You Cannot Afford To Offend My Woman ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ! 225-230
บทที่ 225 ถึงเวลาที่ต้องเหนื่อยกันแล้ว!
ภายในออฟฟิศ
ชิงหยานั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอน คราบน้ำตา และเปี่ยมไปด้วยความน่าสงสาร
ชิงยูตรงที่นั่งอยู่ตรงข้ามพี่สาวของเธอก็ดูภาพตรงหน้าอย่างเป็นห่วง ถึงเธอจะร้องไห้จนหมดซึ่งความน่าหลงไหล แต่อย่างน้อยที่สุดเธอก็ยังเป็นพี่น้องกัน
ถ้าจะไม่แคร์กันก็ควรจะแสดงความอ่อนโยนให้อีกฝ่ายเห็นแทน
“นี่มันบ้ามากเลย พี่จะระงับบัตรเครดิตของเขา!” ชิงหยาพูด ว่าแล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาธนาคารเพื่อจะระงับบัตรเครดิตของเย่ฮัวทันที
เย่ฮัวผู้ที่แอบฟังอยู่ด้านนอกนั้นอยากจะวิ่งเข้าไปห้ามเสียจริง เพราะเขาเพิ่งจะสัญญากับเว่ยชางไว้ ถ้าเกิดบัตรโดนระงับแบบนี้เขาจะต้องทำตามสัญญาไม่ได้แน่ๆ แล้วแบบนี้จะให้ฉันเป็นหัวหน้าเจ้าพวกนี้ได้ยังไงกัน!
ชิงหยาสำลักแล้วพูด “เดี๋ยวนะ พี่ว่าพี่เห็นเขากินกุ้ง..ยูตง พี่เขยของเธอนั้นเป็นพวกชอบซ้ำเติมนะ!”
“เย็นไว้ก่อนพี่จ๋า นี่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยๆกุ้งก็ถูก…” ชิงยูตงแสดงท่าทีสบายๆออกมา เธอหยิบทิชชู่และส่งให้พี่สาวเธออย่างอ่อนโยน
ชิงหยารับมันมาและพูดขึ้น “มันก็โอเค!”
“แน่นอน แล้วว่าแต่เมื่อไหร่พี่เขยจะบรรจุหนูเข้าไปในฮาเร็มของเขาด้วยนะ แล้วตกลงพี่จ๋าจะยังอยู่ในก๊วนนี่มั้ย?”
“ชิงยูตง! พี่ให้เธอเข้ามาที่นี่ไม่ได้หมายความว่าให้เธอมาล้อเลียนหรือซ้ำเติมพี่นะ! พี่เรียกเธอมาเพื่อช่วยหาทางออก!” ชิงหยานั้นทั้งอับอายและหยิ่งผยองในเวลาเดียวกันเมื่อน้องสาวของเธอดูจะมองว่าเรื่องของเธอนั้นเป็นเรื่องตลก
เย่ฮัวที่ยืนฟังอยู่นั้นพยายามอดนึกถึงเรื่องลากชิงยูตงมาตีก้นไม่ได้เลย ไม่รู้หรือไงว่าพี่สาวเธอกำลังโกรธน่ะ อย่าเอาน้ำมันไปราดกองไฟสิเฟ้ย!
เมื่อยูคงได้ยินพี่สาวเธอพูดเช่นนั้น เธอจึงพูดตัดด้วยความเป็นห่วง “พี่จ๋า ถอยกลับไปซักก้าวแล้วคิดเรื่องนี้ใหม่ดีๆเถอะ พี่น่ะเปรียบเสมือนดอกพีชในใจพี่เขยเลยนะ แล้วถ้าพี่จะพาลูกของเขาหนีไปอีก ยังไงพี่เขยก็ต้องรู้ และเมื่อพี่เขยรู้ เดี๋ยวเขาก็ต้องไปตามพี่กลับมาอยู่ดี ไม่กี่วันมานี้พี่น่าจะเห็นแล้วว่ามุมมองที่เขามีต่ออาหลี่เป็นอย่างไร”
“แต่สิ่งที่พูดให้ฟังเมื่อครู่นี่พี่เขยยังไม่รู้หรอกนะ” ชิงยูตงยังคงพูดถึงความจริงและให้ความเป็นธรรม
เย่ฮัวนั้นยืนฟังเงียบๆและพยักหน้ารับ สิ่งที่ยูตงพูดนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกอันที่จริง
“แต่สำหรับผู้หญิงที่ดูจะเติบโตมาในสังคมชั้นสูงคนนั้นพี่เขยต้องไปล่อลวงเธอมาแน่ๆ”
และไม่ทันจะได้ใจชื้น คำต่อมาของชิงยูตงก็ทำเย่ฮัวหน้าเสีย เรื่องนี้ไม่ต้องพูดก็ได้เฟ้ย! ยัยนั่นน่ะเป็นผู้หญิงของเทวทูตอยู่แล้ว จะให้ฉันล่อลวงมาอีกทำไมเล่า? ถึงไม่ทำเจ้าหล่อนก็มาหาเองอยู่แล้ว!
ชิงหยาได้ฟังก็เกิดน้ำตาพรากมากกว่าเดิม “พี่เขยของเธอมันปีศาจ! พี่ไม่เห็นรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย! เพราะงั้นพี่จะไปเคลียร์!”
“พี่จ๋า ผู้ชายน่ะไม่แคร์เรื่องพวกนี้เป็นรากฐานอยู่แล้ว”
“เดี๋ยวนะยูตง ต้องนี่พี่สาวของเธอกำลังโดนนอกใจนะ! ทำไมเธอยังยิ้มได้เล่า!!”
ชิงยูตงสำลักและยิ้มออกมา “พี่จ๋า…ที่บอกว่าพี่เขยโกหกน่ะ เขาโกหกพี่ยังไงกันน่ะ?”
“เขา…เอ่อ…ข-เขาหลอกลวงพี่ทุกวิธีทางนั่นแหละ!!”
ถ้าไม่ใช่ว่าชิงหยากำลังตั้งครรภ์อยู่ล่ะก็ เย่ฮัวคงจะเข้าไปจับเธอฟาดก้นไปอีกคนแล้วแน่ๆ
“พี่เขยน่ะหลอกให้ไปนอนเองไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าที่เหลือพี่หลอกตัวเองอยู่นะ?” ชิงยูตงยักคิ้วซึ่งเพียงแค่มอง ชิงหยาก็เข้าใจได้ง่ายๆ
“ชิงยูตง ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”
“พี่ลองคิดถึงตอนที่ไปฮันนีมูนด้วยกันสิ ฉากรักของพี่นั้นทำเอาคนอื่นเฉาตายกันไปหมด ขณะที่ฉันและจีจี้ทำอะไรไม่ได้ ลิ้นของพี่จ๋าก็กำลังสอดใส่เข้าไปในโพรงปากอุ่นของพี่ขาย จากนั้นก็ ฮ๊า~ ดูเรือนร่างของฉันสิ ฮึ่ม~~”
“ออกไป๊!!” ใบหน้าของชิงหยาแดงแปร๊ด เธอหยิบหมอนมาและเขวี้ยงใส่ชิงยูตงใบแล้วใบเล่า
ยูตงทำท่าจะอ้วกก่อนจะชักชวน “เอาจริงๆนะ ฉันคิดว่าพี่เขยน่ะ ดีจริงๆนะ เขาดีกับฉันรวมถึงพี่จ๋ามากๆ ถึงบางครั้งจะชอบใช้กำลังแล้วก็ดื่มเหล้าเก่งก็ตาม…แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรไม่ดีนี่ใช่ม้า”
“แล้วที่พูดมานั่นมันดีตรงไหนยะ?”
“เอาเป็นว่าพี่เขยน่ะ ก็ไม่ใช่พวกดีไปซะหมด แต่เขาก็เป็นคนที่พี่ยอมรับว่าดีนี่ พี่พูดเองนะคำนี้” ชิงยูตงพูด
“…”
“ออกไปได้แล้ว ถ้าขืนฟังเธอต่อไปพี่ต้องสับสนแน่ๆ นี่พี่เขยของเธอให้เธอมากล่อมพี่ล่ะสิ รู้นะ!”
ชิงยูตงสัมผัมที่สะโพกของอีกฝ่ายเบาๆ “พี่จ๋า พี่จะดูถูกฉันก็ได้ แต่พี่จะมองข้ามตัวตนของฉันไม่ได้ ฉันน่ะคือเด็กสาวที่เกิดมาคนละยุคกับพี่ ฉันไม่สนใจผลประโยชน์อะไรนั่นหรอก เมื่อคืนก่อนฉันก็เพิ่งจะเป่าหูพี่เขยไป ให้เขาหย่ากับพี่”
“ห้ะ!?” ชิงหยาอุทานออกมา และเพียงได้ยินเช่นนั้น ชิงยูตงก็รู้สึกได้เลยว่าเธอทำสำเร็จแล้ว ดังนั้นจึงผละตัวออกมาจากเป้าหมาย
ใบหน้าของชิงยูตงนั้นดูเย้ยหยั่นสุดๆ และนั่นมันยั่วโมโหชิงหยาได้ดี เพราะเพียงแค่พูดถึงเรื่องหย่า พี่สาวของเธอก็จะมีท่าทีเช่นนี้
“พี่คงไม่ได้เห็นสีหน้าของพี่เขยตอนนั้น เขาทำหน้ายังกับเมียเขาตายแล้วอย่างงั้นแหละ”
“ชิงยูตง! เธอแช่งใครให้ตาย รู้ตัวหรือเปล่า!!”
“พี่จ๋า นั่นมันคำเปรียบเทียบ เล่นนิดเล่นหน่อยก็ไม่ได้เหรอ”
ชิง-ยู-ตง……………..เบื่อการมีชีวิตแล้วใช่มั้ย…..
เย่ฮัวนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆและพยายามสะงบสติอารมณ์ไว้ สัญญาเลยว่าถ้าอนุญาตให้ตีก้นสั่งสอนยูตงได้ จะยอมให้เธอมานั่งดูเลย! เทวทูตอย่างฉันไม่มีวันขอผู้หญิงด้วยเรื่องพรรค์นั้นหรอกเฟ้ย! ตลกน่า!
“หึ ยูตง ละครครั้งนี้ของเธอไม่เนียนเลยนะ เย่ฮัวไม่มีวันพูดแบบนั้นหรอก” ชิงหยานั้นเข้าใจเย่ฮัวมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เคยบอกไม่ยอมหย่ามาครั้งนึงแล้วน่ะ ไม่กลืนคำพูดตัวเองให้เสียหน้าหรอก
“อ่า…”
“อย่าไปสนใจเรื่องยิบย่อยนั่นสิ! พี่เขยน่ะเพิ่งพูดกับฉันเมื่อคืนก่อนเอง ไม่ต้องไปสนใจความอเน็จอนาถของเขาด้วย….” ถ้าจำไม่ผิด คืนนั้นเหมือนว่าพี่เขยจะฆ่าคนอย่างเมามันส์แถมตัวเธอเองยังได้กินไก่เพราะการชักนำของเย่จีจี้ด้วย…
“งั้นเหรอ ถ้างั้นฉันก็ได้ยินมามากพอแล้ว ไปได้แล้ว” ชิงหยารู้สึกได้ว่าเธอไม่ควรฟังยูตงมากไปกว่านี้ ยิ่งฟังมันก็ยิ่งทำให้ตัวเธอรู้สึกใจอ่อนมากขึ้น ไม่ได้นะชิงหยา! เธอต้องใจแข็งและยึดมั่นในหนทางของตัวเองเข้าไว้! ใช่แล้ว! ต้องยึดมั่น!
ชิงยูตงนั้นเหมือนจะรับรู้ความคิดของพี่สาวเธอได้ การได้เห็นพี่ของเธอเป็นเช่นนั้น คือความสำเร็จของเธอ มันทำให้เธอรู้ว่า คนตรงหน้าไม่ได้อยู่บนความเป็นความตายแล้ว แค่กำลังหึง เพราะงั้นวางใจได้แล้ว
เย่ฮัวรีบพุ่งกลับออกไปและทำท่าว่ามองขึ้นไปที่ชั้นบนแทน
เมื่อประตูเปิดออก ชิงยูตงก็ยิ้มเย้ยและพูด “พี่เขย ไม่ต้องมาเนียน รู้นะว่าได้ยิน”
ยัยนี่พูดไม่ไว้หน้าเลยแฮะ
“แล้วพี่เธอเป็นยังไงบ้าง?” เย่ฮัวถามเบาๆ
ชิงยูตงยักคิ้วเช่นเดิม และนั่นหมายถึง ‘รู้นะว่ารู้เรื่องหมดแล้ว’
“เย็นนี้จะกินเนื้อ อย่าพลาดซะละ” เย่ฮัวพูดทิ้งท้ายแบบไม่โกรธ
“เย้~ขอบคุณค่ะพี่เขย พี่จ๋าน่ะก็แค่หึง ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก พี่เขยปล่อยพี่จ๋าไว้งี้ซักครึ่งเดือน เดี๋ยวพี่ก็ยอมใจอ่อนแล้วก็วิ่งแจ้นมาหาพี่เขยเองแหละ” ชิงยูตงพูดเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ พูดซะเหมือนเขาเป็นแบบมนุษย์ทั่วไป
เย่ฮัวไม่รู้สึกดีขึ้นซักเท่าไหร่ ครั้งนี้ชิงหยาดูหนักขึ้นกว่าเดิม
แต่แล้วชิงยูตงก็พูดขึ้นมาอีก “พี่เขย บางทีมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดก็ได้นะ”
“เธอหมายความว่ายังไง?”
“พี่สาวฉันเป็นแค่คนทั่วๆไป เพราะงั้นมันจะไปยากอะไร?” คำพูดของเธอทำเย่ฮัวทึ่งไปเลย แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจจุดนี้มันจึงเป็นเรื่องยาก…
แต่กระนั้นเขาก็เข้าใจถึงเรื่องที่ยูตงพูด “ยาก!”
“เอ๋ ถ้างั้นก็พยายามเข้านะคะพี่เขย เชียร์~ ไม่ว่าจะยากยังไงพี่เขยต้องทำได้อยู่แล้ว~”
“ชิงยูตง ไว้รอจบเรื่องนี้ อยากได้อะไรก็ขอมาเลย เดี๋ยวฉันจัดการให้” เย่ฮัวที่ได้รับการเชียร์รู้สึกดีใจขึ้นมากๆ จนกว่าเขาจะทำให้ชิงหยาเปลี่ยนใจได้ เมื่อนั้นเขาจะกลับเป็นผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง
ชิงยูตงแสยะยิ้ม “ฉันว่าพี่เขยเอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า หมดเนื้อหมดตัวแบบนี้ฉันก็ไม่มีให้ยืมนะ”
หลังจากพูดจบเธอก็เดินออกไป
เย่ฮัวค่อยๆหายใจช้าๆและรอที่จะไปเจอหน้าชิงหยา เธอคนนี้ร่ำรวยจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะงั้นเขายิ่งไม่อยากจะปล่อยเธอไปง่ายๆหรอกนะ
เอาล่ะ เวลาที่ยากลำบากมาถึงแล้ว!
เขาเปิดประตูออฟฟิศเข้าไป
“ยูตง พี่ไม่อยากพูดอะไรแล้ว ออกไป!” ชิงหยาเอ่ยขึ้น
“ฉันต่างหาก!”
เมื่อชิงหยารู้ว่าเป็นเย่ฮัวเธอก็นอนลงไปทันที
“นายจะมาทำไมน่ะ ออกไป!” ชิงหยาไล่
เย่ฮัวเดินไปยังโซฟาและพูดขึ้น “ชิงหยา ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้งที่จะเปลี่ยนใจ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”
“นายคิดว่าฉันกลัวนายงั้นเหรอ! ฝันไปเหอะ!”
“นายจะไม่มีวันทำได้!”
“ไปตายซะ!!”
โฮ่ นี่เธอเพิ่งจะไล่เทวทูตให้ไปตายเองนะ เธอคงกลัวว่าจะแบบตงฮวงไป่ลี่ล่ะสิ!
บทที่ 226 แล้วเธอล่ะ!
เย่ฮัวค่อยๆโอบกอดร่างของชิงหยาไว้ “เย่ฮัว! ทำอะไรน่ะ! พวกเราทะเลาะกันอยู่นะ! นายจะทำแบบนี้ไม่ได้!”
“แล้วมันจะทำไมเล่า! ฉันจะทำอะไรก็ได้!!” เย่ฮัวพูดเสียงดังในขณะที่ชิงหยาทั้งต่อยทั้งเตะเขาเลย
“อย่าขยับสิ เดี๋ยวเด็กก็บาดเจ็บหรอก!” เย่ฮัวพูดหนักแน่น แต่จริงๆต่อให้เธอจะบินหรือจะฆ่าเขามันก็ไม่ได้ทำให้เด็กเป็นอะไรอยู่ดี แต่มันจะไม่เป็นการดีหากสายเลือดของเขาคลอดก่อนกำหนด
ได้ยินดังนั้นเธอก็พยายามสงบนิ่งและพูดอย่างเยือกเย็น “เย่ฮัว! ช่วยเคารพฉันด้วย ได้โปรด!”
“แล้วเธอได้เคารพฉันหรือเปล่า? แล้วการที่ทำแบบนี้มันไม่ดีกับเธอตรงไหน?” เย่ฮัวถามกลับ ยัยนี่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ให้ตายเถอะ
ในขณะที่น้องชายของเทวทูตนั้นมีเมียเป็นกองทัพ แต่เทวทูตตนนี้กำลังจะตายเพราะมีเมียเพิ่มมาอีกหนึ่ง
ชิงหยานั้นไม่รู้จะปฏิเสธกับสิ่งที่เขาพูดยังไงแต่ก็ไม่ได้เงียบไป “ยังไงก็แล้วแต่ นายมันคนโกหก! นายเล่นสนุกกับจิตใจของฉัน! ฉันน่ะ ไม่อยากให้นายเหนี่ยวรั้งฉันไว้อีกแล้ว ปล่อย!”
“ปล่อย? ไม่มีวันซะหรอก ไม่รู้ตัวหรือไงว่าตัวเองกำลังเน่าแล้วน่ะ! เธอไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วนับซิ!”
ชิงหยาหลบสายตาเมื่อนึกขึ้นได้ว่า อย่างน้อยๆต้องมี 1 วันแน่ๆ
ในความเป็นจริง ชิงหยานั้นยังตัวหอมมากๆ เย่ฮัวก็แค่พูดไปงั้นแหละ
แต่นั่นก็ทำให้เธอยอมมากับเขา
เมื่อทั้งสองเข้ามาถึงห้องนอน เขาก็โยนเธอเข้าห้องน้ำไปและพูดทิ้งท้าย “จัดการตัวเองซะ เน่าไปหมดแล้ว”
พอพูดเสร็จเขาก็ปิดประตูและส่งเสียงหงุดหงิดออกมาทันที
“ความผิดของตัวเอง ไม่มีใครช่วยได้หรอกนะ!” เย่ฮัวตะโกนก่อนจะนั่งรอที่เตียงดีๆ พอได้คิดดีๆแล้ว…เขาก็ไม่ได้กอดเธอมาวันนึงแล้วนี่นา…
ถ้างั้นคงต้องดุร้ายกันหน่อย
เย่ฮัวแสยะยิ้มออกมา กับผู้หญิงแบบนี้ยังไงก็ไม่ยอมปล่อยหรอก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ชิงหยาก็ออกมาและมองไปยังเย่ฮัว และทันทีที่เห็นเธอก็เตรียมที่จะวิ่งออกไปทันที
เย่ฮัวนั้นเพียงแค่ยิ้ม ชิงหยานั้นยังไร้เดียงสานัก เธอยังคงไม่รู้ซึ้งถึงพลังของเทวทูต!
ส่วนทางชิงหยานั้นเข้าใจว่าเย่ฮัวจะไม่วิ่งตามตน เพราะงั้นเธอจึงไม่ได้รีบวิ่งไปที่ประตู แต่ทันใดนั้นเองร่างของเธอก็ลอยขึ้นและกลับเข้ามายังอ้อมกอดของเขาเอง
“เย่ฮัว! หยุดทำตัวน่าละอายได้แล้ว!!” ชิงหยาโวยวายบนอากาศ
“ฉันเป็นผู้ฝึกตน ส่วนเธอก็เป็นของฉัน ทำไมจะทำแบบนี้ไม่ได้?”
ชิงหยาที่แทบจะประทุแล้วพูดด้วยความอัปยศ “ถ้านายแตะฉันล่ะก็ ฉันจะ…”
เย่ฮัวจับตัวชิงหยาไว้และกอดเธอไว้ในอ้อมแขนพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น “จะอะไร?”
“จะกัดนาย!”
ไม่พูดเปล่า เพราะเมื่อพูดจบเธอก็กัดเข้าไปที่แขนของเย่ฮัวเลย
เย่ฮัวนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ครั้งสุดท้ายที่ร่างกายเขาเสียหายก็มาจากน้องสาวของเธออย่างชิงยูตงที่ใช้มีดมาปาดคอเขา และคราวนี้ก็ถูกชิงหยากัดอีก
ความเจ็บปวดที่เขายอมให้พวกเธอสองคนกระทำนั้น มันมาจากความเต็มใจ พอโดนแล้วตื้นตันใจไปหมด
ชิงหยานั้นไม่ออมแรงกัดเลย เธอกัดจนเหมือนจะฉีกเนื้อเขาเข้าไปกินด้วย และเมื่อเธอคลายปากออกก็พบว่าบริเวณที่กัดนั้นมีรอยฟันเด่นชัดอยู่เลย
“มีความสุขหรือยัง?” เย่ฮัวถามด้วยความนิ่งสงบ นี่มันเป็นโอกาสที่หายากมากๆเลย
มันทำให้เธอเริ่มกลัวที่จะมองตรงๆนิดหน่อย แต่ก็ยังพูดออกไปด้วยความโกรธ “ปล่อยฉันสิ! ไม่งั้นฉันจะกัดเพิ่ม!”
“งั้นตามสะดวก อยากกัดตรงไหนก็เชิญเลย”
“หึย นายมันคนขี้โกง!!” ชิงหยาดิ้นไปเพื่อพยายามที่จะออกจากอ้อมแขนของเขา แต่ช่างโชคร้าย ดูแล้วเธอคงไม่มีทางหลุดออกไปได้ง่ายๆ
เย่ฮัวเองก็ไม่ได้พูด เขากอดแน่นขึ้นเพราะมันทำให้เขารู้สึกสบาย อยากรู้เหมือนกันว่าถ้ากอดตงฮวงไป่หลี่จะรู้สึกอย่างไรบ้าง
มันดูน่าสงสารที่เธอก็อยากจะมานอนร่วมเตียงกับเขา หากแต่เธอก็ยังต้องฝึกควบคุมตัวเองให้มากกว่านี้เสียก่อน
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ ชิงหยาจึงได้เอ่ยถามด้วยความเย็นยะเยือก “เป็นผู้ฝึกตนไม่ใช่หรือไง? ทำไมแผลยังไม่หายอีกล่ะ?”
เย่ฮัวพูดด้วยเสียงค่อย “นี่คือข้อแลกเปลี่ยนไง ฉันจะรอจนกว่าแผลจะติดเชื้อแล้วก็ปล่อยให้มันขาดไปเลย”
“เมื่อลูกในท้องเธอโตขึ้นมาและถามถึงเรื่องนี้ ฉันก็จะบอกว่าโดนแม่ของเขาเด็ดทิ้ง”
ชิงหยาแทบไม่อยากจะเชื่อ เธอมองหน้าเย่ฮัวพลางคิดในใจ ไร้ยางอายสุดๆ!
หลังจากผ่านไปอีกกว่า 10 นาที ชิงหยาก็เริ่มเห็นว่าแผลนั้นมีเลือดไหลออกมา หัวใจของเธอเริ่มเป็นกังวลแล้ว ถ้าเกิดว่าแขนเขาด้วนขึ้นมาจริงๆล่ะ?
ไม่มีทาง! เขาต้องกำลังจะแกล้งเธอแน่ๆ! ไม่เชื่อหรอก!
“ปล่อยฉันนะ!” ชิงหยาเริ่มพูดใหม่
“ไม่”
“ปล่อย! ฉันจะไปเอากล่องยามาแล้วทำแผลให้! จะไม่ยอมปล่อยให้นายเหลือแขนเดียวหรอก!” ชิงหยาเริ่มโกรธขึ้นมา นายมีลูกและผู้หญิงของนายรออยู่ด้านนอกนั่น เพราะงั้นฉันจะไม่อ่อนโยนกับนายหรอก!
หัวใจของเย่ฮัวเองก็เริ่มที่จะเป็นสุข ชัดเลยว่าวิธีที่ได้มาจากอินเตอร์เน็ตมันได้ผล ชิงหยาเริ่มอ่อนลงแล้ว
เธอไปหากล่องยามาและเอามันมาวางที่เตียงก่อนจะเริ่มฆ่าเชื้อที่แผลอย่างระมัดระวัง
เขานั่งมองท่าทีที่จริงจังของเธอก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ “ไม่โกรธแล้วเหรอ?”
“ยังคิดว่าฉันจะหายโกรธอีกเหรอ?” เธอตอบกลับอย่างเย็นชา
สิ่งที่พูดมันใช้ไม่ได้กับความรู้สึกหรอกนะ เย่ฮัวเก็บมือกลับไป “งั้นก็ไม่ต้อง ปล่อยให้ฉันกลายเป็นมนุษย์ 1 แขนไป ฉันจะได้เอาไปบอกลูกเมื่อเขาโตขึ้น”
“นี่! นี่นายเป็นเด็กหรือไงกันน่ะ!” ชิงหยาพูดเมื่อเห็นว่าท่าทีของเขานั้นเหมือนเด็กเอาเสียมากๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย…
“บังคับฉันเองสิ” เย่ฮัวพ่นลมหายใจ
“เอาแขนมา!”
เย่ฮัวพูดเบาๆ “ไม่!”
“อย่าดื้อสิ!”
“ชิงหยา นี่เรากำลังทะเลาะกันอยู่นะ อย่ามาก้าวก่ายกันสิ” เย่ฮัวพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆฟังดูแล้วกวนโอ้ยชะมัด
ในเมื่อเธอพยายามจะช่วยเขาแล้วแต่เขากลับมาทำตัวกวนโอ้ยยั่วโมโหใส่เธอแบบนี้ จะเหยียบย่ำกันไปถึงไหนน่ะ!
“งั้นก็ไปตายเลยไป!” ชิงหยาพ่นลมออกมาและเมินใส่เย่ฮัว หากแต่ไม่ได้ลุกออกจากเตียงไป
เวลาล่วงเลยผ่านมาครู่หนึ่ง เย่ฮัวจึงใช้จังหวะนี้ให้เป็นประโยชน์ เขาเอ่ยถามด้วยเสียงเบาอ่อน “ชิงหยา มาตกลงกันเถอะ จะได้ไม่มีปัญหา”
“เรากำลังทะเลาะกันอยู่นะ อย่ามาก้าวก่ายสิ”
โอเค…เทพผู้สูงส่งผู้นี้กำลังถูกภรรยาสุดที่รักสวนกลับ…
เย่ฮัวเริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้ว หรือควรจะปล่อยให้เธอพักก่อนแล้วค่อยบอกให้เธอรู้ถึงพลังของเขา แต่แบบนั้นฟังดูจะยุ่งยากจังแฮะ
“โอ๊ย บวมๆๆๆ”
เมื่อได้ยินเย่ฮัวโวยวาย ชิงหยาก็รีบหันกลับไปมองทันที แผลนั่นมันบวมขึ้นมาจริงๆ แถมยังแดงขึ้นด้วย!
“โธ่เอ้ย! แล้วแบบนี้จะไม่ให้กังวลได้ไงเล่า!” ชิงหยาตกใจมากๆพร้อมทั้งรีบหยอดยาลงไปที่แผลของเขา
เย่ฮัวแอบหลุดหัวเราะออกมาแต่ไม่ให้เธอเห็น ใช่แล้ว แผลที่แดงและบวมนั่นเป็นฝีมือของเขาเอง เขาสามารถควบคุมรูปลักษณ์ของมันได้ดั่งใจเลยล่ะ
ปากบอกว่าจะไม่สนใจคนอย่างฉัน แต่ไหงถึงได้กังวลเกี่ยวกับฉันกันน้า~? เป็นผู้หญิงที่ไม่ทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ ยูตงพูดถูกเลยทีเดียว
เอาล่ะ ทีนี้ก็จะชีวิตฉันก็จะได้กลับมาสมบูรณ์แบบเสียที วันหยุดพักร้อนของฉันเพิ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
“กินยาแก้แพ้นี่ซะ” ชิงหยายื่นยาฆ่าเชื้อโรคให้ 2 เม็ด
“น้ำล่ะ”
“นายนี่มันเหมือนคนแก่จริงๆ!” ถึงแม้ปากจะพูดงั้นแต่เธอก็ยังหยิบน้ำมาป้อนให้เย่ฮัวอยู่ดี
มองไปยังแผ่นหลังของชิงหยา เย่ฮัวก็บ่นพึมพัม “ชิงหยา ฉันคิดไม่ออกจริงๆนะถึงชีวิตที่ไม่มีเธอ”
หลังจากรินน้ำเสร็จชิงหยาก็พูดขึ้นเบาๆ “ไม่มีฉันนายก็ยังอยู่ได้ปกติ นายยังมีตงฮวงไป่หลี่คอยดูแลนายอยู่”
“แต่ฉันชอบเธอนี่”
“เย่ฮัว! ฉันบอกไปแล้วว่านายกำลังบอกรักฉันสายเกินไป! ฉันจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น!” แก้วน้ำถูกวางไปที่โต๊ะข้างเตียงแรงไปหน่อย มันเลยทำให้มีน้ำหกเลอะออกมา
อินเตอร์เน็ตโกหก…เทวทูตจะไม่เชื่อใจอินเตอร์เน็ตอีกแล้ว…
เย่ฮัวยังคงพยายามล่อลวงชิงหยาต่อ เขาไม่ได้กระซิบแต่พูดออกไปแบบนั้นเลยโดยไม่ให้เห็นหน้า
“ชิงหยา! ฉันบอกเธอเสมอว่าเธอนั้นอยู่ในการดูแลของฉันไปตลอดชีวิต! ฉันผูกติดกับเธอไปแล้ว!”
“เย่ฮัว! นายมันบ้า!”
“ถ้าฉันบ้าแล้วเธอล่ะ เป็นอะไรฮะ!?”
บทที่ 227 วันนั้นฉันไม่สะดวก
ชิงหยากระโดดขึ้นไปบนเตียงพร้อมกับคร่อมไปบนตัวเย่ฮัวและใช้หมอนตีเขาไปหลายที
เย่ฮัวเองก็ไม่ปล่อยให้ตีเปล่า เขารอจังหวะและจัดการพลิกสถานการณ์กลับไปเป็นฝ่ายกดเธอแทนพร้อมทั้งพ่นลมหายใจเย็นๆออกมา “เธอกล้าที่จะล้มฉันงั้นเหรอ?”
“แล้วถ้าบอกว่ากล้าล่ะ!”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆประตูก็เปิดออก อาหลี่ที่เปิดฝ่ายเปิดเข้ามามองภาพตรงหน้าก่อนจะอุทานออกมา “เฮ้ กำลังตกลงกันสินะคะ แจ๋วไปเลย”
ชิงหยานั้นดิ้นไปมาพร้อมทั้งผลักเย่ฮัวไปด้วย เย่ฮัวนั้นไม่ได้อยากจะทำร้ายเธออยู่แล้ว เพราะงั้นเข้าจึงไม่ได้รุนแรงอะไรกลับไปก่อนจะลุกแล้วเดินไปอุ้มเด็กสาวขึ้นมา “อาหลี่ ป้าของเธอมาเพื่อจะยอมรับความผิดน่ะ”
ชิงหยานั้นเดือดดาลมากๆหากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเธอกำลังอยู่ต่อหน้าเด็ก มันไม่ดีแน่ๆถ้าแสดงท่าทีแบบนั้นออกไป
“เยี่ยมไปเลย!” อาหลี่ยกนิ้วโป้งขึ้น
“แบบนี้เรียกว่าปรับปรุงตัว ถูกไหมคะ?”
อาหลี่พยักหน้ากับคำพูดตัวเองแล้วจึงพูดขึ้นมา “อาหลี่เหนื่อยมากๆ ตอนนี้อยากนอนสุดๆเลยล่ะค่ะ”
“งั้นให้ป้าชิงอยู่ด้วยจะได้หลับสบาย โอเคมั้ย? เพราะคืนก่อนป้าชิงก็หลับไม่สบายซักเท่าไหร่” เย่ฮัวรู้ว่าถ้าทำแบบนี้ชิงหยาก็จะปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ นั่นเพราะว่านั้นก็เหมือนกับเขา ดังนั้นแล้วเขาจึงใช้อาหลี่เข้าไปทำลายความหยิ่งยโสของเธอที่เป็นศัตรูตัวฉกาจซะก็สิ้นเรื่อง
อาหลี่นั้นตาใสปิ๊งเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ดีเลย”
“งั้นชิงหยา ฝากอาหลี่ด้วยนะ” เย่ฮัววางร่างของเด็กสาวลงบนเตียงและพูดเบาๆ
ชิงหยาตอนนี้สับสนไปหมด แต่กระนั้นเธอก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอชอบความแสนรู้และมีเสน่ห์ของอาหลี่ส่วนอีกอารมณ์นั้นก็กำลังชั่งใจเรื่องที่ว่าอาหลี่เป็นลูกของผู้หญิงอีกคนของเย่ฮัว
เธอเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นปรปักษ์กับผู้หญิงคนนั้นหรอก เพราะได้ฟังเรื่องของเธอมันก็ทำให้ชิงหยารู้สึกสงสารเธอมากๆ ถ้าคนๆนั้นตั้งท้องแล้วเย่ฮัวไม่ดูแล จนกระทั่งเธอคลอดลูก เลี้ยงลูกขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว เขาจะรู้ไหมว่ามันยากลำบากขนาดไหน…
ถ้าไม่ใช่เพราะอาหลี่หนีออกจากบ้านมาจนมาเจอที่นี่ เย่ฮัวก็คงไม่รู้ว่าเขามีลูกอยู่ที่ด้านนอกนั่น ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารจริงๆนั่นแหละ แต่การที่เย่ฮัวโกหกว่าเป็นลุงนั้นก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก แย่ที่สุดเลย!
ชัดเจนเลยว่าเขาไม่ได้รู้สึกเสียใจกับความผิดของตัวเองเลย แถมยังทำผิดเรื่องอื่นๆเพิ่มอี่ก
ถึงตัวเขาเองจะเป็นผู้ฝึกตนแต่ยังไงก็ตามก็ไม่ควรจะทำตัวยโสแบบนี้ นั่นภรรยาของนายนะ ไม่ใช่ศิษย์น้องหรืออะไรพวกนั้น
เย่ฮัวออกมาจากห้องหลังปล่อยให้ทั้งสองพักผ่อนไป เขาลงมาด้านล่างเพื่อจะศึกษาตงฮวงไป่หลี่พร้อมๆกับมอบบทเรียนให้เธอได้กลายเป็นผู้หญิงที่มีคุณภาพอีกคน
เพราะอีกฝ่ายเป็นตงฮวงไป่หลี่ คงต้องเที่ยงตรงเข้าไว้ นี่เป็นครั้งที่สองหากนับเมื่อ 3 ปีที่แล้วเป็นครั้งแรก จริงๆไม่คาดคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
เมื่อลงมาถึงด้านล่าง เขาเห็นตงฮวงไป่หลี่นั่งอยู่บนบาร์เครื่องดื่มที่พังยับเยิน สายตาของเธอดูคลุมเครือสุดๆ
เมื่อปราศจากออร่าใดๆแล้ว ตงฮวงไป่หลี่ก็ยังเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แน่นอนว่าเธอกำลังจะเมาแล้วล่ะดูจากสภาพ
มองไปยังเธอ ณ ตอนนี้ เย่ฮัวก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเขาลงมาที่นี่เมื่อสามปีที่แล้ว ในตอนนี้ก็คงจะไม่มีชิงหยาอยู่ด้วย โชคดีจริงๆที่ไม่ได้ลงมา ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ได้เจอชิงหยาเลย
หากแต่เป็นได้ครอบครองเธอแทน
เขาเดินไปยังด้านข้างของเธอพร้อมกับรินไวน์ใส่แก้ว
ทั้งสองต่างดื่มไวน์เข้าไปแก้วแล้วแก้วเล่าโดยไม่มีใครพูดอะไร
“ก้นนั่น ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?” เย่ฮัวที่ท้ายสุดก็เอ่ยถามขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบที่ตงฮวงไป่ลี่สร้างเอาไว้
เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น ก็ทำหน้าเหยียดใส่ทันที “อะไร ไม่ทำตัวเจ๋งแล้วหรือไง?”
“ถ้าไม่ทำฉันโกรธ เธอก็จะไม่โดนตีอีกนะ” เย่ฮัวพูดอย่างสงบนิ่ง หากเขายอมเปลี่ยนตัวเองและเข้าไปขอโทษเธอล่ะก็ บางทีใจของเธอคงจะอ่อนลงและอาจจะกลับมาคืนดีด้วยกันได้
ยิ่งไปกว่านั้นตงฮวงไป่หลี่เองก็แอบคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันว่าถ้าหากเย่ฮัวขอโทษเธออย่างจริงใจแล้วล่ะก็ ในอนาคตเธอกับลูกสาวก็อยากจะพาเขาไปยังโลกเสมือนของเธอด้วยเช่นกัน
และชื่อเสียงของเธอก็คงดีกว่านี้เพราะเย่ฮัวไม่ใช่คนทั่วไป หนำซ้ำเขายังแข็งแกร่งกว่าเธอเสียอีก
ดังที่อธิบายไปด้านบน เธอนั้นเต็มใจที่จะได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาเรื่องที่เธอแต่งงานกับคนธรรมดา นี่มันเหมือนเรื่องตลกในชีวิตเธอเลยหากแต่เธอก็ไม่เคยปฏิเสธเรื่องลูกสาวของเธอ
อย่างน้อยๆเธอก็คิดแบบนี้มาตลอด
ที่ของอาหลี่ในหัวใจของเธอนั้นชัดเจนอยู่แล้ว ต่างกับเรื่องของเย่ฮัวที่ความรู้สึกที่มีให้เขาสำหรับเธอมันค่อนข้างคลุมเครือ เธอจำแค่ว่าเธอเกลียดเขามาตลอด 3 ปี กังวลมาตลอด 3 ปี และตลอด 3 ปีมานั้น การได้เห็นหน้าอาหลี่มันทำให้เธอนึกถึงเย่ฮัวตลอด
เหมือนว่าเย่ฮัวจะฝังรากลึกลงไปในหัวใจของเธอไปเสียแล้ว และเมื่อได้ยินว่าเขามีภรรยาแล้ว ตงฮวงไป่หลี่ก็โมโหมากๆ เธอตัดสินใจที่จะให้เย่ฮัวต้องรับกรรมจนถึงที่สุดและวางแผนที่จะทำให้ภรรยาของเขามองว่าเขานั้นมีชู้เพื่อที่จะแก้แค้น
แต่โชคร้ายที่แผนของเธอไปได้ไม่ถึงฝั่ง ที่สำคัญเธอดันมาโดนจับตัวไว้แบบนี้ด้วย
“ทำไมถึงไม่ลงมาในวันนั้น?” ตงฮวงไป่หลี่พึมพัมกับตัวเอง
แล้วทำไมหล่อนถึงได้สนอกสนใจกับไอคำถามนี้ซะเหลือเกินเนี่ย มันมีอะไรน่าขยี้นักเหรอ? นี่มันผ่านมานานแล้วนะ
ในขณะที่คำถามนี้ไม่ได้สำคัญอะไรกับเย่ฮัว แต่สำหรับเธอแล้วมันคือตัวชี้วัดเลยว่าจะยอมยกโทษให้หรือไม่
เย่ฮัวเงียบลงไป จะให้พูดออกไปได้ยังไงกัน….
ในวันนั้น เขาอารมณ์ไม่ดีนั่นก็เพราะว่าเลี่ยกูดันละเมอแล้วไปปัดสายเคเบิ้ลขาด ทำให้เขาไม่ได้ดูพี่น้องน้ำเต้าช่วยคุณปู่
พล็อตหนังสารเลวนี่จะไม่เกิดถ้าเจ้าหมานั่นไม่หลับลึกขนาดนั้น เพราะเจ้านั่นจะไม่ละเมอ และถ้ามันไม่ละเมอเขาก็จะอารมณ๋ดี จากนั้นเขาก็จะยอมลงมา ท้ายสุดก็จะลงเอยที่อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ได้พบกับชิงหยา
อ่า…
พอได้คิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าให้มันละเมอไปนั่นแหละดีแล้ว กัดได้เยี่ยมมากเลี่ยกู…
หลังจากขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ เย่ฮัวจึงตอบไปด้วยเสียงเบา “วันนั้นฉันไม่ค่อยสะดวก”
เมื่อเธอได้ยินเย่ฮัวตอบ ตงฮวงไป่หลี่ก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “ ไม่สะดวก? ป้ามาเยี่ยมหรือไง ฮะ?”(เป็นประจำเดือน)
“ป้า? ฉันไม่มีอะไรพวกนั้นหรอก” เย่ฮัวไม่เข้าใจว่าป้าที่เธอจะสื่อคืออะไร และเขาก็ไม่เข้าใจสุดๆด้วยว่าการที่เขาไม่สะดวกนั้นมันเกี่ยวอะไรกับป้าวะ
ตงฮวงไป่ลี่ยิ้ม “ฉันไม่เข้าใจเรื่องนึง เรื่องที่ว่าทำไมนายถึงกลายเป็นลูกผู้ชายได้”
นี่พูดอะไรอีกเนี่ย เธอไม่ควรดื่มจนเมานะรู้มั้ย? เมาแล้วเลอะเทอะ
“ถ้าเธอยังอยากจะเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องเมื่อ 3 ปีก่อนล่ะก็ ฉันจะค่อยๆตอบแทนเธอให้ในอนาคตละกัน” ในฐานะลูกผู้ชาย เมื่อเผลอผูกปมในอดีตไว้แล้ว คุณควรจะทำในสิ่งที่คุณพอจะทำได้นั่นก็เพื่อให้ครอบครัวของคุณเองเกิดความปรองดองกัน
ไม่เช่นนั้นแล้วคงจะไม่มีอารมณ์มาดูแลจัดการสิ่งที่พังไปแล้วได้หรอก
“ตอบแทน? นายจะชดใช้ฉันยังไง? ฉีกฉันเป็นชิ้นๆเหรอ?” ตงฮวงไป่ลี่ยังนั่งอยู่บนบาร์ เธอหัวเราะและดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
เย่ฮัวทำได้แค่ถอนหายใจและจิบไวน์ไปพลางๆ “อยากจะให้ชดใช้อะไรล่ะ?”
“โอ้ ฉันไม่ต้องการอะไรนั่นหรอก แค่อยากจะออกไป นายทำมาดีพอแล้ว เพราะงั้นก็ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก”
เพล้ง!
แก้วในมือเย่ฮัวนั้นแตกกระจาย ผู้หญิงคนนี้ช่างหยาบกระด้างเสียจริง
“อะไร? อยากจะสู้กับฉันอีกเหรอ? ถ้าจะสู้เนี่ย ฆ่าฉันให้ตายเลยไม่ดีกว่าหรือไง? จะได้ไม่มีใครมารบกวนใจนายด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่ฮัวก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ แม้แต่ชิงหยาก็ไม่อาจหาญทำกับเขาแบบนี้ อยากมากสุดก็แค่ขู่ แต่ก็โดนเหมือนกัน…
เย่ฮัวยืนขึ้นต่อหน้าเธอและพูดอย่างเยือกเย็น “วางใจได้เลย ฉันจะไม่กำจัดเธอหรอก แต่จงรับรู้ไว้ว่า เธอไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ไปจนวันตายเลย!”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหน้าเตรียมจะขึ้นไปชั้นบนตามเดิม
ดวงตาที่งดงามของตงฮวงไป่หลี่นั้นกลั่นน้ำตาออกมา เธอหยิบขวดเหล้าขึ้นมาพร้อมเดินไปหาเย่ฮัว “เย่ฮัว! ฉันเกลียดนาย! และฉันจะไม่มีวันยกโทษให้นายไปตลอดชีวิต!!”
บทที่ 228 ครั้งแรก
ขวดในมือของตงฮวงไป่หลี่ถูกปามาและเช่นเดิมมันติดกำแพงลม เธอกรีดร้องและทรุดตัวลงไปร้องไห้ที่บาร์ตามเดิมราวกับเด็กๆ ดูเหมือนว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน
เสียงร้องไห้ที่ดังมาจากด้านล่างนั้นทำให้เย่ฮัวต้องถอนหายใจหนักๆ เขาไม่รู้จะทำยังไงดี ควรจะหาที่ปรึกษาไหม? อย่างเทวทูตออนไลน์ อะไรพวกนี้
ตัดมาที่ห้องเช่าของเว่ยชาง ในตอนนี้เขากำลังดื่มชาโสมของถังเว่ยอยู่ มันให้ความรู้สึกว่าชาวันนี้มันร้อนและเหมือนว่าจะระเบิดมากกว่าทุกวัน…
แล้วไหนจะการที่เธอรินแล้วรินอีก เหมือนไม่อยากให้เขาหยุดดื่มซะอย่างงั้น
จำได้ว่าถังเว่ยเคยพูดไว้ว่า ชานี่เขาควรดื่ม เพราะมันดีต่อร่างกาย และมันช่วยรักษาโรคได้
เว่ยชางรู้สึกประหลาดใจและเขาเองก็ไม่ได้ป่วยอะไร ทำไมเขาต้องโด๊ปชาเป็นเหยือกแบบนี้
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปยังนัยน์ตาที่ดูเป็นห่วงเขามากๆของถังเว่ยแล้ว ก็คงต้องยอมป่วยซักโรคแล้วล่ะ…
“พวกนายสองคน มาทางนี้ มีงานจะให้ทำ” เว่ยชางตะโกนเรียกสองพี่น้องเขียวแดง
ในตอนนั้นเองพวกเขาก็กำลังดื่มชาเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าจู่ๆทั้งบ้านนี้ก็มีชาอยู่ในตู้น้ำทุกตู้และถูกเติมใส่พาชนะต่างๆไว้เต็มไปหมดโดยไม่สามารถทำความเข้าใจได้ เตรียมไว้ให้คนเถ้าคนแก่ในหมู่บ้านกินหรือไงกันน่ะ…
เมื่อคิดถึงคนแก่ก็พาลไปคิดถึงอายุของเว่ยชาง จากนั้นก็คิดถึงอายุของถังเว่ยก่อนจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง อ่า…บางทีชาพวกนี้อาจจะเหมาะกับคนที่ย่างเข้าวัยกลางคน
เอาเป็นว่าเข้าใจละกัน…
ทั้งสองเข้าไปหาเว่ยชางพร้อมรอยยิ้มและถือแก้วชาไปด้วย ได้ยินว่าเว่ยชางมีงานจะให้ทำ หรือว่าบอสจะขับรถออกไปไหน? หรืออาจจะอยากทำความสะอาดร้าน? หรือว่าจะไปซื้อของกันน้า~
เว่ยชางมองการเปลี่ยนแปลงทรงผมของพวกเขาทั้งสอง จริงๆก็ไม่ได้แปลกตาอะไรมากหรอก
มันดูเหมือนว่าจะมีใครซักคนใน 2 คนนี้ที่เป็นบอสสินะ
พวกเขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกไปเพื่อให้ดูสดชื่นมากขึ้นผมที่ยาวลงมาถึงแก้มนั้นดูแปลกตาดีแต่ก็ยังยึดมั่นในสีเช่นเดิม
ช่วงตัวก็ยังคงสวมเสื้อกันลมสีเดียวกับผมคู่กับผ้าหนัง นี่ถ้าพวกเขาไปอยู่ในธรรมชาติที่มีวิวสวยๆแล้วล่ะก็ คนที่ผ่านมาเห็นคงจะคิดว่ามีคนเอาสัญญาณไฟจราจรมาตั้งให้ขัดหูขัดตาแหงๆ
“ลุงเว่ย อยากให้เราไปซื้ออาหารให้ใช่มั้ย? ฉันคิดว่าซื้อพวกผักใบเขียวมาติดบ้านไว้ก็ดีนะ กินแล้วมีประโยชน์” พี่ใหญ่เขียวนั้นเปิดฉากก่อน เขาเป็นพวกเลือดร้อนแต่ก็ยังไม่มีแฟนไม่เหมือนเว่ยชาง
น้องเล็กแดงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ลุงเว่ย ผักน่ะ ดีต่อร่างกายนะ”
เว่ยชางเองก็รู้สึกได้ว่าไอ้สองคนนี้มันพูดถูกแล้ว “งั้นก็ซื้อผักใบเขียวมาด้วยละกันคืนนี้”
“เข้าใจแล้ว เพราะงั้นมาทำให้งานสมบูรณ์กันเถอะ!” พี่ใหญ่เขียวยืนขึ้นและยื่นมือตรงหน้าอีกฝ่าย
ถามหาเงิน
“แค่กๆ! งานที่จะให้ทำไม่ใช่ซื้ออาหาร! แต่ซื้ออาหารนั้นก็ให้ทำด้วยหลังจากงานหลักเสร็จ” เว่ยชางพูดเสริม เขาเกือบจะคล้อยตามเจ้าพวกนี้ไปซะแล้ว
พี่ใหญ่เขียวหยุดไปครู่หนึ่ง “งานที่กำลังจะทำนั้นต้องยิ่งใหญ่แน่ๆ! มันต้องเป็นงานที่ปราบอธรรมแล้วสนับสนุนธรรมแหงๆ!”
“พี่ใหญ่ ถ้าพวกเราดังขึ้นมาชุดของพวกเราล่ะเหมาะมั้ย? นักข่าวจะต้องเข้ามาสัมผัสแน่ๆเลย ฉันรู้สึกอย่างนั้น”
“น้องเล็ก ไว้ใจได้เลย ไฟจราจรของพวกเรานั้นเข้ากันได้เป็นอย่างดี ชัดเจนเลยว่าร้อนแรงสุดๆ”
“เจ๋งเป้ง!”
“เจ๋งเป้ง!”
เว่ยชางพูดตัดขึ้นมาเบาๆ “ไปฆ่าคน 3 คน”
พรู่ด!
พรู่ด!
ทั้งสองพ่นน้ำชาออกมาแล้วส่ายหน้ารัวๆและถามอย่างสงสัย “ลุงเว่ย แน่ใจนะว่าไม่ได้บอกผิดจากช่วยคนเป็นฆ่าคนน่ะ”
“พวกนายต้องมีทักษะด้านการฆ่าคนไว้บ้าง ฆ่าแค่ 3 คนนี้เพื่อบอสสำหรับวันนี้ ฆ่าเสร็จแล้วเอามาโชว์ให้เห็นในที่โล่งด้วย”
สองพี่น้องนั้นรู้สึกทำใจยอมรับได้อยาก เพราะมันกระโดดขึ้นมาจากไปซื้ออาหารเป็นการฆ่าในทันที รู้สึกไม่เข้ากันเลย มันต้องค่อยเป็นค่อยไปสิ เริ่มจากไปดักตีใครก่อนเป็นไง? แบบนี้ถ้าเกิดพิการมาต้องต่อแขนต่อขาให้ด้วยนะ แต่ไม่พิการจะดีที่สุด…
“ไม่กลัวเหรอ? ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าพวกนายจะบอกว่ามีอีกหลายชีวิตอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเมื่อคืนนี้สินะ? ไม่ได้ตบตากันใช่มั้ย?” เว่ยชางถามด้วยความสงสัย
ต้องพึ่งพากันเองแล้ว ไม่น่าไปโอ้อวดเลย ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว เพราะงั้นต้องใจแข็งเข้าไว้! ต้องตัดมันให้ขาด!
เพราะกว่าอีกร้อยชีวิตอยู่ในมือพวกเขาแล้ว
พี่ใหญ่เขียวขมวดคิ้วและกลืนน้ำลายลงไป “ลุงเว่ย วางใจได้เลยจะจัดการให้เหมือนกับพวกบอสที่อยู่ในบาร์ที่จะซื้ออาหลี่ไปเลย เพราะงั้นไว้ใจพวกเราได้!”
“พูดได้ดี แบบนี้นายท่านคงต้องชื่นชมแน่ๆ เอาล่ะ ให้ 5 นาทีสำหรับเตรียมตัว แล้วเราจะไปกันในอีก 5 นาทีหลังจากนั้น”
ทันทีทันใดพวกเขาก็หันหน้าไปปรึกษากัน ใบหน้าทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงพร้อมกับกระซิบกระซาบกันเอง
“พี่ใหญ่เราควรทำยังไงดี?”
“แล้วจะให้ทำยังไงเล่า เราต้องสู้!”
“แต่ฉันกลัว…”
“นายจะกลัวอะไร? พวกเราน่ะยังไงซักวันก็ต้องก่ออาขญากรรมอยู่แล้ว! นี่ก็เพื่อความยุติธรรมนะ”
น้องเล็กนั้นหยีตา “ทำไมรู้สึกว่าชีวิตเรามันเจอเรื่องน่าตื่นเต้นได้มากขนาดนี้กันน่ะ”
“ทำตามบอส ไม่งั้นพวกเราได้ตกนรกทั้งเป็นแน่”
“รับทราบ! เราจะไม่ตกนรก!”
หลังจาก 5 นาทีผ่านไป ทั้งสองก็พร้อมแล้ว พวกเขายืนอยู่ต่อหน้าเว่ยชางเพื่อรอให้คนตรงหน้าแจงรายละเอี่ยดเพิ่มเติม
เว่ยชางหยิบเหยือกขึ้นมาและโบกมือเพื่อสร้างบ่อสีดำขนาดใหญ่ให้ปรากฏในห้องนั่งเล่น “มากับฉัน”
สองพี่น้องสูดลมหายใจลึกเข้าไปในปอดก่อนจะเดินตามเว่ยชางเข้าไปในห้วงมิตินั้น
“พี่ใหญ่…หวังว่าเราคงจะไม่ได้ไปสู้บนดาวดวงอื่นนะ”
“ถ้าแค่ดาวดวงอื่นน่ะฉันไม่เครียดหรอก กลัวว่าจะเป็นจักรวาลอื่นเลยเนี่ยสิ”
เข้าไปในมิติน้ำวนนั้นก่อนจะมองไปอีกด้านของมันก็พบว่าอีกฟากนั้นคือท้องฟ้ากว้างและปุยเมฆขาว
น้องชายของเขามองไปยังอินทรีย์ที่บินผ่านก่อนจะตะโกนขึ้น “พี่ใหญ่! ดูนั่น นกอินทรีย์นั่นบินต่ำมากๆเลย”
หลิวนั้นประหลาดใจ เขารู้สึกว่าบางอย่างมันไม่ถูกต้องก็เลยค่อยๆก้มลงไปมองข้างล่างช้าๆ และนั่นทำให้เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมาจนเต็มหน้าไปหมด
น้องแดงที่สังเกตุท่าทีของพี่ชายแล้วก็เกิดสงสัยด้วยเลยมองตาม
ทั้งสองนั้นอยู่สูงจากพื้นดินขึ้นมาหลายกิโลเมตรเลย
เว่ยชางมองไปยังทางเหนือก่อนจะพูดขึ้นอย่างสุขุมว่า “รอตรงนี้นะ อีกไม่นานหรอก”
“ลุงเว่ย เป้าหมายของเราคืออะไรนะ?” พี่ใหญ่เขียวเอ่ยถาม
“3 คนที่กำลังมาจากด้านล่างคือเป้าหมาย” หลังจากพูดจบเว่ยชางก็เปิดเหยือกกรดกชาก่อนจะกลับเข้าไปในวังวนน้ำวนนั่นแล้วหายไปเลย
สองพี่น้องยืนอยู่ในความเงียบ ใบหน้านั้นเริ่มแสดงสีหน้ากังวลออกมาและท้ายสุดก็ตื่นตระหนก
“พี่ใหญ่! เรากำลังบินอยู่!!”
“อ่า เรากลายเป็นนกไปแล้ว” หลิวถอนหายใจ จากไม่กี่วันก่อนเป็นคนหิวโหยอยู่บนถนน ตอนนี้กลายเป็นซูเปอร์แมน และที่สำคัญก็ดันเป็นซูเปอร์แมนที่กำลังจะฆ่าคนด้วย
ถ้ามองจากด้านล่างจะมองเห็นได้ว่ามีนกสีเขียวและแดงอยู่บนอากาศ
และเมื่อพวกเขากำลังตื่นตระหนกเช่นนั้น พวกเขาก็พบว่าจุดดำๆ 3 จุดกำลังมุ่งมาทางพวกเขา
นั่นคือซุนยี่กับคนอื่นๆที่กำลังหนี
“พี่ใหญ่ มีคนกำลังมา!” หงนั้นเริ่มจะกังวลเมื่อเห็นว่ามีคนมาทางเขา
“ฉันก็เห็นน่า ไม่ได้ตาบอด!” หลิวเองก็รู้สึกประหม่าเหมือนกัน ถ้าบอกว่าให้ทำให้กลัวก็ว่าไปอย่าง แต่นี่บอกให้ฆ่าเลยนะ…ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยจริงๆ…
มองไปยังร่างที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แดงก็ถามขึ้นมาอีก “พี่ใหญ่ จำหนังกำลังภายในที่เราดูด้วยกันได้ไหม? ที่ว่าต้องกล่าวชื่อตัวเองออกไปก่อน เราจะพูดอะไรออกไปดีล่ะ?”
“ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง!” เขียวเริ่มคิดถึงสิ่งนี้
ได้ยินเช่นนี้ก็อุ่นใจ พี่ใหญ่ช่างฉลาดจริงๆ
ซุนยี่และอีก 2 คนที่มองเห็นพี่น้องเขียวแดงอยู่ไม่ไกลต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัย
“ไฮ่ไต่ซี่ คนของนายหรือเปล่า?” กงเทียนลู่ถาม
หากมองจากเสื้อผ้าแล้ว สองคนนี้ค่อนข้างจะแปลกมากๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงคนที่เปี่ยมไปด้วยพลังไม่น้อยเลย
ไฮ่ไต่ซี่ส่ายหน้า “คนของเราน่าจะซ่อนอยู่ในเมืองมากกว่า แต่เจ้าพวกนี้ก็เด่นดีแฮะ กล้าแต่งตัวแบบนั้นได้ไงกันนะ”
“สำนักเมฆาของฉันก็ไม่ได้แต่งตัวแบบนั้น…”
บทที่ 229 ฉันคือคนที่รักครอบครัว!
กงเทียนลู่พูด “พวกเรายังไม่ได้ออกจากเขตของแดนเหนือ นี่หมายความว่าพวกมันมาดักรอเหรอ?”
ทั้งสามมองหน้ากัน สภาพของพวกเขาตอนนี้ดูน่าอนาถไม่น้อย ไหนแต่ละคนจะบาดเจ็บอยู่อีก ไม่มีใครพร้อมซักคน
และเพียงพริบตาทั้งสามก็ไปปรากฏอยู่ฝั่งตรงข้ามของพี่น้องสองสีเสียแล้ว
ยามที่ทั้งสองได้เห็นซุนยี่ พวกเขาต่างก็ตกตะลึง ทำไมสาวงามขนาดนี้จึงได้มาอยู่ในที่แบบนี้ได้ นี่พวกเขาจะต้องฆ่าเธอจริงๆเหรอ? ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“พวกนายเป็นใคร!” ซุนยี่เอ่อยถามพร้อมสูดหายใจเข้าไป ถึงแม้จะบาดเจ็บอยู่ แต่ก็ไม่อยากจะให้อีกฝ่ายรู้ เพราะงั้นเธอจะทำเป็นแข็งแกร่งไปก่อน
เขียวตอบอย่างสุขุม “ในเมื่อถามออกมาอย่างจริงใจ ก็จะตอบอย่างเมตตาละกัน! ฉันคือ เขียว ผู้พิทักษ์ผู้รักครอบครัว!!”
จบด้วยการเก๊กท่าเท่ห์ๆทิ้งท้าย
แดงได้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกกระปี้กระเป่า เขาเก๊กท่าและตะโกนออกไป “ฉันคือ นักกฏหมายผู้รักครอบครัว แดง!”
ทั้งสามนั้นงุนงงมากๆ เอาจริงๆถึงฝั่งใต้จะมีพวกตระกูลชื่อแปลกๆหรือคนชื่อแปลกๆอยู่บ้างแต่นี่มันต่างออกไป ชื่อบ้าอะไรวะเนี่ย สองคนนี้…ปกติป่ะนะ
“ทำไมถึงเข้ามาขวางทางพวกฉัน!” ไฮ่ไต่ซี่ถามด้วยเสียงดัง
ทันทีที่เขียวพร้อมจะพูด ประแจที่ซ่อนไว้ภายใต้ชุดกันลมก็หลุดออกมาและร่วงลงไป แดงที่มองเห็นภาพนั้นพอดีก็ถึงกับหน้าซีดไปเลย
เขียวหันไปใช้สายตาสื่อสารกับผู้เป็นน้อง
“พี่ใหญ่ พวกเราเป็นนักฆ่า ต้องห้ามเปิดเผยอาวุธสิ!”
“รู้…แต่มันหลุดไปเอง”
“ทำไมพูดแบบนั้นเล่า!”
“แล้วจะให้พูดไงอ่ะ…”
เขียวหยิบเอาประแจที่ตกลงพื้นขึ้นมาก่อนจะยิ้มให้ทั้งสาม “ฉันคือ รีแพร์แมน อยากจะเช็คห้องเครื่องกันหน่อยไหมล่ะ หึ!”
หลังจากที่เขียวพูดจบ ท่อแป๊ปพลาสติกก็หล่นออกมมาจากเสื้อกันลมของแดง
เขารีบหยิบมันขึ้นมาถือไว้อย่างรวดเร็ว สีหน้านั้นดูไม่ปกติมากๆก่อนจะมาเสยผมตัวเอง “น-ในฐานะของช่างประปา คงไม่แปลกมั้งที่จะใช้ท่อแป๊ป”
ผุ้มาจากแดนใต้ทั้งสามแสดงสีหน้าแปลกๆออกมา นี่พวกเขากำลังมาเจอกับพวกแปลกๆแบบนี้เหรอ?
ประแจกับท่อพลาสติก นี่สตรีทไฟท์เตอร์เหรอ?
ทันใดนั้น!!
มีดทำครัวก็ร่วงลงมาจากเสื้อกันลมของเขียว และแน่นอนว่าเขารีบเก็บมันขึ้นมาทันที
“ข-เข้าใจแล้วพี่ใหญ่ นี่พี่อุตส่าห์พกมีดทำครัวมาด้วยเลยสินะ!”
เขียวเหลือบมองน้องชายของเขาก่อนจะอุทานให้ทั้งสามฟัง “ในความจริงแล้ว ฉันไม่ได้เป็นแค่ช่างซ่อม แต่ยังมีงานพิเศษเป็นคนลับมีดด้วย!”
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความโปรเฟสชั่นแนล แม้จะต้องกลั้นน้ำตาและกลืนน้ำลายก็ต้องไม่ให้มีอะไรผิดพลาด!
“ก-กรรไกรรรรรรรรรร อู้ววววววว ม-มีดดดดดดดด~~”
หางเสียงที่ลากยาวของเขียวนั้นพยายามจะโน้มน้าวใจพวกเขา
สมเป็นพี่ใหญ่จริงๆ มีเสียงที่ทรงพลังสุดๆ แต่ฉันคงไม่ขอเรียนรู้ทักษะนี้หรอกนะ
ทั้งสามที่เฝ้าดูอยู่นานนั้นไม่ใจเย็นอีกต่อไป แน่นอนว่าพวกเขาโกรธมากๆ ดูท่าคงจะต้องจัดการทั้ง 2 นี่ก่อนถึงจะไปได้สินะ!
“ฉันคือเจ้าสำนักเมฆา! และตอนนี้ฉันกำลังรีบที่จะออกจากที่นี่!”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายประกาศชื่อสองพี่น้องก็รู้สึกตกใจไม่น้อยเลย
“พี่ใหญ่! สำนักเมฆา! สำนักที่โคตรแข็งแกร่งในนิยาย!”
เขียวสัมผัสแก้มตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ “ได้ยินมาว่าตัวเอกส่วนใหญ่จะไปแก้แค้นสำนักเมฆากัน”
“ใช่! นี่มันนิยายน้ำเน่ามากๆเลย ปัญหาครอบครัวแล้วก็กลโกงต่างๆ แต่ส่วนใหญ่พวกเจ้าสำนักก็ถูกโค่นโดยตัวเอกหมด”
“บางทีก็เป็นตัวเอกไปเล่นกับไม้ขีดไฟในห้องเก็บฟืนของสำนัก”
“บางทีก็ถูกป้ายความผิดโดยเจ้าสำนัก นี่มันเชยไปหรือยังน่ะ?”
“หรือบางทีก็ไปแก้แค้นกันในห้องของน้องสาว ฮี่ๆ~”
ทั้งสองมองตากันแล้วก็พากันหัวเราะ
เมื่อซุนยี่ได้ยินว่าทั้งสองกำลังเหยียดหยามสำนักของเธออยู่ มันก็ทำให้เธอโกรธมากๆ เรื่องจริงที่ว่าสำนักเมฆานั้นมีลูกศิษย์ที่มีทักษะโดดเด่นอยู่ และตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว!
“เป็นไอ้พวกบ้าที่ใจกล้ามากเลยนะที่พูดถึงสำนักเมฆาต่อหน้าฉัน งั้นเจอนี่หน่อย!”
ซุนยี่เรียกดาบขึ้นมาพร้อมทั้งเข้าโจมตีทั้งสองอย่างดุร้าย
กระบวนดาบจากฝั่งตรงข้ามทำให้สองพี่น้องเห็นความตายของตนอยู่ร่ำไร โดยเฉพาะผู้เป็นน้อง เขาหลับตาลงยืดมือไปสุดแขนตามสัญชาติญาณ
อย่าทำฉันเลยยยย~~~
แกร๊ก~!
เสียงแปลกๆลอยเข้าหูของแดง ความรู้สึกคันๆที่ฝ่ามือนั้นมันทำให้เขาต้องค่อยๆลืมตาช้าๆ
ภาพตรงหน้าคือปลายดาบที่แทงเข้ามานั้นมันถูกหยุดไว้ที่ฝ่ามือ เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ดาบปลอมเหรอ?
เขาดีดปลายดาบกลับไป
แกร๊ก!
เสียงของความแตกร้าวดังขึ้นมันทำให้เขาสะดุ้งโหยง ใบดาบนั้นเกิดรอยร้าวจากปลายดาบที่เขาดีดก่อนจะลามลงไปยันด้ามจับในมือของซุนยี่
ทุกๆคนต่างเงียบสะงัดรวมไปถึงพี่ใหญ่เขียวด้วย
“ไอ้น้อง! ทำได้ไงวะ!” เขาถามน้องเล็กหลังจากที่ตกตะลึงไปพักใหญ่
“ฉันไม่รู้! ฉันแค่จับมันเอง“
“ได้! งั้นเดี๋ยวฉันลองมั่ง!!”
พูดไปคงไม่ได้อะไร เห็นทีเขาคงต้องลองเองด้วยการสัมผัสโดยตรงกับซุนยี่!
แดงที่เห็นท่าทีของพี่ชายของเขาเองก็รีบตะโกนออกมา “ฉันแค่จับดาบ พี่จะจับเธอเลยงั้นเหรอ!!”
ซุนยี่เรียกสติกลับมาจากความตะลึง เธอจ้องเขม็งไปยังเขียวก่อนจะปล่อยออร่าออกมาจากมือซ้ายจนเห็นได้ชัด
ฝั่งหนึ่งมือเล็กส่วนอีกฝั่งมือใหญ่ และเมื่อทั้งสองฝ่ามือได้ประกบเข้าหากัน
ตู้ม!!
ซุนยี่กระเด็นลอยออกไปไกลพร้อมทั้งสำรอกเป็นเลือดออกมาจากปากด้วย ใบหน้าสวยนั้นดูราวกับผีในหนังสยองขวัญไปแล้ว
ทั้งไฮ่ไต่ซี่และกงเทียนลู่ต่างทำอะไรไม่ถูกกับคนตรงหน้าทั้งสอง หัวแดงก็จับดาบแล้วแตก ส่วนหัวเขียวที่ดูจะไม่มีพลังอะไรกลับทำให้ซุนยี่กระเด็นราวกับกระสุนได้ซะงั้น!
“พี่ใหญ่! พี่ได้เป็นโสดตลอดชีวิตแน่ๆเลย!” แดงกรีดร้องออกมาหลังจากที่เห็นพี่ของเขาทำร้ายผู้หญิง
เขียวเองก็ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมีพลังถึงเพียงนี้ ใบหน้าตกตะลึงแสยะยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอกน่า เพราะฉันมีนายก็พอแล้ว!”
“พี่ใหญ่ พอเถอะ ฉันรู้สึกไม่ดีกับคำพูดพี่เลย…”
กงเทียนลู่ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เขาหยิบการ์ดขึ้นมา 3 ใบ “ฮึก!”
แดงที่มองทันก็รีบอุทานออกมาเลย “ไพ่!”
ร่างของเขาหายไปในทันทีและกลับมาอีกพร้อมกับการ์ด 3 ใบในมือ
“พี่ใหญ่ ชอบเล่นไพ่ไม่ใช่เหรอ? ไหนมาเดาซิว่า 3 ใบนี้คืออะไร? จะเป็นโจ๊กเกอร์หรือเปล่านา~”
เขียวยกมือขึ้นและเคาะกะโหลกน้องชายเขาไปทีนึง “ทำอะไรน่ะ! เรามาฆ่าคนนะ! คนอื่นกำลังจะโจมตีเรา นายห้ามไปขโมยอาวุธคนอื่นรู้มั้ย! เอาไปคืนเดี๋ยวนี้เลย! ห้ามขโมยอีก!”
น้องเล็กลูบหัวตัวเองก่อนจะพูดอย่างเสียใจ “ก็แค่อยากรู้อยากเห็นว่าการ์ดพวกนี้ทำอะไรได้บ้างเอง”
กงเทียนลู่และไฮ่ไต่ซี่ช็อคไปอีกรอบ ครั้งนี้โดยเฉพาะกงเทียนลู่ เพราะการ์ดของเขาโดนใครก็ไม่รู้หยิบเอาไปหมดเลย! เป็นไปไม่ได้!
แม้แต่เสี่ยวยี่ยังไม่กล้าที่จะเอาการ์ดของเขาไปเช่นนี้ แต่นี่ไอ้หัวแดงกลับทำได้!
เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ! นี่มันต้องมีกลโกงอะไรซ่อนอยู่!
พั่ฟ! พั่ฟ! พั่ฟ!
ลูกตาของกงเทียนลู่แทบจะหลุดออกจากเบ้าและกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆก้มลงมองก็พบว่าการ์ดทั้ง 3 ใบของเขานั้นปักอยู่ที่ท้องของเขาเองแล้ว “ พี่ใหญ่! ฉันไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นนะ ฉันก็แค่จะคืนเขาไป…” แดงตกใจมากๆจนเสียสติไปเลย
เขียวไม่รอช้าที่จะเข้าไปปลอบน้องชายของเขา “ไม่มีใครว่านายนี่นา คนๆนั้นไม่หลบเอง ไม่ใช่ความผิดนายหรอก”
“จริงนะ?”
“จริงสิ”
“ถ้างั้นฉันก็โล่งใจหน่อย” แดงลูบอกตัวเองเบาๆเพื่อให้ผ่อนคลาย
เลือดสีแดงพุ่งออกจากปากของกงเทียนลู่ ดูท่าเขาจะไม่สามารถไปต่อได้แล้ว เวลาแบบนี้คงต้องทำอะไรซักอย่าง
ไฮ่ไต่ซี่ที่มองสถานการณ์ตอนนี้มันเริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆแล้ว พวกเขากำลังถูกเจ้าสองคนนี้ทรมาณ เพราะงั้นต้องรีบหนีออกไปก่อน!
“พี่ใหญ่ เจ้าคนแขนเดียวหนีไปแล้ว!” แดงตะโกน
เขียวหยิบเอาไม้พายออกมาจากเสื้อกันลมของเขา
“พี่ใหญ่เอาไม้พายมาด้วยเหรอ สมเป็นพี่จริงๆ” น้องชายเอ่ยอย่างชื่นชม
บทที่ 230 พวกเราล้วนเป็นคนดี
“ไม่ใช่ว่านายก็พกกระทะมาด้วยเหรอ?” พี่ใหญ่เขียวมองไปยังก้นน้องชายที่เหน็บกระทะมาด้วย
เขากลับไปเล็งที่ไฮ่ไต่ซี่ที่กำลังหลบหนีใหม่จากนั้นก็ปาไม้พายออกไป
เสียงวัตถุฝ่าอากาศลอยออกไปราวกับเงาดำที่พุ่งไปปะทะวัตถุและเรียบร้อย มันเข้าเป้า
เขียวโล่งใจมากๆ “ได้ตัวละ”
“แต่พวกเขายังไม่ตายนะ” แดงกังวล
เขียวคิดถึงเรื่องนี้ซักครู่ก่อนจะพูดออกมา “เอา 3 คนนี้ไปก่อนค่อยคิดละกัน”
ผู้เป็นน้องพยักหน้ารับก่อนจะพาทั้ง 3 ไปด้วยกัน พวกเขาเข้าไปในป่าใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง
เขียวขมวดคิ้วและมองทั้งสามที่นอนอยู่บนพื้นโดยที่คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี
ในตอนนี้ทั้งสามนั้นอ่อนแอลงไปมากๆ หากแต่ก็ยังไม่ตาย ออร่าที่ออกมาจากร่างกายพยายามรักษาตัวพวกเขาเองอยู่เรื่อยๆ
“พี่ใหญ่ คราวนี้จะทำยังไงดี?” แดงถามขึ้นด้วยใจที่รุกรี้รุกรน
เขียวลูบไหล่น้องชายเขาเบาๆ “เวลานี้น่ะ นายต้องแสดงความกล้าหาญบ้างแล้วล่ะ ฉันแสดงมาเยอะแล้ว เพราะงั้นไปมัดเจ้าพวกนี้แล้วกลับไปกินมื้อเย็นกัน”
ทั้งสามที่นอนหมอบอยู่กับพื้นนั้นได้ฟังบทสนทนาดังกล่าวผนวกกับแรงที่หายไปหมดมันทำให้พวกเขาคิดเป็นสิ่งเดียวกันว่า วันนี้ พวกเขาหมดโอกาสหนีแล้ว!
“ถ้าจะฆ่า ก็ฆ่าเลย แบบนั้นจะทำให้พวกฉันเป็นสุขซะมากกว่า แต่จงจำไว้ว่าต่อให้กลายเป็นผีก็จะต้องให้นายมารับกรรมให้ได้!” ถึงแม้ว่ากงเทียนลู่จะอ่อนแอขนาดไหนก็ตามแต่เหมือนว่าสกิลปากเขาจะยังเก่งอยู่ ในเมื่อคนที่ดูหนักสุดไม่น่าจะตายง่ายๆ งั้นคนอื่นๆก็น่าจะไม่ตายง่ายๆด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะมีคนที่ต่างออกไปก็คงไม่พ้นซุนยี่หรอก อนึ่งเธอเป็นผู้หญิง แค่นี้ก็ถือว่าได้เปรียแล้ว
“น้องชาย ถ้านายปล่อยฉันไปล่ะก็ ฉันจะยอมทำทุกอย่างเลยล่ะ” ซุนยี่พูดอย่างเขินอายแต่นั่นมันทำให้สองพี่น้องเกิดอาการใจเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลย
ไฮ่ไต่ซี่และกงเทียนลู่นั้นรู้สึกละอายใจ นั่นก็เพราะว่าซุนยี่ไม่ควรทำตัวแบบนี้ในเมื่อเป็นถึงเจ้าสำนัก!
“พี่ใหญ่ ผู้หญิงสวยๆแบบนี้ฉันทำไม่ลงหรอก ทำไม่ลงตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นให้พี่จัดการละกัน” พูดจบแดงก็หันหน้าหนีและปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
สำหรับเขียวแล้ว การเชือดไก่มันก็ไม่ได้ยากนักหรอกแค่กดมีดไปที่คอของมันก็ได้แล้ว แต่นี่มันไม่ใช่การฆ่าไก่ไง…
ซุนยี่นั้นเหมือนจะพอเห็นความหวังที่จะรอดแล้ว เพราะงั้นเธอจึงรีบพูดโน้มน้าวต่อ “น้องชาย นายเป็นคนใจดี เพราะงั้นปล่อยฉันไปเถอะนะ”
ไฮ่ไต่ซี่และกงเทียนลู่เริ่มจะเหยียดเธอแล้ว
“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำๆ!” เขียวพูดเสียงดัง ผู้หญิงคนนี้ช่างจ้อเสียจริง พูดอยู่นั่นแหละว่าจะกลับตัว
ถ้าจะกลับตัวจริงๆหล่อนไม่มาถูกมัดอยู่อย่างนี้หรอก
ฉันถูกดวงอาทิตย์อบมา 5 พันล้านปียังไม่บ่นขนาดนี้เลย สำคัญตัวเองสูงไปแล้ว
ซุนยี่เริ่มจะมึนงงแล้ว เธอรู้สึกว่าทั้งคู่ยังคงเป็นเด็ก ไม่ใช่ผู้ใหญ่
ไฮ่ไต่ซี่และกงเทียนลู่นั้นพากันหัวเราะและปล่อยให้เธอโวยวายไป ไม่มีใครกินเหยื่อของเธอหรอก
สองพี่น้องเขียวแดงหันไปกระซิบกระซาบถึงวิธีที่จะจัดการคนพวกนี้
“น้องชาย ฉันน่ะแสนดีกับนายมาตลอดเลยนะ”
“รู้แล้วน่า ฉันเองก็ไม่เคยทวงเงินที่พี่ยืมเหมือนกันนะ”
“เงินนั่นก็เพื่อทำให้นายไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไง เอาล่ะ ต่อไปนี้จะเป็นนโยบาย นายต้องฟังและเข้าใจถึงความปรารถนาดีของฉัน”
“พอ หยุด ฉันรู้ว่าพี่จะพูดอะไร แต่ฉันกลัว”
เขียวถอนหายใจ “ฉันก็กลัว โดยเฉพาะตอนที่มีดกดลงไปแล้ว มันเป็นอะไรที่แบบน่ากลัวมากๆ”
“ใช่ เพราะงั้นเราควรจะทำให้พวกเขาตายโดยง่าย” แดงพูดด้วยความเศร้าแล้วแท็กมือกับผู้เป็นพี่
“ใช่แล้ว เพราะเหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือพวกเราเป็นคนดี”
แดงพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ของเขียว “แล้วเราจะทำยังไงให้คนพวกนี้ตายง่ายๆดีล่ะ?”
“ได้ยินมาว่าง่ายๆนั้นดีที่สุด แต่น่าเสียดายที่เราคงทำง่ายๆในที่แบบนี้ไม่ได้ งั้นถ้าเป็นปล่อยให้เลือดหมดตัวตายล่ะ? ได้ยินมาว่ามันไม่ค่อยเจ็บ เพราะเมื่อถึงระดับหนึ่งคนเราจะสลบไปเอง จากนั้นก็จะหลับไปเลย”
“วิธีนี้ฟังดูดังเลย ไอ้การปล่อยให้เลือดหมดตัวเนี่ย!”
เมื่อตกลงได้แล้ว เขียวก็หยิบมีดทำครัวออกมาและเดินกลับไปหาพวกเขา “วางใจได้ ฉันจะทำให้พวกนายตายอย่างสงบที่สุด”
“น้องชาย ได้โปรด ฉันมีเงินมากมายเป็นก่ายกอง แถมมีสมบัติสูงกองเป็นภูเขาเลยนะ” ซุนยี่ที่ยังไม่อยากตายหาทุกวีถีทางที่จะทำให้รอด เธอเป็นถึงเจ้าสำนัก เธอต้องไม่มาตายแบบนี้
เขียวถอนหายใจ “ฉันควรจะเตือนเธอว่าอย่าไปยั่วยุผิดคนหรือเปล่า? คนบางคนก็ไม่ควรไปยั่วเขา รู้มั้ย?”
ทั้งสามต่างช็อคไปตามๆกัน คนๆนั้นที่ว่าหมายถึงเสี่ยวยี่เหรอ? เป็นไปไม่ได้ ถ้าเสี่ยวยี่มีลูกน้องที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เขาคงจะใช้ไปแล้ว ถ้างั้นเป็นใครกันล่ะ!
ไฮ่ไต่ซี่รีบถามต่อ “พี่ชาย เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่ว่ากำลังจับคนผิดอยู่เหรอ?”
“เอ้อ ไม่ใช่ว่าเราจับคนผิดมาใช่มั้ยนิ?” เขียวหันไปถามผู้เป็นน้อง
“ฉันไม่รู้” แดงส่ายหน้า
นี่มันอะไรกันน่ะ…นี่พวกเขากำลังจะถูกฆ่าโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฆ่าถูกคนหรือเปล่างั้นเหรอ? นี่ชะตากรรมอะไรเนี่ย!! ถ้าจะฆ่าทั้งทีก็ช่วยฆ่าให้ถูกคนหน่อยสิโว้ยยยย!!
แดงยืนมองพี่ใหญ่ของเขายกแขนของไฮ่ไต่ซี่ขึ้นก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ “พวกนายมากัน 3 คน เพราะงั้นไม่ผิดหรอก”
“ใช่แล้วล่ะ พวกเราฆ่าตามจำนวนที่ได้รับ ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่ได้เห็น” แดงพูดเสริม
โฮ่ หมดหวังแล้ว ไอ้พวกบ้านี่ฆ่าตามจำนวน!
ซุนยี่เอ่ยถามขึ้นมาอีก “แล้วถ้าพวกเรามาแค่สองล่ะ?”
“โอ้ งั้นเหรอ” คำพูดของแดงมันแสดงให้เห็นว่า เธอยังกล้าดีที่จะถามอะไรโง่ๆแบบนั้นอีกงั้นเหรอ?
แต่นี่มันก็ทำให้ทั้งสามคิดได้พร้อมกัน ว่าทำไมไม่แยกกันหนีนะ…
“กดลงไปตรงนี้…” เขียวกังวลก่อนจะค่อยๆกดมีดลงไป
เส้นเลือดใหญ่ที่ข้อมือนั้นถูกตัดขาด นั่นทำให้เลือดไหลออกมาเหมือนน้ำพุเลย
ต่อเป็นก็เป็นตาของกงเทียนลู่และท้ายสุดก็ซุนยี่
“ท่านเจ้าสำนัก นี่มันจะเจ็บหน่อยนะ แต่เชื่อได้ว่าเธอจะผ่านไปได้” เขียวจับข้อมือเล็กๆของเธอด้วยความคับอกคับใจ มันทั้งขาวแล้วก็นุ่มมากๆเลย
“ฆ่าฉันซะ”
“ฉันไม่กล้า”
ข้อมือของซุนยี่ตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดที่ไหลท่วมออกมาแล้ว ถ้าพวกเขาขยับนั่นหมายถึงพวกเขาคิดจะฆ่าตัวตาย
กลัวว่าเขาจะเลือกวิธีนั้นจัง…
มีดทำครัวถูกวางทิ้งไว้ขณะที่เลือดเริ่มจะไหลท่วมแล้ว ทั้งสองพี่น้องรีบวิ่งออกจากตรงนั้นและไปเฝ้ารอแทน ราวกับว่ารอเวลาที่จะจุดพลุ
“พี่ใหญ่ อีกนานแค่ไหนน่ะ” แดงหันไปถามด้วยความประหม่าสุดๆ
“มากกว่า 10 นาที”
10 นาทีต่อมา
“ไปดูซิว่าพวกเขาตายกันหรือยัง” พี่ใหญ่เขียวตะโกนบอก
แดงรีบวิ่งเข้าไปพร้อมทั้งหายใจเข้าลึกๆด้วย เขาไปยืนตรงหน้าและสังเกตุก่อนจะตะโกนกลับไป “พี่ใหญ่ พวกเขายังไม่ตาย”
“อะไรนะ!”
เขียวรีบวิ่งมายังจุดที่แดงอยู่และใช่ พวกเขายังไม่ตาย!
“ฆ่าฉันซะ”
“ฆ่าฉันสิ…”
ทั้งสามที่ยังไม่ตายก็ไม่ต่างอะไรกับกำลังจะตาย เลือดที่ท่วมพื้นนั้นช่างดูเจ็บปวดและทรมาณสุดๆ ออร่าที่ออกมาจากร่างกายเหล่านั้นพยายามรักษาบาดแผลขณะที่เลือดก็ยังไหลอยู่ ถึงแม้จะช้าแต่ก็รักษา มันเลยทำให้เขาไม่ตายกันเสียที
สมองของเขาเหล่านั้นยังคงตื่นตัวอยู่ ถึงผู้คนจะกลัวที่จะตาย หากแต่พวกเขาตรงนี้ก็กลัวที่จะต้องรอความตายมากกว่า เพราะถ้าตายเลยคือจบ แต่การต้อมารอทั้งๆที่รู้ว่าจะตายแบบนี้มันช่างเป็นการทรมาณที่เจ็บปวดเสียจริง
“พี่ใหญ่ ทำไงต่อดี!” แดงเริ่มจะตื่นตระหนกอีกครั้ง
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า!” เขียวเองก็เริ่มรู้สึกแดงุดแดงิดแล้ว
และทันใดนั้นเอง วังวนน้ำวนก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับเว่ยชางที่ออกมาพร้อมแก้วชา
“ลุงเว่ย”
“ลุงเว่ย”
ทั้งสามมองเว่ยชางด้วยสายตาสงสัยเนื่องมาจากไม่รู้จัก…
และเว่ยชางที่ได้มองมายังสถานที่เกิดเหตุก็ตกตะลึงก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีความสุขมากๆ
“พวกนายทำได้แจ๋วไปเลย! ใช้วิธีให้เลือดไหลหมดตัวจนตายสินะ ช่างเป็นวิธีที่โหดร้ายและทารุณดีมาก! เอาล่ะ ฉันจะรายงานไปให้นายท่าน แล้วจากนั้นนายท่านก็จะตบรางวัลชิ้นใหญ่ให้พวกนายแน่ๆ!”
สองพี่น้องนั้นเคอะเขินนิดหน่อย นี่ขนาดยังไม่ตายนะยังโดนชมได้ขนาดนี้เลย…
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามนั้นรู้สึกช็อค ทั้งสองคนนี้เป็นเพียงผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แถมคนที่ออกมาก็ยังเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอีกที! ถ้างั้นแล้วใครเป็นนายท่านที่ว่ากันน่ะ!!
ทำไมถึงยังมีผู้คนที่พวกเขาไม่รู้จักเลยโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆแบบนี้!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น