You Cannot Afford To Offend My Woman ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ! 218-224
บทที่ 218 ยุทธการณ์เกลี้ยกล่อมของอาหลี่
“ออกไปเลย!” ชิงหยาโวยวาย ซึ่งนั่นมันทำให้คนที่กังวลอยู่แล้ว เริ่มจะรู้สึกแย่เพิ่มไปอีก
เย่ฮัวทำอะไรไม่ได้นอกจากขมวดคิ้วแล้วเดินออกไปพร้อมกับถุงแพนเค้กผลไม้ในมือ
เมื่อลงไปด้านล่างเขาก็เห็นตงฮวงไป่หลี่และอาหลี่นั่งอยู่ข้างๆกัน ทั้งสองคุยกันและหัวเราะกันไปเรื่อย ทำดีก็ได้นี่…งั้นฉันจะให้รางวัลละกัน
“อาหลี่ มานี่หน่อย” เย่ฮัวเรียก
อาหลี่ที่ทำตัวเหมือนนกนั้นเพียงไม่นานเธอก็ไม่อยู่ในอ้อมแขนของเย่ฮัวแล้ว นั่นทำให้ตงฮวงไป่หลี่รู้สึกสงสัยไม่น้อยเลย อะไรทำให้เธอติดเขาเป็นตังเมแบบนั้นนะ? หรือมันควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว?
“อาหลี่มาแล้วค่า~”
เย่ฮัวนั้นสุขใจกับท่าทีนั้นมากๆ “อาหลี่เป็นผู้ช่วยที่ดี”
“หืม~~”
“เอาแพนเค้กผลไม้นี่ไปให้ป้าชิงหยานะ ตอนนี้ป้ากำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย เธอไม่ยอมกินอะไรทั้งสิ้น เพราะงั้นหน้าที่นี้เป็นของอาหลี่ที่จะทำยังไงก็ได้ให้ป้าชิงหยายอมกิน” สำหรับชิงหยาแล้ว เย่ฮัวรู้สึกผิดต่อเธอมากๆ เพราะงั้นแล้วเขาคงต้องหาโอกาสตอบแทนเธอในอนาคตบ้างแล้ว
อาหลี่ตีอกรับคำสั่ง “ฮ่ะฮ่า! ป๊ะป๋าสบายใจได้เลย อาหลี่จะทำให้ป้าชิงหยากินนี่เข้าไปเอง!”
“ดีมาก ลุยไปเลย”
เด็กสาววิ่งขึ้นไปบนชั้นสองอย่างรวดเร็วพร้อมแพนเค้กผลไม้ ส่วนเย่ฮัวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหวังว่าชิงหยาจะยอมเปิดโอกาสให้เด็กสาวและไม่กดดันเธอหรอกนะ
“เธอต้องโกรธมากแน่ๆ และนั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะฉันเองก็โกรธมากๆเมื่อตอนนั้น โกรธจนกินอะไรไม่ลงไปหลายวันเลย” ตงฮวงไป่หลี่นั่งราวกับราชินีแล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เย่ฮัวเดินเข้าไปนั่งถัดจากตงฮวงไป่หลี่พร้อมทั้งหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ “ดูเหมือนเธอจะจำฉันได้นี่ ทำไมถึงไม่ยอมมาหาล่ะ?”
เธอแสยะยิ้ม “ฉันน่ะสูงส่งนะ เพราะงั้นถ้าตัดสินใจจะไปแล้วก็จะไม่กลับมาสนใจนายหรอก!”
“งั้นเหรอ งั้นแสดงว่าอาหลี่นี่โชคดีสินะที่หาฉันเจอ เพราะงั้นเธอถึงได้หาฉันเจอด้วย!”
“เฮ้! นายมัน คนไร้ยางอาย!”
เย่ฮัวพูดต่อ “ถ้าอยากจะอยู่ในพื้นที่แคบๆนี้ไปตลอดชีวิตก็เชิญหาเรื่องได้ตามสะดวก”
“นายมันงี่เง่า! โรคจิต!”
เย่ฮัวไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาแต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะนั่งนิ่งๆ เขาจับร่างบางของเธอคร่อมพาดตักเขาไป
ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ลมปราณในตัวถูกผนึกไว้จนเธอเหมือนเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป แล้วในเมื่อตอนนี้เป็นคนธรรมดา เธอจะเอาอะไรมาสู้กับชายคนนี้ได้เล่า!
“จะทำอะไรน่ะ!”
“ลงโทษ”
“ลงโทษอะไร๊!?”
เย่ฮัวตีมือลงไปที่ก้นของเธอแรงๆ “ตอนแรกก็ไม่คิดจะสั่งสอนหรอกจะ แต่เผอิญไปได้ยินมาว่าเธอให้ลูกสาวของฉันนั่งคุกเข่าบนคีย์บอร์ด เพราะงั้นซักวันฉันจะให้เธอคุกเข่าบนคีย์บอร์ดบ้าง!”
“ปล่อยฉันนะ ไอ้คนใจร้าย!!” ตงฮวงไป่หลี่โวยวายเสียงดัง ความเจ็บแสบมันพวยพุ่งออกมาจากการโดนตีนั้น ไอ้เจ้าบ้านี่จะมือหนักไปแล้วนะ!
เย่ฮัวสูบบุหรี่เข้าไปอีกก่อนจะยกมือขึ้นสูง “ตงฮวงไป่หลี่ มันจะดีกว่านี้ถ้าเธอเข้าใจถึงความจริงบางอย่าง ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ เธอควรเป็นผู้หญิงของฉัน คิดแค่นี้พอ อย่าคิดหนีเพราะมันเปล่าประโยชน์”
“ฝันไปเถอะ! ฉันไม่มีวันเป็นผู้หญิงของนายตลอดชีวิตแน่!” ตงฮวงไป่หลี่ดูจะไม่กลัวการลงโทษของเขาเลย และเธอนั้นยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้หรอกนะ เพราะเธอไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มันเลยทำให้เขารู้สึกไม่เบื่อ
ทันใดนั้นทั่วทั้งโถงก็มีเสียงตีก้นขับขานออกมาราวกับเสียงดนตรีจนกระทั่งตงฮวงไป่หลี่เลิกที่จะโวยวาย ดูท่าเธอจะอดทนได้ดีเหมือนกัน
และเมื่อผ่านไปซักระยะหนึ่ง เย่ฮัวก็ยอมปล่อยเธอเพราะรู้สึกทำอะไรไม่ได้แล้ว
“วันนี้ฉันจะอยู่ที่นี่ เพราะงั้นอยากจะซ่าทำอะไรก็เชิญ แล้วก็บอกไว้ก่อนเลย ว่าฉันไม่ยอมเธอแน่ๆ!”
“เย่ฮัว! ฉันเกลียดนาย!!” ตงฮวงไป่หลี่ตะโกนก้องด้วยเสียงอันดัง มันกลั่นมาจากใจของเธอและเธอจมปลักไปในความคิดนี้แล้ว ในเมื่อนายคิดว่าตงฮวงไป่หลี่ผู้นี้เป็นพวกหวั่นไหวง่าย เราจะได้เห็นดีกัน!
มองไปยังเย่ฮัวที่เดินขึ้นชั้นบนไปแล้ว เธอก็จับสะโพกตัวเองเบาๆ เจ็บชะมัด…
อาหลี่ที่ถือแพนเค้กไว้เดินขึ้นบันไดไปเงียบๆ เธอเปิดประตูด้วยเสียงเบาเช่นเดียวกับที่เดินขึ้นมา มองไปยังป้าชิงหยาของเธอที่นอนอยู่บนโซฟาด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวและกำลังติเตียนตัวเองอยู่ เพราะงั้นแล้วอาหลี่จึงเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
“ออกไป!” ชิงหยาตะโกนบอกแล้วถอนหายใจอย่างเยือกเย็น
“คุณป้า นี่อาหลี่เอง” อาหลี่ตกใจชิงหยาจนสะดุ้ง และเมื่อชิงหยารู้ว่าเธอโกรธใส่ผิดคน เธอก็รีบหันไปทางประตู อา…จริงๆด้วย ที่ประตูนั้นไม่ใช่ใครไปนอกซะจากเจ้าตัวเล็ก เธอจึงรีบพูดออกมาด้วยความหนักใจ “อาหลี่ ป้าไม่ได้มีเจตนาจะว่าหนูนะ”
สำหรับอาหลี่แล้ว ชิงหยาไม่ได้โกรธเคืองหรือไม่พอใจเธอ เพราะเด็กนั้นไร้เดียงสาอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังชอบความฉลาดของเด็กคนนี้อีกด้วย
“คุณป้า อาหลี่เสียใจถ้าการที่อาหลี่มามันทำให้คุณป้าโกรธ” อาหลี่ที่ฉลาดเกิดเด็กเริ่มที่จะนั่งลงไปกับพื้น แน่นอนว่าด้วยร่างเล็กที่ลงไปกองกับพื้นมันทำให้ความน่าสงสารในตัวเธอมันเพิ่มขึ้นแบบมากๆ เธอทำเหมือนตัวเองเป็นเด็กสาวที่เกิดมาพร้อมกับความผิดพลาดทั้งปวง
ชิงหยานั้นรู้สึกสงสารอาหลี่จับใจ เพราะงั้นเธอจึงรีบลุกและพูดขึ้น “อาหลี่ นี่ไม่ใช่ความผิดของหนูนะ ใดๆบนโลกไม่ใช่ความผิดของหนูเลยทั้งสิ้น ”
อาหลี่ใช้มือเล็กปาดน้ำตาจากขอบตาของชิงหยา “คุณป้า ยังไงอาหลี่ก็อยากจะขอโทษคุณป้าอยู่ดี”
“ไม่ต้องเลยเจ้าตัวเล็ก หนูไม่ได้ทำอะไรผิด นั่นน่ะเป็นสิ่งที่ป้าควรทำมากกว่าอีกนะ” ชิงหยายิ้มออกมาน้อยๆ
อาหลี่เมื่อเห็นดังนั้นก็เริ่มพูดต่อ “คุณป้า เมื่อคืนหม่าม๊าถูกขังอยู่ในล็อบบี้”
ยุทธการณ์ของอาหลี่นั้นมีขั้นตอนการดำเนินการต่างๆที่ได้ผลดี ใช่แล้ว เธอรู้ทุกอย่าง อย่าคิดนะว่าเห็นเป็นเด็กจะโกหกใส่ได้ง่ายๆน่ะ
หลังจากที่ได้ยิน ชิงหยาก็รู้สึกแปลก เธอคิดว่าพวกเขานอนด้วยกันซะอีก นี่มันเกินคาดเลยนะ
“เมื่อวานนี้ อาหลี่นอนกับป๊ะป๋าแล้วป๊ะป๋าก็เรียกชื่อคุณป้าด้วยอยู่ในฝัน”
ถ้าเย่ฮัวมาได้ยินที่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาพูดล่ะก็ เขาคงได้กด 666 แล้วโทรออกเป็นแน่ ทำไมถึงเป็นธรรมชาติแบบนี้ รู้วิธีช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ต้องบอก นี่ไม่ใช่ว่าซาตานกลับชาติมาเกิดใช่มั้ยเนี่ย
ชิงหยาฟังเงียบๆและไม่ได้พูดอะไร เห็นชัดเลยว่าวิธีของอาหลี่มันได้ผลทีละนิด ใบหน้าสวยของชิงหยาเริ่มผ่อนคลายแล้ว
“คุณป้า รีบกินนี่เถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะหิวจัดเอานะคะ”
อาหลี่นั้นเกือบจะได้บรรลุแผนการณ์ของเธอแล้ว เหลือเพียงชิงหยาเอาแพนเค้กไปกินเท่านั้น!
“ถ้าคุณป้าอยากกินนี่ ก็กินได้เลยค่ะ เพราะว่ามันอร่อยมากกกกกกกก แล้วมันจะเป็นการดีด้วยถ้าคุณป้าได้กินอะไรบ้าง!”
“อาหลี่ หนูช่างเป็นคนที่ซื่อตรงจริงๆ มา เดี๋ยวป้ากินเอง” ท้ายสุดแล้วแผนการณ์ของชิงหยาก็โดนทลายโดยอาหลี่ตัวน้อยจนได้ ใช่แล้ว เธอวางแผนจะใช้ยุทธการณ์อดข้าวประท้วงเย่ฮัวนั่นเอง!
เหมือนจะโชคดีแล้วเพราะอย่างน้อยๆเธอก็ทำให้ชิงหยาสุขใจขึ้นมาได้บ้าง แม้เย่ฮัวจะไม่ได้สั่ง แต่ก็รู้ดีว่าถึงเขาไม่สั่งก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องทำ เป็นมนุษย์ประเภทที่อยากได้แต่ไม่อยากเอ่ยปากขอนั่นแหละ
มองดูชิงหยาที่กำลังกินแพนเค้กนั้น อาหลี่ก็รู้สึกดีใจมากๆ เธอสัมผัสไปที่หน้าท้องของชิงหยาเบาๆ “คุณป้า อีกไม่นานอาหลี่ก็จะได้เป็นพี่สาวแล้วใช่ไหมคะ?”
ชิงหยายิ้มและพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ใช้แล้ว หลังจากนี้อีก 8 เดือนอาหลี่จะกลายเป็นพี่สาวแล้วนะ!”
“เย่~! อาหลี่ไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว~”
มองดูอาหลี่ที่ดูจะมีความสุขมากๆชิงหยาก็ค่อยๆเงียบลงไป
ถ้าไม่มีเด็กสาวเข้ามา เธอกับเย่ฮัวคงไม่ค่อยได้คุยกันแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันเย่ฮัวเองก็คิดแต่จะอยากมีลูกอย่างเดียวเลย
ในตอนนี้ ชิงหยานั้นไม่รู้แล้วว่าจะทำอย่างไรดี มันช่างอึดอัดเหลือเกิน
หรือควรจะไปถามชิงยูตงดูว่าเธอคิดเห็นอย่างไร
ทุกๆอย่างมันมืดไปหมด ชิงหยาก้มหน้าอยู่นาน นี่เธอ…เป็นขบถตัวจิ๋วรึเปล่าน่ะ…
เมื่อเห็นว่าป้าชิงหยาของเธอสามารถกินอะไรได้ปกติแล้ว อาหลี่ก็รู้สึกว่าภารกิจของเธอจบลงแล้ว และสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการนำข่าวดีนี้ไปรายงานต่อ
หลังจากที่เย่ฮัวได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สำหรับชิงหยาแล้ว เป็นไปได้ก็ไม่อยากเข้าใกล้เวลาแบบนี้ นั้นเพราะเขารู้ว่าชิงหยาเป็นประเภทที่บทจะอ่อนก็คืออ่อน แต่ถ้าบทจะแข็งก็คือแข็งกร้าวไปเลย
ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวนี้ต้องค่อยๆแก้ไขกันไป และตอนนี้เขาหวังแค่ลูกสาวของเขาจะเป็นสะพานเชื่อมโยงให้เขาสามารถสื่อสารกับพวกเธอได้ไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามปัญหาครอบครัวของเย่ฮัวนั้นก็เรื่องหนึ่ง และทางตระกูลเสี่ยวผู้ที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองซีจิ๋นที่กำลังอยู่ในอีเวนท์ที่เกี่ยวกับการอยู่รอดของตระกูลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน!
บทที่ 219 สำรวจจิตใจของผู้คน
เมืองซีจิ๋น
สถานที่ : เสี่ยวเจี้ยแมนชั่น
ห้อง : โถงแมนชั่น
เสี่ยวยี่นั้นดูอ่อนแอลงไปมาก ใบหน้าของเขาดูขาวซีดแถมยังต้องนั่งอยู่บนวีลแชร์ด้วย ข้างหนึ่งก็ห้อยน้ำไว้
สองสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขานั้นคือภรรยาทั้งสอง ชูหนานและหยูฉีที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ทั้งสองนั้นกังวลเกี่ยวกับบริษัท ความกังวลที่ไร้ที่สิ้นสุดปรากฎบนใบหน้าสวยนั้นอย่างชัดเจน
ถัดไปหน่อย มีอีกหนึ่งคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานี เขาคือถังหวู่ฉัว ผู้ที่กำลังดื่มด่ำกับชาร้อนในมืออยู่ ในวันนี้เขามีบางอย่างแปลกไปซึ่งยากที่จะรู้หากไม่สังเกตุให้ดี
“พี่ใหญ่เสี่ยว สถานการณ์ตอนนี้มันย่ำแย่มากๆ ฉันว่าพี่ใหญ่ถอยออกจากเรื่องนี้น่าจะดีกว่า” ภายในของถังหวู่ฉัวนั้นดิ้นรนอยู่ไม่น้อยเลย เสี่ยวยี่นั้นดีกับเขามากๆ แต่เพื่อผลประโยชน์ของทั้งตระกูลแล้ว เรื่องพวกนั้นถือเป็นเหตุผลส่วนตัว
ถ้าเสี่ยวยี่ยังถือครองกระบี่เซวียนหยวนอยู่แบบนี้ มันจะเป็นการดีกว่าหากเขาหลีกเลี่ยงการปะทะได้
ตัวเขาเองหวังได้แค่ว่าเสี่ยวยี่จะยอมเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน
“ตระกูลพวกนั้นตัดสินใจยังไงกันบ้าง?” เสี่ยวยี่ถามอย่างอ่อนแรง นัยน์ตาของเขาแสดงออกถึงความรู้แจ้งและโศกเศร้า เขารู้ว่าน้องชายของเขาจะมาทำไม
ถังหวู่ฉัวถอนหายใจอย่างโล่งอกและวางแก้วชาลง “ตอนนี้มี 3 คนจากฟากเหนือเข้ามาเพื่อจะชิงมัน ส่วนทางฟากใต้ก็จะใช้เรื่องนี้ไปเป็นข้อมูลในชั้นศาลเพื่อจะโค่นฟากเหนือลงให้ได้ แล้วก็ 2 ยักษ์ใหญ่จะฟากใต้จะสนับสนุนการกระทำนี้ แต่ยังไม่มีการตอบสนองอะไรจากฟากเหนือ ฉันเกรงว่าพวกเขาจะเพิกเฉยเรื่องนี้กัน”
“แล้วก็นะ การที่จะเลี่ยงไม่ให้เกิดความสูญเสียเยอะๆน่ะ จำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงกัน”
“ข้อตกลงอะไรงั้นหรือ?” เสี่ยวยี่เอ่ยถามเงียบๆ
เอาเข้าจริงถังหวู่ฉัวเองก็ยากที่จะอธิบาย หลังจากที่ผ่านมาครู่ใหญ่ๆเขาจึงค่อยพูดขึ้น “ทางฟากใต้ตัดสินใจจะเลือกเจ้าบ้าน 3 คนเพื่อเข้าไปยังแดนเหนือเพื่อที่จะจัดการเรื่องนี้ซะ แต่พวกเขายังเลือกไม่ได้! พี่ใหญ่เองพอจะมีความคิดเห็นเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า ว่า 3 คนนั้นควรจะเป็นใคร?”
“แล้วอะไรคือความต้องการของพวกแดนเหนือล่ะ?”
ถังหวู่ฉัวส่ายหน้าและไม่ได้นั่งต่อ
ในความจริงแล้วเรื่องที่เกิดอยู่นี้ไม่ค่อยมีผลกระทบกับตระกูลเขาซักเท่าไหร่ ส่วนสำหรับแดนใต้นั้นก็เพื่อให้เป็นหน้าเป็นตา เขาทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีใครมาช่วงชิงความใสสะอาดและสดใสนี้ไปได้ พวกแดนเหนือนั้นเป็นพวกไม่มีกฏระเบียบ เพราะงั้นเขาจำเป็นต้องดูแลสิ่งนี้ไว้
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายถึงการปกป้องตระกูลเสี่ยว แต่เป็นการปกป้องเทพบรรพกาล เพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของพวกฟากใต้ ไม่งั้นล่ะก็ หากเทพบรรพกาลถูกพวกชาวใต้แย่งไปได้ล่ะก็ ได้ขายหน้าไปจนตายแน่
ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกดูแลรักษาของมีดีแหง
เขานั่งฟังโดยไม่ได้พูดอะไรและแน่นอนว่าเขารู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงกระบี่เซวียนหยวนของเขาเอง ทุกๆคนรู้ว่าเสี่ยวยี่บาดเจ็บอยู่ และมันทำให้พวกคนอื่นที่รู้เรื่องต่างพากันทำตัวไม่ปกติ
มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องแห่กันไปปล้นที่ฝากเหนือ ที่นั่นมีไป๋ฉีอยู่ แถมยังมีราชาแห่งความโชคดีอย่างหวังต้าเป่าอยู่ด้วย
เสี่ยวยี่ค่อยๆปิดตาลงช้าๆ “ดูเหมือนว่าพวกนั้นวางแผนจะกำจัดตระกูลเสี่ยวสินะ!”
“พี่ใหญ่ ตอนนี้น่ะกระบี่เซวียนหยวนนั้นก็เหมือนมันฝรั่งร้อน เมื่อใดก็ตามที่กระบี่ไม่อยู่กับพี่ เมื่อนั้นพวกมันก็จะไม่มา เพราะงั้นแล้วเป้าหมายของมันไม่ได้อยู่ที่พี่ใหญ่ แต่อยู่ที่เทพบรรพกาลต่างหาก”
เสี่ยวยี่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะเงียบไปครู่ใหญ่ “เยี่ยมยอดจริงๆ แล้วนายคิดว่าพี่ใหญ่อย่างฉันนี่ควรทำอะไรดีล่ะ?”
นี่แหละที่ฉันต้องการ!
ถังหวู่ฉัวเอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขามีความกระตือรือร้นในเรื่องนี้ขนาดไหน การขยับเพียงเล็กน้อยนั้นก็มากพอที่จะให้เสี่ยวยี่รับรู้ได้ชัดเจนแล้ว
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ตระกูลเล็กๆและพวกนักธุรกิจที่กระเป๋าหนักต่างประกาศออกมาแล้วว่าจะตีตัวออกห่างจากพวกเรา สถานการณ์มันเรียกได้ว่าแย่มากๆแล้วก็ได้ ถ้าพี่ยังเชื่อว่าไม่มีใครดูแลดาบได้ดีเท่าพี่แล้ว พี่ก็ทำต่อไป ดูแลมันให้ดีที่สุดส่วนผู้ที่จะดูแลปกป้องพี่ได้ดีที่สุดยกให้เป็นหน้าที่ของซวงอันหยงได้เลย!” ถังหวู่ฉัวนั้นคิดไว้หลากหลายทางว่าจะทำยังไงเพื่อให้ได้มาซึ่งกระบี่เซวียนหยวน แต่ทางนั้นต้องไม่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาด้วย
วิธีนี้ทำได้แค่ลองเท่านั้น ถึงมันจะถูกสอนมาโดยปรมาจารย์ก็ตาม
ถ้าเป็นเมื่อ 10 วันที่แล้ว เสี่ยวยี่คงจะเป็นผู้ถือครองกระบี่เซวียนหยวนได้โดยไม่มีข้อบังคับอะไร แต่ตอนนี้…
มันเป็นไปไม่ได้ ถึงมันจะเป็นความตั้งใจของเขาที่เป็นพี่น้องกับเสี่ยวยี่ด้วยก็ตาม
กระบี่เซวียนหยวนเป็นเทพบรรพกาลที่ใครก็ต้องอยากครอบครองมัน ยิ่งสำหรับพวกที่ไม่มีกฎตระกูลถึงจำนวนเทพบรรพกาลที่ครอบครองได้ ฉันล่ะกลัวจริงๆว่าพวกนั้นจะมาแย่งไป!
ผู้ถือครองมันนั้นจะเป็นราชา แถมมันยังเป็นเทพบรรพกาลที่ตระกูลเขาต้องการเสียด้วย
คำพูดของถังหวู่ฉัวนั้นน่าสนใจ ถ้าให้คนอื่นรักษาเจ้านี่ไว้ชั่วคราว เขาก็มีโอกาสที่จะฟื้นตัวเร็วขึ้นด้วย
เสี่ยวยี่อุทานออกมา “ไม่มีใครเทียบฉันได้หรอกน่า เมื่อไหร่ที่ฉันได้จับกระบี่เซวียนหยวนนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่มีคนอย่างนายคอยอยู่ช่วยกำจัดพวกศัตรูน่ะ”
เมื่อได้ยินเสียวยี่พูดเช่นนี้ หัวใจของถังหวู่ฉัวก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมา
“แต่! กระบี่เซวียนหยวนนั้นเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเสี่ยว ถ้ากระบี่นี้ไม่อยู่แล้ว นั่นก็หมายถึงไม่มีตระกูลเสี่ยวอยู่อีกต่อไปแล้ว! ไม่เหมาะสมมากๆ นายคงจะเข้าใจสิ่งที่ฉันจะบอกสินะ” เสี่ยวยี่เองก็ไม่ได้อยากจะขัดหรอก แต่ว่าอยากจะให้น้องของเขาคิดไอเดียที่ดีและปราดเปรื่องกว่านี้ออกมา ซึ่งในกรณีแบบนี้ เขาเชื่อว่าน้องเขาทำได้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตัวถังหวู่ฉัวนั้นไม่ได้คิดเช่นเดียวกับพี่ชายเขา แต่ถ้าคุณไม่เอาตัวเองให้รอดก่อน คุณก็คงจะไปหวังสิ่งอื่นอย่างกระบี่เซวียนหยวนไม่ได้
นี่คือเวลาของสิ่งนั้น เขาต้องปกป้องพี่ชายของเขา ต่อให้ไม่เข้าใจตัวเองก็ต้องทำ!
เมื่อคิดเกี่ยวกับถังหวู่ฉัวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่เต็มใจมากขึ้นเท่านั้น โดยดั้งเดิมแล้วตระกูลเสี่ยวและตระกูลถังเกิดมาบนจุดกำเนิดเดียวกัน แต่เพราะตระกูลเสี่ยวสามารถขโมยกระบี่เซวียนหยวนมาได้ และนั่นทำให้ตระกูลถังถูกตระกูลเสี่ยวบดบังรัศมีไปเลย
ทุกๆคนต่างก็มองว่าเสี่ยวยี่นั้นเก่งและฉลาด
ความทุกข์ใจนี้คือสิ่งที่ถังหวู่ฉัวต้องกล้ำกลืนมันลงมาตลอด ถึงแม้ว่าเสี่ยวยี่จะช่วยเขามาตลอดก็ตาม แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องปกป้องดาบแล้ว!
ตอนนี้ถังหวู่ฉัวกำลังโกรธสุดๆ!
เขาคิดว่าปรมาจารย์นั้นพูดถูกแล้ว ผู้ที่สนใจเท่านั้นจึงจะเดินทางสายนี้ได้!
“พี่ใหญ่ ถ้าพี่ยังไม่ตัดสินใจตอนนี้และรอให้พวกมันเข้ามา ต่อให้ไร้เทียมทานแค่ไหนก็ช่วยพี่ไม่ได้แล้วนะ!” ถังหวู่ฉัวขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาเหมือนจะข่มขู่ขึ้นมาแล้ว
นี่มันทำให้เสี่ยวยี่เจ็บปวดมากๆ โลกนี้เต็มไปด้วยความหลงไหลและลุ่มหลงอยู่มากมาย เขาคิดว่าถังหวู่ฉัวนั้นจะไปกับเขาจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า ถังหวู่ฉัวไม่สามารถต้านทานความลุ่มหลงในกระบี่เซวียนหยวนได้แล้ว
“หัวใจของนายนั้นถูกชักจูงไปทางอื่นแล้วสินะ! เขาทำอะไรกับนาย ทำไมนายถึงทำแบบนี้!” เสี่ยวยี่ถอนหายใจ วันนี้คงจะเป็นวันที่พี่น้องได้หลั่งน้ำตาเป็นแน่!
“เฮ้ ถังเช่า~ ฉันมาแล้ว พอดีไม่อยากให้น้องชายไปด้วยกันน่ะ“
เขามองไปยังชายหนุ่มที่อยู่นอกประตู คนๆนั้นสวมเสื้อกล้ามสีขาวอวดกล้ามเนื้อแน่นบนตัวที่ทำให้เขาดูเซ็กซี่ไม่น้อยเลย
ใบหน้าที่แสดงออกถึงความหนุ่มแน่นมันเป็นที่น่าสนใจ และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ก็ดูตอบสนองฉับไวด้วย
คนๆนี้คือ หลิงเทียน เป็นผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลหลิงที่อยู่ฟากเหนือ จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาถึงนี่ก็ดูจะชัดเจนอยู่แล้ว
กระบี่เซวียนหยวน!
คงจะเอาไปยกระดับตระกูลตัวเองล่ะสิ!
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แต่เดิมหลิงเทียนและเสี่ยวยี่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อน ต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกันในแต่ละปี แต่เมื่อไม่ได้อยู่ในเมือง ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นมีช่องว่างมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแย่ลงหรอก เรียกว่ากลับไปเป็นแบบทั่วๆไปดีกว่า
“น่าประหลาดใจที่หลิงเทียนมาถึงที่นี่ มานั่งก่อนเร็ว ชูหนาน ขอชาหน่อย” ถึงแม้ว่าใบหน้าของเสี่ยวยี่กำลังยิ้มอยู่ หากแต่ในใจนั้นก็ไม่ได้สบายใจซักเท่าไหร่ ยิ่งตอนนี้ถังหวู่ฉัวกับหลิงเทียนก็ยังเป็นเพื่อนกันอีก
แต่เขาเองก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นหายนะหรอก ก็แค่เพื่อนทั่วๆไป น้องดี เพื่อนดี เพราะงั้นวางใจได้แหละ ทุกคนต่างก็มีสิ่งล่อตาล่อใจเป็นของตัวเอง เป็นธรรมชาติและรสชาติของความเป็นมนุษย์แหละนะ
“สวัสดี เสี่ยวยี่” หลิงเทียนโค้งให้แต่ก็ดูจะไม่ได้ละทิ้งจุดประสงค์ที่มาเยี่ยมหรอก
ชูหนานยิ้มรับแทนแล้วเอ่ยขึ้น “หลิงเทียน นั่งลงก่อนสิ”
“สวัสดีคนสวย” หลิงเทียนนั้นดูโดดเด่น อาจจะเพราะบุคลิกของเขาเองด้วย ซึ่งในขณะที่ถังหวู่ฉัวนั้นคนละขั้วกับเขาโดยสิ้นเชิง
เมื่อได้ดื่มชาแห่งฟากใต้ที่ชูหนานนำมาให้ หลิงเทียนก็ยิ้มและเอ่ยขึ้น “ชานี่ดีจริงๆ ดีกว่าชาในตระกูลฉันอีก”
หยูฉียิ้มและพูดเสริม “ถ้ามันดีเดี๋ยวฉันจะให้ไปซักแพ็ํค 2 แพ็คนะ”
“เปลือง ไม่ต้องหรอก ฉันมันคนหยาบคาย เอาไว้ดื่มที่นี่แหละ คือจริงๆจะบอกว่ามันเสียเวลา” หลิงเทียนหัวเราะเสียงดัง และปล่อยให้บรรยากาศที่ชวนปวดหัวนี้ค่อยๆจางหายไปเองทีละนิด
หลังจากที่พักกันไปครู่หนึ่ง หลิงเทียนก็เริ่มถามต่อ “อยากจะเจ็บแผลนี่เพิ่มหรือเปล่า?”
ฮ่า…ยังซื่อตรงต่อจุดมุงหมายตัวเองไม่เปลี่ยน…
บทที่ 220 ยืนยันด้วยสายตา
เสี่ยวยี่ที่นั่งอยู่เฉยๆนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับเค้นรอยยิ้มออกมา “ของคุณที่เป็นห่วงนะ หลิงเทียน ก็จริงที่ฉันยังเจ็บแผลอยู่ แต่เดี๋ยวก็หายดีเองแหละ”
หลิงเทียนที่ได้ฟังก็ถอนหายใจหนักๆเช่นกัน “พี่เสี่ยว นี่มันไม่โอเคเลยนะ ฉันได้ยินข่าวมาว่าสำนักเมฆา, ฝ่ายพันธมิตรโพ้นทะเลแล้วก็ตระกูลกวงนั้นกำลังมาทางนี้!”
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวยี่ก็พูดเบาๆ “เจ้าสำนักเมฆาคือซุนฟ่าง ส่วนหัวหน้าพันธมิตรโพ้นทะเลคือไฺฮ่ไต่ซี่ ผู้นำตระกูลกวงคือ กวงเทียนลู่ ฉันจะต้องปกป้องตระกูลจากพวกนี้ให้ได้!”
หลิงเทียนยิ้มน้อยๆ เสี่ยวยี่นั้นยังไม่รู้ข้อมูลปัจจุบันจริงๆด้วย “พี่เสี่ยว เจ้าสำนักเมฆานั้นเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เป็นซุนยี่”
“ซุนยี่?” เสี่ยวยี่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย พอได้ฟังแล้วรู้สึกอยากจะเอาเวลาไปหาข้อมูลของฟากใต้มาเพิ่มเลยแฮะ
หลิงเทียนพยักหน้าแล้วพูดต่อ “เขาล่ำลือกันมาว่าตอนที่จะแย่งชิงเทพบรรพกาลชิ้นหนึ่งกัน เจ้าสำนักคนเก่าอย่างซุนฟ่างพลาดท่าตายไปพร้อมกับเจ้าผ้าคลุมดำแล้ว
“ผ้าคลุมดำตายแล้วเหรอ!?” เสี่ยวยี่ประหลาดใจสุดๆ เขาจำได้ว่าเสื้อคลุมดำนั้นเป็นโครงกระดูกทั้งร่างส่วนซุนฟ่างก็เป็นคนที่ยังมีเนื้อหนัง แถมเธอยังเป็นผู้หญิงที่หยิ่งผยองและสูงส่งประจำฟากใต้อีกด้วย แล้วไหงถึงถูกล่อลวงโดยไอ้หน้าแมลงสาปกระดูกนั่นได้…
หรือว่ามันจะมีอะไรพิเศษ?
“ข่าวนี้กระจายและถูกโหมหนักมากๆ ตั้งแต่วันที่เทพบรรพกาลถูกขโมยไป วันนั้นที่ทั้งสองได้โผล่ออกมา พวกเขาทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายใต้ แน่นอนว่าผ้าคลุมดำนั่นก็ฝีมือดีแหละ รวมถึงซุนฟ่างก็ด้วย” หลิงเทียนลึกๆแล้วก็อิจฉาผ้าคลุมดำอยู่เหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าซุนฟ่างนั้นเป็นสตรีที่นับว่าเหนือสตรีไปอีกขั้น
อย่างไรก็ตาม เขาได้ยินมาอย่างหนาหูว่าผ้าคลุมดำนั้นน่ากลัว แต่ทางซุนฟ่างเองก็สมองไม่ดีซักเท่าไหร่…
เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้ซุนฟ่างนั้นเพลิดเพลินและมีความสุขดี เธอสนุกกับการเล่นเกมกับพ่อหนุ่มกระโหลกของเธอ คิดๆดูแล้วเหมือนว่าเธอจะมีความสุขกว่าตอนได้เป็นเจ้าสำนักเสียอีก
แน่นอนว่าเธอนั้นรับได้กับสถานะปัจจุบันที่เย่ฮั่วแต่งตั้งให้ไปแล้ว
ในตอนนั้นจุดเปลี่ยนของชะตากรรมของเธอมันอยู่ที่ว่าเธอจะรับมันหรือจะส่งคืนให้เขาไป
เหมือนกับสิ่งที่เย่ฮั่วมอบให้เสี่ยวยี่ สิ่งนั้นคือชีวิต และเขาหวังว่าเย่ฮั่วจะไม่เอามันกลับไปเร็วเหมือนข้าวกลางวัน นี่มันคงจะเป็นการทำทานแน่ๆ นี่คือ…สิ่งที่เย่ฮั่วพยายามทำความเข้าใจในความเป็นมนุษย์อยู่
ในเมื่อเป็นแบบนี้ มันก็น่าจะเป็นการทำทานแหละ
ชีวิตที่เย่ฮั่วให้มานั้นจะถูกส่งคืนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเสี่ยวยี่เองแล้ว ว่าตัวเขานั้นจะสามารถฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้หรือไม่
ชูหนานและหยูฉีนั้นตกใจไม่น้อยเลย เพราะพวกเธอต่างก็ได้เจอผ้าคลุมดำในวันเดียวกัน คนๆนั้นน่ากลัวมากๆ และเมื่อได้ยินว่าผ้าคลุมดำและหญิงผู้หยิ่งผยองจากฟากใต้เสียชีวิตไปแล้วมันก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า อะไรกันที่ทำได้ขนาดนั้น
เจ้ากระดูกประทะคนแล้วให้หญิงสาวไปเจอกับสัตว์เหรอ?
ณ ตอนนี้ถังหวูฉัวนั้นไม่รู้จะพูดอะไร เขารู้ว่าผ้าคลุมดำนั้นแข็งแกร่งมากๆ แต่อาจารย์ของเขาบอกเองว่าเขากำจัดผ้าคลุมดำไปแล้ว เพราะงั้นคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเจ้านั่น
อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายเรื่องที่ถังหวู่ฉัวยังไม่รู้ และหนึ่งในนั้นคือเขายังไม่รู้แน่ๆว่าใครคือศัตรูของเขาจริงๆ
กระบี่เซวียนหยวนงั้นเหรอ?
ไม่หรอก นี่น่ะเป็นแค่เหยื่อล่อ
เจดีย์ 9 อสูรเหรอ?
ในสายตาเย่ฮั่วมันก็เป็นแค่เหล็กสีดำๆชิ้นหนึ่ง แต่เพราะหวังต้าเป่าเองก็มีเครดิตอยู่บ้างและจุดประสงค์หลักๆของเย่ฮั่วนั้นก็แค่อยากจะขจัดปัญหาเฉยๆ เพราะงั้นเขาจึงให้มันกับหวังต้าเป่าไปซึ่งนั่นทำให้ตัวหวังต้าเป่าดีใจมากๆและให้ความสนใจกับเจ้าสิ่งนี้แบบสุดๆ
ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การดูแลของเย่ฮั่วหมดแล้ว เพราะงั้นถ้าไม่ติดข้อพิพาทระหว่างตระกูล เสี่ยวยี่เองก็อยากจะขอบคุณกระบวนการนี้ของเขามากๆ
อย่างไรก็ตาม งานนี้ฉันเป็นคนดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วถ้าเกิดฉันรู้สึกไม่โอเคกับมันล่ะ?
เสี่ยวเย่นั้นเงียบไปและทันใดนั้นผู้ที่มาจากฟากใต้ทั้ง 3 ก็โผล่มา!
ความรู้สึกที่รับรู้ได้มันค่อนข้างจะเบาบาง มันทำให้เขาไม่รู้ว่าพวกที่มานั้นยกลูกน้องมาด้วยหรือเปล่า แต่ยังไงก็ตาม ดูท่าวันนี้เขาจะต้องต่อสู้จริงๆสินะ!
ในตอนนี้ ที่รู้สึกได้คือมี 3 คนอยู่บนฟากฟ้า กำลังเร่งรุจบินมายังที่แห่งนี้
ชัดแล้ว!
สามคนที่มานั้นคือซุนยี่จากสำนักเมฆา ไฮ่ไต่ซี่แห่งพันธมิตรโพ้นทะเล และกวงเทียนลู่!
พวกเขาดูไม่มีความเกรงกลัวอยู่ในจิตใจเลย และเหนือสิ่งที่ว่าไว้ ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้อยากจะโจมตีพวกผู้ใช้เทพบรรพกาลด้วยกันหรอกหากเป็นไปได้!
ถึงแม้ว่าจะได้รับมรดกตกทอดมาจากครอบครัวทางฟากเหนือ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะเกิดการส่งต่อกันแบบนี้ เพราะงั้นทางฝั่งใต้ที่ยังลังเลในการตัดสินใจ บางคนก็กล้าที่จะเสี่ยงเพื่อที่ไขว่คว้ามาซึ่งมรดกของทางฟากเหนือ
แต่ไม่ว่าจะยังไงทั้งสามที่มานั้นก็ยังคงมีความเมตตาและสุภาพในระดับหนึ่ง เข้าโค้งให้เสี่ยวยี่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตระกูลเสี่ยว รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
เสี่ยวยี่ยิ้มตอบรับ “อ่า…แขกมาเยือนซะแล้วสิ ชูหนาน ขอชาหน่อย”
ทั้งสามนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงไปและสังเกตุการณ์ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครดื่มชาเพราะเกรงว่าจะมียาพิษอยู่ภายใน
ไฮ่ไต่ซี่นั้นไม่อยากจะวางใจจึงพูดไปตรงๆ “คนจากตระกูลเสี่ยว ฉันรู้ว่าพวกนายรู้แล้วว่าพวกเรามาเพื่อนอะไร ส่งกระบี่เซวียนหยวนมาแล้วเราจะกลับไปแต่โดยดี”
“พูดได้ดี แต่ว่าการที่ฉันยังครอบครองกระบี่เซวียนหยวนอยู่นั้นเป็นทางเลือกของฉัน เพราะงั้นแล้ว…ฉันอยากจะสู้” เสี่ยวยี่โบกมือ นั่นทำให้ชูหนานและหยูฉีถอยกลับไป ทั้งสองดูกังวล
ซุนฉีดูเย้ยหยั่นเมื่อเห็นว่าเสี่ยวยี่ยังต้องหิ้วขวดน้ำเกลือไปไหนมาไหนด้วย “งั้นถ้าพูดแบบนั้นก็อย่ามาว่าพวกเราทีหลังล่ะ!”
เสี่ยวยี่ค่อยๆดึงเข็มออกและยืนขึ้น
พี่น้องของเขาต่างรู้ดีว่าเสี่ยวยี่อ่อนแอขนาดไหนในตอนนี้ ดีไม่ดีแค่ดีดนิ้วก็ตายแล้วด้วย
“ถ้าสู้กันที่นี่คงไม่สะดวกซักเท่าไหร่ มากับฉันเถอะ” เสี่ยวยี่พูดเบาๆและค่อยๆลอยออกไปจากแมนชั่น
ทุกคนนั้นตามออกไปโดยไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เพราะไม่ว่าจะยังไง คนพวกนี้ก็มาเพื่อแย่งชิงเทพบรรพกาล หาใช่การทำลายตระกูลไม่
เสี่ยวยี่นั้นพาพวกคนที่เหลือไปยังพื้นที่เปิดโล่งๆ ที่ๆซึ่งถูกล้างบาปโดยระเบิดอะตอมมิค มันเป็นภูเขาหัวโล้นและตรงกลางมีบ่อวงกลมขนาดใหญ่ที่เส้นผ่าศูนย์กลางนั้นกินระยะเป็นไมล์
“ทีนี่…คือที่ที่ฉันและผ้าคลุมดำเจอกันคืนนั้น”
คำพูดของเขานั้นทำให้หลายๆคนหายใจสะดุด เรื่องที่ได้ยินก็อีกเรื่องแต่พอได้เห็นภาพเหล่านี้ด้วยตามันก้รู้สึกต่างออกไป
ไม่มีใครในที่นี้ที่จะทำแบบผ้าคลุมดำได้ ถึงจะทำได้ก็แทบตาย เว้นซะแต่วันนี้จะเป็นวันตายของเสี่ยวยี่ เขาทำเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะใช้พลังสูงสุดของกระบี่เซวียนหยวนให้เป็นที่ประจักษ์
ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้อยากให้เกิดการฆ่าฟันกันหรอก มันก็เป็นแค่กุศโลบายกดดันให้เขายอมทำตามดีๆเฉยๆ
โรคดื้อของเขานั้นสามารถรักษาให้หายได้…
ทั้งสามนั้นโชคดีที่เสี่ยวยี่ยังป่วยอยู่ ไม่งั้นเขาคงจะเจอกับปัญหามากกว่านี้แน่ๆ
มือของเสี่ยวยี่นั้นปรากฏกระบี่เซวียนหยวนสีทองออกมาในทันทีพร้อมๆกับปลดปล่อยบรรยากาศที่ทรงพลังออกมาด้วย
มองกระบี่สีทองอร่ามในมืออีกฝ่ายมันทำให้พวกเขาทั้งสามรู้สึกได้เลยว่าเมื่อเทียบกับเจดีย์ 9 อสูรแล้วยังไงกระบี่เซวียนหยวนก็น่าสนใจกว่ามากๆ
ถังหวู่ฉัวหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเดินเข้าไปเงียบๆเพื่อแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของเขา
หลิงเทียนเองก็ลังเลกับสิ่งนี้ มันหนักหน่วงมากๆ ราวกับกำลังจะต้องสู้กับปีศาจที่อยู่ด้านในเลย
“หลิงเทียน ฉันไม่เคยเสียใจที่เป็นเพื่อนกับนายเลย นี่คือ…เวลาที่จะตัดสินแล้ว” เสี่ยวยี่ใช้กระบี่เซวียนหยวนเพื่อซัพพอร์ตตัวเขาเองและน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนแอของเขาเหมือนพยายามจะหลอกล่อให้คนอื่นติดกับ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เวลานั้นมาถึงแล้ว!
ซุนยี่สะบัดมือและทันใดนั้นดาบคู่กายก็ปรากฏออกมา ตัวเขาเองและดาบพุ่งเข้าหาเสี่ยวยี่ด้วยความเร็วสูง
จิตวิญญาณของเจ้าสำนักเมฆาในตัวเขานั้นหาใช่ดวงประทีบที่ริบหรี่ไม่!
เสี่ยวยี่มองท่าทีนั้นด้วยความสงบก่อนจะสร้างพายุลมกรรโชกแรงขึ้นมา ลมหวนเหล่านั้นทำให้เสื้อผ้าของเสี่ยวยี่เข้าบาดตามใบหน้าเขาเต็มไปหมด
มือที่ถือกระบี่เซวียนหยวนไว้นั้นจับด้ามให้แน่นขึ้น ใช่แล้ว เขาพยายามจะสงบจิตสงบใจให้ได้นานที่สุด
ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ความทุกข์จากการช่วยเหลือผู้อื่น กำลังถาโถมขึ้นมา มันทรมานตัวเขาเองทุกวินาที มหาจักรพรรดิวนเวียนกับปัญหาเหล่านี้มาหลายพันปี ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่แบบนี้ แต่เพราะแบบนี้แหละ จึงอยากจะแสดงให้เห็น ถึงความโกระเกรี้ยวของตัวเขาเอง ผู้ที่แบกความเจ็บปวดมาเนิ่นนาน!!
เสี่ยวยี่นั้นเตรียมพร้อมที่จะใช้ดาบโจมตีแล้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ถูกมือขนาดใหญ่มาขัดความใบดาบไม่ให้ฟาดฟัดลงมาเสียก่อน
เฮอร์ริเคนอีกลูกก่อตัวขึ้น พร้อมๆกับการปรากฏตัวของหลิงเทียนผู้ที่ซึ่งทั้งร่างกายเป็นอาวุธ
เสี่ยวยี่มองดูหลิงเทียนในขณะที่ตัวหลิงเทียนเองก็มองเสี่ยวยี่ด้วยรอยยิ้ม
ยืนยันแล้วด้วยตาคู่นี้…
บทที่ 221 การรวมตัว
หลิงเทียนไม่เคยรู้สึกผิดชอบชั่วดีมาตลอดหลายพันปี แต่ในครานี้เขากลับมายืนอยู่ข้างๆเสี่ยวยี่!
นี่ไม่ใช่การบังคับ เพราะสิ่งที่เขาทำมาตลอดทั้งปี นั่นคือการแกล้งป่วย แถมมันยังไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำมันด้วย!
ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว เห็นทีว่าต้องเลิกแสดงละครลิงนี่เสียที
ซุนยี่ถอนหายใจในขณะที่ดาบในมือของหลิงเทียนกำลังเปล่งแสงขึ้นมา
“พี่เสี่ยว วันนี้แหละเราจะกลับมารวมกันเป็นผืนน้ำอีกครั้ง! ถึงจะไม่ได้เกิดวันเดียวกัน แต่อย่างน้อยเราก็ตายวันเดียวกันได้!” หลิงเทียนระเบิดพลังออกมาพร้อมน้ำเสียงหนักแน่น
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีขนาดนี้
หลิงเทียนจับไหล่เสี่ยวยี่ก่อนจะพูดต่อ “ไว้ใจได้เลย จะไม่ให้ใครได้แตะต้องพี่เชียวล่ะ!”
เขาคิดว่าเสี่ยวยี่ตั้งใจที่จะตายแน่ๆ ส่วนถังหวู่ฉัวนั้นก็ตาไม่ถึง สภาพแบบนี้ของเสี่ยวยี่จะผ่านสถานการณ์แบบนี้ไปได้ยังไง?
“เยี่ยมไปเลยหลิงเทียน! ถ้างั้นช่วยเป็นไม้กันหมาให้ก่อนนะ ขอฉันพักซักแปป” เสี่ยวยี่พูดแล้วจับกระบี่เซวียนหยวนไว้ราวกับไม้เท้า
พักผ่อนให้สบายเลยพี่เสี่ยว ไม่ต้องเป็นห่วงน้องคนนี้
ร่างของหลิงเทียนลอยขึ้นไปบนฟ้า
“ไฮ่ไต่ซี่! นายไปจับหลิงเทียน! ส่วนกวงเทียนลู่กับฉันจะไปเชือดเจ้าเสี่ยวยี่นั่นเอง!”
กวงเทียนลู่ขมวดคิ้วและทันใดนั้นปลายนิ้วปมือของเขาก็ปรากฏไพ่ 3 ใบที่กำลังเปล่งแสงสีแดงออกมา
มังกรกระดูกน้ำแข็ง!
ร่างใหญ่ของมังกรกระดูกพวยพุ่งออกมาจากไพ่หลังมันถูกสะบัดออกจากปลายนิ้วนั้น
พวกมันไม่เหมือนมังกรกระดูกทั่วไป เพราะที่ตามตัวซึ่งเป็นกระดูกนั้นมีหนามน้ำแข็งงอกออกมาอยู่ด้วย
มังกรยักษ์พวกนั้นคำรามก้องไปบนฟากฟ้า ช่างน่าระทึกใจยิ่งนัก
เท่านั้นยังไม่พอ!
กวงเทียนลู่ยังร่ายไพ่เพิ่มอีก 3 ใบ เขาร่ายมันทับลงไปบนตัวมังกรน้ำแข็งทั้ง 3 นั้น
คราวนี้แสงสีทองส่องประกายออกมา และเมื่อแสงจางลง ภาพตรงหน้าก็คือ มังกรน้ำแข็งทั้ง 3 กำลังสวมเกราะสีทองอร่ามอยู่ มันดูแข็งแกร่งมากๆ!
แบบนี้ก็สมแล้วหล่ะที่เป็นถึงผู้นำของตระกูลกวงที่ยิ่งใหญ่แห่งฟากใต้
ใช้ไพ่ได้ทีละตั้ง 6 ใบ…
ซุนยี่เองก็ยังปล่อยของไม่หมด เพราะถึงแม้ว่าจุดเด่นของสำนักเมฆาจะเป็นวิชาดาบ หากแต่วิชาลับของสำนักนี้ก็ไม่ใช่วิชาดาบ…มันคือ…
มหาจักรพรรดิเชียนชาน!
ร่างบางของหญิงสาวปล่อยพลังปราณออกมาเป็นจำนวนมาก และออร่าพลังเหล่านั้นมันซึมลงไปในผืนดิน!
ตู้ม!!
ผืนดินขนาดใหญ่นั้นสั่นสะเทือนและแหวกออกก่อนที่หัวของบางสิ่งบางอย่างจะโผล่ขึ้นมา จากหัวลามไปตัว…
“อสูรโบราณ!”
หลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อยที่ซุนยี่สามารถอัญเชิญอสูรโบราณออกมาได้ มันแทบจะไม่น่าเชื่อเลย!
ไม่ใช่แค่หลิงเทียนเท่านั้นที่ตกใจ เพราะทุกคนนอกเหนือจากตัวซุนยี่เองต่างก็ตกใจกับความสามารถของเธอกันทั้งนั้น นี่สินะ คือแก่นแท้แห่งสำนักเมฆา!
ผู้หญิงคนนี้ ตั้งใจจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายเลยสินะ ไม่คิดเลยว่าการที่จะได้มาซึ่งเทพบรรพกาลชิ้นนี้ จะทำให้มีโอกาสได้เห็นอสูรโบราณด้วย!
เสี่ยวยี่มองไปยังอสูรโบราณที่ยืนตระหง่านตรงหน้าตนแล้ว ในสายตาของเขามันดูสง่างามมาก สัตว์อสูรที่แอบคล้ายไทรันโนซอรัสเร็กส์อยู่บ้างจะต่างก็ตรงที่มันดันมี 2 หัวและยืน 4 ขานั่นแหละ ตาทั้ง 4 ที่กรอกมองไปมานั้นทำให้คนที่สบตาด้วยรู้สึกสับสน เกล็ดดำขรับตามตัวขยับไปมาดูน่าเกรงขามขึ้นไปอีก
นี่มัน…มหาจักรพรรดิเจียงชานตัวจริงเสียงจริงเลยแฮะ!
แต่อย่างไรก็ตาม เสี่ยวยี่ยังไม่เคยเจอฝุ่นพายุที่เข้าโจมตีตระกูลหยิง ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้ตัวเล็กไปเลย ไซส์ยังกับเด็กเกิดใหม่
อสูรทั้ง 3 ตนที่เคยปรากฏมาแล้วนั้นทั้งหมดมีวิธีเรียกเป็นของตนเองยกเว้นตัวที่โผล่ที่ตระกูลหยิงเท่านั้นที่ยังไม่เจอวิธี
ใช่แล้ว…มันเป็นฝีมือของเย่ฮั่วเองแหละ!
“พี่เสี่ยวไปก่อนเลย ตรงนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง!” หลิงเทียนนั้นเหมือนเด็กๆที่อยากจะได้ซองแดงในวันตรุษจีน เขาเสนอตัวและไม่ยอมละสายตาจากศัตรูตรงหน้าเลย
ณ ตอนนี้เสี่ยวยี่เหมือนตัวเองกำลังไฟลุกโหมกระหน่ำ เขาอยากจะแผดเผาทุกคนที่อยู่ตรงหน้าให้หมดเลย ออร่าที่แผ่กระจายออกมาจากเขามันทรงพลังและตีวงกว้างราวกับเสียงคำรามจากปฐภีสู่สรวงสวรรค์ มันบันดาลให้หมู่เมฆกลายเป็นสีเทาเข้มและสายฟ้าสีทองก็ฟาดลงมาอย่างเกรี้ยวกราด
กระบี่เซวียนหยวนเองก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรียวของผู้เป็นนาย ตัวมันเองก็ระเบิดพลังออกมาเช่นกัน คลื่นพลังที่แข็งแกร่งทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งก่อนจะแผ่วงกว้างใหม่ ความทรงพลังของมันทำให้เกราะของมังกรกระดูกน้ำแข็งนั้นถึงกับเกิดรอยร้าว!
ถังหวู่ฉัวหน้าซีด เขาคิดมาตลอดเลยว่าพี่ชายของเขานั้นกำลังป่วย! เพราะงั้นเขาจึงทำอะไรไม่ถูกในสถานการณ์เช่นนี้ ความแข็งแกร่งที่ปะทุออกมาจากร่างนั้น…มันเหนือกว่าแต่ก่อนเสียอีก
“หลิงเทียน นายถอยไปก่อน ที่ตรงนี้ ให้ฉันเถอะนะ” เสี่ยวยี่กลับมายืนหยัดได้แล้ว บัดนี้พลังที่ล้นเปี่ยมของเขามันพร้อมที่จะจัดเทศกาลนองเลือดกันแล้ว!
หลิงเทียนรับรู้ได้ว่าเขากำลังถูกพลังของเสี่ยวยี่กดดันตัวเองอยู่ พลังแห่งราชา
“ไฮ่ไต่ซี่! อย่ายืนทำบื้อสิ!” ซุนยี่ตะโกนบอกเมื่อรู้สึกว่าเสี่ยวยี่นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิดไว้เยอะเกินไปแล้ว
แม้แต่ยุคที่เคยคิดว่าเขาแข็งแกร่งที่สุดยังไม่เท่านี้่เลย!
นี่ต้องขอบคุณเงาดำของเว่ยชางด้วยที่นอกจากจะช่วยรักษาชีวิตให้เสี่ยวยี่แล้ว มันยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เขาด้วย
ในตอนนี้เขานั้นสามารถต่อกรกับผู้วิเศษแห่งความตายได้แล้ว
ไม่สิ มากกว่านั้นก็ยังไหว หากเขาคิดจะท้าสู้กับเจ้าแห่งความตาย อย่างน้อยๆการปะทะกันด้วยกระบวนท่าก็นับว่าสูสี
ไฮ่ไต่ซี่ผู้เป็นตัวแทนแห่งสัมพันธมิตรโพ้นทะเลของแดนใต้นั้นดูจะเป็นความหวังสุดท้าย เขาซ่อนอะไรไว้บางอย่างตลอดเวลา!
และนี่ ถึงเวลาที่เขาจะต้องแสดงมันออกมาแล้ว ถึงสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง!
ไฮ่ไต่ซี่ตะวัดนิ้วไปบนอากาศและทันใดนั้นก็ตะโกนขึ้น “สู่อนัตตา!”
ฟู่!
นอกจากฝั่งของเสี่ยวยี่ ไม่ว่าจะเป็นอสูรโบราณหรือแม้แต่เจ้าสำนักทั้งสามต่างก็หายไปกันจนหมด!
เสี่ยวยี่เริ่มวิตก เพราะนี่ไม่ใช่วิชาหายตัวแบบง่อยๆที่ยังหลงเหลือไว้ซึ่งเสียง หากแม้แต่ลมหายใจก็ไม่รู้สึกถึง!
ทั้งสามที่หายตัวไปนั้นมันทำเอาเสี่ยวยี่ปวดหัวไม่น้อยเลย
เขาเรียกเต่าลึกลับลงมาสวมเป็นเกราะไว้เตรียมป้องกัน และพูดกับหลิงเทียนที่อยู่ข้างๆว่า “ดูท่าเรื่องวันนี้คงจะต้องชดใช้ให้นายในอนาคตละกันนะ”
“นี่พี่จะมีมารยาทไปถึงไหนเนี่ย!” หลิงเทียนที่ได้ฟังก็รู้สึกใจชื้น เสี่ยวยี่นั้นพยายามทำให้ตระกูลของหลิงเทียนไต่เต้าให้สูงขึ้น ซึ่งนั่นมันดีกับตระกูลเขาเองมากๆ
ในส่วนของถังหวู่ฉัวที่กำหมัดแน่นเพราะทำอะไรไม่ได้นั้น เขากำลังรู้สึกเคียดแค้นเสี่ยวยี่เป็นอย่างมาก
ในเมื่อเสี่ยวยี่กล้าทำกับเขาแบบนี้ทั้งที่เขาเป็นน้องชาย เช่นนั้นแล้วก็อย่ามาโวยวายถ้าเขาทำอะไรขึ้นมาบ้าง!
ในสนามรบนั้น เสี่ยวยี่จับกระบี่เซวียนหยวนไว้แน่น เกราะเต่าบนตัวนั้นเป็น 1 ในอาวุธวิเศษที่หนากว่าเกราะปกติและเขาในตอนนี้ แต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมเช่นเดียวกับวันที่ตบตีกับผู้วิเศษแห่งความตายที่นี่เลย
และทันใดนั้น เขาก็ถูกโจมตี!
เสี่ยวยี่รีบหลบและมองกลับไปยังทิศทางที่รู้สึกถึงการโจมตี นั่น! หนามน้ำแข็งของเจ้ามังกร!
ไม่มีเวลาให้คิดมาก เสี่ยวยี่ก็ต้องตีลังกาหลบอีกรอบ คราวนี้พื้นที่เขาเหยียบอยู่มันก็กลายเป็นหลุมขึ้นมา
มองไม่เห็นแบบนี้ลำบากจังเลยแฮะ ถ้างั้นก็…
“วิชาลับดาบสวรรค์ • พสุธาทะลุจุดเดือด!”
เขาปักกระบี่ลงไปกับพื้นและทันใดนั้นรอบๆบริเวณที่เขาอยู่ตีเป็นวงกว้าง ผืนดินก็เริ่มแปลสภาพเหมือนน้ำที่กำลังเดือด
ตู้ม!!
วงคลื่นสีทองกระจายตัวออกไปเป็นวงโดยมัเสี่ยวยี่เป็นจุดศูนย์กลาง และนั่นทำให้เหล่าผู้ที่ซ่อนอยู่ภายใต้วิชาของไฮ่ไต่ซี่ถูกเผยตัวออกมา
มันทำให้ไฮ่ไต่ซี่ตกใจมากๆ “แกทำลายวิชานั้นได้!?”
เสี่ยวยี่เยาะเย้ย “ไม่มีมนตราใดบนโลกนี้ที่กระบี่เซวียนหยวนตัดไม่ขาด!”
“เอาล่ะ ต่อไปจะให้ได้เห็นบ้างก็แล้วกัน ถึงพลังที่แท้จริงของกระบี่เล่มนี้น่ะ!”
“วิชาลับดาบสวรรค์ • เทพมารพิชิตฟ้า!”
กระบี่เซวียนหยวนลอยสูงขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะส่งสูบเอาออร่าที่ออกมาจากตัวของเสี่ยวยี่ไปรวมกับของตัวดาบจนเกิดเป็นลมปราณที่ความเข้มข้นสูงมากๆ และการใช้วิชานี้หากสังเกตุไม่ดีก็คงจะไม่เห็นว่ามันมีเงาดำๆปะปนมาด้วย
ฉึก!
เสี่ยวยี่หยุดชะงัก ใบหน้าที่กำลังจะแสดงความรู้สึกอะไรซักอย่างก้มลงมองไปยังจุดศูนย์กลางความเจ็บปวด มีดสั้นปลายแหลมนั้นโผล่ปลายทะลุอกเขาโดยมีเลือดเขาเองหยดอยู่ที่ปลาย เมื่อมองกลับไปก็พบว่าคนที่อยู่ด้านหลังนั้น คือถังหวู่ฉัวนั่นเอง!!!
ความคิดนับร้อยพันวิ่งเข้ามาในหัวของเสี่ยวยี่ภายในเสี่ยววินาที แต่ก็ไม่มีความคิดใดเลยที่จะบอกว่าน้องชายของเขานั้นเป็นงูพิษ!
ไอ้หมาลอบกัด!
ในความจริงแล้วตัวเสี่ยวยี่กับถังเว่ยนั้นมีปัญหาคาใจกันอยู่แล้ว เสี่ยวยี่เองก็หวังว่าซักวันคงจะได้เคลียร์ปัญหากันเองตัวต่อตัว เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้ระแวงเรื่องนี้เลย
และดูท่าเจ้ามีดสั้นเล่มนี้คงไม่ใช่อาวุธทั่วไป เพราะมันเจาะเกราะเต่าที่ซึ่งเป็นอาวุธวิเศษได้
นึกออกแล้ว…มีดนี่คือสิ่งที่อาจารย์ของถังหวู่ฉัวยืมไป.. มันเป็น 1 ในเทพบรรพกาลที่เขาเก็บไว้…แต่มันควรจะถูกนำมาคืนแล้วนี่!?
“พี่เสี่ยว! นี่คือสิ่งที่พี่บังคับให้ฉันทำ!”
บทที่ 222 หมอเทวดา
นัยน์ตาของเสี่ยวยี่นั้นจ้องมองไปยังถังหวูฉัวที่เข้ามาแทงขางหลังเขาและยังยากที่จะเชื่อกับภาพดังกล่าว
ซุนยี่ที่มองเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่นั้นใช้ความเร็วที่ค่อนข้างจะเหนือทุกคนพุ่งพรวดเข้าไปแล้วหยิบเอากระบี่เซวียนหยวนมาพร้อมทั้งหัวเราะเสียงดัง “กระบี่นี่เป็นของฉันแล้ว ฮ่า!!”
ทันทีที่เธอแสดงท่าทีดีอกดีใจออกมา มังกรสามตัวก็มุ่งตรงไปยังเธอและเข้าโจมตีหญิงสาวในทันที
ซุนยี่สะบัดดาบในมือ มันทำให้เกิดแสงสีทองเข้าโจมตีให้มังกรน้ำแข็ง 3 ตนนั้นถอยกลับไป
“กวงเทียนลู่! คิดจะทำอะไรกันน่ะ!”
“เธออย่าได้ขโมยมันไปเชียว ซุนยี่ มันไม่เหมาะกับเธอ” กวงเทียนลู่แสดงสีหน้าใจเย็นออกมาหากแต่เสียงของเขาก็ฟังดูโกรธไม่น้อยเลย
ซุนยี่ได้ฟังก็หัวเราะ “กงเทียนลู่ ถ้าคิดว่ากระบี่นี่เลือกนาย งั้นนายก็มาชิงเอาเองละกัน!”
“ไฮ่ไต่ซี่ จะยืนโง่ทำพระพุทธองค์อะไรเล่า! ไปเอาดาบมาสิ!!” กวงเทียนลู่ตะโกนบอกอีกร่างที่อยู่ข้างๆก่อนจะหยิบการ์ดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมทั้งร่ายเวทย์ใส่การ์ดนั้นและโยนมันใส่มังกร 1 ใน 3 ตัวนั้น ส่งผลให้มังกรทั้งหมดรวมร่างเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน จากมังกรน้ำแข็ง 3 ตัวก็กลายเป็น ราชามังกรกระดูกน้ำแข็ง 3 หัวไปแล้ว!!
ไฮ่ไต่ซี่รับคำ เขายกมือขึ้นและร่ายเวทย์ขึ้นบ้าง “หิมาลายันคำรามก้อง!”
ลูกบาศก์น้ำแข็งโผล่ขึ้นมารอบๆตัวซุนยี่ มันทำให้อุณหภูมิโดยรอบนั้นลดต่ำลงในทันที ลูกบาศก์แต่ละลูกนั้นอัดแน่นไปด้วยออร่าแห่งความเกรงขาม มันทำให้ตอนนี้ซุนยี่เจอศึก 2 ทางไปในตัว แต่กระนั้น ในเมื่อเธอกำลังครอบครองกระบี่เซวียนหยวน เพราะงั้นแล้วไม่มีอะไรที่น่ากังวล
ภายใต้การควบคุมของกงเทียนลู่ ราชามังกรกระดูกน้ำแข็ง 3 หัวก็พ่นไฟสีฟ้าออกมา
ทันใดนั้นเหล่ามวลเมฆบนท้องฟ้าก็ตกผลึก
“ไฮ่ไต่ซี่ กงเทียนลู่! นี่คิดจะฆ่ากันให้ตายเลยงั้นเหรอ!?”
ไฮ่ไต่ซี่เย้ยหยั่น “ซุนยี่! วางกระบี่ลงซะ แล้วเธอจะมีชีวิตรอดต่อไปนะ ถ้าไม่งั้นล่ะก็…!!”
“ไม่มีวันซะหรอก!”
ในตอนนั้น อสูรโบราณก็คำรามเสียงดัง และเพียงแค่คำรามมันก็กลายเป็นคลื่นเสียงพุ่งเข้าหาพวกเขาทั้งสองแล้ว ไหนจะยังผิวหนังที่กลายสภาพเป็นเหมือนแมลงเล็กๆและบินเข้าโจมตีพวกเขาราวกับผึ้งด้วย
ไฮ่ไต่ซี่และกงเทียนลู่นั้นหน้าถอดสีเมื่อเห็นว่าอสูรโบราณสามารถทำเช่นนี้ได้ มันทำให้พวกเขาจำเป็นต้องระวังตัวเองและป้องกันตัวจากประสบการณ์ที่สั่งสมกันมาแทน
แต่เดี๋ยวนะ สรุปแล้วเกล็ดของอสูรตนนี้มันคืออะไรกัแน่น่ะ? ภาพมายาเหรอ? แต่ชัดเจนแล้วว่าไม่น่าจะใช่ เพราะว่าถ้าภาพมายาพวกเขาคงไม่ทรุดหนักขนาดนี้
นี่พวกเขา…ประเมินเจ้าสำนักเมฆาต่ำไปงั้นรึ!?
กงเทียนลู่ควบคุมให้ราชามังกรของเขาเข้าโจมตีอสูรโบราณ และนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวเบาลงหน่อยเพราะเจ้าอสูรนั้นต้องกลับไปป้องกันตัว
“ไปตายซะไฮ่ไต่ซี่!” ซุนยี่ยกดาบขึ้นและชี้ไปทางไฮ่ไต่ซี่
ไฮ่ไต่ซี่นั้นเป็นสายควบคุม เพราะงั้นแล้วถ้าให้ประจัญหน้ากันตรงๆนั้นไม่ใช่ทางของเขาหรอก ดังนั้นแล้วเขาจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงแทน
เกมแห่งการไล่ล่าเริ่มขึ้น โดยทางซุนยี่นั้นเหมือนสาวอารมณ์ร้ายที่ไล่ทำร้ายสามีผู้รนรานอย่างไฮ่ไต่ซี่ด้วยกระบี่เซวียนหยวน แต่กระนั้นแล้วเขาก็หลบมันได้หมด
ซุนยี่ผู้ที่กำลังกดดันไฮ่ไต่ซี่นั้นขมวดคิ้ว และทันใดนั้นวิกฤตก็เข้ามาถึงตัวเธอบ้าง
เข็มเล็กๆสีเงินพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วและแทงเข้าไปที่มือของเธอ และทันทีที่แทงเข้ามันก็สร้างความเจ็บปวดไปทั่ว
กระบี่เซวียนหยวนตกลงมายังพื้นอีกครั้ง
และคราวนี้ก็เป็นเงาดำที่พุ่งเข้าไปโฉบมันมาก่อนที่ใครจะได้เห็น ไม่มีใครได้ทันมอง ณ จุดเดิมที่กระบี่มันตกลงพื้น มันก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป
ทั้งสามเลิกที่จะต่อสู้กันเองและก็มองหาบางสิ่งบางอย่างที่เข้าร่วมกับการต่อสู้ครั้งนี้ อย่างเช่น… 2 ร่างที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้
หลังมือของซุนยี่ที่โดนเข็มเล็กๆนั้นแทงไปเปลี่ยนเป็นสีมท่วงในทันที เธอกระอีกเลือดออกมาและพยายามไม่คิดว่านี่จะเป็นฝีมือของเจ้าเข็มนี่
กวงเทียนลู่ตะโกนออกมาอย่างตกใจ “หมอเทวดา ซ่งฮวง! ฟู่เซียว!”
ภาพตรงหน้าของพวกเขาคือฟู่เซียวที่กำลังถือกระบี่เซวียนหยวนไว้ ดูท่าเงาดำๆเมื่อครู่จะเป็นเขาเอง และข้างๆที่กำลังยืนยิ้มก็คือหมอเทวดาซ่งฮวง
ด้วยมือซ้ายที่ใช้ปลิดชีวิต และมือขวาที่ใช้ช่วยชีวิต ชื่อเสียงของหมอเทวดานั้นจึงโด่งดังมากๆ และนับเป็นเรื่องเล่าประจำแดนเหนือเลยก็ได้!
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างซ่งฮวงและหลงอ๋าวเทียนนั้นคือ คนหนึ่งจะปรากฏตัวเร็ว ส่วนอีกคนจะปรากฏตัวสายๆ หนึ่งคนไม่เคยพบปะเย่ฮั่ว ส่วนอีกหนึ่งนั้นนัดพบไปแล้ว
เข็มเล็กๆที่ถูกปาออกมาโดยซ่งฮวงนั้นคือเข็มอาบยาพิษโดยแน่แท้ แน่นอนว่าเธอจะไม่ยุ่งกับมันเด็ดขาด
ฟู่เซียวนั้นแต่เดิมต้นตระกูลเองก็เป็นปรมาจารย์อยู่แล้ว พวกเขามีความแข็งแกร่งที่จัดว่าทั่วๆไปแต่ตัวฟู่เซียวนั้นมีความเร็วที่นับว่าเร็วมากๆเพิ่มขึ้นมา เพียงแค่วิ่ง ตัวเขาก็สามารถท่องไปในที่ต่างๆได้อย่างรวดเร็วแล้ว ถึงจะดูไม่โดนเด่นแต่ก็เป็นความสามารถที่ดีไม่น้อยเลย
ฟู่เซียวนั้นยืนยิ้มข้างๆซ่งฮวงเช่นเดียวกับที่ตัวซ่งฮวงก็กำลังยิ้มอยู่ “ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือครับ คุณหมอ”
“ท่านฟู่เซียวเองเป็นคนใจดีต่างหาก ท่านยังคงเป็นคนเดิมกับที่ช่วยข้าไว้เมื่อวันนั้น” ซ่งฮวงยิ้ม ทั้งสองดูเข้าขากันดีมากๆ แต่คงไม่มีใครรู้จักด้านที่ดุร้ายของซ่งฮวงได้ดีที่ซุนยี่อีกแล้วล่ะ
ซ่งฮวงมองไปยังกระบี่เซวียนหยวนและไม่ได้ต้องการจะครอบครองมัน เขาชอบที่จะใช้ชีวิตอิสระมากกว่า
“ไม่ว่าตระกูลฟู่จะต้องการในสิ่งนั้นก็ตาม ตระกูลซ่งจะไม่ขัดและเปิดทางให้”
“ขอบคุณท่านมากๆ!”
ซ่งฮวงนั้นเตรียมที่จะไปแล้ว แต่ทันใดนั้นหางตาเขาก็กวาดไปมองสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นมาเสียก่อน
ซึ่งฟู่เซียวเองก็รับรู้ได้ นั่นคือกระบี่เซวียนหยวนกำลังสั่นไหว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
หากจะบอกว่าเสี่ยวยี่กำลังเรียกหากระบี่ มันคงเป็นไปไม่ได้กับสภาพของเขาที่บาดเจ็บหนักในตอนนี้!
ทุกๆคนรู้ว่าอะไรก็ตามที่ฟู่เซียวได้ไปแล้ว มันก็ยากที่จะเอาคืน นั่นเพราะว่าเมื่อไหร่ที่คุณเริ่มไล่ตาม เขาก็จะวิ่งหนีหายไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่ามนุษย์ปกติอีกหลายเท่า เพราะงั้นแล้วทำใจทิ้งสิ่งนั้นไปได้เลย เว้นเสียแต่คุณจะวิ่งเร็วกว่าเขา
และในครั้งนี้ ยิ่งเขาได้ฝ่ายสนับสนุนอย่างหมอเทวดาซ่งฮวงมาคอยป้องกันด้วย มันยิ่งยากเข้าไปอีก!
ตระกูลที่มาจากฝ่ายเหนือรอบนี้ ไม่มีคำอธิบายให้จริงๆ!
ทั้งสามจากฝ่ายใต้นั้นดูหงุดหงิดสุดๆ
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อกระบี่ถูกโฉบโดยชายสองคนแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้รีบหนีซึ่งมันดูแปลกๆ
“ท่านฟู่เซียว! กระบี่เซวียนหยวนนี่ดูจะเป็นปัญหาแล้ว! มันเสียการควบคุม!” ซ่งฮวงรีบตะโกนบอก และนั่นก็ทำให้ฟู่เซียวไม่คิดเยอะรีบโยนมันออกไปจากมือทันที
กงเทียนลู่ที่มองกระบี่ลอยไปในอากาศเขาก็รีบสั่งให้ราชามังกรของเขาเข้าไปกัดดาบเล่มนั้นไว้ทันที!
“เอาล่ะ ถ้าไม่เอาก็มาเป็นของฉันแทนละกัน กงเทียนลู่ผู้นี้ขอรับไปล่ะนะ!”
เขาดูมีความสุขมากๆขณะที่คนอื่นกำลังตกใจกันเป็นบ้าเป็นหลัง
แต่อันที่จริงก้ไม่มีใครสนใจกงเทียนลู่อยู่แล้ว เพราะพวกเขากำลังสนใจกระบี่เซวียนหยวนที่อยู่ในปากมังกรนั่นมากกว่า ตัวดาบเริ่มสั่นแรงขึ้นพร้อมกับระเบิดพลังออกมา
ตู้ม!!
ทันใดนั้น ราชามังกรก็กลายเป็นเพียงเกล็ดน้ำแข็งลอยไปลอยมาในอากาศขณะที่ตัวกระบี่เซวียนหยวนเองก็ยังคงลอยค้างเติ่งบนนั้นเช่นกัน!
บทที่ 223 ควบคุมทางไกล
เมืองหลงอัน ชิงบาร์ เมื่อ 10 นาทีก่อน
เย่ฮัวนั้นนั่งอยู่บนโซฟา ส่วนขาพาดไปบนโต๊ะกาแฟ สูบบุหรี่และพ่นควันออกไปด้วยความเบื่อหน่าย
ความขัดแย้งในครอบครัวเนี่ย ทำเอาเขาหน่ายใจในระดับหนึ่งเลย ส่ายตามองไปยังฝ่ายมือทั้งสองข้างของเขาเขาเองและเริ่มคิดทบทวน เป็นไปไม่ได้… ทำไมถึงมีผู้หญิงที่ทำให้เทวทูตอย่างเขาต้องยอมแพ้โผล่ขึ้นมานะ… ต่อให้เธอตายไปแล้ว เขาคงต้องฉุดเธอขึ้นมาใหม่และเป็นผู้หญิงของเขาต่อเป็นแน่แท้
แต่แม่สองสาวนี่ก็น่าหงุดหงิดไม่น้อยอยู่เหมือนกัน คนหนึ่งก็จะพรากลูกไปเลี้ยงเอง ส่วนอีกคนก็ยอมอะไรเลย บุคลิกพวกนี้มันช่างยากกับการจัดการยิ่งนัก ไม่มีใครที่คิดจะอ่อนโยนกับเขาซักคน
“ท่านผู้สูงส่ง โปรดดูด้านล่างเถิด”
เว่ยชางที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันเอ่ยด้วยความเคารพ
“ข้างล่างมีอะไร?” เย่ฮัวถามด้วยเสียงเบา
ฟังดูจากน้ำเสียงของคนข้างล่างก็พอจะรู้ได้ว่าอารมณ์ของเจ้าของเสียงก็คงไม่ดีซักเท่าไหร่แถมยังดูหงอยๆด้วย วันนี้ถังน้อยเมินคนไปหลายคนเลย
จะให้เธอไม่โกรธได้เหรอ? ชัดเจนเลยว่าเธอและเว่ยชางนั้นเคยอยู่กันแค่ 2 คนมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลายเป็นเพิ่มมาจากไหนไม่รู้อีก 2 ยังไงก็ต้องโกรธอยู่แล้ว ทำไมเว่ยชางถึงทำตัวมะเร็งได้ขนาดนี้นะ
เว่ยชางพูดเบาๆ “ด้วยความเคารพ ครั้งสุดท้ายที่ได้ช่วยเสี่ยวยี่ไว้ ข้าได้ทิ้งลมหายใจลงไปในกระบี่เซวียนหยวนด้วย เผื่อไว้ใช้ประโยชน์ในคราวหน้า และดูเหมือนว่านี่จะถึงเวลานั้นแล้ว”
“โอ้ เสี่ยวยี่จะลงไปคุยกับรากมะม่วงอีกแล้วเหรอ?” เย่ฮัวถามอย่างเอือมๆ
“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ แต่อย่างน้อยเรายังพอจะช่วยชีวิตเขาได้”
เย่ฮัวส่ายหัว “เทวทูตอย่างฉันจะดูเสี่ยวยี่เองละกัน เพราะหลายๆคนที่อยู่ในที่นั้นตายไม่ได้…แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน”
“ข้ากะไว้แล้วขอรับ อย่างน้อยๆก็อยากให้ท่านผู้สูงส่งได้ผ่านคลายบ้าง เห็นว่าท่านเองก็อารมณ์ไม่ดีมาหลายวันแล้ว การได้กวาดล้างมนุษย์เสียบ้างน่าจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น” เว่ยชางโค้งศรีษะให้แล้วหัวเราะเบาๆ หน้าที่ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่ดีคือต้องทำให้นายท่านมีความสุขและทำงานด้วยความขยัน
ถ้าเว่ยชางชางยังทำตัวแบบนี้ต่อไป ถังเว่ยได้ชิงฆ่าตัวตายไปก่อนแน่ๆ รีบๆกดเธอได้แล้ว เว่ยชาง
เย่ฮัวถอนหายใจ ยังไงก็คงต้องระบายอารมณ์บูดๆนี้ออกแหละ เพราะงั้นก็มาสนุกกันดีกว่า
“เว่ยชาง รู้ดีนักนะ”
“หึ งั้นข้าจะไม่กวนนะขอรับ เช่นนั้นแล้วขอตัวก่อน” หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปอยู่ในห้องนอนแทน
เย่ฮัวยกมือขึ้นและไล่หาลมหายใจที่เว่ยชางทิ้งไว้กับตัวกระบี่ เพียงไม่นานหลังจากนั้นเขาก็จับมันได้
คนแถวๆนั้นมีไม่เยอะเท่าไหร่ จริงๆก็ไม่มีปัญหาด้วยถ้าจะเชือดทิ้ง เสี่ยวยี่เองก็เหมือนปลาน้ำเค็มที่กำลังดิ้นจะเป็นจะตายอยู่บนพื้น น่าผิดหวังเสียจริง
เขายื่นมือออกไปและชูนิ้วชี้ขึ้น และทันทีทันใด นิ้วที่ชี้ออกไปก็เปรียบเสมือนรีโมทควบคุมกระบี่เซวียนหยวนจากทางไกลไปแล้ว
“โฮ่ เป็นแค่กระบี่แต่คิดจะต่อต้านฉันงั้นเหรอ? น่าสนใจ แต่ว่านะ อยู่ต่อหน้าเทวทูตแล้ว เจ้าก็ทำได้แค่นั้นแหละ!”
ไม่ทันไร เย่ฮัวก็เข้าแทรกแซงภายในของกระบี่เซวียนหยวนได้สำเร็จ
ในจังหวะนั้นเอง เย่ฮัวก็ค่อยๆเอนตัวไปบนโซฟาและหลับตาลง นิ้วชี้ที่ชูไว้ขยับช้าๆอย่างเพลิดเพลิน ภาพเหล่านี้ชวนให้นึกถึงจริงๆ ความกลัวของเหล่าผู้คนพวกนี้น่ะ
อีกฟากหนึ่ง
ไฮ่ไต่ซี่มองกระบี่เซวียนหยวนที่ลอยเคว้งคว้างอยู่บนอากาศ หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะก่อนจะพุ่งเข้าไปแย่งมันลงมา “กระบี่เซวียนหยวนน่ะ ต้องเป็นของแดนใต้!”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะพวกเขากำลังเกรงกลัวในพลังของมันอยู่ เจ้าสิ่งนั้นเพิ่งจะระเบิดมังกรสามหัวของกงเทียนลู่ไป และนั่นก็เป็นสาเหตุให้เขาบาดเจ็บด้วย ทางซุนยี่เองก็กำลังง่วนกับการถอนพิษอยู่ เพราะงั้นจึงไม่มีใครให้ความสนใจกับสิ่งนั้นมากนัก
แต่อย่างน้อยก็ยังมีอยู่ เขาพยายามจะปลุกปั่นให้พลพรรคของเขาเกิดการลุกฮือขึ้นมา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเงียบและมองเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ขณะที่ไฮ่ไต่ซี่กำลังมีความสุขสุดๆอยู่นั้น กระบี่เซวียนหยวนที่อยู่มือขวาของเขาก็หมุนตัวเองแบบ 360 องศา
ฉั๊วะ!!
แขนขวาทั้งแขนของเขาถูกกระบี่สะบั้นจนขาดออก! มันเป็นภาพที่อยากจะเชื่อได้ยาก เสี่ยวยี่ก็กำลังเจ็บหนัก แล้วใครกันที่กำลังควบคุมกระบี่เซวียนหยวน!? ตัวมันเองงั้นเหรอ!? จะเป็นไปได้ยังไงกันน่ะ!!
แขนที่ขาดนั้นลอยไปในอากาศ
นิ้วของเย่ฮัวค่อยๆขยับช้าลง มองภาพเงาจำลองของกระบี่เซวียนหยวนกับแขนที่ขาดออกนั้นอย่างสบายใจ
ทุกคนต่างกลืนลมหายใจอันหนาวเย็นลงไป และตอนนี้ไม่มีใครสามารถเข้าไปหยิบมันได้แน่ๆ
“วิ่ง!” ซ่งฮวงตะโกนเพื่อหลอกล่อ
ฟู่เซียววิ่งด้วยความเร็วสูงสุดและหายวั้บไปในทันที
เย่ฮัวที่เห็นสภาพนั้นก็หัวเราะในลำคอ “เร็วดีนี่”
เขาเคลื่อนดาบนั้นด้วยปลายนิ้วที่ลาดยาวเป็นเส้นตรง 1000 ไมล์ห่างออกไป กระบี่นั้นเปลี่ยนเป็นผงสีทองและเข้าจู่โจมฟู่เซียวทันที!
ฟู่เซียวที่กำลังเร่งรีบหันกลับมามอง ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกมา ไม่มีใครหรือแม้แต่ตัวเขาเองที่จะคิดว่ากระบี่นั้นจะเข้าถึงตัวได้ โดยเฉพาะกับตัวเขาเอง!
กระบี่ที่พุ่งเข้ามานั้น ราวกับมันกำลังเยาะเย้ยเขา!
“เป็นไปได้ยังไงกัน!?” ฟู่เซียวไม่อยากจะเชื่อสายตา เพราะแม้แต่เจ้าตระกูลก็ยังไม่มีความสามารถเช่นนี้ แต่นี่จะบอกว่าเทพบรรพกาลกระบี่เซวียนหยวนมีความสามารถแบบนี้งั้นเหรอ!?
ไม่ใช่! นี่น่ะ เป็นฝีมือมนุษย์แน่ๆ!!
กระบี่เซวียนหยวนพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วมากกว่าเดิมและทันใดนั้นมันก็ปาดเข้าที่ท้องเขา!
ฉั๊วะ!!
ฟู่เซียวมองแทบไม่ทัน กระบี่นั้นฟันเข้าหน้าท้องเขาจังๆ ความรู้สึกแบบนี้ ฝันไปรึเปล่าน่ะ!
ในตอนแรก เขาคิดว่าความเร็วของเขากับการป้องกันของซ่งฮวงนั้นจะสมบูรณ์แบบ จริงๆมันก็สมบูรณ์แบบนั่นแหละ หากแต่เจ้ากระบี่นี่ก็ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบในตัวมันเองด้วยเช่นกัน เพราะตอนนี้มันกำลังแทงคาไว้ที่หน้าท้องของเขา
และมันไม่แทงแล้วนิ่งเปล่าหากแต่ลากฟู่เซียวกลับไปยังที่เดิมที่วิ่งมาด้วย
ณ ที่แห่งนั้น ผู้คนทั้งหมดเห็นว่ากระบี่เซวียนหยวนพุ่งออกไป แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่ามันจะกลับมาพร้อมกับร่างของฟู่เซียวเช่นนี้!
ซ่งฮวงนั้นมึนงงไปหมด เขารู้จักความเร็วของฟู่เซียวดี และมันมีไม่กี่สิ่งที่ชนะความเร็วของฟู่เซียวได้!
อย่างไรก็ตาม การที่เขาถูกกระบี่พากลับมา นี่มัน แสดงว่ากระบี่นี่กำลังรออะไรอยู่หรือเปล่า?
ไม่มีใครกล้าจะผลีผลามทำอะไรแล้ว หลิงเทียนเองก็คอยป้องกันให้เสี่ยวยี่และถังหวูฉัวกับการต่อสู้ที่ดุร้ายนี้ และดูท่าว่าเจ้าสิ่งนั้นก็จะค่อยๆหยุดนิ่งไปเหมือนกัน
กระบี่เซวียนหยวนเหวี่ยงร่างของฟู่เซียวขึ้นไปบนอากาศ
เย่ฮัวขยับนิ้วช้าๆ และกระบี่ก็สร้างหนามสีทองขึ้นมาบนอากาศอีก
ร่างของฟู่เซียวที่ขยับไปไหนไม่ได้นั้นถูกหนามเหล่านั้นฉีกเป็นชิ้นๆและร่วงลงมาบนพื้น ภาพนี้มันทำให้ทุกคนเสียวสันหลังไปตามๆกัน
ถังหวูฉัวนั้นไม่กล้าที่จะคิดอะไรต่อแล้วและออกวิ่งไปเลย ถ้าเขาเอ้อระเหยยืนรอก็ไม่ต่างกับรอความตาย
เย่ฮัวหลับตาลงและพูดขึ้น “อยากจะออกไปจริงๆ แต่ฉันทำไม่ได้!”
ถังหวูฉัวนั้นโดนไม่ต่างกับฟู่เซียว เขาโดนแทงเข้าที่ท้องและนำกลับมา หากแต่คราวนี้ไม่ได้ฆ่า แค่กองไว้กับพื้นเฉยๆ
หลิงเทียนกลืนน้ำลายลงไป ถังหวูฉัวนั้นก็นับว่าเก่งกล้าเมื่อเทียบจากแต่ก่อน เรื่องนี้ตัวเขาเองรู้จากการทดสอบด้วยตัวเอง แต่นี่เขาก็ยังถูกแทงด้วยกระบี่เซวียนหยวนได้? นี่เป็นฝีมือเสี่ยวยี่งั้นเหรอ?
เขากลับไปป่วยอีกแล้ว หรือนี่จะเป็นเพราะเขากำลังควบคุมกระบี่นั่นอยู่เพื่อฆ่าคนอื่นแน่ๆ!
“อย่ามาหลอกกันน่าพี่เสี่ยว! ฉันรู้นะว่าเป็นฝีมือพี่!” หลิงเทียนเขย่าร่างของเสี่ยวยี่ หากแต่ก็ไม่มีการตอบสนอง
ทุกคนรู้ได้ทันทีแล้วว่า ใครหนี คนนั้นตาย!
แม้แต่ซ่งฮวงเองก็นั่งลงและมองกระบี่เซวียนหยวนอย่างระมัดระวัง
ฟุ่บ!
กระบี่เซวียนหยวนหายไปอีกครั้ง และเมื่อมันกลับมาปรากฏ เหล่าคนรอบๆกว่า 30 คนก็ล้มตายกันระเนระนาด
ซ่งฮวงขมวดคิ้ว คนเหล่านี้คือระดับท็อปของฝ่ายเหนือทั้งนั้น พวกเขาซ่อนตัวอยู่ละแวกนี้เพื่อสังเกตุการณ์และรอโอกาสที่จะเก็บกระบี่เซวียนหยวนกลับไป
ช่างโชคร้าย…โชคร้ายจริงๆ!
ในตอนนี้กระบี่เซวียนหยวนนั้นเหมือนพี่ใหญ่ที่กำลังมองต่ำลงไปยังทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง ขณะที่เย่ฮัวเองก็โบกสะบัดนิ้วไปมาอย่างสบายอกสบายใจ
“หมอเทวดา เราควรทำยังดีตอนนี้ ดาบนั่นมันเป็นปีศาจไปแล้วนะ!” 1 ในทีมของเขาพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ
ซ่งฮวงส่ายหน้าและไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้กระบี่เซวียนหยวนคงโดนใครซักคนยึดไปแล้ว เขากำลังรอใครซักคนที่น่าจะเป็นเจ้าของโผล่ออกมา ระหว่างนั้นชีวิตก็ถูกแขวนอยู่กับสิ่งนี้ไปด้วย เพราะถ้าวิ่งหนีก็เตรียมลงไปคุยกับรากมะม่วงได้เลย ถังหวูฉัวยังไม่ตายตอนนี้ก็จริง แต่ก็ใกล้แล้ว เขากับความตายอยู่ห่างกันไม่กี่ก้าวแล้วล่ะ
“ไฮ่ไต่ซี่ เป็นยังไงบ้าง” กงเทียนลู่ถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อย
ไฮ่ไต่ซี่เพิ่งจะหยุดเลือดที่ไหลไป มันทำให้หน้าเขาซีดไม่น้อยเลย “โชคดีอยู่ นายล่ะ?”
“ออร่าจากดาบนั่นทำลายราชามังกรของฉันไป ฉันเองก็โดนลูกหลงด้วย”
บทที่ 224 ฆ่าฟัน
“ยังวิ่งได้มั้ย?” ซุนยี่ที่ปวกเปียกสุดๆหลังถอนพิษเสร็จค่อยๆเดินเข้ามาช้าๆและเอ่ยถามเบาๆ
ทั้งสองส่ายหน้า หากแต่ไม่ใช่วิ่งไม่ไหว แต่เป็นวิ่งไม่ได้มากกว่า เพราะการวิ่งในตอนนี้ก็ไม่ต่างกับรีบวิ่งเข้าหาความตาย แต่ถ้าเหงาแล้วอยากรีบๆลงไปคุยกับรากมะม่วงก็เชิญวิ่งได้ตามสบายเลย
เย่ฮัวที่นอนพาดอยู่บนโซฟาเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว ดูท่าว่าวิธีนี้จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นได้ เพราะไม่ได้คิดถึงสองสาวนั้นชั่วขณะ
ขณะที่เย่ฮัวตัดสินใจที่จะฆ่าทุกคนในนั้น อาหลี่ก็โผล่พรวดเข้ามาในห้องพร้อมทั้งตะโกนด้วยเสียงหวาน “เฮ้~~”
เย่ฮัวลืมตามามองและยิ้มให้ “ว่ายังไง อาหลี่”
เด็กสาววิ่งเข้ามาหาเขาและดึงแขนข้างที่ควบคุมกระบี่เซวียนหยวนนั้นไว้ด้วยมือเล็กๆทั้งสองข้าง ก่อนจะเริ่มเขย่ามันอย่างแรงและป่าเถื่อน “มาเล่นกับอาหลี่ เล่นกับอาหลี่!”
นิ้วชี้ของเย่ฮัวส่ายไปมาพร้อมกับสั่นแรงๆด้วย “อาหลี่ ป๊ะป๋ากำลังทำงานอยู่นะ”
“แต่อาหลี่คิดถึงป๊ะป๋านี่คะ” อาหลี่นั้นดูกระปรี้กระเปร่ามากๆ เธอยังเขย่ามือเย่ฮัวไม่หยุดแถมยังหนักขึ้นและเร็วขึ้นด้วย
นั่นทำให้สภาพของกระบี่เซวียนหยวนในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนเมาที่บินไปบินมาแบบหลงทิศหลงทางไปหมด ซึ่งมันทำให้ผู้คนบริเวณนั้นแตกตื่น
“วิ่ง!” ซ่งฮวงตะโกนขึ้นทันที
ทุกคนต่างก็พากันวิ่งกระจายออก หากแต่การที่กระบี่เซวียนหยวนนั้นกวัดแกว่งมั่วซั่วไปมามันก็ทำให้หลายๆคนจู่ๆก็ฟุบลงไปกับพื้น หรือบางคนก็หัวหลุดออกจากคอบ้าง
ถังหวู่ฉัวที่นอนอยู่บนพื้นนั้นไม่สามารถหนีได้
ซุนยี่เองก็รีบพาพวกพ้องของเธอหนีกลับฟากใต้โดยไว
“อาหลี่อยากกินไก่ เพราะงั้นถ้าป๊ะป๋าโชว์สกิลในการทำไก่ให้อาหลี่กินต่อหน้าป้าชิง บางทีป้าชิงอาจจะยอมยกโทษให้ก็ได้นะคะ” อาหลี่พูดขึ้นและดึงแขนเย่ฮัวไว้อย่างนั้น ช่างเป็นเด็กที่ซนจริงๆ
เขาไม่รู้หรอกว่ามีใครบาดเจ็บล้มตายจากหายนะเมื่อครู่บ้าง
“เอาล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวป๊ะป๋าจะไปทำให้กินละกัน แต่ไปรอก่อนนะ จะรีบตามไปทีหลัง”
“แจ๋วไปเลย!” อาหลี่ปล่อยมือจากเย่ฮัว
เย่ฮัวคงต้องหยุดเรื่องนี้ไว้ก่อนเพราะลูกสาวของเขาเอง เขารอจนลูกสาวออกไปแล้วค่อยกลับไปดูภาพเหตุการณ์ตรงที่กระบี่อยู่อีกรอบ และนั้นทำให้เขาหน้าซีด ไม่ได้คิดว่าจะเผลอทำไปถึงขนาดนี้เลย…
กระบี่เซวียนหยวนที่บินไปบินมานั้นหยุดลงในทันใด
‘ไปดีกว่า’
เย่ฮัวถอนหายใจแบบโล่งอกโล่งใจหลังอมทุกข์มานาน เมื่อได้คิดถึงเขาและลูกสาวที่ได้ใช้เวลาร่วมกันแล้วมันก็ทำให้เขาละมือจากสิ่งนี้ไป และกระบี่เซวียนหยวนก็กลับไปปักอยู่ใกล้ๆเสี่ยวยี่ตามเดิม
หลิงเทียนที่เห็นภาพนั้นก็หงุดหงิดขึ้นมา และบ่นกระปิดกระปอดถึงเสี่ยวยี่ที่ยังไม่ได้สติ “กะไว้แล้วว่าถ้าไม่ใช่พี่เสี่ยวก็ไม่มีใครทำได้! แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าพี่เสี่ยวจะเป็นคนแบบนี้!”
“ตื่นได้แล้ว คนอื่นไปหมดแล้วนะพี่ รู้นะว่าอยากให้คนอื่นชื่นชม แต่ขนาดนี้ก็ไม่มีใครกล้าอยู่ชื่นชมแล้ว” หลิงเทียนตะโกนอยู่พักใหญ่ๆ แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้
มองกระบี่เซวียนหยวนที่อยู่ใกล้ๆมือ ตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะจับมันด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอีก เจ้าสิ่งนี้น่ะ น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ตัวอย่างก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้หรอก อย่างเช่น ถังหวู่ฉัวที่นอนเป็นปลาไหลขาดน้ำอยู่บนพื้นนั่นแหละ กางเกงของเขาจมกองเลือดสีแดงที่ไหลออกมาจากท้องจนนึกว่าเป็นกางเกงสีแดงไปแล้ว
และไม่นานต่อจากนั้น เสี่ยวยี่ก็ค่อยๆฟื้นขึ้นมา
“พี่เสี่ยว ในที่สุดพี่ก็ฟื้นแล้ว!” หลิงเทียนโล่งใจและช่วยพยุงเสี่ยวยี่ให้ลุกขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น?” เสี่ยวยี่ถามแบบมึนงง
หลิงเทียนหรี่ตามอง “พี่เสี่ยว ฉันรู้นะว่าพี่ถ่อมตน แต่ถ่อมตนมากไปพี่จะไม่มีใครคบเอานะ”
เสี่ยวยี่เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็สับสนและมึนงงขึ้นไปอีก เขาพยายามพูดว่าเขาไม่รู้เรื่อง
และด้วยการสนับสนุนของหลิงเทียน เสี่ยวยี่ก็สามารถยืนขึ้นได้ในที่สุด
“พี่เสี่ยว เอายังไงกับถังหวู่ฉัวดี?” หลิงเทียนมองไปยังร่างของถังหวู่ฉัวที่กำลังจะตายในไม่ช้าแล้วเอ่ยถาม
เสี่ยวยี่เหลือบมองและพูดขึ้น “ชีวิตนี้เป็นของเขา ฉันไม่ใช่เจ้าของชีวิตของเขาอีกต่อไปแล้ว”
หลิงเทียนพยักหน้ารับและตัดสินใจกลับไปกับเสี่ยวยี่
หลังจากที่ทั้งสองออกไปแล้ว ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวพร้อมกับคิ้วที่ขมวดขณะคุยโทรศัพท์ “ไม่มีใครรอดแล้ว ครั้งต่อไปคงต้องเพิ่มคนให้มากกว่านี้”
คนๆนี้คืออาจารย์ของถังหวู่ฉัว
เขามองไปยังสภาพที่น่าเอน็จอนาถของลูกศิษย์ของเขาเองก่อนจะส่ายหน้าเพราะรู้สึกอับอาย
“อ-อาจารย์…ช่วยผมด้วย…” ถังหวู่ฉัวยืดแขนออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ
ชายผู้หยิ่งผยองพูดอย่างเย็นชา “ไม่ต้องมาจับฉัน! เดี๋ยวสกปรก!!”
“อาจารย์…” ถังหวู่ฉัวยังคงเรียกร้องด้วยเสียงที่อ่อนแรง
ผู้เป็นอาจารย์นั้นจะไม่ช่วยก็ไม่ได้ ท้ายสุดเขาก็ใช้พลังของเขาพาตัวถังหวู่ฉัวและเขาเองออกไปจากที่นั่น
โลกทั้งใบกลับสู่ความสงบอีกครั้ง แมงสีดำบนฟากฟ้านั้นค่อยๆกระจายหายไปเหลือไว้เพียงเลือดบนพื้นดินที่เป็นหลักฐานว่าที่นี่เคยเกิดการต่อสู้ขึ้นเท่านั้น
เย่ฮัวยังไม่ออกจากห้องนอน แต่กระนั้นเขาก็เรียกเว่ยชางให้เข้ามาพบที่นี่ด้วย
“ด้วยความเคารพ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” เว่ยชางปรากฏตัวขึ้นพร้อมเอ่ยถามด้วยค้วยความเคารพ
เย่ฮัวถอนหายใจ “อาหลี่โผล่เข้ามาก่อน เลยทำอะไรไม่ได้”
“เด็กน้อยคงไม่มีเจตนาที่ไม่ดีหรอกขอรับ”
“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วน่า แล้วก็ที่เรียกมานี่ก็เพื่อจะปรึกษาถึงเรื่องที่เกิดกับที่นั่น ว่าจะเอายังไงกับคนพวกนั้น” เย่ฮัวพูดขึ้น
เว่ยชางเงียบไปครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาทันที “ด้วยความเคารพ เรื่องที่จะพูดไม่แน่ใจว่าจะเหมาะกับสถานการณ์หรือเปล่าน่ะขอรับ”
“พูดมา”
“ในตอนนี้แดนเหนือและแดนใต้นั้นกำลังทำข้อตกลงกัน เพราะงั้นถ้าให้ทั้ง 3 คนที่มาจากแดนใต้นั้นตายในแดนเหนือเลย ข้าคิดว่ามันน่าจะดีกว่า”
เย่ฮัวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงแบบสุดๆ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเว่ยชางจะรู้สึกได้ถึงขนาดนี้
“เว่ยชาง ไอ้ที่พูดเมื่อกี้นี้มันสุดยอดไปเลยนะ! เอาล่ะ จะตบรางวัลให้ละกัน” เย่ฮัวนั้นมีความสุขสุดๆ เพราะอย่างน้อยๆลูกน้องของเขาก็มีสมองขึ้นมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะเว่ยชาง ผู้ที่ซึ่งเปลี่ยนจากไม่มีสมองเป็นมีสมองขึ้นมา นี่มัน…การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยนะ!
เว่ยชางนั้นไม่กล้าที่จะละโมภออกนอกหน้าแล้วก็รีบพูดขึ้น “จ-จริงๆแล้วข้าแค่อยากจะลองทดสอบการตอบสนองดูน่ะขอรับ ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นซะทีเดียว แต่ได้ยินเช่นนั้นข้าก็ดีใจที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นข้าตอบถูก”
เย่ฮัวน้นยังไม่หายตะลึง ใบหน้าของเขาดูแปลกไปนิดหน่อยพร้อมกับยิ้มออกมา “นายเข้าใจถึงเจตนาของเทวทูตเช่นฉัน ใช่แล้ว เว่ยชาง นายนี่มันหัวดีจริงๆ!”
“ข้าผู้น้อยมิกล้าที่จะสอนอะไรท่านผู้สูงส่งหรอกขอรับ ไม่มีอะไรที่ข้าอยากเรียกร้องกับสิ่งที่ทำไป แต่ถ้าให้เงินเดือนเพิ่มก็ไม่เลว…บ-แบบว่าพักหลังข้ากับแฟนสาวนั้นมีรายจ่ายค่อนข้างบานปลายมากๆเลย…” เว่ยชางนั้นชัดเจนเลยว่าไม่มีเงิน บางครั้งค่าน้ำมันปอร์เช่คันงามนั้นก็ยังต้องใช้เงินถังเว่ยเลย
เย่ฮัวพยักหน้า “นิดหน่อยน่า เอาไป 2 เท่าเลย”
“ขอบคุณครับ!” เว่ยชางรีบกล่าวขอบคุณทันที เพราะอย่างน้อยๆนี่ก็ช่วยอุดรายจ่ายเขาได้เยอะแน่ๆ
“แล้ว ใครที่นายจะให้ไปจัดการ 3 คนนั้น?” เย่ฮัวถามอีกครั้ง
“พี่น้องเขียวแดงขอรับ พวกเขายังคงต้องการประสบการณ์การต่อสู้ที่มากกว่านี้ เพราะงั้นจะยกเจ้า 3 คนนั้นให้เป็นหน้าที่ของพี่น้องเขียวแดงไป”
เย่ฮัวรับฟังและพูดต่อ “งั้นก็เก็บพวกนั้นไว้ใช้ในอนาคตด้วยล่ะ ทำให้พวกนั้นมีประสบการณ์การต่อสู้เยอะๆแล้วก็ระหว่างนั้นก็คอยปกป้องไปด้วย”
“ขอรับ!”
“ไปได้แล้วล่ะ” หลังจากที่เว่ยชางออกไปแล้ว เย่ฮัวก็สัมผัสที่ผมของเขาเบาๆ “แต่เมื่อเว่ยชางเริ่มฉลาดแล้ว เห็นทีจะทำตัวสบายๆไม่ได้แล้วสิ…”
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เย่ฮัวนั้นยังคงรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดี เขากลับไปยังห้องของชิงยูตงและมองลูกสาวของเขาที่กำลังเล่นเกมกับเย่จีจี้อยู่ แต่ชิงยูตงไม่อยู่ในห้องนั้นแล้ว
“อาหลี่ไม่กวนป๊ะป๋าแล้ว เพราะงั้นป๊ะป๋าจะไปนอนต่อก็ได้นะคะ” อาหลี่นั้นจริงจังกับเกมมากๆ นั่นก็เพราะว่าเธอพยายามจะเอาชนะเย่จีจี้อยู่
“พี่ชาย น้องภรรยาของพี่เพิ่งจะไปออฟฟิศเมื่อกี้เอง เห็นว่าจะไปคุยกับพี่สะใภ้แน่ะ” เย่จีจี้พูดเสริม
เย่ฮัวนั้นตาเป็นประกาย คำแนะนำของชิงยูตงต้องได้ผลแน่ๆ เพราะงั้นไปแอบฟังดีกว่าว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน อย่าลืมซะล่ะ ! ว่าเทวทูตอย่างเขาน่ะ ดักฟังเก่งที่สุดเลย! ลืมๆภาพของคนที่ชอบหัวเราะเสียงดังไปซะ มันไม่ใช่เขา!!
ไม่กี่นาทีต่อมา เย่ฮัวยืนอยู่หน้าประตูออฟฟิศและแอบฟังบทสนทนาที่อยู่ในห้องนั้น เขาระทึกใจมากและถ้าเกิดมีใครมาเห็นเขาสภาพนั้นมีหวังได้ฆ่าคนๆนั้นทิ้งแน่ๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น