You Cannot Afford To Offend My Woman ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ! 190-196

 บทที่ 190 พร้อมหน้า


เปิดหน้าต่างออกไป เย่ฮั่วมองตรงไปยังทะเลที่ถูกความมืดเข้าปกคลุม จากจุดที่เขาอยู่ มันทำให้รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกได้หายไปหมดแล้ว ช่างเงียบสงบเหลือเกิน เขาพยายามมองหาบางสิ่งบางอย่าง บางสิ่งบางอย่างที่พอจะทำให้รู้สึกว่ามันยังมีคนมากมายอยู่บนโลกนี้


หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้ได้ครู่หนึ่ง เย่ฮั่วก็ตัดสินใจเรียกเว่ยชางและเลี่ยกูออกมาเพื่อประชุม เขาเดินไปยังห้องน้ำ ปิดประตูสนิท และเริ่มอัญเชิญทาสผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองออกมา


เว่ยชางและเลี่ยกูโผล่มาแทบจะทันที


“สดุดีท่านผู้สูงส่ง!”


“สดุดีท่านผู้สูงส่ง!”


เย่ฮั่วพูดอย่างไม่แคร์อะไร “ช่างหัวเรื่องนั้นเถอะ พื้นมันสกปรก”


เว่ยชางและเลี่ยกูค่อยๆผ่อนคลาย


“ขอบพระคุณขอรับ”


“ขอบพระคุณขอรับ”


เมื่อทั้งคู่มองไปยังผู้เป็นนาย พวกเขาก็ต่างพากันสับสนมึนงง ท่านผู้สูงส่งนั้นอยู่ในความมืด แถมยังทำตัวน่าอึดอัดอีก


“เทวทูตผู้นี้กำลังคิดถึงปัญหาอะไรนิดหน่อย และต้องการความคิดเห็นของพวกนายทั้งคู่” เย่ฮั่วดึงบุหรี่ออกมาแย่างไม่แยแสอะไร


หา! นี่ต้องมาทำแบบทดสอบสติปัญญากลางดึกอีกเหรอเนี่ย!?


เว่ยชางและเลี่ยกูอยู่นิ่งๆและสดับฟัง


“เรื่องลูกชายน่ะ อยากได้มาเป็นกองกำลัง เทวทูตผู้นี้อยากหาโอกาสที่ทำให้เขายอมรับเรื่องนี้ พวกนายคิดว่าไง?” เย่ฮั่วมองทั้งคู่ด้วยสายตาที่ดูเงียบสงัด


เลี่ยกูเหล่ดูเว่ยชาง ตัวเขาเองไม่ได้หัวดีเรื่องนี้เลย


“ข้าผู้น้อยคิดว่า…” เว่ยชางนั้นเตรียมจะพูดแล้วแต่เย่ฮั่วพูดตัดก่อน “ให้เลี่ยกูพูด”


เลี่ยกู : “…..”


ท่านผู้สูงส่ง…ท่านรู้เหรอว่าข้าผู้น้อยคิดอะไรไม่ออก…ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้วคิดออกแต่อะไรต่ำๆเต็มไปหมดเลย


แต่ไหนๆก็มาแบบนี้แล้ว คงต้องเดิมพัน เลี่ยกูไอเบาๆก่อนจะตอบ “ท่านผู้สูงส่ง ข้าคิดว่าความคิดนั้นประเสริฐยอดเยี่ยมไปเลยครับ!”


เรียบร้อย


“ไม่เหรอ?” เย่ฮั่วถามอย่างจริงจัง


“อ่ะ เอ่อ…มันก็มีบ้าง…แบบว่า…” เลี่ยกูเลิ่กลั่ก


“พูดมา!”


“ฮว้ากกกก! ข-ข้าผู้น้อยคิดว่า เอ่อ…อะไรนะ…เอ่อ…”


เว่ยชางกระซิบ “ต้องเตรียมตัวรับมือกับฝน”


“อ๊ะ ใช่แล้ว! ไม่ไกลจากนี้มีฝนตก ตอนนี้ถ้ายังไงคงต้องเพิ่มฟ่างมาในทัพหลักของเราก่อน เพราะนอกจากเธอแล้วเราก็ไม่มีใครเลย ถ้าท่านเห็นด้วย ข้าว่ามันต้องเป็นแผนที่ดีแน่ๆ” เลี่ยกูพร้อมที่จะโดนบ่นแล้ว


เย่ฮั่วชะงัก ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ไม่เลวนี่ ความคืบหน้าช่วงนี้ก็ยิ่งช้าๆอยู่แล้วด้วย ถ้าพลังของเธอจะเป็นผลดีกับฉัน มันก็นับว่าสะดวกดี”


“ท่านผู้สูงส่งช่างชาญฉลาด!”


“ท่านผู้สูงส่งช่างชาญฉลาด!”


“ถ้าพวกนายอยากจะเอาชนะ ทีมของเราก็ต้องเป็นอะไรที่ทำให้คนอื่นต้องตกตะลึง” เย่ฮั่วไปถึงช่วงเวลาที่เหล่า 7 บาปยังอยู่ ตอนนั้นมีกันอยู่ 8 คน ช่างเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เอาเสียมากๆ


เว่ยชางและเลี่ยกูนั้นคิดย้อนกลับไปถึงช่วงนั้น มันก็จริงที่ตอนนี้พวกเขามีคนน้อยมาก


เว่ยชางขยับตัวและเอ่ยเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ “ ข้าสามารถเรียกถังน้อยและสาวๆทั้งสามของเลี่ยกูได้เหมือนกับเรียกเหล่าน้องๆของข้าเลย ดังนั้นแล้วข้าสามารถทำให้ภาพแบบนั้นกลับมาได้อีกครั้งครับ”


“เรียกผู้หญิงมาเติมเต็ม?” เย่ฮั่วดูไม่พอใจกับความคิดนี้นิดหน่อย


เว่ยชางรีบอธิบาย “เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวกัน พวกเธอได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเคารพในพลังของท่านผู้สูงส่ง และถ้าท่านแสดงพลังออกมาให้เห็นมากกว่านี้ พวกเธอต้องกลายเป็นคมดาบที่แข็งแกร่งให้ท่านได้แน่ๆ ดาบที่พร้อมจะทลวงข้าศึกไม่ใช่เพียงแค่ทำให้พวกเขาตกตะลึง แต่ต้องทำให้ตราตรึงไปทั้งหมด!”


“เรื่องที่นายพูดมันก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่นิดหน่อย มันก็จริงที่พลังของฉันนั้นไม่ได้ถูกใช้ทัง้หมด ทั้งนี้ทัง้นั้นก็ยังกั๊กพลังไว้อีกหลายส่วน เอาเป็นว่าคืนนี้จะแสดงให้เห็นถึงฝันร้ายของมวลมนุษยชาติที่แท้จริงละกัน!”


เว่ยชางและเลี่ยกูไม่ได้สนใจแล้วว่าพื้นจะสกปรกหรือเปล่า พวกเขาหมอบลงและพูดพร้อมกับ “รับทราบครับท่านผู้สูงส่ง!”


“รวมพล ให้เวลา 5 นาที!”


“ครับ!”


“ครับ!”


เย่ฮั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก และบังเกิดความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้ขึ้นภายใน ราวกับได้ย้อนกลับไปยังอดีต ช่างรู้สึกดียิ่งนัก!


เขากลับไปยังห้องแต่งตัวของชิงหยา


“เย่ฮั่ว เกิดอะไรขึ้น? ไม่ต้องกังวลนะ ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี” ชิงหยาพูดและหัวเราะเบาๆ


เย่ฮั่วตอบกลับแบบไม่ใส่ใจ “บุหรี่หมดน่ะ จะออกไปซื้อใหม่หน่อย”


“เข้าใจแล้วล่ะ ถ้างั้นจะรอที่นี่ละกัน ระวังรถราบนท้องถนนด้วยล่ะ” ชิงหยาเตือน


ยั่วฮั่วยิ้มน้อยๆแล้วก็หยิกจมูกของเธอเบาๆ ระวังรถเนี่ยนะ ให้มันชนมาเลยเถอะ หึๆๆ


เขากลับไปยังห้องน้ำอีกครั้ง เงาดำของเย่ฮั่วปรากฏขึ้นบนชายทะเล เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะหาบุหรี่มาจุดสูบได้ในที่สุด


ณ โรงแรมในเมืองหยูหย่า ผู้วิเศษแห่งความตายและซุนฟ่างนั้นกลิ้งเล่นเกมอยู่บนเตียง มันไม่มีอะไรทำจนตอนนี้ทั้งคู่อยากจะวิ่งออกไปทำนู่นทำนี่บ้างแล้ว


ขณะที่กำลังเอาจริงเอาจังกับเกมที่เล่นอยู่นั้น จู่ๆผู้วิเศษแห่งความตายก็ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายของเขา และเหนือกว่าคำสั่งนั่นก็คือการที่เขารับรู้ได้ว่า ท่านผู้สูงส่งนั้นกำลังจะทำการใหญ่!


แม่เจ้าโว้ย!! งานใหญ่! งานใหญ่มาแล้ว!! มันต้องเป็นการละเลงเลือดให้ท่วมแม่น้ำแน่ๆ! อยากจะยืดแข้งยืดขาให้ไกลสุดลูกหูลูกตาไปเลย มีงานทำแล้ว!


ฮะ!ต้องเอายัยผู้หญิงนี่ไปด้วย! ห้ามลืมด้วยงั้นเหรอ!!


เวลานั้นกระชั้นชิดและทำให้เขาไม่สามารถคิดหาอะไรมาตุกติกได้ เขาตัดสินใจหันไปแตะไหล่ฟ่างพร้อมส่งสำเนียง เคี๊ยะ เคี๊ยะ ออกไป


แปลอย่างเป็นทางการได้ว่า “เร็วเข้า เปลี่ยนชุด ห้ามใส่ชุดนอน จะพาไปหาท่านผู้สูงส่ง!”


มันเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากมากสำหรับฟ่าง เธอขมวดคิ้วแล้วถามกลับ “จะทำอะไรน่ะ มันเจ็บนะ!”


ผู้วิเศษแห่งความตายรีบหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์


ท่าที่ที่ดูรุกรี้รุกรนของเขานั้นทำเอาเธอประหลาดใจไม่น้อยเลย อะไรกันนะที่ทำให้เจ้าตายด้านนี่เร่งรีบได้ขนาดนี้


เขาหันโทรศัพท์ให้เธออ่าน


“จะพาไปพบนายท่าน เปลี่ยนเสื้อ! ไปใส่ชุดเมดซะ!”


ฟ่างนั้นสับสนไปหมดก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ “นายไม่ใช่นายท่านเหรอ?”


เคี๊ยะ เคี๊ยะ เคี๊ยะ…


แปลอย่างเป็นทางการได้ว่า “ใช่ก็บ้าแล้ว เปลี่ยนชุดเร็วเด๊ะ!”


เขารีบจนลืมที่จะพิมพ์แปลภาษาเคี๊ยะให้เธอเลย


ฟ่างเมื่อเห็นเขาดูเร่งรีบก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าพวกนี้เป็นคนไม่ดี แล้วเขาเองก็ไม่ใช่นายท่านงั้นเหรอ? แต่เขาเป็นน้องชายของ….


ฮึ่ม ใครเป็นายของตานี่กันนะ?


ฟ่างนั้นรีบไปสวมเสื้อโดยมีบริกรคอยช่วยก่อนจะวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว


ผู้วิเศษแห่งความตายจับร่างของเธอไว้ก่อนจะก้าวเข้าไปในช่องว่างแห่งความมืด


ทางฝั่งทะเล เย่ฮั่วนั้นสูบบุหรี่เสร็จแล้ว


เขามองเว่ยชางที่เข้ามาก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามาพร้อมกับถังเว่ยในชุดเมดสีดำ แต่กระนั้นถังเว่ยเองก็ยังกระโตกกระตากอยู่ เธอรู้สึกหวาดกลัวไปหมด


“สดุดีท่านผู้สูงส่ง!” เว่ยชางพูดด้วยเสียงอันดังกึกก้อง


ถังเว่ยนั้นสะดุ้งและรับตอบรับทันที “ส-สดุดีท่านผู้สูงส่ง!”


เย่ฮั่วไม่ได้พูดอะไร พวกเขาเองก็ยังไม่ยืนขึ้นมา


ไม่นานนักเลี่ยกูก็มาพร้อมกับสาวๆอีก 3 คน ซึ่งก็คือยี่หราน อาเซี่ยและไป๋เสี่ยวเฉิน เช่นเดิม พวกเธอยังมาในชุดเมดสุดเร่าร้อนไม่เปลี่ยน


ทั้ง 4 ย่อตัวลงและพูดด้วยเสียงดัง “สดุดีท่านผู้สูงส่ง!”


ทั้งสามสาวไม่กล้าที่จะหายใจ รู้ๆกันอยู่ว่าตัวตนของท่านผู้สูงส่งตรงหน้านั้นอัดแน่นไปด้วยความน่ากลัวจนเปี่ยมล้นออกมาจากจิตวิญญาณ


ปิดท้ายด้วยผู้วิเศษแห่งความตารยที่มาพร้อมกับฟ่างด้านหลังสุด


“ตามบัญชาขอรับ ท่านผู้สูงส่ง!”


ฟ่างนั้นยังอยู่ในอาการง่วงนิดหน่อย เธอยืนมองเหล่าคนอื่นที่กำลังหมอบอยู่บนพื้นแบบงุนงง


ผู้วิเศษแห่งความตายรีบดึงให้เธอออกจากการยืนโง่ๆและทำความเคารพคนตรงหน้า


เธอรับรู้ได้ว่าการกระทำนั้นของเขาหมายความว่าอย่างไร เพราะงั้นจึงรีบปรับตัวอย่างรวดเร็ว “ด้วยความเคารพ ท่านผู้สูงส่ง!”


เย่ฮั่วพ่นบุหรี่ออกและพูดอย่างใจเย็นท่ามกลางความวุ่นวาย “ลุกขึ้นเถอะ”


ทั้ง 8 ที่ยืนอยู่ด้านหลังลุงขึ้นยืนตามคำสั่ง


เลี่ยกูและเว่ยชางนั้นอยู่ด้านหลังเย่ฮั่ว และด้านหลังพวกเขาก็คือเหล่าแฟนสาวที่ยืนเรียงหน้ากันและปิดท้ายด้วยผู้วิเศษแห่งความตายกับฟ่าง ตำแหน่งที่ยืนกันนี่เหมือนกับทรงของพัดเลย


ขอเถอะ!!!


บทที่ 191 การตัดสินใจ 1 วินาที!


ฟ่างนั้นหงุดหงิดนิดหน่อย ผู้วิเศษแห่งความตายผู้มีร่างเป็นกระดูกนั้นยืนขึ้นท้ายสุด


ไม่ คนที่ท้ายสุดน่ะมันเธอต่างหาก!


เป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งอะไรขนาดนี้นะ คนๆนั้น…


เย่ฮั่วดีดก้นบุหรี่ในมือออกไป และทันใดนั้นมันก็กลายเป็นหลุมเวทย์มนต์ขนาดใหญ่พอที่คนทั้งหมดจะเดินเข้าไปได้


ทั้ง 9 เดินเข้าไปในหลุมเวทย์มนต์ที่สร้างนั้น และนั่นทำให้ทะเลกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง


ฝั่งตระกูลหยิง


หยิงจิงชาน มองไปยังพายุฝุ่นที่ไม่ยอมตายก่อนจะอ้วกออกมา “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงเนี่ย?”


หยิงเจียงพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “711 คนตาย อีก 2732 คนบาดเจ็บ”


“เห้ย!?” หยิงจิงชานไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาเผลอสบถออกมาเสียงดัง ตระกูลหยิงนั้นมีคนประมาณ 10,000 คน ซึ่งนั่นรวมไปถึงพวกพ่อบ้านแม่บ้านด้วย


การที่สูญเสียสมาชิกไปถึง 711 คนในวันเดียว นั่นนับว่าเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวงมากๆ


แล้วไหนจะคนเจ็บอีกกว่า 2,000 คนนั่นอีก นี่มันลางร้ายชัดๆ เรากำลังเจอกับพวกสัตว์ร้ายของโลกโบราณหรือไงน่ะ? ทำไมพวกมันถึงแข็งแกร่งขนาดนี้!


มองไปยังแม่น้ำที่กว้างใหญ่ หยิงจิงชานพูดอย่างจริงจังขึ้นมา “เป็นที่ที่ดีสำหรับการตายซะจริง บาดแผลน่ะรีบทำให้หายให้เร็วที่สุด ส่วนงานก่อสร้างก็ดูแลไปพร้อมๆกันด้วย พวกที่เหลือ ตามข้ามา เราจะต้องผนึกพายุฝุ่นให้ได้!”


“ครับ!” หยิงเจียงตอบรับ


ในขณะที่เขาไม่รู้จะต้องทำอะไรก่อนหลังเพราะมันวุ่นวายไปหมด ฟากฟ้ายามราตรีก็เกิดเป็นวงแสงขึ้นมา มันโดดเด่นเสียจนทุกคนต้องแหงนหน้าไปดู


พวกตระกูลหยิงตกใจมากๆ พวกเขาตื่นตัวและถือเทพบรรพกาลกันไว้แน่น


หลุมเวทย์เปิดขึ้นและแตกออกมาราวกับแก้วก่อนจะปล่อยให้คนทั้ง 9 เดินออกมาจากด้านในราวกับไม่มีอะไร


ชายที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้นดูท่าจะเป็นหัวหน้า พวกเขาดูเหมือนจะอยู่ในงานเฉลิมฉลอง ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะผ่านงานแต่งมาเหรอ?


รอยแตกของหลุมเวทย์นั้นค่อยๆหายไปช้าๆ


มองไปยังทั้ง 9 คนที่ออกมาจากหลุมดังกล่าว พวกหยิงพูดอะไรไม่ออก


พวกเขาสามารถเปิดปิดประตูมิติได้ราวกับเป็นเรื่องง่ายแถมยังเข้ามายังที่แห่งนี้ได้อีก เป็นไปได้ยังไงกัน!


“พวกเจ้ากล้าดียังไงกันน่ะ!” ทหารที่สวมชุดเกราะอยู่ตะโกนถามแต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบร่างนั้นก็กลายเป็นกองเลือดไปในทันที


เหล่าตระกูลหยิงนี้ช่างโง่เง่ายิ่งนัก ทหารนี่เพิ่งจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างให้พายุฝุ่นแข็งแกร่งขึ้นไปอีกแบบสดๆร้อนๆเลย เป็นความสามารถที่สามารถเข้าใจได้แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะถึงขั้นฆ่าคนๆนหนึ่งได้ง่ายขนาดนี้


และคนที่ทำก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนๆนั้นยืนอยู่ท้ายสุดของขบวน เจ้าผ้าคลุมดำที่มาพร้อมเคียว!


ใช่แล้ว! มันเป็นฝีมือของผู้วิเศษแห่งความตายเนี่ยแหละ! ดูนั่น มันยกมือยอมรับแล้ว!!


ตระกูลหยิงนั่นได้แต่นิ่งเงียบ พวกเขารู้สึกว่าคนพวกนี้แหละที่น่าจะเป็นตัวอันตรายมากกว่าพายุฝุ่นเสียอีก!


ชิงยูตงและเย่จีจี้ที่อยู่ด้านล่างนั้นมองขึ้นมา


“อ่า ท่านราชานี่เจ๋งจริงๆ”


“พี่เขยน่ะไม่ใช่ราชาซักหน่อย”


อารมณ์ของหยิงเจียงนั้นแปรปรวนสุดๆ เขาจับเทพบรรพกาลของตนไว้แน่นก่อนจะทะยานเข้าหาเย่ฮั่ว แต่กระนั้นเย่ฮั่วก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาแถมยังสูบบุหรี่ต่อไปแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วย


“ข้าจะเขมือบทุกอย่างด้วยมีดนี่เลย!!”


ในมือของหนึ่งในตระกูลหยิง เทพบรรพกาลนั้นเปล่งแสงสีทองสว่างว่าบออกมาจนฟ้ายามค่ำคืนกลายสภาพเป็นเหมือนกลางวันแสกๆ มีดพยัฆค์เล่มนั้นดูท่าว่าพร้อมจะเขมือบทุกอย่างตามที่เจ้าของมันกล่าวไว้แล้วแล้ว


และการกระทำนั้นอยู่ในความดูแลของผู้วิเศษแห่งความตาย เขาเพียงแค่ยกมือที่เป็นกระดูกรับมันไว้เท่านั้น


ตู้ม!!


การระเบิดที่ยิ่งใหญ่นั้นทำให้ตระกูลหยิงที่อยู่บริเวณเหล่านั้นกลายเป็นผงเลือดกระจายออกไป และเทพบรรกาลก็ตกจากฟากฟ้ามาสู่ดินเพราะไร้เจ้าของ


เคร้ง!


เกาะทั้งเกาะสั่นสะเทือน แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของเทพบรรพกาลชิ้นนั้น


แต่อย่างไรก็ตาม…


คนทั้ง 9 ก็ยังคงไม่ลงมาจากบนอากาศ เช่นเดียวกับเทพบรรกาลชิ้นนั้น มันก็ไม่ได้ต่างกับไก่ร้อนๆในสายตาพวกเขาเสียเท่าไหร่


คนที่อยู่ด้านหลังสุดของทั้ง 9 คนนั่นคือ ผู้วิเศษแห่งความตาย ทุกๆคนต่างอยู่ในอาการตกตลึง ถ้าคนที่อยู่ลำดับที่สองนับจากหน้าสุดเป็นคนทำเมื่อครู่ก็คงจะพอยอมรับได้ หากแต่นี่เป็นฝีมือของคนที่อยู่ท้ายสุด! แถมคนที่โดนยังเป็นผู้ใช้เทพบรรพกาลแห่งตระกูลหยิงด้วย! นี่มันรับไม่ได้แบบสุดๆเลย!


หยิงจิงชานและกลุ่มอิสระไม่มีใครกล้าที่จะเปิดการโจมตีอีกครั้ง คนอื่นๆเองก็เช่นกัน การที่คนที่อยู่ท้ายสุดยังสามารถทำได้ขนาดนี้ คนที่อยู่หน้าสุดจะทำได้ขนาดไหน!


เย่ฮั่วพ่นควันบุหรี่ออกมา ควันเหล่านั้นลอยตรงไปหาพวกซากที่อยู่บนพื้นก่อนจะซึมเข้าไปตามร่างกาย


ร่างของมันที่ควรจะตายไปแล้วส่งกลิ่นเหม็นและปล่อยควันออกมา ขาที่ไม่ควรจะขยับได้แล้วค่อยๆสั่นและท้ายสุดร่างนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที


เห้ย!?


พายุฝุ่นฟื้นขึ้ร ก่อนที่จะเริ่มเดินไปหาเย่ฮั่ว


ตระกูลหยิงในเวลานี้หัวใจเหมือนโดนจับขัง เหล่าสมาชิกที่ยอมเอาตัวเข้าแลกจนบาดเจ็บและล้มตายไปนั้นทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นฝีมือของเจ้าพายุฝุ่นนี่ แต่พอกลุ่มอื่นเข้ามามันก็ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ซะงั้น!!


นี่คนพวกนี้เป็นมนุษย์จริงๆเหรอ!?


เย่ฮั่วยกแขนขึ้น


ผิวน้ำอันเป็นผิวน้ำทะเลเริ่มที่จะเดือดก่อนจะยกตัวสูงและก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างไม่ว่าจะเป็น แขน ขา สะโพก ลำตัว และหัว!


ยักษ์วารีทั้ง 8 นั้นยืนล้อมรอบเกาะแห่งนั้นและจ้องมองลงมายังเหล่าตระกูลหยิง พวกมันน่ากลัวจนขนาดพายุฝุ่นยังตัวสั่น ต่อหน้ายักวารีเหล่านั้น พวกเขาก็เหมือนหมูป่าที่ทำได้แค่มองขึ้นไปราวกับหวนหาพระเจ้า


นี่มันยิ่งกว่าพายุฝุ่นอีก พวกเขาเริมจะขาสั่นกันแล้ว ความแข็งแกร่งที่มีมาทั้งหมดมันก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของคนเหล่านี้ บางคนเองก็ถึงกับทรุดนั่งลงไปกับพื้น


และ หยิง คังชีก็ได้สลบไปแล้ว


แต่นี่มันยังไม่จบหรอก


ภายใต้เย่ฮั่ว ผืนทะเลยกตัวสูงขึ้นมาและกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง น้ำแข็งที่มีลักษณะเป็นฐานเพื่อรองรับให้ทั้ง 9 คนลงมายืนบนนั้น


และตรงกลางของมันก็มีบัลลังค์น้ำแข็งตั้งไว้อยู่ เย่ฮั่วค่อยๆลงไปนั่งช้าๆและหยิบบุหรี่มาเคาะบนมือ “สองคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นเหรอ!?”


ตระกูลหยิงไม่เข้าใจว่าเขาตั้งใจจะหมายถึงอะไร อะไรคือทั้งสองที่ว่า?


ชิงหยาและเย่จีจี้นั้นยังซ่อนตัวอยู่ พวกเธอถอนหายใจแต่ก็ยังจับก้นกันเอาไว้…


หยิงจิงชานเห็นเงาดำที่ลอยออกมาทั้งสอง และเมื่อทั้งสองปรากฏตัว พวกเขาทั้งหมดก็สำลักอากาศกันเป็นแถบ เงาดำพวกนั้นก็คือพวกเธอ!!


กลุ่มผู้ที่ได้เห็นชิงยูตงและเย่จีจี้นั้นแสดงท่าทีไม่ดีออกมา ราวกับอกพวกเขาจะแยกออก


ตระกูลหยิงนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเธอนั้นมาปั่นจนพวกเขาต้องลมตายเป็นจำนวนมาก!


พวกเธอเข้าไปยังแท่นน้ำแข็งที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมานั้น โดยเย่จีจี้โค้งหัวให้ก่อนจะไปยืนถัดจากเว่ยจางและคนอื่นราวกับเด็กสาวที่ไม่ได้ทำอะไรผิด


ชิงยูตงไม่รู้จะยืนตรงไหน และไม่รู้ด้วยว่าถ้ากระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของพี่เขย พวกเขาจะมีท่าทีอย่างไรกัน


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงได้แค่ความคิด เพราะฉากที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ถ้าทำอะไรเปิ่นๆคงจะไม่ได้ ถ้างั้นแล้วจะไปยืนไหนดีล่ะ? ข้างหลังไหม?


“ยูตง มายืนข้างๆเทวทูตนี่” เย่ฮั่วพูดแบบไม่ใส่ใจอะไรมาก แต่ก็ยังดีกว่าคนอื่นหน่อยเพราะเธอเป็นน้องสะใภ้เขา และตรงด้านหน้าเขานั้น มีไว้ให้ชิงหยาคนเดียวเท่านั้น


ชิงหยานั้นดีอกดีใจมากๆ พี่เขยของเธอนั้นดีที่สุดเลย ใจจริงอยากจะเข้าไปจูบเข้าไปหอมซะเหลือเกิน


แต่ถึงอย่างงั้น ถ้าทำไปคงได้มองหน้ากันไม่ติดแน่ เพราะงั้นต้องรักษาสเถียรภาพทางสถานะไว้ก่อน


เมื่อยืนอยู่ด้านข้างผู้เป็นพี่เขยแล้ว ชิงยูตงก็มองลงไปยังเกาะเล็กๆตรงหน้าเธอ ยักษ์วารีนั้นยืนห้อมล้อมไว้ราวกับกำแพงยักษ์และมีพายุฝุ่นตัวจ้อยวิ่งไปวิ่งมาเหมือนลูกหนู เป็นอะไรที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยแฮะ


ฉันมองเห็นเว่ยจางขยับออกไปเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงต่ำๆ “เฮ้”


และเช่นกัน เหล่ายักษ์พวกนั้นก็ตะโกนแบบเขาด้วย “เฮ้”


ขุมพลังมหาศาลถูกปลักดันออกมาจนเหล่าตระกูลหยิงทั้งหลายรู้สึกเสียวสันหลังวาบ และด้วยเสียงตะโกนนั้น มันทำให้พวกที่บินอยู่ในอากาศตกลงมาบนพื้นด้วย


ตัวต่อตัว เหล่าตระกูลหยิงทั้งหมดนั้นก้มหมอบลงไปบนพื้นดินเช่นเดียวกับผู้อาวุโสประจำตระกูลนั่นแหละ ยอมแพ้กันแล้วเหรอ!


ปุ่!


ในปากนั้นเต็มไปด้วยเลือด และเข่าก็คุกหมอบลงไปบนดิน


มองภาพตรงหน้าที่เหล่าตระกูลชิงกำลังหมอบกับพื้น เย่ฮั่วก็พูดออกไปอย่างแผ่วเบา “ณ วันนี้เทวทูตมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว เพราะงั้นก็จะมอบเส้นทางชีวิตกับพวกนายอีกครั้ง!”


“แต่แน่นอนว่า ฉันไม่ได้ใจดี เพราะงั้นถึงบอกจะให้ทางเลือกแต่ก็ให้ตัดสินใจกันแค่ 1 วินาทีเท่านั้นนะ!”


บทที่ 192 เรื่องบังเอิญ


หลังจาก 1 วินาทีผ่านไป


เย่ฮั่วเอ่ยออกมาอย่างไม่แยแส “ฉันรู้ว่าเวลามันสั้น แต่นี่ก็เห็นใจแล้วนะ!”


ตระกูลหยิง “…”


นี่สินะที่เรียกว่าเวลาแห่งการตัดสินใจ ที่อื่นให้ตั้ง 1 วันนี่กะจะให้แค่ 1 วิจริงดิ!? จากนั้นก็พูดเหมือนรู้ว่าพวกข้าไม่รู้ว่านี่เป็นเวลาคับขันซะงั้น? นี่มันดีตรงไหนน่ะ จะรีบร้อนเกินไปแล้ว


“ไม่ว่าเมื่อวานพวกแกจะเป็นอะไร แต่หลังจากนี้พวกเจ้าจะต้องฟังคำสั่งจากคนเพียงคนเดียวเท่านั้น!”


เย่ฮั่วตะโกน “ซุนฟ่าง ออกมา”


ร่างบางที่ยืนอยู่หลังสุดได้แต่ช็อคสลับกับตะลึง ตานั่นจะเรียกเธอไปทำอะไรกันน่ะ?


ผู้วิเศษแห่งความตายผลักยัยเงอะงะนี่ออกไปด้านหน้า ยัยทึ่ม ท่านผู้สูงส่งอุตส่าห์เรียกอย่าเอาแต่หลบซ่อนสิ!


ฟ่างที่ยังสวมชุดเมดยามที่ได้ถูกยลโฉมโดยพวกตระกูลหยิง พวกเขาก็ส่ายหน้า นี่จะต้องถูกชี้นำโดยเมดในอนาคตงั้นเหรอ?


“เธอคนนี้คือ 1 ในคนที่พวกแกต้องเชื่อฟังในอนาคต คำสั่งของเธอจะถูกถ่ายทอดจากเทวทูตผู้ยิ่งใหญ่อีกทอดหนึ่ง แน่นอนว่าพวกแกสามารถต่อต้านได้ แต่อย่าได้ลืมว่ามูลค่าของมันนั้นมหาศาล ฉันสามารถฆ่าคนได้เป็นจำนวนมากมายในเวลาอันสั้น เพราะงั้นจะไม่แนะนำให้ต่อต้านละกัน”


หลังจากพูดจบ เย่ฮั่วก็ดูดบุหรี่เงียบๆต่อไป


เว่ยชางตะโกน “ได้ยินชัดเจนแล้วนะ!”


ตระกูลหยิงเงียบไป


เหล่ายักษ์วารีตัวเบิ้มค่อยๆเดินเข้าไปยังฝูงชนและต่อยลงไปตรงนั้น!


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!!


ทั่วทั้งเกาะนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและทารุณ และเช่นกัน ขณะที่พวกมันขยับ รอบๆเกาะก็มีคลื่นน้ำมากมายซัดเข้ามาด้วย สิ่งปลูกสร้างอันน่าภาคภูมิใจของหยิงนั้นถูกซัดพังราวกับเป็นเพียงเศษซากของอารยธรรมหมดเลย


“ได้ยินชัดเจนแล้วนะ!” เว่ยชางตะโกนอีกครั้งพร้อมกับยืนมองยักษ์วารีของเขาที่ง้างหมัดเตรียมจะต่อยลงไปอีก และถ้ามันทำสำเร็จ ตระกูลหยิงก็จะเหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้น


“ได้ยินแล้ว!” พวกเขาตะโกนลั่น


เมื่อมีคนเปิดขึ้นมาแบบนั้น ตระกูลหยิงคนอื่นก็เริ่มที่จะพูดออกมาตามๆกัน ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัว การต่อต้านใดๆล้วนเปล่าประโยชน์ และสิ่งเดียวที่ทำได้คือยอมจำนนเท่านั้น!


เลี่ยกูตะโกน “เฮ้ย! ทำด้วยความประณีตสิวะ พูดออกมาจากใจดิ๊!”


เมื่อได้ยินดังนั้นชาวเกาะก็ต่างพากันตื่นตัวและพูดออกมาพร้อมกัน “ตามบัญชาท่านผู้สูงส่ง!”


ไม่ได้รู้สึกดีกับกรรมวิธีอะไรแบบนี้มานานแล้ว…เย่ฮั่วค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ในอดีต พวกเขาคงจะไม่มีโอกาสได้มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตนเอง เพียงแค่ใช้มันให้ดีที่สุด!


ขณะที่ยืนอยู่ด้านหลังของเว่ยชาง เลี่ยกูและเย่จีจี้ ภาพตรงหน้ามันน่าตื่นเต้นมากๆ ราวกับว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันเองก็อยากจะฆ่าพวกนั้นบ้างนิดๆหน่อยๆโดยที่ไม่มีเย่จีจี้เหมือนกัน~


สำหรับสาวๆของเว่ยชางและเลี่ยกู สิ่งที่พวกเธอเห็นนั้นมันสดใหม่มากๆ แน่นอนว่ามันเปิดโลกของพวกเธอสุดๆ


ซุนฟ่างยังอยู่ในอาการช็อค สติของเธอยังคงไม่กลับมา


ในความเป็นจริงนั้น ควรจะเป็นชิงยูตงที่ช็อคที่สุด เพราะเธอรู้แหละว่าพี่เขยของเธอทรงพลังขนาดไหน แต่ไม่ได้คิดเลยว่าจะทรงพลังขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงสู้อีกฝ่ายไม่ได้และก็ไม่แปลกใจเช่นกันถ้าพี่สาวเธอจะมีความสุข


หลังจากที่ได้รับการปกป้องโดยพี่เขย ในตอนนี้ฉันไว้ใจเขาได้แล้ว


เย่ฮั่วยื่นมือออกไปพร้อมกับเหรียญโทเค่น “ซุนฟ่าง ยักษ์วารีทั้ง 8 นี้อยู่ใต้บัญชาของเธอกับเจ้าแมว? เอาเป็นว่าถ้าพวกหยิงไม่เชื่อฟังเธอ ยักษ์พวกนี้จะฆ่าคนพวกนี้ทิ้งซะ แต่จงจำไว้อีกอย่างว่ายักษ์ทั้ง 8 ตนนี้จะอยู่ได้แค่บางพื้นที่เท่านั้น พวกมันอยู่ได้แค่ในทะเล”


ผู้วิเศษแห่งความตายหันขวับไปมองอย่างรวดเร็วทันที แต่ก็ต้องหงอยไปเพราะเขาคงจะถูกฆ่าตายแน่ๆถ้าเห็นว่าโกรธกับเรื่องแบบนี้ แล้วแบบนี้จะไปหาเมียได้มั้ยเนี่ย?


แน่นอนว่าฟ่างนั้นรู้กฏของมันอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงคุกเข่าลงไปกับพื้น และรับโทเค่นนั้นมา


“พวกเจ้าอยู่ใต้บัญชาของเธอแล้ว เพราะงั้นก็ต้องเชื่อฟังเธอด้วยล่ะ!” เย่ฮั่วกลับมาเครียดอีกครั้งจากนั้นก็ดีดนิ้วและหายวั้บไปเลย


เทพอสูรวารีทั้ง 8 ตนเองก็กลับกลายเป็นน้ำทะเลรวมไปถึงบัลลังค์น้ำแข็งก็ค่อยๆละลายลงไปด้วย หากไม่มีซากศพอยู่ล่ะก็ ทั้งหมดก็แทบจะเหมือนฝันไปแล้วแท้ๆ…


หยิง จิงชานมองไปยังเทพบรรพกาลที่ตกอยู่ไม่ไกลนั้น เขาดูหงอยลงนิดหน่อย พวกนั้นไม่ได้สนใจเทพบรรพกาลพวกของพวกเขาเลย


ในเวลานี้ ทั้งเย่ฮั่วและคนอื่นๆกลับไปที่ทะเลหมดแล้ว เขาพูดออกมาแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร “ไปกันได้แล้ว มีใครจะทำอะไรหรือเปล่า?”


ผู้วิเศษแห่งความตายรีบพูดขึ้นทันที “ท่านผู้สูงส่ง ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอยากขอไปช่วยซุนฟ่างขอรับ”


“อนุมัติ”


“ขอบพระคุณขอรับท่านผู้สูงส่ง” ผู้วิเศษแห่งความตายนั้นกังวลว่าผู้คนคนนี้จะไม่สามารถสยบพวกตระกูลหยิงได้ เธอมีจิตใจที่สงบเกินไป ที่สำคัญ…เธอมีคุณสมบัติที่จะเป็นภรรยาได้ ดังนั้นแล้วเธอตายไม่ได้


ซุนฟ่างยืนอยู่ข้างๆ ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าผู้วิเศษแห่งความตายกำลังพูดอะไรแต่ก็รู้สึกว่าจะหมายถึงตัวเธอเนี่ยแหละ


“ท่านผู้สูงส่ง งั้นขอตัวก่อนนะครับ” เลี่ยกูพูดอย่างเคารพ


เย่ฮั่วยกมือขึ้นเชิงอนุญาตก่อนที่ทั้งสามสาวของเลี่ยกูเองจะทำความเคารพเขาด้วย “ท่านผู้สูงส่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาขออนุญาตไปก่อนค่ะ”


จากนั้นก็เป็นคราวของเว่ยชางที่มากับถังเว่ย และผู้วิเศษแห่งความตายที่เข้ามาในวงเวทย์พร้อมกับซุนฟ่าง


เย่จีจี้ควงชิงยูตงไว้ โดยทั้งคู่พร้อมที่จะแว้บหายไปแล้ว


“พวกเธอสองคนจะไปไหนกัน!” เย่ฮั่วตะโกนดัก


เย่จีจี้หันมาแลบลิ้นใส่และทันใดนั้นก็โดนยกก้นขึ้นสูง


ชิงยูตงถอนหายใจ พี่เขยเนี่ยแหละ เป็นบทเรียนที่ทำให้น้องสะใภ้อย่างเธอต้องจำยอมและเรียนรู้ที่จะยกก้นขึ้นโดยละม่อม


ตอนแรกเย่ฮั่วกะจะพูดอะไรซักอย่างแต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าพวกนี้จะสติยังดีแล้วคิดจะหนีแบบนี้ ต้องคุยกันหน่อยแล้ว!


ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ!


ความเจ็บปวดสลักลึกลงไปในชั้นผิว


และหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงทั้งสองก็นั่งลูบก้นของตนเองขณะฟังเย่ฮั่วไปด้วย ฟาดเต็มแรงตั้งแต่ครั้งแรกยันครั้งสุดท้ายถ้าไม่บวมสิแปลก


“เอาล่ะ ตอบมาว่าไอ้ตระกูลนั่นคืออะไร?” เย่ฮั่วถาม


ชิงยูตงจับก้นตัวเองก่อนจะตอบกลับไป “ฉันไม่รู้หรอก”


“ใช่แล้ว น้องก็ไม่รู้”


เย่ฮั่วถอนหายใจ “เฮ้อ มันบังเอิญเกินไป”


ถ้าตระกูลหยิงรู้ล่ะก็ คงได้เข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำแน่


เขาพยายามโน้มน้าวตัวเองด้วยความรุนแรง แต่ก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่โดนโน้มน้าว…ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 งั้นเหรอ?


“ยูตงมาทางนี้” เย่ฮั่วเรียก


“พี่เขย ฉันสู้ไม่ไหวแล้วนะ มันบวมไปหมดแล้ว”


เย่ฮั่วหัวเราะหึๆ “อย่าทำอีกในอนาคต”


“แล้วก็อย่าบอกพี่สาวของเธอด้วย” เย่ฮั่วพูดอย่างจริงจัง ตัวตนของเขานั้นยังคงเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองกลัวว่าชิงหยาจะรับไม่ได้


“ทำไมล่ะ?” ชิงยูตงสับสน


เย่ฮั่วถอนหายใจ “ฉันกลัวว่าพี่เธอจะรู้สึกต้อยต่ำ…คือฉันมันเป็นคนดีมากๆไง”


ชิงยูตง “….”


“พี่เขยพอจะช่วยเลิกเก๊กซัก 20 นาทีได้มั้ย?”


เย่ฮั่วยกมือขึ้นสูงและนั่นทำให้ชิงยูตงกลัวจนหนีมาอยู่หลังเย่จีจี้


“เข้าใจแล้วใช่มั้ย!”


“เข้าใจแล้ววววววว ฉันจะไม่บอกพี่สาว ต-แต่พี่เขยต้องหาเหตุผลที่จะคุยกับพี่เองนะ”


แน่นอนว่าเย่ฮั่วรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วว่าจะบอกชิงหยายังไง โดยเขาจะบอกว่าตนเป็นผู้ฝึกตน ถึงไม่บอกเรื่องนี้ก็พอจะรับรู้ได้ว่าชิงหยารู้สึกว่าตัวเองต้อยต่ำอยู่ไม่น้อยเลย


ถ้าเกิดเผลอบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วเธอไม่รู้สึกอะไรและเริ่มที่จะคิดอย่างอื่น นั่นคงเป็นปัญหาเหมือนกัน


เมื่อฉันกลับไปถึงโรงแรม เย่ฮั่วได้ยินเสียงของชิงหยาว่าเธออยู่ที่ร้านเกี่ยวกับงานแต่งดังนั้นเขาจึงรีบกลับไป


“พี่ชายที่ทำตัวอวดเก่งนี่ดูแข็งแกร่งสุดๆไปเลย รู้สึกเหมือนเรากำลังถูกทำลายเลยเนอะ ว่ามั้ย” เย่จีจี้พูดพร้อมยิ้มให้ เธอชอบที่จะเห็นท่านผู้สูงส่งนั้นทำตัวอวดเก่งสุดๆ


“หึๆๆ เด็กน้อย เธอรู้หรือเปล่าว่าพี่ชายของเธอน่ะจะต้องสูบบุหรี่ทุกครั้งที่ทำตัวอวดเก่งเลยนะ”


“อ๋า? ทำไมล่ะ?”


“พี่สาวฉันบอกว่า พี่เขยน่ะเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถเยียวยาได้ จะต้องทำเป็นปากดีซินโดรมทุกครั้งหลังสูบบุหรี่”


“หืม ดูท่าเราจะต้องพูดเรื่องนี้กันหน่อยนะ”


“เธอทำตามพี่ชายของเธอไม่ได้หรอก ผู้หญิงสูบบุหรี่ไม่ได้ สู้ไม่ได้ สร้างบาร์ไม่ได้ และใช้ไฟก็ไม่ได้”


“พี่ยูตง เราจะสวมอะไรไปบาร์กลางคืนกัน?”


“ฉันคิดว่าเธอเหมาะกับชุดสีชมพูนะ ชุดแบบโลลิๆ แล้วฉันล่ะ?”


“เซเลอร์มูน…”


“ไอเดียดีนี่”


บทที่ 193 นายทำได้


เย่ฮั่วรีบตรงไปร้านขายชุดเจ้าสาวและเมื่อไปถึงก็พบว่าชิงหยานั้นนอนหลับอยู่บนโซฟาเสียแล้ว หล่อนไม่รู้หรือไงว่าถ้าง่วงต้องกลับไปที่พักน่ะ


เขาเปลี่ยนเสื้อให้เรียบร้อยและค่อยๆอุ้มร่างของเธอขึ้นมาอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นเจ้าหญิง


ชิงหยาหายใจช้าๆก่อนจะยกแขนขึ้นโอบคอของเย่ฮั่วให้กระชับ “นายกลับมาแล้ว”


“ทำไมถึงไม่ยอมกลับไปก่อนในเมื่อเธอเหนื่อยขนาดนี้?” เย่ฮั่วพูดราวกับกระซิบ


“ก็รอนายไง กลัวว่าถ้านายกลับมาแล้วจะหาฉันไม่เจอ”


เย่ฮั่วยิ้มแล้วเอ่ย “ฉันจะไปหาเธอไม่เจอได้ยังไงกัน?”


ชิงหยาหัวเราะน้อยๆก่อนจะเอนหัวเธอไปซบกับแผงอกของเย่ฮั่ว ฮ่า ชุ่มฉ่ำหัวใจเหลือเกิน


มีหลายสิ่งเกิดขึ้นกับตระกูลหยิงใน 2 วันนี้ และนี่มันคือหายนะชัดๆ!


อย่างไรก็ตาม คำสั่งแรกที่ฟ่างสั่งแก่พวกเขา นั่นก็คือห้ามให้เรื่องเมื่อคืนเล็ดลอดออกไปได้เด็ดขาด ไม่งั้นล่ะก็ทั้งตระกูลจะถูกทำลาย


ผู้วิเศษแห่งความตายที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอนั้น เพียงแค่มองการกระทำของเธอเฉยๆ ทำไมกันนะ? เพียงแค่ได้มองจากด้านหลังก็รู้สึกหลงไหลเสียแล้ว โดยเฉพาะยามที่เธอกำลังพยายามทำอะไรซักอย่าง มันช่างงดงามเสียเหลือเกิน


สิ่งก่อสร้างต่างๆของหยิงถูกสร้างขึ้นด้วยความตึงเครียด ฟ่างนั้นเคยเป็นเจ้าสำนักมาก่อน เพราะงั้นแล้วเธอรู้วิธีการจัดการเรื่องพวกนี้ ในความเป็นจริง นี่เธอก็เหมือนกำลังดูแลพลพรรคของเธออยู่เลย


หลังจากคำสั่งถูกสั่งออกไปแล้ว ฟ่างและผู้วิเศษแห่งความตายก็หาที่สงบๆที่พอจะพักอิงได้ก่อนจะเริ่มเล่นเกมของพวกเธอ


ในความเป็นจริง ฟ่างเหมือนจะลืมบางสิ่งบางอย่างไปแล้ว นั่นคือเธอเป็นผู้ครอบครองเทพอสูรวารีทั้ง 8 ตนที่ซึ่งสืบทอดมาจากเย่ฮั่ว แน่นอนว่าพลังของพวกมันนั้นสูงกว่าผู้วิเศษแห่งความตายเป็นแน่แท้


แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ฟ่างนั้นดูท่าจะไม่ได้ใส่ใจหรือไม่ก็ลืมไปแล้วว่าเธอสามารถใช้เจ้าพวกนี้จัดการเขาไปได้


ในเวลาเดียวกัน ที่เมืองหลงอัน ชิงบาร์


เว่ยชางนำถังเว่ยออกมาจากห้องน้ำของบาร์ ถังเว่ยนั้นยังคงช็อคอยู่กับภาพของท่านผู้สูงสุดที่เหมือนหลุดมาจากหนังไซไฟเลย มนุษย์ยักษ์ที่ทำลายเกาะได้เพียงแค่ต่อย นี่มันช่างเกินบรรยายสุดๆ…


ท่านผู้สูงสุดนี่ช่างทรงพลังแท้ ทรงพลังจนเธอรู้สึกอายที่ครั้งนึงเคยเขียนจดหมายรักและพยายามส่งให้เขาเลย


“ลุงเว่ย นี่มันดึกมากแล้ว ฉันไปนอนที่บ้านลุงเว่ยนะคะ” ถังเว่ยเขย่งขาและพูดด้วยความเหนียมอาย


ในใจของถังเว่ยนั้นยังลุกลี้ลุกรนอยู่และตัวเธอเองก็รู้สึกอยากทำเรื่องน่าอายกับลุงเว่ย จึงได้พูดแบบนั้นออกไป


เว่ยชางเพียงแค่สัมผัสหัวของเธอเบาๆ “ลืมเหรอว่าลุงเว่ยมีรถนะ? เพราะงั้นจะส่งกลับบ้านเอง ไม่ต้องกังวล”


ถังเว่ย “…”


จริงสินะ ลุงเว่ยนี่ก็เป็นผู้ชายที่ซื่อตรงสุดๆคนหนึ่งเลย เอาจริงๆก็ไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน ย้ำว่า “ไม่เคยเจอมาก่อน”!


เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วถังเว่ยก็ดึงเว่ยชางไว้ “ลุงเว่ย…พวกเขายัง…”


เว่ยชางส่ายหน้า เพราะเขาลืมบอกท่านผู้สูงส่งเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย


“ถังน้อย ไปเปลี่ยนชุดก่อนละกัน เดี๋ยวฉันจะไปถามพวกนั้นก่อนว่ามาทำอะไร”


“รับทราบค่า~”


เว่ยชางเดินออกไปหาพวกเขา นั่งลงไปที่โต๊ะกับหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน พวกเขานั้นดูงดงามทั้งคู่


“ไม่รู้หรือไงว่าร้านปิดแล้วน่ะ?” เว่ยชางยิ้มอย่างไมตรีจิต


ชายผู้มาพร้อมกับกระเป๋ากีต้าร์ใบใหญ่หันมามอง ดูท่าว่ากระเป๋านั้นจะสำคัญกับเขาอยู่นะ


“ผมอยากจะมาพบผ้าคลุมดำครับ” ชายคนนั้นพูดจุดประสงค์ออกมาแบบตรงไปตรงมา


อ้อ ใช่แล้ว เขาคือ เสี่ยวยี่ แล้วก็ผู้หญิงคนนั้น ชูหนานสินะ


เสี่ยวยี่นั้นไตร่ตรองเรื่องนี้มานานแล้ว และเขาสรุปว่าตอนนี้ตระกูลเสี่ยวกำลังอยู่ในอันตราย!


อย่างไรก็ตาม เขาคิดถึงผู้วิเศษแห่งความตายเป็นอันดับแรก ถ้าเป็นเจ้านั่น ตระกูลยี่จะต้องยืนหยัดต่อได้แน่ๆ! ไม่ว่าผู้วิเศษแห่งความตายจะเรียกร้องอะไรในอนาคต เขาก็จะยอมรับมัน รวมไปถึงครั้งนี้ เขาเอาดาบซวนหยวนมาด้วย ชีวิตและดาบ ดาบนี่ก็เพื่อที่จะให้อีกฝ่ายได้ใช้ปกป้องผู้หญิงและเด็กของเขา


ทางด้านของภรรยาเสี่ยวยี่ ชูหนาน เธอดูเหมือนว่าจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ครั้งหนึ่งเธอเคยขัดขวางเขาและลั่นวาจาไว้ว่าถ้าเขาไปไหนโดยไม่บอกเธอ เธอจะตายต่อหน้าเขาตรงนั้นเลย


เสี่ยวยี่เลือกอะไรไม่ได้จึงได้แต่บอกชูหนานเกี่ยวกับแผนของเขา


ชูหนานนั้นไม่ได้คิดถึงอะไรเลย เธอเพียงแค่มาที่นี่กับสามีของเธอเท่านั้น


เสี่ยวยี่ถามภรรยาของเขาเอง ณ ตอนนั้น ว่าทำไมเธอยังมากับเขา


ชูหนานยังคงยิ้มให้อย่างงดงามพร้อมกับพูดว่า “เพราะฉันเองก็มีชีวิต”


ในตอนนั้น เสี่ยวยี่ก็ได้รับรู้แล้วว่าเขานั้นเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดบนโลก เพราะถ้าเขาไม่ได้โชคดีจริงๆ เขาคงไม่ได้แต่งงานกับเธอหรอก


ถึงแม้ว่าว่าเขาจะมากับภรรยา เสี่ยวยี่เองก็ไม่ได้อยากให้ภรรยาของเขาตายหรอกนะ!


“พวกนายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันน่ะ? เอาจริงๆก็ไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร” เว่ยชางแกล้งถามไปงั้นแหละ


“ผมอยากจะพบกับเจ้าผ้าคลุมดำแล้วก็มีของสำคัญมากๆอยากจะให้แล้วก็คุยด้วย” ใบหน้าของเสี่ยวยี่นั่นดูน่าสงสารเอาเสียมากๆ ราวกับว่าถ้าเขาไม่สามารถทำตามที่พูดได้ในเย็นนี้ บางทีเขาคงจะไม่ได้เห็นแสงตะวันในวันถัดไปแล้ว


ชูหนานจับมือที่เย็นยะเยือกของสามีของเธอไว้ หัวใจของเขากำลังหลั่งเลือด


เว่ยชางไม่รู้ว่าท่านผู้สูงส่งเองดูแลเสี่ยวยี่ยังไง เพราะงั้นเขาจึงไม่รู้วิธีรับมือ


“พวกนายกลับไปเถอะ ไม่มีผ้าคลุมดำที่นี่” เว่ยชางพูดแบบไม่ใส่ใจ


ชูหนานขยับไปขวางหน้าเว่ยชาง “ขอร้องเถอะ ให้พวกเราได้พบกับผ้าคลุมดำด้วย สามีของฉันกำลังจะตาย! เขาเพียงแค่ต้องการอยากจะพบกับผ้าคลุมดำก่อนที่จะตาย”


เว่ยชางมองไปยังเสี่ยวยี่ก่อนจะพบว่าสิ่งที่เธอคนนี้พูดนั้นมีเค้าลางว่าจะเป็นจริง เกรงว่าถ้าเกินคืนนี้ก็คงจะสายไปเสียด้วย


จะให้ผู้วิเศษแห่งความตายมาที่นี่งั้นเหรอ? ลิมมันไปซะ ถ้าโผล่มาตอนจะตายมีหวังได้ตายก่อนพูดจบแน่ๆ


อ้อ ลืมถามท่านผู้สูงส่งไปเสียสนิทเลย


ณ ตอนนั้นเอง เย่ฮั่วกำลังหลับนอนอยู่กับชิงหยา แต่แล้วจู่ๆเสียงข้อความก็ดังขึ้น


“ท่านผู้สูงส่ง เสี่ยวยี่อยู่ที่นี่”


“เสี่ยวยี่? ทำไมเจ้านั่นไม่ยอมฝึกฝนอยู่กับบ้านแล้วพวกมันจะมาทำซากอะไรที่นี่?”


“ไม่มั่นใจครับ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่น่าจะรอดผ่านคืนนี้ไปได้แน่ๆ”


เย่ฮั่วสงสัยจึงถามกลับ “ตายแล้วเหรอ?”


“ใกล้เคียงครับ ท่านผู้สูงส่ง เอายังไงดีครับ?”


เย่ฮั่วคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง เพิ่งจะจัดการคนจากฟากใต้กับฟากเหนือไปแท้ๆ ยังมีหมอนี่เข้ามาอีก…


“รักษาเขาซะ”


“ครับ!”


หลังจากนั้นเย่ฮั่วก็กลับไปนอนซบชิงหยาต่อ ช่างสบายแท้ ไม่ให้มาขัดความสบายนี้หรอก


เว่ยชางมองไปยังเสี่ยวยี่และชูหนานที่กองอยู่กับพื้นก่อนจะกำชับ “รอที่นี่” จากนั้นก็หันกลับเข้าไปด้านใน


ชูหนานนั้นรู้สึกมีความสุขมากๆ เธอยืนขึ้นและพยุงร่างของสามีเธอไว้ “เสี่ยวยี่ อดทนไว้ก่อนนะ!”


“แค่ก แค่ก! ชูหนาน…ตระกูลของเรา…ขึ้นอยู่กับเธอแล้ว…ถ้าเธอเจอใครที่ดีกว่าฉัน…ก็ขอจงอย่าลังเล” เสี่ยวยี่พูดอย่างอ่อนแรง ใบหน้าของเขาดูเหมือนว่าไม่มีเลือดไหลเวียนอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่คอยสนับสนุนเขาแล้วล่ะก็ บางทีอาจจะกลายเป็นศพตากเกลือไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว


ชูหนานตะโกนเสียงค่อย “เสี่ยวยี่! พูดอะไรน่ะ! ชูหนานน่ะเป็นชีวิตของนายนะ! เพราะงั้นรุ่นต่อไปน่ะ ยังไงก็ต้องเป็นนาย!”


เสี่ยวยี่อ้าปากค้างเพื่อหายใจ แม้แต่ความแข็งแกร่งที่จะพูดก็เริ่มจะไม่มีแล้ว


ทันใดนั้น!


คลื่นน้ำสีดำก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง ซึ่งมันยากที่จะมองเห็นเพราะปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ จึงเห็นได้แค่เงาดำๆเท่านั้น


เสี่ยวยี่และชูหนานจ้องมองไปยังเงาดำนั้น ภาพตรงหน้ายังดูสดใสเสมอ เงาดำนี่ต้องเป็นเจ้าผ้าคลุมดำแน่ๆ!


เว่ยชางนั้นเหนื่อยมากๆแถมด้วยถังน้อยที่รอด้านนอกอีก คงต้องเร่งมือหน่อยแล้ว


“มีอะไร!” เว่ยชางถามหลังจากเปลี่ยนโทนเสียงแล้ว


เขามองเสี่ยวยี่ที่ดูจะตื่นเต้นมากๆ เขาถือกระเป๋ากีต้าร์เอาไว้ ทั่วทั้งร่างนั้นสั่นเทาอยู่บนพื้นและเปิดกระเป๋านั้นออก ดาบสีทองอร่ามนามว่า ซวนหยวน ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกๆคน


“ฉัน…ฉันขอมอบสิ่งนี้…ดาบ แล้วก็ชีวิตของฉัน…นายทำมันได้…” หลังจากพูดประโยคนี้จบ เขารับรู้เลยว่าแม้แต่หายใจยังยาก ทั่วทั้งร่างมันเริ่มจะไม่เชื่อฟังเสียแล้ว


ชูหนานหลั่งน้ำตาราวกับสายฝนที่สาดเทลงมา เธอกอดร่างของสามีไว้และพูดกับเว่ยชาง “ถ้าชีวิตของเขาไม่พอล่ะก็ เอาของฉันไปด้วยก็ได้!”


อีก 10… 1วัน 1 คืนที่ไม่ได้นอน…ฉันกำลังจะตาย…ฉันอยากนอน… นี่คือสิ่งที่ฉันหวนหา…


บทที่ 194 เงิน 2500 และมอเตอร์ไซค์ควันดำ 1 คัน


เว่ยชางยื่นมือออกไปและทันใดนั้นดาบซวนหยวนในกล่องกีต้าร์ก็ลอยขึ้นมาบนมือเขา “ดาบเล่มนี้ช่างร้อนแรง ชีวิตเจ้าก็เช่นกัน”


หลังจากที่เขาคลายมือลง ดาบซวนหยวนก็กลับลงไปในกล่องตามเดิม แต่กระนั้นเว่ยชางก็ได้พิจารณาแล้วว่าควรจะทำอะไรกับสิ่งนี้ไว้นิดหน่อย


เมื่อได้ยินเว่ยชางพูดดังนั้นพร้อมๆกับดาบที่ลอยกลับไปในกล่องเสี่ยวยี่ก็กระอักไอออกมาอย่างหนักหน่วงพร้อมทั้งคลานอย่างหมดหวังไปหาเว่ยชาง เขาหวังเพียงให้คนตรงหน้าช่วยภรรยาและลูกๆของเขาก็เพียงพอ


“แต่ก็นะ เจ้าน่ะยังโชคดี เพราะข้าดันชอบช่วยพวกที่มีชีวิตร้อนแรงเสียด้วยสิ”


หมอกสีดำพุ่งเข้าไปในหัวของเสียวยี่ผู้ที่สลบไปแล้ว


“เสี่ยวยี่! เสี่ยวยี่!”


“บอกสามีเจ้าด้วยล่ะ ว่าข้าน่ะ ทำได้ทั้งช่วยแล้วก็ฆ่าเขาในเวลาเดียวกันเลย!”


ชูหนานนั้นรับรู้และเข้าใจในเหตุผลนั้นก่อนจะพูดเชิงให้คำมั่นสัญญาออกไป “ในอนาคต ตระกูลเสี่ยวจะตอบแทนอย่างสาสมเลยค่ะ!”


เว่ยชางพยักหน้ารับก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปและปรากฏอีกทีที่บริเวณซอยด้านหลัง


“ถังน้อย ไปกันเถอะ” เว่ยชางพูดพร้อมกับส่งยิ้มจางๆให้


“ได้เลย~” ถังเว่ยเองก็ส่งรอยยิ้มหวานๆกลับไปเช่นกัน


สำหรับการมาชิงบาร์นั้น ชูหนานได้มอบชีวิตของเธอแก่สามีของเธอแล้ว และในท้ายสุดมันทำให้เธอผ่อนคลายมากๆ สามีของเธอค่อยๆกลับมามีชีวิตใหม่ เสียงชีพจนนั้นค่อนข้างลื่นไหลและลมหายใจที่ถี่ถ้วนกว่าก่อนหน้ามากๆ คนๆนั้นช่างแข็งแกร่งจริงๆ เขาสามารถช่วยคนจากความตายได้


ชูหนานช่วยพยุงร่างของเสี่ยวยี่ไปยังที่นั่งและรอประมาณ 10 นาที


เฮ้~


เสี่ยวยี่ฟื้นแล้ว เขาดูมึนงงนิดหน่อย


“ที่นี่…ที่ไหนน่ะ?” เขาเอ่ยถามแล้วค่อยๆยกหัวขึ้น


หัวใจของชูหนานดำดิ่งลึกลงไป เขาดูเหมือนจะจำอะไรไม่ได้เลย


“เสี่ยวยี่! มองมาทางนี้สิ!” ชูหนานเอ่ยพร้อมจับแก้มของเสี่ยวยี่ไว้ด้วยความกังวล


เขาค่อยๆยิ้มและยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆก่อนจะกอดร่างของผู้หญิงของเขาไว้ ชูหนานนั้นอ้ำอึ้งก่อนจะต่อยเขาไปเบาๆ “คนบ้า! เคยกลัวตายบ้างมั้ย!! ฉันจะฆ่านาย!!!”


เสี่ยวยี่กอดเธอผู้อยู่ในอ้อมแขนไว้แน่นและหลังจากนั้นพักใหญ่ๆจึงค่อยเอ่ยขึ้น “ชูหนาน ขอบคุณนะ”


“เสี่ยวยี่…” เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจเธอก็เหมือนได้รับการเติมพลัง มันเต้นอย่างรุนแรงและกลับมาอยู่ในความสงบ


“เอาล่ะ กลับกันเถอะ” เสี่ยวยี่ยืนขึ้นและหันไปมองดาบซวนหยวนบนพื้น ใบหน้าของเขาไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาเก็บมันใส่กล่องตามเดิมและยกมาสะพายไว้


“เสี่ยวยี่ เราจะไปกันเลยเหรอ?” ชูหนานมองไปรอบๆและถาม


เสี่ยวยี่พยักหน้า แมลงป่องสีดำสองตัวรีบติดตามหมอกสีดำไปอย่างรวดเร็ว “ดีล่ะ พวกเรายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำกัน ตอนนี้ฉันอยากจะเห็นแล้วว่ามีใครบ้างที่กำลังหักหลังฉัน!”


ชูหนานพักหน้ารับ การหนีออกมาครั้งนี้มันน่าอัศจรรย์มาก ถึงแม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่จริงๆแล้วมันอันตราย ทุกๆคนต่างมองมายังดาบซวนหยวนในมือของเสี่ยวยี่ เขาตั้งใจจะทำเหมือนว่าป่วยต่อไป ซึ่งมันดีสำหรับการดึงดูดให้ใครก็ตามที่คิดจะเป็นศัตรูของเขาให้เข้ามาหาเอง


วันแสนวิเศษได้ผ่านพ้นไป ตราบาปขนาดใหญ่ทั้ง 3 ของตระกูลหยิงถูกจารึกลงไปในทะเลแห่งความเจ็บปวด และทางด้านตระกูลเสี่ยวรวมไปถึงตระกูลอื่นๆ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญ


เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าโชคเป็นสิ่งที่สำคัญขนาดไหน ไม่โกหกเลย


…โอเค จริงๆแล้วก็โกหกแหละ เพราะดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ในแผนการของเย่ฮั่วอยู่แล้ว


เช้าวันต่อมา เย่ฮั่วถูกชิงหยาดึงขึ้นมา แน่นอนว่ามันใช้เวลากว่าชั่วโมงกว่าเขาจะยอมตื่น และดูเหมือนว่าชิงหยาจะรู้เรื่องนี้ดี ใครก็ตามที่ได้ลงไปนอนเตียงแล้ว เขาคนนั้นก็จะไม่สามารถออกมาได้ออก


เย่ฮั่วผู้ที่ถูกลากขึ้นมารู้สึกหงุดหงิดมากๆ และเมื่อเทวทูตไม่มีความสุข มันก็ต้องมีใครซักคนที่จะต้องดวงซวยตกตามกันไป


ชิงยูตงและเย่จีจี้นั้นเป็นผู้ถูกเลือกในครั้งนี้


วันนี้พวกเธอไปไหนไม่ได้ นั่นก็เพราะจะลุกก็ยังไม่ไหว ก้นมันเจ็บไปหมด


อย่างไรก็ตามเมดของเจ้าสาวนั้นนับว่าไม่เลวร้ายเลย จัดว่าดีเสียด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ยืนเฉยๆพวกเธอก็ช่วยจัดการทั้งท่าทางอะไรต่างๆให้เรียบร้อย ไหนจะตากล้องที่รู้งานอีก รอบๆตัวพวกเขานั้นหากสังเกตุล่ะก็จะเห็นว่ามีคนยืนล้อมจนเป็นวงเลย เหตุผลก็ไม่ใช่อะไร นั่นก็เพราะฝ่ายชายนั้นก็หล่อ ฝ่ายหญิงเองก็สวย ไหนจะสาวๆตัวน้อยทั้งสองที่น่ารักน่าชังนั่นอีก ช่างเป็นการรวมกันที่สมบูรณ์อะไรขนาดนี้นะ


ด้านนอกห่างออกไป 2500 กิโลเมตร บางสิ่งที่เลวร้ายปรากฏขึ้นที่นั่น


“พี่ใหญ่ อยากให้เป็นแบบนี้เหรอ?” ผู้เป็นน้องชายเอ่ยถามด้วยหัวใจที่ร้อนแรง


พี่ใหญ่อย่างผมเขียวนั้นเพียงแค่หยิบบุหรี่มาจุดสูบและมองไปยังอาหลีน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมพูดด้วยเสียงขรึม “ขาย!”


“3000 คิดว่าไง?”


ใช่แล้ว พี่ผมเขียวกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับการขายรถ เจ้าอู่หลิง ฮงกวงนี่ใช้ทรัพยท์สินทั้งหมดเพื่อจะซื้อมันเลย ถึงแม้ว่าจะซื้อมาแพงกว่า 30,000 ถึงแม้จะเป็นมือสองก็ตาม ปกติแล้วใช้สำหรับขนของแต่ตอนนี้มันเอาไว้ขายแล้ว!


“พี่ใหญ่ ไปเอาเงินกันเถอะ!”


ผมเขียวปราม “เจ้าโง่! ถ้าเข้าไปเอาเงินด้วยตนเองที่อยู่ของฉันก็ถูกเปิดเผยสิฟะ!”


“ถ้างั้นแล้วเราจะเอาเงินได้เหรอ?” ผู้เป็นน้องถามกลับด้วยความสงสัย


“ให้ตายเถอะ ถ้าจะเอาเงินนั่นก็ให้ธนาคารไปจัดการซะสิ พวกมันรู้อยู่แล้วว่าต้องไปเอาเงินที่ไหน จากนั้นเราก็แค่คอยดูอยู่รอบๆ ดูเจ้าสิ่งนี้ได้ออกทีวี ทำไมแกไม่คิดให้มันเยอะๆหน่อย?”


น้องเล็กนั้นตะโกนขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ “ใครก็ตามที่ดูทีวีอยู่ต้องอยากได้มันแน่!”


“เฮ้ พวกนายจะขายไอ้รถนี่รึยังเนี่ย!” เจ้าของร้านค้ามืดตะโกนอย่างหมดความอดทน รถคันนี้มันก็ไม่ได้แย่ เอามาขายก็ยังได้เงินอย่างน้อยๆพันนึง


ผมเขียวรีบตอบทันควัน “ขาย!”


ตงฮวงหลี่ตัวน้อยเดินเข้าไปใกล้ผมเขียวเพิ่มอีกนิดหน่อยและดึงมุมเสื้อของเขา “ลุงผมเขียว”


พี่ใหญ่รีบหันกลับไปทันควันด้วยรอยยิ้ม “ว่าไงเจ้าตัวเล็ก? เราได้เงินมาแล้ว เดี๋ยวลุงผมเขียวจะพาเราไปกินแม็คโดนัลด์นะ”


“ลุงผมเขียว…อาหลี่ไม่อยากกินแมคโดนัลด์ มันไม่ดี…” ตงฮวงหลี่วิธีเห็นชัดแจ้งว่าลุงทั้งสองของเขานั้นไม่มีเงิน เพราะงั้นถ้าขืนกินของแพงต่อไปคงไม่ดีแน่ๆ แถมไอ้สถานการณ์แบบนี้เนี่ย ช่างบีบครั้นหัวใจเสียเหลือเกินด้วย


พี่ใหญ่อุ้มตงฮวงหลี่ขึ้นมาและเอ่ยถาม “แล้วเราอยากกินอะไรล่ะ? ลุงผมเขียวจะซื้อให้เอง”


“อาหลีอยากกินขนมปัง!”


ทั้งสองอาต่างถอนหายใจขึ้นในภวังค์ ช่างเป็นเด็กที่มีเหตุผลอะไรแบบนี้


เขาลูบหัวเจ้าตัวน้อยเบาๆก่อนจะยิ้ม “ดีเลย งั้นเดี๋ยวให้ลุงแดงซื้อไส้เนื้อให้ก้อนใหญ่ๆเลย!”


มองไปยังน้องชายของเขา มันเป็นสัญญาณชัดเจนว่าให้เขารีบออกไปซื้อขนมปังมา และในตอนนี้ ผมเขียวมองไปยังจักรยานที่อยู่ด้านนอก “เฮ้ พี่ชาย มอไซค์นั่นขายเท่าไหร่?”


“1000” เจ้าของร้านตอบกลับทันควัน นี่มันปล้นกันแบบไม่ผิดกฏหมายเลยนี่หว่า


ผมเขียวนั้นไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์มาก่อน แต่นี่ก็ไม่เลว แต่ของแต่ ไอ้ 1000 เนี่ยค่อนข้างแพงเลยนะ ถ้าได้ซัก 500 ก็คงดี


“500 ขายหรือเปล่า?”


“ไม่ขายโว้ย!”


“งั้นเหรอ”


“เดี๋ยวก่อนน้องชาย ราคามันคุยกันได้ ค่อยพูดค่อยจาก่อน” เมื่อเห็นว่าผมเขียวจะไปเขาก็รีบง้อกลับมาทันที มอเตอร์ไซค์คันนี้ก็อยู่นี่มาจะ 2 เดือนแล้ว เพราะงั้นนี่คงเป็นโอกาสดีที่จะปล่อยมันออกไปซักที


“800 เอาป่าว!”


“ปล่อยมันไว้งั้นแหละ”


“600 ล่ะเป็นไง!”


“ประดับหน้าร้านต่อไปเนอะ”


“งั้น 500 เอาไปเลย!” เจ้าของร้านไม่อยากจะเถียงไปมากกว่านี้และยอมปล่อยมอเตอร์ไซค์คันนี้ไป


ได้ 2500 พร้อมกับมอเตอร์ไซค์ควันดำมาคันนึง ทั้ง 3 ก็เริ่มเดินทางไปยังฟากใต้และหาที่หลบฝนไปด้วย ในคืนนั้น พวกเขาที่กำลังหาที่พักอยู่ถึงแม้ว่ามันจะน่าอึดอัดหากแต่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ


ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว และพี่ใหญ่อย่างผมเขียวก็เร่งรีบที่จะหาที่สำหรับหลบฝนให้ ช่างโชคดี พระเจ้ายังไม่ทอดทิ้ง แถวนั้นมีบ้านที่ทรุดตัวไปครึ่งหนึ่งอยู่หากแต่ก็ยังพอหลบได้อยู่ข้างๆถนน


ผมแดงนั้นดูท่าจะหัวร้อนมากๆกับสถานการณ์หากแต่ก็ต้องทำใจในขณะที่อาหลี่น้อยเองก็ตาเป็นประกาย


“สภาพอากาศผีเข้าผีออกของฟากใต้นี่เป็นปัญหาให้น้ำท่วมจริงๆ” น้องเล็กบ่นพร้อมถอนหายใจควบคู่ไปกับน้ำที่อยู่บนผม


ผมเขียวนั้นพบไม้แห้งส่วนหนึ่งในบ้านเก่า และมันสามารถนำมาจุดไฟเพื่อสร้างความอบอุ่นได้ “อาหลี่ หิวหรือยัง?”


บทที่ 195 ชิงบาร์!


อาหลี่สัมผัสไปที่ท้องของตัวเอง จริงๆก็หิวนั่นแหละ…


“อาหลี่ยังไม่หิวค่ะ” ตงฮวงหลี่พูดด้วยเสียงหวานและเขยิบตัวเข้าไปใกล้กองไฟ


หลายวันมานี้สองพี่น้องผมแดงผมเขียวเรียนรู้นิสัยของอาหลี่มามากพอสมควร มากขนาดที่รู้ว่าเธอเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างแถมยังคอยดูแลอีกด้วย


อาหลี่ลุกขึ้นจากจุดที่นั่งอยู่ก่อนจะเดินไปหาพี่ใหญ่ จากนั้นก็นั่งลงไปข้างๆเขาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลุงผมเขียว วันนี้ลุงขับมอเตอร์ไซค์มาทั้งวันเพราะงั้นอาหลี่นวดไหล่ให้นะ”


“ขอบคุณมากเลยอาหลี่ แต่ว่าลุงไม่เหนื่อยหรอก ทำด้วยใจล้วนๆ ฮี่ๆ” พี่ใหญ่ผมเขียวจริงๆแล้วก็เจ็บหัวไหล่ไม่น้อยแหละ เหมือนว่ามันจะเคล็ดด้วยหล่ะมั้ง


อย่างไรก็ตามอาหลี่ก็ยังนวดไหล่ให้พี่ใหญ่ผมเขียวอยู่ดี


น้องเล็กอย่างผมแดงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธนิดๆ “พี่ใหญ่ คนในตระกูลเนี่ยก็เหลืออดเหลือทนจริงๆนะ เขาแจ้งความจับพวกเรา แถมยังบอกว่าเราขโมยไก่จากหมู่บ้านข้างๆเมื่อปีก่อนอีก!”


“เฮ้ ฉันรู้น่าว้าเราไม่ผิด เพราะงั้นถึงได้ออกมาจากตระกูลไง” ผมเขียวหยิบบุหรี่มาจุดสูบ


“แจ๋วไปเลย! ถ้างั้นเรามาตั้งตระกูลใหม่เป็นไง? ชื่อตระกูลเป็นอะไรดี?” ผู้เป็นน้องนั้นดูตื่นเต้นเอาเสียมากๆ


ผมเขียวพ่นควันออกมาก่อนจะพูดแบบเรื่อยเปื่อย “ฝังมันไปเถอะ ตระกูลอะไรนั่น”


“อื้อหือ! เป็นชื่อที่ดีมากๆเลย! ลึกล้ำ อาร์ตแตก โคตรสร้างสรรค์!”


“อาหลี่ก็จะร่วมด้วยนะ!” อาหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมโตเองก็ยิ้มจนเป็นดั่งเสี้ยวจันทร์เลย


พี่ใหญ่ผมเขียวพูดพร้อมรอยยิ้ม “เธอน่ะยังเด็ก ไว้โตก่อนเถอะ”


“ฮึ่ม~เดี๋ยวอาหลี่ก็โตแล้วน่า~”


“ฮ่าๆๆ มีคนสามคนในตระกูล แล้วงี้ใครจะเป็นนายใหญ่ดีล่ะ?” ผมแดงยืนขึ้นพูด และแน่นอนว่าจงยกย่องเขาเป็นหัวหน้าซะ!


อาหลี่ยกมือขึ้นฉับพลัน “อาหลี่เป็นเอง!”


พี่ใหญ่ผมเขียว “…”


น้องเล็กผมแดง”…”


ผมแดงพูดทั้งที่ยังยืนอยู่ “อาหลี นายใหญ่น่ะต้องดีในทุกๆด้านนะ ดูอย่างลุงผมแดงนี่ เดี๋ยวจะแสดงวิชาเด็ดๆที่เห็นแล้วต้องเจ็บจี๊ดลงกระดูกดำเลยให้ดู”

กระตุ้นตราประทับ…


ในตอนนั้นเหล่าฝุ่นที่อยู่ในบ้านเริ่มลอยขึ้นแล้ว มันติดปากจนทั้งผมเขียวและอาหลี่ต้องแบะปาก ณ ตอนนั้นเลย


“หยุด วิชา นั่น ซะ! ไม่งั้นเดี๋ยวที่พักเราจะกลายเป็นผงกันพอดี” ผมเขียวไม่สามารถยืนขึ้นได้


เมื่อได้ยินดังนั้น ผมแดงก็ค่อยๆปัดมือไปมาเบาๆและเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ เมื่อตอนแข่งรวมญาติปีที่ผ่านมา พี่เป็นอันดับหนึ่งในวิชานี่เลยนะ”


“ว้าววว ลุงผมเขียวเป็นอันดับหนึ่งเลยเหรอ? สุดยอดไปเลยยย” อาหลี่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น เธอรู้สึกว่าการเป็นอันดับหนึ่งนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ


ผมเขียวนั้นพอเอาเข้าจริงก็เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่เหมือนกัน “มันเป็นเรื่องในอดีตน่า แล้วก็นะ ฮีโร่น่ะเค้าไม่อวดความกล้าหาญของตัวเองในปีก่อนๆหรอก”


“พี่ใหญ่ มองไปที่อาหลี่สิ”


อาหลี่เองก็คะยั้นคะยอตามที่ผมแดงเชิญชวน “ลุงผมเขียว อาหลี่อยากเห็นบ้าง”


“ก็ได้ๆ ถ้างั้นลุงผมเขียวจะโชว์ให้อาหลี่ดู”


ทันใดนั้นผมเขียวก็ปัดก้นแล้วเดินไปยังจุดที่น้องเล็กของเขายืนอยู่


กระตุ้นตราประทับ…


นี่คือสิ่งที่เจ๋งที่สุดของผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันในตระกูล ทันใดนั้นฉากตรงหน้าก็เต็มไปด้วยระเบิดควันมากมายทำให้ผมเขียวกลายเป็นเพียงเงาก่อนจะหายไปเลย


อาหลี่ “แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก ”


น้องเล็กผมแดง “แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก …”


ผมแดงคิดในใจว่า อันที่จริงคนที่สามารถทำให้ที่อยู่อาศัยพังได้น่ะ มันคือพี่ใหญ่ต่างหาก ไม่ใช่เขา


เวลาแห่งความสุขนั้นผ่านไปเร็วเสมอ ทั้งสามค่อยๆหลับไปและเริ่มต้นวันใหม่อย่างรีบร้อนเมื่อตื่นมา


10 วันให้หลัง…


ทั้งสามยืนอยู่ท่ามกลางจตุรัสในเมืองหลงอันและมืองไปยังรูปปั้นขนาดใหญ่บริเวณนั้น


คุณป้าที่เดินผ่านมาคนนึงมองไปยังสาวน้อยก่อนจะยื่นเงิน 5 ดอลล่าร์ให้ที่พื้น


“คุณป้า! คุณป้าวกกลับมาล่ะ~ สายตาของคุณป้า…กำลังมองหนูเป็นดอกไม้ใช่ม้า~” อาหลี่ตะโกน


คุณป้าผู้ใจบุญหันหลังกลับและหลบสายตา “ใช่ซะที่ไหน ก็แค่ทำเงินตกหรอก”


น้องเล็กผมแดงปากกระตุกนิดหน่อย ยัยป้านี่ พูดอะไรออกมารู้ตัวมั้ยเนี่ย!


อาหลี่ปล่อย 5 ดอลล่าร์ไว้กับพื้นตามเดิมก่อนจะเดินไปหาคุณป้า “ขอบคุณค่ะ คุณป้า”


ความน่ารักของเธอทำให้คุณป้าคนเดิมหันกลับมาแล้วยื่นให้เธออีก 10 ดอลล่าร์ “เด็กน้อย ไปซื้ออะไรกินซะนะ”


มอเตอร์ไซค์คู่ใจที่ใช้กันมาหลายวันนั้นจอดเทียบอยู่ข้างถนน มันยังคงแย่ลงเรื่อยๆผนวกกับการเงินที่เริ่มติดขัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงกระนั้น พี่ใหญ่ผมเขียวก็ยืนยันว่าจะไม่ถอนเงินเด็ดขาด มันจำเป็นจริงๆที่จะต้องรอให้ถึงเวลาที่จำเป็นจะต้องไปถอน


เด็กสาวกำเงินในมือก่อนจะว่างมาหาลุงๆของเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณลุง อาหลี่รวยแล้ว จะกินอะไรก็กินเลย”


2 พี่น้องผมเขียวผมแดงแตะหัวเธอเบาๆก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม “ลุงยังไม่หิว เพราะงั้นเรากินก่อนได้เลย”


“ไม่ ถ้าคุณลุงไม่กิน อาหลี่ก็จะไม่กิน!” อาหลี่แก้มป่องน้อยๆมันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าถ้าไม่ยอมกินล่ะก็ เรื่องใหญ่แน่


เมื่อได้ยินเช่นนั้นทั้งสองก็มองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง


พวกเขาตัดสินใจซื้อขนมปังมาและแบ่งมันออกเป็น 3 ส่วน แต่ก็เลือกที่จะแบ่งครึ่งก่อนและให้ครึ่งนั้นแก่อาหลี่ไป ส่วนพวกเขาทั้งสองก็แบ่งครึ่งอีกทีจากครึ่งที่แบ่งไว้ตอนแรก


สายตาเหลือบหาสวนสาธารณะและนั่งลงไปบนม้านั่ง ทั้งสามค่อยๆลิ้มรสชาติของโลกใบนี้ช้าๆปล่อยเวลาไหลไปเรื่อยๆ


“อาหลี่ ตอนนี้เราอยู่ในหลงอันแล้ว หนูอาศัยอยู่ที่ไหนล่ะ?” พี่ใหญ่ผมเขียวถามด้วยเสียงอันอ่อนโยน ให้อารมณ์เหมือนย้อนไปเมื่อปี 1989 เลย แต่นี่มันต่างกับตอนที่ส่งบรรพบุรุษกลับบ้านเก่าอยู่เหมือนกันแฮะ


“อืมมมมมมม ชิง” อาหลี่พูด


ทั้งสองได้แต่สงสัย ว่ามันหมายความว่าอะไรน่ะ? อีกรอบได้มั้ย?


“ที่ชิงบาร์!” เธอพูดย้ำด้วยสำเนียงชัดเจน


“พี่ใหญ่ ฉันเคยได้ยินชื่อบาร์นั่นอยู่นะ แต่ไม่ค่อยรู้รายละเอียดซักเท่าไหร่” ผมแดงประหลาดใจ


ผมเขียวตะโกนดัก “เจ้าโง่ แกก็เช็คเอาจากแผนที่ในโทรศัพท์สิฟะ!”


“อ่า โทรศัพท์ของฉันไปแล้ว…”


“งั้นก็เดินหามัน”


น้องเล็กโล่งใจ แต่เราจะให้บาร์อะไรนั่นในเมืองใหญ่นี่จริงๆเหรอ? นี่เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะ ถ้าไม่เจอเข็มนี่ได้กลายเป้นอาหารฉลามแน่ๆ


หลังจากที่กินเสร็จแล้ว ทั้งสามก็เริ่มเดินหาสิ่งที่เรียกว่า ชิงบาร์ แต่ทันใดนั้นก็พบบางสิ่งบางอย่าง มันดูเหมือนว่าจะปิดระหว่างวันและเปิดในเวลากลางคืน เพราะงั้นพวกเขาทำได้แค่รอจนเวลากลางคืนมาถึงเท่านั้น


เดินตรงไปเรื่อยๆตามถนนที่คึกคัก พวกเขาก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คน และทันทีทันใดก็ได้กลิ่นหอมตลบอบอวลไปหมด แน่นอนว่ากลิ่นนั้นแรงพอที่จะทำให้พวกเขาหยุดและหันมองทางขวา


“ซง หวังเฟย ร้านอาหารกะทะร้อน”


สองพี่น้องเลียริมฝีปากส่วนอาหลี่ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงไป


“คนต่อแถวยาวเหยียดเลย” อาหลี่เอ่ย


“พี่ใหญ่ ดูท่าว่ามันต้องอร่อยมากแน่ๆ” น้องเล็กน้ำลายไหล


“ใช่แล้ว” อาหลี่พูดเสริม


ทันใดนั้น ชายในชุดสูทที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าประตูก็มองมาที่พวกเขาพร้อมทั้งขมวดคิ้ว “เฮ้ พวกนาย 3 คนน่ะ สาวน้อยที่ยืนอยู่กับพ่อตรงนั้น ช่วยเขยิบออกไปได้มั้ย มันค่อนข้างจะรบกวนความอยากอาหารของลูกค้าร้านฉันน่ะ”


เด็กสาวเมื่อได้ยินดังนั้นก็ลากลุงๆทั้งสองออกไป “ไปกันเถอะคุณลุง อย่าไปสนใจอาหารเขาเลย”


พี่ใหญ่ผมเขียวนั้นไม่พอใจมากๆ “ตะโกนอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า? ถนนนี่เป็นบ้านของนายหรือไง? หรือว่าของพ่อนายนะ? บอกเลย ต่างจังหวัดน่ะ ดีกว่านี้อีกจะบอกให้ หึ!”


“โฮ่ กล้าที่จะปากเก่งกลับมาแบบนี้คงไม่อยากกลับไปแบบครบ 32 ส่วนล่ะสิท่า! ออกไปเลยไป๊ ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะโว้ย!”


อาหลี่เพ่งมองไปที่ผู้จัดการร้านก่อนจะพูดโต้ตอบ “คุณลุงเป็นคนไม่ดี!”


“เห้ยๆ ยัยเปี๊ยก ปากไม่มีหูรูดเลย เป็นพวกไม่มีการศึกษาหรือไงฮะ!”


สองพี่น้องที่ได้ยินดังนั้นก็ตาแดงกล่ำและระเบิดปะทุออกมา พวกเขาถกแขนเสื้อขึ้นและด่าทอกลับไป “ไอ้แม่เยอะเอ้ย! แกกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้ใส่เด็กวะ!”


มองไปยังสองพี่น้องที่แสดงท่าทีดุดันออกมา ผู้จัดการร้านดังกล่าวก็รีบกลับเข้าไปหลบในร้าน “ฉันจะแจ้งตำรวจถ้าพวกแกยังไม่ออกไป!!”


“ไอ้เจ้าผู้จัดการนั่น! อย่าห้ามฉันนะพี่ใหญ่ วันนี้ฉันจะอัดมัน!” น้องเล็กผมแดงเดินดิ่งเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็วสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนที่ต่อคิวจนวิ่งหนีกันไปหมด


พี่ใหญ่เองก็ตามเข้าไปด้วย แต่พอเข้าไปได้ยินเสียงไม่เสนาะหูภายใน เขาก็รีบวิ่งออกมาด้วยความตกใจทันที


ทั้งสองวิ่งตรงกลับมายังอาหลี่ และสิ่งที่เธอเห็นก็คือเชฟกว่า 12 คนในร้านถือมีดทำครัวให้เห็นจะๆเลย


“พี่ใหญ่ มาทางนี้ มีซอยให้หลบ!”


ผมเขียวตะโกนถามอย่างรวดเร็ว “ถ้าเกิดซอยนั่นไม่ได้ผลจะทำยังไงเล่า วิ่ง!”


“ความคิดดีมากเลยพี่!”


ทั้งสามวิ่งกลับไปทางเดิมที่มาอย่างรวดเร็ว


บทที่ 196 ตามหาป้าชิง


สองพี่น้องอุ้มอาหลี่ไว้โดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขานั้นวิ่งมาไกลขนาดไหนแล้ว แต่ที่รู้แน่คือตอนนี้เขาไม่เหลือแรงจะวิ่งอีกต่อไป ดูท่าความอ้วนจะเริ่มไม่ดีกับตัวเองซะแล้ว


“อาหลี่ หนูไม่เป็นไรนะ?” พี่ใหญ่อ้าปากกว้างเพื่อหายใจ โชคยังเป็นของพวกเขา วิชาเกลียวคลื่นวายุที่ฝึกมานั้นมันทำให้เขาหนีรอดมาได้จนถึงตรงนี้


อาหลี่พูดด้วยเสียงนุ่ม “ลุงผมเขียว ก้มหัวลงมา”


“หืม?” ผมเขียวสงสัยหากแต่ก็ค่อยๆย่อตัวลงไป


เด็กสาวใช้แขนเสื้อปาดเผมแดงื่อที่หน้าของเขาให้โดยมีน้องเล็กยืนมอง และทันใดนั้นพี่ใหญ่ผมเขียวก็เอ่ยขึ้น “อาหลี่ ลุงผมแดงมองอยู่นะ”


“ฮึ่ๆ ไว้เดี๋ยวอาหลี่จะทำให้ลุงผมแดงบ้างนะคะ” เธอหันไปยิ้มให้


ทั้งสองนั้นแต่เดิมกำลังโกรธมากๆ หากแต่เมื่อได้เห็นว่าเด็กสาวปลอดภัย ทุกอย่างก็คลี่คลายลง อาหลีนั้นดูตื่นตูมอยู่แล้ว และพวกเขาเองก็ไม่ได้อยากให้เธอต้องทุกข์ใจไปมากกว่านี้


ร่าง 3 ร่างยังคงเดินต่อไปบนเส้นทางที่คดเคี้ยวในเมืองที่น่าอัศจรรย์นี้โดยมีเด็กสาวยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองลุง จับมือทั้งคู่ไว้แน่นและกระโดดไปมาอย่างสนุกสนานแทบจะตลอดทาง


สำหรับอาหลี่แล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคืนวันที่ขมขื่นนิดหน่อยหากแต่พวกเธอก็ดูมีความสุขมากๆ และมันต้องสนุกมากกว่านี้แน่ๆหากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ


เมื่อกลางคืนมาถึง สองพี่น้องพยายามหาสิ่งที่น่าจะใกล้เคียงกับสิ่งที่เด็กสาวบอกมากที่สุด บาร์ที่เป็นชื่อตระกูล แต่หามาตั้งนานก็ยังไม่เจอสิ่งที่คล้ายกันเลย


“คุณลุง อาหลี่มีเรื่องที่จะต้องสารภาพ 1 อย่างล่ะ…” จู่ๆเธอก็หยุดเท้าลงไป ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความน่าสงสารและก้มต่ำลงขณะที่ปลายนิ้วมือก็จิ้มเข้าหากันเอง


มันเป็นท่าทีที่ดูน่ารัก แม้จะเธอจะโตกว่านี้แล้วท่าท่านี้อีกพวกเขาก็คงไม่กล้าขัดขืนเหมือนเดิม


ลุงทั้งสองยืนนิ่งเพื่อรอฟังสิ่งที่เด็กสาวจะบอก “สาวน้อย หนูอยากสารภาพอะไรล่ะ?”


“จริงๆแล้วอาหลี่ไม่ได้มองหาต้นป่านหรืออะไรนั่นหรอก อาหลี่มาหาป้า” หลังจากที่เธอพูดออกไป เธอก็โดนดึงหูเบาๆและนั่นถือเป็นการลงโทษแล้ว


ทั้งสองยังคงอยู่ไม่หนีไปไหนก่อนจะสัมผัสที่หัวของเธอเบาๆ “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ถ้างั้นก็ไปหาป้าของเธอกัน”


แต่ถ้างั้นก็คือ ป้าชิงสินะ? เป็นชื่อที่แปลกจังน้า…


ถ้าอาหลี่ยังยึดมั่นว่าพวกเขาเป็นลุงต่อไป มันคงจะไม่ดีแน่ๆ ส่งเธอกลับไปยังครอบครัวของเธอและบอกไปว่าพวกเราเป็นเพื่อนก็ได้…


หลังจากเดินมาระยะหนึ่ง พวกเขาก็พบบาร์ที่ชื่อว่าไป่ดู๋อยู่ตรงหป้าพวกเขาเอง มีคนมากมายที่ต่อแถวรอที่จะเข้าไปด้านใน


พี่ใหญ่ผมเขียวหันมาถามด้วยเสียงสุภาพ “สาวน้อย ป้าของหนูนี่รูปร่างเป็นยังไงนะ?”


อาหลี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ในหัวเธอรู้แค่ว่าป้านั้นสวยและรวยมากๆ บางทีนี่อาจจะเป็นรูปร่างที่ผมเขียวต้องการก็ได้


“สวยแล้วก็รวย” เธอตอบกลับ


สองพี่น้องตกใจมากๆ นี่มันลูกคนรวยนี่หว่า และการที่เด็กนี่ฉลาดขนาดนี้ แสดงว่าพ่อแม่ต้องเป็นนักวิชาการระดับพระกาฬแน่ๆ!


ใช่แล้ว พ่อคงไม่ใช่พวกที่จ้องจะทำลายตระกูล ส่วนแม่ก็เป็นคนที่คอยช่วยเหลือผู้คนล่ะมั้ง


พี่น้องผมเขียวผมแดงเดินตรงเข้าไปด้านในและเข้าไปหาชายที่สวมแจ๊คเก็ตสีดำและแว่นกันแดดเพื่อถาม “พี่ชาย มีคนตระกูลชิงอยู่ที่นี่ไหม?”


ชายแจ็คเก็ตหันมามองและถอดแว่นกันแดดออก มองไปยังทั้งหมดก่อนจะสลับไปมองเด็กสาวและพูดอย่างเข้มขรึม “มากับฉัน”


ทั้งคู่รู้สึกยินดีมาก สวรรค์ยังมีตาหลังจากที่ผ่านสัปดาห์แห่งความหนักหน่วงมามากมาย ท้ายสุดก็หาเจอแล้ว อาหลี่เองก็ดูดีใจมากๆด้วย เพราะเธอจะได้เจอป้าที่ห่างหายกันไปนานแล้ว


ภายในบาร์ อาหลี่ปิดหัวตัวเองไว้ เสียงภายในมันดังไปหมด…เธอไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย


สองพี่น้องนั้นรู้สึกแปลกใหม่ บาร์ในเมืองใหญ่เช่นนี้ดูล้ำสมัยมากๆ มีทั้งสาวๆสวยๆแต่งตัวเซ็กซี่อยู่เต็มไปหมด และเมื่อเทียบกับตัวพวกเขาเองแล้ว ไม่มีอะไรเทียบได้เลย


ชายแจ็คเก็ตพาเดินไปยังชั้น 2 และเดินเข้าไปในความมืดก่อนจะผลักประตูให้เปิดออก “ด้านใน”


ผมเขียวขมวดคิ้วขณะเดินเข้าไปพร้อมกับอาหลี่ มันต่างกับที่จินตนาการไว้ไม่น้อยเลย


ตลอดทางที่เดินนั้นเขาเผลอเตะขวดเบียร์มากมาย ไหนจะก้นบุหรี่ที่ร่วงกระจายอยู่อีก ถั่ว รวมไปถึงของกินที่กินทิ้งกินขว้างอื่นๆ เป็นอะไรที่ดูโสมมจัง


ลึกสุดมีชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ดูแล้วเป็นนายใหญ่แน่ๆ เพราะที่แขนของเขามีสาวสวยแต่งหน้าจัดนั่งอยู่บนนั้นด้วย มือข้างหนึ่งของเขาล้วงเข้าไปในเสื้อของเธอไม่หยุดหย่อน


พี่ใหญ่ผมเขียวรีบปิดตาสาวน้อยไว้ ภาพแบบนี้เด้กห้ามดู


“เจ้ชิง ดูเหมือนว่าจะมีใครซักคนตามหาตัวอยู่น่ะ” ชายแจ็คเก็ตเอ่ยและยืนอยู่ถัดจากผมเขียว


ชายที่นั่งอยู่ปัดๆก้นสาวสวยก่อนที่เธอจะตะวาดใส่ “คุนเก้อ ไม่เอาน่า!”


“ฮ่าๆ”


ชิงเหลียนเดินมาอยู่หน้าพี่น้องผมเขียวผมแดง มองสลับกับอาหลี่ “ไม่เลวเลย ถึงจะสกปรกไปหน่อยแต่ก็นับว่าเป็นสาวสวยถ้าจับแต่งดีๆ”


อาหลี่กลับไปหลบหลังพี่ใหญ่ผมเขียวพร้อมทั้งมองหญิงสาวตรงหน้า น้ำเสียงของเธอ…น่าเกลียดจัง


คนนี้ไม่ใช่ป้าชิง…


“พูดมาซิ ว่าจะขายเท่าไหร่” สาวใหญ่ตรงหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม


ผมแดงขมวดคิ้วแน่นและพูด “เธอมันบ้าไปแล้ว เรามาหาคนอื่นต่างหาก!”


ผมเขียวรู้แล้วว่าเขาพาเธอมาผิดที เพราะงั้นเขาจึงรีบดึงตัวอาหลี่ออกมา


ชายแจ็คเก็ตรีบเข้ามาขวางทางไว้ที่ประตูในมือเขามีมีดที่ที่พอจะเห็นความเป็นประกายได้อยู่ ชัดเจนเลยว่าวิกฤตไล่พวกเขามาแล้ว


“พวกฉันไม่ได้จะมาที่นี่ ขอโทษที่หลงมาเอง!”


อาคุนยืนขึ้นบนเก้าอี้บอสก่อนจะหยิบซิการ์มาดม “ทิ้งเด็กไว้แล้วไปซะ”


ทั้งสองนั้นไม่เห็นตามถึงแม้จะไม่เห็นทางอื่นแต่ทางนี้ก็คือไม่ดี…


ไม่ต้องพูดให้มากความแล้วสำหรับสถานการณ์แบบนี้ วิธีเดียวที่จะแก้ได้ก็คือ วิ่ง!


ฝีเท้า 2 คู่เริ่มออกตัววิ่ง ชายแจ็คเก็นจึงกระโดดหมายจะตะครุบอาหลี่ไว้หากแต่ร่างของเธอก็โดนดึงหลบออกมาก่อน


อาคุนหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาจากบนโต๊ะ “สองตัวที่กำลังวิ่งออกไปไม่ต้องสนใจ ฆ่ามัน! แล้วเอาตัวเด็กกลับมาให้ฉัน”


“ครับ!”


ชิงเหลียนย่อตัวลงและหยิบเจ้าแมวน้อยน่ารักขึ้นมา “เด็กคนนั้น ถ้าได้ตัวมาคงทำเงินได้มหาศาลแน่เลย”


“ไม่ต้องห่วงน่า ตอนนี้มาให้อาหารเธอก่อนดีกว่า”


“ลามก~”


ที่ด้านนอก สองพี่น้องโดนล้อมรอบไปด้วยผู้คนในที่แคบๆ 5 คนดักด้านหน้า 5 คนดักด้านหลัง


“พี่ใหญ่ ลุยมั้ย?”


“ลุย!”


ถึงจะโดนสั่งมาว่าไม่ต้องไปสนใจพวกลุงๆหากแต่เวลาแบบนี้ก็ถึงคราวต้องสู้แล้ว อาหลี่นั้นก็อยากจะช่วย หากเธอก็โดนดึงออกมาทันทีโดยสองพี่น้อง


“พี่ใหญ่ คนเยอะมากเลยเอาไงดี!” ผมแดงนั้นดูร้อนรนมากๆขณะที่ดึงแขนเขาอยู่


คนที่ไล่ล่าเขายังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังเริ่มพกอาวุธกันด้วย


ผมเขียวกอดอาหลี่ไว้ก่อนจะตรงไปยังหน้าต่าง สายตาของเขาบ่งบอกผู้เป็นน้องว่าต้องทำอะไร ใช่แล้ว เขาจะโดดออกไปผ่านทางหน้าต่างนั่นเอง


ไม่มีเวลาให้ลังเล ร่างของผมเขียวที่กอดอาหลี่ไว้มิดชิดกระโจนออกไปแล้วผ่านกระจกที่ไม่หนามาก และความโชคดีของเขาก็คือนี่มันแค่ชั้น 2 เพราะงั้นเขาไม่ตายแน่ๆ โชคของเขาอีกอย่างก็คือ การกระโดดแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะงั้นร่างของเขาจึงตีลังกาไปกับพื้นโดยอัตโนมิติเพื่อลดแรงปะทะ


“อาหลี่ เป็นอะไรไหม!?” ผมเขียวถามอย่างเร่งรีบ


อาหลี่นั้นเพียงแค่ร้องออกมาอย่างหวาดกลัว และเมื่อเธอเห็นว่าลุงของเธอไม่เป็นไร เธอจึงเอ่ยกลับ “อาหลี่ไม่เป็นไร”


ในตอนน้นเองน้องเล็กก็กระโดดตามลงมาพร้อมทั้งตะโกน “พี่ใหญ่ ไปเร็ว!”


แน่นอนที่สุดว่าเวลาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ประตูหลังนับว่าอันตราย และมันก็เป็นจริง คนกว่าค่อนโหลโผล่ออกมาพร้อมท่อเหล็กและมีดปลอกผลไม้


พี่ใหญ่ถอนหายใจก่อนจะอุ้มอาหลี่ไว้ในอ้อมแขนและเริ่มวิ่งต่อ


วิ่งไปแบบไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ไหน ผมแดงก็ตะโกนออกมาเชิงด่าทอ “ไอ้แม่เยอะพวกนี้มันไปซ้อมวิ่งมาราธอนมาจากไหนกันเนี่ย! นี่ผ่านถนนมาหลายเส้นแล้วยังไม่เลิกตามอีกเหรอ!”


“ทำไมกลุ่มก๊วนในเมืองถึงวิ่งกันได้ขนาดนี้นะ” พี่ใหญ่ผมเขียวรู้สึกหมดทางสู้สุดๆ


การไล่ล่ายังคงดำเนินไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะไปสิ้นสุดที่ไหน จนกระทั่งทั้งสองพี่น้องเริ่มจะเหนื่อยหอบ และยังดีที่พวกที่ตามเองก็ดูเหมือนจะเหนื่อยแล้วเหมือนกัน แต่พวกมันก็แค่เหนื่อย ไม่ได้ยอมถอยกลับ


น้องเล็กผมแดงหันกลับไปและตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า “นี่ฉันเคยไปเหยียบเท้าพวกแกหรือไงฟะ! ทำไมถึงมีแรงฮึดให้ไล่ล่ากันมาตั้งเป็นกิโลแบบนี้!”


1 ในแก๊งค์นั้นถือบันไดราวมา นั่นหมายถึงเวลาพักหมดลงแล้ว “ฟังไม่รู้เรื่องโว้ยไอ้พวกโจร!”


“ไอ้บ้าเอ้ย ถ้าไม่ติดว่ามีงานอื่นต้องทำฉันจะขัดขาพวกแกทุกตัวเลย!” น้องเล็กเห็นแล้วว่าเจ้าพวกนั้นเข้ามาอีกรอบคราวนี้จัดขบวนสวยงามแม้จะดูไม่ค่อยแข็งแรงก็ตาม


“พี่ใหญ่ รีบไปเถอะ!”


ผมแดงถอนหายใจก่อนจะวิ่งอีกครั้ง


10 นาทีต่อมาเขาก็เจอกำแพงที่พอจะช่วยได้ “พี่ใหญ่ ทางนี้! ตรงนี้มีซอยที่คดไปคดมาอยู่ พี่น่าจะใช้สกัดพวกมันได้”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม