You Cannot Afford To Offend My Woman ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ! 149-168
บทที่ 149 เจอตัวแล้ว
ชิงหยามองไปยังเจ้าตัวเล็กผู้ที่กำลังหนีหัวซูกหัวซุนก่อนจะพูดขึ้น “นั่นแหละ หวาาา ทำไมน่ารักแบบนี้ น่าเสียดายที่เธอก็ต้องตาย”
เว่ยชางและเลี่ยกูนั้นมองกันไปมาด้วยความรู้สึกว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้ว
“อย่าเอาแต่ดูสิ อาหารในจานมันจะเย็นหมดแล้วนะ” เย่ฮั่วหายใจแรง ยัยผู้หญิงคนนี้หลงไหลไปกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเสียแล้ว
“อย่าทำตัวมีปัญหาน่า ขอดูตอนจบก่อนได้มั้ย? มีหลายคนอยากได้เจดีย์นั่นนะ เย่ฮั่ว นายไม่ลองบ้างเหรอ?” ชิงหยาถามอย่างตื่นเต้น
เย่ฮั่วหยิบบุหรี่มาจุดสูบอย่างไม่สนใจ “จะไปสนใจขยะพวกนั้นทำไมกันน่ะ?”
ชิงหยาเป่าหูเย่ฮั่ว “เห็นมั้ย หลังจากที่สูบบุหรี่แล้วทำท่าทีที่ไม่สนใจนั่น โรคขี้หยิ่งของนายก็กลับมาอีกแล้วนะ”
เย่ฮั่วไม่ได้ว่าอะไรแต่เขาก็บีบแก้มนุ่มๆของเธอกลับไป “กินอาหารซะ”
“ฮุ่มมมมมมม”
ถึงแม้ว่าชิงหยาจะเริ่มกินแล้วแต่สายตาของเธอก็ยังจับจ้องอยู่ที่จอนั้นอยู่
คนอื่นๆนั้นกินเสร็จแล้วและกำลังดูไปที่จอนั้นเช่นกัน
เย่ฮั่วเอนตัวลงไปบนเก้าอี้ ระหว่างนั้นก็สูบบุหรี่และมองเด็กสาวในจอไปด้วย
ภาพตรงหน้านั้นค่อนข้างรุนแรงและป่าเถื่อนมากๆแล้วในตอนนี้ มันเหลือคนเพียงแค่พันคนเท่านั้นจากคนนับหมื่น
ถึงแม้ว่าคุณอาจจะรอดตาย หากแต่ร่างก็จะถูกโยนไปมา ในเวลานี้เจดีย์ 9 อสูรนั้นเหมือนมันฝรั่งร้อน ซึ่งใครๆก็ต่างต้องการมัน แต่ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่จะถือมันได้!
เทพบรรพกาลถูกส่งไปส่งมาจนกระทั่งมันตกลงไปบนพื้น แรงปะทะราวกับชิ้นเหล็กนั้นทำให้เกิดเสียงดังระงมไปหมด
ตู้ม!!
ภายใต้เสียงระเบิดของโลกแห่งอารยธรรมนั้น ยักษ์เพลิงก็ถูกโค่นลงไปกลายเป็นฝุ่นละอองลอยล่อง การทะเลาะกันครั้งนี้มันทำให้พวกเขาเสียเลือดเนื้อ เหล่าเด็กๆในตระกูลต่างวิ่งเข้ามาเพื่อหยุดยั้งเรื่องครั้งนี้
“ทุกท่าน ฉันจะถอนทัพก่อนนะ!” เซียนกุมอก การเรียกยักษ์เพลิงนั้นกินพลังเขามากๆ ไม่ได้คิดเลยว่าโลกแห่งอารยธรรมจะต่อต้านเขาถึงขนาดนี้ เขาจำเป็นต้องฟื้นพลัง อย่างน้อยๆก็มีหนึงปีขั้นต่ำแน่ๆ ตราบใดที่ยังใช้พลังไม่หมดนะ
หวังต้าเป่าหงุดหงิดขึ้นมาทันที “สนับสนุนทัพได้แปปเดียวก็จะถอนทัพแล้วงั้นเหรอ!”
“หวังต้าเป่า นายเองก็ต้องไปด้วย!”
หวังต้าเป่าที่เลือดเดือดปุ้ดๆสุดๆแล้วแต่ท้ายสุดก็ต้องยอมถอยแต่โดยดี
โลกแห่งผู้ฝึกฝนตนนั้นนับว่าเป็นสถานที่ที่เหล่าสำนักต่างๆจะได้ยิ่งใหญ่กัน รากเหง้าของพวกเรานั้นเป็นหนึ่งเดียวกันมาเนิ่นนาน เพราะงั้นแล้วมันจึงไม่คุ้มหากเราจะมาหันคมเขี้ยวใส่กันเอง
ดวงตาของหวังต้าเป่านั้นงดงาม เขากลัวเพียงแค่ว่าเทพบรรพกาลจะตกไปอยู่ในมือของคนจากโลกแห่งอารยธรรมมากกว่า
ฉางตี้รุดหน้าเข้าไป ก่อนจะหยุดและหลบๆซ่อนๆ ยามเมื่อ 1 ในเจ้าสำนักเพลี่ยงพล้ำเพราะผลกระทบจากโลกแห่งอารยธรรม เขาก็จะใช้ประโยชน์จากจุดนี้เพื่อที่จะเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ จะต้องนำมันมาให้ได้!
ที่มุมหนึ่งของสนามรบ ยังมี 2 ร่างที่กอดกันแน่น
ผู้คนรอบตัวนั้นล้มตายไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้แค่พวกเขาเท่านั้น
“นายยังจะอยู่กับฉันใช่หรือเปล่า?”
“ถ้างั้นก็ลงไปด้วยกันเถอะ แสดงเจตจำนงค์ของพวกเราให้ประจักษ์”
“ดี! ตกลงไปด้วยกันเลย!!”
ทั้งสองพูดเหมือนว่าตนเองจะบินได้อย่างนั้นแหละ แต่ก่อนจะได้ทำ 1 ในพวกเขาก็ทรุดไปเสียก่อน
ฟุ่บ!
“นาย…ตัวเบามากเลย”
“วางใจฉันเถอะ นายน่ะตายแล้ว”
“เลิกพูดแล้วรีบๆตายได้แล้วน่า”
อย่างไรก็ตาม ไม่ไกลจากที่ที่พวกเขาอยู่นัก เจดีย์ 9 อสูรที่ใครๆต่างหมายต้องก็โดนหยิบขึ้นมาและวิ่งออกไปตามทาง
ผู้คนที่กำลังสู้กันอยู่ต่างต้องชะงักไปด้วยความตกใจ
หัวใจของฉางเต้นไม่หยุด มองเหล่าผู้คนที่มุ่งตรงมาทางฟากนี้ ไม่ใช่ว่ายังไม่มีใครเห็นเขาหรอกเหรอ!
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ผู้อยู่ในเงาดำปรากฏตัวออกมา นั่นคือฉางตี้ที่กำลังมีความสุขสุดๆนั่นเอง
มือข้างหนึ่งนั้นรับรู้ได้ถึงสัมผัสรสชาติที่คุ้นเคย
“คนจากฟากเหนือนี่!” จี้เจ้อซวนตะโกน พิษบนมือนั่นไหนจะกบฏในฟากใต้แล้วก็ไหนจะคนจากฟากเหนือ นี่มันอะไรกันเนี่ย!
ในจังหวะนั้นพวกเขาที่กำลังตบตีกันก็รวมกันเป็ฯหนึ่งและตรงเข้าหาฉากตี้เลย
ทั้ง 3 ที่อยู่ด้านหลังฉางตี้นั้นเกิดอาการกลัวจนฉี่แตกขึ้นมาทันที บทส่งมางี้ ถูกจับแน่ๆ!
ในเมื่อเราไม่สามารถดูแลทุกคนได้ เพราะงั้นก็ดูแลตัวเองก่อนละกัน!
ฉางตี้ไม่ได้สนใจคนเหล่านี้อีกต่อไป เพราะเขาได้สิ่งที่ต้องการมาไว้ในครอบครองแล้ว นั่นก็คือ เจดีย์ 9 อสูร และเมื่อเขาปลดปล่อยมันออกมา จะเกิดอะไรขึ้นกันน้า~?
“นายเป็นใคร!”ยีซูตะโกนถาม
ฉางตี้ยกเจดีย์ 9 อสูรขึ้นและตะโกนตอบ “จักรพรรดิฉางยังไงล่ะ!”
ทุกคนต่างงุนงง
ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อแปลกๆนั่นมาก่อนเลย จักรพรรดิฉางงั้นเหรอ? 4 คำนี้จะเป็นกลอุบายอะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย? หรือว่านั่นคือปรมาจารย์ฉาง?
ฉางตี้ยิ้มเย้ย เขามากราบไหว้ฉันซะสิ! ตอนนี้เจดีย์ 9 อสูรอยู่ในมือฉันแล้ว! ใครหน้าไหนอยากจะเป็นศัตรูกับจักรพรรดิกัน!
ตราบใดที่ฉางตี้ปล่อยอสูรออกมาจากเจดีย์ 9 อสูร ก็ไม่มีใครในที่นี้จะรอดไปได้ พวกเราจะตายกันหมด!
อย่างไรก็ตาม โอกาสของพวกเขานั้นยังพอมี การกู้คืนมาซึ่งศักดิ์ศรี…เหล่าเจ้าสำนักแห่งฟากใต้ยืนอยู่ต่อหน้าแล้ว พวกเขาคำรามก้อง
ช่างโง่เขลานัก…
ฉางตี้ถูกโจมตีเข้าจังๆ….
เขามองซ้ายมองขวาพอรู้ตัวอีกทีเจดีย์ 9 อสูรก็หายไปแล้ว!
ความโกรธแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของฉางตี้เกิดขึ้นในใจที่แตกสลายนั้น
ปั้ง!
คลื่นอัดกระแทกโจมตีมาจากทุกทิศทางไปยังฉางตี้และด้วยผลของโลกแห่งอารยธรรม เพราะการโจมตีนั้นสะท้อนไปมาจนเกิดเป็นการโจมตีรอบทิศทางนั่นเอง
ฉางตี้เปลี่ยนตัวเองเป็นหมอกสีดำเพื่อจะตามล่าของๆเขา
เจดีย์ 9 อสูรต้องเป็นของฉัน! พวกนายไม่มีสิทธิ์!!!
แผนทุกอย่างของฉางตี้ล่มไปหมด ตอนนี้พวกเขาหวังเพียงแค่เอาเทพบรรพกาลกลับไปเท่านั้น
ในขณะนี้ ศูนย์กลางของสนามรบมีเลือดมากมายจนมันไหลลงไปในแม่น้ำ ยิ่งคนตายมากขึ้นเลือดก็ยิ่งเยอะขึ้น
และในหยกสีขาวอันเป็นโลงศพนั้น……….
ร่างของหญิงสาวตัวน้อยกำลังยิ้มและลอยออกมาช้าๆ ส้นสูงสีขาวทั้งสองข้างค่อยๆสัมผัสกับเลือดบนพื้น
“ลาลาลัล ลาลาลา ฉันคือสาวน้อยจากตระกูลฮั่ง~♫”
สุรเสียงหวานแจ๋วแต่ให้ความรู้สึกราวกับจ้าวนรกหลุดออกมา ท่วงทำนองของเด็กสาวดังคลอไปกับเสียงบรรยากาศ เธอกาวกระโดดไปตามรอยเลือดจนมันสาดกระเซ็นไปบนเดรสสีขาวของเธอจนเกิดเป็นรอยสีแดงเช่นเดียวกับส้นสูงเพชรสีขาวที่ตอนนี้มีคราบเลือดเลอะอยู่
ตู้ม!!
ทันใดนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงมาพร้อมกับฝนที่เทลงมา ในตอนนี้คงจะบอกได้แล้วว่าเลือดบนพื้นมันกลายเป็นแม่น้ำเลือดไปแล้ว
“ลาลาลัล~ลัลลา อยู่ไหนกันน้า~♪” เธอยังคงกระโดดและมองหาบางสิ่งบางอย่างอยู่
ทั้งสองที่ควรจะตายไปตั้งนานแล้วไม่สามารถทำอะไรได้ ความกลัวก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขา ร่างที่กำลังจะตายสั่นเทาเมื่อเห็นเด็กสาวออกมาจากโลงศพ!
เธอกำลังพูดอะไรน่ะ? เด็กสาวนั้นต่างหากที่เป็นปัญหา มีคนโบราณที่ไหนสวมเดรสเจ้าหญิงกัน
“อ๊ะ เจอแล้ว~”
น้ำเสียงอ่อนหวานดังขึ้นมาในหู เด็กสาวนั้นยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว แต่ความน่ารักของเธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความทรมาณอยู่ด้านในลึกๆ เมื่อริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้น หัวใจของพวกเขาก็แทบหยุดเต้น
“นายหนีไปไหนไม่ได้แล้วน้า~”
หางม้าเล็กๆนั้นลอยขึ้นสูง
เขาไม่สามารถหนีได้จริงๆและมันก็เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วย
หางม้าเหล่านั้นลอยเข้าไปในปากของเขาก่อนจะขยับอย่างบ้าคลั่งขึ้นไปยังหัวและลงมาด้านล่างจนถึงเท้า
ไม่นะ! เธอกำลังดูดเลือดจากเขาออกมา! ไม่นะ! ไม่!
ร่างที่ไร้ซึ่งเสียงร้องนั้นพยายามกรีดร้องออกมาอย่างน่ากระอักกระอ่วม หางม้าของเธอนั้นค่อยๆเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีแดง
เขาค่อยๆแห้งไปและท้ายสุดเธอก็เอาผมหางม้าเธอออกมา “ฉันพยายามคิดแล้วคิดอีกว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ได้เป็นมนุษย์ น่าเบื่อจัง~ เปลืองเซลล์สมองด้วย”
เด็กสาวหันไปกรีดร้องให้กับกลุ่มคน เลียริมฝีปากตนเองและทันใดนั้นผมหางม้าเธอก็พุ่งไปหาพวกเขา มันเติบโตขึ้นและอะไรก็ตามที่สัมผัสมันก็จะสลายไป ไม่ว่าจะยังไม่ตายหรือตายแล้ว อะไรที่มันโดน จะถูกมันดูดซับเข้าไป
ไม่รู้สึกถึงความตายเลย นี่มันโชคดีชัดๆ ราวกับว่าเป็นความเจ็บปวดที่งดงามและเปี่ยมด้วยความทุกข์
เพียงไม่ถึงนาที ภาพตรงหน้าก็กลายเป็นภาพของซากศพแห้งๆนอนระเกะระกะบนพื้นเต็มไปหมด “ไม่~ ฉันต้องไปรับใช้นายท่า~ ลาลาลัล ลาลาล้า~ ฉันคือสาวน้อยแห่งตระกูลฮั่ง~♫”
บทที่ 150 แต่งตัวดั่งนางฟ้า ตัวปัญหาดั่งพญามาร!
ทางฟากของน้ำตก
ชิงหยานั้นสลบสไลไปแล้ว ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายในจอยังคงฆ่ากันอย่างบ้าคลั่ง ไม่แปลกใจถ้าจะมึนหัว ยิ่งถ้าเธอได้เห็นภาพตอนที่เด็กน้อยต้องจมกองเลือดล่ะก็คงได้สติแตกไปเลยแน่ๆ
เย่ฮั่วโอบชิงหยาไว้ ใบหน้านุ่มนั้นบริเวณมุมปากบวมขึ้นเล็กน้อย ดูท่าจะบีบแรงไปนิด การฝึกเองก็คงต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่งั้นคงจะบาดเจ็บและเหนื่อยหนักแน่ๆ
“นายท่าน” เลี่ยกูที่ปกติจะทำตัวเหลาะแหละ ตอนนี้พูดอย่างจริงจังขึ้นมา
เย่ฮั่วมองไปบนท้องฟ้า ดวงตาของเขามองลึกเข้าไปในนภาก่อนจะพูดอย่างไม่แยแส “ดูก่อน”
พรึ่บ!
เงาดำนั้นโผล่พรวดออกมาและหยุดอยู่ที่หน้าแคมป์ เย่ฮั่วหันมองทันทีด้วยความสงบก่อนจะโบกมือห้ามทุกคนไว้
เจดีย์ 9 อสูรพุ่งเข้ามาหาเขาและหยุดอยู่ตรงหน้าเย่ฮั่ว
หมอกสีดำที่ออกมาจากตัวของมันนั้นเหมือนพยายามจะแสดงความแข็งแกร่งออกมา อวดเขี้ยวอวดเล็บเหมือนจะขู่เขา
ตาของเย่ฮั่วเปล่งประกายสีแดงขึ้น
และเมื่อดวงตาสีแดงของเขาปรากฏขึ้น หมอกสีดำของเจดีย์ 9 อสูรก็หยุดไป และหลังจากนั้น 0.1 วิมันก็สงบเสงี่ยมไปเหมือนหมาเชื่องๆตัวนึง
แม้เหล่าปีศาจจะกล้าคำรามใส่เทวทูตแต่ถ้าไม่จำเป็นก็จะเงียบไว้ดีกว่า ไม่งั้นได้ถูกเผาตายแน่
ในครานี้ เจดีย์ 9 อสูรเองก็ไม่ต่างกับของตกแต่งบ้านทั่วไป ถึงจะน่าเกลียดไปหน่อยก็เหอะกับการที่จะเอาแท่งเหล็กดำๆเช่นนี้ไปตั้งในบ้าน…
เมดสาวที่ 4 ตกใจ เจดีย์ 9 อสูรที่ได้ยินว่าฆ่าและสูบเลือดคนมากว่าหมื่นชีวิตไม่ว่าจะเจ็บจะตาย แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนายท่าน พวกเขากลับได้เห็นใบหน้าเย้ยหยั่นของผู้เป็นนายและเจดีย์คลั่งนั้นที่ทำตัวสงบเสงี่ยม
ช่างเป็นนายท่านที่ลึกลับอะไรแบบนี้
เว่ยชางและเลี่ยกูนั้นขมวดคิ้วแน่น นั่นไม่ใช่เพราะเจดีย์นั่นปรากฏออกมา แต่เป็นเพราะท่านผู้สูงส่งนั้นกำลังจะจัดการกับมันต่างหาก
เย่ฮั่วคิดแล้วคิดอีกว่าจะทำยังไงดี จะทำลายหรือไม่ทำลาย ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์เท่านั้น
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะตัดสินใจโบกมือและปล่อยให้เจดีย์ 9 อสูรหลุดลอยออกไปราวกับกระสุนที่ถูกยิงออกไป
ไม่ไกลนักจากท้องฟ้า
ฉางตี้นั้นสามารถสัมผัสได้ถึงความวุ่นวาย เขาจึงรีบรุจหน้าเข้ามาโดยไว ถึงเขาจะบาดเจ็บเพราะไฮ่ไต่ซี่และจี้เจ้อซวนแต่ยังไงก็ตามมันก็เพิ่มโอกาสให้เขาสามารถตามหาเทพบรรพกาลได้อีกหน่อยนึง
“เหล่าคนรอบตัวจะต้องยอมให้ฉัน! มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าฉันโหดร้ายไม่ได้ ตอนนี้ฉันเองก็ยังกลัวเลยว่าตัวเองจะดุร้ายเกินไป!” เขาพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง นั่นก็เพื่อปลุกกระตุ้นให้ตนเองสามารถล้มเจ้าพวกนั้นได้ ไม่งั้นมันจะยากเกินไปถ้าต้องสู้ไปและหาเทพบรรพกาลไป
อันที่จริงคนอื่นๆไม่ได้สนใจเลยว่าฉางตี้จะไปไหน
ฉางตี้นั้นไม่เคยถูกเมินเช่นนี้มาก่อน ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า! พวกแกใจดีผิดคนซะแล้ว! ในเมื่อเลือกที่จะเมินฉันเอง เพราะงั้นก็จงเสียใจกับการกระทำของตัวเองไปซะ! วันนี้มันจบสิ้นแล้ว!!”
ในช่วงเวลาที่ฉางตี้กำลังประกาศศักดาอยู่นั้น บางสิ่งบางอย่างก็มาพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่จากด้านหลังของเขา ซึ่งตัวเขาเองเข้าใจว่ามันคือการซุ่มโจมตีจึงหลบออกไปเล็กน้อย
หวังต้าเป่าที่รอจังหวะอยู่แล้วเป็นสุขอย่างมาก นั่นไม่ใช่อาวุธลับหรือการซุ่มโจมตีใดๆ แต่มันคือเจดีย์ 9 อสูรที่วกกลับมาต่างหาก เขาทะยานขึ้นไปและคว้ามันเอาไว้ ดูท่าเหล่าผู้ตั้งความหวังไว้ที่หวังต้าเป่าจะไม่เสียเปล่าเสียแล้ว เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนจับเทพบรรพกาลได้แต่นั่นก็คงเป็นโชคชะตาแล้วล่ะ
ฉางตี้มองเห็นหวังต้าเป่าจับเจดีย์ 9 อสูรไว้ ในขณะที่ทุกคนต่างก็ดีอกดีใจและตื่นตระหนกกัน ตัวเขาเองกลับไม่กล้าหันหน้ากลับและหนีไปเสีย
โจวซิงหรานและกวงเทียนมองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจลำเลียงคนออกจากพื้นที่ ปล่อยให้คนจากโลกแห่งอารยธรรมพยายามแย่งมันต่อไป
อย่างไรก็ตาม ฉางตี้ไม่ได้ขยับไปไหน ใบหน้าเหล่อเหลานั้นเหมือนถูกสวมด้วยหน้ากากแมลงสาปที่ไม่มีใครสนใจ ใครกันนะที่กล้าทำแบบนี้กับเขา!
หันกลับไปมอง ไม่ไกลนักในหุบเขา เขาก็พบลำแสงจากกองไฟ
ฉางตี้กำหมัดทั้งสองข้างแน่น ลมปราณแรงกล้าปะทุออกจากร่างของเขา และทันใดนั้นก็เกิดกระแสลมพัดร่างที่เปี่ยมด้วยลมปราณให้พุ่งฝ่าชั้นเมฆ รวดเร็วดุจสายฟ้า สะเทือนโลกหล้าราวกับวันสิ้นโลก
ถึงจะไม่ได้เทพบรรพกาลมาครอบครอง แต่ใครก็ตามที่เมินเขามันต้องตาย!
เขามุ่งหน้าไปยังหุบเขาอย่างรวดเร็ว ด้วยความตื่นตระหนักว่าพลังอันยิ่งใหญ่ที่รับรู้ได้นั้นคืออะไรกันแน่!
เย่ฮั่วและคนอื่นๆนั้นยังไม่ได้ลุกออกจากโต๊ะ ทุกคนนั่งกันเงียบๆราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง เว่ยชางและเลี่ยกูนั้นไม่ปกติเล็กน้อยแต่สำหรับสาวๆแล้วพวกเธอยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้น่าตกใจ
และเช่นเดิม เย่ฮั่วยังโอบชิงหยาไว้ในอ้อมแขน ในขณะนั้นก็หยิกแก้มหยิกจมูกเธอไปด้วย ทำทุกอย่างที่จะแกล้งได้
ตู้ม!
เงาดำทยานลงมาจากฟากฟ้านำพามาซึ่งแรงปะทะที่รุนแรงจนปฐภีสั่นสะเทือนไปหมด
คึ่ก!คึ่ก!คึ่ก!
แรงสั่นสะเทือนทำให้สัญญาณกันขโมยของรถทั้งสองคันดัง
ฉางตี้มองไปยังกลุ่มคนที่มาตั้งแคมป์กันตรงหน้าเขา นัยน์ตาเขาเองแสดงออกมาซึ่งความสับสน นั่นใช่นายท่านที่เคลียร์บาร์รึเปล่าน่ะ? แล้วนั่นก็บอดี้การ์ดกับเยาวชน!
เมดสาว 4 คนนั่น…ทำไมถึงมีเมดมาอยู่ในที่แบบนี้กัน!
แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงไอ้เจ้าเงาดำที่โผล่มาตอนแรก เป็นไปได้ว่าคนพวกนี้อาจจะเป็นเหยื่อล่อและเจ้าผ้าคลุมดำนั่นอาจจะดักโจมตีอยู่ก็ได้
เอาเถอะ จากการดูคร่าวๆแล้วถ้าจะฆ่าพวกนี้แค่กระดิกนิ้วก็ได้แล้ว
แต่สาวๆพวกนี้ก็จัดว่าเกรดสูงซะด้วย ปล่อยตายไปคงน่าเสียดายไม่น้อยเลย
ฉางตี้มองไปยังเย่ฮั่วผู้ที่ไม่ได้สนใจเขาเลยเพราะมัวแต่หยิกแก้มของชิงหยาอยู่
เว่ยชางถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย “แล้วใครจะเป็นคนจัดการปัญหานี้ล่ะ?”
เมดสาวทั้งสี่ดูเปล่งประกาย แม้แต่ถังเว่ยเองก็ดูจะสนใจกับเรื่องนี้ด้วย นอกจากเธอจะไม่กลัวแล้ว ดูเหมือนว่าเธอมีใจที่จะสู้ขึ้นมาซะงั้น
ฉางตี้ยืนมองสาวๆเดินไปกระซิบกระซาบกันด้วยความสงสัยสุดๆ
และทันใดนั้นเสียงหวานจ้อยก็ดังขึ้นมา
เป่ายิ้งฉุบ!
เป่ายิ้งฉุบ!
เป่ายิ้งฉุบ!
เป่ายิ้งฉุบ!
“ฮ่ะ ฮ่า!ฉันชนะ!” ไป่เสี่ยวเฉินตะโกนออกมาอย่างดีใจพร้อมกับความกระวนกระวายแบบสุดๆ
สาวๆอีกสามคนก็ต่างกรีดร้อง นี่น่ะคือการโชว์ศักยภาพ ไม่ใช่ต่อหน้าหนุ่มๆเท่านั้น แต่เป็นต่อหน้านายท่านของพวกเธอ ช่างเป็นโอกาสที่ดีอะไรเช่นนี้ ถ้าพลาดไปก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่
เธอสำรวมมือไว้บริเวณหน้าท้องและเดินตรงเข้าไปหาฉางตี้ช้าๆก่อนจะพูดด้วยเสียงเหนียมอาย “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นคู่ต่อสู้ของคุณสำหรับครั้งนี้”
ฉางตี้เหมือนโดนดาเมจนับหมื่นในคราเดียว ช่างเป็นคนที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้
นี่ใช้การเป่ายิ้งฉุบเพื่อหาว่าใครจะออกมาสู้ก่อนงั้นเหรอ!
แถมยังเป็นสาวๆหมดเลยด้วย!
แถมยังมาพูดทักทายอีก!!
นี่มันวันอะไรของฉันกันเนี่ย!!!
สนธยายามนี้ช่างทำให้เขาสั่นไหวยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม นี่มันคือการดูถูกชัดๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือการดูถูกจากผู้หญิงอ่อนแอเช่นนี้ด้วย!
ถึงจะมองข้ามความสูงส่งของจักรพรรดิ(ตี้)ในชื่อก็เถอะ แต่ก็อย่ามาโทษฉันทีหลังที่บังอาจมาทำตัวร้อนแรงใส่ละกัน!
ไป่ เสี่ยวเฉินแสดงออกถึงความเขินอาย นอกจากนั้นคนอื่นก็ดูจะหงอยๆลงไปด้วย
เมื่อทั้งสองเตรียมพร้อมที่จะโจมตีใส่กัน เสียงหวานแหววก็ลอยออกมาจากในป่าอีก
“กระต่ายตัวน้อยพยายามกระแทก~ ท้ายสุดประตูก็เปิดออก~เร็วเข้า รีบออกมาเร็วเข้า ฮิๆ~♫”
เลี่ยกูหรี่ตาแล้วตะโกนเรียกผู้หญิงของเขากลับมา “เสี่ยวเฉิน กลับมา!”
ไป๋เสี่ยวเฉินมองย้อนกลับไป เธอถอนหายใจและยอมถอยกลับ
ฉางตี้ไม่ได้สนใจไป๋เสี่ยวเฉินนัก หากแต่กำลังจับจ้องอยู่กับเงาที่ออกมาจากป่ามากกว่า
เสียงร้องเพลงนั้นเข้าใกล้เรื่อยๆ จนกระทั่งร่างของเธอปรากฏออกมา
ดวงตาของฉางตี้นั้นเบิกกว้างเพราะช็อค สาวน้อยตัวเล็กนั้นคือเด็กสาวที่อยู่ในโลงศพนี่! ทำไมเธอถึงออกมาได้!!
มองแว้บแรกนั้นเธอดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่สวมชุดสีแดงเลย
“กระต่ายน้อย~ เธอหลบซ่อนอยู่ที่แห่งนี้สินะ~ ผู้คนทำร้ายเธอมาเนิ่นนาน จนเธอไม่อยากไปไหน~ เหนื่อยล้าเหลือเกิน~♫” สาวน้อยหยิบพัดเล็กๆขึ้นมาโบกสะบัด มันทำให้เธอดูน่ารักไม่หยอกเลย
ใบหน้าของฉางตี้บิดเบี้ยว นี่มันความอัปยศครั้งใหญ่ของเขาเลยนะ!
“แต่งตัวดั่งนางฟ้า ตัวปัญหาดั่งพญามาร!”
ฝ่ามือของฉางตี้ฟาดลงไปที่ร่างของเด็กสาวนั้น แต่ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นร่างสีดำ ร่างที่โดนสับด้วยฝ่ามือสั่นไหวและบิดเบี้ยวก่อนที่เด็กสาวจะค่อยๆจมหายไป
GG:บทที่ 151 – เย่จีจี้
ฝ่ามือของฉางตี้ยื่นออกไปข้างหน้า ฝุ่นดินที่ตลบคลุ้งจางหายไป สภาพพื้นดินเบื้องหน้าเขาเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ คล้ายกับว่ามีเครื่องเจาะขนาดยักษ์มาขุดแยกเอาไว้
แววตาที่เยือกเย็นของฉางตี้พลันปรากฏความประหลาดใจ แล้วลงเอยด้วยประกายแห่งความหวาดหวั่น
เมื่อมองไปที่ร่างซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ฉางตี้แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าพลัง “ฝ่ามือแยกแผ่นดิน” ของเขาที่ไม่มีใครต้านทานได้ กลับไม่สามารถทำอะไรเด็กหญิงตัวน้อยได้เลย ร่างของเธอลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย ผมหางม้าสองข้างปลิวไสวในสายลม
เด็กหญิงกำลังยกมือปิดปากพลางหัวเราะในลำคอ “หึๆ มีฝีมือเหมือนกันนี่นา!”
คนรับใช้ทั้ง 4 ของเย่ฮัวเห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ได้แต่ตกตะลึงว่าเด็กหญิงคนนี้เป็นใครกันแน่?!
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เย่ฮัวกลับมีสีหน้าเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
ฉางตี้ตกตะลึงจนแทบหายใจไม่ออก เด็กหญิงคนนี้ไม่ได้เป็นเด็กอย่างที่เห็น แต่เธอคือปีศาจ! แน่นอนว่าผู้พิทักษ์อาวุธโบราณต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ
ถ้าสู้ไปก็มีแต่พ่ายแพ้ ตอนนี้การขโมยอาวุธโบราณสำคัญกว่า!
ฉางตี้หันหลังกลับ วิ่งหนีออกมาโดยไม่ลังเลสักนิด
เขาไม่สนใจรักษาหน้าของตัวเองอีกแล้ว พลังที่ฉางตี้เชื่อว่าเป็นท่าไม้ตายของตนเอง กลับไม่ระคายผิวของปีศาจน้อยตนนี้แม้แต่นิดเดียว เรื่องนี้ปล่อยให้พวกตระกูลชิงจัดการกันเองดีกว่า นี่แหละคือวิธีการที่เรียกว่ายืมดาบฆ่าคน
เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “กระต่ายน้อยวิ่งหนีไปแล้ว น่ารักจังเลย”
ผมหางม้าทั้งสองข้างของเธอพุ่งออกมาข้างหน้า ฉางตี้พยายามวิ่งให้เร็วที่สุดในชีวิต แต่ก็ถูกผมหางม้าข้างหนึ่งของเด็กหญิงรัดพันข้อเท้าเข้าจนได้
ฉางตี้เสกดาบยาวมาถือในมือ และตวัดดาบลงตัดเส้นผมที่ข้อเท้า
เช้ง!
เหลือเชื่อ!
เสียงการแตกหักของเหล็กดังขึ้น ฉางตี้จ้องมองดาบที่หักคามือด้วยสายตาหวาดกลัว นี่มันเป็นไปไม่ได้!
ผมหางม้าของเด็กหญิงเลื้อยวนเหมือนกับงูพิษ มันรัดพันขึ้นมาบนขาของฉางตี้แนบแน่น แล้วกระชาก
โครม!
ฉางตี้ล้มลงกระแทกพื้น และถูกผมหางม้าจับฟาดขึ้นฟาดลงอย่างต่อเนื่องแทบกระอักเลือดตาย
หลังจากนั้น ฉางตี้ก็ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวสุดชีวิต เมื่อร่างกายของเขาถูกผมหางม้าของเด็กหญิงรัดพันทั้งตัว ไม่ว่าพยายามดิ้นเท่าไหร่ ก็ดิ้นไม่หลุด!
ในขณะนั้น ผมหางม้าอีกข้างหนึ่งก็ค่อยๆ เลื้อยตรงเข้ามา ฉางตี้มองดูเส้นผมของเด็กหญิงด้วยความพรั่นพรึง ความรู้สึกหวาดกลัวของเขาพุ่งถึงขีดสุดเกินจะบรรยายได้อีกแล้ว
ปลายผมหางม้าของเธอ มีปากเล็กๆ พร้อมด้วยฟันอันแหลมคม!
“ไม่นะ ไม่ อย่าเข้ามา!” ฉางตี้ได้แต่ร้องด้วยความหมดหวัง แต่ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเขาได้อีกแล้ว
ผมหางม้าเส้นนั้นเลื้อยเข้าไปในปากของฉางตี้ทันที ก่อนที่จะจัดการดูดกินเลือดของเขาจนหมดตัวอย่างเอร็ดอร่อย
ร่างของฉางตี้แห้งไปในพริบตาเดียว ไม่เกินสิบวินาที ก็เหลือเพียงโครงกระดูกกับชั้นผิวหนังบางๆ เท่านั้น ไม่มีใครจะสามารถจำรูปลักษณ์เดิมของเขาได้อีกแล้ว ว่าร่างๆ นี้เคยเป็นฉางตี้สุดหล่อผู้โด่งดังมาก่อน!
แม้แต่ตอนที่ฉางตี้สิ้นใจไป เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เด็กหญิงเลียริมฝีปากสีแดงสดของเธอแผล็บๆ “อร่อยจังเลย ดีกว่าพวกเมื่อกี้ตั้งหลายเท่า”
หลังจากที่ผมหางม้าของเธอเลื้อยกลับมาอยู่บนศีรษะแล้ว เด็กหญิงก็หันมายิ้มให้กับเย่ฮัว “คนพวกนั้นเป็นกระต่ายน้อย แต่นายคือพี่เสือใหญ่ ห้ามวิ่งหนีแบบกระต่ายน้อยนะ ไม่งั้นฉันจะโกรธ”
เย่ฮัวโอบกอดชิงหยาในอ้อมแขน หันมามองหน้าเด็กน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกลและถามออกมาเสียงแผ่วเบาว่า “เธอชื่ออะไร?”
เด็กหญิงกัดริมฝีปากและยกมือขึ้นจับคางตัวเองอย่างครุ่นคิด ผ่านไปอึดใจใหญ่ เธอก็ตอบว่า “อืม ฉันไม่บอกดีกว่า”
“เย่จีจี้!” เย่ฮัวพูดออกมาทันที
ดวงตาของเด็กหญิงเบิกกว้างในขณะที่ผงะถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นเยือกเย็น เธอถามออกมาว่า “นายเป็นใคร! รู้จักชื่อฉันได้ยังไง?”
เย่ฮัวเฝ้าสังเกตทุกอิริยาบถของเด็กหญิง รวมถึงสีหน้าของเธอด้วย ก่อนที่เขาจะตอบ “เย่จีจี้ ถ้าสู้กับฉัน มันจะเป็นจุดจบของเธอ!”
เด็กหญิงยิ้มกว้างแล้วสะบัดผมหางม้าทั้งสองข้าง “ฉันก็ไม่รู้นะว่านายรู้จักฉันได้ยังไง แต่ท่าทางนายน่าอร่อยจริงๆ”
“ใจเย็นก่อน นายท่าน!”
เว่ยชางและเลี่ยกู่ตะโกนขึ้นพร้อมกันในขณะที่รู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วกาย
เด็กหญิงตัวน้อยยื่นมือออกมาข้างหน้าพร้อมกับมีสีหน้าขุ่นมัว หลังจากนั้นจึงเสกกระจกขึ้นมา เพื่อส่องดูว่าทรงผมยังเรียบร้อยดีอยู่หรือไม่
เว่ยชางและเลี่ยกู่รับรู้ได้ว่าผู้เป็นนายเหนือหัวเริ่มมีอารมณ์ฉุนโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว พวกเขารีบพูดทันทีว่า “นายท่านครับ ให้พวกข้าน้อยจัดการเถอะ”
เย่ฮัวทราบดีว่าเว่ยชางและเลี่ยกู่กำลังคิดอะไรอยู่ สองคนนี้อยากจะปกป้องเย่จีจี้!
ใช่แล้ว เว่ยชางกับเลี่ยกู่อยากปกป้องเด็กผู้หญิงคนนี้ เนื่องจากรู้ดีว่า ถ้าให้ผู้เป็นนายเหนือหัวลงมือ โอกาสที่เด็กน้อยจะต้องตายก็มีสูงมาก!
จะอย่างไรพวกเขาก็เคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อน แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ เมื่อเจอหน้ากันแล้วกลับจำกันไม่ได้ เว่ยชางและเลี่ยกู่เคยเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กผู้หญิงคนนี้ในกลุ่ม 7 บาป แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันไม่แตกต่างจากการที่เย่จีจี้กำลังทรยศพวกเขาอยู่เลย!
ถึงแม้ว่าเด็กหญิงจะเป็นตัวแสบสำหรับทุกคน แต่เธอก็เป็นน้องน้อยที่คอยตั้งฉายาให้กับคนในกลุ่ม 7 บาปเสมอ และมีเพียงแต่เธอผู้เดียวเท่านั้นที่กล้าเรียกเย่ฮัวด้วยฉายาว่า “พี่ชายกระดูกใหญ่” แต่เย่จีจี้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้ มีนิสัยที่แตกต่างไปจากเย่จีจี้ที่เคยอยู่ร่วมกับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
แต่ถึงอย่างนั้น เว่ยชางและเลี่ยกู่ก็ยังไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้านี้อยู่ดี
เย่ฮัวสูดหายใจลึกๆ และคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง
เท่าที่เขาจำได้ เย่จีจี้ตัวเล็กน่ารักเหมือนกับตุ๊กตาตัวน้อย
ในตอนนั้น เย่ฮัวปลอมตัวลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อสังหารมนุษย์ และพวกเขาก็ควรสังหารเย่จีจี้ แต่สมาชิกคนหนึ่งใน 7 บาปกลับดูออกว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ เย่ฮัวก็เลยช่วยชีวิตเย่จีจี้เอาไว้
เย่ฮัวยังจำได้อีกเช่นกันว่า ดวงตาสีแดงของเธอในตอนนั้น เต็มไปด้วยความหมองเศร้า
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เย่จีจี้ก็เริ่มปรับตัวเข้ากับ 7 บาปได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้น เว่ยชางมักจะเป็นคนเดียวที่ออกล่ามนุษย์ เย่จีจี้ไม่ยอมทำอะไรเลย เธอขี้เกียจมากเกินไป ถ้าได้ล้มตัวนอนเมื่อไหร่ เธอก็จะไม่ลุกขึ้นอีกเลย
ไม่รู้ว่าไปเอาแบบอย่างมาจากไหนเหมือนกัน
ดูเหมือนนิสัยในส่วนนี้ของเธอยังไม่เปลี่ยนไป สังเกตได้จากเหตุการณ์ในวันนี้ เย่จีจี้ไม่ชอบออกล่าเหยื่อทีละคน เธอจึงใช้อาวุธโบราณเป็นเหยื่อล่อให้มนุษย์เข้ามาหาเธอเอง เพื่อที่เธอจะได้ฆ่าพวกนั้นโดยไม่ต้องเปลืองแรงเดินทางไกล
เย่ฮัวมองใบหน้าของเด็กน้อยที่คุ้นเคย ภาพความทรงจำสุดท้ายผุดขึ้นมา เย่จีจี้ถูกยอดฝีมือสามคนรุมเล่นงาน สุดท้ายก็กลับมาอยู่ในอ้อมอกเขาด้วยสภาพปางตาย สิ่งที่เด็กน้อยพูดกับเขาในวันนั้น ยังกึกก้องอยู่ในใจเขามาจนถึงวันนี้
ชายหนุ่มจำได้ไม่เคยลืมว่าในตอนที่เย่จีจี้กระอักเลือดออกมาเต็มปาก ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือขึ้น แต่แววตาของเธอยังบอกชัดว่าไม่ยอมแพ้
“พี่ชายคะ จีจี้ยังไม่อยากตาย จีจี้ยังอยากเล่นกับพี่ จีจี้ยังอยากแข่งขันกับพวกปีศาจ จีจี้อยากขี่มังกรโครงกระดูก จีจี้อยากอยู่กับพี่ พี่ชายกระดูกใหญ่…จีจี้หนาว…หนาวเหลือเกิน…”
ในวันนั้น เย่จีจี้สิ้นใจไปในอ้อมแขนของเขา และเป็นครั้งแรกที่เย่ฮัวได้ทราบถึงความรู้สึกเจ็บปวดของมนุษย์ เวลาที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในศึกสงคราม
เย่จีจี้เป็นสมาชิกคนแรกใน 7 บาปที่เสียชีวิต ตอนนั้นทุกคนเสียใจจนบ้าคลั่ง แม้จะต้องบาดเจ็บเจียนตาย แต่พวกเขาก็สังหารยอดฝีมือทั้งสามคนนั้นได้สำเร็จ
ในปัจจุบัน เย่จีจี้ยังคงเป็นคนเดิม ทุกอย่างยังดูเหมือนเดิม แต่นั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ดูเหมือนว่าจิตใจของเธอจะเปลี่ยนไปแล้ว เย่ฮัวไม่สามารถปล่อยให้ผู้อื่นมาแตะต้องเธอได้จริงๆ
เมื่อสูดหายใจลึกอีกครั้ง เย่ฮัวก็พูดออกมาว่า “ข้าจะจัดการเอง!”
GG บทที่ 152 – เคาะสนิม
เว่ยชางและเลี่ยกู่ตื่นตระหนกถึงขีดสุด ได้แต่ร้องอุทานออกมาว่า “นายท่าน!”
ตอนที่บรรดาคนรับใช้ทั้งสี่เห็นสีหน้าแววตาของเว่ยชางกับเลี่ยกู่ สีหน้าทุกคนก็เกิดความสงสัยขึ้นทันที
ในไม่ช้า ดวงตาของเย่ฮัวก็มีแต่ความเย็นชา เว่ยชางกับเลี่ยกู่ทำอะไรไม่ได้นอกจากค้อมศีรษะลงเท่านั้น
เย่ฮัวเดินอุ้มชิงหยากลับเข้าไปในเต็นท์ที่พัก ลูบผมเธอให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนที่จะถอนหายใจและเดินกลับออกมา หยุดยืนห่างจากเย่จีจี้ประมาณ 5 เมตร
เว่ยชางกับเลี่ยกู่มีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้จะจัดการกับเย่จีจี้อย่างไรดี
เย่ฮัวหยิบบุหรี่ออกมาจากกล่องหนึ่งมวน ขมวดคิ้วพูดว่า “ฉันไม่ได้ปล่อยพลังมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว”
เย่จีจี้มองชายที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาชอบกล แต่เธอก็จำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็น่าจะเป็นอาหารมื้ออร่อยสำหรับเธออยู่ดี
“อิอิ นายเป็นคนที่มีพลังเยอะที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย” เย่จีจี้พูดพร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบนแก้มชัดเจน
เย่ฮัวหัวเราะในลำคอ “เดี๋ยวนี้กล้าหาญกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนี่”
“แหม คนเรายิ่งโต ความกล้าหาญก็ยิ่งมากขึ้นไงล่ะ” เย่จีจี้ยังคงพูดด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง
เย่ฮัวรู้สึกสับสนเล็กน้อย น้ำเสียงที่เธอใช้ เหมือนกับเย่จีจี้สมัยก่อนไม่มีผิด เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทันใดนั้น ดวงตาสีแดงของเด็กหญิงก็เกิดความแปลกประหลาดขึ้น เหมือนกับว่าดวงตาของเธอกำลังหมุนติ้วๆ อยู่ในเบ้าตา
หลังจากนั้น เย่จีจี้อุทานออกมาว่า “โอ้โห พี่ชายกระดูกใหญ่”
บุหรี่ในมือของเย่ฮัวร่วงตกลงไปอยู่บนปลายรองเท้าหนังของเขา ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “พี่ชายกระดูกใหญ่รึ!”
เย่ฮัวจำได้ว่าเย่จีจี้เคยเรียกเขาแบบนั้น เนื่องจากตอนนั้นเขายังมีร่างกายเป็นเพียงโครงกระดูกขนาดใหญ่ แถมยังเป็นคนพูดน้อยอีกด้วย
“ไม่นึกเลยนะว่านายจะมีกระดูกใหญ่ขนาดนี้” เย่จีจี้พูดต่อด้วยความประหลาดใจไม่แพ้กัน และเมื่อเธอมองอีกสองชีวิตที่อยู่ข้างกายเขา เย่จีจี้ก็พบว่าคนหนึ่งเป็นปีศาจ ส่วนอีกคนก็เป็นมังกรโครงกระดูก เรื่องนี้ชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ
เย่ฮัวถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หลงดีใจว่าเย่จีจี้จำความหลังขึ้นมาได้แล้ว แต่ไม่ใช่เลย เธอกำลังใช้ดวงตามองทะลุร่างกายของพวกเขาต่างหาก
ใบหน้าของเย่จีจี้แสดงความตื่นเต้นออกมาแล้ว “มังกรโครงกระดูกน่ารักจังเลย มาเป็นสัตว์เลี้ยงของฉันไหมจ๊ะ รับรองว่าฉันจะไม่กินเลือดนาย”
ริมฝีปากของเย่ฮัวกระตุกเล็กน้อย เลี่ยกู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็นึกถึงครั้งที่เคยอยู่ด้วยกันในอดีต หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าทันที
สมัยก่อน เย่จีจี้ยังไม่ได้มีฝีมือโหดร้ายอำมหิตขนาดนี้ เรียกได้ว่าเธอมีทักษะการต่อสู้รั้งท้ายกลุ่ม 7 บาปด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่เลี่ยกู่ช่วยฝึกสอนพลังให้ เย่จีจี้จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาไปเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอตลอด สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการตีกันอุตลุด ก็จะให้เขาทำอย่างไรได้ล่ะ
ความเสียใจอย่างหนึ่งก่อนที่เย่จีจี้จะเสียชีวิตไปก็คือ เธอไม่เคยมีโอกาสได้ขี่มังกรโครงกระดูกตามที่ใฝ่ฝันเอาไว้
“มันก็ขึ้นอยู่ที่ว่า เธอมีความสามารถขนาดไหน”
“งั้นก็ได้เลย ฉันจะเริ่มแล้วนะ”
เมื่อการต่อสู้กำลังจะอุบัติขึ้นจริงๆ เย่จีจี้ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาแล้ว ถึงแม้ว่าใบหน้าเธอจะยังยิ้มแย้ม แต่ก็รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีพลังที่กล้าแข็งมาก เช่นเดียวกับข้ารับใช้ทั้งสองคน และหญิงรับใช้อีก 4 คนนั้นอีก ที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยสักคนเดียว
“ท่านหม่านไค ทางนั้นครับ!”
จังหวะนั้นเอง กลุ่มคนประมาณ 3,000 ชีวิตก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน
นี่คือพรรคพวกฟากเหนือซึ่งเป็นผู้ติดตามฉางตี้นั่นเอง
เมื่อครู่นี้ หลังจากที่หม่านไควิ่งหนีไปเพื่อเอาตัวรอด เขาก็ไม่สามารถติดต่อฉางตี้ได้อีกเลย แต่อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มผู้เป็นสมาชิกสำนักเฟิงหวังโหลวก็ตัดสินใจพาลูกศิษย์กลับมาสำรวจดูอีกครั้ง และพบว่าพรรคพวกของตนเองสูญหายไปไหนก็ไม่รู้
นอกจากหม่านไคแล้ว อีกสองสมาชิกระดับสูงของสำนักเฟิงหวังโหลวที่ตามมาดูด้วย ก็คือชูเจิ้งไห่กับเหอเฟิง
คนกว่าสามพันคนยึดครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของหุบเขาเล็กๆ ทันที
สมาชิกระดับสูงของสำนักทั้งสามคน ยืนอยู่ตรงหน้าศพที่แห้งกรังของฉางตี้ แต่ไม่มีใครจดจำได้เลยว่านั่นคือฉางตี้ สภาพศพของเขาในตอนนี้ ต่อให้มารดาของเขามาดูศพลูกชายตัวเอง นางก็คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เนื่องจากว่าเย่จีจี้ยืนหันหลังให้คนจากสำนักเฟิงหวังโหลวเหล่านี้ พวกเขาจึงจำเธอไม่ได้ ทุกคนมองเห็นแต่เพียงเย่ฮัว และลงความเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเอาเรื่องจริงๆ
นอกจากนั้น ยังมีชายอีก 2 คนกับผู้หญิงอีก 4 คน แล้วก็มีเต็นท์ที่พักอีกหลายหลัง ดูเหมือนคนพวกนี้จะมาตั้งแคมป์อะไรทำนองนั้น ผู้หญิงทั้ง 4 คนแต่งกายด้วยชุดที่ดึงดูดสายตาไม่น้อย ถือว่ารสนิยมของคนกลุ่มนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
แต่เด็กผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นเจ้าหญิงในการ์ตูนนั้นล่ะ ดูเหมือนคนกลุ่มนั้นกำลังจะสู้กับเด็กคนนี้
หม่านไคเป็นคนที่เกลียดการรังแกผู้หญิงเป็นอย่างมาก
“ถ้าจะทำอะไรเด็กผู้หญิงคนนี้ แกต้องข้ามศพฉันไปก่อน!” นั่นคือคำที่หม่านไคพูดออกมาระหว่างเดินตรงเข้าไปหาเย่จีจี้พร้อมกับยิ้มกว้างแสดงความร้ายกาจ
เย่ฮัวจุดบุหรี่สูบไม่พูดอะไร
หม่านไคตบไหล่เย่จีจี้ ยิ้ม แล้วพูดว่า “เด็กน้อยไม่ต้องกลัวนะ พี่ชายอยู่ตรงนี้ทั้งคน มีปัญหาอะไรกับคนพวกนี้ บอกพี่มาได้เลย”
“จริงเหรอคะ พี่ชาย?” เย่จีจี้หันหน้ามาพร้อมรอยยิ้ม
ดวงตาของหม่านไคเบิกกว้าง ลมหายใจชะงักขาดห้วงทันที นี่มันยัยเด็กผู้หญิงที่อยู่ในโลงศพไม่ใช่เหรอ!
ผมหางม้าของเด็กหญิงพุ่งทะลวงเข้าไปในปากของเขาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เมื่อผมหางม้าถูกดึงกลับออกมาจากปากของหม่านไค ร่างของเขาก็ซูบผอมกลายเป็นมัมมี่ไปทันที
เหตุการณ์นี้ทำให้กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ส่งเสียงฮือฮาพร้อมกับจ้องมองเย่จีจี้ด้วยความตกตะลึง
“พวกเราเข้าไปช่วยเร็ว!” เหอเฟิงตะโกนด้วยความแตกตื่น ลูกศิษย์จำนวนมากพากันมองหน้าผู้เป็นอาจารย์และคิดอยู่ในใจว่า ถ้าอยากได้หน้าขนาดนั้น ทำไมไม่บุกเข้าไปช่วยเองเลยล่ะ
เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครตอบสนองต่อคำสั่ง ชูเจิ้นไห่จึงตะโกนออกมาเสียงดังว่า “หม่านไคเสียท่าพวกมันแล้ว พวกเราจงอย่าทำให้เฟิงหวังโหลวต้องเสียหน้าเด็ดขาด!”
กลุ่มลูกศิษย์ของสำนักเฟิงหวังโหลวรู้สึกอับอายแทบตาย เจ้าสำนักของพวกเขากำลังจะส่งลูกศิษย์ไปเสี่ยงชีวิตอีกแล้ว
เย่จีจี้หันหน้ากลับมา ผมหางม้าของเธอขยับตลอดเวลาไม่อยู่กับที่
นั่นเองจึงทำให้ทั้งหมดได้เห็นว่าร่างของหม่านไคกลายเป็นเพียงซากศพที่แห้งกรัง เด็กหญิงหันหน้ามาทำมุม 180 องศา พร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงน่ารักน่าชังว่า “อยากมาเล่นด้วยกันไหมจ๊ะพี่จ๋า”
ทุกคนที่เห็นภาพนี้แทบหยุดหายใจและก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
ในวินาทีที่สำคัญนี้เอง เหอเฟิงและชูเจิ้งไห่คำรามออกมาว่า “ถอนกำลัง! ถอนกำลัง! พวกเราถอย!”
ในขณะนี้ทุกคนต่างทราบดีแล้วว่า แม้แต่ผู้มีฝีมือระดับสูงอย่างหม่านไคก็ยังเสียชีวิตโดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้องด้วยซ้ำ แล้วลูกศิษย์ฝีมือธรรมดาอย่างพวกเขา จะไปต่อสู้กับเด็กผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร
“กระต่ายน้อยน่าเกลียดพวกนี้วิ่งหนีอีกแล้วอ่ะ” เย่จีจี้กรีดร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
เสียงกรีดร้องของเธอทำให้คนทั้งสามพันคนถึงกับตัวสั่นงันงกและขนลุกเกรียว
ควับ!
จังหวะนั้นเอง คลื่นพลังงานที่เป็นรัศมีวงแหวนก็แผ่ปกคลุมทั่วทั้งหุบเขา เย่จีจี้ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะเหลียวหน้ามองไปข้างหลังอย่างช้าๆ
เย่ฮัวคาบบุหรี่อยู่ที่มุมปาก มือขวาของเขายกขึ้นโบกสะบัดเบาๆ เล็กน้อย
ดวงตาของเย่จีจี้เบิกโต เมื่อพบว่ามีม่านพลังสีแดงห้อมล้อมร่างกายของเธออยู่
อะไรกันเนี่ย!
ม่านพลังมีลักษณะเป็นรูปไข่ครอบคลุมร่างกายของเธอไว้ ด้วยเหตุนี้ เย่จีจี้จึงไม่ได้รับผลกระทบจากคลื่นพลัง มีเพียงม่านพลังเท่านั้นที่เกิดรอยร้าวเหมือนใยแมงมุมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ในขณะเดียวกันนี้ กลุ่มคนกว่า 3,000 คนที่กำลังจะวิ่งหนี ก็เสียชีวิตกลายเป็นเพียงฝุ่นผงในอากาศ ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน แม้แต่ผนังหินบนภูเขาด้านข้าง ก็ยังถูกคลื่นพลังที่มองไม่เห็นตัดจนแยกออกจากกัน
ศพของฉางตี้ที่นอนอยู่บนพื้นเมื่อสักครู่นี้ ตอนนี้ก็สูญสลายหายไปแล้ว!
นี่คือพลังวงแหวนที่เย่ฮัวปล่อยออกมาเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้ใช้งานมาสักพักใหญ่ๆ ความน่ากลัวของเขาก็คือ ถึงแม้คนจำนวนนับพันคนจะต้องร่างสลายไปในอากาศ แต่เย่จีจี้กลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิดเดียว
เย่จีจี้ปัดมือสลายม่านพลังที่ครอบคลุมตัวเธออยู่ออกไป และพูดออกมาด้วยความโกรธแค้นว่า “ฉันเกลียดนายแล้ว! ทำอาหารของฉันหายไปหมดแบบนี้ ชดใช้มาให้ฉันเลยนะ!”
GG:บทที่ 153 – โกงกันนี่นา
เย่ฮัวยิ้มมุมปาก โบกสะบัดมือซ้ายเล็กน้อย แล้วร่างของทั้งสองคนก็หายวับไปในอากาศ
เว่ยชางมองคนทั้งสองหายตัวไป แล้วหันไปมองหน้าเลี่ยกู่
“ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่” เลี่ยกู่พูดออกมาด้วยความร้อนใจ และรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
เว่ยชางมองความว่างเปล่าเบื้องหน้า ก่อนสูดหายใจลึก “ฉันไม่ได้อยากเห็นพวกเขาสู้กัน ฉันแค่อยากเห็นว่าพวกเขาจะทำยังไงต่อ”
“แต่จีจี้ไม่เหมือนเดิมแล้วนะ ฉันว่าเธอโตขึ้น” เลี่ยกู่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน เพราะกลัวว่านายเหนือหัวจะพลั้งมือฆ่าเด็กน้อย
เว่ยชางไม่เข้าใจว่าในตัวตนของมนุษย์นั้น มีทั้งด้านดีและด้านร้ายอยู่ในตัวคนๆ เดียวกัน
มนุษย์ช่างซับซ้อนเหลือเกิน!
“นายเหนือหัวของเราก็ไม่ใช่คนเดิมในอดีต เขาไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลอีกต่อไปแล้ว” เว่ยชางพูดเสร็จก็ถอนหายใจ เดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กและหยิบเบ็ดตกปลาขึ้นมาถือ
แต่เขาก็ไม่ได้เหวี่ยงเบ็ดออกไป เห็นได้ชัดว่าเว่ยชางกำลังวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
จังหวะนั้น เลี่ยกู่กำลังจะเดินแยกออกมา ก็รู้สึกได้ว่าพื้นดินใต้เท้าเกิดแรงสั่นสะเทือน มีก้อนหินร่วงลงมาจากภูเขา ฝูงนกที่อยู่ในป่าพากันบินขึ้นฟ้าด้วยความตกใจ
แต่เขาทั้งสองคนก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจากรอคอยผลลัพธ์ที่จะออกมาเท่านั้น เว่ยชางและเลี่ยกู่ได้แต่หวังว่าผลลัพธ์คงไม่ได้ออกมาเลวร้ายอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้!
ณ อีกด้านหนึ่ง
เย่จีจี้กวาดตามองรอบกายด้วยความสงสัย แสงแดดส่องสว่าง รอบข้างมีแต่บ้านเรือนที่แตกร้าว ป่าไม้ยืนต้นตายผุพัง เด็กหญิงไม่รู้เลยว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ทำไม
“พี่ชาย พาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย” เย่จีจี้ถามด้วยความไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่าเธอและเขาจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อสู้กันเสียแล้ว
เย่ฮัวสูบบุหรี่พร้อมกับเดินเข้าไปในป่าที่ตายซาก เพียงแค่เขาดีดนิ้วเบาๆ เท่านั้น ต้นไม้ที่ยืนต้นตายเหล่านั้นก็หายไปกลางอากาศ
“ตอนนั้นเธอก็อยู่ที่นี่” เย่ฮัวพ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วพูดเสียงราบเรียบ
เย่จีจี้ทำปากยื่น “ฉันทำอะไรอยู่ล่ะ”
เย่ฮัวไม่ได้ตอบคำถาม แต่พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ตอนนั้นเธอดื้อมาก ดื้อจนฉันอยากจะฆ่าเธอ แต่เธอก็รอดมาได้”
“ขี้โม้” เย่จีจี้เอียงหน้าทำมุม 45 องศา ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
“หลังจากนั้นพวกฉันก็เลี้ยงเธอมา แล้วเธอก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของฉัน”
เย่จีจี้ผายมือออกกว้าง “พูดแบบนี้มีหลักฐานหรือเปล่าคะ”
“ถ้าความจำของเธอกลับคืนมาแล้ว ฉันจะไม่ถือสาหาความ” ขณะนี้ น้ำเสียงของเย่ฮัวเปลี่ยนไป รังสีการฆ่าฟันลอยออกมาจากตัวเขาชัดเจน
เย่จีจี้นิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ เธอทำท่านึกอะไรอยู่นาน ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ฉันนึกออกแล้ว!”
เย่ฮัวเบิกตากว้าง “จริงรึ?”
“อิอิ หลอกง่ายจังเลยแฮะ” เย่จีจี้แลบลิ้นออกมาตั้งใจป่วนประสาทเขา
การกระทำเช่นนี้ของเธอทำให้เย่ฮัวเดือดดาลเป็นอย่างมาก รังสีการฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากตัวเขา กลายเป็นคลื่นพลังงานความร้อนที่ทำให้อากาศเย็นๆ รอบตัวขาดหายไปในพริบตา
คลื่นพลังงานนี้ทำให้ผมหางม้าของเด็กหญิงปลิวไสว แต่เย่จีจี้ไม่ได้หวาดกลัวเลยซักนิด มิหนำซ้ำ เธอยังแสดงความตื่นเต้นออกมาอีกด้วย
“พี่ชายมีพลังเยอะเหมือนฉันเลยอ่ะ”
ในตอนนี้ รังสีการฆ่าฟันได้แผ่ออกมาจากตัวของเย่จีจี้เช่นเดียวกัน และระดับความรุนแรงก็ไม่แพ้รังสีของเย่ฮัวเลยสักนิด ถึงแม้คลื่นรังสีการฆ่าฟันของพวกเขาจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่พวกมันก็กำลังปะทะกันอย่างรุนแรง
รังสีการฆ่าฟันแผ่ออกมาจากร่างกายของชายหนุ่มและเด็กหญิง ในแบบที่ไม่มีใครยอมใคร
แม้ว่าทั้งสองคนจะยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่คลื่นพลังของพวกเขากลับเป็นเหมือนเคียวแสนคม ที่ตัดขาดทุกอย่างรอบตัว บรรดาต้นไม้และสัตว์ป่าจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในรัศมี 16 กิโลเมตร ต่างถูกคลื่นพลังงานนี้ตัดขาดเป็นสองท่อนในทันที
เย่จีจี้ยิ้มออกมาแล้ว ปืนพกสั้นสีแดงกระบอกหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเธอ ลำกล้องปืนมีความยาวเป็นส่วนใหญ่ของตัวปืน ปลายกระบอกปืนมีหมอกควันสีแดงลอยออกมาตลอดเวลา หากเธอเหนี่ยวไกปืนเมื่อไหร่ พลังและเลือดในตัวศัตรูของเธอก็จะถูกดูดเข้ามาจนแม้แต่วิญญาณก็ไม่เหลือด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ลำตัวของเย่จีจี้ยังปรากฏชุดเกราะคริสตัลห่อหุ้มร่างกายอยู่ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ และเด็กหญิงเหลือดวงตาไว้ใช้มองแค่ข้างเดียวเท่านั้น ส่วนอีก 1 เปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่ ก็คือผมหางม้าทั้งสองข้างนั่นเอง ชุดเกราะของเธอลงอักขระโบราณที่มีอานุภาพในการป้องกันเป็นอย่างสูง เพียงแค่พบเห็น ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องหวาดกลัวจนตัวสั่น
“พี่ชายจะสู้กับฉันมือเปล่าหรือไงกัน” เสียงอันแสนอ่อนหวานของเย่จีจี้ดังขึ้นหลังชุดเกราะ
เย่ฮัวดีดบุหรี่ทิ้งไปจากมือ
เย่จีจี้กล่าวต่อด้วยความเยือกเย็นว่า “จุดเด่นของปืนสูบโลหิตก็คือ มันสามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้จากระยะไกล โดยที่ผู้ถือปืนไม่ต้องเข้าใกล้ศัตรูด้วยซ้ำ! ขอบอกก่อนเลยว่าหมอกสีแดงที่กำลังลอยออกมานี้เป็นหมอกพิษ ถ้าศัตรูของฉันสูดดมเข้าไป ก็จะหมดสติหรือไม่ก็เกิดภาพหลอน นี่เป็นเพียงแค่การโจมตีขั้นแรกเท่านั้น พี่ชายไม่จำเป็นต้องรู้การโจมตีขั้นที่สองหรอก”
“ชุดเกราะจันทราที่เธอใส่อยู่ นับว่าเป็นเครื่องมือป้องกันตัวที่สมบูรณ์แบบจริงๆ แต่เธอก็เจาะรูไว้สองรูอยู่ปลายเส้นผม นั่นแหละคือจุดอ่อน”
เย่จีจี้ที่อยู่ในชุดเกราะชะงักไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เขารู้ความลับของเธอได้อย่างไรกัน!
“เป็นไปไม่ได้ นายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง!” น้ำเสียงของเย่จีจี้เปลี่ยนไป ไม่ได้อ่อนหวานน่ารักเหมือนเด็กน้อยอีกแล้ว แต่ฟังดูเหมือนเสียงวิญญาณคร่ำครวญมากกว่า
เสียงพูดอันก้องกังวานของเด็กหญิง กลายเป็นคลื่นพลังที่กวาดผ่านพร้อมกับทำลายทุกอย่างรอบตัวอีกครั้ง
เย่ฮัวมองหน้าเย่จีจี้ที่อยู่ในอารมณ์แปรปรวน และพูดออกมาเสียงเบาว่า “เพราะว่าฉันเป็นคนทำให้เธอเองไงล่ะ”
“ไม่มีทาง อย่ามาโกหกนะ!” ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ชุดเกราะแก้วคริสตัลกำลังแสดงสีหน้าที่บอกชัดว่า ชายหนุ่มผู้เป็นศัตรูของเธอ รู้ความลับของเธอเข้าจริงๆ แล้ว
เย่ฮัวหัวเราะเยาะ ร่างกายของเขาปรากฏลำแสงเรืองรอง และเพียงพริบตาเดียว ร่างที่แท้จริงของเขาก็เปิดเผยออกมา
โครงกระดูก!
เมื่อเทียบกับผู้วิเศษแห่งความตายแล้ว ถึงแม้ว่าช่วงไหล่จะดูเท่ากัน จะเป็นโครงกระดูกเหมือนกัน หัวกระโหลกก็ดูเหมือนกัน แต่เมื่อมองดูโดยรวมแล้ว เย่ฮัวกลับดูมีความสูงส่งมากกว่าผู้วิเศษแห่งความตายอยู่ไม่น้อย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าราศีของผู้เป็นเจ้านายกับข้ารับใช้อย่างแท้จริง
ชายหนุ่มยื่นนิ้วมือที่เป็นโครงกระดูกออกมาจ้องมอง เขาไม่ได้เห็นร่างกายของตัวเองมานานแล้ว ตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่คุ้นเคยแล้วจริงๆ
“แค่นี้ปืนสูบวิญญาณของเธอก็ทำอะไรฉันไม่ได้แล้ว สำหรับฉัน อาวุธของเธอไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยสักนิด”
เย่จีจี้ถือปืนสูบวิญญาณที่อยู่ในมือแนบแน่น หมอกควันสีแดงยังคงลอยออกมาจากปากกระบอกปืนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในตอนนี้เย่จีจี้กำลังเดือดดาลมากแค่ไหน
“ส่วนชุดเกราะจันทราของเธอ ฉันก็มีวิธีทำลายอยู่หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น…”
เพียงโบกมือเบาๆ อาวุธวิเศษจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นรอบกายของเขา เย่ฮัวจิ้มนิ้วเหมือนเลือกอาวุธบนแท็บเล็ต เพื่อเลือกอาวุธที่เหมาะสมกับโครงกระดูกของเขาที่สุด
ทันใดนั้น เย่ฮัวก็ได้อาวุธที่เขาต้องการแล้ว!
ในมือของเย่ฮัวปรากฏดาบยาวสีม่วงเล่มหนึ่ง ใบดาบโค้งงอมีปลายเป็นรูปทรงหยดน้ำทองคำ ที่น่าแปลกประหลาดก็คือ จะมีหยดทองคำหยดลงมาจากปลายดาบเป็นระยะอยู่จริงๆ
“นี่คือดาบหยดทองคำทมิฬ มีอานุภาพมากพอที่จะทำลายชุดเกราะจันทราและปืนสูบโลหิตของเธอได้ไม่ยากเลย…”
เย่ฮัวโบกมือขึ้นอีกครั้ง
ชุดเกราะนับพันๆ ชุดปรากฏขึ้นรอบกายเขา และหนึ่งในนั้นก็ถูกเลือกมา เพราะสวมใส่เข้ากับโครงกระดูกได้พอดิบพอดี
“ชุดเกราะนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก แต่มันช่วยป้องกันไม่ให้มีเลือดไหลออกจากร่างกายระหว่างการต่อสู้!”
หลังจากนั้น ที่มือขวาของเย่ฮัวก็ปรากฏโล่ป้องกันขึ้นมาแล้ว “และอานุภาพของโล่นี้ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เลือดไหลอีกหนึ่งแรงบวก!”
แน่นอนว่าปืนสูบโลหิตจะมีอันตรายที่สุดก็ต่อเมื่อได้ดูดเลือด แต่ตอนนี้ปลายกระบอกปืนกลับมีหมอกสีแดงลอยออกมาแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ถึงฉันจะไม่ได้เก่งอะไรมาก แต่ฉันก็มีวิธีรับมือกับเธอเสมอ!”
เย่จีจี้มองหน้าเย่ฮัวด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “แบบนี้มันโกงกันนี่นา!”
GG บทที่ 154 – พลังอันกล้าแกร่ง
ในอดีต เย่ฮัวเป็นตัวโง่งมที่ใช้ร่างกายเอาชนะศัตรูแทนที่จะมีอุปกรณ์เสริมเหมือนคนอื่น
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายยุคสมัย เขาจึงได้รู้ว่าการมีเครื่องมือช่วยเหลือคือข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าข้อใดเปรียบคือหัวใจสำคัญสำหรับการคว้าชัยชนะ!
ผู้วิเศษแห่งความตายก็ใช้หลักการเดียวกันนี้เช่นกัน
ในทันใดนั้นเอง!
พื้นดินบริเวณเท้าของเย่จีจี้เกิดรอยแยกขึ้น อากาศรอบตัวเกิดความสั่นไหว ดวงตาของเย่ฮัวเบิกกว้างโดยทันที
เขาเห็นว่าเย่จีจี้กำลังยกมือปิดบริเวณปากของหมวกชุดเกราะ ขณะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “พี่ชายดูถูกฉันมากไปแล้วนะ ชักจะโกรธแล้วนะเนี่ย!”
ตู้ม!
คลื่นพลังแผ่ออกมาจากร่างกายของเย่จีจี้ไปทุกทิศทุกทาง ปืนสูบโลหิตของเธอมีหมอกควันสีแดงลอยออกมามากกว่าเดิม
“ดูเหมือนพลังของเธอจะกล้าแกร่งมากขึ้นนะ ในเมื่ออยากสู้นัก… ก็ได้ มาสู้กัน!” เย่ฮัวยกโล่ในมือซ้ายขึ้น พร้อมกับตวัดดาบหยดทองคำทมิฬในมือขวาตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้
ถึงแม้ว่าเย่จีจี้จะมีรูปร่างเป็นเด็กหน่อย แต่พลังแฝงที่อยู่ในตัวเธอจัดได้ว่าดุร้ายรุนแรงที่สุดในกลุ่ม 7 บาป แม้แต่ตอนนั้น เย่ฮัวก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะเอาชนะพลังของเย่จีจี้ได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้ทุกอย่างแตกต่างออกไป เย่ฮัวมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าเขาจะเอาชนะเธอได้อย่างแน่นอน
“ตายซะเถอะ!” เย่จีจี้คำรามพร้อมกับลอยตัวขึ้นกลางอากาศ
เย่ฮัวเงยหน้ามอง เห็นหมอกควันสีแดงลอยตามหลังร่างของเด็กหญิงเป็นทางยาว ในกลุ่มหมอกควันนั้น ปรากฏใบหน้าศัตรูของพวกเขาในอดีต กำลังเปล่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน ไม่ว่าใครได้ยินจะต้องรู้สึกสงสารจับใจเป็นอย่างยิ่ง
“บอกแล้วไงว่าเธอทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ถึงยังไงฉันก็ชนะเธออยู่แล้ว!” เย่ฮัวยกโล่ขึ้นมาป้องกัน
ตู้ม!
เสียงของคลื่นพลังที่ปะทะกันดังสนั่นหู ราวกับมันกำลังเขย่าโลกมนุษย์ สะเทือนสวรรค์ ท้องฟ้าที่ใสกระจ่างเมื่อครู่นี้ บัดนี้กลับกลายเป็นมืดมิด ก่อนที่จะถูกย้อมให้เป็นสีแดงสดในอีกพริบตาต่อมา เหมือนกับว่าบนสวรรค์เกิดเหตุนองเลือดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
การปะทะกันของอาวุธวิเศษ ก่อให้เกิดคลื่นพลังงานที่แผ่กระจายออกกว้าง ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบหมดสิ้น
ในตอนนี้ หมอกควันสีแดงปกคลุมทั่วบริเวณ แน่นอนว่าชายหนุ่มก็ตกอยู่ภายใต้หมอกควันสีแดงนี้ อันที่จริง เย่ฮัวควรจะถูกดูดเลือดและพลังออกไปจนหมดตัว แต่ในเมื่อก่อนหน้านี้ เขากลายร่างมาเป็นโครงกระดูก จึงไม่เหลือเลือดเนื้อให้เย่จีจี้ดูดกินออกไปจากร่างกายของเขาได้เลย
“บอกแล้วไงว่ามันไม่ได้ผลหรอก” น้ำเสียงของเย่ฮัวกลายเป็นเย็นชา ดาบหยดทองคำทมิฬในมือตวัดวาบ หมายฟันเย่จีจี้ด้วยความดุร้าย
เย่จีจี้เค้นเสียงในลำคอดังเฮอะ ก่อนที่จะยกมือซ้ายขึ้นรับดาบของเขาเอาไว้!
เย่ฮัวประหลาดใจ พลังของเย่จีจี้กล้าแข็งขึ้นมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ดูเหมือนเธอจะเก่งกาจขึ้นมากหลังจากฟื้นคืนจากความตาย นี่ไม่ใช่เย่จีจี้ที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว
“ดาบก็สวย คนก็เก่ง แต่น่าเสียดายที่เจาะชุดเกราะจันทราของฉันไม่ได้หรอกนะจ๊ะ” เย่จีจี้ส่งเสียงหัวเราะเยาะ
ถึงแม้ว่าเย่ฮัวจะประหลาดใจในพลังของเย่จีจี้ แต่เขาก็ไม่มีวันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เด็ดขาด
“ฉันบอกแล้วนะว่าดาบเล่มนี้ทำลายชุดเกราะของเธอได้” เย่ฮัวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตลกน่า!” แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เย่จีจี้พูดคำนี้ออกมา หยดทองคำจากปลายดาบ ก็หยดลงบนมือของเธอ
เย่จีจี้ปล่อยมือออกจากดาบหยดทองคำทมิฬทันที เธอพยายามสะบัดมือซ้ายเพื่อไล่หยดทองคำออกไปจากมือ แต่ก็เปล่าประโยชน์
“ระวังที่เท้าด้วยล่ะ” เย่ฮัวส่งเสียงเตือน
ตอนนั้นเอง เย่จีจี้จึงได้เห็นว่ามีทองคำอีกหยดหนึ่ง หยดลงบนเท้าของเธอ
“เย่จีจี้ ถ้าเธอเชื่อฟังฉันและไม่เจาะรูไว้บนเส้นผม เธอก็คงไม่ตาย แต่เธอไม่ยอมเชื่อฟังฉัน!” เย่ฮัวพูด ในตอนที่สามยอดฝีมือค้นพบจุดอ่อนของเธอจุดนี้ เย่จีจี้ก็ต้องสูญเสียชีวิตหลังจากต่อสู้ไปเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น
เย่จีจี้ขยับเท้าหลบ ทุกจุดที่ทองคำจากปลายดาบหยดลงไปบนพื้น ก็จะเกิดเป็นรูโหว่ขึ้นมาทันที แต่ทองคำทั้งสองหยดที่หยดลงบนมือและเท้าของเย่จีจี้ กลับติดแน่นเหมือนกาวตราช้าง แถมมันยังกัดทะลุชุดเกราะจันทราของเธอกลายเป็นรูโบ๋อีกด้วย
“เป็นไปได้ยังไง!” เด็กหญิงที่อยู่ในชุดเกราะคริสตัลส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
เย่ฮัวยืนมองอยู่เงียบๆ ชุดเกราะจันทราเป็นเพียงแค่ด่านป้องกันแรกของเด็กหญิงเท่านั้น ร่างกายของเธอยังมีด่านป้องกันชั้นที่สองอยู่อีก แต่การต่อสู้เมื่อครั้งอดีต ยอดฝีมือทั้งสามคนนั้น ไม่ต้องรอจนถึงด่านป้องกันสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าตอนนี้เขาจะฆ่าเธอเลยก็ได้เช่นกัน แต่ว่า…
หยดทองคำทั้งสองหยดไหลเข้าไปในรูบนชุดเกราะ เย่จีจี้ไม่กล้าขยับร่างกายอีกแล้ว เพราะคิดว่าถ้าเธอไม่ขยับร่างกาย เดี๋ยวหยดทองคำนี้ก็จะแข็งตัวอยู่ที่เดิม ไม่ไหลทะลุลงไปไหนอีก
“พี่ชาย! บอกฉันมานะว่านี่มันคืออะไรกันแน่!” เย่จีจี้ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“อันตรายของดาบหยดทองคำทมิฬไม่ได้อยู่ที่ตัวดาบ แต่อยู่ที่ตัวหยดทองคำพวกนี้ต่างหาก พวกมันสามารถไหลซึมเข้าไปในกระแสเลือดและปล่อยไวรัสเข้าสู่ร่างกายของเป้าหมาย และทำให้คนผู้นั้นสูญเสียพลังต่อสู้ไปทั้งหมด อย่างเช่นชุดเกราะจันทราของเธอ ที่สูญเสียความสามารถในการป้องกันตัวไปยังไงล่ะ” เย่ฮัวอธิบายด้วยเสียงราบเรียบ
“แบบนี้นี่เอง พี่ชายนี่โหดไม่ใช่เล่นเลยนะ แต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอก!” น้ำเสียงของเย่จีจี้แสดงความอ่อนแอลงเรื่อยๆ เหมือนกับว่าเธอพร้อมที่จะล้มลงได้ตลอดเวลา
เย่ฮัวคำรามออกมาว่า “ยอมแพ้ซะ!”
เย่จีจี้ยิ้มด้วยความเศร้า ก่อนที่จะคุกเข่าลงอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อสายลมพัดผ่าน ชุดเกราะจันทราที่เด็กหญิงสวมใส่อยู่ ก็แตกสลายร่วงกราวลงกองกับพื้นดินอย่างไม่น่าเชื่อ
เย่ฮัวที่ยังอยู่ในชุดเกราะวิเศษ ไม่ทำอะไรนอกจากยืนมองเย่จีจี้ผู้พ่ายแพ้
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ถามว่า “เล่นสนุกพอหรือยัง?”
เย่จีจี้ยังคงนั่งคุกเข่า ไม่ตอบคำใดออกมา
“ยังนิสัยเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” เย่ฮัวพูดอย่างใช้ความคิด บุคลิกของเย่จีจี้ยังคงไม่เปลี่ยนไป แล้วตกลงเธอเป็นอะไรกันแน่?
เย่จีจี้พลันลุกขึ้นยืน แล้วพูดหน้าตาเฉยว่า “พี่ชายนี่น่าเบื่อจังเลย”
เย่ฮัวถอนหายใจ ดูเหมือนเขาจะประเมินพลังของเย่จีจี้ต่ำเกินไปอีกแล้ว เธอมีพลังกล้าแข็งขึ้นมากหลังจากที่ฟื้นจากความตาย ถ้าให้เว่ยชางกับเลี่ยกู่มาสู้กับเด็กหญิงในตอนนี้ เขาไม่แน่ใจเลยว่าผลการต่อสู้จะออกมาเป็นเช่นไร
เย่ฮัวลดดาบหยดทองคำทมิฬในมือลง ก่อนที่จะคำรามอันเชิญดาบเล่มอื่นมาแทน
“ดาบโม่หยวน!”
พลังแห่งความหนาวเย็นที่ลอยออกมาจากตัวดาบ ทำให้เย่จีจี้ถึงกับตกตะลึง “พี่ชายไม่เห็นต้องออมมือก็ได้”
เย่ฮัวตะโกนพร้อมกับดีดตัวขึ้นกลางอากาศ “ใครบอกว่าฉันจะออมมือ!”
ตัวดาบส่งคลื่นพลังออกมาโจมตีใส่เย่จีจี้อย่างรุนแรง ระดับอานุภาพความรุนแรงของมัน ทำให้ท้องฟ้าและแผ่นดินถึงกับสั่นสะเทือน
ชุดเกราะของเย่จีจี้ที่แตกกระจายอยู่บนพื้น พลันประกอบกลับเข้าที่บนร่างของเด็กหญิงอีกครั้ง พร้อมกันนั้นเธอก็ยกปืนสูบโลหิตในมือขึ้น ลำแสงสีแดงพุ่งออกจากปลายกระบอกปืนเข้าปะทะกับคลื่นพลังที่ส่งออกมาจากดาบของเย่ฮัว
นี่คือการต่อสู้ระหว่างพลังของทั้งสองฝ่าย แต่เย่ฮัวเลือกที่จะต่อสู้กับเด็กหญิงอย่างยุติธรรม สมกับที่มีหัวใจเป็นนักรบผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีจริงๆ
เสียงการปะทะกันของคลื่นพลังดังก้องกังวานสะเทือนเลือนลั่น เกิดการระเบิดที่ทำให้แผ่นดินแยกออกจากกัน และส่งหมอกควันสีแดงตลบคลุ้งทั่วบริเวณ อากาศที่อยู่โดยรอบ พลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นคลื่นลมรุนแรง!
“พี่ชายมีพลังที่แกร่งกล้าจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ยังมีน้อยกว่าฉัน” เย่จีจี้พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
เย่ฮัวหัวเราะในลำคอ “จริงหรือเปล่า? ฉันอยากจะเห็นแล้วว่าเธอแข็งแกร่งมากแค่ไหน!”
“คอยดูก็แล้วกัน”
ทั้งสองคนพุ่งเข้าหากันอีกครั้ง นี่เป็นฉากที่น่าจะเป็นจุดจบของโลกทั้งใบ แผ่นดินสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว แม้แต่เทพเจ้าก็ยังต้องซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆบนท้องฟ้า
ตู้ม!
การต่อสู้ระหว่างชายหนุ่มกับเด็กผู้หญิงเข้าสู่ระดับที่เรียกว่าเอากันถึงตาย เย่จีจี้ตื่นเต้นมากกว่าเก่า ปล่อยพลังออกมามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเธอก็ต้องใช้ท่าไม้ตายที่เรียกว่า “พลังโกลาหลไร้เทียมทาน”
แต่ละคนในกลุ่ม 7 บาปจะมีความสามารถพิเศษเป็นของตนเอง ความสามารถพิเศษของเย่จีจี้ก็คือเธอมีพลังแฝงอยู่ในตัวรุนแรงมากที่สุดในกลุ่ม 7 บาป พลังของเธอมากยิ่งกว่าเลี่ยกู่ด้วยซ้ำ และสามารถเอาชนะศัตรูเกือบทุกคนได้อย่างไร้ร่องรอย
GG บทที่ 155 – ฝีมือที่แท้จริงของพี่ชาย
ทันใดนั้น
เมื่อพลังพุ่งเข้าปะทะกัน ทั้งสองคนก็กระโดดแยกออกจากกัน
เย่ฮัวมองหน้าเย่จีจี้ด้วยความเย็นชา ดูเหมือนว่าเด็กหญิงจะเกิดความสับสนเล็กน้อย แต่พลังของเธอก็ยังจัดได้ว่าน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“เย่จีจี้ ฉันดีใจนะที่เห็นเธอแข็งแกร่งขนาดนี้” เมื่อเย่ฮัวโบกมือขึ้นเบาๆ ชุดเกราะของเขาก็หายวับไป เปิดเผยให้เห็นร่างที่แท้จริงซึ่งเป็นโครงกระดูก
เย่จีจี้สูดหายใจลึกและพูดออกมาว่า “พี่ชายจะยอมแพ้ได้หรือยัง?”
“เย่จีจี้ เธอไม่รู้หรอกว่าพลังที่แท้จริงของฉันเป็นยังไง” เบ้าตาที่ว่างเปล่าของเย่ฮัวเปล่งประกายสีแดงออกมา
“งั้นเรามาสู้กันต่อก็ได้ เอาให้ฉันหักกระดูกของพี่ชายเมื่อไหร่ ค่อยมาดูกันก็ได้ว่าพลังที่แท้จริงของพี่ชายเป็นยังไง” เด็กหญิงคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ยกปืนสูบโลหิตในมือขึ้นเล็งใส่ใบหน้าของเย่ฮัว
แต่เย่ฮัวยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้มีท่าทีเตรียมป้องกันตัวแต่อย่างใด
ปืนสูบโลหิตปล่อยลำแสงสีแดงพุ่งตรงออกมา หมายมั่นว่าจะเผด็จศึกในครั้งนี้ได้แน่นอน
ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีมาก แต่ก็อย่างที่เย่ฮัวได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ เย่จีจี้ไม่รู้หรอกว่าตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร!
ในขณะที่ลำแสงจากปืนของเด็กหญิงพุ่งเข้ามาจะถึงหัวกะโหลกของเย่ฮัว ทันใดนั้นลำแสงก็หยุดชะงักอยู่กับที่ มันหยุดอยู่ห่างจากหัวกะโหลกของเขาเพียงแค่หนึ่งมิลลิเมตรเท่านั้น! นี่จึงเป็นหลักฐานที่บอกว่าเย่ฮัวมีพลังควบคุมได้ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ
เย่จีจี้ถึงกับตกตะลึงสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทันที เธอรู้ตัวว่าจำเป็นต้องหนีแล้ว ชายหนุ่มแข็งแกร่งมากเกินไป แต่กลับพบว่าร่างกายของตนเองเคลื่อนไหวไม่ได้เสียแล้ว!
“เย่จีจี้ แค่ดีดนิ้วฉันก็ฆ่าเธอได้ แต่รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่ฆ่าเธอ” เย่ฮัวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เย่จีจี้ไม่รู้คำตอบ ถึงจะทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวตอนนี้ ก็ไม่สามารถปลดมนต์พัฒนาการของชายหนุ่มได้
“เพราะว่าฉันไม่อยากทำไงล่ะ”
หลังจากนั้น เย่ฮัวก็ส่งเสียงร่ายคาถาออกมาว่า “อัคคีวิญญาณนภา!”
ปรากฏเปลวไฟสีม่วงผุดขึ้นมารายล้อมรอบตัวของเด็กหญิงห้าจุด ส่วนปลายของเปลวไฟแต่ละจุด โค้งขึ้นสัมผัสกันก่อให้เกิดเป็นรูปร่างกรงขังแปลกประหลาด และมีร่างของเย่จีจี้ยืนอยู่ตรงกลางภายในกรงขังนั้น
นี่มันอะไรกัน!
และบนยอดสูงสุดของกรงขังไฟ เปลวไฟของมันพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับว่าจะแผดเผาท้องนภาให้สูญสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปพร้อมๆ กับร่างของเด็กหญิงที่อยู่ด้านในก็ไม่ปาน
“ไม่นะ! ฉันจะฆ่าแก!” เย่จีจี้ส่งเสียงกรีดร้องอยู่ในกรงขัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ดูเหมือนว่าเย่ฮัวจะรอคอยโอกาสนี้มานานแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกว่าเย่จีจี้ที่อยู่ในกรงขังไฟมีอะไรบางอย่างผิดปกติจริงๆ
เด็กหญิงร้องตะโกนออกมาว่า “ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
“ไม่มีทาง”
ดวงตาที่อยู่หลังชุดเกราะของเย่จีจี้ปรากฏความหวาดกลัวถึงขีดสุด เธอไม่สามารถขยับร่างกายได้อีกแล้ว มันเป็นไปได้ยังไงกัน!
เย่ฮัวยังคงยืนมองเด็กหญิงถูกไฟเผาต่อไป ชุดเกราะของเธอกลายเป็นสีแดงเข้ม มีแต่ผมหางม้าทั้งสองข้างของเธอเท่านั้นที่โบกสะบัดไปมา
“พี่ชายกระดูกใหญ่ ฉันยอมแพ้แล้ว ฉันยอมแพ้!” แม้จะอยู่ในชุดเกราะ แต่เย่จีจี้ก็ทนรับการถูกเผาไม่ไหวอีกต่อไป เธอถึงกับร้องขอความเมตตาด้วยซ้ำ
แต่เย่ฮัวกลับไม่สนใจและยืนมองเฉยๆ ต่อไป
“ฉันยอมแพ้แล้ว นายยังต้องการอะไรอีก!” เย่จีจี้ยังคงส่งเสียงกรีดร้องต่อไป เย่ฮัวถอนหายใจออกมา แต่เขาก็ยังคงยืนมองเด็กหญิงถูกไฟเผาเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป… 1 ชั่วโมงผ่านไป… 2 ชั่วโมงผ่านไป…
“ทำไมถึงอำมหิตขนาดนี้…” เย่จีจี้พูดออกมา ก่อนที่จะหมดสติไป
ในที่สุดเด็กหญิงก็หมดสติเสียที
เย่ฮัวถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กว่าจะสลบได้เล่นเอาเหนื่อยไม่น้อย มาดูกันเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!
เมื่อยื่นฝ่ามือออกมาข้างหน้า ตะเกียงดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขา
ตะเกียงดวงนี้มีนามว่าตะเกียงยอดจันทรา แสงของมันจะช่วยสาดส่องบนร่างกายให้ตรวจพบว่า มีส่วนไหนภายในร่างกายเสียหายหรือได้รับบาดเจ็บบ้าง โชคไม่ดีที่ตะเกียงนี้สามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเมื่อถูกจุดแล้ว มันก็จะหายไปทันที ยิ่งกว่านั้น ตะเกียงยอดจันทราจะต้องใช้งานกับคนที่หมดสติอยู่เท่านั้น ไม่อย่างนั้น แสงของมันก็จะไม่สามารถใช้ตรวจร่างกายได้อย่างที่ควรจะเป็น
เย่ฮัวตั้งใจเพียงแค่อยากทดสอบพลังของเย่จีจี้ตั้งแต่แรก และเป็นไปตามที่คาด เด็กหญิงมีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ส่วนที่เขาใช้กรงขังไฟเผาเธอ ก็เพราะอยากให้เย่จีจี้หมดสติไป เพื่อที่เขาจะได้ใช้งานตะเกียงยอดจันทราได้เท่านั้นเอง
ทันทีที่เย่ฮัวสะบัดฝ่ามือ กรงขังไฟก็ดับวูบ เย่ฮัวจึงสามารถเข้าไปตรวจดูอาการของเด็กหญิงได้อย่างใกล้ชิด
แสงสว่างจากตะเกียงยอดจันทราค่อยๆ อาบไล้ไปบนร่างกายของเย่จีจี้ ทำให้ร่างกายของเธอมีลักษณะโปร่งแสงทันที
เย่ฮัวกวาดตามองสำรวจภายในร่างกายของเย่จีจี้ ได้แต่หวังว่าตะเกียงยอดจันทราจะใช้งานกับเธอได้ผล
แล้วแสงไฟจากตะเกียงก็เปิดเผยให้เห็นส่วนที่เสียหายภายในร่างกายของเด็กหญิงจริงๆ เย่ฮัวคิดเอาไว้ไม่มีผิด ภายนอกเย่จีจี้ดูเป็นปกติดี แต่ภายในไม่ได้เป็นปกติเลยสักนิด
นั่นก็เป็นเพราะว่า มีแผ่นยันต์สามแผ่นแปะอยู่บนหัวกะโหลกของเย่จีจี้ในลักษณะสามเหลี่ยม แต่มันยังขาดแผ่นยันต์ที่ควรจะมีอยู่อีกสองแผ่น การควบคุมวิญญาณเด็กหญิงจึงไม่สมบูรณ์
เย่ฮัวกําหมัดแน่น มันหน้าไหนกันกล้ามาแปะแผ่นยันต์ใส่คนของเขาแบบนี้ แต่เย่จีจี้มีพลังแกร่งกล้าอย่างที่คิดไม่ถึง เธอคงตื่นขึ้นมากลางพิธี ใครก็ตามที่ทำแบบนั้นกับเธอ เขาจะต้องรู้ตัวตนของพวกมันให้ได้!
ชายหนุ่มดีดนิ้ว แผ่นยันต์ทั้งสามแผ่นหายวับไปกับตา เป็นเวลาเดียวกับที่แสงสว่างจากตะเกียงยอดจันทราดับลง แล้วตัวตะเกียงก็หายวับไปในอากาศเช่นเดียวกัน
หลังจากที่แผ่นยันต์หายไปแล้ว ชุดเกราะของเย่จีจี้ก็หายไปด้วย ตอนนี้เด็กหญิงกลับมาอยู่ในชุดกระโปรงเจ้าหญิงดิสนีย์อีกครั้ง เย่ฮัวค่อยๆ ทรุดนั่งลงกับพื้นและล้วงหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ ก็คือรอให้เย่จีจี้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ผ่านไปอีกครึ่งค่อนวัน
เสียงของเด็กหญิงก็ดังขึ้น
เธอตื่นแล้ว
เย่จีจี้นอนกระพริบตาปริบๆ อยู่บนพื้น ถามออกมาว่า “ที่นี่ที่ไหนกันเนี่ย?…หิวจังเลย…”
เด็กหญิงลุกขึ้นนั่ง แล้วเลียริมฝีปาก
หลังจากนั้น เธอก็เห็นชายแปลกหน้าคนนึงนั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงหน้า หน้าตาของเขาช่างหล่อเหลาอะไรขนาดนี้
แต่ก็ดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ไม่น้อย…
“เย่จีจี้” เย่ฮัวร้องเรียก
ทันใดนั้น ความทรงจำของเด็กหญิงก็กลับคืนมา ใบหน้าที่แสนน่ารักน่าชังของเธอร้องไห้ออกมาแล้ว
“พี่ชายกระดูกใหญ่” เย่จีจี้โผเข้ามาสวมกอดเขาด้วยใบหน้านองน้ำตาแห่งความสุข
ภาพที่เด็กหญิงวิ่งเข้ามาสู่อ้อมแขนของเย่ฮัวเป็นภาพที่น่าเศร้าไม่น้อย เธอไม่ต่างจากเด็กน้อยหลงทาง ที่ได้กลับมาเจอครอบครัวอีกครั้ง
เย่ฮัวระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนที่จะลูบหัวของเย่จีจี้
“ฝันร้ายจบลงแล้วใช่ไหมคะ พี่ชาย จีจี้คิดถึงพี่ชายจังเลย” เด็กหญิงใช้แขนเสื้อของเย่ฮัวเป็นผ้าซับน้ำตา
เย่ฮัวเลิกคิ้วขึ้นสูง
“จำได้ไหมว่าถ้าเธอทำผิด จะต้องถูกลงโทษ”
เย่จีจี้มองหน้าชายหนุ่มอย่างน่าสงสาร ก่อนที่จะพยักหน้า
แววตาของเย่ฮัวปรากฏความประหลาดใจขึ้น ถึงแม้ว่าเย่จีจี้จะทำความผิดจริง แต่เขาก็เพียงแค่ตั้งใจแหย่เธอเล่นเท่านั้น
แน่นอนว่าหลังจากนี้ เย่ฮัวต้องหาโอกาสสั่งสอนเธอ แต่เย่จีจี้ที่กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว ทำให้เขากำลังมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
“ช่างมันก่อนเถอะ”
เย่จีจี้โอบแขนกอดรอบคอเย่ฮัวทันที “พี่ชาย จีจี้คิดถึงพี่ชายที่สุดเลย”
“ไม่ต้องร้องไห้นะ ฉันมีอะไรอยากถามเธอสักหน่อย” เย่ฮัวพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
เย่จีจี้ยกมือปาดน้ำตาและทำให้อายไลเนอร์เปื้อนเป็นทางยาว “ถามมาได้เลยเจ้าค่ะ ถ้าจีจี้รู้ จีจี้ก็จะตอบ”
“เธอตื่นขึ้นมาตอนไหน? แล้วใครเป็นคนแปะแผ่นยันต์พวกนั้น?”
เย่จีจี้ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเยอะ “จีจี้ตื่นขึ้นมาเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมีพวกหมอผีกำลังทำพิธีอยู่รอบตัวจีจี้ แต่พวกเขามีอาวุธวิเศษอยู่กับตัว จีจี้รู้ว่าพวกเขาเป็นตัวอันตราย ก็เลยดูดเลือดกินวิญญาณพวกเขาไปทั้งหมด หลังจากนั้น จีจี้ก็ออกท่องเที่ยวในโลกมนุษย์ และพบว่าโลกมนุษย์มันสนุกมากๆ เลยล่ะ มีชุดสวยๆ ให้ใส่ตั้งเยอะแยะแน่ะ”
เด็กหญิงอธิบายต่อว่า “พี่ชายก็รู้ว่าจีจี้เป็นคนขี้เกียจ จีจี้ก็เลยคิดหาทางที่ไม่ต้องออกแรงเยอะสำหรับดึงดูดเหยื่อเข้ามา ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีอยู่หรอก จนจีจี้มาเจอเข้ากับพวกของพี่ชายนี่แหละ พี่ชายยกโทษให้จีจี้ด้วยนะ”
เด็กหญิงกลับมาอยู่ในโหมดอ้อนเขาอีกครั้ง
เย่จีจี้ทราบดีว่าตนเองเป็นเด็กซุกซุน แต่เธอก็ไม่เคยทำอะไรผิดร้ายแรง และเด็กหญิงหวังว่าเย่ฮัวคงให้อภัยเธอสำหรับความผิดในครั้งนี้
GG:บทที่ 156 – ฉันก็อยากมีเหมือนกัน
ผมหางม้าของเย่จีจี้กวัดแกว่งไปมา อันที่จริงแล้ว เด็กหญิงยังมีพลังแฝงอีกหลายอย่างที่ไม่ได้แสดงออกมา แต่โชคร้ายที่เธอต้องมาพ่ายแพ้เสียก่อน
เย่ฮัวถอนหายใจยาวแรง การแข็งแกร่งเกินไปก็ถือเป็นบาปชนิดหนึ่ง ไม่มีใครเก่งกล้ามากพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ อย่างเช่นในวันนี้ คนที่พอจะเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ กลับกลายเป็นอดีตผู้ติดตามของเขาเอง
จากคำบอกเล่าของเย่จีจี้ เธอตื่นขึ้นมาจากความตายเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และค้นพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังทำพิธีเพื่อควบคุมเธอ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือการติดแผ่นยันต์ให้ครบตามจำนวนจะต้องใช้เวลาทำพิธีกรรมไม่น้อย และปรากฏว่า เย่จีจี้มีพลังกล้าแข็งมากจนพวกเขาเพิ่งติดแผ่นยันต์ได้แค่สามแผ่นเท่านั้น เธอก็ตื่นขึ้นมาก่อนที่จะได้ติดแผ่นยันต์สองแผ่นสุดท้าย ส่งผลให้เด็กหญิงกลายเป็นคนความจำเสื่อมที่จดจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้
ที่น่าประหลาดใจก็คือมนุษย์ในยุคสมัยนี้ มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในการครอบครองแล้ว แต่เมื่อนึกถึงบรรดายอดฝีมือสมัยก่อน บุคคลเหล่านั้นก็มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือเช่นกัน จึงไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกตินักที่มนุษย์ในโลกนี้ จะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในการครอบครองบ้าง
ขณะนั้น เย่จีจี้เงยหน้าขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดว่า “พี่ชายกระดูกใหญ่ ยกโทษให้จีจี้หรือยังคะ?”
“ถ้าเธอเลิกเรียกฉันว่าพี่ชายกระดูกใหญ่ ฉันก็จะยกโทษให้เธอ”
เย่จีจี้ทำหน้าบูด “แต่ว่าจีจี้เรียกแบบนั้นมาตั้งนานแล้วนะ”
“งั้นฉันก็จะไม่ให้อภัยเธอ”
“ก็ได้ค่ะ ก็ได้ ไม่เรียกก็ได้” เย่จีจี้ลูบไล้มือน้อยๆ ของเธอไปบนหน้าอกของเย่ฮัว ทำให้เขาโกรธเธอไม่ลงจริงๆ
เย่ฮัวกำลังคิดอยู่ว่าตอนนี้ชิงหยายังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเย่จีจี้ และเธอก็น่าจะชอบเด็กหญิงคนนี้ได้ไม่ยาก ชิงหยาคงไม่มีอาการหึงหวงเขาแน่ๆ ถึงแม้ว่าเย่จีจี้จะมีหน้าตาน่ารักมากก็ตาม
และอีกอย่างก็คือ เย่จีจี้มีลักษณะเป็นผู้ตามเสมอ เด็กหญิงจะยินยอมทำตามทุกอย่างที่เขาสั่ง เย่ฮัวจะปล่อยให้เธอทำตัวเหมือนในอดีตไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเย่จีจี้จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างพังไปหมด ทางที่ดีที่สุดก็คือ เขาต้องหาทางสร้างตัวตนของเธอบนโลกมนุษย์ให้ได้
เย่จีจี้มองหน้าเย่ฮัวด้วยดวงตากลมโต สีหน้าของเธอน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
“เธอเรียกฉันว่าพี่ชายธรรมดาก็พอ แต่ถ้าอยู่กันเองสองคน เธอต้องเรียกฉันว่านายท่าน เข้าใจไหม?” ชายหนุ่มถือโอกาสนี้ออกคำสั่งกับเด็กหญิง เพราะกลัวว่าตนเองจะตามใจเธอมากเกินไปอีก
เย่จีจี้รีบพูดโดยไม่ต้องคิดเลยว่า “รับทราบค่ะ พี่ชาย”
เย่ฮัวนึกว่าเด็กหญิงจะงอแง ไม่นึกเลยว่าเธอจะว่านอนสอนง่ายขนาดนี้
แต่นั่นก็เป็นเพราะว่า เย่จีจี้ท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์มาหลายปีแล้ว เด็กหญิงทราบดีว่าผู้เป็นนายเหนือหัวของเธอ มีชื่อมนุษย์ที่ฟังดูดีกว่า “พี่ชายกระดูกใหญ่” เป็นไหนๆ แน่นอนว่าเย่จีจี้เห็นด้วยกับการเปลี่ยนชื่อของเขาเป็นที่สุด
“พี่ชายคะ จีจี้อยากเจอปีศาจแห่งความโลภกับมังกรโครงกระดูกจังเลย”
เย่ฮัวเขกหน้าผากของเด็กหญิงไปหนึ่งโป๊ก “เวลาอยู่โลกมนุษย์ เธอต้องเรียกพวกเขาว่าเว่ยชางกับเลี่ยกู่ ห้ามเรียกชื่อเล่นของพวกเขาอีก”
เย่จีจี้ยกมือถูหน้าผากป้อยๆ ทำแก้มป่อง ก่อนที่จะพูดว่า “เจ้าค่ะ นายท่าน ข้าน้อยทราบแล้ว”
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวเว่ยชางจะเป็นคนบอกรายละเอียดให้ฟังเอง”
“อืมฮึ กลับกันดีกว่า”
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็หายไปจากซากปรักหักพังแห่งนี้
แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้น เงาร่างของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงประดับดิ้นเงินดิ้นทองแพรวพราว บนศีรษะสวมมงกุฎที่เป็นรูปทรงมังกร ใครๆ ต่างก็รู้จักเขาในฐานะของบุตรชายตระกูลผู้มั่งคั่ง
ชายหนุ่มคนนี้เดินเข้ามามองรอบบริเวณด้วยความสงสัย คล้ายกับว่ากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง สีหน้าของเขาแสดงความวิตกกังวล เหมือนคนที่ทำสมบัติล้ำค่าตกหล่นหายไป
ชายหนุ่มยกมือลูบคางพลางกระซิบออกมาว่า “เอ…ซองแดงมันอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงหาไม่เจอได้ล่ะ หรือว่าระบบซองแดงจะคำนวณผิดพลาด?”
ทันใดนั้น มีชายหนุ่มอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นคุกเข่าตรงหน้าเขา และพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพว่า “ฝ่าบาท! เราอยู่ที่นี่นานไม่ได้พะย่ะค่ะ มีพวกสำนักต่างๆ รวมตัวกันอยู่เยอะเกินไป”
ชายหนุ่มเสื้อคลุมม่วงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ สงสัยเขาคงต้องหาโอกาสกลับมาลองหาดูใหม่อีกครั้ง
ไม่นานหลังจากที่กลุ่มชายหนุ่มคนนี้หายตัวไป ก็มีคนอีกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้น และถ้าเย่ฮัวยังคงอยู่ที่นี่ เขาก็จะได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
…
ณ ริมน้ำตก
เว่ยชางและเลี่ยกู่นั่งรออยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กด้วยความสงบ ถังเว่ยยืนอยู่ด้านหลังกำลังนวดไหล่ให้เว่ยชาง ในขณะที่เลี่ยกู่กำลังดื่มด่ำไปกับความสบายที่หญิงสาวรับใช้ทั้งสามคน กำลังนวดหัวไหล่ นวดมือและนวดเท้าให้เขาอย่างขะมักเขม้น แล้วแบบนี้ใครบอกกันนะว่ามีเมียเยอะมันไม่ดี
“ทำไมถึงยังไม่กลับมากันอีกนะ” เลี่ยกู่พูดออกมาด้วยความร้อนใจ นี่ก็ผ่านมาได้หลายชั่วโมงแล้ว ทำไมนายเหนือหัวของเขาถึงยังเคลียร์ปัญหาคาใจกับเด็กน้อยไม่จบอีก? หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้น? มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า?
ภาพที่ผุดขึ้นมาในสมองของเลี่ยกู่ก็คือ เย่จีจี้กำลังถูกจับมัดแล้วเฆี่ยนตีด้วยแส้
“นายท่าน…บอสครับ!” ทันใดนั้น เว่ยชางลุกขึ้นยืนส่งเสียงตะโกน
“บอสครับ” เลี่ยกู่ลุกขึ้นยืนตะโกนตามเช่นกัน
แต่ทำไมถึงมีแต่บอสของพวกเขาเท่านั้นล่ะ เย่จีจี้หายไปไหน?
เลี่ยกู่มองไปที่นายเหนือหัวของตนเองด้วยใจเต้นระทึก ก่อนถามว่า “บอสครับ แล้วเด็กคนนั้นล่ะ?”
เย่ฮัวหยิบบุหรี่ออกมาขณะเดินตรงไปที่เต็นท์ ตอบว่า “ตายแล้ว”
เว่ยชางและเลี่ยกู่ยืนตกตะลึงอยู่กับที่เหมือนคนถูกฟ้าผ่าตรงกลางศีรษะ มันเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า เด็กหญิงผู้น่ารักคนนั้น ได้เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ
สำหรับกรณีนี้ เลี่ยกู่จะค่อนข้างเศร้าใจมากกว่าทุกคน เขาถึงกับทรุดลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ครวญครางออกมาว่า “เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ทำไมเจ้าถึงโง่แบบนี้ ทำไมเจ้าไม่หนีไป ข้ายังไม่มีโอกาสให้เจ้าได้ขี่หลังข้าเลยนะ…”
เว่ยชางที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ร้องไห้น้ำตาไหลเช่นกัน เย่จีจี้อยากจะเล่นพนันกับเขามาตลอด แต่ตอนนี้…
ทันใดนั้นเอง เลี่ยกู่ก็รู้สึกได้ว่ามีคนอีกคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหัวไหล่ และคนคนนั้นพูดออกมาว่า “อย่าร้องไห้ได้ไหม ฉันยิ่งอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่!”
แต่เสียงนี้มีความคุ้นหูเป็นอย่างมาก
เลี่ยกู่ลืมตาขึ้นมามอง และพบว่าเด็กหญิงที่บอกว่าตนเองอารมณ์ไม่ค่อยดี กำลังยืนยิ้มแฉ่งอย่างคนที่อารมณ์ดีเป็นที่สุด!
แต่การได้เห็นผมหางม้าของเธอปลิวไสวต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ทำให้เลี่ยกู่ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
“อิอิ มังกรโครงกระดูก คิดถึงจีจี้ไหม?” เย่จีจี้กระโดดขึ้นขี่คอเลี่ยกู่ ใช้สองมือบิดหูของชายหนุ่ม พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
เลี่ยกู่ไม่รู้ว่าจะแสดงความดีใจออกมาเช่นใด สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ในวินาทีนั้นเอง เลี่ยกู่ก็ดีดตัวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เย่จีจี้ร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ในที่สุด จีจี้ก็ได้ขี่หลังมังกรโครงกระดูกแล้ว เย้!”
ในขณะที่บินอยู่ท่ามกลางมวลหมู่เมฆบนท้องฟ้า เลี่ยกู่ก็แสดงร่างอันแท้จริงของเขาออกมา ตอนนี้ เย่จีจี้กำลังนั่งอยู่บนหลังของมังกรโครงกระดูกตัวใหญ่ ทำให้ร่างของเด็กหญิงดูเล็กกระจิดริดมากยิ่งขึ้น
“โอ้โห!”
มังกรโครงกระดูกส่งเสียงคำรามออกมาก้องกังวาลแผ่นฟ้า ชาวบ้านที่อยู่บนพื้นดินซึ่งได้ยินเสียงคำรามต่างก็คิดว่าตนเองหูฝาด เลี่ยกู่ไม่กล้าส่งเสียงคำรามเป็นครั้งที่สองอีก เนื่องจากว่าเย่ฮัวได้เคยเตือนเขาเอาไว้แล้วนั่นเอง
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็บินกลับลงมาบนพื้นอีกครั้ง เย่จีจี้เกาะอยู่บนตัวของเลี่ยกู่เหมือนโคอาล่าเกาะต้นไม้
“ปีศาจพนัน จีจี้เห็นนะว่าร้องไห้ด้วย”
เว่ยชางหัวเราะในลำคอ “เจ้าตาฝาดมากกว่า”
“แหม จีจี้ไม่ได้ตาฝาดสักหน่อย ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ว่าแต่เมื่อไหร่เราจะมาเล่นพนันกันล่ะ?”
“ต้องรอบอสอนุญาตก่อนสิ” เว่ยชางเอื้อมมือไปขยี้หัวเย่จีจี้ แล้วส่งเสียงหัวเราะด้วยความดีใจ
ในตอนที่เย่จีจี้ขยับหัวหนีมือของเว่ยชาง เธอก็เห็นว่ารอบตัวเขามีหญิงสาวอยู่ด้วยอีก 4 คน ดวงตาของเย่จีจี้สดใสขึ้นทันตา “ว้าว เสื้อผ้าสวยจังเลย จีจี้อยากใส่บ้างจัง”
ความจริงแล้ว สาวรับใช้ทั้ง 4 คนยังคงตกตะลึงไม่หาย ตอนแรกพวกเธอคิดว่าเด็กหญิงคนนี้ต้องเป็นศัตรูแน่ๆ แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นมิตรที่ดูจะสนิทสนมกับเจ้านายของพวกเธอไม่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก
สาวรับใช้ทั้ง 4 คนไม่รู้ควรจะทำอย่างไรดี นอกจากก้มศีรษะทำความเคารพต่อเย่จีจี้
“พวกพี่ไปซื้อชุดพวกนี้มาจากที่ไหนกันจ๊ะ จีจี้อยากได้” เด็กหญิงเดินเข้าไปจับกระโปรงลายลูกไม้ของอีกฝ่าย ไต่ถามด้วยความสงสัย
ดูเหมือนเย่จีจี้จะมีความสนใจเรื่องแฟชั่นเสื้อผ้าอยู่ไม่น้อย
เว่ยชางกับเลี่ยกู่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับหญิงรับใช้เหล่านี้ ทันใดนั้น เย่จีจี้กลับรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม “ไม่ได้นะ ทุกคนมีผู้หญิงของตัวเองหมดเลย จีจี้ก็ต้องมีผู้หญิงเป็นของตัวเองบ้างสิ!”
เว่ยชางพูดอะไรไม่ออก “…”
เลี่ยกู่ก็พูดอะไรไม่ออก “ …”
สาวรับใช้ทั้ง 4 คนก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน “…”
GG:บทที่ 157 – ไร้หนทางเยียวยา
เว่ยชางหัวเราะในลำคอก่อนที่จะพูดว่า “พูดเสียงเบาๆ หน่อยสิ คุณผู้หญิงกำลังพักผ่อนอยู่”
“คุณผู้หญิงเหรอ? คุณผู้หญิงอะไรกัน” เย่จีจี้ถามด้วยความสงสัย
เลี่ยกู่ยกมือลูบหัวเด็กหญิงที่สูงเพียง 102 เซนติเมตร แล้วตอบยิ้มๆ ว่า “คุณผู้หญิงก็คือภรรยาของบอสไงล่ะ”
“หา! นี่พี่ชายมีเมียแล้วเหรอ!” เย่จีจี้อุทานออกมาและยกมือปิดปากด้วยความตกใจ
เว่ยชางพูดพร้อมกับยิ้มว่า “ใช่ ยิ่งไปกว่านั้นนะ คุณผู้หญิงกำลังตั้งท้องอยู่ด้วย”
“พูดจริงสิ!!!” เย่จีจี้ตกตะลึงเหมือนคนที่ถูกฟ้าผ่า พี่ใหญ่ของเธอเป็นแค่โครงกระดูกไม่ใช่หรือ แล้วจะทำให้ผู้หญิงตั้งท้องได้อย่างไร? เรื่องนี้มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว…
“เข้าใจแล้วล่ะ” เย่จีจี้รับคำตะกุกตะกัก เดินไปที่เต็นท์ในความเงียบ
“จีจี้ขอเข้าไปหน่อยนะ” หลังจากที่พูดจบแล้ว เด็กหญิงก็มุดเข้าไปภายในเต็นท์
เธอเห็นมนุษย์ที่เป็นหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของเย่ฮัว หญิงสาวคนนี้มีหน้าตาสวยมาก เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เย่จีจี้เคยพบเจอมาเลย
เย่ฮัวกระซิบออกมาว่า “อย่าทำเสียงดัง”
เย่จีจี้พยักหน้าและขยับเข้ามาดูใกล้ๆ แล้วกระซิบ “นายท่านเจ้าคะ จีจี้ขอกอดภรรยาของท่านหน่อยสิ”
“กอดเบาๆ ล่ะ” เย่ฮัวไม่ปฏิเสธ จะอย่างไรเย่จีจี้ก็ยังคงเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำ
เด็กหญิงค่อยๆ คลานเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง ก่อนที่จะโอบกอดชิงหยาและซุกใบหน้าเข้ากับหน้าอกของเธอ การกระทำเช่นนี้ทำให้เย่ฮัวรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาจะไม่อนุญาตให้เย่จีจี้กอดชิงหยานานเกินไปนัก แต่จะห้ามตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“อ้อมกอดของคุณผู้หญิงอบอุ่น แล้วก็สบายจังเลยนะ” เย่จีจี้มีดวงตาเป็นประกาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอชื่นชมความสวยงามของชิงหยาเป็นอย่างมาก
ราชาแห่งโลกผู้ฝึกตนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงติดรำคาญเล็กน้อย “โอเค ปล่อยได้แล้ว”
“นายท่านเจ้าคะ ขอจีจี้กอดอีกหน่อยนึงน่า นะๆๆ”
“งื้อ” ชิงหยาพึมพำอะไรบางอย่างออกมาไม่ได้ศัพท์ เอื้อมมือออกมากอดแขนของเย่จีจี้เอาไว้ ดูเหมือนเธอจะคิดว่าเด็กหญิงเป็นเย่ฮัวนั่นเอง
ภาพที่เห็นทำให้ราชาแห่งโลกผู้ฝึกตนเกิดความรู้สึกรำคาญใจมากยิ่งขึ้น เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“ยังไม่ปล่อยอีก!” เย่ฮัวกระซิบ
เย่จีจี้ทำหน้าบูด แล้วพูดว่า “ไม่ใช่จีจี้นะ คุณผู้หญิงต่างหากที่ไม่ยอมปล่อยจีจี้ออกมา”
เย่ฮัวเอื้อมมือจับตัวเด็กหญิงและพยายามดึงตัวเธอออกมา และเป็นไปตามที่คิด ชิงหยาเป็นฝ่ายกอดเด็กหญิงอยู่จริงๆ ด้วย
“นายท่าน ทำไมขี้หวงจัง” เย่จีจี้ทำปากยื่น
เย่ฮัวจ้องมองเด็กหญิงและกระซิบว่า “วันพรุ่งนี้ไปรอฉันในเมืองด้วย”
“รับทราบเจ้าค่ะ” เย่จีจี้รับคำ ก่อนที่จะแกะมือของชิงหยาออก แล้วคลานออกไปจากเต็นท์ อ้อมแขนของผู้หญิงคนนี้ช่างนุ่มนิ่มจนอธิบายไม่ถูกเหลือเกิน
หลังจากนั้น เย่จีจี้ก็ออกมานัดแนะกับเว่ยชางอยู่ด้านนอกอีกพักใหญ่
เย่ฮัวไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าเขารู้ว่าเย่จีจี้จะลงมือทำอะไรในอนาคต เขาก็คงไม่อนุญาตให้เธอมาอยู่ด้วยแน่นอน
ในตอนนี้ ชิงหยากลับมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง เย่ฮัวถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เย่จีจี้ไม่ใช่คนที่จะชอบมนุษย์คนไหนง่ายๆ แต่เธอก็ตกหลุมรักชิงหยาแทบจะทันที อาจจะเป็นเพราะว่าชิงหยาไม่เหมือนใคร นับว่าวิสัยทัศน์ของเขามันช่างเด็ดขาดจริงๆ
เมื่อมองริมฝีปากสีแดงสด เย่ฮัวก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบ ริมฝีปากของชิงหยาอ่อนนุ่มอะไรขนาดนี้
ขณะนี้เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว เลี่ยกู่กลับเข้าไปอยู่ในเต็นท์แล้ว
ผ่านไปเพียงไม่นาน เต็นท์ของเลี่ยกู่ก็เกิดอาการสั่นเขย่าอย่างแรง แต่เขาก็ร่ายมนต์ปิดเสียงเอาไว้ ไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมารบกวนผู้ใด
ทางด้านของเว่ยชางแตกต่างจากเลี่ยกู่อย่างสิ้นเชิง เมื่อทอดสายตามองไปยังเต็นท์ของเลี่ยกู่ เว่ยชางก็ให้เกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที
“ลุงเว่ยคะ นี่ก็ดึกแล้ว เข้ามาพักผ่อนก่อนเถอะ” ถังเว่ยรูดซิปเปิดเต็นท์ยื่นหน้าออกมาเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เว่ยชางอยากจะจุดบุหรี่สูบสักมวน แต่ก็ได้แต่บอกให้ตนเองใจเย็นๆ ถึงอย่างนั้น หัวใจของเขากลับเต้นเร็วขึ้นหลายเท่า
“ลุงเว่ยคะ” ถังเว่ยร้องเรียกด้วยใบหน้าที่แสดงความเขินอาย
ในที่สุด เว่ยชางก็ลุกขึ้นยืนด้วยสายตามุ่งมั่น เขาจะทำในสิ่งที่สมควรทำ คิดได้ดังนั้นเขาก็เดินตรงเข้าไปหาเธอ
เมื่อเห็นว่าเว่ยชางกำลังเดินเข้ามาหา ถังเว่ยก็รีบถอยกายกลับเข้ามาอยู่ในเต็นท์ ใบหน้าของเธอกลายเป็นสีแดงเข้ม นี่จะเรียกว่าการเฉลิมฉลองก็ว่าได้
เมื่อมุดเข้ามาในเต็นท์แล้ว เว่ยชางก็เห็นว่าภายในเต็นท์ตกแต่งด้วยโทนสีแดงออกแนวร้อนแรงอยู่ไม่น้อย
หลังจากนั้น เขาก็มองไปที่ถังเว่ยซึ่งก้มหน้าต่ำ ใบหน้าของเธอปรากฏความเอียงอาย เว่ยชางกลืนน้ำลายเอื๊อก แล้วต่อจากนี้ต้องทำยังไงต่อไปล่ะ!
ในขณะที่พบว่าเว่ยชางกำลังจ้องมองมา ถังเว่ยก็กัดริมฝีปากล่างของตนเองและเริ่มปลดกระดุมเสื้ออย่างช้าๆ
เว่ยชางถึงกับอุทานด้วยความตกตะลึง “เสี่ยวถัง เธอจะทำอะไรเนี่ย?”
“ถอดเสื้อผ้าแล้วนอนลงเถอะค่ะ” ใบหน้าที่สวยงามของถังเว่ยร้อนผ่าว ทำไมเว่ยชางถึงได้ซื่อบื้อขนาดนี้ แค่ถอดเสื้อผ้าก็ทำไม่ได้หรือไง?
เว่ยชางเอื้อมมือออกมาหาเธอแล้ว
หัวใจของถังเว่ยเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากหน้าอก ในที่สุดเว่ยชางก็เริ่มต้นเป็นฝ่ายรุุกเสียที
แต่ว่า…
เว่ยชางติดกระดุมเสื้อให้ถังเว่ย แล้วพูดว่า “อยู่กลางเขาแบบนี้ดึกดื่นค่อนข้างหนาว ใส่เสื้อผ้าไว้ดีกว่านะ”
ถังเว่ยถึงกับพูดอะไรไม่ออก “…”
กลยุทธ์ที่ 1
ในขณะนี้ เกิดคำถามใหญ่ขึ้นในใจถังเว่ยว่า ลุงเว่ยของเธอสติไม่ดีหรือไง?
ยิ่งเห็นเว่ยชางนอนหลับตาพริ้ม ถังเว่ยก็ได้แต่ตัดใจข่มตานอนให้หลับ ทั่วทั้งเต็นท์ตกอยู่ภายใต้ความเงียบทันที
ผ่านไปครึ่งค่อนคืน ถังเว่ยก็หันไปกอดเว่ยชางอย่างอ่อนโยน
เว่ยชางเองก็โอบกอดเอวคอดกิ่วของหญิงสาวเช่นกัน ถังเว่ยรู้สึกกลับมามีความหวังขึ้นอีกครั้ง เธอพูดออกไปด้วยความเขินอายว่า “ลุงเว่ยคะ คุณไม่อยากเหรอ?”
“ฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน” เว่ยชางกระซิบตอบ
“แล้วทำไมถึงยังนอนเฉยๆ อยู่อีกล่ะ…” ถังเว่ยรู้สึกอายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนี เธอบ้าหรือเปล่านะที่กำลังให้ท่าอีตาลุงที่ไม่หือไม่อืออะไรเลย
เว่ยชางถอนหายใจออกมาว่า “ฉันก็อยากนอนให้หลับเหมือนกัน แต่มันนอนไม่หลับ”
นี่ไงล่ะ!
กลยุทธ์ที่ 2
ถังเว่ยรู้สึกเวียนหัวและอยากจะร้องไห้
หลังจากได้รับฟังคำตอบของเขา ถังเว่ยก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าลุงเว่ยจะไม่เข้าใจสัญญาณที่เธอส่งออกไปจริงๆ คราวนี้ เห็นทีว่าเธอจะต้องพยายามให้หนักขึ้น
หญิงสาวเอื้อมมือเรียวยาวออกไปลูบไล้หน้าอกของลุงเว่ย ถ้าไม่เข้าใจอีกก็ให้รู้ไปสิ!
เว่ยชางยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดอย่างมีความสุขว่า “เสี่ยวถัง ฉันยังไม่เหนื่อย ยังไม่ต้องรีบนวดตอนนี้ก็ได้”
ดูเอาเถอะ!
กลยุทธ์ที่ 3
ลุงเว่ยเข้าใจว่าเธอกำลังนวดผ่อนคลายให้เขา ให้ตายเถอะ! มันเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันนะ ดูเหมือนว่าจะต้องใช้ท่าไม้ตายเสียแล้ว!
“อ๊า…”
ถังเว่ยครางเสียงกระเส่าในขณะที่ลูบไล้หน้าอกของเว่ยชางต่อไป ถังเว่ยไม่เชื่อว่าจะมีบุรุษผู้ใดทนทานได้แน่นอน
เว่ยชางถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “เป็นอะไรไปจ๊ะ เสี่ยวถัง เธอเจ็บคอเหรอ?”
ยังไม่รู้ตัวอีก!
กลยุทธ์ที่ 4
ถังเว่ยไม่ต่างจากคนที่ถูกฟ้าผ่า รู้สึกว่าตนเองกำลังเสียหน้าที่สุดในชีวิต
เว่ยชางพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “อยู่กลางเขาแบบนี้อากาศหนาวมาก เธอต้องดูแลสุขภาพด้วยสิ”
ถังเว่ยถึงกับพูดอะไรไม่ออก ท่าทางนี่จะไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว เธอเคยคิดว่าลุงเว่ยแค่ไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่อย่างนั้น ถังเว่ยคิดว่าเขาต้องเป็นโรคนกเขาไม่ขันที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างแน่นอน
คราวนี้ เธอจะเป็นคนรักษาเขาเอง เธอจะช่วยให้เขาเผชิญหน้ากับมัน แม้ว่าเขาจะไม่อยากเผชิญหน้ากับมันก็ตาม
ถังเว่ยกอดแขนของเว่ยชางแนบแน่น พูดว่า “ลุงเว่ย ไม่ต้องห่วงนะคะ คืนนี้เป็นระยะปลอดภัยของฉัน รับรองว่าไม่มีเรื่องยุ่งยากตามมาแน่”
เว่ยชางลูบผมถังเว่ย พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ฉันรู้ อยู่กับฉันเธอไม่ต้องกลัว นอกจากคืนนี้เธอจะปลอดภัยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันไหนๆ เธอก็จะปลอดภัยทั้งนั้น”
กลยุทธ์ที่ 5
ยอมแพ้ดีกว่า
ถังเว่ยคิดว่าลุงเว่ยของเธอคงไร้หนทางเยียวยาเสียแล้ว…
ในขณะเดียวกัน เว่ยชางก็ได้แต่คิดว่าจะหาวิธีเข้าไปเล้าโลมหญิงสาวอย่างไรดี เขากลัวมากว่าตนเองจะดูหื่นกามมากเกินไป นั่นไม่ใช่สไตล์ของเขาเลย ที่น่าหนักใจก็คือ ตอนนี้จะหันหน้าไปปรึกษาใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น
GG:บทที่ 158 – น้องสาวที่เป็นญาติห่างๆ
“ลุงเว่ย ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวนอนก่อนก็แล้วกัน คุณเองก็พักผ่อนนะคะ” ถังเว่ยพูดอย่างเจ็บใจและไม่สนใจเว่ยชางอีกต่อไป
เว่ยชางได้แต่ถอนหายใจออกมายาวแรง
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเสี่ยวถังผิดหวังในตัวเขาอย่างไรก็ไม่รู้ มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลยนี่
ขณะนี้ เว่ยชางคิดว่าตนเองกำลังแสดงความเป็นสุภาพบุรุษออกมาอย่างเต็มเปี่ยม เธอควรจะชอบสิ ก็เห็นพระเอกในละครทีวีทำแบบนี้กันทั้งนั้น…
เว่ยชางหลับไปพร้อมกับมีข้อสงสัยมากมายวนเวียนอยู่ในหัว แต่ถ้ามองภาพโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเขาทำก้าวแรกได้สำเร็จ อย่างน้อยถังเว่ยกับเขาก็ได้นอนอยู่เคียงข้างกัน
เมื่อคิดถึงอนาคตที่ว่าเสี่ยวถังอาจจะมีลูก ถึงตอนนั้นเธอก็ไม่ควรทำงานให้ตระกูลชิงอีกแล้ว เขาจะต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ แต่แค่คิดก็ปวดหัวเหลือเกิน ทำไมมนุษย์เวลารักกันแล้วต้องมีลูกด้วยนะ?
แต่เว่ยชางไม่รู้เลยว่าถ้าตนเองปรึกษาเรื่องนี้กับเย่ฮัว ผู้เป็นนายเหนือหัวก็จะมอบคำแนะนำให้กับเขาได้เป็นอย่างมาก ในฐานะผู้ชาย เว่ยชางควรทำตัวเป็นใหญ่ ไม่อย่างนั้นผู้หญิงก็จะไม่เชื่อฟัง
ในขณะเดียวกันนั้น เย่ฮัวจัดการเปลี่ยนให้ชิงหยามาสวมใส่ชุดนอน เรือนร่างของเธอยิ่งดูดึงดูดมากกว่าเดิม ผิวพรรณอันนวลเนียลดูเย้ายวนใจเหลือเกินภายใต้แสงไฟเลือนราง ชายหนุ่มถึงกับอดใจไม่ไหวจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครมองเห็น หรือถ้ามีใครมองเห็น เขาก็จะฆ่ามันผู้นั้นทิ้งซะ!
เคี๊ยะๆๆๆ
…
ดวงตะวันโผล่พ้นยอดเขาสีเขียวขจี แสงแดดแสนอบอุ่นอาบไล้ทั่วหุบเขา ทำให้ทุกคนที่มาพักผ่อนที่นี่รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง
“ฮื่อ”
เย่ฮัวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และพบว่าชิงหยาพูดกับเขาทันที ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก
“เย่ฮัว ฉันหิวแล้วอ่ะ” ชิงหยาส่งเสียงพึมพำ ดูเหมือนเธอขี้เกียจแม้แต่จะอ้าปากด้วยซ้ำ
“ถ้าหิวก็ลุกขึ้นไปทำอาหารเช้าสิ”
”ฉันไม่อยากลุก ฉันอยากนอนอยู่แบบนี้มากกว่า” ชิงหยาขยับตัวเพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่นอนสบายมากที่สุด
เย่ฮัวหัวเราะในลำคอ “ตอนนี้เราไม่ได้อยู่บ้านนะ”
ชิงหยาเบิกตาโตและหันมองรอบตัว ทันใดนั้น ก็นึกได้ว่าเมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น
“เมื่อคืนคุณฝันร้าย” เย่ฮัวพูดเสียงราบเรียบขณะสบตามองดวงตาที่แสดงความตื่นกลัวของชิงหยา
ชิงหยาขมวดคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ “ฝันร้ายเหรอคะ”
“ใช่ เมื่อวานกินข้าวเสร็จคุณก็เข้านอนเลย”
“ที่แท้ก็ฝันนี่เอง กลัวแทบแย่แน่ะ” ชิงหยายกมือทาบอกอย่างรู้สึกไม่ดี นั่นเองเธอถึงได้รู้ตัวว่ากำลังสวมใส่ชุดนอนอยู่ ว่าแต่เธอเปลี่ยนมาใส่ชุดนอนตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
เย่ฮัวพูดขึ้นว่า “ผมเปลี่ยนให้คุณเองแหละ”
“ฉวยโอกาสอีกแล้วนะ!” ชิงหยาพูดด้วยน้ำเสียงแง่งอน ยกมือป้องกันหน้าอกทำท่าเหมือนจะต่อยมวย
เย่ฮัวหยิกแก้มภรรยาเบาๆ “ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว กินมื้อเช้าเสร็จ เราจะกลับกัน”
พูดจบ เย่ฮัวก็เดินออกมาจากเต็นท์ก่อน ที่นี่มีอากาศบริสุทธิ์ ชายหนุ่มจุดบุหรี่สูบ สาวรับใช้ทั้ง 4 คนตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารเช้า เว่ยชางหลบไปนั่งอยู่ริมน้ำท่าทางเหม่อลอย ในขณะที่เลี่ยกู่ยังไม่ตื่น
“มานั่งทำอะไรตรงนี้” เย่ฮัวเดินเข้าไปยืนอยู่ด้านข้างและถามออกมาเสียงดัง
เว่ยชางสะดุ้งโหยง รีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ “นายท่าน”
เย่ฮัวพ่นควันบุหรี่ออกมา “ทำหน้าเศร้าตั้งแต่เช้าเชียว”
แต่จะให้เว่ยชางพูดเรื่องนั้นออกมาได้อย่างไร? มันน่าอับอายมากเกินไป…
“มีข้อสงสัยบางอย่างที่ข้าน้อยกำลังขบคิดอยู่น่ะ นายท่าน”
“เหรอ ข้อสงสัยเรื่องอะไรกันล่ะ?”
เว่ยชางรู้สึกอยากจะสูบบุหรี่ขึ้นมาเช่นกัน มีข้อแก้ตัวมากมายที่เขาใช้พูดออกไปได้ แต่เว่ยชางก็ต้องเลือกสิ่งที่ฟังดูมีเหตุผลมากที่สุด สำหรับการออกมานั่งเครียดอยู่ริมน้ำตั้งแต่เช้าตรู่
“ข้าน้อยคิดเรื่องที่นายท่านทำเมื่อคืนนี้ ข้าน้อยสงสัยว่าทำไมนายท่านถึงมอบเจดีย์เก้าปีศาจให้กับหวังต้าเป่า แทนที่จะมอบให้คนอื่นไปซะ” เว่ยชางนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงพูดออกมาทันที
เย่ฮัวรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจดี จึงตั้งใจรับฟังต่อไป
เว่ยชางสูดหายใจลึกและพูดต่อว่า “แล้วข้าน้อยก็เข้าใจ หวังต้าเป่าอาจดูเหมือนเป็นคนฝั่งใต้ แต่ภรรยาเขามาจากฟากเหนือ เราได้ยินกันมาตลอดว่าหวังต้าเป่าเชื่อฟังภรรยายิ่งกว่าอะไรดี เมื่อมอบอาวุธโบราณให้กับเขาไป ก็เท่ากับอาวุธโบราณตกไปอยู่ในมือของฟากเหนือ คราวนี้ ฝั่งใต้จึงเป็นฝ่ายเสียหน้าเต็มๆ และพวกเขาจะต้องหาทางแก้แค้นฟากเหนือแน่นอน”
เย่ฮัวดีดก้นบุหรี่ทิ้งไป ดวงตาปรากฏแววชื่นชม “ถูกต้อง นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันตั้งใจทำ ให้พวกเขาไปสู้กันเอง เมื่อสู้กันจบแล้ว เราค่อยเดินเข้าไปบอกความจริง ฉันอยากเห็นว่ามนุษย์พวกนี้จะแสดงธาตุแท้อะไรออกมาบ้าง การได้เห็นธาตุแท้ของมนุษย์ คือเรื่องสนุกที่สุดแล้วล่ะ!”
“วิสัยทัศน์ของนายท่านเด็ดขาดไม่มีใครเหมือนจริงๆ ข้าน้อยเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง!”
เย่ฮัวตบหัวไหล่เว่ยชาง “นั่นแหละ พยายามเรียนรู้กลยุทธ์ต่างๆ เข้าไว้ นับเป็นเรื่องดี”
“ข้าน้อยก็ชอบอ่านหนังสือของมนุษย์เวลาที่มีเวลาว่างเหมือนกันครับ”
มุมปากของเย่ฮัวบิดตัวขึ้นเป็นรอยยิ้ม “เอาล่ะ ไปปลุกเลี่ยกู่ได้แล้ว หลังกินมื้อเช้าเสร็จ เราจะไปรับเย่จีจี้”
“รับทราบครับนายท่าน!”
ในเวลาเดียวกันนี้ ชิงหยาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว และกำลังเดินออกมาจากเต็นท์
เธอหลับตาเหยียดแขนบิดขี้เกียจ ดื่มด่ำไปกับอากาศบริสุทธิ์รอบตัว ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นบุหรี่ลอยตามลมมาอย่างไม่คาดคิด ชิงหยาหันไปมองเย่ฮัว ก่อนที่จะเดินมาดูว่าเช้านี้มีอะไรกินบ้าง
ภายใต้การนำของชิงหยา พวกเขาก็ได้เมนูอาหารเช้าที่ดูหรูหราเพิ่มมากขึ้น
ระหว่างที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร เย่ฮัวซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะพูดออกมาเสียงดังว่า “กินเสร็จเราก็กลับกันเลยนะ”
“ทำไมถึงรีบจัง?” ดูเหมือนว่าชิงหยาจะยังคงอยากพักผ่อนอยู่ที่นี่ต่อ
เย่ฮัวกัดขนมปังก่อนตอบ “ผมต้องไปรับน้องสาวที่เป็นญาติห่างๆ เธออยากเข้าไปเรียนต่อในเมือง คุณช่วยจัดการให้หน่อยก็แล้วกัน”
“อ๋อ ได้เลยค่ะ ฉันจะติดต่อให้นะ ว่าแต่น้องสาวคุณอายุเท่าไหร่ อยู่มอต้นหรือว่าอยู่มอปลายแล้ว?” ชิงหยาถามพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยท่าทางใจดี
อยู่มอต้นหรือว่ามอปลายดีล่ะ?
เย่ฮัวหันไปมองหน้าเว่ยชางกับเลี่ยกู่อย่างขอความช่วยเหลือ แต่ผู้ติดตามของเขาก็ได้แต่ก้มหน้าและตอบว่าไม่รู้
“น้องผมอายุ 8 ขวบ” เย่ฮัวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเย่จีจี้ควรจะเรียนอยู่ระดับไหนในโรงเรียนของมนุษย์ เพราะว่าเขาไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน
ชิงหยานิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะพึมพำว่า “อายุ 8 ขวบ ก็น่าจะอยู่เรียนอยู่ระดับประถม ประมาณเกรด 3 นะคะ”
“ใช่ นั่นแหละ” เย่ฮัวตอบ
ชิงหยาติดต่อไปหาคนที่ชื่อว่าหลิวหัง ซึ่งเป็นผู้จัดการใหญ่ในเมืองหลงอัน เธอขอให้เขาช่วยจัดการเรื่องบรรจุเด็กนักเรียนคนใหม่เข้าสู่โรงเรียนชื่อดังประจำเมือง
“เย่ฮัว เดี๋ยวส่งข้อมูลของน้องสาวคุณให้ฉันด้วยนะ” ชิงหยาพูด
เมื่อพูดถึงเรื่องข้อมูลแล้ว เย่ฮัวคิดว่าเย่จีจี้จำเป็นต้องมีข้อมูลส่วนตัวที่แน่นหนาน่าเชื่อถือ เขาจะปล่อยให้จิ่วเย่จัดการเรื่องนี้ก็แล้วกัน
“ได้สิ เดี๋ยวผมให้คนส่งมาให้”
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ พวกเขาก็เดินทางออกมาจากหุบเขา สำหรับหญิงสาวที่อยู่ในกลุ่มเกือบทุกคนแล้ว การมาเที่ยวค้างคืนครั้งนี้ค่อนข้างสนุกสนานและน่าตื่นเต้นไม่น้อย
แต่สำหรับเว่ยชางกับถังเว่ย นี่คือเรื่องที่ยากอธิบาย
อันที่จริง คนที่มีความสุขที่สุดกลับเป็นเย่ฮัว ซึ่งกำลังโอบกอดชิงหยาอยู่ในอ้อมแขน แม้ว่าจะอยู่ที่ไหนเวลาใด ดูเหมือนว่าเขาจะอดใจกอดเธอไม่ไหวจริงๆ
ระหว่างที่อยู่บนทางด่วน ชิงหยาเอนตัวซบไหล่เย่ฮัว และถามว่า “เย่ฮัว ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณมีน้องสาวด้วย?”
“ผมไม่ได้เจอน้องคนนี้มานานแล้ว”
ชิงหยาแกล้งทำเป็นทุบหน้าอกของเขา “บอกมานะ คุณยังปิดบังอะไรฉันอยู่อีกบ้าง”
เมื่อเว่ยชางมองกระจกส่องหลังก็เห็นว่าเย่ฮัวหันเหความสนใจของชิงหยา ด้วยการโน้มหน้าจูบริมฝีปากเธอ
“คนน่าเกลียด! มีคนอื่นอยู่ด้วยนะ”
“แค่พวกเขาไม่มองก็ไม่เป็นไรแล้ว”
เว่ยชางกับเลี่ยกู่รู้สึกอิจฉาขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะเว่ยชาง ทำไมนายเหนือหัวถึงควบคุมผู้หญิงได้ง่ายดายขนาดนี้ เขาควรใช้เวลานี้แหละเรียนรู้ทักษะนี้จากนายเหนือหัวให้มากที่สุด
ถ้าเว่ยชางได้มีโอกาสถามคำถามนี้ สิ่งที่เย่ฮัวอยากจะพูดก็คือ “ถ้านายไม่เคยรู้ทักษะการจีบผู้หญิงมาก่อน แค่มีแฟนได้ ก็นับว่าเป็นบุญหัวของนายแล้วจริงๆ”
GG:บทที่ 159 – คนวัยลุง
ถังเว่ยที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันหลัง หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
“ถังเว่ย เมื่อคืนนี้สำเร็จหรือเปล่า” ไป๋เฉ้าเฉินกระซิบถาม
เฮ้อ…เธอควรจะตอบอย่างไรดี
ถังเว่ยส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าเธอควรจะขำหรือควรจะโกรธพฤติกรรมของลุงเว่ยเมื่อคืนนี้ดี
ชิงชิงที่นั่งอยู่บนเบาะหน้ารถ หันหน้ามามองด้วยความสนใจ ก่อนที่จะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เสี่ยวถัง เธอออกจะเซ็กซี่ขนาดนี้ แต่ลุงเว่ยไม่หือไม่อืออะไรบ้างเลยเหรอ? ฉันว่าเรื่องแบบนี้เธอน่าจะลองถามอาเซี่ยดูนะ”
แน่นอนว่าใบหน้าของอาเซี่ยกลายเป็นสีแดงทันทีในขณะที่ขับรถต่อไป ส่วนไป๋เฉ้าเฉินพูดออกมาว่า “พอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว”
“ดูหน้าพวกเธอสองคนสิ อิอิ” ชิงชิงพูดไปก็ยิ้มไป
ถังเว่ยถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทำไมคนอื่นถึงมีความสุขขนาดนี้นะ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจากปล่อยให้มันเป็นไปเท่านั้น
สองชั่วโมงต่อมา ในที่สุดรถยนต์ทั้งสองคันก็ลงจากทางด่วนและแล่นเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ เย่ฮัวยังคงยึดตามหลักการเดิมคือ เลือกหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลผู้คนที่สุด
“ถึงแล้วเหรอ?” ชิงหยาเงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของผู้เป็นสามี และทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ
เย่ฮัวพยักหน้า พวกเขามาถึงจุดนัดพบแล้ว แต่ยังไม่พบเห็นเย่จีจี้แม้แต่เงา อย่าบอกนะว่าเด็กหญิงจะเล่นลูกไม้อะไรกับเขาอีก
“ฉันหิวอีกแล้ว…” ชิงหยายกมือลูบท้องตนเองและพูดออกมาด้วยความเขินอาย
คนท้องก็แบบนี้ มักจะหิวบ่อยเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และที่สำคัญก็คือ ผู้เป็นแม่กินเยอะเท่าไหร่ เด็กในท้องก็จะยิ่งได้รับสารอาหารเยอะขึ้นเท่านั้น
“คุณผู้หญิงครับ ตรงนั้นมีร้านอาหารเล็กๆ อยู่นะครับ” เว่ยชางพูดขึ้นหลังจากทอดสายตาสำรวจนอกรถ
ดวงตาของชิงหยาเป็นประกายขึ้นทันที “มีร้านอาหารอยู่ด้วยใช่ไหม? เราไปที่นั่นกันเถอะ”
เย่ฮัวตรวจสอบข้อมูลล่วงหน้ามาแล้ว ร้านอาหารร้านนี้ถึงจะมีขนาดเล็ก แต่ก็จัดได้ว่ามีรสชาติอร่อยเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น การแวะไปชิมสักหน่อยก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไร
“ได้สิ ไปกินมื้อกลางวันที่นั่นก็ได้” เย่ฮัวอนุมัติ
รถยนต์สุดหรูทั้งสองคันที่ปรากฏขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ สร้างความสงสัยให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านที่อยู่สองข้างทางจำนวนมาก พวกเขาต่างก็อยากทราบว่าผู้ที่อยู่ในรถนั้นเป็นคนแบบไหนกัน
และเมื่อชาวบ้านได้เห็นคนที่ก้าวเท้าลงมาจากรถ โดยเฉพาะรถยนต์คันหลัง ผู้ชายทุกคนก็แทบจะเลือดกำเดาไหลออกมาทันที
สาวรับใช้ทั้ง 4 คนลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่เช้าตรู่ ในขณะนี้พวกเธอสวมใส่ชุดที่ดึงดูดสายตา ลักษณะของพวกเธอกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน เหมือนมีความตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้มาท่องเที่ยวที่นี่
ถ้าความสวยงามของหญิงสาวจากรถยนต์คันหลัง ทำให้บุรุษทุกคนเลือดกำเดาไหลแล้ว หญิงสาวที่ก้าวลงมาจากรถยนต์คันหน้า ก็เป็นเสมือนยาห้ามเลือดให้กับพวกเขา เธอมีความสวยงามที่ให้ความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาบนสวรรค์ เธอสวยเกินกว่าจะเป็นมนุษย์จริงๆ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เอวคอดกิ่วของเธอกลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเกี่ยวแขนกอดเอาไว้แล้ว!
สิ่งที่ทุกคนไม่เข้าใจก็คือ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นจุดศูนย์กลางของคนทั้งกลุ่ม เขาได้รับความเคารพเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ดูจากหน้าตาแล้ว อายุก็ไม่น่าจะเยอะสักเท่าไหร่
เมื่อถึงตอนนี้ เย่ฮัวก็แอบติดต่อไปหาเย่จีจี้ เด็กหญิงขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ก่อนที่บอกว่าจะรีบมาถึงให้เร็วที่สุด
ขณะนี้ ในร้านอาหารขนาดเล็กไม่มีคนอื่นอยู่เลย เจ้าของร้านกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ที่โต๊ะ เบื้องหน้ามีเกี๊ยวเนื้อชามหนึ่งวางทิ้งไว้จนเย็นชืด
เมื่อได้ยินเสียงประตูร้านถูกเปิดเข้ามา ชายผู้เป็นเจ้าของร้านก็เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรีบลุกขึ้นต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “รับอะไรดีครับ คุณลูกค้า”
ชิงหยามองเมนูอาหารที่ติดอยู่บนผนังร้าน แล้วพูดออกมาเสียงเบาว่า “เอาเกี๊ยวซ่าก็แล้วกัน เย่ฮัว คุณอยากกินอะไร”
“ผัดซีอิ้ว พิเศษใส่ไข่” เย่ฮัวตอบออกมาเสียงเรียบ
เลี่ยกู่แลบลิ้นเลียริมฝีปาก “ผมขอบะหมี่ก็แล้วกัน”
เว่ยชางหันไปถามถังเว่ย “เสี่ยวถัง อยากกินอะไรไหมจ๊ะ?”
“อะไรก็ได้ค่ะ” ดูเหมือนว่าถังเว่ยจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติถ้าดูจากเมื่อคืนนี้ที่เธอให้ท่าแทบตาย แต่ลุงเว่ยกลับไม่ได้ตอบสนองอะไรเลยสักนิด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ถังเว่ยก็นึกประหลาดใจ คนวัยลุงไม่เห็นดีอย่างที่ใครเขาว่ากันเลย! แล้วถังเว่ยก็อับอายเกินไปที่จะพูดออกมาว่าเขาไม่เก่งเรื่องพวกนี้ หรือว่าลุงเว่ยจะมีบาดแผลในใจอะไรหรือเปล่านะ? แต่ถังเว่ยไม่คิดแบบนั้น เธอคิดว่าน่าจะยังพอมีหนทางเร้าอารมณ์ลุงเว่ยได้อยู่ เห็นทีคงต้องไปถามหมอยาโบราณแล้วว่า มียาอะไรที่จะช่วยรักษานกเขาของลุงเว่ยได้บ้าง
เว่ยชางยังคงจ้องมองเมนูบนผนังร้าน ถังเว่ยที่ยืนอยู่ข้างหลังสะกิดให้เขารีบสั่งอะไรก็ได้มาสักอย่าง
“เอาเป็นไก่ตุ๋นโสมมาก็ได้” เว่ยชางสั่งอาหารในที่สุด
ถังเว่ยชอบใจอยู่ไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าลุงเว่ยก็พยายามเพิ่มกำลังวังชาให้ตนเองอยู่เช่นกัน ถังเว่ยยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเขามีอาการนกเขาไม่ขัน แบบที่คนสูงอายุจะต้องเป็นกันแน่ๆ เอาไว้เดี๋ยวเธอจะดูแลเขาให้ดีเอง ถังเว่ยจะไม่ยอมให้ลุงเว่ยต้องเจ็บใจอีกแล้ว เมื่อคิดถึงสภาพจิตใจของลุงเว่ยเมื่อคืนนี้ เขาคงเศร้ามากเลยสินะ…
และเมื่อคืนนี้ เว่ยชางก็เศร้ามากจริงๆ
พวกเขาแยกกันนั่งโต๊ะละ 4 คน เกี๊ยวซ่าเป็นเมนูแรกที่มาเสิร์ฟก่อน ชิงหยารับประทานหมดไปอย่างรวดเร็ว
“เย่ฮัว น้องสาวคุณอยู่หมู่บ้านนี้จริงๆ เหรอ?” ชิงหยาถามออกมาด้วยความสงสัย
“เอ่อ… ถูกต้อง เธอแค่อยากจะออกไปเห็นโลกกว้างบ้างน่ะ” เย่ฮัวสามารถตอบได้เพียงเท่านี้จริงๆ
ชิงหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เด็กผู้หญิงก็ควรได้เห็นโลกกว้างถูกต้องแล้ว จะได้ไม่ต้องถูกผู้ชายเลวๆ หลอกได้ง่ายๆ ไงล่ะ”
นี่คือถ้อยคำแดกดันบุรุษเพศอย่างร้ายกาจ
เว่ยชางกับเลี่ยกู่อยากเปลี่ยนโต๊ะทันที พลังแห่งถ้อยคำถากถางของสตรี เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาพูดไม่ออกเลยจริงๆ
“งั้นคุณก็คงเห็นโลกมาเยอะแล้วสินะ” เย่ฮัวไม่ยอมเสียหน้าง่ายๆ
ชิงหยาส่งเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ ถึงเธอไม่ตอบ ก็เหมือนตอบออกมาแล้ว
กรุ๊งกริ๊ง
จังหวะนั้น เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อประตูร้านถูกเปิดเข้ามา ทุกคนหันหน้าไปมอง เจ้าของร้านที่กำลังทำอาหารอยู่เหลียวหน้ามอง ตะบวยที่อยู่ในมือร่วงหล่นไปทันที เพราะว่าความน่ารักของเด็กหญิงที่เดินเข้ามาในร้านนั้น มีอานุภาพมากพอที่จะฆ่าคนได้เลยทีเดียว
ในวันนี้ เย่จีจี้แต่งกายอยู่ด้วยชุดเจ้าหญิงเปิดไหล่ ความน่ารักของเธอเบ่งบานสะพรั่ง ทำให้ผู้จ้องมองอยากจะคุกเข่าลงไปถวายชีวิตให้ ไม่ว่าจะเป็นลวดลายลูกไม้ที่อยู่บนกระโปรง หรือหมวกปีกกว้างที่สวมใส่อยู่บนศีรษะ ต่างก็ช่วยส่งเสริมให้เธอดูสูงศักดิ์มากยิ่งขึ้น ผมหางม้าทั้งสองข้างที่กวัดแกว่งอยู่ด้านหลังเมื่อวานนี้ ขณะนี้มันได้หายไปแล้ว เด็กหญิงรวบผมเป็นมวยอยู่ด้านหลัง ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
มือทั้งสองข้างของเย่จีจี้สวมใส่ถุงมือยาว เธอถือร่มกันแดดลวดลายน่ารักมาด้วยคันหนึ่ง มองไปแล้วเหมือนเด็กน้อยที่หลุดมาจากโลกต่างมิติก็ไม่ปาน
เมื่อเห็นเย่จีจี้แต่งตัวในสภาพนี้ ก็ช่วยไม่ได้ที่เย่ฮัวจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“นี่เหรอคะน้องสาวคุณ?” ชิงหยาพึมพำออกมา
เย่ฮัวพยักหน้า
“ฉันว่าน้องสาวคุณน่าจะเห็นโลกกว้างมามากกว่าฉันอีกนะ” ชิงหยาคิดว่าเด็กหญิงผู้นี้มีลักษณะเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยจากราชวงศ์ในยุโรป ดูจากชุดที่แต่งกายแล้ว เหมือนเธอกำลังจะไปงานรื่นเริงของผู้สูงศักดิ์คนสำคัญไม่มีผิด
เย่จีจี้เองก็คิดเช่นนั้นจริงๆ นี่คือครั้งแรกที่เธอจะได้เผชิญหน้ากับภรรยาของนายเหนือหัว แน่นอนว่าด้วยความตื่นเต้น จึงทำให้เย่จีจี้ลืมคำสั่งของเย่ฮัวไปเกือบหมดสิ้น
“พี่ชายขา” เย่จีจี้โบกมือให้พวกเขาพร้อมกับส่งเสียงอ่อนหวาน ทุกสายตาจับจ้องมองเธอเป็นจุดเดียว
ถ้าเลือกได้ เย่ฮัวไม่อยากจะพูดคำต่อไปนี้เลยจริงๆ
“มานี่สิ”
“สวัสดีจ้ะ หนูชื่อเย่จีจี้” เด็กหญิงวิ่งตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชิงหยาและโปรยเสน่ห์ความน่ารักใส่เธอรัวๆ
อันที่จริงแล้ว ชิงหยาไม่เคยเจอเด็กหญิงคนนี้มาก่อน แต่ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าแบบนี้นะ? ดูเหมือนเธอจะเคยเจอเด็กหญิงในความฝันเมื่อคืนนี้
แน่นอนว่าชิงหยาเคยเห็นเย่จีจี้ตอนที่เด็กหญิงนอนอยู่ในโลงศพ แต่เย่ฮัวยืนยันว่านั่นเป็นสิ่งที่ภรรยาของเขาฝันไปเอง
ถ้าเธอจะมีลูกสาวสักคน ชิงหยาก็อยากจับลูกตัวเองแต่งตัวแบบนี้เหมือนกัน ความน่ารักของเด็กหญิงสามารถทำให้หัวใจคนมองวายตายได้ไม่ยากเลย
“เย่จีจี้ ทำไมหนูน่ารักจังเลย” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงหยา ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งสำหรับคนแปลกหน้า
“อิอิ พี่สาวคะ ขอจีจี้กอดพี่หน่อยได้ไหม?”
ดวงตาของเย่ฮัวส่งประกายเย็นเยียบออกมาทันที!
GG:บทที่ 160 – ชอบเหมือนกัน
นี่คือสายตาพิฆาตของชายหนุ่ม ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าเป็นสายตาพิฆาตของราชามากกว่า!
“กอดเกิดอะไร” เย่ฮัวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา คิดในใจว่าบนโลกนี้มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่กอดชิงหยาได้
เป็นไปตามคาด เย่จีจี้ยืนคอตกถอยกายกลับออกมาทันที ซึ่งทำให้ชิงหยาออกอาการโกรธอยู่ไม่น้อย
“คุณทำอะไรของคุณเนี่ย มาขึ้นเสียงใส่เด็กทำไม” ชิงหยาขึ้นเสียงใส่เย่ฮัวด้วยความโกรธ พร้อมกับดึงเด็กหญิงเข้าไปกอดอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องสนใจพี่เขาหรอกนะ พี่เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ”
ใบหน้าของเย่จีจี้กลับมาร่าเริงสดใสอีกครั้ง เด็กหญิงซุกใบหน้าอยู่ในอ้อมกอดของชิงหยา ก่อนที่จะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่สาว อ้อมแขนของพี่อบอุ่นจังเลย”
เด็กหญิงคนนี้ช่างพูดช่างเจรจา เธอจะต้องเป็นคู่ต่อกรที่น่ากลัวของอาหลี่อย่างแน่นอน
“หนูก็น่ารักเหมือนกันจ๊ะ พี่ก็รักหนูที่สุดเลย”
“จะรักกันอีกนานไหม? เถ้าแก่ คิดเงินด้วย!” เย่ฮัวลุกขึ้นยืนด้วยความหงุดหงิด จุดบุหรี่สูบขณะเดินออกมาที่ประตู ดูเหมือนว่าเมื่อวานนี้เขาจะเผาเย่จีจี้น้อยเกินไปเสียแล้ว
ชิงหยาพูดยิ้มๆ ว่า “อย่าไปสนใจพี่เขาเลยนะ”
“ได้เลยค่ะ จีจี้จะเชื่อฟังที่พี่สาวพูดทุกอย่าง” เย่จีจี้ไม่เคยมีใครหนุนหลังมาก่อน แต่ตอนนี้เธอมีชิงหยาคอยหนุนหลังอยู่ทั้งคน แม้แต่เย่ฮัวก็ทำอะไรเธอไม่ได้
“แบบนี้สิน่ารักมาก” ชิงหยาพูดพลางเอื้อมมือออกมาหยิกแก้มของเย่จีจี้
เว่ยชางและเลี่ยกู่ตกตะลึงในทันที
แต่เย่จีจี้ก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรนอกจากยิ้มหวานให้กับผู้เป็นนายหญิงของพวกเขา ทำให้เว่ยชางและเลี่ยกู่ต้องลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทั้งสองคนต่างคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับชิงหยาแล้วซะอีก
นอกจากเย่ฮัวแล้ว ชิงหยากลายเป็นคนที่สองที่กล้าหยิกแก้มเย่จีจี้ ไม่สิ ต้องพูดว่าชิงหยาเป็นมนุษย์คนแรกที่กล้าหยิกแก้มเย่จีจี้ถึงจะถูกต้อง
หญิงสาวและเด็กหญิงที่ไม่เคยสนิทกันมาก่อน แต่ตอนนี้กลับเดินจูงมือกันออกมาจากร้านอาหาร ถึงแม้ว่าเย่ฮัวจะจ้องมองมาด้วยสายตาพิฆาต แต่เย่จีจี้ก็ทำตามที่ชิงหยาสั่งเอาไว้อย่างเคร่งครัด คือไม่ให้ความสนใจเย่ฮัวแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อเลย!
เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ชิงหยายังนั่งอยู่ในรถซบไหล่เขาอย่างสบายใจ แต่ตอนนี้ระหว่างคู่สามีภรรยากลับมีเย่จีจี้นั่งหัวโด่แทรกอยู่ตรงกลาง ทำให้เย่ฮัวไม่สามารถแอบแต๊ะอั๋งภรรยาของตัวเองได้อีกแล้ว
“ไปนั่งรถคันหลังไป” เย่ฮัวออกคำสั่ง
เย่จีจี้ทำหน้าหวาดกลัวขึ้นมาทันที เด็กหญิงกอดแขนชิงหยาแน่นไม่ยอมปล่อย และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เธอต้องการ
ชิงหยาลูบหัวเย่จีจี้และหันไปพูดกับเย่ฮัวว่า “ทำไมคุณต้องดุเธอด้วย หน้าที่ของคุณคือมารับเธอ ให้นั่งมากับพวกเราก็ถูกแล้วนี่”
เว่ยชางและเลี่ยกู่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
“เลี่ยกู่ ไปถึงหลงอันเมื่อไหร่ พาน้องสาวฉันไปหาบ้านอยู่ด้วย” เย่ฮัวเปลี่ยนใจแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เย่จีจี้อยู่ใกล้ภรรยาของเขาอีกต่อไป
แต่ก่อนที่เลี่ยกู่จะทันได้เอ่ยคำตอบใด ชิงหยาก็แทรกขึ้นว่า “คุณจะปล่อยให้เด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบไปอยู่ตามลำพังได้ยังไง คุณเป็นพี่ชายแบบไหนกันเนี่ย”
เด็กหญิงอายุ 8 ขวบหรือ? อายุ 800 ปีสิไม่ว่า!
“พี่สาวคะ จีจี้กลัวจังเลย” เย่จีจี้ตีหน้าเศร้าทำเสียงน่าสงสาร
“เย่ฮัว คุณห้ามเถียงนะ หยูตงมีห้องออกจะกว้างขวาง ให้จีจี้มานอนห้องเดียวกับหยูตงก็ได้” ชิงหยายื่นข้อเสนอที่ห้ามเขาปฏิเสธ
แต่นี่เป็นความคิดที่ดีแล้วหรือที่จะให้เด็กแสบทั้งสองคนนั้นนอนอยู่ห้องเดียวกัน? ชิงหยาไม่กลัวว่าพวกเธอจะก่อเรื่องบ้างหรือไง?
แต่ถ้าชิงหยารู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เธอก็คงทำตามความต้องการของผู้เป็นสามีแต่โดยดี เพราะนอกจากมันจะทำให้เธอโล่งอกเป็นอย่างยิ่งแล้ว เย่จีจี้ยังเหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีมากกว่า
เย่ฮัวหันหน้ามองภรรยา แล้วพูดว่า “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณจัดการเองก็แล้วกันนะ”
“ไม่มีปัญหา แค่นี้สบายอยู่แล้ว” ชิงหยารับคำเสียงห้วนสั้น
“พี่สาวใจดีจังเลยค่ะ” เย่จีจี้ยิ้มกว้าง ทำให้หัวใจของชิงหยาเบิกบาน แต่หญิงสาวเพิ่งสังเกตเห็นว่ากลางดวงตาของเย่จีจี้มีสีแดงไม่ใช่สีดำ ซึ่งดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
“หนูจ๋า ทำไมตาหนูถึงเป็นสีแดงแบบนี้ล่ะลูก?”
เย่จีจี้ทำตาวิ๊งๆ “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ จีจี้เกิดมามันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
ถึงจะดูแปลกประหลาด แต่มันก็ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยมีความน่ารักเหมือนตุ๊กตา
ณ เวลาบ่ายสี่โมงเย็น กลุ่มคนทั้งหมดก็ขับรถมาถึงประตูหน้าคฤหาสน์ตระกูลชิง ชิงหยาลงจากรถมาก่อนพร้อมกับเย่จีจี้ ส่วนเย่ฮัวอยู่สั่งงานลูกน้องต่ออีกสองสามคำ
“เรื่องข้อมูลที่ให้ไปสืบอย่าลืมจัดการให้เรียบร้อย รายงานมาทุกวันด้วย แล้วก็บอกให้เสี่ยวจิ่วจัดการเรื่องข้อมูลส่วนตัวของเย่จีจี้ให้ฉันที” เย่ฮัวออกคำสั่งน้ำเสียงราบเรียบ
“รับทราบครับนายท่าน”
“รับทราบครับผม”
เย่ฮัวพยักหน้า จุดบุหรี่และเดินเข้าไปในบาร์
เว่ยชางปลดเข็มขัดนิรภัยและพูดว่า “นายกลับไปก่อนนะ ฉันจะพาเสี่ยวถังไปส่ง”
“เจ้าปีศาจแห่งความโลภ มีรถทั้งคันจะขี่จักรยานไปทำไม” เลี่ยกู่ที่สวมใส่สร้อยคอทองคำพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
เลี่ยกู่เป็นฝ่ายเปิดประตูลงไปจากรถและพูดว่า “รถคันนี้เป็นของนาย จีบผู้หญิงบางครั้งก็ต้องวางท่าใหญ่โต เราจะทำตัวซอมซ่อไม่ได้”
เว่ยชางถึงกับงงไปพักใหญ่ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเลี่ยกู่พูดถูกอย่างที่สุด คิดอ่านจะจีบผู้หญิงแต่ไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง ช่างดูเป็นคนกระจอกจริงๆ
“ขอบใจมากนะ”
เลี่ยกู่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “งั้นฉันไปทำงานที่นายท่านสั่งก่อน แล้วเจอกัน”
หลังจากหยุดไปเล็กน้อย เลี่ยกู่ก็กล่าวเสริมว่า “คืนนี้จัดไปอย่าให้เสียล่ะ”
ถือว่าเลี่ยกู่ช่วยเว่ยชางเท่าที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งจะช่วยได้แล้ว
เว่ยชางทราบดีว่าการขับรถไปส่งถังเว่ยย่อมมีนัยยะแอบแฝงอยู่ แต่เขามีเรื่องต้องพูดคุยกับผู้วิเศษแห่งความตายก่อนสักเล็กน้อย เอาเป็นว่าเดี๋ยวเย็นนี้เขาจะไปส่งเสี่ยวถังก่อน แล้วค่อยกลับไปทำงานตอนกลางคืนก็แล้วกัน
ไม่นานหลังจากนั้น ถังเว่ยก็มานั่งอยู่บนเบาะหน้ารถและพูดว่า “ลุงเว่ย อยู่ดีๆ ทำไมถึงซื้อรถคันนี้ได้ล่ะคะ”
เธอพูดด้วยความแปลกใจไม่น้อย
“จะได้สะดวกเวลาไปรับเธอไงล่ะ” เว่ยชางยื่นมือออกไปสัมผัสแก้มของถังเว่ย ฝ่ายหลังมีสีหน้าเขินอายขึ้นมาทันที
“แต่ว่ามันแพงเกินไปนะคะ”
“ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันผ่อนไหวอยู่แล้ว” เว่ยชางยิ้มกว้าง ก่อนที่จะขับรถตรงไปยังที่พักของถังเว่ย
เลี่ยกู่ก็กลับไปที่พักของตนเองเช่นกัน วันนี้เขายังไม่ได้จัดการเรื่องค่าอาหารเลย
ณ บาร์ชิง
เย่ฮัวกำลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ตอนที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของชิงหยูตงดังสลับกับเสียงของเย่จีจี้
เมื่อเปิดประตูเข้าไปดูที่ห้องของชิงหยูตง ชายหนุ่มก็พบว่า…แม้แต่ชิงหยาก็ถอยออกมายืนดูอยู่ห่างๆ
ชิงหยูตงกำลังสวมใส่หมวกกันน็อคและเสื้อกันกระสุน มีกระทะใบนึงแขวนอยู่ข้างเอว เธอแต่งกายด้วยชุดลายพราง เย่จีจี้เบิกตาโตเหมือนได้เจอคนที่มีรสนิยมเดียวกันเข้าให้แล้ว
“พี่เขยคะ พี่สาวคะ ไปเที่ยวกันแค่วันเดียว กลับมามีลูกโตขนาดนี้เลยเหรอ” ชิงหยูตงอุทานออกมาพร้อมกับเดินเข้ามาสำรวจเย่จีจี้ ก่อนที่จะกอดเด็กหญิงตัวน้อยแนบแน่น เด็กหญิงรีบทำตัวเป็นเด็กน้อยน่ารักทันที
เย่จีจี้ไม่ได้รู้สึกว่าอ้อมกอดของพี่สาวคนนี้อบอุ่นเหมือนนายหญิง แต่ก็ให้ความรู้สึกที่สบายใจอยู่ไม่น้อย
“อู้ย คุณน้าคะ จีจี้หายใจไม่ออกแล้ว” เย่จีจี้ทนไม่ไหว คุณน้าคนนี้กอดเธอแรงเกินไป
คุณน้างั้นเหรอ!
ชิงหยูตงรู้สึกเหมือนอยากจะเป็นลม ก่อนหน้านี้อาหลี่ก็เรียกเธอว่าป้ามาคนแล้ว มาตอนนี้เด็กหญิงแปลกหน้าคนนี้ยังมาเรียกเธอว่าน้าอีก จะไม่ให้โกรธได้ยังไง!
ชิงหยารีบเดินเข้ามาสงบศึก
“หยูตง น้องสาวคนนี้ชื่อเย่จีจี้ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่เขยของเธอ” ชิงหยาอธิบาย
“ว่าแต่คุณน้าชื่ออะไรคะ? ฉันเป็นน้องสาวของพี่เย่ฮัว”
ดวงตาของชิงหยูตงเป็นประกายแจ่มใสขึ้น “น้าเน้ออะไรกัน เรียกพี่ก็พอ ฉันเป็นพี่ของเธอ”
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นน้องสาวของนายหญิง เย่จีจี้ก็จำเป็นต้องรักษาหน้าให้บ้าง
“สวัสดีค่ะ พี่สาว”
“แม่เจ้า ทำไมน่ารักขนาดนี้เนี่ย ไปซื้อชุดกระโปรงเจ้าหญิงแบบนี้มาจากไหน จริงด้วยสิ ฉันก็เคยซื้อมาตั้งเยอะแต่ว่าไม่กล้าใส่ กลัวใส่แล้วคนจะหาว่าฉันบ้า งั้นแบบนี้เราก็มาใส่ด้วยกันได้แล้วสิ”
เย่ฮัวพูดออกมาเบาๆ ว่า “เจ้าพวกเด็กประสาทสองคน”
“จริงเหรอคะ? พี่มีกระโปรงเจ้าหญิงอีกเยอะไหมคะ”
“ยัยหนู เธออยากดูของฉันไหมล่ะ” ชิงหยูตงถาม
เย่จีจี้พยักหน้าอย่างแข็งขัน
“ตามมาสิ ฉันมีเสื้อผ้าชุดสวยๆ อยู่เยอะแยะเลย เธอจะเอาไปใส่ก็ได้นะ”
“ดีจังเลยค่ะ จีจี้ก็ชอบเสื้อผ้าสวยๆ เหมือนกัน”
GG:บทที่ 161 – ความร้ายกาจของชายเสื้อคลุมดำ
ชิงหยาคิดว่าเย่จีจี้จะต้องติดเธอแจแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ เพียงแค่พบเจอน้องสาวของเธอ เย่จีจี้ก็ทิ้งเธอไปเพราะเสื้อผ้าสวยๆ แค่ไม่กี่ชุด แล้วแบบนี้จะไม่ให้ชิงหยารู้สึกเจ็บแปลบได้อย่างไร
จังหวะนั้น เย่ฮัวเดินเข้ามาหาชิงหยาและกระซิบว่า “นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น คุณรอรับผลที่จะตามมาให้ดีเถอะ”
พูดจบ เย่ฮัวก็เดินเข้าไปในห้องนอนเพื่ออาบน้ำ
ดูเหมือนตอนนี้ชิงหยาจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเย่ฮัวถึงมีหน้าตาดูเป็นกังวลนัก ดูจากลักษณะน้องสาวของเธอแล้ว เย่จีจี้ย่อมเกิดความรู้สึกอิจฉาที่ไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่บ้าง และความอิจฉาริษยานั้นก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเด็กน้อยอย่างชัดเจน
ชิงหยาถอนหายใจออกมาในขณะที่เดินเข้าสู่ห้องนอน ขณะนั้น เย่ฮัวกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอไม่อยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนคู่แต่งงานเก่าๆ ที่มักจะมีความลับต่อกันเสมอ
“ทำไมไม่อยู่เล่นเปลี่ยนเสื้อผ้ากับพวกเด็กๆ ไปล่ะ?”
“ก็รอให้คุณไปดูแลเธอไง”
“ในเมื่อคุณเป็นคนขอให้เย่จีจี้พักอยู่ที่นี่ คุณก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเธอสิ” เย่ฮัวพูดเสียงเบาแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ชิงหยาถอนหายใจออกมายาวแรง ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงบนขอบเตียง และยกมือกุมใบหน้า ดูเหมือนว่าเย่จีจี้จะไม่ได้เป็นเพียงเด็กน้อยน่ารักธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกเสียแล้ว
ในขณะเดียวกันนั้น ห่างออกมาทางตอนเหนือ ณ คฤหาสน์ตระกูลไป๋
ไป๋สือชิงกำลังถือเจดีย์เก้าปีศาจอยู่ในมือ ดวงตาของเธอจ้องมองมันอย่างระมัดระวัง หมอกควันสีดำค่อยๆ ลอยออกมาจากเจดีย์จำลองเก้าชั้นล้อมรอบมืออันสวยงามของไป๋สือชิงเอาไว้
หวังต้าเป่าและไป๋ฉียืนดูอยู่ด้านข้าง
“ที่รัก ระวังด้วยนะ” หวังต้าเป่าพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ไป๋สือชิงส่ายศีรษะกระซิบตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงไม่นานหมอกควันสีดำก็ลอยกลับไปในเจดีย์จำลองหมดสิ้น
“เมื่อมีเจดีย์เก้าปีศาจอยู่ในมือแบบนี้ ตระกูลไป๋ของเราก็สามารถก้าวขึ้นเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว!” ไป๋สือชิงวางเจดีย์เก้าปีศาจลงบนโต๊ะอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่สวยงามของเธอเป็นประกายระยิบระยับ
“ยินดีด้วยนะครับพี่” ไป๋ฉีพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
หวังต้าเป่าก็ทำเช่นเดียวกัน “ยินดีด้วยนะที่รัก”
ไป๋สือชิงหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่ตระกูลไป๋ของเราฝ่ายเดียวสักหน่อย พวกตระกูลเสี่ยวก็มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ในมือเช่นกัน แต่ผู้ที่จะได้ขึ้นเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์เหลือที่ว่างแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น”
“พี่ครับ ถ้าเป็นแบบนี้ เราฆ่าพวกตระกูลเสี่ยวดีไหม?” ไป๋ฉีเสนอความคิดเห็น
ไป๋สือชิงยกถ้วยน้ำชาร้อนอุ่นขึ้นมา เป่าให้หายร้อนเล็กน้อย แล้วจึงจิบเข้าไปอึกหนึ่ง
“ฉันก็อยากทำเหมือนกัน แต่มันมีกฏอยู่ ตอนนี้เสี่ยวยี่กำลังอ่อนแอ ถือว่าเป็นโอกาสดีเสียด้วยสิ”
หวังต้าเป่าพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ให้ผมลองไปหยั่งเชิงกับมันดูดีไหม?”
“ไม่เป็นไร เราอย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่นกันดีกว่า ก้าวแรกของเราคือการมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ในครอบครอง เป้าหมายของเรานอกจากจะได้เข้าสู่การเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์แล้ว เรายังอยากโค่นล้มสามผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย”
เมื่อพูดถึงสามผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ หวังต้าเป่าและไป๋สือชิงก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ก่อนอื่นพวกเขาต้องมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ในการครอบครองเสียก่อน จะมีการประเมินคุณสมบัติของตระกูลที่จะได้กลายเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ 5 ปี แต่เดิมแล้ว ตระกูลเสี่ยวยึดครองตำแหน่งหนึ่งในตระกูลศักดิ์สิทธิ์อย่างเหนียวแน่น แต่ถ้าเกิดตระกูลอื่นมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ในมือบ้าง ก็จะต้องเกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งอย่างแน่นอน
สำหรับตำนานของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ามีความเป็นมาลึกลับแล้ว แต่สามผู้ยิ่งใหญ่ผู้อยู่เหนือตระกูลศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล กลับมีความลึกลับมากกว่านั้น
เนื่องจากสามผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น จนถึงขณะนี้ จึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน และมีความแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด
แต่สิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ ทุกตระกูลศักดิ์สิทธิ์ให้ความเคารพสามผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างสูง ไม่อย่างนั้นก็คงเกิดสงครามแย่งชิงอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณกันไปนานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ สามผู้ยิ่งใหญ่จึงออกกฎว่า ผู้ที่มีสถานะเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์ จะสามารถครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณได้เพียงตระกูลละหนึ่งชิ้นเท่านั้น และห้ามใช้อาวุธเหล่านั้นมาเข่นฆ่าทำลายล้างตระกูลศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเด็ดขาด
จากจุดนี้เอง การที่ถังหวูฉั่วเชิญเย่เสี่ยวมาจึงถือเป็นความเสี่ยงไม่ใช่น้อย แต่ก็โชคดีที่เย่เสี่ยวถอนตัวกลับไปในที่สุด
ไป๋สือชิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วพูดออกมาแผ่วเบาว่า “คุณคะ คนฝั่งใต้เลือกข้างกันแล้วใช่ไหม? แบบนี้ถ้าเกิดเรื่องขึ้น คุณก็กลับไปเหยียบฝั่งใต้ไม่ได้อีกแล้วสิ”
“ที่รัก คุณแน่ใจได้เลยว่าศูนย์บัญชาการของเมืองเกาไห่ ยังไงก็อยู่ในกำมือเราแน่นอน” หวังต้าเป่าตอบกลับมาทันทีด้วยความมั่นอกมั่นใจ
ไป๋สือชิงถึงกับต้องชื่นชมออกมาว่า “สามีของฉันไม่เลวเลยจริงๆ เพียงเท่านี้อนาคตของเราก็ถูกเตรียมการไว้อย่างมั่นคงแล้ว”
“ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคุณไงล่ะ ที่รัก”
“แล้วคราวนี้คุณได้ประสบการณ์อะไรมาบ้างคะ” ไป๋สือชิงพูดก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ
หวังต้าเป่าถึงกับหยุดชะงักไปทันที
ไป๋ฉียืนตัวตรงแหน่ว อยากรู้ว่าผู้เป็นพี่เขยจะตอบว่าอย่างไร
หวังต้าเป่าไอออกมาเล็กน้อยและเริ่มต้นกล่าวว่า “ภายใต้การนำทางของที่รักผู้ฉลาดหลักแหลมของผม เราถึงทำได้สำเร็จอย่างง่ายดายขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้ความสามารถของคุณ ผมคงทำงานนี้ได้ไม่ราบรื่นอย่างที่มันเป็นแน่นอน”
ไป๋สือชิงส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “คุณยกยอฉันมากเกินไปแล้วนะคะ แบบนี้ฉันเขินแย่เลย”
“ก็มันเป็นความจริงนี่นา” หวังต้าเป่ายิ้มกว้าง เหมือนเด็กน้อยรอรับขนม
แต่แล้วรอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าไป๋สือชิง เธอถามด้วยน้ำเสียงเอางานเอาการว่า “เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างคุณเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ ขอแบบรายละเอียดทุกจุดเลยนะ ห้ามขาดตกจุดไหนไปเด็ดขาด”
“ได้สิ”
ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา หวังต้าเป่าก็จบเรื่องเล่าวีรกรรมของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ในเรื่องเล่า เขาเป็นเหมือนวีรบุรุษผู้เก่งกล้าไร้เทียมทาน ราวกับตนเองได้ครอบครองเจ็ดคาบสมุทรก็ไม่ปาน!
“พี่เขยผมสุดยอดอะไรอย่างนี้ หลอกตระกูลอื่นจนหัวหมุนไปเลยสินะ” ไป๋ฉีคิดมาตลอดว่าพี่เขยของตัวเองเป็นตัวโง่งม แต่ในความจริงแล้ว ก็ยังนับว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง
หลังจากฟังจบแล้ว ไป๋สือชิงก็ลุกขึ้นยืนไม่พูดอะไร สีหน้าของเธอบอกชัดเจนว่ากำลังใช้ความคิด “คุณบอกว่าตอนที่คนใส่เสื้อคลุมสีดำโผล่ออกมา คุณกำลังพาแม่เฒ่าหยุนซงไปหาเจ้าสำนักฟ่าง แต่สุดท้ายทุกคนก็วิ่งหนีไปหมดใช่ไหม?”
“ถูกต้อง ผมก็แปลกใจเหมือนกัน อยู่ดีๆ พวกเขาก็โผล่มา น่าจะมาเพราะอยากได้อาวุธโบราณนี่แหละ แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายกลับวิ่งหนีไปแบบนั้น” หวังต้าเป่าไม่เข้าใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
“ภาพลักษณ์ของเจ้าสำนักฟ่างไม่เคยเสียหายมาตลอด แต่คนที่ใส่เสื้อคลุมดำคนนี้ กลับล่อให้เธอออกมา และทำให้เธอหวาดกลัวจนหนีไปได้งั้นเหรอ? แต่จะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ?” ไป๋สือชิงพึมพำอย่างปวดหัว
“ผมแน่ใจว่าเดี๋ยวพี่ต้องคิดออก” ไป๋ฉีกล่าว หวังต้าเป่าเลือกที่จะเงียบ ไม่อย่างนั้นเขาก็อดใจไม่ไหว ต้องถามคำถามอีก
ไป๋สือชิงพูดต่อว่า “ถึงฉันจะไม่เคยเจอคนใส่เสื้อคลุมสีดำคนนี้ แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดา นี่น่าจะเป็นฝีมือของใครบางคนที่ต้องการกวนน้ำให้ขุ่น และใช้โอกาสนี้ตามล่าตัวเจ้าสำนักฟ่าง เพราะแบบนี้ไงล่ะ ชายเสื้อคลุมดำถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล เขาตั้งใจหลอกใช้ทุกคน ให้ออกตามหาเจ้าสำนักฟ่างแทนเขา!”
เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าของหวังต้าเป่าก็เข้มครึมขึ้นทันที “ไอ้เจ้าเสื้อคลุมดำนั่นมันน่ากลัวจริงๆ วางแผนได้แยบยลอะไรขนาดนี้!”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเด็กผู้หญิงในโลงศพนั่นล่ะ?” ไป๋สือชิงถาม
หวังต้าเป่าส่ายหน้าตอบว่า “ผมไม่รู้ พอได้เจดีย์เก้าปีศาจมาแล้ว ผมก็วิ่งหนีมาเลย ไม่ได้กลับไปสนใจศพเธออีก”
“แล้วผู้ชายคนนั้น ที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาเป็นใครกัน?”
“ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีเส้นสายอยู่กับคนฝั่งเหนือไม่ใช่น้อย” หวังต้าเป่าตอบ
“แล้วคนที่คุณพาไปด้วยล่ะ?” ไป๋สือชิงถามต่อ
“ยังติดต่อไม่ได้สักคน แต่ได้ข่าวว่าอาเฟิง หูเจินไห่ และอาไค คงไม่รอดกลับมาอีกแล้ว”
ไป๋สือชิงสูดหายใจลึก “คุณคะ ไป๋ฉี ฉันว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ตอนนี้เราต้องระวังตัวให้ดี อย่างเมื่อคืนก็เห็นแล้วว่าฝั่งใต้ไม่ยอมแพ้ พวกเขาคงเตรียมตัวตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรงแน่นอน ไป๋ฉี ฝากนายจัดการเรื่องนี้ด้วยนะ”
“ได้เลยครับ” ไป๋ฉีพูดจบก็เดินออกไปเป็นคนแรก
“แล้วผมล่ะ?” หวังต้าเป่าถามพร้อมกับยิ้มกว้าง
ไป๋สือชิงเดินเข้ามากุมมือผู้เป็นสามีอย่างแช่มช้าและกล่าว “คุณทำงานหนักมาตลอดทั้งคืนแล้ว สมควรได้รับรางวัลตอบแทนค่ะ”
และแล้ว ตอนสำคัญก็มาถึง
เมื่อทั้งสองคนเข้าไปในห้องนอน ไป๋สือชิงก็มองหวังต้าเป่าด้วยสายตาหวานเยิ้ม “ที่รักคะ วันนี้ฉันซื้อเกล็ดน้ำตาลเป๊าะแป๊ะรสออกใหม่มาด้วย เห็นว่าเป็นรสเผ็ดจัดจ้าน รับรองว่ากินพร้อมกับน้ำเย็น ต้องซู่ซ่าแน่นอน”
หวังต้าเป่านั่งลงบนขอบเตียง กลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยความตื่นเต้น
GG:บทที่ 162 – ตามหานักเขียนให้เจอซะ
เมืองซีจิน
ณ คฤหาสน์ตระกูลถัง ในตอนนี้ ถังหวูฉั่วกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวขนาบข้างด้วยหญิงสาวผู้มีความสุขุมและมีหน้าตาสวยงามอย่างหาตัวจับยากสองคน
ส่วนผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟากลางห้องเป็นชายวัยกลางคน เส้นผมบนศีรษะเป็นประกายมันปลาบ ดวงตาโต จมูกเชิดสูง วงหน้ามีราศีที่น่าเลื่อมใส ขัดแย้งกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ ซึ่งเป็นแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นลายดอกและรองเท้าแตะธรรมดาคู่หนึ่ง
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือในมือ พลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ คิ้วขยับขึ้นลงเล็กน้อยเป็นระยะ
เมื่อเห็นอากัปกิริยานี้ มู่จี่หยาก็รีบโน้มกายรินน้ำชาให้ทันที
ทันใดนั้น บุรุษวัยกลางคนก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ไอ้นักเขียนคนนี้มันจบตอนแบบค้างคาอีกแล้ว แถมยังอัพเรื่องช้ายิ่งกว่าอะไรดี คนอะไรเขียนลงแค่วันละตอน ยังมีหน้ามาขอให้คนอ่านช่วยกดโหวต กดซื้อ กดแนะนำอีก ถังหวูฉั่วส่งคะแนนโหวตไปให้ไอ้นักเขียนคนนี้มันหน่อยซิ แล้วก็อย่าลืมล่ะ หาตัวมันให้เจอ และบังคับมันให้เขียนให้ฉันอ่านทุกๆ วัน บอกมันไปว่าถ้ามันไม่ทำ มันตายแน่!”
ถังหวูฉั่วพูดพร้อมกับยิ้มแห้งๆ “ได้ครับอาจารย์ เดี๋ยวผมจัดการให้”
บุรุษผู้มีนามว่าหยูเฉิงเหรินเป็นคนที่ช่วยถังหวูฉั่วตอนใกล้ตายเอาไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนสอนวิชาต่างๆ ให้เขาอีกด้วย ที่ถังหวูฉั่วสามารถกลับมาแสดงความยิ่งใหญ่ในเมืองและทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของเขากลับคืนมาได้อีกครั้ง ก็เป็นเพราะชายผู้นี้นี่เอง
หยูเฉิงเหรินวางโทรศัพท์มือถือลงและหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะยกขึ้นจิบ “ไม่ได้เจอกันมาหลายปี เดี๋ยวนี้เปิดฮาเร็มแล้วเรอะ”
“ต้องขอบคุณอาจารย์มากนะครับ ไม่งั้นผมคงไม่มีวันแห่งความสำเร็จแบบนี้” ถังหวูฉั่วพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน แสดงความภักดีที่มีต่ออาจารย์ด้วยความจริงใจ ถ้าไม่มีอาจารย์ในวันนั้น ก็ไม่มีเขาในวันนี้
“นายก็ดีแต่เรื่องผู้หญิงนี่แหละ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักนิด ในฐานะอาจารย์ของนาย ฉันผิดหวังจริงๆ” หยูเฉิงเหรินวางถ้วยน้ำชาลงและหยิบบุหรี่ออกมา ถังหวูฉั่วทำหน้าที่จุดไฟแช็คให้ทันที
หลังจากนั้นเขาก็กล่าวว่า “อาจารย์เห็นใจผมด้วย กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผมก็เหนื่อยล้าไปหมด กว่าจะขึ้นสู่อำนาจได้เหมือนเดิม มันไม่ง่ายเลยนะครับ”
“แต่นายต้องมีสติอยู่กับตัวให้มากกว่านี้” หยูเฉิงเหรินอัดควันเข้าปอดและพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน
ถังหวูฉั่วก้มหน้ารับฟังแต่โดยดี เขาจะแสดงความฉุนเฉียวออกมาต่อหน้าอาจารย์ไม่ได้ ด้วยทราบดีว่าอาจารย์สามารถปลิดชีวิตเขาได้ด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียว
“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะถามนายว่า ทำไมถึงไม่เอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณมาให้ได้ ถึงมันจะไม่มีราคา แต่ก็สามารถกรุยทางให้นายได้สะดวกกว่านี้เยอะ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ควั่นอันหยงก็กล่าวแทรกขึ้นว่า “อาจารย์คะ อย่าโทษถังหวูฉั่วเลยนะคะ ทุกอย่างเป็นเพราะเย่เสี่ยว และเย่เสี่ยวก็เป็นคนที่ผิดสัญญา นอกจากนี้…”
“อันหยง ไม่ต้องพูด!” ถังหวูฉั่วกระซิบด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
หยูเฉิงเหรินถึงกับดวงตาแข็งค้างไปทันทีและพูดออกมาอย่างเชื่องช้าว่า “ดูให้ดีเถอะ นอกจากนายจะไม่มีความทะเยอทะยานแล้ว ยังปล่อยให้ผู้หญิงมาสั่งสอนอาจารย์หน้าตาเฉย ไม่รู้หรือไงว่าตอนที่ผู้ชายคุยกันอยู่ ผู้หญิงห้ามแทรก!”
ใบหน้าที่สวยงามของควั่นอันหยงซีดขาวในพริบตา
“พวกเธอสองคนออกไปก่อน” ถังหวูฉั่วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างที่สมควรทำ แม้จะรู้ดีว่าหญิงสาวกล่าวด้วยเจตนาดี แต่นี่คือผลลัพธ์ที่พวกเธอคงคิดไม่ถึง
มู่จี่หยาและควั่นอันหยงรีบออกไปจากห้องทันที ดูเหมือนว่าอาจารย์ของถังหวูฉั่วจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนักตั้งแต่ที่พบว่านักเขียนคนโปรดยังไม่อัพนิยายให้อ่าน
“อาจารย์ครับ ถ้าพวกเธอไม่เข้าใจ ก็อย่าไปถือสาเลยนะ” ถังหวูฉั่วพูดด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจ ด้วยว่าสถานการณ์ในตอนนี้ เขาต้องการความช่วยเหลือจากอาจารย์มากที่สุด
“พวกเธอไม่เข้าใจ แต่นายก็ยังทำตามที่พวกเธอบอก เห็นหรือยังล่ะว่าผู้หญิงคือสิ่งที่ทำให้ตัวนายไม่มีสมาธิ!”
ถังหวูฉั่วรีบตอบทันทีว่า “เข้าใจแล้วครับอาจารย์ ผมเข้าใจแล้ว”
“ฉันช่วยชีวิตนายไว้ ฉันสอนวิชาต่างๆ ให้นาย ไม่กี่ปีที่แล้วนายยังเป็นศิษย์ที่ฉันภูมิใจ แต่ตอนนี้ฉันผิดหวังเหลือเกิน ถ้าฉันเลิกเป็นอาจารย์ของนาย ก็อย่าแปลกใจก็แล้วกัน”
ถังหวูฉั่วก้มหน้ารับฟังคำตำหนิแต่โดยดี
หยูเฉิงเหรินถอนหายใจออกมายาวแรง “ได้ยินว่าเจดีย์เก้าปีศาจ ตกอยู่ในมือของตระกูลไป๋แล้วสินะ”
เมื่อได้ยินอาจารย์เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องของอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณ ถังหวูฉั่วก็รู้สึกว่าตนเองกลับมามีความหวังอีกครั้ง ตราบใดที่อาจารย์ยังช่วยเหลือเขาอยู่ ทุกอย่างก็จะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน
“สายข่าวของเราบอกมาแบบนั้นครับ ตอนที่หวังต้าเป่าได้เจดีย์เก้าปีศาจ เขาก็รีบหนีกลับมาหาตระกูลไป๋ที่เมืองซีจินทันที”
หยูเฉิงเหรินหยุดชะงักไปเล็กน้อย “ทีนี้ตะกูลไป๋ก็มีอาวุธโบราณอยู่ในมือ ตระกูลเสี่ยวนั้นมีอยู่แล้ว เหลือแต่นายนี่แหละที่ยังไม่มี นายอยากให้ฉันช่วยทำอะไรล่ะ ไปขโมยอาวุธของพวกเขามาหรือไง?”
“ผมไม่กล้าคิดแบบนั้นหรอกครับ”
“กฎระหว่างตระกูลเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงกันไม่ได้ ถ้านายอยากเข้าร่วมด้วย นายก็ต้องมีอาวุธโบราณอยู่ในมือ แล้วตอนนี้ตระกูลของนายเล็งอาวุธชิ้นไหนเอาไว้บ้างหรือยัง?”
คำตอบนี้แทบไม่ต้องคิดเลย อาวุธที่ถังหวูฉั่วอยากได้ ก็คือกระบี่เซวียนหยวนของตระกูลเสี่ยว
“ผมเล็งของตระกูลเสี่ยวเอาไว้” ถังหวูฉั่วตอบออกมาในที่สุด
“ในเมื่ออยากได้ของตระกูลเสี่ยว แล้วทำไมถึงยังไม่เริ่มลงมืออีก!” หยูเฉิงเหรินถาม
ถังหวูฉั่วยังคงลืมเลือนมิตรภาพในอดีตไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนเสี่ยวยี่ก็เคยช่วยเหลือเขาเอาไว้มาก จึงเป็นเรื่องทำใจได้ยากที่จะแทงข้างหลังคนกันเองแบบนี้!
“คนเราเวลาทำเรื่องใหญ่ ต้องแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันให้ได้สิ”
“ผมจะจำคำสอนนี้เอาไว้ครับ”
บรรยากาศในห้องนั่งเล่นกลายเป็นเย็นเฉียบ ถังหวูฉั่วไม่กล้าหายใจออกมาด้วยซ้ำ
“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้คนตายกันหมด แถมถูกดูดเลือดจนศพแห้งเลยใช่ไหม?” หยูเฉิงเหรินถามต่อทันที
“ข่าวลือเป็นแบบนั้นครับ เห็นว่าคนของฝั่งเหนือก็หายไปเยอะเหมือนกัน”
หยูเฉิงเหรินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “น่าจะเป็นฝีมือของคนในโลงนั่นแหละ”
“อาจารย์รู้ได้ยังไงครับ?”
“ถ้านายฉลาดสักหน่อย ก็จะรู้ว่าตัวเองโดนหลอก” หยูเฉิงเหรินหัวเราะในลำคอ หยิบห่อขนมขบเคี้ยวที่อยู่บนโต๊ะมาแกะออก และเคี้ยวกินกรุบกรับอย่างช้าๆ
ถังหวูฉั่วตกใจจนหน้าไร้สีเลือด เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ถ้าให้อาจารย์สู้กับคนคนนี้ ผลแพ้ชนะจะเป็นยังไงครับ?”
“ห้าสิบ ห้าสิบ”
ถังหวูฉั่วใจหายวูบ อาจารย์ของเขาดูจะประเมินฝีมือของคนคนนี้ไว้สูงมาก ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัวจริงๆ
“เอาเถอะ นายช่วยเล่าพฤติกรรมของไอ้โม่งดำคนนั้นให้ฉันฟังหน่อย” หยูเฉิงเหรินกล่าวต่อไป
ถังหวูฉั่วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง เมื่อฟังจบแล้ว หยูเฉิงเหรินก็นั่งครุ่นคิดอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปเนิ่นนาน หยูเฉิงเหรินก็พูดออกมาในที่สุดว่า “ไอ้โม่งดำคนนี้ไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุด กุญแจสำคัญของเรื่องนี้ คือคนที่อยู่เบื้องหลังมันมากกว่า”
“แต่เราคิดว่าไอ้โม่งดำมันเป็นหัวหน้าใหญ่นะครับ”
“ฉันฆ่าผู้หญิงของนายทิ้งให้หมดดีไหมเนี่ย! นายมัวแต่หลงผู้หญิงจนสมองเลอะเลือนไปหมด มองไม่เห็นกลลวงอะไรเลยสักนิด” พูดแล้ว ดวงตาของหยูเฉิงเหรินก็เป็นประกายเย็นเยียบ
“แต่ว่า…”
“ถังหวูฉั่ว เดี๋ยวนี้นายกล้าตั้งคำถามกับอาจารย์ของตัวเอง เห็นไหมว่าฉันพยายามพูดอะไรอยู่”
ถังหวูฉั่วกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ไม่กล้าสบตามองอาจารย์อีกแล้ว
“ผมขอโทษครับ”
“คนเราเมื่อมองข้ามฝุ่นเม็ดเล็กแค่เม็ดเดียว หารู้ไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้ว ฝุ่นเม็ดนั้นก็ลอยมาเข้าตาเราได้” หยูเฉิงเหรินพูดด้วยน้ำเสียงดุดันเหมือนกำลังปรามาสศัตรู
“ผมจะจำคำสอนที่ยอดเยี่ยมนี้ของอาจารย์เอาไว้ครับ!” ถังหวูฉั่วใช้วิธีการขอโทษที่ง่ายที่สุด ซึ่งก็คือการประจบเอาใจ
หยูเฉิงเหรินเอนกายพิงโซฟา ดวงตาเหม่อลอยเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดว่า “ฉันรู้สึกได้ว่าความขัดแย้งระหว่างฝั่งเหนือกับฝั่งใต้เป็นแผนการที่ตระกูลชิงวางเอาไว้ ถังหวูฉั่ว ฉันว่าเราต้องสืบสวนตระกูลชิงแล้วละ”
“รับทราบครับอาจารย์ ที่แท้คนของตระกูลชิงก็อยู่เบื้องหลังใช่ไหมครับ?”
หยูเฉิงเหรินถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง “อาจจะเป็นคนของตระกูลชิงในระดับเจ้านาย หรือไม่ก็พวกพนักงานรักษาความปลอดภัย หนึ่งในนี้แหละที่เป็นคนบงการเรื่องทั้งหมด!”
พูดจบ บุรุษวัยกลางคนก็ลุกขึ้น “เอาล่ะ ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อน”
“อาจารย์อยากให้ผมจัดหาอะไรให้เป็นพิเศษไหมครับ?”
“นายเก็บผู้หญิงไร้ประโยชน์พวกนั้นเอาไว้ให้ตัวเองเถอะ อย่าลืมตามหาตัวนักเขียนคนนั้นให้ฉันด้วย ถ้านายทำไม่ได้ ฉันนี่แหละจะหักขานายเป็นคนแรก!”
“เอ่อ…ได้เลยครับอาจารย์”
GG:บทที่ 163 – อยากเล่นเกมส์ ไม่อยากไปเรียน
อีกฝั่งหนึ่งของเมืองซีจิน ที่แห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่เคยสดใสสวยงาม แต่ตอนนี้กลับมืดหม่นอมทุกข์ โดยเฉพาะในยามราตรีเช่นนี้ คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่ในความมืดมิดราวกับเป็นบ้านผีสิง
นี่คือคฤหาสน์ตระกูลเสี่ยว!
ในขณะนี้ เสี่ยวยี่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ เพื่อโคจรพลังให้จิตใจสงบ แต่ดูจากใบหน้าที่ถมึงทึงแล้ว เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขาไม่สงบอย่างที่ต้องการเลยสักนิด!
นั่นเป็นเพราะว่าภรรยาของเขาเสียชีวิต แต่เสี่ยวยี่ไม่กล้าจัดงานศพ ศพของภรรยาจึงยังถูกแช่แข็งอยู่
ลูกของเขาทราบเพียงแต่ว่าผู้เป็นแม่เดินทางไปทำธุระ และอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับมาแล้ว แต่เสี่ยวยี่รู้ความจริงดี ถึงเขาอยากให้ผู้เป็นภรรยากลับมามากขนาดไหน เธอก็ไม่อาจฟื้นคืนจากความตายได้!
เธอไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว!
ในตอนที่เสี่ยวยี่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ การต่อสู้กับชายผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีดำ ทำให้เส้นเลือดในร่างกายของเขาแตกออกจำนวนมาก ส่งผลให้เสี่ยวยี่ตกอยู่ในสภาวะบาดเจ็บสาหัส แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับหัวใจจากความตายของภรรยา เสี่ยวยี่รู้ดีว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้ คงไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์ได้อีกครั้ง และไม่แน่ เขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเกิดเขาตายไป แล้วใครจะอยู่ดูแลลูกล่ะ!
ศัตรูเก่าของเขาคงกำลังเตรียมการรุมขย้ำอย่างไม่รอช้า เมื่อเสี่ยวยี่คิดถึงข้อนี้ มุมปากก็มีเลือดไหลซึมออกมา ร่างกายของเขายังไม่พร้อมจริงๆ
เสี่ยวยี่ตัดสินใจเดินลากสังขารเปิดประตูออกมาจากห้องลับ แต่เมื่อเดินพ้นประตูออกมาแล้ว แผ่นหลังที่งองุ้มกลับเหยียดขึ้นตั้งตรง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่เขาจะไม่ทำให้บรรดาสาวๆ ต้องเป็นกังวลเด็ดขาด
เสี่ยวยี่เดินเข้าสู่ห้องนั่งเล่นด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกาย ใครจะรู้ว่าภรรยาของเขากำลังนั่งรวมตัวกันอยู่ คล้ายกับว่ากำลังประชุมเรื่องอะไรบางอย่าง
“พี่เสี่ยว นั่งสมาธิเสร็จแล้วเหรอคะ” หยูฉีรีบกระวีกระวาดเข้ามาช่วยพยุงเขาด้วยร่างกายที่ท้องโย้เล็กน้อย
เสี่ยวยี่ฝืนยิ้มออกมา มองไปที่หน้าท้องของหยูฉี “เธอเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ต้องห่วงเราหรอกค่ะ พี่เสี่ยว พวกเราสบายดี” หยูฉีประคองเสี่ยวยี่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่คล้ายบัลลังก์
ซูหนานเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างกายหัวหน้าตระกูลเสี่ยว ใบหน้าที่สวยงามและเยือกเย็นของเธอแสดงออกชัดเจนว่าอยากดูแลเขาเช่นกัน
เสี่ยวยี่รู้ดีว่าซูหนานมีเจตนาอะไร และเขาแน่ใจว่าคงปิดเรื่องอาการบาดเจ็บของตนเองได้อีกไม่นาน แต่เสี่ยวยี่คิดว่าถ้าพวกเธอไม่รู้จะดีที่สุด อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ซูหนานแอบขยิบตาส่งสัญญาณให้หยูฉี หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยความเป็นกังวล ยิ่งเข้าใกล้เสี่ยวยี่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาบาดเจ็บสาหัสมากขึ้นเท่านั้น
“นี่นั่งคุยเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ?” เสี่ยวยี่พยายามแสดงท่าทีผ่อนคลาย เดี๋ยวนี้เขาถอนตัวจากความวุ่นวายของโลกภายนอก ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องราวต่างๆ สักเท่าไหร่แล้ว
หยูฉียิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เรื่องบริษัทน่ะ”
“ต้องมาคุยเรื่องบริษัทกันถึงที่นี่เลยเหรอ เอาเป็นว่าอย่าไปสนใจมันเลยก็แล้วกัน” เสี่ยวยี่หัวเราะในลำคอด้วยความขมขื่น ถ้าเขาย้อนเวลากลับไปได้ เสี่ยวยี่ก็อยากจะเรียนรู้จากหวังต้าเป่าและจ่ายเงินไปซะ
จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายและรับฟังคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์!
สองหญิงสาวที่อยู่ในห้องหันมองหน้ากัน แล้วในที่สุด ซูหนานก็บอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นออกมา
“ถังหวูฉั่วส่งเงินมางั้นเหรอ น่าสนใจดีนี่” เสี่ยวยี่พูดออกมาด้วยความโล่งอก อย่างน้อยอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้แห้งแล้งน้ำใจเกินไปนัก
หยูฉีพูดออกมาด้วยความไม่เข้าใจว่า “พี่เสี่ยว เมื่อก่อนพี่สนิทกับถังหวูฉั่ว แต่เดี๋ยวนี้เขากลับมาเพื่อแก้แค้น ฉันคิดว่าเขาคงไม่ส่งเงินมาให้เฉยๆ แน่”
“บางทีเขาอาจจะแค่ห่วงอาการบาดเจ็บของฉันก็ได้ ไม่ว่าถังหวูฉั่วจะมีเจตนาดีหรือเลว แต่ฉันก็จะไม่ตกหลุมพรางเหมือนกับตระกูลอื่นหรอก” เสี่ยวยี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามปฏิเสธว่า ตนเองไม่ใช่ผู้อ่อนแอ
สองหญิงสาวไม่พูดอะไรอีก พวกเธอไม่อยากทำให้ผู้เป็นสามีโกรธเกรี้ยว ทุกอย่างต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่อย่างนั้น สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจหนักหนามากกว่าเดิมก็ได้
หลังจากที่นั่งฟังบรรดาหญิงสาวเล่าเรื่องต่างๆ ได้พักใหญ่ เสี่ยวยี่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากนัก ในใจเขาค่อนข้างรู้ตัวดี ตระกูลเสี่ยวอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะล่มสลาย!
สองหญิงสาวไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเท่าไหร่ พวกเธอไม่อยากกระตุ้นความรู้สึกโกรธแค้นของเสี่ยวยี่อีก
หยูฉีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พี่เสี่ยว ตะกูลไป๋อาจจะเล่นงานเราก็ได้ เราต้องวางแผนรับมือแล้วนะคะ”
“ตระกูลไป๋เหรอ? ฉันว่าไม่ใช่แค่ตระกูลไป๋หรอก กระบี่เซวียนหยวนที่อยู่ในมือฉัน เป็นของล้ำค่า ใครๆ ก็อยากได้มันไปครอบครอง” เสี่ยวยี่พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเดือดดาล
“พี่เสี่ยว มอบกระบี่ของเราให้พวกเขาไปเถอะค่ะ ใครอยากได้มันไปก็ให้พวกเขาสู้กันเอง” ซูหนานให้คำแนะนำตามแบบฉบับที่ผู้หญิงทุกคนควรจะคิด ถึงจะไม่มีกระบี่อีกต่อไป แต่หากคนยังอยู่ ก็ย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
แต่เสี่ยวยี่ไม่คิดเช่นนั้น ถ้าไม่มีกระบี่อีกต่อไปแล้ว เขาก็จะต้องตายเร็วขึ้นอย่างแน่นอน เหตุผลที่ไม่มีใครกล้าลงมือบุกเข้ามาช่วงชิงกระบี่ ก็เพราะทุกคนไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขามันหนักหนามากน้อยเพียงใด ถ้าปล่อยให้มีใครรู้ว่าตัวเขาเองตกอยู่ในสภาพร่อแร่ รับรองได้ว่าพวกมันต้องรุมเข้ามาเล่นงานเขาแน่นอน
อย่างเดียวที่เสี่ยวยี่ยินดีนำกระบี่เซวียนหยวนไปแลกเปลี่ยนด้วยก็คือ การรับประกันว่าชีวิตของคนตระกูลเสี่ยวจะต้องปลอดภัย!
“ไม่ต้องห่วง ฉันวางแผนเอาไว้แล้ว” เสี่ยวยี่หัวเราะในลำคอ ถ้ากระบี่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยได้ อย่างนั้นเขาก็ยินดียอมตายไปกับมัน
สองหญิงสาวเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยม พวกเธอคิดว่าเสี่ยวยี่มีวิธีจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ดีอยู่เสมอ ดังนั้น สีหน้าของพวกเธอในตอนนี้จึงมีความสุขขึ้นมาแล้ว
“พี่เสี่ยว มาทานอาหารกันก่อนเถอะค่ะ จะอย่างไรกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เมื่อท้องอิ่มแล้วเราถึงจะมีเรี่ยวแรงไปทำเรื่องราวต่างๆ ได้” หยูฉีพูดในขณะที่ตนเองกับซูหนานช่วยพยุงเสี่ยวยี่ลุกขึ้นยืน ซูหนานฉวยโอกาสนี้แตะชีพจรของผู้เป็นสามี พลันใบหน้าของเธอก็ซีดขาวราวกระดาษไร้สีเลือด
ชีพจรของเสี่ยวยี่อ่อนมากเหมือนคนตายไม่มีผิด!
ดังนั้นสิ่งที่เธอรู้ในตอนนี้ก็คือ พี่เสี่ยวกำลังจะตาย!
เสี่ยวยี่มองหน้าซูหนาน แววตาของเขาสื่อความหมายชัดเจน เขาไม่อนุญาตให้เธอพูดในสิ่งที่เพิ่งรู้ ดังนั้นบรรยากาศที่โต๊ะอาหารจึงปราศจากความสุข และปกคลุมด้วยความทุกข์ที่ชวนอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกัน ชิงบาร์ก็กำลังรับประทานอาหารอยู่เช่นกัน
ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่
บนโต๊ะเรียงรายด้วยกุ้งเผาน่ารับประทาน…
ชิงหยาถึงกับตกตะลึงไปไม่น้อย นี่คือการแก้แค้นจากเย่ฮัวที่เธอทำมึนตึงใส่เขา
“โห กุ้งเผาซะด้วย ของโปรดของหนูเลยนะ” เย่จีจี้หยิบถุงมือสำหรับแกะกุ้งมาสวมใส่และเริ่มต้นกินก่อนใคร
เย่ฮัวไอออกมาเล็กน้อยและหันไปมองหน้าชิงหยา
ชิงหยากัดริมฝีปาก แต่ก็หยิบถุงมือมาแกะกุ้ง เสร็จแล้วจึงจิ้มน้ำจิ้มและนำไปวางไว้ในชามข้าวของสามีแต่โดยดี
เย่ฮัวแสดงสีหน้าพอใจมาก เนื้อกุ้งยิ่งดูหอมอร่อยมากกว่าเดิมหลายเท่า
ชิงหยูตงมองคู่สามีภรรยาและก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรได้ไม่ยาก ไม่ต้องพูดก็ดูออกว่าพี่เขยของเธอชนะหมดทุกประตู
“พี่เขยคะ กินกุ้งค่า” ชิงหยูตงจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปได้อย่างไร เธอรีบแกะกุ้งให้กับเย่ฮัวบ้างทันที
“พี่คะ หนูแกะกุ้งให้นะ” เย่จีจี้และชิงหยูตงมีจิตใจที่ต่างกัน แต่ก็ดูจะทำเพื่อหวังผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่
และเย่ฮัวก็ไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีกแล้ว ตราบใดที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ก็จงมีความสุขไปกับมันซะ!
“เย่จีจี้ อีกครึ่งเดือนเธอต้องเรียนหนังสือแล้วนะ” เย่ฮัวพูดออกมาเสียงเบาพลางกินกุ้งและยกน้ำสไปรซ์ขึ้นดื่ม
แต่เขาจะปล่อยให้เธอไปโรงเรียนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้น มีหวังเย่จีจี้ได้ไปกินคนหมดทั้งโรงเรียนพอดี
และเป็นไปตามคาด พอได้ยินว่าจะต้องเรียนหนังสือ เย่จีจี้ก็ออกอาการงอแงทันที “พี่คะ หนูไม่อยากเรียนหนังสือ หนูอยากเล่นเกมส์”
เย่ฮัวและชิงหยาหันขวับมองหน้าชิงหยูตงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ชิงหยูตงแกล้งแกะกุ้งต่อไปเงียบๆ ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น “พี่สาวคะ กินกุ้ง พี่เขยคะ กินกุ้ง”
“ชิงหยูตง! นี่เธอสอนอะไรน้องเนี่ย!” ชิงหยาตำหนิด้วยน้ำเสียงเอาจริง เพียงแค่ปล่อยให้อยู่กับน้องสาวของเธอไม่เท่าไหร่ เย่จีจี้ก็ไม่อยากเรียนหนังสือและอยากจะเอาแต่เล่นเกมส์อยู่กับบ้านเสียแล้ว
ชิงหยูตงยกมือขึ้น พูดว่า “พี่เขยคะ พี่สาวขา มันไม่ใช่ความผิดของฉันนะ”
หลังจากนั้น เธอก็หันไปมองเย่จีจี้
“พี่ชายคะ พี่สาวขา ไม่ต้องโทษพี่ชิงหยูตงหรอกค่ะ พี่เขาช่วยสอนหนูเล่นเกมส์ตั้งเยอะ ไม่งั้นนะ หนูคงเก็บปืนไม่เป็น ทิ้งระเบิดกลางอากาศไม่ได้ นี่มันเป็นความผิดของหนู หนูมันเป็นเด็กติดเกมส์เองค่ะ” เย่จีจี้พูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร
ตุบ
“นี่!”
ชิงหยูตงทำหน้าเหมือนคนที่กำลังจะกระอักเลือด “เธอมาขอร้องให้ฉันช่วยสอนเองนะ ฉันก็สอนให้ตามที่เธอต้องการแล้วไง ยังจะเอาอะไรอีก”
GG:บทที่ 164 – ภารกิจใหม่
ชิงหยาจ้องมองน้องสาวของตัวเองและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนอยากจะร้องไห้ “ชิงหยูตง เธอไม่ได้เรื่องก็ไม่เป็นไร แต่จีจี้ยังเป็นเด็ก คิดอะไรอยู่ถึงสอนให้น้องติดเกมส์แบบนี้?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของเย่จีจี้ก็เป็นประกายสดใสขึ้นมา แต่ตอนนี้เธอนั่งเงียบ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าตอนนี้ชิงหยูตงกำลังโกรธจัด ยิ่งเมื่อหันไปมองเด็กหญิงตัวปัญหา ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังตีหน้าเศร้าทำตัวน่าสงสารยิ่งกว่าเธอเสียอีก มิหนำซ้ำ ยังมีหน้ามาแกะกุ้งส่งให้พี่สาวเธออีกด้วย
“พี่สาวคะ อย่าโกรธกันเลย กินกุ้งเผาอร่อยๆ ให้ใจเย็นดีกว่านะ”
“พี่ไม่หิวจ้ะ”
ชิงหยาตอบกลับ คิดอยู่ในใจว่าถ้าลูกของเธอเกิดมา แล้วต้องพบกับการเลี้ยงดูจากน้าสาวอย่างชิงหยูตง…แค่นึกภาพเฉยๆ ชิงหยาก็รู้สึกเวียนหัวจนอยากจะเป็นลมแล้ว
“เย่ฮัว จัดการเธอหน่อยสิ” ชิงหยารู้ดีว่าพูดอะไรไปน้องสาวก็คงไม่ฟัง จึงอยากให้สามีที่เป็นหัวหน้าครอบครัวสั่งสอนคงจะง่ายกว่า
แต่เย่ฮัวตัดสินใจเกี่ยวกับทุกเรื่องของเย่จีจี้ไว้อย่างชัดเจนแล้ว เขาตอบว่า “ผมบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้คุณต้องรับผิดชอบเอง”
ชิงหยูตงยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ไม่คิดเลยว่าในครั้งนี้พี่เขยจะเข้าข้างเธอ
“เย่จีจี้ ยังไงเธอก็ต้องเรียนหนังสือ” เย่ฮัวพูดเสียงราบเรียบ ตั้งใจจะส่งเย่จีจี้ไปเข้าเรียนเพื่อปรับตัวและเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ เย่จีจี้จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การควบคุมตัวเอง เธอควรจะดูเว่ยชางเป็นตัวอย่าง เจ้าหมอนั่นสามารถควบคุมความรู้สึกและความคิดได้ เหมือนกับเป็นมนุษย์คนหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อเย่จีจี้เห็นว่าเย่ฮัวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เธอก็ได้แต่หันไปขอความช่วยเหลือจากชิงหยา
“พี่สาวคะ”
“เธอเป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่ชายหรือเปล่าจ๊ะ” ชิงหยาถามด้วยรอยยิ้ม
เย่จีจี้พยักหน้าอย่างที่ควรทำ
“ถ้างั้นก็ต้องทำตามที่พี่ชายบอกนะ”
เย่จีจี้ถึงกับพูดอะไรไม่ออก “…”
ดูเหมือนว่า ถึงจะทำตัวน่าสงสารสักแค่ไหน ก็คงหนีชะตากรรมที่ต้องไปโรงเรียนไม่พ้น แต่ถึงกระนั้น เย่จีจี้รู้ตัวดีว่าถ้าเธอไปนั่งอยู่ในกลุ่มเด็กมนุษย์ เธอจะต้องอยากกินพวกเขาให้หมดแน่นอน
“จีจี้ การเรียนหนังสือเป็นเรื่องสำคัญมากนะ คนเราถ้าไม่เรียนหนังสือ ก็ไม่มีงานทำหรอก” ชิงหยูตงลูบหัวเย่จีจี้เป็นการปลอบใจ
เย่จีจี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาแกะกุ้งต่อไปอย่างน่าสงสาร
“เย่จีจี้ อย่าคิดนะว่าเรื่องนี้มันไม่มีประโยชน์” เย่ฮัวไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดดักคอไว้ก่อน
เมื่อหัวข้อสนทนานี้จบลง ทั้งชิงหยูตงและเย่จีจี้ต่างก็โล่งอกเป็นอย่างยิ่ง พวกเธอรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเด็กสอบตก ที่กำลังถูกพ่อแม่สั่งสอนจนหูชา
“ชิงหยา คุณบอกว่าจะถ่ายรูปแต่งงานไม่ใช่เหรอ ตัดสินใจได้หรือยัง คุณบอกเองนะว่าไม่อยากไปถ่ายตอนที่ท้องโตแล้ว” เย่ฮัวถามในขณะที่หยิบกุ้งเข้าปาก
ชิงหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เราไปถ่ายกันที่ซานย่าดีกว่า ที่นั่นวิวสวยมาก ช่วงนี้เรายังพอมีเวลาว่างกันอยู่ด้วย ถือว่าไปพักผ่อนในตัวด้วยก็แล้วกัน”
“ต้องไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ?” เย่ฮัวถามพลางขมวดคิ้ว
“ซานย่าอยู่ติดทะเล หลงอันมีแต่แผ่นดินกว้างใหญ่ เต็มที่เราก็พบเจอแค่แม่น้ำ คราวนี้เราจะได้พาหยูตงกับจีจี้ไปด้วยไงคะ” ชิงหยาคิดว่าวิธีการนี้สมบูรณ์แบบที่สุด พวกเขากำลังจะไปเที่ยวกันแบบยกครอบครัว ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
แต่ชิงหยูตงไม่อยากไปไหน เธอวางแผนไว้ว่าจะอยู่บ้านเล่นเกมส์ “พี่คะ หนูไปก็เป็นภาระให้เปลืองเงินเปล่าๆ ขอบายก็แล้วกัน”
“หนูก็อยากจะอยู่บ้านเล่นเกมส์เหมือนกัน”
“ไม่ได้นะ พวกเธอจะต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาว คนหนึ่งเป็นเพื่อนเจ้าสาวคนโต อีกคนเป็นเพื่อนเจ้าสาวคนเล็ก เราจะออกเดินทางกันวันพรุ่งนี้!”
“วันพรุ่งนี้เหรอ!” ทั้งสามคนอุทานออกมาพร้อมกัน
“ถูกต้อง เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องการเดินทางเอง” ชิงหยาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เกิดเป็นคนรวยก็ดีอย่างนี้ นึกจะไปไหนก็ไปได้ในพริบตา
เนื่องจากเย่ฮัวเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาเอง เขาก็เลยต้องยอมทำตามความต้องการของชิงหยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เย่ฮัว ชิงหยูตงและเย่จีจี้ถอนหายใจออกมาพร้อมกันเฮือกใหญ่ ถ้าเลือกได้ทุกคนล้วนอยากอยู่บ้าน ไม่มีใครอยากออกไปตากแดด ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีเครื่องเล่นเกมส์ ทั้งสามคนต่างคิดเหมือนกันว่าไม่มีเหตุผลเลยที่ตนเองจะต้องออกไปทรมานที่ต่างเมืองแบบนั้น
หลังจากที่รับประทานกุ้งเผาจนอิ่มหนำ ชิงหยาก็ไปนั่งเล่นเกมส์อยู่กับเด็กๆ เย่ฮัวไม่อยากพูดอะไรอีก ชิงหยาเพิ่งจะสั่งสอนพวกเธอไปหยกๆ ว่าการเล่นเกมส์เป็นสิ่งไม่ดี แต่ตอนนี้กลับไปร่วมวงด้วยเสียแล้ว
นั่นก็เป็นเพราะว่าอาหลี่กลับมาออนไลน์แล้ว
เย่ฮัวผู้เบื่อหน่ายเดินลงบันไดมาชั้นล่าง เพื่อดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่…
แต่เมื่อเดินลงมาแล้วกลับไม่เจอใครเลยสักคน นอกจากคนรับใช้และพนักงานรักษาความปลอดภัยส่วนตัวเท่านั้น!
เขาโบกมือเรียกเว่ยชาง
“นายท่าน มีอะไรหรือครับ”
“คนหายไปไหนหมด” เย่ฮัวถามด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
เว่ยชางตอบว่า “ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
ไม่กี่เดือนก่อน ที่นี่ยังมีคนเดินให้พล่านกันไปหมด แต่ตอนนี้กลับวังเวงเหมือนป่าช้าไปเสียได้
เย่ฮัวได้แต่ถอนหายใจก่อนพูดว่า “ฉันจะไปต่างเมืองสัก 2-3 วันนะ ฉันกลับมาเมื่อไหร่ ถ้ายังไม่เห็นคนอีก ฉันจะตัดเงินเดือนนาย!”
“นายท่าน ผมอยากขอให้ท่านขึ้นเงินเดือน…” เว่ยชางอับอายเกินกว่าจะพูดออกไปได้ว่า เงินที่เขาได้รับมันไม่เพียงพอสำหรับการหาแฟนสักคน และตอนนี้ เขาก็ต้องใช้เงินมากกว่าเดิม
เย่ฮัวจ้องมองด้วยดวงตาวาวโรจน์ “ทำงานแบบนี้ยังจะมีหน้ามาขอขึ้นเงินเดือนอีก อีกหน่อยฉันคงต้องกินแกลบกันพอดี”
“แต่ตอนนี้ ตัวท่านมีแต่กลิ่นกุ้งเผาเลยนะครับ”
“…”
“เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าเถียงข้าแล้วรึ”
“ข้าน้อยมิบังอาจ” เว่ยชางรีบพูดออกมาทันที แปลกใจไม่น้อยที่ในเมื่อนายเหนือหัวได้เจอเย่จีจี้แล้ว กลับมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายเป็นพิเศษ
“เรื่องที่ให้สืบสวนไปถึงไหนแล้ว?” เย่ฮัวดึงบุหรี่ออกมา ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างกัน
เว่ยชางมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย
“ยังสืบสวนอยู่ครับ”
“ยังสืบสวนอยู่แล้วทำไมช้าแบบนี้ มีอะไรติดขัดก็เร่งมือแก้ปัญหาเข้าหน่อยสิ”
“เข้าใจแล้วครับ!”
หลังจากนั้น เย่ฮัวก็ลุกขึ้นเดินออกไป
“นายท่านจะออกไปไหนครับ”
“ไปเดินเล่น”
เว่ยชางแอบคิดในใจว่า ตอนนี้นายเหนือหัวของเขารู้จักที่จะเดินเล่นหลังมื้อค่ำแล้ว อีกหน่อยคงเรียนรู้การเต้นรำสำหรับงานรื่นเริงแน่นอน
เขากำชับกับตนเองว่าถ้าไม่อยากถูกตัดเงินเดือน ก็ต้องรีบติดต่อผู้วิเศษแห่งความตายเสียเดี๋ยวนี้
อย่างไม่รอช้า เว่ยชางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรไปหาผู้วิเศษแห่งความตาย และหวังว่าผลลัพธ์จะออกมาคุ้มค่ากับค่าโทรศัพท์ที่เสียไป
“ผู้วิเศษแห่งความตาย!”
ผู้วิเศษแห่งความตายที่กำลังเล่นเกมส์อยู่ ถึงกับงงงันไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบว่า ”ครับ”
“นายมีงานให้ไปเป็นสายลับ คอยสืบความเคลื่อนไหวระหว่างฝั่งเหนือกับฝั่งใต้” เว่ยชางอธิบายงานเพิ่มเติมเล็กน้อย แต่มันก็คืองานสายลับโดยทั่วไป ซึ่งหมายถึงการรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่ายให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุดในกลุ่มสายลับด้วยกัน
“งานสืบข้อมูล!” ผู้วิเศษแห่งความตายรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะสมกับชื่อนี้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากงานที่เขาได้รับ มันไม่เกี่ยวกับความตายเลยแม้แต่น้อย
“ถูกต้อง รายงานข้อมูลฉันทุกวันด้วย”
“ได้ครับ ผมจะรายงานให้เจ้านายทราบทุกวัน”
“ทำตามกฎด้วยล่ะ!”
หลังจากกดวางสายแล้ว ผู้วิเศษแห่งความตายก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง แต่งานนี้มีปัญหาอยู่อย่างเดียวก็คือ ถ้าเขาทำงาน แล้วจะเล่นเกมส์ได้อย่างไร?
เปรี้ยงๆๆๆ
เสียงระเบิดลูกกระสุนที่ดังขึ้นข้างตัว ทำให้ผู้วิเศษแห่งความตายต้องหันไปมอง และพบว่าเจ้าสำนักฟ่างกำลังเล่นเกมส์บนโทรศัพท์มือถือ สีหน้าดูกำลังโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง
ใช่สิ เธอต้องโกรธแค้นอยู่แล้ว เพราะว่าแพ้เขามาหลายตาติดขนาดนั้น
แต่ว่า…
จะนอนเล่นเกมส์ทั้งวันก็อย่างไรอยู่นะ
เมื่อไม่มีเงิน ค่าอาหารวันละ 3 มื้อก็เป็นปัญหาได้ ถ้าถูกไล่ออกจากห้องเช่า ถ้าไม่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชี เห็นทีคงต้องระเห็จไปนอนข้างถนนหรือไม่ก็ในสวนสาธารณะ แต่ผู้วิเศษแห่งความตายอย่างเขาจะยอมแพ้ชีวิตง่ายดายขนาดนี้ไม่ได้ ไม่งั้นได้อับอายมนุษย์แน่ๆ
ผู้วิเศษแห่งความตายพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ และใช้กระดูกบนหัวไหล่กวักเรียกอีกฝ่ายให้หันมามอง
“มีงานใหม่เข้ามาแล้ว อยากทำหรือเปล่า?”
หลังจากที่มองข้อความบนหน้าจอแล้ว เจ้าสำนักฟ่างก็ทำหน้าคิดไม่ตก จะอย่างไรสำหรับมนุษย์ก็ต้องยอมแพ้ให้กับอำนาจเงินอยู่วันยังค่ำ
“ทำสิ!”
“เคี๊ยะๆๆ…”
แบบนี้นี่เองสินะ มนุษย์ถึงบอกว่าเงินบันดาลได้ทุกอย่างจริงๆ
GG:บทที่ 165 – ตงฮวงไป๋ลู่
ผู้วิเศษแห่งความตายต้องวางแผนทำงานนี้ให้ดี และวาดหวังว่าถ้ามันกลายเป็นงานสายลับนองเลือด ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย
ณ อีกฝั่งหนึ่งของเมือง เย่ฮัวกลับมาจากเดินสูดอากาศพร้อมกับถือเอกสารในมือที่ได้มาจากเลี่ยกูมาด้วย นี่คือข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดที่เย่จีจี้จำเป็นต้องใช้เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องไปรบกวนจิ่วเย่แล้ว เลี่ยกูมีทรัพยากรอยู่ในมือ และเริ่มใช้งานสมองเหมือนมนุษย์ได้บ้างแล้ว
เมื่อเดินกลับขึ้นไปชั้นบนของตัวบ้าน ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงของเย่จีจี้กำลังตะโกนโวยวาย ในขณะที่ชิงหยาและชิงหยูตงนั่งเงียบกริบ
“ป้าทำอะไรของป้าเนี่ย” เสียงของอาหลี่ดังออกมาจากหูฟังของเธอ
เย่จีจี้โกรธจนหน้าเขียวตอนที่พูดออกไปว่า “อย่ามาเรียกฉันว่าป้านะ!”
“แต่ป้าเป็นน้องสาวของป้าชิง ทำไมผมจะเรียกป้าว่าป้าไม่ได้ล่ะ”
เย่จีจี้เจ็บใจจนตัวแทบระเบิด มีอย่างที่ไหนเรียกเด็กหญิงน่ารักๆ อย่างเธอว่าป้า สงสัยอาหลี่อะไรนี่คงสติไม่ค่อยดีเป็นแน่
ชิงหยาและชิงหยูตงได้แต่นั่งยิ้มอย่างพูดอะไรไม่ออก สังหรณ์อยู่แล้วว่าถ้าสองคนนี้ได้มาเจอกัน ฟ้าคงถล่ม ดินคงทลาย และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ด้วยความเจ็บปวดที่ถูกเรียกว่าป้า เย่จีจี้จึงพยายามเอาชนะอาหลี่ในการเล่นเกมส์ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายหนึ่งกลับมีฝีมือมากกว่าเธออยู่เล็กน้อย
ในจำนวนทีมผู้เล่นสี่คน พวกเขาสังหารทีมตรงข้ามได้ 96 คน แต่ 70 คนเป็นฝีมือของอาหลี่กับเย่จีจี้ทั้งสิ้น ส่วนอีก 20 กว่าคนทนไม่ไหว ขอกดออกจากเกมส์ไปเองด้วยความหวาดกลัว
นี่คือผลลัพธ์ที่เมื่อผู้เล่นสองคนนี้เข้าสู่ระบบ การฆ่าจะเกิดขึ้นเหมือนพายุสลาตัน ใครที่ดวงซวยเข้ามาเจอผู้เล่นทั้งสองคนนี้ ต่างก็ได้แต่คุกเข่าทำความเคารพและรอรับชะตากรรมความตายเท่านั้น
ชิงหยาและชิงหยูตงนอนดูเด็กหญิงเล่นเกมอยู่ด้านหลัง พวกเธอไม่คิดเลยว่าเย่จีจี้จะเล่นได้ดุดันขนาดนี้ ตอนแรกเด็กหญิงก็ยังไม่คุ้นมือเท่าไหร่ แต่เมื่อเธอปรับตัวได้แล้ว เย่จีจี้ก็ลงมือสังหารคนในเกมส์ด้วยความอำมหิตอย่างยิ่ง
ในกลุ่มไลฟ์สด บรรดาคนดูต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“กัปตันไม่ใช่หัวหน้าทีมตัวจริงแล้วมั้งเนี่ย! เป็นผู้เล่นสองคนนี้มากกว่า ถ้าไม่อยากทำให้เกมส์เสียอารมณ์ กัปตันรีบฆ่าพวกเขาทิ้งไปเถอะ”
“เก่งเกินไปแล้ว บอกให้กัปตันฆ่าพวกเขาทิ้งไปซะ”
“กัปตันมัวทำอะไรอยู่เนี่ย ดูแล้วเสียอารมณ์ชะมัด”
บนหน้าจอกำลังแสดงภาพของกัปตันทีมกำลังยกมือกุมท้องด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก “วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย รู้สึกปวดท้องยังไงไม่รู้ ขอตัวก่อนแล้วกันนะ”
หลังจากพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว บนหน้าจอก็กลายเป็นสีดำสนิท ดูเหมือนว่าแม้แต่ผู้ที่เป็นกัปตันทีม ก็ไม่อยากเข้ามาขัดขวางจอมสังหารทั้งสองคนนี้
ในกลุ่มไลฟ์สดเกิดความโกลาหลขึ้นทันที
“กัปตันหนีไปแล้วว่ะ!”
“อย่าไปว่ากัปตันแกเลย น่าจะไม่สบายจริงๆ นั่นแหละ”
“ฉันว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่เจ้าสองคนนี้ทำให้เกมส์เสียสมดุลไปหมด กัปตันก็เลยแกล้งปวดท้อง เพราะไม่อยากเป็นคนที่ต้องเข้ามาจัดการมากกว่า”
“ได้ข่าวว่าวันนี้หยูตงจะมาสตรีมด้วยไม่ใช่เหรอ ฉันนี่รอดูเธอเลยล่ะ อยากรู้จริงว่าหยูตงจะทำยังไง ส่วนฉันน่ะเหรอ ไม่รู้จะจัดการเจ้าสองคนนี้ยังไงแล้ว ฝีมือแม่งเทพเกินไป”
“ไปดูทีมอื่นเล่นสนุกกว่าเยอะ”
“ไปก่อนล่ะ โชคดีนะทุกคน”
เมื่อเห็นจำนวนคนดูในกลุ่มไลฟ์สดลดลงเรื่อยๆ ผู้เป็นกัปตันทีมก็รู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง คนพวกนี้เรียกร้องอะไรที่เกินตัวเหลือเกิน จะให้ฆ่าทั้งสองคนนี้ทิ้งน่ะหรือ…สู้ออกจากเกมส์มาเองยังง่ายกว่าเป็นไหนๆ
แต่ว่าตอนนี้…
อาหลี่กับเย่จีจี้ยังคงออกล่าเหยื่อในเกมส์ต่อไป ใครก็ตามที่บังเอิญพบเจอพวกเขา จะต้องถูกสังหารทิ้ง
มันกลายเป็นเกมส์ที่เล่นสนุกกันอยู่แค่ฝ่ายเดียว ไม่ใช่ใครๆ ก็มาเล่นได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเก่งกล้ามากแค่ไหน แต่เมื่อมาเจออาหลี่กับเย่จีจี้ก็ต้องพ่ายแพ้ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าบริษัทเกมพบเห็นความผิดปกตินี้ แต่พวกเขากลับไม่พบเจอความผิดปกติใดๆ ในบัญชีผู้เล่นทั้งสองบัญชีที่เป็นปัญหา มีการเรียกประชุมทีมช่างเทคนิคอย่างเร่งด่วน เพื่อวิเคราะห์ว่าทำไมผู้เล่นทั้งสองคนนี้ถึงเก่งเกินคนอื่นไปมากมาย
แต่ถึงจะทำงานล่วงเวลาและไม่ได้กลับบ้านไปแรมเดือน ทีมวิศวกรผู้สร้างเกมส์ก็ไม่มีใครสามารถหาเหตุผลได้อยู่ดี
เย่ฮัวยืนมองเย่จีจี้เล่นเกมส์อยู่ข้างหลัง เธอแอบใช้พลังโกงเกมเขาไม่แปลกใจ แต่ที่เย่ฮัวแปลกใจก็คือ อาหลี่กลับมีฝีมือเทียบเคียงเย่จีจี้ ซึ่งนี่แหละคือปริศนาที่แท้จริง
…
กลางทะเลทรายของแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ที่นี่ไม่มีที่ให้หลบร้อนหลบหนาว คนธรรมดาที่เดินเข้ามาในทะเลทรายแห่งนี้ จะต้องตายและกลายเป็นอาหารสำหรับนกแร้งในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน
ภายใต้แสงจันทรา คนสองคนเดินเข้ามาในทะเลทรายแห่งนี้ ถึงอากาศจะร้อนอบอ้าว แต่พวกเขากลับสวมใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่
หลังจากเดินอยู่ครึ่งค่อนคืน ทั้งสองคนก็หยุดเท้า หนึ่งในสองถูมือเป็นจังหวะ ก่อให้เกิดเป็นประตูหยดน้ำสว่างไสวขึ้นเบื้องหน้า และเมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปในนั้น ทะเลทรายก็กลับมาอยู่ภายใต้ความสงบที่ปราศจากผู้คนอีกครั้ง
ชายทั้งสองคนถอดเสื้อคลุมออกและสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดออกมาว่า “ที่นี่อากาศยังดีอยู่ ส่วนอากาศในโลกมนุษย์ไม่ไหวเลยจริงๆ สูดดมเข้าไปมีแต่สารพิษทั้งนั้น”
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ที่นี่อยู่ภายใต้การดูแลขององค์ราชินีไงล่ะ ช่างเป็นบุญหัวของพวกเราเหลือเกิน”
“ถูกต้อง ถ้าในชีวิตนี้ข้ามีวาสนาได้เห็นองค์ราชินีสักครั้งนะ ข้าจะไม่เสียใจอะไรอีกแล้ว”
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็เงยหน้ามองไปยังยอดเขาสูงที่อยู่เบื้องหน้า สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใส ยิ่งไปกว่านั้น ชายสองคนนี้ถึงกับคุกเข่าลงและก้มหัวคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อองค์ราชินีของพวกเขาทันที
บนยอดเขาเขียวขจีที่เต็มไปด้วยความเวิ้งว้างว่างเปล่า และมีก้อนเมฆปกคลุมอย่างหนาแน่น กลับมีปราสาทขนาดใหญ่ถูกก่อสร้างขึ้นอยู่บนทุกๆ ยอด ปราสาทเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของพระราชวัง ที่เป็นตัวแทนแห่งพลังและอำนาจ
ณ ยอดเขาที่สูงที่สุด เป็นที่ตั้งของปราสาทที่สวยงามที่สุด ตัวประสาทถูกแกะสลักให้เป็นรูปร่างของมังกรโบราณ เสาหยกขาวขนาดใหญ่มีมังกรแปดตัวม้วนพันพร้อมกับอ้าปากกางกรงเล็บ เกล็ดบนตัวเป็นประกายแวววาวท่ามกลางสายลมและก้อนเมฆ ช่างเป็นภาพที่มหัศจรรย์อย่างอธิบายไม่ถูก
บนท้องฟ้าเหนือปราสาท มีน้ำตกสายหนึ่งไหลลงมา เสียงของน้ำตกดังเบาไม่เท่ากัน ฟังแล้วไพเราะเสนาะหูเหมือนเสียงดนตรี
ปราสาทแห่งนี้รายล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียว แว่วเสียงหรีดหริ่งเรไร เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็จะได้ยินเสียงลมพัดแผ่วเบาบรรเลงประกอบ
สายน้ำจากน้ำตกไหลผ่านลงไปสู่หุบเขาเบื้องล่าง หล่อเลี้ยงทุ่งหญ้าเขียวขจี ก่อนที่จะไหลเข้าไปสู่กลุ่มก้อนเมฆและหายลับไปในที่สุด
ในขณะนี้ มีกลุ่มคนยืนรวมตัวกันอยู่หน้าปราสาทหลังนี้ พวกเขาเป็นชายชราแปดคนที่นั่งคุกเข่าก้มคำนับ รอคอยด้วยความอดทน
บริเวณหน้าประตู มีองครักษ์สี่นายสวมใส่เสื้อคลุมสีทอง พร้อมด้วยชุดเกราะสีเงินวาว ไอสังหารลอยออกมาจากร่างของพวกเขาตั้งแต่ไกล
หลังจากรออยู่ครึ่งค่อนคืน หนึ่งในองครักษ์ก็ตะโกนออกมาว่า “เชิญเข้าไปได้!”
ผู้เฒ่าทั้งแปดคนลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในปราสาททันที
ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ใจกลางปราสาท เป็นหญิงสาวหน้าตาสวยที่มีสง่าราศีแตกต่างจากคนทั่วไป เธอสวมใส่มงกุฎที่เป็นรูปร่างของมังกรกับนกฟีนิกซ์ ถึงแม้ว่าองค์ราชินีจะมีดวงตาที่สวยงามมาก แต่ทั่วกายกลับปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เสื้อคลุมสีม่วงลวดลายมังกรสวยงามที่องค์ราชินีสวมใส่อยู่ กลายเป็นน้ำแข็งที่มียอดแหลมชี้ชันออกมา
นี่คือสตรีประเภทที่จะทำให้บุรุษลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น!
เธอมีชื่อว่าตงฮวงไป๋ลู่!
“ถวายบังคมฝ่าบาท” แปดผู้เฒ่าย่อกายลงทำความเคารพอย่างพร้อมเพียง
ดวงตาที่สวยงามของตงฮวงไป๋ลู่ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์มีแต่ความเย็นชา เธอยกมือขึ้นช้าๆ แทบจะเรียกว่าเป็นการโบกมือไม่ได้ด้วยซ้ำ
ชายชราทั้งแปดคนลุกขึ้น และแยกกันยืนเป็นสองฝั่ง
“หยวนเต๋อ มีเรื่องอะไรรึ? ทำไมถึงต้องมาเข้าพบกลางดึกขนาดนี้” ตงฮวงไป๋ลู่ถาม
ชายชราร่างแคระก้าวออกมาข้างหน้าและประสานสองมือไว้ด้วยกัน “กราบทูลฝ่าบาท มีปีศาจอยู่ในโลกมนุษย์พะย่ะค่ะ”
“เจดีย์เก้าปีศาจไม่นับว่าเป็นปีศาจจริงๆ สักหน่อย” ตงฮวงไป๋ลู่พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ และเธอก็ไม่ได้มีทีท่าใส่ใจแม้แต่น้อย
“กระหม่อมไม่ได้พูดถึงเจดีย์เก้าปีศาจ แต่กระหม่อมพูดถึงเด็กหญิงที่ถือเจดีย์เก้าปีศาจอยู่ในโลงศพต่างหากพะยะค่ะ!”
GG:บทที่ 166 – ความหึงหวง
เมื่อเห็นองค์ราชินีเงียบไป หยวนเต๋อก็กล่าวต่อว่า “ลูกศิษย์ของหม่อมฉันเพิ่งกลับมาจากโลกมนุษย์ เกิดเหตุแย่งชิงอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณจนส่งผลให้มีคนตายและสูญหายจำนวนมาก และคนที่ตายจำนวนไม่น้อยถูกดูดพลังจนร่างซูบผอม หม่อมฉันคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของเด็กผู้หญิงในโลงคนนั้นแน่นอนพะย่ะค่ะ”
ตงฮวงไป๋ลู่มองหน้าผู้เฒ่าแคระและพูดออกมาอย่างเชื่องช้าว่า “แล้วไงล่ะ”
หยวนเต๋อตกตะลึง รีบก้มศีรษะลงทันที
“เรื่องนี้มันมีปัญหาตรงไหน เหตุเกิดขึ้นในแดนใต้ ไม่ใช่อาณาเขตของเราสักหน่อย ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดออกมา อย่ามัวชักแม่น้ำทั้งห้าให้เสียเวลา!” ตงฮวงไป๋ลู่กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทำไมผู้เฒ่าเหล่านี้ถึงไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง มีความจำเป็นใดต้องรบกวนเธอในเวลานี้ด้วย?
แปดผู้เฒ่าหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ราวกับว่าไม่มีใครกล้าพูดเรื่องสำคัญออกมา
ทันใดนั้น ทั้งแปดคนก็คุกเข่าลงพร้อมกัน “พวกหม่อมฉันหวังว่าองค์ราชินีจะทรงพิจารณาเลือกพระสวามีได้แล้วนะพะย่ะค่ะ นี่ก็ควรค่าแก่เวลาที่ท่านจะต้องมีรัชทายาทเอาไว้สำหรับสืบทอดบัลลังก์แล้ว”
ตงฮวงไป๋ลู่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่มีท่าทีฉุนโกรธแม้แต่น้อย แต่นั่นกลับทำให้แปดผู้เฒ่ารู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม
“ข้านึกว่าพวกเจ้าเลือกพระสวามีเอาไว้ให้ข้าเรียบร้อยแล้วเสียอีก” องค์ราชินียิ้มออกมาแล้ว แต่แววตาของเธอเป็นประกายดุร้ายอย่างยิ่ง
ในกลุ่มของแปดผู้เฒ่า ชายชราร่างอ้วนขยับกายออกมาข้างหน้า เขามีชื่อว่าซิงหาน เครายาวๆ ใต้คางของเขาระไปกับพื้นท้องพระโรงยามที่ก้มตัวต่ำ ถ้าขยับไปมามันก็ไม่ต่างไปจากไม้กวาดเลยทีเดียว
“กราบบังคมทูลองค์ราชินี ท่านจำเป็นต้องอภิเสกสมรสกับผู้ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ และด้วยเหตุนี้เอง สายเลือดของเทพเจ้าจึงสำคัญยิ่ง สายเลือดโบราณคือสิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบันนี้ แม้แต่อีกสองตระกูลก็ไม่สมควรได้เกี่ยวดองกับท่าน ตราบใดที่ท่านให้กำเนิดพระโอรสและสืบทอดราชบัลลังก์ ตระกูลตงก็จะต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกรตลอดไปแน่นอนพะย่ะค่ะ”
ตงฮวงไป๋ลู่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุด ไม่ตอบรับคำใดออกมา
ซิงหานพูดต่อว่า “ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ของฝั่งเหนืออยู่ภายใต้การควบคุมของท่านทั้งสิ้น ในขณะที่ตระกูลทางฝั่งใต้อยู่ภายใต้การควบคุมของท่านจี่ ถึงแม้ว่าหยูเฉิงเจ้อร์จะอยู่ในฝั่งใต้ แต่เขาก็ไม่สนใจโลกภายนอก หม่อมฉันคิดว่าตระกูลของเขานี่แหละ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดพะย่ะค่ะ”
หลังจากที่หยุดไปเล็กน้อย ซิงหานก็กล่าวต่อว่า “บุตรชายคนรองของหยูเฉิงเจ้อร์มีนามว่าคังสือไช่ หน้าตาของเขาหล่อเหลาราวเทพบุตร ไม่มีผู้ใดจะเหมาะสมกับตำแหน่งพระสวามีของท่านมากไปกว่าเขาอีกแล้ว”
“พูดจบหรือยัง?” ตงฮวงไป๋ลู่ถาม
“จบแล้วพะยะค่ะฝ่าบาท!”
“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว” ตงฮวงไป๋ลู่โบกมือไล่และลุกขึ้นยืน
หยวนเต๋อรีบพูดออกมาทันทีว่า “หม่อมฉันมีอีกหนึ่งเรื่องสำคัญต้องแจ้งให้พระองค์ทราบ! นี่คือเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลชิงในหลงอันพะย่ะค่ะ!”
ตงฮวงไป๋ลู่หยุดชะงักอยู่กับที่ ความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนงดงามของเธอ แปดผู้เฒ่าก้มศีรษะลงด้วยความลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่พบความเปลี่ยนแปลงใดๆ จากองค์ราชินีตามมา
“พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวกับข้า” ตงฮวงไป๋ลู่เตรียมตัวเดินหนีกลับเข้าที่พักผ่อนประจำพระองค์
หยวนเต๋อตะโกนออกไปว่า “ฝ่าบาท ตอนนี้ตะกูลชิงมีหัวหน้าครอบครัวคนใหม่แล้วพะย่ะค่ะ และชื่อของเขาก็คือเย่ฮัว!”
ชื่อของเขาคือเย่ฮัว คนสารเลวนั่นมีชื่อว่าเย่ฮัว!
เนื่องจากองค์ราชินีหันหลังอยู่ แปดผู้เฒ่าจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของพระองค์
แต่ทุกคนในกลุ่มแปดผู้เฒ่าพากันจ้องมองหยวนเต๋อด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจเลยว่าชายชราร่างแคระจะรายงานเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ทำไม
หยวนเต๋อไม่สนใจอะไรอีกแล้วขณะกล่าวต่อไปว่า “ผู้ชายคนนี้มีภรรยาชื่อว่าชิงหยา เธอกำลังตั้งท้องอยู่ด้วยพะย่ะค่ะ!”
ทุกคำที่หยวนเต๋อพูดออกมา เป็นเหมือนใบมีดที่กรีดลงไปกลางหัวใจอันแสนบอบบางของตงฮวงไป๋ลู่
เขามีภรรยาแล้ว ภรรยาของเขากำลังตั้งท้อง ทำไมเขาถึงทำตัวแบบนี้!
ภาพเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนผุดวาบเข้ามาในความทรงจำของตงฮวงไป๋ลู่ ในตอนนั้น สถานการณ์แทบไม่แตกต่างไปจากคืนนี้ แต่ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นบิดาของเธอ ในขณะที่ตัวเธอเองหลบหนีไปมีความสัมพันธ์กับเย่ฮัวบนโลกมนุษย์
ตอนที่ได้ยินชื่อเสียงของชายหนุ่มผู้นั้นเป็นครั้งแรก ตงฮวงไป๋ลู่ไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง ว่ากันว่าหญิงใดที่ได้สัมผัสเย่ฮัวแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ในตอนนั้น ตงฮวงไป๋ลู่ถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน เธอไม่เคยเจอใครที่เป็นคนหลงตัวเองจนสุดโต่งเหมือนเขามาก่อน
หลังจากที่เล่นสนุกอยู่ในโลกมนุษย์ได้ประมาณครึ่งเดือน ตงฮวงไป๋ลู่ก็กลับมายังโลกของตนเอง หลังจากนั้นเธอก็ล้มป่วยไม่สบาย ด้วยสาเหตุที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหมอหลวงตรวจพบว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ เรื่องนี้มันเป็นไปได้ไงกัน!
เมื่อได้รับการวินิจฉัยอีกชุดใหญ่ ตงฮวงไป๋ลู่ก็แน่ใจว่าตนเองตั้งครรภ์อยู่จริงๆ และไม่ต้องสืบเธอก็รู้ว่าพ่อเด็กเป็นใคร
ในตอนนั้น บิดาของเธอโกรธมาก ทำให้อาการป่วยของท่านทรุดหนักลง ทุกคนต่างโน้มน้าวให้ตงฮวงไป๋ลู่จำกัดเด็กในท้องทิ้งไป เพราะเด็กคนนี้เป็นความน่าอับอายของวงศ์ตระะกูล
แต่ตงฮวงไป๋ลู่ตัดใจทำไม่ลง จะอย่างไรเด็กในท้องก็เป็นลูกของเธอ
หลังจากพักฟื้นได้ประมาณหนึ่งเดือน ตงฮวงไป๋ลู่ก็ทนอยู่ที่นี่ไม่ไหวอีกต่อไป แต่เธอจะหนีไปไหนได้ล่ะ?
ในตอนนั้น เธอคิดออกอยู่แค่ที่เดียว คือโลกมนุษย์ ตงฮวงไป๋ลู่คิดว่าตนเองก็หน้าตาสวยงามไม่แพ้ใคร ถึงเรื่องนี้จะเกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ตงฮวงไป๋ลู่คิดว่าเธอได้พบคู่แท้ของชีวิตแล้ว
แต่ตงฮวงไป๋ลู่ก็ไม่เคยได้เจอเย่ฮัวอีกเลย แม้ว่าเธอจะเฝ้าติดตามเขา เดินไปตามตรอกซอกซอยอันมืดมิด มองเขาออกจากบ้าน เดินกลับบ้าน เฝ้าดูเขาอยู่แทบตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเย่ฮัวเลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมื่อตงฮวงไป๋ลู่กลับมายังโลกของเธอพร้อมด้วยความผิดหวังและความโกรธแค้น ตงฮวงไป๋ลู่ก็พบว่าบิดาของเธอเสียชีวิตไปแล้ว
นั่นคือช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของตงฮวงไป๋ลู่ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งใบกำลังกลั่นแกล้งเธอ บางครั้งตงฮวงไป๋ลู่คิดอยากจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ แต่เมื่อนึกถึงลูกที่อยู่ในท้อง เธอก็จำเป็นต้องอดทนต่อไป
ลูกชายที่คลอดออกมา มีหน้าตาเหมือนเย่ฮัวมาก ทุกครั้งที่เห็นหน้าลูกชาย ตงฮวงไป๋ลู่ก็จะนึกถึงคนเสเพลผู้นั้นเสมอ!
ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่น่าตลกมากเมื่อได้ยินว่าเขายอมแต่งงานกับหญิงคนหนึ่งและหญิงคนนั้นกำลังตั้งท้องอยู่ด้วย ไหนกันล่ะคนที่บอกว่า จะไม่มีผู้หญิงคนใดได้สัมผัสตัวเขาเป็นครั้งที่สองอีก!
ทีเธอตั้งท้องเขาไม่รับผิดชอบ แต่กลับแต่งงานกับหญิงอื่นได้หน้าตาเฉย
“หยวนเต๋อ” ตงฮวงไป๋ลู่กระซิบออกมาเสียงแผ่วเบา แต่ฟังดูน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ข้าจะรับหมั้นคนของหยูเฉิงเจ้อร์ ข้าจะแต่งงาน!” ตงฮวงไป๋ลู่พูดจบก็เดินออกไป
ผู้เฒ่าอีกเจ็ดคนในท้องพระโรงยังไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา มีเพียงแต่หยวนเต๋อผู้เดียวเท่านั้นที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุด งานของเขาก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี!
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมองค์ราชินีถึงยอมตกลงง่ายดายถึงเพียงนี้?” ซิงหานถามออกมาด้วยความสงสัย
หยวนเต๋อหัวเราะในลำคอ “พระองค์ท่านมีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ในใจ ถ้าไม่กำจัดชายคนนั้นทิ้งไปซะ ก็อย่าหวังเลยว่าท่านจะคิดแต่งงานกับชายอื่น”
เจ็ดผู้เฒ่าถึงกับตกตะลึงพูดไม่ออกและยอมรับในความฉลาดของหยวนเต๋อหมดหัวใจ นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน
“เรื่องนี้เก็บเป็นความลับมาตลอด ถ้าแพร่งพรายให้ใครรู้เข้า ภาพลักษณ์ขององค์ราชินีก็จะเสียหายหมด” หยวนเต๋อระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะเดินนำทุกคนออกมาจากปราสาทหลังงามในที่สุด
…
ตงฮวงไป๋ลู่ไม่ได้กลับเข้าห้องนอน เธอกำลังนั่งอยู่ในสวน เงยหน้าดูดาวบนท้องฟ้า นิ้วมือเรียวยาวของเธอจิกเล็บเข้ากับเนื้อจนเป็นรอยแดง แต่จะอย่างไรก็ไม่มีเลือดไหลออกมา
ผ่านไปครึ่งค่อนคืน ตงฮวงไป๋ลู่เดินตรงไปยังห้องนอนของลูกชาย ยังไม่ถึงหน้าประตูด้วยซ้ำ เธอก็ได้ยินเสียงกดคีย์บอร์ดรัวๆ ดังออกมาแต่ไกล สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในขณะที่เปิดประตูเข้าไปภายในห้อง
ดงฮวงที่กำลังเล่นเกมอยู่ตกใจไปไม่น้อย เด็กชายรีบปิดคอมพิวเตอร์ ลุกขึ้นยืนก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไร
“คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
“ท่านแม่!”
ดงฮวงดึงคีย์บอร์ดออกมา ก่อนที่จะคุกเข่าลงทับคีย์บอร์ดเอาไว้ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามารดาของตนเองในวันนี้ไม่ปกติ และจำเป็นต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด
ดงฮวงไป๋ลู่เดินตรงเข้าไปที่คอมพิวเตอร์อย่างเงียบงัน ก่อนที่จะยื่นฝ่ามือออกมาข้างหน้า
ทันใดนั้น หน้าจอคอมพิวเตอร์และเคสซีพียูก็ลอยละลิ่วผ่านหน้าต่างห้องออกไปข้างนอกทันที
ดงฮวงมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขากับโลกภายนอก ถูกแม่ของเขาทำลายไปเสียแล้ว…
น้ำตาไหลลงมานองใบหน้าที่แสนสวยงามของตงฮวงไป๋ลู่ แต่ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ออกมาจากปากของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
GG:บทที่ 167 – เย่ฮัว ฉันเกลียดนาย!
ตงฮวงไป๋ลู่นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงของลูกชาย ยิ่งเห็นเด็กน้อยตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ตามแล้ว เธอก็ได้แต่คิดว่าเย่ฮัวเป็นพ่อที่ใจร้ายจริงๆ!
ดงฮวงยกมือปาดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาและจ้องมองผู้เป็นมารดาด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาเดินเข้าไปโอบกอดผู้ให้กำเนิดพลางปลอบโยนว่า
“ไม่ต้องร้องไห้นะครับแม่ หลังจากนี้ผมจะไม่เล่นเกมอีกแล้ว ผมสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนและจะตั้งใจฝึกกังฟูทุกวันเลย”
ตงฮวงไป๋ลู่กอดบุตรชายด้วยความอ่อนโยน เขาเป็นคนที่เธอรักมากที่สุดในโลก
แต่คนที่เธอเกลียดที่สุดในโลกก็คือเย่ฮัว!
มันช่างตลกเหลือเกิน ที่ผ่านมา เธอเฝ้าฝันลมๆ แล้งๆ อยู่ได้อย่างไรกัน
เย่ฮัว นายมันใจดำอำมหิต อย่ามาหาว่าฉันใจร้ายบ้างก็แล้วกัน!
…
บริเวณชั้นสองของคฤหาสน์
“อาหลี่ออกจากเกมไปแล้วแฮะ” ชิงหยูตงร้องเสียงดัง
เย่จีจี้พูดออกมาด้วยความดีใจว่า “ที่เจ้าเด็กแสบคนนั้นรีบกดออกจากเกมไป ก็เพราะกลัวจะถูกหนูฆ่าตายเอาน่ะสิ”
“จีจี้ รอก่อนไหม ไม่แน่อีกเดี๋ยวอาหลี่อาจจะกลับมาเล่นต่อก็ได้” ชิงหยารีบพูดออกมา
ชิงหยูตงยกมือจับคางตัวเองอย่างใช้ความคิด “แต่ฉันรู้สึกว่าเขาน่าจะโดนแม่จับได้มากกว่านะ สงสัยถูกทำโทษให้นั่งคุกเข่าบนคีย์บอร์ดแน่ๆ เลย”
“เป็นแม่ภาษาอะไรพิลึกคนจัง มีอย่างที่ไหนลงโทษให้เด็กนั่งคุกเข่าบนคีย์บอร์ด” ชิงหยาถอนหายใจออกมาด้วยความสงสาร
เย่ฮัวลุกขึ้นยืนพูดออกมาเบาๆ ว่า “ชิงหยา นี่ก็ดึกแล้วนะ เข้านอนกันได้แล้ว”
“เฮ้อ…” ชิงหยายกมือปิดปากหาว ก่อนที่จะเดินตามเย่ฮัวไปที่ห้องนอน
เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว ชิงหยูตงและเย่จีจี้ก็หันขวับมามองหน้ากัน
ชิงหยูตงยักคิ้วส่งสัญญาณ
เย่จีจี้เข้าใจความหมายโดยทันที
ทั้งสองคนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเร็วไว เมื่อตอนบ่าย เย่จีจี้กดสั่งซื้อเสื้อผ้าทางอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของเด็กผู้หญิง เสื้อผ้าสำหรับวัยรุ่นสาว เสื้อผ้าแนววับๆ แวมๆ ไม่ว่ามีเสื้อผ้าอะไรขายอยู่ เธอก็กดสั่งซื้อมาหมด และร้านค้าบางเจ้าก็จัดส่งถึงที่ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ตอนที่เย่ฮัวกลับมาถึงห้องนอน เขาพูดกับชิงหยาว่า “ต้องเปลี่ยนผ้าห่มกับผ้าปูเตียงแล้วนะ”
“ทำไมคะ มันไม่สะอาดเหรอ?” ชิงหยาถามด้วยความสงสัย
“ผมไม่ชอบให้มีคนอื่นมานอนด้วย” เย่ฮัวพึมพำออกมาแล้วนั่งลง
ชิงหยาไม่เข้าใจ มีใครคนอื่นนอกจากเขากับเธอมานอนบนเตียงนี้ด้วยเหรอ?
ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าชิงหยาจะคิดออกแล้ว แต่นั่นมันก็เป็นแค่ตุ๊กตาไม่ใช่หรือไง?
“รีบเปลี่ยนเข้าสิ”
“ได้เจ้าค่ะ เปลี่ยนก็เปลี่ยน…” ชิงหยาพูดด้วยความโกรธ
เมื่อเปลี่ยนผ้าห่มและผ้าปูที่นอนใหม่เสร็จแล้ว ชิงหยาก็ถอนหายใจออกมา “นายท่านคะ พอใจหรือยังเจ้าคะ”
เย่ฮัวมองไปที่เตียงและหันมามองเธอ “ผมจะนอนก่อนก็แล้วกัน ว่าแต่ตัวคุณยังมีกลิ่นกุ้งเผาติดอยู่เลยนะ”
“กำลังจะไปอาบน้ำอยู่อยู่พอดีเลยค่า” พูดจบ ชิงหยาก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก
เย่ฮัวบิดลำคอไล่ความเมื่อยขบ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดนอนและทิ้งตัวลงไปนอนแผ่หราบนเตียง โลกนี้ไม่มีอะไรสุขเท่าการได้นอนหลับเต็มอิ่มบนเตียงนอนนุ่มนิ่มอีกแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น ชิงหยาก็เดินกลับออกมาจากห้องน้ำด้วยเนื้อตัวที่สะอาดสะอ้านผ่องใส
เธอมองเย่ฮัวที่นอนอยู่บนเตียง แล้วถามออกมาเสียงดังว่า “ไม่อาบน้ำหรือคะคุณ?”
“ตอนกลับถึงบ้านผมก็อาบไปแล้วไง”
“ไปอาบอีกรอบเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ชิงหยาดึงมือเย่ฮัว ฉุดเขาให้ลุกขึ้น
เย่ฮัวทำหน้าบูด “คุณนี่ท่าจะป่วย”
ชิงหยายกมือปิดจมูก “โห ทั้งตัวมีแต่กลิ่นกุ้งเผา รีบไปเลยนะ”
เย่ฮัวได้แต่ถอนหายใจ ผู้หญิงนี่น่ารำคาญจริงๆ
ห้านาทีต่อมา เย่ฮัวก็เดินกลับออกมาจากห้องน้ำ ชิงหยาที่กำลังนอนจองตั๋วเครื่องบินอยู่บนเตียง หันมาถามด้วยความตกใจว่า “อาบเสร็จแล้วเหรอคะ?”
เย่ฮัวไม่พูดอะไร เขานอนลงบนเตียงและหันไปกอดชิงหยา
ใบหน้าของชิงหยาแดงซ่านด้วยความเขินอาย ช่วงหลังตาคนนี้ชักจะทะลึ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ ชิงหยาไม่ได้อยากจะอยู่ใกล้เขาเลย แต่พอมาตอนนี้ เธอกลับอยากจะอยู่กับเขาตลอด 24 ชั่วโมงเสียอย่างนั้น
ไม่มีสิ่งใดจะให้ความรู้สึกสบายใจและปลอดภัยได้เท่ากับอ้อมกอดของเย่ฮัวอีกแล้ว ถึงฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย ก็ไม่มีอะไรน่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“ผ้าห่มมันสั้นไปนะ” เย่ฮัวกระซิบขึ้น
ชิงหยาที่อยู่ในอ้อมกอดเขารู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเขาจะอ้อนเป็นเหมือนกันด้วย เห็นทีวันพรุ่งนี้พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นแน่
“คนบ้า” ชิงหยาตีแขนชายหนุ่มด้วยความเขินอาย ถึงแม้จะเป็นคู่สามีภรรยากันแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันอยู่ไม่มีผิด
เย่ฮัวไม่รู้ว่าภรรยาเป็นอะไรไป เขาพูดย้ำอีกครั้งว่า “ผ้าห่มมันสั้นเกินไป!”
“ฉันรู้แล้วค่ะ ไม่เห็นเป็นไรเลย”
เย่ฮัวไม่เข้าใจแล้วว่าชิงหยากำลังคิดอะไรอยู่ “ผมบอกว่าผ้าห่มมันสั้นเกินไป ผ้าห่มน่ะ ผ้าห่ม!”
เย่ฮัวยกเท้าที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมากระดิกดิ๊กๆ ให้เธอดูประกอบคำพูด
นั่นแหละชิงหยาถึงได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสามี เย่ฮัวไม่ได้จะอ้อนเธออย่างที่เข้าใจ ที่แท้เขาก็พูดถึงผ้าห่มจริงๆ แต่เธอกลับเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปเสียได้…
เย่ฮัวค่อยๆ ไล้มือลูบใบหน้าแดงๆ ของชิงหยา “คุณนี่คิดอะไรลามกจังเลย เพราะแบบนี้ไง เกิดชาติหน้าผมถึงได้อยากอยู่กับคุณอีก”
“ไม่มีทาง เกิดใหม่ชาติหน้าฉันก็ไม่อยากอยู่กับคุณแล้ว” ชิงหยาซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเย่ฮัวอย่างเอียงอาย
เย่ฮัวหัวเราะในลำคอและลูบไล้เส้นผมของเธอ รู้สึกว่าจะอย่างไรวันเวลาเหล่านี้ก็ไม่ได้น่าเบื่อเกินไปนัก
ผ่านไปไม่นาน ชิงหยาก็พูดขึ้นว่า “หลับหรือยังคะ?”
“มีอะไร” เย่ฮัวตอบ
“ฉันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับน่ะ…” เมื่อคิดว่ากำลังจะได้ไปถ่ายรูปแต่งงานแล้ว จิตใจของชิงหยาก็คิดอะไรวุ่นวายไปหมด เธอทั้งห่วงว่าถ่ายรูปออกมาแล้วตนเองจะสวยไหม แล้วจะให้เย่ฮัวสวมใส่ชุดแบบไหนดี
เย่ฮัวลูบหัวไหล่ชิงหยาเบาๆ ก่อนพูดว่า “คนเราต้องสงบจิตสงบใจก่อน ถึงจะหลับได้นะ”
“เย่ฮัว มานับแกะกันเถอะ”
“ทำอะไรเป็นเด็กไปได้!”
“น่านะ เร็วเข้าสิ ฉันจะได้นอนหลับไง ฉันจะเริ่มก่อนนะ แกะตัวที่หนึ่ง” ชิงหยาพูดพร้อมกับหลับตาลง
“แกะตัวที่สอง” เย่ฮัวช่วยนับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“แกะตัวที่สาม”
“แกะตัวที่สี่”
“แกะตัวอ้วน”
“แกะเนื้อแน่น”
“เนื้อลูกแกะ…” ชิงหยาพึมพำ
“เนื้อแกะย่าง” เย่ฮัวขมวดคิ้ว
“หม้อไฟเนื้อแกะ”
“ต้มแซ่บขาแกะ”
พูดไปพูดมา สองสามีภรรยาก็ลืมตาขึ้น ชิงหยาน้ำลายสอในขณะที่ยกมือลูบท้องของตนเอง “คุณคะ ฉันหิว…”
“ผมก็หิวเหมือนกัน”
ตอนแรกเย่ฮัวก็ไม่ได้หิวหรอก แต่นับแกะไปๆ มาๆ ตอนนี้ชักจะหิวขึ้นมาแล้ว
โลกนี้จะมีอะไรสำคัญกว่าการรับประทานอีกล่ะ? ทั้งสองคนไม่เสียเวลาเปลี่ยนชุดนอน รีบเดินออกมาจากห้องทันที แต่ในจังหวะที่เปิดประตูออกมา พวกเขากลับพบนักย่องเบาสองคนอย่างไม่คาดคิด
“พวกเธอจะทำอะไร!” เย่ฮัวคำรามเสียงดัง
ชิงหยูตงและเย่จีจี้ที่กำลังก้มตัวค่อยๆ ย่องจะก้าวเดินออกไป หยุดชะงักโดยทันที ท่าทางของพวกเธอว่าแปลกแล้ว แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ยิ่งแปลกกว่าหลายเท่า
“ทำไมถึงลุกขึ้นมาแต่งตัวแบบนี้ดึกๆ ดื่นๆ จะแอบหนีไปไหนกันฮะ?” ชิงหยาถามออกมาด้วยความสงสัย
ชิงหยูตงรีบตอบทันทีว่า “จีจี้บอกว่าเมื่อเย็นกินข้าวไปแค่หน่อยเดียวเอง ฉันก็เลยจะพาน้องออกไปหาอะไรกินข้างนอกน่ะ”
“งั้นก็พอดีเลย พวกเราไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ” ชิงหยาทำอะไรไม่ได้นอกจากส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
ชิงหยูตงและเย่จีจี้คอตกด้วยความเศร้า ความจริงพวกเธอตั้งใจจะแอบออกไปเที่ยวผับ แต่ตอนที่กำลังจะเดินลงบันได เย่ฮัวกลับเดินมาพบเข้าเสียก่อน ช่างโชคร้ายจริงๆ
ในตอนนี้ ยังมีร้านหม้อไฟแห่งหนึ่งเปิดอยู่ไม่ห่างจากบาร์ของพวกเขาเท่าไหร่
นี่คือการผสมผสานที่แปลกประหลาดเล็กน้อย ผู้ใหญ่สองคนที่เดินนำหน้าสวมใส่ชุดนอนและรองเท้าแตะ ส่วนอีกสองคนที่เดินตามหลังแต่งตัวแบบจัดหนักจัดเต็ม และหนึ่งในนั้นเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย ทุกคนที่พบเห็นต่างก็ไม่เข้าใจว่าทั้งสี่คนนี้มาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
GG:บทที่ 168 – คู่รักปีศาจ
ถึงแม้จะเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว แต่ก็ยังมีคนอยู่ในร้านหม้อไฟเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนมีหลายคนที่จะหิวจนนอนไม่หลับเหมือนชิงหยา สังเกตได้จากว่าพวกเขาก็สวมใส่ชุดนอนมารับประทานอาหารเช่นเดียวกัน
เมื่อทั้งสี่คนเดินผ่านประตูร้านเข้าไปด้านใน พวกเขาก็กลายเป็นจุดสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะชิงหยูตงกับเย่จีจี้ที่คนนึงเป็นวัยรุ่นสาว ส่วนอีกคนยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ชุดกระโปรงผ้าไหมสีดำที่พวกเธอสวมใส่ ทำให้ใครหลายคนต้องมองเหลียวหลังเลยทีเดียว
ไม่ต้องพูดถึงว่าช่วงขาของชิงหยูตงเรียวยาวน่ามองขนาดไหน นอกจากนี้ ความน่ารักของเย่จีจี้ยังมีอานุภาพรุนแรงถึงชีวิต หลังจากนี้อีกไม่เกินสามปี เด็กหญิงตัวน้อยก็จะกลายเป็นเด็กสาวพราวเสน่ห์อย่างแน่นอน
ทั้งสี่คนเดินตรงไปยังบันไดที่ทอดนำไปสู่ชั้นสอง คราวก่อนที่ต้องนั่งรับประทานในห้องโถงรวมก็เพราะว่าชั้นบนไม่มีที่ว่างพอดี
“เอ๊ะ นั่นมันสองคนนั้นนี่” ชิงหยูตงพูดเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
เมื่อเย่ฮัวและชิงหยาหันไปมอง ก็พบชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหาร พลางพูดคุยดื่มกินหัวเราะเฮฮา แต่ชายหนุ่มคนนี้คือคนที่ถูกทิ้งเมื่อวันก่อนไม่ใช่หรือ? ส่วนฝ่ายหญิงก็เป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลร่ำรวย นี่เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่กี่วันหลังจากที่พวกเขาได้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันเท่านั้น
หัวใจของชิงหยูตงรู้สึกคันยิบยับอย่างประหลาด ชิงหยาดึงน้องสาวให้ออกเดินต่อ ไม่ให้สนใจเรื่องความสัมพันธ์ของผู้อื่น
ใบหน้าที่น่ารักน่าชังของเย่จีจี้ปรากฏความสงสัยขึ้นมาทันที
ในขณะที่เย่ฮัวและคนอื่นๆ กำลังรับประทานหม้อไฟ จิ่วเย่ก็มีแขกอยู่ที่โรงหมักไวน์ของเขา ไม่สิ ต้องพูดว่ามีเจ้านายอีกคนหนึ่งมาหาเขาต่างหาก…
คราวนี้ จิ่วเย่หมอบคํานับลงกับพื้น เบื้องหน้าของเขาเป็นมวลพลังงานสีดำกลุ่มใหญ่ ที่กำลังหมุนวนอยู่กับที่เหมือนพายุสลาตัน
“นายท่าน ผมได้ยินมาว่าท่านโจวเสียชีวิตแล้ว แต่สาเหตุการตายยังคงไม่มีใครทราบ” จิ่วเย่รายงานด้วยความเศร้า ถึงแม้เจ้านายของเขาคนหนึ่งจะตายไป แต่เขากลับมีเจ้านายเพิ่มขึ้นมาอีกเสียได้
มีเสียงพูดดังออกมาจากมวลพลังงานสีดำนั้น “ตายก็คือตาย ถึงข้าอยากจะให้เขาฆ่าคนได้มากกว่านี้ก็เถอะ”
จิ่วเย่รู้สึกได้ว่าเจ้านายคนที่เขากำลังพบอยู่นี้ ไม่สะดวกต่อการเปิดเผยตัวตน จึงมีความเป็นไปได้ว่าตัวตนจริงอาจเป็นคนมีชื่อเสียง
“วันพรุ่งนี้ไปที่ซานย่า จะมีคนบอกเจ้าเองว่าเจ้าควรทำอะไร”
“รับทราบครับ!”
หลังจากนั้น มวลพลังงานสีดำก็หายวับไป จิ่วเย่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถอนหายใจ
คิดไปแล้วก็สงสารตัวเอง เจ้านายคนหนึ่งของเขาจากลาอย่างไม่มีวันกลับ แต่ตัวเขาเองก็ยังมีงานให้ทำล้นมืออยู่เช่นเดิม
จิ่วเย่หยิบสมาร์ทโฟนไทเทเนียมยี่ห้อ 8848 ออกมาเปิดแอปวีแชท ค้นหารายชื่อผู้ติดต่อและพิมพ์ข้อความลงไป
“นายครับ มวลพลังงานสีดำนั่น อยากให้ผมเดินทางไปซานย่าวันพรุ่งนี้” หลังจากกดส่งข้อความไปแล้ว จิ่วเย่ก็หยิบซิการ์ออกมาตัดหัว ก่อนจะนั่งเอนหลังพิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์ รอให้อีกฝ่ายตอบข้อความกลับมา
ติ๊ง
จิ่วเย่เปิดดูข้อความทันที
“ทำตามที่มันบอก แล้วรอฟังคำสั่งจากฉัน”
“รับทราบครับ!”
จิ่วเย่ยิ้มออกมาแล้ว เจ้านายของเขาเป็นพวกที่รับมือได้ไม่ยาก คนหัวดีอย่างจิ่วเย่จึงเอาตัวรอดได้เสมอ แต่เขาก็นึกสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าอีกไม่นานต่อจากนี้ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
…
ในสวนสาธารณะของเมืองหลงอัน เสาไฟฟ้าข้างถนนดับๆ ติดๆ มีเงาร่างสองเงานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว เวลาที่เดินเข้าไปใกล้ๆ ก็จะได้ยินเสียงปืนระเบิดลูกกระสุนดังขึ้นไม่หยุด
เปรี้ยงๆๆ
ทั้งสองคนถูกไล่ออกมาจากห้องพักเพราะไม่จ่ายค่าเช่า จึงต้องมีอันมานอนอยู่ในสวนสาธารณะ พร้อมกับตั้งปณิธานว่าจะทำงานให้หนักขึ้น
ผู้วิเศษแห่งความตายและเจ้าสำนักฟ่างถือโทรศัพท์อยู่ในมือคนละเครื่อง ข้างกายของพวกเขาคือพาวเวอร์แบงก์ ทั้งสองคนกำลังกดนิ้วบนหน้าจออย่างเอาเป็นเอาตาย คล้ายกับว่าโทรศัพท์มือถือในมือเป็นศัตรูอย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้นเอง หน้าจอโทรศัพท์มือถือของผู้วิเศษแห่งความตายแสดงข้อความแจ้งเตือนว่าแบตเตอรี่อ่อน ผู้วิเศษแห่งความตายหยิบพาวเวอร์แบงก์ของตนเองขึ้นมาดูทันที และพบว่าพาวเวอร์แบงก์ก็แบตหมดเช่นกัน
เขารีบส่งข้อความวีแชทไปหาเจ้าสำนักฟ่าง
หลังจากที่อ่านข้อความของผู้วิเศษแห่งความตายแล้ว เจ้าสำนักฟ่างก็หัวเราะเยาะ อยากจะชาร์จแบตโทรศัพท์งั้นเหรอ ไปลงนรกซะ!
เธออุตส่าห์โกหกตัวเองว่านี่คือโชคชะตาของชีวิต แล้วเป็นไงล่ะ สุดท้ายต้องมานอนข้างถนนอย่างนี้!
มิหนำซ้ำ เจ้าสารเลวนี่ก็นำเงินค่าเช่าห้องของเธอไปใช้หมดแล้วด้วย
เจ้าสำนักฟ่างพิมพ์ตอบกลับไปว่า : จ่ายเงินคืนมาก่อนสิ!
ผู้วิเศษแห่งความตายพิมพ์ตอบกลับไปทันที : ถ้าเจ้าไม่เอาพาวเวอร์แบงก์มาให้ข้า แล้วข้าจะทำงานได้อย่างไร? ถ้าข้าไม่ได้ทำงาน เจ้าก็ไม่ได้เงินคืน
ดูเหมือนนี่จะเป็นเหตุผลที่ดีทีเดียว แต่เจ้าสำนักฟ่างไม่ใช่ตัวโง่งม เธอกอดพาวเวอร์แบงก์เอาไว้แน่นในอ้อมแขน หลังจากพิมพ์ตอบกลับไป :จ่ายเงินคืนมา เอาชีวิตของฉันคืนมา แล้วก็คืนความบริสุทธิ์ของฉันมาด้วย!
ผู้วิเศษแห่งความตายตอบกลับ : อย่าบังคับให้ข้าต้องทำรุนแรง!
เจ้าสำนักฟ่างไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย : ลองดูสิ!
ผู้วิเศษแห่งความตายวางโทรศัพท์มือถือและพาวเวอร์แบงก์ที่แบตหมดลงไว้ข้างตัว ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปกดเจ้าสำนักฟ่างเอนราบไปกับม้านั่งตัวยาว ภาพจึงออกมา…เหมือนคู่รักกำลังพลอดรักกันอยู่
“ไอ้โครงกระดูกผี ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้นะ ไอ้คนชั่ว ฉันเจ็บนะ!” เจ้าสำนักฟ่างยันมือเข้ากับกระดูกสันอกของผู้วิเศษแห่งความตาย แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะสู้แรงฝ่ายตรงข้าม ที่เป็นผู้วิเศษแห่งความตายได้อย่างไร
“เคี๊ยะๆๆ”
“นี่!”
จะให้หรือไม่ให้!
ถึงแม้เจ้าสำนักฟ่างจะไม่เข้าใจว่าผู้วิเศษแห่งความตายพูดอะไรอยู่ แต่เธอก็พอจะรับรู้ความหมายได้ไม่ยาก “ไม่! อย่ามายุ่งกับฉัน!”
ผู้วิเศษแห่งความตายเอื้อมมือออกมาจะหยิบพาวเวอร์แบงก์ แต่ดูเหมือนจะหยิบผิดไปเล็กน้อย
ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดชะงักไปชั่วครู่
ผู้วิเศษแห่งความตายรู้สึกได้ว่าในมือของเขาเป็นก้อนเนื้อเด้งดี๋ง จึงลองบีบดูอีกทีให้แน่ใจ
เจ้าสำนักฟ่างเบิกตาโตจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ นี่เธอกำลังถูกโครงกระดูกผีลวนลามอยู่ใช่ไหมเนี่ย
“ไอ้โครงกระดูกหน้าไม่อาย วันนี้ฉันจะฆ่าแก!”
เจ้าสำนักฟ่างพลิกตัวผลักผู้วิเศษแห่งความตายตกจากม้านั่ง ผู้วิเศษแห่งความตายตอบโต้อย่างรวดเร็ว ด้วยการยื่นมือออกไปหาเธออีกครั้ง
สีหน้าของเจ้าสำนักฟ่างเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อเห็นว่ามือของอีกฝ่ายหนึ่งกำลังบีบจับหน้าอกของเธออยู่
“หยุดก่อน! ในค่ำคืนที่มืดมิด สายลมพัดแรง ชายหญิงต่างเสาะแสวงหาความลุ่มหลง อันตัวข้าคงทำได้เพียง ช่วยเหลือบุรุษผู้บริสุทธิ์คนนี้เท่านั้น” ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีเหลืองผู้หนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ บนแผ่นหลังของเขาสะพายดาบมาเล่มหนึ่ง และในมือก็มีผ้ายันต์อีกหนึ่งแผ่น
เขานำผ้ายันต์แผ่นนั้น แปะเข้ากับหน้าผากของเจ้าสำนักฟ่างทันที
เจ้าสำนักฟ่างตัวสั่นสะท้านด้วยความรุนแรง ลักษณะกำลังเดือดดาลอยู่ไม่น้อย
แต่โชคร้ายที่เธอไม่ได้ตัวแข็งทื่ออย่างที่อีกฝ่ายคิดเอาไว้
ชายหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองยืนจ้องมองเจ้าสำนักฟ่างดึงผ้ายันต์ออกจากหน้าผากมาฉีกทิ้งหน้าตาเฉย เขาถึงกับพูดออกมาด้วยความตกตะลึงว่า “เหลือเชื่อ! แต่มันต้องมีทางอื่นสิที่จะจัดการเจ้าได้”
“แกพูดบ้าบออะไรเนี่ย!” เจ้าสำนักฟ่างกรีดร้องออกมาเสียงดัง รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกาย
ผู้วิเศษแห่งความตายที่นั่งอยู่บนพื้น แอบเอื้อมมือหยิบพาวเวอร์แบงก์ของเจ้าสำนักฟ่าง มาเสียงเข้ากับโทรศัพท์มือถือของเขาเงียบๆ แล้วเสียงยิงปืนก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง เปรี้ยงๆๆ…
ชายหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองไม่คิดเลยว่า วิญญาณร้ายตนนี้จะมีพลังแก่กล้าจนไม่กลัวผ้ายันต์ของเขา ทำให้ต้องชักดาบออกมาจากแผ่นหลัง อย่างน้อยเขาก็อยู่ในแวดวงคนจับผี จะมาพ่ายแพ้ให้กับวิญญาณข้างถนนก็ให้รู้ไป
ควับ
“เจ้าผีร้าย จงยอมแพ้ซะดีๆ…”
เจ้าสำนักฟ่างเดือดดาลถึงขีดสุด นอกจากทุกคนจะเข้าใจว่าเธอมีความสัมพันธ์กับเจ้าโครงกระดูกผีกันไปหมดแล้ว ตอนนี้แม้แต่นักพรตคนนี้ ก็ยังเข้าใจว่าเธอจะทำร้ายเจ้าโครงกระดูกนั่นอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโหจริงๆ!
“ฉันจะฆ่าแก!” เจ้าสำนักฟ่างคำรามออกมาอย่างดุร้าย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นักพรตหนุ่มจะเข้าใจว่าเธอเป็นวิญญาณร้ายคอยรังแกผู้อื่น
ชายหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองจ้องมองเจ้าสำนักฟ่างด้วยแววตาอำมหิตไม่แพ้กัน การจะเข้าสู่แวดวงคนจับผีไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่เก่งจริง เขาก็คงเสียชีวิตไปตั้งแต่ปีแรกแล้ว
แต่ผ่านไปอีกอึดใจใหญ่ นักพรตหนุ่มไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด หรือว่าแท้จริงแล้วความตายไม่มีความเจ็บปวด?
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะฆ่าไอ้นักพรตปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้ซะ!”
ในขณะนี้ ผู้วิเศษแห่งความตายกำลังโอบแขนกอดรอบเอวของเจ้าสำนักฟ่าง ซึ่งพยายามจะพุ่งเข้าใส่นักพรตหนุ่มด้วยความโกรธแค้นเกินพิกัด
นักพรตหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอย่างเชื่องช้า แสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบใบหน้าของผู้วิเศษแห่งความตาย นักพรตหนุ่มถึงกับเบิกตาโตขึ้นทันที
“พวกเจ้า…พวกเจ้าคือคู่รักปีศาจ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น