่ะ? พ่อบุญธรรมของลูกบีบบังคับเธอไม่ให้เจอลูกอีก แม่คิดว่า…เธอไม่เคยมาหาลูก คงเพราะมีเรื่องให้คิด แต่ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเพราะไม่รักลูกมากพอ”


 


 


 “แม่ แม่ว่ายังไงนะ?” เย่เซียวถามอย่างตกตะลึง “แม่บอกว่า…พ่อบุญธรรมเคยเอาแม่มาขู่เธอ?”


 


 


 “อืม ก่อนหน้านี้แม่ไม่ได้พูดเพราะไม่รู้ว่าลูกมีความรู้สึกต่อเธอมากขนาดไหนและไม่อยากให้ลูกมีข้อบาดหมางกับพ่อบุญธรรมของลูก แต่ภายหลังแม่ดูออกแล้ว ลูกไม่ได้สนใจตัวน่าหลันเลย ในเมื่ออย่างนี้ทำไมถึงต้องทำให้ตัวเองลำบากขนาดนั้น? ไม่ว่าเธอจะไม่มาหาลูกด้วยเหตุผลอะไร ลูกก็น่าจะคุยกับเธอให้รู้เรื่อง” คุณแม่เย่หยิบโทรศัพท์ข้างๆ ขึ้นมา “ลองโทรหาเธอดูสิ อย่าให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลัง แม่เองก็ทำใจเห็นลูกเสียใจไม่ได้…”


 


 


หัวใจเย่เซียวเกิดคลื่นใหญ่หลวง


 


 


เธอไม่เคยบอกเขามาก่อนว่าเธอเคยโดนพ่อบุญธรรมของเขาข่มขู่


 


 


ถ้าเช่นนั้นที่เธอไม่มาหาตัวเองเพราะมีเรื่องลำบากใจของเธอ ข้อกังวลของเธอจริงๆ งั้นสิ?


 


 


เย่เซียวหยิบโทรศัพท์มาลังเลเพียงครู่ ขณะที่กำลังจะกดเบอร์ที่คุ้นเคยเสียยิ่งกว่าอะไรนั่น ประตูห้องถูกคนถีบเข้ามาจากข้างนอกเสียงดัง ‘ปัง–’


 


 


 “เย่เซียว เกิดเรื่องแล้ว!นายเร็วๆ หน่อย!เร็ว!”


 


 


เห็นได้ชัดว่าถังซ่งวิ่งมาอย่างรีบร้อนจนเหงื่อเต็มหน้า หายใจหอบ


 


 


 “เรื่องอะไร? ” เย่เซียวมุ่นคิ้ว “พูดดีๆ นะ อย่าทำให้แม่ฉันตกใจ”


 


 


 “ฉันไม่เป็นไร” คุณแม่เย่ส่ายศีรษะ ถามถังซ่งอย่างนึกเป็นห่วงตาม “เกิดอะไรขึ้น?”


 


 


ถังซ่งหายใจหอบหนัก “นาย…รีบรับสาย ไป๋หลางอะไรนั่นโทรมา!”


 


 


ใบหน้าเย่เซียวตึงเครียดและแทบจะรับโทรศัพท์ไปทันที หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธออีก?!


 


 


 “พวกนายคุยกัน ตอนนี้ฉันจะให้หยูอันเตรียมรถกับเครื่องบิน เรารีบไปสนามบิน”


 


 


ถังซ่งว่าแล้วก็วิ่งออกไปจากห้อง


 


 


เย่เซียวใจหล่นวูบ แนบโทรศัพท์ชิดหู ยังไม่ทันพูดอะไรก็ได้ยินเสียงไป๋หลางที่ตะคอกมาจากทางนั้น “เย่เซียว นายมันไอ้คนขี้ขลาด!ฉันคิดว่านายเป็นคนดี ถุย!”


 


 


เย่เซียวทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ “มีธุระก็พูด”


 


 


 “คุยธุระ? ได้สิ ฉันขอแสดงความยินนายกับตัวแทนรัฐมนตรีของเรา…”


 


 


 “ไป๋หลาง ถ้านายยังพูดมากระวังฉันจะฆ่านาย!” เย่เซียวไม่ได้มีความอดทนเป็นทุนเดิม หยุดเว้นช่วงเขาถึงถามเสียงเรียบ “เกิดอะไรขึ้นกับเธอใช่มั้ย?”


 


 


“ที่แท้นายยังเป็นห่วงรัฐมนตรีของเราอยู่หรือเนี่ย ใช่ เกิดเรื่องกับเธอจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่โรงพยาบาลเตรียมทำแท้ง เย่เซียว นายไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อของเด็ก ฉะนั้น ลายเซ็นฉันเซ็นเอง!นายไปแต่งงานต่อเถอะ!”


 


 


สิ้นคำไป๋หลาง ในหัวเย่เซียวขาวโพลน


 


 


ทำแท้งอะไร?


 


 


ไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อของเด็กอะไร?


 


 


นี่…มันหมายความว่าอย่างไร?


 


 


 “ฉันโทรมาก็เพื่อสร้างบรรยากาศแย่ๆ ให้วันมงคลของนายสักหน่อย!ฉันจะไปโรงพยาบาลเซ็นยอมรับผ่าตัดทำแท้งให้เธอเดี๋ยวนี้!ขอให้นายกับคนคนนั้นของนายมีลูกด้วยกันไวๆ ฉันวางสายล่ะ!” ไป๋หลางกัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้น


 


 


 “นายกล้าเหรอ!” เย่เซียวได้สติกลับมาตะคอกกลับไป ดวงตาเริ่มแดงก่ำอย่างน่ากลัว “ไป๋หลาง ถ้านายกล้าเขียนลงไปสักตัวอักษร ฉันจะตัดแขนข้างหนึ่งของนาย!ถ้านายกล้าเขียนสองตัว ฉันไม่ให้นายมีชีวิตรอดถึงพรุ่งนี้แน่!”

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม