(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 8

ตอนที่ 8 ดอกไม้ราตรี 



เมื่อได้ฟังความนั้น จาฮอนก็ส่งคนไปยังจวนของแพคมูกิลทันที 


 


 


[รักษาศพเอาไว้จนกว่าคนจากวังหลวงจะไปถึง หากได้รับความเสียหาย ก็จงจัดการทุกอย่างที่มองเห็นทั้งหมดเสีย] 


 


 


เมื่อคำสั่งนี้ถูกถ่ายทอดออกมา บรรดาคนรับใช้จึงหวาดหวั่นและระมัดระวังอย่างมาก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้สถานที่เกิดเหตุ 


 


 


จากนั้นเขาก็ส่งคนไปที่สำนักหมอหลวง และสั่งให้เคลื่อนย้ายศพของแพคมูกลิและภรรยามาที่วังหลวง แต่เนื่องจากหมอหลวงคอยดูแลโซกังอยู่จึงไม่สามารถไปได้ด้วยตนเอง ทว่าก็ทำการมอบหมายให้ข้ารับใช้ไปจัดการ ดังนั้นเมื่อยามเช้ามาถึง เหล่าหมอแห่งสำนักหมอหลวงก็เคลื่อนย้ายศพจากจวนของแพคมูกิลไปยังสำนักหมอหลวงเป็นที่เรียบร้อย 


 


 


อีกด้าน จาฮอนคอยติดตามอยู่ใกล้ๆ หมอหลวง ทั้งยามตรวจชีพจร ทั้งยามตรวจบรรดาสมุนไพร กระทั่งยามนำสิ่งเหล่านั้นมาบดหรือทุบให้ละเอียด ร่างสูงก็ยังเอาแต่เดินไปเดินมาอย่างไม่สบายใจ จนในที่สุดหมอหลวงต้องค้อมศีรษะคำนับแล้วเอ่ยตามตรง 


 


 


“ฝ่าบาท หากทรงเดินไปเดินมารอบๆ เช่นนี้ กระหม่อมจะยิ่งไม่มีสมาธิจนไม่อาจต้มยาได้นะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าก็แค่ดูเฉยๆ” 


 


 


“ไม่ทรงดูจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


คำกล่าวของอีกฝ่ายทำเอาจาฮอนกระเดาะลิ้นเล็กน้อย มันถือเป็นการไล่ดีๆ นั่นเอง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอม เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือก่อนเริ่มการประชุมขุนนาง เขาจึงไปยังรอที่ตำหนักฮวังรยง 


 


 


เจ้าตัวประทับอยู่บนบัลลังก์และเท้าคาง พลางขบคิดเกี่ยวกับบุรุษที่แพคมูกิลพาเข้ามาวันนั้น เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จึงสั่งให้ไปนำศพของเจ้านั่นมา 


 


 


“เฮ้อ…” 


 


 


จาฮอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเคาะนิ้วด้วยความหงุดหงิดใจจนเกิดเสียงดังตึกๆ แม้จะลองขบคิดช้าๆ ทว่ามันก็ไม่มีทางเป็นแบบนั้นเพราะโซกังแน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก ได้แต่เป็นห่วงอาการของอีกฝ่ายเท่านั้น 


 


 


และช่วงเวลานั้น เสียงรายงานของขันทีก็ดังมาจากด้านนอกตำหนักฮวังรยง 


 


 


“ฝ่าบาท ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ให้เข้ามา” 


 


 


ยังไม่ถึงเวลาประชุมขุนนาง แต่ผู้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมกลับมาเยือนเสียนี่… เมื่อเอ่ยอนุญาต คนผู้นั้นก็ก้าวเข้ามาด้านในด้วยสีหน้ายุ่งยากใจอยู่ตลอด จนกระทั่งยามคุกเข่าลงเบื้องล่างบัลลังก์ 


 


 


“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“ผู้ไม่มีความจำเป็นต้องมาตั้งแต่เช้าเช่นท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ” 


 


 


น้ำเสียงเย็นชาและไร้ซึ่งความใส่ใจของฝ่าบาท ทำให้มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการมีสีหน้าคร่ำเครียดทั้งๆ ที่ยังมองไม่เห็นหน้า เมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา ตนไปเยือนจวนของหลานชาย แต่กลับได้ยินว่าคนจากสำนักหมอหลวงเคลื่อนย้ายศพของแพคมูกิลและภรรยามายังสํานักหมอหลวงแล้ว แน่ชัดว่าคนผู้นั้นลงมือตามคำสั่งตนเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะไม่รู้ว่ามีหลักฐานอันใดเกี่ยวข้องกับคืนนั้นหรือไม่ ถึงรีบชิงนำศพไปที่สำนักหมอหลวงเช่นนี้ แพคมีกังผู้เคยตำหนิหลานตนเองว่าไม่รอบคอบจึงต้องรีบร้อนเข้าวังมาตั้งแต่เช้าเช่นนี้ 


 


 


ความรู้สึกของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการตีตื้นขึ้นมาถึงจุดสูงสุด ก่อนจะเอ่ยปากออกมา 


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าไม่ฟัง” 


 


 


“กระหม่อมได้ยินข่าวเรื่องเหตุร้ายของหลานชายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จบคำนั้นของอีกฝ่าย สายตาของจาฮอนก็เบนกลับมา แพคมีกังยังคงก้มหน้าลงกับพื้น ขณะจ้องมองชายชราผู้นี้ ความคิดที่ไม่เคยหวนคิดถึงมันเลยก็ถูกดึงกลับมา 


 


 


“ลองว่าต่อสิ” 


 


 


“ได้ยินว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้นำศพของหลานชายกระหม่อมและภรรยามา เหตุใดถึงทรงทำเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เรื่องนั้นไม่ใช่ว่าท่านก็รู้อยู่แล้วหรอกหรือ” 


 


 


“แม้กระหม่อมจะเป็นข้ารับใช้ของพระองค์ แต่เขาก็เป็นหลานชายของกระหม่อมเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


เกิดความเงียบโอบล้อมชั่วขณะ แพคมีกังรู้สึกว่าภายใต้ความเงียบงันคล้ายมีคมมีดปรากฏ แม้ในยามปกติ องค์จักรพรรดิจะเป็นบุรุษผู้มีความเด็ดขาดเหนือผู้คนในท้องพระโรง ทว่าในวันนี้กลับรู้สึกถึงความน่ากลัวและความเย็นชามากกว่าทุกครา จากนั้นน้ำเสียงแข็งกระด้างก็ดังออกมาในทันใด 


 


 


“มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการเงยหน้าขึ้น” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แพคมีกังมีสีหน้าเครียดเกร็งทันทีที่เงยหน้าขึ้น สิ่งที่ปะปนอยู่ในความเงียบนี้ไม่ใช่ความเด็ดขาด แต่เป็นความบ้าคลั่ง จาฮอนวาดยิ้มเย้ยหยันขึ้นบนริมฝีปาก 


 


 


“จะเป็นแม่ทัพ หรือจะเป็นหลานชายของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ มันก็ไม่เกี่ยวกับเรา เจ้าจงอย่าเอ่ยปากอีกเลย เพราะมันทำให้เราอยากฉีกศพนั่นเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปโยนไว้หน้าประตูอุนจองเสียเดี๋ยวนี้” 


 


 


น้ำเสียงกดต่ำจนไม่สามารถหาความสุขุมเจอ ทั้งยังแหบกระด้างอย่างถึงที่สุด แทนที่ฝ่าบาทจะโบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณไล่ให้ออกไปเฉกเช่นครั้งก่อนๆ กลับสั่งให้องครักษ์ฮวังรยงมาลากตัวแพคมีกังออกไป เนื่องจากยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักฮงฮวาเมื่อคืนที่ผ่านมา แพคมีกังจึงไม่มีทางรู้ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้อารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ ทว่าเมื่อคาดเดาจากสิ่งที่ได้ยิน คงเป็นผลพวงมาจากเรื่องทันยอบถูกฆ่าตายทั้งๆ ที่ทำงานยังไม่สำเร็จ 


 


 


ดังนั้น จะยอมให้ศพของแพคมูกิลอยู่ในพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดิไม่ได้ 


 


 


 


 


 


ก่อนหน้านี้ ตัวเขาลงทุนสร้างกลุ่มยาอึมขึ้นมา ‘ยาอึม’ คือกลุ่มนักฆ่าที่เขาและเหล่าขุนนางระดับสูงของฝ่ายเชก่อตั้งขึ้น เพราะต้องการเหล่าเด็กๆ ที่สามารถเรียกใช้งานได้ดั่งทาสรับใช้ 


 


 


มือสังหารในสังกัดยาอึมนั้น แม้จะหลบหนีไปอย่างไรก็จะสืบหาตัวจนเจอได้ในเวลาไม่นานและถูกนำตัวกลับมา อีกทั้งข้อมือและช่วงเอวก็จะสักตราสัญลักษณ์ทุกคน หากทำการสืบหาจนพบตราสัญลักษณ์นั้น ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นนักฆ่าของสังกัดยาอึม 


 


 


และเมื่อสืบค้นจนถึงที่สุดแล้ว การสืบสาวมาถึงความจริงว่าตัวเขามีส่วนเกี่ยวข้อง ยังไม่น่ากังวลเท่าสืบถึงแพคมูกิล เพราะไอ้หลานชายโง่เขลานั่นกระทำเรื่องสะเพร่าอย่างถึงที่สุด ยามเรียกใช้งานเหล่านักฆ่าของยาอึม หากค้นพบว่าเกี่ยวข้องกับเจ้านั่น เรื่องราวในอดีตที่มันเป็นผู้บงการ ทั้งเรื่องจัดการกับเหล่าขุนนางฝ่ายอื่นอย่างไร และฝ่ายเชทำการฉ้อฉลไปเท่าใดนั้น อาจจะถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด 


 


 


สุดท้ายการค้นหาบันทึกนั่น ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว 


 


 


ตอนนี้ผู้เกี่ยวข้องเท่าที่เขารู้ก็มีเพียงแค่ยูโซกังเท่านั้น เหมือนมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการจะไม่ได้บอกผู้อื่นอย่างที่คิด สิ่งที่ดีกว่าความตายของยูโซกัง คือการรู้ตำแหน่งของบันทึกนั่น รู้ที่ซ่อนของมันอย่างไรก็ดีกว่าเพียงแค่ลดจำนวนผู้เกี่ยวข้องลงไปหนึ่ง 


 


 


“ไอ้หลานโง่เง่า” 


 


 


เแพคมีกังยืนกร่นด่าหลานชายของตนหน้าตำหนักฮวังรยง เดิมทีหากยูโซกังเข้ามาอยู่ในตำแหน่งสนมแล้วแสดงออกว่ามีใจต่อฝ่าบาท เขาก็คิดจะข่มขู่อีกฝ่ายด้วยการอ้างเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทแทน ที่คิดเอ่ยอ้างฝ่าบาท แทนการเอ่ยอ้างเจ้าตัวโดยตรง ก็เป็นเพราะสิ่งที่รับรู้มาจากเรือนทาส ยูโซกังมักจะจิตใจอ่อนไหวต่อผู้อื่น เต็มใจให้ตนเองถูกประณามแทน ฝืนทนต่อความอัปยศพวกนั้น ทว่าหากถึงขั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนรักล่ะ มันจะทำอย่างไรกัน 


 


 


แต่ก็เป็นไอ้เจ้าหลานชายโง่เง่าทำทุกอย่างพังหมด เช่นนี้แล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีกเล่า นอกจากพยายามอย่างถึงที่สุดไม่ให้ถูกจับได้ 


 


 


ชายชราถอนหายใจออกมาและรอคอยอยู่หน้าตำหนักฮวังรยงจนเวลาประชุมขุนนางใกล้เข้ามา ทำเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเหล่าขุนนางทยอยกันเข้ามาด้านในตำหนัก แพคมีกังจึงก้าวเข้าไปพร้อมกัน 


 


 


ทันทีที่ทุกคนเข้ามาจนครบ แพคมีกังก็คุกเข่าลงร้องไห้คร่ำครวญออกมาก่อนฝ่าบาทจะได้เอ่ยเข้าประเด็น 


 


 


“เกิดเหตุไม่คาดฝันกับหลานชายผู้เป็นดั่งบุตรแท้ๆ นับเป็นเรื่องน่าโศกเศร้านัก ทว่าฝ่าบาทกลับทรงนำศพเขาไปโดยที่กระหม่อมยังไม่ทันได้ร่ำลาเช่นนี้! ทรงตั้งใจจะให้ตาเฒ่าผู้นี้ร้องไห้จนหมดลมหรืออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


จาฮอนจ้องมองการกระทำของแพคมีกังด้วยเยือกเย็นเป็นถึงที่สุด ไม่ได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด แม้อีกฝ่ายจะร้องขอด้วยการยืมกำลังของเหล่าขุนนาง มันแค่ทำให้เขารู้สึกรำคาญเท่านั้น 


 


 


ทว่าพลันเกิดความคิดประหลาดแวบผ่านห้วงความคิด 


 


 


ถึงจะเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร เหตุผลที่จำเป็นต้องคืนศพของแม่ทัพคืออะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าตัวเขาจะช่วยเปิดโปงผู้สังหารหรอกหรือ เหตุผลที่อีกฝ่ายยึดติดกับศพเช่นนี้ มันเพื่อความสุขสงบของหลานชายแน่หรือ 


 


 


ความคิดหยุดลงตรงนี้ เพราะความรู้สึกคล้ายอยากบั่นคอใครสักคนถูกส่งไปยังแพคมีกัง 


 


 


แม้ไม่อาจรู้เหตุผล ทว่าด้วยบังอาจแตะต้องโซกัง… การสังหารแพคมูกิลและท่าทีของแพคมีกังย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกันแน่นอน รายชื่อตัวยาที่มีผู้เขียนทิ้งไว้ หลังจากตรวจสอบแล้วหมอหลวงก็คาดเดาชนิดของพิษ ทว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหาคำตอบ ซึ่งคำรายงานที่ทางนั้นส่งมาสร้างผลกระทับใหญ่หลวงกับอารมณ์ของเขาในตอนนี้มาก 


 


 


จาฮอนสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ 


 


 


“ตอนนี้ท่านแม่ทัพต้องสงสัยว่าลอบสังหารสนมของเรา เจ้าอย่าได้เอ่ยอะไรอีก” 


 


 


“ฝ่าบาท! ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ! มีดสั้นที่สังหารนักฆ่า…! อา…” 


 


 


แพคมีกังชะงักคำกล่าว เพราะตระหนักได้ว่าตนหลุดปากออกไปเสียแล้ว 


 


 


เดิมทีคงมีแผนลอบเข้าสำนักหมอหลวงเพื่อตรวจสอบศพ แต่ด้านหน้าสำนักหมอหลวงอันเป็นสถานที่เปิดในยามปกติกลับถูกเหล่าทหารหลวงปิดกั้น มีเพียงหมอหลวงเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าออกได้  จึงไม่อาจทำการตรวจดูศพ ดังนั้น ถ้อยคำเช่นนั้นจึงไม่ควรพลั้งพูดออกมา 


 


 


แม้จะยังไม่ได้รับรายงานชัดเจน ทว่ายามเหล่านักฆ่ายาอึมลงมือ แม้จะไม่ใช่สาเหตุการตายโดยตรง แต่ก็มักจะใช้มีดสั้นเป็นเครื่องหมายว่ายาอึมคือผู้ลงมือ ด้วยเหตุนั้น ถึงจะไม่เห็นกับตา ทันยอบก็ย่อมถูกฆ่าด้วยมีดสั้นอยู่แล้ว 


 


 


ทว่าอย่างไรเสีย ในสายตาผู้อื่นแล้ว ยามนี้แพคมีกังต้องยังไม่ทราบสาเหตุการตายอย่างชัดแจ้ง แต่ด้วยความขบคิดหลายอย่างพร้อมกับในคราเดียว จึงทำให้ชายชราสร้างผิดพลาดแก่ตนเองเฉกเช่นพวกอ่อนหัด 

 

 

 


ตอนที่ 8-2 ดอกไม้ราตรี

 

ตอนที่ 8-2 ดอกไม้ราตรี

 


ขณะนั้นภายในตำหนักฮวังรยงเงียบสงัด เงียบถึงขนาดได้ยินเสียงขบกรามของจาฮอน นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาเคลือบแฝงด้วยความบ้าคลั่งและประกายอันตราย ขันทีโชตระหนักได้ว่าโทสะของฝ่าบาทอาจจะเพิ่มขึ้นจนเกิดเป็นเหตุการณ์อันตราย จึงขยับเข้าไปด้านข้างพระวรกาย ค้อมคำนับพร้อมกระซิบ 


 


 


“ฝ่าบาท โปรดเย็นพระทัยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เรา อืม ใจเย็นๆ ใจเย็น…” 


 


 


ร่างสูงพึมพำว่าใจเย็น ใจเย็นซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงกัดฟันคล้ายจะหัวเราะหรือไม่ก็ร้องไห้ จากนั้นก็ผลักโต๊ะตรงหน้าลงไปด้านล่างอย่างแรง โต๊ะตัวนั้นล้มครืนกลิ้งสู่เบื้องล่างบัลลังก์ พลันเกิดเสียงผู้คนขยับหลบเลี่ยงอย่างรีบร้อนผสมกับเสียงของตกกระแทกพื้น 


 


 


ทว่าจาฮอนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลย หลังจากผลักโต๊ะออก เขาก็ลุกขึ้นจากแล้วคว้าดาบจากเอวขององครักษ์ฮวังรยงที่ยืนอยู่ข้างกายออกมาภายในชั่วพริบตา จากนั้นก็วิ่งลงไปยังตำแหน่งยืนของเหล่าขุนนาง อย่าว่าแต่คำห้ามปรามของขันทีโชเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนเจ้าของดาบจะทันได้อ้าปากทัดทานเสียด้วยซ้ำ 


 


 


“ข้าจะหั่นแขนและขาทั้งสองข้าง เอาให้เจ้าทำได้เพียงคลานไปมาบนพื้น ลองพูดออกมาอีกสิ” 


 


 


เขาวาดปลายดาบในมือกรีดผ่านอาภรณ์ของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการจนเกิดเป็นบาดแผลถึงผิวเนื้อบริเวณแขน แล้วขยับพาดคมดาบกับลำคอของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพียงการตัดแขน ทว่ามันเป็นท่าทีคล้ายจะบั่นคอในทันที เหล่าขุนนางต่างพากันตัวสั่นและพร้อมใจกันคุกเข่าหมอบลงกับพื้น 


 


 


“ขอโปรดทรงเย็นพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


เรียวคิ้วของจาฮอนขมวดมุ่มด้วยสีหน้าเ**้ยมเกรียม ไม่หลงเหลือสติใดให้ใจเย็นลงได้ 


 


 


ใจเย็นอะไรกัน ทำไมกัน… 


 


 


หมอหลวงรายงานว่าไม่สามารถยืนยันได้ว่าโซกังจะเป็นอย่างไร ตนจะนั่งอยู่ห้องข้างๆ กันแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ยินเลยว่ามีคนแอบลักลอบเข้ามา 


 


 


ยามรับรู้ว่าชื่อของยูโซกังได้รับการประกาศว่าสิ้นชีพในคุกหลวง จึงคิดได้ว่าอีกฝ่ายต้องมีความลับบางอย่าง เมื่อยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาของทุกคนเมื่อครั้นตัดสินใจรับโซกังเข้ามาเป็นสนม ก็สันนิษฐานได้ว่าเรื่องราวของโซกังกับกลุ่มเชต้องมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่าง ดังนั้นจึงคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น และสั่งกำชับให้เพิ่มการคุ้มกันของตำหนักฮงฮวา 


 


 


ถึงกระนั้นก็ยังพลาด การปล่อยให้นักฆ่าลอบเข้ามาถึงวังหลวงอย่างง่ายดายเช่นนี้ นับเป็นเรื่องน่าอับอายนัก ดังนั้นเขาถึงได้โกรธและขาดสติ 


 


 


“หนวกหู วันนี้… ประชุม… พอเท่านี้” 


 


 


จาฮอนพรูลมหายใจอ่อนล้าออกมาก่อนจะโยนดาบในมือลงพื้น มันทิ้งตัวลงกระทบพื้นจนเกิดเป็นเสียงดังก้อง แต่เขาก็ไม่ได้หันหลังกลับมามองแต่อย่างใด มุ่งหน้าก้าวออกจากตำหนักฮวังรยงทันที ขันทีโชและองครักษ์ฮวังรยงได้แต่รีบร้อนติดตามไล่หลัง 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” 


 


 


ร่างสูงใช้มือลูบหน้าตนเองอย่างแรงพร้อมเอ่ยแผ่วเบา น้ำเสียงนั้นเปรอะเปื้อนความเศร้าเสียใจเล็กน้อย 


 


 


แม้ไม่ได้บอกกล่าวกับผู้ใด ทว่าต่างรู้แก่ใจดี เหตุผลที่ตนไม่สามารถรักษาความเยือกเย็น ไม่ใช่เพราะมีนักฆ่าลอบเข้ามาในวังหลวง ไม่ใช่เพราะโซกังอาจจะพัวพันกับแผนการลับ แต่สาเหตุเพียงเพราะตำหนิตนเองที่ปล่อยให้โซกังถูกทำร้าย แม้จะอยู่ตรงนั้นด้วย ก็ไม่อาจปกป้องอีกฝ่ายได้ 


 


 


จาฮอนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพยายามสงบจิตใจลง ไม่รู้เลยว่าความรักที่ตนมีต่อโซกังจะมากมายถึงเพียงนี้ 


 


 


แต่ทุกอย่างมันกลับวุ่นวายไปเสียหมด เข้าใจดีว่าไม่อาจรับมือกับเรื่องราวต่างๆ ด้วยอารมณ์ร้อนเฉกเช่นก่อนหน้าได้ จึงคิดว่าหากไม่สามารถทำสุขุมเยือกเย็น ก็ควรเก็บซ่อนกดทับมันด้วยความเป็นเหตุเป็นผลแทน 


 


 


“ไปสำนักหมอหลวง” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


จาฮอนตรงไปยังสำนักหมอหลวงเพื่อตรวจสอบมีดสั้นที่ปักอยู่บนหลังของนักฆ่า และนึกค้นหาสาเหตุที่แพคมีกังพยายามเอาศพของแพคมูกิลคืน 


 


 


และเมื่อถึงยามโซกังได้สติฟื้นคืน เขาคิดจะบอกว่าตอนนี้ไม่มีอันตรายแล้ว ดังนั้นอย่าได้คิดจะไปจากข้างกายเขาเด็ดขาด 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


หลังจบเหตุการณ์น่าระทึก แพคมีกังก็ลุกออกจากตำหนักฮวังรยง ปล่อยเรื่องงานเอาไว้ทีหลังแล้วรีบกลับจวนทันที ก่อนจะสั่งข้ารับใช้ให้ไปเรียกใครสักคนจากบรรดานักฆ่าที่ไม่มีงานต้องรับผิดชอบในช่วงนี้มาหาตน ชายชรานั่งอยู่ในห้องตำราพลางเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างกระวนกระวาย ระหว่างรอคอยการกลับมาของข้ารับใช้ที่ส่งไปทำตามคำสั่ง 


 


 


ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงกล่าวจากด้านนอก 


 


 


“เรียกหาหรือขอรับ” 


 


 


“เข้ามาด้านใน” 


 


 


นักฆ่าร่างเล็กสวมชุดดำทั้งตัวหมอบราบอยู่กับพื้น อีกฝ่ายตัวเล็กกว่านักฆ่าคนอื่นๆ ด้วยส่วนสูงที่ไม่มากนักส่งผลให้ดูคล้ายกับสตรีอย่างยิ่ง แพคมีกังออกคำสั่งทันทีโดยไม่แม้แต่จะปรายตามอง 


 


 


“ไปที่สำนักหมอหลวง ลอกผิวเนื้อบริเวณที่สักตราสัญลักษณ์ของทันยอบออกมาเสีย แล้วก็ตามหามีดสั้นของแม่ทัพมาด้วย” 


 


 


“ขอรับ?” 


 


 


“ข้าสั่งให้ตัดเอาตราสัญลักษณ์ออกมาเสีย เพื่อยาอึมทุกคน” 


 


 


“ทะ ทันยอบตายแล้วหรือขอรับ” 


 


 


“รีบจัดการก่อนฝ่าบาทจะพบเข้า เจ้ามิได้เรียนรู้มาหรืออย่างไรว่าห้ามถามคำถามใด!” 


 


 


เเพคมีกังเขวี้ยงถ้วยชาบนโต๊ะใส่ด้วยความโมโห ถ้วยชาปลิวกระแทกเข้ากับศีรษะของนักฆ่าผู้นั้นแล้วร่วงตกแตกกระจายบนพื้น อีกฝ่ายก้มหน้างุดแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา 


 


 


“ขออภัยขอรับนายท่าน” 


 


 


“รีบไป และหากถูกทหารหลวงพบเข้าก็จงฆ่าตัวตายเสีย” 


 


 


“ทราบแล้วขอรับ” 


 


 


นักฆ่าชุดดำหมุนตัวออกจากห้องตำราของแพคมีกัง เขาเดินไปยังมุมหนึ่งภายในจวนโดยทันที ซ่อนตัวกับเงามืดของอาคาร จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาเงียบๆ ตรงนั้นมีบุรุษสวมชุดดำเช่นเดียวกัน แต่มีส่วนสูงและร่างกายกำยำกว่าซ่อนตัวอยู่  


 


 


“พี่ฮโย ยอบตายแล้วจริงๆ หรือ” 


 


 


“อืม” 


 


 


“…ทำไมกัน ทั้งที่เขาชำนาญการวางยาพิษ อีกทั้งยังฝีมือดีที่สุด เหตุใดถึงตายได้เล่า วังหลวงนั่นก็หาใช่เพิ่งจะไปครั้งแรก” 


 


 


“ยอง…” 


 


 


ทันทีที่ถูกเรียกชื่อ ร่างบางก็ทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างไม่สามารถฝืนทนต่อได้อีก บนใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งก่อนหน้านี้ เริ่มมีหยาดน้ำตาไหลพรากลงมาราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกลวง อีกฝ่ายจึงย่อตัวลงลูบหลังปลอบคนสะอื้นจนตัวโยน 


 


 


“ทันยอง เอาไว้ค่อยร้องไห้ทีหลังเถอะ” 


 


 


“แม้ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนฆ่า แต่ข้าจะไม่อยู่เฉยแน่” 


 


 


ผู้ถูกเรียกว่าทันยอง ปาดเช็ดน้ำตาที่ยังคงรินไหลพร้อมกับผุดลุกขึ้น จากนั้นก็กระโดดเหยียบขึ้นบนต้นไม้ก่อนจะทะยานข้ามกำแพงหายตัวไป แน่นอนว่าไม่ได้เป็นที่สะดุดตาผู้คนเลย เหล่ามือสังหารของยาอึมมักจะเหยียบย่างบนหลังคามากกว่าบนพื้นดิน 


 


 


ชังฮโยพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางทุบอกตนเองหลายครั้ง ด้วยรู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างทันยองและทันยอบ ทั้งยังละอายกับสิ่งเคยใช้มือคู่นี้กระทำ และด้วยความรู้สึกของตนที่มีต่อทันยอง เขาทอดถอนใจอีกคราก่อนจะซ่อนกายกับความมืดมิดเช่นเดิม 


 


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ทันยองกลับไปยังร้านผ้าไหมและเตรียมตัวสำหรับเข้าไปในวังหลวง จากนั้นก็เรียกรถม้าและเดินทางออกไป 


 


 


หลังจากจอดรถม้าแถวๆ หน้าวังหลวง ทันยองก็ยื่นแผ่นป้ายให้กับทหารยามหน้าประตู เมื่อทางนั้นเอ่ยขอแผ่นป้ายชื่อยืนยันตัวตน ทหารยามตรวจสอบตัวตนเรียบร้อยแล้วก็ทำการเปิดประตูให้ทันยองเข้าไปภายในวังหลวง 


 


 


ร่างบางเก็บแผ่นป้ายสลักว่าเป็นหมอหญิงของสำนักหมอหลวงเข้าในอกเสื้อ ก่อนจะก้าวผ่านประตูแล้วตรงไปยังสำนักหมอหลวง 


 


 


สำนักหมอหลวงดูโกลาหลอย่างยิ่ง โดยไม่มีผู้ใดว่างเว้น หมอหญิงทั้งหลายต่างเคลื่อนตัวไปมาอย่างวุ่นวาย ขณะนั้นก็มีคนผู้หนึ่งแตะเข้าที่ไหล่ของทันยอง 


 


 


“อย่ามัวแต่ยืนเหม่อ รีบไปทำงานที่ได้รับมอบหมายเสียเถอะ” 


 


 


“เจ้าค่ะ” 


 


 


ตอนนี้ทันยองสวมอาภรณ์หมอหญิงฝึกหัดของสำนักหมอหลวง เขาค้อมคำนับตอบรับและเดินปะปนพร้อมกับทุกๆ คน 


 


 


สถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพร ไม่มีสักคนอยู่นิ่งอย่างว่างงาน ท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น เขาคิดจะคว้าใครสักคนที่หลบแอบมุมและพอจะว่างงานมาล้วงถามข้อมูล ทว่าผู้คนทั้งหมดของที่นี่ล้วนแล้วแต่มีงานล้นมือ จึงไม่มีใครว่าพอให้สอบถามได้เลย 


 


 


ระหว่างเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของผู้อื่น ทันยองก็แทรกตัวเข้าไปจัดเตรียมสมุนไพรที่ดูจะเป็นงานง่ายที่สุดในบรรดางานเหล่านั้น และเมื่อเห็นบรรดาสมุนไพรตากแห้งอย่างดีก็พลันนึกถึงทันยอบขึ้นมา 


 


 


 


 


 


ตัวเขาไร้ความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่ สิ่งที่จดจำได้คือการดำรงชีวิตไปวันๆ ด้วยการขอทานกับทันยอบ ชายที่ได้รู้จักกันบนถนน แต่อีกฝ่ายไม่เคยละทิ้งตนไปไหน ทั้งยังแบ่งปันสิ่งที่ขอทานมาได้และคอยอดทนกับค่ำคืนที่ต้องซ่อนตัวอยู่ในป่า พวกเขาแบ่งปันความอบอุ่นแก่กันและกันตลอด กระทั่งยามเจ้าของร้านผ้าไหมต้องการจะพาตัวทันยอบไป อีกฝ่ายก็กล่าวว่าหากไม่ยอมพาเขาไปด้วย ก็ตนเองจะไม่ไปไหนเด็ดขาด แล้วในวันที่ต้องนั่งขดตัวอยู่ภายในรถม้าของเจ้าของร้านผ้าไหม ทันยอบยังลูบศีรษะปลอบเขา ทั้งกระซิบถ้อยคำที่เวลานี้ก็ยังคงแจ่มชัด 


 


 


‘มีเพียงเราสองคนที่เป็นครอบครัวของกันและกัน แม้ยามได้นอนในที่อบอุ่น ได้กินครบสามมื้อ ก็ยังจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้าไว้เพียงลำพัง’ 


 


 


เป็นเช่นนั้น… ทว่าตอนนี้ทันยอบกลับจากไปโดยทอดทิ้งเขาไว้ลำพังเสียอย่างนั้น 

 

 

 


ตอนที่ 8-3 ดอกไม้ราตรี

 

ตอนที่ 8-3 ดอกไม้ราตรี

 


ทันยองพลันตระหนักได้ว่าตนเผลอจมกับความคิดมากเกินไป อีกทั้งตระหนักอีกว่าหมอหญิงผู้ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังมองด้วยสีหน้าเป็นกังวล


 


 


“เป็นอะไรหรือเปล่า มีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าถึงรู้ว่ากำลังร้องไห้ ทันยองตอบกลับอีกฝ่าย ก่อนจะตำหนิตนเองในใจว่าอย่าทำท่าทางเหม่อลอย หมอหญิงผู้นั้นเหลือบมองและผลักเขาให้ออกมาจากที่นั่น


 


 


“ไม่รู้ว่าเจ้ามีเรื่องอันใด แต่ไปสงบจิตสงบใจก่อนเถิด”


 


 


“…เจ้าค่ะ”


 


 


“ระหว่างนั้นก็เอากระเป๋าใบนี้ไปวางไว้ที่ศพแล้วค่อยกลับมาล่ะ”


 


 


“อา เจ้าค่ะ”


 


 


ร่างบางรับกระเป๋าใส่สมุนไพรสองสามชนิดจากหมอหญิงแล้วถอนหายใจ จากนั้นก็เดินออกมาด้านนอกสำนักหมอหลวง ยืนพิงตัวอยู่ตรงมุมเสา ไม่ว่าจะทำอย่างไร น้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียที ท่ามกลางการฝึกอย่างหนักหน่วงและยากลำบาก ก็ยังมีคนผู้นั้น การที่ตนไม่ถูกขายเป็นทาส ทั้งยังสามารถอยู่ในยาอึมด้วยฐานะมือสังหาร ก็เพราะคนผู้นั้นอีกเช่นกัน


 


 


‘ข้าต่างหากที่ตาย มิใช่เจ้าเสียหน่อย ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรนะยองอา’


 


 


คล้ายได้ยินเสียงกระซิบของทันยอบ กระทั่งยามถูกก่นด่าว่าเป็นไอ้ตัวเล็กไร้ประโยชน์ ยามถูกรังแกจากเด็กๆ ยาอึมคนอื่นด้วยเหตุผลว่าอ่อนแอ อีกฝ่ายก็จะคอยช่วยห้ามปรามเสมอ


 


 


ด้วยความตัวเตี้ยและผอมบาง ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ต่อการปลอมตัวเป็นสตรี นั่นคือคำกล่าวที่ยอบใช้โน้มน้าวผู้อาวุโสทั้งหลายในยาอึม และกำจัดผู้จงใจกระทำการต่ำช้ากับเขาด้วยการเข่นฆ่าจนเป็นเหตุให้ได้รับโทษ ทว่าน่าขัน เพราะเรื่องนั้นกลับทำให้ผู้อาวุโสพึงพอใจทันยอบ ดังนั้นเมื่อถึงยามที่ต้องการดำเนินแผนการใหญ่ ยอบจึงเป็นผู้ที่ต้องออกไปทำงานในยามค่ำคืนบ่อยครั้งที่สุด


 


 


อย่างไรก็ตาม ตนมีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ก็เป็นเพราะทันยอบ หากจะห้ามใจมิให้ชอบคนผู้นั้น มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


‘ข้าชอบเจ้า ดังนั้น หากเจ้าไม่รังเกียจ… ช่วยกอดข้าที แม้เพียงสักครั้งก็ยังดี’


 


 


พลันนึกถึงเมื่อคราแรกที่อีกฝ่ายต้องแฝงตัวเข้ามาในวังหลวง มันเป็นวันที่เขาสารภาพออกไปด้วยคำว่าชอบ แต่ทันยอบกลับยิ้มและกล่าวว่าค่อยว่ากันหลังจากกลับมา


 


 


ยามนั้นโลกใบนี้ช่างงดงาม ทุกสิ่งที่มองเห็นล้วนเปล่งประกาย แต่ขณะเดียวกันทันยองก็เกิดความทุกข์ระทมจากการเข่นฆ่าผู้คน ด้วยเพราะคิดว่าผู้ที่ตายด้วยดาบของตน ย่อมต้องเป็นคนสำคัญของใครสักคนเช่นกัน ยอบจึงเป็นผู้เข้ามาช่วยจัดการในเรื่องพวกนั้นแทน


 


 


“เหตุใดถึงต้องตาย เพราะเหตุใดกัน”


 


 


ทันยองหลงลืมหน้าที่ หลงลืมว่าตรงนี้คือที่ใด เขาทรุดตัวนั่งกับพื้นและซบหน้าลงเข่า สะอึกสะอื้น ไม่มีความกล้าจะเข้าไปดูศพของอีกฝ่ายเลย ไม่มีความกล้าจะคว้าศพยอบไว้โดยไม่ร้องไห้คร่ำครวญ


 


 


ทว่างานก็คืองาน ด้วยเป็นงานที่นายท่านผู้มีตำแหน่งสูงกว่าเจ้าของร้านผ้าไหมเป็นผู้การสั่งโดยตรง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปฏิเสธได้


 


 


ร่างบางเช็ดน้ำตาและยันตัวลุกยืนด้วยขาสั่นเทา เรือนไม้หลังเล็กด้านข้างสำนักหมอหลวงเป็นที่พักศพ แม้จะไม่ใช่คนในวังหลวง ต่างก็ทราบถึงความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี ทันยองปาดเช็ดใบหน้าให้หมดจดที่สุดและเติมชาดทาปาก จากนั้นก็ทอดถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปยังสถานที่เก็บรักษาศพ ทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้ามองเขาแล้วเอ่ยถาม


 


 


“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ”


 


 


ด้วยมีนักฆ่าลอบเข้ามาในวังหลวง จึงมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในทุกๆ บริเวณ ทันยองค้อมคำนับเล็กน้อยแล้วตอบกลับ


 


 


“ข้านำถุงสมุนไพรมาวางบนศพเจ้าค่ะ”


 


 


“เชิญเข้าไปได้ขอรับ”


 


 


“ขอบคุณเจ้าค่ะ”


 


 


เขานำถุงสมุนไพรออกมาแล้วเดินผ่านประตูเข้าไป ด้านในเต็มไปด้วยกลิ่นโลหิตและกลิ่นของความตาย เมื่อเห็นเสื่อฟางทั้งสาม ทันยองก็สูดหายใจเข้าลึก


 


 


หลังจากเปิดเสื่อผืนฟางแรกออก ก็เปิดผืนที่สองต่อทันที หนึ่งคือสตรี หนึ่งคือท่านแม่ทัพผู้คุ้นหน้าคุ้นตา เขาลังเลและไม่กล้าเปิดเสื่อฟางผืนที่สาม แตะมือสัมผัสลงบนเสื้อฟางอยู่หลายครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เปิดออกจนเผยให้เห็นใบหน้า


 


 


“ฮึก… โกหก ไม่มีทาง”


 


 


ทั้งน้ำเสียง มือ ขา ทุกส่วนของร่างกายทันยอง ไม่มีจุดใดไม่สั่นไหว


 


 


แม้ว่าจะไม่ใช่งานที่นายท่านสั่ง แต่เขาต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ใดเป็นคนฆ่าทันยอบ แม้จะไม่ได้ตายพร้อมกัน ก็จะต้องแก้แค้นให้อีกฝ่ายให้ได้ ดังนั้นจึงต้องหาเบาะแสว่าผู้ใดเป็นผู้ลงมือ


 


 


ทันยองสำรวจร่างกายของทันยอบ และพบบาดแผลบนหลัง เป็นแผลถูกแทง เขารีบส่งนิ้วแทรกผ่านเข้าไปในบาดแผลอย่างไม่ลังเล ความลึกของบาดแผลไม่ถึงหนึ่งจา[1] เท่าความยาวของมีดสั้น มิใช่ว่าถูกคมมีดปักลงด้วยความเร็วหรอกหรือ


 


 


ทันยองลองคาดเดาสาเหตุ พลางสัมผัสของเมือกข้นสีแดงคล้ำที่เปื้อนมือแล้วลองดมกลิ่น มีกลิ่นหญ้าคุ้นเคยบางเบา ส่วนบาดแผลเริ่มเปื่อยยุ่ย ของเหลวสีดำนั่นย่อมเป็นพิษฮึกซาแฮไม่ผิดแน่


 


 


ฮึกซาแฮเป็นพิษที่ทันยอบทำขึ้นเอง โดยนำเอาพิษร้ายแรงจากพืชมาผสมกัน และสามารถหาได้จากทันยอบแห่งยาอึมผู้เดียวเท่านั้น แม้พิษจะเข้าสู่ร่างกายเพียงน้อยนิด ก็ทำให้เป็นอัมพาต จากนั้นก็จะเริ่มพรากสัญญาณชีพไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ทันยองลูบแก้มของทันยอบหนึ่งครา ก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากเย็นชืด


 


 


เขาปิดเสื่อฟางทั้งหมดลง โค้งคำนับให้กับศพของท่านแม่ทัพและสตรีผู้นั้น แน่นอนว่าย่อมต้องกลับไปยังสำนักหมอหลวงอีกครั้ง ทว่าน่าแปลก จนกระทั่งเขาตรวจดูศพทั้งหมดสิ้นเสร็จแล้ว ก็ยังไม่มีหมอหญิงผู้อื่นเข้ามาสักคน


 


 


หลังจากตรวจสอบศพทั้งหมดก็นั่งลงบนพื้น ยามเห็นสภาพบากแผลบนศพของท่านแม่ทัพและสตรีผู้นั้น ก็พบว่าถูกฟันด้วยดาบสั้นที่มีใบมีดเช่นคมเลื่อย มิใช่ดาบทั่วๆ ไป และตนก็รู้จักผู้ใช้ดาบนั้นอยู่คนหนึ่ง


 


 


“พี่…ชังอุน”


 


 


ทันยองกัดฟันเอ่ยชื่อ หากชังอุนลงมือฆ่าสองคนนี้ ผู้ลงมือฆ่าทันยอบก็อาจจะเป็นคนผู้นั้น… เพราะยาอึมมักจะออกเคลื่อนไหวกันเป็นคู่


 


 


จากบรรดายาอึมทั้งหมด มีเพียงสองคู่เท่านั้นที่เป็นคู่หูและมีสกุลเดียวกัน หนึ่งในนั้นคือพวกเขา ทันยอบและทันยอง พวกเขาต่างคู่อื่นๆ ตรงที่อีกฝ่ายจะเข้ามาช่วยจัดการงานทั้งหมดที่ตนทำไม่ได้แทน ร่างบางปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลรินลงมาอีกครา ก่อนจะออกมาจากเรือนพักศพ


 


 


“ข้าออกไปตามคำสั่งได้ไม่นานเท่าไร เหตุใดยามนี้สำนักหมอหลวงถึงได้ดูวุ่นวายนักหรือเจ้าคะ”


 


 


“เห็นศพด้านในแล้วใช่หรือไม่ขอรับ หนึ่งในนั้นเป็นศพของนักฆ่า คนผู้นั้นใช้ยาพิษกับพระสนมโซอี ทว่ากลับไม่มีร่องรอยอันใดเลย ท่านหมอหลวงจึงเป็นกังวลอย่างมากขอรับ”


 


 


“เช่นนั้นเอง ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะเจ้าค่ะ”


 


 


ทันยองก้าวย่างอย่างเหม่อลอย ทันยอบได้รับคำสั่งให้มาฆ่าสนมขององค์จักรพรรดินั่นเอง


 


 


อีกฝ่ายเคยวางยาพิษจักรพรรดินีของจักรพรรดิองค์ก่อน แม้จะได้รับคำสั่งให้วางยาพิษองค์รัชทายาทด้วย ทว่ากลับทำล้มเหลวถึงสองครา และด้วยความล้มเหลวเมื่อครานั้น ยอบจึงถูกเฆี่ยนและถอดเล็บออกถึงสองนิ้วเป็นการลงโทษ


 


 


ผู้อาวุโสมีความปรารถนามากมายต่อเหล่าเชื้อพระวงศ์ ครานี้ก็คงสั่งให้วางยาพิษสนมของฝ่าบาทอีกเป็นแน่แท้ ทว่าองค์จักรพรรดิในยามนี้ ก็คือองค์รัชทายาทผู้ที่ทันยอบเคยล้มเหลวในการลอบฆ่านั่นเอง


 


 


ทันยองขบริมฝีปากแน่น แม้ตนจะเคยชักชวนให้อีกฝ่ายหนีไปด้วยกันอยู่หลายครา ทว่าทันยอบก็กล่าวว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ความจริงเขาเองก็รู้แก่ใจเป็นอย่างดี จึงไม่อาจเซ้าซี้ไปมากกว่านั้น เพราะตนคือภาระของอีกฝ่าย หากเป็นทันยอบผู้เดียว เป็นไปได้ว่าอาจจะสามารถหลบหนีโดยไม่ถูกจับได้


 


 


แม้จะตายก็ต้องหนีไป เนื่องจากใช้ชีวิตด้วยมือเปื้อนเลือดถึงเพียงนั้น นี่จึงคล้ายเป็นการชดใช้


 


 


ทันยอบสูญเสียลมหายใจด้วยพิษฮึกซาแฮที่คิดค้นขึ้นเอง และเขาก็สูญเสียอีกฝ่ายไปเช่นกัน


 


 


โดยไม่ทันตั้งตัว ทันยองก็คว้าตัวหมอหญิงผู้หนึ่งที่เดินผ่านระหว่างกลับไปยังสำนักหมอหลวง นำมีดสั้นที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อออกมาจ่อลำคอของนาง เหล่าทหารที่ยืนคุ้มกันต่างชักดาบออกมา และภายในสำนักหมอหลวงก็เกิดความวุ่นวายด้วยเสียงหวีดร้องของเหล่าหมอหญิง แต่เขากลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง


 


 


“พาข้าไปพบฝ่าบาทด้วยเถิด ข้าจำต้องพบพระองค์”


 


 


คำขอร้องไม่น่าไว้ใจของทันยอง ทำให้ทหารผู้หนึ่งรีบเร่งไปเรียกองครักษ์ฮวังรยงที่เฝ้าอยู่แถวนั้น


 


 


เมื่อองครักษ์ฮวังรยงผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ก็คล้ายจะวิ่งเข้าหาทันยองทันที เพราะคิดว่าตนจะสามารถจัดการกับผู้บุกรุกตัวเล็กเฉกเช่นหมอหญิงตัวประกัน ได้และยิ่งสวมอาภรณ์เยี่ยงหมอหญิงจึงไม่อาจแยกแยะว่าเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่


 


 


ทว่าทันยองกลับเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้ปล่อยมือสตรีในวงแขน อีกทั้งเปลี่ยนวิธีจับมีดสั้น จู่โจมเข้าที่ข้อมือขององครักษ์ฮวังรยง และพลิกหมุนกลับมาจ่อลำคอของหมอหญิงอีกครา


 


 


แม้ไม่ใช่แผลลึก ทว่าด้วยทักษะของผู้บุกรุกทำให้องครักษ์ฮวังรยงขมวดคิ้วและกล่าวถามออกมา แม้จะเพราะเป็นความประมาทของตน แต่นั่นก็มิใช่ทักษะที่จะทำเมินเฉยได้


 


 


“เจ้าเป็นผู้ใดกัน”


 


 


“หากไม่ใช่ต่อหน้าฝ่าบาท ข้าคงไม่อาจเอ่ยอันใดได้”


 


 


องครักษ์ฮวังรยงสบตากับทันยอง จดจ้องเช่นนั้นอยู่ชั่วครู่ ร่างบางไม่หลบสายตาและจ้องตอบกลับ อีกฝ่ายจึงทอดถอนใจออกมาแผ่วเบาแล้วยื่นมือให้


 


 


“ข้าหัวหน้าองครักษ์ฮวังรยงหน่วยสาม อีโฮกิล จงเปิดเผยชื่อของเจ้าและวางมีดสั้นลงเสียเถิด ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ลอบทำร้ายฝ่าบาท แต่อย่างน้อยก็ต้องลองกราบทูลชื่อเสียงเรียงนามให้ทรงทราบมิใช่หรือ”


 


 


“…ข้าชื่อยอง”


 


 


ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีใครบางคนซ่อนตัวอยู่ในเงา และนำไปบอกแก่นายท่านว่าเขาตั้งใจจะหักหลังยาอึมหรือไม่ แม้ว่าหากหักหลังจะต้องถูกสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่เขาก็ตั้งใจจะเคลื่อนไหวเพื่อช่วยชีวิตผู้ที่ยอบได้รับคำสั่งให้มาจัดการ


 


 


ไม่รู้ว่ายามนี้พิษลุกลามถึงเพียงไหนแล้ว แต่ในเมื่อท่ามกลางผู้ถูกสังหาร มีคนผู้หนึ่งยังไม่หมดลมหายใจ อย่างน้อยยามยืนต่อหน้าของจักรพรรดิ ทันยองก็อยากจะขอโอกาสแก้ตัวเพื่อลดทอนความผิดบาปของยอบลง


 


 


“ข้าต้องเข้าพบฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ หากชักช้าสนมผู้นั้นจะถึงแก่ความตาย”


 


 


พูดจบก็โยนมีดสั้นลงพื้น เอ่ยขออภัยต่อหมอหญิงที่ตนจับตัวมาและปล่อยนางไป


 


 


องครักษ์ฮวังรยงจึงส่งสัญญาณให้ทันยองติดตามมา ก่อนจะเริ่มก้าวอย่างเร่งรีบตรงไปยังตำหนักฮงฮวาที่ฝ่าบาททรงประทับอยู่


 


 


 


 


[1] จา หน่วยความยาวฟุต

 

 

 


ตอนที่ 8-4 ดอกไม้ราตรี

 

ตอนที่ 8-4 ดอกไม้ราตรี

 


ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด องครักษ์ฮวังรยงพาทันยองเข้ามาภายในตำหนักฮงฮวา ป้ายไม้ประจำตัวของหัวหน้าหน่วยฮวังรยงบวกกับชุดหมอหญิงของทันยอง ทำให้พวกเขาไม่ได้รับคำถามใดๆ และสามารถเข้ามาถึงสถานที่ที่ฝ่าบาทประทับและมีโซอีมามาพักฟื้นอยู่ได้อย่างง่ายดาย 


 


 


เวลานี้เป็นยามโอ 


 


 


ร่างกายของโซกังเย็นลงเรื่อยๆ ราวกับต้องลมหนาวจัดด้วยกายเปลือยเปล่า ทั้งๆ ที่หมดสติอยู่ แต่ร่างกายของอีกฝ่ายกลับสั่นเทา ทั้งลมหายใจก็ยังเนิบช้า 


 


 


หลังจากการประชุมขุนนาง ณ ตำหนักฮวังรยงช่วงเช้า จาฮอนก็ไม่ยอมรับสำรับใดๆ และเอาแต่เฝ้ามองร่างบางอยู่เช่นนี้ 


 


 


“ฝ่าบาทกระหม่อมมีเรื่องกราบทูล ขอทรงสละเวลาสักครู่เถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่อยากฟัง” 


 


 


“อันที่จริงกระหม่อมพาผู้บุกรุกวังหลวงมาด้วย เป็นเรื่องเกี่ยวกับโซอีมามาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของจาฮอนแทบจะหันกลับมายังอีโฮกิลในทันที 


 


 


อีโฮกิลแตะตัวทันยองที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนให้คุกเข่าลงพร้อมกัน ทันยองจึงค้อมตัวต่ำยิ่งขึ้นและเอ่ยปากกล่าว 


 


 


“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เงยหน้าขึ้น เรื่องเกี่ยวกับโซอีคือเรื่องอันใดกัน” 


 


 


น้ำเสียงคล้ายกระวนกระวาย ทำให้ทันยองเงยหน้าขึ้นจ้องมององค์จักรพรรดิ แล้วก็ต้องหลุดอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังบังอาจจ้องพระพักตร์โดยตรง ไม่ยอมก้มหน้าลง 


 


 


จากนั้นก็ปล่อยน้ำตาให้รินไหลออกมา เพราะเห็นทันยอบซ้อนทับกับพระพักตร์ของฝ่าบาท ยามตนเป็นไข้จนเกือบตาย ทันยอบก็จะออกไปหายามาให้ และกลับมาพร้อมยาสมุนไพรกับยาเม็ดในสภาพเปื้อนเลือด ก่อนฝ่ายนั้นจะออกไปหายา ก็มีสีหน้าและแววตาเฉกเช่นฝ่าบาทในยามนี้ 


 


 


สีหน้าเป็นกังวล โศกเศร้าและสิ้นหวัง 


 


 


เหล่าคนสำคัญของผู้ถูกสังหารก็คงมีสายตาเช่นนี้ พวกเรามอบความสิ้นหวังให้ผู้คนมากมายถึงเพียงใดกัน… 


 


 


ระหว่างเดินมาจนถึงที่นี่ เขาได้ละทิ้งความคิดเพียงน้อยนิดว่าจะกลับยาอึมไปตั้งแต่ต้น ทันยองก่นด่าตนเองในใจที่ยังลังเลถึงการหลบหนีจากยาอึม ทั้งๆ ที่ฝ่ายนั้นลงมือกำจัดทันยอบทิ้ง เขาค่อยๆ ผุดลุกขึ้นยืน จาฮอนจ้องมองอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ร้องไห้และไม่ยอมกล่าวเรื่องเกี่ยวกับโซกังเสียที ก่อนจะเอ่ยเร่ง 


 


 


“รีบว่ามา” 


 


 


“ฝ่าบาท หมอหลวงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทว่าหลังจบคำ ก็มีเสียงรายงานว่าหมอหลวงมาถึงแล้วจากนางกำนัลด้านนอก ร่างสูงถอนหายใจออกมาแล้วส่งสัญญาณให้อีโฮกิล เจ้าตัวเข้าใจถึงสัญญาณนั้นจึงดึงตัวทันยองหลบมาอยู่ด้านหนึ่ง 


 


 


“เข้ามา” 


 


 


ทันทีที่เอ่ยอนุญาต ประตูก็เปิดออก โดยมีหมอหลวงถือถาดยาที่มีไอร้อนลอยกรุ่นเข้ามาด้านใน และทำการถวายถาดยานั้นให้กับฝ่าบาท ทว่าทันยองกลับเอ่ยขัดขึ้นอย่างรีบร้อน 


 


 


“คืนยากลับไปพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“พูดอะไรของเจ้า” 


 


 


“ฝ่าบาท หากดื่มยาร้อนอาการจะยิ่งแย่ลงพ่ะย่ะค่ะ เส้นโลหิตจะแตกในทันที มันจะทำให้โลหิตไหลออกจากทวารทั้งห้า” 


 


 


“หมายความว่าอย่างไร เปิดปากเจ้าออกมา! เจ้าคือผู้บุกรุกหรือ ทรมานมันผู้นั้นเสีย สืบหาว่ามาจากที่ใด! ลากตัวมันออกมา!” 


 


 


คำกล่าวตักเตือนอันน่าหวาดกลัวของทันยองทำให้จาฮอนตะโกนออกมาพร้อมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ผู้อื่นต่างคุกเข่าหมอบลงพร้อมตะโกนว่า ‘โปรดทรงระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ’ ทว่าทันยองไม่แม้แต่จะคุกเข่าและยังจ้องตากับจาฮอนตรงๆ  


 


 


“ถูกทรมานก็นับว่าดี กระหม่อมยินดีรับโทษทัณฑ์จากการบุกรุกวังหลวงด้วยความเต็มใจ ทว่าจะให้ยาร้อนไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรกระหม่อมก็หวังเพียงว่า มันจะมิกลายเป็นการสังหารครั้งสุดท้ายของยอบ ได้โปรดพ่ะย่ะค่ะ ทรงคืนยานั้นกลับไปเถิด” 


 


 


ทันยองรู้จักยาถอนพิษของทันยอบ เขาจึงตะโกนออกมาทันทีที่เห็นถ้วยยาร้อนๆ นั่น 


 


 


พิษที่ทันยอบทำขึ้นมาทั้งหมด ล้วนดื่มยาต้มรักษาไม่ได้ เนื่องจากอันดับแรก ผู้ที่ไม่ได้รับพิษมากนักย่อมต้องหายาต้มบำรุงกำลังเพื่อกำจัดพิษอันน้อยนิดนั่น ยอบเล็งเห็นถึงจุดนั้นจึงทำการสร้างพิษเช่นนี้ขึ้นมา พิษของทันยอบ หากได้รับยาร้อนเพิ่มเข้าไปอีก จุดชีพจรจะร้อนและอุณหภูมิของพิษจะเพิ่มขึ้นจนทำให้เส้นโลหิตแตกซ่าน สุดท้ายก็นำไปสู่ความตาย นั่นคือลักษณะพิเศษของมัน 


 


 


คำพูดของทันยองทำให้ความเงียบโรยตัวอยู่ภายในครู่หนึ่ง ก่อนจาฮอนจะค่อยๆ เปิดปากเอ่ยถาม 


 


 


“เจ้าสามารถรับผิดชอบคำพูดของตนได้หรือไม่ ไม่สิ ไม่ใช่ ข้า…!” 


 


 


ทันยองรู้ดีว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวสิ่งใด หากได้ฟังวาจาจากคนแปลกหน้าที่กล่าวว่าคนรักจะต้องตาย มันจะมีประโยชน์อันใดในการถามหาความรับผิดชอบ เขาเลยพยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ทุกคนเกิดความเชื่อถือ แม้จะเป็นเพียงนิดก็ตาม  


 


 


แล้วก็พลันนึกถึงรอยสักขึ้นมาได้จึงยื่นแขนออกไปข้างหน้าและกล่าวออกมา 


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นคนในกลุ่มเดียวกับนักฆ่าที่บุกรุกเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ รอยสักนี้คือเครื่องยืนยัน” 


 


 


“นั่นยิ่งไม่อาจทำให้ข้าเชื่อถือเจ้าได้ ผู้ใดจะรู้ เจ้าอาจจะมาเพื่อจัดการงานล้มเหลวให้สำเร็จก็เป็นได้” 


 


 


“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด ตั้งแต่เลือกเข้าเฝ้าฝ่าบาท ก็ถือว่ากระหม่อมทรยศต่อกลุ่มแล้ว หากกลับไป ไม่สิ ถึงไม่ได้กลับไป อย่างไรกระหม่อมก็ต้องตายอยู่ดี โปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมได้สะสางเรื่องที่คนผู้นั้นกระทำด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จาฮอนไม่อาจโต้แย้งอะไรตอบกลับได้เลย หากอนุญาตแล้วโซกังต้องตาย ก็ไม่รู้ว่าจะตำหนิตนเองอย่างไร และตรงกันข้าม หากไม่อนุญาตแล้วโซกังต้องตาย ก็คงรู้สึกผิดต่อความผิดพลาดของตนเองอย่างไม่มีสิ้นสุด 


 


 


เมื่อไตร่ตรองตัดสินใจด้วยเหตุและผลอย่างถึงที่สุดแล้ว ย่อมรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ทว่าความหวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าจะสูญเสียอีกฝ่ายไปหรือไม่ คือสิ่งที่เข้ามาขัดขวางการตัดสินใจ ท้ายที่สุดจาฮอนก็ทำสีหน้าเหยเกพร้อมเอ่ยขึ้น 


 


 


“ข้า…อนุญาต” 


 


 


ทันยองกล่าวขอบคุณหลังได้รับการอนุญาต ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แท่นบรรทมโดยไม่ลังเล 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


คุกของวังหลวงนั้นขึ้นชื่อยิ่งกว่าตำหนักเย็น เพราะตำแหน่งที่ตั้งไม่มีทางจะมีแสงแดดสาดส่องถึง การถูกจับขังในสถานที่เช่นนั้น ความหนาวเย็นจะส่งผ่านขึ้นมาจากพื้นดินที่ได้รับการปูด้วยเสื่อฟางเพียงชั้นเดียว แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่าผ้าห่มและชุดของเหล่านักโทษ ล้วนเป็นเพียงผ้าป่านทอบางๆ เท่านั้น เดิมทีโซกังก็อ่อนแอด้วยอาการป่วยกระเสาะกระแสะมากกว่าโซยงอยู่แล้ว ดังนั้น เพียงแค่สองวันที่ถูกขังภายในคุก ร่างกายจึงยิ่งอ่อนแรงกว่าเดิม 


 


 


ช่วงเวลาหนึ่งของวันเดียวกัน ยามที่โซกังกำลังขดตัวคุดคู้นอนหลับอยู่มุมหนึ่งของคุกหลวง 


 


 


บุรุษสวมชุดทหารสีน้ำเงินก็เข้ามาตามหาโซยงจากด้านใน 


 


 


“มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” 


 


 


โซยงนั่งนิ่งอยู่บนพื้นและกล่าวถามอีกฝ่าย เมื่อชายผู้นั้นมองเห็นนาง ก็อุทานออกมาว่าช่างแตกต่างจากบุตรสาวของตระกูลนักรบผู้อื่นนัก ก่อนจะค้อมศีรษะทักทายเล็กน้อยแล้วเอ่ยเข้าเรื่อง 


 


 


“ท่านได้รับอนุญาตจากผู้คุมแล้ว เชิญออกมาด้านนอกสักครู่ มีคนมาพบขอรับ” 


 


 


“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


ทันทีที่โซยงลุกขึ้นยืน ทหารผู้นั้นก็เปิดประตูคุกออก นางเดินตามอีกฝ่ายออกไปด้านนอกคุกหลวง และจ้องมองไปยังทิศทางที่บุรุษผู้นั้นโค้งตัวทำความเคารพ แพคมูกิลยืนอยู่ตรงนั้น จากนั้นผู้นำทางก็ถอยออกไปคอยเฝ้าระวังแทน 


 


 


โซยงไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้แพคมูกิลแต่อย่างใดและยืนอยู่ในความมืดเช่นเดิม ร่างสูงจึงเป็นฝ่ายขยับเข้ามาหานางแทน ก่อนจะคว้าลาดไหล่บอบบาง แล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสัมผัสถึงความสากระคายผิวของอาภรณ์จากผ้าป่าน 


 


 


“โซยง” 


 


 


“คุกหลวงมิใช่สถานที่ที่หลานชายของท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการควรจะมาเยือนเจ้าค่ะ” 


 


 


โซยงปัดมือของแพคมูกิลออกด้วยสายตาชิงชังยิ่งกว่าก่อน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ ทว่าด้วยผู้สั่งการคืออาแท้ๆ ของเขา จนทำให้คนที่ตนรักและเคารพต้องถูกขังในคุก นางจึงชิงชังจนไม่อาจทนได้ และอึดอัดที่ไม่สามารถแสดงความโกรธ เรื่องทั้งหมดนี้ถึงไม่ใช่เพราะแพคมูกิล ตัวนางก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้น 


 


 


“กลับไปเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


“โซยง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ มากับข้าเถอะ” 


 


 


“ข้าปฏิเสธไปตั้งกี่หนแล้ว!” 


 


 


“มิใช่เรื่องอนุ! นั่นเป็นความผิดของข้าเอง เจ้าอย่าได้โมโหแล้วฟังข้าก่อน หากเพียงเจ้าเห็นดีเห็นงาม เพียงเจ้ามาหาข้า ข้าก็สามารถละทิ้งทุกสิ่งในตอนนี้แล้วหนีไปกับเจ้าได้ เราไปอยู่อาณาจักรยางด้วยกันเถิด จะไม่มีสักที่ในอาณาจักรนั้นให้พวกเราพักพิงเชียวหรือ” 


 


 


“ข้าไม่ต้องการ ท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ชายของข้าอยู่ในคุก คนรักของข้าก็อยู่ในคุก ข้ายังจะไปที่ใดเพียงลำพังได้อีก กลับไปเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้มาพบหน้าข้าอีกเลย” 


 


 


การปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยทำให้สีหน้าของแพคมูกิลบิดเบี้ยวจนน่ารังเกียจ ถึงแม้ตนยื่นข้อเสนอว่าจะช่วยชีวิต และพาหนีไปใช้ชีวิตร่วมกัน แต่โซยงกลับยังปฏิเสธ ส่งผลให้ความเกลียดชังพลุ่งพล่านเอ่อล้นขึ้นมา 


 


 


โซยงไม่ยอมให้โอกาสแม้แต่น้อยและหันหลังให้ทันที ร่างสูงจ้องมองแผ่นหลังของสตรีตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเก็บกดโทสะ 


 


 


“เจ้าพอใจจะตายร่วมกับมันอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ จะภพนี้หรือภพหน้าแล้วจะเกี่ยวข้องอันใดเล่า หากเพียงได้อยู่ด้วยกัน สิ่งใดก็ล้วนไม่ใช่ปัญหาทั้งสิ้น” 


 


 


“งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าจงฟังให้ดี เจ้าจะไม่ได้ตายพร้อมบุรุษที่เจ้ารักถึงเพียงนั้นหรอก หลังจากเจ้าจากไป บุรุษที่เจ้าเคยเชยชมว่าสง่างามนั่น มันจะต้องมีชีวิตเป็นสิ่งบำเรอกามให้ผู้อื่น ข้าจะทำให้มันกลายเป็นเช่นนั้นแน่นอน” 


 


 


แพคมูกิลกัดฟันเอ่ย สายตาของโซยงจึงเบนกลับมาทันที ดวงตาคู่สวยมีรอยยิ้มบางๆ อยู่ 


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่เลวเจ้าค่ะ แค่ให้ท่านพี่ได้มีชีวิตอยู่ต่อ” 


 


 


“ข้าจะทำให้มันอยู่ด้วยการถูกข่มเหง!” 


 


 


“เกลือกกลิ้งสิ่งโสมมในชาตินี้ มันก็ดีกว่ามิใช่หรือเจ้าคะ ข้าขอตัว” 


 


 


จากนั้นโซยงก็ก้าวย่างกลับไปด้านในคุก 


 


 


ด้วยไม่ได้แสดงออกให้แพคมูกิลเห็น อีกฝ่ายจึงไม่มีทางรับรู้ ทว่าโซยงกลับพยายามปิดปากเพื่อกลั้นมิให้ตนเองส่งเสียงสะอื้นออกไป มือที่ใช้ปิดปากสั่นระริก ดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา นางอยากจะตบปากชายผู้นั้นที่บังอาจกล่าวว่าจะทำให้ท่านพี่ของนางตกสู่โคลนตม ทว่ากลับตอบโต้ได้เพียงการอดทนอดกลั้นและแสร้งเมินเฉย 


 


 


เมื่อก้าวเข้ามาในคุก โซยงก็คว้าจับชายเสื้อของบิดาและซุกหน้ากลั้นเสียงร้องไห้ในอ้อมกอด ด้วยความไม่สบายใจว่าแพคมูกิลจะทำเช่นนั้นกับคนรักของตนจริงหรือไม่ น้ำตาจึงไม่ยอมหยุดไหล คยองยูลปลอบโยนบุตรสาวเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามว่าได้ยินเรื่องอันใดมาถึงร้องไห้หนักเพียงนี้ และเมื่อรับฟังเรื่องราวจากโซยง เขาก็หัวเราะออกมาแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


“หากไปด้วยกันเสียก็ดี หากเหลือตัวคนเดียว ก็ย่อมจะหาหนทางอื่นได้ เด็กผู้นั้นรู้จักถ่อมตน และเป็นเด็กฉลาดที่รู้จักเอาตัวรอด” 


 


 


หลังจากกล่าวจบก็จมอยู่กับความคิดครู่หนึ่ง และเมื่อโซกังตื่นขึ้นมา คยองยูลก็กระซิบอย่างแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มคล้ายเป็นคำแนะนำ 


 


 


“แม้จะอ่อนล้ากับชีวิตมากเกินไป แต่ถึงกระนั้นก็อย่าได้หลงลืม ยามความตายคล้ายมาอยู่ตรงหน้า จงนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมาใช้ ความโกรธก็นับเป็นอาวุธได้ หากใช้ให้ดี ก็อาจจะหลุดพ้นจากความตายได้เช่นกัน” 


 


 


โซกังย้อนถามกลับว่าหมายถึงเรื่องใด แต่หลังจากกล่าวประโยคนั้นแล้ว อีกฝ่ายก็มิได้ให้ความกระจ่างเพิ่มแต่อย่างใด 

 

 

 


ตอนที่ 8-5 ดอกไม้ราตรี

 

ตอนที่ 8-5 ดอกไม้ราตรี

 


ไม่นานหลังจากนั้น แพคมูกิลก็เรียกยูจินมยอง ขุนนางกรมราชเลขา เข้ามาพูดคุยสนทนาเกี่ยวการไต่สวนอย่างลับๆ 


 


 


อย่างไรเสียมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการก็ได้รับอำนาจในการไต่สวน ทั้งยังไม่คิดจะไว้ชีวิตผู้ใดก็ตามในคุกหลวงอยู่แล้ว แต่คำให้การของยูจินมยองจะช่วยลดเวลาการไต่สวนลง มูกิลจึงเสนอว่าจะช่วยชีวิตยูโซกัง บุตรชายเพียงคนเดียวของอีกฝ่าย 


 


 


ยูจินมยองยินยอมรับข้อเสนอนั้น ศพที่ดูคล้ายคลึงกับยูโซกังจึงถูกส่งเข้าไปในคุกแทนยูโซกังตัวจริง และทางการก็ทำการประกาศออกมาทันทีว่า ยูโซกังสิ้นชีพในคุกหลวงแล้ว 


 


 


คยองยูลกลัวว่าแพคมูกิลเปลี่ยนใจจะฆ่ายูโซกังภายหลัง ดังนั้น ก่อนตนจะถูกประหารจึงกล่าวแก่มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการว่าบันทึกฉบับนั้นยังอยู่ และหากทางนั้นต้องการค้นหาที่ซ่อนของบันทึก ยูโซกังก็จะไม่มีทางถูกฆ่าแน่นอน 


 


 


ได้แต่หวังให้เด็กสุภาพอ่อนโยนทั้งๆ ที่สูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเล็กมีชีวิตอยู่ เพราะหากเป็นมูฮยอน บุตรชายของตนที่มีชาตินักรบฝังถึงกระดูก คงไม่อาจทนดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดต่อได้ อีกทั้งบุตรสาวอย่างโซยง หากยังมีชีวิตอยู่ก็คงไม่พ้นถูกข่มเหง ให้พวกเราจากไปด้วยกันจึงจะเป็นการดีกว่า 


 


 


จนกระทั่งถึงยามถูกประหาร คยองยูลก็ยังภาวนาให้โซกังมีชีวิตต่อไป 


 


 


โซกังถูกนําตัวมาปล่อยไว้ที่เรือนทาสหน่วยสาม จากนั้นก็ถูกผู้ได้รับการบงการจากแพคมูกิลบังคับให้รับการปฏิบัติอย่างหยามเหยียด ด้วยคำพูดของแพคมูกิล เขาจึงต้องมีชีวิตด้วยการตกเป็นชายบำเรอ ทว่าด้วยการกระทำเช่นนั้นของแพคพูกิล จึงทำให้ร่างบางไม่ได้ถูกทรมานอย่างไร้ความปราณีจากแพคมีกัง 


 


 


และมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ 


 


 


ทว่าความจริงทั้งหมดนั้น โซกังไม่มีทางได้รับรู้ 


 


 


 


 


 


เขากำลังยืนอยู่ในที่ที่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว คล้ายเป็นการเตรียมพร้อมกับห้วงสุดท้ายของชีวิต จึงได้เห็นภาพยามท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการเล่าเรื่องราวให้ฟัง รอยยิ้มของโซยง คุกหลวงและเรือนทาส สิ่งเหล่านั้นถูกแต่งเติมด้วยสีขาว สีดำและสีแดงจนสับสนวุ่นวาย ทว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนเหล่านั้น อดีตเหล่านั้น รวมถึงอดีตของตนเลย 


 


 


จิตใจที่สงบอย่างถึงที่สุดกำลังกระซิบว่าตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว เพียงเดินต่อไปตามทางเดินเบื้องหน้าก็พอ 


 


 


หากจุดสิ้นสุดมาถึง ก็คล้ายตนจะหายไปในแสงสว่างเปล่งประกาย และโซกังก็ปรารถนาถึงสิ่งนั้นเช่นกัน เขาละทิ้งอดีตของตน ปัจจุบัน ผู้คน ละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อก้าวเดินไปตามหนทางสีขาว ทุกครั้งที่ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ความกลัดกลุ้มก็ปลิวหาย ความปรารถนาก็ตามไปติดๆ ท้ายที่สุดก็หวังว่าความชิงชัง โทสะ กระทั่งความคับแค้นจะหายไปเสียทั้งหมด พร้อมกับก้าวย่างต่อไปอีกหนึ่งก้าว 


 


 


ทว่าขณะนั้น หน้าอกพลันเริ่มเจ็บแปลบ ความเจ็บปวดอันน้อยนิดค่อยๆ เติบโตขึ้น สุดท้ายมันก็ปะทะเข้ามาจนหายใจไม่ออก โซกังกอบกุมหน้าอกเอาไว้พลางทรุดตัวลงกับพื้น 


 


 


“ข้าคิดถึงเจ้า มันยังไม่เพียงพอเลย ข้ายังไม่ทันได้บอกว่ารักเจ้ามากถึงเพียงใด ข้าคิดถึงเจ้า…” 


 


 


เมื่อความรู้สึกที่ติดค้างอยู่มากมายกดทับลงบนอก เขาก็หลับตาแน่นทันที ก่อนน้ำเสียงแหบแห้งจะดังขึ้น โซกังพยายามฝืนพูดด้วยน้ำเสียงขาดห้วง 


 


 


“…จา ฮอน” 


 


 


แม้มันจะเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่จาฮอนกลับได้ยินเสียงของโซกังอย่างแจ่มชัด เจ้าตัวนั่งอยู่ริมเตียง เอาแต่จ้องมองใบหน้าหวานพร้อมตะโกนร้องออกมา 


 


 


“โซกัง!” 


 


 


“จา ฮอน จาฮอน… จาฮอน…” 


 


 


โซกังเรียกชื่อของอีกฝ่ายอยู่เช่นนั้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ชื่อของผู้ที่เรียกตนให้หวนคืนกลับมาจากเบื้องหน้าของความตายอันสุขสงบและอบอุ่น 


 


 


ด้วยคิดว่าไม่มีสิ่งใดติดค้างต่อโลกนี้อีกแล้ว หากเพียงตายได้ก็อยากจบชีวิตลงเสีย แม้จะคิดว่าอยากรักและใช้ชีวิตร่วมกับจาฮอนก็ตาม ทว่าอีกด้านหนึ่งก็ยังคงมีโซยงอยู่เสมอ มีท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการกับท่านพ่อ อีกทั้งยังมีมูฮยอน ถึงตัวเขาจะไม่อาจติดตามไปพร้อมกันได้ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถลบเลือนพวกเขาเหล่านั้นออกใจได้อย่างหมดสิ้น 


 


 


แต่เมื่อมาถึงหน้าประตูแห่งความตาย ทั้งๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีสิ่งอื่นใดสั่นคลอนจิตใจได้ กลับได้ยินเสียงจาฮอนอ้อนวอนต่อตัวเขา 


 


 


“จาฮอน” 


 


 


เอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายซ้ำอีกครา แม้อยู่ต่อหน้าความตายแล้ว ความห่วงหาอันน่าเศร้าก็ทำให้หวนกลับคืนมา มีเพียงเท่านี้ เพียงปล่อยวางทุกสิ่งอย่างในห้วงเวลาแสนประหลาดนั่น เพราะเพียงสิ่งเดียวที่ติดค้างอยู่ในใจ 


 


 


จาฮอนลูบไล้แก้มเนียนและแนบประทับจูบบนริมฝีปาก แม้โซกังจะยังไม่ได้ลืมตา แต่ก็รับรู้ได้ว่าริมฝีปากที่สัมผัสลงมาเป็นของผู้ใด ริมฝีปากสั่นระริกของอีกฝ่ายบ่งบอกให้รับรู้ว่าเจ้าตัววิตกกังวลใจเพียงใด 


 


 


“ข้า รักท่าน จาฮอน” 


 


 


“ข้าก็รักเจ้า โซกัง…รักสุดหัวใจ” 


 


 


แม้รอบกายจะมีทั้งทันยอง ขันทีโช หมอหลวง อีกหกองครักษ์ฮวังรยง รวมถึงเหล่าขันทีและนางกำนัล แต่จาฮอนก็ไม่ใส่ใจผู้ใดทั้งสิ้น เอาแต่เอ่ยคำว่ารักแก่อีกคน ด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่ผู้ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ก็ยังรู้สึกทราบซึ้งกินใจจนอัดแน่นไปทั้งอก 


 


 


ริมฝีปากทั้งคู่ยังคงสัมผัสไม่ละห่างอยู่เช่นนั้น จนผู้คนรอบกายต่างต้องเป็นฝ่ายหมุนตัวหันหลังหลบสายตาแทน ยกเว้นเพียงทันยองเท่านั้น ทันยองปาดเช็ดนํ้าตาของตนที่รินไหลออกมาอีกหน พร้อมกับจ้องมองการจุมพิตของฝ่าบาทกับโซอีมามาอย่างไร้มารยาท หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เปลือกตาของโซกังก็ปรือขึ้น สีหน้าเป็นกังวลของคนตรงหน้าก็ทำให้เขาพยายามฝืนยิ้ม ทันใดนั้นดวงตาคมใต้เรียวคิ้วขมวดมุ่นของจาฮอน ก็มีหยดนํ้าตาอุ่นร้อนร่วงรินลงมา 


 


 


ทั้งรอบตาลึกโหล ทั้งใบหน้าซูบตอบปรากฏสู่สายตาอย่างชัดเจน ร่างบางทำสีหน้าเศร้าโศกก่อนจะเอ่ยปากพูด 


 


 


“เหตุใดจึงทรงซูบเซียวเช่นนี้เล่า…” 


 


 


“ก็เจ้าทิ้งข้าไว้ลำพังตั้งเจ็ดวันน่ะสิ” 


 


 


“กระหม่อมนอนอยู่เช่นนี้… ตั้งเจ็ดวันเชียวหรือ” 


 


 


“ใช่ ทำไมเจ้าถึงใจร้ายนัก ในใจข้าลุกไหม้จนเหลือเพียงเถ้าถ่านแล้ว” 


 


 


“ขอโทษ” 


 


 


คำพูดของโซกังทำให้จาฮอนเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มสดใสออกมาในทันใด อีกฝ่ายค่อนข้างเถรตรง โดยปกติมักจะใช้คำว่า ‘ขอประทานอภัย’ ทว่าตอนนี้กลับพูดเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เพียงแค่เปลี่ยนระดับการพูด ก็รู้สึกว่าระยะห่างเล็กน้อยที่เคยมีระหว่างกันสลายหายไปจนสิ้น 


 


 


จาฮอนจ้องมองโซกังด้วยรอยยิ้มกว้างและไม่คิดจะเอ่ยแนะนําทันยองแต่อย่างใด ท้ายที่สุดทันยองก็ต้องกระแอมออกมาเป็นหนที่สอง จนร่างสูงพลันตระหนักได้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองรอบกาย ก็เห็นแผ่นหลังของทุกคนที่หันกลับไปเหมือนไม่ขอรับรู้สิ่งใด ยกเว้นคนผู้เดียวคือทันยอง 


 


 


“ทุกคนจงออกไปเสีย” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


ผู้คนที่หันหลังต่างตอบรับโดยพร้อมเพรียงและทยอยออกไปรอนอกห้องบรรทม เมื่อประตูปิดลง จาฮอนจึงเหลือบสายตามองทันยอง 


 


 


ทันยองประสานสายตา ก่อนจะหลุบสายตาลงด้านล่างและก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น คนผู้นี้รูปร่างเล็ก มีส่วนสูงเกินห้าช็อกมาเล็กน้อย จนไม่อาจแยกแยะได้ชัดเจนว่าเป็นชายหรือหญิงกันแน่ 


 


 


ตลอดช่วงเวลาที่โซกังยังไม่ฟื้น ความสนใจทั้งหมดของเขาก็อยู่กับคนรักของตนเท่านั้น จนถึงตอนนี้อย่าว่าแต่เพศของทันยองเลย กระทั่งชื่อเขาก็ยังไม่รู้ จาฮอนจับมือของโซกังพลางลูบสัมผัสอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยถามทันยอง 


 


 


“เจ้าชื่ออะไร” 


 


 


“ทันยองพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ ทันยองบอกสิ่งที่เจ้าต้องการมาสิ” 


 


 


“หา?” 


 


 


“เจ้าช่วยชีวิตโซกังเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าก็จะมอบให้” 


 


 


ทันยองถึงกับตาเบิกกว้างจ้องมองอีกฝ่ายทันที ทว่าจาฮอนไม่ได้มองกลับมา ดวงตาของเจ้าตัวกำลังมองคนรักที่เพิ่งลืมตาตื่น สีหน้าผ่อนคลายพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุข เมื่อได้เห็นภาพเช่นนั้น ทันยองเองก็พลอยยิ้มตามไปด้วย 


 


 


ตลอดเวลาเจ็ดวันที่ฝ่าบาทคอยดูแลโซอีมามา ทั้งไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน คอยเดินไปเดินมาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาด้วยความว้าวุ่นกระวนกระวาย ทว่าด้วยเหตุนั้นแล้ว ก็คงไม่ใช่ว่าลืมเลือนว่าตัวเขาเป็นใคร ทั้งๆ ที่เห็นชัดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับมือสังหารแท้ๆ 


 


 


“มิทรงทำการไต่สวนหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เหตุใดถึงได้ถามเช่นนั้นเล่า” 


 


 


“ทรงลืมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะว่ากระหม่อมเป็นผู้ใด” 


 


 


“ข้าไม่ได้ลืม แต่เจ้าคืนโซกังให้ข้า สิ่งนั้นนับว่าสำคัญที่สุด” 


 


 


“เป็นพระกรุณาอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทันยองรีบคุกเข่าคำนับลงกับพื้น ถึงแม้องค์จักรพรรดิจะไม่ชายตามองก็ตาม เพราะสายพระเนตรหยุดอยู่ที่โซอีมามาเพียงผู้เดียว 


 


 


แม้จะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับนิ้วมือสักหนึ่งนิ้ว แต่ร่างบางที่เพิ่งฟื้นสติกลับคืนมาครบสมบูรณ์ก็ขยับปากไปทางอีกฝ่าย ด้วยเพราะถูกพิษขณะนอนหลับจึงย่อมจะสงสัยว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร 


 


 


จาฮอนขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างเรียบง่าย ทันยองรอคอยจนกระทั่งน้ำเสียงอ่อนโยนและทุ้มตํ่าจบลง จึงเอ่ยพูดสิ่งที่ตนต้องการ 


 


 


“โปรดส่งตัวกระหม่อมไปยังคุกหลวง และยินยอมให้หนีออกไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เจ้าจะกลับไปหาพรรคพวกอีกครั้งเช่นนั้นหรือ” 


 


 


“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีคนที่ต้องไปพบ และเพื่อโซอีมามาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หมายความว่าอย่างไร เจ้าว่ามาให้ละเอียดสิ” 


 


 


เด็กๆ ของยาอึมถูกเลี้ยงดูอย่างไร นายใหญ่ของยาอึมคือใคร แพคมูกิลมีตำแหน่งใดในยาอึม ทันยอบได้รับมอบหมายหน้าที่เช่นไรจากผู้ใด และถูกจัดการด้วยวิธีใด ทันยองบอกเล่าออกมาเสียจนหมด 


 


 


หลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมด จนถึงสาเหตุว่าทำไมถึงขอให้เขาส่งตัวไปขังในคุกหลวง จาฮอนก็ตอบรับทันยองว่าอีกประเดี๋ยวค่อยพูดถึงเรื่องนี้กัน เพราะในยามนี้สภาพร่างกายของโซกังถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก 

 

 

 


ตอนที่ 8-6 ดอกไม้ราตรี

 

ตอนที่ 8-6 ดอกไม้ราตรี

 


โซกังสื่อสารว่าง่วงด้วยการกะพริบตาช้าๆ ด้วยความรู้เเละความพยายามของทันยองจึงสามารถสลายพิษในร่างกายโซกังได้ แต่เรื่องพละกำลังอ่อนแรงลงก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ซึ่งน้ำข้าวต้มที่จาฮอนเป็นผู้ป้อนให้เองด้วยปากในแต่ละมื้อก็เพียงพอแค่ประทังชีวิต จาฮอนมองโซกังทีหนึ่งแล้วก็มองทันยองทีหนึ่ง เหมือนต้องการไถ่ถามโดยไร้คำพูดว่าควรให้คนป่วยทานอาหารหรือให้ยาบำรุงตัวใดดี 


 


 


“ตอนนี้ยังไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แต่เพียงแค่ข้าวต้มก็พอได้อยู่” 


 


 


เขาพยักหน้ารับกับคำพูดของทันยอง ก่อนจะสั่งให้ด้านนอกนำข้าวต้มเข้ามา 


 


 


หลังจากเวลาผ่านไปเล็กน้อย จาฮอนก็รับถ้วยข้าวต้มมาถือแล้วเป่าให้มันเย็นลงจนพอทานได้ ค่อยๆ ป้อนข้าวต้มแก่โซกังอย่างตั้งใจ ทว่าร่างบางรับข้าวต้มเข้าปากได้ไม่กี่คำก็ส่ายหน้าหนี ผลักถ้วยข้าวออกแล้วหลับตาลง เขาเลยตบเบาๆ ลงบนแผ่นอก กล่อมจนเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด 


 


 


เมื่อแน่ใจว่าโซกังหลับสนิทแล้ว จาฮอนจึงเอ่ยถามทันยองถึงเรื่องที่พูดคุยก่อนหน้านี้ 


 


 


“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าคนพวกนั้นไม่รู้ว่าเจ้าเปลี่ยนใจ ในวังหลวงไม่มีทางจะมีหูตาเพียงแค่คู่สองคู่เป็นแน่” 


 


 


“กระหม่อมทราบดี และไม่ได้คิดปิดบังเรื่องที่ตนเปลี่ยนใจพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงยอมติดคุกด้วยตนเอง แล้วตั้งใจจะหนีออกไปเล่า” 


 


 


“นายท่านทราบถึงเรื่องที่กระหม่อมได้พบฝ่าบาทแล้วแน่นอน แต่เขาย่อมสงสัยว่าเราพูดคุยถึงเรื่องอะไร รวมถึงในใจของกระหม่อมเป็นเช่นไรด้วย ระหว่างนั้นเพียงกระหม่อมได้พบคนที่ต้องการเจอ แล้วออกมาเสียก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แล้วหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร” 


 


 


ทันยองยกยิ้มฝืดเฝื่อนให้กับคำถามนั้น รอยยิ้มไม่เหมาะกับใบหน้าเรียวเล็กและงดงามอ่อนเยาว์เลย มันช่างดูเหนื่อยล้ากับชีวิตอย่างถึงที่สุด 


 


 


“คิดว่าคงปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ควรเป็น ไม่อาจหลุดรอดสายตาของยาอึมก็ดี หรือหากหลุดรอดออกมาได้ก็ดีเช่นกัน และหากยังมีชีวิตอยู่ กระหม่อมก็จะใช้ชีวิตเพื่อไถ่บาปให้การกระทำของทันยอบพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ทันยอบหรือ คนผู้นั้นชื่อทันยอบสินะ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าจะสนองคำขอของเจ้า แต่หากเจ้าช่วยดูแลจนกว่าโซกังจะอาการดีขึ้นอีกสักหน่อย ก็จะเป็นการดี” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เป็นพระกรุณาอย่างยิ่งที่ทรงเชื่อกระหม่อม” 


 


 


“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ทันยอง” 


 


 


“เป็นเรื่องที่สมควรต้องทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทันยองค้อมคำนับพร้อมกับเอ่ยตอบรับ จาฮอนเลยสั่งให้อีกคนไปพักผ่อน ทันยองจึงกลับไปยังสถานที่ที่ตนใช้พักอาศัยอยู่ตลอดเจ็ดวันนี้ 


 


 


เมื่อเหลือเพียงพวกเขาสองคน ร่างสูงก็แนบจุมพิตประทับลงบนหน้าผากมน ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเปิดประตูออกด้วยตนเองเพื่อก้าวออกมาด้านนอก บอกกล่าวให้เหล่าองครักษ์ฮวังรยงทั้งสามได้ยินพร้อมกัน 


 


 


“เฝ้าดูรอบห้องบรรทมให้ดี อย่าได้คลาดสายตาแม้เพียงครู่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


หลังฝากคำสั่งแก่องครักษ์ฮวังรยง จาฮอนจึงสั่งให้นางกำนัลด้านนอกจัดเตรียมน้ำสำหรับชำระกาย 


 


 


ได้ยินขันทีโชกล่าวว่าฎีกาที่ไม่ได้ตรวจดูเลยตลอดเจ็ดวันนั้นกองทับถมสูงเป็นภูเขาแล้ว อีกฝ่ายยังกล่าวเสริมอีกว่าตนจะลองขัดขวางเหล่าขุนนางจนถึงที่สุด  


 


 


เมื่อโซกังฟื้นขึ้นมาแล้ว องค์จักรพรรดิจึงได้กลับไปจัดการงานที่ละทิ้งไประหว่างช่วงเวลานั้น ขณะเดียวกันก็ต้องรับฟังรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่สั่งให้ตรวจสอบ 


 


 


จาฮอนก้าวเดินไปยังห้องที่นางกำลังจัดเตรียมถังอาบน้ำเอาไว้ พลางเรียบเรียงความคิดอย่างช้าๆ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


และเมื่อไปถึงตำหนักอุนฮยอนก็ได้รู้ซึ้งว่า คำกล่าวว่าฎีกากองเท่าภูเขาของขันทีโชนั้น หาใช่คำโกหกแม้เพียงนิด 


 


 


เนื่องจากมิใช่เพียงไม่เข้าตำหนักฮวังรยงเท่านั้น ฝ่าบาทยังออกคำสั่งให้เหล่าทหารหลวงมาคอยเฝ้าทางเข้าออกจนเหล่าขุนนางเองก็เข้าไปไม่ได้ ดังนั้น ฎีกาจึงไม่ได้ถูกนำไปยังตำหนักฮวังรยง แต่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่ตำหนักอุนฮยอนแทน 


 


 


พอนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ถูกโยกย้ายมา จาฮอนจึงเร่งไปจัดการฎีกาเหล่านั้นที่ตำหนักอุนฮยอน สั่งให้เหล่าบัณฑิตอุนฮยอนคัดแยกฎีกาที่เกี่ยวข้องกับโซอีและฎีกาเกี่ยวกับทายาทเอาไว้ต่างหาก เพราะรู้แจ้งอยู่แล้วว่าเนื้อความเป็นอย่างไร 


 


 


ตรวจดูหรือไม่ตรวจดู ก็ค่าเท่ากัน 


 


 


สิ่งที่ต้องจัดการก่อนอันดับแรก ย่อมเป็นฎีกาที่เกี่ยวข้องกับราษฎร ด้วยละเลยไปถึงเจ็ดวัน ถึงแม้ระหว่างช่วงเวลานั้นเรื่องราวอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่สำหรับเรื่องที่ควรตรวจสอบอย่างเร่งด่วนและสามารถจัดการได้ ก็ย่อมต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน ตัวเขาคิดอยู่เสมอว่าหากไม่มีราษฎรก็ไม่มีตน จึงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสงบสุขของผู้คนเหล่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ปล่อยปละละเลยจนมันพอกพูนถึงเพียงนี้ 


 


 


หลังจากเปิดอ่านฎีกาไปไม่รู้เท่าไร จาฮอนก็หลุดหัวเราะออกมา ด้วยตระหนักแล้วว่าโซกังมีอิทธิพลกับตนมากมายอย่างไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน 


 


 


เขาทำการตรวจดูฎีกาโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงเจ็ดวัน ตลอดเวลานั้นฝ่าบาทยุ่งเสียจนรับเครื่องเสวยเพียงไม่กี่มื้อ และเป็นทันยองที่คอยดูแลโซกัง เมื่อร่างบางได้รับยาบำรุงและอาหารอย่างเหมาะสม อาการจึงฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งสัปดาห์ ทำให้จาฮอนปีติยินดียิ่งนัก 


 


 


 


 


 


แล้วในค่ำคืนหนึ่ง จาฮอนเข้าห้องบรรทมในช่วงปลายยามแฮดังเช่นทุกครา 


 


 


เห็นว่าโซกังหลับตาและหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ จึงนึกว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้ว เขาเลยค่อยๆ ล้มตัวลงนอนข้างๆ อย่างระมัดระวัง ทว่าโซกังกลับพลิกหันมาแล้วซุกตัวเข้าสู่อ้อมอก กลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ตลบอบอวลจากตัวผู้อาบน้ำด้วยเครื่องหอมบางอย่าง อีกทั้งอาภรณ์ก็ผูกไว้หลวมๆ จนเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวกระจ่างและยอดอกนูนเด่น 


 


 


“ท่านทันยองกล่าวว่าตอนนี้สามารถทำเรื่องนั้นได้ ไม่มีผลกระทบใดๆ พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“โซกัง เจ้าหมายถึงเรื่องอะไร…” 


 


 


“กอดกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จาฮอนเชยปลายคางมนให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งยังขบเม้มริมฝีปากแน่น ก็เพียงพอให้ความปรารถนาที่เคยอดกลั้นพรั่งพรู ไม่สิ ทะลักออกมาต่างหาก 


 


 


พอเห็นเรียวคิ้วของคนตรงหน้าขมวดเป็นปมแน่น โซกังจึงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา เพิ่งจะฟื้นหายดีได้ไม่เท่าไร ก็ดันคิดถึงเรื่องอย่างว่าขึ้นมาทั้งๆ ที่ตนก็ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด จึงเอ่ยถามกับทันยองด้วยใบหน้าขึ้นสี 


 


 


ทว่าดูเหมือนจะทำพลาดเสียแล้ว ก่อนจะหลุดพ้นจากการถูกข่มเหง ณ เรือนทาสก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน คำถามว่าคิดเช่นนั้นหรอกหรือดังแว่วข้างอยู่หู โดยไม่มีผู้ใดเอ่ยถาม แต่เป็นความคิดของโซกังเองที่ทำให้เสียงนั้นดังแว่วขึ้น จาฮอนเพียงแค่ขมวดคิ้วแน่นเท่านั้น ร่างบางพลันเปิดปากเอ่ย 


 


 


“ฝ่าบาท…” 


 


 


ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหลุดเอ่ยเรียก ‘ฝ่าบาท’ ออกมาก่อนชื่อจริงของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่เวลาอยู่ด้วยกันเพียงสองคน เจ้าตัวสั่งห้ามเรียกเช่นนั้นแล้ว 


 


 


ตลอดเวลาที่หมดสตินั้น รับรู้ดีว่าจาฮอนรักและเป็นห่วงเพียงใด ถึงขนาดซูบผอมเพราะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ แต่กระนั้นตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับจิตใจอันขลาดเขลา แม้จะเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นพวกเงียบขรึมและสุขุมใจเย็น ทว่ามิเคยถูกเรียกว่าขลาดเขลามาก่อน ทว่าในยามนี้ก็คงมีเพียงคำว่าขลาดเขลาเท่านั้น ที่จะสามารถบ่งบอกตัวตนของเขาได้ 


 


 


แม้รู้ดีว่าบุรุษผู้นี้รัก แม้จะคอยบอกตนเองอยู่เสมอ แต่เมื่อคิดถึงวันข้างหน้า ก็พาลให้รู้สึกหวาดกลัว อีกฝ่ายเป็นถึงจักรพรรดิ มีหน้าที่ให้กำเนิดทายาทเพื่อราชบัลลังก์ เพื่อราชวงศ์ ทว่าถึงแผ่นฟ้าจะพลิกเปลี่ยนด้าน ร่างกายของเขาก็ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ ไม่ว่าอย่างไรโซกังก็ไม่สามารถลบเลือนความคิดนี้ เช่นเดียวกับความรู้สึกต่ำต้อย 


 


 


“อ๊ะ!” 


 


 


ริมฝีปากที่ตั้งใจจะกล่าวแก้ตัวว่ามิใช่เพราะความมัวเมาในกามารมณ์ กลับถูกปิดแนบเอาด้วยริมฝีปากของจาฮอน ร่างสูงวาดยิ้มอ่อนโยนพลางไล้เลียด้วยเรียวลิ้น ก่อนจะประทับจูบลงตรงปลายจมูก 


 


 


“เจ้านี่จริงๆ เลย คอยแต่ทำให้ข้าไม่สงบใจอยู่นั่น” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ?” 


 


 


“หากเจ้าอยากถูกกอดทั้งตัว ก็ถอยหลังไปเสีย” 


 


 


“อา อึก…” 


 


 


ไม่ปล่อยช่องว่างให้ได้ตอบรับก็ถูกจับพลิกตัวแล้ว ลวดลายอันวิจิตรของเพดานปรากฏเข้ามาในครรลองสายตา ทว่ากลับไม่มีเวลาชื่นชม น้ำหนักตัวของอีกฝ่ายก็กดทับลงมาบนร่างกาย ตามด้วยริมฝีปากแนบลงกับต้นคอ 


 


 


จาฮอนดูดดึงผิวเนื้ออ่อนอย่างแรง เมื่อได้รับการก่อกวนด้วยฟันคม ร่างกายบอบบางก็ขยับเคลื่อนตามแรงอารมณ์ ทุกครั้งที่ผิวเนื้อสัมผัสกับฟันคมที่ขบกัดลงมา ความเจ็บแปลบก็แล่นไปตามแนวกระดูกสันหลัง ความแสบบริเวณผิวที่ถูกขบดึง ก็ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวเองโดยไม่อาจควบคุม ทั้งยังส่งเสียงครางหวิวออกมา ด้วยความพึงรู้สึกพอใจอย่างน่าประหลาด 


 


 


มักจะเป็นตัวเขาเองที่เอ่ยห้ามเพราะอายยามผู้อื่นพบเห็น ทว่าตอนนี้มันกลับต่างออกไป ไม่คิดเลยว่าการสลักร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของ จะทำให้รู้สึกดีเช่นนี้ จากนั้นริมฝีปากที่สัมผัสดูดดึงจนเจ็บแปลบก็ผละออก แทนที่ด้วยลิ้นร้อนไล้เลียแผ่วเบา ไล่จูบจนเกิดเสียงน่าอาย ก่อนจะขยับเคลื่อนขึ้นมาจนถึงติ่งหู เข้าไปถึงพื้นที่อันอบอุ่นและฉ่ำชื้น 


 


 


“อ๊ะ ฮือ อึก!” 


 


 


“โซกัง” 


 


 


อีกฝ่ายงับติ่งหูจนรู้สึกเจ็บแปลบ ประทับจุมพิตราวกับปลอบโยนพร้อมกระซิบกระซาบ โซกังค่อยๆ ผ่อนลมหายใจหอบถี่และตอบรับเสียงเรียก จาฮอนขยับลิ้นวาดวนไปตามใบหู ตามมาด้วยเสียงเฉอะแฉะ 


 


 


“อื้อ ฮะ จาฮอน” 


 


 


“โซกัง ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกนามจริงของจักรพรรดิอย่างข้าต่อหน้าทุกคนได้ ดังนั้น จงอย่าได้เอ่ยเรียกว่าฝ่าบาทอีก” 


 


 


“จะ…ได้ อย่างไรกัน…” 


 


 


“เพราะยามอยู่ต่อหน้าเจ้า ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่อาจทำตัวเป็นจักรพรรดิได้” 


 


 


น้ำเสียงแว่วหวานและทุ้มต่ำปัดผ่านใบหู แล้วแล่นลามไปตามแนวกระดูกสันหลังจนสุดปลาย  


 


 


จาฮอนทำให้ใบหูของโซกังชุ่มโชกด้วยน้ำลาย ก่อนจะขยับไปใกล้ริมฝีปากอิ่ม แตะสัมผัสริมฝีปากอย่างแผ่วเบา และค่อยๆ ขยับเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ 


 


 


“ต่อหน้าเจ้าแล้ว ข้าเป็นเพียงยังจาฮอนผู้อ่อนโยนเท่านั้น” 


 


 


ไม่จำเป็นต้องเอ่ยตอบ ทั้งสองต่างดูดกลืนริมฝีปากของกันและกันอย่างกระหาย ราวกับรับรู้ความจริงนั้นอยู่แล้ว ริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างผลัดกันดูดดึงขบเม้มไปมา ยามผละห่างก็ส่งเรียวลิ้นเกี่ยวตวัดแทน รุกไล่ตามติดจนเกิดเสียงแฉะชื้นดังขึ้น เรียวลิ้นของจาฮอนรุกไล่สัมผัสจนลึกสุดโพรงปากของโซกัง ไล้เลียเพดานปากและแหวกว่ายอยู่ภายในอย่างใจเย็น 

 

 

 


ตอนที่ 8-7 ดอกไม้ราตรี

 

ตอนที่ 8-7 ดอกไม้ราตรี

 


โซกังเนื้อตัวสั่นสะท้าน สะโพกยังบิดเร้าไปตามแรงอารมณ์ ด้วยร่างกายถูกทาบทับ ดังนั้นเมื่อขยับเคลื่อนไหว ส่วนล่างจึงบดเบียดกับอีกฝ่าย การเคลื่อนไหวเช่นนั้นของคนสวมอาภรณ์ตัวในเพียงชั้นเดียว จึงยิ่งเป็นการกระตุ้นอันรุนแรงแก่จาฮอนที่อดทนอดกลั้นมาระยะหนึ่งแล้ว 


 


 


“อ๊ะ! อา อื้อ” 


 


 


จาฮอนผละริมฝีปากออก ก่อนจะก้มกลืนกินยอดอกสีดอกท้อนูนเด่น ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ค่อยๆ เลื่อนลงต่ำสัมผัสส่วนล่างของโซกัง บริเวณช่องทางที่ปิดสนิทมาเนิ่นนาน ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทาน้ำมันหอม แต่มันกลับเปิดรับเรียวนิ้วของเขาเป็นอย่างดี และเมื่อแทรกผ่านเข้าไปโดยไร้การต่อต้านกลับทำให้จาฮอนรู้สึกไม่ดี 


 


 


ตัวเขามักจะเป็นผู้นำในการร่วมรักอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็คล้ายว่าแม้จะใช้ชีวิตอย่างอยากลำบากมาเพียงใด ก็ไม่เคยพบการแทรกผ่านอย่างราบรื่นเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าในคราแรก ตนถูกความรู้สึกพาไปจึงทำผิดพลาด แต่หากสัมผัสจุดหนึ่งภายในร่างกายก็จะทำให้รู้สึกดีได้ เช่นนั้นต่อมาต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถร่วมรักกันโดยไม่เจ็บปวด เขาค่อยๆ บอกให้อีกฝ่ายได้เรียนรู้ 


 


 


ยามนี้โซกังตระเตรียมร่างกายเพราะปรารถนาจะร่วมรักกับตัวเขา คงไม่ใช่ว่าถามเอาจากเหล่าขันที แล้วเรียกขันทีจากฝ่ายในมาจัดการหรอกนะ… 


 


 


ขยายช่องทางออกไว้เช่นนี้ เป็นฝีมือของขันทีฝ่ายพิธีการหรอกหรือ ช่างบังอาจยิ่งนัก 


 


 


หยุดความคิดเพียงเท่านี้ ก่อนจะผละจากการดูดเลียยอดอกแล้วเงยหน้าขึ้นมองโซกัง 


 


 


“เหตุใดส่วนนี้จึงอ่อนนุ่มเช่นนี้เล่า” 


 


 


จาฮอนเอ่ยถามพร้อมกับขยับเรียวนิ้วในตัวอีกฝ่ายแล้วกวาดวนไปทั่ว ทั้งๆ ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


การกระทำนั้นทำให้โซกังขยับโยกสะโพกรับและส่งเสียงคราง ร่างสูงจึงสอดนิ้วเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่ง จากนั้นก็ขยับราวกับทำหน้าที่เป็นกรรไกรใช้ตัดเปิดทาง  


 


 


“อึก ฮือ อ๊ะ…” 


 


 


“อ่อนนุ่มขนาดพร้อมสอดใส่ทันทีเช่นนี้ เป็นผู้ใดกันที่บังอาจมาแตะต้องส่วนนี้” 


 


 


“อื้อ ไม่มีผู้ใด…ฮึก จาฮอน อ๊ะ…!” 


 


 


นิ้วเรียวสอดลึกเข้าไปภายในกาย กดสัมผัสตรงส่วนอ่อนไหวลึกจนสุด สะโพกอิ่มบิดเร้าตามทันใด ทั้งเสียงครางที่ดังก้อง ก่อนจะดึงกระชากมือลงมาทั้งๆ ที่ยังกางนิ้วกว้าง เมื่อนิ้วมือกางค้างอยู่หลุดออกมา ช่องทางก็ขยายเต็มที่ เมื่อความแน่นกระจุกรวมตัวอยู่บริเวณส่วนล่าง โซกังก็บิดร่อนสะโพกไม่หยุด 


 


 


กล่าวเช่นนี้ก็ดูจะประหลาด แต่จาฮอนมองสบตาและแสดงออกด้วยความดื้อรั้น ด้วยก่อนหน้านี้เป็นความหวานล้ำดั่งขบกัดขนมยักกวา แล้วเพราะเหตุใดภายในชั่วพริบตาจึงแสดงความดื้อรั้นออกมาแทน 


 


 


“จาฮอน ใยถึงต้องมีโทสะเช่นนี้” 


 


 


โซกังจงใจใช้คำพูดเฉกเช่นสามัญชน แม้จะเพิ่งกระทำเป็นหนที่สอง ทว่าก็เพราะนึกได้ว่าหากใช้คำพูดเช่นนี้ อีกฝ่ายจะชื่นชอบเป็นอย่างมาก และจะชื่นชอบจริงหรือไม่ ก็ดูได้จากที่แก้มขึ้นสีจัด ทั้งยังหลุดเสียงอุทานด้วยความชอบใจอีก 


 


 


จาฮอนรู้สึกดีเพราะเหมือนตนกลายเป็นเพียงคนสามัญธรรมดา ยามร่างบางกล่าววาจาเช่นนั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องทายาท งานราชกิจ หรือการปรับแก้ไขปัญหาของกลุ่มใดๆ ทั้งสิ้น 


 


 


ในช่วงแรกของการขึ้นครองราชย์ ด้วยการปรับแก้ไขปัญหาของแต่ละกลุ่มเฉกเช่นจักรพรรดิองค์ก่อน แม้ตนไม่คิดจะรับสนมผู้นั้นผู้นี้เลยก็ตามที ทว่าในความเป็นจริงก็ไม่อาจกระทำตามความตั้งใจได้ ตอนนี้จึงมีสนมอยู่ถึงสามนางเช่นนั้น เป็นจักรพรรดิมีอันใดดีกัน กระทั่งการรักใครสักคนตามใจตนดั่งเช่นพวกสามัญชนก็ยังเป็นเรื่องยากนัก 


 


 


โซกังจ้องมองจาฮอน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงกระซิบต่อ 


 


 


“หากไม่บอก ข้าก็ไม่อาจทราบ แต่ข้าไม่ชอบให้ท่านมีโทสะเช่นนี้” 


 


 


“นั่น… เฮ้อ เจ้าเรียกขันทีฝ่ายในเข้ามาหรือ” 


 


 


ร่างสูงกระแอมแล้วย้อนถามออกมาอย่างยากลำบาก การเตรียมร่างกายสนมให้พร้อมต่อการร่วมหอกับฝ่าบาท ถือเป็นเรื่องปกติของวังหลวง ทว่าการกล่าวให้ปล่อยวางและอย่ามีโทสะ จึงคล้ายว่าตนกลายเป็นบุรุษจิตใจคับแคบ 


 


 


หลังจากได้ฟังคำถามของอีกฝ่าย โซกังจึงเข้าใจว่าเหตุใดถึงแสดงท่าทีหงุดหงิดใจเช่นนี้ เป็นถึงจักรพรรดิผู้อยู่เหนือราษฎร ผู้ปกครองและรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น แต่กลับหงุดหงิดใจด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ 


 


 


โซกังหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะอ้าแขนออกกว้างหันตัวไปทางฝ่าบาท เมื่อไม่อาจแสร้งเอาชนะได้ จาฮอนจึงยอมเข้าสู่อ้อมกอดแต่โดยดี ร่างบางรั้งศีรษะคนตรงหน้าลงมา ให้ริมฝีปากอีกฝ่ายได้ขบเม้มยอดถันของตน ทันทีที่ถูกขบกัดส่วนนั้นอย่างแผ่วเบา เจ้าตัวก็ถึงกับแอ่นตัวขึ้นพร้อมกระซิบไขข้อข้องใจ 


 


 


“มีเพียงนิ้วมือของข้า ที่ได้เข้าไปในส่วนนั้น อ๊ะ!” 


 


 


เรียวนิ้วที่ยังคงอ้ากว้างเบิกช่องทางอย่างดื้อรั้นพลันหุบลงแล้วรุกคืบเข้าไปด้านใน ร่างบอบบางกระตุกเฮือกพร้อมอ้าขาออกกว้าง จาฮอนดูดดุนขบเม้มส่วนยอดอกตามความต้องการของอีกฝ่ายอย่างกระหาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นอก 


 


 


ยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นสีแดงจัดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา นิ้วซนกวาดควานด้านใน ทำการจู่โจมก่อนจะถอยร่นออกจากกายเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์ ทว่ากลับดึงผิดปมมันจึงยิ่งรัดแน่นขึ้น เขาสบถออกมาแผ่วเบาและกระชากมันออกอย่างแรง จนเสียงฉีกขาดดังขึ้นพร้อมกับอาภรณ์หลุดร่วง 


 


 


จาฮอนก้มตัวลงเปลื้องอาภรณ์ของโซกังออกและเข้ามายืนตรงหว่างขาของร่างบาง นำกระปุกน้ำมันหอมออกมาด้วยใบหน้าแดงจัดเช่นเดิม ทาน้ำมันหอมลงกับแกนกายของตน ตามด้วยช่องทางรักหลังเบิกทางไว้พร้อมแล้ว จากนั้นก็แทรกตัวเข้าเป็นหนึ่งเดียวภายในอึดใจ 


 


 


“อึก! อ๊า! จาฮอน อ๊ะ!” 


 


 


“ไม่คิดเลยว่ายอดรักผู้งดงามของข้าจะหอมหวานเช่นนี้” 


 


 


“อ๊ะ! ฮึก! เร็วไป… ช้าๆ อ๊า!” 


 


 


จาฮอนยังคงชื่นชมคนรักว่างดงามไม่ขาดปาก ทั้งขยับสะโพกอย่างหนักหน่วงโดยจับยึดข้อเท้าของโซกังเอาไว้ เรียวขาอ้ากว้างออกขณะกลืนกินตน ทั้งยังร้องครางด้วยความกระสันซ่านอันเปี่ยมล้น ช่างน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งหยาดน้ำสีใสยังไหลเยิ้มจากปลายส่วนอ่อนไหว ตัวสั่นคลอนตามจังหวะของตน เย้ายวนนัก 


 


 


“อ๊ะ! อา อ๊า!!” 


 


 


แผ่นหลังของโซกังแอ่นโค้งดั่งคันธนู ปลายเท้าจิกเกร็ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ปลดปล่อย แต่ร่างกายของเจ้าตัวกลับกระตุกเกร็งและหวีดร้องราวกับถึงขีดสุดของห้วงอารมณ์ ขณะเดียวกันเสียงคำรามหนักก็หลุดเล็ดลอดจากปากของจาฮอน ระหว่างโจนจ้วงภายในกายของโซกังด้วยความรวดเร็ว 


 


 


โซกังคงไม่รู้ตัว แต่ทันทีที่ไปถึงสุดห้วงความกระสัน ช่องทางของเจ้าตัวจะบีบคลายแล้วตอดรัดตัวตนของจาฮอนจนแน่น เป็นจังหวะซํ้าๆ อยู่เช่นนั้น ร่างสูงปล่อยข้อเท้าเรียวออก ก่อนจะยกสะโพกของอีกฝ่ายให้ลอยขึ้นกลางอากาศ ค้ำแขนไว้ข้างศีรษะของโซกัง จากนั้นก็จ้วงส่งส่วนแกนกายสู่ภายในราวกับกดประทับตราจากด้านบน แล้วถอยร่นออกมาจนแทบหลุดออกจากกัน ขยับเข้าออกซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น 


 


 


“อ๊า!!” 


 


 


หยาดน้ำตาเอ่อคลอหางตาคู่สวยเพราะไม่อาจเอาชนะความเสียวซ่านและค่อยๆ ทยอยรินไหลลงมา เสียงครางที่ไม่ใช่การออดอ้อนดังจากกลีบปากเผยอค้าง ราวกับจะขาดใจทันทียามถูกความปรารถนาถาโถมเข้าใส่ ความสุขสมถึงขีดสุดจู่โจมโซกัง โดยมีจาฮอนจ้วงลึกเสียดสีภายในอย่างแรงอีกครา 


 


 


“อ๊ะ!!” 


 


 


“อึก!” 


 


 


ส่วนอ่อนไหวปลดปล่อยหยาดวสันต์ จาฮอนเองก็ปลดปล่อยน้ำรักเติมเต็มภายใน โซกังสั่นสะท้านไปทั้งตัว ใช้แขนโอบยึดต้นคอแกร่งและค้นหาริมฝีปากของอีกคน เรียวลิ้นเกาะเกี่ยวกันจนเฉอะแฉะ ของเหลวที่ไหลออกจากส่วนเชื่อมติดกัน และจากบริเวณที่เปรอะเปื้อนบนกายบอบบาง มันเลอะเปื้อนไปตามเครื่องนอน 


 


 


“โซกังของข้า ช่างงดงามนัก” 


 


 


แกนกายที่แช่อยู่ภายในความอบอุ่นไม่มีทีท่าจะอ่อนกำลังลงเลย จาฮอนเพียงหยุดพักชั่วครู่แล้วเริ่มขยับสะโพกจู่โจมต่อเนื่องอีกครา 


 


 


ไม่ยอมจบสิ้นลง ไม่ยอมให้การร่วมรักไร้ความหมายกระทั่งฟ้าสาง โซกังสลบแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ถึงสองหนแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังอยู่ภายในกายตน และหลังจากเอ่ยถามว่าคิดจะฆ่ากันหรืออย่างไร ร่างสูงจึงยอมหยุดมอบความรักได้เสียที 


 


 


 


 


 


ยามจาฮอนถอนตัวตนออก ก็ได้ยินเสียงแจ้งว่าเป็นยามซาดังขึ้นจากด้านนอก 


 


 


โซกังอ่อนล้าเสียจนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ทว่าเขามีเรื่องจะต้องบอกคนตรงหน้า จึงพยายามฝืนสติแล้วเอ่ยปากบอกกล่าว หลังจากจาฮอนรับฟังเรื่องราวทั้งหมดก็พูดคุยสนทนากับโซกังอย่างตึงเครียด และผ่านไปไม่นานก็เข้าไปพูดคุยกับทันยองครู่หนึ่ง 


 


 


สองสามวันถัดมา ทันยอง มือสังหารจากกลุ่มยาอึมก็ถูกคุมขังในคุกหลวงด้วยข้อหาบุกรุกเข้ามาในวัง ทว่าสองวันให้หลัง อีกฝ่ายก็ได้หลบหนีออกจากคุกหลวงไป 


 


 


หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใด องค์จักรพรรดิถึงไม่เสด็จเยือนตำหนักฮงฮวาอีก สุดท้ายก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงว่าฝ่าบาทหมดความสนใจในตัวสนมชายผู้นี้เสียแล้ว 


 


 


และไม่นานหลังจากนั้น โซอีมามาแห่งตำหนักฮงฮวาก็ถูกลักพาตัว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม