(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 81-101

ตอนที่ 81

ระบำเปลื้องผ้า


 


 


เจียงมู่เฉินหลังจากออกจากซือกรุ๊ปก็นั่งรถตรงไปยังหลานเยี่ยทันที ในร้านมีแขกไม่กี่คนอยู่กระจัดกระจายกัน


 


 


เขาตรงขึ้นชั้นสองด้วยความชินทาง พุ่งตัวเข้าห้องรับรองที่ตัวเองไปประจำ แล้วเอนกายพิงโซฟา โทรศัพท์ให้คนขึ้นมาส่งเหล้า


 


 


เจียงมู่เฉินพุ่งตัวเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ ต่อจากนั้นก็สวมชุดคลุมอาบน้ำตัวหลวมโคร่งเดินออกมา เผยให้เห็นขาเรียวยาวแสนขาวผ่อง วับๆ แวมๆ ผ่านเนื้อผ้าออกมาตามจังหวะการเดิน


 


 


เหล้าที่สั่งมาส่งเรียบร้อย เขายื่นมือเปิดขวดเหล้าเทรินใส่แก้ว คนทั้งคนเอนหลังพิงโซฟา นั่งไขว้ขาเผยมัดกล้ามเนื้อออกมา


 


 


ยามนี้เจียงมู่เฉินดูน่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ เรือนกายเผยให้เชยชมโดยไม่ทันระวังของเขาช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจสะดุดตาเหลือเกิน นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องประคองถือแก้วเบาๆ 


 


 


ท่าทีของเขาดูเลื่อนลอยอย่างบอกไม่ถูก ท่าทีเรียบๆ นิ่งๆ ดึงดูดสายตาคนโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ละสายตาไปไม่ได้


 


 


เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ดื่มเหล้าไปสองแก้วอย่างช้าๆ


 


 


มีคนเคาะประตูห้องจากข้างนอกเข้ามา เจียงมู่เฉินถือแก้วไว้ครึ่งใบ เอ่ยถามเสียงเรียบ “ใคร?”


 


 


“คุณชายเจียง ข้างมีคนต้องการพบคุณครับ”


 


 


“ใคร?”


 


 


“คุณซือเหยี่ยนครับ”


 


 


มือข้างที่ถือแก้วเหล้าของเจียงมู่เฉินชะงักไป เผยอมุมปากขึ้นอย่างตามใจ “ให้เขารอก่อน”


 


 


คนนอกประตูเงียบลงสักพัก อยากพูดอะไรสักอย่าง


 


 


“ถ้าซือเหยี่ยนไม่ยอมรอ เขาก็จะออกจากที่นี่ไปเอง” หลังจากเจียงมู่เฉินพูดประโยคนี้จบ ในห้องก็เงียบลงทันที


 


 


คนข้างนอกถึงได้เอ่ยตอบ “ได้ครับคุณชายเจียง”


 


 


รอจนเสียงฝีเท้าห่างไกลออกไป เจียงมู่เฉินถึงค่อยๆ วางแก้วเหล้าในมือลงแล้วลูบไปมา


 


 


คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่หลานเยี่ย แล้วยังเป็นฝ่ายมาหาเขาเองอีก


 


 


หนึ่งชั่วโมงกับอีกสามนาที


 


 


รวดเร็วไม่เบา เจียงมู่เฉินใคร่อยากรู้จริงๆ ว่าซือเหยี่ยนไปรับลูกสาวของอาจารย์เขามาได้ยังไง


 


 


‘เป็นเขาเจียงมู่เฉินที่พูดเพ้อเจ้อไปเอง หรือซือเหยี่ยนไปหยอดคำหวานใส่หลินเหวินฮุ่ยหลอกให้เธอกลับไป’


 


 


เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปาก ต่อสายโทรศัพท์หาเฉิงฉี


 


 


“คืนนี้ช่วยฉันจัดโชว์หน่อยนะ”


 


 


“มันเรื่องอะไรกัน?” เฉิงฉีตกใจจนฉี่เกือบราด


 


 


“ไม่มีอะไร อารมณ์ดี เรียกแขกให้นายฟรีๆ ไม่หักเปอร์เซ็นต์นายด้วย”


 


 


หลังเฉิงฉีฟังจบก็ถามต่อ “เต้นอะไร?”


 


 


เจียงมู่เฉินยกมุมปาก “ระบำเปลื้องผ้า”


 


 


“เปลื้องผ้า…แค่กแค่กแค่ก…ระบำเปลื้องผ้า” เฉิงฉีเกือบจะกัดลิ้นตัวเองแล้ว “นายไม่ได้พูดผิดหรอกใช่ไหม”


 


 


เจียงมู่เฉินวางแก้วประทับแนบริมฝีปากเบาๆ เขาจิบเหล้าเข้าไปคำหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ฉันมีลิมิตของตัวเองอยู่”


 


 


เขาพูดจบก็ตัดสายทิ้งไป


 


 


เจียงมู่เฉินยันกายขึ้นมานั่ง เดินเท้าเปล่าไปยังฝั่งหน้าต่าง เขาเป่าลมใส่กระจกแล้วเขียนลงไปสองคำ เขามองตัวอักษรบนกระจกใสแล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ


 


 


‘ซือเหยี่ยน จะสู้กับฉัน มันยังห่างชั้นกันไกล’


 


 


เขาเจียงมู่เฉินต่อให้ชอบคนอื่นเข้าแล้ว ก็จะไม่มีทางลดชั้นตัวเองลง


 


 


เชิดมุมปาก แก้สายชุดคลุมอาบน้ำออกสบายๆ ปล่อยให้ชุดคลุมอาบน้ำที่ไม่ได้ผูกสายไว้ เลื่อนหล่นไปตามเรือนร่างจนตกลงพื้น


 


 


เจียงมู่เฉินนอนลงบนเตียงสีเทาเข้มหลังใหญ่ หลับตาลงเบาๆ


 


 


กว่าจะหนึ่งทุ่ม ยังเหลืออีกห้าชั่วโมง เขาจะได้นอนชดเชยพอดี


 


 



 


 


ที่ชั้นล่างซือเหยี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้หนัง ผู้จัดการที่ขึ้นไปแจ้งเรื่องเมื่อครู่ยืนอยู่หน้าเขา รายงานคำสั่ง “คุณชายเจียงบอกว่าให้คุณรอก่อนครับ”


 


 


ซือเหยี่ยนผู้นั่งในมุมมืด มองสีหน้าอารมณ์ไม่ได้ชัดเจนนัก


 


 


เขาคิดไปคิดมา ก่อนจะเสริมต่ออีกประโยค “คุณชายเจียงบอกว่า ถ้าคุณไม่ยอมรอ ก็กลับไปก่อนได้ครับ


 


 


ผู้จัดการไนต์คลับในใจอดจะกังวลไม่ได้ ทั้งซือเหยี่ยนและคุณชายเจียงรับมือยากด้วยกันทั้งคู่ ใครจะรู้ว่าวันนี้ลมอะไรหอบสองเซียนใหญ่มาเจอกันได้


 


 


“อืม รู้แล้ว” ซือเหยี่ยนนั่งบนเก้าอี้ เอ่ยเสียงเรียบ


 


 


ผู้จัดการไนต์คลับตกใจจนสะดุ้ง ‘รู้แล้ว’ คืออารมณ์ไหนกัน นี่คือโกรธหรือไม่โกรธ อยากไปหรือไม่ไป

 

 

 


ตอนที่ 82

 

นักแสดงนำอีธาน


 


 


“รบกวนเอาน้ำร้อนมาให้ฉันหน่อย” ซือเหยี่ยนเอ่ยปากอีก


 


 


“ได้ครับ จะไปเตรียมมาให้นะครับ” ผู้จัดการไนต์คลับลูบหน้าผากที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ รีบไปรินน้ำมาให้ซือเหยี่ยน


 


 


หลังจากเขาออกไป ซือเหยี่ยนนั่งเชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อย เป็นนิสัยเคยตัวของเจียงมู่เฉินจริงๆ เหมือนกับที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด


 


 


ซือเหยี่ยนนั่งพิงโซฟาเอาขายาวไขว้ซ้อนกัน นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเจียงมู่เฉินขึ้นมา เป็นไปตามจริงอย่างที่เขาพูด เมื่อคืนไม่มีเจียงมู่เฉินอยู่ข้างกาย ยังไม่ค่อยชินแล้วจริงๆ


 


 


ซือเหยี่ยนหลับตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงอะไรอยู่ ใบหน้าแสนเย็นชาแต่แฝงความรู้สึกพะเน้าพะนอเกินจะเอ่ยได้


 


 



 


 


นอนหลับยาวจนถึงหกโมงเย็น เจียงมู่เฉินเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา นอนเอ้อระเหยอยู่บนเตียงอยู่สองสามนาทีถึงลุกออกจากเตียง


 


 


เวลาหกโมงครึ่ง เจียงมู่เฉินถึงเดินเอื่อยๆ ลงมาชั้นล่าง


 


 


คืนนี้ไนต์คลับหลานเยี่ยคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนจำนวนไม่น้อยตั้งใจรีบมา ทั้งหมดก็เพื่อราชา อีธาน


 


 


เป็นที่รู้กัน อีธานคือบุคคลลึกลับที่สุดคนหนึ่งของถานโจว ทุกครั้งจะสวมหน้ากากมา เห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน ยามเต้นรำกลับมีเสน่ห์เย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก หากได้สบตา แม้แต่วิญญาณก็ถูกกระชากไปได้


 


 


อีกอย่างโชว์ของเขาไม่ใช่ว่าอยากจะดูก็ดูได้


 


 


การแสดงของอีธานขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา บางครั้งในหนึ่งเดือนก็ปรากฏกายสามครั้ง บางคราครึ่งปีหนึ่งปีก็ไม่ปรากฏกายมาเลยสักครั้ง


 


 


ดังนั้น เอ่ยถึงหลานเยี่ยไม่มีใครไม่รู้จัก ‘อีธาน’


 


 


“ได้ยินว่าคืนนี้อีธานจะโชว์ระบำเปลื้องผ้า” คนข้างๆ คุยซุบซิบเรื่องนี้ด้วยความตื่นเต้นดีใจไม่หยุดปาก


 


 


“ฉันมาหลานเยี่ยตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นเขาระบำเปลื้องผ้า”


 


 


“ทันทีที่ทราบข่าวว่าคืนนี้อีธานจะมา ฉันก็รีบมาทันที ใครจะรู้ว่าถ้าพลาดครั้งนี้ ครั้งต่อไปจะมาเมื่อไหร่”


 


 


ซือเหยี่ยนนั่งฟังได้ยินข้างหูอยู่ตลอดเวลา เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ลางสังหรณ์บอกเขาว่าจะมีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้น


 


 



 


 


เวลาหนึ่งทุ่มตรง ผู้คนอุ่นหนาฝาคั่งเต็มหลานเยี่ยคึกคักจนถึงขีดสุด ทุกคนจดจ้องไปยังเวทีเต้นรำ ตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ


 


 


ทันใดนั้นเงาคนๆ หนึ่งก็เดินออกมาอย่างช้าๆ แสงไฟสาดส่องกระทบเรือนร่างของเขา เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาหลวมโคร่งคลุมเรือนกาย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กระดุมสองเม็ดบนถูกปลดออก ทั่วร่างฉายความกรีดกรายออกมา


 


 


ทันทีที่เขาปรากฏกาย คนทั้งหลานเยี่ยก็เสียการควบคุม ถ้าไม่ใช่ว่าได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า คาดว่าคงจะมีคนพุ่งตัวขึ้นไปอย่างไม่คิดชีวิต


 


 


เจียงมู่เฉินสวมหน้ากากที่ทำมาพิเศษ ไม่ค่อยจะเหมือนกันกับคราวก่อนที่ขึ้นไปเต้นตามสบายแล้วแต่จะเต้น หน้ากากครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของอีธาน เผยให้ใบหน้าเพียงครึ่งที่แต่งเติมเพิ่มสีสันเข้าไป


 


 


ไม่ว่าใครก็ดูไม่ออก ไม่มีใครคาดคิดว่าปีศาจแสนยั่วเสน่ห์ในร่างคนบนเวทีนี้จะคือคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้เย่อหยิ่งคนนั้น


 


 


เท้าเปล่าก้าวขึ้นไปบนเวที ผิวขาวบริสุทธิ์ย่ำเหยียบบนพื้นหลากสี ช่างเย้ายวนใจไม่ธรรมดา


 


 


ก่อนอีธานจะเดินถึงฟลอร์เต้นรำ กวาดสายตาเล็กน้อยมองไนต์คลับที่มืดสลัว ณ มุมๆ หนึ่งพบเงาอันคุ้นเคยของใครบางคน เขาอดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นไม่ได้


 


 


สายตาซือเหยี่ยนจับจ้องการปรากฏกายของอีธานเพียงชั่วพริบตา ม่านตาหดเกร็งรุนแรง


 


 


นึกไม่ถึงว่าอีธานคนนี้ก็คือเจียงมู่เฉิน ไม่ว่าเจียงมู่เฉินปกปิดอำพรางแค่ไหน ซือเหยี่ยนก็จะมองออกตั้งแต่คราแรก


 


 


เขากำแก้วในมือแน่น แรงมหาศาลราวกับจะบีบให้แก้วนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้


 


 


เจียงมู่เฉินเห็นใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนสีทีละนิดของเขา แล้วยกยิ้มยั่วยุให้


 


 


ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เสียงเพลงดังขึ้น เจียงมู่เฉินร่อนร่ายเรือนกาย ทุกอณูผิวเปล่งปลั่งเสริมเสน่ห์เฉพาะตัวของเจียงมู่เฉิน


 


 


มือเรียวยาวขาวผ่องวางบนเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านหน้า วนอ้อยอิ่งไปมาไม่หยุด คว้าสายตาของทุกคนไว้แน่นสนิท ท่ามกลางการรอคอยของผู้ชม เขาได้ปลดกระดุมลง


 


 


เรือนผิวขาวผ่องเผยออกมา เขายิ้มเบาๆ พลางเปลื้องเสื้อผ้าบนกายออก ทีละนิดตั้งแต่ไหล่มนลงมายังแผ่นหลัง


 


 


จนค่อยๆ เผยหน้าท้องแสนแบนราบ…

 

 

 


ตอนที่ 83

 

ถูกพาตัวไปต่อหน้าสาธารณชน


 


 


เพล้ง! ซือเหยี่ยนบีบแก้วแตกคามือ เขาคลายแก้วในมือออก สายตาจับจ้องมาที่เจียงมู่เฉินไม่ละไปไหน ขบกรามแน่นจนเห็นสันกรามชัดตา เขาแทบจะอยากกระโดดขึ้นเวทีไปฉุดปีศาจแสนยั่วเสน่ห์ตนนี้แบกขึ้นบ่ากลับบ้านไปให้รู้แล้วรู้รอด


 


 


สีหน้าดำคร่ำเคร่งของซือเหยี่ยนทำให้บริกรที่ยืนอยู่ข้างๆ พอดีตกใจกลัว เห็นกับตาตัวเองทั้งหมดแบบนี้ หนาวคอขึ้นมายังไงชอบกล สองคนสบตากัน ค่อยๆ ถอยออกห่างอย่างเงียบๆ


 


 


เจียงมู่เฉินที่อยู่บนเวทีโยนเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวทิ้งไปเรียบร้อย บรรยากาศร้อนแรงขึ้นทันตา มือของเจียงมู่เฉินวางไว้ตรงกางเกงสีดำที่เหลือเพียงตัวเดียว


 


 


ยามเขาใช้มือปลดกระดุมกางเกงเม็ดแรกเม็ดนั้นลงมา คนทั้งไนต์คลับหายใจติดขัดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ทุกคนมองเอวเพรียวบางของอีธานตาไม่กะพริบ


 


 


เสียงดังโครมดังสนั่นมาจากข้างหลัง


 


 


เนื่องจากในไนต์คลับเงียบลงกะทันหัน เสียงดังนั้นจึงดังชัดเจนเป็นพิเศษ


 


 


ทุกคนพร้อมใจกันหันมามองหาต้นตอของเสียง แต่เห็นเพียงแค่โต๊ะที่พลิกคว่ำลงไป ซือเหยี่ยนนั่งหน้าตายอยู่โซฟาข้างๆ


 


 


บรรยากาศถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ แม้แต่ความรุ่มร้อนในไนต์คลับก็เย็นลงไปเพียงชั่วพริบตา


 


 


แววตาเจียงมู่เฉินฉายรอยยิ้มขึ้นมาวาบหนึ่ง เขาไม่กลัวเดินเท้าเปล่าลงเวทีไปทันที คนรอบข้างชะงักงัน ต่างหลีกทางให้อัตโนมัติ


 


 


เจียงมู่เฉินเดินตรงไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน เขานึกสนุกเอามือโอบไหล่ของซือเหยี่ยน ทั้งตัวแนบชิดไปกับร่างของซือเหยี่ยน


 


 


ทุกคนตะลึงงันกับภาพตรงหน้า ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


 


 


ซือเหยี่ยนยังคงสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม เพียงแต่กลิ่นอายแสนเย็นเฉียบราวกับว่าเพียงชั่วเวลานั้นค่อยๆเลือนลางจางลงไปอย่างช้าๆ


 


 


เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าของซือเหยี่ยน เขาโน้มตัวลงมากัดหูชายหนุ่มตรงหน้าเบาๆ


 


 


‘นี่ นี่เขาคือซือเหยี่ยนคนนั้น’


 


 


คิดไม่ถึงว่าอีธานจะพอใจในตัวซือเหยี่ยน มิหนำซ้ำยังทำเรื่องแบบนี้กับเขาอีก เวลานี้คนในไนต์คลับต่างก็มองมาที่ทั้งสองคน


 


 


ส่วนหนึ่งพากันอิจฉาซือเหยี่ยน


 


 


อีกส่วนหนึ่งพากันเป็นห่วงอีธาน กลัวซือเหยี่ยนปฏิเสธไม่ไว้หน้าเขา


 


 


เพียงครู่เดียวบรรยากาศก็ดูน่าระทึกขึ้นมา


 


 


เจียงมู่เฉินกัดหูซือเหยี่ยนเบาๆ ใช้เสียงต่ำที่มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่จะได้ยิน เอ่ยกระซิบ “ทำไม ฉันยังเต้นไม่เสร็จเลย นายก็ทนไม่ได้แล้วเหรอ”


 


 


ซือเหยี่ยนใช้มือโอบเอวเปลือยเปล่ากักตัวคนตรงหน้าเอาไว้ อดทนกอดร่างขาวบางไว้ในอ้อมอกของตัวเอง “ลงโทษจบหรือยัง”


 


 


เจียงมู่เฉินยกยิ้มเบาๆ “ไฟยังมอดไม่หมด แต่เห็นประธานซือรอฉันมาทั้งบ่ายแบบนี้ ต้องไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนายอยู่แล้ว”


 


 


เขาพูดไป พลางฉวยโอกาสกัดมุมปากซือเหยี่ยนไปทีหนึ่ง


 


 


ซือเหยี่ยนรัดเอวเขากระชับแน่นขึ้น เขากดหน้าลงกัดฟันพูด “ผมขอโทษ”


 


 


เจียงมู่เฉินมองเขาขำๆ “ไม่ใช่มั้ง ซือเหยี่ยน พวกเราเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะต้องมาขอโทษให้มากความที่ไหนกันล่ะ”


 


 


“คุณจะให้ผมทำยังไง”


 


 


“ประธานซือ นายก็ทำอย่างนั้นสิ” เจียงมู่เฉินจูบเขาเบาๆ กดเสียงต่ำเอ่ยเตือน


 


 


เสียงเจียงมู่เฉินเพิ่งจะหยุดลงก็มีเสื้อคลุมมาปกปิดเรือนร่าง ทั้งร่างก็ถูกอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาว


 


 


เขามองดูเสื้อสูทของซือเหยี่ยน ไม่รู้ว่าถอดออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเอามาคลุมตัวเขาแบบนี้


 


 


ซือเหยี่ยนอุ้มเขาขึ้นมาแล้วจะเดินออกไปข้างนอก เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ทั้งร่างอยู่ในอ้อมอกของซือเหยี่ยนอย่างว่าง่าย


 


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน”


 


 


“ใครอนุญาตให้นายเอาตัวอีธานไป”


 


 


พนักงานในไนต์คลับยังคงตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตรงหน้า หันมาสบตากันเลิกลั่กถามกันว่าจะต้องไปชิงตัวคนกลับมาไหม


 


 


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เฉิงฉีปรากฏตัวออกมา เขามองผู้จัดการไนต์คลับแวบหนึ่ง แล้วส่ายหัวไปมา


 


 


พนักงานในไนต์คลับถึงได้พากันหยุดการกระทำไม่เข้าไปยุ่งแล้ว ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ยอมให้พาตัวเจียงมู่เฉินออกไป


 


 


แต่…เจียงมู่เฉินถูกพาตัวไปต่อหน้าสาธารณชน ต่อให้พนักงานในไนต์คลับจะไม่เข้าไปยุ่ง พวกแขกที่ตั้งใจมาดูอีธานเป็นพิเศษก็ไม่มีทางยอม


 


 


ทุกคนจ้องซือเหยี่ยนเขม็งราวกับต้องการให้เขาปล่อยคนลงเดี๋ยวนั้น

 

 

 


ตอนที่ 84

 

ปีศาจจอมยั่วเสน่ห์ในรถ  


 


 


ใบหน้าแสนเย็นชาของซือเหยี่ยน สายตาเย็นยะเยือกกวาดมองพวกเขาแวบหนึ่ง รังสีความเย็นสะท้านแผ่กระจายออกมาชัดเจน คนที่โหวกเหวกโวยวายทันใดก็ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก 


 


 


ถึงอย่างไรฐานะของซือเหยี่ยนในถานโจวล้วนไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาทั่วไปจะมาเทียบได้ จะมากจะน้อยก็ยังชวนให้คนหวาดกลัวอยู่ดี 


 


 


พอเห็นไม่มีใครกล้าขัดขวางแล้ว ซือเหยี่ยนจึงอุ้มเจียงมู่เฉินออกไปข้างนอก 


 


 


“ประธานซือไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ จะพาอีธานออกไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ อีธานยังไม่ได้บอกตกลงจะไปกับนายสักหน่อย” จู่ๆ ก็มีคนข้างหลังพูดประโยคนี้ขึ้นมา 


 


 


ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำทุกอย่าง เขาโน้มตัวลงมองคนในอ้อมกอด เสียงอ่อนโยนเอ่ยถามขึ้น “คุณอยากจะไปกับผมไหม” 


 


 


ในไนต์คลับเงียนงันอีกครั้ง ทุกสายตาจดจ้องมาที่ซือเหยี่ยนกันเป็นจุดเดียว แค่เห็นเขายกมุมปากเบาๆ ก็โอบคอของซือเหยี่ยน เอ่ยตอบกลับ “ได้สิ ไปกับนาย” 


 


 


ทุกคนตกใจจนลูกตาแทบจะหลุดออกมา คาดไม่ถึงว่าอีธานจะยอมตกลงแล้ว 


 


 


กว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ซือเหยี่ยนก็อุ้มเจียงมู่เฉินออกไปเรียบร้อยแล้ว 


 


 


รถของเขาจอดไว้ข้างนอก ซือเหยี่ยนวางเจียงมู่เฉินลงตรงที่นั่งข้างคนขับ ส่วนตัวเองเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับ 


 


 


รถยังไม่ทันได้สตาร์ท เจียงมู่เฉินก็ขยับตัวเบียดกันอย่างไม่สบายตัว เขาเบิกตากว้างมองซือเหยี่ยนด้วยแววตาน่าสงสาร บอกเสียงต่ำว่า “หนาว” 


 


 


ซือเหยี่ยนเปิดแอร์ในรถ เพียงไม่นานอุณหภูมิในรถก็อบอุ่นขึ้น 


 


 


เจียงมู่เฉินกลับยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ “ยังหนาวอยู่” 


 


 


ซือเหยี่ยนโน้มตัวลงมอง ก็เห็นเพียงแค่เจียงมู่เฉินเอามือไต่บนคอของซือเหยี่ยน “นายอยากจะกอดฉันไหม” 


 


 


เส้นเลือดบนหน้าผากของซือเหยี่ยนอดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ ในรถมีปีศาจทรงเสน่ห์ แถมยังเป็นฝ่ายอ่อยเขาอีก… 


 


 


เขากดเก็บอารมณ์ไว้ ไม่แสดงสีหน้า พาตัวคนกลับที่เดิม “เด็กดี กลับบ้านค่อยกอดนะ” 


 


 


สิ้นเสียง รถถูกสตาร์ททันที รถจากัวร์คันสีดำขับด้วยความเร็วราวกับจะบินพุ่งขึ้นไปตามถนน มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของซือเหยี่ยน 


 


 


เขาใช้ความเร็วมากกว่าเวลาปกติเป็นเท่าตัวในการขับรถพาเจียงมู่เฉินกลับคฤหาสน์ เมื่อรถจอดสนิทก็ห่อตัวคนมิดชิดอุ้มออกมาจากรถ 


 


 


อากาศในห้องอบอุ่นมาก ซือเหยี่ยนอุ้มเจียงมู่เฉินตรงขึ้นไปชั้นสอง เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม “อยากจะอาบน้ำก่อนไหม ผมจะไปรินน้ำร้อนมาให้” 


 


 


เจียงมู่เฉินดึงคอเสื้อของซือเหยี่ยนเข้าหาตัว “ฉันอยากให้นายช่วยฉันอาบ” 


 


 


ซือเหยี่ยนชะงักมือไป ผ่านสักพักหนึ่งยังไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี 


 


 


เจียงมู่เฉินยังดึงไว้ไม่ปล่อย ในแววตาสะท้อนความเศร้าเสียใจ “เมื่อกี้นายยังพูดว่าอยากจะขอโทษฉันอยู่เลยนะ” 


 


 


ซือเหยี่ยนเกร็งไปทั้งตัว พยักหน้ารับปาก “ได้ ผมจะไปเปิดน้ำให้คุณ” 


 


 


หลังจากเข้าห้องน้ำไป เจียงมู่เฉินผู้นั่งอยู่บนเตียงแววตาเป็นประกายขึ้นมา กล้าทำให้คุณชายผิดใจ คืนนี้ฉันจะเอาคืนนายทบต้นทบดอกเลย 


 


 


เขายอมกลับมากับซือเหยี่ยน ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่คิดเล็กคิดน้อยซือเหยี่ยน 


 


 


เจียงมู่เฉินนอนอยู่เฉยๆ บนเตียง เพียงแต่ว่าเขาคิดได้แล้วว่าวิธีไหนทรมานซือเหยี่ยนได้ดีกว่าการเต้นเปลื้องผ้า 


 


 


เขารับรองว่าจะทำให้ซือเหยี่ยนจำเอาไว้ คนที่เขาเจียงมู่เฉินชอบ จะจับปลาสองมือไม่ได้ ไม่มีวันที่จะอยู่กับเขาแล้วยังยักคิ้วหลิ่วตาส่งผ่านความรักให้คนอื่นได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่ชอบแล้วเท่านั้น 


 


 


ข้างในห้องน้ำ ซือเหยี่ยนปรับน้ำอุ่นเรียบร้อย เติมน้ำลงอ่างเสร็จถึงได้ออกมา เขาเห็นเจียงมู่เฉินเอนกายพิงเตียง ผิวขาวผ่องใต้แสงไฟยิ่งสว่างตา เขามองหลบไปทางอื่นเล็กน้อย “น้ำเรียบร้อยแล้ว ไปอาบน้ำกันเถอะ” 


 


 


เจียงมู่เฉินเห็นท่าทีของเขาก็ยิ้มเบาๆ คำพูดที่พูดออกมากลับดูซื่อๆ มาก “เพิ่งจะเต้นมาเหนื่อยๆ อยากได้อุ้ม” 


 


 


สันกรามซือเหยี่ยนอดจะเกร็งไม่ได้ เขามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง สบตาเข้ากับแววตาน้อยใจของอีกฝ่ายพอดี คิดไปคิดมาสุดท้ายก็เดินเข้าไปหา 


 


 


เขาประคองอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นมาอย่างนิ่มนวล ค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องน้ำ 


 


 


ในห้องน้ำปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของน้ำร้อน ซือเหยี่ยนอุ้มเจียงมู่เฉินเดินไปทางอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่มากๆ ข้างในมีหมอกและควันจางๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีกลิ่นอายของห้วงความรักขึ้นมาทีละนิด 

 

 

 


ตอนที่ 85

 

ถอดเสื้อผ้าเอง  


 


 


เจียงมู่เฉินเอามือพาดไหล่ของซือเหยี่ยน จนโดนอุ้มเข้ามาในห้องน้ำ ซือเหยี่ยนวางเขาลงบนเก้าอี้ “ถอดเสื้อผ้าเองนะ” 


 


 


เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “นายไม่คิดจะช่วยฉันถอดหน่อยเหรอ” 


 


 


สายตาซือเหยี่ยนมองเอวเพรียวบางอย่างไม่อาจจะหักใจจากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนไปที่อื่น “คุณถอดเองดีกว่า” 


 


 


เจียงมู่เฉินเห็นเขาพูดแบบนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ทำให้ลำบากใจอีก เขาพยักหน้ารับคำ “ได้ ฉันทำเอง” 


 


 


ซือเหยี่ยนเห็นเขาพูดแบบนี้ ถึงเพิ่งจะโล่งใจไปที ค่อยยังชั่วโชคดีที่เจียงมู่เฉินไม่ได้ให้เขาถอดให้จริงๆ 


 


 


เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ยืนอยู่บนแผ่นกระเบื้อง เขายืนเท้าเปล่าอยู่บนแผ่นกระเบื้องสีเทาเข้ม ข้อเท้าขาวผ่องภายใต้แสงไฟเหลืองสลัวๆ ช่างยั่วยวนใจอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


เขาทุกอย่างช้ามาก เหมือนมือไร้เรี่ยวแรงอย่างไรอย่างนั้น แก้มาตั้งนานก็ปลดกระดุมกางเกงช่วงเอวไม่เสร็จสักที 


 


 


“ซือเหยี่ยน นายไม่คิดจะช่วยฉันจริงๆ เหรอ? ยืนแบบนี้ยิ่งหนาว” เสียงเจียงมู่เฉินเจือความน่าสงสาร 


 


 


ถึงแม้จะรู้ดีแก่ใจว่าเขาจงใจ แต่ซือเหยี่ยนยังคงแข็งใจไม่ค่อยได้ 


 


 


กว่าเจียงมู่เฉินจะแก้ปลดกระดุมตรงเอวได้ไม่ง่ายนัก ค่อยๆ รูดซิปลงเรื่อยๆ เสียงรูดซิปท่ามกลางห้องน้ำแสนเงียบวังเวง ซือเหยี่ยนฟังจนหัวชักจะเริ่มชาๆ บ้างแล้ว 


 


 


เจียงมู่เฉินดันทำเหมือนจงใจ รูดลงช้ามาก 


 


 


ซือเหยี่ยนขบกรามแน่น ยื่นมือไปรูดซิปกางเกงของเจียงมู่เฉินจนถึงสุดปลายทาง แล้วจับคนอุ้มขึ้นมา ฉุดกางเกงสีดำของเขาออก 


 


 


“โอ๊ย…” เจียงมู่เฉินร้องด้วยความเจ็บปวด 


 


 


ซือเหยี่ยนเงยหน้ามองเขา “เป็นไรไป” 


 


 


เจียงมู่เฉินลุกขึ้นยืนจากน้ำรวดเดียว หยดน้ำไหลไปตามร่างขาวผ่องทันที เขาชี้รอยแดงที่เอวให้ซือเหยี่ยนดู “ดูสิ บาดเจ็บแล้วนี่” 


 


 


จิตใต้สำนึกบอกให้ซือเหยี่ยนยื่นมือไปนวดเบาๆ สักทีสองที “โอเค ความผิดผมเอง” 


 


 


เจียงมู่เฉินเจอเขาพูดแบบนี้ไป ถึงได้ยอมกลับไปนั่งในอ่างอาบน้ำอย่างว่าง่าย เขาหันหลังให้ซือเหยี่ยน ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “นายช่วยฉันนวดหน่อยสิ เมื่อกี้เต้นไปปวดเอว” 


 


 


เส้นเลือดบนหน้าผากของซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระตุกอีก แทบจะอยากห่อเจ้าปีศาจจอมยั่วยวนไปทิ้งบนเตียงแล้วเอาผ้าห่มพันอีกรอบ ชอบมาทรมานเขาต่อหน้าต่อตาดีนัก 


 


 


แต่เสียดาย คุณชายน้อยตระกูลเจียงไม่ใช่คนที่จะยอมให้เขาเอาไปจับไปบีบเล่นได้ตามใจชอบ 


 


 


เขารอจนสองนาที ซือเหยี่ยนก็ไม่ทำอะไร จึงอดจะหันไปหาเขาไม่ได้ “จะยืนงงทำไม ลงมือสิ” 


 


 


ซือเหยี่ยนขบกรามแล้วขบกรามอีก พยายามเก็บกดอารมณ์ที่อยากจะจัดการคนตรงหน้าปางตาย 


 


 


มือใหญ่ทาบลงกับผิวหายขาวผ่องของเขา ซือเหยี่ยนพยายามเก็บกดความคิดที่ไม่ควรจะมีไว้ ค่อยๆ นวดคลึงให้อีกฝ่าย เจียงมู่เฉินหลับตาร้องครางอย่างสบายอารมณ์ 


 


 


ซือเหยี่ยนสีหน้าเริ่มไม่พอใจ “คุณเงียบหน่อยได้ไหม” 


 


 


เจียงมู่เฉินยิ้มร่า “ประธานซือ ปฏิกิริยาร่างกายแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันควบคุมได้ นายโตมาจนป่านนี้ แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหรอ” 


 


 


มือซือเหยี่ยนที่วางบนตัวเจียงมู่เฉินเกร็งขึ้นมา เขามองดูคอระหง พยายามกดเก็บไฟที่สุมในใจ 


 


 


ด้วยเหตุนี้ ประธานซือจึงบีบนวดหลังเจียงมู่เฉินไป พลางท่องคัมภีร์ตรีอักษร[1]เงียบๆ เพื่อดับกองไฟในใจให้ตัวเอง 


 


 


ไม่เช่นนั้นเขากลัวตัวเองจะอดใจทักทายคอระหงของเจียงมู่เฉินไม่ได้ 


 


 


อุณหภูมิในห้องน้ำสูงขึ้น สูงกว่าข้างนอกแล้ว เจียงมู่เฉินถูกนวดอยู่ตรงนั้นก็เริ่มรู้สึกง่วงหงาวหาวนอนบ้างแล้ว 


 


 


เขาปัดมือซือเหยี่ยนที่กำลังนวดอยู่ออก “ได้แล้ว ขืนให้นายนวดต่อฉันต้องเผลอหลับไปแน่ๆ” 


 


 


จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา ร่างกายสมส่วนเพรียวสูงเผยกายต่อหน้าซือเหยี่ยนเพียงชั่วอึดใจ เขาขยับตัวเล็กน้อย มองหน้าซือเหยี่ยน 


 


 


“ช่วยฉันเช็ดตัวด้วยแล้วกัน” 


 


 


ซือเหยี่ยน “…” 


 


 


เขาหยิบผ้าเช็ดข้างๆ ตัวโยนให้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินโยนทิ้งลงข้างตัว เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “ถ้าฉันจำไม่ผิด เมื่อกี้มีคนบอกว่าเขาขอโทษ” เขาเชิดตาขึ้น นัยน์ตาไหวสั่น “จะขอบคุณกันแค่นี้?” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] คัมภีร์ตรีอักษร เป็นแบบเรียนขั้นพื้นฐานสำหรับการหัดอ่านเบื้องต้นสำหรับเยาวชน มีทั้งหมด 1722 ตัวอักษร เนื้อหาประกอบด้วยจารีตโบราณทางการศึกษาของจีน ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จริยธรรม และคุณธรรมรวมถึงตำนานพื้นบ้านบางเรื่อง 

 

 

 


ตอนที่ 86

 

ฉันมาเพื่อนอนกับนาย  


 


 


สุดท้ายซือเหยี่ยนต้องเอาผ้าขนหนูเช็ดตัวให้เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ตกหล่นสักบริเวณ เช็ดให้สะอาดหมดจด แม้แต่เส้นผมสักเส้นก็ไม่เว้น 


 


 


“ใส่เสื้อผ้า แล้วกลับห้องไปนอน” 


 


 


เจียงมู่เฉินไม่แม้แต่จะมองเสื้อผ้า เอาแต่ยื่นมือออกไป “ไม่ใส่ อุ้มฉันออกไป” 


 


 


ซือเหยี่ยนขมับกระตุก จิตใต้สำนึกบอกให้รู้ทันทีว่าตัวเองดูท่าจะผ่านคืนนี้ไปไม่ได้ง่ายๆ แล้ว 


 


 


เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด อารมณ์โกรธของคุณชายน้อยตระกูลเจียงอยู่ตรงนี้ ตอนเช้าที่โกรธจนเป็นขนาดนั้น ยังไม่รู้จะแก้เผ็ดเอาคืนเขายังไงนี่เอง 


 


 


เขาสอดแขนอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นมา ยามผิวกายเย็นนิดๆ สัมผัสโดนตัวเอง มือซือเหยี่ยนที่กอดเจียงมู่เฉินไว้อดจะเกร็งขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


ไม่กล้าคิดอะไรมากไปกว่านี้ รีบอุ้มคนวางลงบนเตียง เขาดึงผ้าห่มมาปิดร่างของเจียงมู่เฉินไว้ “ดึกแล้ว รีบนอนเถอะ” 


 


 


เขาพูดจบก็เตรียมจะปิดไฟเดินออกไป 


 


 


เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางนั้นของเขา ก็อดจะขำขึ้นมาไม่ได้ “ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่คิดว่าที่ฉันกลับมากับนายวันนี้ ก็เพื่อมานอนกับเตียงของนายใช่ไหม” 


 


 


เจียงมู่เฉินหัวเราะมองหน้าอีกฝ่าย “ฉันมาเพื่อนอนกับนาย” 


 


 


สีหน้าซือเหยี่ยนคร่ำเคร่ง เขารู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็วตัวเองต้องโดนคุณชายน้อยตระกูลเจียงเล่นงานจนตายเข้าสักวัน 


 


 


“แน่นอน ถ้านายไม่อยากจะนอนกับฉันก็ไม่เป็นไร จากนี้ทางใครทางมัน คำพูดวันนั้นถือว่าฉันไม่ได้พูดก็แล้วกัน” 


 


 


เจียงมู่เฉินเอียงเอนพิงบนเตียง นัยน์ตาดอกท้อฉายแววจริงจังขึ้นมาทันที ดูเยือกเย็นเอาเรื่อง 


 


 


เวลาแต่ละวินาที แต่ละนาที ผ่านไปเร็วดังสายน้ำ… 


 


 


ซือเหยี่ยนถอนหายใจ เอ่ยเสียงต่ำ “รอผมก่อน ผมจะรีบไปอาบน้ำ” 


 


 


เขาทำแบบนี้ถือว่าประนีประนอมแล้ว เจียงมู่เฉินฟังออกในทันใด ใบหน้านิ่งขรึมปรากฏรอยยิ้มเบาๆ  


 


 


“ได้สิ ไม่รีบนายค่อยๆ อาบ ฉันจะรอนาย” 


 


 


หลังจากซือเหยี่ยนเข้าไปอาบน้ำ เจียงมู่เฉินก็นอนสบายๆ บนเตียงรอเขา ยื่นมือไปหยิบหนังสือบนตู้มาพลิกเปิดดูไปมา 


 


 


เขาดูผ่านๆ ตาไปรู้สึกไม่มีอะไรน่าสนใจ จึงวางกลับไปที่เดิม แล้วนอนพิงบนเตียง 


 


 


ดีที่ซือเหยี่ยนไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานเกินไป 


 


 


ประมาณสิบนาทีกว่าๆ ซือเหยี่ยนเดินออกมาจากห้องน้ำ ร่างกายเต็มไปด้วยหยาดไอน้ำ 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินได้เห็นซือเหยี่ยนที่เพิ่งอาบน้ำออกมากับตาตัวเองจะจะ รู้สึกเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ซือเหยี่ยนหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมที่ยังเปียกชื้นอยู่ แล้วเดินไปยังหน้าตู้เสื้อผ้าเตรียมจะใส่เสื้อผ้า เจียงมู่เฉินเห็นการกระทำของซือเหยี่ยนก็เอ่ยเตือน “ถึงยังไงอีกสักพักก็ต้องถอด ไม่จำเป็นต้องใส่แล้วมั้ง” 


 


 


มือซือเหยี่ยนที่กำลังเช็ดผมอยู่ชะงักไป สุดท้ายก็ไม่ได้หยิบแล้ว เขาหมุนตัวหันกลับไปเดินเข้าหาเจียงมู่เฉินทีละก้าวๆ 


 


 


เขานอนพิงบนเตียงตามสบาย ช่วงเอวมีมุมของผ้าห่มเกี่ยวเอาไว้ เผยให้เห็นทั้งแขนทั้งขาเปลือยเปล่าอยู่ข้างนอก เรียวขายาวคู่นี้ไขว้ซ้อนกัน 


 


 


เจียงมู่เฉินในสภาพแบบนี้ ทั่วเรือนร่างมีแรงดึงดูดร้ายแรง ถึงขั้นทำให้ซือเหยี่ยนละสายตาแม้แต่วินาทีเดียวไปไม่ได้ 


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใบหน้าได้รูปที่ดูดีไม่แพ้ใคร ดวงตาเชิดขึ้นนิดๆ ดูเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม 


 


 


ซือเหยี่ยนพยายามจะประคับประคองสติสัมปชัญญะของตัวเอง เอามือดึงผ้าห่มข้างตัวเจียงมู่เฉิน แล้วแทรกตัวเข้าไป 


 


 


เขาเพิ่งจะนั่งลง เจียงมู่เฉินก็พลิกตัวตะกายขึ้นไปหาซือเหยี่ยน คนทั้งคนนั่งอยู่บนตัวของซือเหยี่ยน 


 


 


มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกี่ยวคอของซือเหยี่ยน เขาโน้มตัวลงมาเล็กน้อยกัดริมฝีปากของซือเหยี่ยน “ซือเหยี่ยน ฉันนอนกับนายดีไหม” 


 


 


สติสัมปชัญญะในหัวสมองซือเหยี่ยนขาดลง เพียงชั่วพริบตาเขาคิดแค่จะกอดกกเจ้าปีศาจจอมยั่วยวนนี้ไว้ในอ้อมกอดด้วยแรงปรารถนาที่มี โอบรัดให้กายแนบกายจนประสานเป็นหนึ่งเดียว 


 


 


แขนเขาออกแรงเพียงนิด ดึงใบหน้างามเข้ามาประทับจูบบนริมฝีปากฉ่ำ 


 


 


คนสองคนต่างพันธนาการกันและกัน ไม่มีใครยอมใคร 


 


 


จูบครั้งนี้ จูบแห่งความปรารถนาโหยหา และอาวรณ์ใจมากล้นเกินบรรยาย 


 


 


… 


 


 


เจียงมู่เฉินหอบหายใจ เอาฝ่ามือดันซือเหยี่ยนออก “เดี๋ยวก่อน ให้ฉันหายใจหน่อย” 


 


 


ซือเหยี่ยนได้ยินเขาพูดมาแบบนี้ ในที่สุดก็หยุดการกระทำลง เส้นเลือดใหญ่บนแขนปูดขึ้นมาชัดราวกับจะระเบิดออกมา หน้าผากแกร่งเหงื่อไหลท่วม 


 


 


เขามองดูเจียงมู่เฉิน ดวงตาร้อนดั่งไฟเผาเกินจะทน 

 

 

 


ตอนที่ 87

 

ผมส่งตัวผมให้คุณ 


 


 


รออีกไม่กี่นาที ซือเหยี่ยนก็โน้มตัวลงอยากจะจูบเจียงมู่เฉินอีกครั้ง เจียงมู่เฉินรีบใช้มือผลักเขาออก “ฉันยังพักไม่พอ” 


 


 


เสียงซือเหยี่ยนเจือความแหบ “พักพอแล้ว” 


 


 


เขาพูดจบอยากจะจูบอีกรอบ เจียงมู่เฉินเห็นการกระทำของเขา ก็ฉวยโอกาสตอนซือเหยี่ยนเตรียมจะจูบเขา ดันตัวเขาออก เพิ่มระยะห่างของทั้งสองคนมากขึ้น 


 


 


“คุณชายอย่างฉันบอกแล้วไง ไม่พอก็คือไม่พอ” เจียงมู่เฉินทำหน้าเย็นชา ไม่มีท่าทางอารมณ์เร่าร้อนเมื่อครู่เลยสักนิด 


 


 


เขาเชิดตาขึ้นเล็กน้อย แสดงท่าทางอวดดีออกมาอย่างไม่คาดคิด 


 


 


ซือเหยี่ยนปรับลมหายใจระงับสติอารมณ์ เขาเห็นท่าทีของเจียงมู่เฉินแบบนี้ก็เข้าใจในทันใด เขายกมือขึ้นกุมขมับอย่างเสียไม่ได้ แล้วเอ่ย “คุณจงใจสินะ” 


 


 


เจียงมู่เฉินยิ้มร่า “ชัดเจนมากเลยเหรอ” 


 


 


ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้น 


 


 


เจียงมู่เฉินใช้มือเพียงข้างหนึ่งจับคางของซือเหยี่ยนเชิดขึ้น แล้วเข้าไปพูดใกล้ๆ “นายคิดว่าคุณชายอย่างฉันหลอกง่ายขนาดนั้นเชียว? ซือเหยี่ยน ในเมื่อนายรับปากยอมตกลงคบกับฉันแล้ว ยังจะมีหน้ามาคบกับคนอื่นลับหลังฉันตอนเราคบกันอีกนะ… 


 


 


…นายเห็นฉันเจียงมู่เฉินแค่คบกันเล่นๆ หรือไง” 


 


 


เขาเชิดคางอีกฝ่ายขึ้นเบาๆ การกระทำอ่อนโยน แต่คำพูดหนักแน่นไม่เกรงใจใคร 


 


 


ซือเหยี่ยนเห็นนัยน์ตาแข็งกระด้างของเขา แล้วยกมุมปากขึ้นมาทันที 


 


 


เดิมเจียงมู่เฉินคิดว่าตามนิสัยไม่เห็นหัวใครหัวสูงของซือเหยี่ยนแล้ว โดนตัวเองแกล้งขนาดนี้ต้องโมโหจนระเบิดลงแน่ๆ 


 


 


แต่รอมาตั้งนานก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนโกรธ ตรงกันข้ามกลับยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้ 


 


 


“นายยิ้มอะไร” เจียงมู่เฉินอดจะเตะใส่เขาไม่ได้ 


 


 


ซือเหยี่ยนยื่นมือไปคว้าข้อเท้าเขาเอาไว้ ออกแรงเพียงนิดดึงอีกฝ่ายเข้ามาหา คนที่เมื่อครู่หนีจากอ้อมอกลับมาอยู่ในอ้อมกอดอีกจนได้ 


 


 


ซือเหยี่ยนใช้ฟันงับเข้าที่คางของเจียงมู่เฉิน ยิ้มแล้วเอ่ย “ได้ ผมรับปากคุณจะไม่ไปคบกับคนอื่น” 


 


 


คำพูดนี้ในหูเจียงมู่เฉินมีเพียงความรู้สึกพูดแบบขอไปทีเท่านั้น ไม่ได้จริงใจอะไร เขาถลึงตามองซือเหยี่ยน “นายอย่าคิดมาเล่นละครตบตาฉันยังไงก็ได้นะ” 


 


 


ซือเหยี่ยนกัดเขาเข้าอีกครั้ง “ผมไม่เคยเล่นละครตบตาคุณเลย” 


 


 


“โคตรพ่อง เลิกกัดฉันได้แล้ว” เจียงมู่เฉินเอามือป้องคางตัวเอง “ถ้ามีรอยขึ้นมา ซือเหยี่ยน ฉันกับนายได้เห็นดีกันแน่” 


 


 


ซือเหยี่ยนขำกับท่าทางเย่อหยิ่งนั้นจริงๆ ไม่ให้กัดคาง งั้นเขาเปลี่ยนที่กัดก็ได้ ด้วยเหตุนี้ซือเหยี่ยนจึงย้ายสนามรบไปที่ติ่งหูแทน 


 


 


“นายอย่าคิดว่าแบบนี้แล้วจะสอบปากคำนายไม่ได้นะ” เจียงมู่เฉินยังจำเรื่องเมื่อตอนเช้าได้ไม่ลืม 


 


 


ซือเหยี่ยนกัดใบหูเขาไป พลางอธิบายไป “ระหว่างผมกับเธอไปมาหาสู่กันเปิดเผย ไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น” 


 


 


“นายอยู่กับฉันยังรู้ว่าต้องเตรียมของขวัญรุ่นลิมิเต็ดให้เธออีก” เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาอีก “แล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นนายเตรียมของขวัญรุ่นลิมิเต็ดอะไรให้ฉันเลย” 


 


 


ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ เขาเข้าใกล้ไปกัดริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน “ผมส่งตัวผมให้คุณ ลิมิเต็ดยิ่งกว่าของรุ่นลิมิเต็ดอีก ทั่วโลกมีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น” 


 


 


เจียงมู่เฉินอารมณ์ขึ้นจนยกเท้าเตรียมจะถีบ แต่ยังไม่ทันได้ยกก็โดนซือเหยี่ยนคว้าไว้ได้ก่อน 


 


 


“เฉินเฉิน คุณบอกเองว่าจะนอนกับผมไม่ใช่เหรอ” เสียงซือเหยี่ยนเจือความเซ็กซี่ แม้แต่ดวงตาดำขลับคู่นั้นยังดำดิ่งหยั่งลึกลงไปอีก 


 


 


เจียงมู่เฉินแสยะยิ้ม เขาเอามือป้องริมฝีปากที่ซือเหยี่ยนใช้มือลูบอยู่ พูดเน้นคำต่อคำ “นอนกับน้องสาวนายสิ” พูดจบ เท้าอีกข้างก็ถีบเข้าไป 


 


 


ซือเหยี่ยนผู้ไม่ได้ทันระวัง โดนเจียงมู่เฉินถีบไปลงด้านข้าง มองเจียงมู่เฉินเอาผ้าห่มห่อตัวนอนลงไปด้วยความงุนงง 


 


 


“อยากทำไม่ใช่เหรอ” ซือเหยี่ยนชักจะน้อยใจบ้างแล้ว 


 


 


เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ ไม่แม้แต่จะมองเขาสักนิด “นายทำเองเถอะ เรื่องนี้คุณชายไม่ขอยุ่งด้วย” 


 


 


เห็นอีกฝ่ายหันหลังพูดด้วยแบบนี้ ซือเหยี่ยนกุมขมับอย่างเสียไม่ได้ ก้มหน้ามองน้องชายผู้น่าสงสาร ดันแข็งขันคึกคักขึ้นมาผิดปกติ เขาทำได้แค่เพียงว่าง่ายยอมลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ พูดคุยเรื่องความรู้สึกกับน้องชายของตัวเองเท่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 88

 

นายใช้ไม่ได้ใช่ไหม


 


 


เจียงมู่เฉินนอนหลับสบายทั้งคืน ได้พูดสิ่งที่อัดแน่นในใจออกมา เขาสบายใจเป็นบ้า เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย บิดขี้เกียจยืดเหยียดเอวบางดิ้นขลุกอยู่ใต้ผ้าห่ม


 


 


เขาเพิ่งจะยันกายขึ้นมานั่ง แล้วเหลือบไปเห็นซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายพอดี ทำเอาใจเกือบหล่นทีเดียว


 


 


เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสีหน้างงงวย “เช้าแล้วนายยังไม่ไปทำงานอีก อยู่นี่ทำอะไร”


 


 


เขาเกือบจะตกใจจนฉี่ราดแล้ว คิดว่าซือเหยี่ยนไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว ใครจะไปรู้ว่าลืมตามาจะเจอรูปปั้นหินนั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าไร้อารมณ์ไม่แม้แต่จะขยับตัว


 


 


ซือเหยี่ยนลืมตามองเขา ขอบตาค่อนข้างดำคล้ำ มองแวบเดียวเหมือนคนไม่ได้นอนหลับดีๆ มา


 


 


“เมื่อคืนนายออกไปปล้นมาหรือไง ทำไมขอบตาดำแบบนี้”


 


 


ซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดของเขา ก็แสยะยิ้มใส่ “ของผมนี่เรียกว่าความต้องการไม่เติมเต็ม”


 


 


มีเจียงมู่เฉินนอนข้างกาย ทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน เจ้าหมอนี่ดันชอบมากอดก่ายเขา ดึงยังไงก็ดึงไม่ออก


 


 


‘เจียงมู่เฉินเห็นเขาเป็นคนตายจริงๆ แล้วใช่ไหม’


 


 


‘โดนกอดก่ายขนาดนี้ จะไม่ให้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรแล้วนอนหลับลงได้เหรอ’


 


 


สุดท้ายเขาจนหนทางทำได้แค่ยันตัวขึ้นมานั่ง มองเจียงมู่เฉินนอนหลับสนิทแล้วขบกรามกัดฟันตัวเองทั้งคืน หลายครั้งที่อดใจไม่ได้อยากจะพุ่งเข้าไปกัดคอระบายอารมณ์


 


 


เจียงมู่เฉินชะงักงันไป อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้


 


 


ซือเหยี่ยนหางตากระตุก คิดทบทวนอย่างจริงจัง จะกัดเขาสักคำสองคำระบายไฟแค้นดีไหม


 


 


“ประธานซือ โตจนป่านนี้ ไม่รู้จักพึ่งลำแข้งตัวเองเหรอ”


 


 


เจียงมู่เฉินถากถางไปด้วย ลงจากเตียงไปด้วย เผยให้เห็นเรือนร่างสูงเพรียวเปลือยเปล่า เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้รีบร้อนปกปิดอะไร ยิ่งกว่านั้นยังไม่กลัวเวลาซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายด้วยซ้ำ


 


 


ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็เห็นเขาเปลือยกายมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว จะให้ดูอีกครั้งไม่เห็นจะเป็นไร เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร


 


 


เขาเดินผึ่งผายไปยังหน้าตู้เสื้อผ้าของซือเหยี่ยน เลือกเสื้อเชิ้ตตามใจออกมาหนึ่งตัว ค่อยๆ สวมเข้าไป ท่าทางการใส่เสื้อผ้าของเขาช้ามากๆ ติดกระดุมไม่เสร็จสักที


 


 


ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางของเขา แล้วเลิกคิ้วขึ้นมาเงียบๆ “มืออ่อน?”


 


 


เจียงมู่เฉินทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ “ตื่นเต้นต่างหาก”


 


 


เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ก็สวมเสื้อเชิ้ตเสร็จเดินลงไปชั้นล่าง


 


 


ซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเขาไป หากางเกงจากในนั้นออกมา แล้วเดินตามลงไป


 


 


ที่ชั้นหนึ่ง เจียงมู่เฉินยืนพิงเคาน์เตอร์บาร์ แล้วรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ดื่มน้ำอย่างช้าๆ สบายๆ แก้วใสในมือขาวผ่องของเจียงมู่เฉินคาดไม่ถึงว่าภาพนี้จะสวยงามอย่างบอกไม่ถูกได้


 


 


ซือเหยี่ยนเดินลงถึงชั้นล่างก็เห็นท่าทางเงยหน้าดื่มน้ำของเจียงมู่เฉินพอดี


 


 


ยามลูกกระเดือกแสนเซ็กซี่ขยับขึ้นลงเบาๆ นาทีนั้น นึกไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะกลืนน้ำลายตามโดยไม่รู้ตัว


 


 


ซือเหยี่ยนรีบเก็บอาการบนใบหน้า เจ้าปีศาจจอมยั่วนี่นะ เผยกายที แม้แต่เขาก็ใกล้จะคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว


 


 


เขายื่นกางเกงส่งให้เจียงมู่เฉิน “ใส่ให้เรียบร้อย”


 


 


เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว มองขาเรียวยาวของตัวเอง แล้วยิ้มเอื่อยๆ “นายช่วยฉันสิ”


 


 


มือซือเหยี่ยนที่จับกางเกงอยู่เกร็งขึ้นมา สุดท้ายก็ยังพยักหน้าจนได้ “ได้ ฉันเอง”


 


 


เขาอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์บาร์ จากนั้นค่อยๆ ใส่กางเกงให้ เจียงมู่เฉินนั่งเนือยๆ อยู่ตรงนั้น ยกขาให้อีกฝ่ายสวมกางเกงให้ตัวเองได้ตามใจ


 


 


เจียงมู่เฉินสังเกตใบหน้ามุมข้างของซือเหยี่ยนไป พลางถามอย่างจริงจัง “ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่…ใช้ไม่ได้หรอกใช่ไหม”


 


 


ทั้งอาบน้ำ ทั้งปลุกปั่น ทั้งช่วยเขาใส่เสื้อผ้า


 


 


นี่ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป คงคุมตัวเองไม่ไหวไปนานแล้ว แต่ทุกครั้งซือเหยี่ยนกลับเป็นสุภาพบุรุษขนาดนี้ เจียงมู่เฉินอดจะเอ่ยปากถามไม่ได้


 


 


มือซือเหยี่ยนที่ช่วยเขาติดกระดุมหยุดชะงักไปสักพัก


 


 


เขารีบติดกระดุมอย่างรวดเร็ว มองดูใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเจียงมู่เฉิน แล้วยกมุมปากขึ้น “ใช้ได้ไม่ได้ เดี๋ยวลองคุณก็รู้เอง”


 


 


แววตาเจียงมู่เฉินลุกวาว รีบกระโดดลงมาจากเคาน์เตอร์บาร์ “ฉันลองฝีมือทำอาหารของนายดีกว่า”


 


 


“อะไรกัน ตอนนี้แค่คิดจะลองฝีมือทำอาหารเหรอ” ซือเหยี่ยนอดจะแซวเล่นไม่ได้


 


 


เจียงมู่เฉินขบกราม “หิวจะตายอยู่แล้ว นายรับผิดชอบเลย รีบไปสิ”


 


 


เห็นเขาเริ่มจะระเบิดลง ซือเหยี่ยนถึงเพิ่งเข้าห้องครัวไปทำอาหารเช้าให้เจียงมู่เฉิน กว่าจะชิงตัวมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ ยังไงก็ตามจะปล่อยให้เขาหิวตายไม่ได้


 


 


เจียงมู่เฉินยืนพิงเคาน์เตอร์บาร์จับแก้วมาเล่นไป พลางเอ่ยถาม “ทำไมนายถึงยอมตกลงกับฉัน”

 

 

 


ตอนที่ 89

 

พาตัวเขาออกไปที


 


 


ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง “หืม”


 


 


“ยอมตกลงจะคบกับฉันไง” เจียงมู่เฉินก้มหัวลงเอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัว


 


 


มือที่ทำอาหารของซือเหยี่ยนหยุดชะงัก “คุณชายเจียงก็มีช่วงเวลาไม่มั่นใจได้ด้วย”


 


 


เจียงมู่เฉินมองบน “ฉันไม่ได้ไม่มั่นใจ ฉันก็แค่สงสัย”


 


 


ซือเหยี่ยนคีบไข่ดาวขึ้นมาวางใส่จานข้างๆ แล้วทำขนมปังทอดต่อ “ผมคิดว่าคุณจะรู้สึกว่าที่ผมยอมตกลงรับปากเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว”


 


 


ถึงอย่างไรเจียงมู่เฉินก็มีความอวดดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว


 


 


เจียงมู่เฉินวางแก้วในมือลง เดินไปหาซือเหยี่ยน ยืนพิงแนบอิงอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน “ฉันจริงจังนะ”


 


 


ซือเหยี่ยนจ้องมองคนข้างกาย


 


 


เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ถ้านายคิดจะเล่นๆ ฉันก็อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับนายไม่ได้”


 


 


ซือเหยี่ยนพลิกขนมปังไปอีกด้าน “ผมไม่ได้คิดจะเล่นกับคุณ”


 


 


เจียงมู่เฉินยืดตัวเดินออกจากห้องครัวไป “ประธานซือ วันนี้นายทำอาหารเช้าช้ากว่าปกติมากนะ”


 


 


ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะมองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆ เดินจากไปไกล


 


 



 


 


หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เดิมทีเจียงมู่เฉินเตรียมจะไปหลานเยี่ย ถามไถ่ว่าเมื่อคืนมีเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า คนยังไม่ทันจะออกจากคฤหาสน์ของซือเหยี่ยน ก็ถูกโทรตัวเรียกให้กลับไปแล้ว


 


 


“จะไปไหน” ซือเหยี่ยนเอ่ยถาม


 


 


“กลับบริษัท พ่อเรียกหาฉันแล้ว” เจียงมู่เฉินเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ช่วงนี้ไม่รู้พ่อเป็นอะไรถึงได้เรียกหาแต่เขา


 


 


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


 


 


“ไม่รู้สิ เข้าไปดูก่อนแล้วกัน”


 


 


ซือเหยี่ยนไม่ถามมากความอีก เขาพาอีกคนไปส่งที่ใต้ตึกเจียงเฉินกรุ๊ป เจียงมู่เฉินปลดสายเข็มขัดเตรียมจะเปิดประตูออกไป


 


 


จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็คว้ามือเขาเอาไว้


 


 


เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วใส่เขา “มีอะไร”


 


 


“ไม่คิดจะจูบผมหน่อยเหรอ”


 


 


เจียงมู่เฉินอมยิ้มมองเขา “นายบ้าไปแล้วใช่ไหม ในที่คนเยอะแยะแบบนี้ ให้ฉันจูบนาย”


 


 


ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “ผมไม่ถือสา”


 


 


เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าแสนอวดดีของเขา แล้วโน้มเข้าใกล้ไปกัดริมฝีปากเขาสักที แอบด่าใส่ทิ้งทวน “เด็กน้อย”


 


 


ซือเหยี่ยนเอามือขึ้นลูบริมฝีปาก ยังคงคุกรุ่นด้วยความอบอุ่นของเจียงมู่เฉิน เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่สักพักกว่าจะขับรถออกไปได้


 


 


เจียงมู่เฉินเดินเร็วราวจะบินพุ่งขึ้นไป เพียงชั่วเวลานั้น เขาไม่คาดคิดว่าจะยังเขินอายอยู่


 


 


เขารีบส่ายหัว เขาคือเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินผู้ปกปิดตัวเองมาหลายปี ไม่คาดคิดว่าจะรู้สึกเขินอายได้


 


 



 


 


ซือเหยี่ยนเพิ่งจะเข้าห้องทำงานมาก็เห็นไป๋จิ่งวางมาดจริงจังลากโซฟามานั่งตรงทางเข้า ท่าทางเหมือนกำลังรอเขาอยู่


 


 


ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “เช้าขนาดนี้ นายมาทำอะไรที่ห้องฉัน”


 


 


“เมื่อวานนายยังไม่ได้คุยกับฉันชัดเจนเลยนะ” ไป๋จิ่งจำฝังใจจนไม่ได้นอนทั้งคืน “เมียนายมาจากไหนกัน”


 


 


ซือเหยี่ยนทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ “เมื่อวานฉันพูดเหรอ”


 


 


ไป๋จิ่งกัดฟันถลึงตาใส่เขา “ซือเหยี่ยน นายอย่าคิดมาแถข้างๆ คูๆ ต่อหน้าฉัน เมื่อวานฉันได้ยินเต็มๆ สองหู”


 


 


“อืม” ซือเหยี่ยนรับคำนิ่งๆ


 


 


ไป๋จิ่งจ้องเขาทันที “อืมของนายหมายความว่าไง ยอมรับหรือไม่ยอมรับ”


 


 


ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขา รีบคว้ามือถือขึ้นมาโทรศัพท์ “เสี่ยวหลิว เข้ามาพาตัวประธานไป๋ออกไปให้ฉันที”


 


 


ไป๋จิ่งตะลึงงัน “นาย…ไม่คิดว่านาย…จะให้ฉันออกไป”


 


 


ซือเหยี่ยนเปิดคอมพิวเตอร์ เตือนเพื่อนด้วยความหวังดี “คนลงมือคือผู้ช่วยของนาย ไม่ใช่ฉัน”


 


 


ไป๋จิ่งถอนหายใจด้วยความขมขื่นใจ “นายมัน หมาป่าใจโฉด เสียแรงที่หลายปีมานี้ฉันซื่อสัตย์กับนายสุดชีวิต”


 


 


เสี่ยวหลิวปรากฏตัวอยู่หน้าประตูพอดี มองเห็นใบหน้าแสนเจ็บปวดของไป๋จิ่งเข้า เริ่มไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว


 


 


“ประธานไป๋…จะให้ผมพาคุณออกไป หรือคุณจะออกไปเองครับ” เสี่ยวหลิวถามเสียงอ่อน


 


 


“ฉันไปเอง นายไม่ต้อง” ไป๋จิ่งถลึงตาใส่ซือเหยี่ยน เดินฮึดฮัดฟึดฟัดออกจากห้องทำงานของซือเหยี่ยน


 


 


เสี่ยวหลิวมองประธานซือผู้นิ่งเฉยอย่างงุนงง ไหนจะเห็นไป๋จิ่งผู้เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปไกลแล้วอีก เขาลูบหัวอย่างช่วยไม่ได้ เดินออกจากห้องตามไป๋จิ่งไป


 


 


ในที่สุดในห้องทำงานก็เงียบสงบลงสักที ซือเหยี่ยนอารมณ์ดีเปิดดูเมล พร้อมจัดการทำงานอย่างจริงจัง


 


 


อีกฝั่งหนึ่ง ไป๋จิ่งยังคงคิดทบทวนอย่างจริงจัง ซือเหยี่ยนมีแฟนสาวแล้วจริงๆ ใช่ไหม


 


 


‘ถ้ามีแฟนสาวแล้วทำไมไม่บอกฉัน ไหนจะมาทำท่าลับๆ ล่อๆ ขนาดนี้อีก’


 


 


ไป๋จิ่งดึงคางตัวเอง เริ่มจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 90-91

 

ตอนที่ 90 โครงการหลินไห่ 


 


 


เจียงมู่เฉินเดินเอ้อระเหยลอยชายเข้าไปห้องทำงานของคุณพ่อเจียง เขานั่งเก้าอี้มองคุณพ่อเจียง “พ่อ เรียกผมมาทำไมอีก” 


 


 


“โครงการหลินไห่ คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” 


 


 


เจียงมู่เฉินชะงักไปสักพัก “คืบหน้า?” 


 


 


คุณพ่อเจียงเปลี่ยนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที “แกเจ้าเด็กแสบ ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าโครงการหลินไห่แกเป็นคนรับผิดชอบ” 


 


 


เจียงมู่เฉินทำท่าทำทางแคะหู “ไม่ใช่มั้ง พ่อเอาจริงดิ” 


 


 


“ฉันจะบอกแกไว้นะ โครงการนี้ถ้าแกจัดการไม่ได้ แกหอบผ้าหอบผ่อนออกไปได้เลย ตระกูลเจียงไม่เลี้ยงคนว่างงาน” 


 


 


“พ่อ พ่อไม่เป็นไรใช่ไหม พ่อมองผมยังรู้จักว่าผมเป็นใครอยู่ไหม” 


 


 


คุณพ่อเจียงโกรธเขาจนไม่ไหวแล้ว “พ่อแกยังไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ ไม่ได้ลืมแกสักหน่อย” 


 


 


“พ่อรู้ว่าผมเป็นลูกชายพ่อ พ่อยังจะให้ผมหอบผ้าหอบผ่อนออกไปอีกเหรอครับ” 


 


 


“เรื่องนี้ไม่ต้องต่อรอง ไปหาแม่แกก็ไม่มีประโยชน์ ฉันให้เวลาแกแค่สองเดือน จะอยู่ตระกูลเจียงต่อไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าแกจะจัดการโครงการหลินไห่นี้ได้หรือเปล่า” 


 


 


เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางจริงจังไม่ล้อเล่นของพ่อตัวเอง ก็รีบจ้องเขาเขม็ง แล้วถามต่ออีก “พ่อแน่ใจ?” 


 


 


คุณพ่อเจียงยิ้มเยาะ “ไม่เคยแน่ใจขนาดนี้มาก่อน” 


 


 


ตอนเจียงมู่เฉินยังเด็ก เขาตามใจลูกชายเกินไป ดังนั้นโตมาจนถึงตอนนี้ถึงไม่เป็นโล้เป็นพายสักอย่าง เรียนรู้อะไรผิดๆ มาก็ไม่ใช่น้อยๆ  


 


 


ฉวยโอกาสตอนนี้ตอนที่ร่างกายเขายังนับว่าแข็งแรงอยู่ หาเรื่องให้เจ้าเด็กแสบเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ให้เขาเดินทางที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ ภายหลังจะได้รับช่วงต่อบริษัทดีๆ ได้ 


 


 


เจียงมู่เฉินสลดใจมองหน้าคุณพ่อเจียงแล้วถอนหายใจเงียบๆ “พ่อครับ พ่อเปลี่ยนไปแล้ว” 


 


 


“ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แกก็รีบไปซะ อย่ามาอยู่ที่นี่ขวางหูขวางตาฉัน” 


 


 


“งั้นผมไปนะ พ่ออย่าคิดถึงผมเกินไปล่ะ” เจียงมู่เฉินพูดจบก็จะไปทันที 


 


 


“ใช่แล้ว ตอนบ่ายแกไปดูงานที่หลินไห่ด้วย วันนี้ที่นั่นเริ่มก่อสร้างกันแล้ว แกไปดูทำความเข้าใจก่อน มีอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามเหล่าอู๋” 


 


 


เจียงมู่เฉินพยักหน้า “รู้แล้วครับ พ่อวางใจเถอะ รับรองภารกิจสำเร็จ” 


 


 


หลังจากออกจากเจียงเฉินกรุ๊ป เจียงมู่เฉินเรียกรถนั่งกลับไปบ้านตระกูลเจียง เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วถึงขับรถไปสำรวจสถานที่ก่อสร้างโครงการหลินไห่ 


 


 


หลินไห่เป็นที่ดินเขตชานเมืองใกล้ถานโจว ที่ดินผืนนี้ดึงดูดบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อยให้กระหายอยากได้ แต่สุดท้ายก็ถูกซังจิ่งคว้ามาครองไว้จนได้ 


 


 


ต่อมาซังจิ่งเป็นฝ่ายเข้าหาเจียงเฉินกรุ๊ป บอกว่าต้องการให้เป็นผู้บุกเบิกร่วมกัน โครงการที่เขาเสนอจะทำให้ทั้งสองบริษัทได้ประโยชน์ทั้งคู่ 


 


 


ดังนั้นคุณพ่อเจียงจึงยอมตกลงจะเป็นผู้บุกเบิกที่ดินผืนนี้ร่วมกัน รวมทั้งลงนามเซ็นสัญญาแสดงเจตจำนงยินยอมจะเป็นพันธมิตรทำงานร่วมกันในโครงการนี้ 


 


 


เพราะเรื่องนี้ถึงได้มีการปรากฏตัวในวันนั้นของซังจิ่งและเซวียยางที่เจียงเฉินกรุ๊ป อีกอย่างคือความบังเอิญที่โครงการหลินไห่มอบหมายให้เจียงมู่เฉินดูแลพอดี 


 


 


เจียงมู่เฉินขับรถมาจอดที่หน้าทางเข้าสถานที่ก่อสร้างตามใจชอบ 


 


 


เขามองไปรอบๆ ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย หลายปีมานี้น้อยมากแทบจะนับครั้งได้ที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจของพ่อ ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้คิดยังไงถึงได้ให้เขารับผิดชอบโครงการนี้ 


 


 


เขากำลังเตรียมจะเดินเข้าไปข้างใน ก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาจากข้างใน 


 


 


เจียงมู่เฉินชะงักไปพักหนึ่ง รู้สึกคุ้นหูกับเสียงพูดคุยกันข้างใจ เขาหยุดเดิน คนข้างในก็เดินออกมาพอดี 


 


 


หน้าผากเจียงมู่เฉินกระตุกเกร็ง ไม่ต้องบังเอิญขนาดนี้ได้ไหม ทำไมเจอซังจิ่งคนนี้อีกจนได้ 


 


 


“บังเอิญจริงๆ ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่” ซังจิ่งเห็นเขา น้ำเสียงเจือความดีใจ 


 


 


“ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเจอนายที่นี่” เจียงมู่เฉินเอ่ยขัดไปตรงๆ 


 


 


‘ถ้ารู้ว่าซังจิ่งอยู่ที่นี่ ยังไงเขาก็ไม่มีทางจะมาหรอก’ 


 


 


“วันนี้โครงการเริ่มก่อสร้างเป็นวันแรก ต้องมาดูงานเป็นธรรมดา” ซังจิ่งหยุดสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “คุณชายเจียงเองก็มาเพราะเรื่องนี้?” 


 


 


เจียงมู่เฉินสีหน้าไม่สบอารมณ์ พยักหน้ารับ “ในเมื่อนายดูมาแล้ว ไม่มีอะไรฉันไปก่อนแล้วกัน” 


 


 


ซังจิ่งรีบพูด “ผมเองก็เพิ่งมาถึง ยังไม่ได้ดูอะไรสักอย่าง” เขามองคนข้างๆ แวบหนึ่ง “ในเมื่อคุณชายเจียงก็มาแล้ว พวกเราจะได้ไปดูด้วยกันพอดี” 


 


 


ผู้รับผิดชอบโครงการที่ยืนอยู่ข้างๆ หางตากระตุก เมื่อกี้ดูไปแล้วรอบหนึ่งไม่ใช่เหรอ 


 


 


ซังจิ่งกวาดสายตามองเขา 


 


 


ผู้รับผิดชอบรีบพยักหน้า “ตอนนี้ผมจะพาทั้งสองท่านเข้าไปชมด้วยกันครับ” 


 


 


เจียงมู่เฉินหยุดไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็เดินตามเข้าไป 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 91 เจียงมู่เฉินบาดเจ็บ 


 


 


ผู้รับผิดชอบโครงการพาเจียงมู่เฉินและซังจิ่งเดินวนชมไปรอบๆ อีกครั้ง เจียงมู่เฉินไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับซังจิ่งที่ดูมารอบหนึ่งแล้วกลับสนใจเป็นพิเศษ 


 


 


กว่าจะดูจบไม่ใช่ง่ายๆ ซังจิ่งถามเขา “เป็นไงบ้าง มีอะไรต้องการทำความเข้าใจต่ออีกไหม” 


 


 


เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่มีแล้ว ส่วนใหญ่ก็เคยเห็นแล้ว” 


 


 


“ตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ผมอยากชวนประธานเจียงกินของว่างกัน?” ซังจิ่งไม่ปล่อยแม้แต่โอกาสเดียวที่จะนัดเจียงมู่เฉินให้ได้ 


 


 


นักธุรกิจอย่างเขาเรื่องฉวยเอาโอกาสและหาจังหวะเวลาไว้เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษ 


 


 


เจียงมู่เฉินสังเกตดูซังจิ่งอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า ซังจิ่งคนนี้รูปร่างหน้าตาใช้ได้ ยังมีความสามารถมากอีกด้วย คนรอบตัวเขาที่ชอบเขามีนับไม่ถ้วน แล้วทำไมยังเข้ามาพัวพันเกาะแกะเขาไม่เลิก หมายความว่าไงกัน 


 


 


“ประธานซัง นายว่างเป็นพิเศษเลยใช่ไหม” 


 


 


ซังจิ่งเลิกคิ้วขึ้นมาเงียบๆ 


 


 


“ต่อให้นายว่างจนเบื่อจริงๆ ก็อย่ามารบกวนหาเรื่องฉันเรื่อยๆ เลย” เขาไม่มีเวลามาเสียเวล่าโง่ๆ กับเขาต่อไปจริงๆ ซือเหยี่ยนเองเขายังไม่ได้จัดการให้อยู่หมัดเลย 


 


 


ซังจิ่งโดนเขาพูดใส่ยังยิ้มออกมา เขายกมุมปากขึ้นมองเจียงมู่เฉิน “ผมว่าคุณไม่คิดจะเก็บความรู้สึกนิดหนึ่งบ้างหน่อยเหรอ จะว่ายังไงพวกเราก็เป็นคู่ทำงานร่วมกันอยู่ดี” 


 


 


เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ขอโทษนะ ฉันไม่มีนิสัยนี้” 


 


 


เขาพูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป “ฉันยังมีธุระต่อ ไม่รบกวนประธานซังแล้ว” 


 


 


ด้านหลังมีเสียงร้องตกใจโวยวายดังขึ้นมา เจียงมู่เฉินยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองกลับไป รู้สึกแค่ว่าท้ายทอยเจ็บแปลบกะทันหัน แล้วคนทั้งคนก็หมดสติไป 


 


 


ก่อนจะสลบไสล เจียงมู่เฉินอดคิดไม่ได้ว่านี่คงจะไม่ใช่เพราะพูดแตกหักกับซังจิ่ง แล้วโดนอีกฝ่ายอัดจนน็อคหมดสติไปหรอกใช่ไหม 


 


 


… 


 


 


ฟื้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาล ท้ายทอยเจ็บจนทนไม่ไหว เจียงมู่เฉินมองเพดานสีขาวแล้วทวนความทรงจำเงียบๆ เขาอยู่ที่สถานที่ก่อสร้าง เขาปฏิเสธคำชวนกินข้าวของไป๋จิ่ง แล้วเตรียมจะออกไป หลังจากนั้นท้ายทอยก็เจ็บจนเป็นลมไป… 


 


 


เรื่องต่อจากนั้น เขาคิดต่อไม่ออกว่าสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น 


 


 


ประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักออก เจียงมู่เฉินดิ้นขลุกพยายามมองไปที่ประตู 


 


 


“คุณฟื้นแล้ว?” ซังจิ่งดูค่อนข้างจะตื่นเต้นไม่เบา 


 


 


เจียงมู่เฉินกดหัวลง “ทำไมฉันมาเข้าโรงพยาบาลล่ะ” 


 


 


“คุณโดนของตกใส่ แล้วหมดสติไปที่สถานที่ก่อสร้าง” 


 


 


เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่ต้องอนาถขนาดนี้จะได้ไหม ไปสำรวจสถานที่ก่อสร้างยังโดนของตกใส่ ถ้าซือเหยี่ยนรู้เข้า จะไม่หัวเราะเขาแย่เหรอ 


 


 


“พ่อแม่ฉันยังไม่รู้ใช่ไหม” เจียงมู่เฉินรีบเอ่ยถาม 


 


 


“ผมยังไม่ทันได้บอกครับ” 


 


 


เจียงมู่เฉินวางใจลงทันที ถ้าแม่เขารู้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่แน่ว่าจะร้องไห้หนักขนาดไหน 


 


 


“อย่าบอกพวกเขาเด็ดขาดเลยนะ” 


 


 


ซังจิ่งลูบจมูกตัวเองป้อยๆ “เกรงว่าถึงผมไม่พูด คุณพ่อคุณก็ควรจะรู้เรื่องแล้ว” 


 


 


เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “นายหมายความว่าไง” 


 


 


“ตอนที่คุณเกิดเรื่อง มีคนไม่น้อยอยู่ที่เกิดเหตุด้วย ตามความรวดเร็วในกระจายข่าว คุณพ่อของคุณควรจะกำลังเดินทางมาแล้ว” 


 


 


เสียงพูดเพิ่งจะหยุดลง ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก “ลูกแม่ ลูกยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม” 


 


 


คุณแม่เจียงดวงตาแดงก่ำพุ่งตัวเข้ามา ข้างหลังตามด้วยพ่อเขา…แล้วก็ซือเหยี่ยน… 


 


 


เจียงมู่เฉินเห็นคนสุดท้ายที่เข้ามาเป็นซือเหยี่ยนก็ตกใจจนสะดุ้ง ซือเหยี่ยนมากับพ่อแม่เขาด้วยกันได้ยังไง 


 


 


นัยน์ตาแห่งความสงสัยยังไม่ได้ส่งถือซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็โดนแม่เขากอดเข้าไปเต็มๆ คุณแม่เจียงร้องไห้สังเกตดูอาการเจียงมู่เฉิน “ลูกแม่ ไม่เป็นไรใช่ไหม รอดตายแล้วใช่ไหม” 


 


 


เจียงมู่เฉินขมับกระตุก “แม่ครับ แม่ถามผมขนาดนี้ ไม่ตายก็ถูกแม่ทำอกแตกตายแทนแล้ว” 


 


 


เข้ามาก็ถามเลยว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เจียงมู่เฉินหัวเราะแห้งๆ แม่เขาคงจะไม่ได้มีลูกคนที่สองหรอกใช่ไหม ถึงได้ไม่ให้ความสำคัญเขาแล้ว 


 


 


“แม่ผิดเอง แม่ไม่ถามแล้ว” คุณแม่เจียงมองมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของตัวเองด้วยความรักความสงสาร 


 


 


“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็เห็นซือเหยี่ยนได้สักที 

 

 

 


ตอนที่ 92-93

 

ตอนที่ 92 ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว


 


 


“ผมอยู่ที่บริษัทของคุณอาพอดี ได้ยินข่าวว่าคุณได้รับบาดเจ็บ ก็เลยมาด้วยกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยอธิบายเสียงเรียบ


 


 


เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกฝ่าย ก็ชักจะหงุดหงิดใจหน่อยๆ แล้ว เขายังเป็นที่รักของซือเหยี่ยนอยู่ไหม เขาบาดเจ็บแบบนี้แล้วยังไม่รู้จักเป็นห่วงเป็นใยเขาบ้าง


 


 


“หึ” เจียงมู่เฉินอดจะทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจออกมาไม่ได้ หลับตาลงก็เอะอะโวยวายทันที “ผมง่วงแล้วอยากนอน”


 


 


คุณแม่เจียงได้ยินก็รีบเอ่ยทันใด “ได้จ๊ะ ได้จ๊ะ ลูกพักผ่อนดีๆ นะ”


 


 


เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินความเงียบงันในห้องผู้ป่วย เสียงประตูที่ถูกปิดลง เจียงมู่เฉินโมโหจนปวดใจ เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าซือเหยี่ยนจะไม่แม้แต่จะหันมองเขา เดินออกไปเฉยเลย


 


 


เขาโกรธจนปิดตาสองข้างลง แล้วนอนหลับลงไปทั้งอย่างนั้น


 


 


นอกห้องผู้ป่วย หลังจากคุณพ่อเจียงและคุณแม่เจียงเอ่ยกันไม่กี่คำ ก็ออกจากโรงพยาบาลไป


 


 


ซือเหยี่ยนกับซังจิ่งยืนอยู่ประตูห้องผู้ป่วย ทั้งสองคนมองสังเกตกันและกันแวบหนึ่ง


 


 


ซังจิ่งเห็นซือเหยี่ยนผู้ยืนตันอยู่หน้าประตู เขายิ้มแล้วเอ่ยถาม “ประธานซือไม่คิดจะออกไปเหรอครับ”


 


 


ซือเหยี่ยนย้อนถาม “ประธานซังล่ะครับ”


 


 


“ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้วก็ออกไปได้”


 


 


ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณที่ประธานซังพาเจียงมู่เฉินมาส่งโรงพยาบาลนะครับ”


 


 


ซังจิ่งเลิกคิ้ว “ไม่ทราบว่าประธานซือยืนอยู่ในฐานะอะไรถึงพูดประโยคนี้กับผม”


 


 


“ประธานซังควรจะรู้ว่าผมยืนอยู่ในฐานะอะไรนะครับ”


 


 


“อ้อ ดูท่าว่าผมจะเป็นเพื่อนกับประธานซือไม่ได้แล้วล่ะ”


 


 


ซือเหยี่ยนมองคนตรงหน้า “เป็นธรรมดา เดิมทีผมเองก็ไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับประธานซังอยู่แล้ว” เขากวาดสายตามองซังจิ่งแวบเดียว “เฉินเฉินของผมไม่สบาย ผมไม่ส่งประธานซังนะครับ”


 


 


เขาหมุนตัวหันกลับดึงประตูห้องเปิดออกแล้วเดินเข้าไป ซังจิ่งมองตามแผ่นของซือเหยี่ยนไป แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น


 


 


‘เฉินเฉินของผม…’


 


 


‘เรียกกันสนิทขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่าจะเรียกได้อีกนานเท่าไหร่’


 


 


คบกันแล้วยังไง ในโลกนี้ไม่มีมุมกำแพงไหนที่ขุดแล้วจะไม่ล้ม ขอเพียงแค่เขาขุดดีๆ ไม่ช้าก็เร็วสักวันก็ต้องพลิกคว่ำลง


 


 


เพียงแต่ว่า เดิมทีเขาคิดว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองมีแค่เจียงมู่เฉิน ที่ไหนได้ตอนนี้ยังมีซือเหยี่ยนมาเพิ่มอีกคน


 


 


ถึงแม้ว่าระดับความยากจะเพิ่มขึ้นมาก


 


 


แต่เขาคนนี้เป็นคนชอบความท้าทายเสียด้วยสิ


 


 


 …


 


 


ซือเหยี่ยนเปิดประตูเข้ามาก็เห็นเจียงมู่เฉินนอนหน้านิ่วคิ้วขมวด เขานั่งลงข้างๆ มองดูท้ายทอยที่ได้รับบาดเจ็บของคนที่นอนอยู่แล้วถอนหายใจเบาๆ


 


 


เจียงมู่เฉินไม่เคยทำให้เขาสบายใจได้จริงๆ ไม่ระวังนิดระวังหน่อยก็ทำตัวเองบาดเจ็บแล้ว


 


 


เขาเอามือลูบหว่างคิ้วของเจียงมู่เฉิน แล้วนวดคลึงเบาๆ รอจนคิ้วอีกฝ่ายคลายปมลง ถึงได้ลดมือลง


 


 


เขานั่งพิงอยู่ตรงนั้นมองดูเจียงมู่เฉิน แล้วนึกเรื่องของซังจิ่งเมื่อครู่นี้ขึ้นมา


 


 


ซังจิ่งประกาศตัวชัดเจนว่าต้องการเปิดศึกสงครามกับเขาอย่างเป็นทางการ ไม่ปกปิดจุดประสงค์ที่มีต่อเจียงมู่เฉินเลยแม้แต่น้อย


 


 


เขาถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้าลงงับเจียงมู่เฉินเข้าสักทีสองที


 


 


 ‘ไอ้นิสัยขี้อ่อยแบบนี้ เมื่อไหร่จะลดๆ ลงได้บ้างนะ’


 


 


เวลาพลบค่ำ ในที่สุดเจียงมู่เฉินผู้หลับใหลก็ตื่นขึ้นมาเสียที ในห้องเงียบสงัด ไม่มีใครสักคน เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองอนาถอยู่ไม่น้อย


 


 


คนบาดเจ็บทั้งคนกลับไม่มีแม้แต่คนดูแลสักคนอยู่ข้างกาย ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นไม่อยู่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ไม่สนใจเขาแล้ว


 


 


ทันใดนั้นเจียงมู่เฉินก็เห็นภาพตัวเองถูกไล่ออกจากบ้านลอยขึ้นมา


 


 


ประตูมีการเคลื่อนไหวเบาๆ เจียงมู่เฉินมองไปเห็นซือเหยี่ยนกำลังเข้ามาพอดี เขาชะงักไป ประหลาดใจทีเดียว


 


 


ซือเหยี่ยนเห็นเขาตื่นแล้วจึงเอ่ยปากถาม “ตื่นแล้วเหรอ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”


 


 


เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของซือเหยี่ยนแล้วหันหน้าหนีไม่มองอีกฝ่าย


 


 


ความดูแคลนและไม่ใส่ใจของเขา เจียงมู่เฉินจำได้หมด ตอนนี้ยังจะมาทำเป็นคนดีต่อหน้าเขาอีก


 


 


ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางโกรธฮึดฮัดของเขา ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “คุณนอนท่านั้น ไม่เจ็บหัวเหรอ”


 


 


“เจ็บจะตายยังไงก็ไม่ต้องให้นายมายุ่ง!”


 


 


‘เขายังรู้จักใส่ใจมาถามว่าตัวเองเจ็บอยู่หรือเปล่า’ เขายังคิดว่าถ้าตัวเองตายไป ไม่แน่ว่าซือเหยี่ยนคงจะทำหน้าเย็นชาไปปักธูปให้เขาแล้วก็จากไปแบบนั้นเลยก็ได้


 


 


เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น รู้สึกว่าคนที่ตกหลุมรักก่อนเป็นฝ่ายผิด ไม่ยุติธรรม ทั้งที่เขากระวนกระวายใจเป็นห่วงซือเหยี่ยน แต่ซือเหยี่ยนกลับไม่ใส่ใจเขาเลยสักนิด


 


 


 


 


ตอนที่ 93 ‘เล่น’ ห้องผู้ป่วย


 


 


         “เป็นไรไป ยังโกรธอยู่เหรอ” ซือเหยี่ยนโน้มตัวลงมามองเขา


 


 


           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “โกรธ? ฉันมีอะไรให้โกรธเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางปากไม่ตรงกับใจของเขา จึงตัดสินใจพูดจี้จุดโดยไม่เกรงใจออกไป “เพราะตอนเข้ามาทีแรก ผมไม่ได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยคุณ คุณถึงกับโกรธเลยไม่ใช่เหรอ”


 


 


           เมื่อเจียงมู่เฉินได้แบบนั้น ก็ลุกขึ้นมานั่งทันที “นายยังมีหน้ามาพูดได้ไม่กระดากใจ ซือเหยี่ยน นายแม่งแกล้งฉันสินะ?”


 


 


           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงนิ่งพูดตามความเป็นจริง “พ่อแม่ของคุณอยู่ด้วย ถ้าผมแสดงออกชัดเจนมาก แล้วพ่อแม่คุณถามผม ผมจะตอบยังไง”


 


 


           “อยากจะตอบยังไง ก็ตอบไปเลย” เจียงมู่เฉินตอบแบบไม่คิดผ่านสมอง


 


 


           “จริงเหรอ บอกพวกท่านว่าพวกเราคบกัน เป็นคู่รักกันก็ไม่เป็นไร?” ซือเหยี่ยนเอ่ยเตือนสติให้คนตรงหน้าสงบใจลงทีละนิดๆ


 


 


           “พูดก็พูดสิ คุณชายอย่างฉันมีเวลาไหนที่กลัวอยู่เหรอ”


 


 


           “เจียงมู่เฉิน คุณบอกว่าคุณจริงจังกับผมไม่ใช่เหรอ”


 


 


           “ใช่สิ จริงจัง”


 


 


           “ผมเองก็จริงจัง จึงอยากคิดพิจารณาตัดสินให้รอบคอบ”


 


 


           เพียงชั่วพริบตาไฟน้อยๆ ในใจเจียงมู่เฉินก็สลายไปเพราะคำพูดเตือนใจของเขา เดิมทียังโกรธอยู่บ้าง ยามนี้ได้ฟังประโยคเมื่อครู่ของซือเหยี่ยน ความขุ่นเคืองใจก็ไม่หลงเหลือแม้แต่น้อยแล้ว


 


 


           ตรงกันข้าม กลับรู้สึกใจแป้วเกินจะเอ่ย


 


 


           ถูกเขาว่ามาแบบนี้ เหมือนว่าตัวเองขาดการไตร่ตรองมากไม่มีผิด


 


 


           “ยังโกรธอยู่เหรอ?” ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าที่ค่อยๆ คลายลงของเขา จึงถามขึ้น


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง “ฉันหิวแล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนหลุดขำ เขาไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายพูดอะไรทำนองยอมอ่อนข้อให้ แต่พอได้ยินเจียงมู่เฉินพูดออกมาสามคำนี้ เขาก็อดจะขำออกมาไม่ได้


 


 


           เจียงมู่เฉินเริ่มรู้สึกเสียหน้าแล้ว “ฉันมีอะไรน่าขำขนาดนี้เลยหรือไง”


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “น่าขำนิดหน่อย”


 


 


           เจียงมู่เฉินยื่นมือขึ้นมาชูนิ้วกลางเงียบๆ


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว โน้มตัวเข้าใกล้ดึงคนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแล้วกดจูบลงไป


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนจูบโดยไม่ทันตั้งตัว เกือบจะหอบหายใจเข้าเกือบไม่ทัน แต่ซือเหยี่ยนกลับยังจูบอยู่ตรงนั้นไม่ยอมปล่อย


 


 


           เขาหาจังหวะกัดซือเหยี่ยนคืนไป ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายละริมฝีปากออกมา เจียงมู่เฉินรีบสูดหายใจเข้าเต็มปอด


 


 


           “นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นายเห็นฉันโดนของตกใส่หัวไม่ตาย เลยอยากทำให้ฉันขาดอากาศหายใจตายใช่ไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนเอามือถูริมฝีปากที่โดนเขากัด แล้วพูดเน้นคำต่อคำ “ใครใช้ให้คุณยกนิ้วกลางใส่ผมล่ะ ทำผมเกิดอารมณ์ขึ้นมากะทันหัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างเหยียดๆ ชูนิ้วกลางใส่นายก็ทำนายเกิดอารมณ์ได้ อะไรจะสามารถปานนั้น


 


 


           ซือเหยี่ยนจ้องมองมุมปากที่ถูกกัดจนแดงด้วยใบหน้าแสนภูมิใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องผู้ป่วยไปซื้อข้าวให้คุณชายน้อยกิน


 


 


           หลังจากกินข้าวเสร็จ เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว เขาก็ยังไม่กลับไปอีก


 


 


           เขามองกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้งหลายครา ซือเหยี่ยนก็ไม่มีท่าทีจะอยากออกไปเลยสักนิด เขาเริ่มร้อนใจแล้ว “นี่ นายยังไม่ไปอีกเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ไปไหน”


 


 


           “นายแม่งอยากไปไหนก็ไปสิ ยังจะมาถามฉันอีก”


 


 


           “ผมชอบอยู่ที่นี่ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”


 


 


           คำพูดเขาทำเอาเจียงมู่เฉินตกอกตกใจไม่เบา ความชอบของซือเหยี่ยนไม่ธรรมดามากจริงๆ ไม่มีอะไรทำก็ชอบอยู่โรงพยาบาล แปลกคนไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ


 


 


           “นายชอบอยู่ที่โรงพยาบาล ความชอบนี้มันก็เรื่องของนาย แต่นี่ก็ดึกขนาดนี้แล้ว นายไม่กลับไป เตรียมจะนอนที่นี่ทั้งคืนเหรอ”


 


 


           สายตาซือเหยี่ยนไล่มองช้อนตั้งแต่ร่างกายเจียงมู่เฉินขึ้นไป จนไปหยุดที่เตียงที่เขานอนอยู่


 


 


           ในใจเจียงมู่เฉินมีเสียงเตือนขึ้นมารัวๆ “เฮ้ย นี่นายคงจะไม่เล็งเตียงของฉันไว้หรอกใช่ไหม” เขารีบกอดผ้าห่มผืนเล็กๆ ไว้แน่น ตีให้ตายยังไงก็ไม่ยอมให้เตียง


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเหมือนจะรู้ทันของเขา เพียงพริบตาเดียวสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น เขาขบกรามเค้นคำพูดออกมาทีละคำ “ผมเล็งคุณคนที่อยู่บนเตียง”


 


 


           “นายจะมาเล็งฉันได้ตามใจชอบเลยใช่ไหม” เจียงมู่เฉินโต้แย้งจบ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ทันที เขามองซือเหยี่ยนด้วยความสีหน้าหวาดกลัว “ไม่นะ ฉันเป็นคนไม่สบายคนหนึ่ง นายจะไม่ปล่อยไปเลยเหรอ”


 


 


           เส้นเลือดบนขมับของซือเหยี่ยนกระตุกและกระตุกอีก เขาเก็บกดความรู้สึกที่อยากจะเค้นเอาความคิดของเจียงมู่เฉินออกทิ้งเสีย เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนผมไม่ได้นอนทั้งคืน คุณไม่คิดจะชดเชยให้ผมหน่อยเหรอ?”


 


 


           ‘เล่น’ ห้องผู้ป่วย?


 


 


           ‘นี่มันเร้าใจไปไหม’

 

 

 


ตอนที่ 94-95

 

ตอนที่ 94 นายคงจะไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกใช่ไหม


 


 


           เจียงมู่เฉินกลัวซือเหยี่ยนจะใช้กำลังขู่เข็ญทำมิดีมิร้ายกับเขาจริงๆ ตอนนี้เขาเป็นแค่ผู้ป่วยคนหนึ่ง สู้แรงซือเหยี่ยนไม่ไหวอยู่แล้ว เจียงมู่เฉินรีบยอมยกธงขาว “อย่าเลยนะพี่ชาย ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลทำเรื่องแบบนั้นไม่เหมาะสมหรอก”


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ไม่เหมาะสม? ผมว่าออกจะเหมาะสมมากทีเดียว”


 


 


           ถึงคราวที่หางตาของเจียงมู่เฉินจะกระตุกขึ้นบ้างแล้ว ซือเหยี่ยนรสนิยมยิ่งไม่เหมือนใครอยู่ด้วย ไหนจะชอบเล่นในห้องผู้ป่วยอีก คงจะไม่ถึงขนาดอยากให้เขาแสดงสมบทบาทตัวเองหรอกใช่ไหม


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูร่างกายสูงใหญ่นั้นของซือเหยี่ยน แล้วมาดูเรือนร่างเล็กของตัวเอง ถ้าโดนซือเหยี่ยนจัดเข้าไปนี่ ไม่แน่ว่าชีวิตน้อยๆ คงต้องจบลงแค่ตรงนี้


 


 


           “ฉันยังเป็นคนไม่สบายอยู่นะ ไม่เหมาะหรอก”


 


 


           “ไม่เป็นไร คุณแค่นอนเฉยๆ ไม่ต้องขยับ” ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


           “โอ๊ย จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเจ็บแผลขึ้นมา เจ็บมากๆๆ เจ็บจนสมองฉันจะระเบิดอยู่แล้ว” เขาครวญครางไป พลางมองซือเหยี่ยนไป


 


 


           ซือเหยี่ยนวางนิตยสารในมือลง โน้มตัวมองเจียงมู่เฉินใกล้ๆ “เจ็บขนาดนี้เลยเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบพยักหน้า “อืม เจ็บมากๆ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เฉินเฉิน คุณพยักหน้าด้วยแรงขนาดนี้ ถึงเวลาสมองระเบิดออกมา จะยัดกลับเข้าไปไม่ได้นะ”


 


 


           เจียงมู่เฉิน “……”


 


 


           ‘เป็นเขาที่เปิดตัวไม่ถูกวิธีเหรอ’


 


 


           ‘คนทั่วไปเห็นแฟนตัวเองบาดเจ็บทั้งที ควรจะเป็นใส่ใจห่วงเป็นใยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมพอถึงคราวเขาก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้’


 


 


           เฮือก…ตอนนี้เขาจะคืนสินค้ายังทันอยู่ไหม…


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินผู้แข็งเป็นหิน แล้วก้มหัวลงกัดเขาสักคำสองคำ “ขยับชิดในหน่อย จะเตรียมให้ผมนั่งบนเก้าอี้ทั้งคืนเลย?”


 


 


           เจียงมู่เฉินสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก จิตใจยังไม่ทันได้กลับมาจากเรื่องของสมอง แม้แต่ขยับยังไม่กล้าขยับเยอะ กลัวจะเป็นแบบนั้นแบบที่ซือเหยี่ยนว่า สมองจะเด้งออกมา


 


 


           เขาเคลื่อนตัวมาอยู่ข้างๆ เงียบๆ ซือเหยี่ยนผู้มองอีกคนอย่างระมัดระวังก็ชักจะอยากขำแล้ว


 


 


           “ผมล้อเล่น คุณคิดจริงๆ ไปได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “ไม่ๆ ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าด้านหลังตรงหัวฉันมีของไหลออกมาแล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนตะลึงค้าง “อะไรนะ”


 


 


           “นายรีบช่วยฉันดูหน่อยสิ” เจียงมู่เฉินคว้ามือของซือเหยี่ยนเอาไว้ ใบหน้าตื่นตระหนก


 


 


           ซือเหยี่ยนเอียงข้างดูท้ายทอยของเขา ที่แท้ผ้าพันแผลแห้งๆ มีรอยเลือดซึมออกมา เลอะแดงกระจายบนผ้าพันแผลสีขาวเรียบร้อยแล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนคุมตัวเจียงมู่เฉินผู้อยู่ไม่นิ่งไว้ “ข้างหลังตรงหัวคุณเลือดออกแล้ว เด็กดีอย่าขยับนะ”


 


 


           เขาคุมตัวเจียงมู่เฉินไว้ แล้วยื่นมือไปกดปุ่มเรียกฉุกเฉินข้างๆ ทรมานกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ต้องเย็บแผลตรงท้ายทอยใหม่ให้เจียงมู่เฉินอีกครั้ง ถึงได้ส่งกลับห้องผู้ป่วย


 


 


           กว่าจะผ่านความทรมานนี้ไปก็ปาเข้าไปค่อนคืนแล้ว


 


 


           เจียงมู่เฉินนอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ “นายว่าคืนนี้ฉันคงจะไม่ทำแผลที่ท้ายทอยฉีกขาดอีกหรอกใช่ไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนนอนอยู่ด้านหลังของเจียงมู่เฉิน โอบกอดเขาเอาไว้ “วางใจเถอะ ผมจะดูคุณเอง”


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “นายผล็อยไปกลางดึก ก็ไม่รู้หรอกว่าฉันขยับหรือไม่ขยับ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนหลุดขำ กอดกระชับแขนเขาไว้แน่น “ผมไม่นอน ผมจะดูคุณเอง”


 


 


           “จริงเหรอ”


 


 


           “จริงสิ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเงียบลงสักพัก จึงได้เอ่ยต่อ “ถ้าไม่งั้นนายนอนเถอะ ฉันระวังเองได้”


 


 


           ซือเหยี่ยนสนุกแล้ว นึกอยากจะยีหัวของเขา แต่ทันทีที่เห็นบริเวณแผลที่เพิ่งจะพันผ้าไป จึงอดทนเอาไว้ก่อน เขาเปลี่ยนมางับหูเจียงมู่เฉินแทน “คุณนอนหลับเถอะ อย่ามากเรื่องเลย”


 


 


           เจียงมู่เฉินเงียบลงไปพักหนึ่ง ซือเหยี่ยนคิดว่าเขาหลับไปแล้ว เพิ่งจะเตรียมถอนหายใจ ก็ได้ยินเขาพูดขึ้นมา “นายอยากจะ ‘เล่น’ บนเตียงคนไข้ไม่ใช่เหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนกอดกุมมือของเขาไว้ ชะงักไปครู่หนึ่ง “ใครยังจะอยาก ‘เล่น’ บนเตียงคนไข้กับคุณ”


 


 


           “นายบอกว่าให้ฉันชดเชยให้นาย แล้วยังให้แค่นอนเฉยๆ ไม่ต้องขยับอีกไม่ใช่เหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่าขมับชักจะปวดขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว “คุณหยุดชดเชยผมชั่วคราวก่อน รอคุณหายดีก่อน พวกเราค่อยมาต่อกัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินอยากพลิกตัวไปมองซือเหยี่ยน แต่พอจะหันไป ซือเหยี่ยนก็ดันเขากลับไปก่อน เจียงมู่เฉินทำได้แค่หันหลัง ถามซือเหยี่ยนอย่างจริงจัง “ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่…ไม่ได้จริงๆ หรอกใช่ไหม”


 


 


           …ซือเหยี่ยนจ้องมองท้ายทอยของเขา คิดทบทวนอย่างจริงจังว่าจะโหดร้ายหน่อยดีไหม ส่งเขาไปเย็บแผลอีกรอบ


 


 


 


 


ตอนที่ 95 ขี้ตาบังตานายแล้ว


 


 


           ยามตื่นมา เจียงมู่เฉินยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม ไม่ขยับเคลื่อนตัวแม้แต่น้อย เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองไม่ธรรมดาเลยทีเดียว


 


 


           เมื่อก่อนท่านอนเขาก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก


 


 


           ‘หรือว่าเมื่อคืนจิตใต้สำนึกเขาควบคุมตัวเองไว้ ไม่ให้ตัวเองขยับซี้ซั้ว?’


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางปลื้มอกปลื้มใจตัวเองของอีกฝ่าย ก็ขบกรามแน่น เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน เอาแต่ปรับแก้ท่านอนแสนเฮงซวยของเจียงมู่เฉิน


 


 


           แล้วก็ไม่รู้ไปเลียนแบบใครมา ขอแค่มีคนอยู่ข้างๆ ก็พร้อมจะหันมากอดรัดคนคนนั้นเสมอ


 


 


           พักฟื้นอยู่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน นอกจากซือเหยี่ยนแล้ว ยังมีคุณแม่เจียงที่มารายงานตัวทั้งวัน เสิร์ฟซุปให้แต่เช้าจรดเย็น เจียงมู่เฉินผู้เป็นคนกิน เห็นหน้าคุณแม่เจียงทีไรก็อยากอาเจียน


 


 


           เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จะตายเพราะบาดเจ็บ แต่จะตายเพราะแม่ตัวเองนี่แหละ


 


 


           ระหว่างนั้นซังจิ่งก็มาอยู่สองครั้ง เป็นช่วงที่ซือเหยี่ยนไม่อยู่ทั้งนั้น


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่ได้ชอบหน้าซังจิ่งเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ถึงอย่างไรคนเขาก็เต็มใจช่วยมีน้ำใจให้ เจียงมู่เฉินจะทำหน้าเย็นชาใส่ตลอดก็ไม่ค่อยดีนัก


 


 


           อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตัวเองคือคนที่ต้องทำงานร่วมกัน ทำให้ความสัมพันธ์แข็งกระด้างเกินไปก็น่าเบื่อไปหน่อย


 


 


           ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงตัดสินใจเป็นมิตรกับซังจิ่งขึ้นมานิดหนึ่ง


 


 


           “เรื่องอุบัติเหตุวันนั้น ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว หน่วยงานก่อสร้างจะรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น ต่อไปเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ ถึงแม้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะไม่ได้รุนแรงเกินไป แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าครั้งหน้าจะโชคดีขนาดนี้หรือเปล่า จัดการความปลอดภัยพื้นฐานตั้งแต่ต้นให้ดี ดีกว่ามาเสี่ยงดวงเป็นไหนๆ


 


 


           “เรื่องของหลินไห่ต้องรบกวนประธานซังชั่วคราวไปก่อน รอแผลฉันหายดี ฉันถึงจะสอดส่องดูงานได้ตามปกติ”


 


 


           ซังจิ่งยิ้มร่า “ระหว่างพวกเราจะมาพูดรบกวนอะไรกัน คุณบาดเจ็บอยู่ ผมต้องใส่ใจงานมากขึ้นก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ”


 


 


           หลังจากเจียงมู่เฉินได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย


 


 


           ซังจิ่งพูดต่อ “พวกเราต่างก็เป็นผู้รับชอบของโครงการนี้ ไม่มีใครอยากให้โครงการเกิดปัญหา ไม่ใช่เหรอ”


 


 


           “งั้นก็รบกวนประธานซังช่วยดูงานหน่อยแล้วกัน”


 


 


           ซังจิ่งอยู่ต่อได้ไม่นาน สักพักหนึ่งก็ถูกโทรศัพท์เรียกตัวกลับไป เจียงมู่เฉินย่นคิ้ว คิดใคร่ครวญตกลงแล้วซังจิ่งมีจุดประสงค์อะไรกันแน่


 


 


           ‘บริษัทของเขาเองก็ไปได้ดี ไม่ถึงขนาดต้องมาเพ่งเล็งเจียงเฉินกรุ๊ปด้วยซ้ำ’


 


 


            ‘ถ้าไม่ได้เพ่งเล็งเจียงเฉินกรุ๊ป แล้วเพ่งเล็งอะไร’


 


 


           ‘หรือว่าเขาจะเพ่งเล็งตัวเอง?’


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดถึงตอนที่เจอซังจิ่งครั้งแรก ยามซังจิ่งเผยความรู้สึกอยากคุกคามเขาออกมา จนถึงความเป็นห่วงเป็นใยจนผิดปกติในตอนนี้


 


 


           ถ้าพูดถึงเมื่อก่อนยังคิดว่าท่าทางที่ซังจิ่งพยายามเข้าใกล้ตัวเองดูแปลกๆ ชอบกล มาตอนนี้ก็คิดตกทุกอย่างได้แล้ว


 


 


           ‘เพราะว่าเขาเล็งตัวเองไว้ ถึงได้เป็นฝ่ายเข้าหาตัวเองแบบนี้’


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเข้าเล็กน้อย ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าจะทำอย่างไรถึงจะสลัดเผือกร้อนลวกมืออย่างซังจิ่งทิ้งไปได้


 


 


           หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในที่สุดแผลตรงท้ายทอยก็หายดี


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูท้ายทอยที่ตัดไหมออกแล้ว เพราะว่าต้องเย็บแผล ทำให้ต้องโกนผมออกเป็นบริเวณใหญ่ ดูแล้วน่าเกลียดจนน่าตกใจทีเดียว


 


 


           คิ้วผูกเป็นปมเบาๆ รู้สึกว่าแบบนี้ทำร้ายใบหน้าได้รูปงดงามของตัวเองไม่เบา


 


 


           จ้องมองดูตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ๆ เจียงมู่เฉินคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง จะต้องซื้อวิกผมปลอมมาใส่ไหม


 


 


           ซือเหยี่ยนเดินเข้าประตูมา ก็เห็นเขาคิ้วขมวดยืนอยู่ตรงนั้น ขายาวเดินเข้าไป สวมกอดเจียงมู่เฉินตามสบายอย่างที่เคยชิน


 


 


           “คุณยืนส่องอะไรอยู่”


 


 


           “นายว่าฉันต้องซื้อวิกผมปลอมมาใส่ไหม ทรงผมนี้น่าเกลียดเกินไปแล้ว”


 


 


           สายตาซือเหยี่ยนจดจ้องที่ท้ายทอยของเจียงมู่เฉิน สังเกตดูพิจารณาโดยละเอียด พูดถึงความสวยอะไรไม่ได้เลย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ให้เขาเผ่นออกไปเต้นยั่วเสน่ห์เซ็กซี่อะไรที่หลานเยี่ยอีก


 


 


           เขาเข้าใกล้เข้าไปจูบตรงแผลที่ท้ายทอยของเจียงมู่เฉิน “ผมรู้สึกว่าดูดีมากเลย”


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบยื่นมือผลักเขาออก “ซือเหยี่ยน ขี้ตาบังตานายใช่ไหม น่าเกลียดขนาดนี้ นายยังมาทำเป็นพูดว่าดูดีอีก”

 

 

 


ตอนที่ 96-97

 

ตอนที่ 96 คืนนี้ชดเชยให้นาย


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูกตัวเอง ถ้าว่าเจียงมู่เฉินเป็นขี้ตาก้อนนี้ ขี้ตาบดบังดวงตาสองข้างของเขาจริงๆ แล้ว


 


 


           อลหม่านกันอยู่พักใหญ่ เจียงมู่เฉินถึงได้ยอมแพ้ที่จะกอบกู้ทรงผมหลังท้ายทอยที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่ของตัวเองคืนมา ซือเหยี่ยนคว้ากระเป๋าเดินทางของเจียงมู่เฉินไว้ในมือ “ไปกัน ผมจะส่งคุณกลับบ้าน”


 


 


           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่ากลับบ้านก็รีบพูดขึ้นมาทันใด “ฉันไม่กลับ เห็นหน้าแม่ฉันแล้วอยากอาเจียน”


 


 


           “คุณเห็นน้าเจียงแล้วอยากอาเจียนอะไรกัน ท่านไม่ได้ทำให้คุณอาเจียนสักหน่อย”


 


 


           “ฉันเห็นหน้าแม่ฉันแล้วนึกถึงซุปที่แม่เคี่ยวมาน่ะ…อย่าพูดอีกเลย พูดอีกฉันก็อยากอาเจียนอีก”


 


 


           ซือเหยี่ยนจนปัญญา “งั้นคุณจะไปไหน”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างจริงจัง “นายคิดจะรับฉันไปเลี้ยงสักหน่อยไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “รับมาเลี้ยงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้”


 


 


           “ฉันจ่ายค่าเช่าบ้านได้นะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนหยุดไปสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “ขออภัย ผมรับแค่ร่างกาย”


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขา เอ่ยอย่างเริงร่า “ได้ ร่างกายก็ร่างกาย”


 


 


           ถึงเวลาจะฉวยโอกาสชิงนอนกับซือเหยี่ยนก่อน ถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่จะอยู่บ้านเขาได้ ยังได้นอนกับเจ้าของบ้านอีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวทีเดียว


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดหาประโยชน์เข้าข้างตัวเองอยู่ในใจ รู้สึกว่าการซื้อขายนี้ช่างคุ้มค่า ตัวเองเป็นอัจฉริยะในด้านการทำธุรกิจเสียจริง


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินทำหน้าทำตาเจ้าเล่ห์คิดแผนจากในกระจก เขายกยิ้มมุมปากขึ้น แววตาอันลุ่มลึกฉายสะท้อนรอยยิ้มบางๆ


 


 


           ตัวคนก็เป็นฝ่ายมาส่งถึงประตูเอง ครั้งนี้ไม่กินเข้าไปอีกก็ต้องขออภัยปณิธานอันแรงกล้าของเจียงมู่เฉินแล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนตัดสินใจว่าคืนนี้จะมาเติมเต็มความปรารถนาของเจียงมู่เฉินให้อิ่มอกอิ่มใจสักหน่อย


 


 


           ระหว่างเดินทางกลับ ทั้งสองคนต่างพากันคิดแผนชั่วร้ายแสนมีเลศนัยกันอยู่ จนรถมาจอดที่หน้าคฤหาสน์ของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินถึงเดินเดินเปิดประตูเข้าบ้านไปอย่างคล่องแคล่ว ทำตัวตามสบายราวกับเป็นบ้านของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางของเจียงมู่เฉินแบบนั้นจึงเลิกคิ้วเงียบๆ


 


 


           ขลุกตัวอยู่บนโซฟาพักหนึ่ง เจียงมู่เฉินชักจะเริ่มเบื่อๆ จึงวิ่งแจ้นอย่างบันเทิงเริงใจไปจนถึงระเบียง เตรียมตัวจะเข้าไปแหย่แกล้งซือเหยี่ยนที่อ่านหนังสืออยู่


 


 


           เมื่อเขาสาวเท้าถึงระเบียงก็ดึงมือของซือเหยี่ยนขึ้นแล้วแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของซือเหยี่ยน


 


 


           เจียงมู่เฉินขยับตัวไปมาหาท่าที่สบายตัว ทำราวกับซือเหยี่ยนเป็นหมอนพิงหลังไม่มีผิด


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางแสนทะมัดทะแมงของเขาก็อดจะยักคิ้วไม่ได้ เจียงมู่เฉินถอยหลังเอนพิง “นายอ่านหนังสือเถอะ ฉันนอนได้”


 


 


           ซือเหยี่ยนอดทนอดกลั้นความคิดที่อยากจะเอาหนังสือหนีบความซุกซนอยู่ไม่สุขบนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน


 


 


           เขายังคงนอนท่าเดิม ปล่อยให้เจียงมู่เฉินพิงหลังอยู่ตรงนั้น แสงแดดสาดส่องบนระเบียง ช่างผ่อนคลายสบายกาย เดิมทีเจียงมู่เฉินก็แค่พูดไปส่งๆ ใครจะรู้ว่านั่งพิงแบบนี้จะง่วงขึ้นมาได้จริงๆ


 


 


           จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาคลอเคลียแนบชิดอยู่ใต้คางของซือเหยี่ยนพอดี มือซือเหยี่ยนที่จับดูหนังสืออยู่หยุดชะงักไป ก่อนวางหนังสือลงข้างตัว


 


 


           เจียงมู่เฉินยามหลับใหลช่างน่าเอ็นดูว่าง่ายอย่างบอกไม่ถูก ดูไร้พิษภัยเป็นพิเศษ เหมือนกับเด็กอายุสิบกว่าขวบไม่มีผิด


 


 


           ความเย่อหยิ่งอวดดีและมากด้วยเล่ห์กลกับดักของเขาดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย   


 


 


           ครู่ใหญ่ๆ ซือเหยี่ยนหยิบหนังสือข้างตัวขึ้นมาอีกครั้ง ทำหน้าที่เป็นหมอนอิงเวอร์ชันคนต่อไป พลางอ่านหนังสือไป เวลาทั้งช่วงบ่ายผ่านไปเร็วทีเดียว


 


 


           เจียงมู่เฉินผู้นอนหลับยาวจนถึงตอนค่ำชักจะอยู่ไม่สุขแล้ว


 


 


           ยามกินข้าวก็เอาแต่ปลุกปั่นซือเหยี่ยนไม่เลิก ทำเอาซือเหยี่ยนเกือบจะไม่กินข้าว แล้วไปจัดการอุ้มคนตรงหน้าส่งกลับห้อง แล้วฆ่าหมกห้องเสียแทน


 


 


           อดทนอยู่นานสองนาน ถึงทำให้เจียงมู่เฉินกินข้าวเสร็จได้


 


 


           ซือเหยี่ยนตวัดหางตามองเจียงมู่เฉินที่ยั่วยวนใจคนจนแทบทนไม่ไหวแล้วเส้นเลือดบนหน้าผากกระตุกไม่หยุด ขายาวก้าวเข้าไปหาเจียงมู่เฉินผู้นั่งสบายใจเฉิบบนเก้าอี้ สอดมืออุ้มอีกคนขึ้นมา


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นโอบรอบคอของซือเหยี่ยนแล้วโน้มตัวจูบลงไป


 


 


           ต่างฝ่ายต่างแลกรสจูบอันร้อนแรงรัญจวนใจ ยากจะพรากจากกัน


 


 


           เจียงมู่เฉินแนบชิดริมฝีปากของซือเหยี่ยน เอ่ยเสียงต่ำ “อยากให้ชดเชยให้ไม่ใช่เหรอ คืนนี้ชดเชยให้นายดีไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินในอ้อมกอดยามนี้เป็นร่างปีศาจแสนยั่วเสน่ห์เต็มขั้น ล่อลวงจิตวิญญาณโดยเฉพาะ ชักนำดึงหัวใจทั้งดวงของซือเหยี่ยนให้มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น ซือเหยี่ยนงับเขาไปที พร่ำเสียงแหบพร่าเบาๆ “คุณพูดเองนะ”  


 


 


 


 


ตอนที่ 97 แค่จูบๆ กันสิ


 


 


           เจียงมู่เฉินหลุดขำออกมา “คุณชายเจียงอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้น ไม่มีผิดคำสัญญาหรอก”


 


 


           เสียงพูดเจียงมู่เฉินเพิ่งจะหยุดลง ทั้งตัวก็โดนซือเหยี่ยนจับกดลงไป เขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับก็โดนซือเหยี่ยนจับมือกดไว้อีกจนกระดุกกระดิกไม่ได้ โดนกดจูบลงไปทั้งอย่างนั้น


 


 


           ท่ามกลางริมฝีปากสัมผัสนั้น เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน แรงสักนิดก็ไม่มีแล้ว


 


 


           ยามตกเป็นเบี้ยล่าง เจียงมู่เฉินอดคิดไม่ได้ว่า ตอนเด็กซือเหยี่ยนคนนี้กินอะไรนะ ทำไมตัวเองถึงอ่อนแอกว่า สู้แรงกำลังของเขาไม่ได้เลย


 


 


           “นาย…นาย เดี๋ยวๆ …โอ๊ะ…” ซือเหยี่ยนยามปกติใบหน้านิ่งดูเย็นชา เวลานี้กลับจูบเขาเร่าร้อนเกินจะทน


 


 


           แม้แต่โอกาสจะเปิดปากยังไม่ให้เขาสักนิด


 


 


           คอเสื้อของเสื้อเชิ้ตไม่รู้ว่าถูกดึงออกตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็เริ่มจะรู้สึกเหมือนจะงานเข้าแล้ว เดิมทีคิดมาดีแล้วว่าจะเป็นฝ่ายจับกดไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้กลายเป็นโดนซือเหยี่ยนจับกดไปได้


 


 


           โดนซือเหยี่ยนจับกดแบบนี้ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องนี้เลย


 


 


           “นี่…เดี๋ยวก่อนสินาย”


 


 


           “อะไร”


 


 


           “ฉันว่า แค่จูบกันก็ได้แล้วมั้ง” เจียงมู่เฉินหายใจหอบไปพูดไป


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว น้ำเสียงแอบแหบพร่าอย่างบอกไม่ถูก “คุณคิดว่า ห้ามกันได้เหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินมือร้อนผ่าวรีบสะบัดมือออก “อ้าวเฮ้ย นายนี่มัน…เกินไป” อะไรเกินไปวะ เจียงมู่เฉินตื่นตระหนกจนลืมไปแล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนจับเจียงมู่เฉินกดลงไปอีกครั้ง “คุณพูดเองแล้วว่าจะชดเชยให้ผม”


 


 


           สิ้นเสียง ไม่รีรอให้เจียงมู่เฉินได้โต้ตอบอะไร ก็งับริมฝีปากของเขาซ้ำอีก ยามเห็นเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ ของตัวเองกำลังจะกลายเป็นเศษผ้า มือถือที่วางข้างๆ ตัวก็ดังขึ้นมากะทันหัน


 


 


           เจียงมู่เฉินแววตาลุกวาว รีบเตะสะกิดเขา “เดี๋ยวก่อนสิ มือถือนายดังแล้ว”


 


 


           “ไม่สน” ซือเหยี่ยนเตรียมพร้อมจะจูบเขาต่อ


 


 


            เสียงเรียกเข้ามือถือดังประท้วงในอากาศไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ ดังต่อเนื่องไม่มีหยุด วนเวียนจนทำให้ซือเหยี่ยนหมดหนทางจะมองข้ามมันไปได้


 


 


           เขาสะกดอารมณ์รุ่มร้อนแสนฮึกเหิมที่อยากจะจับเจียงมู่เฉินกดเอาไว้ ยื่นมือหยิบมือถือ ยามเห็นชื่อปรากฏบนหน้าจอก็ชะงักค้างไป


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องซือเหยี่ยนตาไม่กะพริบ รู้สึกว่าเขาในมาดแบบนี้เซ็กซี่อยู่ไม่เบา


 


 


           “ฮัลโหล เหวินฮุ่ย มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า” ซือเหยี่ยนกดเสียงต่ำเอ่ย


 


 


           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินชื่อ ‘หลินเหวินฮุ่ย’ เพียงพริบตาเดียวเสียงในใจก็ดังเตือนขึ้นมา เขายังไม่ลืมเรื่องที่ซือเหยี่ยนตั้งใจเตรียมของขวัญวันเกิดให้เธอเป็นพิเศษเมื่อครั้งก่อน


 


 


           “ตอนนี้เหรอ” ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย


 


 


           ไม่รู้ว่าปลายสายทางนั้นพูดว่าอะไร เห็นแค่ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “ได้ ฉันรู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้”


 


 


           หลังจากวางสายไป ซือเหยี่ยนยกมือขึ้นติดกระดุมที่ไม่รู้ว่าถูกเจียงมู่เฉินปลดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


           “นายจะไปทำอะไร ไม่คิดจะบอกอะไรฉันหน่อยเหรอ” เจียงมู่เฉินหรี่ตามองเขา


 


 


           “เหวินฮุ่ยปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ผมจะไปดูสักหน่อย” ซือเหยี่ยนเอ่ยอธิบายเสียงต่ำ


 


 


           “งั้นนายจะไปตอนนี้เลยเหรอ” ดวงตาดำขลับของเจียงมู่เฉินเย็นชาขึ้นมาฉับพลัน


 


 


           ‘ทิ้งเขาไปกลางดึก แล้วไปหาผู้หญิงที่คิดไม่ซื่อกับเขานี่นะ…’


 


 


           “ข้างกายเธอไม่มีใคร ผมจำเป็นต้องไปดู”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ เขาจัดแจงสวมเสื้อผ้าที่ถูกซือเหยี่ยนปลดออกกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง “โอเค นายไปเถอะ ฉันไม่รบกวนนายแล้ว เวลานี้หลานเยี่ยคงจะคึกคักน่าดู ฉันไปนั่งเล่นที่นั่นก็ใช่ว่าจะไม่ได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินพูดไป พลางเตรียมตัวจะออกไป


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาของเขา ก็ขมวดคิ้วขึ้น ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกตัวเองกระชากหลุดไป เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่อง ดูเกียจคร้านมากเป็นพิเศษ


 


 


           เจียงมู่เฉินในสภาพแบบนี้ไปหลานเยี่ย…


 


 


           ซือเหยี่ยนปวดขมับ รีบคว้าตัวอีกคนไว้


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ยังมีธุระอยู่ไม่ใช่เหรอ นายมาจับฉันไว้ทำไม รีบไปสิ”


 


 


           ซือเหยี่ยนกุมขมับเอ่ยเสียงต่ำ “คุณไปด้วยกันกับผม”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาขำๆ “ฉันไม่สนใจจะนั่งมองนายกับเธอปลอบใจกันหรอกนะ”

 

 

 


ตอนที่ 98-99

 

ตอนที่ 98 ไม่มีกะจิตกะใจจะมาโกรธนาย


 


 


           ซือเหยี่ยนคว้ามือเขาเอาไว้ “นอกจากคุณ ผมก็ไม่คิดจะปลอบใจใครหน้าไหนทั้งนั้น”


 


 


           ความเย็นชาในแววตาเจียงมู่เฉินสลายลงบ้างเพียงเล็กน้อย เจียงมู่เฉินตีมึนเชิดคางมองซือเหยี่ยน “ฉันเป็นคนประเภทที่ฟังคำหวานแล้วเชื่อเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนช่วยเขาจัดแจงเสื้อผ้า “อืม งั้นตอนนี้คุณเชื่อผมไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น “เชื่อนายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาขำๆ “งั้นก็เชิญคุณชายเจียงทางนี้”


 


 


 


 


           กลางดึก ซือเหยี่ยนรีบขับรถพาเจียงมู่เฉินมุ่งตรงไปที่คอนโดมีเนียมที่หลินเหวินฮุ่ยพักอยู่


 


 


           ซือเหยี่ยนเดินอย่างทะมัดทะแมงถึงหน้าประตูคอนโดมีเนียมแล้วเคาะประตู


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางดูคล่องแคล่วคุ้นเคยของเขา แล้วเบ้ปากใส่ เห็นทันทีก็รู้ว่าเมื่อก่อนคงจะมาบ่อยครั้งทีเดียว


 


 


           รอสักพักใหญ่ๆ ประตูถึงถูกเปิดออก หลินเหวินฮุ่ยเอามือกุมท้องด้วยความเจ็บปวดจนยืดตัวตรงไม่ได้ “พี่ซือเหยี่ยน จู่ๆ ฉันก็ปวดท้องขึ้นมากะทันหันน่ะค่ะ”


 


 


           เธอเจ็บปวดจนใบหน้าซีดเผือด ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสงสารไม่น้อย


 


 


           “ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล” ไม่พูดต่อเป็นครั้งที่สอง ซือเหยี่ยนก็เข้าไปประคองตัวหลินเหวินฮุ่ยให้เดินออกมาข้างนอก


 


 


           เดินพ้นประตูไป หลินเหวินฮุ่ยถึงเพิ่งเห็นเจียงมู่เฉิน เพียงชั่วพริบตาที่พบหน้าเขา สีหน้าท่าทางของหลินเหวินฮุ่ยดูซับซ้อนทันที


 


 


            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปวดท้องจนไม่มีแรงจะทักทายเจียงมู่เฉิน หรือเพราะเหตุผลอย่างอื่น เธอไม่พูดอะไรสักคำเอาแต่กุมท้องเอาไว้


 


 


           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ทั้งสองคนสบตากัน ซือเหยี่ยนถึงได้เอ่ย “ช้าหน่อยนะ”


 


 


           ประคองพาคนเจ็บเข้ารถอย่างปลอดภัย เจียงมู่เฉินมานั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับด้วยตัวเอง ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ ในบางครั้งก็มีเสียงหายใจอย่างยากลำบากแสนทรมานของหลินเหวินฮุ่ยดังขึ้นมา


 


 


           บรรยากาศค่อนข้างแปลกทีเดียว


 


 


           เจียงมู่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง คิ้วย่นขึ้นเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน ดึกขนาดนี้อยู่เป็นเพื่อนซือเหยี่ยนส่งผู้หญิงไปโรงพยาบาลเนี่ยนะ


 


 


           แม่เขายังไม่ทำอะไรให้แบบนี้เลย


 


 


           แต่ว่าเหตุเกิดขึ้นฉุกเฉินเช่นนี้ เจียงมู่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่เดินตามอยู่ข้างหลัง กว่าจะส่งคนเข้าโรงพยาบาลไม่ใช่ง่ายๆ ทรมานอยู่สักพักถึงเพิ่งได้ถูกส่งตัวเข้าห้องผู้ป่วย


 


 


           ผู้หญิงยามไม่สบายขึ้นมาจะออดอ้อนมากว่าปกติ เธอกอดเกี่ยวมือของซือเหยี่ยนไว้ ไม่ยอมปล่อย ซือเหยี่ยนจะผละออกจากเธอ ไม่สนใจเธอก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำได้แต่อยู่เป็นเพื่อนเธอไม่กี่นาที รอจนเธอหลับแล้วถึงออกมา


 


 


           เจียงมู่เฉินพิงกายอยู่นอกประตู ก้มหัวลงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


           ซือเหยี่ยนก้าวเดินเข้าไปหา จับมือเจียงมู่เฉินเอาไว้ “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินส่ายหัว ชักมือตัวเองออกมาจากมือของซือเหยี่ยนด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น “ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน”


 


 


           ซือเหยี่ยนคว้าตัวเขาเอาไว้ทันที “โกรธเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินฉีกมุมปากขึ้น “ได้ไงล่ะ ฉันจะโกรธอะไรได้เหรอ”


 


 


           “คุณโกรธได้” ซือเหยี่ยนกุมมือของเขาไว้หนักแน่น


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาขำๆ “ต่อให้ฉันโกรธแล้วจะมีความหมายอะไร นายจะผละออกจากเธอ ไม่สนใจเธอได้เหรอ ซือเหยี่ยนดึกจนป่านนี้แล้ว ฉันเหนื่อยมากนะ ไม่มีกะจิตกะใจเรี่ยวแรงอะไรมายุ่งเรื่องนี้กับนายหรอก”


 


 


           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วมองเจียงมู่เฉิน


 


 


“เอาล่ะ นายก็อยู่ที่นี่ดูแลให้ดีๆ เถอะ ฉันไปนะ”


 


 


ซือเหยี่ยนยังไม่ยอมปล่อยมือ


 


 


เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “นายเป็นบ้าใช่ไหม นายไม่นอนยังจะไม่ให้ฉันนอนอีกหรือไง”


 


 


ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงต่ำ “ไม่ไปหลานเยี่ยเหรอ”


 


 


“ไปหลานเยี่ยน้องสาวนายสิ ฉันไม่มีอารมณ์ ฉันอยากกลับบ้านไปนอน” เจียงมู่เฉินสลัดมือของเขาออก


 


 


“ดูแลหลินเหวินฮุ่ยน้องสาวของนายให้ดีๆ เถอะ อย่ามัวแต่มาหาเรื่องฉัน”


 


 


เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป


 


 


‘นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน กว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เตรียมตัวจะมาสวีทหวานกับซือเหยี่ยนสักหน่อย ตอนนี้ยังมียัยน้องสาว หลินเหวินฮุ่ยป่วยเข้าโรงพยาบาลไปอีก’


 


 


เจียงมู่เฉินอดจะคิดไม่ได้ว่า ช่วงเวลานี้เขามีดวงชงกับโรงพยาบาลหรือเปล่า


 


 


เดินมาจนถึงลานจอดรถ เจียงมู่เฉินเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขานั่งรถซือเหยี่ยนมา ตอนนี้ซือเหยี่ยนอยู่ในโรงพยาบาลเฝ้าไข้หลินเหวินฮุ่ยของเขาอยู่ คงจะไม่ได้นึกถึงเขาเลย


 


 


เจียงมู่เฉินโกรธจนทนไม่ไหว ยกเท้าขึ้นถีบรถของซือเหยี่ยน


 


 


เสียงเท้ากระแทกกับรถดังขึ้น ทันใดนั้นเสียงสัญญาณกันขโมยก็ดังขึ้นตามมา


 


 


เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมยเสียงนั้น ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าห้องผู้ป่วย กระชากดึงตัวซือเหยี่ยนขึ้นมาฟาด   


 


 


 


 


ตอนที่ 99 ปลงไม่ตกขนาดนี้


 


 


           เจียงมู่เฉินโมโหจนเอาเท้าถีบใส่รถอีกครั้งเพื่อระบายไฟโทสะในใจ


 


 


           ถีบเสร็จครั้งนี้ เจียงมู่เฉินเตรียมจะออกไปเรียกรถกลับบ้านนอน ดึกๆ ดื่นๆ ขนาดนี้กลับมาถีบรถอย่างกับคนบ้าไม่มีผิด คุณชายเจียงผู้มีมาดผู้ดีแสนองอาจตั้งใจเปลี่ยนแนวเป็นคนบ้าแล้วจริงๆ


 


 


           “คุณคิดจะถีบรถผมจนพังไปเลยหรือไง” เสียงทุ้มต่ำของซือเหยี่ยนดังมาจากข้างหลัง


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตาไป มองเห็นซือเหยี่ยนยืนอยู่ข้างหลังตัวเอง


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่ได้หวาดกลัวเรื่องที่ถีบรถเขา เขามองหน้าหาเรื่องอีกฝ่ายเต็มที่ “ทำไม ฉันถีบนายไม่ไหว มาถีบรถนายไม่ได้หรือไง”


 


 


           ซือเหยี่ยนขำพร้อมยกยิ้มมุมปากขึ้น “ถีบได้อยู่แล้ว ต่อให้คุณอยากจะถีบผม ผมก็ยอม”


 


 


           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ฉันฟังคำพูดไร้สาระของนายอยู่ต่างหาก” เขาพูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป


 


 


           “ดึกขนาดนี้คุณคิดจะกลับยังไง” ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงเรียบๆ


 


 


            “นายสนใจว่าฉันจะกลับยังไง ฉันคุณชายเจียงมีมือมีเท้านะ จะกลับไปเองไม่ได้หรือไง” เจียงมู่เฉินมองอีกฝ่ายอย่างกับคนโง่


 


 


           “ขึ้นรถสิ ผมจะไปส่งคุณ” ซือเหยี่ยนเปิดประตูรถ


 


 


           “ไม่ขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้นายมาส่งฉัน” เขากำลังหงุดหงิด หน้าซือเหยี่ยนสักนิดก็ไม่อยากมอง


 


 


           “อย่าดื้อเลย ดึกมากแล้ว ผมจะส่งคุณกลับไปเอง” ซือเหยี่ยนโอ๋เจียงมู่เฉินอย่างอารมณ์ดี


 


 


           “นายกลับไปอยู่เป็นเพื่อนหลินเหวินฮุ่ยเลย ฉันไม่ต้องการนาย”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางดื้อรั้นของเขา ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ผมหาคนมาดูแลเธอแล้ว ผมจะส่งคุณกลับบ้าน”


 


 


           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน “นายไปตอนนี้ ไม่เป็นห่วงเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสที่เขายังงุนงง ดันตัวเขาเข้าในรถไป “เทียบกับเธอแล้ว ผมเป็นห่วงคุณมากกว่า”


 


 


           เจียงมู่เฉินที่ขนตั้งตรงพองตัวราวกับแมวยามขู่ศัตรู เพียงพริบตาเดียวก็ถูกลูบขนให้เรียบลงแล้ว นั่งในรถอย่างว่าง่ายให้ซือเหยี่ยนส่งเขากลับบ้าน


 


 


           ระหว่างเดินทาง เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา “ฉันไม่ได้บอกให้นายเมินเธอนะ”


 


 


           เขาโมโหอยู่ก็จริง แต่ว่าถึงยังไงเธอก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ผู้ชายอย่างเขาจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่


 


 


           “ผมมีเพื่อนเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผมให้เขาช่วยผมดูแลเธอ ไม่เป็นไรหรอก วางใจเถอะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดไม่ได้พูดอะไรออกไป สถานการณ์ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีความหมาย ไม่พูดยังจะดีเสียกว่า


 


 


           ขับมาตลอดทางจนถึงหน้าคฤหาสน์ของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินชะงักงัน “ไม่ใช่ว่าจะส่งฉันกลับบ้านหรอกเหรอ ทำไมถึงมาบ้านนายล่ะ”


 


 


           “ที่นี่ก็เป็นบ้านของคุณ ไม่กลับมาที่นี่แล้วคุณจะกลับไปที่ไหน”


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ เดินเข้าประตูขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำ ซุกตัวใต้ผ้าห่มแล้วนอนหลับไปทั้งอย่างนั้น ทั้งคืนเจอเรื่องวุ่นวายกวนใจขนาดนี้ เขาไม่มีอะไรอยากจะพูดแล้ว


 


 


           เช้าวันต่อมา ซือเหยี่ยนออกไปก่อนแล้ว


 


 


           เจียงมู่เฉินล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปร้านทำผมร้านที่เคยไปเป็นประจำเมื่อก่อน ท้ายทอยถูกโกนผมออกเป็นบริเวณใหญ่ น่าเกลียดจนไปสู้หน้าใครไม่ได้


 


 


           “คุณชายเจียง วันนี้คุณอยากได้ทรงผมแบบไหนครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่ได้คิดเอาไว้ “แล้วแต่แล้วกัน นายดูเองเลยว่าจะตัดทรงไหน”


 


 


           “งั้นก็ได้ครับ ผมจะตัดผมคุณให้สั้นขึ้นมาหน่อยแล้วกันนะครับ”


 


 


           สิบนาทีผ่านไป เจียงมู่เฉินดูตัวเองในกระจก หางตากระตุกแล้วกระตุกอีก เขายอมให้ช่างดูว่าจะตัดทรงไหนก็จริง แต่ไม่ได้ให้ตัดตามใจสบายๆ ขนาดนี้


 


 


           ทรงผมเดิมยาวถึงหลังหู โดนตัดมาอยู่บนหูแล้ว คุณชายเจียงหนุ่มเพลย์บอยรูปงามกลายเป็นผู้ชายหัวพระอาทิตย์เปล่งแสง…


 


 


           อารมณ์เจียงมู่เฉินชักจะซับซ้อนขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


           หลังจากจ้องมองทรงผมสั้นของตัวเองแล้วจากไป เจียงมู่เฉินก็มุ่งหน้าไปหลานเยี่ย เจ้าตัวเพิ่งจะเดินเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้รับสายตาตกตะลึงแปลกใจเรียงต่อกันอย่างไม่ขาดสาย


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นสายตาพวกเขามารวมกันอยู่ที่ทรงผมของตัวเอง ก็อดจะถอนใจไม่ได้ ทรงผมทรงนี้ของเขามันน่าเกลียดขนาดนั้นเชียวเหรอ


 


 


           ‘ไม่ได้หรอกมั้ง เขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ต่อให้โกนผมจนหัวโล้นมา ก็ควรจะเป็นแบบนักบวชหนุ่มรูปงามสิ’


 


 


         เดินเข้าห้องรับรองได้ไม่นาน เฉิงฉีก็เดินตามเข้ามา หลังจากได้มองเจียงมู่เฉินชัดๆ เขาทำหน้างุนงงอยู่ในที


 


 


           “เกิดอะไรขึ้นกับนาย ปลงไม่ตกขนาดนี้เลยเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้น


 


 


           “หัวโดนกระแทกจนเอ๋อ”

 

 

 


ตอนที่ 100-101

 

ตอนที่ 100 โดนตะปู


 


 


           ราวกับเฉิงฉีมองเห็นสิ่งของแปลกประหลาดไม่มีผิด สังเกตดูพินิจพิเคราะห์อยู่นานสองนาน เจียงมู่เฉินโดนเขามองแบบนี้รู้สึกว่าหัวตัวเองไม่ต่างจากสินค้าที่ต้องขายอย่างไรอย่างนั้น


 


 


           “ดูพอหรือยัง”


 


 


           เฉิงฉีกลั้นขำ “อย่าเพิ่งพูดสิ ยังมองไม่อิ่มเลย”


 


 


           “ขี้เหร่ขนาดนั้นจริงๆ เหรอ” ยามเจียงมู่เฉินเอ่ยถามประโยคนี้ออกไป ใจก็เริ่มแป้วแล้ว


 


 


           เฉิงฉีมองเขาอย่างจริงจังแวบหนึ่ง “ก็พอได้มั้ง ก็ขี้เหร่เป็นปกติทั่วไป”


 


 


           เจียงมู่เฉินเอาหน้าซุกไปกับหมอน ตอนนี้เขาพุ่งตัวกลับไปเอาผมกลับคืนมา ยังทันอยู่ไหม


 


 


           “เกิดอะไรขึ้นกับนายถึงทำท่าทางหมดอาลัยตายอยากแบบนั้น”


 


 


           “ภาพลักษณ์คุณชายสลายไปหมดแล้ว ยังมีอะไรให้ต้องอาลัยอีก”


 


 


           “ที่จริงก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น จริงๆ” เฉิงฉีกล่าวอย่างหนักแน่นและจริงใจ


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าคำพูดรับประกันของอีกฝ่ายไม่มีค่าอะไรให้เชื่อถือได้เลย


 


 


           เขาเป็นทุกข์ได้ไม่นานก็ลืมเรื่องนี้ไป เฉิงฉีจ้องมองเขา “พักนี้นายหายไปไหนมา ตั้งแต่คืนนั้นที่นายออกไปก็ไม่มาให้เห็นหน้าอีกเลย”


 


 


           “อย่าพูดถึงเลย พ่อฉันให้ฉันไปช่วยเขาดูโครงการ เพิ่งจะไปดูงานก็โดนตีหัว เข้าโรงพยาบาล เมื่อวานเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมา”


 


 


           “พ่อนายให้นายไปช่วยงานที่บริษัทแล้วเหรอ” เฉิงฉีค่อนข้างแปลกใจทีเดียว


 


 


           “ก็ไม่ขนาดนั้น แค่ให้ฉันช่วยเขาสอดส่องสักหน่อย ฉันกะว่าอีกสองปีค่อยเข้าบริษัทเต็มตัว ยังไม่อยากรับช่วงต่อในตอนนี้”


 


 


           เฉิงฉีถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าพ่อนายจะให้นายลงมาดูงานแล้ว ดูท่าว่าไม่ช้าก็เร็วนายจะเลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่ว่าก็จริงนะ ตระกูลนายมีนายเป็นลูกชายคนเดียว ไม่ช้าก็เร็วนายก็ต้องรับช่วงต่อเจียงเฉินกรุ๊ปอยู่ดี”


 


 


           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “ค่อยว่ากันเถอะ”


 


 


           หลังจากที่เฉิงฉีกลับไป เจียงมู่เฉินก็เอนกายบนโซฟามองออกไปนอกหน้าต่าง เรื่องที่เกิดขึ้นมาช่วงนี้เกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกับพ่อหรือเรื่องซือเหยี่ยน


 


 


           เจียงมู่เฉินกุมขมับใจร้อนรนไม่เป็นสุข


 


 


           เขาพิมพ์ข้อความหามั่วไป๋ คราวก่อนไอ้หมอนั่นบอกว่าจะกลับมา ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่


 


 


           ส่งข้อความไปตั้งนาน ทางนั้นเพิ่งได้ตอบกลับมา


 


 


           [พรุ่งนี้บ่ายสองถึงถานโจว อย่าลืมมารับฉันด้วย]


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นข้อความนี้ก็เด้งตัวขึ้นมาทันที พรุ่งนี้ก็มาถึงแล้ว คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋จะยังไม่ได้บอกเขา ถ้าเขาไม่ถาม มั่วไป๋จะรอให้ถึงถานโจวก่อนแล้วค่อยบอกเขาใช่ไหม


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบหาข้อมูลเที่ยวบินที่มั่วไป๋ให้เขามาอย่างรวดเร็ว จดจำเวลาในหัวเรียบร้อย แล้วถึงได้กลับไปเอนพิงโซฟา


 


 


           นอนหลับในหลานเยี่ย พอตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็มืดแล้ว เจียงมู่เฉินดูเวลาแล้วพุ่งตรงลงไปชั้นหนึ่ง ในไนต์คลับกำลังเป็นเวลาครึกครื้นกันอยู่พอดี


 


 


           เจียงมู่เฉินมีเหล่าก๊วนเพื่อนกินอยู่รอบกายมาตลอด คราวนี้เฉิงฉีไม่อยู่หลานเยี่ยจึงเหลือเขาเพียงคนเดียว


 


 


           หาที่เงียบๆ นั่งกับหยิบขวดเหล้าหนึ่งขวดไป เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่เจียงมู่เฉินนั่งกินเหล้าเงียบๆ อยู่ตรงนั้น


 


 


           เซวียยางดื่มเหล้าอยู่หลานเยี่ยมาได้สักพัก กำลังจะเตรียมตัวออกไป ก็เห็นเจียงมู่เฉินนั่งดื่มเหล้าคนเดียวอยู่พอดี เขาชะงักฝีเท้าที่จะเดินออกจากหลานเยี่ยเอาไว้ หันหัวเรือเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย


 


 


           “คุณชายเจียงรู้จักผมไหมครับ” เซวียยางยืนอยู่หน้าโต๊ะ


 


 


           เจียงมู่เฉินเอนพิงอยู่ตรงนั้น กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกคุ้นๆ หน้าอยู่นิดหน่อย “ไม่รู้จัก”


 


 


           จู่ๆ เซวียยางก็หัวเราะออกมา


 


 


           “คุณเป็นตะปู[1]ตัวแรกที่ผมโดน”


 


 


           เจียงมู่เฉินนั่งยืดตัวตรง รินเทเหล้าตามใจตัวเอง “อืม นายวางใจเถอะ ฉันจะไม่เป็นตัวสุดท้ายหรอก”


 


 


           ‘คุณชายเจียงนี่เย่อหยิ่งสมคำล่ำลือที่เขาได้ยินมาจริงๆ’


 


 


           เซวียยางนั่งลงตรงข้ามเจียงมู่เฉิน เอนกายพิงที่นั่งตามอำเภอใจ เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ฉันเชิญนายแล้วเหรอ”


 


 


           เซวียยางยักไหล่ “เปล่าครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นด้วยความเยือกเย็น “โอ้ รู้ตัวดีนี่”


 


 


           เซวียยางลูบปลายจมูกไปมา “กับคุณชายเจียงไม่จำเป็นต้องแกล้งทำตัวเรียบร้อยหรอกมั้งครับ”


 


 


           “ดื่มกันสักแก้วมั้ย” เจียงมู่เฉินเสนอ


 


 


 


 


[1] โดนตะปู สำนวนจีน เปรียบเปรยว่า ถูกปฏิเสธ ถูกบอกปัด ถูกตอกกลับมาจนหงายหลัง


 


 


 


 


ตอนที่ 101 เป้าหมายคืออะไร


 


 


           “หาได้ยากจริงๆ” เดิมทีเขาคิดจะคุยกับคุณชายเจียงแค่ไม่กี่คำ ไม่คิดว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้นี้จะไม่ไล่เขาไป ยังให้เขาอยู่ดื่มเหล้าด้วยอีก


 


 


           ‘ไม่พูดไม่ได้เลยออกจะเหนือความคาดหมายไปสักหน่อย’


 


 


           เจียงมู่เฉินให้คนไปเอาแก้วมาให้เซวียยาง แล้วยังรินเหล้าให้เขาอีก เซวียยางตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดคิดไม่ถึง “ผมคงจะไม่ใช่คนแรกที่ได้ดื่มเหล้าที่คุณรินให้หรอกใช่ไหมครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินที่กำลังเทเหล้ารินลงแก้วชะงักไป เขาคิดไม่ค่อยจะออก พยักหน้าไปตามใจนึก “คงจะมั้ง”


 


 


           “คุณชายเจียงอารมณ์ไม่ดีเหรอครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “นายคงจะไม่ใช่พวกชวนคุยปรับทุกข์อะไรหรอกนะ”


 


 


           เพียงครู่เดียวเซวียยางก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณชายเจียงนี่มีอารมณ์ขันไม่เบาเลยนะครับ”


 


 


           “นายเป็นเพื่อนกับซังจิ่งเหรอ”


 


 


           เซวียยางชะงักงันไปครู่หนึ่ง “เอ๊ะ คุณรู้จักผมด้วยเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายคิดจริงๆ เหรอว่าฉันจะมาดื่มเหล้ากับคนที่ฉันไม่รู้จักน่ะ” เขายังไม่ขี้แพ้ถึงขั้นนั้นหรอกนะ


 


 


           “ถ้าแบบนั้น คุณให้ผมมาดื่มเหล้ากับคุณ มีอะไรอยากถามเหรอครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเผยรอยยิ้มแรกของคืนนี้ออกมา “ฉันชอบคุยกับนาย” ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม


 


 


           “ให้ผมทายนะ” เซวียยางมองเขา “เรื่องซังจิ่งเหรอ”


 


 


           “ทำไมเขาถึงตามตอแยฉันไม่เลิกสักที อย่าบอกฉันนะว่าเขาชอบฉันเข้าแล้วจริงๆ น่ะ”


 


 


           เซวียยางเห็นแววตาของเจียงมู่เฉินเปลี่ยนไป เดิมทีเขาคิดว่าคุณชายน้อยผู้นี้มีใบหน้าเป็นที่ปรารถนาของใครต่อใคร ที่เหลืออย่างอื่นไม่ได้มีอะไรน่าดึงดูด


 


 


           เวลานี้มาพินิจดู คุณชายน้อยผู้นี้ไม่ได้เหมือนที่ใครๆ ว่ากัน เป็นเพียงแค่คนที่อยู่ใต้เงาของพ่อแม่ ไม่ได้เรื่องอะไร


 


 


           มีแค่เขาเท่านั้นที่สังเกตเห็นเรื่องนี้ คนธรรมดาทั่วไปมองไม่เห็น


 


 


           “ทำไมถึงไม่เชื่อเขาว่าเขาชอบคุณจริงๆ ล่ะ” เซวียยางค่อนข้างแปลกใจและอยากรู้


 


 


           “คนที่เจอหน้าฉันครั้งแรกแล้วพยายามเข้าใกล้ฉัน จะชอบฉันได้จริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินยังไม่ลืมครั้งแรกที่ได้เจอกับซังจิ่ง ได้เห็นแววตาคุกคามเขาอย่างชัดเจน ไม่มีทางจะเป็นแววตาที่มีต่อคนที่ชอบเด็ดขาด


 


 


           “ดังนั้น เป้าหมายของเขาคืออะไร หรือจะบอกว่าเป้าหมายของพวกนายคืออะไร”


 


 


           เซวียยางเห็นแววตาของเจียงมู่เฉินเริ่มจริงจัง “อ้อ คุณคิดว่าเป้าหมายของเขาจะเป็นอะไรได้ละครับ”


 


 


           “เจียงเฉินกรุ๊ปหรือว่าฉัน” สายตาสุขุมจริงจังของเจียงมู่เฉินจับจ้องมาที่ใบหน้าของเซวียยาง ราวกับอยากจะดูว่าเขาจะแสดงสีหน้าอะไรออกมาบ้าง


 


 


           ในใจเซวียยางบีบรัดยามเขามองมา นาทีนั้นคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะกำมือแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ


 


 


           “คุณชายเจียงคิดกังวลมากไปแล้ว บางทีตอนนี้ซังจิ่งอาจจะยังไม่ได้ชอบคุณ แต่ผมกล้ายืนยัน เลยว่าเขาชอบใบหน้าของคุณ”


 


 


           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ใบหน้าของฉัน? ในถานโจวนี้คนที่หน้าตาดีกว่าฉันก็มีไม่น้อยหรอกมั้ง”


 


 


           นิ้วมือเซวียยางบีบแก้วเหล้าไว้เบา “แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คุณชายเจียง ไม่ใช่เหรอครับ”


 


 


           คนหน้าตาดีในถานโจวมีอยู่มากก็จริง แต่ไม่มีใครจะมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครเหมือนแบบเจียงมู่เฉินได้ แค่ร่างกายภายนอกใช้ได้จะมีความหมายอะไร


 


 


           เช่นคนเย่อหยิ่งอย่างเจียงมู่เฉิน หากเอาชนะได้คงจะรู้สึกภูมิใจไม่น้อยเลย


 


 


           “ช่วยฉันฝากไปบอกซังจิ่งที ถ้าเขาอยากจะเล่นเกมกับฉัน ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กล้าเล่น เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะแพ้ใครจะชนะ ยังระบุไม่ได้หรอกนะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาเย็นชาเด็ดเดี่ยว


 


 


           เซวียยางหัวเราะ “ได้ครับ จะไม่ตกหล่นสักคำแน่นอน”


 


 


           เจียงมู่เฉินวางแก้วเหล้าลง “สิ่งที่ฉันควรจะพูดก็พูดไปหมดแล้ว คงไม่ได้นั่งดื่มเหล้าเป็นเพื่อนกันกับประธานเซวียต่อ ขอตัวก่อน”


 


 


           เซวียยางยกมุมปากขึ้น “ที่จริงผมกลับอยากจะเป็นเพื่อนกับคุณชายเจียงนะครับ”


 


 


           “บังเอิญน่าดู ฉันไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับนาย” เขาหยุดครู่หนึ่ง “รวมถึงซังจิ่งด้วย”


 


 


           เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากหลานเยี่ย แผ่นหลังแสนเย่อหยิ่งทะนงตัวไม่ต่างจากตัวคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบ เซวียยางยกยิ้มมุมปาก เอ่ยกับมือถือที่เปิดเอาไว้ตลอด “ที่คุยกัน ได้ยินหมดแล้วหรือยัง”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม