(Yaoi) ใต้ม่านรัตติกาล 89-114

 ตอนที่ 89 ปรึกษาตระกูลหลาน


 


 


อวิ๋นหรูผ่านเขาเทียนปี้ไป ผ่านไปยังเขตม่านพลังตระกูลหลานอย่างราบรื่น แม้เขตม่านพลังของตระกูลหลานคนนอกจะไม่อาจผ่านเข้าไปได้ แต่เพราะตอนเด็กๆ นางมักจะเล่นกับหลานเยี่ยเป็นประจำ ดังนั้นหลานชิงจึงเปิดม่านพลังให้


 


 


หลายปีที่ไม่ได้มาตระกูลหลานยังคงเป็นเหมือนเดิม หอคอยแสนประณีต ภูเขาและแม่น้ำที่สวยงาม


 


 


หลานเม่ยคอยจัดการตระกูลหลาน ทุกวันจะมีขบวนตรวจลาดตระเวนตระกูลหลาน เขายืนอยู่บริเวณสูงที่สุดของเขาหลานวั่ง มองเห็นคนคนหนึ่งเดินเข้ามาในตระกูลหลานตั้งแต่ไกลๆ หลานเม่ยลงมาจากที่สูง


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มาถึงตระกูลหลานไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือ?” ทันใดนั้นหลานเม่ยก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าอวิ๋นหรู ทำเอาอวิ๋นหรูตกใจไม่เบา


 


 


“ข้า ข้ามาหาท่านพี่”


 


 


อวิ๋นหรูเห็นว่าเป็นหลานเม่ย ก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา


 


 


“หากเป็นท่านประมุข เขาไม่อยู่ในตระกูลหลานขอรับ ท่านประมุขไม่ได้นำคนไปที่เขาเทียนปี้หรอกหรือ?”


 


 


“ไม่อยู่ในตระกูลหลานหรือ? แต่หลังจากท่านพี่ฟื้นแล้วก็ออกมาจากเขาเทียนปี้แล้วนี่ ไม่ได้กลับมาตระกูลหลานเช่นนั้นไปที่ไหนกัน?”


 


 


อวิ๋นหรูพูดพึมพำกับตนเอง


 


 


หลานเม่ยยืนฟังนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น


 


 


“เช่นนั้นหลานเฟิงอยู่หรือไม่?”


 


 


“ท่านหัวหน้าแม่ทัพพาคนไปชายแดนซีเชวีย ไม่อยู่เช่นกันขอรับ”


 


 


“เช่นนั้นตอนนี้ใครเป็นคนดูแลจัดการธุระในตระกูลหลาน?”


 


 


“เป็นข้าน้อย”


 


 


หลานเม่ยค้อมเอวลงเล็กน้อย แสดงถึงความเคารพต่ออวิ๋นหรู อย่างไรก็เป็นญาติผู้น้องงของหลานเยี่ย


 


 


ท่านประมุขไม่อยู่ เช่นนั้นก็ต้องเป็นเขาที่คอยจัดการเรื่องนี้แทนหลานเยี่ย


 


 


“ให้ข้าเข้าไปพูดข้างในได้หรือไม่?” ตอนนี้พวกอวิ๋นหรูยังยืนอยู่นอกประตู หลานเม่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินนำนางไปยังที่พักของตน


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีเรื่องอะไรหรือ” หลานเม่ยถามอีกครั้ง


 


 


“เขาเทียนปี้โดนตระกูลเยี่ยลอบโจมตี บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก อีกทั้งเขาเทียนปี้ก็ถูกเพลิงใหญ่เผามอดทำลายจนเปลี่ยนไปหมด ประชาชนไร้ที่พัก ดังนั้นอวิ๋นหรูจึงขอร้องท่านจู่จื๋อซือให้ประชาชนชาวเขาเทียนปี้ของข้าอพยพย้ายอยู่ที่ตระกูลหลานก่อน รอจนเขาเทียนปี้ซ่อมแซมก่อสร้างใหม่แล้วค่อยกลับไปอีกครั้ง”


 


 


“เพลิงใหญ่ที่เขาเทียนปี้ แล้วนายวังเล่า?” หลานเม่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง แต่ดูจากท่าทีของอวิ๋นหรู หลานเม่ยไม่ได้พูดอะไรต่อ


 


 


ภายในคืนเดียวบ้านแตกคนตาย สามารถใจเย็นจัดการเรื่องราวต่างๆ รอบด้านได้เช่นนี้ถือว่าเป็นการลำบากสตรีนางหนึ่งแล้ว ต่อให้รับปากนางไปก็คงไม่เป็นอะไรกระมัง แม้ท่านประมุขจะไม่อยู่แต่ก็น่าจะไม่พูดอะไรกระมัง


 


 


“แม้ท่านประมุขจะไม่อยู่ แต่ข้าคิดว่าท่านประมุขน่าจะไม่ปฏิเสธคำขอร้องของท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กระมัง”


 


 


“ขอบคุณท่านจู่จื๋อซือ หลังจากนี้อวิ๋นหรูจะต้องขอบคุณอย่างหนัก” อวิ๋นหรูลุกขึ้นก่อนจะคุกเข่าต่อหน้าหลานเม่ยแสดงการขอบคุณ


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รีบลุกขึ้นมาเถิด เรียกข้าว่าหลานเม่ยก็พอแล้ว อีกทั้งท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดละความเศร้า”


 


 


“ระยะเวลาเดินทางระหว่างตระกูลหลานและเขาเทียนปี้ประมาณหนึ่งวัน หากเป็นคนธรรมดาจะต้องใช้เวลาประมาณสองวัน หลานเม่ยจะจัดการเรื่องที่พักของประชาชนชาวเขาเทียนปี้ให้ดีภายในสามวันนี้ ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์โปรดวางใจ”


 


 


“เขาเทียนปี้สิ้นแล้ว ข้าเองก็ไม่ใช่ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อะไร จู่…คุณชายหลานไม่ต้องเร่งรีบ หลังจากข้ากลับไปแล้วยังต้องท่านพ่อขอข้าลงดินเพื่อความสงบ”


 


 


“เกรงว่าท่านประมุขคงจะมีธุระ พิธีศพของนายวังท่านประมุขไม่มีพลาดเป็นแน่ คุณหนูอวิ๋นอย่าได้เป็นห่วงไป หากยังมีเรื่องอะไรที่ต้องการให้ช่วยเหลือขอให้เอ่ยปากบอก หากหลานเม่ยสามารถช่วยได้จะต้องออกแรงช่วยเหลือเป็นแน่”


 


 


“ขอบคุณคุณชายหลานเม่ย เช่นนั้นอวิ๋นหรูต้องเดินทางกลับในทันทีแล้ว”


 


 


“ขอรับ”


 


 


หลังจากอวิ๋นหรูกลับไปหลานเม่ยสั่งให้คนลอบป้องกันนางระหว่างทางกลับ อีกทั้งยังส่งคนไปติดต่อหลานเฟิง ดูว่าหลานเยี่ยไปที่ใด


 


 


หากเป็นหลานเฟิงน่าจะรู้ว่าท่านประมุขอยู่ที่ใด อย่างไรระหว่างทั้งสองคนก็ไม่เคยมีช่องว่างระหว่างกันมาก่อน


 


 


และเขากลับไปจัดการเรื่องที่อยู่ของประชาชนเขาเทียนปี้ด้วยตนเอง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 90 พิธีศพ


 


 


ตอนที่อวิ๋นหรูกลับไปถึง แม่ทัพอวิ๋นก็รอนางอยู่ที่เรือนหรงอี้แล้ว


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ช่วงเวลาที่ท่านไม่อยู่ท่านหัวหน้าแม่ทัพกองทหารตระกูลหลานหลานเฟิงมาหาท่าน”


 


 


“หลานเฟิงหรือ? เขามาทำไม เขาไม่ควรจะนำทหารอยู่ที่ซีเชวียหรือ?”


 


 


“เหมือนจะมาหาท่านประมุขหลานขอรับ ดูท่าทางร้อนใจอย่างมาก”


 


 


“หาท่านพี่ หรือเขาเองก็ไม่รู้ว่าท่านพี่ไปไหน ท่านพี่ไม่ได้กลับตระกูลหลาน หลานเม่ยเองก็ไม่รู้ว่าท่านพี่ไปที่ไหน คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรกับท่านพี่กระมัง พวกเราต้องส่งคนไปหาเขาหรือไม่”


 


 


อวิ๋นหรูแลดูร้อนใจขึ้นมา


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เร่งรีบที่สุดตอนนี้คือพิธีศพของนายวังและความปลอดภัยของประชาชนเขาเทียนปี้ อีกทั้งเขาเทียนปี้เองก็ไม่มีคนเหลือมากพอที่จะออกไปตามหาคน ข้าเชื่อว่าทางตระกูลหลานจะต้องตามหาท่านประมุขหลานเป็นแน่ ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องเข้าไปยุ่งหรอกขอรับ”


 


 


อวิ๋นหรูคิดถึงบทสนทนาระหว่างนางและอวิ๋นอี้ตอนที่ยังมีชีวิต และคิดถึงเนื้อหาในจดหมายฉบับนั้น ใช่แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ตนเองจะเอาแต่ใจได้แล้ว


 


 


“การเตรียมพร้อมช่วงแรกของพิธีศพเป็นอย่างไรบ้าง” เห็นอวิ๋นหรูไม่ได้พูดอะไรอีก แม่ทัพอวิ๋นถึงได้วางใจลง


 


 


“การเตรียมพร้อมช่วงแรกเสร็จหมดแล้วขอรับ หลังจากนี้ต้องให้ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านออกหน้าจัดพิธีเองแล้ว”


 


 


พูดจบทั้งสองคนก็เดินมาถึงโถงบรรพชนเขาเทียนปี้ ประตูใหญ่ของโถงบรรพชนเปิดออกกว้าง หน้าประตูมีทหารยืนอยู่สองแถว ตรงกลางเหลือเป็นทางเดินเอาไว้เส้นหนึ่ง ด้านข้างเต็มไปด้วยประชาชนที่มายืนรอส่งด้วยความเป็นระเบียบ


 


 


ตั้งแต่ที่อวิ๋นอี้รับช่วงดูแลเขาเทียนปี้ ใช้ศีลธรรมในการจัดการ เขาเทียนปี้ภายใต้การดูแลของเขายิ่งอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ชีวิตของประชาชนก็ยิ่งมีความสุขและแข็งแรงมากขึ้น ประชาชนเขาเทียนปี้เองก็ซาบซึ้งในบุญคุณของอวิ๋นอี้ สำหรับการจากไปของนายวังที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างมาก


 


 


อวิ๋นหรูเดินอยู่ข้างหน้า สี่คนด้านหลังแบกโลงศพของอวิ๋นอี้เดินตามมา อวิ๋นหรูสวมใส่ชุดสีขาวปลอด ในเวลานี้กลับไม่มีน้ำตาหยดลงมาแม้แต่หยดเดียว เพราะร้องไห้จนน้ำตาแห้งไปแล้วอย่างนั้นหรือ?


 


 


โลงศพเข้าไปในโถงบรรพชน อวิ๋นหรูนำดอกบัวขาววางไว้บนมุมซ้ายของโลงศพอวิ๋นอี้ หลังจากกราบสามครั้งแล้วก็ลุกขึ้น จากนั้นอวิ๋นหรูขับกระแสพลังบังคับโลงศพอวิ๋นอี้ไว้กลางอากาศ เปลวเพลิงแสนแสบตาสะเทือนเลื่อนลั่น


 


 


มีผู้คนมากมายร้องไห้ออกมาเพราะทนไม่ไหว สุดท้ายเถ้ากระดูกที่เหลือก็ถูกใส่ไว้ในกล่องไม้ที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ จากนั้นก็ใส่ไว้ในตำแหน่งที่กำหนดเอาไว้


 


 


“อวิ๋นอี้นายวังรุ่นที่สองร้อยเก้าสิบเอ็ดแห่งเขาเทียนปี้ ทั้งชีวิตทำเพื่อเขาเทียนปี้ ไม่เคยมีข้อผิดพลาดมาก่อน และในวันนี้ได้จากไป จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นหลัง” คนที่ดำเนินพิธีนั้นพูดออกมา


 


 


“ท่านพ่อ ท่านไปดี” อวิ๋นหรูตะโกนออกมาเสียดัง คนด้านหลังก็ตะโกนตามนาง


 


 


“นายวัง ท่านไปดี” ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ก็ระงมไปทั่วทุกทิศ เสียงดังสนั่นฟ้า หากคิดจะวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตของผู้นำคนหนึ่ง คิดว่าน้ำตาของประชาชนราษฎรที่ร่ำไห้ในพิธีศพคงจะมีกำลังในการพูดที่สุดกระมัง


 


 


อวิ๋นหรูเดินออกไปหน้าประตูโถงบรรพชน มองดูประชาชนด้านนอก


 


 


“แม้นายวังจะจากไปแล้ว เขาเทียนปี้จะถูกเผา แต่ยังมีพวกเจ้า ข้าเชื่อว่า มีพวกเจ้าอยู่เขาเทียนปี้จะต้องมีวันที่สร้างกลับขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คนชรา หญิงที่แต่งงานและเด็กๆ ให้ตามข้าไปที่ตระกูลหลานเป็นการชั่วคราว บุรุษที่เหลือคนที่ยินยอมอยู่ต่อก็ให้สร้างเขาเทียนปี้ด้วยกัน คนที่ไม่ยินยอมอยู่ต่อก็ให้ตามข้าไปตระกูลหลาน”


 


 


“พวกเรายินยอมอยู่ต่อไปก่อสร้างเขาเทียนปี้” เสียงตะโกนดังรอบด้าน มุ่งมั่นอย่างมาก


 


 


รอจนทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว อวิ๋นหรูนั่งอยู่ในโถงบรรพชนไม่รู้คิดอะไรอยู่


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไฟอมตะของนายวังจะให้เอาลงมาหรือไม่?”


 


 


แม่ทัพอวิ๋นเดินมาถาม


 


 


สายตาของอวิ๋นหรูมองไปยังกำแพงของโถงบรรพชน


 


 


“ไม่จำเป็น รอจนวันที่เขาเทียนปี้สร้างขึ้นมาใหม่ค่อยเอาลงมา ข้าอยากให้ท่านพ่อได้เห็นเขาเทียนปี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ”


ตอนที่ 91 ปักหลัก


 


 


อวิ๋นหรูพาประชาชนเขาเทียนปี้เดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ ผ่านพื้นที่ราบกว้างใหญ่ มาถึงด้านหน้าเขาหลานวั่ง ระยะเวลาเดินทางสองวันไม่ได้ถือว่าไกลเท่าไรนัก ประชาชนเขาเทียนปี้ยังไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าให้เห็น ทันใดนั้นอวิ๋นหรูก็สังเกตเห็นหลานเม่ยรอพวกเขาอยู่ด้านหน้า


 


 


“จู่…คุณชายหลานเม่ยทำไมถึงมารอที่นี่เล่า?”


 


 


“ต้องขอโทษเป็นอย่างมากคุณหนูอวิ๋น พวกท่านน่าจะไม่สามารถเข้าเขาหลานวั่งได้ ทำได้แค่อยู่ตรงตีนเขาหลานวั่งเท่านั้น ท่านประมุขเปิดม่านพลังให้ท่าน แต่คนอื่นเข้าไปไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่หลานเม่ยคิดขึ้นมาได้ทีหลัง


 


 


ข้าได้จัดตั้งที่พักไว้ให้กับประชาชนของท่านบริเวณตีนเขาหลานวั่ง มีม่านพลังที่ใช้พลังของข้ารักษาเอาไว้ ดังนั้นย่อมไม่มีอันตราย”


 


 


หลานเม่ยเอ่ยอธิบาย


 


 


“เช่นนั้นต้องลำบากท่านแล้ว ท่านรออยู่ตรงนี้นานแล้วกระมัง”


 


 


“มิได้ ข้าเองก็เพิ่งมา บังเอิญว่าพวกท่านก็มาถึงพอดี”


 


 


พื้นที่ส่วนหนึ่งของตีนเขาหลานวั่งก็ถือเป็นพื้นที่ของตระกูลหลาน เพียงแต่ไม่ถูกม่านพลังปกคลุมเอาไว้เท่านั้นเอง


 


 


อวิ๋นหรูตามหลานเม่ยพาประชาชนเขาเทียนปี้ไปยังที่พัก เห็นบ้านพักที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมั่นคงเป็นแถวๆ หลังจากเข้าไปแล้วอุปกรณ์ทั้งหลายมีพร้อมตามควร ด้านหน้าบ้านทุกหลังมีพื้นที่เล็กๆ และสวนแห่งหนึ่ง


 


 


อุปกรณ์ในชีวิตประจำวันก็ถูกจัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน แล้วยังละเอียดเอาใจใส่ถึงขั้นเตรียมรถเข็นของเด็กและไม้เท้าของผู้เฒ่า ไม่เหมือนกับสถานที่ที่ไม่มีคนพักอาศัยแม้แต่น้อย


 


 


อวิ๋นหรูคิดไม่ถึงว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้หลานเม่ยจะทำได้ถึงขั้นนี้


 


 


“ขอบคุณท่านมากจริงๆ เตรียมพร้อมอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้”


 


 


“ที่นี่แต่เดิมก็มีห้องอยู่มากมาย เพียงแค่ซ่อมแซมเล็กน้อยเท่านั้น ผืนดินและสวนก็ไม่ได้เปลืองเวลามากมาย มีของพวกนี้ก็สามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้แล้ว ยังขาดอะไรอีกข้าจะเอามาให้จากทางตระกูลหลาน”


 


 


“เช่นนั้นต้องลำบากท่านแล้ว”


 


 


“คุณหนูอวิ๋นขอบคุณหลายครั้ง หลานเม่ยรับไว้ไม่ได้ หลานเม่ยเพียงแค่จัดการธุระแทนท่านประมุขเท่านั้นเอง หากท่านประมุขอยู่จะต้องให้พวกท่านเข้าไปในเขาหลานวั่งเป็นแน่”


 


 


“ไม่ต้อง เท่านี้ก็ดีมากแล้ว”


 


 


“เช่นนั้นหลานเม่ยต้องขอตัวกลับก่อน”


 


 


หลังจากหลานเม่ยกลับไป อวิ๋นหรูก็เริ่มจัดการให้ประชาชนเข้าพัก


 


 


“คนที่มีเด็กด้วยให้มาพักบริเวณนี้ มีคนแก่ให้อยู่ตรงนั้น ที่เหลือเลือกบ้านที่พวกเจ้าได้เลย”


 


 


หลังจากอวิ๋นหรูจัดการเสร็จแล้ว ทุกคนก็เข้าไปพักด้วยความดีอกดีใจ


 


 


หลังจากเหล่าหญิงที่แต่งงานแล้วช่วยกันเก็บกวาดภายในบ้าน ก็เริ่มลงมือจัดระเบียบสวนและพื้นที่ด้านนอก ทหารกลุ่มนั้นก็มาช่วยจัดการพื้นที่ด้วย


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สามารถรบกวนนายท่านตระกูลหลานคนนั้นช่วยนำเอาพันธุ์ไก่พันธุ์เป็ดและเมล็ดพืชผักจากตระกูลหลานเอามาปลูกได้หรือไม่ ตอนนี้อย่างไรก็กลับไปไม่ได้ คงไม่อาจพึ่งพาอาศัยตระกูลหลานได้ทุกเรื่อง” หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งอุ้มลูกมาคุยกับอวิ๋นหรู


 


 


อวิ๋นหรูได้ยินแล้วจึงหัวเราะออกมา ช่างดีเหลือเกิน ทุกคนไม่ได้หมดอาลัยตายอยากเพราะการเปลี่ยนแปลงของเขาเทียนปี้ แต่ยังมองไปข้างหน้าด้วยความคิดบวก พวกเขาทำได้เช่นนี้ เช่นนั้นข้ายิ่งไม่อาจตามหลัง


 


 


“ได้ ข้าจะให้เขาเอามา”


 


 


อวิ๋นหรูบอกคำร้องขอของตนเองกับหัวหน้าทหารกลุ่มนั้น จากนั้นถึงรู้ว่าภายในบ้านทุกหลังล้วนมีเครื่องมือและเมล็ดพันธุ์พืชผักผลไม้อยู่ สำหรับลูกเจี๊ยบและลูกเป็ดหัวหน้าทหารกลับไปยังตระกูลหลานรายงานให้หลานเม่ยทราบในทันใด


 


 


ค่ำวันนั้นหลานเม่ยพาคนนำสิ่งของมาส่งให้ เห็นกลุ่มคนข้างหลังหลานเม่ยแบกกรงลูกเจี๊ยบมาคนละกรง แล้วในมือหลานเม่ยก็ยังมีอยู่กรงหนึ่ง ลูกเจี๊ยบและลูกเป็ดที่อยู่ภายในส่งเสียงร้องระงม อวิ๋นหรูรู้สึกขำขันอย่างไม่มีเหตุผล


 


 


จู่จื๋อซือตระกูลหลานกลับมีด้านที่น่ารักเสียขนาดนี้ 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 92 ร้องทุกข์


 


 


“ท่านมาแล้ว”


 


 


อวิ๋นหรูยิ้มแย้มมองหลานเม่ยที่ถือกรงไก่มา


 


 


“อืม นี่คือของที่ท่านต้องการ” หลานเม่ยส่งของที่อยู่ในมือให้อวิ๋นหรูดู


 


 


“ให้ข้าวางไว้ที่ไหน?”


 


 


อวิ๋นหรูคิดจะรับไป แต่หลานเม่ยกลับถอยหลังลงไปก้าวหนึ่ง ไม่ได้ส่งให้นาง อวิ๋นหรูเห็นแล้วก็ยิ่งยิ้มกว้างสดใสกว่าเดิม


 


 


“ลูกเจี๊ยบมาแล้ว มารับไปเร็ว” อวิ๋นหรูตะโกนหันไปทางบ้านพัก ทันใดนั้นก็มีหญิงวัยกลางคนจำนวนมากยิ้มแย้มออกมารับลูกเจี๊ยบไป


 


 


เห็นกลุ่มสตรีที่กระตือรือร้นเช่นนี้ หลานเม่ยไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี


 


 


“คุณชายหลาน ท่านไปนั่งพักตรงนั้นสักครู่เถิด อีกครู่คงจะครึกครื้นน่าดู” อวิ๋นหรูเรียกให้หลานเม่ยเดินไป หลังจากหลานเม่ยสั่งให้ลูกน้องกลับไปก่อนแล้วถึงเดินไปหา


 


 


ปกติแล้วประชาชนเขาเทียนปี้ชอบร้องรำทำเพลง คราวนี้หลังจากกินข้าวอิ่มก็กำลังร้องเล่นเต้นรำ ครึกครื้นเป็นอย่างมาก


 


 


“คุณหนูอวิ๋นหรู ตอนนี้เขาเทียนปี้เป็นเช่นนี้ ท่านรู้สึกสิ้นหวังหรือไม่?” หลานเม่ยถามอวิ๋นหรูที่นั่งนิ่งมองดูคนเต้นรำ


 


 


อวิ๋นหรูตะลึงไป ไม่ได้ตอบในทันที ท้ายสุดถึงเอ่ยปากออกมาช้าๆ


 


 


“พูดตามจริงที่เขาเทียนปี้กลายเป็นเช่นทุกวันนี้ที่จริงแล้วเป็นข้าที่ทำให้เกิดขึ้น ข้าผู้ถือเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาเทียนปี้ คิดว่าตนเองอาจหาญทั้งวิชาบุ๋นวิชาบู๊ ไม่มีสิ่งที่ทำไม่ได้ คิดว่าตนเองเป็นหญิงแปลก


 


 


แต่หลังจากประสบเรื่องราวครั้งนี้แล้วข้าถึงรู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ผิดไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ข้ามีทั้งหมดที่จริงล้วนเป็นสิ่งที่พ่อข้าให้มา ไม่มีของเหล่านี้ที่พ่อให้ข้าก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ข้าไม่มีความสามารถที่จะทำได้


 


 


พูดอย่างไม่ปิดบังท่าน ข้าชอบท่านพี่ ข้าคิดว่าอาศัยสิ่งที่ข้ามีก็มากพอที่จะทำให้ท่านพี่ชอบข้า แต่ข้าผิดไปแล้ว ตนเองก็เป็นแค่ไม้ประดับที่มีเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น แม้แต่เนื้อหนังนี้ก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้


 


 


ท่านพ่อกล่อมให้ข้ายอมแพ้ ที่จริงต่อให้เขาไม่กล่อมข้า ข้าเองก็ต้องยอมแพ้ สิ่งที่ข้าต้องเผชิญหน้าด้วยคือศัตรูหัวใจที่ไม่อาจเอาชนะได้


 


 


วันนั้นตอนที่ข้ากลับไปยังเขาเทียนปี้ คนตระกูลหลานลอบฆ่า แต่กลับมีโจรลอบสังหารตระกูลเยี่ยคนหนึ่งรับดาบแทนข้า ตอนนั้นข้างุนงงอย่างมาก แต่หลังจากนั้นข้าก็เข้าใจ


 


 


ในเมื่อพวกเขาเข้ามาจากอุโมงค์ลับ ฉะนั้นย่อมต้องเห็นเรื่องราวพันปีก่อนที่จดบันทึกไว้ในอุโมงค์ลับ ที่ออกมารับดาบแทนข้านั้นก็เป็นเพราะใบหน้าของข้าที่เหมือนกับบรรพบุรุษเท่านั้นเอง”


 


 


หลานเม่ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ฟังอวิ๋นหรูพูดอยู่เงียบๆ


 


 


“ตอนนี้เขาเทียนปี้กลายเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็พยายามบีบบังคับตนเองให้เข้มแข็งขึ้นมาตลอด ประชาชนเขาเทียนปี้ต้องการข้า ข้าไม่อาจล้มลงได้ แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าจะมีวันใดที่ข้าจะล้มลง” อวิ๋นหรูไม่ได้พูดต่อ มือทั้งสองข้างวางอยู่บนหน้าผาก มองเห็นสีหน้าไม่ชัดเท่าไรนัก


 


 


“ให้ตายเถิด ข้าพูดเองเออเองเยอะเช่นนี้ ช่างน่าอายเสียจริง ทางนั้นมีผลไม้ที่เก็บมาจากบริเวณใกล้ๆ ข้าจะไปหยิบมาเสียหน่อย” อวิ๋นหรูลุกขึ้น เตรียมไปหยิบมา


 


 


“คุณหนู…อวิ๋นหรู” อวิ๋นหรูได้ยินหลานเม่ยเรียกตนเองจึงหยุดฝีเท้าลง แต่ไม่ได้หันไป หลานเม่ยเรียกอวิ๋นหรูไว้ แต่กลับพบว่าตนเองนั้นเสียมายาทจึงรีบพูดอีกสองคำ


 


 


“หาก ข้าบอกว่าหากมีวันใดที่ท่านต้องการความช่วยเหลืออย่างมากจริงๆ ข้ายินยอมช่วยท่านจัดการดูแลเขาเทียนปี้ด้วยกัน”


 


 


อวิ๋นหรูหันหลังให้หลานเม่ย ไม่รู้ว่าสีหน้าเช่นไร หลังจากนั้นไม่นานอวิ๋นหรูก็หมุนตัวกลับมา


 


 


“ผลไม้ที่เก็บมาวันนี้หวานเป็นอย่างมาก แค่ข้ายังรู้สึกว่าผลไม้ที่เขาเทียนปี้หวานกว่านี้ รอจนวันที่ผลหมากรากไม้ในเขาเทียนปี้ถูกปลูกขึ้นมาอีกครั้ง ท่านยินยอมไปลองชิมหรือไม่?” อวิ๋นหรูยิ้มพลางพูดออกมา


 


 


หลานเม่ยก้มหน้าลงด้วยความขัดเขิน ไม่รู้ว่าคิดเช่นไร


 


 


‘ใช่แล้ว นางต้องการเวลาผ่อนคลายเสียหน่อย’


ตอนที่ 93 หายตัว


 


 


คืนนั้นหลานเม่ยไม่ได้อยู่พักที่นั่น เขากลับไป แต่วันรุ่งขึ้นก็ไปตีนเขาเขาหลานวั่งอีกครั้ง เมื่อวานคนที่กลับมาจากชายแดนซีเชวียพูดว่าหลานเฟิงออกจากซีเชวียไปแล้ว บอกว่าไปเขาเทียนปี้


 


 


“คุณชายหลานท่านมาแล้วหรือ?”


 


 


อวิ๋นหรูยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ


 


 


“คุณหนูอวิ๋น ท่านทราบว่าท่านประมุขและหลานเฟิงไปที่ไหน?” หลานเม่ยดูท่าทางร้อนใจนัก


 


 


“ท่านพี่และหลานเฟิงหรือ? ข้าไม่รู้ ตอนแรกท่านพี่เองก็หายออกจากเขาเทียนปี้ไปอย่างไร้ร่องรอย วันนั้นข้ากลับไปจากตระกูลหลาน แม่ทัพอวิ๋นบอกข้าว่าหลานเฟิงไปที่เขาเทียนปี้ บอกว่าไปหาท่านพี่ แต่ไม่พบ หลังจากนั้นก็จากไป ไม่มีข่าวให้ได้ยินอีก ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเขากลับมาตระกูลหลานเสียอีก”


 


 


“พวกเขาไม่ได้กลับมาตระกูลหลาน ตอนนี้ไม่รู้ไปที่ใด”


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แม่ทัพอวิ๋นส่งจดหมายถึงท่าน”


 


 


ตอนที่กำลังพูดคุยอยู่นั่นเอง ทหารนายหนึ่งก็ควบม้าวิ่งมา ส่งจดหมายให้อวิ๋นหรู อวิ๋นหรูรีบเปิดจดหมายออกดู


 


 


ไม่นานสีหน้าของอวิ๋นหรูก็กลายเป็นไม่น่ามองถึงขั้นสุด


 


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”


 


 


“แม่ทัพอวิ๋นบอกว่า วันนี้ตอนที่เขาไปตรวจสอบอุโมงค์ลับพบว่าทหารที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นถูกคนฆ่าหมดแล้ว อาจจะมีคนบุกเข้ามาในเขาเทียนปี้อีกครั้ง เขาค้นหาพื้นที่ที่เป็นไปได้ทุกแห่งแต่ก็หาไม่พบ คิดว่าอาจจะบรรลุจุดประสงค์แล้วจากไปแล้ว”


 


 


“เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของท่านประมุขหรือไม่”


 


 


“เช่นนั้นจะทำเช่นไรดี?”


 


 


“คุณหนูอวิ๋นไม่ต้องร้อนใจไป ท่านประมุขมีเส้นสายอยู่ทุกที่ ข้าจะให้พวกเขาช่วยตาหา หากมีข่าวอะไรจะมาแจ้งท่าน คุณหนูอวิ๋นจัดการเรื่องที่นี่เสร็จแล้วก็กลับไปเขาเทียนปี้วางแผนบูรณะได้ ที่นี่ข้าจะช่วยท่านเอง อีกอย่างเรื่องอุโมงค์ลับก็ต้องคิดถึงการปิดผนึกใหม่อีกครั้งได้แล้ว”


 


 


“อืม เช่นนั้นต้องลำบากท่านแล้ว ข้าจะรีบกลับไปยังเขาเทียนปี้”


 


 


หลังจากหลานเม่ยออกจากตีนเขาเขาหลานวั่งแล้วนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปที่เมืองหลวงทันที ท่านประมุขจะไปที่ครองจันทร์หรือไม่ แต่เขาจะปล่อยตระกูลหลานทิ้งไว้ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ


 


 


หลังจากมาถึงเมืองหลวง หลานเม่ยตรงไปยังหอเมฆาคลาย อวี่มั่วและเทียนซีออกมารับเขา


 


 


“เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ขอร้องพวกท่านช่วยตามหาท่านประมุขหลานด้วยเถิด”


 


 


“จู่จื๋อซือไม่ต้องมากพิธีไป หลานเยี่ยเป็นเพื่อนที่ดีของเรา ทำเรื่องเท่านี้ถือว่าเป็นเรื่องสมควร ท่านวางใจเถิด หากมีข่าวคราวอะไรจะต้องแจ้งท่านในทันทีเป็นแน่”


 


 


“ขอบคุณ!”


 


 


หลังจากหลานเม่ยจากไป อวี่มั่วและเทียนซีก็พูดคุยกันขึ้นมา


 


 


“เจ้าว่าหลานเยี่ยจะไปไหน?”


 


 


“ถูกตระกูลเยี่ยจับตัวไปหรือไม่…” เทียนซีไม่ได้พูดต่อ หากเป็นเช่นนี้จริงก็อันตรายเกินไปแล้ว


 


 


แม้ชิวหลีจะตายไปแล้ว แต่คนที่อยากได้มุกหลิววั่งมีอยู่มากมาย ตอนนี้หลานเยี่ยและหลานเฟิงหายตัวไปพร้อมกัน ยากที่จะไม่ทำให้คนนึกสงสัย


 


 


“พลังของหลานเยี่ยแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น หลานเฟิงก็ไม่ได้อ่อนแอ จะถูกจับไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ?”


 


 


“พูดยาก ใครจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามใช้แผนร้ายอย่างหรือ”


 


 


“จะว่าไปช่วงนี้ก็ไม่ได้เจอมู่หลีเลย”


 


 


“เขามักจะผีเข้าผีออก ไม่เจอหน้าก็ไม่แปลก พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเขาพักที่ไหนกันแน่ ไม่มีวิธีติดต่อเขา ก่อนหน้านี้ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหลานเยี่ยเขาจะต้องปรากฏตัวขึ้นในทันที คราวนี้ไม่โผล่หน้ามาท่าทางสถานการณ์จะไม่ค่อยน่าชมเท่าไร”


 


 


“ต้องให้คนของครองจันทร์ลงมือหรือไม่ เช่นนี้จะเร็วนี้อีกหน่อย อาศัยเพียงแค่กำลังของเราเกรงว่าจะไม่เป็นตามใจนึก”


 


 


“อืม ย่อมได้”


 


 


“เช่นนั้นพวกเราไปที่ครองจันทร์สักครั้ง” อวี่มั่วหยิบเอาป้ายคำสั่งออกมาจากลิ้นชักภายในโต๊ะ สั่งงานพร้อมกับเทียนซีอยู่ครู่หนึ่งก็ออกเดินทาง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 94 ครองจันทร์


 


 


ครองจันทร์คือกลุ่มองค์กรที่หลานเยี่ยจัดตั้งขึ้นด้วยความนึกสนุกตอนที่หนีมาเมืองหลวง


 


 


แม้จะเกิดขึ้นเพราะความสนุกเพียงชั่วครู่ แค่ก็ทำให้เขาบริหารขึ้นมาอย่างเป็นรูปเป็นร่าง คนภายในครองจันทร์ล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่เมืองหลวงเก็บมาหรือเป็นคนไร้บ้านให้กลับ ภายในช่วงเวลานั้นหลานเยี่ยสอนวิชากำลังให้พวกเขาด้วยตนเอง ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเด็กๆ เหล่านี้ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก


 


 


คนภายในครองจันทร์นั้นแบ่งออกเป็นหลายส่วน ที่สำคัญที่สุดก็คือครอบครองข่าวสารของทุกพื้นที่รวมไปถึงอบรมฝึกสอนฆาตกรระดับสูงสุดกลุ่มหนึ่ง เพื่อเตรียมไว้ในยามที่ต้องการ แล้วยังมีส่วนที่จัดตั้งขึ้นสำหรับรับเก็บเด็กกำพร้าเป็นการเฉพาะ บางทีอาจเป็นเพราะว่าหลานเยี่ยมักจะเก็บเด็กกำพร้าอยู่บ่อยครั้งจึงทำให้หลานเยี่ยใส่ใจงานนี้เป็นอย่างมาก


 


 


ตอนแรกหลังจากที่หลานเยี่ยถูกหลานชิงจับตัวกลับไปแล้วนั้นได้ให้หลานเฟิงมอบครองจันทร์ให้อวี่มั่วช่วยดูแล และกำชับเขาว่าจะต้องดูแลเด็กเหล่านั้นให้ดี หลายปีมานี้ครองจันทร์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นคนสัดส่วนที่แน่นอน ตอนแรกครองจันทร์ไม่มีแหล่งที่มาของเศรษฐกิจ อวี่มั่วได้ลงทุนร้านค้าสองสามร้านภายในเมืองหลวง กิจการถือว่าโด่งดัง ยิ่งบวกกับหอเมฆาคลาย การสนับสนุนครองจันทร์นั้นถือว่าเหลือเฟือ


 


 


เพราะเรื่องนี้ทำให้หลังจากนั้นหลานเยี่ยขอบคุณเขาอยู่บ่อยครั้ง


 


 


ที่ตั้งของครองจันทร์นั้นลึกลับเป็นอย่างมาก สถานที่แห่งนี้อวี่มั่วเป็นคนเลือกมา สถานที่ตั้งอยู่กลางป่าเขา ด้านหลังมีภูเขาติดกับสายน้ำ ได้เปรียบทางภูมิประเทศอย่างมาก ครั้งนี้ที่มาทำให้อวี่มั่วรู้สึกถึงหมู่บ้านกลางหุบเขา


 


 


อวี่มั่วและเทียนซีมาบริเวณบริเวณอาณาเขตของครองจันทร์ ทันใดนั้นก็มีคนออกมาขวางพวกเขาไว้ แม้อวี่มั่วจะช่วยดูแลครองจันทร์แทนแต่สำหรับพวกเขาแล้วพวกเขายอมรับเพียงสองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือหลานเยี่ย และอีกหนึ่งคือป้ายครองจันทร์


 


 


อวี่มั่วหยิบป้ายครองจันทร์ออกมา หลังจากคนเหล่านั้นดูแล้วถึงปล่อยพวกเขาเข้าไป


 


 


ภายในครองจันทร์ถูกหลานเยี่ยตกแต่งเหมือนกับเขาหลานวั่ง หอคอยตึกสูงแสนประณีตหลากประเภท แล้วยังมีต้นไม้ใบหญ้านานาชนิด เหมือนกับดินแดนในอุดมคติอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ที่นี่สามารถเห็นเด็กที่กำลังหยอกล้อเล่นสนุก เด็กหนุ่มเด็กสาวที่กำลังฝึกวิชา พ่อแม่ที่เต็มด้วยเมตตาและผู้เฒ่าที่เป็นมิตร โดยสรุปแล้วที่นี่ก็เหมือนกับครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยความสุข


 


 


อวี่มั่วและเทียนซีเดินไปถึงโถงประชุมของครองจันทร์ ในนั้นปกแล้วจะมีคนเฝ้าอยู่เป็นประจำ อวี่มั่วนำเอาป้ายครองจันทร์ออกมาแล้วจึงเดินเข้าไป


 


 


“เรียกพบบุคคลชั้นสูงทั้งหมดของครองจันทร์ มีเรื่องสำคัญต้องปรึกษา”


 


 


“ขอรับ” คนที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นหลังจากรับป้ายคำสั่งไปก็รีบดำเนินการในทันที


 


 


ไม่นานบุคคลชั้นสูงทั้งหมดของครองจันทร์ก็มาถึง เห็นคนที่นั่งอยู่ด้านบนคืออวี่มั่วก็ไม่ได้ตกใจเท่าไรนัก


 


 


ตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้ท่านหัวหน้าก็ไม่ค่อยมาเท่าไรนัก คนที่มามีเพียงนายท่านคนนี้


 


 


“ไม่ทราบว่านายท่านมาครั้งนี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ”


 


 


“หลายวันก่อนนี้จู่ๆ ท่านหัวหน้าก็ไร้ซึ่งข่าวสาร หาตัวไม่พบ แม้ก่อนหน้านี้จะเคยเกิดเรื่องเช่นนี้บ้างแต่องครักษ์ของท่านหัวหน้าล้วนสามารถติดต่อได้ แต่ครั้งนี้ท่านหัวหน้าและองครักษ์หลานเฟิงหายตัวไปพร้อมกัน เหมือนกับถูกใครลักพาตัวไป


 


 


คิดว่าทุกคนคงรู้ดี ท่านหัวหน้าและองครักษ์ของเขามีของวิเศษอยู่ติดกาย คนที่ต้องการครอบครองนั้นมีจนนับไม่ถ้วน ข้าสงสัยว่าครั้งนี้ท่านหัวหน้าตกอยู่ในอันตรายแล้ว” อวี่มั่วพูดจบ คนที่อยู่ด้านล่างก็ปรึกษาหารือกัน


 


 


“พลังของท่านหัวหน้าเยี่ยมยอดถึงเพียงนั้น ทำไมถึงยังถูกคนลักพาตัวเล่าขอรับ”


 


 


“พลังของท่านหัวหน้าเยี่ยมยอด แต่ใจคนนั้นน่ากลัว ไม่ว่าวิธีใดก็คิดได้ทั้งนั้น จะมีพลังสูงมากเพียงใดก็ไม่อาจป้องกันได้ทั้งหมด ดังนั้นทุกท่าน ข้าหวังว่าสามารถแบ่งคนที่สามารถแบ่งได้ของครองจันทร์ออกตามหาท่านหัวหน้าเต็มกำลัง”


 


 


“ในเมื่อนายท่านออกคำสั่ง พวกข้าจะต้องพยายามตามหานายท่านสุดความสามารถ คิดถึงตอนนั้นหากไม่มีท่านหัวหน้าก็คงไม่มีพวกเราในตอนนี้”


ตอนที่ 95 ตามหา


 


 


คนของครองจันทร์ตามหาหลานเยี่ยทุกพื้นที่ด้านนอก หลานเม่ยออกจากเขาเทียนปี้ไม่ได้ หลานเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าไปไหน ดังนั้นหลานอีจึงไปที่ชายแดนซีเชวียแทนหลานเฟิง


 


 


แม้จะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่หลานอีก็ไม่ยังตายใจ สั่งให้คนตามหาทั่วตระกูลหลานอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับผลลัพธ์อะไรกลับมา


 


 


สามวันผ่านไปแล้วแต่ยังคงไม่มีข่าวสารใดๆ ถูกส่งมา หลานเม่ยอดรู้สึกร้อนใจไม่ได้


 


 


วันนี้หลานเม่ยไปที่ตีนเขาเขาหลานวั่งอีกครั้ง เห็นประชาชนเขาเทียนใช้ชีวิตเหมือนปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีโศกเศร้าเสียใจอะไรออกมา


 


 


เด็กน้อยกำลังหยอกเล่นกันอยู่นอกบ้าน หญิงที่แต่งงานแล้วก็จับกลุ่มนั่งทำงานฝีมืออยู่หน้าประตู ทำเสื้อผ้าให้กับสามีที่ก่อสร้างทำงานอยู่ที่เขาเทียนปี้ เย็บแผ่นรองเท้า


 


 


ลูกเจี๊ยบที่เอามาเมื่อหลายวันก่อนตอนนี้วิ่งไปทั่วสวน ผืนดินก็ถูกจัดการอย่างเรียบร้อยไปแล้วครั้งหนึ่งเพื่อโปรยเมล็ดพันธุ์ลงไป


 


 


อวิ๋นหรูกลับไปยังเขาเทียนปี้ หลายวันมานี้ยังไม่ได้กลับมา อาจเป็นเพราะทางด้านเขาเทียนปี้ยุ่งเกินไปกระมัง


 


 


เห็นหลานเม่ยมาพวกนางก็วางงานในมือลง เดินมาต้อนรับเขา


 


 


“นายท่านมาแล้ว รีบเข้ามาดื่มน้ำก่อนเถิด”


 


 


“ไม่ต้องยุ่งยาก พวกเจ้าทำตัวตามสบายเถิด ข้าแค่มาดูเท่านั้น อีกครู่ก็จะไปแล้ว” หลานเม่ยเหมือนไม่ถนัดในการรับมือกับหญิงแต่งงานที่กระตือรือร้นกลุ่มนี้


 


 


“นายท่าน ท่านเองก็อย่าสงวนท่าทีเกินไป ตอนนี้ที่พวกเรามีที่ให้พักก็เป็นเพราะใบบุญของท่าน ท่านมานั่งเถิดมาพูดคุยกับพวกเรา พวกเราเองก็จะได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับท่าน” หลานเม่ยไม่อาจขัดความจริงใจของพวกนางได้ จึงเข้าไปนั่งอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


“นายท่าน ปีนี้ท่านอายุเท่าไรแล้ว”


 


 


หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งรินชาไปพลางเอ่ยปากถามไปพลาง


 


 


“ยี่สิบหกปีแล้ว”


 


 


“อายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่งงานหรือยังเล่า?”


 


 


“ยังเลย” คิดไม่ถึงว่าหญิงแต่งงานแล้วเหล่านี้จะพูดจาตรงเช่นนี้ หลานเม่ยหน้าแดงอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


“เช่นนั้นท่านว่าท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเป็นเช่นไร?” หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งผลักเอาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตนเองออกมาเสนออย่างตรงไปตรงมา


 


 


“ก็ดี” ใบหน้าของหลานเม่ยแดงก่ำเหมือนลูกพลับสุก แทบจะมีเลือดหยดไหลออกมา


 


 


“เช่นนั้นก็ดี เช่นนี้ก็ง่ายขึ้น นายท่านเองก็ต้องสู้ๆ เสนอตัวสักหน่อยถึงจะจีบเอามาไว้ในมือได้ไม่ใช่หรือ”


 


 


“ข้าๆๆ ไม่ๆๆ ข้า…”


 


 


“ไอยา นายท่านอย่าอายไป เป็นเช่นนี้จะจีบท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราได้อย่างไร? ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกข้ามีคนไล่จีบตั้งมากมาย”


 


 


“ฮ่าๆๆ” หญิงแต่งงานทั้งกลุ่มหัวเราะขึ้นมา ทำให้หลานเม่ยเขินอายมากกว่าเดิม


 


 


“มีเรื่องอะไรน่ายิ่งดีถึงเพียงนี้ พูดมาให้ข้ามีความสุขด้วยซิ” จู่ๆ อวิ๋นหรูก็เดินเข้ามาจากด้านนอก บังเอิญเห็นหลานเม่ยที่มีสีหน้าเขินอายและหญิงแต่งงานที่ยิ้มหยอกเย้าล้อมรอบเขาอยู่


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้ว ข้าจะบอกให้ท่านฟัง…”


 


 


“ข้าขอตัว” หลานเม่ยหนีจากไป ด้านหลังนั้นมีเสียงหัวเราะดังตามา


 


 


ในเวลาเดียวกัน ภายในครองจันทร์


 


 


อวี่มั่วนั่งอยู่ด้านบน มองดูกลุ่มคนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ด้านล่าง


 


 


“ทำไมถึงไม่พูด? สามวันแล้ว ไม่มีข่าวแม้แต่นิดเลยหรือ? ข่าวสารของครองจันทร์ใช้ไม่ได้เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”


 


 


“นายท่าน พวกเราเองก็ร้อนใจ แต่สามวันมานี้ คนที่อยู่ใต้อาณัติได้ตามหาทั่วทุกที่แล้ว ไม่มีข่าวเลยแม้แต่น้อยจริงๆ ขอรับ”


 


 


“หาครบแล้ว หาครบแล้วคือที่ไหนกัน? เมืองหลวง จิ่วหลิวหรือตระกูลเยี่ย?”


 


 


“ในเมืองหลวงไม่มีข่าวเลยแม้แต่น้อยจริงๆ นายท่านเองก็รู้ภายในตระกูลเยี่ยคนของเราไม่อาจเข้าไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตามหาคนเลยขอรับ”


 


 


“ดังนั้นเลยหาไม่พบหรือ?”


 


 


อวี่มั่วนวดหว่างคิ้ว ไม่มีข่าวเลยทุกที่ ตระกูลหลานก็ไม่มี ในเมืองหลวงก็ไม่มี เขาเทียนปี้ก็ไม่มี เช่นนั้นก็เหลือเพียงตระกูลเยี่ยแล้ว ตระกูลเยี่ย คราวนี้เป็นใครกัน?


 


 


หลานเยี่ยอ่าหลานเยี่ย เจ้าช่างมีความพิเศษหาเคราะห์ใส่ตัวเสียจริง


 


 


……


 


 


ภายในตระกูลเยี่ยชิวลั่วหมุนตัวเข้าไปในห้องชิวอวี้


 


 


“นายน้อย ไม่ทราบว่าจะจัดการกับมู่หลีอย่างไรขอรับ?”


 


 


ชิวอวี้เงยหน้าขึ้นมา มองชิวลั่วอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแย้มขึ้นมา


 


 


“เรื่องของเจ้า เจ้าตัดสินใจเองก็ได้แล้ว ข้าจะเข้าไปยุ่งกับเจ้า”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 96 เมื่อคำพูดสิ้น เหล้าหนึ่งแก้ว


 


 


แม้ชิวลั่วจะเป็นเพียงองครักษ์ของชิวอวี้ แต่ชิวอวี้ก็ยังจัดการจวนให้เขาหลังหนึ่ง ปกติแล้วชิวลั่วจะอยู่ข้างกายชิวอวี้ น้อยครั้งที่จะกลับมา แต่วันนี้กลับกลับมาอย่างน่าแปลกใจ


 


 


ชิวลั่วเข้าไปในห้อง ไม่เห็นคนที่ตนอยากพบ จึงหมุนตัวออกไปตามหาข้างนอก ตามที่คาดไว้มู่หลีนั่งอยู่หน้าโต๊ะกลางสวนดอกไม้


 


 


บนโต๊ะมีเหล้าอยู่กาหนึ่ง และแก้วเหล้าหนึ่งใบ ชิวลั่วหันไปหยิบแก้วเหล้าหนึ่งใบแล้วเดินตรงออกไป จากนั้นก็ยกกาเหล้าขึ้นมา รินเหล้าให้มู่หลีแก้วหนึ่งและให้ตนเองอีกแก้ว มู่หลีดื่มหมดในคราวเดียว


 


 


“มีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ ชมดอกไม้ดื่มเหล้า หรือจะแต่งกลอนอีกอย่างนั้นหรือ?”


 


 


“ภายในเรือนที่เงียบเหงาเช่นนี้ หากไม่หาความสุขให้ตนเองเสียหน่อยเกรงว่าคงหงอยเหงาแล้ว หรือองครักษ์ชิวไม่รู้สึกเหงาเล่า?”


 


 


มู่หลีรินเหล้าอีกแก้ว ยกแก้วเหล้าขึ้นมาหันไปทางชิวลั่วเป็นการแสดงท่าทีให้เห็น


 


 


“เหงาอย่างนั้นหรือ? ข้ากลับไม่รู้สึก เพราะมีเจ้าอยู่ไง”


 


 


“หลายปีมานี้เจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”


 


 


“เจ้าก็เช่นกัน”


 


 


“ไม่รู้ว่าผลพนันในตอนนั้น ท่านจะยังรักษาสัญญาหรือไม่” ในดวงตาชิวลั่วประกายแววขำขันเล็กน้อย


 


 


“ท่านไม่เชื่อข้าน้อยหรืออย่างไร? ต้องมีสักวันจะต้องพาท่านไปดูสักครั้ง ชิวลั่วรสนิยมของท่าน เคยมีคนบอกข้าว่ารสนิยมของท่านช่างเหมาะสมกับคุณหนูตระกูลสูงส่งยิ่งนัก!”


 


 


“น่าขำแล้ว”


 


 


พูดจบทั้งสองคนก็เพียงดื่มเหล้าเท่านั้น ไม่ได้มีบทสนทนาต่ออีก มู่หลีทำลายบรรยากาศอันนิ่งเกร็งนี้ลง


 


 


“ฉะนั้นเลยพูดว่าที่ท่านขบคิดหาทางทุกอย่างพาข้ามาที่ตระกูลเยี่ยก็เพื่อจะรื้อฟื้นเรื่องในอดีตกับข้าเท่านั้นหรือ?”


 


 


“อาหลี” ชิวลั่วเสียงแหบแห้ง เหมือนกำลังหักห้ามใจตนเอง


 


 


ได้ยินชื่อเรียกนี้ มู่หลีก็ยิ้มออกมา


 


 


“เจ้ายังคงตัดเขาไม่ลงหรือ?”


 


 


……


 


 


“ทำไมท่านถึงมาแอบขโมยเหล้านั่งดื่มเพียงลำพัง”


 


 


มู่หลีนั่งอยู่บนหลังคา นั่นยังเป็นช่วงเวลาหลายปีก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่เมืองหลวง


 


 


มู่หลีรู้นานแล้วว่ามีคนเข้ามาใกล้ แต่เพราะไม่รู้สึกถึงความอาฆาตจึงไม่สนใจเขา คิดไม่ถึงว่าคนคนนั้นจะเข้ามาพูดกับเขา


 


 


มู่หลีหันกลับไปมอง คนผู้นั้นสวมชุดสีดำสนิทเหมือนจะหลอมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับราตรีที่มืดมิด ตอนนี้เสื้อผ้าชุดดำยังเป็นที่นิยมอยู่อีกหรือ? ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน


 


 


อาศัยแสงจันทร์มองใบหน้าให้ชัดขึ้น หน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว


 


 


“แอบขโมยอะไรกัน ข้าใช้เงินของข้าซื้อมา ทำไมถึงกลายเป็นขโมยไปได้” คนคนนั้นเข้ามานั่งข้างๆ มู่หลี


 


 


“แสงจันทร์ที่สวยงามถึงเพียงนี้เจ้ากลับมานั่งดื่มเหล้าเพียงลำพัง ไม่แบ่งปันให้คนอื่น สุราชั้นดีเช่นนี้ไม่ใช่ว่าแอบเสพสุขอยู่คนเดียวหรืออย่างไร”


 


 


“เจ้าแต่งเรื่องแล้ว เอ้า!”


 


 


คนผู้นั้นแย่งไหเหล้าของมู่หลีไป อ้าปากดื่มในทันที


 


 


“ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้”


 


 


“ข้าน้อยคือชิวลั่ว ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร? เหล้าไม่เลวเลยทีเดียว ขอบคุณก็แล้วกัน” มู่หลีแย่งไหเหล้ากลับมา ป้องกันเอาไว้เหมือนลูกรัก


 


 


“มู่หลี มู่จากคำว่าจื้อเฟิงมู่อวี่ หลีจากคำว่าหลีหมิง” พูดจบก็ดื่มเหล้าอึกใหญ่


 


 


“เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาหลี”


 


 


“ตามใจ”


 


 


ชิวลั่วอาศัยโอกาสที่มู่หลีดื่มเหล้าดึงเอากระบี่ข้างกายของมู่หลีออกมา อาศัยแสงจันทร์ชื่นชมความงามของมัน


 


 


“ทำไมเจ้าปล่อยตัวตามสบายเช่นนี้ เจอหน้ากันครั้งแรกก็สนิทสนมเช่นนี้เชียวหรือ?”


 


 


“อาหลีพูดเองว่าตามใจข้า ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกผิดทีหลังเสียเล่า?”


 


 


“เอากระบี่คืนข้า วันนี้อารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก อย่ามารบกวนการใช้เหล้าดับทุกข์ของข้า รีบไปซะ อย่ามารบกวนข้าอีก”


 


 


มู่หลีเอื้อมมือไปแย่งกระบี่ของตน


 


 


“ทำไมอาหลีถึงไม่พูดถึงเหตุผลที่ต้องมานั่งดื่มเหล้าดับทุกข์เพียงลำพังเล่า พูดออกมาจะได้สบายใจเสียหน่อย” ชิวลั่วนำกระบี่ไปใส่ไว้ในฝักกระบี่ของมู่หลีตามเดิม มู่หลีถึงได้ปล่อยไป


 


 


“เพราะคนคนหนึ่ง”


 


 


“ใคร”


 


 


“คนที่ผิด”


ตอนที่ 97 คนที่ผิด


 


 


“ในเมื่อเป็นคนที่ผิด ทำไมอาหลีถึงปล่อยวางไม่ลงเช่นนี้”


 


 


“ในเมื่อเป็นคนที่ผิดย่อมปล่อยวางไม่ได้มากขึ้นไปอีก เพราะรักผิดคน ฉะนั้นถึงยิ่งเจ็บใจมากขึ้น พี่ชายไม่มีคนที่ใส่ใจจริงๆ บ้างเลยหรือ?”


 


 


“ถือว่าใช่กระมัง ก่อนหน้านี้ไม่มี หลังจากนี้ก็ไม่อาจรู้ได้ ตามชะตาไปก็แล้วกัน”


 


 


“ช่างน่าอิจฉาท่านนัก ไม่มีเรื่องราวให้ปวดหัวก็สบายตัวไป”


 


 


“สบายตัวอย่างนั้นหรือ? พูดง่ายดายเหลือเกิน สบายตัว จะกินอะไร จะดื่มอะไรเมื่อไรจะแต่งงาน จะเอาอะไรมาเลี้ยงดูพ่อแม่”


 


 


“เช่นนั้นข้าก็คงสบายกว่าเจ้าอยู่สักหน่อย อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ข้าเป็นเด็กกำพร้า ไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร”


 


 


“น่าบังเอิญนัก ข้าก็เช่นกัน” ชิวลั่วหัวเราะพลางพูดออกมา


 


 


“แล้วที่เจ้าพูดว่าเลี้ยงดูพ่อแม่เล่า”


 


 


“ที่ข้าพูดหมายถึงพ่อแม่ของภรรยาข้า แต่ดูจากตอนนี้แล้วคงไม่ต้องแล้ว” มู่หลีคิดว่าเขาแค่พูดตลกเท่านั้น จึงไม่ได้สนใจเขา ดื่มเหล้าของตนต่อไป


 


 


“เรื่องนี้เจ้าทำไม่ถูก ข้าแนะแนวเปิดทางให้เจ้าเช่นนี้แล้วเจ้ายังดื่มเหล้าอยู่อีก”


 


 


“แนะแนวเปิดทางข้า เจ้าอย่างนั้นหรือ?”


 


 


“ต่อให้ฝีมือข้าจะไม่ดีเท่าไรนัก แต่อย่างน้อยเจ้าก็ไว้หน้าข้าบ้าง”


 


 


“เอาเถิด เช่นนั้นเจ้าว่าต้องไว้หน้าเช่นไร”


 


 


“ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับข้า”


 


 


“อะไรนะ? จะเอาข้าไปขาย เก็บเงินค่าแนะแนวอย่างนั้นหรือ”


 


 


มู่หลีกระโดดลงมาจากหลังคา เดินตามชิวลั่วไป


 


 


“หากเจ้ากลัวว่าข้าจะเอาเจ้าไปขายจริงก็ยังเดินตามข้ามาอยู่ดี อาหลีเก่งขนาดนี้ข้าสู้ไม่ได้เป็นแน่”


 


 


“กระบี่คู่กายมีไว้เพียงป้องกันตนเท่านั้น พลังที่ข้ามีไม่ได้ดีเท่าไรนัก ใช่หรือไม่องครักษ์ใหญ่ชิง”


 


 


“ข้าคิดว่าเจ้าไม่รู้จริงๆ เสียอีก! ข้าไม่สามารถแสร้งทำเลอะเลือนได้เลยหรือ? อยู่กับคนที่ทำงานเกี่ยวกับข่าวสารเช่นพวกเจ้าอย่างไม่มีเรื่องส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย”


 


 


“ย่อมมีจุดประสงค์ต่างกันไป ในเมื่อท่านอยากให้ข้าแสร้งทำเป็นเลอะเลือน เช่นนั้นข้าก็จะโยนเรื่องตระกูลออกไป ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น เจ้าก็คือเจ้า ข้าก็คือข้า แบบนี้เป็นเช่นไร?”


 


 


“ดี อาหลีใจกว้างยิ่งนัก”


 


 


“…” ใจกว้างแล้วมีประโยชน์อะไร


 


 


มู่หลีตามชิวลั่วมายังพื้นที่กว้างแห่งหนึ่ง สามารถเรียกได้ว่าพื้นที่กว้างจริงๆ แต่ภายในเมืองหลวงคิดจะมีพื้นที่ที่มู่หลีไม่รู้นั้นคงยากลำบาก โชคไม่ดีเท่าไรนักที่สถานที่แห่งนี้มู่หลีเองก็รู้จัก


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เลวเลยใช่หรือไม่”


 


 


“…”


 


 


“ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?”


 


 


“ที่นี่ไม่มีอะไรทั้งนั้น คิดจะทำอะไรกันแน่?”


 


 


“ไม่มีอะไรเลยถึงจะดี! เห็นต้นไม้ต้นนั้นที่อยู่ไกลลิบนั่นหรือไม่?” ชิวลั่วชี้นิ้วไปยังที่ที่ห่างออกไป ไม่ตั้งใจมองก็จะไม่เห็นว่าตรงนั้นมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง


 


 


แล้วจะเอาอะไรกับตอนกลางคืน มองไม่ชัดเจนเลยจริงๆ


 


 


“อืม เห็นแล้ว แล้วนั้นมันทำไม” มู่หลีหันมามองชิวลั่ว แต่กลับต้องตกใจ สถานการณ์อะไรกัน เขาไปจูงม้ามาสองตัวตั้งแต่เมื่อไรกัน


 


 


“ว่าอย่างไร พวกเรามาแข่งม้ากัน ใครไปถึงข้างต้นไม้ประเภทนั้นก่อนผู้นั้นชนะ คนแพ้จะต้องตอบรับคำของอีกฝ่ายข้อหนึ่ง”


 


 


“ดี”


 


 


“เช่นนั้นก็เริ่มแล้ว” ชิวลั่วบังคับม้าให้พุ่งออกไป


 


 


“รอก่อน ต้นไม้ประเภทนั้นหมายความว่าเช่นไร?” มองดูชิวลั่ววิ่งออกไปนานแล้ว มู่หลีก็รีบวิ่งตามไป


 


 


ม้าของชิวลั่วช้าลงมาก ไม่นานมู่หลีก็ตามทันแล้วค่อยๆ แซงหน้าไป ตอนที่เลยข้างกายชิวลั่วนั้นมู่หลีหันกลับไปแยกเขี้ยวส่งยิ้มให้เขา จากนั้นก็ยิ่งตีม้าบังคับให้พุ่งทะยานไปข้างหน้า


 


 


หลังจากวิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านหลัง มู่หลีหันกลับไปมอง แค่มองนั้นไม่เป็นไรแต่มู่หลีเกือบจะกระอักเลือดออกมา เห็นเพียงว่าชิวลั่ววิ่งกลับไปยังจุดเริ่มต้น และบริเวณจุดเริ่มต้นนั้นมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง มองแล้วประเภทเดียวกันกับต้นที่อยู่ห่างออกไปไกล


 


 


ในที่สุดมู่หลีก็เข้าใจว่าต้นไม้ประเภทเดียวกันหมายถึงอะไร


 


 


มู่หลีหมุนตัววิ่งกลับไป แล้วยังดึงกระบี่ออกมาด้วยความโมโหโกรธเคือง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 98 ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว


 


 


เห็นมู่หลีถือกระบี่พุ่งมาทางตนอย่างบ้าคลั่ง ชิวลั่วรีบบังคับมาหนีไปอย่างรวดเร็ว


 


 


“มีอะไรก็พูดกันดีๆ ข้าพูดอย่างชัดเจนแล้วนะ ต้นไม้ประเภทนั้นไง! หากเจ้าไม่เชื่อ พวกเราสามารถวิ่งไปดูว่าใช่ต้นไม้ประเภทเดียวกันหรือไม่ ไอยา เจ้าอย่าร้อนใจไป อย่าถือมีดเล่นปีน บาดเจ็บขึ้นมาจะไม่ดีเอานะ” ชิวลั่ววิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างหน้า มู่หลีก็กัดฟันไล่ตามอยู่ด้านหลัง ข้างหน้าหนีข้างหลังไล่ช่างน่าตื่นเต้นนัก


 


 


“คนอย่างเจ้าแน่จริงก็อย่าหนีซิ ลองดูซิว่าข้าจะไม่จัดการเจ้าให้ตาย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ แค้นนี้ไม่ได้ชำระก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว”


 


 


“ทำไมพวกเราสองคนถึงมีความแค้นขึ้นมาเล่า พวกเราสองคนใครตามใครกันแน่ เจ้าว่าใช่หรือไม่ อาหลี น้องหลี มีอะไรก็พูดกันดีๆ เจ้าดูซิว่าม้าข้าจะโดนเจ้าทรมานตายแล้ว”


 


 


“เราสองคนใครตามใครอย่างนั้นหรือ? พวกเราพบหน้ากันวันนี้ครั้งแรกต่างหาก เจอกันครั้งแรกเจ้าก็หลอกข้า เจ้ามันเป็นคนถ่อยหรืออย่างไร”


 


 


“ข้าเป็นๆ ข้าเป็นคนถ่อย ฉะนั้นอาหลีเจ้าอย่าไล่ตามข้าอีกเลย ไอยาา” แรงฝีเท้าม้าของมู่หลีนั้นเร็วกว่าม้าของชิวลั่วอยู่เล็กน้อย ไม่นานเขาก็ไล่ตามทัน มู่หลีสะบัดกระบี่ทีหนึ่ง ชิวลั่วรีบก้มหัวหลบในทันที


 


 


มู่หลีแทงอีกครั้ง ชิวลั่วหลบหลีก ครั้งนี้มู่หลีโมโหจริงแล้ว ขับเคลื่อนกระแสพลังวาดเป็นวงรีแล้วผลักออกไป ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก ชิวลั่วหลบไม่ทันทำได้แค่กระโดดลงมาจากหลังม้า ไม่ทันคาดคิดว่าม้าจะตกใจวิ่งพุ่งมาตรงชิวลั่วที่นอนอยู่บนพื้น


 


 


มู่หลีเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก รีบพุ่งตัวไปยังชิวลั่ว กอดแล้วพาเขาหลบไปอีกข้าง กลิ้งตัวอยู่บนพื้นกลายเป็นก้อนเดียว สุดท้ายตอนที่หยุดลงมู่หลีก็ถูกชิวลั่วกดเอาไว้ข้างใต้ร่าง


 


 


ชิวลั่วมองเขา หัวใจเต้นผิดจังหวะไปทีหนึ่ง มู่หลีกับมองเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา


 


 


“พี่ชาย เจ้าลงไปได้แล้วหรือยัง? เจ้าหนักจริงๆ นะ” ชิวลั่วพลิกตัวหลบไปอีกข้างอย่างน่าเวทนา


 


 


“ขอโทษๆ”


 


 


“ฮ่าๆๆๆ” ทั้งสองคนนอนอยู่บนพื้น หัวเราะออกมาพร้อมกัน


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง ทะเลาะกันสักยกก็สบายใจมากใช่หรือไม่ เรื่องน่าปวดหัวลืมไปให้หมดเถิด”


 


 


 “ขอบคุณพี่ชาย อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าต้องยอมแพ้พนันแล้ว! ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว เป็นข้าที่ชนะ”


 


 


“ได้ๆๆ เจ้าชนะ ข้ายอมแพ้ พูดมาเถิดอยากให้ข้าทำอะไร?”


 


 


ชิวลั่วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากหน้าอกส่งให้มู่หลี มู่หลีรับไปแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย


 


 


“นี่คืออะไร”


 


 


“แผนผัง”


 


 


“ข้ารู้ว่าคือแผนผัง”


 


 


ในเมื่อเจ้าแพ้ เช่นนั้นต้องปรับปรุงจวนของเจ้าให้กลายเป็นเช่นนี้”


 


 


“…”


 


 


“เท่านี้หรือ?”


 


 


“อืม เท่านี้”


 


 


แต่หลังจากนั้นมู่หลีคิดอยากตีเขาให้ตาย เพราะตนเองมองแผนผังไม่ออก ดังนั้นจึงมอบให้ช่างฝีมือรับผิดชอบไป รอจนทำเสร็จแล้วนั้นเขาก็ต้องตกใจจนปากแทบจะหลุดออกมา ภาพที่เห็นเฉกเช่นห้องคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์นี้มันคืออะไรกัน?


 


 


หลังจากที่เขาขอคำยืนยันจากช่างฝีมือแล้วนั้นถึงได้ยอมรับอย่างจนปัญญา คิดไม่ถึงว่ารสนิยมของชิวลั่วจะพิเศษเช่นนี้


 


 


“หลังจากวันนี้ไป ต่างฝ่ายมีเจ้านายที่ต่างกัน จำต้องแยกย้ายกันไป หวังว่าครั้งหน้าที่ได้พบกันเข้าจะตัดใจจากคนที่ผิดได้แล้ว และหวังว่าครั้งหน้าที่พบกันจะไม่มองข้าเป็นเหมือนคนแปลกหน้า”


 


 


“ไม่มีทาง แผ่นดินใหญ่โตเช่นนี้ มีเจ้าเป็นเพียงก็ดี หากมีโชคก็จะได้พบกันใหม่”


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้นตอนที่มู่หลีตื่นมากลางพื้นที่กว้างใหญ่นั่นชิวลั่วก็ได้จากไปแล้ว มีเพียงแผนผังใบนั้นที่ยังอยู่ข้างกาย


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นพวกเขาจะพบหน้ากันด้วยสถานการณ์เช่นนั้น มู่หลีที่โดนวางยาและคนที่ผิดที่ตัดใจไม่ลงคนนั้น


 


 


การพบเจอกันครั้งนั้นมู่หลีไม่ได้รั้งตัวอยู่นาน แม้กระทั่งพูดสักประโยคกับชิวลั่วก็ยังไม่ทันได้พูดก็จากไปแล้ว


ตอนที่ 99 ตัดไม่ขาด


 


 


“ตัดขาดแล้วทำไม ตัดไม่ขาดแล้วทำไม ตอนนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว” มู่หลีดื่มเหล้าอีกแก้ว ชิวลั่วกลับไม่ได้แตะแก้วเหล้าอีก


 


 


“จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร?”


 


 


“เช่นนั้นพี่ชายลองบอกดูว่ามีประโยชน์อะไร?”


 


 


“เจ้าตัดได้ก็หมายความว่าข้ายังมีโอกาส” มู่หลีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผล


 


 


“นี่ท่านกำลังหยอกให้ข้าดีใจหรืออย่างไร?”


 


 


“เจ้าก็รู้ว่าไม่ใช่”


 


 


“เจ้ารู้ว่าได้อย่างไรว่าข้ารู้”


 


 


“สิ่งที่ข้าคิดกับเจ้าไม่ใช่มิตรภาพดั่งเพื่อน เจ้าก็น่าจะรู้”


 


 


“ข้าแค่เพียง…”


 


 


“เพียงอะไร?” ชิวลั่วขัดคำพูดมู่หลีขึ้นมา ทำให้มู่หลีตะลึงตกใจ


 


 


“เห็นข้าเป็นเพียงสหายอย่างนั้นหรือ? ก็เหมือนกับที่เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชายอย่างนั้นหรือ?”


 


 


มู่หลีไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่นั่งฟังชิวลั่วพูดนิ่งๆ


 


 


“หรือว่าเหมือนกับที่หลานเฟิงพูดกับนายน้อย ข้าเพียงแค่เห็นเจ้าเป็นน้องชาย หรือเหมือนที่หลานเยี่ยพูดกับอวิ๋นหรู ข้าเพียงเห็นเจ้าเป็นญาติผู้น้อง หรือจะบอกว่าเหมือนกับที่เจ้าพูดกับข้า ข้าเห็นเจ้าเป็นเพียงสหาย?”


 


 


มู่หลีไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไร ในเสี้ยววินาทีนั้นสิ่งที่เขาคิดอยากพูดกับชิวลั่วคือ ข้าเห็นเจ้าเป็นเพียงสหายจริงๆ


 


 


ทั้งๆ ที่ระยะห่างของทั้งสองคนมีเพียงโต๊ะกั้นเท่านั้น แต่กลับเหมือนมีกำแพงมาขวางไว้ ชิวลั่วอยากจะปีนผ่านกำแพงออกมา มู่หลีกลับเพิ่มความหนาให้กำแพงนั้นไม่หยุด ทั้งสองคนต่างหยุดไม่ได้


 


 


“ข้าไม่อยากทำกับเจ้าเหมือนที่นายน้อยทำกับหลานเฟิง ข้าคิดว่าทำเช่นนั้นจะได้ผลลัพธ์ตรงข้ามกับที่คาดหวังไว้ ในเมื่อพวกเจ้าทำเพื่อคนเดียวกัน ข้าไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไร ทั้งๆ ที่เจ้ารู้อยู่แล้วว่าหลานเยี่ยไม่อาจอยู่กับเจ้า แล้วทำไมถึงได้ดื้อรั้นเพียงนี้”


 


 


“แล้วทั้งๆ ที่เจ้าเองก็รู้ว่าข้าตัดเขาไม่ลง ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าไม่อาจอยู่กับเจ้า แล้วทำไมถึงได้ดื้อรั้นเพียงนี้? พอพูดออกมาแล้วบางทีแม้แต่สหายก็ไม่อาจเป็นได้อีก”


 


 


“ข้าไม่คิดว่าข้าไม่มีโอกาส เจ้าอยากได้อะไรจากหลานเยี่ยข้าให้เจ้าได้ทั้งหมด”


 


 


“พี่ชายคิดผิดแล้ว กับหลานเยี่ยข้าไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น บางทีข้าเองเพียงแค่ยึดติดกับความบริสุทธิ์ก็เท่านั้น ความบริสุทธิ์ที่ไม่โดนแปดเปื้อน ไม่อนุญาตให้ย่ำยี นั่นคือสิ่งที่ข้าผู้ที่เคยชินกับแผนการแก่งแย่งชิงในอำนาจมานานหลายปีไม่มี


 


 


ฉะนั้นพี่ชายไม่ต้องพูดอีกว่าได้อะไรไม่ได้อะไร บางทีอาจจะมีสักวันที่ข้าตัดใจจากเขาได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้”


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะรอคอยการมาถึงของวันนั้น หวังว่าถึงตอนนั้นอาหลีจะให้โอกาสค่า” มู่หลีไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ


 


 


ชิวลั่วส่งกระดาษให้มู่หลีแผ่นหนึ่ง มู่หลีไม่ได้หยิบขึ้นมา ปล่อยให้กระดาษแผ่นนั้นนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะ


 


 


“คราวนี้เป็นอะไรอีก? แผนผังที่มีรูปแบบไม่เหมือนกันอย่างนั้นหรือ?”


 


 


“ไม่ใช่ นี่คือสถานที่ที่หลานเยี่ยอยู่ตอนนี้ ตอนนี้เขาคนที่เขาต้องการน่าจะเป็นเจ้า”


 


 


มู่หลีมองชิวลั่วอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยยื่นมือไปวางไว้ข้างๆ กระดาษแผ่นนั้น


 


 


“แต่ข้ามีข้อแม้ข้อหนึ่ง” ตอนนี้มู่หลียังไม่ทันหยิบกระดาษขึ้นมา จู่ๆ ชิวลั่วก็เอ่ยปากขึ้น


 


 


“หากมีวันใดที่คิดจะตัดใจแล้วจริง ข้าหวังว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะกลับมาหาข้าที่นี่” มู่หลีได้ยินชิวลั่วพูดจบ แล้วจึงหยิบกระดาษขึ้นมา


 


 


“ขอบคุณมาก”


 


 


หลังจากมู่หลีจากไป ชิวลั่วไปพบชิวอวี้


 


 


“นายน้อย เขาจากไปแล้ว”


 


 


“เจ้าเกลียดข้าแล้วเลือกเขาหรือไม่?”


 


 


ชิวลั่วนิ่งเงียบไม่พูดจา ชิวอวี้กลับเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


“จะต้องมีสักวันที่เขารู้ว่าคนคนนั้นผิดพลาดจนเกินไป และคนที่ถูกต้องคือใครกันแน่”


 


 


“ทำไมนายน้อยถึงไม่ทำกับหลานเยี่ยเหมือนที่ปฏิบัติกับหลานเฟิง?”


 


 


“หากข้าทำเช่นนั้น ท่านพี่เย่ว์ก็จะไม่ใช่ท่านพี่เย่ว์คนเดิม ที่ข้าต้องการก็คือเขาปฏิบัติกับข้าดีจริงๆ ไม่ใช่เห็นข้าเป็นตัวแทน”


 


 


“ตัวแทน…” ชิวลั่วยังคงคิดถึงมู่หลี


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 100 กักขัง


 


 


ตอนที่หลานเฟิงฟื้นขึ้นมาอีกครั้งรูปสลักที่ทั้งแปลกตาและคุ้นเคยบริเวณเหนือหัวนั้นเรียกความทรงจำของเขาทีละฉากๆ มีทั้งดี ทั้งไม่ดี มีทั้งหอมหวาน มีทั้งอบอุ่น และมีทั้งเจ็บปวด


 


 


นี่วันที่สามแล้ว เป็นวันที่สามนับตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาบนเตียง ตอนแรกเขาถูกแจ้งว่าหากไม่ตามจิ้งจอกราตรีกลุ่มนั้นมาหลานเยี่ยจะมีอันตรายแก่ชีวิต เพื่อหลานเยี่ยเขาเองต้องโยนกระบี่ถึงอย่างจนปัญญา ถูกจิ้งจอกราตรีกลุ่มนั้นสะกดพลัง แม้กระทั่งทำให้เขาสลบไป


 


 


คิดไปถึงภาพเหตุการณ์วันแรกที่เขาฟื้นขึ้นมา หลานเฟิงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง จนถึงตอนนี้สถานการณ์ก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะดีขึ้น


 


 


ในวันที่เขาตื่นขึ้นมาหลังถูกจับนั้นเขาพบว่าตนเองนอนอยู่ในสถานที่แปลกถิ่นแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกแปลกแยก เขานอนอยู่บนเตียงกวาดตามองไปรอบห้องครั้งหนึ่งก็ต้องพบว่าที่นี่คือตระกูลเยี่ย อีกทั้งยังเป็นห้องที่เขาเคยพักอาศัยมาก่อน


 


 


ที่นี่แต่เดิมน่าจะถูกรื้อถอนออกไปหลังจากที่ชิวหลีฆ่าพ่อแม่ของเขาแล้วจับเขาไป เป็นใครที่สร้างมันขึ้นมาใหม่? อีกทั้งการประดับตกแต่งภายในห้องก็เหมือนกับแต่ก่อนทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ


 


 


หลานเฟิงไม่เข้าใจคิดจะลุกขึ้นมาสำรวจดูนั้นกลับพบว่าเมื่อออกแรงที่ไหล่แล้วนั้นก็อ่อนแรงลง ล้มลงบนพื้นอย่างแรง เขาพยายามออกแรงลุกขึ้นมาเองแต่ก็ต้องพบว่าทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายก็ทำได้แค่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น


 


 


เขาคิดจะขับเคลื่อนกระแสพลังมาสำรวจสถานการณ์ร่างกายตนเอง แต่ก็ต้องยอมรับอย่างจนปัญญาว่าภายในร่างกายนั้นไม่มีพลังเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ทดลองหลายครั้งแล้วไม่เกิดผลหลานเฟิงจึงถอดใจ ดูท่าทางตนเองถูกบังคับให้กินยาบางอย่างลงไป จึงไม่อาจควบคุมตนเองได้


 


 


หลานเฟิงคิดจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก คิดอยากออกไปหาหลานเยี่ย แต่มือทั้งสองข้างของเขาไม่อาจรับน้ำหนักตัวได้ ทำได้เพียงแค่คลานออกไปข้างนอกทีละน้อย ทั้งร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อยเขาคลานออกไปอย่างยากลำบากและเชื่องช้า


 


 


นิ้วทั้งสิบบนสองมือนั้นไม่มีเรี่ยวแรง แม้แต่จะขยับไปข้างหน้าก็ยังทำไม่ได้ เขาเหงื่อท่วมตัว หอบหายใจไม่หยุด คลานไปเล็กหน่อยก็ต้องหยุดพักผ่อนครู่หนึ่ง จากนั้นถึงลุกขึ้นมาคลานต่อไป


 


 


การกระทำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปเขาก็ยังขยับออกไปได้ไม่เกินระยะหนึ่งก้าวเดิน ต่อให้เป็นเช่นนี้เขาก็ยังคงมุ่งมั่น


 


 


ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ชิวอวี้เข้ามาในห้องเห็นหลานเฟิงที่คลานอยู่บนพื้นก็รีบวิ่งเข้าไป รีบอุ้มเขามาไว้บนเตียง


 


 


“ท่านพี่เย่ว์ ท่านฟื้นแล้ว มีตรงไหนที่ไม่สบายอีกหรือไม่ ข้าจะให้ฉีเย่ว์มาดูท่าน”


 


 


“อวี้เอ๋อร์ ทำไมถึงเป็นเจ้า?” ตอนแรกเริ่มเพิ่งจะพูดไปประโยคหนึ่ง หลานเฟิงก็นิ่งอึ้งไป เรียกสรรพนามนี้ออกมาด้วยความเคยชิน


 


 


“ท่านพี่เย่ว์ ดีมากจริงๆ ท่านยังเรียกอวี้เอ๋อร์เช่นนี้ ท่านพี่เย่ว์ ท่านไม่ได้รังเกียจอวี้เอ๋อร์”


 


 


“ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่? แล้วทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ห้องห้องนี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้งร่างของข้าถึงไม่มีแรง” ชิวอวี้หรืออะไรก็ไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญก็คือทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ที่สำคัญก็คือหลานเยี่ยอยู่ที่ไหน


 


 


“ท่านพี่เย่ว์ เป็นข้าที่ให้คนพาท่านมาที่นี่ นับตั้งแต่ที่ได้พบหน้ากันที่เมืองหลวง ข้าก็ไม่ได้พบท่านพี่เย่ว์อีกเลย อวี้เอ๋อร์คิดถึงท่านอย่างมาก”


 


 


“ทำไมข้าถึงเป็นเช่นนี้ หลานเยี่ยอยู่ที่ไหน? คนที่จับหลานเยี่ยไปเป็นเจ้าใช่หรือไม่?”


 


 


“ข้ากลัวว่าท่านพี่เย่ว์จะห่างอวี้เอ๋อร์ออกไปไกลอีก ดังนั้นจึงให้ท่านพี่เย่ว์กินยาไปเล็กน้อย พี่เย่ว์วางใจเถิด ไม่เป็นอะไร พี่เย่ว์เพียงแค่ร่างกายไม่มีแรง ไม่สามารถขับเคลื่อนกระแสพลังได้เท่านั้นเอง หลังจากนี้ไปจะเป็นเช่นนี้อวี้เอ๋อร์จะมาดูแลพี่เย่ว์ พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่แยกจากกันไปไหนตลอดกาล” ชิวอวี้กอดหลานเฟิงเอาไว้ ดีใจเหมือนเด็กน้อย


 


 


‘อ่า ก็เป็นเด็กน้อยจริงๆ อายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น’


ตอนที่ 101 ไม่ยอมเปิดปาก


 


 


“ปล่อยข้า!” หลานเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ


 


 


ทำให้ชิวอวี้ที่แต่เดิมดีอกดีใจอยู่นั้นต้องตกใจไป


 


 


“พี่เย่ว์ ทำไมท่านถึงพูดกับอวี้เอ๋อร์เช่นนี้ พี่เย่ว์ ท่านเป็นอะไรไป” หลานเฟิงหันหน้าไปอีกทาง น้ำตาของชิวอวี้ไหลลงมา


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านอย่าเป็นเช่นนี้เลย อวี้เอ๋อร์ทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ?” ชิวอวี้ร้องไห้ไม่หยุด


 


 


“หลานเยี่ยอยู่ที่ไหน”


 


 


“ทำไมพี่เย่ว์ถึงถามถึงหลานเยี่ยอยู่ตลอด หลานเยี่ยมีอะไรดีกันแน่ พี่เย่ว์ตอนนี้อวี้เอ๋อร์เป็นเด็กท่านเอ็นดูอวี้เอ๋อร์ถึงเพียงนั้น ทำไมพอโตขึ้นมาถึงไม่ชอบอวี้เอ๋อร์แล้ว”


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านอย่านิ่งเงียบ ท่านเคยบอกข้าไม่ใช่หรือว่าทุกคนล้วนมีคุณค่าในตนเอง ข้าฟังคำของท่าน ข้าถึงใช้ชีวิตอย่างดี พี่เย่ว์ ท่านมองข้า อวี้เอ๋อร์เชื่อฟังคำของท่านจริงๆ ใช้ชีวิตอย่างดีจริงๆ พี่เย่ว์อย่าได้คิดถึงหลานเยี่ยอยู่ตลอด พี่เย่ว์ก็คิดถึงอวี้เอ๋อร์บ้างดีหรือไม่ คนที่เชื่อฟังท่านจริงๆ คืออวี้เอ๋อร์อย่างไรเล่า”


 


 


หลานเฟิงไม่ได้หันหน้ากลับไป เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกเช่นไร หลานเยี่ยอยู่ที่ไหนกันแน่? ชิวอวี้กลายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?


 


 


ไม่นานก็มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามา มองเห็นชิวอวี้ร้องไห้อยู่ข้างเตียง จึงเดินเข้ามาปลอบ


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร? เห็นพี่เยี่ยก็ควรจะดีใจไม่ใช่หรือ?”


 


 


“ฉีเย่ว์ พี่เย่ว์ไม่ชอบข้าแล้ว พี่เย่ว์ไม่ชอบข้าแล้ว ทำอย่างไรดี?”


 


 


ฉีเย่ว์เหลือบมองหลานเฟิง ตอนนี้หลานเฟิงหลับตาลงทั้งสองข้าง ไม่ยินยอมเห็นหน้าพวกเขาสองคน


 


 


“อวี้เอ๋อร์ไม่ต้องเสียใจไป พี่เย่ว์ไม่ได้ไม่ชอบเจ้าเสียหน่อย พี่เย่ว์เพียงแค่เหนื่อยเท่านั้น เจ้าดูซิพี่เย่ว์ของเจ้าไม่ใช่ว่าหลับอยู่อย่างนั้นหรือ”


 


 


“จริงหรือ” ชิวอวี้สะอึกสะอื้นถามออกมา


 


 


“เป็นเรื่องจริง พวกเราออกไปก่อนดีกว่า อย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของพี่เย่ว์เลยดีหรือไม่ รอพี่เย่ว์ตื่นขึ้นมาเมื่อไม่เหนื่อยแล้ว ก็จะชอบอวี้เอ๋อร์มากกว่าเดิม ดังนั้นพวกเราออกไปก่อนเถิด”


 


 


“อืม!” ชิวอวี้ตอบรับด้วยความยินดี เหมือนกับเด็กน้อย


 


 


ฉีเย่ว์พาชิวอวี้ออกไป ผ่านไปไม่นานฉีเย่ว์ก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ตอนนี้เดินผ่านประตูก็ดึงประตูให้ปิดลง หลานเฟิงที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังคงนอนอยู่เช่นเดิม ไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ พูดให้ถูกก็คือไม่สามารถขยับไปไหนได้


 


 


“ไม่มีอะไรจะพูดอย่างนั้นหรือ”


 


 


“สิ่งที่ข้าอยากถามเมื่อองค์ชายรัชทายาทอยากบอกย่อมต้องพูดออกมาเอง ทำไมถึงต้องถามเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์หรือ”


 


 


“เจ้าช่างเย็นชาเสียจริง เจ้ารู้หรือไม่หลายปีมานี้เพื่อที่จะได้เจ้ามาชิวอวี้ทำสิ่งต่างๆ มากมายเพียงใด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขายังเป็นเด็กก็ต้องสู้สุดชีวิต และเพื่ออะไรเจ้ารู้หรือไม่”


 


 


หลานเฟิงหันไปมองฉีเย่ว์


 


 


“องค์รัชทายาทช่างสบายเสียจริง ในราชสำนักไม่มีธุระอะไรเลยอย่างงนั้นหรือ กลับวิ่งมาตระกูลเยี่ยมาอยู่กับเด็กที่อารมณ์ไม่มั่นคง”


 


 


“อยู่ที่นี่ข้าไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท ข้าเป็นเพียงหมอยาเท่านั้น ถือเป็นหมอยาของชิวอวี้เท่านั้น ชิวอวี้นั้นอารมณ์ไม่คงที่จริง มีบางครั้งที่ดื้อรั้นเหมือนเด็ก มีบางครั้งที่นิ่งสงบเหมือนคนชราที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน ดังนั้นข้าจึงทำทุกความสามารถของตัวข้าที่จะรักษาเขาให้หายดี เป็นอย่างไร? เจ้าไม่คิดว่าเขาน่ารักมาอย่างนั้นหรือ?”


 


 


“รักษาให้หาย? เจ้าเพียงแค่เอาเขาเป็นหนูทดลองเท่านั้นเอง ข้อบกพร่องที่มีมาตั้งแต่เกิดอีกทั้งไม่อาจรักษาให้หายได้ของเขา แล้วมีบิดาที่เป็นเช่นนั้น จะให้อารมณ์มั่นคงได้อย่างไร”


 


 


“แล้วแต่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าวางยาเจ้ารู้สึกไม่ดีใช่ไหมเล่า ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงไม่สามารถทำอะไรได้ ข้ากล่อมเจ้าให้ปฏิบัติต่อชิวอวี้ให้ดีเสียหน่อย เช่นนี้เขาอาจจะบอกเจ้าเรื่องหลานเยี่ย” ฉีเย่ว์พูดจบก็เดินจากไป เหลือเพียงหลานเฟิงนั่งนิ่งมองการตกแต่งบนเพดานเพียงลำพัง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 102 กินข้าว


 


 


วันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมาหลานเฟิงก็เห็นชิวอวี้นั่งอยู่ข้างเตียง ในมือนั้นถือผ้าขนหนูชุบน้ำอยู่ในมือ บ่าวรับใช้คนหนึ่งถืออ่างน้ำอยู่ข้างๆ ฉีเย่ว์ยืนดูอยู่ตรงนั้น


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านตื่นแล้ว ข้าเช็ดหน้าให้” พูดจบก็หันมาเช็ดหน้าให้หลานเฟิง หลานเฟิงคิดจะหันหน้าหนี แต่ก็คิดถึงคำพูดของฉีเย่ว์เมื่อวานนี้ หากอยากรู้ว่าหลานเยี่ยอยู่ที่ใดก็จะต้องปฏิบัติต่อชิวอวี้ให้ดีเล็กน้อย


 


 


หลานเฟิงไม่ขยับไปไหน ปล่อยให้ชิวอวี้ช่วยเขาเช็ดตามใจชอบ


 


 


“พี่เย่ว์ หลับตาเสียหน่อย ทำเช่นนี้จะได้ไม่โดนตาท่าน” หลานเฟิงทำตาม ชิวอวี้เห็นชัดว่าดีใจ  


 


 


ชิวอวี้หมุนตัวไป บ่าวรับใช้คนนั้นเหมือนจะเหม่อลอยเล็กน้อย จนทำให้น้ำกระฉอกออกมา อีกทั้งยังเปียกมาถึงบนเตียงอย่างไม่ได้ตั้งใจ


 


 


“ขออภัยเจ้าค่ะ ขออภัย นายน้อย บ่าวสมควรตาย ให้อภัยบ่าวเถิดเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้คนนั้นรีบคุกเข่าขออภัยในทันที


 


 


“ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงทำน้ำหกลงบนเตียงพี่เย่ว์ จะมีเจ้าไปทำไม พี่เย่ว์ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”


 


 


“ฉีเย่ว์ จัดการนางออกไป อย่าให้ข้าเห็นหน้านางอีกตลอดกาล เป็นเพราะนางทั้งนั้นพี่เย่ว์จะไม่สบายแล้ว”


 


 


“ขอรับ” พูดจบฉีเย่ว์ก็ลากบ่าวรับใช้คนนั้นออกไป บ่าวคนนั้นโดนลากออกไปพลางร้องไห้ร้องขอชีวิตไปพลาง คิดว่าการออกไปครั้งนี้คงจะมีเพียงความตายรออยู่เท่านั้น


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไร” หลานเฟิงเอ่ยปากพูด พบว่าคอของตนเองแหบแห้งเป็นอย่างมาก เมื่อวานนี้ไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยทั้งวัน และไม่ได้ดื่มน้ำ แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น ไม่มีกระแสพลังช่างน่าวุ่นวายเสียจริง


 


 


“ไม่เป็นอะไรจริงหรือ พี่เย่ว์ข้ายกน้ำให้ท่านดื่ม” ชิวอวี้ถือน้ำมาแก้วหนึ่งวางไว้หัวเตียง จากนั้นก็ค่อยๆ ประคองหลานเฟิงขึ้นมา ชิวอวี้ใช้ช้อนเล็กๆ ค่อยๆ ป้อนให้หลานเฟิงดื่มทีละช้อน หลานเฟิงก็ดื่มจนหมด


 


 


“ชิวอวี้ เช่นนั้น…”


 


 


“พี่เย่ว์ท่านพูดอะไร” หลานเฟิงพูดๆ อยู่ก็ต้องหยุดลงในฉับพลัน ชิวอวี้ได้ยินไม่ชัด


 


 


ใช่แล้ว ตนเองคิดจะพูดอะไร? บ่าวรับใช้คนนั้นไม่มีความผิดจริงหรือ? ตนเองไม่เป็นอะไรดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องโทษนางอย่างนั้นหรือ? ตนเองคิดจะพูดอะไร? จนถึงตอนนี้ชีวิตตนเองยังรักษาไว้ได้ยาก สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือถามข่าวคราวของหลานเยี่ย ได้ยาถอนพิษ เรื่องอื่นไม่เกี่ยวอะไรกับตนเองทั้งนั้น


 


 


“พี่เย่ว์นอนลงอีกสักหน่อย ข้าจะไปยกอาหารมาให้ท่าน วันนี้จะต้องทานแล้วนะ อวี้เอ๋อร์ทำอาหารไม่เป็น แต่อวี้เอ๋อร์จะต้องเรียนจนเป็นให้ได้ ในอนาคตจะได้ทำให้พี่เย่ว์ทาน ฉีเย่ว์บอกว่าทำเช่นนี้พี่เย่ว์จะได้มีความสุขในทุกวัน”


 


 


หลานเฟิงไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร มองดูชิวอวี้ที่วิ่งออกไปนอกห้องด้วยความร่าเริง ตนเองก็รู้สึกไม่มีความสามารถพอที่จะทำได้


 


 


ชิวอวี้ยกสำรับมาด้วยตนเอง ตามคำพูดของเขาก็คือตนไม่สามารถทำอาหารเองได้ แต่จะต้องเป็นคนป้อนพี่เย่ว์ด้วยตนเอง


 


 


ชิวอวี้เป่าอาหารให้หลานเฟิงอย่างเอาใจใส่ ตราบจนหายร้อนแล้วถึงได้ป้อนให้หลานเฟิงทาน


 


 


ชิวอวี้ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี การคาดเดาของหมอยาในตอนนั้นคือเขามีชีวิตได้ไม่เกินสิบห้าปี ดูท่าทางว่ายาของฉีเย่ว์จะได้ผลจริง อีกทั้งผมขาวโพลนของชิวอวี้ในตอนแรกก็เริ่มมีวี่แววเปลี่ยนแปลงแล้วเล็กน้อย


 


 


ตอนที่กำลังทานอยู่นั่นเอง ฉีเย่ว์ก็เดินเข้ามา มองดูหลานเฟิงกินอาหารที่ชิวอวี้ป้อนอย่างเชื่อฟังริมฝีปากก็กระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังหัวเราะเยาะ


 


 


เขาไม่ได้รบกวนทั้งสองคน ด้านหลังฉีเย่ว์มีคนสองคนแบกรถเข็นเข้ามาวางไว้แล้วเขาก็ออกไป


 


 


“ทำไมฉีเย่ว์ถึงมาอยู่ที่นี่?”


 


 


หลานเฟิงถามชิวอวี้


 


 


“สามปีก่อนหน้าานี้ ตอนที่ข้าใกล้จะไม่ไหวแล้ว จู่ๆ ฉีเย่ว์ก็ปรากฏตัวขึ้นในตระกูลหลาน บอกว่าสามารถรักษาข้าได้ จากนั้นพ่อข้าจึงรั้งตัวเขาเอาไว้ หลังจากนั้นมาข้าเองก็ถามเขา เขาบอกว่าตอนเด็กๆ ที่ข้าไปราชสำนักในเมืองหลวงเขาเคยพบข้ามาก่อน แต่ข้าไม่มีความทรงจำนั้นแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่ว่าจะถามอะไรเขาก็ไม่พูดอีก หลังจากนั้นเขาก็ตามข้ามาโดยตลอด”


 


 


“เขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรแปลกๆ อย่างนั้นหรือ”


 


 


“เรื่องแปลกกลับไม่มี แต่ยาที่เขาให้นั้นยากที่จะดื่มลงไปเหลือทน ทุกครั้งที่ดื่มล้วนขมจนแทบทนไม่ไหว แต่เขาก็ไม่อนุญาตให้ข้าทิ้ง”


 


 


หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร องค์ชายรัชทายาทแห่งราชสำนักแท้จริงแล้วมีเป้าหมายอะไรกันแน่?


ตอนที่ 103 กลับมาเที่ยวชมคือพวกเราสองคน


 


 


“พี่เย่ว์ ให้ข้าพาท่านออกไปเดินเล่นเถิด” หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร ชิวอวี้จึงถือว่าเขาเห็นด้วย


 


 


ชิวอวี้อุ้มหลานเฟิงขึ้นมานั่งบนรถเข็น หลานเฟิงสงสัยมาตลอดว่าชิวอวี้อ่อนแอเสียขนาดนั้น แท้จริงแล้วอุ้มตนเองไหวได้อย่างไร หลานเฟิงหันกลับไปมองก็เห็นชิวอวี้กัดฟันแน่น ใบหน้านั้นแดงก่ำ


 


 


“…”


 


 


ชิวอวี้เข็นหลานเฟิงออกจากประตูห้อง เดินผ่านทางเดินคดเคี้ยวเล็กๆ ทะลุผ่านป่าเล็กๆ ผืนหนึ่ง สองวันแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่หลานเฟิงได้ออกมาดู


 


 


ไม่ได้เป็นสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ ทุกอย่างแทบจะเป็นเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง แม้แต่ร่องรอยกระบี่ที่พาดผ่านอยู่บนเสาสองสามรอยของหลานเฟิงยามฝึกกระบี่เมื่อเยาว์วัยก็ยังคงกลับมามีสภาพเหมือนเดิม


 


 


ชิวอวี้พาหลานเฟิงมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก หลานเฟิงพอจะรู้แล้วว่าเขาจะพาไปที่ไหน ทุ่งหญ้าผืนนั้น แต่นั่นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว


 


 


“พี่เย่ว์ พวกเรามาถึงแล้ว”


 


 


เป็นไปตามที่คาดไว้สถานที่แห่งนี้คือทุ่งดอกไม้ที่เขาพาชิวอวี้มาบ่อยๆ ตอนเป็นเด็ก ดูท่าทางชิวอวี้จะดูแลอย่างเอาใจใส่ นอกจากดอกไม้ที่มีมาแต่เดิมแล้ว ก็ยังมีดอกไม้สีสันสวยงามหลายประเภทเพิ่มขึ้นมา


 


 


มองดูกลุ่มกอดอกอีหมี่ที่อยู่ตรงมุมหนึ่ง หลานเฟิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย ทำไมถึงดอกไม้ถึงได้ออกดอกทั้งหมด


 


 


“พี่เย่ว์ดูซิ ดอกอีหมี่ออกดอกหมดเลย อีกทั้งหลังจากที่ฉีเย่ว์ให้ยาชนิดหนึ่งกับข้า ตอนนี้ดอกอีหมี่ก็บานทุกวันเลย! ในที่สุดก็ไม่ต้องลำบากรอเวลาห้าปีแล้ว”


 


 


ดวงตาของหลานเฟิงเกิดประกายสะท้านขึ้นมา ดอกอีหมี่ที่ออกดอกทุกวัน แล้วยังต้องหวงแหนทะนุถนอมอีกหรือ?


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านดูซิ ตรงนั้นมีศาลาเล็กที่ข้าทำขึ้นเอง หากพวกเราเหนื่อยก็สามารถไปดื่มน้ำ นั่งพักตรงนั้นได้ ข้าจะพาท่านไปดู”


 


 


ชิวอวี้เข็นหลานเฟิงมุ่งไปตรงนั้น พื้นที่ของศาลาเล็กนั้นถูกเลือกเป็นอย่างดี เมื่อมองจากมุมนี้แล้วสามารถเห็นภาพทั้งหมดของทุ่งดอกไม้ เมื่อเป็นเช่นนี้กลับให้เกิดความรู้สึกพลังมหาศาลของมหาสมุทรดอกไม้


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านว่าหากพวกเราใช้ชีวิตนี้อย่างสงบสุขเรียบง่ายเช่นนี้ไปตลอดจะดีเพียงใด”


 


 


“อวี้เอ๋อร์ สองวันมานี้เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหรือไม่”


 


 


“แน่นอน ได้อยู่กับพี่เย่ว์ทุกวันล้วนมีความสุข หรือพี่เย่ว์ไม่มีความสุขอย่างนั้นหรือ? ตอนเป็นเด็กข้าอยู่ข้างๆ มองดูพี่เย่ว์ซ่อมกระบี่ มองดูพี่เย่ว์ทานข้าว มองดูพี่เย่ว์ดูแลพืชพันธุ์ดอกไม้ ทุกวันล้วนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”


 


 


“เช่นนั้นหลายปีที่ข้าไม่อยู่ เจ้าใช้ชีวิตอย่างไร”


 


 


“หลายปีมานี้ที่พี่เย่ว์ไม่อยู่ ท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้าทำอะไรทั้งสิ้น ทำได้แค่เพียงอยู่ในห้องของตนเองเท่านั้น แม้แต่ออกมาข้างนอกก็ถูกท่านพ่อด่าว่า แต่อวี้เอ๋อร์คิดอยู่ตลอด คิดถึงเรื่องที่จะเล่นพร้อมกับพี่เย่ว์ คิดไปคิดมาก็เหมือนว่าจะกลายเป็นจริงอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งมีบางครั้งก็ยังรู้สึกว่ามีคนคอยอยู่ข้างๆ ตนเองตลอดเวลา ไม่ได้เงียบเหงาเดียวดายขนาดนั้นแล้ว


 


 


หลังจากนั้นก็มีฉีเย่ว์ เขาจะพูดคุยเรื่องราวภายนอกให้ข้าฟัง จะนำของต่างๆ นานาจากภายนอกมาให้ข้า มีบางครั้งก็จะได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับพี่เย่ว์ ตอนนั้นก็มีความสุขเป็นอย่างมาก แต่ที่มีความสุขที่สุดก็คือตอนที่ได้อยู่กับพี่เย่ว์”


 


 


มองดูหลานเฟิงที่หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน คำพูดเหล่านี้มีกี่มากน้อยที่เป็นความจริง มีสักเท่าไรที่เป็นเรื่องโกหก ชิวอวี้คนไหนที่เป็นตัวจริง จุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไรกันแน่ หลานเฟิงไม่อยากจะงัดข้อเสียเวลากับพวกเขาอีกต่อไป ความรู้สึกเช่นนี้ย่ำแย่เป็นอย่างมาก


 


 


“อวี้เอ๋อร์ หลานเยี่ยอยู่ที่ไหน” ชิวอวี้ที่เอ่ยปากพูดด้วยความดีอกดีใจต้องหยุดลงในฉับพลัน


 


 


หลังจากนิ่งเงียบไปนานชิวอวี้ถึงเอ่ยปากขึ้นมา แต่หลานเฟิงยังยินดีเสียหากเขาไม่เคยเอ่ยพูด


 


 


“พี่เย่ว์ ข้าขอโทษ หลานเยี่ยเขา ตายไปแล้ว”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 104 หลานเยี่ยตายแล้ว


 


 


เมื่อได้ฟังคำพูดของชิวอวี้ หัวสมองของหลานเฟิงก็ขาวโพลนในทันใด หลังจากนั้นไม่นานกลับรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน


 


 


“ชิวอวี้! อย่าดื้อ บอกข้ามาว่าหลานเยี่ยอยู่ที่ไหน”


 


 


จู่ๆ หลานเฟิงก็เรียกชื่อเต็มของชิวอวี้ เห็นชัดว่าไม่อยากเสียเวลากับเขาอีกต่อไปแล้ว หากวันนี้ถามอะไรออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงค้นหาวิธีอื่นแล้ว


 


 


“ข้าขอโทษพี่เย่ว์ ที่ข้าไม่ยอมบอกท่านมาโดยตลอดก็เพราะกลัวท่านจะโทษอวี้เอ๋อร์ วันนั้นแต่เดิมข้าเพียงให้จิ้งจอกราตรีไปที่เขาเทียนปีเพื่อรับท่านกลับมา เพราะหากว่าหลานเยี่ยอารมณ์พลุ่งพล่านมากเกินไป ก็ต้องส่งมาถึงพี่เย่ว์เป็นแน่ พี่เย่ว์จะต้องไปที่เขาเทียนปี้เป็นแน่


 


 


แต่ตอนที่พวกเขาไปถึงนั้นไม่พบพี่เย่ว์ อีกทั้งยังถูกหลานเยี่ยพบเข้า ดังนั้นพวกเขาจึงคิดพาหลานเยี่ยกลับมา ตอนนั้นหลานเยี่ยโดนพิษยังไม่ทันฟื้นฟู ดังนั้นจึงถูกจับอย่างง่ายดาย แต่ระหว่างทางจู่ๆ หลานเยี่ยก็ตื่นขึ้น ตอนที่กำลังต่อสู้กับจิ้งจอกราตรีนั้นก็ถูกจิ้งจอกราตรีฆ่าตายโดยมิไม่ได้ตั้งใจ” ชิวอวี้ร้องไห้ออกมา


 


 


“เป็นไปไม่ได้ พลังของหลานเยี่ยแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น แล้วยังมีมุกหลิววั่งอยู่ในตัว จะถูกฆ่าตายโดยไม่ได้ตั้งใจได้อย่างไร อีกทั้งจิ้งจอกราตรีจะทำเรื่องเช่นนั้นหรือ”


 


 


“เป็นเรื่องจริงพี่เย่ว์ อวี้เอ๋อร์ไม่ได้โกหกท่าน หลานเยี่ยตายแล้วจริงๆ”


 


 


หลานเฟิงหัวเราะเสียงเย็น คิดว่าเขาโง่หรืออย่างไร จะหลอกใครก็หลอกได้ แต่หลอกเขาไม่ได้


 


 


“เจ้าคิดว่าข้าเชื่อเจ้าอย่างนั้นหรือ ตอนแรกเพื่อจะช่วยหลานเยี่ยจึงได้เปิดช่องว่าระหว่างมุกหลิววั่งให้เชื่อมต่อกัน ใช้ใจของข้าควบคุมกระแสพลังอันบ้าคลั่งของหลานเยี่ย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาความเป็นความตายของพวกเราก็เชื่อมต่อกัน หากหลานเยี่ยตายแล้วข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน”


 


 


“เช่นนั้นพี่เย่ว์รู้ได้อย่างไรว่าพวกท่านความเป็นความตายเชื่อมต่อกัน”


 


 


หลานเฟิงไม่ได้ตอบเขา


 


 


“หลานชิงบอกท่านใช่หรือไม่ พี่เย่ว์ท่านโดนเขาหลอกแล้ว ขอถามพี่เย่ว์หน่อยว่าท่านเข้าใจเรื่องมุกหลิววั่งมากเพียงใด สิ่งที่พี่เย่ว์รู้ทั้งหมดก็เป็นเพียงสิ่งที่หลานชิงบอกท่านหรือไม่ก็หลานเซียวและชิวจือเว่ยบอกท่านใช่หรือไม่”


 


 


“ที่จริงแล้วตอนแรกหลานชิงไม่มีความสามารถในการช่วยเหลือหลานเยี่ยเลยด้วยซ้ำ หลานเซียวและชิวจือเว่ยเองก็ไม่ได้มีจุดประสงค์บริสุทธิ์ตั้งแต่แรก พวกเขาแรกเริ่มเดิมทีต้องการร่างกายของพวกท่าน”


 


 


“แล้วยังมีชังหลาน เขาเองก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกนั้น มุกหลิววั่งตอนแรกถูกเก็บอยู่ในห้องลับตระกูลหลาน เป็นชังหลานที่ปล่อยพวกเขาออกมา เรื่องทั้งนี้พี่เย่ว์ท่านถูกปิดบังงมอยู่ในโข่งแล้ว”


 


 


“แล้วยังมีหลานเยี่ย เขาเองก็ไม่เคยรักท่านจริงเลยสักครั้ง เขาเพียงแค่หลอกใช้ท่าน ก็เหมือนกับที่หลานเซียวหลอกใช้ชิวจือเว่ย เขาเพียงแค่อยากครอบครองใต้หล้าเท่านั้น ท่านถูกเขาหลอกมาโดยตลอด”


 


 


“ไม่ต้องพูดแล้ว พูดพอแล้วหรือยัง” หลานเฟิงฟังต่อไปไม่ไหว จะพูดใส่ร้ายใครก็ได้ มีเพียงหลานเยี่ยเท่านั้นที่ไม่อาจล้ำเส้น


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ ที่หลานชิงบอกว่าการที่เปิดช่องว่างระหว่างมุกหลิววั่งให้เชื่อมถึงกันแล้วทำให้พวกท่านมีชีวิตเป็นตายร่วมกัน ก็เพียงเพราะว่าหลานเยี่ยต้องการคนที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีคนหนึ่งมาช่วยเขาจัดการดูแลทั่วทั้งตระกูลหลาน”


 


 


“ที่เจ้าพูดทั้งหมดนี้จะให้ข้าเชื่ออย่างนั้นหรือ? หรือเจ้าจะอยากบอกข้าว่าที่ข้าเห็นข้าได้ยินทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก สิ่งที่เจ้าคนที่ไม่เคยออกจากตระกูลเยี่ยมาก่อนคนหนึ่งพูดออกมาถึงเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?”


 


 


“พี่เย่ว์ ข้า…”


 


 


“นายน้อย” จู่ๆ ฉีเย่ว์ก็เข้ามาขัดการสนทนาของพวกเขา เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างต้องการพูดกับชิวอวี้ แต่เพราะหลานเฟิงอยู่ในสถานการณ์ด้วยจึงไม่ได้พูดออกมา


 


 


“มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาเถิด พี่เย่ว์ไม่ใช่คนอื่น”


 


 


“ขอรับ”


 


 


“ทุกอย่างเหมือนที่นายน้อยคิดไว้ เจียงหลิงนำคนตระกูลหลานมาลอบโจมตีเหวินเย่ว์จริงตามที่คิดไว้ ตอนนี้ถูกพวกเราจับเอาไว้เป็นเชลยแล้ว นายน้อยท่านว่าควรทำเช่นไรดีขอรับ”


ตอนที่ 105 ผู้ชักใยเบื้องหลัง


 


 


“ช่างโง่เสียจริง ทั้งๆ ที่พี่เย่ว์ก็เตือนเขาแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังทำเรื่องโง่เช่นนี้ สมน้ำหน้าที่ถูกจับ” ชิวอวี้เหมือนเปลี่ยนไปคนละคน ต่อให้หลานเฟิงเตรียมใจไว้บ้างแล้วก็ยังอดสั่นคลอนอย่างไม่อาจควบคุมได้


 


 


“ก่อนหน้านี้ที่ให้พี่เย่ว์ทำลายศึกหมุนเวียนไปได้รอบหนึ่ง ก็เพียงเพราะอยากให้พี่เย่ว์ได้พักผ่อนเท่านั้น ไม่ต้องเหนื่อยเช่นนั้น โอกาสพักผ่อนที่ได้มาโดยยากลำบากกับถูกพวกเขาทิ้งไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ สิ้นเปลืองความหวังดีของข้าเสียจริง”


 


 


ชิวอวี้พูดออกมาด้วยความดูถูก


 


 


“เป็นเจ้า คนที่ชักใยควบคุมอยู่เบื้องหลังมาตลอดเป็นเจ้านี่เอง!” หลานเฟิงพูดออกมาด้วยความตื่นตะลึง


 


 


“ใช่แล้ว ข้าคิดว่าพี่เย่ว์รู้แล้วเสียอีก”


 


 


มือทั้งสองข้างของหลานเฟิงจับที่วางแขนบนรถเข็นไว้แน่น ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


“เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเจ้าอย่างนั้นหรือ?” หลานเฟิงถามขึ้นอีกครั้ง


 


 


“ใช่แล้ว พี่เย่ว์ท่านเป็นอะไรไป? ทำไมถึงมองอวี้เอ๋อร์เช่นนั้น”


 


 


“คนที่อยู่เบื้องหลังควบคุมกองกำลังทหารตระกูลเยี่ยมาตลอดเป็นเจ้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ใช่แล้ว” ชิวอวี้ตอบออกมาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา


 


 


“ทำไมต้องบุกเขาเทียนปี้ ทำไมจะต้องบุกโจมตีซีเชวีย เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่”


 


 


“โจมตีเขาเทียนปี้เป็นเพียงเหยื่อล่อเท่านั้น ทำเพื่อที่จะโจมตีตระกูลหลานอย่างไรเล่า จากนั้นพี่เย่ว์ก็จะต้องยุ่งวุ่นวายเพราะตระกูลหลานเป็นแน่ จากนั้นข้าก็จะได้ยินข่าวคราวของพี่เย่ว์อย่างไรเล่า”


 


 


“แล้วชิวหลีเล่า โจมตีเขาเทียนปี้ทำให้เขาเป็นเรื่องที่กำหนดเอาไว้แล้วอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ไม่ใช่ เพียงแค่คิดว่าเขาคนนี้ไร้ประโยชน์เท่านั้นเอง ข้าพูดแล้วเขาก็ไม่ฟัง ดังนั้นจึงปล่อยให้เขาไปชนกำแพงเสียเอง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะตายไปจริงๆ เป็นเพียงเช่นนั้นจริงๆ”


 


 


ชิวอวี้มีสีหน้านิ่งเฉย ทำให้หลานเฟิงรู้สึกรับไม่ได้ แต่ไม่นานหลานเฟิงก็สงบลง หรือตนเองจะไม่ใช่คนเช่นนั้นอย่างนั้นหรือ สิ่งที่ไร้ประโยชน์จะเก็บเอาไว้ทำไม? แล้วตนเองมีคุณสมบัติอะไรไปต่อว่าคนอื่น


 


 


“หลานเยี่ยเล่า? ทำไมถึงจับหลานเยี่ยไป”


 


 


“เพราะในใจของพี่เย่ว์มีแต่หลานเยี่ย ทำให้อวี้เอ๋อร์ไม่พอใจ ดังนั้นเลยจับเขามา”


 


 


“เช่นนั้นแล้วฆ่าเขาไปเลยไม่ดีกว่าหรือ? ทำไมจะต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ด้วย ทางที่ดีที่สุดก็ฆ่าข้าไปด้วยเลย”


 


 


“หากฆ่าเขาเลยพี่เย่ว์ก็จะไม่มีความสุข อีกอย่างอวี้เอ๋อร์จะทำให้ฆ่าพี่เย่ว์ได้อย่างไร”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าตอนนี้ข้ามีความสุขอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ข้าขอโทษพี่เย่ว์ ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าเขาจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะตาย”


 


 


“เจ้ายังคิดหลอกข้าไปถึงเมื่อไร”


 


 


“พี่เย่ว์ข้าไม่ได้หลอกท่านจริงๆ” ชิวอวี้ใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว


 


 


คำถามที่อยากถามนั้นมีมากเกินไป ทำให้หลานเฟิงไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน คิดถึงคำพูดที่เมื่อครู่พูดคุยกับชิวอวี้ แล้วคิดถึงเรื่องที่ชิวอวี้บอกว่าหลานเยี่ยตายแล้ว ทำให้หลานเฟิงไม่อยากจะคิดคำนึงอีกต่อไป เพียงแค่อยากจบบทสนทนาครั้งนี้โดยเร็ว


 


 


“ทำไมต้องทำเรื่องเหล่านี้ด้วย” หลานเฟิงหลับตาลง แสงอาทิตย์ที่สาดส่องมานั้นทำให้แสบตา


 


 


“เพราะอยากครอบครองพี่เย่ว์ อยากให้พี่เย่ว์อยู่ข้างกายข้าตลอดไป” ชิวอวี้ยืนอยู่ด้านหลังรถเข็น มือทั้งสองข้างคล้องรอบคอหลานเฟิง กอดเขาจากด้านหลัง เอาหัววางไว้บนหลังหลานเฟิง


 


 


“พี่เย่ว์ อวี้เอ๋อร์ชอบท่านจริงๆ พี่เย่ว์อย่าคิดถึงเรื่องอื่นเลย อย่าคิดถึงตระกูลหลาน อย่าคิดถึงหลานเยี่ย และอย่าคิดถึงคนอื่น คิดถึงเพียงอวี้เอ๋อร์ก็พอแล้ว”


 


 


“เจ้าทำเรื่องเหล่านี้แล้วยังคิดว่าข้าจะยังอยู่ข้างเจ้าอย่างนั้นหรือ?”


 


 


“พี่เย่ว์จะอยู่ข้างข้า ท่านจะต้องอยู่ข้างข้าเป็นแน่”


 


 


“เพราะเรื่องเหล่านั้นที่พี่เย่ว์ทำ หลานเยี่ยไม่มีทางอยู่ข้างกายท่านอีกเป็นแน่” พอหลานเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็แทบจะสลบไป เขาลืมไปได้อย่างไร ลืมไปได้อย่างไร!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 106 ทำผิดมหันต์


 


 


“เจ้ารู้มากเพียงใด?” ร่างของหลานเฟิงสั่นเทิ้ม


 


 


“ข้ารู้ทั้งหมดพี่เย่ว์” ในตอนนี้เองที่กลางทุ่งดอกไม้มีผีเสื้อสองตัวบินผ่านมา มันบินวนอยู่ข้างดอกอีหมี่อยู่ครู่หนึ่งจู่ๆ ก็ร่วงลงไป แท้จริงแล้วดอกอีหมี่ที่ออกดอกอยู่ทุกวันก็มีพิษนั่นเอง


 


 


“ข้ารู้ว่าตอนแรกที่ปล่อยข่าวหลานชิงให้ชิวหลีรู้คือพี่เย่ว์ และข้าก็รู้ว่าที่เขียนจดหมายให้ชิวเฉินก็คือพี่เย่ว์ แต่ที่อวี้เอ๋อร์คิดไม่ถึงก็คือพี่เย่ว์จะปล่อยข่าวของหลานเยี่ยให้ชิวหลีรู้”


 


 


“แล้วข้าก็ยังรู้ว่าคนที่เอาตราหยกประมุขตระกูลหลานมาให้ข้าก็คือพี่เย่ว์ ให้ตระกูลเยี่ยเผาเขาเทียนปี้ก็เป็นพี่เย่ว์เช่นกัน” ชิวอวี้พูดบรรยายเรื่องที่หลานเฟิงเคยทำออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป


 


 


“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่เคยคิดเผาเขาเทียนปี้ ข้าไม่เคยอยากให้อวิ๋นอี้ตาย ข้าเพียงแต่อยากให้ตระกูลเยี่ยควบคุมเขาเทียนปี้ก็เท่านั้น แค่เพียงเท่านั้นเอง” หลานเฟิงหลุดจากการควบคุม พูดวกไปวนมา


 


 


“ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องเหล่านี้ ทำไม? เจ้าเป็นใครกันแน่” ร่างของหลานเฟิงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เขาไม่อาจให้อภัยตนเอง


 


 


ฉีเย่ว์ยังคงยืนดูอยู่อีกฝั่ง มองดูชิวอวี้โอบคอของหลานเฟิงอยู่ตลอด มองดูหลานเฟิงที่ใกล้จะเป็นบ้า มองดูผีเสื้อที่ตายไป มองดูท้องฟ้าที่ใกล้จะมืดมิด มองดูทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นรอยยิ้มก็หายไป


 


 


“เพราะข้าเป็นคนที่รักพี่เย่ว์ที่สุด ข้าอยากรู้เรื่องทุกอย่างของพี่เย่ว์ ข้าอยากจะมองดูพี่เย่ว์อยู่ทุกเสี้ยววินาที แต่คนข้างกายพี่เย่ว์นั้นมีมากเกินไป พวกเขาล้วนเป็นไปได้ที่จะขัดขวางข้าและพี่เย่ว์ ดังนั้นข้าจึงสืบพวกเขาทุกคน หลานเยี่ย มู่หลี หลานเม่ย อวี้มั่ว เทียนซี อวิ๋นหรู อวิ๋นอี้ หลานชิง…”


 


 


“ไปๆ มาๆ ข้าก็ครอบครองข่าวของทุกคนเอาไว้หมดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และข้าเองก็ครอบครองข่าวทั้งหมดบนแผ่นดินนี้ แล้วพี่เย่ว์เองก็มาอยู่ข้างกายข้าอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นกัน”


 


 


“ข้าปล่อยให้พี่เย่ว์ทำความหวังทั้งหมดให้เป็นจริง ข้าทำให้พลังของหลานเยี่ยไม่โดนควบคุม ข้าฟื้นความทรงจำให้หลานเยี่ย ข้าทำให้เขาคิดถึงเรื่องทุกอย่าง ข้าทำให้ท่านเห็นมู่หลีอยู่บนเตียงหลานเยี่ย


 


 


ข้าให้ชิวหลีดื่มชาที่ข้าเตรียมไว้ ข้าทำให้พลังของเขาเละเทะ ข้าทำให้เขาไม่อาจทำร้ายหลานเยี่ย ข้าทำให้ชิวหลีจากไปอย่างปลอดภัย ข้าทำให้เขายังมีคุณค่าในการหลอกใช้ครั้งต่อไป ข้าให้ทหารยามไม่ขัดขวางการกลับมาตระกูลเยี่ยของพี่เย่ว์ ข้าให้ชิวเฉินหลังจากได้รับจดหมายแล้วมุ่งหน้าสู่ความตาย


 


 


ข้าทำให้พี่เย่ว์สามารถยืนอยู่บนเวทีสืบทอดตำแหน่งกับหลานเยี่ย ก้มลงมองโลกใบนี้ด้วยกัน ข้าทำให้ชิวหลีนำทหารไปโจมตีเขาเทียนปี้พ่ายแพ้ลง ข้าทำให้พี่เย่ว์สามารถแก้แค้นได้


 


 


ข้าให้จิ้งจอกราตรีนำป้ายคำสั่งของตระกูลเยี่ยร่วมมือกับพี่เย่ว์ในการเข้าเขาเทียนปี้ ข้าให้ผิงเอ๋อร์ยุแยงอวิ๋นหรูนำทหารไปซีเชวีย ข้าทำให้เขาเทียนปี้โดนเผา ข้าทำให้อวิ๋นอี้ตาย ข้าทำให้หลานเยี่ยโดนจีบ ข้าทำให้พี่เย่ว์มาอยู่ข้างกายข้า


 


 


พี่เย่ว์ ข้าทำความหวังทุกอย่างของท่านให้เป็นจริง แล้วทำไมท่านถึงไม่อาจอยู่ข้างกายข้าเล่า? ทำไมถึงไม่ยอมรับเรื่องทั้งหมดที่ข้าทำเล่า? ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องหมดมาให้อวี้เอ๋อร์ทำเล่า? ทำไมพี่เย่ว์ถึงไม่ยอมมองข้าอีกสักหน่อยเล่า?


 


 


พี่เย่ว์ พวกเราหัวอกเดียวกัน ล้วนทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้ พวกเราทำผิดมหันต์ มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยได้ แต่มนุษย์มีชีวิตเป็นร้อยปีต่อให้แบกรับความผิดของตนก็ยังขออยู่กับพี่เย่ว์” ชิวอวี้พูดไปพูดมาก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น หลานเฟิงยิ่งเย็นชาขึ้น ยิ่งควบคุมตัวเองไม่อยู่ขึ้นเรื่อยๆ


 


 


พอพูดจบเลือดร้อนที่สุมอยู่ในใจก็แผลงฤทธิ์ กระอักออกมาเป็นเลือด


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านเป็นอะไรไป พี่เย่ว์ ฉีเย่ว์ เจ้ามาเร็วเข้า พี่เย่ว์เป็นอะไรไป”


 


 


ฉีเย่ว์เข้ามาจับชีพจรให้หลานเฟิง หลานเฟิงคิดจะสะบัดมือเขาออก แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง


ตอนที่ 107 ลืมไป


 


 


วันที่สามหลังหลานเฟิงตื่นขึ้นมา ชิวอวี้นอนอยู่ข้างเตียงเขา หลานเฟิงขยับตัวเบาๆ ชิวอวี้ก็ผุดสะดุ้งตื่นขึ้นมา


 


 


“พี่เย่ว์ท่านตื่นแล้ว ฉีเย่ว์เจ้ารีบมาเร็วเข้า” หลานเฟิงถึงได้มีโอกาสสำรวจภายในห้องอย่างละเอียด ชิวอวี้ที่ตาบวมปูดทั้งสองข้างนั้นมือไม้พันกันยุ่งร้องเรียกฉีเย่ว์ให้เข้ามา


 


 


เสื้อผ้าที่ใครไม่รู้เอามาคลุมไว้ให้บนร่างนั้นร่วงตกไปบนพื้น


 


 


ฉีเย่ว์ยืนเงียบๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง มองดูเสื้อผ้าที่ตกลงมา


 


 


เขาเดินไปคลุมให้ชิวอวี้ใหม่อีกครั้งแล้วถึงไปดูอาการหลานเฟิง


 


 


“คุณชายเย่ว์ไม่เป็นอะไรแล้ว นายน้อยโปรดวางใจ”


 


 


“พี่เย่ว์ท่านหิวหรือไม่อวี้เอ๋อร์จะไปเอาของมาให้ท่านทาน”


 


 


หลานเฟิงไม่พูดจา ชิวอวี้ได้แต่ร้อนรนไม่รู้ควรทำเช่นไร


 


 


“ชิวอวี้ เจ้าให้ฉีเย่ว์ออกไป ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”


 


 


ชิวอวี้เหลือบมองฉีเย่ว์ทีหนึ่ง ฉีเย่ว์หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็เดินออกไป พลางปิดประตูให้ด้วย ภายในห้องเหลือเพียงชิวอวี้และหลานเฟิงสองคน


 


 


“พี่เย่ว์?” ชิวอวี้ลองเรียกชื่อหลานเฟิงดู


 


 


“ปล่อยเจียงหลิงและคนตระกูลหลานไปดีหรือไม่”


 


 


“อือๆ ข้าให้พวกเขาปล่อยเจียงหลิงและคนอื่นๆ แล้ว อวี้เอ๋อร์ล้วนเชื่อฟังพี่เย่ว์”


 


 


“เอายาถอนพิษให้ข้า ข้าจะไปหาหลานเยี่ย หากหลานเยี่ยตายไปแล้วจริงๆ ข้าจะไม่กวนอีก ข้าจะกลับตระกูลเยี่ย ไม่จากไปไหนอีก”


 


 


“พี่เย่ว์? ท่านพูดจริงหรือ?”


 


 


“พวกเราทำผิดมหันต์ พวกเราไม่อาจได้รับการให้อภัย พวกเราไม่อาจได้รับความรักจากผู้อื่น พวกเราไม่มีคุณสมบัติยอมรับความหวังดีจากผู้อื่น


 


 


หากคนที่ต้องไถ่โทษด้วยไม่อยู่แล้วเช่นนั้นก็เป็นได้เพียงคนที่ไม่ได้เรื่องไร้ซึ่งปณิธาน ไม่รู้ว่ามีชีวิตไปเพื่ออะไร และตายไปเพื่ออะไร หากข้าถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องหักหลังคนที่เคยทำผิดด้วยก็ให้ข้าตายไปที่ตระกูลเยี่ย


 


 


ให้ยาถอนพิษข้า ข้าจะไปพิสูจน์ ชีวิตที่เหลือของตนเองจะเป็นคนไร้ความรู้สึกหรือต้องไถ่โทษไม่หยุดตราบจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากไป”


 


 


“พี่เย่ว์”


 


 


ชิวอวี้หยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากอ้อมอก ผ้าสี่เหลี่ยมสีแดงผืนเล็กห่อจุกไม้ปิดกั้นยาที่อยู่ภายในเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่สามารถไหลออกมาได้ตลอดไป


 


 


ชิวอวี้เปิดจุกไม้ออก กลิ่นหอมละมุนของยาลอยคลุ้งเต็มทั่วห้องในทันใด เหมือนว่าทำให้ยานี้ไม่ได้ยากในการกลืนลงคอสักเท่าไร ดังนั้นจึงใส่กลิ่นมะลิบางๆ ลงไป


 


 


ชิวอวี้ประคองหลานเฟิงขึ้นนั่ง จากนั้นก็ส่งขวดยาไปข้างปากหลานเฟิง หลานเฟิงรีบดื่มลงไปเหมือนร้อนใจทนรอไม่ไหว ยาไม่ได้ออกฤทธิ์เร็วขนาดนั้น มีแค่ยาไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายถึงจะสามารถฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ได้ ยาที่ชิวอวี้ให้หลานเฟิงที่จริงแล้วก็เป็นยาพิษประเภทเดียวกันกับที่พวกหลานเยี่ยโดน


 


 


หลานเฟิงหลับตาลง รู้สึกถึงกระแสพลังที่ค่อยๆ กลับมายังชีพจรของตน ในเวลานี้ชิวอวี้ออกไปแล้ว หลังจากนั้นสิบห้านาทีก็กลับมาใหม่ ในมือมีกระบี่เล่มหนึ่ง และขลุ่ยไม้เลาหนึ่งเพิ่มขึ้นมา


 


 


มองดูขลุ่ยไม้ในมือชิวอวี้หลานเฟิงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก มือทั้งสองข้างที่ยังไม่ทันหายดีถูกยื่นออกไปรับขลุ่ยไม้นั้นเอาไว้ด้วยอาการสั่นสะท้าน เหมือนได้ประสบพบเจอเพื่อนเก่าที่ห่างกันมานาน


 


 


“ทำไมเจ้าต้องเอาให้ข้า”


 


 


“ข้าคิดว่าหากพี่เย่ว์สามารถปล่อยวางทุกอย่างได้หมดแล้ว บางทีอาจกลับมาอยู่ข้างกายอวี้เอ๋อร์ได้อย่างสงบใจ สิ่งที่ข้าต้องการคือพี่เย่ว์ที่ให้อวี้เอ๋อร์เข้าไปอยู่ในหัวใจอย่างแท้จริง สิ่งที่ข้าต้องการก็คือพี่เย่ว์ที่รักอวี้เอ๋อร์จริงๆ ไม่มีสิ่งใดมาผสม และไม่อาจมีความทรงจำปลอมแปลงอะไรอีก สิ่งที่ข้าต้องการคือพี่เย่ว์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน”


 


 


ในเสี้ยววินาทีนั้นดวงตาของชิวอวี้บริสุทธิ์ดุจน้ำใส เป็นความคาดหวังที่แสนบริสุทธิ์ต่อความรัก หลานเฟิงเบือนหน้าไปอีกทาง ขอโทษ สิ่งที่ข้าพูดได้ก็มีเพียงเท่านี้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 108 โลกแห่งจินตนาการ


 


 


เมื่อถึงเวลากลางวันหลานเฟิงก็ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ชิวอวี้นอนราบอยู่ข้างตัวเขา หางตานั้นยังมีหยดน้ำตาติดอยู่ หลานเฟิงลุกขึ้นนั่งมองอยู่ ครู่หนึ่งก็ยื่นมือออกไป ลังเลอยู่ชั่วครู่สุดท้ายก็เช็ดน้ำตาของเขาให้แห้งลง


 


 


หลานเฟิงไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วตนเองคิดอย่างไรกันแน่ เขาลังเลอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด ทำไมคนข้างกายของตนถึงต้องย่างก้าวเข้าสู่ความดำมืดอย่างเต็มตัว เป็นปัญหาของศีลธรรมหรืออย่างไร?


 


 


บอกว่าตอนนี้เป็นผลลัพธ์ของเมล็ดพันธุ์ที่ถูกปลูกไว้เมื่อพันปีก่อน บอกว่าเป็นความผิดของชิวหลี แต่จะไม่ใช่ความผิดของคนบนโลกเลยอย่างนั้นหรือ? ไม่มีความอยาก ก็ไม่มีการทำร้าย ไม่มีการฆ่าแกง ไม่มีความดำมืด และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าใจคน


 


 


“อวี้เอ๋อร์ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำเช่นนี้ต่อไป บนโลกใบนี้ข้าเพียงหวังให้เจ้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างปลอดภัย ข้าไปแล้ว ฉีเย่ว์ดีต่อเจ้า อย่าได้ละทิ้งเขา”


 


 


หลานเฟิงพูดออกมาเบาๆ สองสามประโยค แล้วยังมีประโยคสุดท้ายที่ไม่ได้พูดออกมา


 


 


ในใจของข้ามีหลานเยี่ยแล้ว แต่เจ้าเองก็อยู่ในใจข้า เป็นเด็กที่น่ารักและบริสุทธิ์ไปตลอดกาล น้องชายของข้า


 


 


หลานเฟิงหยิบกระบี่และขลุ่ยไม้มาถือเอาไว้ ออกจากประตูไปเงียบๆ จากนั้นก็ปิดประตูเสียงเบา ด้านนอกประตูมีฉีเย่ว์ยืนอยู่ เหมือนว่าตั้งใจมารอเขาโดยเฉพาะ


 


 


“เจ้าจะไปหาเขาหรือ”


 


 


หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร


 


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมนิสัยของอวี้เอ๋อร์ถึงได้กลายเป็นไม่มั่นคง”


 


 


ฉีเย่ว์ไม่สนใจความนิ่งเงียบของหลานเฟิง พูดต่อไป


 


 


“แม้ว่าจะมีสาเหตุจากการจากไปของชิวหลี แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่สำคัญที่สุด ยังเป็นเพราะเจ้า เจ้าให้ความหวังที่สวยงามเกินไปกับเขาตอนเป็นเด็ก ทำให้เขามีความหวังในการมีชีวิตต่อไป แต่เจ้าก็ใจร้ายทิ้งเขาไป


 


 


แม้เจ้าจะอยู่ที่ตระกูลหลาน แต่หากเจ้าต้องการ หลานชิงก็จะให้เจ้าได้พบอวี้เอ๋อร์ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาในใจของเจ้าก็มีเพียงหลานเยี่ยคนเดียวเท่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายปีมานี้อวี้เอ๋อร์ใช้ชีวิตในตระกูลเยี่ยให้ผ่านมาได้อย่างไร


 


 


ชิวหลีไม่สนใจเขา มีเพียงเวลาที่ต้องการเขาเท่านั้นถึงจะคิดถึงขึ้นมา เขาโดดเดี่ยวอยู่ในห้องเพียงลำพัง บ่าวรับใช้ก็ปฏิบัติกับเขาไม่ดี เขาที่แต่เดิมก็ไม่สมประกอบอยู่แล้ว อาการป่วยก็ยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เขาที่แต่เดิมสามารถมีชีวิตได้ถึงสิบห้าปี ตอนอายุสิบสามก็ใกล้จะไม่รอดแล้ว


 


 


ตอนนั้นข้ามาถึงตระกูลเยี่ย นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าเจอเขา ข้าเจอเขามานับครั้งไม่ถ้วน ตอนที่เขายังเป็นเด็กอายุหกปีข้าเคยบังเอิญพบเขาที่พระราชวังครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้าคิดว่า อ่า นี่อาจจะเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์บนลงใบนี้แล้วกระมัง


 


 


ตั้งแต่นั้นมาข้าก็สนใจเขามาโดยตลอด ข้าขอร้องเสด็จพ่อให้ข้าได้เจอเขาบ่อยๆ แต่เดิมเสด็จพ่อเองก็ถูกตระกูลเยี่ยควบคุม การที่ผูกสัมพันธ์กับคนตระกูลเยี่ยนั้นเป็นเรื่องจำเป็น อีกทั้งเขายังเป็นผู้นำตระกูลเยี่ยในอนาคต


 


 


ดังนั้นเสด็จพ่อจึงสร้างโอกาสให้ข้าหลากหลายครั้ง ข้าเองก็ได้พบเขาหลายครั้ง แต่เขาอาจจะลืมไปแล้วกระมัง อย่างไรในตอนนั้นในใจของเขาก็มีเพียงเจ้า ข้าพบเห็นความเปลี่ยนแปลงทางนิสัยของเขาในโอกาสที่บังเอิญครั้งหนึ่ง


 


 


ในตอนนั้นยังเป็นเพียงขั้นต้นเท่านั้น ยังไม่รุนแรงขนาดนี้ อีกทั้งส่วนใหญ่เขาก็ยังคงรักษาความเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย


 


 


แต่สองปีผ่านไป ตอนที่ข้าได้พบเขาอีกครั้ง เขาก็แบ่งตัวออกเป็นตัวคนเป็นสองแบบแล้ว อีกทั้งที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนที่อยู่ในโลกความเป็นจริงนั้นคือตัวตนที่เย็นชาและไร้ความหวัง มีเพียงในโลกที่มีเจ้าที่เขาสร้างขึ้นมาเท่านั้นเขาถึงยังเป็นเด็ก


 


 


และในตอนนั้นชิวหลีก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป ส่วนใหญ่ที่ได้พบเขานั้นเขาล้วนเป็นเด็กคนหนึ่ง เขาขังตัวเองเอาไว้ในกรงขังที่เป็นของตัวเอง ไม่ยอมออกมา”



ตอนที่ 109 โลกที่แตกแยก


 


 


ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ อาการไม่สมประกอบเขาในตอนนั้นออกอาการบ่อยมากขึ้น ข้าขอร้องเสด็จพ่อให้หาหมอยาที่ฝีมือดีที่สุดมาเป็นอาจารย์ของข้า ข้าเริ่มหมั่นเพียรเรียนวิชาแพทย์ เพียงเพราะจะหาวิธีให้เขามีชีวิตต่อไปได้ ข้าใช้เด็กที่ไม่สมประกอบมากมายนับไม่ถ้วนมาทดลอง ข้าเองก็ทำร้ายเด็กจำนวนนับไม่ถ้วนจนตายไป


 


 


มือทั้งสองข้างของข้าเปื้อนเลือด แต่ข้าไม่เสียดาย เพราะอย่างไรมือทั้งสองข้าก็ต้องแปดเปื้อนอยู่ดี ข้าถนัดวิชาผู้นำ ข้ารู้ว่าใจมนุษย์อยากแท้หยั่งถึง ดังนั้นข้าคิดจะปกป้องเขา


 


 


ถึงนาทีสุดท้ายตอนที่เขาใกล้จะไม่ไหวแล้วนั้น ข้าก็หาทางเจอ หาทางที่จะช่วยเขาเจอ ดังนั้นข้าจึงมาที่ตระกูลเยี่ย มาอยู่ข้างกายเขา


 


 


ที่น่าขันก็คือข้าเพิ่งรู้ว่าเสด็จแม่ของข้า เป็นพี่สาวของชิวหลี ข้าเป็นญาติผู้พี่ของเขา แต่เดิมข้าสามารถอาศัยความสัมพันธ์นี้อยู่ข้างกายเขาได้ตลอดไป แต่ข้าไม่ได้สังเกต ข้าเกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองที่โง่ปล่อยให้เขาพบเจอกับความลำบากมากมายเช่นนี้


 


 


ตอนที่ข้ามาถึงเขาก็อยู่ที่ทุ่งดอกไม้นั่นตลอด มองดูดอกอีหมี่ที่ห้าปีจะออกดอกครั้งหนึ่ง นับวันรอคอย ตอนนั้นกระท่อมหลังนี้ถูกรื้อออกไปแล้ว


 


 


เพื่อที่จะทำให้เขาดีขึ้น ข้าและเขาแอบชิวหลีสร้างที่นี่ขึ้นมาใหม่ อย่างไรชิวหลีก็ไม่สนใจเขา และยิ่งไม่มาเยี่ยมดูเขา ตอนที่ต้องการเขานั้นก็ทีเพียงส่งคนมาเรียกเท่านั้น


 


 


ข้าสังเกตการณ์อยู่นานและทดลองอยู่นานถึงพบคนที่ผูกมัดเขาเอาไว้ ข้าไปเดินอยู่รอบเขาเทียนปี้ครั้งหนึ่ง ลอบถามข่าวคราวของเจ้ามาเล็กน้อย แล้วเอามาพูดให้เขาฟัง เขามีปฏิกิริยารุนแรง และมีท่าทีดีขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


ข้าสอนวิชาผู้นำให้เขา ข้าสอนวิธีเลี้ยงดูสายลับ ข้าสอนวิธีให้เขาก่อตั้งกลุ่มองค์กรเก็บข่าว เขาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เหนือความคาดการณ์ของข้าเป็นอย่างมาก ใช้เวลาเพียงสามปีเท่านั้นก็วางแผนโดยรวมและวางหมากทั่วทั้งใต้หล้าได้สำเร็จ


 


 


อยู่เหนือตระกูลเยี่ย และอยู่เหนือองค์กรสืบข่าวของมู่หลี แต่ที่เขาชอบที่สุดก็ยังเป็นการฟังข่าวของเจ้า จะดีจะร้าย หรือข่าวทั่วไปก็ตาม จากนั้นเขาก็พบว่าข้างกายของเจ้ามักจะมีหลานเยี่ยอยู่เสมอ เจ้าเคยปฏิบัติกับเขาอย่างไร เจ้าเองก็ปฏิบัติกับหลานเยี่ยเช่นนั้น ตอนนั้นเองที่เขาถึงได้รู้สึกถูกทอดทิ้งอย่างสมบูรณ์


 


 


เขาอาการกำเริบอีกครั้ง รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ ข้าเริ่มรู้สึกเสียใจที่สอนสิ่งเหล่านี้ให้เขา หลังจากนั้นข้าก็คิดว่าหากข้ารั้งให้เขาอยู่ในโลกใบที่เขาสร้างขึ้นมาเองตลอดกาล ลบตัวตนที่แท้จริงของเขาออกไปจะเป็นเช่นไร


 


 


ข้าทดลองไม่หยุด เวลาที่เขาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ในโลกของเขาเจ้ามีตัวตนอยู่เสมอ แต่ไม่มีข้า ข้าไม่เป็นอะไร จะเป็นอย่างไรก็ดีทั้งนั้น จากนั้นเจ้าก็มา มาดึงเขาเข้าไปในโลกแห่งความจริงอีกครั้ง


 


 


เจ้า สิ่งที่ทำผิดต่อเขา สิ่งที่เจ้าติดค้างเขา ไม่อาจคืนค่าได้ตลอดกาล หากครั้งนี้เจ้าทำร้ายเขาอีกครั้ง ข้าจะฆ่าเจ้า จากนั้นจะลบความทรงจำของเขา สร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ทำให้เจ้าหายไปจากความทรงจำของเขาโดยสมบูรณ์


 


 


“เช่นนั้นก็ขอให้เจ้าดูแลเขาให้ดี”


 


 


หลานเฟิงมานานขนาดนี้แต่กลับทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว แล้วจากไปไม่หันกลับมามองอีก ต่อให้หันกลับมาเรื่องราวก็ไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นก็ขอให้เจ้าดูแลเขาให้ดี


 


 


หลังจากหลานเฟิงจากไปแล้วฉีเย่ว์ก็เปิดประตูห้อง ก้าวเท้าเข้าไป ชิวอวี้นอนราบอยู่ข้างเตียง ร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้จนทำให้คนรู้สึกเสียใจ ฉีเย่ว์เดินเข้าไปกอดเขาเอาไว้ กล่อมเบาๆ


 


 


“อวี้เอ๋อร์ อย่าเสียใจไป เขาเพียงออกไปเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจเท่านั้น อีกไม่นานก็กลับมา พวกเรานอนพักก่อนดีหรือไม่ นอนสักตื่นเขาก็กลับมา” ฉีเย่ว์ดึงเข็มออกมาเล่มหนึ่ง ทิ่มลงไปตรงจุดลมปราณของชิวอวี้


 


 


ชิวอวี้หลับลึก นกสองตัวด้านนอกส่งเสียงร้องไม่หยุด ทันใดนั้นก็ถูกฉีเย่ว์ใช้เข็มเงินแทงคอของพวกมัน


 


 


“อวี้เอ๋อร์นอนแล้ว เงียบหน่อย”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 110 ข้ายอม


 


 


หลานเฟิงก้าวออกจากประตูใหญ่ตระกูลเยี่ย มองดูโลกภายนอก แต่กลับไม่รู้สึกว่าหลบหนีออกจากกรงขัง


 


 


ควรจะไปที่ใด หลานเฟิงไม่รู้เลย ตระกูลหลาน เขาเทียนปี้ หรือว่าเมืองหลวง เขาคิดจะทำอะไร ไปหาหลานเยี่ย ใช่แล้ว ไปหาหลานเยี่ย แต่ทำไมถึงไม่อาจก้าวเท้าออกไปได้


 


 


เพราะกลัวว่าจะได้รับข่าวการตายของหลานเยี่ยอย่างนั้นหรือ หรือว่ากลัวเรื่องทั้งหมดที่ตนเองทำไม่ได้รับการยกโทษ แต่ไม่ได้รับการยกโทษแล้วจะทำไม ขอแค่ได้เห็นเขายังมีชีวิตอยู่ก็มากพอแล้ว ไม่ว่าจะให้ตนเองไม่ปรากฏตัวอีกต่อไป หรือให้ไปตาย เขาก็ยอมทั้งนั้น


 


 


พูดกันตามจริงแล้วทำไมตอนแรกเขาถึงคิดทำเรื่องเช่นนั้น หลานเฟิงคิดถึงจุดประสงค์ที่ตัวเขาเองก็แทบจะลืมไปแล้ว เพื่อหลานเยี่ย เพื่อที่จะให้บ้านอันสงบสุขแก่หลานเยี่ย


 


 


ให้ตระกูลเยี่ยเข้าควบคุมเขาเทียนปี้ ทำให้ตระกูลหลานไม่มีเรื่องต้องคอยเป็นกังวล จากนั้นก็หลอกใช้ทหารตระกูลเยี่ยที่ยินยอมอยู่กับตนก่อกำลังดับสลายตระกูลเยี่ย เช่นนี้ก็จะได้ใต้หล้ามาครอบครอง


 


 


ใช่แล้ว ทั่วทั้งใต้หล้า พอวันนี้มาคิดดูทำไมถึงไม่มีแรงกระตุ้นแล้วแม้แต่น้อยเล่า ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนั้นไม่มีค่าอะไรเล่า ใช่แล้ว เพราะไม่มีหลานเยี่ย เรื่องทั้งหมดทำไปแล้วจะมีความหมายอะไร


 


 


ดังนั้นจะต้องหาหลานเยี่ยให้พบ จะต้องหาหลานเยี่ยให้เจอ เจ้าไม่อาจเป็นอะไรไปได้ ต่อให้ต้องตกแม่น้ำเหลืองกลายเป็นกระดูกขาวข้าก็จะอยู่กับเจ้า


 


 


หลานเฟิงคิดถึงตรงนี้ก็จูงม้าที่อยู่ข้างกายเดินออกไป ลัดเลาะไปตามวิวทิวทัศน์สองข้างทางที่ไม่รู้ว่ามองดูเป็นครั้งที่เท่าไร สำหรับหลานเฟิงในตอนนี้เวลานี้แล้วนั้นไม่มีการกระตุ้นทางด้านอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น นี่ก็เป็นเหมือนคนที่ปิดกั้นทวารทั้งห้าของตน


 


 


การศึกบริเวณชายขอบซีเชวียสงบลงแล้ว เมื่อเห็นว่ามีคนขี่ม้ามาก็มีนายทหารวิ่งเข้ามาขวางไว้ เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเฟิง แต่เดิมคิดจะตั้งขบวนม้าต้อนรับ แต่คิดไม่ถึงว่าหลานเฟิงจะไม่หยุดวิ่งผ่านออกไป


 


 


จะเป็นที่ไหนก็ได้ แต่หลานเยี่ยเจ้าห้ามเป็นอะไร นับตั้งแต่วันที่มุกหลิววั่งขาดการติดต่อไปนั้นก็ไม่มีข่าวที่ส่งมาจากทางหลานเยี่ยอีก หรือจะเป็นเหมือนที่ชิวอวี้พูดจริง ตนเองโดนหลอกแล้ว หลานเยี่ยตายไปแล้วจริงหรือ


 


 


ไม่!


 


 


เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ขอแค่เขาหลิววั่งยังพอมีร่องรอยเล็กน้อยก็แสดงว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่


 


 


หลานเยี่ยยังไม่ตาย แค่เพียงตนเองยังหาไม่เจอเท่านั้น


 


 


หลานเยี่ยเฉลียวฉลาดเพียงนั้น ทำให้คนรู้สึกเอ็นดูถึงเพียงนั้น สวรรค์จะทำใจให้เขาตายไปได้อย่างไร! จะต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน


 


 


หลานเยี่ย เจ้าจะต้องยืนหยัดอีกหน่อย ข้าจะไปรับเจ้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้ อีกไม่นานก็จะดีแล้ว


 


 


เมื่อมาถึงปลายเขาเขาหลานวั่ง มองเห็นภาพการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขภายในบ้านที่ตั้งเรียงเป็นแถบแถวก็รู้สึกทิ่มแทงสายตาเป็นอย่างมาก เขาเร่งบังคับม้าให้พุ่งไป เหลือเพียงเศษฝุ่นที่ลอยคลุ้ง ร่างเงาร่างหนึ่งกำลังพูดคุยหยอกล้ออยู่กับหญิงวัยกลางคนกลุ่มหนึ่ง


 


 


ห่างออกไปไกลแม้จะมีม่านพลังเขาหลานวั่งขวางกั้น แต่ก็พอมองเห็นควันไฟที่ลอยขึ้นมา บดบังทัศนียภาพยามอาทิตย์ตกดิน ทำให้ก้อนเมฆที่เป็นความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ที่ยังไม่อยากกลับบ้านหรือคิดแอบดูต้องรู้สึกเขินอาย


 


 


เขาหลานวั่งยังคงสงบสุขเหมือนที่เคยเป็นมา ผู้ชายที่เร่งรีบพุ่งเข้ามานั้นดูไม่เข้ากับที่นี่อย่างแรงกล้า หลานเฟิงเพิ่งจะเข้ามาในเขาหลานวั่งก็ต้องพบกับความจริงที่ถึงแก่ชีวิตเรื่องหนึ่ง


 


 


เขาไม่อาจสัมผัสพลังของหลานเยี่ยที่เขาหลานวั่งได้อีกแล้ว ม่านพลังของเขาหลานวั่งในตอนนี้มีเพียงม่านพลังที่ตนเองเพิ่มเข้าไปตอนแรกเท่านั้น


 


 


เป็นไปไม่ได้ จะต้องเกิดเหตุผิดพลาดเป็นแน่ หลานเฟิงรีบวิ่งไปยังหอจันทร์แรม ม้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไป ตอนนี้เขาเหมือนคนบ้าที่วิ่งทะยานเข้าไปในกลุ่มควันที่ลอยขึ้นมาโดยไม่คำนึงถึงอะไรอีกต่อไป




ตอนที่ 111 ข้าเลือก


 


 


ภายในหอจันทร์แรมนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ลมหายใจเดียว มีบ่าวคนหนึ่งกำลังกวาดถูด้านในและด้านนอก ตามปกติแล้วต่อให้หลานเยี่ยไม่อยู่ที่น่าควรต้องไม่มีคนถึงจะถูก


 


 


“ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ใครให้เจ้าเข้ามา หลานเยี่ยเล่า? หลานเยี่ยอยู่ที่ไหน” หลานเฟิงก้าวขึ้นไปดึงคอเสื้อของบ่าวคนนั้นเอาไว้แล้วถามออกมา


 


 


บ่าวคนนั้นตกใจสะดุ้ง พูดจาติดๆ ขัดๆ ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา


 


 


“ข้า ข้า ข้าไม่รู้ว่าท่านประมุขอยู่ที่ไหนเจ้าค่ะ จู่จื๋อซือเป็นคนสั่งให้ข้ามาทำความสะอาด ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าเพียงมาทำความสะอาดเท่านั้น ทำเสร็จข้าก็จะออกไปเจ้าค่ะ”


 


 


หลานเฟิงปล่อยบ่าวคนนั้นไป แล้วเดินเข้าไปในห้อง ค้นหาทั้งข้างในข้างนอก ทุกซอกทุกมุมทีหนึ่ง ห้องที่แต่เดิมสะอาดเป็นระเบียบก็กลายเป็นเละเทะวุ่นวายอย่างไม่ที่เปรียบในชั่วพริบตา


 


 


“หลานเยี่ย เจ้าไม่ต้องหลบแล้ว ข้าหาเจ้าเจอแล้ว ข้าเห็นเสื้อผ้าของเจ้าแล้ว เจ้าออกมาเถิด เจ้าออกมา หลานเยี่ย เสี่ยวเยี่ย”


 


 


หลังจากค้นหาแล้วไร้ซึ่งผลลัพธ์แล้วหลานเฟิงถึงได้หยุดลง เขาลงไปนั่งอยู่ตรงประตู ค่อยๆ หลับตาลง ใช่แล้ว หากชิวอวี้จับตัวคนไปจะปล่อยให้เขาอยู่ที่ตระกูลหลานอีกได้อย่างไร ตนเองช่างโง่เสียจริง


 


 


หลานเฟิงหมุนตัววิ่งออกไปยังจวนของหลานเม่ย หลานเม่ยกำลังจัดการธุระปะปังของตระกูลหลานอยู่ จู่ๆ หลานเฟิงก็บุกเข้ามา


 


 


“หลานเฟิง…เจ้ากลับมาแล้วหรือ ท่านประมุขไม่ได้กับเจ้าหรอกหรือ”


 


 


หลานเฟิงไม่ได้ตอบอะไร ยังคงสำรวจรื้อคนทั้งข้างในและข้างนอกจวนของหลานเม่ยอย่างเรียบร้อยเหมือนเดิม หลานเม่ยเห็นอากัปกิริยาของหลานเฟิงก็พอเดาออกว่าเขาต้องการหาอะไร


 


 


“ท่านประมุขไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าเองก็หามานานแล้ว แม้กระทั่งไปถึงเมืองหลวงเพื่อให้อวี่มั่วช่วยตามหา แต่ก็ยังหาอะไรไม่พบทั้งนั้น แม้แต่เบาะแสเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี”


 


 


ได้ยินคำพูดของหลานเม่ย หลานเฟิงก็โกรธจัดขึ้นมาในทันใด


 


 


“เจ้ามากับข้า” หลานเฟิงกระชากให้หลานเม่ยเดินตามไปข้างนอก หลานเม่ยปล่อยให้เขาดึงไป หาหลานเยี่ยไม่เจอเขาเองก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก และคนที่ยิ่งวิตกกังวลก็คือเขา


 


 


หลานเฟิงกระชากเขามาจนถึงบริเวณม่านพลังเขาหลานวั่ง


 


 


“ดูม่านพลังเขาหลานวั่งเสียซิ”


 


 


หลานเม่ยทำตามที่หลานเฟิงพูด ยื่นมือพลางขับกระแสพลังของตนเองไปสัมผัสม่านพลังเขาหลานวั่ง แต่ไม่อาจดึงมือกลับมาได้ ม่านพลังเขาหลานวั่งมีเพียงความเคลื่อนไหวของกระแสพลังชนิดเดียวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ของตระกูลหลาน หากแต่เป็นตระกูลเยี่ย


 


 


“ทำไมม่านพลังของหลานเยี่ยถึงไม่มีแล้วเล่า ทำไมกัน”


 


 


หลานเม่ยไม่พูดอะไรออกมา เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ม่านพลังสูญหายนั้นหมายความได้เรื่องเดียว นั่นก็คือคนที่ตั้งม่านพลังนั้น…ตายแล้ว ข่าวที่มาอย่างกะทันหันไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หลานเม่ยไม่อาจรับได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ทำไมตนเองถึงไม่รู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับเขตม่านพลังเขาหลานวั่ง


 


 


แต่ต่อให้รู้ตนเองจะทำอะไรได้


 


 


“ข้าไม่รู้ๆ” เป็นความจริงที่ว่าหลายวันมานี้หลานเม่ยมัวแต่จัดการเรื่องเขาเทียนปี้ ละเลยเรื่องของตระกูลหลานไปบ้าง จนทำให้ไม่สังเกตว่าเขตม่านพลังเขาหลานวั่งเกิดปัญหาขึ้น


 


 


หลานเฟิงปล่อยหลานเม่ยที่ยืนนิ่งไม่รู้ต้องทำเช่นไรเอาไว้ หมุนตัวเดินไปยังที่พักของมู่หลี นั่นคืออี่จือชู่ แม้โดยปกติแล้วมู่หลีจะไม่ได้อยู่ภายในตระกูลหลานบ่อยนัก แต่หลานเฟิงก็ยังไป


 


 


เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่มีเสียงของมู่หลี อี่จือชู่ก็เงียบเหงาเหมือนกับหอจันทร์แรม เพราะสถานะที่ไม่อาจเปิดเผย ดังนั้นแม้แต่คนมาทำความสะอาดก็ยังไม่มี บนโต๊ะมีฝุ่นเกาะอยู่บางๆ แสดงให้เห็นว่าที่นี่ไม่มีคนมานานแล้ว


 


 


หลานเฟิงกำหมัดแน่น คิดถึงคำพูดของฉีเย่ว์ ข่าวสารที่ชิวอวี้ครอบครองอยู่นั้นใหญ่โตกว่าที่มู่หลีมี นั่นหมายความว่าหากคิดซ่อนใครคนหนึ่งก็ไม่อาจมีคนหาพบ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 112 เจ้ากลับไม่อยู่แล้ว


 


 


แต่สิ่งที่หลานเฟิงสนใจในตอนนี้ไม่ใช่ว่าหลานเยี่ยซ่อนอยู่ที่ไหน แต่เป็นม่านพลัง เขตม่านพลังของเขาเทียนปี้ หลานเฟิงรับไม่ได้ หลานเยี่ยไม่อาจตายไปเช่นนี้


 


 


ยังไม่ทันได้ทำเรื่องอะไรเลย! ทำไมถึงจากไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ ล้อเล่นอะไรกัน เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ หลานเฟิงลอบส่งสัญญาณทางจิตไม่หยุดแต่ความมั่นใจเริ่มหดหายลงเรื่อยๆ หลานเฟิงตะโกนออกมาเสียงดัง จนทำให้นกน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนตกใจไป


 


 


ยังพอมีความหวัง หลานเฟิงพุ่งไปยังเขาเทียนปี้ ขอให้เป็นเพียงเขตม่านพลังเขาหลานวั่งเพียงเกิดปัญหาเท่านั้น ไม่ใช่ว่าหลานเยี่ย…


 


 


หลานเฟิงมาถึงเขาเทียนปี้ เขาเทียนปี้ยังคงมีร่องรอยหลังจากโดนเพลิงโหม แม้พื้นที่ส่วนใหญ่จะถูกเก็บกวาดแล้ว แต่ก็ยังคงได้กลิ่นเผาไหม้อยู่บ้าง หลานเฟิงเดินเข้าไปด้านใน


 


 


ที่นี่ยิ่งเป็นภาพที่สงบสุขสามัคคี ผู้ชายทุกคนถืออุปกรณ์เครื่องมืออยู่ในมือ มีคนเคาะตอกประตูลองดูว่าแข็งแรงหรือไม่ มีคนถือเส้นด้ายเส้นหนึ่งวัดดูว่าบ้านตั้งตรงหรือไม่


 


 


ตอนที่มีคนที่รู้จักหลานเฟิงเดินผ่านมาก็จะส่งยิ้มให้น้อยๆ ถือเป็นการทักทาย หลานเฟิงกลับไม่รู้ตัว อวิ๋นหรูอยู่ห่างไปไม่ไกลกำลังปรึกษาว่าตรงนี้ควรทำเช่นไร ตรงนั้นควรทำเช่นไรอยู่กับแม่ทัพอวิ๋น


 


 


เมื่อเดินไปถึงส่วนลึกโถงบรรพชนและเรือนอี้หรงที่อยู่ท่ามกลางกองซากปรักหักพังนั้นดูเด่นขึ้นมาทันตา เมื่อสังเกตเห็นการมาถึงของหลานเฟิง อวิ๋นหรูก็ก้าวขึ้นไปจะพูดคุยกับเขา แต่หลานเฟิงนั้นมีสีหน้าเจ็บปวดและทรมาน ไม่มีทีท่าว่าจะพูดคุยกับนางเลยแม้แต่น้อย


 


 


“ท่านหัวหน้าแม่ทัพหลาน ท่านมาแล้ว ท่านพี่ไม่ได้มากับท่านอย่างนั้นหรือ”


 


 


หลานเฟิงเดินเลยนางไป ตรงเข้าไปในโถงบรรพชน


 


 


“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ตรงนี้ยังทำเหมือนเดิมหรือไม่” แม่ทัพอวิ๋นชี้จุดหนึ่งอย่างขอความเห็นจากนาง


 


 


“ข้าดูก่อน”


 


 


อวิ๋นหรูเดินไปยังบริเวณที่แม่ทัพอวิ๋นชี้ ไปพูดคุยปรึกษากับเขา ไม่ทันได้สนใจหลานเฟิง


 


 


หลานเฟิงเดินเจ้าไปคนเดียว เดินมาถึงประตูโถงบรรพชนเขาเทียนปี้


 


 


มองดูประตูใหญ่ของโถงบรรพชน แต่ลังเลไม่กล้าเปิดออก นี่คือความหวังสุดท้ายแล้ว หากว่า…


 


 


หลานเฟิงค่อยๆ เปิดประตูออกช้าๆ จากนั้นก็เดินเข้าไป ตอนที่อวิ๋นหรูกลับมาหาหลานเฟิงนั้นก็ทันเห็นหลานเฟิงเดินเข้าไปในประตูโถงบรรพชนเขาเทียนปี้ด้วยความลังเล


 


 


กำแพงด้านหน้านั้นถูกปิดผนึกเอาไว้ คนที่ไม่รู้จะต้องคิดว่านี่เป็นกำแพงธรรมดา แต่หลานเฟิงเองก็คาดหวังมากว่าตัวเองก็ไม่รู้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงคืออะไร


 


 


ห่างเพียงกำแพงกั้น ความเป็นความตายสองส่วน


 


 


อวิ๋นหรูไล่ตามหลานเฟิงเข้าไป แต่ต้องพบว่าหลานเฟิงนั่งอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอย กระบี่คู่กายถูกดึงออกมา ปักอยู่บนพื้น ขลุ่ยไม้ถูกฟันออกสองท่อน


 


 


กลไกบนกำแพงถูกเปิดออก อวิ๋นหรูสังเกตเห็นไฟอมตะบนกำแพงในทันใด ที่ไม่สว่างทีทั้งหมดสองดวง ดวงแรกคือของอวิ๋นอี้ที่ยังไม่ได้เอาลงมาตั้งแต่แรก อีกดวงหนึ่งเป็นของหลานเยี่ย


 


 


“เกิดอะไรขึ้น ไฟอมตะของท่านพี่ ทำไมถึงดับลงเล่า ทำไม” อวิ๋นหรูวิ่งเข้ามา มองไฟอมตะของหลานเยี่ยอย่างไม่คิดเชื่อ ในเสี้ยววินาทีนั้นอาจจะเป็นเวลาที่สิ้นหวังที่สุดกระมัง ญาติทั้งหมดของตนที่อยู่บนโลกนี้ไม่มีแล้วแม้แต่คนเดียว


 


 


จู่ๆ หลานเฟิงก็เอากระบี่มาวางไว้บนคอของตัวเอง น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามใบหน้า และหยดลงไปบนขลุ่ยไม้ที่หักออกพอดี


 


 


“เสี่ยวเยี่ย รอข้า”


 


 


อวิ๋นหรูที่อยู่อีกฝั่งไม่มีปฏิกิริยาอะไร ไฟอมตะ พันปีมานี้ไม่เคยเกิดข้อผิดพลาด


 


 


ไฟอยู่คนอยู่ ไฟดับคนตาย


 


 


ในช่วงวิกฤติกระบี่ของหลานเฟิงก็ถูกคนดีดออกไป คนที่ยืนอยู่ด้านหลังคือฉีเย่ว์


 


 


“หลานเยี่ยตายแล้ว กลับไปเถิด ชิวอวี้ยังรอเจ้าอยู่”




ตอนที่ 113 ร่วมตายเพื่อเจ้า


 


 


หลานเฟิงถูกฉีเย่ว์พาตัวไป เหลือเพียงอวิ๋นหรูอยู่ในโถงบรรพชนเพียงลำพัง ด้านหลังมีคนคนหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ จับอวิ๋นหรูให้พิงไหล่ของตนเองเอาไว้


 


 


“ร้องออกมาเถิด ร้องเสร็จข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”


 


 


“ไยข้ายังมีบ้านอีก ญาติพี่น้องทั้งหมดล้วนตายหมดแล้ว เหลือข้าเพียงคนเดียว หลานเม่ย ข้าควรทำเช่นไร”


 


 


“เจ้ายังมีข้า ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอด”


 


 


“โกหก ล้วนโกหกทั้งนั้น ท่านแม่ก็เคยพูดว่าจะอยู่กับข้าตลอดไป ท่านพ่อก็เคยพูดว่าจะอยู่กับข้าตลอดไป ล้วนพูดว่าจะอยู่กับข้าตลอดไปทั้งนั้น แต่สรุปแล้วก็มาตายไปหมด เหลือข้าเพียงลำพัง อ่าาา ทำไมกัน”


 


 


“ข้าไม่โกหกเจ้า ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป ตราบจนนาทีสุดท้าย”


 


 


อวิ๋นหรูร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของหลานเม่ยอย่างหลงลืมตัวเอง หลานเม่ยเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกัน


 


 


สำหรับเขาแล้วหลานเยี่ยตายไปจะไม่ใช่การทรมานรูปแบบหนึ่งได้อย่างไรกัน ตระกูลหลานควรดำเนินไปในทิศทางใด


 


 


……


 


 


หลานเฟิงถูกพากลับมายังตระกูลเยี่ย ตลอดทางนั้นเขาไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไร และไม่พูดอะไรออกมา ไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆ เช่นกัน ดวงตาทั้งสองข้าเหม่อลอย ใบหน้าดำคล้ำดั่งพื้นดิน


 


 


ฉีเย่ว์โยนหลานเฟิงลงบนเตียง ชิวอวี้เห็นหลานเฟิงกลับมาก็ปีนขึ้นไปบนเตียงกอดหลานเฟิงอย่างดีอกดีใจ


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านกลับมาแล้ว ดีจริง เช่นนี้ก็สามารถอยู่กับอวี้เอ๋อร์ได้ตลอดไปแล้ว”


 


 


หลานเฟิงไม่มีปฏิกิริยาอะไร ในขณะที่ชิวอวี้พูดเองเออเอง ฉีเย่ว์ก็หมุนตัวเกินออกไป หลานเฟิงลืมตาทั้งสองข้างอยู่ตลอด เขามองตรงไปข้างหน้า เหมือนกับตอนนั้น แต่ข้างกายไม่มีหลานเยี่ยอีกแล้ว     


 


 


“พี่เย่ว์ ทำไมท่านไม่พูดเล่า เป็นเพราะหลานเยี่ยตายไปท่านเสียใจเป็นอย่างมากใช่หรือไม่ หากพี่เย่ว์เสียใจก็โทษอวี้เอ๋อร์เถิด เป็นความผิดของอวี้เอ๋อร์เอง โทษอวี้เอ๋อร์เถิด”


 


 


หลานเฟิงมีปฏิกิริยาขึ้นมา เขาหลับตาลง มีบางครั้งที่เอาแต่ใจมากเกินไปก็ต้องพอ ยังคงต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง หลานเยี่ยไม่อยู่แล้ว แต่ตระกูลหลานยังอยู่ เพื่อตระกูลหลานเขาไม่อาจตายได้


 


 


แต่เขาถูกดูดกำลังทั้งร่างไปหมดแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงที่มากพอจะไปทำเรื่องอะไรได้อีก ในใจนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง อนาคตบางทีต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้แล้ว


 


 


“ชิวอวี้ จิ้งจอกราตรีที่ฆ่าหลานเยี่ยอยู่ที่ใด”


 


 


เมื่อเห็นว่าหลานเฟิงมีปฏิกิริยาในที่สุด ชิวอวี้ก็ปีนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น


 


 


“คนพวกนั้นถูกคุมตัวเอาไว้ในคุกตระกูลเยี่ย พี่คิดจะจัดการอย่างไรก็ทำได้ทั้งนั้น”


 


 


“ศพของหลานเยี่ยเล่า”


 


 


หลานเฟิงเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง แต่ชิวอวี้กลับนิ่งเงียบ


 


 


“หลังจากหลานเยี่ยถูกฆ่า ก็ถูกจิ้งจอกราตรีพวกนั้นโยนทิ้งลงแม่น้ำ กลายเป็นอาหารอยู่ในท้องปลาแล้ว”


 


 


กระแสพลังของหลานเฟิงระเบิดออกในทันใด กระแสพลังที่บ้าคลั่งพัดชิวอวี้ออกไปไกลอย่างแรง ชิวอวี้เป็นลมสลบไป เมื่อได้ยินเสียงดังสนั่นภายในห้องฉีเย่ว์ก็รีบรุดตัวเข้ามาในทันใด ประคองชิวอวี้ที่อยู่ข้างกำแพงขึ้นมา ฉีเย่ว์คิดจะควบคุมหลานเฟิงที่บ้าคลั่ง


 


 


“กลายเป็นอาหารอยู่ในท้องปลา ตายอย่างไม่มีดินกลบหน้า ฮ่าๆๆ สวรรค์ช่างล้อเล่นข้าในสิ่งที่ไม่ตลกเสียแล้ว ชีวิตนี้คนที่สูญเสียชีวิตไปด้วยน้ำมือของข้ามีมากมายนับไม่ถ้วน วิธีการตายทุกอย่างล้วนมีทั้งนั้น


 


 


แต่ทำไมต้องให้เจ้ามาชดใช้ คนที่สมควรตายคือข้า ทำไมต้องให้เจ้ามาแบกรับไว้ หากว่าข้าหลานเฟิงยังอยู่บนโลกใบนี้ ก็จะฆ่ากำจัดคนบนโลกนี้ให้หมด ร่วมตายเพื่อเจ้า”


 


 


หลานเฟิงสูญเสียสติไปแล้วอย่างสมบูรณ์ พูดจาสับสนไปมา แต่เดิมการตายของหลานเยี่ยก็ทำร้ายเขามากพอแล้ว ตอนนี้กลับมีตายอย่างไร้แผ่นดินกลบหน้าเข้ามาซ้ำแล้วจะไม่ให้เขาคลุ้มคลั่งได้อย่างไร


 


 


พลังของฉีเย่ว์นั้นไม่ดี แม้จะบอกว่ามีมารดาเป็นคนตระกูลเยี่ย แต่เพราะห่างเหินจากการฝึกฝน จิตใจมุ่งมั่นอยู่กับการเรียนวิชาแพทย์ แต่เขาก็ยังสามารถควบคุมหลานเฟิงได้ ยาสีม่วงถูกสาดเข้าไปในห้อง ฉีเย่ว์พาชิวอวี้ออกมา แล้วขังหลานเฟิงเอาไว้ในนั้น


 


 


ในที่สุดภายในห้องก็เงียบลง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 114 น้ำนิ่ง


 


 


รอจนพิษกระจายออกหมดแล้ว ฉีเย่ว์ถึงเปิดประตูออก ชิวอวี้ฟื้นขึ้นมาแล้วแต่เพราะได้รับแรงโจมตีที่รุนแรงเกินไปจึงถูกฉีเย่ว์ออกคำสั่งบังคับให้พักผ่อน


 


 


หลานเฟิงนั่งอยู่บนเตียง ผมเผ้าหลุดลุ่ย ภายในห้องนั้นเละเทะไม่เป็นท่า ยาพิษเหล่านั้นมีส่วนประกอบบางอย่างที่อยู่ในยาของชิวอวี้ มีฤทธิ์ในการทำให้จิตใจสงบ ตอนนี้หลานเฟิงสงบลงมาแล้ว สติสัมปชัญญะก็กลับมาแล้วเช่นเดียวกัน


 


 


ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก หลานเฟิงมองไปที่ประตู เพราะว่านั่งหันหลังให้แสง หลานเฟิงจึงมองไม่ชัดว่าเป็นใครที่เดินเข้ามา แต่ก็พอจะเดาได้


 


 


“ให้ข้าตายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ทำไมจะต้องแย่งกระบี่ของข้าด้วย ข้าตายไปเจ้าก็สามารถยึดครองชิวอวี้ได้ ไม่มีคนมาแย่งเจ้า”


 


 


ฉีเย่ว์พุ่งเข้าไปบีบคอหลานเฟิงในทันใด


 


 


“เจ้าฟังข้าให้ดี จุดประสงค์ที่ก่อนหน้านี้ข้าพูดกับเจ้าไปมากมายไม่ใช่เพื่อจะแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ทำให้เจ้ารู้ว่า เจ้าติดค้างเขา ตอนนี้เจ้าติดค้างชิวอวี้ ติดค้างหลานเยี่ย ข้าไม่มีอคติอะไรกับหลานเยี่ย แต่กับเจ้าข้าไม่ไว้หน้า


 


 


ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว หากว่าเจ้าทำให้ชิวอวี้เสียใจอีกครั้ง เจ้ารอดูได้เลย”


 


 


“พาข้าไปที่คุก”


 


 


ฉีเย่ว์คิดไม่ถึงว่าพอหลานเฟิงเอ่ยปากขึ้นมาจะพูดออกมาเช่นนี้ประโยคหนึ่ง หลังจากปล่อยเขาแล้ว ฉีเย่ว์ก็พาเขาไปยังคุกตระกูลเยี่ย


 


 


คุกตระกูลเยี่ย เขาเองก็เคยอยู่มาก่อนพร้อมกับหลานเยี่ย ต้องมาพบกับความทรมานอย่างไม่ใช่คน ภายในนั้นกักขังนักโทษประเภทต่างๆ เอาไว้ ด้วยเวลาที่ผ่านมาเรื่อยๆ วิธีการทรมานคนก็เพิ่มมากขึ้น


 


 


ฉีเย่ว์พาเขาเข้าไปในบริเวณข้างในสุด จิ้งจอกราตรีสองสามคนอยู่ในนั้น ถูกแขวนเอาไว้ จุดประสงค์ที่ชิวอวี้จับพวกเขาเอาไว้อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้พาหลานเฟิงกลับมากระมัง


 


 


หลานเฟิงเดินเข้าไป มองดูสามคนที่อยู่ข้างใน พวกเขาถูกควักลูกตาทั้งสองข้างออก ลิ้นโดนตัด เมื่อเห็นพวกเขามีสภาพเช่นนี้หลานเฟิงพอใจอย่างมาก หลานเฟิงปล่อยคนพวกนั้นลงมาลากเชือกที่ผูกพวกเขาเอาไว้ ลากพวกเขาออกเดินไปเช่นนี้ทีละก้าว


 


 


“ดูชิวอวี้ให้ดี อย่าให้เขาออกมา” พูดทิ้งท้ายเอาไว้ประโยคหนึ่ง หลานเฟิงลากสามคนนั้นออกไป ฉีเย่ว์พอรู้ว่าเขาจะไปที่ไหน


 


 


ด้านตะวันตกสุดของตระกูลเยี่ยมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง แม่น้ำลึกเป็นอย่างมาก อีกทั้งมีปลาตัวใหญ่มากมาย นักโทษที่โดนจัดการปกติแล้วจะถูกเอามาโยนทิ้งไว้ในแม่น้ำ ดังนั้นปลากุ้งอุดมสมบูรณ์ตลอดปี


 


 


หลานเฟิงลากพวกเขามาถึงข้างแม่น้ำ มองดูสายน้ำ หลานเฟิงเหมือนกำลังรอคอยอะไรอยู่ แต่สายน้ำที่สงบเงียบนั้นไม่มีแม้แต่คลื่น บางครั้งมีปลาตัวใหญ่สองสามตัวว่ายผ่านมา


 


 


“แม่น้ำในใต้หล้าเชื่อมต่อกัน พวกเจ้าลงไปตายเป็นเพื่อนหลานเยี่ยเถิด”


 


 


หลานเฟิงยกดาบในมือขึ้น เริ่มเชือดสามคนนั้น ที่ไม่ได้ใช้กระบี่ประจำกายก็เพราะว่านั่นเป็นกระบี่ที่หลานเยี่ยตีให้เขาโดยเฉพาะ เนื้อของสามคนนั้นถูกหลานเฟิงเฉือนออกทีละชิ้น เนื้อทุกชิ้นที่โดนเฉือนออกถูกโยนลงไปในแม่น้ำ มีปลาว่ายปรี่เข้ามากัดไปในทันใด


 


 


เพราะลิ้นโดนตัด ทั้งสามคนจึงทำได้แค่ส่งเสียงร้องงึมงำด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นไม่น่าฟังอย่างมาก เมื่อไม่มีดวงตาเลือดที่ไหลออกมาจากกระบอกตาว่างเปล่าก็อาบไปด้วยพื้นดิน


 


 


แม่น้ำกลายเป็นสีแดงสด บนฝั่งเหลือเพียงกองกระดูกสีขาวเท่านั้น ฉีเย่ว์ยืนมองฉากนองเลือดอยู่ด้านหลังเนินเขาที่อยู่ห่างออกไป ถอนหายใจออกมาแล้วเดินออกไป


 


 


ผ่านไปไม่นานทั้งสามคนก็ไปอยู่ในท้องปลา กระแสน้ำไหลด้านหน้ากลายเป็นน้ำนิ่งทั้งสาย เหมือนกับใจของหลานเฟิง ที่มีเพียงน้ำนิ่งแห่งความสิ้นหวัง ไม่มีคลื่นลมใดๆ หรือจะบอกว่าไม่มีคนที่สามารถสร้างคลื่นลมได้อีก


 


 


ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตนเองต้องการต้นทุนเพื่อที่จะยกระดับตนเองให้เท่าหลานเยี่ย ถึงได้เดินทางไปทั่ว แต่ตอนนี้กลับไม่มีอะไรที่ต้องให้เขาทำตัวเท่าเทียมอีก ตอนที่หลานเยี่ยยังอยู่ เขาไม่รักษาให้ดี รอจนไม่อยู่แล้วเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก


 


 


เป็นเช่นนั้นหรือ?

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม