(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 7
ตอนที่ 7 เข็มในชาม
“เชิญกล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ”
สายตาของโซยงเย็นเยียบตั้งแต่แพคมูกิลเริ่มกล่าวถึงคำว่าอนุคนใหม่เมื่อครู่ แต่ความจริงจังของอีกฝ่ายก็ทำให้นางยอมแสดงท่าทีว่าจะรับฟังเรื่องราว มูกิลจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“เจ้ารีบไปจวนของข้าพร้อมกับข้าเถิด เข้าไปในห้องนอนแล้วก็สานสัมพันธ์ต่อกันเสีย ต้องเป็นเช่นนั้น”
“ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ”
“ไม่ๆ ไม่ใช่ว่าต้องทำจริงๆ แม้ว่าหากเป็นจริงก็คงเป็นการดี แต่… ไม่สิ กับเรื่องนี้เพียงแกล้งทำก็พอ ทำให้เหมือนว่าเป็นเช่นนั้น”
“หากตั้งใจจะหมิ่นเกียรติกันเช่นนี้ ใยถึงต้องกล่าวอย่างจริงจังเช่นนั้นเจ้าคะ ดูท่าข้าจะเข้าใจสิ่งที่ท่านต้องการหมดแล้ว ดังนั้นเชิญท่านกลับไปเถิดเจ้าค่ะ”
โซยงเอ่ยกับชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แน่นอนที่นางต้องเกิดความไม่พอใจ กับสตรีบริสุทธิ์ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงาน สตรีบริสุทธิ์ที่เปิดเผยว่ามีชายในใจอยู่แล้ว ทว่าจู่ๆ กลับมีบุรุษอื่นมาชักชวนให้ร่วมหอ ไม่โดนตบหน้าก็นับว่าดีเท่าไรแล้ว
“โซยง!”
มูกิลคว้าแขนเรียวบางของโซยงเอาไว้ กระทั่งการจับมือถือแขนสตรีที่ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานตามใจชอบ ก็นับเป็นการกระทำไร้มารยาทเช่นกัน แต่อีกฝ่ายไม่แสดงสีหน้าสำนึกเสียใจออกมาเลย โซยงทำหน้าเครียดขึงพร้อมสะบัดแขนออกทันที ทว่าร่างสูงกลับจับยึดแขนไว้เสียแน่น
“ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจจะกระทำการไร้มารยาทต่อเจ้า แต่เรื่องนั้นข้าพูดด้วยใจจริง มันต้องเป็นเช่นนั้น เจ้าถึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ โซยง ได้โปรดเถิด”
“ปล่อยเจ้าค่ะ!”
“ปล่อยไม่ได้! ทบทวนให้ดีเถิดโซยง พวกทหารกำลังจะมาแล้ว ท่านมหาเสนาบดีพลาธิการไม่ได้เรียกใช้ทหารเหล่านั้น แต่พวกเขาทั้งหมดเข้าใจว่าถูกท่านมหาเสนาบดีฯ เรียก เท่านี้เจ้าคงเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ท่านแม่ทัพและเหล่าทหารที่คนผู้นั้นนำมา ใกล้จะถึงที่นี่แล้ว อีกทั้งเหล่าผู้ใกล้ชิดของท่านมหาเสนาบดีพลาธิการก็จะถูกเรียกตัวมาเช่นกัน สตรีฉลาดเฉลียวเช่นเจ้าคงจะรู้ว่าหมายถึงอะไร มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะสามารถทำอะไรได้ ทว่าอย่างน้อย แค่เจ้า! หากเจ้ากลายเป็นคนของข้าแล้ว หากเจ้ากลายเป็นสตรีที่ข้ารัก ท่านอาจะทำอย่างไรได้ แม้จะเป็นการดื้อดึง ข้าก็ยังยืนยันว่าจะทำเช่นนั้น ดังนั้นรีบเร่งเข้าเถิด!”
มูกิลมีท่าทีมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ขณะนั้นโซยงก็เข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการบอกกล่าวและเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น นางนึกถึงบทสนทนาที่ได้คุยกับท่านพ่อเมื่อวันก่อนทันที
‘ดูท่าเรื่องนั้นจะไปเป็นในทิศทางนั้นสินะ ฝ่าบาทถึงทรงทำเช่นนั้น’
‘หากทรงคาดเดาอยู่ว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำเช่นนั้น จะไม่ชิงลงมือก่อนหรือเจ้าคะท่านพ่อ’
‘หากข้าแตกหักกับคนผู้นั้น ไม่ใช่ว่าความคิดเห็นของราษฎรจะยิ่งเลวร้ายลงหรอกหรือ กระทั่งตอนนี้ เสียงบ่นว่าฝ่าบาทไม่ทรงสนใจดูแลบ้านเมืองก็แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว’
‘ท่านพ่อ…’
‘และหากความริษยาของใครบางคนถูกปลุกระดมขึ้นมา ก็นับว่าข้าทำผิดยิ่งขึ้นอีก ดังนั้นแทนที่จะช่วยชีวิต เจ้าจงยอมรับช่วงสุดท้ายของชีวิต ด้วยฐานะบุตรสาวของมหาเสนาบดีพลาธิการผู้เสียสละเถิด’
ในที่สุดเรื่องนั้นมันก็เกิดขึ้นจริงๆ โซยงคิดพลางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกมาช้าๆ ยามนั้นนางรับฟังคำพูดของท่านพ่อและทำใจแข็ง นางไม่อยากเป็นสตรีน่าอับอายสำหรับผู้เป็นที่รัก แพคมูกิลขมวดคิ้วแน่น เฝ้ารอคำตอบของโซยงอย่างกระวนกระวาย และไม่นานนางก็เปิดปากเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“ปล่อยมือข้าและกลับไปเสียเถิดเจ้าค่ะ ข้าคือบุตรสาวของมหาเสนาบดีพลาธิการ อีกทั้งยังเป็นหญิงคู่หมายที่น่าภาคภูมิใจของท่านพี่”
“ใยเจ้าถึงได้โง่งมเช่นนี้! ไม่รู้หรืออย่างไรว่าครอบครัวของผู้มีส่วนร่วมก่อกบฏจะต้องเป็นเช่นไร! ไม่ใช่ว่ามีเพียงข้าที่สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้หรอกหรือ! แม้ข้าจะห้ามท่านอาไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าก็อยากช่วยชีวิตเจ้า มันเป็นครั้งแรกที่ข้าได้รักใครสักคน! จะให้ข้ามองดูเจ้าตายไปเฉยๆ ได้อย่างไร แค่เพราะไม่ต้องการเป็นอนุอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะหย่ากับฮูหยินเสีย เลิกให้หมดสิ้น หากเจ้ายอมทำตามที่ข้าบอก”
“การละทิ้งซึ่งคุณธรรมและรักษาเพียงชีวิตตนเอาไว้ มันจะมีประโยชน์อะไรกันเจ้าคะ ท่านเลิกกล่าวและกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ขอบคุณที่ท่านพยายามช่วยชีวิตข้า แต่ข้าขอปฏิเสธ”
“โซยง ต้องมีชีวิตอยู่ก่อน ถึงจะเป็นการรักษาซึ่งคุณธรรมมิใช่หรือ เจ้าไม่กลัวความตายบ้างเลยหรืออย่างไร!”
“กบฏที่ท่านว่าจะมีผู้เป็นบิดาของข้ารวมอยู่ด้วย ทั้งยังมีพี่ชายของข้า หากได้ร่วมทางกับพวกเขา ข้าก็ไม่หวาดกลัวทั้งสิ้น อย่างไรมันก็เป็นจุดจบของชีวิต เพียงแค่มาถึงเร็วไปสักหน่อยก็หาใช่เรื่องใหญ่อะไรไม่”
คำพูดของโซยง ทำให้มือของอีกฝ่ายคล้ายสูญสิ้นเรี่ยวแรงก่อนจะร่วงหล่นลงอย่างแผ่วเบา ร่างกายสูงใหญ่เซถอยไปด้านหลัง สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด
“มากับข้า… มันน่ารังเกียจยิ่งกว่าความตายอย่างนั้นสินะ”
“เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ผู้เดียวที่ข้าจะร่วมหอด้วยก็มีเพียงท่านพี่เท่านั้น ข้ารักท่านพี่โซกังเจ้าค่ะ”
จากนั้นโซยงก็หันหลังกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนไม่อนุญาตให้มูกิลเอ่ยคำใดอีก เสียงเท้าย่ำบนพื้นดินดังก้องท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
ทว่ากลายเป็นเรื่องน่าประหลาด เสียงฝีเท้ากลับดังก้องอย่างไม่มีสิ้นสุด แต่โซยงที่ทำท่าจะก้าวเดินต่อกลับหยุดชะงัก มูกิลจึงคว้าตัวนางไว้และจับพลิกหันกลับมาทางตน ตั้งใจจะกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลองโน้มน้าวอีกเพียงครั้ง แค่ครั้งเดียว… ริมฝีปากสีแดงระเรื่อของโซยงขยับช้าๆ
“ปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ”
“โซยง”
“ปล่อย ข้า เจ้าค่ะ”
ท้ายเสียงเน้นชัดจนพลันเกิดความรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทันใด แม้น้ำเสียงจะเล็กอย่างยิ่ง แต่กลับสั่นสะเทือนโดยรอบ จากนั้นก็เกิดเสียงบางอย่างกระแทกเข้ากับศีรษะของโซยงอย่างแรงจนเอียงผิดรูปผิดร่าง ร่างสูงตะโกนร้องเสียงดัง รีบผละตัวออกและค่อยๆ เซถอยไปด้านหลัง
“แพคมูกิล”
สตรีตรงหน้ายังคงเรียกชื่อเขาพร้อมขยับขาเข้าหาจนส่งเสียง กรอกแกรก ดังอยู่เรื่อยๆ ดวงตาจ้องเขม็งมองเขา ทั้งๆ ที่ศีรษะของนางยังโน้มเอียงอยู่ในท่าทางแปลกประหลาด
“เจ้าบังอาจทำให้ท่านพี่ของข้าได้รับความอับอาย ตลอดชีวิตนี้ เจ้าไม่อาจนอนหลับอย่างสบายใจได้อีก”
เสียงข่มขู่เย็นเยียบของโซยงดังก้องขึ้น มูกิลตะโกนโวยวายขณะเริ่มพลิกตัวหันหนี
“อ๊าก! อ๊ากกกก!”
“ท่านพี่ ท่านพี่!”
ด้วยการเขย่าตัวจากมือของสตรีผู้หนึ่ง ทำให้แพคมูกิลลืมตาขึ้นและพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง สัมผัสของอีกฝ่ายนำเขากลับมาจากค่ำคืนนั้น กลับมาสู่บนเตียงภายในห้องนอนของตัวเอง มูกิลกะพริบตาสองครั้ง ตั้งสติแล้วผลักภรรยาที่จ้องมองด้วยสายตาห่วงใยออกห่างอย่างแผ่วเบาก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ฝันไปสินะ… ผู้เป็นภรรยารินน้ำใส่ถ้วยส่งให้สามี หลังจากดื่มน้ำเข้าไปรวดเดียวจนหมด ก็ปาดเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก เขาก้าวเท้าเหยียบลงบนพื้นด้านล่างเตียงและสวมรองเท้า นางจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ เรียกหมอมาดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปรับลมสักหน่อย”
มูกิลผูกสายคาดเอวบนชุดนอนอย่างไม่เรียบร้อยนัก ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก สายตาห่วงกังวลที่ติดตามมาด้านหลังทำให้เขารู้สึกลำบากใจและรำคาญใจไปพร้อมๆ กัน
เครื่องมือที่ติดตั้งเอาไว้บอกเวลาตกกระทบกับต้นไม้ใหญ่บอกเวลายามมโย[1] อากาศด้านนอกชื้นฝนอย่างหนัก แม้เวลาจะแตกต่างกัน แต่กลับมืดครึ้มเฉกเช่นเวลาเดียวกับเมื่อครั้นไปพบโซยง
“โซยง แม้เจ้าจะไปสวรรค์แล้ว ในใจของเจ้าก็ยังคงมีแค่มันสินะ”
แพคมูกิลพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงยามโซยงกล่าวว่าเขาทำให้คนรักของนางต้องเสื่อมเสีย ไหนจะดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็ง ไหนจะท่าทางประหลาดที่แสดงให้เห็น ในความฝันน่ากลัวเสียจนขนลุกเกรียว ทว่าลืมตาขึ้นกลับคิดถึงคะนึงหา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกอยากขอบคุณที่นางมาหากัน
หลังจากทำให้เจ้ายูโซกังต้องกลายเป็นเช่นนั้น ไม่นานนัก โซยงก็เริ่มมาปรากฏตัวในความฝัน บางครั้งก็อ้อนวอน บางครั้งก็ข่มขู่ บางครั้งก็ขอร้องให้ปล่อยท่านพี่ไปเสีย
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางปรากฏตัวด้วยท่าทางประหลาดเฉกเช่นเมื่อครู่ เขาคิดว่าคงเป็นเพราะยูโซกังกลายเป็นสนมขององค์จักรพรรดิ โซยงถึงมีท่าทีเช่นนี้ ได้ยินข่าวลือหนาหูจากวังหลวงว่าความสัมพันธ์ของฝ่าบาทกับโซอีเป็นไปได้ด้วยดี หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่หมายความว่าเจ้ายูโซกังนั่นมอบใจให้ฝ่าบาทแล้วอย่างนั้นหรือ โซยงถึงมาหาเขาด้วยความคับแค้นใจ เพราะไม่ว่าเป็นหรือตายอย่างไร นางก็รักเพียงมันผู้เดียว
“ไอ้ขอทาน สงบเสงี่ยมอยู่ในเรือนทาส… ได้ลิ้มรสการเสพสมไปตั้งเท่าไร”
แพคมูกิลกำหมัดแน่นพลางพึมพำ เจ้านั่นปฏิเสธหนทางการอยู่รอด และท้ายที่สุดก็ทำตัวไม่ต่างจากหลงลืมโซยงที่ต้องถูกตัดหัวไปเสียสิ้น
หากไม่ใช่เช่นนั้น มันย่อมไม่มีทางยอมรับการแต่งตั้งจนขึ้นเป็นสนม หากไม่ใช่เช่นนั้น มันไม่มีทางร่วมหลับนอนกับฝ่าบาทจนเหนื่อยหอบข้ามวันอันแสนยาวนานเป็นแน่แท้
เขาก้าวเดินเตร็ดเตร่อย่างไม่สบายใจพร้อมกัดเล็บไปด้วย โซยงปรากฏตัวในความฝันคอยคุกคามเขาอยู่เสมอ และในที่สุดวันนี้ฝันร้ายจากนางก็บิดเบือนสติปัญญาของมูกิลจนหมดสิ้น
“เช่นนั้นสินะ โซยงอา… ยังเหลือสิ่งที่ข้าจะสามารถทำให้เจ้าได้อยู่”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาราวกับโซยงยืนอยู่ตรงหน้า เสียงของนางดังขึ้นในโสตประสาท ไม่รู้ว่าฝันร้ายนั้นมีสาเหตุมาจากความคิดถึงที่มีต่อนาง หรือความละอายที่ทำให้คนรักของนางตกต่ำจนถึงที่สุดกันแน่ แต่เขาไม่ระแวงในความเชื่อมั่นที่โซยงมาหาตนเลย
แพคมูกิลแย้มยิ้มออกมา ขณะเบนสายตามองไปเรือนทาสในมุมหนึ่งของจวนแทนที่จะกลับห้องนอน
[1] ยามมโย ช่วงเวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า
ตอนที่ 7-2 เข็มในชาม
ตอนที่ 7-2 เข็มในชาม
จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในเรือนทาส เขย่าปลุกทาสผู้นอนอยู่ใกล้ที่สุดขึ้นมา อีกฝ่ายสะลึมสะลือขยี้ตาก่อนจะตั้งสติ และเมื่อรู้ว่าผู้ปลุกคือแพคมูกิล ก็รีบร้อนคุกเข่าคำนับทันที
“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ นายท่าน”
“จงไปยังร้านผ้าไหมบนเส้นทางชองรยงเดี๋ยวนี้ ขึ้นไปชั้นสองแล้วตามหาทันยอบ บอกให้มาพบข้า เจ้าต้องรอจนกว่าคนผู้นั้นจะเตรียมตัวพร้อมแล้วพามาด้วยกัน เข้าใจหรือไม่ หากมาถึงแล้วก็ให้ไปแจ้งข้าที่ห้องตำรา”
“ขอรับนายท่าน”
หลังตอบรับคำสั่งก็ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย และเนื่องจากด้านนอกมีฝนโปรยปรายจึงนำชุดคลุมกันฝนจากมุมหนึ่งของเรือนทาสมาสวมทับ และสวมหมวกตามอีกที แพคมูกิลเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะก้าวออกมาจากเรือนทาสพร้อมกัน ทาสผู้นั้นไปทางประตูใหญ่ ส่วนเขาก็เดินขยี้ตาตรงไปยังห้องตำรา
ตาค้างเสียจนไม่อาจหลับลงได้อีก แม้จะพยายามนอนก็รู้สึกเหมือนถูกก่อกวนจากโซยง ดังนั้นแพคมูกิลจึงล้มเลิกการเข้านอน แล้วมานั่งอยู่ในห้องตำราด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแทน ทว่ากลิ่นความเก่าเก็บกำจายจากตำราเหล่านั้นทำให้นึกถึงยูโซกังอยู่เรื่อย รวมถึงสตรีผู้รักโซกังอย่างถึงที่สุดด้วย
“เจ้าชอบไอ้เจ้าคนจืดชืด เถรตรง ทั้งยังคล้ายมีกลิ่นเหม็นสาบตำราจากในมือเช่นนั้นที่ใดกัน”
ตัวเขาไม่เคยชื่นชอบกลิ่นเหม็นหืนของตำรา ทั้งในอดีต ทั้งในปัจจุบัน ยูโซกังก็ยังมีงานอดิเรกเป็นการศึกษาตำรา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดโซยงถึงรักบุรุษผู้ใช้ชีวิตกับตำรา มีแต่กลิ่นกระดาษและน้ำหมึกฟุ้งจากกายถึงเพียงนั้น และตนก็ไม่ปรารถนาจะเข้าใจด้วย
ไอ้ตัวซวยที่เอาแต่กล่าวว่าคำสอนของเหล่าวิญญูชนในอดีตเป็นอย่างไร ทั้งยังชอบถกเรื่องความถูกต้องและคุณธรรมกับตน
แพคมูกิลฟุบหน้าแนบโต๊ะพึมพำถ้อยวาจาไม่รู้ความ ท่าทางดูไม่ดีเอาเสียเลย จนถึงขนาดว่าหากผู้ใดเข้ามาพบคงจะคิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปเช่นนั้น กระทั่งมีบุรุษสวมอาภรณ์สีดำเรียบง่ายก้าวเข้ามาในห้องตำราแล้วโค้งคำนับ
“เรียกหาข้าน้อยหรือขอรับ นายท่าน”
“มาเร็วดี นั่งลงก่อน ข้ามีเรื่องเร่งด่วนจะสั่งจึงเรียกเจ้ามา”
“เชิญพูดมาเถิดขอรับ”
“หากข้าส่งเจ้าเข้าไปในวังหลวง เจ้าจะสามารถแอบเข้าวังหลังได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ เป็นเรื่องที่ต้องกระทำภายในวังหลังหรือขอรับ”
“เป็นตำหนักฮงฮวา แล้วข้าจะจ่ายให้เถ้าแก่ร้านผ้าไหมสามเท่า”
“ทราบแล้วขอรับ”
บุรุษผู้นั้นทำสีหน้าซาบซึ้งอย่างยิ่ง ก่อนจะค้อมคำนับแสดงความเคารพต่อแพคมูกิลอีกครา
* * *
สี่วันผ่านไปฝนก็ยังไม่หยุดตก แต่แน่นอนว่าปริมาณของมันนั้นเดี๋ยวน้อย เดี๋ยวมาก มีทั้งยามตกปรอยๆ และตกกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว ทว่าด้วยเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องการใช้น้ำในปริมาณมากพอดี ฝนนี้จึงเป็นฝนที่เหล่าราษฎรผู้ทำการเกษตรรอคอยมาแสนนาน มิใช่ฝนที่ตกอย่างไร้เหตุผล
ดังนั้นราษฎรจึงเริ่มพากันแซ่ซ้องว่าสนมผู้ได้รับความเอ็นดูจากฝ่าบาท เป็นผู้ได้รับพรจากสวรรค์
หลังจากโซกังได้รับการแต่งตั้ง แสงอาทิตย์ก็เปี่ยมพลังมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ส่งผลให้บรรดาพืชผลอุดมสมบูรณ์ และครานี้ก็เป็นฝนที่ตกต้องตามช่วงเวลาอันเหมาะสม ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่ต้องการฝนพอดิบพอดี ส่วนความจริงว่าฝ่าบาทหวงแหนและเอ็นดูโซอีมามา ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนในเมืองหลวงแทรยงต่างทราบกันเป็นอย่างดี อีกทั้งยังกระจายไปถึงด้านนอกเมืองแทรยงด้วย เหตุเพราะการแต่งตั้ง อากาศของอาณาจักรถึงดีเช่นนี้ ข่าวลือค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเช่นนั้น
แน่นอนว่าเหล่าขุนนางล้วนไม่พึงพอใจ โดยเฉพาะเหล่าขุนนางของกลุ่มเชส่วนหนึ่งที่ยึดครองที่นั่งในท้องพระโรง ขนาดแพคมีกัง ผู้นั่งอยู่ในตำแหน่งมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ และกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษจึงไม่จำเป็นต้องออกมายังท้องพระโรงด้วยตนเอง กลับยังส่งฎีกาขอให้ฝ่าบาททรงแก้ไขความเข้าใจผิดของราษฎรมาหลายหน ทว่าจาฮอนกลับติดประกาศอย่างเหมาะสมแทน
ด้วยเพราะเป็นข่าวลือที่ชวนให้อารมณ์ดี คำชื่นชมที่ผู้เป็นภรรยาของตนได้รับ ไม่ใช่เรื่องควรค่าให้ขุนนางรอบนอกป่าวประกาศหรอกหรือ
ถึงอย่างไรก็ตาม นับว่าในระยะนี้จาฮอนอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
“หากไม่มีเรื่องอื่นอีก ก็พอเท่านี้”
หลังเสร็จสิ้นการประชุมหารือราชการกับขุนนาง ฝ่าบาทก็เสร็จต่อไปยังตำหนักอุนฮยอนเฉกเช่นปกติ ทว่าระหว่างทางบังเอิญสะดุดตากับบุรุษไม่คุ้นหน้าค่าตาผู้นั้น โดยปกติแล้วแม่ทัพแพคมูกิลมักจะอยู่ลำพังเสมอ แต่ยามนี้กลับมีใครบางคนติดตามอยู่ด้านหลัง จาฮอนขมวดคิ้วเคร่งเครียดพลางก้าวไปหาอีกฝ่าย
“ท่านแม่ทัพ เราไม่เคยจะได้ยินว่าท่านมีบุตรหรือน้องชายมาก่อน และหากเป็นบุตรจริงๆ ก็ดูจะโตเกินไปหน่อย ในเมื่อท่านพาเข้ามาในตำหนักฮวังรยงที่มีการประชุมขุนนางตามใจชอบเช่นนี้ เราคงพอจะถามได้ว่าเขาเป็นผู้ใด”
“ถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังแม่ทัพคุกเข่าลงค้อมคำนับแสดงความเคารพ จาฮอนจ้องมองอย่างสงสัยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตาไปยังแม่ทัพ แต่คนผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นทั้งๆ ที่ยังหมอบอยู่
“กระหม่อมสกุลแพค นามว่ายอบ เป็นญาติห่างๆ กับท่านแม่ทัพพ่ะย่ะค่ะ”
“ดูท่าคงได้พบกันเป็นครั้งแรกสินะ”
“เดิมทีกระหม่อมอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนเขาห่างไกล นอกเมืองแทรยง แต่ด้วยบิดามารดาเสียแล้ว จึงได้ย้ายมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ เข้าใจแล้ว ท่านแม่ทัพ อย่างไรก็ตาม ยามประชุมขุนนางก็มีเพียงผู้ได้รับเบี้ยหวัดจากหลวงเท่านั้นที่เข้าร่วมได้นะ”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จาฮอนเดินผ่านบุรุษนามว่าแพคยอบและแม่ทัพแพคมูกิลออกจากตำหนักฮวังรยง และก้าวไปทางห้องทรงงานในตำหนักอุนฮยอนเช่นเคย ทันทีที่เสร็จสิ้นการประชุมขุนนาง แม่ทัพกับแพคยอบก็แอบทำอะไรบางอย่างลับๆ ล่อๆ ร่วมกันต่างจากปกติ
แพคมูกิลพยายามเคลื่อนไหวโดยไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ทว่ายามเข้าไปยังตำหนักฮวังรยงนับเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตนต้องอยู่กับแพคยอบ เพราะผู้ที่สามารถเข้าวังในยามเช้าได้มีเพียงเหล่าขุนนางเท่านั้น อีกทั้งหนทางอื่นก็สะดุดตาเกินไป สุดท้ายจึงถูกฝ่าบาทพบเข้า แต่ถึงกระนั้นก็คิดว่าหลบเลี่ยงได้ดีแล้ว เนื่องจากพระองค์ไม่มีสายพระเนตรสงสัย รวมถึงไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอันใดมากมาย
แม่ทัพหลบเลี่ยงสายตาผู้คนขณะเดินไปทางตำหนักฮงฮวาพร้อมแพคยอบ หรือแท้จริงก็คือทันยอบนั่นเอง ก่อนจะกระซิบกระซาบเรื่องที่ต้องจดจำหากแฝงตัวเข้าไปในตำหนักฮงฮวา อีกฝ่ายยกยิ้มบางพร้อมเอ่ยรับคำของแพคมูกิล
“ข้าน้อยทราบสิ่งที่ท่านแม่ทัพบอกกล่าวเป็นอย่างดีแล้วขอรับ”
“รู้แล้วสินะ เช่นนั้นก็ให้คิดเสียว่าเป็นความกังวลของผู้อื่นเถิด”
แพคมูกิลเองก็ตอบรับถ้อยวาจาของทันยอบ พลางขยับก้าวเดินอย่างเป็นธรรมชาติตามหลังไป หากเป็นที่ที่ไม่สะดุดตาผู้คน ทันยอบย่อมทราบดีกว่าตัวเขา
ระหว่างก่อนจะถึงตำหนักฮงฮวา ทันยอบก็หยุดฝีเท้าลงและหลบเข้าไปยังพื้นที่เปลี่ยวร้างระหว่างตัวตำหนัก มูกิลจึงส่งชุดขันทีที่ซุกซ่อนไว้เป็นอย่างดีภายในอาภรณ์ของตน รวมถึงรองเท้าข้อยาวยื่นให้ เมื่ออีกฝ่ายรับมันไปแล้ว เขาก็เอ่ยกำชับทันที
“ยิ่งเร็วยิ่งดี แต่จะต้องรอบคอบ และหากถูกจับได้ขึ้นมาจะต้องทำอย่างไร เจ้ารู้ใช่หรือไม่”
“ข้าน้อยจะไม่แพร่งพรายอันใด อย่าได้กังวลเลยขอรับ”
มูกิลพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ จากนั้นก็หันกายกลับไปยังทางที่เพิ่งเดินมา หลังจากโดนทิ้งอยู่เพียวลำพัง ทันยอบก็จ้องมองตามแผ่นหลังใหญ่กว้างของแม่ทัพ ก่อนจะแอบซ่อนอยู่ในฝูงคนโดยไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ด้วยร่างกายปราดเปรียวและไม่ได้สูงใหญ่นักจึงเหมาะกับการแฝงตัวยิ่งนัก เป็นผลจากการเคยอดอยากจนหิวโหยอย่างถึงที่สุด ทันยอบครุ่นคิดว่าถ้าหากตนว่าได้กินอิ่ม จะตัวโตขึ้นหรือไม่อยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าไปมา เพราะคำว่า ‘ถ้าหาก’ เป็นคำโง่เง่าและน่าขันที่สุดในโลกใบนี้ เขาวาดยิ้มอ่อนโยนขณะคิดถึงบางสิ่ง แต่แล้วก็พลันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่นในทันใด
“ไร้สาระ”
บ่นพึมพำออกมาเล็กน้อยและย่อตัวลงทั้งๆ ที่ไม่ได้ขยับเขยื้อน ทันใดนั้นลมหายใจก็ค่อยๆ ช้าลง จากนั้นร่องรอยที่บ่งบอกว่ามีเคยคนอยู่ที่นั่นก็สลายหายไปสิ้น
อันที่จริงก่อนตนจะมาถึง บริเวณนั้นเคยเป็นสถานที่ที่ถูกใช้งานมาก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้นจักรพรรดิองค์ก่อน ยิ่งกว่านั้น ทันยอบก็เคยซ่อนตัวอยู่ในวังหลวงมาแล้วเช่นกัน ทว่าครั้งนี้กลับต่างจากครั้งนั้นเพราะต้องกำจัดร่องรอยอย่างรอบคอบ เนื่องจากคราจักรพรรดิองค์ก่อนนั้น การคุ้มกันภายในวังหลวงค่อนข้างหละหลวมอย่างมาก ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องกำจัดร่องรอยละเอียดเช่นนี้ ทว่ายามนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาจึงต้องใส่ใจระมัดระวังรอบคอบมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์พลิกผัน ใช้เวลาครู่หนึ่งจนกระทั่งที่นั่นไม่หลงเหลือใบไม้แม้แต่ใบเดียว
ตอนที่ 7-3 เข็มในชาม
ตอนที่ 7-3 เข็มในชาม
เวลาเคลื่อนผ่านไปเพียงใดกันแล้ว
เมื่อจัดการงานในตำหนักอุนฮยอนเสร็จสิ้น จนกระทั่งจัดการกับสำรับมื้อกลางวันเรียบร้อย จาฮอนก็ก้าวเดินไปยังตำหนักฮงฮวาเช่นเคย
ฟังเสียงพร่ำบ่นของขันทีโชว่าให้รักษาเกียรตินั่นเกือบสี่รอบ ชายฉลองพระองค์ก็สะบัดพลิ้วตามการก้าวย่างอย่างรวดเร็ว แต่จู่ๆ จาฮอนก็ชะงักฝีเท้า เพราะมีความรู้สึกแปลกประหลาด หรืออาจจะเป็นเพราะลางสังหรณ์บางอย่าง
ด้วยความที่ฝ่าบาททรงหยุดอย่างกะทันหัน เหล่าขันทีจึงเกือบจะล่วงเกินพุ่งเข้าชน ได้แต่รีบค้อมคำนับพร้อมเอ่ยขอประทานอภัยทันควัน ขันทีโชอยากบอกกล่าวแก่พวกเขาว่าไม่ต้องหวาดกลัวไปหรอก ฝ่าบาทไม่ใช่ผู้สั่งลงโทษใครด้วยเรื่องเช่นนั้น ทว่าขณะกำลังจะขยับปาก ก็หันไปจ้องมองพระองค์ก่อน
ก่อนนั้นหากนับว่าทรงเด็ดขาดดังเช่นคมดาบ แต่ไม่นานมานี้เหมือนว่าดาบนั้นจะคืนปักประดับโรงตี ทว่าเมื่อคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะโซอีมามา ขันทีโชจึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาทมีเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ขันทีโช มานี่หน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลังจากสั่งกำชับกับเหล่าหัวหน้าขันทีและขันทีผู้ติดตามแล้ว ขันทีโชก็ขยับก้าวตามหลังเจ้าเหนือหัว จาฮอนเว้นระยะห่างไม่ให้เหล่าขันทีและนางกำนัลด้านหลังได้ยินบทสนทนาอันเป็นความลับนี้ ก่อนจะขยับปากไปใกล้หูขันทีโช
“ได้ลอบสังเกตการณ์ตามที่ข้าสั่งหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นคงจะเห็นแม่ทัพเมื่อครู่”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“จงไปสืบเรื่องเกี่ยวกับแพคยอบ ชายผู้มากับแม่ทัพอย่างละเอียดแล้วมารายงานข้า”
“ทราบแล้วกระหม่อม”
“แล้วก็รอบๆ ตำหนักฮงฮวายังมีสายตาสอดส่องน้อยไป”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
อาจด้วยความบังเอิญ เพราะจุดที่จาฮอนยืนอยู่นั้น เป็นตำแหน่งที่ไม่ไกลจากบริเวณซ่อนตัวของทันยอบมากนัก เขาจึงรู้สึกถึงร่องรอยและความว่างเปล่าที่มากเกินควร ทว่าตนก็ไม่ใช่ทหาร สัญชาตญาณไม่ได้นับว่าดีขนาดนั้น จึงไม่รู้แน่ชัดว่ามีคนอยู่หรือไม่
หลังจากสั่งการกับขันทีโช ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยถึงถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเริ่มขยับก้าวอีกครั้ง แน่นอนว่าจุดหมายก็คือตำหนักฮงฮวาเช่นเดิม
เพื่อพูดคุยสนทนาความลับกับขันทีโช จึงเว้นระยะจากเหล่าขันทีผู้อื่นออกมาพอสมควร แต่จาฮอนหาได้คำนึงถึงสิ่งนั้นไม่ กลับก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนชายฉลองพระองค์สะบัดแรง ด้วยเหตุนั้นทำให้เหล่าขันทีต้องสาวเท้าก้าวตามหลังฝ่าบาทราวกับวิ่งไล่
เมื่อเดินทางมาถึงหน้าตำหนักฮงฮวาอย่างลำบากด้วยฝีเท้าที่เรียกได้ว่าไม่สำรวม ก็หอบหายใจพักหนึ่ง ก่อนจะไล่เหล่าขันทีที่วิ่งตามมาด้านหลังออกไปทั้งหมด เขาออกคำสั่งกับขันทีโชต่ออีกไม่กี่เรื่อง จากนั้นจึงก้าวเข้าไปด้านในตำหนักฮงฮวาผ่านประตูชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองที่เหล่านางกำนัลเปิดรอ แต่พอมาถึงหน้าประตูชั้นที่สามหรือชั้นในสุด ร่างสูงก็เอ่ยกับเหล่านางกำนัลที่ค้อมคำนับอยู่หน้าประตู
“รายงานไป”
“เพคะฝ่าบาท”
พวกนางก้มตัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิมและเอ่ยตอบรับเสียงเบา ก่อนจะหันไปกล่าวรายงานกับด้านใน
“โซอีมามา ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”
“เชิญเสด็จเข้ามาได้”
หลังได้ยินคำตอบจากด้านใน เหล่านางกำนัลก็ค่อยๆ เปิดประตูออก เมื่อองค์จักรพรรดิเข้าไปด้านใน ก็ทำการปิดประตูลงอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา
“มาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะนั้นโซกังนั่งอยู่บนเตียง ร่างบางขยับยกโต๊ะไปด้านข้างแล้วก้าวลงมาหา ค้อมคำนับอย่างนอบน้อม จาฮอนลูบลาดไหล่บางอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็นำตำราสองเล่มออกมาจากอกเสื้อตน นั่นเป็นตำราที่อีกฝ่ายบอกว่าอยากเห็น ทว่าทั้งๆ ที่สามารถรับสั่งกับขันทีก็ได้ แต่จาฮอนกลับเป็นผู้นำมาให้ด้วยตนเอง
“ฝ่าบาท ทรงนำมาด้วยพระองค์เองอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่สิ ข้าต้องเป็นผู้นำมาให้เจ้าเองอยู่แล้ว”
“ขอประทานอภัยที่กระหม่อมทำให้ทรงวุ่นวาย”
“ไม่หรอก หากเจ้าไม่ขอร้องต่างหาก ข้าถึงจะวุ่นวายใจ การรับฟังคำขอร้องจากบุรุษผู้งดงามเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องสมควรแล้วหรือ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเขินอายนัก ใยถึงทรงใช้คำว่างดงามเอ่ยชมชายชาตรีเช่นนี้ คราวหน้าโปรดรับสั่งกับขันทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่สามีต้องเป็นผู้นำมาให้ภรรยา”
คำกล่าวนั้นทำให้โซกังยกยิ้มกว้างขณะเอนศีรษะซบลงในอ้อมกอดของอีกฝ่าย จาฮอนลูบไล้เส้นผมยาวสลวยพร้อมสีหน้าคล้ายรู้สึกผิด
เพราะร่างบางต้องใช้ชีวิตเหมือนถูกกักขังอยู่แต่ภายในตำหนักฮงฮวา แม้มันจะไม่ใช่การกักขังจริงๆ ก็ตาม เป็นถึงสนมผู้ได้รับความรักความโปรดปรานเป็นที่หนึ่ง แต่กลับไม่สามารถไปไหนมาไหนในวังหลวงได้อย่างอิสระ
กระทั่งเหล่าขุนนางที่เข้าออกวังหลวง ก็ถูกจำกัดสถานที่ที่สามารถกก้าวเดินไปไหนมาไหน ดังนั้น หากไม่ใช่โอกาสพิเศษขององค์จักรพรรดิ เหล่าขุนนางก็จะไม่ปรากฏกายต่อหน้าฝ่ายใน สุดท้ายโซกังจึงสามารถเดินเล่นอยู่ได้แค่ภายในตำหนักฮงฮวา และสวนของตำหนักคอนรยุงผ่านทางประตูหลังของตำหนักฮงฮวาเท่านั้น
แต่เจ้าตัวก็พึงพอใจกับการเดินเล่นในสวน และเมื่อฝ่าบาททรงนำตำรามาให้ด้วยพระองค์เอง ตนก็อยากส่งผ่านความดีใจให้อีกฝ่ายรับรู้
เมื่อโซกังซบหน้าลงกับอ้อมของจาฮอนแล้ว บรรยากาศก็พลันประหลาดทันที ร่างสูงลูบไล้ตามสะโพกอิ่มอย่างแผ่วเบาพร้อมเอ่ยถาม
“เจ้ารอข้าอยู่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“จะบอกว่าเมื่อวานก็รอ วันนี้ก็ยังรอหรืออย่างไร”
“กระหม่อมรออยู่ทุกวันพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่ารัก”
คำตอบเช่นนั้นทำเอาจาฮอนยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้ามาแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น จากนั้นก็แนบริมฝีปากเข้าหากันอย่างแผ่วเบา โซกังลูบผ่านริมฝีปากของจาฮอน
“วันนี้ก็ทรงเหน็ดเหนื่อยมากอีกแล้ว มีเรื่องอะไรให้ต้องใส่ใจเป็นพิเศษหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แต่ข้าได้กลิ่นน้ำหมึก เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
“แค่ลองจับพู่กันหลังจากไม่ได้แตะต้องมานาน”
“เจ้ากล่าวว่านานแล้วอย่างนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้น เมื่อก่อนกระหม่อมแทบไม่เคยวางมือจากพู่กันเลย แต่…ก็ราวๆ สองปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จาฮอนไม่ได้ถามต่อ แต่กลับแนบจุมพิตลงบนแก้มของโซกังอย่างนุ่มนวล ถึงสีหน้าจะเคร่งขรึมลงเพราะอยากถามอย่างยิ่ง เขาพยายามไม่ย้ำเตือนความจำเมื่อครั้นเป็นทาสหลวง ทว่าเมื่อสนทนากันแล้ว ก็กลับกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายนึกย้อนถึงอยู่บ่อยครั้ง
แม้ว่าร่างบางจะไม่รู้ตัว แต่ยามนอนหลับเข้าสู้ห้วงนิทรา เจ้าตัวยังคงละเมอถึงความอัปยศ ทั้งพร่ำเพ้อกับความเจ็บปวด ทั้งละเมอว่าอยากตาย เรียกหาคยองโซยง บุตรสาวของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ อดีตคู่หมั้นคู่หมาย แม้ปากจะบอกว่าในใจมีเพียงตน แต่ดูเหมือนโซกังจะต้องการเวลาเพื่อลืมสตรีผู้นั้นเช่นกัน
เขาดึงตัวโซกังเข้ามากอดอย่างแรงอีกครา ก่อนจะจับให้นั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ บนโต๊ะมีขนมยักกวาและน้ำชาวางอยู่
“เจ้านั่งดื่มชาและกินขนมยักกวาอยู่ตรงนี้ ข้าคงต้องชื่นชมลายมือของผู้เป็นที่รักเสียหน่อย”
“น่าอายนักพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยสิ่งนั้นไว้แล้วทานขนมด้วยกันเถิด”
“รู้หรือไม่ว่าตัวเจ้ามีกลิ่นหมึกจางๆ โซกัง ยิ่งเจ้ามีกลิ่นหมึกติดตัว ยิ่งทำให้ข้าสัมผัสถึงความงดงามของลายมือเจ้า”
โซกังรีบร้อนลุกจากที่นั่งและยื่นมือออกไปหมายจะคว้าแผ่นกระดาษจากอีกฝ่าย ทว่าด้วยส่วนสูงที่ต่างกัน มือเรียวบางจึงไม่มีทางเอื้อมสัมผัสถึงกระดาษสุดปลายแขนของจาฮอน
“กระหม่อมขอคืนเถิด มันน่าอายจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
“หากทำรุนแรงจะขาดเอาได้ ฉะนั้นจงอยู่นิ่งๆ เสียเถิด ก็รู้ไม่ใช่หรือว่ากระดาษมันเปราะบางเพียงใด”
จาฮอนมองเจ้าของสีหน้าละล้าละลัง ทั้งยังขึ้นสีแดงจัดด้วยความขลาดเขิน ก่อนจะยิ้มกว้างเพราะรู้สึกว่าช่างน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นชื่นชมแผ่นกระดาษในมือตน เป็นลายมือประณีตงดงาม แต่ลายเส้นกลับนุ่มนวลเฉกเช่นเจ้าตัว
เขาโยนกระดาษทิ้งบนเตียง แล้วดึงโซกังเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว
“ท่านจาฮอน!”
“เหตุใดกระทั่งลายมือของเจ้าก็ยังงดงามเช่นนี้เล่า ไม่มีส่วนใดไม่งดงามเลยสินะ”
“กระหม่อมได้ฟังคนเรียกว่าคนหลงตัวเองเป็นร้อยๆ รอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ ก็มิใช่ว่าพูดผิดนะ”
เมื่อคำพร่ำบ่นว่าเกินจะห้ามดังจากปากโซกัง จาฮอนก็แทบจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายเลย
หลังจากเกิดความโกลาหลเช่นนั้นอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็นั่งบนเก้าอี้หันหน้าเข้าหากัน ดื่มชาและทานขนมยักกวา น่าแปลกที่วันนี้ฝ่าบาทไม่มีกะจิตกะใจอยากไปร่วมประชุมขุนนางยามบ่ายเลย
ทั้งๆ ที่โซกังเอ่ยเร่งอยู่เรื่อยๆ แต่ร่างสูงก็ยังใช้เวลากับการกอดสนมรักอยู่บนแท่นบรรทม และในที่สุดก็ออกคำสั่งแก่ขันทีโชที่มาตามว่าตนจะประชุมขุนนางที่ตำหนักฮงฮวา ขันทีโชจึงต้องกลับไปแจ้งแก่เหล่าขุนนาง ถึงแม้โซกังจะว้าวุ่นใจเพียงใด จาฮอนก็ยังคงนั่งนิ่งกับที่อยู่ดี
ตอนที่ 7-4 เข็มในชาม
ตอนที่ 7-4 เข็มในชาม
ด้วยเหตุนั้นเมื่อถึงยามชิน ตำหนักฮงฮวาจึงเกิดความโกลาหลเป็นอย่างมาก เพราะฝ่าบาทจะทรงงานในสถานที่ที่มิใช่ตำหนักฮวังรยง ข้ารับใช้ทั้งหลายต่างต้องแยกย้ายกันตระเตรียมสิ่งของจำเป็น ทั้งฎีกาและอื่นๆ อีกมากมาย
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ขันทีร่างเล็กผู้หนึ่งก็คว้าตัวขันทีอีกคนเข้ามาสอบถาม
“มีเรื่องอันใดกันหรือขอรับ”
“ไม่ยักเคยเห็นหน้าเจ้า ถูกเรียกตัวมาใหม่หรือ”
“ขอรับ เห็นว่าขาดคนจึงให้ข้าเข้ามาช่วย”
“เป็นเพราะฝ่าบาทรับสั่งว่าจะทรงงานในตำหนักฮงฮวาน่ะสิ ทุกคนถึงได้เร่งมือกันเช่นนี้”
“ขอรับ”
ขันทีผู้นั้นตอบกลับพร้อมขมวดคิ้วโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต มีคำกล่าวว่า ‘หากรู้ที่มา ก็จะรู้ที่ไป’ สุดท้ายก็มีผู้พบเจอที่มาของตนจนได้ คราแรกจึงตั้งใจจะจัดการทันทีและออกจากวังไปเสีย
เพราะการจัดการบัณฑิตที่ศึกษาเพียงตำรานั้น ช่างง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าหากมีองค์จักรพรรดิอยู่ เรื่องราวก็พลันต่างออกไป ขันทีร่างเล็กรีบหลบเลี่ยงสายตาของคนรอบตัว แอบเดินหลบไปทางด้านที่คนเหล่านั้นไม่คิดจะไปกัน
อีกด้าน การจัดเตรียมสถานที่ให้ฝ่าบาททรงงานบนแท่นบรรทมของโซอีมามาก็เสร็จสิ้น เมื่อคนงานจากฝ่ายในจัดวางอุปกรณ์สุดท้ายและวางชากรุ่นไอร้อนลงบนโต๊ะ พอเห็นว่าทุกอย่างได้รับการจัดการเรียบร้อย จาฮอนก็โบกมือให้คนเหล่านั้นออกไป
ทันทีที่ภายในตำหนักเหลือเพียงตนกับโซกัง ร่างสูงก็เอ่ยกับคนที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้
“ทานขนมยักกวาหมดแล้วหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ถ้วยชาก็ว่างเปล่าแล้ว ทั้งยังหวานปากไปหมด”
“เช่นนั้นก็มานั่งตรงนี้เถิด”
“รับสั่งว่าจะทรงงาน โปรดใส่พระทัยทางนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะอ่านตำราที่ทรงนํามาให้อยู่ตรงนี้”
“อย่าศึกษาตำราในที่รับสำรับ รังแต่จะทำให้ตำราเปรอะเปื้อนเท่านั้น”
“หากทรงอ้างเช่นนั้น แล้วกระหม่อมจะกล่าวอันใดได้เล่า ทราบแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอแบ่งแท่นบรรทมด้านหนึ่ง จะไม่รบกวน จะอยู่อย่างเงียบๆ พ่ะย่ะค่ะ”
โซกังถือตำราก้าวขึ้นไปบนแท่นบรรทม หลังจาฮอนยกอ้างคำกล่าวของวิญญูชนในอดีต ทั้งยังออดอ้อนให้ตนมาอยู่ข้างกาย ขณะหน่อยกายลงนั่ง ก็คิดว่าจะนั่งอย่างเรียบร้อย อ่านตำราตรงมุมหนึ่งเท่านั้น
ทว่าจาฮอนไม่ปล่อยโอกาส กลับทำให้ร่างบางเอนตัวเข้าหาด้วยการเกี่ยวรั้งช่วงเอวมากอด เครื่องนอนที่ปูบนแท่นบรรทมพลันยับย่น ทั้งโซกังยังถูกดึงมาข้างกายจนสูญเสียการทรงตัว สองขาที่ขดนั่งอย่างเรียบร้อย เหยียดออกมานอกอาภรณ์
“ท่านจาฮอน! ทรงทำอันใดกัน”
“ถามเพราะไม่รู้จริงหรือ หากเป็นงาน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่โปรดปรานทั้งสิ้น ก็ต้องยืมพลังของคนรักมาเพิ่มประสิทธิภาพอย่างไรเล่า”
“โปรดทรงจดจ่อ…อื้อ”
มือใหญ่รุกรานเข้ามาด้านในอาภรณ์ สัมผัสไล้แผ่นอกโดยไม่รู้ตัวจนไม่อาจกล่าวได้จบประโยค จากนั้นจาฮอนก็กดย้ำบนยอดอกชูชัน ส่งผลให้โซกังต้องล้มตัวลงมานอนหนุนตักแกร่งในทันใด ทั้งชายอาภรณ์ยังเลิกขึ้นมาถึงเอวในสภาพไม่เรียบร้อยอีก
สายตาคมกริบปราดมองตั้งแต่ข้อเท้าไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงเมื่อสบดวงตาคู่สวย เขายิ้มพรายขณะจ้องมองโซกังขมวดคิ้วเล็กน้อยและถอนหายใจแผ่วเบา ร่างบางผ่อนคลายร่างกายของตน นอนจ้องยามอีกฝ่ายลูบไล้หน้าอกกันอย่างนุ่มนวล เมื่อประสานตา โซกังก็ตั้งใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มองกระหม่อมเสร็จแล้วก็เริ่มทรงงานเถิดพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้เป็นเวลางาน หากทรงทำเช่นนี้ต่อ กระหม่อมจะไม่สนทนาด้วยแล้ว”
“ถือว่าตนน่ารัก ถึงกับตำหนิกันเชียว”
“หากไม่พอพระทัย ก็เชิญสั่งลงโทษกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบเด็ดเดี่ยวทำให้จาฮอนกระเดาะลิ้นเล็กน้อย เด็กน่ารักผู้นี้บางคราก็แสดงด้านดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่งออกมา ด้วยมักแสดงท่าทีแตกฉานในตำรา ใครเห็นจะไม่คิดได้อย่างไรว่าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของขุนนางกรมราชเลขา
ตอนนี้ก็เช่นกัน โซกังกำลังกล่าวถึงคำกล่าวจากตำราสักเล่มที่เริ่มด้วยคำว่า อันว่าด้วยจักรพรรดิ… ไม่ว่าทำอันใด ก็ดูน่าเอ็นดูไปหมดเสียจริง
จาฮอนกระแอมออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยขัดอีกฝ่าย
“ข้าไม่คิดจะลงลงโทษเจ้าหรอก ยกเว้นแต่บนแท่นบรรทม หากเจ้าไม่ถือสาอะไร ข้าก็ยินดี”
“พ่ะย่ะค่ะ? ไม่สิ…”
“แล้วก็อย่าได้กล่าวเช่นนั้นอีก คำว่าไม่พอใจเจ้า ไม่มีทางออกจากปากข้าเด็ดขาด”
ทันทีที่ฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจัง โซกังก็ยอมรับผิด กลีบเม้มแน่นจึงคลายลงทันใด
ร่างสูงตบเบาๆ ลงบนแผ่นอกบาง
“ในเมื่อถูกตำหนิเช่นนี้ ข้าคงจะต้องใส่ใจกับการอ่านฎีกาเสียแล้วสิ เจ้าก็นอนหนุนตักคอยเฝ้าข้าสะสางราชกิจให้ดีแล้วกัน”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จาฮอนตอบรับว่า ‘ดีแล้ว’ อย่างพึงพอใจกับคำของโซกัง ก่อนจะเบนสายตาหันไปทางฎีกาในที่สุด
โซกังเองก็ยกยิ้มบางขณะชื่นชมพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิยามเริ่มอ่านฎีกาด้วยสีหน้าจริงจัง หากถามว่าท่าทางเช่นใดของอีกฝ่ายทรงเสน่ห์มากที่สุด คงต้องตอบว่ายามจัดการราชกิจ แม้รอยยิ้มจะยังคงประดับอยู่บนพระโอษฐ์เฉกเช่นทุกครา ทว่าสายพระเนตรกลับสุขุมรอบคอบ และสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นราวกับขุนเขาจากท่าทางอันสง่างาม
“อ๊ะ!”
ทว่าระหว่างจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ เสียงร้องครางแผ่วเบาอย่างไม่รู้ตัวก็หลุดออกมาจากปากโซกัง ไม่ใช่เพราะมองอย่างตั้งใจถึงเพียงนั้น แต่เป็นเพราะมือของผู้ตรวจดูฎีกาด้วยสายตาจริงจัง กำลังลูบสัมผัสตุ่มไตไวต่อสัมผัสบนหน้าอกตนต่างหาก จากนั้นริมฝีปากของผู้กระทำก็ขยับเอ่ย
“ชู่ มิใช่บอกให้ข้ามีสมาธิหรืออย่างไร”
“ท่านจาฮอน… มือ อื้อ”
“กำชับให้ตรวจฎีกา แล้วมาทำเสียงน่ารักเช่นนี้ ข้าจะทำอย่างไรได้เล่า”
จาฮอนยังคงตรวจดูฎีกาพลางตำหนิเล็กน้อย โซกังรู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ทว่าไม่อาจโต้แย้งอันใดได้ เพราะมือใหญ่กำลังกดนวดขยำขยี้ ส่งผลให้การฝืนกลั้นเสียงครางช่างลำบากนัก ถึงกระนั้นก็พยายามส่งเสียงเพียงเล็กน้อย และหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
“ฮา อื้อ”
“โซกัง ไม่ใช่บอกให้ข้าตั้งใจหรอกหรือ”
“ฮึก มือ…”
มือข้างที่ใช้ขยี้ยอดอกเคลื่อนไหวอย่างจาบจ้วงกระตุ้นเร้ายิ่งกว่าเดิม สุดท้ายโซกังก็ไม่อาจฝืนกลั้น ต้องยกมือขึ้นมารั้งมือของจาฮอน ทว่านั่นคือหนึ่งในกฎข้อห้ามสำหรับฝ่ายใน เป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจกระทำได้
รวมถึงผู้คนในวังหลังด้วยเช่นกัน จะสตรีหรือบุรุษล้วนถือเป็นสมบัติขององค์จักรพรรดิ หากฝ่าบาทต้องการ ไม่ว่าจะภายในงานเลี้ยงหรือที่ใด แม้จะในตำหนักฮวังรยงก็ตาม ผู้นั้นไม่อาจปฏิเสธได้ แน่นอนว่าก่อนฝ่าบาทจะทรงอนุญาต การสัมผัสพระหัตถ์ก่อนก็นับเป็นข้อห้าม โซกังจับมือของจาฮอนไว้และพลันนึกถึงความจริงข้อนั้นได้
ร่างบางจึงรีบปล่อยมือออกและตั้งใจจะผุดลุกขึ้นมากล่าวขออภัย ทว่าไม่อาจลุกขึ้นมาได้เพราะการรั้งตัวของอีกฝ่าย ดังนั้นโซกังจึงเอ่ยทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ผู้ใดให้เจ้าลุกขึ้นมากัน”
“ฮือ”
เนื่องจากจาฮอนกดเคล้าคลึงแผ่นอกแรงกว่าเดิม จึงมีเสียงครางต่างจากก่อนหน้าออกจากปากของโซกัง เป็นเสียงเล็ดรอดออกมาเพราะความเจ็บปวดเล็กน้อย
ทันทีที่เห็นว่าโซกังยอมผ่อนคลายร่างกายและนอนลงเช่นเดิม สัมผัสของจาฮอนจึงเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาคล้ายขออภัยที่ทำรุนแรง
เมื่อสังเกตเห็นว่าพระพักตร์ของฝ่าบาทไม่ได้แสดงโทสะ แต่เป็นสีหน้าเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ลมหายใจแห่งความโล่งอกจึงพรูออกจากปากของโซกัง จาฮอนละมือออกมานอกอาภรณ์ ลูบสัมผัสกลุ่มผมยาวสลวยแทนพร้อมย้ายสายตาจากฏีกามายังใบหน้าหวาน
“ฝ่าบาท”
“จาฮอน… ยามมีหูตาผู้อื่นอยู่ด้วยเราถึงจะเป็นฝ่าบาท เจ้าเป็นยูโซฮวา เป็นสนมโซอี แต่ยามอยู่กันเพียงลำพังสองคนเช่นนี้ พวกเราเป็นเพียงยังจาฮอนกับยูโซกัง”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมบังอาจ…”
โซกังตั้งใจจะเอ่ยขออภัยที่ตนบังอาจขัดขืนก่อนหน้านี้ ทว่าจาฮอนกลับเอ่ยออกมาก่อน
“ขอโทษ ข้าผิดเอง ข้าไม่อยากห่างจากเจ้า จึงเอาแต่ใจหยอกเย้าแทนการตรวจดูฎีกา ข้าทำเกินไป”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอประทานอภัย”
“จะตอนนี้ หรือในอนาคต ยูโซกังไม่มีเรื่องใดให้ต้องขออภัยจากข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ? ทรงหมายความว่าอย่างไร”
“ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทหรือไม่พอใจใดๆ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอโทษเลย”
ถ้อยคำหวานล้ำของจาฮอน ทำให้โซกังเลือกจะดึงมือใหญ่เข้ามาแล้วจุมพิตแนบริมฝีปากแทนการพูดตอบรับ ทันใดนั้นจาฮอนก็ใช้นิ้วลูบสัมผัสกลีบปากบางอย่างอ่อนโยนพร้อมกระซิบแว่วเสียงหวาน
“กับข้าที่หลงใหลเจ้าเช่นนี้ ยังจะให้ตรวจฎีกาที่เอาแต่สั่งให้ข้ามีทายาทได้อย่างนั้นหรือ”
“เป็นฎีกาเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นก็อย่าทรงอ่านเลย”
“อย่างนั้นข้าควรจะดูอะไรดีเล่า”
โซกังผุดลุกขึ้นมานั่งแล้วหันหลังให้ ก่อนจะค่อยๆ ปลดอาภรณ์สีแดงของตนออกจนร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นมาหน่อยปรากฏสู่สายตา ลาดไหล่กลมมน แผ่นหลัง ทรวดทรงโค้งเว้า ส่วนสะโพกงดงาม จาฮอนใช้ดวงตากวาดมองไปทั่ว จากนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจากทางด้านหลังแล้วดึงมากอดอย่างทะนุถนอม ช่างน่าประหลาดใจนัก ไม่รู้เพราะเหตุใดตนถึงรู้สึกดีไปเสียทั้งหมดเช่นนี้
ไหนจะยอดอกนูนตั้งชันและหน้าอกขยายใหญ่ขึ้น ไม่สิ ตั้งแต่คราแรกเขาก็ไม่สามารถหาที่ติจากร่างบางได้เลย
ตอนที่ 7-5 เข็มในชาม
ตอนที่ 7-5 เข็มในชาม
เมื่อจาฮอนไล้ส่วนยอดอกของโซกังอย่างแผ่วเบา ร่างกายบอบบางก็สั่นไหวเล็กน้อยทันที ทว่าเพียงครู่เดียว โซกังก็หันตัวกลับมาสบตากับอีกฝ่าย จากนั้นก็เอ่ยกระซิบพร้อมดวงตาโค้งลงเล็กน้อย
“โปรดทรงมองกระหม่อม”
ยกยิ้มยั่วยวนพลางผลักอกแกร่งออกอย่างแผ่วเบา จนจาฮอนต้องใช้มือข้างหนึ่งยันตัวทางด้านหลัง โซกังคุกเข่าลงตรงหน้าและโน้มตัวมาหา สองมือเรียวสัมผัสผ่านสายคาดเอวแล้วปลดดึงออก
“โซกัง”
ร่างสูงมักจะใช้ปากช่วยโดยไม่ลังเล โซกังไม่กล้าปลดปล่อยในปากของอีกฝ่าย จึงต้องอดทนจนถึงขีดจำกัดเสมอ แต่จาฮอนก็ยังดึงดันจนถึงที่สุดอยู่ดี ทว่าเขาไม่เคยใช้ปากตอบแทนเลย
เนื่องจากความทรงจำอันเจ็บปวดที่เรือนทาส แม้ว่าจะเป็นของคนรักก็ตาม โซกังก็ไม่สามารถใช้ปากกลืนกินมันได้ จาฮอนเองก็เหมือนรับรู้ความรู้สึกนั้น จึงไม่เคยร้องขอให้เขาใช้ปากเลย
แต่วันนี้ ตอนนี้ เวลานี้ เขาอยากใช้ปากให้คนตรงหน้า บุรุษผู้สูงส่งมอบความรักให้ถึงเพียงนี้ ตัวเขากลับไม่มีสิ่งใดจะให้ได้ นอกจากการแสดงความกล้าหาญกระทำการเช่นนี้ตอบแทน
ด้วยรู้ว่ามีเพียงแค่ร่างกายนี้เท่านั้น ไม่สิ ไม่ใช่แค่เพียงสิ่งเดียว…
โซกังพลันคิดได้ว่านอกจากร่างกายตนแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคาดคิดถึง อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยยากจากเรือนทาสจนคล้ายจะหลงลืมไปชั่วครู่
‘แม้จะอ่อนล้ากับชีวิตมากเกินไป แต่ถึงกระนั้นก็อย่าได้หลงลืม ยามความตายคล้ายมาอยู่ตรงหน้า จงนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมาใช้ ความโกรธก็นับเป็นอาวุธได้ หากใช้ให้ดี ก็อาจจะหลุดพ้นจากความตายได้เช่นกัน’
มันคือคำกระซิบจากท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ ไม่ได้เจาะจงว่าได้ยินสิ่งใด และเพียงสอนให้รู้จุดยืนเท่านั้น
“โซกัง เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืน”
“หื้ม…”
ด้วยเหม่อลอยเพราะความคิดผุดวาบขึ้นมา จาฮอนจึงลูบแก้มนุ่มและเอ่ยปลอบเพราะคิดว่านั่นคือความลังเลไม่กล้าทำ โซกังหยุดความคิดลงแล้วช้อนสายตาขึ้นส่งยิ้มให้ ลูบสัมผัสผ่านด้านหน้าก่อนจะนำส่วนนั้นของอีกฝ่ายออกมาด้านนอก
“หากมันฝืนใจเจ้า”
“มิใช่เรื่องฝืนใจพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงแผ่วเบากระซิบพาดผ่านส่วนปลายที่มีหยาดน้ำสีใสเยิ้ม เขาแลบลิ้นออกมาไล้เลียความหนืดเหนอะ แล้วเอาเข้าปากลิ้มลองรสชาติ เรียกว่าเป็นการเตรียมพร้อมความรู้สึกก็เป็นได้ โซกังสูดหายใจเข้าลึก รับสัมผัสจากกลิ่นของมัน
ทั้งกลิ่น ทั้งรสชาติ แตกต่างจากที่เคยรับรู้มาก่อนหน้านี้ทั้งหมด
ยามถูกบังคับยัดใส่ปากล้วนมีกลิ่นเหม็นสาบและออกเปรี้ยว เป็นรสชาติที่ให้ความรู้สึกแสลง แต่ทว่าตัวตนของจาฮอนกลับมีกลิ่นของพีโจดันและรสชาติก็ไม่เลวร้าย รสสัมผัสตรงปลายลิ้น กระตุ้นความรู้สึกอย่างน่าประหลาดจนทำให้อยากลองไล้เลียอีกครั้ง
ร่างบางแลบลิ้นเลียเรื่อยๆ ทุกครั้งที่สัมผัสโดน น้ำกามหนืดๆ ก็จะถูกขับออกมา
เสียงครางต่ำหลุดออกมาจากปากร่างสูง โซกังไล้เลียส่วนปลายอีกหลายครั้ง ก่อนจะอ้าปากกว้างค่อยๆ อมแกนกายเปียกชุ่มน้ำลายเข้าไปอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าช่องทางด้านหลังจะคุ้นชินอย่างไร แต่ส่วนอวบใหญ่จนเหมือนจะไม่สามารถรับเข้ามาได้ก็ยังคับแน่นปาก
เขาใช้ลิ้นบดขยี้ตรงรูอย่างแผ่วเบาขณะกลืนกินตัวตนของจาฮอนเข้าไป
เมื่อได้ยินน้ำเสียงแหบพร่าด้วยความกระสันเอ่ยเรียกชื่อของตน ช่องทางด้านหลังก็กระตุกตอดเอง
โซกังเก็บกลืนส่วนนั้นจนมันสัมผัสเข้ากับลิ้นไก่ ตอนนั้นจึงตระหนักว่าตนยังไม่เคยลองใช้ปากมาก่อน ที่เคยได้รับจากจาฮอน มันไม่ใช่แค่การรับเข้าไปในปากเท่านั้น อีกฝ่ายดูดดึงและเกร็งลิ้นโอบรัดแล้วผ่อนออก นำพาเขาไปสู่ความสุขสมด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยม
แต่ทว่าประสบการณ์การใช้ปากของตนนั้น มีแค่ความรู้สึกอยากสำรอกออกมา ทั้งยังถูกจับทึ้งกระชากกลุ่มผม ก่อนคนเหล่านั้นจะปลดปล่อยน้ำกามน่าสะอิดสะเอียนเข้ามาในช่องคอ โซกังจมอยู่ในความคิดนั้น ทั้งๆ ที่ส่วนแข็งขืนยังคงคับแน่นอยู่ในปาก สิ่งที่สามารถนำมาอ้างอิงได้ ก็มีเพียงยามจาฮอนทำให้
โซกังหลับตาลงพลางนึกถึงความทรงจำในค่ำคืนที่ผ่านมา ลิ้นสัมผัสส่วนแข็งขืนอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากโอบรัดพร้อมกับขยับขึ้นลง บางครั้งก็อมแค่ส่วนปลายและดูดรั้งพร้อมใช้ลิ้นเลีย ทั้งยังกดขยี้
แม้ไม่ชำนาญ ทว่าโซกังพยายามนึกถึงการสัมผัสอย่างหนักแน่นที่อีกฝ่ายทำให้ และขยับเรียวลิ้น เกร็งริมฝีปากตาม จาฮอนยังคงส่งเสียงคำรามต่ำพร้อมลูบเส้นผมยาวสลวยอย่างอ่อนโยน
ร่างบางพลันนึกถึงคำปลอบจากบุรุษผู้หนึ่งในเรือนทาสเมื่อครามีเลือดไหลออกมาจากช่องทางของตน ชายตื่นตัวไม่มีผู้ใดไม่ทำรุนแรง ดังนั้นเขาควรต้องขอบคุณที่เจ็บปวดเพียงเท่านั้น
ทว่าคำกล่าวนั้นผิด หลักฐานจากส่วนแข็งขืนที่อมไว้ในปากเวลานี้นั่นเอง จาฮอนตื่นตัวอย่างเต็มที่ไม่ผิดแน่ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่กระชากผมของตนเลยสักครั้ง อีกทั้งยังไม่กระทั่งบังคับกดศีรษะ เพียงแค่ลูบกลุ่มผมด้วยสัมผัสอ่อนโยนอย่างรักใคร่เท่านั้น โซกังจึงยิ่งดูดรั้งส่วนแข็งขืนพร้อมกับเร่งขยับศีรษะ
ทว่าในเวลาเดียวกัน นิ้วเรียวของจาฮอนก็ขยับวาดวนบริเวณด้านหลัง รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวอันประณีตและอ่อนโยนราวกับวาดภาพจิตรกรรมลงบนแผ่นหลัง
“อื้อ ฮืม”
เสียงครางหวานหลุดออกมาจากปากของโซกังทันที เมื่อสัมผัสเคลื่อนผ่านกระดูกสันหลังและค่อยๆ ขยับต่ำลง จาฮอนกำลังวาดภาพด้วยหมึกที่มองไม่เห็น การขยับเคลื่อนอย่างอ่อนโยนทำเอาเจ้าตัวกระสันซ่าน ส่วนอ่อนไหวไม่เพียงแข็งเกร็ง ทั้งกำลังกระตุกสั่น ยิ่งกว่านั้น ช่องทางยังปรารถนาสิ่งเติมเต็ม กระตุกบีบรัดไม่หยุด พอได้เห็นเช่นนั้น จาฮอนจึงยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
ทั้งร่างกายบอบบางน่าเอ็นดู ทั้งหัวใจ ล้วนเป็นของเขาทั้งหมด จะไม่พึงพอใจได้อย่างไรกัน
ร่างสูงดึงคนที่ขะมักเขม้นกับการใช้ปากให้ลุกขึ้น จนโซกังจ้องมองก่อนจะเอ่ยถามด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ รอบริมฝีปากมีหยาดน้ำลายที่ไม่ได้กลืนลงไปไหลย้อยให้เห็น
“ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือกระหม่อมทำไม่ถูก จึงไม่เป็นที่พอพระทัย”
“ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังอดทนเพียงใด เพียงแค่อยากปลดปล่อยในตัวของเจ้าเท่านั้น ยังมีที่อื่นต้องได้รับมันนอกจากปากไม่ใช่หรือ”
“ที่อื่น… อื้อ อืม”
จาฮอนไม่คิดจะรับฟังคำตอบ รั้งดึงโซกังเข้ามาแนบประทับริมฝีปากลงไป ก่อนจะสอดเรียวลิ้นผ่านแทรกผ่านอย่างไม่รอช้า แล้วก็พลันสัมผัสถึงรสชาติประหลาด ไม่ใช่รสชาติปกติของอีกฝ่าย และเมื่อตระหนักได้ว่าเป็นรสชาติของตน เรียวคิ้วจึงกระตุกขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์ จาฮอนผละริมฝีปากออกและเช็ดกับชายเสื้อ ทั้งยังบ้วนน้ำลายออกมา
แค่นั้นคงยังน้อยไป จึงยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมา ทำการตรวจอุณหภูมิด้วยริมฝีปากแล้วกระดกอมน้ำชาเอาไว้ในปาก ก่อนจะนำไปป้อนใส่ปากโซกัง หลังมองดูร่างบางกลืนน้ำชาลงคอไปแล้ว จาฮอนจึงเอ่ยขึ้น
“ต่อไป ปากนี้ลิ้มรสแค่ลิ้นของข้ากับสำรับก็พอ”
คำกล่าวนั้นทำให้โซกังหัวเราะออกมาและพยักหน้ารับ พลางโอบรั้งต้นคอแกร่ง
จาฮอนจับจองที่นั่งตรงหว่างขาอ้ากว้าง โซกังเองก็ขยับสะโพกบดเบียดเข้าหา โอบรัดเหมือนร้องขอให้เร่งใส่มันเข้ามา เขาเปิดกระปุกน้ำมันหอมที่วางอยู่ฝั่งหนึ่งของเตียงออกแล้วจุ่มมือลงไปในนั้น จากนั้นก็ขยับป้ายลงบนช่องทางและสอดนิ้วผ่านเข้าไป
“อ๊ะ ท่านจาฮอน ฮือ… อือ”
เพียงแค่รองรับนิ้วมือ ร่างกายของโซกังก็ร้อนรุ่มขึ้นมาแล้ว นิ้วเรียวรุกรานเข้ามาภายในจนถูกบีบรัดดูดดึง ทว่าจาฮอนกลับถอนนิ้วออกมาในทันที แล้วใช้มือนั้นลูบทาน้ำมันหอมกับแกนกายตน
โซกังรู้สึกกระสันซ่านอย่างยิ่ง เอ่ยอ้อนวอนแก่จาฮอนให้เร่งมือ ส่วนจาฮอนก็เพลิดเพลินกับท่าทางยั่วยวนของโซกัง ทั้งร้อนรุ่ม ทั้งออดอ้อน ก่อนจะส่งตัวตนไปสัมผัสช่องทางรักวาววับด้วยน้ำมันหอม ขยับดันสะโพกไปด้านหน้าช้าๆ จนช่องทางเปิดอ้าและโอบรัดแกนกายของเขา ราวกับมีอยู่เพื่อรองรับตัวตนของจาฮอนเพียงเท่านั้น
“อา! จาฮอน ฮือ อื้อ ลึก…! อื้อ!”
ปฏิกิริยาการโยกขยับสะโพก ทั้งยังกางขาโอบรอบกาย ยิ่งปลุกเร้าความกำหนัดได้โดดเด่นยิ่งกว่าภาพวาดวังวสันต์ใดๆ
จะสามารถเทียบกับภาพวาดวังวสันต์อันใดได้กัน เพราะภาพตรงหน้าช่างให้ความรู้สึกต่างจากภาพวังวสันต์ที่สามารถดูได้ด้วยตาเท่านั้น เพราะมีเสียง และเหนืออื่นใดคือมีสายตาอันร้อนแรง
“อ๊ะ!”
แกนกายของจาฮอนรุกคืบกดลึกเข้ามาด้านใน โซกังต้องแอ่นแผ่นหลังขึ้นทั้งๆ ที่สั่นสะท้าน กระทั่งส่วนอ่อนไหวยังกระตุกสั่นแล้วพ่นหยาดน้ำรักออกมา เขาลากนิ้วสัมผัสของเหลวจากร่างกายของอีกฝ่ายแล้วนำเข้าปาก ทันทีที่ดูดกินนิ้วเปรอะหยาดน้ำรัก โซกังก็พลันขมวดคิ้วมุ่น
“เหตุใดถึงเอาแต่ลิ้มลองรสชาติสิ่งนั้นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างกับไม่คุ้นเคย เมื่อวานข้าก็ลิ้มลอง แล้วจะตำหนิอันใดเล่า”
“นั่น นั่นมัน…”
“เพราะมันน่าตื่นเต้นอย่างไร มีเพียงของเจ้าเท่านั้นที่รสชาติดี หากของข้าเองกลับไม่น่าลิ้มลอง”
จาฮอนก้มตัวลงประทับริมฝีปากตรงแผ่นอกบาง คนส่งเสียงดังขึ้นด้วยความขัดเขินก่อนหน้านี้กลับยกยิ้มอย่างเขินอายแทน ทั้งขยับเรียวขาโอบรัดรอบกายอีกคนแน่น ทั้งออกแรงเกร็งช่องทาง แต่จาฮอนพยายามอดกลั้นความรู้สึกคล้ายจะปลดปล่อยเสียเดี๋ยวนั้น เมื่อโซกังช่วยออกแรงเช่นนั้น จึงทำให้ตกที่นั่งลำบากพอควร
เขาหยุดการหยอกล้อส่วนหน้าอกและยันตัวลุก ก่อนจะเริ่มตอกกระแทกสะโพก จนเสียงเนื้อกับเนื้อกระทบกันดังออกมา
“อ๊ะ! อื้อ อ๊า!”
การเคลื่อนไหวกระแทกด้านในอย่างรวดเร็ว ทำให้โซกังได้แต่ร้องครางพลางโยกคลอนอย่างไม่อาจขัดขืน แท่งร้อนรุกรานลึกเข้ามาจนภายในอุ่นร้อนขึ้น ร่างบางสั่นสะท้านแอ่นตัวโค้งและเชิดศีรษะขึ้น พร้อมกับตอดรัดแกนของจาฮอนที่ตนเป็นผู้ร้องขออยู่เมื่อครู่อย่างแรง
ตอนที่ 7-6 เข็มในชาม
ตอนที่ 7-6 เข็มในชาม
ลมหายใจหอบสะท้านอย่างหนักโดยไม่มีหยุดพักของโซกังค่อยๆ สงบลง จาฮอนไม่ได้ใส่ใจกับน้ำรักที่เพิ่งปลดปล่อยออกมาเท่าไร เขาทาบทับตัวลงบนกายของอีกฝ่าย จุมพิตต้นคอและกระดูกไหปลาร้าอยู่หลายครา ซึมซับความรู้สึกที่ยังคงค้างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ตั้งใจส่งเสริมไม่ให้ข้าตรวจดูฎีกา เช่นนั้นตอนนี้ก็ไปชำระกายด้วยกันเสียหน่อย เป็นอย่างไร”
“ดีพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่าช่วยส่งเสริม ดังนั้นกระหม่อมจึงต้องรักษาคำมั่น”
“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว เดิมทีเจ้าก็เคร่งครัดเช่นนี้อยู่แล้ว…”
ทันทีที่ร่างสูงบ่นพึมพำ โซกังก็ยกแขนโอบรั้งต้นคอของอีกฝ่ายแล้วแนบประทับริมฝีปากลงบนแก้ม แม้จะคล้ายการปลอบโยนเด็กน้อย ทว่าจาฮอนกลับหยุดการพร่ำบ่นทันทีด้วยการกระทำนั้น หลังจากสูดกลิ่นผิวเนื้อหวานอีกนิด ไล้เลียผิวเนียนไปอีกหน่อย เขาก็เอ่ยสั่งให้ด้านนอกจัดเตรียมห้องอาบน้ำ
ถึงแม้จะมีรายงานกลับมาว่าจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว จาฮอนก็ไม่คิดจะขยับตัว โซกังจึงลูบไล้เส้นผมสีดำสนิทของคนตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
“น้ำจะเย็นเสียหมด จะให้กระหม่อมอาบน้ำเย็นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ไม่ได้สิ”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นในทันใด เอื้อมนำเอาภรณ์ตัวในที่แขวนไว้บนผนังด้านหนึ่งมาสวม จากนั้นก็อุ้มร่างบางที่ถูกห่อด้วยผ้าห่มขึ้น เนื่องจากจาฮอนมักจะทำเช่นนั้นเสมอ โซกังจึงคุ้นชินและยอมนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย
“เปิดประตู”
“เพคะฝ่าบาท”
ประตูห้องบรรทมค่อยๆ เปิดออกตามคำสั่ง จาฮอนอุ้มโซกังเดินไปยังห้องอาบน้ำ ทันทีที่นางกำนัลด้านหน้าเปิดประตูออก เขาก็ก้าวเข้าไปด้านแล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องให้ใครเข้ามาช่วย”
“เพคะ”
เมื่อประตูปิดลง จาฮอนก็วางโซกังลงบนเก้าอี้ไม้บุด้วยสำลีก่อนจะปลดผ้าห่มออก จากนั้นก็ทำความสะอาดช่องด้านหลังให้เช่นที่เคยทำอยู่เสมอ ภายในที่แห่งนี้ร่างบางสามารถกางขาออกอย่างไม่เรียบร้อยได้ กระทั่งไม่รู้ตัวว่าศีรษะของจาฮอนลดลงมาอยู่ระหว่างนั้นแล้ว
ด้วยเหตุนั้นทั้งสองคนจึงใช้เวลาชำระล้างร่างกายนานยิ่ง จนต้องเติมน้ำอุ่นเพิ่มถึงสองครา โซกังเองก็เหนื่อยอ่อนจากการร่วมรักต่อเนื่องถึงสามรอบติดต่อกัน จาฮอนรีบเร่งสวมอาภรณ์ตัวในให้ ก่อนจะอุ้มไว้ในอ้อมกอดตนเช่นเดิม แล้วจัดการวางให้นอนลงบนแท่นบรรทม
จากนั้นก็ทำการป้อนสำรับ โดยร่างบางอยู่ในท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง หลังจากทานเสร็จก็เอนตัวนอนราบดังเดิม
เขาจุดตะเกียงเอาไว้เพียงอันเดียวเพื่อให้ร่างบางสามารถนอนหลับได้เต็มอิ่ม ก่อนตนเองจะออกไปอยู่อีกห้องหนึ่งภายในตำหนักฮงฮวา มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงหนึ่งเดียวส่องสว่างเลือนรางภายในห้องบรรทมมืดสนิท
***
“เจ้ายังมีสติดีอยู่หรือไม่!”
เพี๊ยะ! เมื่อเสียงตวาดและเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้น ศีรษะของแพคมูกิลก็หันขวับไปด้านข้าง แก้มพลันขึ้นสีแดงให้เห็นในทันใด เสียงกระทบที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้คือเสียงตบหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย แพคมูกิลหันหน้ากลับมา จับจ้องท่านอาของตนผู้มีสีหน้าโกรธเคืองอย่างถึงที่สุด
“นั่นหาใช่เรื่องผิดพลาดอันใดเลยขอรับ! อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดรับรู้อยู่แล้ว ให้มันถูกฝังไปเช่นนั้นก็ย่อมได้มิใช่หรือขอรับ!”
“เจ้าตัวโง่งม! สั่งให้กลบฝังบันทึกที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด และมีความลับถึงเพียงใดเสียเฉยๆ เช่นนั้น มันใช่เรื่องสมควรหรือ ไอ้หลานโง่เง่า!”
“หาไม่เจอก็ดีแล้วนิขอรับ เหตุใดถึงต้องตามหาด้วย!”
“คิดว่าบนโลกนี้มีอันใดเป็นความลับไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ! จุดอ่อนของตนจะปลอดภัยก็ต่อเมื่อมันอยู่ในมือของตนเอง ไอ้เจ้าคนมีความคิดยังไม่เท่าสุนัขเช่นนี้ ยังนับว่าเป็นหลานข้าได้อีกหรือ! ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี รีบไปสั่งให้มันล้มเลิกเสียเดี๋ยวนี้เลย”
“ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ขอรับ เพราะโซยงต้องการมัน”
คำตอบนั้นทำให้แพคมีกังมีสีหน้าเครียดขึงทันที อีกฝ่ายพูดราวกับว่าบุตรสาวของมหาเสนาบดีพลาธิการนั่นยังมีชีวิตอยู่ จากนั้นบทสนทนาก็จบลงด้วยถ้อยคำราวกับคนเสียสติจากปากของแพคมูกิล ก่อนจะลุกออกไปเหมือนไม่ต้องการพูดอะไรต่อ
หลานชายที่คอยสนับสนุนและช่วยทำตามความต้องการ ยามนี้คงจะถึงเวลาต้องตัดขาดเสียแล้ว
“เหตุใดต้องเป็นยอบไปจัดการ จึ๊ๆ”
แพคมีกังคิดเสียดายที่จะต้องสูญเสียนักฆ่าฝีมือดีผู้หนึ่งไป ชายชราเรียกหาคนรับใช้มารับคำสั่ง หลังจากนั้นก็มีชายชุดดำหมอบคำนับตรงหน้าทันใด
“เรียกใช้ข้าน้อยหรือขอรับ นายท่าน”
“ใช่ ข้าจะคนส่งไปซ่อนตัวในวังหลวง ภายในตำหนักฮงฮวา ประเดี๋ยวข้าจะเขียนหนังสือให้ เจ้าจงนำมันไปที่จวนของเสนาบดีกรมคลัง เขาคงยังไม่เข้านอน”
“ทราบแล้วขอรับ”
“ส่วนงานที่เจ้าต้องทำ…”
แพคมีกังสั่งให้ลุกขึ้นแล้วกระซิบข้างหู แม้จะอยู่ลำพังเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อรับฟังทุกอย่างแล้ว อีกฝ่ายก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมเอ่ยรับทราบ
ทันทีที่บุรุษชุดดำหายไปในความมืด ชายชราก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบโต้กับอากาศทั้งๆ ที่ไม่มีผู้ใด
“อย่างไรเสียก็ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน แม้จะเป็นคนไม่เชื่อฟังคำสั่งเลย แต่ก็ถือว่าเป็นหลาน ชังฮโยจัดการยอบแล้ว ดังนั้นเจ้าจงไปจัดการแพคมูกิลเสีย ลงมือให้เรียบร้อยล่ะ”
“ขอรับนายท่าน”
คำตอบรับดังขึ้น มองเห็นเงาคนเลือนรางตรงมุมหนึ่งภายในความมืดมิด อีกทั้งยังสวมชุดดำทั้งตัว จากนั้นก็หายตัวไปราวกับไม่เคยมีผู้ใดอยู่ตรงนั้น ทั้งๆ ที่ไม่กล่าวลา ไม่เปิดเผยตัวตน
เมื่อเหลือเพียงตนอยู่เพียงลำพัง แพคมีกังก็พรูลมหายใจออกมาพลางกดนวดขมับอย่างหงุดหงิดใจ
พักผ่อนนิ่งๆ อยู่ครู่ก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอน เขานั่งลงบนเก้าอี้ติดกับโต๊ะกลมพร้อมกับครุ่นคิดถึง ‘วันนั้น’ วันที่ได้พบปะกับคยองยูล ชายผู้มีอายุมากกว่าตน ณ จวนของอีกฝ่าย
คยองยูลมิใช่ว่าได้รับตำแหน่งมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการมาอย่างไม่สมควร กระทั่งความคิดความอ่านก็เหมาะสม เพียงแค่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ยังสัมผัสถึงบรรยากาศน่าเกรงขามที่แผ่ออกมา หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็คงไม่สามารถกุมอำนาจด้านทหารของอาณาจักรฮยอนวอนเอาไว้ในกำมือได้
“เชิญนั่งเถิด มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ”
“ท่านอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”
“นั่งลงก่อนเกิด ข้าเรียกมาเพราะอยากรินแพคโฮอินชิมให้แก่ท่านเท่านั้น ได้ยินมาว่าท่านชอบชานี้อย่างยิ่ง”
“เป็นเช่นนั้น แต่หากบรรยากาศไม่ผ่อนคลาย ก็ไม่อาจเพลิดเพลินกับรสชาได้นะขอรับ”
“บรรยากาศก็เป็นไปตามความรู้สึกมิใช่หรือ ดูเหมือนมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการคงจะมีสิ่งใดไม่ใคร่สบายใจนัก”
ทันทีที่ก้นของแพคมีกังสัมผัสเก้าอี้ก็ดื่มชาร้อนกำลังดีเข้าไปอึกหนึ่ง ท่าทางการชงชาช่างขัดแย้งกับการกระทำแสนกระด้างอย่างยิ่ง แต่ทว่าด้วยท่าทีคล้ายวางแผนเอาไว้แล้วอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม แต่ต่อหน้าเป้าหมายกลับดื่มด่ำรสชาอย่างสบายใจนั้น ช่างแสนอึดอัดใจยิ่ง ด้วยเหตุนั้นจึงยอมฝืนทนกระทำการไร้มารยาท ด้วยการค่อยลุกจากไปเมื่อถ้วยชาว่างลง จะเป็นการดีกว่า
การกระทำของแพคมีกังทำให้คยองยูลขมวดคิ้วมุ่น ทว่าก็ไม่ได้ต่อว่า กลับดื่มชาด้วยความสง่างามเข้าไปอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“สำหรับองค์รัชทายาทแล้ว ไม่ใช่แค่มันดก ช็อนดก แต่ยังทรงสามารถเอาชนะแพคดกได้ด้วย”
“เป็นเช่นนั้น องค์รัชทายาททรงปรีชายิ่ง มุ่งมั่นรักษาพระวรกายอันล้ำค่า ไม่มีเกียจคร้าน ดังนั้น ผู้เป็นข้าราชบริพารจึงยิ่งปีติยินดีเช่นกัน”
“ไม่นานมานี้พบว่ามีงูพิษในวังหลวง”
“มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ หากท่านเรียกข้ามาเพื่อกล่าวเรื่องนั้น ข้าคงต้องขอตัวกลับ”
“ได้ยินมาว่าเสนาบดีกรมขุนนางและกรมคลังมาเยี่ยมเยือนจวนของท่านอยู่บ่อยครั้ง”
ถึงกับต้องกล่าวปัดตอบรับอย่างจำใจทันที แต่พอคนตรงหน้าอ้างถึงเสนาบดีกรมคลังและเสนาบดีกรมขุนนาง หัวคิ้วของแพคมีกังก็พลันกระตุกขึ้นมา
เสนาบดีกรมคลังและเสนาบดีกรมขุนนางเป็นขุนนางฝ่ายเช หากทั้งท้องพระโรงมีขุนนางเพียงฝ่ายเช พวกเขาคิดว่ามันจะเป็นการดี
แพคมีกังจึงเคลื่อนไหวและรับมือด้วยสองแขนนี้
เสนาบดีกรมขุนนางถืออำนาจในการแต่งตั้งขุนนางของฝ่ายพลเรือน คอยเติมเต็มท้องพระโรงด้วยขุนนางเพราะฝ่าบาทไม่เคยเหลียวแล แม้จะเป็นการทำเพื่อฝ่ายตน แต่ผู้รับหน้าที่อันตรายเพียงลำพังก็คอยกักเก็บความไม่พอใจสะสมอยู่เรื่อยๆ
มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการจึงเรียกมาเกลี้ยกล่อมให้สินบน และด้วยเงื่อนไขที่เป็นที่ยอมรับก็ทำให้อีกฝ่ายอิ่มท้อง
อีกทั้ง เสนาบดีกรมคลังยังว่าหากได้รับหน้าที่ในท้องพระโรงก็ควรซื้อสมบัติล้ำค่าเก็บเอาไว้ แล้วย้ายมาจากท้องพระคลังของฝ่าบาท สมบัติส่วนหนึ่งก็มอบให้แก่มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ แน่นอนว่ามันเป็นค่าตอบแทนที่เป็นความลับ
ความกังวลพวกนั้นไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาถูกแต่งตั้งเป็นบุคคลมีความสามารถ และกลายมาเป็นคนในฝ่ายเชทั้งหมด
แพคมีกังไม่ได้บอกผู้ใดว่าครอบครองตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก แต่ฝ่ายเชอยู่ในช่วงเสื่อมโทรมตั้งแต่รากฐาน และกำลังเลือกจัดการมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการที่กำลังจะอ่อนกำลัง
เขาจึงแสร้งตอบกลับไปด้วยคำถาม ทว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไร รู้มากถึงเพียงใดกัน เรื่องราวรั่วไหลออกไปแค่ไหน แต่ก่อนอื่นแกล้งทำเป็นไม่รู้จะเป็นการดีที่สุด จากนั้นแพคมีกังก็เอ่ยปากพูด
“ระหว่างขุนนางฝ่ายเช เราเพียงสนิทสนมกันเท่านั้น”
“ทรัพย์สินที่ได้รับมา ก็เป็นผู้สนิทสนมช่วยเหลือหรือ”
“ท่านหมายถึงเรื่องใด ข้าไม่เข้าใจ”
“แม้ฝ่ามือจะใหญ่เพียงใด ก็ไม่สามารถปิดบังฟ้าได้หรอกนะ”
กล่าวคือคยองยูลกำลังบอกว่าตนคว้าจับปลายหางยื่นยาวนั่นได้แล้ว แพคมีกังจึงกล่าวว่าตนจะจดจำเอาไว้แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ระหว่างนั้นมือของคยองยูลก็เคาะลงบนบันทึกปกสีน้ำเงินบนโต๊ะ
บางทีบันทึกนั่นคงจะเป็นบันทึกการทุจริตของเขา เสนาบดีกรมขุนนางและเสนาบดีกรมคลัง
เพราะไม่ได้เห็นเนื้อหาภายในจึงไม่รู้ว่าบันทึกอย่างละเอียดเพียงใด หากรู้ล่วงหน้าแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ก็ต้องค้นหาให้เจอว่ามันอยู่ที่ใดกัน แต่คยองยูลแสนน่าเกลียดชังนั่น กลับบอกกล่าวเรื่องราวเป็นนัยก่อนถูกประหารด้วยคำถามว่า ‘องค์รัชทายาททรงมีอุปนิสัยเช่นไร ทรงเป็นดังแสงอาทิตย์ส่องสะท้อนบนผิวน้ำ’ และทำให้เข้าใจว่า บันทึกเล่มนั้นถูกค้นพบเสียแล้ว
ตระกูลคยองถูกประหารยกตระกูล ดังนั้น ก็ไม่เหลือความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับบันทึกเล่มนั้น นอกเสียจาก ยูโซกัง อดีตบุตรเขยของตระกูลคยอง
และจากคำกล่าวว่า ‘อุปนิสัยขององค์รัชทายาท’ จากคยองยูล เขาก็ได้ประสบกับมันเป็นอย่างดี อดีตเคยภาคภูมิใจในอำนาจเพียงใด ปัจจุบันตนกลับมีสภาพเป็นชายชราล้าหลัง
แพคมีกังยังคงครุ่นคิดพลางใช้มือกดนวดศีรษะที่รู้สึกปวดหนึบ รู้สึกว่าคนรอบข้างล้วนไร้ความสามารถจนได้แต่หงุดหงิดใจเท่านั้น
เขาเรียกหาคนรับใช้ด้านนอกสั่งให้นำเกี้ยวมาพร้อมกับคิดขึ้นได้ว่า เป็นเพราะคยองโซยง เรื่องราวทั้งหมดจึงกลายเป็นเช่นนี้สินะ แพคมีกังตำหนิสตรีที่ยังคงเกาะหนึบในความรู้สึกของหลานชายตน แม้นางจะจากโลกนี้ไปแล้ว
ตอนที่ 7-7 เข็มในชาม
ตอนที่ 7-7 เข็มในชาม
ด้านหนึ่ง ความมืดมิดก็เข้าโอบล้อมตำหนักฮงฮวา แน่นอนว่าด้านนอกย่อมเป็นเช่นนั้น ทว่าเมื่อเข้ามาด้านในตำหนักกลับพบว่ามีโคมไฟถูกจุดไว้ทั้งหมดสองจุด
หนึ่งคือจาฮอนกำลังตรวจดูบรรดาฎีกาอย่างบ้าคลั่งเพราะเมื่อเย็นไม่ได้ตรวจ มองเพ่งตัวอักษรเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวอย่างละเอียด เนื่องจากมีส่วนที่ต้องเขียนตอบ โคมไฟจากเทียนไขหลายเล่มจึงสว่างไสว
อีกหนึ่งคือห้องบรรทม โซกังเหนื่อยล้าจากการร่วมรักติดกันหลายรอบหลับลึกอยู่บนเตียง โดยมีโคมไฟหนึ่งดวงวางอยู่ใกล้ๆ ปกติแล้วหากมีโคมไฟอยู่ใกล้เตียง จะทำให้แสบตาจนไม่อาจพักผ่อนได้อย่างสบาย ดูเหมือนขันทีและนางกำนัลจะลืมจัดการกับมัน เมื่อรู้สึกแสบตา ร่างบางเลยขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะปรือดวงตาพร่ามัวขึ้นมา แล้วก็ปรือลงอยู่เช่นนั้นซ้ำๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างหนักอึ้ง และสุดท้ายก็เริ่มหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมออีกครั้ง
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเงาของอะไรบางอย่างทอดทาบทับโซกัง บุรุษชุดดำผู้หนึ่งลักลอบเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในนี้ตั้งแต่เมื่อไร หรือปรากฏตัวออกมาเมื่อใด คนผู้นั้นสวมรองเท้าเฉกเช่นขันที ก่อนจะทำการถอดมันออกแล้วม้วนเอาไว้กับชุดขันทีที่เพิ่งถอดก่อนหน้านี้ ขยับเคลื่อนไหวโดยไร้เสียงไปทางด้านหลังเตียงและยัดของพวกนั้นลงด้านใต้ เพราะหากสัมผัสโดนเปลวไฟด้านข้างอาจจะทำให้ไฟลุกโชน เขาจึงค่อนข้างระวังเป็นพิเศษ จากนั้นก็นำบางสิ่งคล้ายคลึงกับเข็มเย็บผ้าออกมาจากอกเสื้อ ค่อยๆ ส่งมันเข้าไปใกล้ริมฝีปากของโซกัง
“อืม…”
เมื่อสัมผัสแผ่วเบาแตะลงมา เสียงครางก็ดังออกมาพร้อมการเผยอปากออก พอสิ่งของลักษณะเหมือนเข็มเย็บผ้าถูกใส่เข้าไปในปาก มันก็ละลายหายไปทันที ทว่าจังหวะนั้นกลับมีมีดสั้นพุ่งแหวกผ่านอากาศเข้ามา
“อึก!”
วินาทีนั้นชายชุดดำทำได้เพียงส่งเสียงร้องออกมาคำเดียวแล้วเคลื่อนกายหลบวืด สายตาเหลือบมองอากาศอย่างร้อนรน ด้วยเคลื่อนตัวไปทางเตียงจึงไม่อาจหลบเลี่ยงมีดสั้นได้ เขาเดินโซเซแล้วคุกเข่าทรุดลงบนพื้น แสบร้อนเพราะมีดสั้นปักอยู่ที่บนหลัง จากนั้นลิ้นก็เริ่มแข็งทื่อ มิหนำซ้ำ ร่างกายยังแข็งตามไปเสียทุกส่วนอย่างรวดเร็วเช่นกัน มีดสั้นนี้คงอาบยาพิษอย่างแน่นอน และอีกไม่นานตนก็คงต้องตาย
ริมฝีปากของทันยอบเปิดออก ก่อนจะเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ฮโย เจ้า…”
“ขอโทษ”
น้ำเสียงสงบนิ่งของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นและจบลงเพียงเท่านั้น ทันยอบล้มลงกับพื้นพลางกระตุกสั่น ผ่านไปเพียงครู่ก็ไม่มีการขยับเขยื้อนอีก อีกฝ่ายจึงเผยกายภายใต้ความมืดมิด เป็นบุรุษชุดดำเช่นเดียวกัน เขาเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียงเพื่อสำรวจสภาพของโซกัง ก่อนจะก้มตัวลงสังเกตสีหน้าและสูดดมกลิ่นจากปากของร่างบาง
“นี่มัน…”
กล่าวออกมาแผ่วเบาพร้อมสีหน้าบิดเบี้ยว ด้วยรับคำสั่งจากนายท่านมาว่า ชายผู้เป็นสนมของฝ่าบาทรู้ตำแหน่งของบันทึกสำคัญ จะปล่อยให้ถูกฆ่าไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเห็นทันยอบเข้าถึงตัวโซกัง ตนจึงรีบขว้างมีดสั้นออกไป แต่ดูเหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่ง กลิ่นอ่อนของดอกไม้และกลิ่นของสมุนไพรที่ฟุ้งออกมานั้น บ่งบอกว่ายอบมอบยาพิษ ‘นั้น’ ให้เรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาพลางกวางสายตามองภายในห้องบรรทม เป็นสนมก็จริง ทว่าข้างเตียงด้านหนึ่งกลับมีโต๊ะ กระดาษ พู่กันและหมึกวางอยู่แทนที่จะเป็นพวกเครื่องประทินโฉม อีกฝ่ายรับพิษเข้าไปแล้ว เขาจึงได้แต่เริ่มเขียนอักษรลงบนกระดาษ
ทันยอบไม่เคยบอกวิธีทำยาถอนพิษ แต่เขาก็รู้จักตัวยาที่เป็นส่วนผสม และทำการเขียนรายชื่อของตัวยาเหล่านั้นลงไป ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่หมอหลวงจะสามารถทำการโดยลวกๆ ได้แต่หวังให้หมอหลวงเข้าใจ
หลังจากเขียนเสร็จก็วางกระดาษบนกายของร่างบอบบางบนแท่นบรรทม ขณะนั้นพลันได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายนอก เขาจึงซ่อนตัวในความมืดโดยไม่มีกระทั่งเวลาจะเก็บมีดสั้นที่ปักอยู่บนหลังของทันยอบ ชั่วพริบตาประตูก็เปิดออก ผู้เข้ามาด้านในคือนางกำลัง ระหว่างนั้นเขาเร้นกายออกไปด้านนอกประตู
“ลืมดับตะเกียงหรือนี่”
คำพึมพำเพียงแผ่วเบาของนางกำนัลดังมาถึงโสตประสาทของผู้อำพรางกายอยู่ในความมืด ทว่าหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องทันที เหล่าองครักษ์ฮวังรยงและทหารหลวงที่ยืนอารักขาอยู่ด้านนอก รวมถึงเหล่าขันทีต่างรีบกรูกันเข้ามาด้านใน แน่นอนว่าองค์จักรพรรดิก็วิ่งมาอย่างร้อนใจเช่นกันเนื่องจากประทับอยู่ไม่ไกล เขากลั้นหายใจราวกับไม่มีตัวตนอยู่บริเวณนั้น ทุกคนล้วนวิ่งเข้าไปยังห้องบรรทม ด้วยมีศพที่ดูเหมือนเพิ่งจะถูกฆ่าตาย จนไม่ทันสังเกตการเคลื่อนไหวโดยรอบ
แม้ไม่ใช่ด้วยความตั้งใจ ทว่าอย่างไรมันก็ถือเป็นโอกาสหนี เขาจึงอาศัยช่องโหว่ของช่วงเวลานี้หลบหนีจากตำหนักฮงฮวา
“มันลอบเข้ามาได้อย่างไรกัน!”
น้ำเสียงเดือดดาลของฝ่าบาทดังแว่วออกมาถึงบริเวณด้านนอกตำหนัก ขณะผู้เป็นตัวการลอบขยับกายซุกซ่อนในความมืดไปเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกัน จวนของแพคมูกิลเองก็มีผู้บุกรุกเช่นกัน ผู้บุกรุกสวมใส่ชุดสีดำและกำลังดำเนินการตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย คำสั่งนั้นง่ายดายกว่าผู้บุกรุกวังหลวงเป็นอย่างยิ่ง
เขาจับภรรยาของแพคมูกิลที่ตั้งใจจะส่งเสียงร้องตะโกน ก่อนจะส่งดาบสั้นพาดลำคอเรียวเล็กนั่น และเพียงชั่วพริบตา คบดาบก็ขยับเคลื่อนจากซ้ายไปขวาอย่างแผ่วเบา ทั้งๆ ที่สีหน้าของนางยังแข็งค้างด้วยความตั้งใจจะตะโกนร้องในคราแรก โลหิตจากลำคอที่ถูกตัดเกือบขาดไหลทะลักราวกับน้ำพุ ผู้ลงมือมองดูนางกระตุกตัวเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น จากนั้นก็หันมาค้อมคำนับอย่างนอบน้อมต่อแพคมูกิล ด้วยท่าทางสุภาพต่างจากการบั่นคอสตรีผู้หนึ่งในคราเดียว
แม้จะเห็นเหตุการณ์ แต่แพคมูกิลกลับไม่เผยสีหน้าตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย เขาขบกัดริมฝีปากพลางกลอกตาไปมา พยายามเรียบเรียงสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้าเป็นคนของผู้ใด”
“ขออภัยขอรับ อย่างที่ท่านทราบดี พวกเรายาอึมเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น”
“เช่นนั้นข้าจึงได้ถามว่าเป็นใคร ผู้ใดกันที่บังอาจ!”
“ผู้ที่สามารถเรียกหามือเท้าเช่นพวกเราได้ก็มีอยู่ไม่มากนัก ไม่ทราบจริงๆ หรือขอรับท่านแม่ทัพ”
คำกล่าวของบุรุษชุดดำ ทำให้สีหน้าของแพคมูกิลแตกตื่นด้วยความตระหนกและเครียดขึงด้วยโทสะ ได้ฟังแล้วก็ไม่ยากต่อการคาดเดาว่าใครเป็นผู้ส่งมา นั่นไม่ใช่ความสงสัย แต่เป็นความแน่ชัด
“ท่านอา… มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการส่งเจ้ามาหรือ”
“ท่านฝากข้าน้อยมาแจ้งด้วยว่า หากคยองโซยงดีถึงเพียงนั้น ก็ไปพบนางเสียไม่ดีกว่าหรือ”
“แล้ว?”
“ตอนนี้ไม่มีอันใดช่วยท่านได้แล้วขอรับ”
“ชั่วช้านัก”
แพคมูกิลถูกทอดทิ้งโดยสมบูรณ์และเพื่อการอยู่รอดจึงต้องดิ้นรน ทว่ามันกลับกลายเป็นการกระทำอันไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้ายาอึม ชายชุดดำกวัดแกว่งดาบสั้นด้วยความรวดเร็วยิ่ง ดาบสั้นของอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาโดยเล็งที่ลำคอ
คงจะดีหากปลิดลมหายใจในคราเดียว มันจะเจ็บปวดน้อยลง
การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เป็นเพียงการสร้างความเจ็บปวดแก่ตนเองเท่านั้น เพราะการเคลื่อนกายหลบเลี่ยงจึงทำให้แขนถูกสะบั้นแทนลำคอ เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ไม่ใช่สิ กลับกลายเป็นโลหิตที่ทะลักออกมาจากลำคอแทนเสียงกรีดร้อง เนื่องจากบุรุษผู้นั้นมิได้นำดาบมาเพียงเล่มเดียว
เขาสะบัดดาบในมือเพื่อสลัดคราบโลหิตออก ก่อนจะหลบหนีจากเรือนนอนของแพคมูกิล เหล่าคนงานของและเหล่าทาสต่างไล่ตามขณะหลบหลีกออกจากจวน ทว่าชายชุดดำกลับหายไปจากครรลองสายตาในชั่วพริบตา
นับเป็นค่ำคืนที่เกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงนัก
ผลการตรวจสอบศพของนางกำนัลตำหนักฮงฮวาห้าคน องครักษ์ฮวังรยงฝึกหัดสี่คน ขันทีตำหนักฮงฮวาสองคนซึ่งล้วนถูกปลิดชีพในคืนนี้ พบว่าการตายของพวกเขาล้วนจุดที่เหมือนกัน นั่นคือรอยแผลเปลี่ยนเป็นสีดำ
แน่นอนว่าการตายของคนเหล่านั้นเป็นเรื่องน่าเศร้า ทว่าสำหรับจาฮอนแล้ว มันกลับเกิดเรื่องหนักหนายิ่งกว่า เพราะถึงแม้ว่าภายนอกจะดูคล้ายไม่มีสิ่งใด ทว่าโซกังไม่ยอมตื่นขึ้นมา
ทั้งๆ ที่ภายในตำหนักเสียงดังถึงเพียงนั้น อีกฝ่ายกลับไม่ลืมตาตื่น จาฮอนคิดว่าเรื่องนี้น่าประหลาดใจนักจึงไล่ผู้อื่นออกไปจากห้องบรรทม จากนั้นก็ปลดอาภรณ์ของร่างบางออกเพื่อสำรวจ แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ บนร่างกาย เพียงลมหายใจที่ช้ากว่าปกติเท่านั้น และไม่ว่าจะเขย่าตัวเช่นไรก็ไม่ได้สติ ทว่าระหว่างนั้นก็ค้นพบกระดาษเขียนด้วยลายมือรีบเร่ง เนื้อความเป็นรายชื่อของสมุนไพรและบอกว่าโซกังต้องพิษ
จาฮอนจึงส่งขันทีไปยังสำนักหมอหลวงให้ตามตัวหมอหลวงมาโดยเร็ว
เมื่อหมอหลวงมาถึงหลังจากวิ่งมาอย่างรีบร้อนทันทีที่ได้รับคำสั่ง ก็ทำการตรวจดูรายละเอียดตามเรื่องที่ได้รับรายงาน ก่อนจะตรวจชีพจรของโซอีมามา
กระทั่งค่ำคืนอันเจ็บปวดผ่านพ้นไป จนยามเช้าวันใหม่มาถึงก็ยังคงเป็นเช่นเดิม…
แต่ฝ่าบาทได้รับฟังรายงานว่า เมื่อคืนวานแม่ทัพแพคมูกิลกับภรรยาก็ถูกคนร้ายลอบเข้ามาสังหารถึงภายในจวนเช่นกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น