(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย ตอนพิเศษ

ตอนพิเศษ 1 ถึงกระนั้นก็ตาม 


  


ณ ส่วนด้านในสุดของตำหนักคอนรยุง เป็นห้องนอนขนาดเล็ก แต่ตกแต่งสะอาดสะอ้าน ยามนี้มีบุรุษสองคนอยู่ภายใน ผู้หนึ่งนอนตัวสั่นไม่หยุดอยู่บนเตียง ทั้งส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างทรมาน ด้านข้างมีบุรุษอีกคนกำลังขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยขณะลากเก้าอี้มาวางแล้วนั่งลง คนผู้นั้นคือทันยองนั่นเอง ส่วนบุรุษที่นอนทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดอยู่บนเตียงก็คือ ชังฮโย 


 


 


ทันยองลากโต๊ะมาวางด้านข้างเตียงนอนตั้งแต่แรกแล้ว บนโต๊ะจัดวางอย่างเป็นระเบียบด้วยผ้าขาว สมุนไพรบดละเอียด มีดสั้น ตะเกียงและอ่างใส่น้ำ ทั้งหมดนี้เขาล้วนขอมาจากเหล่านางกำนัลและขันที 


 


 


ชังฮโยหลับตาอยู่ ใบหน้าซีดขาวเสียจนบอกว่าเป็นซากศพก็ย่อมได้ ไหล่ข้างหนึ่งที่ควรต้องมีท่อนแขน กลับพันด้วยผ้าสีดำแทน ทันยองผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา คิ้วขมวดมุ่นตั้งแต่เมื่อครู่ไม่คิดจะคลายลง เพราะอาการของชังฮโยยังไม่สู้ดีนัก เวลานี้อีกฝ่ายยังคงมีชีวิต แต่ก็อยู่ในสภาพไร้สติ 


 


 


“กระโดดออกมาเช่นนั้นทำไมกัน” 


 


 


ร่างบางพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายลำคอตีบตัน ถึงอย่างไรก็จับมีดสั้นขึ้นมา ก่อนจะลนใบมีดเหนือเปลวไฟจากตะเกียงอย่างตั้งใจ หลังจากลองประเมินโลหิตที่ไหลรินและเวลาที่พ้นผ่าน หากไม่รีบจัดการในทันที คนตรงหน้าคงทนได้อีกไม่เกินสองเค่อ[1] แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงส่งหมอมาให้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าหมอจะสามารถรักษาผู้ไร้สตินี้ได้ทันท่วงที 


 


 


 


 


 


‘ข้าผิดเอง แต่คงจะปล่อยเจ้าไปเช่นนี้ไม่ได้’ 


 


 


ชังฮโยกอดเขาแน่นด้วยแขนข้างเดียวจนรู้สึกเจ็บแปลบ สัมผัสนั้นยังหลงเหลืออยู่บนกาย รู้สึกเหมือนยังคงถูกโอบกอดอยู่ อีกทั้งกลิ่นโลหิตคาวคลุ้งจากอีกฝ่ายยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก และน้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นในโสตประสาทอีกครา เสียงที่ได้ยินอย่างชัดเจนท่ามกลางความอึกทึกวุ่นวายรอบกาย 


 


 


‘ข้ารักเจ้า ยองอา’ 


 


 


 


 


 


“ช่างน่าตายนัก” 


 


 


ทันยองขบฟันแน่นพลางสบถออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ใบมีดที่กำลังขยับเคลื่อนเหนือเปลวไฟตะเกียงกลับสั่นไหว ถ้าหากมือยังสั่นเทาอยู่เช่นนี้ ก็คงไม่อาจจัดการได้อย่างทันที ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย ขณะที่เขาเป็นเช่นนี้ เวลาของชีวิตชังฮโยก็กำลังค่อยๆ ถดถอยลงเรื่อยๆ 


 


 


คนตัวเล็กจึงวางมีดสั้นลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะกำและคลายมือออก พยายามบังคับมือสั่นเทาให้สงบลง เพราะมั่นใจได้เพียงมือขวาเท่านั้น เนื่องจากมือซ้ายพันผ้าพันแผลเอาไว้ทำให้ไม่สามารถใช้มีดสั้นได้ถนัด 


 


 


ทันทีที่อาการสั่นไหวลดลงเล็กน้อย ทันยองก็หยิบมีดสั้นขึ้นมาลนเปลวไฟอีกครา จากนั้นก็ขยับมีดสั้นเข้าไปใกล้แขนของคนเจ็บทันที ด้วยเห็นว่าอาการสั่นสะท้านของชังฮโยค่อยๆ ลดน้อยลง จึงไม่อาจล่าช้าไปมากกว่านี้แล้ว 


 


 


ทันยองกรีดผ้าที่ตนเองพันให้อย่างลวกๆ ออกอย่างระมัดระวัง และไม่อาจใช้มือซ้ายช่วยได้อย่างถนัดนักจึงต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง เพราะหากเผลอทำพลาดจนใบมีดกรีดลึกเกินไป หรือหากขยับแรงมากไป ก็อาจจะทำให้เกิดแผลบนส่วนอื่นได้ 


 


 


เขาจัดการกรีดผ้าออกอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง ก่อนจะวางมีดสั้นลงบนโต๊ะแล้วดึงเศษผ้าที่ติดกับผิวเนื้อเพราะหยาดโลหิตออก บาดแผลชุ่มด้วยสมุนไพรที่ตนโปะไว้ นับว่าเป็นที่น่าพอใจ ไม่ได้มีโลหิตไหลซึมจนชุ่มโชก ทว่าแขนข้างนั้นถูกตัดออกไป โลหิตจึงไม่ยอมหยุดไหลจนสนิทเสียที ทันยองทำสีหน้าเกร็งเครียดราวกับเป็นความเจ็บปวดของตน ระหว่างนั้นก็หยิบท่อนไม้ขนาดความหนาเท่าสองนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งท่อน พันด้วยผ้าพันแผล จากนั้นก็เปิดปากคนไม่ได้สติให้กัดมันเอาไว้ ด้วยเกรงว่าอาจจะกัดลิ้นเอาได้ 


 


 


“กัดฟันและอดทนเอาไว้นะ เพราะมันเกิดจากตัวพี่เองทั้งนั้น” 


 


 


บ่นพึมพำกับผู้ไม่มีสติรับรู้ และรู้ดีว่าการเอ่ยเช่นนี้ก็เป็นเพียงการกระทำอันน่าขันเท่านั้น ทว่ายามนี้จะไม่เอ่ยก็อดไม่ได้ ถ้อยคำจากปากของทันยอง คล้ายต้องการกล่าวย้ำกับตนเองด้วยเช่นกัน 


 


 


“ช่างเหมือนคนโง่เขลาไร้ปัญญา” 


 


 


เขาพร่ำบ่นออกมาอีกครา เนื่องจากชังฮโยกระโดดออกมาบังตนเอาไว้จนบาดเจ็บหนัก ถึงขึ้นต้องเสียแขนข้างหนึ่งไป ความคิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะตายแทนตนแวบผ่านเข้ามาในห้วงความคิด เหล่าคนถูกตัดแขนหรือขาเกินครึ่งล้วนเสียชีวิตด้วยอาการเสียเลือดมาก ทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนสิ้นลม หรือไม่ก็หมดสติระหว่างรักษาและไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ดังนั้นจึงไม่ผิดที่คิดว่าชังฮโยตั้งใจจะสละชีวิต แต่เขาไม่สามารถยอมรับและลบเลือนหนี้บุญคุณเช่นนี้ได้ ความรู้สึกของตัวเขาไม่ยินยอมกับสิ่งนั้น 


 


 


ทันยองกำจัดเศษผ้าและเศษด้ายที่ติดบาดแผลอยู่ออกด้วยมือบ้าง ด้วยมีดสั้นบ้าง ก่อนจะฉีกผ้าพันแผลชุบลงในอ่างน้ำ แล้วเริ่มเช็ดทำความสะอาดบาดแผล จนเปื้อนด้วยโลหิตปะปนยาสมุนไพร 


 


 


พอได้ลองทำความสะอาดบาดแผลเช่นนั้น จึงเห็นชัดว่าโลหิตไหลทะลักออกมามากมายเพียงใด เขากำและคลายมือสั่นเทาซ้ำๆ อีกคราหนึ่ง จากนั้นก็หยิบโลหะนาบขึ้นมาลนเปลวไฟจากตะเกียง มันค่อยๆ ร้อนขึ้นจนเริ่มมีประกายไฟ ทันยองจ้องมองสีของโลหะนาบนิ่ง และเมื่อเห็นว่าเริ่มร้อนได้ที่แล้วจึงยกออกจากเปลวไฟ แล้วกดโลหะนาบร้อนได้ที่ลงบนช่วงไหล่ของชังฮโยอย่างไม่ลังเล 


 


 


ยามนั้น ดวงตาของคนไม่ได้สติกลับเบิกโพลงขึ้น อีกฝ่ายหวีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดพลางดีดดิ้นไปมา ท่อนไม้ที่คาบในปากถูกฟันขบกัดเสียจนแทบแตกหัก 


 


 


“อื้อออ อึก!” 


 


 


ทันยองลุกขึ้นแล้วพาดขาทับบนร่างกายกำยำ กดตัวชังฮโยไว้แน่น กลิ่นเนื้อและส่วนอื่นๆ ไหม้คละคลุ้งไปทั่วห้อง ก่อนจะละโลหะนาบออกจากบาดแผลแล้วเลื่อนมันไปลนเปลวไฟอีกครา ความเจ็บปวดทำให้ชังฮโยตาเหลือกขาว เนื้อตัวสั่นสะท้าน ขอบตาของทันยองพลันแดงก่ำ อีกทั้งดวงตายังปรากฏน้ำใสๆ เอ่อคลอ ทว่าเจ้าตัวกลับกัดฟันและกลั้นน้ำตาเอาไว้ 


 


 


หากปล่อยน้ำตาให้รินไหล แล้วใครจะรักษาคนผู้นี้ได้เล่า 


 


 


ร่างบางกัดฟันแน่นและเอ่ยออกมาอย่างอดกลั้น 


 


 


“กัดฟันไว้” 


 


 


“อื้ออออออออ!!” 


 


 


ทันทีที่เอ่ยเช่นนี้ มือก็ขยับโลหะนาบกดทาบลงบนช่วงไหล่กว้างอีกหน ร่างกายชังฮโยกระตุกเกร็งสั่นด้วยความเจ็บปวดและทรุดฮวบลงอย่างไม่อาจทนได้อีกต่อไป ทันยองคิดว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้สติจะดีเสียกว่า เพราะบาดแผลใหญ่ ส่วนโลหะนาบมีขนาดเล็ก ดังนั้นจึงต้องทำซ้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง หากตอนนี้หมดสติไปเสีย ก็จะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น 


 


 


ร่างบางลนโลหะนาบจัดการรักษาบาดแผลจนเสร็จสิ้น กลิ่นเหม็นสาบเนื้อและผิวหนังมนุษย์ถูกเผาไหม้ทำให้รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา ทว่าเขากลับทำได้เพียงขบริมฝีปากอดกลั้นอาการคลื่นไส้ 


 


 


ตอนนี้เหลือเพียงการห้ามเลือดที่ยังไม่เสร็จสิ้น เขาฉีกผ้าพันแผลชุ่มน้ำ ก่อนจะป้ายยาลงไปแล้วกดซับมันลงบนบาดแผลซ้ำๆ ผสมสมุนไพรที่มีอยู่เข้าด้วยกันแล้วป้ายลงบนบาดแผลอีกครา จากนั้นก็พันด้วยผ้าสะอาด 


 


 


การจัดการทุกอย่างด้วยมือเพียงข้างเดียวนับว่าเกินกำลังอยู่บ้าง ทว่าทันยองก็ออกแรงจัดการจนเสร็จสิ้นเพียงลำพัง 


 


 


เขาปาดเช็ดหยาดเหงื่อที่ไหลซึมจนเต็มหน้าผาก ทั้งใช้ผ้าพันแผลที่เหลือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของชังฮโยด้วย เจ้าของใบหน้าหวานจ้องมองคนหมดสติด้วยความสับสน ก่อนจะเริ่มต้นเรื่องราวเช่นนี้ เขาบอกเล่าแบ่งปันเรื่องราวระหว่างตนกับทันยอบแก่ชังฮโยไปแล้ว ทว่าเหมือนจะยังคงหลงเหลือคำที่ต้องการกล่าวกับอีกฝ่ายอยู่ถึงมีสีหน้าเช่นนี้ 


 


 


แต่กลับทำเพียงขยับเผยอริมฝีปากเท่านั้น และไม่ได้กล่าวคำใดออกมาคล้ายยังไม่อาจเรียบเรียงได้ แม้กระทั่งจะพูดกับตนเองก็ตาม 


 


 


ทันยองยืนอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างยากลำบาก 


 


 


“ไถ่โทษ ด้วยการมีชีวิตอยู่เถิด” 


 


 


เขายืนอยู่หน้าประตู แต่ขากลับไม่ขยับก้าวออกไปด้านนอก ชังฮโยคือผู้ลงมือฆ่าทันยอบ แต่ก็เป็นผู้ช่วยชีวิตตนด้วยเช่นกัน เขาปรารถนาต่อความตาย แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ และเกิดคำถามขึ้นมาว่าแท้จริงแล้วปรารถนาที่จะตายจริงๆ หรือ หากว่าไม่ติดค้างสิ่งใดในชีวิต จะมีเหตุผลให้จบชีวิตลงด้วยวิธีไม่แน่นอนเช่นนั้นหรือ นั่นเป็นเพียงหนทางที่เลือกเพื่อมอบความเจ็บปวดให้อีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายมอบแก่ตนไม่ใช่หรอกหรือ คิดได้ดังนั้นจึงหันเหสายตาไปยังผู้สูญเสียแขนจากการช่วยตนเองเอาไว้ 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเช่นนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงดังมาจากอีกฝั่งของประตู 


 


 


“หมอหลวงมาแล้วขอรับ” 


 


 


“ครับ ขอรับ!” 


 


 


ทันยองตอบรับอย่างร้อนรน เมื่อนึกได้ถึงรับสั่งของฝ่าบาทว่าจะส่งหมอมาดูอาการให้ แต่ไม่ทันคิดว่าพระองค์จะส่งท่านหมอหลวงมา ก่อนจะถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ประตูก็ค่อยๆ เปิดออก โดยมีหมอหลวงก้าวเข้ามาด้านใน 


 


 


“มาแล้วหรือขอรับ” 


 


 


เขาค้อมตัวลงแสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายทันที หมอหลวงขยับไปทางเตียงนอนตามรับสั่งของฝ่าบาทว่าให้มารักษาผู้ป่วยที่นี่อย่างเอาใจใส่ 


 


 


“บอกอาการของผู้ป่วยมาเถิด” 


 


 


“อันที่จริงด้วยเหตุการณ์คับขัน ข้าน้อยจึงจัดการไปแล้วขอรับ” 


 


 


ทันยองยืนอยู่ข้างๆ หมอหลวงด้านหน้าเตียงนอน จากนั้นก็อธิบายทุกอย่างที่ตนเพิ่งกระทำ เนื่องจากเลือดไหลจากบาดแผลไม่หยุดจึงใช้โลหะนาบห้ามเลือด ทั้งยังใส่ยาและพันแผลแล้ว เมื่อได้รับฟังเช่นนั้น หมอหลวงก็ตบบ่าของทันยองอย่างแผ่วเบา 


 


 


“ลำบากเจ้าแล้ว ข้าคงไม่จำเป็นต้องแกะออกมาอีก พรุ่งนี้ค่อยมาใส่ยาแล้วตรวจดูอีกทีเป็นพอ” 


 


 


“ขอรับ ขอบพระคุณท่านหมอ” 


 


 


“เรื่องนั่นช่างมันเถอะ ส่งมือของเจ้ามาสิ” 


 


 


“ขอรับ?” 


 


 


“ได้ยินว่ามือเจ้าเองก็ได้รับบาดเจ็บ ตนเองก็ไม่อาจจัดการรักษาแผลของตนได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้นเร่งส่งมือมาเถิด” 


 


 


คนตัวเล็กลังเลใจก่อนจะยื่นมือซ้ายให้อีกฝ่าย หมอหลวงหยิบมีดสั้นที่ทันยองใช้งานเมื่อครู่ขึ้นมา ขยับลนใบมีดเหนือเปลวไฟตะเกียง แล้วตัดผ้าพันมือออก หลังจากปลดผ้าออก กลิ่นหนองเหม็นเน่าก็คลุ้งออกมาทันที หมอหลวงกระเดาะลิ้นอย่างคาดคิดไว้แล้วว่าย่อมเป็นเช่นนั้น ก่อนจะกดมือข้างที่สูญสิ้นนิ้วมือไปสองนิ้วลงในอ่างน้ำอย่างไม่ปรานี 


 


 


เรียวคิ้วของทันยองขมวดมุ่น พร้อมเสียงครางเจ็บปวดเล็ดลอดออกมาจากไรฟันที่ขบกัดแน่น น้ำเย็นลงพอสมควรแล้ว แต่ยังคงอุ่นๆ อยู่สร้างความเจ็บปวดคล้ายกำลังลวกบาดแผล 


 


 


 


 


 


[1] 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที

 

 

 


ตอนพิเศษ 1-2 ถึงกระนั้นก็ตาม

 

ตอนพิเศษ 1-2 ถึงกระนั้นก็ตาม

 


ดั่งคำของหมอหลวง ทันยองไม่ได้จัดการอะไรกับบาดแผลของตนเลย ทั้งๆ ที่ต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลและทายาทุกๆ วัน ต้องทำให้อากาศไหลเวียน แต่ที่ผ่านมาเขาไม่มีเวลาว่างจึงเปลี่ยนผ้าพันแผลเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น สัมผัสถึงความอับร้อน ความเจ็บแสบและอาการคัน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ อีกทั้งยังรู้สึกยุบยิบจากบริเวณโดนตัดทิ้งตั้งแต่วันสองวันก่อน 


 


 


เขามองบรรดาแมลงสีขาวที่ลอยคว้างอยู่ในน้ำจึงทราบสาเหตุของอาการยุบยิบ เนื่องจากบาดแผลเน่าเปื่อยจนก่อให้เกิดตัวอ่อนของหนอน หมอหลวงใช้มือขัดขยี้ตัวอ่อนที่ติดแน่นอยู่กับบาดแผลออกอย่างไม่ลังเล ความเจ็บปวดนั้นทำให้ทันยองต้องกัดฟันแน่น 


 


 


ทำการล้างบาดแผลเช่นนั้นก่อนจะนำมือขึ้นมาจากน้ำ เช็ดให้แห้งด้วยผ้าพันแผลพร้อมกับเอ่ยตำหนิคนเจ็บ 


 


 


“เกือบจะได้ตัดแขนทิ้งเสียแล้ว พันแผลแน่นเช่นนั้นไม่ได้หรอกนะ อย่างน้อยก็ต้องให้ถูกลมเสียบ้างวันละครั้ง ไม่สิ วันละสองครั้ง ต้องหมั่นทายาด้วย” 


 


 


“ทราบแล้วขอรับ” 


 


 


“ทราบแล้วยังเป็นเช่นนี้หรือ” 


 


 


“ข้าไม่มีเวลาว่างเลย แต่ต่อไปจะคอยดูแลเป็นอย่างดีขอรับ” 


 


 


เมื่อได้ฟังคำตอบของทันยอง หมอหลวงก็ไม่กล่าวอะไรเสริมอีก แต่ทายาบนบาดแผลและช่วยพันผ้าพันแผลให้โดยไม่รัดแน่นนัก จากนั้นก็เอ่ยว่าประเดี๋ยวจะส่งยาต้มมาให้ ร่างบางจึงค้อมคำนับอีกฝ่ายและกล่าวขอบคุณ 


 


 


หลังจากหมอหลวงกลับไปแล้ว ทันยองก็เลือกจะนั่งลงข้างๆ เตียงของชังฮโยแทนการก้าวออกจากห้องนี้ เขานั่งลงบนเก้าอี้พลางเฝ้ามองใบหน้าของผู้ที่ยังไม่ได้สติเช่นเดิม เลือดไม่ไหลซึมออกมาแล้ว ดังนั้นยามนี้จึงเหลือเพียงเรื่องที่พวกเขาเคยเคลื่อนไหวภายใต้จมูกของอดีตจักรพรรดิยุน 


 


 


น่าโล่งใจ แม้จะไม่รู้ว่าโล่งใจเรื่องใด ทว่ามันก็เป็นความรู้สึกคล้ายหินในใจเบาขึ้นเล็กน้อย 


 


 


เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ หากไม่ใช่ ก็คงเป็นเพราะตอนนี้นายท่านและเถ้าแก่ถูกจับกุม เหล่าตระกูลที่มีส่วนร่วมจนตอนนี้ล้วนถูกจัดการอย่างชัดแจ้ง อย่างไรเสียความกังวลก็คงจะคลายลง ทันยองรู้สึกเหมือนหนังตาค่อยๆ เริ่มหนักอึ้ง ก่อนจะสัปหงกทั้งๆ ที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ 


 


 


เรื่องราวทุกอย่างจบสิ้นแล้ว อย่างน้อยในความรู้สึกของเขาก็เป็นเช่นนั้น 


 


 


 


 


 


หลังจากนั้น ยาต้มและยาทาก็ถูกส่งมาจากสำนักหมอหลวงในยามดึก อีกทั้งหมอหลวงก็ยังเข้ามาวันละหนึ่งครั้งเพื่อตรวจดูบาดแผลของชังฮโยและทันยอง ผ่านไปไม่กี่วัน ชังฮโยก็ได้สติขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


พอจาฮอนทราบข่าวว่าอีกฝ่ายฟื้นสติ ก็รับสั่งว่าให้เวลาพักฟื้นร่างกายต่ออีกสักพัก แม้ตนเองจะยุ่งจนไม่ลืมหูลืมตา ทว่าเขาก็ได้รับฟังเรื่องมากมายมาจากคนเหล่านั้น และขั้นตอนต่อไปก็ต้องสอบถามว่าภายภาคหน้าพวกเขาจะทำอย่างไร 


 


 


วันหนึ่ง เมื่อร่างกายของชังฮโยฟื้นฟูขึ้นมาได้ระดับหนึ่งแล้ว จาฮอนก็มาเยือนห้องนอนด้านในตำหนักคอนรยุงที่ชังฮโยกับทันยองใช้อยู่ในยามชิน ทันทีที่มายืนด้านหน้าที่พัก เหล่าทหารหลวงเฝ้ายามก็ค้อมคำนับแสดงความเคารพ และนางกำนัลก็รายงานการมาถึงเข้าไปด้านใน 


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จ” 


 


 


จาฮอนไม่คิดจะรั้งรอ เขาสั่งให้นางกำนัลเปิดประตูและก้าวเข้าไปทันที ภายในคลุ้งด้วยกลิ่นยาต้มและยาทา เมื่อเห็นผู้มาเยือน ทันยองก็ผุดลุกจากที่นั่งแล้วคุกเข่าลงกับพื้น 


 


 


“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


ขณะเดียวกัน ชังฮโยก็พยายามจะลุกจากเตียงเช่นกัน แต่ก็ซวนเซจนล้มกลับไปนั่งดังเดิม จาฮอนจึงโบกมือไปทางอีกฝ่าย 


 


 


“ไม่ต้องหรอก เจ้าไม่ฝืนลุกขึ้นมาจะดีกว่า ยอง เจ้าเองก็ลุกขึ้นแล้วนั่งสบายๆ เถิด” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จากนั้นจาฮอนก็ลากเก้าอี้มาหนึ่งตัวก่อนจะหย่อนตัวนั่งลง เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทนั่งลงแล้ว ทันยองถึงลุกกลับไปนั่งบนเก้าอี้บ้าง เขาเอ่ยถามคนตัวเล็กถึงเรื่องที่ปรากฏในบันทึก รวมถึงการวางยาพิษ ทันยองเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดที่ทันยอบเคยทำตามที่ตนเองรู้มา ส่วนชังฮโย โดยทั่วไปมักจะถูกส่งไปตามจวนเหล่าขุนนางมากกว่า จึงไม่ค่อยรู้เรื่องงานที่ยาอึมลักลอบกระทำในวังหลวงมากนัก 


 


 


หลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด จาฮอนก็ปิดปากเงียบและจมอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง 


 


 


“เดิมทีข้าตั้งใจจะมาถามว่าระหว่างไต่สวน พวกเจ้าสามารถออกไปเป็นพยานให้การเรื่องพวกนี้ได้หรือไม่ แต่เห็นสภาพของพวกเจ้าแล้ว ข้าเองก็ไม่ต้องการให้ทำเช่นนั้น” 


 


 


“หาไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสามารถเป็นพยานให้การได้” 


 


 


“ช่างเถอะ ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องการให้ทำเช่นนั้น เอาเช่นนี้ ข้าจะส่งนักฆ่ายาอึมออกไปแทนสักสองสามคน ดังนั้น พวกเจ้าจงเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด” 


 


 


“เช่นนั้นก็นับเป็นพยานเท็จมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หาเป็นอันใดไม่ อย่างไรก็เป็นผู้มีความผิดและมีหลักฐานมัดตัว เพียงแค่กล่าวแทนพวกเจ้าที่ให้ความช่วยเหลือข้าอย่างมากมายเท่านั้น การเป็นพยานในการไต่สวนก็ไม่ใช่สิ่งที่นำไปใช้ตัดสินแน่ชัด เพียงช่วยเสริม จึงไม่นับว่าเป็นพยานเท็จ” 


 


 


ทันยองมองพระพักตร์ประดับรอยยิ้ม ก่อนจะค้อมศีรษะลงแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


“เป็นพระกรุณาอย่างถึงที่สุดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“เอาเถอะ เช่นนั้นข้าจะขอถามเป็นคำถามสุดท้าย หากร่างกายดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าคิดจะทำเช่นไรต่อไป” 


 


 


ความเงียบพาดผ่านชั่วขณะ ชังฮโยและทันยองไม่ได้มองเจ้าของคำถาม ไม่ได้มองกันและกัน จาฮอนเองก็ปิดปากเงียบเฝ้ารอคำตอบของทั้งสองคน 


 


 


ความจริงแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าชังฮโยกับทันยองมีเรื่องราวและมีความสัมพันธ์เช่นไร แม้จะได้รับความช่วยเหลือและเกี่ยวพันกัน แต่จักรพรรดิเช่นเขาก็ไม่มีเหตุผลจะต้องซักไซ้ หรือรับรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดังนั้นจึงไม่คิดจะถามถึงตั้งแต่แรก 


 


 


วันนั้น ทันยองกลับมาพร้อมกับองครักษ์ฮวังรยง ก่อนจะหมอบคำนับร้องขอเตียงหนึ่งหลัง อุปกรณ์ในการรักษา และหมออย่างจริงจัง อีกฝ่ายฝากฝังบุรุษแขนขาดข้างหนึ่งจนไม่อาจประคองตัวไว้ในมือขององครักษ์ฮวังรยง ทันยองดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา แต่ก็ดูกรุ่นโกรธอย่างบอกไม่ถูก ดังนั้น เขาจึงคาดเดาเอาว่าบุรุษผู้นั้นย่อมเป็นคนสำคัญ ด้วยเหตุนี้แม้ทั้งสองจะอยู่แต่ในห้องนอน ไม่ได้ออกไปไหน เขาก็ไม่ได้เข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบใดๆ 


 


 


กระทั่งคำถามในยามนี้ก็เป็นเช่นนั้น เพราะคิดว่าบุรุษสองคนตรงหน้าย่อมจะขออยู่ด้วยกัน 


 


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง หลังจากช่วยชีวิตชังฮโยแล้ว ทันยองก็ยังไม่ได้ลองขบคิดว่าภายภาคหน้าจะทำอย่างไร การปล่อยให้คนไม่อยากมีชีวิตมาครุ่นคิดเกี่ยวชีวิตในอนาคต มิใช่เรื่องน่าขัน 


 


 


ทั้งเขาเองก็ยังไม่อาจเข้าใจว่าตนยกโทษให้ชังฮโยแล้ว หรือยังคงเกลียดชังอยู่ ปรารถนาให้อีกฝ่ายได้รับความทุกข์ทรมาน หรือปรารถนาถึงความสงบสุขกันแน่ และไม่อาจล่วงรู้เลยว่าชังฮโยคิดเช่นไร เพราะหลังจากกลับมาจากประตูแห่งความตายแล้ว อีกคนก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ให้เขาได้เห็นเลย 


 


 


สภาพของทั้งสองคนเป็นเช่นนั้น แม้จะเป็นคำถามจากองค์จักรพรรดิผู้เข้มงวด แต่ก็พวกเขาก็ไม่สามารถเอ่ยปากตอบได้ง่ายๆ 


 


 


ทันยองเผลอกำมือข้างขวาที่วางอยู่บนต้นขาแน่นโดยไม่รู้ตัว ระหว่างขบคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป 


 


 


หากนึกถึงเรื่องที่ชังฮโยกระทำต่อทันยอบแล้ว ก็สมควรที่เขาจะทิ้งอีกฝ่ายไปเฉยๆ ยิ่งรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อกันแล้ว ก็ยิ่งสมควรเป็นเช่นนั้น ทว่าชังฮโยต้องสูญเสียแขนข้างหนึ่งเพราะช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เขาจึงไม่ได้รู้สึกยินดีหากจะทิ้งไปเฉยๆ การติดหนี้บุญคุณมันหนักหนาเช่นนี้เอง จนทำให้เขาไม่ยินดีจะทิ้งผู้ลงมือฆ่าทันยอบ 


 


 


ขณะนั้นเสียงของฝ่าบาทก็ดังเข้ามาในโสตประสาทของทันยอง ดังแทรกจิตใจสับสนวุ่นวาย 


 


 


“คงยังไม่ได้คิดไว้สินะ” 


 


 


“ขะ ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ร่างบางพลันตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนละเลยคำถามของฝ่าบาทและมัวแต่ขบคิดถึงเรื่องอื่น จึงรีบร้อนก้าวลงจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลง จาฮอนมองท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่ายพลางหลุดหัวเราะออกมา 


 


 


เป็นผู้มีมารยาท ทั้งยังรู้จักหวาดกลัวต่อองค์จักรพรรดิ แต่กลับเป็นหนึ่งในนักฆ่ายาอึม มือเป็นเท้าของคนเหล่านั้นได้อย่างไรกัน 


 


 


“ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถิด ไม่ว่าจะมองอย่างไร เจ้าก็ไม่เหมือนนักฆ่าเอาเสียเลย จนกระทั่งเข้ามาแฝงตัวในวังหลวงได้ แต่ว่าไปแล้ว คงเป็นทางวังหลวงประมาทเองเสียมากกว่า” 


 


 


“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ แม้จะน่าละอาย ทว่าเป็นดั่งเช่นคำกล่าวของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


“เมื่อครู่มิใช่ว่าทรงกล่าวถึงปัญหาที่มีในวังหลวงหรอกหรือ วังหลวงจำเป็นต้องเพิ่มกำลังป้องกันและปรับเปลี่ยนเป็นการใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่ามีผู้ใดเคยกราบทูลเรื่องนี้หรือไม่ ทว่าเถ้าแก่เจ้าของร้านผ้าไหมทราบดีว่าการป้องกันส่วนใดอ่อนแอ ควรบุกรุกเข้ามาทางใด และ…บ่อยครั้งกระหม่อมเองก็ไม่ได้ลอบเข้ามาตอนกลางคืนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เป็นเช่นนั้นหรือ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ… แม้จะทำให้ทรงขุ่นเคืองพระทัยยามรับฟัง แต่ทัน ทันยอบที่ยามนี้นอนนิ่งอยู่ในสำนักหมอหลวง มักจะห้ามไม่ให้กระหม่อมออกไปในยามค่ำคืนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เช่นนั้นเอง อืม เหมือนจะออกนอกเรื่องไปแล้วสินะ เช่นนั้นพวกเจ้าจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ” 


 


 


จาฮอนเอ่ยถามย้ำขึ้นมาอีกครั้ง เขามีเหตุผลที่ต้องบังคับถามเอาเช่นนี้ เพราะสองคนตรงหน้า แม้จะเสียนิ้วมือ เสียแขน แต่พวกเขาก็ถือเป็นนักฆ่า 


 


 


นักฆ่ามักจะเชี่ยวชาญการใช้พิษและมีทักษะพิเศษในการจดจำเส้นทางยามค่ำคืน อีกทั้งยังมีทักษะการต่อสู้ที่ค่อนข้างโดดเด่น สามารถลักลอบเข้ามาโดยไม่หลงเหลือร่องรอยทิ้งไว้ และกำจัดเป้าหมายก่อนอีกฝ่ายจะทันได้ส่งเสียงกรีดร้องด้วยซ้ำ 

 

 

 


ตอนพิเศษ 1-3 ถึงกระนั้นก็ตาม

 

ตอนพิเศษ 1-3 ถึงกระนั้นก็ตาม

 


หลังจากเริ่มต้นสอบสวนเรื่องนี้ จาฮอนก็สั่งการให้ทำลายกลุ่มยาอึมและพยายามรวบรวมนักฆ่าเหล่านั้นมาทั้งมด นักฆ่าถือเป็นกลุ่มคนที่ไม่สามารถปล่อยเอาไว้ในอาณาจักรเฉยๆ ได้ อีกทั้งเมื่อได้รับฟังคำให้การทั้งหมดแล้ว ก็ทราบว่าการป้องกันยามค่ำคืนนับว่าไร้คุณภาพ เขาคาดเดาล่วงหน้าว่าด้วยสภาพและสถานะยากจนข้นแค้น พวกเขาล้วนไม่อาจกล่าวปฏิเสธจากปากได้ ทว่ากลับน่าขัน เพราะค้นพบหลักฐานทางการเงินมากมายจากเถ้าแก่ร้านผ้าไหม มีสมุดบัญชีบันทึกว่าร้านผ้าไหมได้รับทองมาเท่าใดและเมื่อใด 


 


 


ด้วยสาเหตุนี้ หากปล่อยนักฆ่าพวกนี้ไป ก็มีแนวโน้มที่พวกเขาจะกลับมารับภารกิจยามค่ำคืนเพื่อหาเลี้ยงปากท้องของตนเอง มิใช่ว่าความอดอยากเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวหรอกหรือ 


 


 


ดังนั้นก็เป็นหนทางสุดท้าย หากพวกเขาเหล่านั้นต้องการ จาฮอนก็ตั้งใจจะรับเข้ามาเป็นองครักษ์หน่วยฮวังรยง หรือไม่ก็ทหารหลวง แม้จะไม่สามารถเชื่อใจได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยหากให้การดูแลดั่งเช่นเพื่อนมนุษย์ ก็รับรู้ได้ว่าคมดาบจะไม่หวนคืนมาสู่ตน นั่นเป็นลางสังหรณ์ที่เกือบแน่ชัด ตลอดมาพวกเขาล้วนได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นเพียงเครื่องมือ มิใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้นเพียงแค่ปฏิบัติต่อพวกเขาเฉกเช่นมนุษย์พึงกระทำต่อมนุษย์ ก็ล้วนยินยอมจำนนและวางดาบลง แต่หากไม่ต้องการเช่นนั้น เขาก็ตั้งใจจะช่วยให้มีชีวิตสงบสุขในหมู่บ้านหนึ่งตามต้องการ 


 


 


ทว่าทันยองกับชังฮโยไม่ได้นับรวมอยู่ในกรณีนี้ ทันยองสูญเสียนิ้วมือสองนิ้ว ชังฮโยสูญเสียแขนขวา ไม่ใช่เรื่องง่ายต่อการใช้ชีวิตทำไร่ทำสวนในชนบท และไม่อาจเป็นองครักษ์ของหน่วยฮวังรยงได้ จาฮอนจึงไถ่ถามถึงสิ่งที่ทั้งสองคนอาจจะคิดเผื่อล่วงหน้าแล้ว ทว่าก็ยังคงไม่มีคำตอบใดออกมา แต่ในขณะนั้น ชังฮโยก็เอ่ยปากขึ้นอย่างระมัดระวัง 


 


 


“หากฝ่าบาทจะทรงเมตตา โปรดส่งกระหม่อมออกนอกวังหลวงไปยังหมู่บ้านในป่าติดเขตชายแดนด้วยเถิด กระหม่อมคิดจะใช้ชีวิตด้วยการหาสมุนไพรเลี้ยงชีพพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“พี่! นั่นมันอะไรกัน!” 


 


 


ทันยองเผลอตัวหันกลับไปจ้องชังฮโยและย้อนถามเสียงดัง ปกติคนตัวเล็กแทบจะไม่เอ่ยพูดกับตน ยามต้องเอ่ยพูดคุยก็ตอบรับอย่างเย็นชา ทันทีที่ได้ยินเสียงงุนงงนั้น ชังฮโยจึงหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วตอบกลับ 


 


 


“ทำไมล่ะ ต่อไปข้าจะทำอะไรได้ ยาอึมก็ล่มสลายไปแล้ว ด้วยแขนเพียงข้างเดียวจะให้ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ก็ไม่อาจเป็นตามตั้งใจ อีกทั้งไม่มีแขนขวาแล้ว ย่อมจับดาบไม่ได้ เพียงแต่ข้ายังรู้จักสมุนไพรอยู่มาก ดังนั้นจึงตั้งใจจะเป็นคนหาสมุนไพรแทน มีอันใดให้ตกใจเช่นนั้น” 


 


 


“ถึงอย่างนั้น… มัน…” 


 


 


“เพราะรู้สภาพของตนเองดี เจ้าจึงคิดรอบคอบแล้วสินะ ดี หากตั้งใจจะทำเช่นนั้น ข้าก็จะให้ความช่วยเหลือ” 


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทันยองกรอกดวงตาสับสนไปทางนั้นที ทางนี้ที จนสุดท้ายก็ต้องค้อมศีรษะก้มงุด 


 


 


คิดจะซักไซ้ว่าเหตุใดถึงตัดสินใจเช่นนั้นโดยไม่ปรึกษาก่อน เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นและเอ่ยกราบทูลเพียงลำพัง ทว่าขณะจะเอ่ยคำถามออกจากปาก ก็ถูกความคิดอื่นดึงรั้ง ระหว่างตนกับชังฮโย พวกเราควรปรึกษาหารือกันถึงอนาคตอย่างนั้นหรือ 


 


 


ความกังวลว่าควรจะปล่อยอีกฝ่ายหรือไม่ ความคิดว่าควรจะให้อภัยอีกฝ่ายหรือไม่แวบขึ้นมาทันที จนเขาไม่มีเหตุผลจะย้อนถาม แต่พอชังฮโยกล่าวเช่นนั้น ทันยองก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งกดทับหน้าอกซีกหนึ่ง ยังรู้สึกว่าต้องชดใช้ตอบแทนเพราะชายผู้นี้ต้องสูญเสียแขน จึงคิดหวั่นใจกับความเป็นหนี้บุญคุณขึ้นมาซ้ำอีก 


 


 


จาฮอนพยายามรอคอยอย่างมีความอดทน ทว่าสุดท้ายทันยองก็ไม่อาจให้คำตอบเกี่ยวกับหนทางในวันข้างหน้าได้ และด้วยราชกิจมากมาย ทำให้เขาต้องลุกขึ้นยืนและเอ่ยกับอีกฝ่าย 


 


 


“ระหว่างนี้ข้าจะจัดการเรื่องการหาที่อยู่ และช่วยพาออกจากวังหลวง ทว่าต่อไปในวังคงจะวุ่นวายอยู่ช่วงหนึ่ง ดังนั้น เจ้าออกไปก่อนหน้านั้นจะเป็นการดีกว่า” 


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เอาเถอะ เมื่อเจ้าตัดสินใจได้แล้วว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไร ก็ให้ขันทีไปแจ้งแก่ข้าแล้วกัน เพราะข้าคงไม่มีเวลาเข้ามาที่นี่อีก” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


ทันทีที่องค์จักรพรรดิเสด็จออกจากห้องนอน ทันยองก็เอาแต่นั่งนิ่งจ้องมองปลายเท้าตน สุดจะรู้ว่าเหตุใดตนถึงเป็นเช่นนั้น ชังฮโยปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ยอง เจ้าไม่อยาก…ไปด้วยกันหรอกหรือ” 


 


 


“ข้า…” 


 


 


“ยอง ข้ารู้ดีว่าข้าทำผิดอย่างมากมายต่อยอบ แต่ก็ไม่อาจชดใช้คืนให้ยอบได้แล้ว ดังนั้น ขอให้ข้าชดใช้ความผิดนั้นกับเจ้าแทนมิได้หรือ ช่วยอยู่เคียงข้างให้ ข้าได้ชดใช้ความผิดนั้นไม่ได้เลยหรือ” 


 


 


น้ำเสียงของชังฮโยกรีดหัวใจอย่างเจ็บปวด ขณะเดียวกัน สายตาของทันยอบที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นที่รัก สัมผัส จุมพิต ความอบอุ่นและวันเวลาที่เคยตราตรึง อ้อมกอดอันอบอุ่นของอีกฝ่ายพลันถาโถมเข้ามาเช่นกัน เมื่อคิดถึงศพของทันยอบที่นอนอยู่ในสำนักหมอหลวงและยังไม่ได้จัดการฝังดิน คิดถึงแขนของชังฮโยที่ต้องสูญเสียไป ลำคอก็พลันตีบตันเสียจนหายใจลำบาก แน่นหน้าอกไปหมด 


 


 


“ข้า…” 


 


 


ทันยองเผยอปากเอ่ยออกมาอีกครา ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่ได้ หากเลือกจะใช้ชีวิตกับชังฮโย อย่างไรก็ย่อมสร้างบาดแผลให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน และหากสร้างบาดแผลอีก มันก็จะสร้างบาดแผลแก่ตนเองด้วยเช่นกัน 


 


 


วันนี้ทันยอบไม่มีทั้งฝักดาบ ทั้งคมดาบ ไม่รู้ว่าความปรารถนาอีกฝ่ายคืออยากให้เขาใช้ชีวิตสุขสบายหรือไม่ ตอนนี้จะเหนื่อยล้ามาก แต่ยังคงมีความรู้สึกเช่นนั้น ทว่ามันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว 


 


 


ร่างบางขบริมฝีปากเสียจนเลือดแทบไหลซึม สุดท้ายก็เอ่ยออกมาช้าๆ 


 


 


“ไม่ล่ะ ข้าจะไม่ไปกับพี่ ข้าไม่สามารถอยู่เคียงข้างพี่ได้” 


 


 


“งั้นหรือ แล้วเจ้าจะไปที่ใด…” 


 


 


“ข้าเองก็ยังไม่รู้ อาจจะลองพเนจรไปเรื่อยๆ” 


 


 


เมื่อทันยองเงียบ ชังฮโยก็เงียบลงเช่นกัน แม้เดิมทีจะไม่ได้พูดคุยกันอย่างราบรื่นอยู่แล้ว แต่หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดคุยมากกว่านั้น คนตัวเล็กร้องขอขันทีที่เดินผ่านไปมาด้านนอกให้ช่วยแจ้งต่อฝ่าบาทว่า โปรดทรงช่วยจัดการเงินค่าใช้จ่ายเพราะตนคิดจะลองออกพเนจร รวมถึงฝากฝังเรื่องศพของทันยอบอีกด้วย 


 


 


และในวันแสนวุ่นวายกับการเริ่มต้นการไต่สวน รถม้าคลุมทับด้วยผ้าสีดำก็เคลื่อนออกจากวังหลวงในยามค่ำคืน โดยมีบุรุษร่างเล็กสวมชุดดำผู้หนึ่งควบม้าออกไปพร้อมๆ กัน 


 


 


เช้าวันต่อมา ร่องรอยการมีอยู่ของพวกเขาก็หายไปจากวังหลวงไม่มีหลงเหลือสักรอย 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ตามเวลาแล้วยังเป็นยามเช้าอยู่ ทว่าดวงอาทิตย์กลับลอยขึ้นสูงแล้ว ในฤดูร้อนอันอบอุ่นมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทับศีรษะ กระทั่งหน้าต่างปิดกระดาษถึงสามชั้น ก็ไม่สามารถหยุดยั้งแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ได้ 


 


 


เขาพลิกตัวไปมาครู่หนึ่งก่อนจะนิ่งไป ดั่งถูกเชื้อเชิญเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครา ทว่าก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น ชายผู้นี้ก็เลิกผ้าห่มขึ้น ออกแรงลุกแล้วหย่อนขาลงมาด้านล่างเตียง เนื่องจากมีสมุนไพรให้สรรพคุณที่ดีต้องเก็บในยามเช้า หากนำสมุนไพรนั้นไปที่ร้านขายยาในหมู่บ้านก็จะได้ราคางาม วันนี้เขาจึงตั้งใจจะไปเก็บมันมา 


 


 


หลังจากสวมชุดคลุมและเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เขาก็คว้าตะกร้าทรงเหลี่ยมขึ้นมาสะพายไหล่ด้านหนึ่ง ก่อนเอี้ยวกายต่างจากคนทั่วไปเพื่อดึงเชือกหนังที่ติดอยู่กับสายสะพายอีกด้าน มาผูกกับสายสะพายบนไหล่ แม้ว่าเขาจะสามารถสะพายเชือกตะกร้าได้ แต่เพราะไร้ข้างหนึ่งจึงไม่อาจห้ามมิให้มันไม่ไหลร่วงลงมาได้ จึงต้องจัดการผูกเช่นนี้ 


 


 


“รีบไปรีบกลับดีกว่า วันนี้คงได้พักสักหน่อย ตอนบ่ายฝนน่าจะตก” 


 


 


บ่นพึมพำเพียงลำพังบพลางนวดไหล่ไร้ท่อนแขน ก่อนจะก้าวเท้าออกจากบ้าน ตอนนี้อากาศแจ่มใสมากทีเดียว แต่สาเหตุที่ทำให้เขากล่าวว่าฝนจะตกก็เป็นเพราะแขนข้างที่หายไปนั่นเอง ถึงเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ทว่าอาการก็เพียงทุเลาลงบ้างเท่านั้น 


 


 


แม้ไร้แขนข้างหนึ่ง เขาก็สามารถเดินขึ้นเขาอย่างชำนาญ อีกทั้งยังเก็บสมุนไพรได้อย่างเชี่ยวชาญ แน่นอนว่าถึงอย่างไรการเก็บสมุนไพรมาเติมเต็มตะกร้าด้วยมือข้างเดียว ก็ย่อมลำบากกว่าคนทั่วไปและเป็นอาชีพที่ค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย 


 


 


คราแรกหาได้ง่ายดายเช่นนี้ ถึงจะกล่าวว่าต้องการใช้ชีวิตเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง แต่ฝ่าบาทกลับทรงบังคับให้รับตำลึงเงินและตำลึงทอง ทั้งตรัสว่าถึงตนจะหาเลี้ยงชีพเอง ก็คงจะประสบความอดอยากเช่นแต่ก่อนจากความไม่เชี่ยวชาญ ทว่าถึงเวลานี้ก็นับว่าทำอาชีพนี้มากว่าห้าปีแล้ว ย่อมเกิดความคุ้นเคยเป็นธรรมดา ก่อนดวงอาทิตย์จะสาดแสงร้อนแรงกว่านี้ ชังฮโยก็จัดการเก็บสมุนไพรจนเสร็จเรียบร้อยแล้วลงจากเขา จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปที่ร้านขายยาทันที 


 


 


เถ้าแก่เจ้าของร้านขายยาทักทายต้อนรับคนที่มายืนอยู่หน้าร้านแต่เช้า ก่อนจะพาเข้ามาด้านใน 


 


 


“โธ่ เจ้าหนุ่มคนหาสมุนไพรมาแล้ว เอามาด้วยหรือไม่” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


คำตอบของชังฮโยทำให้อีกฝ่ายแสดงสีหน้ายินดีและช่วยนำตะกร้าลงมาจากบ่า เจ้าของร้านขายยาวางตะกร้าตั้งลงตามคานไม้ เปิดกล่องออกทีละกล่องเพื่อตรวจดูสมุนไพร จัดวางแยกตามแต่ละชนิดบนพื้นที่ปูผ้าเตรียมเอาไว้ หลังจากคำนวณปริมาณของสมุนไพรก็จ่ายค่าตอบแทนให้อย่างมีเมตตา 


 


 


ชังฮโยค้อมคำนับต่อเถ้าแก่เมื่ออีกฝ่ายช่วยยกตะกร้ากลับขึ้นบนบ่า ก่อนจะเอ่ยลาแล้วก้าวออกจากร้าน เนื่องจากสิ่งที่แบกมาคือสมุนไพร น้ำหนักของตะกร้าขากลับจึงไม่ได้แตกต่างกับขามามากนัก 


 


 


เขานวดไหล่ไร้ท่อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ความปวดแปลบและเมื่อยล้าค่อยๆ รุนแรงขึ้น แน่นอนว่าเมฆฝนเองก็เคลื่อนใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน หลังจากลงหลักปักฐานที่นี่ก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา หากรู้สึกเมื่อยล้าและเจ็บไหล่มากๆ ขึ้นมา วันนั้นมักจะมีฝนหรือไม่ก็หิมะตกทุกครั้ง 


 


 


“คงจะต้องรีบกลับแล้ว” 


 


 


ชังฮโยเอ่ยกับตัวเองพร้อมขยับก้าวย่างอย่างรีบร้อน ทว่าการเคลื่อนที่ของเมฆฝนกลับรวดเร็วยิ่งกว่า  


 


 


แม้ยามขึ้นเขาท้องฟ้าจะยังคงสดใสอยู่ แต่ตอนนี้กลับมืดครึ้มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นก่อนเขาจะถึงบ้านเพียงครู่เดียว สายฝนก็เริ่มเทลงมาแล้ว 


 


 


“เวรเอ๊ย” 


 


 


สบถด่าและเร่งขยับก้าวขา ทว่าก็ไม่ได้รวดเร็วเท่ากับคนปกติทั่วไป เพราะไร้แขนข้างหนึ่งช่วยทรงตัว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการก้าวเดินมากกว่าคนอื่น อีกทั้งหากมีฝนตกลงมา พื้นดินของภูเขาจะลื่นเป็นอย่างมาก ดังนั้นชังฮโยจึงต้องระวังมากยิ่งขึ้นไปอีก 

 

 

 


ตอนพิเศษ 1-4 ถึงกระนั้นก็ตาม

 

ตอนพิเศษ 1-4 ถึงกระนั้นก็ตาม

 


ด้วยเหตุนั้นกว่าชังฮโยจะกลับมาถึงบ้าน ตะกร้าสมุนไพร เสื้อผ้าอาภรณ์ กระทั่งศีรษะ ไม่มีที่ใดไม่เปียกชุ่มน้ำฝน 


 


 


เขาเข้ามาภายในบ้าน ถอดตะกร้าวางไว้ที่มุมหนึ่งก่อน จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด หยิบผ้าพับวางเอาไว้บนลิ้นชักไม้เก่าๆ ขึ้นมาซับน้ำออกจากเส้นผม ถึงจะเริ่มเช็ดเนื้อตัว 


 


 


จะผ่านมากี่ปี หรืออนาคตจะผ่านไปอีกกี่ปี การทรงตัวและการก้าวเดินก็ยังคงเป็นเรื่องยากลำบาก ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านพ้น ย่อมไม่มีเรื่องใดทำไม่ได้ และยามฝนเทกระหน่ำลงมาเช่นนี้ สำหรับพ่อค้าสมุนไพรอย่างเขาก็ถือว่ามีเวลาพักผ่อนล้นเหลือ ชังฮโยค่อยๆ เช็ดหยาดน้ำออกจากร่างกาย ก่อนจะหยิบอาภรณ์ตัวใหม่ออกมาและเริ่มสวมกางเกงก่อน 


 


 


ทว่าขณะนั้น เสียงสายฝนกระทบประตูก็ดังขึ้นจนคล้ายกับเสียงเคาะ ชังฮโยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหยิบเสื้อขึ้นมาพาดบนไหล่ แต่กลับได้ยินเสียงเคาะประตูอีกครา เป็นเสียงเคาะก๊อกๆ เช่นก่อนหน้านี้แล้วหยุดลง ตามหลักการแล้วหากเป็นเสียงสายฝนคงไม่สามารถหยุดลงได้แบบนี้ เขาจึงขยับเข้าใกล้ประตูแล้วเอ่ยถาม 


 


 


“มีใครอยู่ด้านนอกหรือ” 


 


 


“ร้านขายยาของหมู่บ้านด้านล่างแจ้งว่า ที่นี่คือบ้านของคนหาสมุนไพร ใช่หรือไม่” 


 


 


น้ำเสียงแผ่วเบาปะปนกับเสียงฝน แต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก คล้ายกับน้ำเสียงของคนผู้หนึ่งที่ตนคะนึงหา ทว่าตอนนี้แม้กระทั่งในความฝันอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาแล้ว คงจะเป็นความคิดถึงอันมากล้นจนเข้าใจผิดไปเอง แต่ถึงอย่างไรเมื่อได้ยินน้ำเสียงคล้ายคลึงกัน หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาจนได้  


 


 


บางที แค่บางที… ความคิดนั้นทะลุออกจากหัวใจมายึดครองความนึกคิดตามใจชอบ 


 


 


ชังฮโยสวมเสื้อเข้ากับช่วงไหล่ไร้ท่อนแขนอย่างเร่งรีบพลางตะโกนร้อง 


 


 


“โปรดรอสักครู่!” 


 


 


ทว่าเมื่อไร้แขนข้างหนึ่ง ทุกเรื่องล้วนจำเป็นต้องทำช้าๆ ด้วยการเร่งรีบทำให้เนื้อผ้าลื่นไหลและร่วงลงด้านล่าง การใส่ใจความเคลื่อนไหวด้านนอกประตูขณะสวมอาภรณ์ ทำให้ชังฮโยไม่มีสมาธิจนสูญเสียการทรงตัวและโซเซไปมา ตลอดหนึ่งปีแรกเขามีสภาพโซเซไปมาเฉกเช่นตอนนี้ หลังจากนั้นก็คิดว่าคงจะไม่เป็นอะไรแล้ว ทว่าดูท่าจะไม่สามารถหายดีอย่างสมบูรณ์ได้ 


 


 


“รอประเดี๋ยว!” 


 


 


ชังฮโยส่งเสียงตะโกนอีกหนและสวมเสื้อใหม่ คราวนี้โชคดีที่เกี่ยวอยู่บนไหล่ได้ เขาใช้มือข้างเดียวดึงเชือกมาผูกเอาไว้หลวมๆ ขยับเท้าไปด้านหน้าประตูก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก 


 


 


เพราะน้ำเสียงคล้ายคลึงกับผู้คะนึงหาทำให้เขาเผลอคาดหวัง แต่คงไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก ไม่สิ มันไม่ทางเป็นเช่นนั้นได้เลยด้วยซ้ำ แม้จะรู้แก่ใจดี ก็ยังจะคาดหวัง ช่างโง่เขลานัก 


 


 


“หากเห็นแขกผู้มาเยือนแล้ว จงอย่าผิดหวังล่ะ” 


 


 


ชังฮโยย้ำกับตนเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยกับแขกผู้มาเยือนที่ยืนรออยู่ด้านนอก 


 


 


“ขออภัยที่ข้าเปิดประตูช้า ด้วยแต่งกายไม่เรียบร้อยจึงใช้เวลานานสัก…” 


 


 


จากนั้นก็เปิดประตูออกและบอกกล่าวถึงเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายต้องคอย ทว่าเขากลับไม่อาจกล่าวได้จนจบ 


 


 


ด้านหน้าประตูมีคนผู้หนึ่งสวมหมวกและคลุมชุดกันฝนยืนอยู่ หมวกมีขนาดใหญ่จนมองไม่เห็นใบหน้า ทว่าด้วยท่าทางการยืน ชังฮโยก็ทราบทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขากำหมัดแน่นเพื่อหยุดมืออันสั่นเทา 


 


 


“สบายดีหรือ” 


 


 


เมื่อหมวกถูกดันขึ้นไปด้านหลัง ใบหน้าของผู้มาเยือนจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน มีร่องรอยของระยะเวลาห้าปีติดฝังอยู่ แต่ในสายตาของชังฮโยใบหน้าของผู้ที่เฝ้าคิดถึง เฝ้าคะนึงหาก็ยังคงงดงาม ยามนี้เป็นดั่งความฝัน เป็นช่วงเวลาที่ตนเฝ้าฝันเป็นสิบเป็นร้อยครั้งตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา 


 


 


ทว่าทันทีที่ช่วงเวลานั้นเกิดขึ้นจริง เขากลับไม่สามารถกล่าวคำใดได้เลย 


 


 


จะคำว่าคิดถึง หรือยังคงรักอยู่เสมอ แม้กระทั่งการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างเรียบง่ายก็ไม่อาจกล่าวได้ทั้งสิ้น ทำได้เพียงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหยเกเท่านั้น 


 


 


“ฝนจะสาดเข้าบ้าน หากมิใช่ว่ารังเกียจจะมองสภาพข้าตอนนี้ เข้าไปพูดคุยกันข้างในคงจะดีกว่า” 


 


 


“อา… เอ่อ อ๋อ ได้” 


 


 


คำกล่าวของทันยองทำให้ชังฮโยเอ่ยตอบอย่างตะกุกตะกักและถอยหลังอย่างเก้ๆกังๆ ร่างบางก้าวเข้ามาด้านในแล้วปิดประตูลง จากนั้นจึงถอดหมวกและเสื้อคลุมกันฝนออกวางไว้ด้านหนึ่ง ตามด้วยรองเท้าเปียกชุ่มจนส่งเสียงเฉอะแฉะ ตลอดเวลานั้นชังฮโยก็ยังคงไม่ขยับไปไหนและยืนจ้องมองอีกฝ่ายอยู่เช่นนั้น หลังจากถอดรองเท้าออก ทันยองก็ยกยิ้มบางออกมาขณะจ้องมองเจ้าของบ้าน 


 


 


“พี่ ข้านั่งได้หรือไม่” 


 


 


“เอ่อ! นั่ง นั่งสิ!” 


 


 


เมื่อได้ฟังเสียงมาถึงขนาดนี้ ในที่สุดชังฮโยก็ยอมรับได้ว่าเรื่องตรงหน้าเป็น ‘ความจริง’ ทันทีที่เขานั่งลงฝั่งตรงข้าม ทันยองก็ยกยิ้มบางๆ อีกครา ร่องรอยของกาลเวลาทำให้ใบหน้าหวานยิ่งซูบซีด มีความแตกต่างของความโศกเศร้ามากกว่ายามแยกจากกัน พอได้จ้องมองใบหน้าชัดๆ ชังฮโยจึงทำสีหน้าเศร้าสลดออกมา 


 


 


“ยอง เหตุใดจึงมีสีหน้าเช่นนั้นเล่า” 


 


 


“ไม่รู้สิ…” 


 


 


ทันยองพรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้ววาดยิ้มใหม่ คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความเศร้าโศก ทว่ายังคงดูเจ็บปวด ทำให้สุดท้ายชังฮโยก็ทุบอกตนเองสองคราพลางทอดถอนใจเฮือกใหญ่ เป็นเพราะความผิดพลาดของตน ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวกลับทำให้คนตรงหน้าต้องกลายเป็นเช่นนี้ ความจริงข้อนั้นกรีดแทงในอก ทันยองมองปฏิกิริยาของชังฮโยแล้วเอ่ยปาก 


 


 


“อย่าทำสีหน้าเช่นนั้นเลย ข้าอุตส่าห์ฝ่าฟันความยากลำบากมาหาพี่นะ” 


 


 


“ฝ่าฟันความยากลำบากหรือ” 


 


 


“ข้าได้ยินจากฝ่าบาทมาแล้วว่าพี่ลงหลักปักฐานอยู่ที่ใด แต่พอลองมาจริงๆ แล้วกลับไม่สามารถหาพบ เพราะอยู่ในป่าลึกมาก” 


 


 


กำลังบอกว่าตั้งใจมาหากันถึงที่นี่อย่างนั้นหรือ ชังฮโยจ้องมองทันยองด้วยสายตางุนงงและสงสัย 


 


 


หลังจากวันนั้นเมื่อห้าปีก่อน เขานึกว่าโชคชะตาระหว่างพวกเราสองคนจะจบสิ้นลงแล้ว รวมถึงคิดว่าอีกฝ่ายคงลบเลือนตัวเขาออกจากสมองและจิตใจจนหมดสิ้น 


 


 


“เช่นนั้นเพราะเหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ล่ะ” 


 


 


“ข้าจะอยู่ที่นี่” 


 


 


เมื่อคำตอบเหนือความคาดหมายหลุดออกจากปากทันยอง ชังฮโยก็คิดว่าตนเองฟังผิดจึงย้อนถามซ้ำว่าเหตุใดถึงมาที่นี่เป็นหนที่สอง และก็ได้ยินคำตอบเดิม นั่นคือมาเพื่ออยู่ด้วยกันที่นี่ 


 


 


เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อทันที ไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่ายองจะยอมยกโทษให้ ชังฮโยค่อยๆ เปิดปากขึ้นช้าๆ จะต้องถามถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ อยากถามให้มั่นใจกว่านี้ 


 


 


อย่างไรเสียคงไม่สามารถทำผิดพลาดซ้ำได้แล้ว ทันยอบเองก็ไม่สามารถหวนกลับมาได้แล้วเช่นกัน คงจะไม่ยอมรับการขอโทษใดๆ ทว่าน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังดังออกมาต่างกับความรู้สึกเช่นนั้น 


 


 


“วันนั้น… เจ้ากล่าวว่า ไม่อาจ…อยู่ด้วยกันได้” 


 


 


“ใช่ ตอนนั้นมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ” 


 


 


“แล้วตอนนี้?” 


 


 


“ข้าคิดแล้วคิดอีกจนใช้เวลาไปถึงห้าปี แต่ก็สรุปได้เพียงว่าผู้ที่สามารถปลดปล่อยยอบได้ก็คือพี่” 


 


 


“หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


คำถามของชังฮโยทำให้ทันยองพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกรอบ ก่อนจะนำผ้าแพรสีฟ้าพับอย่างเรียบร้อยออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ ร่างบางค่อยๆ กางเจ้าสิ่งนั้นออก ภายในมีเศษหนังสีน้ำตาลอยู่ ชังฮโยเหลือบมองสิ่งนั้นแล้วเอ่ยถาม 


 


 


“นั่นคืออะไร” 


 


 


“รอยสักบนข้อมือของยอบ” 


 


 


ทันยองจ้องมองชิ้นหนังนั้นด้วยแววตาหลากหลายความรู้สึก เขากรีดผิวเนื้อบริเวณข้อมือที่มีรอยสักของยอบออกมา จากนั้นก็นำมาดองและตากแห้งอยู่หลายครั้งกระทั่งเก็บรักษามาได้จนถึงตอนนี้ สำหรับทันยองแล้ว หนังชิ้นนั้นเป็นร่องรอยสุดท้ายว่าทันยอบเคยมีตัวตน เป็นเหมือนตัวแทนทันยอบ 


 


 


“พี่ ความจริงแล้ว…” 


 


 


คนตัวเล็กหลุบสายตาลงต่ำขณะออกปากเกริ่น 


 


 


 


 


 


เหตุผลที่เขามาหาชังฮโยแบบไม่คาดคิดเป็นเช่นนี้ หลังออกจากวังหลวงก็พเนจรอย่างไร้จุดหมาย ปักหลักที่ใดที่หนึ่งไม่เกินเดือนก็ออกเดินทางต่อ ทำทั้งงานคุ้มกัน ทั้งงานเบ็ดเตล็ด แทบไม่มีเรื่องให้พูดคุยกับผู้ใดเลย แม้จะอ้างว้าง แต่ก็รู้สึกว่ายังมีทันยอบอยู่ด้วยเสมอ ทว่าความจริงแล้วทันยอบไม่เคยมาปรากฏตัวในความฝันเลยสักครั้งตลอดระยะเวลาสี่ปี 


 


 


ทว่าในวันหนึ่ง อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น ทันยอบช่วยปลอบและดึงเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น ก่อนจะเอ่ยว่าตอนนี้ตนจะต้องไปจริงๆ แล้ว เมื่อเขาเอ่ยรั้งว่าอย่าไปพร้อมน้ำตา ยอบก็ลูบศีรษะพร้อมกระซิบบอก 


 


 


‘หากเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าคงจะไม่สามารถไปไหนได้เพราะยังห่วงกังวล ยอง ยามนี้เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ และยังมีคนผู้หนึ่งรอคอยเจ้าอยู่ ไม่ต้องปิดกันความรู้สึกหรอก แม้เจ้าจะมอบให้ผู้อื่น ข้าก็ไม่โกรธเคือง ดังนั้น ตอนนี้จงเลิกเจ็บปวดได้แล้ว’ 


 


 


คำกล่าวนั้นกระแทกหัวใจจนเจ็บปวด ยอบยังเป็นห่วงกันถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มาให้เจอหน้าเลยสักครั้งตลอดสี่ปี 


 


 


หลังจากนั้นทันยองก็ค่อยๆ ขบคิดเกี่ยวกับชังฮโย ก่อนจะมาหาถึงที่นี่เช่นนี้ 


 


 


 


 


 


เมื่อจบการเล่าเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ทันยองก็เบือนสายตาไปมองอีกคน 


 


 


“แต่ไหนแต่ไรข้าก็มักจะเอาแต่ใจ คิดแต่จะเอาชนะ หากพี่ไม่ต้องการ ข้าก็จะกลับ” 


 


 


รอยยิ้มบางประดับบนริมฝีปากของชังฮโย และค่อยๆ สดใสยิ่งขึ้น ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดอยู่ๆ รอยยิ้มก็กลายเป็นหยาดน้ำตา ร่างบางจ้องมองใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้น 


 


 


การหวนกลับมาหาคนที่ตนทิ้งเพราะไม่สามารถให้อภัย เอ่ยอ้อนวอนให้ยอมรับตนกลับมา เขาก็เข้าใจดีว่ามันช่างเป็นเรื่องไร้ความละอายใจ ทว่าเมื่อได้ฟังคำกล่าวของทันยอบ ลองปลอบประโลมความรู้สึกที่พยายามปิดกั้นเอาไว้ ก็พบว่ามันเต็มไปด้วยความอ้างว้าง ช่วงเวลาที่ผ่านมาช่างอ้างว้างเหลือเกิน ยามนี้จึงไม่ชอบใจในความอ้างว้างนั้น ตลอดห้าปีมันเพียงพอแล้ว 


 


 


เมื่อใบหน้าหวานพลันหม่นหมอง ชังฮโยก็ลุกขึ้นมายืนตรงหน้าทันยอง ก่อนจะเอื้อมสัมผัสปรางแก้มอีกฝ่าย 


 


 


“ข้ารออยู่ ยอง ข้าไม่เคยลืมสักวัน และขออภัยต่อยอบมาตลอดห้าปี แล้วก็เฝ้าคิดถึงเจ้า” 


 


 


“พี่…” 


 


 


ไม่มีคำพูดใดอีก ชังฮโยใช้มือข้างเดียวที่มีโอบประคองแก้มของทันยองอย่างอ่อนโยน ทันยองเองก็ใช้มือข้างที่สูญเสียนิ้วสัมผัสมือของร่างสูงกลับ บุรุษสองคนผู้มีร่างกายไม่สมบูรณ์ จิตใจมีบาดแผลประสานสายตากันครู่หนึ่ง ก่อนชังฮโยจะขยับปากอย่างช้าๆ 


 


 


“อย่าไปไหนอีกเลย” 


 


 


ทันยองไม่ได้ตอบรับ แต่ชังฮโยก็รับรู้นับแต่นี้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่กับตนตลอดไป 


 


 


เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว คนตัวเล็กขยับลุกอย่างช้าๆ และอิงศีรษะแนบกับอ้อมอกแกร่ง ความอ้างว้างตลอดห้าปีค่อยๆ หลอมละลายสลายหายไป 


 


 


พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก โอบกอดกันและกันอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง 


 


 


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทันยองกับชังฮโยก็นำแผ่นหนังของทันยอบมาเผาเพื่ออำลา 

 

 

 


ตอนพิเศษ 2-1 ตำแหน่งที่วางใจ

 

ตอนพิเศษ 2-1 ตำแหน่งที่วางใจ

 


ตอนพิเศษ 2 ตำแหน่งที่วางใจ 


 


 


 


 


 


ฤดูหนาวเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว คราวก่อนมันผ่านพ้นขณะปล่อยความคิดจนไม่ทันได้สัมผัสถึงเลย ทว่าสุดท้ายฤดูร้อนอันสดใสก็ผันเปลี่ยนตามกาลเวลาและเริ่มต้นฤดูหนาวใหม่อีกครั้ง 


 


 


หลังจากดื่มชาที่วางอยู่บนโต๊ะหนึ่งอึก โซกังก็สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นจากด้านนอกผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ เมื่อลองยื่นมือออกไปก็รู้สึกถึงสายลมเย็นพัดผ่านระหว่างนิ้ว จนเหมือนจะสามารถคว้าจับสายลมได้ รู้ดีว่าเป็นความคิดน่าขัน ทว่าตนก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ 


 


 


เมื่อการไต่สวนเสร็จสิ้นลงแล้ว จาฮอนก็จะประกาศแต่งตั้งโซกังขึ้นเป็นจักรพรรดินีทันที ขณะเดียวกันก็ประกาศต่อว่าในภายภาคหน้าก็จะไม่รับสนมอื่นเข้ามาอีกตลอดชีวิตนี้ 


 


 


เรื่องนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ทุกอย่างล้วนเป็นการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ การลงมืออย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับการไต่สวนขององค์จักรพรรดิ ทำให้การคัดค้านจากเหล่าขุนนางเกิดขึ้นเพียงน้อยนิด ทว่าก็มิใช่จะไม่มีเลย เพราะหากยืนยันว่าจะไม่รับสนมอีกตลอดชีวิต ก็ต้องเกิดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องรัชทายาท เหล่าขุนนางจึงไม่อาจนิ่งเฉย แต่จาฮอนก็ยังคงเป็นจาฮอน ไม่เคยยกเลิกความคิดแค่เพียงเพราะผู้อื่นไม่เห็นด้วย 


 


 


อีกฝ่ายจัดเตรียมจัดพิธีแต่งตั้งและจัดการแต่งตั้งต่อโดยไม่รั้งรอ อีกทั้งในบันทึกเชื้อพระวงศ์ยังใส่ชื่อ ‘โซฮวา’ ซึ่งเป็นนามที่ตั้งให้เองด้วย หลังจากการแต่งตั้งตำแหน่งก็จัดพิธีร่วมหอ พร้อมสั่งการให้ย้ายตำหนักในทันทีด้วยเช่นกัน 


 


 


ด้วยเหตุนั้นเวลานี้หลังจากกลายเป็น ‘ฮวังฮู[1]’ โซกังจึงย้ายออกจากตำหนักฮงฮวา มาพำนักในตำหนักยอฮยัง อันเป็นตำหนักที่ประทับของฮวังฮูมามา 


 


 


เขากางมือออกสัมผัสสายลมเย็นเฉียบอีกครั้ง ก่อนจะบ่นพึมพำแผ่วเบา 


 


 


“ผู้ใดจะคาดคิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้กัน” 


 


 


ผู้ที่พาเขาไปทิ้งให้เกลือกกลิ้งในเรือนทาส ก็คงไม่คาดคิดว่าเขาจะกลายมาเป็นฮวังฮู แม้เรื่องจะจบลงแล้ว ก็ยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจนว่าผู้ใดคือผู้สั่งการกันแน่ แม้จะไม่มีเหตุผลให้ขุดคุ้ยต่อ แต่ความจริงเขาก็ยังสงสัยในเหตุผลของอีกฝ่ายอยู่ ทำให้เขาตกต่ำในเรือนทาสเช่นนั้น แล้วจะได้ผลประโยชน์อันใดกัน 


 


 


“ช่างเป็นความคิดไร้สาระเสียจริง” 


 


 


โซกังส่ายหน้าไปมาพลางพึมพำ กล่อมให้จิตปล่อยวางความคิดไร้ประโยชน์เสีย นั่นเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่มีประโยชน์จะต้องรับรู้ 


 


 


“จิตใจคนเรา…” 


 


 


จิตใจคนเราผันเปลี่ยนไปมาไม่มีสิ้นสุด 


 


 


ยามมีลมหายใจอันน่าขยะแขยง ราวกับตัวหนอนบนพื้นสุขาของเรือนทาส เขาอยากรู้แทบบ้าว่าผู้ใดพาตนมาทิ้ง ณ ที่แห่งนั้น ร่างกายสูญเสียไปแล้วก็ปล่อยมันไป อย่างไรก็ไม่สามารถหวนกลับไปยังความทุกข์ในอดีตได้อีก แต่ตอนนั้นก็ยังอยากรู้ เขาต้องการเป้าหมายในการมอบความเกลียดชังอย่างถึงที่สุดเท่านั้น  


 


 


โซกังอังมือเย็นเฉียบกับความอบอุ่นของถ้วยชา ดูจากตนเองในเวลานี้กับความคิดว่าเรื่องราวที่ประสบในเรือนทาสมิได้เลวร้ายถึงเพียงนั้น คำกล่าวก็ย่อมถูกต้องแล้ว จิตใจคนเราผันเปลี่ยนไปมาไม่มีสิ้นสุดจริงๆ 


 


 


หากคนผู้นั้นไม่พาตนมายังกรมฝ่ายใต้ ไม่ได้ข่มขู่ให้ใช้ชีวิตอันน่าอัปยศต่อไป เขาก็คงจบชีวิตตนเองในทันทีแล้วเพราะต้องกลายเป็นสิ่งบำเรอของเหล่าทาส หากช่องทางด้านหลังไม่เกิดปัญหา ทางนั้นก็คงจะไม่สร้างห้องอาบน้ำส่วนตัวให้ และหากไม่มีห้องอาบน้ำส่วนตัว ก็คงไม่ได้พบกับจาฮอน 


 


 


“ชีวิตก็นับเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากนัก” 


 


 


เขาทอดถอนใจก่อนจะจัดการน้ำชาในถ้วยจนหมด จากนั้นถึงลุกขึ้นยืน ส่องสำรวจสีหน้าของตนหน้ากระจกบานใส ช่วงนี้สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีอย่างเห็นได้ชัดดั่งคำกล่าวของจาฮอน ซูบซีดจนดูไม่ได้ แม้จะทานอาหารทั้งสามมื้ออย่างสม่ำเสมอ กลับกลายเป็นว่าน้ำหนักลดลง ทั้งๆ ที่ได้มาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นเบื้องล่างได้ถ้วนทั่วเว้นเพียงผู้เดียวที่อยู่เหนือหัว แต่ก็ได้รับความรักเต็มเปี่ยมจากคนผู้นั้น ทว่าไม่อาจเข้าใจความอึดอัดจนต้องถอนหายใจไปวันๆ เหมือนขาดอะไรบางอย่างได้เลย 


 


 


ขณะนั้นพลันแว่วเสียงรายงานจากด้านนอกแต่ค่อนข้างห่าง โซกังจึงสำรวจใบหน้าตนเองอีกครา รวมถึงการแต่งกายด้วย เพราะถึงเวลาที่จาฮอนจะมาหาแล้ว และเมื่อระฆังแจ้งถึงยามชิน อีกฝ่ายถึงจะกลับไปจัดการราชกิจยามบ่าย ราวกับว่าหากไม่ได้พบหน้ากันระหว่างยามเช้าและยามค่ำ ก็จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น 


 


 


ทันทีที่เตรียมตัวเสร็จสิ้น เสียงของนางกำนัลก็ดังมาจากหน้าประตูห้องบรรทม 


 


 


“ฮวังฮูมามา ฝ่าบาทเสด็จมาแล้วเพคะ” 


 


 


“เชิญเสด็จเข้ามาด้านในเถิด” 


 


 


“เพคะมามา” 


 


 


จากนั้นประตูก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของจาฮอน พอประตูปิดลง ผู้มาเยือนก็ดึงโซกังเข้าไปกอดทันทีโดยไม่ปล่อยให้ทำความเคารพ ก่อนจะสำรวจตั้งแต่สีหน้าลงมาด้วยความห่วงกังวล 


 


 


“ดูไม่สู้ดีเสียยิ่งกว่าตอนเช้าอีก ช่วงสายเจ้าทำอันใดบ้าง” 


 


 


“ทำตัวเกียจคร้าน อ่านตำราอยู่บนแท่นบรรทมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ทานมื้อกลางวันแล้วหรือ” 


 


 


“ไม่อยากอาหารพ่ะย่ะค่ะ รู้สึกพะอืดพะอม กระหม่อมจึงไม่สามารถทานสำรับมื้อกลางวันที่จัดมาให้ได้ แต่สั่งให้นำอย่างอื่นมาทานรองท้องแทนแล้ว” 


 


 


คำตอบนั้นทำเอาจาฮอนขมวดคิ้วจนเป็นปม ก่อนจะวางตะกร้าฝาปิดในมือลงกับพื้น  


 


 


โซกังจึงรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งนั้นแล้วจ้องมองมัน ตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่อย่างพิถีพิถันขยับกระดุกกระดิกไปมา นั่นก็เพียงพอให้เรียวคิ้วขมวดมุ่น 


 


 


จาฮอนยังคงลูบไล้แก้มนุ่มด้วยสีหน้าห่วงกังวล ก่อนจะลองสัมผัสหน้าผากดู 


 


 


“ไม่มีไข้ หมอหลวงก็บอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ คงหาสาเหตุไม่พบจริงๆ ข้าเป็นคนรักของเจ้า ก็หารู้ไม่เช่นกัน” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ?” 


 


 


“หมอหลวงว่าอาการเจ้าคล้ายสตรียามตั้งครรภ์น่ะสิ” 


 


 


ร่างบางพลันมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกและหลุบสายตาไปทางด้านข้าง เพศสภาพของฮวังฮู ผู้ครอบครองวังหลังเพียงผู้เดียวอย่างตนคือข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงที่สุด ทุกครั้งที่มีการกล่าวเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ กลายเป็นโซกังจะรู้สึกมีความผิด เพราะรู้แก่ใจดีว่าร่างกายบุรุษไม่สามารถให้กำเนิดทายาท ถูกเหล่าขุนนางกล่าวถึงลับหลังว่าหน้าหนาโลภตำแหน่ง 


 


 


ทันทีที่เห็นใบหน้าหวานโศกเศร้าฉับพลัน ร่างสูงจึงลูบหลังอีกฝ่ายแล้วรีบเร่งกล่าว 


 


 


“มิใช่บอกให้เจ้าเศร้าเสียหน่อย เพียงแค่อาการมันคล้ายคลึงก็เท่านั้นเอง ข้าสั่งให้เร่งหาสาเหตุแล้ว” 


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ทำให้ข้าไม่พอใจอีกแล้วนะ” 


 


 


“ขอบคุณ” 


 


 


“ใช่ ต้องอย่างนี้สิ มานี่มา” 


 


 


เมื่อจาฮอนได้ยินชื่อของตนจากปากโซกังก็ยิ้มออกมา ก่อนจะจับจูงอีกคนไปยังแท่นบรรทม จากนั้นก็วางตะกร้าลงบนนั้น ร่างบางเบิกตาโตทันทีเพราะอะไรบางอย่างที่อยู่ภายในกระดุกกระดิกไปมา 


 


 


“ข้างในนี้มีอันใด เป็นงูหรือ ขะ ข้าไม่ชอบงู มันน่ากลัว” 


 


 


คำกล่าวพร้อมถดกายถอยหลังด้วยสีหน้าหวาดกลัว ทำให้จาฮอนหัวเราะอย่างนึกเอ็นดูพร้อมกับกวักมือเรียก 


 


 


“มานี่มา เร็วเข้า ข้าก็ไม่ชอบงูเช่นกัน มาเถิด” 


 


 


“ไม่ใช่งูจริงๆ หรือ แต่อะไรเมือกๆ ลื่นๆ ข้าก็ไม่ชอบเช่นกัน ไม่ใช่เช่นนั้นใช่หรือไม่” 


 


 


“ไม่ใช่หรอก” 


 


 


จาฮอนคว้ามือคนที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาหา แม้สายตาจะยังไม่ลบเลือนความระแวงสงสัย ดึงให้เข้ามานั่งข้างๆ กัน ก่อนจะเปิดฝาตะกร้าออกอย่างระมัดระวัง โซกังหรี่ดวงตาให้เรียวเล็กลอบมองด้านใน และเมื่อเห็นก้อนขนสีขาวและสีเหลืองสามตัว ดวงตาก็พลันเบิกโต เป็นลูกแมวสามตัว เขาจ้องมองเหล่าลูกแมวดุกดิกไปมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองจาฮอนแล้วเอ่ยถาม 


 


 


“ลูกแมวหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แม่แมวของตำหนักอุนฮยอนออกลูกน่ะ” 


 


 


“เช่นนั้นเองหรือ” 


 


 


โซกังพยักหน้ารับ เป็นเรื่องปกติที่ห้องเก็บตำราหรือห้องทรงอักษรจะเลี้ยงแมวเพื่อป้องกันไม่ให้หนูมากัดกินตำรา เหล่าลูกแมวในตะกร้ายังคงร้องเหมียวๆ ทั้งกระจุกตัวรวมกับพรรคพวกพากันข่วนขูดผนังตะกร้า 


 


 


จาฮอนยกยิ้มน้อยๆ มองคนรักที่ไม่ละสายตาไปจากเหล่าแมวน้อย ช่วงนี้ได้เห็นอีกฝ่ายมักจะอ่อนแรง และเอาแต่เหม่อมองอากาศ ไม่ใช่แค่ห่วงกังวลเฉยๆ แต่เขาอยากจะทำให้ผ่อนคลาย จึงนำเหล่าแมวน้อยที่กำลังจะถูกส่งไปที่อื่นหลังหย่านมมาให้ 


 


 


“ข้าไม่ค่อยพอใจหากพวกมันจะถูกส่งตัวไปที่อื่น เจ้าก็ช่วยดูแลทีเถิด” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โซกังยื่นมือเข้าไปในตะกร้าลูบสัมผัสเหล่าแมวน้อยพร้อมตอบกลับ จาฮอนจึงสั่งนางกำนัลหน้าประตูว่าให้นำอาหารแมวและเบาะเข้ามา 


 


 


ขันทีสองคนก็นำเบาะและอาหารเข้ามาให้ตามรับสั่งทันใด พอเห็นว่าเหล่าขันทีลังเลตำแหน่งจัดวางเบาะ เขาจึงยกมือขึ้นโบกและกล่าวสั่งอีกครา 


 


 


“ไม่ต้องหรอก วางไว้แล้วก็ออกไปได้” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


หลังจากพวกขันทีออกไปแล้ว จาฮอนก็ดันตัวโซกังให้นั่งลงแล้วจัดการพับเบาะลงครึ่งหนึ่งวางบนแท่นบรรทมด้านหนึ่งด้วยตนเอง เป็นตำแหน่งที่สัมผัสถึงความอบอุ่นของเตาอุ่นด้านใต้แท่นพอดี เมื่อจัดวางชามอาหารและน้ำเรียบร้อยแล้วถึงจะกวักมือเรียกโซกัง 


 


 


“มานี่เถิด ที่นี่เป็นตำหนักของเจ้า เจ้าต้องเป็นคนดูแล ดังนั้น หากทำความสนิทสนมกับพวกมันเสียก่อนก็จะเป็นการดี” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โซกังถือตะกร้ามานั่งใกล้ๆ ตามคำของจาฮอน ก่อนจะนำแมวน้อยออกมาวางบนเบาะทีละตัว 


 


 


เหมียว เหมียว 


 


 


เหล่าลูกแมวส่งเสียงร้องระแวดระวัง จากนั้นก็หลบเลี่ยงสถานที่ไม่คุ้นเคยด้วยการมุดเข้าใต้อาภรณ์ของโซกัง ร่างบางจึงหัวเราะและขยับตัวไปมาเพราะจั๊กจี้ จาฮอนชมชอบเสียงหัวเราะเช่นนี้ของโซกัง แต่คิ้วกลับกระตุกเพราะอาภรณ์ของคนรักเคลื่อนไหวดุกดิกบริเวณช่วงต้นขา 


 


 


“เห็นทีจะต้องคิดใหม่เรื่องให้เจ้าดูแลพวกมันเสียแล้วสิ” 


 


 


“บอกให้ข้าดูแล แล้วเหตุใดจู่ๆ กลับกล่าวเช่นนั้นเล่า” 


 


 


“ก็มิใช่เจ้าพวกนั้นกำลังล่วงล้ำพื้นที่ที่มีแต่ข้าเข้าได้ผู้เดียวหรอกหรือ” 


 


 


น้ำเสียงไม่พอใจทำให้โซกังหัวเราะร่า กำลังหึงหวงเจ้าแมวน้อยพวกนี้หรืออย่างไร ทว่านั่นกลับทำให้เขาอารมณ์ดี โซกังเลิกอาภรณ์ขึ้น 


 


 


“ด้านในอาภรณ์แล้วอย่างไรเล่า ส่วนที่มีเพียงท่านก็ยังมีเพียงท่านเท่านั้น” 


 


 


“กล่าวเช่นนั้น ไม่อยากให้ไปจัดการราชกิจยามบ่ายแล้วหรืออย่างไร” 


 


 


จาฮอนขยับเข้าใกล้ร่างบางพลางลูบคลำแถวช่วงเอวคอด ทันใดนั้นอาภรณ์ผูกไว้ก็คลายออก เขาจึงรุกคืบขึ้นไปถึงแผ่นอกอีกฝ่าย โซกังหอบหายใจอ่อนแรงและลูบไล้เส้นผมยาวพอควรของคนตรงหน้า จาฮอนเริ่มจุมพิตผิวกายเนียนละเอียด 


 


 


“อ๊ะ จาฮอน…” 


 


 


“ชู่ เบาเสียงไว้ เพราะข้าชักอยากจะทิ้งงานแล้วมาก็อยู่กับเจ้าเช่นนี้แล้ว” 


 


 


“อื้อ…” 


 


 


“จริงๆ เลย พรุ่งนี้หลังจบประชุมขุนนางแล้วข้าอยากพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง เมื่อถึงยามเสียงระฆังกลางยามซาดังจงเตรียมตัวรอ” 


 


 


“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฮือ อึก” 


 


 


จาฮอนไล้เลียแผ่นอกบางจนทั่ว ใช้ลิ้นรังแกยอดอกเล็กน้อย ทว่าไม่นานนักก็ได้ยินเสียงระฆังแจ้งเวลายามชินดังขึ้น เขารับฟังเสียงครางเล็กๆ เหนือศีรษะ ก่อนจะกระเดาะลิ้นอย่างนึกเสียดาย และดูดดุนยอดถันอย่างแรงส่งท้าย 


 


 


“ฮื้อ!” 


 


 


“คิดๆ ดูแล้ว เจ้างดงามเช่นนี้อยู่เสมอเลย รู้หรือไม่” 


 


 


สัมผัสส่วนอ่อนไหวตื่นตัวอย่างอ่อนโยนขณะกระซิบแผ่ว จากนั้นก็ช่วยผูกอาภรณ์กลับคืน ยามนี้เหล่าแมวน้อยหลับสนิทโดยยึดพื้นที่ของชายอาภรณ์ด้านใน ร่างสูงลูบไล้ปรางแก้มและขยับตัวลุกขึ้นอย่างอิดออด เพราะไม่อยากจากไป 


 


 


“เดี๋ยวข้ากลับมา” 


 


 


“ขอประทานอภัยที่ไม่อาจลุกขึ้นส่งเสด็จ” 


 


 


“ทำอย่างกับเป็นเรื่องแปลกใหม่ มีอยู่บ่อยครั้งไปที่เจ้านอนอยู่บนแท่นบรรทมเพราะไม่อาจลุกขึ้นมาได้” 


 


 


จาฮอนยกยิ้มพรายเอ่ยหยอกเย้า ใบหน้าของโซกังพลันแดงซ่าน แต่เป็นดั่งเช่นคำกล่าว หากร่างกายร้อนรุ่มขึ้นมาเพียงนิด จนก็จะอ่อนแรงกว่าปกติ จนวันต่อมาตกอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อนแน่นิ่งอยู่บนแท่นบรรทมเกือบทั้งวัน 


 


 


 


 


 


[1] ฮวังฮู [황후 (皇后)] ชื่อเรียกตำแหน่งของจักรพรรดินี หรือพระมเหสี เทียบเท่ากับฮองเฮาของราชวงศ์จีน 

 

 

 


ตอนพิเศษ 2-2 ตำแหน่งที่วางใจ

 

ตอนพิเศษ 2-2 ตำแหน่งที่วางใจ

 


ทันทีที่จาฮอนออกไปจากตำหนัก โซกังก็ลูบไล้เหล่าลูกแมวบนอาภรณ์พร้อมจ้องมองประตูที่อีกฝ่ายเพิ่งก้าวออกไป ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกปวดแปลบในใจ ไม่อาจล่วงรู้ได้เลย 


 


 


“แมว แมวหรือ… อา!” 


 


 


เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเคาะหน้าผากตนเองด้วยกำปั้น เพราะตระหนักได้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกเช่นนั้น 


 


 


ในอดีต ห้องตำราของจวนตระกูลตนก็เคยเลี้ยงแมวเอาไว้เช่นกัน เจ้าแมวตัวที่ท่านพ่อนำมาเป็นตัวผู้ มีขนสีดำเป็นเงา หางยาว รูปร่างปราดเปรียวสมเป็นหนุ่มหล่อ ตัวเขาตั้งชื่อให้มันว่า ฮึกกโย 


 


 


มันชอบนั่งรวบเท้าหน้าอย่างสุภาพอยู่บนที่ของตนเองตรงมุมห้องตำรา หลับตาลงช้าๆ ทั้งๆ ที่ใบหูขยับยุกยิก ช่างดูคล้ายผู้มีปัญญา และดูคล้ายกำลังขัดเกลาจิตใจเพื่อเข้าใจสัจธรรมของโลก ดังนั้นตลอดเวลาที่ท่านพ่อนั่งอ่านตำราอยู่ตรงหน้าฮึกกโย ก็มักจะเห็นเจ้านั่นสงบนิ่งและคล้ายจะจดจ่อตามอยู่หลายครา แน่นอนว่าครึ่งนึงของช่วงเวลานั้นจบลงด้วยการลูบขนที่นุ่มลื่นนั่น 


 


 


แต่ไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร เพราะผ่านไปช่วงหนึ่งเจ้านั่นก็ไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นแล้ว โดยมีแมวตัวอื่นมาอยู่แทนตำแหน่งนั้น ท่านพ่อเพียงเอ่ยบอกอย่างสุขุมแฝงเค้าของความโศกเศร้า และหลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้เอ่ยถึงฮึกกโยอีกเลย 


 


 


เมื่อเห็นเจ้าลูกแมวพวกนี้จึงนึกถึงและเรียกหาฮึกกโยในความทรงจำขึ้นมา เรียกหากระทั่งความทรงจำอันเจ็บปวดในเรือนทาส ทั้งอดีตก่อนหน้านั้นให้กลับมา 


 


 


“นั่นสิ… อย่างนั้นเองสินะ” 


 


 


‘การลืม’ คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ 


 


 


หากตกอยู่ในห้วงความสำเร็จเมื่อใด มันก็จะกลายเป็นความผิดพลาดในภายหลัง และหากผิดหวังในความพ่ายแพ้เมื่อใด ก็จะสูญเสียโอกาสลิ้มรสหอมหวานของความสำเร็จ หากมัวเมาในความยินดีอย่างไม่สิ้นสุด ก็จะสูญเสียกำลังอดทนต่อความเสียใจที่ปะทะเข้ามา และหากไม่สามารถสลัดความโศกเศร้าทิ้งไปได้ ก็จะสูญสิ้นกำลังในการใช้ชีวิต 


 


 


ดังนั้น สำหรับมนุษย์สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘การลืม’ 


 


 


“เป็นเช่นนั้นสินะ… ข้า…” 


 


 


ในที่สุดโซกังคล้ายจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดช่วงนี้ตนถึงไร้เรี่ยวแรงและการอ่อนแรงอย่างไม่มีเหตุผล เพราะยามนี้คือช่วงเวลานั้น ช่วงเวลานั้นที่ท่านพ่อ ท่านมหาเสนาบดีพลาธิการ นายหญิงอิลฮวา โซยง มูฮยอน และผู้คนอีกมากมายถูกสำเร็จโทษ 


 


 


บุตรที่ไม่อาจจัดพิธีเซ่นไหว้บิดา กระทั่งวันที่ก็ยังลืมเลือน แม้ว่าท่านจะดิ้นรนอย่างมากเพื่อช่วยชีวิตตน หากตนกลับหลงลืมวันที่บิดาจากไปอย่างนั้นหรือ สมควรที่จะต้องเจ็บปวด ต้องทุกข์ทนแล้ว 


 


 


โซกังทอดถอนลมหายใจ ปลดอาภรณ์ให้เหล่าลูกแมวนอน ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นด้วยสวมเพียงอาภรณ์ตัวใน จากนั้นก็นำอาภรณ์ตัวอื่นที่แขวนอยู่ตรงมุมห้องมาสวมทับแทน จัดการผูกอย่างเรียบร้อยแล้วก้าวออกจากตำหนัก 


 


 


ถึงแม้จะงดงาม ทว่ากลับแตกต่างกับสวนขนาดน่ารักกะทัดรัดของตำหนักฮงฮวา เพราะสวนของตำหนักยอฮยังอันเป็นตำหนักของฮวังฮูกลับใหญ่โตและหรูหราเสียจนอึดอัดใจ สร้างขึ้นเพื่อแสดงความสง่างามให้สมกับฐานะของจักรพรรดินี หากมิใช่เช่นนั้นก็อาจจะเป็นเพราะฮวังฮูในอดีตชื่นชอบความหรูหราเช่นนี้กระมัง จักรพรรดิยามนั้นจึงสร้างให้ก็สุดรู้ 


 


 


ร่างบางตระหนักถึงความอกตัญญูของตน แม้อากาศจะหนาวเหน็บก็ไม่ยอมสวมชุดคลุมและออกมาเดินในสวน พอได้เห็นเช่นนั้น ขันทีผู้รับหน้าที่คอยดูแลฮวังฮูก็พลันตระหนกตื่น 


 


 


“มามา!” 


 


 


“หืม?” 


 


 


“ข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก สวมฉลองพระองค์คลุมแล้วค่อยออกไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก” 


 


 


โซกังยกยิ้มบางพร้อมเอ่ยตอบ ทราบดีว่าลมพัดแรงและอากาศเย็นเสียจนพื้นเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ทว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยหนาวนัก ด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่รู้บุญคุณจึงไม่มีกระทั่งเวลาจะรู้สึกหนาวเย็น คิดว่าจำเป็นจะต้องสัมผัสสายลมเย็นเยียบถึงจะตั้งสติขึ้นมาได้ แต่เมื่อฟังเหตุผลของขันที เขาจึงไม่อาจดื้อรั้นทำเช่นนั้น 


 


 


“ฮวังฮูมามา หากทรงออกมาเช่นนี้แล้วฝ่าบาทเสด็จมาพอดี กระหม่อมคงต้องตายแน่พ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดเห็นใจกระหม่อม สวมฉลองพระองค์เพิ่มสักชั้นด้วยเถิด” 


 


 


“นั่นสินะ ข้าคิดน้อยเอง” 


 


 


คำกล่าวนั้นทำให้โซกังพยักหน้ารับและหมุนเท้ากลับ จาฮอนย่อมตำหนิขันทีแน่นอนหากปล่อยให้ตนออกไปเช่นนี้ รวมถึงคนอื่นๆ ในตำหนักยอฮยังทั้งหมดด้วย 


 


 


ร่างบางกลับเข้ามาด้านใน สวมอาภรณ์ตัดเย็บอย่างหนานุ่มคลุมทับแล้วออกมาด้านนอกอีกครั้ง ขันทีกล่าวขอบคุณพร้อมกับค้อมคำนับ เขาก็ตอบรับว่าไม่ต้องทำเช่นนั้นพร้อมโบกมือ ก่อนจะเริ่มออกเดินในสวน โดยมีขันทีก็ติดตามอยู่ด้านหลัง โซกังทอดถอนใจออกมาระหว่างเดินเตร่ในสวนอยู่สักพัก 


 


 


แท่นบรรทมจากไม้ราคาแพง เครื่องนอนผ้าไหมและผ้าห่ม จนถึงอาภรณ์อันประณีตงดงามและรองเท้าปัก เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับทั้งหมดนั่นเลย 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


เพราะกล่าวว่าพรุ่งนี้จะพาไปที่ที่หนึ่ง จาฮอนจึงไม่ได้เปิดเปลือยอาภรณ์ของคนรักในยามค่ำคืน แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้นอนหลับลำพัง ตำหนักคอนรยุงอันเป็นตำหนักส่วนตัวนั้นไร้ประโยชน์จะพำนัก เพราะตำหนักของคนรักก็คือที่พำนักหลักของเขา 


 


 


โซกังไม่กล้าเล่าสิ่งที่ตนเพิ่งตระหนักได้แก่คนที่โอบกอดและลูบปลอบแผ่นหลังฟัง 


 


 


อีกฝ่ายยุ่งมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ การสะสางราชกิจจนเสร็จแล้วกลับมาก่อนยามซุลเช่นวันนี้ นับเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่ง เดิมทีระฆังต้องบอกยามแฮก่อนถึงจะกลับมายังตำหนักยอฮยัง ดังนั้น ตนจึงไม่สามารถแสดงท่าทางเหมือนเด็กๆ ไปมากกว่านี้ต่อจาฮอนได้ 


 


 


ตั้งแต่แต่งตั้งตนขึ้นเป็นฮวังฮู ทั้งสลักว่าจะเป็นฮวังฮูเพียงหนึ่งเดียว ก็ได้รับความยุ่งยากมากพอแล้ว ทราบดีว่าการตามหาสายเลือดของเชื้อพระวงศ์องค์ก่อนๆ เพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ต่อ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย หากลองควบคุมความรู้สึกด้วยตนเอง ก็คงจะไม่เป็นไร โซกังจึงขอนอนหลับในอ้อมกอดของจาฮอน 


 


 


 


 


 


เช้าวันต่อมา หลังจากสวมฉลองพระองค์เต็มยศ ร่างสูงก็กล่าวกับโซกังที่ยังคงดูไม่สู้ดีนัก 


 


 


“อย่าลืมล่ะ เตรียมตัวไว้ ยามระฆังแจ้งช่วงกลางยามซาดังขึ้น ข้าจะส่งเกี้ยวมารับ เจ้าแค่ขึ้นเกี้ยวมาก็พอ” 


 


 


“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่จะทรงพาไปที่ใดหรือ” 


 


 


“เป็นที่ที่เจ้าจะต้องไปเห็นเอง” 


 


 


จาฮอนบอกเพียงเท่านั้น โซกังทำสีหน้าสงสัยเพราะไม่เข้าใจเรื่องราว แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ยอมบอกอะไรอีก มอบจุมพิตหนักหน่วงจนหายใจไม่ทันคล้ายเป็นการปิดกั้นการสนทนา ก่อนจะก้าวออกจากตำหนักยอฮยัง 


 


 


โซกังนอนพักผ่อนบนแท่นบรรทมต่ออีกนิดหลังจากจาฮอนออกไปแล้ว เขาอ่อนล้ายิ่งกว่าเมื่อวาน ในหัวคล้ายอื้ออึงด้วยเสียงร้องของเหล่าผู้ล่วงลับ 


 


 


ระหว่างเผลอหลับ เสียงระฆังแจ้งเวลายามซาก็ดังขึ้น ทำเอาโซกังสะดุ้งตื่น รีบลุกขึ้นมาชำระกายและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เหล่านางกำนัลเข้ามาช่วยสวมฉลองพระองค์เต็มยศ เส้นผมยาวสลวยไม่ได้ยกรวบขึ้น เพียงปล่อยสยายโดยจัดให้ไม่กระเซอะกระเซิง 


 


 


ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงระฆังแจ้งช่วงกลางยามซาก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงรายงานจากนางกำนัลหน้าประตู 


 


 


“ฮวังฮูมามา เกี้ยวมาถึงแล้วเพคะ” 


 


 


“เรากำลังจะออกไป” 


 


 


แม้จะค่อยๆ ปรับตัว โซกังก็ยังคงสุภาพไม่เปลี่ยน เขาสวมชุดคลุมที่นางกำนัลนำมาให้ ก่อนจะก้าวออกไปนอกตำหนักแล้วขึ้นเกี้ยว ใช้ผ้าห่มที่เตรียมไว้ภายในคลุมตัก รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวของตัวเกี้ยว เขาจึงหลับตาลงครู่หนึ่ง ทุกอย่างดำเนินเช่นนั้น มีเสียงฝีเท้าม้ากุบกับดังขึ้นใกล้ๆ โซกังยังคงหลับตาอยู่และคิดว่าคงจะเป็นองครักษ์ฮวังรยง 


 


 


จะไปถึงที่ใดกันนะ การสั่นหยุดลงแล้ว ดูท่าจะถึงที่หมายเป็นแน่ 


 


 


ได้ยินเสียงความวุ่นวายอยู่ครู่ จากนั้นประตูเกี้ยวก็เปิดออก เป็นจาฮอน… อีกฝ่ายช่วยจับมือและพาลงจากเกี้ยว เขาถึงได้รู้ว่ามีเพียงตนนั่งเกี้ยวมาผู้เดียว เพราะจาฮอนขี่ม้ามาเอง 


 


 


หลังจากลงจากเกี้ยวก็มองดูโดยรอบด้วยสีหน้างุนงง มองเห็นต้นไม้อยู่ทั่วครรลองสายตา คล้ายเป็นปากทางขึ้นเขา ทั้งยังมีลมพัดแรง แม้จะไม่อาจรู้ว่าเป็นประตูค่ายทหารหรืออันใด แต่โซกังก็ยืนอย่างสงบเสงี่ยมรอคอยให้จาฮอนอธิบายแทนที่จะเอ่ยถาม ร่างสูงจับมือเขาแล้วหันไปเอ่ยกับเหล่าผู้ติดตาม 


 


 


“รออยู่ที่นี่ จนกว่าข้าจะกลับมา” 


 


 


“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


ทุกคนค้อมคำนับพร้อมตอบรับ โซกังเดินขึ้นเส้นทางบนเขาตามที่มือของจาฮอนจับจูง แม้ไม่ใช่เส้นทางสูงชัน ทว่าเป็นเส้นทางดินค่อนข้างลาด แต่กลับสวมอาภรณ์รุ่มร่ามจึงรู้สึกไม่ค่อยสะดวก อีกทั้งตอนนี้พลังกายพลังใจก็ถดถอย จึงยิ่งรู้สึกลำบากกว่าเดิม 


 


 


หากจาฮอนไม่จับจูง เดินไม่เท่าไหร่ก็คงจะล้มทรุดแล้ว 


 


 


เมื่อก้าวเดินขึ้นไปได้ระยะหนึ่ง จาฮอนก็พาโซกังมาหยุดยืนตรงบริเวณโล่งกว้าง ต้นไม้ถูกตัดโค่นออกเล็กน้อย ยืนโอบประคองช่วงไหล่บางเอาไว้อย่างอ่อนโยน 


 


 


“ขอโทษที่ข้าเพิ่งจะพามาเอาป่านนี้ ใช้เวลาตามหาพื้นที่ตรงนี้นานอยู่สักหน่อย” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ? หมายความว่าอย่างไรกัน” 


 


 


แทนที่จะให้คำตอบ อยู่ดีๆ จาฮอนก็หมอบคำนับอย่างนอบน้อมไปทางพื้นที่โล่งกว้างนั่น ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าอาภรณ์จะเปรอะเปื้อนหรือไม่หลังจากคุกเข่าลงกับพื้นถึงสองครา เมื่อเสร็จสิ้นการคำนับครั้งที่สอง อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นและค้อมศีรษะเล็กน้อย และไม่ได้สนใจคำถามของโซกัง 


 


 


“ทรงทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ขออภัยที่เพิ่งมาพบเอาตอนนี้ ข้าดูแลโซกังอย่างดี ดังนั้นโปรดวางใจ” 


 


 


“เมื่อครู่ท่าน นี่… ที่นี่คือ!” 


 


 


ร่างบางเอ่ยตะกุกตะกักไม่เป็นประโยค ดวงตาเบิกกล้างค้างเติ่งและรีบเร่งเดินไปยังพื้นที่โล่งกว้างตรงหน้า จาฮอนตบไหล่โซกังอย่างแผ่วเบาก่อนจะตอบคำถาม 


 


 


“แต่เดิม ศพของเหล่านักโทษประหารมีสถานที่สำหรับทำพิธีแยกต่างหาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านมหาเสนาบดีพลาธิการกับครอบครัว และอีกหลายคนกลับถูกฝังอยู่ที่นี่โดยไม่มีการทำพิธีใดๆ ท่านขุนนางกรมราชเลขาก็เช่นกัน ดังนั้น ข้าจึงใช้เวลาหาอยู่นานนัก” 


 


 


“ฮึก…ที่ ที่นี่ ไม่ได้ทำพิธี…! ทั้งๆ ที่เป็นเช่นนี้ ข้ากลับ ไม่รู้อันใดเลย ทั้งยังสุขสบาย…” 


 


 


หยาดน้ำตาไหลรินจากดวงตาคู่สวย ไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้น โซกังยังทรุดตัวลงกับพื้นราวกับไร้เรี่ยวแรงจะยืน จาฮอนจึงก้มตัวลงปลอบโยนคนสะอื้นไห้อย่างไร้เสียง 


 


 


“เจ้าใช้ชีวิตสุขสบายอย่างไรกัน ความสุขสบายในยามนี้ ก็ใช่ว่าจะสุขสบายมาตลอดมิใช่หรือ อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย เมื่อหาพบแล้ว เราก็จัดการทำพิธีให้ดีก็พอแล้ว” 


 


 


“จาฮอน… ฮึก…” 


 


 


โซกังแอบอิงแผ่นอกแกร่ง จาฮอนช่วยกอดปลอบอีกฝ่ายจนกระทั่งน้ำตาหยุดลง หลังจากหยุดร้องไห้ได้เพียงครู่ เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาปูดบวมและเอ่ยถาม 


 


 


“ทรงคิดพากระหม่อมมาที่นี่ได้อย่างไรกัน” 


 


 


“ไม่รู้สิ ข้าก็แค่ แค่คิดว่าเจ้าต้องมาเท่านั้นเอง” 


 


 


“ขอบคุณนะจาฮอน… ท่านพี่” 


 


 


ความรู้สึกอยากขอบคุณอัดแน่นในอก โซกังเอ่ยถ้อยคำที่ไม่ค่อยเอ่ยออกมาด้วยขัดเขินว่าตนเป็นบุรุษ คิ้วของจาฮอนกระตุกทันที ก่อนจะยังวาดยิ้มกว้างอย่างไม่อาจเก็บซ่อน จากนั้นก็ลูบสัมผัสปรางแก้มนุ่มและขโมยจูบแผ่วเบา 


 


 


“ข้าจะตกแต่งให้งดงามแล้วก็ชวนเจ้ามาทุกๆ ปี เจ้าจะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก” 


 


 


“…ตั้งใจจะทำให้ข้าร้องไห้อีกแล้วหรือ” 


 


 


“มันเป็นเรื่องดีต่างหาก จงยิ้มออกมาเถิด เจ้าร้องไห้แค่ยามอยู่ใต้ร่างข้าก็พอแล้ว” 


 


 


โซกังจับมือของจาฮอนเดินไปทั้งๆ ที่ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ไม่รู้ทำไมสายลมรุนแรงเมื่อครู่ ยามนี้ถึงทำให้รู้สึกเย็นสบาย 

 

 

 


ตอนพิเศษ 3-1 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง

 

ตอนพิเศษ 3-1 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง

 


ตอนพิเศษ 3 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง 


 


 


 


 


 


ยามซุล ณ ตำหนักยอฮยัง 


 


 


นางกำนัลสองคนกำลังค้อมศีรษะคำนับตรงหน้าประตู โดยนางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยรายงานเข้าไปด้านใน 


 


 


“มามา ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้วเพคะ” 


 


 


“เชิญเสด็จเข้ามา” 


 


 


น้ำเสียงสุขุมดังขึ้นตอบรับ หลังจากนางกำนัลขานรับว่าเพคะ ประตูก็เปิดออกอย่างระมัดระวัง ร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก้าวเข้ามาด้านใน ประตูจึงปิดลงแผ่วเบาไร้สุ้มเสียง โซกังสวมอาภรณ์สีเหลืองปนแดงขยับเท้าเข้าหาจาฮอน ร่างสูงยกยิ้มพร้อมโอบแขนรอบช่วงเอวบาง อีกมือโอบประคองต้นคอแล้วทาบทับริมฝีปากอย่างอ่อนโยนลงบนหน้าผากและสันจมูก โซกังวาดยิ้มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อก่อนจะเอ่ยถาม 


 


 


“มาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท… ท่านจาฮอน กระทั่งเวลานี้ก็ยังมีราชกิจที่ไม่อาจเลี่ยงอยู่อีกหรือ” 


 


 


หลังเผลอเอ่ยเรียก ‘ฝ่าบาท’ ก็ปล่อยเวลาไว้เพียงสั้นๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกซ้ำด้วยนามจริงอีกครา จาฮอนยกยิ้มพลางลูบศีรษะอีกฝ่ายและไล้ลงตามช่วงเอว ร่างบางหน้าแดงซ่านอย่างขัดเขิน แนบอิงหน้าผากลงบนแผ่นอกแกร่ง 


 


 


ทั้งสองสัมผัสความอบอุ่นของกันและกันเช่นนั้นครู่หนึ่ง แล้วผละออกจากกัน แยกย้านไปทำกิจธุระของแต่ละคน 


 


 


โซกังนำผ้าชุบลงในน้ำสำหรับล้างหน้าที่นางกำนัลเตรียมวางไว้ให้ตั้งแต่ก่อนจาฮอนจะมาถึง บิดพอหมาด ส่วนจาฮอนก็ถอดฉลองพระองค์ออก แล้วนำอาภรณ์ที่พาดอยู่ตรงมุมหนึ่งมาสวม เพราะหากเข้ามาในตำหนักยอฮยังแล้ว ก็จะไม่ออกไปไหนอีกและเข้านอนที่นี่ 


 


 


เขาส่งผ้าบิดหมาดให้แก่อีกฝ่าย เดิมทีเป็นหน้าที่ของเหล่านางกำนัล ในการช่วยปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ คอยเช็ดใบหน้า มือ เท้าทั้งหมด ซึ่งจาฮอนก็ไม่ได้สั่งให้โซกังทำเช่นนั้น แต่กลับเป็นเจ้าตัวเองที่ยืนกรานว่าตนจะเป็นคนนำผ้าชุบน้ำและบิดหมาดให้อย่างที่เพิ่งกระทำ 


 


 


เมื่อเช็ดจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ส่งผ้าคืนแก่คนรัก โซกังจึงนำอ่างน้ำและของเหล่านั้นไปวางไว้หน้าประตู พร้อมแจ้งแก่นางกำนัล เหล่านางกำนัลก็ยกอ่างน้ำออกไปในทันที จาฮอนนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะเอ่ยถาม 


 


 


“ทานมื้อเย็นแล้วหรือ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ จะเสวยสำรับเย็นหรือไม่” 


 


 


“สั่งให้นำของว่างมารองท้องแล้วล่ะ รีบมาเพราะตั้งใจจะมาทานกับเจ้า แต่ดูท่าจะช้าไปเสียแล้ว” 


 


 


จากนั้นก็กวักมือเรียกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม โซกังหยัดกายลุกมายืนตรงหน้า เขาเลยดึงอีกฝ่ายให้นั่งลงบนตัก และเงยหน้ามองฮวังฮูเพียงหนึ่งเดียวของตน แม้เวลาล่วงเลยผ่านมาแล้วก็ยังคงงดงามไม่สร่าง โซกังเปิดปากกล่าวทั้งรอยยิ้ม 


 


 


“รัชทายาททรงมาเยี่ยมเยือนกันถึงสองคราเชียว” 


 


 


“ได้ยินจากขันทีแล้ว เจ้านั่นมาถามว่าเหตุใดเจ้าถึงเป็นฮวังฮูใช่หรือไม่ แล้วเจ้าตอบไปว่าอย่างไร” 


 


 


“กระหม่อมตอบไปว่าด้วยมีวาสนาผูกพันต่อกันมาจนถึงตอนนี้” 


 


 


“ข้าไม่ชอบใจคำตอบ แต่ไม่ชอบใจคำถามยิ่งกว่า” 


 


 


“บุรุษได้อยู่ในตำแหน่งฮวังฮู หาใช่มีบ่อยครั้ง รัชทายาทเพียงถามด้วยความอยากรู้ก็เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อืม หากฮวังฮูพูดถึงขนาดนี้ ข้าก็จะยอมปล่อยไปแล้วกัน” 


 


 


จาฮอนขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่โซกังแย้มยิ้มและเอ่ยยังเข้าข้างรัชทายาทยังฮายอบ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ด้วยคิดว่าแม้จะเอ็นดูเด็กน้อยเพียงใด แต่หากไม่เข้าใจก็ควรทำตัวนิ่งเฉยจะดีเสียกว่า 


 


 


เมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น โซกังจึงเอ่ยบอกกล่าวเหมือนตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศว่าวันนี้รัชทายาทอ่านตำราเล่มใด และได้รับคำชมมากมายว่าปราดเปรื่องจากกวักฮันยูลผู้เป็นราชครู ยามพาเด็กน้อยผู้นั้นมา ร่างบางก็ดูจะดูแลและชื่นชอบมากยิ่งกว่าตัวเขา เอาใจใส่ราวกับเป็นบุตรของตนจริงๆ ความอิจฉาจึงเอ่อล้น แต่จาฮอนก็ยังคงยิ้มแย้มส่งให้ 


 


 


ยังฮายอบ เป็นบุตรบุญธรรมของจาฮอน รับตำแหน่งเป็นรัชทายาทในยามนี้ เด็กผู้นนี้เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์ที่ตระเวนเสาะหาทั่วอาณาจักรอย่างยากลำบาก กระทั่งค้นพบเมื่อหนึ่งปีก่อน 


 


 


หากเป็นเพียงการสืบหาของทางวังหลวง คงไม่มีทางหาพบเป็นแน่ แต่ทันยอง อดีตนักฆ่ายาอึมเข้ามาช่วยค้นหาจนพบ ตระกูลพ่อค้าในหมู่บ้านชนบทที่ยองเคยพึ่งพาและทำหน้าที่เป็นหน่วยคุ้มกันอยู่ระยะหนึ่ง คือครอบครัวของยังฮายอบ ยองบังเอิญเห็นสิ่งของสลักลวดลายของราชวงศ์อันเป็นของรักของหวงเหล่าผู้อาวุโสตระกูลนั้น จึงนำความมารายการถึงวังหลวงด้วยตนเอง ด้วยการมาของทันยอง ทำให้จาฮอนรู้ว่าควรวางตัวอดีตนักฆ่ายาอึมผู้นี้ไว้ในตำแหน่งใด 


 


 


ตามรายงานของทันยองกล่าวว่า ด้วยความเมตตาระหว่างออกตรวจตรายามค่ำคืนของอดีตจักรพรรดิรัชกาลก่อนนู่น บุตรสาวของตระกูลพ่อค้าจึงให้กำเนิดทายาทลำดับสามเป็นสตรี ส่วนยังฮายอบเป็นทายาทลำดับสี่ ทว่าไม่อาจได้รับแม้แต่บรรดาศักดิ์ในบันทึกของราชวงศ์ 


 


 


ทว่าเนื่องจากจาฮอนประกาศว่าจะไม่มีทายาท ทั้งลำดับทายาทก่อนหน้าอย่างโควังยาก็ถูกใส่ความว่าเป็นกบฏและถูกประหารชีวิตไปแล้ว ยังจาโฮพี่น้องต่างมารดาเองก็ถูกวางยาพิษ ดังนั้นจึงไม่หลงเหลือสายเลือดของราชวงศ์เพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อจากจาฮอนเลย 


 


 


ก่อนสิ้นชีวิตยังจาโฮยังเด็กนัก อย่าว่าแต่มีบุตรเลย อีกฝ่ายยังไม่ทันได้อภิเษกเสียด้วยซ้ำ ส่วนตระกูลของโควังยาก็ล้วนถูกประหารจนหมดสิ้นไม่มีหลงเหลือ ดังนั้นสายเลือดราชวงศ์ยังที่เกิดการต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างรุนแรง จึงแทบไม่หลงเหลือคนในตระกูลที่ยังมีชีวิตอยู่ 


 


 


ด้วยเหตุนั้น บุตรชายของตระกูลพ่อค้าธรรมดาๆ อย่างฮายอบจึงกลับคืนสู่ลำดับทายาทของราชวงศ์ หลังความสลับซับซ้อนเช่นนี้ จาฮอนเลยจำเป็นต้องมาถามความเห็นจากโซกังเสียก่อน 


 


 


‘สำหรับข้า เจ้าสำคัญที่สุด ดังนั้นข้าไม่มีทางทำอันใดให้เจ้าลำบากใจ’ 


 


 


‘มีเหตุผลอันใดที่กระหม่อมต้องลำบากใจกัน หรือว่าความจริง… ที่ทรงพูดถึงทายาทนั้น…’ 


 


 


‘ยังไม่เข้าใจอีกหรือ นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่อาจโอบกอดสตรีหรือบุรุษอื่นได้อีก ถึงเป็นหญิงงามล่มเมืองก็ไม่ได้ หากยังคิดจะเอ่ยถ้อยคำทำให้ข้าเจ็บปวดเช่นนั้นอีกครา ข้าจะตีก้นเจ้าจนไม่อาจเอ่ยอันใดได้อีกเลย จำเอาไว้’ 


 


 


‘กระหม่อมทราบแล้ว หากรับมาเป็นบุตรบุญธรรมก็ไม่เลวนักพ่ะย่ะค่ะ’ 


 


 


เมื่อได้รับการยินยอมจากโซกัง จาฮอนจึงพาฮายอบเข้าวังหลวงในฐานะบุตรบุญธรรม และตั้งชื่อให้ว่า ‘ฮายอบ’ เมื่อปีที่แล้วก็ทำการแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท 


 


 


ปีนี้ฮายอบอายุได้สิบห้าชันษา แม้จะเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องราวของราชวงศ์ค่อนข้างช้า แต่ก็สามารถไล่ตามทันได้อย่างรวดเร็ว ส่อแววของความฉลาดเฉลียว และตามรายงานที่ได้รับ เมื่อยามสายวันนี้ฮายอบได้เข้ามาเยี่ยมเยือนโซกังพร้อมกับเอ่ยถาม 


 


 


‘ฮวังฮู เหตุใด ‘ยามนี้’ จึงทรงเป็นฮวังฮูหรือพ่ะย่ะค่ะ’ 


 


 


ด้วยโซกังเอ็นดูเด็กนิสัยสุภาพและมีมารยาทเช่นฮายอบมาก จึงไม่ได้คิดว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะมีความหมายอื่นแฝงอยู่หรือไม่และเข้าใจไปตามนั้น 


 


 


แต่จาฮอนได้รับรายงานต่ออีกว่า หลังจากการเข้าพบฮวังฮูแล้ว เจ้าเด็กนั่นก็กล่าวไถ่ถามกับขันทีประจำตัวต่อ 


 


 


‘ฮวังฮูมีพระวรกายเป็นบุรุษ แต่เหตุใดรูปโฉมถึงได้งดงามเช่นนั้นล่ะ นิสัยก็เปรียบเสหมือนผ้าไหม งดงามเสียยิ่งกว่าสตรีใดที่ข้าเคยได้พบเห็นก่อนหน้านี้ ผ่านมาตั้งหนึ่งปีแล้ว แต่ข้าก็ยังรู้สึกประหม่าเพราะความงดงามของพระองค์อยู่เลย ยามเจอพระพักตร์ครั้งแรก ยังเข้าใจว่าเป็นเทพธิดาฮังอามาจุติเสียอีก ใยฮวังฮูถึง…’ 


 


 


เจ้าเด็กเอ่ยถ้อยคำคลุมเครือพลางทอดถอนใจอย่างไม่สมกับอายุ ขมวดคิ้วจนยับย่น ก่อนจะปิดปากเงียบอย่างเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่ง พยายามขบคิดข้อกังขา เจ้าตัวเล็กนั่นมองเห็นว่าโซกังเป็นเทพธิดาฮังอา พอจาฮอนได้รับรายงานนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างหมดคำพูด กล่าวได้ว่าอีกฝ่ายบังอาจเกิดความรู้สึกชื่นชมต่อฮวังฮูเสียได้ 


 


 


โซกังงดงามล่ะสิ ร่างสูงขบคิดดั่งคนเขลา ตั้งใจว่าจะไม่บอกความในใจของเจ้าเด็กน้อยนั่นให้โซกังได้รับรู้ 


 


 


“ทรงคิดอะไรอยู่หรือ” 


 


 


“ได้อยู่ใกล้ชิดผู้เป็นที่รัก จะให้ข้าคิดอันใดได้เล่า” 


 


 


“ไม่รู้สิ” 


 


 


ถ้อยคำของจาฮอนทำให้โซกังแย้มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าลงมอบจุมพิตอ่อนหวานทาบทับริมฝีปาก เส้นผมยาวสยายราวกับสายน้ำพาดลาดไหล่ด้านหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สะบัดส่ายอย่างนุ่มนวลราวกับผืนผ้าไหม จาฮอนพลันนึกถึงยามพบกันเมื่อห้าปีก่อนขณะจ้องมองภาพตรงหน้า 


 


 


โรงอาบน้ำของกรมฝ่ายใต้ ภายในเรือนไม้ที่มีถังไม้ตั้งอยู่ ไม่ว่าจะยามได้พบเมื่อครั้งนั้น หรือยามที่ตนยังเป็นรัชทายาทก็ล้วนเข้าใจว่าโซกังเป็นเทพธิดาฮังอามาจุติ ความรู้สึกอันแรงกล้าของการพบกันในครั้งแรกบังเกิดขึ้น 


 


 


จาฮอนรู้สึกโล่งใจที่ตอนนั้นตัดสินใจออกตามหาอีกฝ่าย หากว่าตนไม่ได้ออกตามหาล่ะก็ โชคชะตาเช่นนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นตัวเขาก็คงจะยังใช้ชีวิตอย่างอ้างว้างโดยไร้ที่วางหัวใจ 


 


 


อาจจะใช้ชีวิตวุ่นวายอยู่กับการมีทายาท ดั่งเช่นเถาวัลย์พันเกี่ยวจนยุ่งเหยิงไปหมด 


 


 


และหากเป็นเช่นนั้นฮายอบเองก็คงจะรับช่วงต่องานของบิดาในหมู่บ้านเล็กๆ นั่น ไม่มีทางได้เข้าสู่วังหลวง เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นมาจากโซกัง ดังนั้นเขาจึงได้คิดว่าช่วงเวลาเหล่านั้นสำคัญยิ่ง 

 

 

 


ตอนพิเศษ 3-2 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง

 

ตอนพิเศษ 3-2 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง

 


จาฮอนอุ้มโซกังขึ้นพร้อมกับหยัดกายลุกจากที่นั่ง 


 


 


“อื้อ!” 


 


 


เมื่อร่างกายถูกยกขึ้นอย่างกะทันหัน เจ้าตัวจึงร้องอุทานจนร่างสูงขบขัน ก่อนจะก้าวไปยังแท่นบรรทมอย่างเนิบช้าแล้ววางตัวอีกฝ่ายลง ส่วนตนก็นั่งลงข้างๆ ใช้ท่อนแขนโอบรอบลาดไหล่บอบบาง ทันทีที่โซกังเอนน้ำหนักพิงอย่างเคยชิน จาฮอนจึงเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา 


 


 


“นึกถึงอดีตขึ้นมาน่ะ ครั้งแรกที่ได้พบเจ้า ถึงกับเข้าใจว่าเป็นเทพธิดาฮังอาลงมาจากดวงจันทร์” 


 


 


“ขนาดนั้นเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าไม่เคยบอกเจ้าหรอกหรือ” 


 


 


“ไม่เคยพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวแต่ว่าใช้อุบายหญิงงามกับพวกคนชุดดำ” 


 


 


“ไม่ใช่ ถึงไม่ใช่ตอนนั้น แต่ข้าก็แน่ใจว่าเคยบอกแล้ว” 


 


 


“กระหม่อมเห็นจำได้ว่าเคยได้ยิน” 


 


 


ทันทีที่โซกังเอ่ยอย่างมั่นใจเช่นนั้น จาฮอนเลยกระแอมออกมาแล้วเปลี่ยนคำพูด ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่เคยได้ยิน ดังนั้นคนจดจำได้เลือนรางอย่าตนจึงต้องยอมแพ้อย่างเสียมิได้ 


 


 


“จำได้หรือไม่ที่ข้าเคยกล่าวว่าหากอยู่ใต้แสงจันทร์ ผิวพรรณของเจ้าคล้ายมีประกายแสงดวงจันทร์?” 


 


 


“นึกไม่ออกเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


กระทั่งครานี้ก็ยังตอบเช่นเดิม สุดท้ายแทนที่จะกล่าวชื่นชมความงามของอีกฝ่าย จาฮอนจึงต้องกลับมาพูดถึงเรื่องชีวิตประจำวัน 


 


 


“เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ… แล้วเจ้าอาบน้ำแล้วหรือ คิดจะเปลี่ยนเป็นชุดนอนเมื่อใดกัน” 


 


 


ขณะเอ่ยถามก็แอบสอดมือเข้าไปด้านในอาภรณ์ของโซกัง ร่างบางหัวเราะแผ่วเบาและดึงมือใหญ่ของออกมาด้านนอกอาภรณ์ตน ก่อนจะหยัดตัวลุกจากแท่นบรรทม 


 


 


“จะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ ดีเลย เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกันเถิด” 


 


 


เมื่อจาฮอนหยัดตัวลุกขึ้นตาม ใบหน้าหวานก็พลันขึ้นสีระเรื่อ ระยะเวลากว่าห้าปีที่อยู่ด้วยกัน การอาบน้ำพร้อมกันนับได้ไม่ถ้วน ทว่าทุกคราก็เป็นต้องหน้าแดงด้วยความเขินอายเช่นนี้เสมอ ร่างสูงรู้สึกว่าท่าทางของโซกังนั้นช่างน่าเอ็นดู จึงประทับริมฝีปากลงบนแก้มนุ่ม จากนั้นพาออกไปแช่ตัวในถังอาบน้ำกลางแจ้งด้วยกัน 


 


 


โซกังยิ่งหน้าแดงมากขึ้นไปอีก ขณะก้าวตามด้านหลังของจาฮอนที่เปิดประตูออกอย่างแผ่วเบา 


 


 


ส่วนในสุดของตำหนักยอฮยัง ด้านหลังของประตูสี่ชั้นนั้น บนเพดานเป็นหินแกะสลักอย่างประณีตบรรจง และมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ทำขึ้นจากการคว้านเนื้อตรงกลางของไม้หอมขนาดใหญ่ออกอย่างพอเหมาะ นางกำนัลเข้ามาตระเตรียมน้ำให้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว 


 


 


จาฮอนและโซกังก้าวเข้าไปด้านในตามลำดับ ก่อนผู้มีฐานันดรสูงกว่าจะเอ่ยแก่เหล่านางกำนัลและขันทีที่ตามเข้ามาด้านใน 


 


 


“ไม่จำเป็นต้องอยู่คอยปรนนิบัติ ไม่ต้องเข้ามาจนกว่าข้าจะเรียก” 


 


 


“ทราบแล้วเพคะ” 


 


 


“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หลังจากคนไม่เกี่ยวข้องออกไปจนหมด พวกเขาสองคนจึงช่วยถอดอาภรณ์ของกันและกัน 


 


 


จาฮอนก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำก่อน ส่วนร่างบางจำต้องรวบผมจึงต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ก่อนจะก้าวตามลงในอ่าง จากนั้นเขาก็ดึงโซกังเข้ามาในอ้อมกอดจนแผ่นหลังแนบชิดกับแผ่นอก ศีรษะเล็กซบอิงไม่ห่าง 


 


 


ทว่าด้วยท่วงท่าโอบกอดจากทางด้านหลัง เส้นผมที่ยกรวบขึ้นจึงเกะกะสำหรับจาฮอนพอควร เขาจึงแตะสัมผัสมวยผมครู่หนึ่งแล้วปลดมันลงเสีย เส้นผมเรียงตัวสวยพลันร่วงสยายตกลงมาคล้ายสายน้ำทะลักไหล 


 


 


การกระทำเช่นนั้นทำให้เสียงอุทานดังออกมาจากปากของโซกัง 


 


 


“อ๊ะ! เปียกหมดแล้ว” 


 


 


“ดูงดงามขึ้นเป็นเท่าตัวเชียว” 


 


 


จาฮอนรวบเส้นผมยาวสลวยพาดลาดไหล่ด้านหนึ่ง ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบชิดอีกหน ทั้งสัมผัสหน้าอกเปียกชื้น เสียงระบายลมหายใจราวกับรู้สึกดีเล็ดลอดดังแว่วให้ได้ยินจนมีอารมณ์ตามไปด้วย แน่นอนว่าช่วงล่างเริ่มแข็งขืนขึ้นเช่นกัน 


 


 


มันคืออะไรกันนะ 


 


 


เขาลูบสัมผัสแผ่นอกบางด้วยฝ่ามือ กดนวดยอดถันชูชันหลังถูกตนรังแกมาตลอดหลายปี 


 


 


 “อา ฮา จาฮอน…” 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงคราง ส่วนกลางกายของจาฮอนที่กำลังแข็งขืนก็ตั้งชันทิ่มถูกบั้นท้ายอีกฝ่ายทันที โซกังเบือนหน้าไปด้านข้างและเอ่ยเสียงเบา 


 


 


“ที่นี่ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“มิใช่ว่าไม่เคยทำเสียหน่อย เหตุใดจึงไม่ได้เล่า” 


 


 


“ความลับพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หืม? ข้าไม่ได้พร่ำบอกเจ้าหรอกหรือว่าระหว่างสามีภรรยาไม่ควรมีความลับต่อกันน่ะ” 


 


 


ว่าจบก็กอบกำส่วนอ่อนไหวของอีกคนแน่น เรียกเสียงครางอื้ออ้าเล็ดลอดออกมาจากปากเจ้าตัว  


 


 


จาฮอนนวดเฟ้นแกนกายของโซกังจนแข็งขืนได้ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะจับใบหน้าหวานให้หันมาแล้วก้มหน้าลงงับติ่งหู ทั้งกระซิบกล่าว 


 


 


“หากไม่ยอมบอกเหตุผลอันสมควรว่าเพราะเหตุใดจึงทำไม่ได้ล่ะก็ ข้าจะรังแกเจ้าอยู่เช่นนี้” 


 


 


“อื้อ อ๊ะ ฮา… ช่างเอาแต่ใจเสียจริง” 


 


 


“เป็นความโลภเพราะอยากรู้ทุกเรื่องของเจ้าต่างหาก” 


 


 


“ช่างโลภมากยิ่งนัก คนเราจะรู้จักคนผู้หนึ่งในทุกๆ เรื่องได้อย่างไร” 


 


 


“หากเจ้ารู้อยู่ผู้เดียวมันก็ไม่ยุติธรรมสิ ข้าเองก็อยากรู้จักเจ้าเช่นกัน” 


 


 


“ทรงหมายความว่าอย่างไร” 


 


 


“ที่เจ้าเห็น คือตัวตนแท้จริงของข้า คล้ายเด็กเล็กๆ เต็มไปด้วยความต้องการ เป็นบุรุษเอาแต่ใจ เมื่อออกจากตำหนักยอฮยัง ก็กลายเป็นจักรพรรดิผู้เข้มงวด แต่ก็ถือว่ามีเมตตา ทว่าตัวตนของข้ากลับเป็นเช่นนั้นไม่ ข้าไม่ใช่บุรุษที่ดีเช่นนั้น” 


 


 


“เอามือออกก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ร่างสูงยังคงกระซิบอยู่ข้างหูด้วยน้ำเสียงเจือความหยอกเย้า ทว่าโซกังกลับแกล้งสั่งให้อีกฝ่ายเอามือออกด้วยน้ำเสียงคล้ายมีโทสะ 


 


 


จาฮอนคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะรับรู้ว่าน้ำเสียงของตนแฝงการหยอกเย้า แต่เมื่อสัมผัสถึงโทสะของโซกัง คิ้วก็พลันขมวดมุ่น ก่อนจะจับหมุนตัวหันมานั่งเผชิญหน้า การกระทำนั้นส่งผลให้น้ำกระฉอกไหว พอโซกังหันกลับมาก็เกิดระลอกคลื่นกระทบกับผนังอ่าง เขายกยิ้มแหยเมื่อเห็นคนรักจ้องมองกันอย่างเครียดขึง 


 


 


“คำกล่าวเมื่อครู่ มีสิ่งใดทำให้เจ้าโกรธเคืองขึ้นมาหรือ” 


 


 


“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไหนว่ามาสิ คำใดทำให้เจ้าโกรธเคืองเช่นนั้น” 


 


 


“สวามีของกระหม่อมปราดเปรื่อง ละเอียดรอบคอบ ไม่เคยให้กระหม่อมต้องอดอยาก ยามค่ำคืนก็…คือ อืม แต่เมื่อได้ฟังฝ่าบาทตรัสเมื่อครู่ ดูเหมือนพระองค์จะไม่ใช่สวามีของกระหม่อมเสียแล้ว” 


 


 


โซกังไม่สามารถเอ่ยชมว่ายามค่ำคืนก็เก่งกาจออกมาได้เพราะเขินอาย จึงละคำพูดส่วนนั้นไว้จนแก้มขึ้นลามกระทั่งใบหู จาฮอนมองปฏิกิริยานั้นพลางหัวเราะ โซกังใช้มือปิดบังใบหน้าร้อนผ่าวพร้อมเอ่ยพึมพำ 


 


 


“ใยถึงหัวเราะเช่นนี้” 


 


 


“ก็เจ้าน่ารัก จะห้ามไม่ให้ข้ายิ้มได้หรือ อย่าเอาแต่หลบหน้ากันเลย แล้วก็เลิกทำเป็นโมโหได้แล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบได้ยินคำว่าฝ่าบาทจากเจ้า ข้าจะไม่พูดอีกแล้วนะ” 


 


 


จาฮอนจับข้อมือเล็กให้ละออกจากใบหน้างดงาม มันแดงจัดสะท้อนสีหน้าเหมือนประสบความยุ่งยาก ช่างน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ก่อนจะปล่อยมือออกและโอบเอวบางดึงรั้งมาทางตน ทว่าเปลี่ยนจากหันหลังเป็นหันหน้ากลับเท่านั้น ขณะถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดแกร่ง โซกังก็นึกว่าอีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจจริงๆ จึงหลุบสายตาลงต่ำ ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาก็ดังขึ้น 


 


 


ตอนนั้นถึงตระหนักว่าจาฮอนไม่ได้โกรธจึงเงยหน้าขึ้น แล้วก็พบว่าจาฮอนจ้องมองกันพลางยกยิ้มล้อ 


 


 


“อา…” 


 


 


“เจ้ารู้สึกว่ายามค่ำคืนมันน่าพึงพอใจมากเกินไปอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ท่านจาฮอน! ไม่ใช่อย่างนั้น เอ่อ คือว่า…” 


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็หมายความว่าค่ำคืนที่อยู่ร่วมกับข้า ไม่อาจทำให้เจ้าพึงพอใจได้หรือ” 


 


 


“ไม่ใช่แบบนั้น เฮ้อ… ข้าแค่ล้อเล่น” 


 


 


“เห็นเป็นเช่นนี้แล้ว มิใช่ว่าข้ากลายเป็นบุรุษถูกรังแกหรอกหรือ” 


 


 


โซกังซุกใบหน้าแดงจัดราวกับจะระเบิดออกมาเข้ากับอกของจาฮอน ก่อนจะทักท้วงพึมพำในลำคอ 


 


 


“ถึงอย่างไรสวามีของกระหม่อมก็ดีที่สุด” 


 


 


จาฮอนหลุดหัวเราะออกมาอีกคราและกระชับอ้อมกอด แม้เวลาจะผ่านมาถึงห้าปีแล้วก็ตาม แต่ทุกวันยังคงหวานชื่นเฉกเช่นวันอภิเษก วันนี้ก็ยิ่งหอมหวานมากขึ้นไปอีก ทั้งคู่โอบกอดกันและกันเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จัดการอาบน้ำชำระกายเสียก่อนจะเย็น เสร็จแล้วก็ลุกออกมาจากอ่างอาบน้ำ 


 


 


หากเมื่อใดพวกเขาอาบน้ำด้วยกัน จะสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้ามารับใช้จวบจนกระทั่งก่อนจะสวมอาภรณ์เต็มยศ ทั้งสองต่างเช็ดถูให้กันและกันแล้วสวมอาภรณ์ลำลอง หลังจากผูกปมเรียบร้อยแล้ว จาฮอนจึงกล่าวกับโซกัง 


 


 


“วันนี้ยามเดินทางมาตำหนักยอฮยัง ด้านนอกมีลมพัดเย็นสบาย เราออกไปดื่มชาอบเชยกันในอุทยานหลวง แล้วค่อยกลับเข้าห้องบรรทมเป็นอย่างไร” 


 


 


“ดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเห็นชอบ จาฮอนจึงใช้ผ้าเช็ดเส้นผมเปียกชื้นของคนรักและแจ้งด้านนอกทันที 


 


 


“จงนำของว่างไปจัดเตรียมในอุทยานหลวง” 


 


 


“เพคะฝ่าบาท” 


 


 


“ไม่ทรงรับสั่งให้นำชาอบเชยมาด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


คำสั่งอันแสนเรียบง่ายของจาฮอนทำให้โซกังผินหน้าเอ่ยถาม ด้วยเป็นความชมชอบของตนจึงนำมาแต่ชาขาวและชาทองประดับตำหนักเท่านั้น หากรับสั่งเรียบง่ายเช่นนั้น ผู้อื่นจะทราบได้อย่างไรว่าจะให้นำชาอบเชยมาด้วย 


 


 


ทว่าจาฮอนเพียงยกยิ้มน้อยๆ พลางตบลาดไหล่บางสองหน และเช็ดหยาดน้ำออกจากเส้นผมอีกครั้งแล้วตอบกลับ 


 


 


“คงจะพอมีไหวพริบอยู่บ้าง เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย หรือหากพวกเขาไร้ไหวพริบนำชาอื่นมาด้วย ก็หาเป็นไรไม่ ได้ดื่มร่วมกับโฉมงามเช่นเจ้า ไม่ว่าชาใดก็ล้วนไร้รสชาติทั้งสิ้น” 


 


 


เขาจัดแจงช่วยเช็ดเส้นผมเปียกชื้นของโซกังอย่างเต็มกำลัง 

 

 

 


ตอนพิเศษ 3-3 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง

 

ตอนพิเศษ 3-3 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง

 


อีกด้านหนึ่ง แม้จะเป็นยามค่ำมืดแล้ว แต่กลับอึกทึกครึกโครมกว่าที่คิด นางกำนัลนำผ้าแพรมาปูกางด้านหนึ่งของอุทยานหลวงถึงห้าชั้น และนำสำรับของว่างวางลงบนนั้น อีกทั้งยังมีกระปุกน้ำมันหอมขนาดเล็ก ผ้าไหมสะอาด ตรงบริเวณอับสายตาก็ยังมีกระทั่งผ้าห่มพับวางเอาไว้ 


 


 


เพราะเมื่อช่วงกลางวัน หลังรับฟังรายงานเกี่ยวกับรัชทายาทแล้ว จาฮอนก็สั่งเอาไว้ว่าหากตนพูดเช่นนี้ออกมา ก็ให้นางกำลังจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ ขันทีโชจึงสั่งการให้จัดเตรียมล่วงหน้า พอดีกับวันนี้เป็นคืนวันเพ็ญ พระจันทร์ดวงกลมโตฉายแสงนวลกระจ่าง ส่องสว่างแก่ท้องฟ้ายามค่ำคืนโดยไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียง 


 


 


จากนั้นจาฮอนกับโซกังก็จับมือออกมายังอุทยานหลวง ทั้งสองอยู่ในชุดลำลองสำหรับสวมใส่ยามบรรทม ไม่ใช่ชุดทางการ ด้วยเป็นเขตตำหนักส่วนพระองค์ 


 


 


เขาให้โซกังนั่งบนผ้าแพรเสียที่มีข้าวของจัดวางอย่างเพียงพอก่อน ก่อนจะสั่งให้เหล่าขันทีและนางกำนัลถอยห่าง โดยขยับตัวเข้าไปเอ่ยกับคนเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา 


 


 


“ถอยออกไปให้หมด ก่อนขันทีโชจะเข้ามาในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้ามาเด็ดขาด” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


เมื่อเหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปหมดแล้ว จาฮอนจึงหันกลับมาและเข้าไปนั่งข้างๆ โซกังบนผืนผ้าแพร จาฮอนจัดวางรองเท้าเอาไว้มุมหนึ่ง นั่งลงและจิบชาที่อีกฝ่ายรินให้ 


 


 


โซกังเองก็ดื่มชาเข้าไปหนึ่งอึกพลางจ้องมองท้องฟ้า แล้วเอ่ยออกมาอย่างชื่นชม 


 


 


“พระจันทร์ดวงโตและงดงามนักพ่ะย่ะค่ะ คำชักชวนของพระองค์ก็ดียิ่ง การดื่มชากับสวามีผู้ปรีชาท่ามกลางแสงจันทร์ นับว่ามีรสนิยม” 


 


 


“หากเป็นการร่ำสุราจะยิ่งมีรสนิยมมากขึ้นไปอีก ได้ดื่มสุรากับคนยอดเยี่ยม ก็นับว่าได้ว่าสง่างามแล้ว คราวหน้าเรามาลองดื่มสุรากันเถิด” 


 


 


“ดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เสียงน้ำชาไหลผ่านลำคอดังแว่วภายใต้ค่ำคืนเงียบสงบ ร่างบางดื่มชาจนพร่องไปกว่าครึ่ง คอยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่ตลอด จาฮอนจ้องมองท่าทางนั้นก่อนจะเอ่ยปากขึ้น 


 


 


“นอนมองจะไม่สบายกว่าหรือ ข้าให้ยืมตัก” 


 


 


ว่าจบก็ดึงอีกฝ่ายมาหนุนตักตนทันทีก่อนจะทันได้เอ่ยอันใด โซกังต้องเอนตัวนอนลงบนผ้าแพรโดยไม่ทันตั้งตัว คราแรกคิดจะลุกขึ้นมา ทว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนกับพระจันทร์ยามนอนมองกับยามแหงนหน้ามอง ช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง 


 


 


พระจันทร์น่ามอง แสงจากดวงดาวก็คล้ายจะร่วงตกกลายเป็นสายฝนระยิบระยับในทันใด 


 


 


“งดงามยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ใช่ งดงามยิ่ง” 


 


 


“อา…” 


 


 


น้ำเสียงของจาฮอน ทำให้โซกังรู้สึกถึงความปรารถนาเลือนราง จึงเบนสายตาจากท้องฟ้ากลับมามอง อีกฝ่ายมิได้จ้องมองท้องฟ้า แต่กำลังจ้องมองตน ทันทีที่ได้รับสายตาเปี่ยมความรักใคร่ พลันหลงลืมคำกล่าว 


 


 


ก้านนิ้วเรียวสัมผัสผ่านสันจมูกอย่างหยอกเย้า เคลื่อนผ่านริมฝีปาก เรื่อยลงมาจนหยุดตรงช่วงกระดูกไหปลาร้าที่โผล่พ้นอาภรณ์ ไล้ตามแนวกระดูกนูนชัด ก่อนจะขยับหายเข้าในอาภรณ์ ระหว่างนั้นโซกังไม่ได้กล่าวคำใดออกมาเลย 


 


 


แม้อาภรณ์ที่ผูกไว้จะคลายออกทีละนิด แม้มือใหญ่จะสอดลึกผ่านเนื้อผ้าก่อกวนช่วงหัวไหล่มน เจ้าตัวก็ได้แต่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนโดยไร้ถ้อยคำ จาฮอนจึงเอ่ยถามขณะสัมผัสตามลาดไหล่ 


 


 


“ใยเจ้าถึงไม่กล่าวอันใดเลย ที่นี่เป็นด้านนอก อีกทั้งข้ากำลังเปิดเปลือยผิวกายของเจ้านะ จะไม่คัดค้านเลยหรือ” 


 


 


“ต้องคัดค้านด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ก็ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่ในห้องอาบน้ำเมื่อครู่ มิใช่เจ้าที่คัดค้านหรอกหรือ” 


 


 


“ในน้ำ มันทำให้เจ็บพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โซกังใช้สองมือปิดบังใบหน้าและเอ่ยบอกเหตุผลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ยามขยับรุกรานซ้ำๆ ก็รู้สึกฝืดเคืองเล็กน้อย ทว่าจาฮอนก็ไม่คิดว่ามันจะเจ็บปวดเสียจนทำให้โซกังปฏิเสธตน เมื่อได้ฟังเหตุผลก็พลันเกิดสีหน้าลำบากใจทันที 


 


 


“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย ขอโทษเจ้า” 


 


 


ร่างบางระบายลมหายใจแผ่วพลางส่ายหน้าเล็กน้อยคล้ายเอียงอาย ก่อนจะลดมือปิดบังใบหน้าลง แล้วค่อยๆ คลายปมอาภรณ์ด้วยตนเอง เขาจึงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเจือความกระสันปนตกใจ 


 


 


“โซกัง” 


 


 


“แม้จะไม่ใช่เทพธิดาฮังอา แต่เวลานี้ก็อยู่ใต้แสงจันทร์จึงอยากเป็นเช่นนั้น จะทรงโอบกอดกระหม่อมดั่งคว้าจับเทพแห่งจันทราหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ยังไม่รู้อีกหรือว่าข้าหวาดกลัวว่าเจ้าจะบินหนีไปอยู่ตลอดเวลา” 


 


 


ทันทีที่โซกังหยัดกายลุก จาฮอนก็ดึงรั้งอาภรณ์ลง เรือนผมยาวสลวยแสนดึงดูดพลิ้วไหวราวกับกระแสน้ำ เผยผิวกายเปลือยเปล่าขาวกระจ่างใต้แสงจันทร์ ผิวพรรณเปล่งประกายไม่ต่างจากยามต้องแสงอาทิตย์ คล้ายส่องประกายแสงเจิดจ้า ถึงขนาดเข้าใจผิดว่ามิใช่เปล่งแสงจันทร์ออกมาจริงๆ หรอกหรือ ร่างสูงหลงลืมคำพูดชั่วครู่พลางกวาดสายตามองอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า 


 


 


“ข้าจะจับไว้ให้มั่นทีเดียว” 


 


 


จากนั้นก็ปลดอาภรณ์ของตนลงบ้าง ก่อนจะขยับเข้าหาดึงรั้งกายมาโอบกอด จุมพิตหัวไหล่กลมกลึง ไล่ไปตามลาดไหล่อย่างถ้วนทั่วแล้วดันอีกฝ่ายให้เอนนอนลงอย่างนิ่มนวล 


 


 


“แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน เจ้ากลับไม่เปลี่ยนเลย” 


 


 


“ถึงอย่างไรก็ต้องร่วงโรยตามกาลเวลามิใช่หรอกหรือ” 


 


 


“ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะยังคงงดงามในสายตาของข้าเสมอ” 


 


 


จาฮอนทาบทับกายของตนเหนือร่างกายโซกังและทาบทับริมฝีปากตาม ร่างบอบบางเคยรู้สึกหนาวเหน็บผิวกายด้วยอากาศด้านนอก ทว่าทันทีที่ความอบอุ่นจากคนรักโอบล้อม ความหนาวเย็นนั้นก็พลันสูญสลายไปสิ้น สัมผัสถึงความอ่อนโยนและความอบอุ่นจากอ้อมกอดของจาฮอนไปพร้อมๆ กัน 


 


 


ดูดดึงลิ้นร้อนที่แทรกผ่านโพรงปากพร้อมกระชับกอดแนบแน่น เรียวลิ้นของทั้งสองเกี่ยวกระหวัด จนเสียงเฉอะแฉะดังเล็ดลอดออกมาจากปากริมฝีปากประกบแนบชิด 


 


 


“อื้อ อื้ม” 


 


 


ระหว่างจาฮอนส่งลิ้นแหวกว่ายในโพรงปาก โซกังก็ส่งเสียงครางอู้อี้ มือใหญ่ข้างหนึ่งลูบไล้เส้นผมยาว ส่วนอีกมือหนึ่งวางทาบบนแผ่นอกบาง ถึงร่างกายของโซกังจะไร้กล้ามเนื้อ ทว่ากลับขับให้ยิ่งอ้อนแอ้น มีส่วนโค้งส่วนเว้างดงาม แน่นอนว่าผิวเนื้อก็ยิ่งนุ่มนิ่มมากขึ้น 


 


 


ร่างสูงเพลิดเพลินกับการสัมผัสหน้าอกขณะยึดครองโพรงปากอย่างเอาแต่ใจ ไม่เหลือช่องว่าง ลิ้นร้อนก็ยิ่งเคลื่อนไหวรุนแรงมากยิ่งขึ้น สุดท้ายโซกังก็ต้องทุบไหล่อีกคน จาฮอนจึงยอมผละออกห่างเล็กน้อย โซกังหอบหายใจอย่างหนัก แผ่นอกขยับขึ้นลงไม่หยุด ระหว่างปรับลมหายใจของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็จ้องมองกันและกันพลางยกยิ้ม 


 


 


เกือบสองปีที่อีกฝ่ายพยายามควบคุมการจุมพิตไม่ให้ตนถึงกับต้องหอบหายใจ แต่วันนี้ดูเหมือนจะทำไม่ได้เสียแล้ว จาฮอนประทับจูบปลอมประโลมบนริมฝีปากคนรักอย่างนุ่มนวลและเอ่ยกระซิบ 


 


 


“ข้าทำเกินไปเสียแล้ว” 


 


 


“แต่ทำให้รู้สึกดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ถ้อยคำตอบกลับทำเอาเจ้าตัวยิ้มกว้าง ก่อนจะฝังหน้าลงกับต้นคอเรียว กายโซกังสั่นสะท้านเล็กน้อยเพราะรู้สึกเสียวซ่านตรงผิวเนื้อจากการถูกดูดดุน ทั้งยังกางขาออกอย่างเผลอตัวจนร่างกายส่วนล่างของพวกเขาพลันแนบชิด จึงตัดสินใจโอบรัดลำตัวจาฮอนด้วยเรียวขาของตนเองและขยับสะโพกอย่างยั่วยวน 


 


 


ทั้งๆ ที่วันนี้เขาคิดแค่เพียงว่าต้องการเพลิดเพลินกับแสงจันทราให้เพียงพอ แต่พออีกฝ่ายขยับตัวเช่นนั้น ความพอเพียงก็จางหายไปทันที 


 


 


ระยะเวลาที่บุรุษส่วนใหญ่เฝ้ามองและปรารถนาในสตรีเพียงผู้เดียวมักจะยาวนานไม่ถึงสามปี ด้วยยิ่งจำนวนสตรีมีมากมายเท่าไรก็ยิ่งดี ยิ่งความงดงามของสตรีโดดเด่นเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หากเป็นสตรีบริสุทธิ์ผุดผ่องก็ยิ่งนับว่ายอดเยี่ยม ยามใช้ช่วงเวลายามค่ำคืนกับสตรีเช่นนั้น ถึงกับมีคำกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยใดๆ และยิ่งเวลาได้พบหน้ายามกลางวันสั้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเช่นกัน 


 


 


ตั้งแต่เหล่านักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียง กระทั่งทาสชายต่ำต้อย ส่วนใหญ่ล้วนเห็นพ้องว่าถูกต้อง ทว่าคำกล่าวที่ทุกคนคิดว่าถูกต้องนั้นกลับใช้ไม่ได้กับตัวเขา แม้วันเวลาจะผันแปรผ่านไปเพียงใด หากได้แนบเนื้อกับโซกังแล้ว ความคิดก็พลันร้อนรุ่ม ความอดทนก็สูญสิ้น โดยเฉพาะกับส่วนล่าง 


 


 


จาฮอนทิ้งร่องรอยสีกุหลาบประดับต้นคอ จากนั้นก็ไล้เลียกระดูกไหปลาร้าและจุมพิตตามผิวเนื้อ ก่อนจะขยับเคลื่อนตัวลงด้านล่างอย่างเนิบช้า ครอบริมฝีปากลงบนยอดถันชูชันเพราะสัมผัสอากาศเย็นยามค่ำคืน ใช้เรียวลิ้นบดคลึงตุ่มไตแข็งชัน อีกทางหนึ่งก็เอื้อมมือไปด้านข้างพลางควานคลำเหนือผ้าแพรปูพื้น ค้นหาน้ำมันหอม ทั้งๆ ที่โซกังเพียงแค่ขยับสะโพกบดเบียดช่วงล่างเท่านั้น แต่จิตใจของเขากลับเร่งรีบจนไม่อาจทนได้ต่อไปอีกแล้ว เต็มไปด้วยความคิดว่าอยากรีบทำให้ช่องทางรักของอีกฝ่ายชุ่มโชกและเบิกกว้าง เพื่อนำพาตัวตนรุกรานเข้าภายใน แต่ไม่รู้ว่าวางอยู่ที่ใด เพราะไม่ว่าจะคลำหาอย่างไรก็ไม่พบกระปุกน้ำมันหอมเลย 

 

 

 


ตอนพิเศษ 3-4 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง

 

ตอนพิเศษ 3-4 ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง

 


“ฮึก อื้อ ดียิ่ง” 


 


 


เสียงครางหวานหูยิ่งทำให้จิตใจของจาฮอนร้อนรน อุตส่าห์ทำให้อีกฝ่ายปล่อยตัวยอมปลดเปลื้องอาภรณ์ในที่โล่งแจ้งเช่นนี้หลังจากขึ้นเป็นฮวังฮู เขาก็ไม่อยากทำมันพัง 


 


 


จาฮอนรังแกยอดถันด้วยฟัน และใช้อีกมือนวดคลึงยอดอกอีกด้าน ส่วนอีกข้างก็ยังคงคลำบนผ้าปูพื้น 


 


 


กระทั่งสัมผัสถูกบางอย่างแข็งๆ และเย็นเฉียบ จาฮอนดึงฝาปิดออก แต่ทุกอย่างกลับกลิ้งหลุดมือจนเกิดเสียงเคร้ง 


 


 


“อ๊ะ! เสียงอะไร!” 


 


 


โซกังร้อนรุ่มกว่าปกติ เมื่อคิดว่าตนกำลังถูกผู้เป็นที่รักโอบกอดใต้แสงดาราที่คล้ายจะร่วงลงมาในไม่ช้า ดวงจันทร์กระจ่างและสดใสเปล่งประกาย ความลุ่มหลงที่อีกฝ่ายมอบให้คล้ายฝนดาวตกร่วงหล่น ทุกคราที่กะพริบตา แสงดวงดาราก็กลายเป็นสายฝน สติรับรู้ยิ่งพร่ามัว 


 


 


ทว่าเสียงนั่นก็พาสติกลับสู่ความเป็นจริงทันใด ความเสียวซ่านบนแผ่นอกจางหาย แทนที่ด้วยอากาศภายนอกสัมผัสตุ่มไตเปียกชื้น แม้นั่นจะทำให้เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นอีกหน ทว่าเสียงดังนั้นกลับดึงดูดความสนใจได้มากกว่า 


 


 


“อา นั่นมัน” 


 


 


โซกังพบว่าจาฮอนละริมฝีปากจากหน้าอกของตนและจ้องมองพื้นด้านข้างด้วยสีหน้าเหมือนสิ้นหวัง เขาจึงมองตามสายตาของอีกฝ่ายกระทั่งหลุดหัวเราะออกมา 


 


 


กลิ่นของน้ำมันหอมละม้ายคล้ายกล้วยไม้ปะทะปลายจมูกเป็นอันดับแรก ก่อนตัวกระปุกที่พลิกคว่ำจะปรากฏสู่สายตา สุดท้ายก็เห็นของเหลวหกลงบนผ้าปู โซกังเคลื่อนสายตากลับมาหาจาฮอน เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นเป็นแดงจัด ก็หลุดหัวเราะออกมาอีกครา จาฮอนเบือนสายตาไปด้านข้างพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเก้อเขิน 


 


 


“อืม ดูท่าพื้นคงไม่เรียบเสมอกันเป็นแน่” 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“อีกแล้ว” 


 


 


“ท่านจาฮอน” 


 


 


“ข้าเสียใจนะ ใยจึงเรียกเช่นนั้น” 


 


 


“ท่านพี่” 


 


 


“โซกัง” 


 


 


“ไม่มีน้ำมันหอมแล้วทำไมหรือ หากข้าทำให้เปรอะชุ่มเสีย ก็อันเป็นใช้ได้แล้ว” 


 


 


ว่าจบก็ดึงมือใหญ่เข้าหาแลบลิ้นไล้เลียตั้งแต่โคนจรดปลายนิ้วชี้ ลิ้นนุ่มและชื้นแฉะ เกี่ยวพันรอบก้านนิ้ว ก่อนจะส่งเข้าสู่โพรงปาก ทั้งยังยกมือใหญ่อีกข้างทาบทับหน้าอกของตน เอ่ยว่า ‘โปรดช่วยทำตรงนี้หน่อย’ อย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำนักเพราะยังมีนิ้วอยู่ในปาก บังคับนิ้วอีกฝ่ายบดขยี้ยอดถัน 


 


 


“ฮึก!” 


 


 


ท่าทางแสนยั่วเย้าทำให้แววตาของจาฮอนเต็มไปด้วยความต้องการ ความใจเย็นเหือดหายเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ก้านนิ้วในโพรงปากของโซกังเริ่มกวาดควานภายใน ขณะเดียวกันก็ใช้ริมฝีปากตนครอบครองยอดถันของโซกัง 


 


 


จาฮอนดูดดึงยอดอก ส่วนอีกมือยกบีบนวดบั้นท้ายนิ่ม 


 


 


“อ๊ะ อื้อ!” 


 


 


นิ้วอีกฝ่ายควานค้นโพรงปากจนน้ำลายเอ่อล้นแล้วไหลลงมาตามมุมปาก ทันทีที่เจ้าตัวดึงก้านนิ้วเปียกชื้นพอควรแล้วออก โซกังหอบหายใจด้วยความกระสันพร้อมบิดสะโพกเร่า 


 


 


จาฮอนจุมพิตตามซี่โครงระหว่างส่งก้านนิ้วสอดผ่านช่องทาง 


 


 


สานสัมพันธ์เฉกเช่นสามีภรรยาและใช้ชีวิตด้วยการสัมผัสแนบเนื้อกันมาหลายปี จนคุ้นเคยกันอย่างมาก ร่างกายรับรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงเตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว ช่องทางขมิบอ้ากว้างส่งผลให้นิ้วของจาฮอนรุกรานเข้าไปได้ไม่ยาก ทันทีที่ผ่านเข้ามาถึงภายในกาย ผนังก็ขมิบตอดรับดั่งจะกลืนกินนิ้วของอีกฝ่าย โซกังบิดสะโพกเร่าครางร้อง 


 


 


“อา จาฮอน อ๊ะ อื้อ” 


 


 


“รู้สึกหรือไม่ ตรงนั้นของเจ้ากลืนกินนิ้วข้าอย่างรู้งานเชียว” 


 


 


“ย่อมเป็นเช่นนั้น อา อื้อ ตรงนี้มิใช่ว่าเป็นของท่านพี่หรอกหรือ” 


 


 


วันนี้โซกังทำตัวราวกับตั้งใจจะยั่วยวน เอาแต่เรียกหาว่าท่านพี่ไม่ขาดปากจนเขาไม่อาจควบคุมตนเอง ทั้งสัมผัสเค้นภายในอย่างเร่งร้อน ทั้งดูดดุนผิวเนื้อบริเวณสะดืออย่างแรง 


 


 


แม้ว่าน้ำหนักตัวจะไม่เพิ่มขึ้น หน้าท้องยังคงแบนราบ มีส่วนสะโพกโค้งเว้างดงาม จาฮอนก็ไล้เลียและฝากร่องรอยสีแดงจัดมากมาย ก่อนจะสอดนิ้วเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งนิ้ว ขณะเดียวกันก็ครอบครองส่วนอ่อนไหวเอาไว้ในปาก เป็นการกระทำอันคุ้นเคยอย่างยิ่งทั้งฝ่ายรุกและฝ่ายรับ จาฮอนเพลิดเพลินกับการลิ้มรสชาติหอมหวานของคนรัก ส่วนโซกังแม้จะขลาดเขิน แต่ก็กระสับกระส่ายไปกับความกระสันอยาก 


 


 


และวันนี้มันก็รุนแรงขึ้นกว่าเดิมอีกนิด 


 


 


ค่ำคืนที่แสงจันทร์นวลผ่อง ณ ตำหนักยอฮยังที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้ามารบกวน หากเกี่ยวกระหวัดด้วยกายเปลือยเปล่ากลางแจ้ง อย่างไรก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล 


 


 


เดิมทีมิใช่ว่ายิ่งห้ามปรามก็ยิ่งทำให้ตื่นเต้นหรอกหรือ ร่างบางบังอาจยกสองขาขึ้นพาดเหนือช่วงไหล่ขององค์จักรพรรดิ อีกทั้งยังทำให้พระองค์ตกอยู่ในสภาพหอบคราง มันช่างน่าตื่นเต้นเร้าใจ ไหนจะเปิดเผยร่างเปล่าเปลือยกลางแจ้งอย่างไม่นึกอับอายอีก 


 


 


“อ๊ะ! อึก!” 


 


 


แกนกายของโซกังถูกโอบล้อมด้วยริมฝีปากร้อนไม่นาน สะโพกโยกขยับพลางเปล่งเสียงครางหวานสักพัก ของเหลวอุ่นร้อนก็พวยพุ่งเข้าสู่โพรงปากของจาฮอน ช่องทางที่ครอบครองก้านนิ้วก็ฉ่ำแฉะ ส่งสัญญาณบอกกล่าวว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกกระสันอยากถึงเพียงนี้ 


 


 


จาฮอนควานค้นช่องทางขมิบรัดให้เปิดอ้าออก ก่อนจะถอนนิ้วและยกเรียวขาสวยขึ้นดั่งเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่ง จากนั้นขยับปากเข้าหาช่องทางอุ่นร้อน ปลดปล่อยน้ำรักในปากให้ไหลลงมาทีละน้อย ทั้งไล้เลียรองยับย่นของช่องทางอย่างถ้วนทั่ว ทุกครั้งที่ลิ้นร้อนแตะสัมผัส สะโพกและเรียวขาของร่างบางพลันสะท้านไหว เมื่อช่องทางแฉะฉ่ำวาววับพอสมควรแล้ว จาฮอนกลืนน้ำรักส่วนที่เหลือลงคอและขยับหยัดกายตรงหว่างขาของอีกฝ่าย 


 


 


ส่วนกลางกายแข็งขืนกดสัมผัสช่องทาง แล้วเริ่มรุกรานเข้าสู่ภายในอย่างรวดเร็ว จาฮอนดันสะโพกไปด้านหน้าอย่างช้าๆ และก้มตัวลงโดยที่มือทั้งสองข้างเกาะเกี่ยวกับมือคนรัก หลังมือแนบกดลงกับผ้าแพรปูพื้น กระทั่งส่งตัวตนบุกเข้ามาในตัวโซกังโดยสมบูรณ์ เส้นขนดกของส่วนลับบดเบียดบั้นท้ายนุ่ม 


 


 


“ข้ารักเจ้า วันข้างหน้าข้าก็จะไม่เปลี่ยนใจ” 


 


 


“กระหม่อมก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โซกังหอบหายใจเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก และบทสนทนาก็จบลงตรงนั้น สะโพกของจาฮอนขยับเคลื่อน สะโพกของโซกังเองก็ขยับตอบรับ ท่อนเนื้ออวบอัดกดกระแทกส่วนอ่อนไหวด้านใน ก่อนจะล่าถอยออกมาแล้วโจนจ้วงลึกซ้ำ นิ้วของโซกังหดเกร็ง ปลายเท้าก็เกร็งค้างอย่างกระสันซ่าน 


 


 


“อ๊า! อ๊ะ จาฮอน! อึก!” 


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องหรือเสียงครางอ้อนดังสะท้อนท่ามกลางค่ำคืนเงียบสงัด ผนังด้านในขมิบรัดเต็มที่แล้วคลายออก วนเวียนซ้ำอยู่เช่นนั้นก่อนจะปลดปล่อยความต้องการออกมา เคลื่อนไหวราวกับบรรลุถึงจุดสุดยอดแล้ว 


 


 


“อื้อ อา! อ๊ะ!!” 


 


 


ร่างบางหอบหายใจหนักพร้อมกระตุกสั่น ส่วนอ่อนไหวยังคงสั่นระริกระหว่างกายของทั้งคู่ 


 


 


จาฮอนตอกตัวตนที่กำลังจะปลดปล่อยลึกเข้าในช่องทางขมิบถี่ ขณะนั้นน้ำรักก็ฉีดพ่นออกจากแกนกายของโซกัง เขาเองก็ปลดปล่อยน้ำรักเติมกายคนรักเช่นกัน 


 


 


ร่างกายทาบทับพร้อมรอยยิ้มพึงใจประดับริมฝีปากโดยไม่รู้ว่าผู้ใดเริ่มก่อน จุมพิตของจาฮอนทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม แสงจันทร์สาดลงผ่านแววตาปรือๆ ทุกสิ่งล้วนน่าหลงใหลอย่างประหลาด 


 


 


จาฮอนไม่คิดจะจบแค่หนเดียว แม้ไม่มีน้ำมันหอมก็รับรู้ได้ว่าสามารถสานสัมพันธ์ต่อกันได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน 


 


 


เขาจ้องมองโซกังด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู สุดท้ายอีกฝ่ายก็ผล็อยหลับบนผ้าแพรหลังสูญเสียเรี่ยวแรงไปมาก ก่อนจะสวมอาภรณ์ให้และกางผ้าห่มที่นางกำลังวางเตรียมไว้ตรงมุมหนึ่ง ใช้มันห่อตัวแล้วอุ้มอีกฝ่ายขึ้น เพื่อพากลับตำหนัก 


 


 


โดยไม่สนใจกระปุกน้ำมันหอมหกคว่ำ ผ้าปูยับย่น หรือร่องรอยที่หลงเหลืออยู่บนนั้นเลย 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


เช้าวันต่อมา ขันทีโชเข้าไปยังอุทยานหลวงของตำหนักยอฮยังเป็นคนแรกตามรับสั่งของฝ่าบาท จากนั้นก็สั่งข้ารับใช้ให้ไปเรียกคนของฝ่ายในมาจัดการเก็บกวาดอุทยานหลวง เสร็จเรียบร้อยแล้วคนพวกนั้นก็ออกจากเขตตำหนักอย่างเงียบๆ 


 


 


ขันทีโชตรวจตราความเรียบร้อยของอุทยาน ก่อนจะข้ารับใช้แจ้งแก่เหล่าขันทีและนางกำนัลผู้ติดตามว่าให้เข้ามาได้ ส่วนตนก็เดินเข้าสู่ด้านในตำหนักยอฮยัง ผ่านประตูเข้ามาสองชั้นแล้วเอ่ยกับนางกำนัลที่เฝ้าอยู่หน้าประตูชั้นสุดท้าย 


 


 


“ฝ่าบาททรงตื่นบรรทมหรือยัง” 


 


 


“เจ้าค่ะ ทรงตื่นบรรทมก่อนหน้านี้ไม่นานเจ้าค่ะ” 


 


 


“แจ้งว่าข้าเข้ามาแล้ว” 


 


 


“ฝ่าบาท ขันทีโชมาถึงแล้วเพคะ” 


 


 


“ให้เข้ามา” 


 


 


“เพคะ” 


 


 


ทันทีที่นางกำนัลเปิดประตูออก ขันทีโชก็เข้าไปยืนหลบอยู่ด้านหนึ่งพร้อมค้อมคำนับ ฝ่าบาทประทับอยู่บนแท่นบรรทม สวมอาภรณ์อย่างหลวมๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วรับชุดคลุมจากขันทีโชมาสวมทับ จากนั้นก็ออกว่าราชการ ณ ตำหนักฮวังรยง ด้วยมีเรื่องต้องเร่งตรวจสอบ 


 


 


ได้ยินมีกลุ่มต่อต้านเกี่ยวกับการวางตัวฮายอบเป็นรัชทายาท ซึ่งจาฮอนก็สั่งให้องครักษ์ฮวังรยงไปตรวจสอบอย่างลับๆ 


 


 


เหตุผลที่คัดค้านก็คือสายเลือดของราชวงศ์ แม้โซกังจะเป็นจักรพรรดินีมาถึงห้าปีแล้วก็ตาม ทว่าคนเหล่านั้นก็ยังคงคิดว่าโซกังใช้วิธีชั่วร้ายควบคุมตัวเขาอยู่ ขณะเดียวกันก็ยืนกรานขอให้ปลดฮวังฮูและเลือกสตรีที่คู่ควรมาเป็นฮวังฮูคนใหม่เพื่อให้กำเนิดรัชทายาท 


 


 


ไม่ผิดที่จะคิดเช่นนั้น เพราะสำหรับตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว อย่างไรเสีย ทายาทก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุด 


 


 


ทว่าด้วยเหตุนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการมีชีวิตเพื่อให้กำเนิดทายาท ไม่อาจได้รับในสิ่งที่ตนต้องการ แม้จะถูกกล่าวหาว่าเป็นทรราช แต่จาฮอนก็ตัดสินใจว่าจะทำตามใจตน แน่นอนว่าต้องขัดขวางมิให้เรื่องนี้ไปถึงหูโซกัง 


 


 


“ยอดเยี่ยมนัก” 


 


 


ในม้วนกระดาษนี้มีสิ่งที่สามารถทำให้คนเหล่านั้นจนมุมได้อยู่ เป็นผลลัพธ์ของการขวนขวายสืบค้นจากเหล่าองครักษ์ในสังกัดฮวังรยงที่แต่เดิมเป็นมือสังหารยาอึม จาฮอนจัดการอาภรณ์ของตนให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวออกจากตำหนักยอฮยังพร้อมขันทีโช 


 


 


 


 


 


และหลังจากวันนั้น ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงตำแหน่งของจักรพรรดินีอีก 


 


 


 


 


 


♡ ♡ ♡ 


 


 


– จบบริบูรณ์ – 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม