(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 9

 ตอนที่ 9 ไล่ล่ากระต่าย 



ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด กลับมีเงาเคลื่อนไหวซ่อนตัวอยู่ในที่ซึ่งแสงดวงจันทร์ไม่สาดส่อง สวมอาภรณ์สีดำทั้งตัวและโพกผ้าบนศีรษะ กลืนกินกับความมืดจนไม่อาจถูกพบเห็นโดยง่าย เงารูปร่างเล็กกระโดดพลิ้วไปตามเส้นทางอับแสง ก่อนจะลอบเข้าไปซ่อนตัวในร้านผ้าไหมแห่งหนึ่ง 


 


 


คนผู้นั้นคือทันยอง แม้มีงานด่วนจะต้องทำ แต่ตนก็ต้องพบใครคนหนึ่งเสียก่อน และอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะอยู่ที่นี่ ไม่สิ อยู่ที่นี่ไม่ผิดแน่ 


 


 


ที่นี่คือห้องที่ทันยอบใช้ทดลองสร้างยาพิษนู่นนี่ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เขากับทันยอบสามารถมาพลอดรักกันโดยไม่เป็นที่สังเกตของผู้อื่น หากฝ่ายนั้นรอคอยเขาอยู่ ก็ไม่มีที่ใดนอกจากที่นี่แล้ว 


 


 


ทันยองก้าวขึ้นบันไดไม้ของร้านผ้าไหมอย่างไร้เสียงจนมาถึงชั้นสามอย่างรวดเร็ว เงาทาบทับบันไดยามก้าวเหยียบลงบนขั้นสุดท้าย แสงจันทร์สลัวสาดส่องให้เห็นร่างคนผู้หนึ่งปรากฏตรงหน้า คนผู้นั้นไม่สวมผ้าปิดบังใบหน้าใดๆ เมื่อเห็นเขา อีกฝ่ายก็วาดรอยยิ้มเศร้าหมองออกมา 


 


 


“ยอง” 


 


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องรออยู่” 


 


 


“เจ้าไม่หนีไป และยังกลับมาที่นี่… คงเพราะมีข้าวของของยอบอยู่สินะ” 


 


 


“ไม่ใช่ ข้าไม่คิดหนีอยู่แล้ว จะเข้าพบนายท่านกับใต้เท้าด้วย แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องมาพบพี่ จึงมาที่นี่ เพราะแน่ใจว่าพี่กำลังรอข้าอยู่” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้ชายผู้นี้หัวเราะออกมา จากนั้นก็ขยับก้าวไปใกล้ช้าๆ ดวงตาของทันยองยามมองกันดูเศร้าหมองและสงบนิ่ง เขาหยุดในระยะเอื้อมสัมผัสแล้วเอ่ยปากเตือน 


 


 


“อย่าไปเข้าพบใต้เท้า แล้วก็นายท่านเด็ดขาด หนีไปซะยอง” 


 


 


“ข้าไม่หนี ยอบอยู่ที่นี่แล้วข้าจะไปที่ใดได้เล่า” 


 


 


“ยอง… ยอบตายแล้ว เจ้าเองก็เห็นกับตาจากในวังหลวงมิใช่หรือ” 


 


 


“ใช่ ตายแล้วอย่างไร ข้าพูดอะไรอย่างนั้นหรือ พี่ฮโย…” 


 


 


สายตาของทันยองซุกซ่อนโทสะ แต่ขณะเดียวกันก็เอ่อคลอด้วยน้ำตา ก่อนมันจะกลิ้งกลอกลงมา ชังฮโยขมวดคิ้วมุ่นและวางมือบนลาดไหล่บาง เขารู้ดีว่าสำหรับทันยองแล้ว มีเพียงทันยอบเท่านั้น ทว่าอย่างไรตนก็อยากเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่ายสักนิด แม้จะต้องแทรกผ่านความโศกเศร้าเช่นนี้ก็ตาม 


 


 


“เจ้าสามารถยืมอกนี้ได้” 


 


 


“พี่…” 


 


 


ใบหน้าของทันยองเหยเกคล้ายเจ็บปวด จ้องมองชังฮโยพลางยกมือขึ้นปาดเช็ดหยาดน้ำตา 


 


 


“รู้หรือไม่ ที่นี่คือเป็นที่ที่ข้ามีสัมพันธ์กับยอบเป็นครั้งแรก ตรงนั้น… ตรงนั้นยอบถอดเสื้อผ้าออกแล้วปูลงไป ก่อนจะจับให้ข้านอนลง ต่อมาเมื่อเห็นว่าข้ามีแผลบนหัวเข่า เพราะหัวเข่าสัมผัสกับพื้นไม้บ่อยครั้ง เขาก็ไม่ทำในที่พักแรมอีกเลย จะทำในป่าเสียส่วนใหญ่ เพราะข้าตัวเล็ก หากได้สัมผัสก็คล้ายรสชาติเยี่ยงสตรี และเขาไม่อยากให้ข้าถูกเย้ยหยันจากคนอื่น” 


 


 


“ยอง พอเถอะ เจ้าก็รู้ความรู้สึกของข้า” 


 


 


“จงฟัง หากข้าออกไปทำงาน เขาก็จะรอข้าอยู่ที่นี่ ยามข้ากลับมา ก็จะช่วยตรวจดูอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมว่าไม่มีที่ใดได้รับบาดเจ็บ จุมพิตข้าไปเสียทุกส่วน เหมือนตัวข้ากลายเป็นผู้สูงส่งที่สุดในโลก ช่างมีความสุขอย่างมาก”  


 


 


แม้ชังฮโยจะขมวดคิ้วมุ่น ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยห้ามปรามคำพูดของอีกฝ่ายเป็นหนที่สอง 


 


 


ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการฝึกร่วมกัน ตัวเขาก็เฝ้ามองทันยองอยู่ตลอด ดังนั้นจึงรู้ทุกอย่างแก่ใจดี หากทันยอบยังคงมีชีวิตอยู่ ตนก็ไม่มีทางได้อยู่ในสายตาทันยองแม้สักเศษเสี้ยวหนึ่ง 


 


 


ทันยองเอาแต่เฝ้ามองทันยอบ เหมือนดังเช่นลูกเป็ดเฝ้าติดตามผู้ที่มองเห็นเป็นอันดับแรกด้วยคิดว่าเป็นแม่ของตน ไม่ใช่เพียงความรักเท่านั้น ทว่าทันยอบคือโลกของทันยอง มีแต่เพียงคนผู้นั้นผู้เดียว ดังนั้นชังฮโยจึงทราบเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะคอยวนเวียนอยู่ข้างกายของอีกฝ่ายอย่างไร จะทำเพื่ออีกฝ่ายเช่นเดียวกับทันยอบถึงเพียงใด รอยยิ้มที่มอบให้ทันยอบก็ไม่มีวันส่งมาทางเขา 


 


 


แน่นอนว่าเขารับรู้ความสัมพันธ์ของทันยอบกับทันยองตลอดมา มักจะแอบเฝ้ามองทั้งสองคนอยู่เบื้องหลังเสมอ ยามส่งยิ้มสดใสให้ทันยอบ ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างขลาดเขิน ถูกโอบกอดทั้งๆ ที่ตัวสั่นเทา เปิดเผยส่วนน่าอายของตนออกมาทั้งหมด และยินยอมต่อทันยอบจนหมดสิ้น 


 


 


ชังฮโยเฝ้ามองภาพนั้นพร้อมน้ำตา 


 


 


ข้าก็รักเจ้าเช่นเดียวกับยอบ แต่ไม่ว่าอย่างไรในสายตาของเจ้า นอกจากยอบแล้วก็ไม่คิดมีใครอีกเลยหรือ เหตุใดข้าถึงไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งของทันยอบ ทำไมข้าถึงไม่ใช่ทันยอบ 


 


 


ร่างสูงจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความรวดร้าว ขณะนั้นทันยองก็ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น 


 


 


“เป็นพี่สินะ ทำไมพี่ถึงทำเช่นนั้น” 


 


 


แม้จะเอ่ยถามเพียงเท่านั้น แต่ชังฮโยก็เข้าใจดีว่าอีกคนต้องการถามถึงเรื่องอะไร และไม่จำเป็นต้องถามกลับว่ารู้ได้อย่างไร เขาพยักหน้ารับช้าๆ จนรอยยิ้มบนริมฝีปากของร่างบางค่อยๆ เลือนหายไป 


 


 


“ทำไมกัน” 


 


 


“เป็นภารกิจ” 


 


 


“อย่างน้อย ช่วยบอกข้าก่อน…ก็ได้นิ” 


 


 


“หากบอกไป เจ้าก็จะหนีไปกับยอบ ข้าก็จะต้องรับโทษ ถูกถอดเล็บเพราะทำภารกิจล้มเหลว ส่วนพวกเจ้าก็จะถูกยาอึมตามล่า สุดท้ายก็ถูกจับและรับโทษตาย” 


 


 


“…พี่ก็น่าจะฆ่าข้าด้วยเช่นกัน เพราะถึงอย่างไร อยู่ไปก็ไร้ความหมาย ข้าก็ควรจะตายตามไปด้วย” 


 


 


ทันยองปัดมือใหญ่ที่ประคองไหล่ออกพลางก้าวถอยหลัง ก่อนจะดึงมีดสั้นที่พกไว้ในผ้าคาดเอวออกมาจ่อลำคอของตนเอง ส่วนคมมีดสัมผัสถูกผิวบริเวณลำคอจนโลหิตไหลซึม 


 


 


“ยอง! ไม่ได้นะ อย่าทำเช่นนั้น” 


 


 


“ใยท่านถึงลงมือ! เพราะเหตุใด พี่บอกข้าได้มิใช่หรือ พี่… พี่สามารถทำแบบนั้นได้” 


 


 


“…ขอโทษ ความจริงข้าแค่อยากแทนที่ยอบ” 


 


 


เสียงของชังฮโยฟังดูหม่นเศร้า หลังปล่อยให้ทันยอบจากไปเช่นนั้น ตัวเขาก็ยังคงเสียใจจนถึงตอนนี้ น้ำตาของทันยอง ใบหน้าอันรวดร้าวของทันยอง ความสิ้นหวังของทันยอง ไม่ได้คาดคิดเลยว่าสิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นความเจ็บปวดให้ตนด้วย 


 


 


“ข้ายอมทุกอย่าง ได้โปรดวางมันลงเถอะ” 


 


 


น้ำเสียงเจือความจริงใจดังขึ้นมาอีกคราภายในพื้นที่คับแคบนั้น ร่างบางมองอีกฝ่ายด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะส่งเสียงที่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงหัวเราะเยาะหรือเสียงร้องไห้กันแน่ออกมา 


 


 


“ทุกอย่างงั้นหรือ ได้ เช่นนั้นตอนนี้ชีวิตพี่เป็นของข้า” 


 


 


ทันยองค่อยๆ วางมีดลงช้าๆ ชังฮโยจึงรีบร้อนขยับเข้าไปกำจัดมีดสั้นออกไปให้ไกล จากนั้นก็ดึงอีกฝ่ายมากอดไว้ ริมฝีปากของทันยองประดับด้วยรอยยิ้มหมองเศร้า แม้จะรับรู้ความรู้สึกของคนตรงหน้ามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม ทว่าตนมอบสิ่งที่ดี สิ่งงดงามทั้งหมดแก่ทันยอบไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่จึงเป็นเพียงความแค้นและการแก้แค้นเท่านั้น 


 


 


“ได้ ข้ามอบให้เจ้าทั้งหมด” 


 


 


และเมื่อได้ยินคำยืนยันของชังฮโย ทันยองก็ยิ่งวาดยิ้มโศกเศร้าขึ้นไปอีก 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“วันนี้ก็ไม่เสด็จมาหรือ” 


 


 


“ถึงอย่างไรก็อาจจะเป็นเช่นนั้นได้ ราวกับพลิกฝ่ามืออยู่แล้ว” 


 


 


“ยามโซอีมามาถูกวางยาพิษ ก็ทรงเรียกองครักษ์ทั้งหมดมา แต่กลับ…ทำเหมือนตายจากไปแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ” 


 


 


เหล่านางกำนัลของตำหนักฮงฮวาก็ยังคงวุ่นวายกับการซุบซิบด้วยความวิตกกังวล นั่นก็เป็นเพราะฝ่าบาทไม่ได้เสด็จย่างกรายมาตำหนักฮงฮวาเลย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปนับสิบวันแล้ว อีกทั้งไม่กี่วันก่อนทรงมีรับสั่งให้ปลดโคมแดงที่แขวนอยู่หน้าตำหนักลงด้วย เมื่อวานก็เสด็จไปยังตำหนักของสนมออมฮยอนบี เรื่องนี้เล่าลือมาจากนางกำนัลฝ่ายตัดเย็บ จึงไม่จำเป็นต้องสงสัยในความถูกต้องแม่นยำ 


 


 


ด้วยเหตุนั้น วันนี้เหล่านางกำนัลทั้งหลายจึงล้มเลิกการทำความสะอาดตำหนัก แล้วปล่อยให้มามาได้อยู่เงียบๆ ตามลำพัง ส่วนพวกนางก็มาหลบมุมกระซิบกระซาบพูดคุยกันแทน 


 


 


 


 


 


อีกด้าน โซกังกำลังนั่งเอนหลังอยู่บนเตียงพลางอ่านตำรา ปล่อยเวลาวันๆ หนึ่งให้ผ่านพ้นอย่างไม่รู้เบื่อ เนื่องจากมีตำราที่จาฮอนนำมาจากตำหนักอุนฮยอนอยู่มากมาย อีกทั้งมุมหนึ่งของโต๊ะก็มีภาพเหมือนของอีกฝ่ายตั้งอยู่ เขามองดูแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา 


 


 


‘ถึงข้าจะยอมรับฟัง แต่จะให้ทนคิดถึงเจ้าได้อย่างไรกัน’ 


 


 


‘อย่างไรก็ยอมทำตามนี่นา จาฮอน’ 


 


 


‘แน่นอนว่าบุรุษย่อมทำเพื่อคนรักได้โดยไม่มีเงื่อนไข ในเมื่อเจ้าไม่ยอมแพ้ให้ข้า เช่นนั้นก็ย่อมเป็นข้าที่ต้องพ่ายแพ้มิใช่หรือ’ 


 


 


‘กระหม่อมเองก็คิดถึงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ แค่มาช้าด้วยติดว่าราชการก็คิดถึงแล้ว อยากฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ’ 


 


 


จากกลายเป็นเจ็ดวัน กลายเป็นสิบวัน และไม่รู้ว่าอีกนานเพียงใดที่ต้องแยกห่างกัน หลังจากได้ยินเช่นนั้นแล้ว แม้จาฮอนจะยอมรับเงื่อนไข แต่พวกขุนนางก็ยังคงรบเร้าไม่จบไม่สิ้น เขาจึงตั้งใจจะเอ่ยให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลงบ้าง แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า 


 


 


ร่างสูงสั่งทำกระดาษแนงคึม[1] ราคาแพงซ้อนกันสองชั้นไม่ให้ขาดง่าย จากนั้นก็เรียกช่างเขียนภาพมาอย่างลับๆ เพื่อให้เขียนภาพเหมือนของตนลงบนนั้นโดยไม่จำเป็นต้องลงสี รับสั่งให้วาดออกมาอย่างสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด แน่นอนว่าจาฮอนก็ได้ขอภาพเหมือนของโซกังกลับไปด้วยเช่นกัน 


 


 


ในภาพวาดเสมือนจริง อีกฝ่ายก็กำลังยิ้มและจ้องมองตนอย่างรักใคร่เช่นเดิม 


 


 


“ทำสีหน้าเช่นนี้อยู่ตลอดเลยหรือ น่าอายยิ่งนัก…” 


 


 


โซกังเอ่ยกับภาพนั้นแล้วพลันรู้สึกเคอะเขินเสียเอง จึงยกชาขึ้นมาจิบก่อนจะกระแอม หลังจากรับสำรับแต่ละมื้อจนครบวันละสามครา เขาก็จะนั่งอ่านตำรา บางคราก็ฝนหมึกเขียนอักษร ใช้ชีวิตเช่นนั้นจนล่วงเลยเป็นสิบวัน  


 


 


 


 


 


[1] กระดาษแนงคึม กระดาบที่เคลือบด้วยผงทองคำ 

 

 

 


ตอนที่ 9-2 ไล่ล่ากระต่าย

 

ตอนที่ 9-2 ไล่ล่ากระต่าย

 


ระหว่างอ่านตำราอยู่ โซกังก็วางตำราลงแล้วถอนหายใจ 


 


 


“จาฮอน” 


 


 


หลังจากเข้ามาในวังก็ไม่เคยห่างกันเช่นนี้มาก่อน แน่นอนว่าหมายถึงยามอยู่ด้วยกันอย่างสติครบถ้วน มันใกล้จะถึงปลายเชือกแล้ว ตนคือผู้ที่สามารถลากตัวคนผู้นั้นออกจากใต้จมูกจักรพรรดิ แต่ไม่คิดว่าเพียงสิบวันที่ไม่ได้เจอ จะทำให้จิตใจไม่สงบเช่นนี้เสียแล้ว 


 


 


ร่างบางปิดตำราและยกโต๊ะลงจากแท่นบรรทม เพราะถึงทำเช่นนี้ต่อไปก็ไม่เกิดผลอันใด คิดถึงแต่อีกฝ่ายเท่านั้น 


 


 


“เอาล่ะ นอนเสียน่าจะดีกว่า” 


 


 


บ่นพึมพำกับตนเอง เนื่องจากอาบน้ำชำระกายตั้งแต่ก่อนขึ้นแท่นบรรทมแล้ว เขาจึงดับแสงตะเกียงลงจนกลายเป็นค่ำคืนมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด โซกังเอนตัวนอนลงและดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มคลุมถึงคอ ปรับลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ เอาแต่คอยคิดถึงจาฮอนอยู่เรื่อย รีบนอนเสียจะดีกว่า และหากจะมีผู้ใดเริ่มลงมือก็คงต้องให้เขาหลับไปเสียก่อน 


 


 


ด้วยเหตุนั้นโซกังจึงค่อยๆ หายใจเข้าออกสม่ำเสมอแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา ภายในห้องบรรทมแหงนี้ นอกจากเสียงของตนแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก 


 


 


ทว่าโดยทันไม่รู้ตัว ก็มีคนสวมชุดดำปกปิดใบหน้าสองคนยืนมาอยู่ข้างๆ แน่นอนว่าไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่ายืนอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ต้น จากความสูง จากรูปร่าง ทั้งสองล้วนเป็นบุรุษ พวกเขาทำการสำรวจผู้หลับใหล ถึงกระนั้น เพื่อให้แน่ใจยิ่งขึ้นจึงส่งยาเม็ดเล็กๆ เข้าปากโซกังและรอเวลาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็อุ้มตัวขึ้นเพื่อหลบหนีออกจากตำหนักฮงฮวา  


 


 


เส้นทางที่ใช้ลักพาตัวโซกังกลับไม่มีผู้ใดไล่ติดตามมาสักคน ราวกับเปิดทางไว้ให้โดยเฉพาะ 


 


 


 


 


 


พวกเขาวิ่งเข้าป่ามุ่งหน้าไปยังสถานที่ซ่อนตัว ซึ่งอยู่ในส่วนลึกลับเป็นอย่างมาก ก่อนจะวางตัวโซกังลงบนเสื่อฟางภายในนั้น และผ่านไปไม่นาน นายท่านผู้สูงวัยก็มาถึงที่นั่น 


 


 


“นายท่านมาแล้วหรือขอรับ” 


 


 


“อืม ยูโซกังฟื้นหรือยัง” 


 


 


“ให้กินยาถอนไปแล้ว อีกประเดี๋ยวคงจะฟื้นขอรับ” 


 


 


“ดี เข้าไปกันเถอะ” 


 


 


เมื่อแพคมีกัง มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการก้าวเข้าไปด้านในสถานที่ซ่อนตัว บุรุษชุดดำก็ปิดประตูไม้บานหนาลงแล้วคล้องแม่กุญแจเอาไว้ ขณะนั้นโซกังก็ส่งเสียงครางพร้อมยกมือขยี้ตาพอดี 


 


 


“ยูโซกัง ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที” 


 


 


“…ผู้ใดกันหรือขอรับ” 


 


 


“นั่นสินะ เป็นเพียงบุตรของขุนนางกรมราชเลขา ก็คงจะไม่ได้เห็นข้าบ่อยนักหรอก ข้าไม่เหมือนมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ เอาแต่ทำตัวเป็นกันเองกับพวกข้ารับใช้จนเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาไปทั่ว จะไม่พูดอะไรให้มากความแล้วกัน ข้าคือแพคมีกัง มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ ข้ารู้มาว่ากบฏคยองยูลทิ้งบันทึกลับไว้กับเจ้า จงมอบมันมาเสีย แล้วข้าจะช่วยส่งให้เจ้าไปสบายๆ” 


 


 


แน่นอนว่าส่งให้กับจักรพรรดิยุน… ทว่าชายชราไม่ได้เอ่ยถ้อยคำสุดท้ายออกมา 


 


 


โซกังทำเพียงจ้องมองแพคมีกังเท่านั้น เมื่อมองดูสักพักก็คล้ายจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ 


 


 


 


 


 


ด้วยเป็นสหายสนิทของมูฮยอน จนกระทั่งได้รับการหมั้นหมายกับโซยง เขาจึงได้เข้าออกจวนของท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการบ่อยครั้ง ครานั้นคล้ายจะเคยพบเห็นอยู่บ้าง เมื่อใดกันนะ… แล้วก็พลันนึกถึงสีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดงยามก้าวปึงปังออกจากจวนไป 


 


 


การนึกขึ้นได้เช่นนี้ หากจะกล่าวว่าเหลือเชื่อก็ย่อมได้ และมันตามมาด้วยคำพูดของอีกฝ่ายในตอนนั้น 


 


 


‘ข้าจะหาจุดอ่อนแล้วกดดันพวกมัน พวกกลุ่มซอน พวกปีศาจลิ้นสองแฉกนั่น คิดว่าข้าจะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ’ 


 


 


ท่าทางกระหืดกระหอบอย่างถึงที่สุด ทั้งยังเอาแต่เอ่ยว่าคอยดูเถอะจนก้าวพ้นจากจวน เวลานั้นเขากำลังชมดอกไม้อยู่ในสวนด้านหนึ่งพลางครุ่นคิดกับตัวเอง 


 


 


 


 


 


โซกังยกยิ้มบางๆ ก่อนจะค้อมศีรษะแสดงความเคารพ 


 


 


“ข้านึกออกแล้วขอรับ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ ข้าเคยเห็นท่านจากที่ไกลๆ วันนั้นท่านดูหัวเสียมากทีเดียว” 


 


 


“ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้านึกถึงเรื่องเช่นนั้น จงบอกที่ซ่อนของบันทึกนั่นมาเดี๋ยวนี้” 


 


 


“กล่าวถึงบันทึก เป็นบันทึกแบบใดกันขอรับ พวกบันทึกรวบรวมคำสอนของเหล่าวิญญูชนในอดีต หรือแนวทางจิตใจโดยพื้นฐานสำหรับชี้นำหนทางของชีวิตเช่นนั้นหรือขอรับ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการมอบบันทึกบนชั้นหนังสือเหล่านั้นเป็นของขวัญให้ข้าทุกสัปดาห์ แน่นอนว่าเป็นเพียงของขวัญนามธรรม หากอ่านจบแล้ว ข้าก็คืนให้กับท่านมหาเสนาบดีเช่นเดิมนะขอรับ” 


 


 


ช่างซื่อตรง… เขาตอบโต้กลับด้วยการแสดงนิสัยเฉกเช่นบัณฑิตอย่างที่เคยเป็น ยกยิ้มอย่างมีน้ำใจและกล่าวต่อ 


 


 


“หัวข้อของบันทึกที่ได้ผ่านตา ข้าล้วนจดจำได้ทั้งหมด หัวข้อพ้องเสียงกันก็มีอยู่มาก บรรดาบันทึกที่มีการใช้หัวข้อตามจุดประสงค์ก็มีอยู่มากเช่นกัน ดังนั้น หากมอบกระดาษและพู่กันให้ ข้าก็สามารถคัดลอกตามความจำให้ท่านได้ขอรับ” 


 


 


“มิใช่ว่ามีบันทึกที่มหาเสนาบดีพลาธิการบอกแก่เจ้าโดยส่วนตัวหรอกหรือ เพียงแค่บอกมาว่ามันอยู่ที่ใดก็พอ” 


 


 


“แม้ท่านจะถามเช่นนั้น แต่ข้าก็ไม่มีคำตอบที่สามารถบอกแก่ท่านได้หรอกขอรับ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ ในบันทึกการไต่สวนคดีก่อกบฏของท่านมหาเสนาบดีพลาธิการ ระบุว่าบุตรของขุนนางกรมราชเลขายูจินมยองได้ตายในคุกหลวงแล้วมิใช่หรือ ขุนนางกรมราชเลขายูจินมยองเป็นบิดาของข้าไม่ผิดแน่… ทว่าข้าเองก็ค่อนข้างป่วยหนัก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงยังมีชีวิตอยู่ ยามนั้นข้าได้รับความกระทบกระเทือนจึงสูญเสียความทรงจำบางส่วน ดังนั้นเรื่องที่ซ่อนบันทึกลับของท่านมหาเสนาบดีพลาธิการ ข้าไม่มีทางนึกออกเลยขอรับ” 


 


 


คำตอบของโซกังทำให้หัวคิ้วของแพคมีกังขมวดมุ่น เหล่านักฆ่ายาอึมภายในห้อง รวมถึงหัวหน้ากลุ่มยาอึมผู้เป็นเจ้าของร้านผ้าไหมที่รออยู่ด้านนอกล้วนมีสีหน้าไม่เชื่อถือ แม้จะพูดวกไปวนมา แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ยูโซกังต้องการกล่าวก็คือเรื่องนั้น 


 


 


‘หากจงใจไว้ชีวิตข้าเพราะบันทึก ข้าก็จะเอาบันทึกนั่นมาต่อรอง’ 


 


 


เมื่อไม่ยอมบอกที่ซ่อนของบันทึกออกมา ระหว่างสอบสวนหรือจะทำอะไรก็ตาม อีกฝ่ายก็จะไม่มีทางฆ่าตนทิ้ง โซกังรู้ถึงความจริงข้อนั้นดีจึงนำมาใช้ และถึงจะถูกลงมือไต่สวน เขาก็ไม่ได้นึกหวาดกลัวนัก 


 


 


ช่วงเวลาสองปีที่ใช้ชีวิตในฐานะทาสของเรือนทาสกรมฝ่ายใต้ ด้วยหนึ่งปีหลังต้องทนใช้ชีวิตด้วยการถูกข่มเหงจากเหล่าทาสชายมากมายทั้งกลางวันกลางคืน ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ความเป็นคน ถูกฉีกทึ้งเกียรติของบุรุษ ข้ามผ่านความตายจากอาการอักเสบในกายและสภาพตัวร้อนเป็นไฟ เขาอ้อนวอนอยู่ในใจทุกวันว่าขอให้ตายๆ ไปเสียยังจะดีกว่า ทว่าถึงอย่างไรก็ยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงเวลานี้ 


 


 


ยังจะมีอะไรให้เจ็บปวดยิ่งกว่านี้อีกหรือ… 


 


 


โซกังยกยิ้มพรายให้มหาเสนาบดีปกครองที่มีสีหน้าเครียดขึง ราวกับท้าทายให้ลองดูสักครา และด้วยเข้าใจถึงความนัยนั้น สีหน้าของชายชราจึงบูดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม 


 


 


“เหอะ! พวกข้ารับใช้ฝ่ายซอนล้วนมีลิ้นลื่นไหล มีร่างกายอ่อนแอเช่นเดียวกับเจ้าสินะ กล่าวว่าเป็นคณิกาก็พอให้เชื่อได้ อ้อนแอ้นเช่นนี้ หากเป็นบุรุษชื่นชอบเสพสมกับบุรุษด้วยกันก็คงจะลุ่มหลงอย่างยิ่ง” 


 


 


“ดูเหมือนการมีร่างกายกำยำและแข็งแรง จะส่งผลให้สำนึกคุณธรรมเลือนราง ไม่อาจขบคิดอย่างผู้มีปัญญา ข้าทราบว่าท่านคือผู้อาวุโสของฝ่ายเช รวบรวมผู้คนเข้ามาเป็นคนแรก ทั้งยังถือเป็นแม่ทัพของกองทัพฝ่ายเชในยามนี้ เหล่าผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในตำแหน่งสำคัญ แต่หากเป็นผู้เข้าร่วมโดยทั่วไป ก็ต้องมีใจกล้าหาญ คอยปกป้องผู้อ่อนแอมิใช่หรือขอรับ แต่ข้ากลับไม่เห็นผู้กล้าเช่นนั้นเลย ช่างน่าเสียดายนัก” 


 


 


มูฮยอน สหายสนิทและเป็นศิษย์สำนักเดียวกันเคยกล่าวว่า ‘แม้วิวาทกับเจ้าด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย ก็ไม่อาจกระชากต้นคอเจ้าได้เลย’ เพราะเดิมทีโซกังมั่นใจในฝีปากตนเองยิ่งนัก 


 


 


ทว่ายามใช้ชีวิตในเรือนทาส ด้วยผู้คนส่วนใหญ่เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ การใช้ฝีปากคมคายจึงไร้ความหมายและเลือกใช้กำลังก่อนเสมอ ทว่าเวลานี้มันต่างกัน ถึงจะเป็นเพียงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโส ทว่ามหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการก็ถือเป็นตำแหน่งผู้จัดการความเป็นอยู่ของอาณาจักร และได้เรียนรู้อะไรมามากมาย ด้วยเป็นคนเช่นนั้น จึงไม่มีทางไม่เข้าใจความนัยจากถ้อยคำจากร่างบาง 


 


 


ด้วยเหตุนั้น อีกฝ่ายจึงตกอยู่ในสภาพเต้นเร่าด้วยโทสะที่อัดแน่น 


 


 


“เจ้า เจ้า เจ้ามัน! …เห็นทีคงจะต้องให้ลิ้มรสคราบคาวของพวกบุรุษทั้งบนล่าง เอาให้เลือดออก คอพังไปเลยสินะ ถึงจะยอมสงบเสงี่ยมได้!” 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ ผู้ที่นำข้าไปทิ้งยังเรือนทาสกรมฝ่ายใต้คงไม่ใช่ท่านหรอกกระมัง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น ข้าล้วนเคยผ่านมาแล้วทั้งสิ้น ถูกกระทำทั้งคืนมิได้หยุดพัก ทั้งยังถูกปลดปล่อยสิ่งน่ารังเกียจเหล่านั้นใส่จนหุบขาไม่ลง รุกล้ำร่างกายจนไม่อาจนอนหลับ ร่างกายเหม็นเน่าเพราะกลิ่นคาวผสมกลิ่นหนอง ข้าสัมผัสมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะกลั้วปากอย่างไร ก็ยังรู้สึกถึงกลิ่นคาวขืนของบุรุษพวกนั้น แล้วท่านรู้ได้อย่างไรหรือ เมื่อครู่ก็กล่าวว่าข้าเป็นบุรุษที่ชมชอบการเสพสมกับบุรุษด้วยกันอีกต่างหาก ท่านได้ยินมาจากที่ใดกันขอรับ… ทว่าท่านก็คงจะต้องจำใส่ใจไว้ ไม่ว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาหาข้าหรือไม่ อย่างไรข้าก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสนมของพระองค์ หากกล้าลงมือต่อสนมของฝ่าบาทเช่นนั้น ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกท่านจะได้รับบทลงโทษเช่นไร” 


 


 


คำกล่าวของโซกังล้วนถูกต้องทั้งสิ้น มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการจึงไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ แม้จะได้รับความเมตตาเพียงครั้งแล้วไม่เสด็จมาหาอีก ก็ต้องอยู่ในฐานะสนมของฝ่าบาทไปชั่วชีวิต ไม่มีทางจะได้รับการหยามเกียรติจากผู้อื่น นอกเหนือจากองค์จักรพรรดิเด็ดขาด นั่นนับเป็นกฎอันเคร่งครัดของวังหลวง ไม่ว่าจะได้รับการแต่งเพียงครั้งเดียวหรือเป็นสิบครั้งก็ตาม หากฝ่าบาทมีรับสั่งแต่งตั้งแล้ว คนผู้นั้นก็นับเป็นสมบัติของพระองค์ตลอดไป 

 

 

 


ตอนที่ 9-3 ไล่ล่ากระต่าย

 

ตอนที่ 9-3 ไล่ล่ากระต่าย

 


มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการกัดฟันแน่น อดกลั้นโทสะจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด ทว่าสีหน้าเครียดขึงของโซกังพลันผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้ตนจะถูกลักพาตัวมา ทว่าเรื่องนี้ก็มีจุดประสงค์แฝง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว 


 


 


โซกังไอโขลกๆ ก่อนจะเอ่ยกับชายชราที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมด 


 


 


“ข้าเองก็อยากบอกให้ทราบขอรับ จะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร ทว่านอกจากคำคำนี้ ข้าก็นึกอันใดไม่ออกแล้ว ท้องฟ้าสีครามเหนือบุปผาดอกหนึ่งท่ามกลางหมู่มวลบุปผาทั้งหลาย ด้านใต้พื้นดินมีรอยเท้าที่เจ็ดตัดผ่านรอยเท้าที่ห้า” 


 


 


“รหัสสินะ อืม ขีดตัวอักษรหรือ… นั่นเป็นคำกล่าวของคยองยูลใช่หรือไม่” 


 


 


“ขอรับ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการย้ำข้าว่าห้ามลืมเด็ดขาด เมื่อถึงยามต้องตายอย่างไม่อาจเลี่ยง มันจะช่วยชีวิตข้าได้ขอรับ” 


 


 


“ช่างสมเป็นตาเฒ่าอสรพิษเสียจริง คงต้องตีความถ้อยคำนั้นเสียก่อน ช่วงระหว่างนี้คงจะต้องให้เจ้าอยู่ที่นี่เช่นกัน เมื่อข้าเจอบันทึกนั่นแล้ว จะปล่อยเจ้าทันที” 


 


 


“ขอบพระคุณขอรับท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


เมื่อร่างบางค้อมศีรษะคำนับ แพคมีกังก็แสดงสีหน้ารำคาญใจ การกระทำเหมือนไม่หาเรื่องใส่ตัว ทว่าปากกลับพูดพล่ามไปเรื่อย จากนั้นมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการและเถ้าแก่ร้านผ้าไหมก็ออกจากสถานที่ซ่อนตัวอย่างรีบเร่ง พร้อมกับนักฆ่ายาอึมอีกสองสามคน 


 


 


โซกังยกยิ้มในใจ ถ้อยคำที่กล่าวมาจากคำบอกของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการจริงๆ เพียงแต่นั่นไม่ใช่ทั้งรหัส ไม่ใช่ทั้งขีดตัวอักษร หากสนิทสนมกับท่านคยองยูล มันก็เป็นเพียงปริศนาง่ายๆ ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถแก้ได้ทั้งสิ้น ความจริงเมื่อตัวเขาลองคิดดู ก็รู้แจ้งเช่นกันว่าตำแหน่งนั้นหมายถึงที่ใด 


 


 


ทว่ามหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการคงทำเช่นนั้นไม่ได้ อย่างเร็วก็คงใช้เวลาสักสามสี่วัน อย่างช้าที่สุดก็อาจจะถึงสิบวันเลยทีเดียว หากนิสัยของอีกฝ่ายคล้ายคลึงนิสัยของผู้เป็นหลาน ก็คงไม่ยึดติดอยู่กับการถอดรหัสไปมากกว่านั้น 


 


 


‘จาฮอน ข้าคิดถึงท่าน’ 


 


 


เรียกหาคนผู้นั้นอยู่ในใจและค่อยๆ ถอนหายใจออกมาโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต 


 


 


 


 


 


แล้วมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการก็หายเงียบไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ 


 


 


กลางดึกของค่ำคืนมืดมิดไร้แสงจันทร์ เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ… รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของใครบางคนภายในสถานที่ซ่อนตัว ทั้งๆ ที่ตนอยู่เพียงลำพัง แม้จะถูกความมืดมิดบดบังจนมองไม่เห็นอะไร ทว่าอย่างไรแล้วภายในพื้นที่เงียบสงัดเช่นนี้ก็ไม่สามารถปกปิดเสียงได้ 


 


 


เหล่าทหารของมหาเสนาบดีและเหล่านักฆ่ายาอึมรับรู้ได้ทันทีว่าสถานที่ซ่อนตัวถูกล้อมแล้วจากการเคลื่อนไหวด้านนอก แต่ละคนจึงถืออาวุธที่ตนถนัดและเตรียมพร้อมอยู่ด้านใน ด้วยความเป็นนักฆ่า ประสาทสัมผัสทั้งห้าจึงว่องไวกว่าผู้อื่น คนเหล่านั้นฝากโซกังไว้กับทันยอง หลังจากอีกฝ่ายเพิ่งได้รับโทษและกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน 


 


 


“พวกข้าไม่ได้ฝากเพราะเชื่อใจเจ้าหรอกนะ” 


 


 


“มือก็เป็นเช่นนั้น จงทำหน้าที่ให้ดีล่ะ” 


 


 


พวกนั้นมัดรวบแขนของโซกังไพล่หลัง ทันยองมองข้ามและเมินสายตาจาบจ้วงและเต็มไปด้วยความใคร่ที่ส่งมาทางตน ก่อนจะกระชับดาบในมือข้างขวาอย่างทะมัดทะแมง 


 


 


โซกังจึงเหลือบมองมือของทันยองแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น นักฆ่าคนอื่นเล่าว่าอีกฝ่ายถูกลงโทษ ‘การลงโทษ’ คงหมายถึงการตัดนิ้วสินะ ดูจากโลหิตที่ไหลซึมออกมาจากผ้าพันแผลแล้ว คงสูญเสียนิ้วจากมือข้างซ้ายไปสองนิ้ว 


 


 


อันที่จริง ทันทีที่ได้เห็น เขาก็เกือบหลุดปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าเนื่องจากอยู่ท่ามกลางศัตรู จึงไม่พลาดเอ่ยทักเพราะตอนนี้ถือว่าเป็นศัตรูเช่นกัน แม้มันจะน่าเศร้าใจ แต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์อันใดจะฟูมฟายกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว 


 


 


ทันยองกลับเข้ามารวมกับพวกยาอึมอีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติและไม่มีพิรุธใดๆ แน่นอนว่าทุกอย่างแตกต่างจากเมื่อครั้นมีทันยอบอยู่เป็นอย่างมาก 


 


 


ตอนนี้การเคลื่อนไหวด้านนอกเปลี่ยนเป็นไอสังหารเข้มข้นราวกับต้องการบ่งบอกให้ด้านในรับรู้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งประตูไม้บานหนาก็เปิดออก โดยมีเหล่าบุรุษสวมชุดองครักษ์ฮวังรยงกรูเข้ามาด้านใน 


 


 


“ห้ามปล่อยให้หลุดไปแม้แต่คนเดียว พาไปพบฝ่าบาททั้งหมด” 


 


 


“ทราบแล้วขอรับ!” 


 


 


นี่คือจุดประสงค์แท้จริงของโซกังและทันยอง ซึ่งเป็นคำแนะนำจากทันยองเอง 


 


 


ด้วยการจดจ่อแกะรอยตำแหน่งของบันทึก ความรอบคอบของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการจึงหละหลวม ช่วงเวลานั้นมือสังหารของกลุ่มยาอึมทั้งหมดจึงถูกจับในยามอิน หลังจากทำการไต่สวนเหล่ามือสังหาร ตรวจสอบบรรดาเหตุกาณ์การลอบฆ่าที่เริ่มต้นจากฝ่ายเช จากนั้นถึงก้าวเข้าจับกุมเหล่าบรรดาผู้สั่งการ 


 


 


หากกล่าวว่ามันสมอง หัวใจ เป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ ยาอึมก็เป็นเหมือนแขนและขาของบรรดาผู้เกี่ยวข้องของฝ่ายเช หากแทงหัวใจตรงๆ สามารถทำให้มนุษย์ตายได้อย่างง่ายดายก็จริง แต่เนื่องจากหัวใจห่อหุ้มเกราะเอาไว้หลายชั้นจนไม่รู้สึกหวาดหวั่น จึงต้องเริ่มจากตัดแขนและขาทั้งสองข้างก่อน ให้ตกอยู่ในสภาพไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ แน่นอนว่าเป็นความเห็นของทันยองอีกเช่นกัน  


 


 


ส่วนบันทึกลับอันเป็นหลักฐานสำคัญนั้น ระหว่างที่ไม่ได้ย่างกรายมาเยือนตำหนักฮงฮวา จาฮอนก็สั่งให้องครักษ์ฮวังรยงออกค้นหาอย่างลับๆ แล้วนำมาส่งให้กับมือตน ซึ่งสถานที่เก็บรักษามันก็มาจากคำบอกเล่าอย่างละเอียดของโซกังนั่นเอง 


 


 


มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการคยองยูลรักภรรยามาก ไม่ว่าเวลาใดก็มักจะกล่าวว่านายหญิงอิลฮวางดงามเป็นหนึ่งในมวลบุปผาเสมอ ด้วยเหตุนั้นนายหญิงอิลฮวาจึงเป็นหนึ่งในมวลบุปผา 


 


 


นายหญิงอิลฮวาไม่ค่อยชื่นชอบการทำงานอดิเรกในเรือนนอน ดังนั้นภายในจวนของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการจึงมีพื้นที่เฉพาะสำหรับนางแยกต่างหาก โดยมีตะกร้าอุปกรณ์เย็บปักของนายหญิงอิลฮวา ผ้าไหมที่ถูกปักแล้ว ทั้งสะดึง[1]และกี่ทอผ้า หลังคาของที่แห่งนั้นก็คือเหนือหนึ่งในมวลบุปผา แต่กลับอยู่ใต้ฝืนฟ้าคราม 


 


 


คาดเดาเอาว่าหากอยู่ยอดบนหลังคาแล้วร่วงตกลงมาด้านล่าง ทว่าด้านขวาของสถานที่แห่งนั้นเป็นบันไดหิน ส่วนด้านซ้ายเป็นพื้นดิน ดังนั้น มันคือกระเบื้องแผ่นที่เจ็ดของฝั่งซ้าย ตั้งแต่ยังเยาว์วัยนั้นทิศทางการนับที่ได้เรียนรู้มา มักจะเริ่มจากด้านขวาไปด้านซ้ายเสมอ จึงนับตั้งแต่ไล่ไปจากกระเบื้องห้าแผ่น 


 


 


ใต้นั้นย่อมเป็นบันทึกลับที่ว่าอย่างแน่นอน โซกังบอกกล่าวตำแหน่งอย่างละเอียด องครักษ์ฮวังรยงจึงใช้จังหวะยามดึกสงัดออกตามหาบันทึกลับ ณ ที่แห่งนั้นและนำมาถวายแด่องค์จักรพรรดิ 


 


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง เหล่าองครักษ์ฮวังรยงก็วิ่งวุ่นเข้าจู่โจมเหล่ามือสังหารยาอึมทันทีภายในสถานที่ซ่อนตัว แต่ฝ่ายตรงข้ามเตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว ไม่มีทางยินยอมโดนจับแต่โดยดี คมดาบจึงเข้าปะทะกัน คนชุดดำทั้งสองฝั่งต่างผสมปนเป และชั่วพริบตาเสียงหวีดร้องก็ดังระงม 


 


 


ทันยองลากโซกังออกมาและให้ยืนหลบติดกับกำแพง เพราะเผลอๆ ทั้งอีกฝ่าย ทั้งตนเองอาจจะได้รับบาดแผลจากคมดาบที่มองไม่เห็น เขาจ้องมองสองฝ่ายปะทะกันอย่างชุลมุน โซกังเองก็มองทันยองอีกที 


 


 


สักพักทันยองก็เริ่มขยับตัวอย่างเงียบๆ ขยับโดยไม่ให้เป็นที่สังเกตพร้อมสะกิดโซกังด้วยแขนข้างที่พันผ้าพันแผลเอาไว้ ร่างบางเข้าใจสัญญาณของอีกฝ่ายจึงขยับตัวตามทีละนิดทั้งๆ ที่ร่างกายแนบติดกับกำแพง แม้ว่าแขนจะถูกมัดอยู่ด้านหลังจนไม่สามารถเอาหลังแนบสนิทได้ก็ตาม 


 


 


ระหว่างฟาดฟันรุกไล่กับองครักษ์ฮวังรยงผู้หนึ่ง ชังฮโยก็จ้องมองมาที่ทันยอง สายตาของทั้งคู่สบประสานกันชั่วขณะหนึ่ง ทันยองมีสีหน้าเย็นชาอย่างยิ่งและจ้องมองกลับไม่หลบสายตา โซกังที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็สังเกตเห็นจึงพยักหน้าให้เพียงเล็กน้อย ชังฮโยขมวดคิ้วแน่น 


 


 


ก่อนเข้าไปหานายท่านกับท่านใต้เท้า ทันยองมาพบตนและบอกเล่าแผนการล่วงหน้าทั้งหมดแล้ว 


 


 


‘หากได้เห็นคนพวกนั้นตาย ไม่ว่าจะเพียงนิ้ว หรือจะเป็นฝ่ามือนี้ ข้าก็เต็มใจสละมัน’ 


 


 


ถ้าหากเข้าไปหานายท่านเช่นนั้น อย่างไรทันยองจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ชังฮโยจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลองคิดดูอีกที ทว่าอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเช่นนั้น และตามด้วยการบอกเล่าถึงแผนการจงใจให้ถูกลักพาตัว 


 


 


เพราะมั่นใจว่ามีหูตาคอยเฝ้าระวังสืบข่าวอยู่ภายในวังหลวง หลังจากเข้านอนแล้ว โซกังก็ทำเป็นละเมอเอ่ยถึงเรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกลับ และหลังจากนั้นไม่นาน จาฮอนก็แสร้งเบื่อหน่ายต่ออีกฝ่าย ไม่ยอมมาเหยียบตำหนักฮงฮวา แม้กระทั่งเหล่าองครักษ์ฮวังรยงก็มีรับสั่งให้ถอนกำลังจากตำหนักฮงฮวาทั้งหมดเช่นกัน แสดงท่าทางราวกับมิได้ใส่ใจต่อให้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับอีกฝ่ายก็ตาม 


 


 


เพราะหากเฝ้าคอยอารักขาอยู่ เหล่าองครักษ์ย่อมเคลื่อนไหวทันที ทันยองกับโซกังจึงต้องร้องขอความร่วมมือจากจาฮอนอย่างจริงจัง แน่นอนว่าร่างสูงไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่อย่างไรเสียเรื่องราวมันก็ดำเนินมาเช่นนี้แล้ว 


 


 


เป้าหมายแรกคือฝ่ายเช พวกเขาทำการจู่โจมและเข้าจับกุมเหล่ามือสังหารยาอึม ผู้เป็นเสมือนแขนขาของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ กำจัดคนเหล่านั้นให้สิ้นซาก 


 


 


‘ข้าจะไปเจอยอบที่นั่น พี่จงใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ข้าไม่อนุญาตให้พี่ติดตามมา พี่กล่าวว่าจะมอบทุกอย่างให้ข้าแล้ว จงเชื่อฟังข้า’ 


 


 


ครานั้นชังฮโยไม่เข้าใจความหมายของทันยอง แต่เวลานี้เหมือนจะเข้าใจมันแล้ว อีกฝ่ายกุมชีวิตของตนเอาไว้และสั่งให้ทำตามคำพูดนั้น ก็ประจักษ์ชัดแล้วว่าทันยองกำลังบอกให้เขาชดใช้บาปต่อการฆ่าทันยอบ ด้วยวิธีอันโหดร้ายอย่างถึงที่สุด ก็คือทิ้งให้เขาใช้ชีวิตเพียงลำพังในโลกที่ไม่มีอีกฝ่าย 


 


 


และตอนนี้ทันยองก็กำลังบอกลากันด้วยการก้มคำนับอย่างเชื่องช้า และมอบรอยยิ้มอันเลือนรางมาให้ เพราะไม่อาจละสายตาจากอีกฝ่าย ชังฮโยจึงถูกคมดาบกรีดลึกเข้าที่แขนจนต้องเบนสายตากลับมาอย่างกะทันหัน 


 


 


 


 


 


[1] สะดึง กรอบไม้หรือไม้แบบสำหรับขึงผ้าในเวลาปักดิ้นหรือไหม

 

 

 


ตอนที่ 9-4 ไล่ล่ากระต่าย

 

ตอนที่ 9-4 ไล่ล่ากระต่าย

 


ทันยองลอบสังเกตมือสังหารยาอึมทีละคน ขณะเดียวกันก็เคลื่อนตัวพร้อมโซกังไปเรื่อยๆ โดยไม่ละสายตาแม้เพียงนิด เมื่อเคลื่อนตัวเช่นนั้น ก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ฝั่งองครักษ์ฮวังรยงมากกว่าพวกยาอึม ทันใดนั้นเหล่ามือสังหารยาอึมก็เบนสายตามาทางทันยอง 


 


 


“ทันยอง! เอาตัวมาได้แล้วก็ฆ่ามันเสียเถอะ!” 


 


 


“ข้าจัดการเอง” 


 


 


เขาจ้องมือสังหารที่ตะคอกเสียงใส่ตนอย่างเย็นชา ก่อนจะใช้มือข้างที่แนบชิดข้างตัวโซกังขึ้นมาปิดบังริมฝีปากและขยับเอื้อนเอ่ยแผนการ 


 


 


“ข้าจะคุ้มกันให้ ท่านรีบวิ่งไปทางองครักษ์ฮวังรยงเถิดขอรับ อย่าได้หันกลับมา อย่าได้ลังเลเด็ดขาด พอข้าขยับตัว ท่านต้องวิ่งไปทันที” 


 


 


“ยองก็จะไปด้วยกันใช่หรือไม่” 


 


 


“ข้าดูแลตนเองได้ขอรับ วิ่ง!” 


 


 


เท้าของทันยองถีบตัวกับพื้นจนร่างพุ่งทะยานไปด้านหน้า ช่วงเวลานั้นโซกังจึงออกตัววิ่งไปยังทิศทางที่มีองครักษ์ฮวังรยงยืนอยู่สองคน การวิ่งของโซกังเข้าจังหวะพอดีกับการจู่โจมของทันยอง ดังนั้นการเคลื่อนไหวของร่างบางจึงถูกตัวของทันยองบังเอาไว้ ทว่าทันยองไม่สนใจการจู่โจมที่พุ่งเป้ามาทางตนเองเลย เขาเพียงใช้ดาบปัดป้องการจู่โจมที่พุ่งไปทางโซกังเท่านั้น 


 


 


การโจมตีที่นอกเหนือจากนั้น เขาไม่คิดจะจัดการมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งยังรู้สึกขอบคุณการจู่โจมเหล่านั้นด้วยซ้ำ เพราะมันจะนำพาตนไปหาทันยอบ 


 


 


กระทั่งอีกฝ่ายวิ่งไปถึงข้างกายองครักษ์ฮวังรยงอย่างปลอดภัย แม้แต่ในสถานการณ์โกลาหลเช่นนี้ ก็ยังได้ยินน้ำเสียงห่วงกังวลของโซกัง นอกจากทันยอบ นอกจากเหล่ายาอึมบางคน โซกังก็เป็นผู้ที่ทำให้เขารู้สึกถึงมิตรไมตรีของมนุษย์ ทว่าสาเหตุนั้น ก็มิใช่ว่าจะทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ 


 


 


เริ่มแรกที่แนะนําถึงการลักพาตัว ตนก็คิดจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว 


 


 


มิใช่ไม่สามารถเปลี่ยนใจ ทว่าตั้งแต่ก่อนจะถูกเรียกว่าทันยอบกับทันยอง ตั้งแต่ฝ่าฟันความหนาวเหน็บข้างถนน เขาก็อยู่ร่วมกับยอบมาตลอด อีกฝ่ายคอยปกป้องเขา ทำให้เขาได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ในเมื่อไม่มียอบแล้ว ตัวเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ว่างเปล่า 


 


 


ดังนั้น เขาจึงเหลือหนทางเพียงแค่ตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น 


 


 


เมื่อเรื่องราวทุกอย่างดำเนินไปตามแผน สำหรับการแก้แค้น องค์จักรพรรดิก็จะทรงดำเนินการให้ ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าจะจัดการลงโทษมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการตามสมควรอย่างแน่นอน ได้รับความเชื่อมั่นเช่นนั้นแล้วก็สามารถไปจากโลกใบนี้ได้ ทันยองจึงหลับตาลงพร้อมหันไปยังทิศทางที่มีการจู่โจมพุ่งเข้ามา รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากราวกับยินดีรับการจู่โจมนี้ 


 


 


“ยอง!” 


 


 


ทว่าน้ำเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อตนดังแว่วเข้ามาในหู ตามด้วยความรู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง จนร่างกายซวนเซราวกับจะล้มพับและหลุดเสียงร้องอุทานออกมา หลังจากนั้นกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้น เขาพลันรู้สึกถึงท่อนแขนแข็งแรงประคองอยู่ภายในอ้อมอกกว้าง กลิ่นคาวเลือดรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนทำให้ทันยองลืมตาขึ้น ผู้ที่เข้ามาดึงตนไปกอดด้วยแขนข้างหนึ่งคือชังฮโย อีกฝ่ายขบฟันแน่นพร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา 


 


 


“ข้าผิดเอง ขอโทษที่ข้าผิดสัญญา แต่ข้าปล่อยเจ้าไปเช่นนี้ไม่ได้” 


 


 


“ปล่อย” 


 


 


“ยอง ได้โปรดมีชีวิตต่อไปเถิด” 


 


 


“ข้าบอกให้ปล่อย” 


 


 


“ยอง ข้ารักเจ้า” 


 


 


น้ำเสียงของชังฮโยโรยแรง และแขนก็ค่อยๆ ผ่อนแรงลงเช่นกัน ตอนนั้นทันยองจึงสังเกตเห็นว่าบนลำคออีกฝ่าย มีอาวุธลับที่ไม่รู้ว่ามีพิษใดเคลือบปักอยู่จำนวนหนึ่ง เจ้าตัวยกยิ้มบางก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น 


 


 


บนพื้นดินที่พวกเขายืนอยู่ล้วนเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต โดยเลือดทั้งหมดไหลออกมาจากแขนของชังฮโย แล้วทันยองก็เห็นว่าแขนอีกข้างที่ควรจะต้องแนบชิดกับลำตัวอีกฝ่าย กลับขาดแหว่งเสียอย่านั้น 


 


 


ก่อนหน้านี้ เมื่อชังฮโยเห็นว่าทันยองตั้งใจจะตาย เขาจึงวิ่งออกมาอย่างไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง จนถูกคมดาบขององครักษ์ฮวังรยงสะบั้นแขนขาด โลหิตไหลทะลักออกมาเต็มไปหมด ใบหน้าซีดเผือดของชังฮโยราวกับจะสิ้นลมหายใจลงเสียเดี๋ยวนั้น อีกทั้งเริ่มกระอักเลือดออกมาจากปากและร่างกายกระตุกเกร็งด้วยพิษบางอย่าง 


 


 


ทันยองไม่มีเวลาให้ทันได้คิดอะไร ด้วยมือสังหารของยาอึมมักจะพกยาห้ามเลือดเอาไว้ด้วยเสมอ เขาจึงนำมันออกมาและฉีกเสื้อตนเองออก ร่างบางนั่งลงกับพื้น เทยาห้ามเลือดลงบนบริเวณปากแผล และใช้เสื้อของตนพันรอบแขนข้างนั้นเอาไว้แน่น หากช่วยห้ามเลือดได้ก็จะช่วยยืดชีวิตออกไปได้ด้วย จากนั้นก็ต้องสืบหาพิษที่เคลือบอยู่บนอาวุธลับ ทว่าที่นี่ไม่มีทางทำเช่นนั้นได้ ทันยองดึงตัวชังฮโยขึ้นพาดบ่าและก้าวเดินไปทางองครักษ์ฮวังรยง 


 


 


เหล่าองครักษ์ฮวังรยงเห็นเหตุการณ์อยู่ก่อนแล้ว ส่วนหนึ่งจึงเข้ามาช่วยเหลือทันยอง และอีกส่วนหนึ่งก็คอยคุ้มกัน เนื่องจากพวกเขาอยู่ตรงประตู ดังนั้นเหล่ามือสังหารยาอึมจึงถูกต้อนไปจนสุดทางหนี 


 


 


“หากยอมตามมาแต่โดยดี ฝ่าบาทจะทรงเมตตาพิจารณาในส่วนนั้น พวกเจ้าแค่บอกมาว่าทำงานอะไรและผู้ใดเป็นคนสั่งก็พอ อีกอย่างฝ่าบาทจะทรงรับฟังด้วยพระองค์เอง” 


 


 


คำกล่าวจากปากของหนึ่งในบรรดาองครักษ์ฮวังรยงทำให้เหล่ามือสังหารยาอึมกระวนกระวาย กล่าวว่าฝ่าบาทจะทรงสละเวลามารับฟังเรื่องราวของพวกเขาอย่างนั้นหรือ 


 


 


หัวหน้าองครักษ์ฮวังรยงจึงได้กล่าวเสียงดังขึ้นอีกครั้ง 


 


 


“ชุดนี้คือชุดเครื่องแบบของหน่วยฮวังรยง หน่วยองครักษ์ที่ขึ้นตรงต่อฝ่าบาทพระองค์เดียว สมาชิกหน่วยฮวังรยงมีทั้งสายเลือดขุนนาง ชาวบ้านธรรมดา รวมถึงทาสด้วย ฝ่าบาทมิใช่ผู้ทรงตัดสินผู้คนจากชาติกำเนิด” 


 


 


คำกล่าวนั้นยิ่งทำให้เกิดความวุ่นวายมากยิ่งขึ้นไปอีก ลองไปดีหรือไม่… ข้าเองก็ลองดูดีหรือไม่ อย่างไรเสีย หากถูกจับได้ พวกเราทั้งหมดก็ต้องตายอยู่แล้ว… ถ้อยคำต่างๆ เหล่านี้ดังระงมเซ็งแซ่ หลังจากนั้นก็มีนักฆ่าสองคนยอมวางดาบลง  


 


 


และการเริ่มต้นนั้นก็ส่งผลให้คนอื่นๆ พร้อมใจกันวางอาวุธลงเช่นกัน เหล่าองครักษ์ฮวังรยงจึงเข้าจับกุมโดยละม่อม และมัดมือกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยเชือก 


 


 


 


 


 


ช่วงเวลาเดียวกัน ณ ร้านผ้าไหมบนเส้นทางเขตชองรยง เหล่าทหารหลวงก็โผล่พรวดพราดเข้ามาภายใน จนเถ้าแก่เจ้าของร้านผ้าไหมจ้องมองผู้บุกรุกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก 


 


 


“คงต้องไปด้วยกันหน่อย” 


 


 


ทันทีที่หนึ่งในเหล่าทหารพูดจาไร้หางเสียง เจ้าของร้านผ้าไหมก็โมโหพร้อมกับถ่มน้ำลายใส่ ทหารผู้นั้นจึงคว้าผ้าไหมพับหนึ่งที่วางอยู่บนแผงขึ้นมาเช็ดใบหน้าตนก่อนจะโยนลงบนพื้น จากนั้นก็ร่วมมือกับสหายทหารเข้าจับกุมเจ้าของร้านผ้าไหมที่ดิ้นรนขัดขืน 


 


 


ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกับร้านผ้าไหม ต่างหยิบยกเรื่องที่เถ้าแก่ถูกทหารหลวงลากตัวไปตลอดทั้งวัน 


 


 


 


 


 


*** 


 


 


 


 


 


ณ ห้องตำรา ภายในจวนของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ 


 


 


แพคมีกังนั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องมองตัวอักษรที่เขียนอย่างเป็นระเบียบบนกระดาษด้วยสีหน้าเครียดขึง เพราะถึงแม้จะลองรวมส่วนนั้น ส่วนนี้เข้าด้วยกันอย่างไร ก็ไม่อาจเกิดคำที่พอจะบอกตำแหน่งที่ตั้งใดๆ ได้เลย ยามเขียนรหัสลับ หรือพูดคุยถึงความลับก็จะใช้ตัวอักษรทั่วไป ดังนั้น ชายชราจึงคิดว่าอาจจะเป็นอักษรอื่น ทว่าเมื่อลองทำดูแล้ว จะอย่างไรก็เหมือนไม่ใช่ทั้งสิ้น มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการเริ่มเกิดความคิดว่ามันอาจไม่ใช่อักษรเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อวาน 


 


 


จากนั้นก็เกิดความลนลานว่าอาจจะเป็นข้อมูลปลอม อีกทั้งช่วงนี้หากไม่มีเรื่องด่วนจำเป็น เขาก็สั่งทุกคนเอาไว้ว่าไม่ต้องเข้ามารายงาน แพคมีกังจึงเรียกตัวทาสผู้หนึ่งเข้ามา 


 


 


“ขอรับ นายท่าน” 


 


 


“รีบไปที่ร้านผ้าไหมตรงเส้นทางชองรยง บอกให้มาพบข้าเดี๋ยวนี้ เพียงบอกเช่นนี้ทางนั้นจะเข้าใจเอง” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


อีกฝ่ายตอบรับและออกจากห้องตำราไป ทว่าดูคล้ายจะลืมบางสิ่งถึงได้หวนกลับเข้ามาอีกครั้ง สายลมที่โบกพัดจนประตูห้องเปิดออก มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการที่ยืนอยู่ด้านในจึงเอ่ยตำหนิทาสผู้นั้นว่าทำอะไรไม่เรียบร้อย ทว่ากลับต้องสงบปากสงบคำลงทันที เพราะตรงประตูนั้น มีองค์จักรพรรดิและบุรุษที่เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก รวมถึงเหล่าองครักษ์ฮวังรยงและทหารหลวงกำลังพากันเข้ามาในจวน จาฮอนมีรอยยิ้มประดับอยู่บนริมฝีปากและกล่าวกับชายชรา 


 


 


“เราถึงกับมารับเจ้าด้วยตนเองเลยนะ” 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“แล้วก็ไม่จำเป็นต้องส่งทาสผู้นั้นไปตามตัวหรอก หากตามหาเจ้าของร้านผ้าไหมอยู่ล่ะก็… อีกประเดี๋ยวก็คงจะได้เจอกันแล้ว” 


 


 


คำกล่าวเช่นนั้นทำให้สีหน้าของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการไม่สู้ดีนัก และความขุ่นเคืองก็พลุ่งพล่านขึ้นมาเช่นกัน มีคำสั่งห้ามไม่ให้มารบกวนก็จริง แต่เหตุการณ์มาถึงขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมมารายงานเชียวหรือ… ใบหน้าชายชราเครียดขึง ทั้งยังยืนนิ่งอยู่เช่นเดิมจนทำให้จาฮอนมีสีหน้าเข้มขึ้น 


 


 


“ต่อหน้าเราผู้นี้ เจ้ายังไม่คิดทำความเคารพอีกหรือ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เจ้าต้องโทษได้แล้วกระมัง” 


 


 


“ถวาย เอ่อ ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำตำหนิขององค์จักรพรรดิผู้เย็นชาเสมือนน้ำค้างแข็ง แพคมีกังก็รีบคุกเข่าค้อมคำนับ สองวันที่แล้วทหารหลวงและองครักษ์ฮวังรยงบุกเข้าจู่โจมถึงที่ซ่อนตัวของยาอึมและร้านผ้าไหม และตอนนี้มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการก็ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม