(Yaoi) ใต้ม่านรัตติกาล 61-88
61 ท่านพ่อ ข้าขอโทษ
เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นหรูเอากล่องข้าวไปที่เรือนหรงอี้
“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว ข้าไม่ควรจะเอาทั้งเขาเทียนปี้มาพนัน” อวิ๋นหรูจัดการอาการ พลางรินเหล้าแก้วหนึ่งให้อวิ๋นอี้
อวิ๋นอี้ไม่พูดอะไร อ่านหนังสือที่วางอยู่ข้างหน้าเงียบๆ
“ท่านพ่อ ข้ามาเพื่อขอโทษท่าน เมื่อวานนี้ข้าไม่ควรเถียงท่าน ได้โปรดให้อภัยลูกสาวคนนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“คิดได้แล้วก็ดี”
“ท่านพ่อ ท่านมารับประทานอาหาร”
อวิ๋นอี้คีบกับข้าวขึ้นมา จากนั้นไม่นานก็วางตะเกียบลง
“บรรพบุรุษเขาเทียนปี้ปักหลักอยู่ ณ ที่แห่งนี้มานานนม ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงเงียบสงบมาจนเคยชิน ต่อจากนี้หากเจ้าได้พบคนดีมาคอจัดการดูแลเขาเทียนปี้ด้วยกันเช่นนั้นก็ดีไป หากทำไม่ได้อย่างน้อยก่อนที่พ่อจะจากไปให้เหลือคนรุ่นหลังเอาไว้ อย่างไรอย่าทำให้เขาเทียนปี้ต้องล่มสลายด้วยมือเจ้า
พ่อมีเจ้าเป็นลูกคนเดียว หลังจากพ่อจากไปเจ้าจะต้องคิดถึงภาพรวม ทำเพื่อประชาชนเขาเทียนปี้อย่างสุดกำลังความสามารถ หลานเยี่ยเป็นคนมีความสามารถแต่ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยอุปสรรค พ่อไม่อยากเห็นเจ้าเป็นทุกข์ อีกทั้งพ่อก็พอมองออกว่าใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เจ้า
ต่อให้ในอนาคตจะไม่มีเขาเทียนปี้ เจ้าก็ต้องสร้างขึ้นมาอีกครั้ง สร้างบ้านให้กับประชาชน สร้างบ้านให้ตนเอง อนาคตไม่อาจคาดเดาได้ การเปลี่ยนแปลงมีมากมาย เรื่องที่ยังไม่รู้ก็เยอะแยะ จะสามารถควบคุมชะตาชีวิตของตนเองได้หรือไม่ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว เส้นทางในอนาคตมีเจ้าคนเดียวที่ต้องเดินต่อ”
ฟังบทสนทนาของอวิ๋นอี้แล้วอวิ๋นหรูก็ตาแดงก่ำทั้งสองข้าง
“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรเจ้าค่ะ! ท่านยังอายุน้อยเช่นนี้ ยังมีเรื่องมากมายที่ยังรอให้ท่านสอนข้านะเจ้าค่ะ!”
“ข้าเพียงแค่พูดเท่านั้น หลายปีมานี้แม่เจ้าและป้าเจ้าตายไปตามๆ กัน ข้าละเลยเจ้าไปมาก ติดค้างต่อเจ้า”
อวิ๋นอี้ยกแก้วเหล้าขึ้น เตรียมจะดื่มให้หมดในทีเดียว
“ท่านพ่อ” จู่ๆ อวิ๋นหรูก็เรียกเขาขึ้นมา
อวิ๋นอี้มองนางยิ้มออกมาน้อยๆ จากนั้นก็ดื่มหมดในทีเดียว
มองดูอวิ๋นอี้ที่หลับไป อวิ๋นหรูรู้สึกผิดอย่างมาก
“ท่านพ่อ ข้าขอโทษ ข้าไม่อาจปล่อยเขาไป ท่านนอนหลับสักตื่น รอจนฟ้าสว่างท่านก็น่าจะตื่นแล้ว”
อวิ๋นหรูวางยาลงในเหล้าของอวิ๋นอี้ ไร้สีไร้รส หลังจากนี้สี่ชั่วยามฤทธิ์ยาจะหายไป
หลังจากหาตราสัญลักษณ์ในห้องหนังสือเจอแล้ว อวิ๋นหรูก็รีบไปที่ค่ายทหารเขาเทียนปี้ในทันที
“ท่านหัวหน้าทัพ นี่เครื่องตราสัญลักษณ์ ข้าต้องการเคลื่อนพล”
อวิ๋นหรูพาทหารพลังครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใช้ความเร็วสูงสุดมุ่งหน้าไปยังชายขอบซีเชวีย
“เสี่ยวหรูเอ๋อร์”
“หืม?”
“ชอบเขาเทียนปี้หรือไม่?”
“ชอบเจ้าค่ะ สวยเสียขนาดนั้น. น่ารักขนาดนั้น หรูเอ๋อร์อยากใช้ชีวิตอยู่ที่เขาเทียนปี้ตลอดไป คอยอยู่เฝ้าเขาเทียนปี้ตลอดไป”
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าก็วางใจ”
“ท่านพ่อ นี่คืออะไรเจ้าคะ?”
“นั่นเป็นเรื่องที่สวยงามเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวความรักของบรรพบุรุษเมื่อพันปีก่อนของเรา มาฟังที่ข้าจะเล่าให้ฟัง…”
“ถ้าหากหรูเอ๋อร์โตขึ้นแล้วชอบคนที่ไม่ควรชอบเช่นกัน ท่านพ่อจะสนับสนุนข้าหรือไม่เจ้าคะ?”
“พ่อจะต้องสนับสนุนเจ้าอย่างแน่ ใครให้เจ้าเป็นลูกสุดที่รักของข้าเล่า”
อวิ๋นหรูรีบเร่งเดินทางไปพลางในหัวก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ไปพลาง
“ว่ากันว่าเมื่อคนสูญเสียอะไรบางอย่างไปมักจะคิดถึงเรื่องของเขาขึ้นมา จู่ๆ การที่คิดถึงเรื่องที่เลือนรางเหล่านี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้” ความไม่สบายใจในใจของอวิ๋นหรูยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านพ่อ ท่านจะไม่เป็นไร เขาเทียนปี้จะไม่เป็นอะไร”
หลังจากนั้นสองวันในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชายแดนซีเชวีย คนแรกที่นางเห็นคือหลานเฟิง
“หลานเฟิงพวกข้ามาแล้ว ซีเชวียไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ หลานเยี่ยเล่า?”
มองดูทัพทหารด้านหลังอวิ๋นหรู หลานเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง
“ท่านประมุขอยู่ที่ตระกูลหลาน”
62 อุโมงค์ลับ
ในพื้นที่ระหว่างเขาเทียนปี้และเมืองหลวงวัวและแกะจำนวนมากถูกไล่ต้อน เดินผ่านพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเดินผ่านไปมา เสียงตะโกนพูดคุยของคนเลี้ยงวัว เสียงร้องของวัวและแกะผสมปนเปเข้าด้วยกัน เหมือนว่าจะกลบเสียงทั้งหมดในแผ่นดินนี้ลงไป
ลมพัดผ่านที่ราบ ต้นซากุระป่าที่เต็มไปด้วยใบไม้หนาแน่นและดอกไม้ เม็ดฝนที่ตกลงมาจากฟ้า แต่กลับถูกลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดมาทำให้สะดุดไม่อาจยืนต่อได้ จึงจำต้องพากันหาที่หลบ ฝนที่ตกโปรยปรายช่างสวยงามนัก
“ใช่ถนนสายนี้จริงหรือ? ข่าวไม่ได้ผิดใช่หรือไม่” คนที่สวมชุดดำกลุ่มหนึ่ง เดินวนไปวนมาอยู่ปากทางเข้าที่หนึ่งด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ ทำลายภาพทิวทัศน์ที่สงบเรียบง่ายและสวยงาม
“ไม่”ผิดแน่นอน ข่าวของคนนั้นไม่เคยผิดมาก่อน
คนที่เอ่ยถามมาก่อนส่งเสียงรับรู้ เดินนำเข้าไปก่อน
ทางเข้านั้นทั้งมืดมนและไม่เด่นชัด ถูกต้นซากุระหลายต้นล้อมรอบปกคลุม หากไม่ตั้งใจหาให้ดีละก็ไม่มีทางเห็นอุโมงค์เช่นนี้ตรงนี้เป็นแน่
แต่เมื่อก้าวเท้าเข้าไปกลับพบว่านี่เป็นทางเดินแห่งสรวงสวรรค์ที่แท้จริง ถนนที่ถูกปูด้วยหยกขาวไม่เพียงสะอาดเอี่ยมอ่อง อีกทั้งยังถูกขัดจนขึ้นเงาสวย ไม่มีริ้วรอบแม้แต่น้อย ทำให้คนยากจะทำใจก้าวเท้า
กำแพงสองด้านและรูปทรงอุโมงค์ข้างบนทำมาจากผนึกใส หรูหราโอ่อ่า บริสุทธิ์ไร้ที่ติ สะท้อนภาพคนจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างชัดเจนทำให้คนไม่อาจเคลื่อนสายตามอง แต่ภายในทางเดินที่ขาวบริสุทธิ์นี้กลับเต็มไปด้วยตัวหนังสือซวงสี่[1]และกระดาษเงินทอง
หากมีคนธรรมดาคนหนึ่งมาถึงที่แห่งนี้ ขุดส่วนหนึ่งออกไป หรือว่าเก็บเงินที่อยู่บนพื้นไปก็สามารถใช้ชีวิตที่สุขสบายได้ไปทั้งชีวิต นี่เป็นคลังสมบัติที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ หากว่ามีสักสกุลได้ครอบครองมันก็สามารถครองโลกทั้งใบได้เลย
แค่คนกลุ่มนั้นกลับทำตัวปกติ เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้เกิดเสียงอะไรขึ้นมา ภายในทางเดินนั้นกว้างขวางเป็นพิเศษ ต่อให้แบกเกี้ยวมาด้วยหลังหนึ่งก็ยังกว้างพอที่จะเดินได้
“ทางเดินลื่นมาก ระวังอย่าล้มลง”
เดินไปครึ่งทางจู่ๆ ก็พบว่าพื้นที่ตรงนั้นกว้างใหญ่อย่างมาก ตรงกลางของผนังมีห้องซ่อนอยู่ข้างใน เหมือนว่าเอาไว้ใช้พักผ่อนชั่วคราว
โต๊ะและเก้าอี้หยกขาวแสนประณีตตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือ ทิศใต้เป็นเตียงหยกขาว น่าจะถูกสลักบนพื้นเลยโดยตรง หล่อรวมเป็นเนื้อเดียวกับพื้น ข้างบนนั้นมีเนื้อผ้าชั้นดีทำเป็นที่รองและนวมขนห่านถูกปูเอาไว้อย่างเรียบร้อย ถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะหยกขาวนั้นทำมาจากหยกขาวเช่นเดียวกัน ในนั้นยังมีน้ำชาหลงเหลืออยู่ แลดูเหมือนมีไอน้ำลอยออกมา เกรงว่าคงไม่ได้ทำมาจากหยกอุ่น
ผู้นำสองคนที่ออกเดินก่อนตอนแรกหลังจากพูดหนึ่งประโยคจู่ๆ ก็หยุดลง
บริเวณทางออกมีเกี้ยวหลังหนึ่งจอดอยู่ ตกแต่งอย่างสวยงามอลังการเหมือนว่าไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้
คนนำพิจารณาเกี้ยวหลังนั้นอยู่ครู่หนึ่งหลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจึงเริ่มต้นอีกครั้ง แต่กลับถูกดีดออกมา
“เป็นม่านพลัง เอาของที่คนคนนั้นให้ออกมา”
อีกคนนำเอาเหรียญออกมาส่งให้ เขาคลำไปรอบๆ กำแพงอยู่ครู่หนึ่งถึงพบร่อง จากนั้นก็นำเหรียญนั้นฝังเข้าไป ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้งม่านพลังหายไปแล้ว
คนที่เดินนำสองคนเดินออกไปก่อน ด้านหลังของคนกลุ่มนั้นมีคนเดียวที่จู่ๆ ก็เห็นว่ารอบกำแพงมีแสงมีสีทองเป็นประกาย บนกำแพงปรากฏตัวหนังสือขึ้นมามากมายเหมือนว่าจดบันทึกประวัติความเป็นมาของทางเดินนี้ และเรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน เหมือนจะดึงดูดใจของคนเข้าไป
63 ตำนานรักพันปีตอนจิ่วซัง
พันปีก่อน
“กำราบซีเชวีย เชิดชูอำนาจตระกูลข้า กำราบตระกูลหลาน ตระกูลข้าเรืองรอง” ผู้ชายคนหนึ่งบนหลังม้าตะโกนคำขวัญ
“กำราบซีเชวีย เชิดชูอำนาจตระกูลข้า กำราบตระกูลหลาน ตระกูลข้าเรืองรอง”
“กำราบซีเชวีย เชิดชูอำนาจตระกูลข้า กำราบตระกูลหลาน ตระกูลข้าเรืองรอง”
“กำราบซีเชวีย เชิดชูอำนาจตระกูลข้า กำราบตระกูลหลาน ตระกูลข้าเรืองรอง” ทหารพลังที่อยู่ด้านหลังตะโกนร้องออกมาพร้อมกัน สร้างบรรยากาศให้คึกคักมากขึ้น
“ฆ่า” ด้านหลังมีทหารรับพันนายม้านับหมื่นตัวพุ่งเข้ามาเมื่อน้ำหลาก ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนดั่งมังกรดำข้ามแม่น้ำ ลอยตัวผ่านคลื่นซัดสาด ก่อให้เกิดคลื่นสูงหมื่นจั้ง
มือถือขวานแห่งแคว้นอู๋กายสวมเกราะหนังแรด ต่อสู้กับข้าศึกท่ามกลางรถแสนวุ่นวาย
ธงสะบัดพลัดพลิ้วศัตรูเหมือนเมฆดำที่หนาแน่น ห่าธนูโปรยปรายตกลงพื้นเหล่าทหารกล้าแย่งชิง
กองทัพถูกบุกรุกแถวขบวนถูกเหยียบย่ำ ม้าฝั่งซ้ายตายอนาถม้าฝั่งขวาบาดเจ็บด้วยคมดาบ
ล้อรถฝังลึกม้าศึกหยุดชะงัก แกว่งสะบัดไม้กลองทุ่มตีกลองศึก
สรวงสวรรค์ไม่พอใจเทพเจ้าโกรธา นายทหารบาดเจ็บล้มตายศพโดนโยนทิ้งขว้าง
คนที่ออกศึกเมื่อไปแล้วไม่มีกลับ พื้นที่เขียวขจีกว้างใหญ่เส้นทางห่างไกล
กายประดับกระบี่ยาวในมือถือคันธนู กายและหัวแยกออกห่างหัวใจบริสุทธิ์
ผู้กล้าตัวจริงไร้ซึ่งความกลัวฝีมือล้ำลึก แข็งแกร่งทั้งชีวิตไม่อาจก้าวก่าย
แม้กายจะจากไปแต่วิญญาณกล้ายังคงอยู่ วิญญาณแข็งแกร่งกลายเป็นยอดพราย
สงครามที่มีคนตายมากมายทำให้ขอบฟ้าเปลี่ยนสี เลือดสีสดไหลเปื้อนทั่วแผ่นดิน เปรอะเปื้อนเต็มยอดดาบ ลมกรีดร้องโหยหวน ฝนตกพรำ ดวงอาทิตย์คล้อยลับหายย้อมให้ท้องฟ้าเป็นสีแดงไปกว่าครึ่ง วิญญาณร้ายร่ำไห้ วิญญาณเทพโกรธา ใจคนตื่นกลัว
การไล่ฆ่ายังคงดำเนินต่อไป ภายในชั่วเวลาสั้นๆ ทั้งชั้นบรรยากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด โลกทั้งใบเหมือนกำลังสั่นไหว ภูเขาระเบิดแผ่นดินแตกแยก ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตก็ค่อยๆ สลายหายไป พวกเขาเหมือนกับแล่เนื้อเอาเกลือทาเผยให้เห็นชิ้นส่วนแยกจากกันร่างกายซูบเซียวแตกกระจัดกระจาย
ในช่วงเวลาที่ถูกเลือดกลืนกินไม่สามารถแยกออกได้ว่าไหนคืออาวุธ ไหนคือมือที่เปื้อนเลือด ไหนคือฟันที่แหลมคม ฉีกทำลายใบหน้าทั้งหลายอย่างกระวีกระวาดร้อนใจ สติสัมปชัญญะในหัวหายไปนานแล้ว สูญเสียการควบคุมเหมือนกับทำเพื่อสนองความต้องการการฆ่าของตนเอง
ดูจากตอนนี้แล้วความรู้สึกที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดบนโลกใบนี้คือความสุขที่สามารถใช้สองมือของตนฆ่าทำลายทุกสิ่งอย่าง เวลาหัวค่ำคืบคลานมาถึงทอดสายตามองไปไกลไม่อาจแบ่งแยกได้ว่านั่นเป็นพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าหรือเลือดสดที่ไหลอาบแผ่นดิน…
สุดท้ายบนแผ่นดินนี้ก็ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใด เหลือเพียงแค่ชายหนุ่มที่ตาแดงก่ำ คนที่ไร้เรี่ยวแรงและคนที่ตายไป
“พวกเราชนะแล้ว ศัตรูล่มสลายทั้งกองทัพ พวกเราชนะแล้ว”
แต่ไม่มีใครตอบเขา ทหารพลังที่อยู่ด้านหลังไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไปนานแล้ว แต่ละคนมองไปยังผู้ชายที่ใกล้จะบ้าเบื้องหน้าตนด้วยท่าทีแน่นิ่งเหมือนตุ๊กตาไม้
“พวกเราชนะแล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ดีใจ พวกเจ้าน่าจะต้องโห่ร้องด้วยความยินดีซิ ควรจะร่าเริง ตระกูลเยี่ยอย่างไรก็ต้องเป็นของข้าชิวจือเว่ยอยู่วันยังค่ำ”
ผู้ชายที่เรียกตนเองว่าชิวจือเว่ยกู่ก้องร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น แต่ทหารพลังที่อยู่ข้างหลังนั้นถ้าไม่ได้กำลังปรับสมดุลพลังของตนเอง ไม่ก็กำลังโศกเศร้าไปกับพี่น้องของตนที่เพิ่งตายไป ทุกคนนอกจากผู้ชายคนนั้นล้วนไร้ซึ่งท่าทีเมื่อตอนเริ่ม
สงครามเพิ่งจะเริ่มก็ใกล้จะบ้าคลั่งแล้ว
“หลานเซียวเจ้ารอก่อนเถิด ต่อให้ต้องกำราบทั้งแผ่นดินข้าก็ต้องแต่งเจ้ากลับบ้านให้ได้” ชิวจือเว่ยตะโกนเสียงดังไปทางตระกูลเยี่ย
บนต้นซากุระในภูเขาที่ห่างไกลไปร้อยลี้มีชายผู้หนึ่งนอนอยู่บนนั้นกำลังเป่าขลุ่ยอย่างสำราญใจ กิ่งทองใบหยกก็น่าจะหมายถึงคนงามระดับนี้กระมัง
‘วันนี้เป็นวันที่อากาศดีอีกวันหนึ่ง อยากจะครอบครองใต้หล้าก็พูดมา จะมาหาข้ออ้างว่าอยากแต่งข้าทำไม’
“ท่านประมุข ซีเชวียเสียการคุ้มครองแล้ว ทัพทหารของพวกเราถูกกำจัดจนหมด” จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในครรลองสายตา ทำลายเสียงขลุ่ยแสนไพเราะ
“รู้แล้ว ออกไปเถิด” เขาอยากได้ ก็ให้ไปเถิด
64 ตำนานรักพันปีตอนตู๋กุยหย่วน
“ใครกันที่กล้าบุกตู๋กุยหย่วนของข้า ยังไม่แจ้งนามมาอีก” หลานเซียวนั่งค่อมอยู่บนต้นไม้ ในมือถือขลุ่ยหยกเล่น
“ข้ามาบ้านตัวเองยังถือว่าบุกรุกหรือ? เจ้ามาอธิบายให้ข้าฟังหน่อยว่าเป็นการบุกรุกหรือไม่” มือทั้งสองข้างชิวจือเว่ยจับต้นไม้เอาไว้ กักหลานเซียวเอาไว้ในอ้อมแขน
“ไหนคือบ้านเจ้า ยังไม่กลับชุนอวี้หว่านของเจ้าอีก”
“เจ้าดูซิว่าชุนอวี้หว่านของข้าน่าฟังเพียงใด ตู๋กุยหย่วน มาเพียงลำพังมักทำให้ทางเดินดูยาวนาน ทำไมถึงไม่หาเพื่อนร่วมทาง สามีภรรยาทำให้บ้านเต็ม ทุกเสี้ยวนาทีในคืนแต่งงานล้ำค่า ใช่หรือไม่?”
“พูดจากะล่อนปลิ้นปล้อน นั่นก็ต้องดูว่าคู่กับใคร” หลานเซียวใช้ขลุ่ยหยกผลักหน้าอกชิวจือเว่ย ชิวจือเว่ยขยับเข้าไปใกล้หลานเซียวขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะเข้าไปจูบแล้ว
“ภรรยาใจร้อนแล้ว คิดจะถอดเสื้อสามี”ชิวจือเว่ยจับมือข้างที่ถือขลุ่ยหยกของหลานเซียวเอาไว้
“ใครเป็นภรรยาของเจ้ากัน”
“เช่นนั้นข้าเป็นภรรยาเจ้าก็ได้”
หลานเซียวหลุดหัวเราะออกมา
“เอาเถิด บรรยากาศที่ดีขนาดนี้กลับถูกเจ้าทำลายเสียหมด
“ไหนเล่า ภรรยาคิดจะทำอะไรก็ได้ มิเช่นนั้นก็เริ่มตอนนี้เลยดีหรือไม่?”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” หลานเซียวใช้มือทั้งสองข้างคล้องคอชิวจือเว่ย ขยับตัวเข้าไป
แสงอาทิตย์ลอดผ่านใบไม้เขียวขจี กลิ่นหอมที่พัดพาตกลงไปบนเงาของคนสองคนที่เกี่ยวรัดกันอยู่ ห่างไปไม่ไกลมีนกที่ปีนอยู่บนขอนไม้ส่งเสียงร้องอย่างเขินอาย เหมือนกับเด็กน้อยจอมซน ยินดีปรีดาไปกับท้องฟ้าที่สดใส
เวลาล่วงเลยไปถึงกลางวันสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหมือนกับมีหางเล็กๆ งอกออกมา
“ทำไมวันนี้ภรรยาถึงเชื่อฟังจัง? แต่ก่อนไม่ยอมให้ข้าเข้ามาเหยียบซีเชวียแม้แต่ก้าวเดียว” เมื่อจบธุระชิวจือเว่ยให้ศอกประคองศีรษะนอนมองหลานเซียวที่อยู่บนพื้น
“ใช้ชีวิตในวันแสนสงบธรรมดามานานมากจนเกินไป จะต้องหาเรื่องน่าตื่นเต้นเสียหน่อย เจ้าว่าใช่หรือไม่”
“ไม่รู้ว่าเป็นคนแก่ที่ไหนตั้งกฎเอาไว้ ตระกูลหลานและตระกูลเยี่ยไม่อาจแต่งงานข้ามตระกูลได้ บรรดาชายแก่ในตระกูลเยี่ยมักจะต่อต้านข้าที่จะตบแต่งเจ้ากลับไปอยู่เสมอ
“เจ้ากลัวชายแก่พวกนั้นตั้งแต่เมื่อใด”
“อย่างไรหลังจากที่ประมุขคนก่อนตายไปก็เหลือแค่ชายแก่เหล่านั้นไม่กี่คน หลายปีมานี้ข้าโตขึ้นมาได้ก็เพราะพวกเขา แล้วยังจงรักภักดีต่อข้า ข้าไม่อาจทำเกินไปได้”
“แล้วทำไมเจ้าถึงยังก่อการศึกขึ้นอีก?”
“ทั้งสองตระกูลไม่อาจแต่งงานข้ามสกุลได้ เช่นนั้นหากทั้งแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีทั้งตระกูลเยี่ยและตระกูลหลานยังจะมีอะไรที่ไม่อาจแต่งข้ามตระกูลได้อีก”
“หลังจากนี้วางแผนเช่นไร?”
“หลังจากนี้เมืองหลวงล้วนมีแต่ราชสำนัก แล้วก็เป็นเขาเทียนปี้ ทีละก้าวๆ ล้วนต้องแย่งชิงมา”
“ดังนั้นหลานเซียวรอข้ารวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เจ้าแต่งงานกับข้าเถิด” จู่ๆ ชิวจือเว่ยก็พูดออกมาด้วยความจริงจัง
หลานเซียวจ้องมองเขานิ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มองอยู่ครู่หนึ่งจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
“คนก็เป็นของเจ้าไปแล้ว มาพูดเช่นนี้ตอนนี้มีประโยชน์อะไรกัน? ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าผลักความรับผิดชอบก็พอ”
“เป็นไปไม่ได้แน่นอน ข้าชิวจือเว่ยเป็นคนเช่นไรเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?”
“เช่นนั้นข้าจะเชื่อถือคำสัญญาที่ไม่มีราคานี้ของเจ้า”
“ทำไมจะไม่มีราคาเล่า คำสัญญาของข้ามีราคาที่สุด” ชิวจือเว่ยพูดออกมาด้วยความน้อยใจ
“เช่นนั้นมีราคาเท่าไรเล่า”
“ถึงเวลาแผ่นดินทั้งหมดล้วนเป็นของเจ้า เจ้าว่ามีราคาหรือไม่”
“ข้าไม่ต้องการทั้งแผ่นดิน”
“เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร” ชิวจือเว่ยขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน
หลานเซียวชี้นิ้วใส่หน้าเขา
“ต้องการข้าหรือ เช่นนั้นก็ง่าย จะเอาอีกสักครั้งหรือไม่”
“อือ…ชิวจือเว้ยเจ้าคนหน้าไม่อาย เจ้าไปอีกฝั่งเลยนะ”
“เจ้า…”
ตอนที่ 65-66
ตอนที่ 65 ตำนานรักพันปีตอนอวิ๋นซู
คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องหลานเซียว
“ชิวจือเว่ยไปแล้วหรือ?”
“อืม ไปแล้ว”
“อยากพูดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถิด” หลานเซียวมองหลานเจ๋อที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก
“ท่านประมุขและชิวจือเว่ยใกล้ชิดเกินไปหรือไม่ขอรับ ตระกูลหลานและตระกูลเยี่ยไม่อาจแต่งงานข้ามตระกูลได้กฎนี้ไม่เคยมีใครแหกคอกมาก่อน หากท่านประมุขจริงใจข้าน้อยก็ต้องขอให้ท่านประมุขปล่อยวางลงโดยเร็ว ทั้งสองตระกูลแต่งงานกันจะต้องเป็นเคราะห์ร้ายของแผ่นดินนี้เป็นแน่
“ทั้งสองตระกูลมีสัมพันธ์ที่ดี นั่นไม่ใช่ว่าใต้หล้าจะสงบสุขอย่างนั้นหรือ ไม่มีการศึกอีกต่อไป”
“แต่ก็การกินอิ่มนอนหลับจะทำให้เกิดความลุ่มหลง ก่อให้เกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง”
“ที่พูดก็ไม่ผิด แต่เจ้าคิดว่าที่ข้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนมาจากใจจริงอย่างนั้นหรือ?” หลายเซียวยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
“คนอย่างเขาถือเป็นหมากที่ดีตัวหนึ่ง เป็นหมากที่ควบคุมได้ดี อีกทั้งพูดถึงข้ากับเขาไม่มีผลลัพธ์ แล้วเจ้ากับชังหลานก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ คนหนึ่งเป็นสิ่งอมนุษย์ อายุยืนยาวถึงพันปี หมื่นปี แต่เจ้ามีอายุเพียงแค่ร้อยปีเท่านั้น”
“เรื่องของพวกเราคงไม่ต้องให้ท่านประมุขเป็นกังวล ไม่ว่าพวกเราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันนานขนาดไหนก็มากพอแล้ว”
“จากนั้นก็เหลือเพียงเขาไว้คนเดียวบนโลกนี้ทนรับความทุกข์จากความคิดถึงนับพันปีหมื่นปีอย่างนั้นหรือ?”
หลานเจ๋อไม่ได้พูดอะไร
ความนิ่งเงียบอันยาวนานระยะหนึ่งถูกหลานเซียวทำลายลงก่อน
“นี่คือของวิเศษที่ข้าหามาได้ด้วยความบังเอิญ มุกหลิววั่ง ตอนที่อายุขัยของเจ้าได้หยุดลงให้นำเอาวิญญาณดึงออกมาใส่หนึ่งในมุกหลิววั่ง ทำให้เจ้าอยู่บนโลกนี้ได้ตลอดกาล ด้วยความสามารถของชังหลานน่าจะสามารถทำให้เจ้ามีกายหยาบได้ แต่หากวิญญาณถูกทำลายนั่นก็ทำได้เพียงถูกผนึกอยู่ในนั้น จะต้องมีสักวันที่วิญญาณได้รับการฟื้นฟู”
มุกหลิววั่งลอยอยู่บนมือหลานเซียว หลานเจ๋อนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ คุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้น
“ขอบพระคุณท่านประมุข หลานเจ๋อจงรักภักดีต่อท่านประมุขทุกชาติภพไป”
“ลุกขึ้นมาเถิด เจ็ดวันหลังจากนี้ชิวจือเว่ยจะบุกโจมตีเมืองหลวง ข้าจะต้องไปดูด้วย สำหรับเขาเทียนปี้ ขอแค่ข้าไม่พูดเขาก็ไม่กล้าไปยุ่ง”
“ข้าน้อยเข้าใจข้าน้อยขอตัว”
หลานเจ๋อกำลังจะถอยออกไป สตรีนางหนึ่งก็พุ่งเข้ามาร้องไห้ก้มตัวอยู่แนบเท้าหลานเซียว
“ท่านพี่ ท่านจะต้องช่วยข้า”
“ซูเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร รีบลุกขึ้นมา”
“ท่านพี่ ตอนนี้มีท่านคนเดียวที่ช่วยข้าได้ ข้าไม่มีหนทางแล้วจริงๆ” หลานเซียวประคองอวิ๋นซูให้ขึ้นมานั่ง หลานเจ๋อถอยออกจากห้องไปเงียบๆ พลางปิดประตูห้องให้
หลานเซียวถึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่าอวิ๋นซูแต่งกายในชุดสาวรับใช้ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หน้าตาสกปรกมอมแมม ดูท่าว่าหนีออกมาจากเขาเทียนปี้
“นี่เกิดอะไรขึ้น พูดมาเถิด”
“ตระกูลเยี่ยบุกโจมตีซีเชวีย ท่านพ่อเป็นกังวลอย่างมาก คิดว่าหลังจากตระกูลเยี่ยตีตระกูลหลายได้แล้วเขาเทียนปี้ย่อมไม่อาจรักษาได้อีกต่อไป ฉะนั้นเลยคิดจะส่งข้าไปยังตระกูลเยี่ย แต่งงานกับชิวจือเว่ย แต่ข้าไม่ยินยอมเขาเลยจับข้าขังเอาไว้ บ่าวรับใช้ข้างกายข้าสู้จนตัวตายเพื่อส่งข้าออกมา “
หลานเซียวฟังไปฟังมาจนเกือบหลุดหัวเราะออกมา
“ซูเอ๋อร์ของพวกเรารูปงามดั่งดอกไม้เช่นนี้จะไปเสียเปรียบให้กับเจ้าชิวจือเว่ยได้อย่างไร วางใจ ปล่อยให้พี่จัดการ พี่จะแก้ปัญหาให้เจ้า”
“อืม” อวิ๋นซูร้องไห้พลางพยักหน้า
“อีกอย่างซูเอ๋อร์เจ้าควรจะบอกสักหน่อยหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเจ้าชอบใครกันแน่”
“ท่านพี่” อวิ๋นซูพาลโกรธเอาดื้อๆ
”เจ้าไม่พูดข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้นะ ช่วยไม่ได้นะ” หลานเซียวขำขัน
“เป็นฉีฮวนเจ้าค่ะพี่” อวิ๋นซูก้มหน้าพูด
“องค์ชายเก้าแห่งราชสำนักอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นซูพยักหน้า
“ไม่ง่ายเลย เขามีท่าทีเช่นไร?” หลานเซียวคิดถึงเรื่องที่หลังจากนี้เจ็ดวันชิวจือเว่ยจะบุกโจมตีเมืองหลวง
“เขาเองก็ยอมเจ้าค่ะ” เสียงของอวิ๋นซูเหมือนยุงบิน
“เช่นนี้แล้วกัน เจ้าอยู่ที่ตระกูลหลานไปก่อน เรื่องท่านลุงและเรื่องฉีฮวน พี่จะช่วยจัดการให้เจ้า ภายในเจ็ดวันรับประกันว่าเจ้าจะต้องแต่งงานออกไปอย่างสมฐานะหน้าตา”
“ไม่ต้องสมฐานะหน้าตา เขาบอกว่าขอแค่ได้อยู่กับข้า เขาไม่ต้องเป็นองค์ชาย และไม่ต้องการเกียรติยศศักดิ์ศรี เขายินยอมที่จะหลบอาศัยในป่าเขากับข้า ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญ”
“เขาพูดเช่นนี้เพราะคิดเช่นนี้จริงหรือ? คำพูดของบุรุษไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด เจ้าอยู่ดีกินดี บ่าวรับใช้เป็นกลุ่มมาตั้งแต่เด็ก วันๆ เอาแต่สบาย คอยแต่รับผลประโยชน์ เจ้าจะใช้ชีวิตลำบากกับเขาได้หรือ?”
“ข้าทำได้ ขอแค่ได้อยู่กับเขา”
“ก็ดี ถึงเวลาหากเขารังแกเจ้า ข้าจะซัดเขา”
“เจ้าค่ะ”
“เอาเถิด ไปล้างหน้าล้างตา แล้วไปนอนซะ หน้าตามอมแมมแล้ว”
“อืม เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่”
อวิ๋นซูมาตระกูลหลานอยู่บ่อยๆ จึงคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ กระโดดโลดเต้นออกไปด้วยอารมณ์ผ่องใสเบิกบาน
มองดูแผ่นหลังอวิ๋นซูที่จากไป หลานเซียวยิ้มน้อยๆ
“หลานเจ๋อ ไปสืบองค์ชายคนนั้น ฉีฮวน”
ตอนที่ 66 ตำนานรักพันปีตอนชุนอวี้หว่าน
เหมือนกับต้นซากุระที่ขึ้นอยู่เต็มตระกูลหลานและเขาเทียนปี้ ตระกูลเยี่ยเองก็มีต้นเฟิงอยู่เต็มไปหมด ใบไม้สีแดงสดปกคลุมไปทั่วพื้นดิน เมื่อคนที่เดินไปมาเหยียบย่ำก็จะส่งเสียงเสียดสีขึ้นมา
หลานเซียวรู้สึกอารมณ์เบิกบาน แล้วยังเพลิดเพลินไปกับความงาม อดไม่ได้ที่มือทั้งสองข้างถือขลุ่ย เต้นไปมาตามใจชอบ ชุดขาวใบไม้แดง สวยงามมากเพียงใด กระแสพลังสีฟ้าอ่อนสะท้อนออกมาตามใจชอบ ทำให้คนถอนสายตาไม่ได้
บทเพลงยังไม่ทันจบ จู่ๆ คนชุดดำกลุ่มหนึ่งก็บุกออกมา ล้อมรอบหลานเซียวเอาไว้อย่างมิดชิด
“เป็นใครกัน กล้าดีมาบุกตระกูลเยี่ยของข้า” ยังพูดไม่ทันจบ คนเหล่านั้นก็ถูกกระแสพลังที่บ้าคลั่งกลุ่มหนึ่งซัดลอยออกไป
“พวกเจ้าอยากมีเรื่องใช่หรือไม่ ข้ากำลังดูอย่างเพลิดเพลินเชียวกลับถูกพวกเจ้าขัดจังหวะ”
“ท่าน ท่านประมุข ข้าน้อยสมควรตาย ขัดจังหวะความสุขของท่าน แต่มีคนบุกรุกจวนของท่าน ข้าน้อยไม่อาจปล่อยไปไม่สนใจได้ขอรับ”
“บุกรุกหรือ? ดูให้ดี นี่คือฮูหยินประมุขตระกูลในอนาคตของพวกเจ้า กลับบ้านตัวเองไม่ใช่การบุกรุก ไปๆ รีบไปซะ ดูแล้วขัดสายตานัก”
คนเหล่านั้นรีบถอยออกไปเหมือนหนีเอาชีวิตรอด
“ภรรยา เต้นอีกหน่อยเถิด เมื่อครู่นี้ยังดูไม่พอเลย” สีหน้าของชิวจือเว่ยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็กลายเป็นใบหน้าประจบยิ้มแย้มเอาใจ
“ไม่สนุกแล้ว ใครใช้ให้เจ้าไม่จัดการพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่จะออกมาเล่า” พูดจบก็ก้าวฝีเท้ายาวไปยังชุยอวี้หว่าน
“ภรรยา สามีผิดไปแล้ว เจ้าให้อภัยสามีเถิด เฮ้อ ภรรยาเจ้าเดินช้าหน่อย”
ชิวจือเว่ยร่ำไห้อย่างน่าเวทนาอยู่ข้างหลัง
หลานเซียวเงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าประตูที่เขียนว่าชุนอวี้หว่านสามคำใหญ่ๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา
”ชื่อนี้เจ้าตั้งเองหรือ?”
“ใช่แล้ว เป็นอย่างไรบ้างสามีมีพรสวรรค์ใช่หรือไม่”
“โชคดีที่ชายแก่พวกนั้นไม่ได้รื้อออก ชื่ออย่างกับหอนางโลม”
“เรื่องนี้ภรรยาไม่รู้เสียแล้ว นี่เป็นป้ายชื่อแผ่นที่สี่แล้ว ตอนแรกที่ข้าแขวนขึ้นก็ถูกชายแก่เหล่านั้นรื้อออกโดยทันที แต่ข้าชอบชื่อนี้ ชื่อนี้เพราะมากเพียงใด หลังจากนั้นมาชายแก่พวกนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรกับข้า ก็เลยปล่อยไป”
หลานเซียวกลอกตามองเขา จากนั้นเดินก็เข้าไป
“ทำไมวันนี้ภรรยาถึงจำได้ว่าต้องมาหาข้าเล่า?”
“มอบภารกิจให้เจ้า จะทำหรือไม่?”
“ทำๆๆ”
“ข้ายังไม่ทันพูดเจ้าเองก็ตอบรับเร็วเกินไปกระมัง ไม่กลัวว่าข้าจะเอาเปรียบเจ้าหรือ?”
“ต่อให้เอาเปรียบข้า ขอแค่เป็นเรื่องที่ภรรยากำชับมาสามีต้องจัดการให้อยู่แล้ว”
“เช่นนั้นหากข้าให้เจ้าไปตายเล่า?” หลานเซียวนั่งลงบนเก้าอี้ ใช้ท่าทีที่แปลกประหลาดเชิดปลายคางของชิวจือเว่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ
“เช่นนั้นสามีก็ไปตาย ภรรยาถึงสำคัญที่สุด” ชิวจือเว่ยหัวเราะซื่อๆ
ใจของหลานเซียวสั่นสะท้านอย่างไร้เหตุผล
“ช่างโง่เง่าเสียจริง”
“ไฉนเลย สามีออกจะฉลาด เชื่อฟังคำของภรรยาใช่หรือไม่ หึหึ”
“ฉลาดหรือ? เช่นนั้นเจ้าแสดงออกมาบ้างดีหรือไม่”
“ภรรยาพูดเช่นนี้แล้ว สามีก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” พูดจบก็อุ้มหลานเซียวขึ้นไปบนเตียง ปลดม่านลง ไม่นานภายในห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นฤดูใบไม้ผลิ
……
“นี่คือภาพวาด ภายในเจ็ดวันให้สร้างอุโมงค์เล่นนี้ออกมา อย่าทำให้หลุดไปถึงคนเขาเทียนปี้และราชสำนัก รอจนอวิ๋นซูแต่งงานเข้าไป นางจะต้องซาบซึ้งต่อเจ้าไปทั้งชีวิต” หลานเซียวใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ส่งกระดาษม้วนหนึ่งให้ชิวจือเว่ย
“ภรรยาเจ้าพูดอะไร ญาติผู้น้องของเจ้าย่อมต้องเป็นญาติผู้น้องของข้า คิดจะแต่งเจ้าแล้วจะไม่ผูกสัมพันธ์อันดีกับญาติพี่น้องของเจ้าได้อย่างไร”
“หึๆ ท่านลุงที่เลอะเลือนของข้ายังคิดจะส่งอวิ๋นซูมาแต่งงานกับเจ้าอยู่เลย!”
“เช่นนั้นข้าไม่ต้องการ มีเจ้าก็พอแล้ว”
“ไม่อนุญาตให้เสียใจภายหลังนะ อวิ๋นซูเป็นคนงามที่หาได้ยากทั้งในอดีตและปัจจุบันนะ”
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้เป็นแน่ แต่ภรรยาเจ้าสวยกว่านางอีกนะ”
“พูดจากะล่อนปลิ้นปล้อน”
“นั่นก็เป็นกับเจ้าผู้เดียว”
ตอนที่ 67-68
ตอนที่ 67 ตำนานรักพันปีตอนระดมพล
“ท่านประมุข ท่านเรียกหาข้าหรือ”
“เซ่าเยี่ยซือ ให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน เรียกระดมพลช่างฝีมือสองพันนาย ช่างหยกสามพันนาย อีกทั้งเรียกรวมตัวทหารพลังอีกหนึ่งพันนาย รอรับคำสั่งข้า”
“ไม่ทราบว่าที่ท่านประมุขเรียกหาคนเหล่านี้เพราะเหตุใด? ช่างฝีมือสองพันนาย ช่างหยกสามพันนาย ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยทีเดียวนะขอรับ”
ชิวจือเว่ยเหลือบมองเขาทีหนึ่ง คนคนนี้ดีไปเสียทุกอย่าง แต่เพียงแค่ชอบซักไซ้ไล่เลียงถามลึกถึงรากถึงโคนเท่านั้น
“ทำไมหรือ ทำไม่ได้หรือ?”
“ข้าน้อยมิบังอาจ”
“เช่นนั้นยังไม่รีบไปจัดการอีก ทำไม่ดีก็ไม่ต้องกลับมา”
วันรุ่งขึ้น
“ท่านประมุข ทุกคนมาครบหมดแล้วขอรับ รอเพียงท่านออกคำสั่งเท่านั้น”
“ดี เจ้าออกไปเถิด” เซ่าเยี่ยซือถอยออกไป
“ภรรยา เจ้ายังไม่ไว้ใจสามีอย่างนั้นหรือ? ถึงได้มาจับตาดูเช่นนี้”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้า แต่กลัวเจ้าโง่เท่านั้นเอง
”…” ชิวจือเว่ยแอบไปนั่งวาดวงกลมเล่นอยู่ตรงมุมอับ ส่งเสียงร้องงึมงำ
“ทางด้านเขาเทียนปี้ข้าจะช่วยเจ้าจัดการ เมืองหลวงขึ้นอยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว จือเว่ย”
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ชิวจือเว่ยเคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด หลานเซียวไม่เข้าใจ
“ข้าจะจัดการด้านเขาเทียนปี้เอง ส่วนเมืองหลวงต้องอาศัยเจ้าแล้ว มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ประโยคนี้ ประโยคสุดท้าย”
“ข้าไม่ได้พูดเท่านี้หรือ? ข้ายังพูดอะไรอีก”
“ไม่ซิ เจ้าเรียกข้าว่าจือเว่ย ข้ายังอยากฟังอยู่”
ใบหน้าของหลานเซียวแดงระเรื่อขึ้นมาในทันใด
“ไม่ใช่เสียหน่อย”
“เรียกอีกครั้งซิ เรียกอีกครั้ง”
“ไม่เรียกก็คือไม่เรียก”
……
ด้านนอกเขตท่านพลังเขาเทียนปี้ ม้าศึกพันตัวเดินวนไปมา
ด้านนอกเมืองหลวงก็มีม้าศึกพันตัวเดินไปมาเช่นเดียวกัน
“นายท่าน” บ่าวรับใช้คนหนึ่งลนลานวิ่งเข้ามาในห้อง
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังหาคุณหนูไม่พบขอรับ”
“ม้าศึกตระกูลเยี่ยมาถึงนอกด่านแล้ว นี่จะทำเช่นไร”
“นายท่าน ข้าเห็นว่าตระกูลเยี่ยไม่ได้มีความคิดจะโจมตี ไม่สู้ว่าลอบสังเกตก่อน ขณะเดียวกันก็ขอให้ประมุขตระกูลหลานช่วยตามหาคุณหนู”
“เหลือเพียงวิธีนี้แล้ว”
“ได้ยินมาว่าท่านลุงเรียกหาข้า” หลานเซียวก้าวเข้ามาในห้องพอดี
“ใช่แล้ว อวิ๋นซูหายตัวไป”
“หายตัว? หรือว่าจะถูกคนตระกูลเยี่ยลักพาตัวไป?” หลานเซียวพูดออกมาด้วยท่าทีแสร้งทำเป็นตกใจ
“ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราหากันทั่วแล้วก็ยังไม่พบ”
“ท่านลุงอย่าได้ร้อนใจไป ช่วงเวลานี้ท่านอย่าได้ออกไปไหน ข้าจะตามหาแทนท่านเอง”
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
“มิอาจ อย่างไรอวิ๋นซูก็เป็นญาติผู้น้องของข้า พวกเราโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก”
ทหารพลังของตระกูลเยี่ยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกอยู่ใต้พื้นดินเขาเทียนปี้ อีกส่วนอยู่ใต้ดินเมืองหลวง ในขณะที่พวกเขาใช้กระแสพลังเปิดทางข้างหน้า ด้านช่างฝีมือและช่างหยกก็รีบใช้เวลาที่มีในการก่อสร้าง
หลานเซียวและชิวจือเว่ยมองตามอยู่ด้านหลัง
“หึๆ ภรรยา เจ้าดูตรงนี้ซิ ทำไมถึงได้มีเตียงอยู่หลังหนึ่งด้วย” ชิวจือเว่ยมองหลานเซียวอย่างไม่หวังดีเท่าไรนัก
“มีเตียงแล้วจะทำไม ไม่ได้ให้เจ้านอนเสียหน่อย อย่าได้มีความคิดอกุศลเชียว”
หลานเซียวกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง
“รอจนถึงพิธีวิวาห์ของน้องอวิ๋นซูแล้ว พวกเรามาลองสัมผัสดูบ้าง เจ้าว่าอย่างไร”
หลานเซียวลูบใบหน้าชิวจือเว่ย
“ทำไมเจ้าถึงได้ใจร้ายเช่นนี้ ให้เจ้าใช้ของเหลือของคนอื่น”
“ภรรยาพูดถูก รอสามีตบแต่งภรรยาแล้วจะต้องสร้างพระราชฐานที่ใหญ่และหรูหรารอภรรยาอย่างแน่นอน ขบวนสู่ขอยาวร้อยลี้ แต่งภรรยากลับบ้าน”
“เช่นนั้นข้าก็จะรอวันนั้นของเจ้า”
“ภรรยา ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่งได้หรือไม่?” ชิวจือเว่ยถลึงตามองหลานเซียว
“ไม่ได้”
“ตอนที่พวกเราพบหน้ากันครั้งแรกที่จี้จี้ฮวาสือเจ้าก็ชอบข้าเข้าแล้วใช่หรือไม่”
“…”
“ตอนนั้นข้าคิดว่าตัวเองเจอหมูตัวหนึ่ง”
หลานเซียวหมุนตัวออกเดิน
“ไอยา ภรรยาอย่าได้อายไป”
ที่เรียกกันว่าจี้จี้ฮวาสือ นั่นคือสถานที่ขนาดเล็กสุดเร้นลับในเมืองหลวง ตรงนั้นมีต้นเฟิงจำนวนมาก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีดอกให้เห็น ชิวจือเว่ยพบสถานที่นี้โดยบังเอิญ ในยามว่างไม่มีอะไรทำก็จะมาปลูกต้นไม้สองต้น
มีครั้งหนึ่งที่จู่ๆ เซียวหลานก็บุกเข้ามา พอดีเห็นชิวจือเว่ยที่นอนอยู่ท่ามกลางกอดอกไม้ร่างกายเปรอะเปื้อนโคลน นั่นเป็นการพบเจอกันครั้งแรกของพวกเขา
หลังจากนั้นหลานเซียวก็ปลูกบ้านหลังเล็กเอาไว้หลังหนึ่งที่นั่น ตั้งชื่อว่าจี้จี้ฮวาสือ
หลังจากนั้นเป็นต้นมาสถานที่แห่งนั้นก็กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวของพวกเขาสองคน
ตอนที่ 68 ตำนานรักพันปีตอนเพื่อนเจ้าบ่าว
ชิวจือเว่ยใช้ทุกวิถีทางในการเร่งงาน ในที่สุดหลังจากใช้เวลาไปกว่าสี่วันการสร้างอุโมงค์ใต้ดินก็สำเร็จลง
“ท่านประมุข สาเหตุเพราะเหนื่อยเกินไปช่างฝีมือตายไปสองร้อยนาย ช่างหยกตายไปหนึ่งร้อยนาย ทหารพลังตายไปเจ็ดสิบนาย เชียนเยี่ยซือและคนอื่นๆ รวมถึงทหารพลังจำนวนมากล้วนแสดงออกว่าไม่พอใจท่านขอรับ”
“ช่างฝีมือและทหารพลังที่ตายไปให้มอบเงินทดแทนแก่ครอบครัวพวกเขาให้มากพอ สำหรับพวกเชียนเยี่ยซือไม่ต้องไปสนใจ ผ่านไปสักพักก็เงียบเอง”
“ขอรับ ข้าน้อยรับทราบ”
ชิวจือเว่ยปีนกำแพงบุกรุกตู๋กุยหย่วนอีกครั้ง แต่กลับเห็นด้านนอกห้องของหลานเซียวเต็มไปด้วยชุดแต่งงานสีแดง ผ้าไหมแดง และของสินสอดทั้งหลาย
“ภรรยา เจ้าอยู่หรือไม่?”
จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งเดินออกมาจากในห้อง ใบหน้าที่ได้รับการแต่งแต้มบางๆ หางตายังสะท้อนแววขำขันที่ยังไม่หายไปให้เห็น
“ภรร…ภรรยา เจ้าแต่งหญิงได้สวยงามเหลือเกิน”
ชิวจือเว่ยพูดจบก็กระโจนเข้าไป แต่กลับถูกตีกลับออกมา
“สนุกมากใช่หรือไม่?” หลานเซียวเดินออกมาจากข้างหลัง
มองดูทั้งสองคนที่คล้ายคลึงกัน ชิวจือเว่ยมึนงงไปเล็กน้อย
“ภรรยา เจ้ากลายเป็นสองร่าง นี่ช่างดีเหลือเกิน ภรรยาสองคน”
สตรีนางนั้นหลุดหัวเราะออกมาโดยพลัน
“เจ้าช่างจินตนาการสวยงามเสียจริง นี่คือญาติผู้น้องของข้า อวิ๋นซู เป็นอย่างไร งามใช่ไหมเล่า”
“ท่านพี่ช่างพูดตลกจริงเชียว นี่ไม่ใช่ประมุขตระกูลเยี่ย ท่านประมุขชิวจือเว่ยที่ท่านพี่พูดถึงหรอกหรือ?”
“แท้จริงก็เป็นญาติผู้น้องนี่เอง มิน่าถึงได้เหมือนกับภรรยามากนัก ข้าน้อยชิวจือเว่ย ขอทำความเคารพ”
อวิ๋นซูทำท่าแสดงความเคารพที่เหมาะสมกับตน
“หลังจากนี้อีกสองชั่วยามให้ออกเดินทางจากตระกูลหลาน แอบเข้าไปในเขาเทียนปี้ จากนั้นก็เข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน ฉีฮวนจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น ขนบธรรมเนียม พิธีการทุกอย่างไม่อาจขาดได้ หลังจากจบงานแต่งเจ้าและฉีฮวนไปยังจี้จี้ฮวาสือหลังจากนี้พวกเจ้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ ไม่ต้องกลับมาที่ตระกูลหลาน และไม่ต้องกลับไปที่เขาเทียนปี้ ยิ่งห้ามกลับเมืองหลวง มีเพียงที่นั่นปลอดภัยที่สุด และสงบสุขที่สุด”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่อย่างมาก ท่านพี่ ข้ายังมีคำร้องอีกอย่างหนึ่ง”
“ยังมีเรื่องอะไรอีก พูดมาเถิด” หลานเซียวหัวเราะพลางลูบผมของอวิ๋นซู
”ข้าอยากให้ท่านพี่และท่านประมุขชิวเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของข้าจะได้หรือไม่?”
หลานเซียวนิ่งเงียบไปในทันใด ไม่นานก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ท่านประมุขผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของข้า เจ้าช่างมีหน้ามีตาเสียจริง เช่นนั้นก็เอาเถิด พวกเราจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เจ้า”
“เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวก็ดี ชุดคลุมสีแดงสด น่ายินดียิ่งนัก” ชิวจือเว่ยหัวเราะอย่างเบิกบานนัก
หลังจากนั้นสองชั่วยามทางด้านอวิ๋นซูจัดเตรียมเรียบร้อย เฟิ่งกวานเสียเพ่ยเครื่องยศสตรี แวววาวส่องแสง
หลานเซียวและชิวจือเว่ยสวมใส่ชุดสีแดงสด ผมมวยสูงถูกผ้าไหมสีแดงมัดเอาไว้
“ภรรยา เจ้าว่าพวกเราเหมือนกำลังหมั้นหมายหรือไม่”
ชิวจือเว่ยพูดไปพลางคิดถึงภาพหลานเซียวสวมชุดสีแดงสดทั้งตัวตอนที่พวกเขาหมั้นหมาย จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาเข้าห้องหอใต้แสงเทียนเขาก็จะถอดผ้าคลุมหน้าออก
“เงียบปาก”
“ท่านพี่ พวกท่านต้องใช้ชีวิตให้ดีนะเจ้าค่ะ รอจนวันใดที่ข้ากลับมายังจะได้เห็นพวกท่านอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” ชิวจือเว่ยเอ่ยปากพูดออกมาในทันใด หลานเซียวที่อยู่อีกข้างกลอกตามองเขา
“อย่าเพิ่งพูดถึงพวกเราเลย เจ้าไปถึงที่นั่นจะต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงสองคนแล้ว วันเวลาจะลำบากนัก แต่จะต้องยืนหยัดมุ่งมั่นเพื่ออีกฝ่าย พวกเราจะไปเยี่ยมพวกเจ้า ข้าเคยคุยกับฉีฮวนแล้ว ข้าเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดี ต้องปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง พวกเราไปเถิด”
อวิ๋นซูพยักหน้า ในดวงตานั้นคลอไปด้วยน้ำตา
หลานเซียวตบมืออวิ๋นซูเบาๆ จากนั้นก็ประคองอวิ๋นซูออกไปคนละข้างกับชิวจือเว่ย
ตอนที่ 69-70
ตอนที่ 69 ตำนานรักพันปีตอนพิธีวิวาห์
กลุ่มคนทั้งขบวนเดินทางกลับไปยังเขาเทียนปี้ตามเส้นทางที่ได้วางแผนกันเอาไว้ ตามขนบธรรมเนียมแล้วอวิ๋นซูควรจะต้องบอกลาพ่อแม่ของนาง
“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” หลานเซียวถามขึ้น
“จัดการเรียบร้อยแล้ว ชายแก่นั่นกำลังนั่งรออย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในห้องเอก”
กลุ่มคนเดินทางมาถึงวังเอกเขาเทียนปี้ อวิ๋นเฉินพ่อของอวิ๋นซูกำลังนั่งรออย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในห้อง
“ซูเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว เจ้า…” ยังไม่พูดจบ คนที่ยืนอยู่ข้างเขาตลอดก็เอามือมาแตะไหล่เขาเอาไว้
“ท่านพ่อ ลูกขอโทษท่าน แต่ลูกไม่อยากแต่งงานเข้าตระกูลเยี่ยจริงๆ ลูกมีใจสมัครรักใคร่ผู้อื่นอยู่นานแล้ว ต้องขอให้ท่านพ่อเห็นด้วยด้วยเถิด” อวิ๋นซูน้ำตาคลอพูดออกมา
อวิ๋นเฉินโกรธอยู่ไม่น้อยที่เห็นอวิ๋นซูสวมใส่เฟิ่งกวานเสียเพ่ยเครื่องยศสตรี พลางมองไปด้านหลัง ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นหลานเซียวและชิวจือเว่ย พลันเข้าใจขึ้นมาในบัดดล
“ท่าน ท่านประมุขเยี่ย ทำไมพวกท่านถึงอยู่ที่ ที่นี่”
“ท่านลุง ไม่ใช่ว่าท่านฝากให้ข้าตามหาซูเอ๋อร์หรอกหรือ? ข้าก็ตามหาให้ท่านจนพบแล้วนี่อย่างไร” หลานเซียวหน้านิ่งพูดออกมา
“ข้า…”
“เอาเถิด เวลาไม่คอยท่า พวกเราควรออกเดินทางแล้ว ให้องค์ชายเจ็ดรอนานได้อย่างไร”
หลานเซียวขัดคำพูดของอวิ๋นเฉิน
“องค์ชายเจ็ด พวกเจ้า…” คนที่อยู่ข้างหลังอวิ๋นเฉินออกแรงทำให้เขาสลบไป
หลานเซียวปิดผ้าคลุมหน้าให้อวิ๋นซู แบกอวิ๋นซูขึ้นหลังตั้งแต่วินาทีที่ออกจากวังเอก
เมื่อมาถึงปากอุโมงค์ก็ได้พบกับฉีฮวนที่รออยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นว่าพวกเขามาแล้วหญิงแก่ที่ถือตะกร้าหวายโปรยใบชา ถั่วลิสง พุทรา เมล็ดถั่วออกไปทั่วรอบนอกและภายในเกี้ยว
หลานเซียวแบกอวิ๋นเซียวขึ้นเกี้ยว ด้านล่างเกี้ยวมีเตาถ่านอยู่อันหนึ่ง เผาสิ่งอัปมงคลทั้งหมดให้มอดไหม้ไป
“ยกเกี้ยว” เสียงร้องตะโกนดังขึ้น หลานเซียวและชิวจือเว่ยก็ใช้กระแสพลังปิดผนึกปากทางอุโมงค์เอาไว้ จากนั้นก็เดินตามสองข้างของเกี้ยวไป
ระหว่างทางบ่าวรับใช้หญิงที่เดินอยู่ด้านหน้าเกี้ยวโปรยดอกไม้แดง เงินทองไม่หยุด เดินทางไปได้ครึ่งหนึ่งทุกคนก็หยุดลง พลางนั่งพักผ่อนอยู่ภายในบ้านขนาดเล็กที่ถูกสร้างขึ้น หลานเซียวส่งน้ำแก้วหนึ่งให้อวิ๋นซูจากนั้นก็มุ่งหน้าเดินทางต่อ
ตอนที่มาถึงจวนของฉีฮวนในเมืองหลวงก็ตรงกับช่วงเวลาฤกษ์ยามพอดี
“วางเกี้ยว” หญิงแก่คนนั้นโปรยสิ่งของเหล่านั้นรอบเกี้ยวอีกครั้งหนึ่ง
เพราะไม่สะดวกที่จะเปิดเผยจึงไม่มีการจุดพลุประกาศก่อนที่จะวางเกี้ยว
เด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งเขย่าชายเสื้อของอวิ๋นซูสามที อวิ๋นซูถึงถูกแม่สื่อประคองลงมาจากเกี้ยว หลังจากเข้าประตูไปก็ต้องเดินข้ามเตาไฟหนึ่งอัน เป็นความหมายโดยนัยว่าเผาสิ่งสกปรกทั้งหลายให้หมดไป
จากนั้นฉีฮวนก็รับมือของอวิ๋นซูไปจับไว้ พลางเดินเข้าไปในโถงหลักด้วยกัน ภายในโถงหลักมีเพียงเก้าอี้สองตัว ไม่มีใครนั่งอยู่
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวถึง…”
“จุดธูป…” ฉีฮวนและอวิ๋นซูต่างจุดธูปสามดอกบูชาป้ายวิญญาณ
“คำนับครั้งที่หนึ่ง…”
“คำนับอีกครั้ง…”
“คำนับครั้งที่สาม…”
“กราบไหว้ฟ้าดิน…”
“คำนับฟ้าดิน…” ทั้งสองคนหมุนตัวหันไปด้านนอก คำนับลง
“คำนับพ่อแม่” ทั้งสองคนค้อมตัวคำนับเก้าอี้สองตัวที่ว่างเปล่า
“คำนับซึ่งกันและกัน…”
“ส่งตัวเข้าห้องหอ…”
“พิธีสมบูรณ์” ฉีฮวนเดินนำหน้า อวิ๋นซูเดินตามหลัง เข้าห้องไปพร้อมกัน
ผ่านไปครู่หนึ่งฉีฮวนก็ออกมา หลานเซียวและชิวจือเว่ยรอพวกเขาอยู่ด้านนอกตลอดเวลา
“วันนี้ฉีฮวนจ้องขอบพระคุณบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของท่านพี่ทั้งสอง”
“รีบลุกขึ้นมา” หลานเซียวประคองฉีฮวนให้ลุกขึ้น
“อวิ๋นซูมีที่พักพิงที่ดีข้าเองก็ยินดีด้วย หวังว่าพวกเจ้าจะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี และขออวยพรให้เจ้าถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร มีความสุขสมบูรณ์ พรุ่งนี้เช้าให้ออกเดินทางไปจี้จี้ฮวาสือ ข้าเองจะส่งคนมาคุ้มกันพวกเจ้า ที่นั่นมีม่านพลังของพวกข้า ปลอดภัยอย่างมาก ไปถึงแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก พวกข้าไปแล้ว”
“ฉีฮวนย่อมทำไม่ผิดคำฝากฝัง”
หลานเซียวและชิวจือเว่ยเดินทางออกจากเมืองหลวง ย้อนกลับไปทางเดิม
“ทางออกนี้ต้องซ่อนเอาไว้ถึงจะดี อุโมงค์ใต้ดินนี้ก็ไม่อาจเก็บไว้ได้อีก ปิดผนึกเถิด”
“รอพวกเรากลับไป ข้าจะให้คนมาจัดการ”
“เจ้าว่า จวนของฉีฮวนจะไม่มีไส้ศึกใช่หรือไม่ คนของราชสำนัก”
“ภรรยาจงวางใจเถิด ไส้ศึกที่มีอยู่ก่อนนี้ถูกข้าจัดการกวาดล้างไปนานแล้ว ต่อให้มีก็เป็นคนของข้า”
“…”
“ภรรยาเจ้ารีบเดินเช่นนี้ไปทำไม รอข้าด้วย”
ตอนที่ 70 ตำนานรักพันปีตอนไม่คิดพัฒนา
“ท่านประมุข พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไร?” เซ่าเยี่ยซือถามขึ้น
“รอคนครบแล้วจึงออกเดินทาง”
“แต่คนครบแล้วนี่ขอรับ” ไม่รู้ว่าทำไมชิวจือเว่ยถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้เซ่าเยี่ยซือจู่ๆ เกิดปะทุนิสัยบื้อใบ้ขึ้นมา
“ข้าบอกว่ายังไม่ครบก็คือยังไม่ครบ เจ้าพูดมากขนาดนี้คงต้องหาคนมารักษาเจ้าแล้วใช่หรือไม่”
“เหมือนกับท่านประมุขหลานรักษาท่านอย่างนั้นหรือ?”
“…”
“ท่านประมุขหลานอะไรกัน เรียกว่าฮูหยิน”
“…” หลานเซียวที่เพิ่งก้าวเข้ามาทันได้ยินประโยคนี้พอดี สีหน้านั้นดำคล้ำไม่ปกติ หน้าของคนคนนี้ถูกล้างจนหายสิ้นไปแล้วหรืออย่างไร
“พูดอีกครั้งซิ ได้ยินไม่ชัด”
“ภรรยาเจ้ามาแล้วหรือ ข้ากำลังสั่งสอนเขาอยู่เลย หลังจากนี้คนตระกูลเยี่ยล้วนเรียกเจ้าว่าฮูหยิน”
“โอ้ ของตรงนี้ทำไมถึงไม่มีแล้วเล่า?” หลานเซียวลูบใบหน้าชิวจือเว่ย
“หา?”
“แม้แต่ของกำนัลยังไม่ทันจะได้มอบให้ ก็เรียกว่าฮูหยินเสียแล้ว”
“ข้าเรียกเจ้าว่าฮูหยินอยู่ตลอดเวลาเจ้าเองก็เออออไม่ใช่หรือ? เรียกฮูหยินย่อมเหมือนกัน”
หลานเซียวเกือบจะเอาขลุ่ยหยกในมือเคาะหัวเขา ตอนแรกเป็นใครกันที่แบกหน้าไม่สนใจเรียกตนเองว่าภรรยาเล่า! ตอนนี้ยังคิดได้คืบจะเอาศอกอีก
“ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระแล้ว ออกเดินทางเถิด ถ้ายังไม่ไป ฟ้าจะมืดแล้ว”
“ขอรับ ฮูหยิน”
“…”
ชิวจือเว่ยนำขบวนอยู่ด้านหน้า ทัพขบวนใหญ่ตามมาด้านหลัง หลานเซียวและชิวจือเว่ยนั่งอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกัน เดินไปพลาง ชิวจือเว่ยหยอกเย้าหลานเซียวไปพลาง
“ภรรยา ครั้งนี้ทำศึกกลับไปเจ้าจะตกรางวัลข้าอย่างไร?”
ชิวจือเว่ยเอาหัวไปวางไว้บนไหล่หลานเซียว
“เจ้าอยากได้ของรางวัลอะไร?” หลานเซียวหันหน้าไป พลางมอบจูบให้เขาทีหนึ่ง
“อืม ให้ข้าคิดก่อน” ชิวจือเว่ยครุ่นคิดด้วยท่าทีเหม่อลอย
“เจ็ดครั้งในหนึ่งคืน ปลดท่าทางที่มากขึ้น เจ้าย้ายมาที่ชุนอวี้หว่าน” ชิวจือเว่ยพูดรวดเดียวออกมาสามอย่างทำให้หลานเซียวเกิดความคิดอยากให้เขาตายคาเตียง
“เจ้าคิดว่าข้าอยู่มานานเกินไป อยากให้ข้าตายคาเตียงอย่างนั้นหรือ ยังจะมาเจ็ดครั้งในหนึ่งคืน รอดูซิว่าข้าจะไม่ตีขาเจ้าให้หัก”
“ไอยา แต่ภรรยาเจ้าพูดเองนะว่าให้ข้าเลือกเอง เจ้าอย่าได้มาบิดพลิ้วเป็นอันขาดเชียว” ชิวจือเว่ยพูดออกมาด้วยความน้อยใจ
“ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“อืมๆ เช่นนั้นก็อย่างเดียว”
“ปลดท่าทางที่มากขึ้น” ใบหน้าของหลานเซียวแดงก่ำขึ้นมาในทันใด
“ภรรยาเจ้าดีที่สุดเลย สามีจะต้องพยายามมากกว่านี้แล้ว”
“ถ้าพูดอีกข้าจะฉีกปากเจ้า”
“หึๆ”
ทั้งสองคนเปิดเผยทำตามอำเภอใจ เซ่าเยี่ยซือที่เดินตามอยู่ข้างหลังนั้นหน้าแดงไปหมด
“เจ้าเป็นอะไร หน้าแดงเสียขนาดนั้น”
“ข้าน้อยไม่เป็นอะไรขอรับ ขอบพระคุณท่านประมุขที่เป็นกังวล”
“เจ้าไปหาคนพวกนี้ ทำตามที่ข้าพูด…”
“ขอรับ”
“เจ้าพูดกับเขาว่าอะไร”
“ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง”
พวกเขามุ่งเดินทางต่อไป ไม่นานกลุ่มคนที่ถูกส่งออกไปก็กลับเข้ามา
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ตามทางมีประชาชนที่หลีกหนีจากภัยพิบัติเดินทางผ่านมา เหลือบตามองพวกเขา ในตอนนี้นี่เองจู่ๆ ชิวจือเว่ยก็จับศีรษะของหลานเซียวให้หันมาพลางจูบเข้าไป แล้วยังกดศีรษะของหลานเซียวเอาไว้เป็นแม่นมั่น
“ชิ่ว…เจ้าทำอะไร?”
“ใครกัน รีบไปซะ อย่าหยุดมองมั่วซั่ว” ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
ผู้คนเหล่านั้นรีบเดินจากไป
ชิวจือเว่ยถึงได้ปล่อยหลานเซียว
“ชิวจือเว่ย จู่ๆ เจ้าทำอะไรกัน?”
“ทำอะไร? ก็จูบไงเล่า” ชิวจือเว่ยเริ่มสวมบทเสเพลอีกครั้ง
……
“ท่านแม่ทัพ เป็นตามที่บรรดาประชาชนเหล่านั้นพูด ประมุขตระกูลเยี่ยไม่คิดพัฒนา กล้าโอบกอดชายงามระหว่างการเดินทางทัพทหารอย่างเปิดเผย อีกทั้งขบวนทหารก็เอื่อยเฉื่อย ไม่เป็นระเบียบ”
“ฮ่าๆ ดูท่าท่าตระกูลหลานก็ไม่ได้เรื่องเช่นกัน กลับแพ้ให้กับของเช่นนี้ ครั้งนี้จะต้องทำให้ตระกูลเยี่ยแพ้ราบคาบ จากนั้นก็เป็นตระกูลหลาน เขาเทียนปี้ไม่ได้เรื่อง แผ่นดินนี้ก็จะเป็นหนึ่งเดียว ฮ่าๆๆ”
“ยินดีกับท่านแม่ทัพ”
ตอนที่ 71-72
ตอนที่ 71 ตำนานรักพันปีตอนเมืองหลวง
เมื่อเดินทางมาถึงประตูด่านเมืองหลวง ชิวจือเว่ยลงไปตะโกนประกาศด้วยตนเอง
“เจ้าหัวขโมยเขาเทียนปี้ทั้งหลาย เปิดประตูเมืองให้ข้าเข้าไป”
หลานเซียวมีสีหน้าดูถูกเขา คำพูดที่ไร้รสนิยมและศิลปะ คำพูดที่หากเป็นฝ่ายศัตรูเอ่ยออกมาจะต้องตายเป็นแน่ ช่างทนฟังไม่ได้เสียจริง
หากคนบางคนยังหันหน้ามาถามเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจว่าตนเองตะโกนเป็นอย่างไร
“ก็ดี รักษาเอาไว้ต่อไป”
“จริงหรือ ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
“คนที่อยู่ในเมืองจงฟังคำข้าเอาไว้ ดูกองทัพของพวกเจ้า ไม่มีองค์กร ไม่มีกฎระเบียบ อย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับข้า ข้าว่าพวกเจ้ายอมแพ้เร็วก็จะพบเจอกับความทรมานน้อย ยมบาลเองจะได้เบางานมีเวลาว่าง”
อีกหนึ่งประโยคลอยมา หลานเซียวเอามือจับหน้าผากเป็นการบ่งบอกว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
“ใช่หรือไม่เหล่าพี่น้อง พวกเจ้ายอมหรือไม่”
“ไม่ยอม” ทุกคนตอบรับชิวจือเว่ยพร้อมกัน
“ในเมื่อทุกคนไม่ยอม ก็ทำให้พวกเขาได้เห็นว่าพวกเราแท้จริงแล้วไม่ยอมอย่างไร”
ชิวจือเว่ยพาหลานเซี่ยวถอยออกไปอยู่อีกฝั่ง เซ่าเยี่ยซือนำคนบุกโจมตีประตูเมืองทีละระลอกตามที่ได้จัดระเบียบและวางแผนกันมา
เสียงระเบิดดังสนั่น ไม่นานประตูเมืองก็ถูกโจมตีลง
“ไม่ได้บอกว่าประมุขตระกูลเยี่ยเป็นคนบัดซบ กำลังทหารย่ำแย่ไม่ใช่หรือ ทำไมเพิ่งผ่านไปไม่นานประตูเมืองถึงถูกทำลายลง”
“ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบขอรับ คนของพวกเราที่ออกไปสืบข่าวพูดเช่นนี้ขอรับ”
“ตกหลุมพรางเสียแล้ว ถอย”
คนและม้าของกองทัพราชสำนักรีบถอยออกไปอย่างบ้าคลั่ง ทหารพลังตระกูลเยี่ยที่เพิ่งขึ้นหน้าต่อสู้เมื่อครู่นี้ถอยออก คนด้านหลังเสริมเข้าไปแทน ม้าเร็วตามขึ้นมากำจัดกวาดล้างกำลังทหารและม้าศึกของราชสำนักเสียหมดสิ้น
ในขณะเดียวกันภายในพระราชวัง องครักษ์ที่คุ้มครองราชวังจู่ๆ ก็เริ่มก่อกบฏ บุกเข้าไปฆ่าถึงห้องพระบรรทมฮ่องเต้
“ภรรยา เจ้าจะดูพวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาอีกมาก ไม่สู้ว่าพวกเราทำเรื่องน่าสนุกสักนิดเป็นอย่างไร?”
หลานเซียวมองเขาด้วยความหวาดกลัวอย่างมาก ที่เป็นเป็นพื้นที่โล่ง เขาคิดจะทำอะไร
เห็นหลานเซียวมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ชิวจือเว่ยก็หัวเราะออกมา
“ภรรยา คิดอะไรอยู่เล่า สามีเป็นคนเช่นนั้นหรือ?”
หลานเซียวมีสีหน้าเห็นด้วยว่าเขาเป็นคนเช่นนั้น
“ข้าพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง”
ตอนที่ชิวจือเว่ยกำลังพาหลานเซียวออกไปนั่นเอง มีบางคนปรากฏตัวขึ้นมาอย่างผิดเวลา
“ท่านประมุข ทางนี้จบลงแล้วขอรับ ทางพระราชวังยังไม่มีข่าวส่งมาขอรับ”
“ทำไมเป็นเจ้าอีกแล้ว เซ่าเยี่ยซือชิวฉาน จะบีบให้เจ้าเรียกชื่อใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่าพ่อของเจ้าทำไมต้องตั้งชื่อเช่นนี้ให้เจ้าด้วย”
“พ่อข้าบอกว่าข้าเกิดหน้าร้อน ดังนั้นเลยชื่อว่าชิวฉาน”
“ดีๆๆ เจ้าพูดถูกหมด ให้หัวหน้าทัพพาทหารที่ได้รับบาดเจ็บกลับไป เจ้าพาคนอื่นไปที่พระราชวัง ข้ากับฮูหยินยังมีเรื่องต้องทำ เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจขอรับ”
“อีกอย่าง รอที่นี่จบลงแล้ว ข้าจะให้วันหยุดกับเจ้า เจ้าไปนัดบอดเสีย หาคนเคียงข้างสักคนเข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจขอรับ” ชิวฉานหน้าแดงระเรื่อ
ชิวจือเว่ยรีบพาหลานเซียวออกไป บุคคลที่เป็นตัวขัดขวางความสัมพันธ์เช่นนี้เขาไม่อยากจะเห็นอีก
ทั้งสองคนมาถึงภูเขาขนาดย่อมหนึ่งเดียวของตระกูลเยี่ย
“นี่เป็นสุสานตระกูลเยี่ยของข้า ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพราะอยากให้เจ้าได้เจอกับพ่อแม่ข้า”
หลานเซียวแอบรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ตนเองเห็นเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ตอนนี้กลับต้องมาเจอพ่อแม่เขา อย่างไรก็เกิดความรู้สึกผิดอยู่บ้าง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกมาหาพวกท่านแล้วขอรับ วันนี้ไม่ได้เอาเหล้ามาให้พวกท่าน แต่พาคนคนหนึ่งมาหา ภรรยาของข้า ลูกสะใภ้ของพวกท่าน” ชิวจือเว่ยยิ้มพลางดึงหลานเซียวมาข้างหน้า
“ดูลูกสะใภ้พวกท่านสวยงามเพียงใด แม้หลังจากนี้จะไม่อาจมีหลานให้พวกท่านได้ แต่คนตระกูลเยี่ยมีมากขนาดนี้ ยังจะเครียดว่าไม่มีผู้สืบทอดอีกหรือ? ชิวฉานเจ้าเด็กคนนั้นก็ดีอยู่”
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ลูกกำลังรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว เพราะพวกท่านเองก็ทราบ ตระกูลหลานและตระกูลเยี่ยทั้งสองตระกูลไม่อาจแต่งงานกันได้ ดังนั้นแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวก็จะไม่มีเรื่องตระกูลเข้ามาเกี่ยวข้องอีก พวกเราสามารถอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย”
“ท่านทั้งสองคนจากข้าไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก คนในตระกูลล้วนดีต่อข้า ท่านทั้งสองไม่ต้องเป็นกังวล ลูกสบายดีมาก พวกท่านอยู่ทางนั้นจะต้องมีชีวิตที่ดีเช่นกันนะขอรับ” เสียงของชิวจือเว่ยต่ำลง
หลานเซียวยกมือขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ แข็งเกร็งไปครู่หนึ่งสุดท้ายก็วางลงบนไหล่ชิวจือเว่ย
ชิวจือเว่ยหันกลับมาสบตาเขา รอยยิ้มนั่นทำให้หัวใจของหลานเซียวต้องสับสน
ตอนที่ 72 ตำนานรักพันปีตอนสั่นคลอน
“วางใจ ข้าไม่เป็นอะไร ทางด้านเมืองหลวงน่าจะจบลงแล้ว พวกเรากลับกันเถิด ไปดูรางวัลจากการศึกเสียหน่อย” ชิวจือเว่ยกลับมาทำหน้าทะเล้นเหมือนที่เคยเป็นมา
“…”
รอจนพวกเขากลับไปถึงก็ต้องพบว่าทุกอย่างถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คงเป็นเพราะชายแก่เหล่านั้นเป็นคนจัดการอย่างแน่นอน
“ท่านประมุข ครั้งนี้ได้รับผลพลอยได้เยอะอย่างมาก” เซ่าเยี่ยซือชิวเหลียงพูดกับชิวจือเว่ย
“พ่อเฒ่าจัดการได้ดีนี่ เช่นนั้นงานเก็บกวาดและรับมือของเขาเทียนปี้ก็มอบให้ท่านแล้ว พวกเราไปเดินเล่นก่อนแล้ว”
พูดจบก็จะออกไป แต่จู่ๆ ก็หยุดลงอีกครั้ง
“อย่าลืมเสียล่ะ ต้องจัดการถอนรากถอนโคนเสียให้สิ้น ข้าไปแล้ว”
พลางมอบเรื่องทั้งหมดให้เขาจัดการ ชิวฉือโกรธจนพ่นลมใส่หนวด ถลึงตาโต คนคนนี้มีเมียแล้วลืมแม่จริงๆ
แต่เมียคนนี้ก็ไม่ใช่คนขี้หงอเลยจริงๆ
“จือเว่ย ไปเยี่ยมดูอวิ๋นซูดีหรือไม่”
พวกเขาเดินเล่นไปทั่วตระกูลเยี่ย จู่ๆ หลานเซียวก็พูดกับชิวจือเว่ย
ชิวจือเว่ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ข้าไม่ไปจะดีกว่า พวกเขาแม้จะถูกปิดบังข่าวสาร แต่หากพวกเขาถามขึ้นมา ข้าจะพูดเช่นไร? พูดว่าข้าฆ่าบิดามารดาของเขา ฆ่าทั้งครอบครัวของเขา ทำลายทั้งตระกูลของเขาอย่างนั้นหรือ? หรือจะบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่จำเป็นต้องกังวล”
ชิวจือเว่ยพูดออกมาเรียบๆ แต่ทำให้หลานเซียวรู้สึกว่าเป็นความผิดของตน หากว่าตนเองยอมวางทุกอย่างเพื่ออยู่กับเขา เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำเรื่องมากมายเช่นนี้ และไม่ต้องแบกรับเรื่องมากมายเช่นนี้
เมื่อคิดถึงตรงนี้จู่ๆ หลานเซียวก็ยืนไม่ไหวอีกต่อไป ตนเองเป็นอะไรไป? ตนเองสั่นคลอนแล้วอย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ตนต้องการคือแผ่นดินนี้ ไม่อาจถูกผูกมัดอยู่ที่นี่ แต่ได้แผ่นดินมาแล้วเป็นอย่างไร? ทำไมข้าถึงต้องการแผ่นดิน ข้าลืมอะไรไปหรือไม่? ข้าเป็นอะไรไป…
“ภรรยาๆ เจ้าเป็นอะไรไป ภรรยาๆ?”
หลานเซียวได้สติกลับมา เห็นชิวจือเว่ยเขย่าเขาด้วยสีหน้าร้อนใจ
“ข้า…” ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ หลานเซียวก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าดำสนิท เป็นลมสลบไป ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะหายไปทั้งหมด เขาเหมือนเห็นใบหน้าที่ใกล้จะร้องไห้ออกมา
“ไอยา ท่านอา ภรรยาเป็นอะไรกันแน่?”
“ท่านประมุขไม่ต้องเป็นกังวล คุณชายหลานเพียงแค่ไฟร้อนโจมตีหัวใจเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“ไฟร้อนโจมตีใจ ทำไมถึงได้ไฟร้อนโจมตีใจเล่า ภรรยาจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร”
“ท่านประมุขเปิดลมปราณให้คุณชายหลานเสียหน่อยก็จะตื่นขึ้นมาเอง”
“จริงหรือ?”
“ท่านประมุขไม่ต้องเป็นกังวล ข้าขอตัวก่อน”
รอจนเหลือคนเดียวอยู่ภายในห้อง ชิวจือเว่ยก็ขับกระแสพลังถ่ายให้หลานเซียว แต่เพิ่งจะส่งกระแสพลังเข้าภายในร่างกายหลานเซียว หลานเซียวก็ขมวดคิ้วมุ่น ชิวจือเว่ยรีบหยุดมือในทันใด พลางเอากระแสพลังที่ส่งไปในร่างหลานเซียวออกมา ด้วยความไม่ทันระวังจึงดูดกระแสพลังของหลานเซียวออกมาด้วย ทันใดนั้นก็ต้องรู้สึกถึงความทรมานอย่างมาก
“กระแสพลังต่อต้านซึ่งกันและกัน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ปกติตอนที่ทำก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุอันใด ทำไมถึง หรือปกติภรรยาจะอดทนตลอดอยู่อย่างนั้นหรือ น่าจะไม่ใช่ ภรรยาไม่ได้แสดงท่าทีทรมานออกมาเลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงลองดูเสียหน่อยทำให้ภรรยาระเบิดออกมา”
ตอนที่หลานเซียวฟื้นขึ้นมาก็เห็นว่าชิวจือเว่ยกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตนเอง
ทันใดนั้นต้องตกตะลึงไป
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ท่านอาบอกว่าภรรยาเจ้าไฟร้อนโจมตีหัวใจ ข้าช่วยเปิดลมปราณขับพลังให้เจ้า แต่ก็ต้องพบว่าพลังของพวกเราต่อต้านกัน ทำได้เพียงเปลี่ยนวิธีให้ระเบิดออกมา” ชิวจือเว่ยเหมือนเด็กที่ทำความผิด
หลานเซียวรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
“เข้ามา” ชิวจือเว่ยเดินเข้าไปหาอย่างเชื่อฟัง
หลานเซียวจุมพิตลงบนหน้าผากของเขา
“ขอบคุณสามีมาก” ที่จริงยังมีอีกประโยคที่ไม่ได้พูดออกมา
แต่ขอโทษด้วย
ชิวจือเว่ยได้ยินหลานเซียวเรียกตนเช่นนี้ก็นิ่งงันไป ผ่านไปนานถึงได้สติกลับมา
“ภรรยา เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าสามีแล้ว ในที่สุดก็เรียกข้าว่าสามีแล้ว” ชิวจือเว่ยอุ้มหลานเซียวมาไว้ในอ้อมกอดพลางออดอ้อน หลานเซียวยิ้มอย่างขมขื่น
ตอนที่ 73-74
ตอนที่ 73 ตำนานรักพันปีตอนเจ้าเป็นใครสำหรับข้า
“ท่านประมุข หลังจากราชสำนักก็ถึงคราวเขาเทียนปี้” หลานเจ๋อพูดกับหลานเซียว
“ดังนั้นเล่า?”
“ท่าน มั่นใจจริงหรือว่าชิวจือเว่ยจริงใจต่อท่าน มั่นใจจริงหรือว่าตนเองจะสามารถลงมือได้ในนาทีสุดท้าย?”
“ความรู้สึกขึ้นอยู่กับข้า เหมือนเมฆหมอกที่บังตา จริงใจก็ดี จะหลอกลวงก็ดี ข้าไม่เคยคิดสนใจจริงมาก่อน ข้าจะให้ชิวจือเว่ยจัดการเขาเทียนปี้ จากนั้น” จากนั้นเป็นอย่างไร หลานเซียวไม่ได้พูดต่อไป
“ท่านประมุขสั่นคลอนแล้วหรือ ตอนนี้คำพูดของท่านไม่ได้มุ่งมั่นเหมือนตอนแรกแล้ว”
“หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร?”
“ข้าจะปล่อยวางแผ่นดินนี้ ตั้งใจอยู่กับเขา ต่อให้ทำได้เพียงชาตินี้เท่านั้น”
“ชาตินี้” หลานเซียวขมวดคิ้ว “ชาตินี้ยาวเกินไป ยาวจนข้าไม่กล้ารับปากง่ายๆ บางทีมีเพียงคนที่คิดได้เท่านั้นที่สามารถพูดคำว่าชาตินี้ออกมาได้”
“ทั้งข้า ทั้งเจ้า มีเวลาแค่เพียงร้อยปีเท่านั้น ใช้เวลาร้อยปีไปกับคนคนคนหนึ่งเป็นเรื่องที่คุ้มค่าหรือสิ้นเปลือง ข้าเองก็ไม่มั่นใจ”
“ข้าเอาใต้หล้าเป็นเพียงหมากของข้า ทุกคนล้วนเป็นหมากของข้า ตระกูลหลานตระกูลเยี่ยทั้งสองตระกูลไม่อาจแต่งงานกันได้เป็นเพียงข้ออ้างของข้าเท่านั้น แม้ว่าปกติแล้วเขาจะดูเปิดเผย แต่แท้จริงแล้วคิดอย่างไรข้าเองก็ไม่รู้ เขาเป็นคนฉลาดเฉลียว บางทีเขาอาจคิดได้นานแล้วว่าข้าเพียงแค่หลอกใช้เท่านั้น”
“แต่ท่านประมุข ต่อให้รู้สึกถึงจุดประสงค์ของท่าน แต่ก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ท่านยังจะคาดหวังอะไรอีกเล่า? ชีวิตนี้ชาตินี้ครองคู่กันสองคน นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีความสุขที่สุดอย่างนั้นหรือ?”
“บางทีความรู้ความเข้าใจของพวกเราคงไม่เหมือนกัน ความสุขของเจ้า ข้าเหมือนว่าไม่อาจเข้าใจได้เลย บางทีรอจนวันที่สูญเสียทุกอย่างไปถึงจะสามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงกระมัง แต่ถึงตอนนั้นทุกอย่างล้วนไร้ประโยชน์”
“คนเช่นข้า บางทีอาจเหมาะที่จะอยู่อย่างเดียวดายทั้งชีวิตกระมัง!” หลานเซียวพูดทอดถอน
“ใครบอกว่าภรรยาต้องเดียวดายทั้งชาติ ไม่ใช่ว่ายังมีข้าหรอกหรือ” ชิวจือเว่ยเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับแต่ก่อนที่เคยเป็นมา
“เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร” หลานเซียวจับแขนรองเก้าอี้แน่น ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อชื้น
“สามีเพิ่งมา ยังไม่ทันจะพ้นวันที่ไม่ได้พบกันสามีก็คิดถึงภรรยาเป็นอย่างมากแล้ว พอมาแล้วพูดกับเจ้ามากมายขนาดนี้ก็ยังมีคนมารบกวน สามีไม่พอใจจัง” ชิวจือเว่ยวิ่งไปอยู่ข้างกายหลานเซียวพลางแสดงท่าทีออดอ้อน
“ข้าน้อยขอตัว”
“อืม”
“พอแล้ว คนออกไปแล้ว พูดมาเถิด เจ้ามาทำอะไร”
“ไม่มีเหตุอันใดแล้วจะมาไม่ได้หรือ? เสียใจจริงเชียว ภรรยาไม่รักข้าแล้ว”
หลานเซียวเงยหน้ามองฟ้า
“จงแสดงต่อไป”
เมื่อเห็นว่าการออดอ้อนไม่ได้ผล ชิวจือเว่ยจึงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย
“หลังจากนี้สามวันก็เป็นคราวของเขาเทียนปี้แล้ว ภรรยา เซียว เจ้าคิดว่าอย่างไร” น้อยครั้งที่ชิวจือเว่ยจะเรียกชื่อของเขา แต่เมื่อเอ่ยออกมาก็ถือเป็นการอธิบายว่าเขาสับสนอย่างมาก
“ข้าจะคิดอะไรได้อีก?” แม้ใบหน้าของหลานเซียวจะแสดงความสงบนิ่งออกมา แต่ในใจนั้นสับสนตีกันมั่ว
“ข้าไม่อยากทำศึกแล้ว สามารถใช้วิธีสันติจัดการเขาเทียนปี้ได้หรือไม่?”
“วิธีสันติหรือ? ขู่ขวัญอย่างนั้นหรือ?”
“จะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้
“ตัดรากถอนโคลนไม่ใช่ความเคยชินของเจ้าอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงได้ใจอ่อนเช่นนี้?”
ชิวจือเว่ยนิ่งเงียบไปนาน นานจนหลานเซียวคิดว่าเขาพล่อยหลับไป
“ข้าไม่อยากกลายเป็นศัตรูของอวิ๋นเซียว” ชิวจือเว่ยพูดออกมาเรียบๆ แต่กับพุ่งเข้าตรงหัวของหลานเซียวเหมือนสายฟ้าฟาด หากทำลายเขาเทียนปี้ เขาจะรอดจากการเป็นศัตรูของอวิ๋นเซียวได้อย่างไร
“จือเว่ย ข้า…”
“แต่ภรรยาคิดจะทำเช่นไร สามีก็จะทำเช่นนั้น ล้วนฟังภรรยาทั้งสิ้น” ชิวจือเว่ยยิ้มแย้มทำหน้าทะเล้น แต่ครั้งนี้หลานเฟิงกลับตะโกนเสียงดังเหมือนบ้าไปแล้ว
“เผชิญหน้ากับความตั้งใจของตนเองให้ดีเสีย” ไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงใครอยู่ หลานเซียวร้องไห้ออกมา ชิวจือเว่ยลนลานในทันใด
“ภรรยา? เจ้าเป็นอะไรไป? สามีทำผิดเช่นนั้นหรือ ขอโทษด้วย ล้วนเป็นความผิดของสามี เจ้าตีข้าเถิด”
หลานเซียวจับชิวจือเว่ยไว้แน่น จูบเข้าไปบนริมฝีปากของเขาอย่างแรง
ตอนที่ 74 ตำนานรักพันปีตอนกลายเป็นมาร
สามวันให้หลังหลานเซียวและชิวจือเว่ยก็มาถึงเขาเทียนปี้ แม้ว่าประตูใหญ่จะไม่เปิดให้เข้า แต่ก็ขัดขวางพวกเขาไว้ไม่ได้
“ตาเฒ่า อย่าดิ้นรนอีกเลย ทำตามที่ข้าพูดเสียดีกว่า มอบเขาเทียนปี้มา ประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าเขาเทียนปี้เป็นของตระกูลเยี่ย บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตท่านอีกสักสองสามปี มิเช่นนั้นอย่าได้โทษข้า จะพูดยังไงท่านก็ถือเป็นลุงของข้า” ชิวจือเว่ยหัวเราะอย่างไม่มีอะไรแอบแฝง
“ถุย เจ้าหัวขโมย ใครเป็นลุงของเจ้า อย่าได้คิดไปเอง ต่อให้ข้าตายก็ไม่มีทางยกเขาเทียนปี้ให้เจ้า”
“ไอยา จริงหรือ แต่หากท่านตายไป เขาเทียนปี้ก็จะกลายเป็นของข้า นี่จะทำเช่นไร?” ชิวจือเว่ยหมดหนทาง
หลานเซียวที่อยู่นอกห้องพยายามกลั้นขำไว้ อดที่จะคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อวานขึ้นมาไม่ได้ ปล่อยให้เขาได้ทรมานไปเลยยกหนึ่ง
“เจ้า…”
อวิ๋นเฉินโมโหจนพูดไม่ออก
“อืม ข้าสบายดี ท่านมีอะไรต้องการพูดอีกข้าจะรับฟังเป็นอย่างดี ไม่พูดตอนนี้หลังจากนี้จะไม่มีโอกาสแล้วนะ”
อวิ๋นเฉินปรายตามองด้านนอก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันไปมองชิวจือเว่ยด้วยความโมโห
“ข้ามีข้อแม้ข้อหนึ่ง”
“เชิญท่านพูด”
“เขาเทียนปี้จะเป็นของเจ้าก็ได้ แต่เกียรติยศและสมบัติที่ข้าเคยครอบครองก่อนหน้านี้เจ้าไม่อาจริบของข้าไป มิเช่นนั้นต่อให้ข้าต้องใช้ชีวิตอันแก่เฒ่า ข้าเองก็ต้องทำให้เจ้าตายอย่างไร้ดินกลบหน้า”
“ดี นี่ยังไม่ใช่เรื่องง่ายหรืออย่างไร ขอแค่ท่านลงนามตรงนี้ ประทับตรา เกียรติยศและสมบัติล้วนให้ท่านไม่ขาดตกบกพร่อง”
ชิวจือเว่ยช่วยปลดผนึกบนไหล่ของอวิ๋นเฉิน ให้เขาได้ลงชื่อประทับตรา
“นี่ถูกต้องแล้ว” ชิวจือเว่ยหัวเราะ “ภรรยา เข้ามาเร็ว”
หลานเซียวเข้ามาจากด้านนอก
“ดูสิ ภรรยา ได้มาครอบครองแล้ว ยังมีเหล่านี้ให้เจ้าทั้งสิ้น” ชิวจือเว่ยเอาใบหลักฐานของตระกูลเยี่ย เขาเทียนปี้และราชวงศ์ส่งให้หลานเซียวทั้งหมด
“ภรรยาหรือ? พวกเจ้า? ดีเหลือเกิน หลานเซียว เสียดายที่ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนลูกชายแท้ๆ ของข้า เจ้ากลับเข้าร่วมกับตระกูลเยี่ยมาหลอกลวงข้า ดูซิว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
อวิ๋นเฉินซัดเข้าไปฝ่ามือหนึ่ง หลานเซียวไม่ทันคาดคิดจึงหลบไม่ทัน ภายในเสี้ยววินาทีนั้นเองหลานเซียวหลับตาลง แต่ความเจ็บที่คาดคิดเอาไว้กลับไม่เกิดขึ้น
หลานเซียวลืมตาขึ้นมาต้องพบว่าชิวจือเว่ยอยู่เบื้องหน้าตน แขนทั้งสองข้างแสดงท่าทีปกป้องตนเอง และมุมปากก็ยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่เขายังคงยิ้ม
“จือเว่ย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลานเซียวรีบพาชิวจือเว่ยหลบไปอยู่อีกข้าง แล้วยกมือซัดอวิ๋นเฉินออกไปไกล
ชิวจือเว่ยอยากพูดแต่ก็ต้องสำรอกออกมาเป็นเลือดอย่างทนไม่ไหว
หลานเซียวประคองเข้าขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งที่นั่ง ให้เขาได้หายใจ จากนั้นก็ยกน้ำมาให้เขาแก้วหนึ่ง
หลานเซียวป้อนน้ำให้ชิวจือเว่ยดื่มลงไป เพิ่งจะดื่มชิวจือเว่ยก็สำรอกออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง
เหมือนคิดอะไรได้ หลานเซียวลนลานเป็นอย่างมาก
“จือเว่ย รีบสำรอกออกมา เอาชาที่ดื่มไปเมื่อครู่สำรอกออกมา” หลานเซียวร้อนใจจนแทบจะเป็นบ้า การที่ชิวจือเว่ยอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ต่อหน้าเขา นี่เป็นครั้งแรก
ด้วยเหตุการณ์เร่งร้อน หลานเซียวขับกระแสพลังให้เขา เพิ่งจะถ่ายกระแสพลังเข้าไปในร่างของชิวจือเว่ย เขาก็รู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก
จู่ๆ หลานเซียวก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ รีบหยุดมือในฉับพลัน
ฝ่ามือของอวิ๋นเฉินเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แม้ว่ากระแสพลังของชิวจือเว่ยจะสูงมากเพียงใดก็ไม่มีทางที่จะสลายพลังที่เป็นของเขาเทียนปี้ที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย
หลานเซียวรีบพาเขากลับตระกูลเยี่ยโดยเร็ว ตอนนี้มีเพียงชิวฉือแห่งตระกูลเยี่ยเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้
แต่เพิ่งจะก้าวข้ามประตูไปชิวจือเว่ยก็แสดงท่าทีผิดปกติออกมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ใบหน้าเหลืองซีด จู่ๆ เขาก็ผลักหลานเซียวออก
“จือเว่ย?”
“อย่าเข้ามา ข้ากลัวว่าควบคุมไม่ได้แล้วจะทำร้ายเจ้า”
หลานเซียวคิดไม่ถึงว่าชิวจือเว่ยจะมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้
“จือเว่ย ข้าขอโทษ เป็นความผิดของข้าทั้งนั้น ให้ข้าพาเจ้ากลับตระกูลเยี่ยเถิด ขอร้องเจ้าล่ะ”
ตอนที่ 75-76
ตอนที่ 75 ตำนานรักพันปีตอนไม่มีอีกแล้วขบวนแต่งงานร้อยลี้
ชิวจือเว่ยฝืนยิ้มให้หลานเซียว หลานเซียวกลับเดินขึ้นไปข้างหน้าไม่หยุด
“อย่าเดินมา ข้าใกล้จะเสียสติแล้ว” ชิวจือเว่ยพูดอีกครั้ง จากน้ำเสียงของเขาสามารถรู้ได้ว่าเขาทรมานอย่างมาก
“จือเว่ย ข้าขอโทษๆ เป็นความผิดของข้าทั้งนั้น” หลานเซียวทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนใส่ชิวจือเว่ย “เป็นข้าที่อยากครอบครองใต้หล้า เป็นข้าที่หลอกใช้เจ้ามาตลอด สองตระกูลไม่อาจแต่งงานข้ามตระกูลได้เป็นเพียงข้ออ้างของข้าทั้งนั้น ขอโทษๆ เป็นข้าที่ร่วมมือกับอวิ๋นเฉินคิดทำร้ายเจ้า เป็นข้าที่ทำให้ร่างกายของเจ้าเต็มไปด้วยกระแสพลังสามประเภทพร้อมกัน เป็นข้าที่ให้เจ้าดื่มชาพิษนั่น ล้วนเป็นความผิดของข้าทั้งนั้น จือเว่ยๆ เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไรดีหรือไม่ ข้าไม่ต้องการอีกแล้วใต้หล้าอะไรนี่ ข้าต้องการเจ้า จือเว่ย”
หลานเซียวร้องไห้จนไม่ใช่ตนเอง
ชิวจือเว่ยขยับขึ้นข้างหน้าด้วยความลำบาก เช็ดน้ำตาให้หลานเซียว
“อย่าร้องไห้ภรรยา ร้องไห้อีกจะไม่สวยแล้ว ที่จริงข้ารู้มาตลอด ข้ารู้มาตลอดว่าเจ้าเพียงแค่หลอกใช้ข้า คำพูดที่เจ้าคุยกับหลานเจ๋อวันนั้นข้าล้วนได้ยินทั้งหมด พิษในน้ำชาข้าเองก็รู้ เจ้าอยากได้ใต้หล้าข้าเองก็รู้ เจ้าอยากได้ใต้หล้า ข้าก็จะตีใต้หล้ามาให้เจ้า เจ้าอยากให้ข้าไม่รู้อะไร ข้าก็จะไม่รู้อะไรทั้งนั้น เจ้าให้ข้าดื่มชาพิษ ข้าเองก็ดื่มลงไป ข้ากลัวว่าตัวเองจะไม่มีค่าให้หลอกใช้อีก กลัวว่าเจ้าจะจากข้าไป ข้ารักเจ้ามากจริงๆ ภรรยา
เพื่อเจ้าข้ายินยอมทำทุกอย่าง ต่อให้ข้าไปตายข้าเองก็ยินยอม อย่าได้รู้สึกผิด อย่ารู้สึกเสียใจเพราะข้า เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น ข้ารักเจ้าภรรยา หลังจากนี้มีเจ้าต้องใช้ชีวิตคนเดียวแล้ว อย่าได้มาหาข้าอีก หลังจากนี้สิบกว่าปีรอข้าเติบโตที่ทางนั้นแล้วข้าจะมารับเจ้าไป”
“อย่าพูดอีกเลย ขอร้องเจ้าล่ะ อย่าพูดอีก ข้าพาเจ้ากลับตระกูลเยี่ย พวกเราไปหาชิวฉือ เขาสามารถช่วยเจ้าได้”
หลานเซียวกำลังสะอึกสะอื้นไปพูดไป จู่ๆ ก็ถูกชิวจือเว่ยจับตัวให้หมุนกลับไป กระบี่แหลมเล่มหนึ่งทะลุผ่านร่างของชิวจือเว่ยไป
มองดูร่างที่ค่อยๆ ไหลลงของชิวจือเว่ย หลานเฟิงพุ่งเข้าไปหาอวิ๋นเฉินเหมือนคนบ้า
“อ่าาา เจ้าสมควรตาย เจ้าคืนจือเว่ยของข้ามา ทำไมข้าต้องร่วมมือกับเจ้า ทำไม…”
หลานเซียวแสดงฝีมือที่หมายจะเอาชีวิตทั้งสิ้น ทำให้อวิ๋นเฉินไร้ทางจะสู้
“อยากให้เขาตายไม่ได้ง่ายขนาดนั้น กระแสพลังสามชนิดบวกกับชาพิษแก้วนั้นมากพอที่จะทำให้เขากลายเป็นฆาตกรคลุ้มคลั่ง อีกทั้งนี่ยังไม่ตายง่ายๆ รอเขาฆ่าเจ้าเองกับมือก็แล้วกัน ฮ่าๆๆ”
หัวเราะไปครึ่งหนึ่งอวิ๋นเฉินก็ถูกหลานเซียวระเบิดเข้าที่ศีรษะ
เขากลับมาอยู่ข้างกายชิจือเว่ยทันที แต่ต้องพบว่ามือของเขากำแผ่นหลักฐานสองสามใบนั่นเอาไว้แน่น
มือที่สั่นสะท้านถูกยกขึ้นมาตรงหน้าหลานเซียว บวกกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดแต่ยังคงยิ้ม
“ภรรยา เจ้าถือเอาไว้ ตั้งแต่นี้ไปเจ้าเป็นนายของแผ่นดินนี้แล้ว ขอโทษภรรยา ที่ไม่อาจ แห่ขบวนแต่งงาน ร้อยลี้ ไป สู่ ขอ เจ้า กลับบ้าน ได้อีก”
มือของชิวจือเว่ยตกลง
“ไม่ จือเว่ย เจ้าตายไม่ได้ เจ้ารับปากข้าแล้วว่าจะสู่ขอข้ากลับบ้าน เจ้าคนโกหก เจ้าพาข้าไปหาพ่อแม่แล้ว แต่กลับทิ้งข้าไว้ลำพัง ไม่มีเจ้าข้าเอาแผ่นดินนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ชิวจือเว่ย เจ้าเชื่อฟังข้าที่สุดไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ข้าสั่งให้เจ้าลุกขึ้นมา เจ้าได้ยินหรือไม่”
หลานเซียวร้องไห้แทบจะขาดใจ ทำให้คนที่มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นอดไม่ได้ที่จะร่ำไห้ออกมา
มีคนวิ่งไปแจ้งตระกูลหลาน มีคนวิ่งไปเรียกคนมา เสียงร้องไห้ตะโกน เสียงฝีเท้าวุ่นวาย มีเพียงเลือดบนพื้นที่ไหลออกมาช้าๆ
ตอนที่ 76 ตำนานรักพันปีตอนสังหารหมู่
ร่างกายของชิวจือเว่ยค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง บาดแผลสมานตัวอย่างรวดเร็ว กระแสพลังก็เข้ามารวมกันอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันอวิ๋นฮั่นหัวหน้าทัพกองทหารเขาเทียนปี้ก็นำกองทหารเข้ามา หลานเซียวที่ตกอยู่ในความเจ็บปวดนั้นไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเปลี่ยนแแปลงจากโลกภายนอก
“หลานเซียว เจ้าที่เป็นหลานชายของนายท่านกลับรวมหัวไล่ฆ่าทำร้ายลุงของตนเอง เป็นบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้ มอบชีวิตมาเดี๋ยวนี้” อวิ๋นฮั่นบุกขึ้นมาคิดจะฆ่าหลานเซียว
จู่ๆ ชิวจือเว่ยก็ลืมตาที่แดงก่ำ ผลักหลานเซียวออกไป มือข้างหนึ่งยื่นทะลุหัวใจอวิ๋นฮั่น
“จือเว่ย เจ้าฟื้นแล้ว จือเว่ย” หลานเซียวคลานขึ้นมาจากพื้น ดีใจจนเขย่าชิวจือเว่ยไม่หยุด แต่ชิวจือเว่ยกลับนิ่งเหมือนกับหุ่นไม้ ดวงตาทั้งสองข้างไร้ซึ่งจิตวิญญาณ
หลานเซียวอึ้งตะลึง ดวงตาของชิวจือเว่ยไม่มีเงาสะท้อนของตน
มีนายทหารบุกขึ้นมาข้างหน้าไม่หยุด ชิวจือเว่ยจัดการฆ่าพวกเขาทีละคนทุกคน ร่างกายจะมีบาดแผลมากเพียงใดก็ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น แต่ต่อให้ไม่มีสติสัมปชัญญะเขาก็ยังปกป้องหลานเซียวเป็นอย่างดี
หลานเซียวมองทหารถือดาบจะพุ่งมาฟันตนอย่างด้านชา จากนั้นก่อนที่ดาบจะฟันลงมาก็ถูกชิวจือเว่ยฆ่าอย่างโหดร้าย เกิดขึ้นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ
พระอาทิตย์ลอยมาถึงขอบฟ้า เขาเทียนปี้นองเลือดดั่งสายน้ำ ศพกลาดเกลื่อนไปทั่วพื้น เหลือเพียงหลานเซียวที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงและชิวจือเว่ยที่ฆ่าคนไม่เลิก
ชิวจือเว่ยค่อยๆ เดินมาหาหลานเซียว เหมือนกำลังชื่นชมเหยื่อรายสุดท้าย
หลานเซียวหัวเราะออกมาเบาๆ สามารถตายด้วยน้ำมือของเจ้า ข้าเองก็พอใจแล้ว หลานเซียวหลับตาลง ผ่านไปนานความเจ็บปวดก็ยังไม่เกิดขึ้น
“ท่านประมุขๆ”
หลานเจ๋อปลุกให้หลานเซียวตื่น หลานเซียวเงยหน้าขึ้นมาเจอเห็นเขา และเห็นชังหลานที่กำลังสู้กับชิวจือเว่ยอยู่
“ท่านประมุข ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
หลานเซียวส่ายหน้า
“ข้าไม่เป็นไร คนที่เป็นคือเขา”
“หลาน ชิวจือเว่ยเป็นอะไรไป”
“นี่เป็นวิชาต้องห้ามที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมานาน ใช้กระแสพลังสามประเภทใส่เข้าไปในร่างกายคนคนหนึ่ง ผสมยาพิษทำให้คนกลายเป็นอาวุธฆ่าคนของตนเองได้ แต่อวิ๋นเฉินตายไปแล้ว หลานเซียวใจไม่อยู่กับตัว ไม่มีคนควบคุม เลยกลายเป็นเช่นนี้”
ชังหลานสู้กับชิวจือเว่ยไปพลาง พลางแบ่งสมาธิมาพูดกับหลานเจ๋อไปพลาง
“เช่นนั้นไม่มีวิธีแล้วหรือ?”
“มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ใช้มุกหลิววั่งฝังผนึกวิญญาณเขา มุกหลิววั่งจะขัดเกลาวิญญาณของเขา ถึงเวลานั้นก็จะฟื้นขึ้นมา มิเช่นนั้นรอหลานเซียวหายไปก็จะไม่มีใครควบคุมเขาได้อีก”
หลานเจ๋อตะลึงไป มุกหลิววั่งหลานเซียวเป็นคนมอบให้เขาเพื่อที่จะทำให้เขาได้อยู่กับชังหลาน แต่เขาไม่อาจเห็นแก่ตัวทำให้แผ่นดินต้องสูญเสียชีวิตเพราะตนเอง สิ่งที่เร่งรีบที่สุดตอนนี้คือให้หลานเซียวควบคุมชิวจือเว่ย
“ท่านประมุข ท่านตั้งสติหน่อย ตอนนี้ทำได้เพียงอาศัยท่านเท่านั้น ชิวจือเว่ยหลุดการควบคุม เขาต้องการเจ้า”
บางทีอาจเป็นเพราะมีปฏิกิริยาต่อชื่อชิวจือเว่ย หลานเซียวได้สติกลับมา
“จือเว่ยๆ” หลานเซียวลุกขึ้นมาจากพื้นจะพุ่งไปทางชิวจือเว่ย แต่กลับถูกหลานเจ๋อขวางเอาไว้
“ท่านประมุข ท่านไม่สามารถไปได้ เขาไม่ใช่ชิวจือเว่ยคนเดิมอีกแล้ว ท่านจะต้องไปควบคุมเขาเดี๋ยวนี้ ต่อให้ทำเพื่อเขา ท่านต้องตั้งสติขึ้นมา”
“ควบคุม ควบคุม ควบคุม” หลานเซียวไม่หยุดบีบบังคับตนเองให้จิตใจสงบลง สุดท้ายชิวจือเว่ยก็หยุดการกระทำลงภายใต้การควบคุมของหลานเซียว
“ท่านประมุข ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะควบคุมชิวจือเว่ยได้อย่างสมบูรณ์”
“วิธีใด?” หลานเซียวมองหลานเจ๋อด้วยความคาดหวัง ในดวงตานั้นยังประกายหยดน้ำตา
“ใช้มุกหลิววั่งควบคุมวิญญาณของเขา ทำการขัดเกลา”
“มุกหลิววั่ง” หลานเซียวพูดพึมพำ
“ข้ามอบมุกหลิววั่งให้เจ้า ผนึกฝังจือเว่ยแล้วเจ้ากับชังหลานจะทำเช่นไร? ไม่ได้ ทำเช่นนี้ไม่ได้”
“ท่านประมุขเพื่อสรรพสิ่งในโลกหล้า มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น”
“สรรพสิ่งในโลกหล้า” จู่ๆ หลานเซียวก็เริ่มหัวเราะ หัวเราะอย่างน่าเวทนา
“หากข้าทำเพื่อสรรพสิ่งในโลกหล้าก็จะไม่เริ่มการสู้รบ ไม่หลอกใช้ผลประโยชน์จากเขา ไม่ปล่อยให้เขากลายเป็นเช่นนี้”
“แต่ท่านประมุข หากเป็นเช่นนั้นท่านก็จะไม่ได้พบเขาไม่ใช่หรือ?” หลานเจ๋อพูดปลอบหลานเซียวเหมือนกำลังปลอบเด็ก
“ข้ายอมไม่เคยพบเขามาก่อน เช่นนั้นก็จะไม่เจ็บปวดอย่างนี้ หลานเซียวกระอักเลือดออกมา
ชังหลานรีบจับชีพจรเขา
“ตัดชีพจรตนเอง กระแสพลังไหลพล่าน”
“ท่านประมุข…”
“ถ้าหากมีวิญญาณอยู่จริงข้ายอมที่จะถูกปิดผนึกพร้อมกับเขา หลานเจ๋อข้าขอโทษ” พูดจบก็ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป
ตอนที่ 77 ตำนานรักพันปีตอนจบบริบูรณ์
“เจ๋อ เจ้าคิดดีแล้วอย่างนั้นหรือ” ชังหลานถามเขา
หลานเจ๋อพยักหน้า เขารู้ว่านี่ไม่ยุติธรรมต่อชังหลาน ชังหลานจะต้องทรมานเป็นอย่างมาก แต่เขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้
“หลาน ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไร พวกเรายังอยู่ด้วยกันทั้งชีวิต ชีวิตหนึ่งช่างยาวนัก พวกเรารักษาเอาไว้ให้ดี” ชังหลานกอดเขาเอาไว้
“เช่นนั้นก็เริ่มเถิด”
“อืม”
ทั้งสองคนค่อยๆ ขับเคลื่อนกระแสพลัง ชังหลานรับผิดชอบชิวจือเว่ย หลานเจ๋อรับผิดชอบหลานเซียว ร่างเพิ่งจะจากไป วิญญาณยังไม่ออกจากร่าง ต้องการกระแสพลังเพื่อดึงดูดออกมา แล้วนำไปใส่ไว้ในมุกหลิววั่ง
วิญญาณที่เพิ่งถูกดึงออกมานั้นยังอยู่ในสภาพสับสน ถูกควบคุมได้ง่าย หลานเจ๋อนำเอามุกหลิววั่งออกมา ค่อยๆ นำวิญญาณของทั้งสองคนไปถ่ายไว้ในมุกหลิววั่ง
มุกหลิววั่งเกิดประกายแสงจ้าขึ้นมาในทันใด สีฟ้าสีม่วงพาดผ่านกันไปมา
ชังหลานและหลานเจ๋อต่างยิงกระแสพลังสายหนึ่งเข้าไป เพื่อปิดผนึกมุกหลิววั่ง
หลังจากปิดผนึกแล้วทั้งสองคนก็ล้มลงไปกับพื้น ชังหลานกลับเป็นร่างเดิม จิ้งจอกเก้าหางสีขาวบริสุทธิ์ สรรพสัตว์ที่มีจิตวิญญาณบนแผ่นดินนี้มีไม่น้อย แต่ที่สามารถฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นมนุษย์ได้นั้นกลับแทบไม่มี
ตอนนั้นชังหลานบังเอิญสบโอกาสถึงได้กลายเป็นมนุษย์ ทั่วทั้งแผ่นดินตอนนี้เกรงว่าคงมีเพียงเขาที่กลายเป็นภูต
ตอนที่เพิ่งกลายเป็นมนุษย์นั้นชังหลานอ่อนแอเป็นอย่างมาก หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ทันเวลาเกรงว่าจะไม่รอด ตอนนั้นหลานเจ๋อยังเป็นเพียงเด็กน้อย เก็บชังหลานกลับมาบ้าน เอาใจใส่ดูแล ถึงทำให้เขาผ่านด่านเคราะห์กรรมมาได้
เวลาล่วงผ่านไปนานทั้งสองคนก็เกิดความรู้สึกซึ่งกัน
หลังจากที่ปิดผนึกทั้งสองคนแล้ว ชังหลานและหลานเจ๋อก็จัดการเรื่องแผ่นดินนี้
ตระกูลหลานมีหลานเจ๋อคอยดูแล ราชสำนักถูกตระกูลเยี่ยควบคุม เขาเทียนปี้และตระกูลหลานก็มีสัมพันธ์อันดีสืบต่อมาทุกตระกูล
หลานเจ๋อนำเอามุกหลิววั่งวางไว้ในห้องลับตระกูลหลาน ตั้งม่านพลังกั้นไว้ ทุกอย่างกลับเข้าสู่วัฏจักรเดิม
หลานเจ๋อและชังหลานคัดเลือกเด็กที่มีพรสวรรค์ภายในตระกูลหลานขึ้นมาดูแลเพื่อจะรับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดคนต่อไป
………
ผ่านไปเจ็ดสิบปี
ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ชายหนุ่มวัยเยาว์รูปงามกำลังจับมือของเขาเอาไว้
“หลาน อย่าเสียใจไป ชีวิตนี้ มีเจ้า มีเจ้า ข้าก็พอใจแล้ว พวกเราไม่ได้อยากมีความรักที่อึกทึกครึกโครมเหมือนท่านประมุข แต่พวกเราสามารถใช้วิธีของตนเองมาอธิบายสองคำนั้นได้
หลังจากข้าจากไปแล้วเจ้าจะต้องดูแลตระกูลหลานแทนข้าให้ดี หลังจากนี้ไปอีกพันปีมุกหลิววั่งจะปลดผนึกออก ถึงตอนนั้นให้พวกเขาร่อนเร่อยู่ข้างนอก จัดการชะตาที่ถูกลิขิตไว้แล้วให้จบลง ข้าจัดการนำเอาวิญญาณของตนเองไปใส่ไว้ในสิ่งของชิ้นหนึ่งแล้ว แต่หลังจากนี้ประชาชนชาวตระกูลหลานจะได้รับผลกระทบไปด้วย
อย่าได้ลองตามหาข้า นำร่างของข้าไปฝังไว้ข้างท่านประมุข ท่านประมุขมีบุญคุณต่อข้า ข้าไม่ได้เป็นคนตระกูลหลาย ข้าเกิดที่เขาเทียนปี้ ป่วยหนักใกล้ตายจึงนำมาถูกทิ้งไว้ในที่เวิ้งว้างเหมือนกับตอนนั้นที่ข้าช่วยเจ้า
หลาน ตอนนั้นที่ละทิ้งมุกหลิววั่งเป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า หากมีชาติหน้าข้าหวังว่าจะยังมีโอกาสพบเจอเจ้า หลาน ข้า รัก เจ้า” ผู้ชายที่อยู่บนเตียงจากไปแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มคนเดียวเท่านั้น
“วางใจเถิด เจ๋อ ข้าจะปกป้องรักษาตระกูลหลานให้ดี จะดูแลปกป้องบ้านของเจ้า ไม่ว่าจะนานเพียงใด ข้าก็ยินยอมจะรอเจ้า รอเจ้ากลับมา”
ชังหลานหมอบอยู่ข้างกายหลานเจ๋อ ผมค่อยๆ กลายเป็นสีขาว ตราบจนกลายเป็นขาวโพลนไปทั้งหมด
ชังหลานทำตามคำสั่งเสียของหลานเจ๋อ ฝังเขาไว้ข้างๆ หลานเซียว และตั้งม่านพลังกั้นแบ่งเส้นเป็นสุสานตระกูลหลาน
นับตั้งแต่นั้นมาชังหลานอยู่ในตระกูลหลานในฐานะผู้คุ้มครองตระกูลหลาน ปกป้องตระกูลหลาย ทำลายวิชาต้องห้ามสิ้นมโนธรรม เพราะเหตุผลบางประการประชาชนตระกูลหลานนั้นมีแหล่งพลังเพิ่มขึ้นมา
ตอนที่ 78 กระแสใจ
“อยู่ที่ตระกูลหลาน? เป็นไปไม่ได้ ซีเชวียเกิดเหตุอันตรายใหญ่โตเช่นนี้ หลานเยี่ยจะยังอยู่ที่ตระกูลหลานได้อย่างไร” อวิ๋นหรูไม่เข้าใจ
“ท่านประมุขอยู่ที่ตระกูลหลานจริง อีกทั้งซีเชวียก็ไม่ได้มีเหตุร้ายอันใด” หลานเฟิงพูดออกมาเสียงเย็น ทำให้อวิ๋นหรูรู้สึกว่าทั้งสองคนมีความโกรธเกลียดเคียดแค้นต่อกัน
ซีเชวียเคยตกอยู่ในอันตรายจริง ศึกหมุนเวียนที่ตระกูลเยี่ยไล่โจมตีมาตั้งแต่พันปีก่อนทำให้ตระกูลหลานไร้หนทางที่จะต่อสู้ แต่หลังจากหลานเฟิงมาถึง เขาได้ทำการตั้งป้อมค่ายกลใหม่อีกครั้งถึงทำให้ซีเชวียพ้นจากภัยอันตรายได้ชั่วคราว
แต่คิดจะจัดการอย่างสมบูรณ์นั้นยังต้องคิดหาวิธีอื่น สำหรับการควบคุมตระกูลเยี่ยนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว จะต้องคิดหาวิธีใหม่มารับมือภายในสองวัน
หลังจากอวิ๋นหรูฟังแล้วก็นิ่งงันตะลึงไป สัญญาณนั้นคืออะไรกัน? นางรีบหาจดหมายฉบับนั้นออกมา ส่งให้หลานเฟิง หลานเฟิงอ่านอยู่ครู่หนึ่งแล้วโยนคืนอวิ๋นหรู
“เจ้าดูให้ดีอีกครั้งว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง”
อวิ๋นหรูอ่านอีกครั้ง
“จดหมายฉบับนี้ท่านประมุขไม่ได้เขียน”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร ลายมือเหมือนกันเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าท่านพี่ไม่ได้บอกเจ้า ฉะนั้นเจ้าถึงไม่รู้”
“ปกติแล้วท่านประมุขเรียกเจ้าว่าอย่างไร?”
“เรียกข้าว่าอะไรหรือ?” อวิ๋นหรูเหมือนกับโดนสายฟ้าฟาด ปกติแล้วหลานเยี่ยจะเรียกนางว่าเสี่ยวหรู ไม่ใช่หรูเอ๋อร์
“หากท่านพี่เขียนผิดเล่า?” อวิ๋นหรูยังคงดื้อดึงอย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้าโดนหลอกแล้ว รีบพาทหารกลับไป”
“ข้า…”
“อย่าเอาแต่ใจ รีบกลับไป มิเช่นนั้นเขาเทียนปี้จะไม่ปลอดภัย” หลานเฟิงตะคอกใส่นางเสียงดัง
อวิ๋นหรูแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว ตนเองวางยาพ่อ ขโมยตราสัญลักษณ์ออกมา ขับเคลื่อนกำลังทหารอย่างไม่รักชีวิต บุกป่าฝ่าดงกว่าสองวันมาที่ซีเชวีย เพิ่งมาถึงกลับจะให้ตนกลับไป เรื่องทั้งหมดที่ตัวเองทำนี่มันคืออะไรกัน ทำไมตนเองถึงไม่มีความสามารถที่จะวางแผนที่จะเผด็จศึกในแนวหลังได้เล่า
เพราะการตะคอกของหลานเฟิงอวิ๋นหรูพากำลังทหารที่เพิ่งมาถึงกลับไป พอเดินทางก็ต้องใช้เวลาอีกสองวัน
สองวัน…
ภายในห้อง
ละทิ้งเรื่องน่าปวดหัวทั้งหมดไป หลานเยี่ยที่เตรียมตัวบิดขี้เกียจเพิ่งจะยกแขนขึ้นมาจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความร้อนใจและไม่สงบสุขที่ส่งมาจากหลานเฟิง
“เกิดเรื่องขึ้นที่ซีเชวียหรือ? ไม่ใช่ ไม่ใช่ซีเชวีย เป็นเขาเทียนปี้ อวิ๋นหรูเจ้าเด็กนั่นคงไม่ได้ทำเรื่องโง่ๆ อีกกระมัง”
ปกติแล้วในหอจันทร์แรมจะมีเพียงเขาและหลานเฟิงสองคนเท่านั้น บ่าวรับใช้คนอื่นล้วนถูกเขาสั่งให้ไปอยู่ที่อื่น ตอนนี้คิดจะหาสักคนมาใช้งานก็หาไม่ได้ ทำได้เพียงวิ่งไปด้วยตนเอง
เมื่อมาถึงที่พักของหลานอีในสภาพรีบร้อน ลืมแม้แต่เคาะประตูห้องถือวิสาสะเดินเข้าไป
เห็นว่าหลานอีสวมเพื่อชุดชั้นกลางเท่านั้น เหมือนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ มือยังหยุดจับอยู่ที่เข็มขัด
เมื่อเห็นว่าหลานเยี่ยบุกเข้ามา ใบหน้าของหลานอีก็แดงระเรื่อขึ้นมาในทันใด
“ท่านประมุขออกไป นี่เกินไปแล้ว”
หลานเยี่ยรีบถอยออกไป ไม่ลืมที่จะปิดประตู
“ขอโทษๆ หลานอี ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะร้อนใจมากจริงๆ ขอโทษๆ”
หลานเยี่ยเอ่ยขอโทษไม่หยุดอยู่นอกประตู
ผ่านไปครู่หนึ่งหลานอีกก็เดินหน้าแดงออกมา หลานเยี่ยยังคงพึมพำคำขอโทษไม่หยุด
“พอแล้วท่านประมุข ให้อภัยท่านแล้ว”
“ขอโทษ ข้าจะรับผิดชอบเจ้า เจ้าคิดว่าหลานเม่ยเป็นอย่างไร อยากให้ข้าผูกด้ายแดงให้หรือไม่ หรือว่าเจ้าๆๆ เจ้ามาเป็นน้องสาวข้าก็ได้”
หลานเยี่ยใจร้อนรนจนพูดจากมั่วซั่วไปหมด
“ไม่ใช่ว่ามีเรื่องด่วนอย่างนั้นหรือ? ยังมาพูดเลอะเทอะอะไรที่นี่อีก”
“อ่า ใช่ๆๆ! รีบพาคนตามข้าไปเขาเทียนปี้ ต้องเกิดเรื่องที่เขาเทียนปี้เป็นแน่”
หลานเยี่ยร้อนใจจนพูดจาสลับมั่วไปมา
“ได้ ท่านประมุขอย่าเพิ่งร้อนรนไป ข้าจะไปเดี๋ยวนี้“
หลานเยี่ยและหลานอีเตรียมคนพร้อม รีบเร่งเดินทางไปยังเขาเทียนปี้ ไปครั้งนี้เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
หนึ่งวัน…
ตอนที่ 79 สถานการณ์ศึก
ลางสังหรณ์ไม่ดีของหลานเยี่ยยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาเร่งความเร็วในการเดินทางขึ้นไปอีก
การเดินทางที่ใช้เวลาหนึ่งวันนั้นจะบอกว่ายาวก็ไม่ใช่ จะสั้นก็ไม่เชิง จะบอกว่าเหนื่อยก็ไม่ใช่เหนื่อยกาย แต่เป็นเหนื่อยใจ
ตอนที่เดินผ่านประตูใหญ่เขาเทียนปี้นายทหารที่คอยเฝ้าประตูนั้นไม่ได้ผิดปกติไปจากแต่ก่อน ยืนเฝ้าประตูใหญ่อยู่ที่เดิมด้วยท่าทางปกติ
นี่ทำให้หลานเยี่ยแปลกใจเป็นอย่างมาก หรือว่าไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นที่เขาเทียนปี้?
เมื่อเห็นหลานเยี่ยนำทหารมา นายทหารนายหนึ่งก็ขวางพวกเขาเอาไว้
“ท่านประมุขตระกูลหลาน ขออนุญาตถามท่านว่านำทหารมายังเขาเทียนปี้ทำไมหรือ?” นายทหารคนนั้นทำความเคารพก่อน จากนั้นจึงเอ่ยปากถาม
“เขาเทียนปี้…” หลานอีเอ่ยปากพูดก่อน แต่กลับถูกหลานเยี่ยยกมือห้ามไว้
นายทหารคนนั้นเหลือบมองพวกเขาทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
“ตามคำสั่งของหัวหน้าวัง ให้พวกเรามายังเขาเทียนปี้เพื่อฝึกฝน ไปแจ้งหัวหน้าวังอวิ๋นเถิด บอกว่าพวกเรามาถึงแล้ว”
“ท่านประมุขหลานโปรดรอชั่วครู่”
ทหารคนนั้นเข้าไปสอบถาม ทหารอีกนายก็เขามายืนประจำตำแหน่งเดิมของเขา
ไม่นานทหารคนนั้นก็วิ่งออกมาด้วยความลนลาน
“ท่านประมุขหลาย แย่แล้ว คนภายในเขาเทียนปี้สู้กับคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ธิดาศักดิ์สิทธิ์พาทหารไปซีเชวีย ขอให้ท่านช่วยเขาเทียนปี้ด้วยเถิด”
“พวกเรารีบเข้าไป”
หลานเยี่ยพาทัพทหารและหลานอีเข้าไปในเขาเทียนปี้ด้วยความกระวีกระวาดร้อนใจ แต่ต้องพบกับคนชุดดำกลุ่มหนึ่งที่ไม่อาจระบุตัวตนได้ กำลังสู้กับทหารเขาเทียนปี้
กระแสพลังที่ใช้นั้นเป็นสถานะไร้สี ไม่ใช่สีฟ้าและไม่ใช่สีม่วง อีกทั้งวิธีการโจมตีหลานเยี่ยก็ไม่อาจอ่านขาด หรือว่าบนแผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้ยังมีเผ่าพันธุ์อื่นอีก?
สถานการณ์นั้นเห็นชัดว่าเอนไปด้านหนึ่ง คนที่เหลืออยู่ในเขาเทียนปี้ล้วนเป็นคนแก่ คนอ่อนแอ คนเจ็บหรือพิการ คนที่เหลือล้วนถูกอวิ๋นหรูพาไปหมดแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจทัดทานได้นานเท่าไร
“ทำไมอวิ๋นหรูถึงได้จากไป?” หลานเยี่ยร้อนใจอย่างมาก
“เจ้าไปช่วยพวกเขาเสียหน่อย ข้าจะไปดูที่อื่น” หลานเยี่ยพูดกับหลานอีจบตนเองก็วิ่งไปที่อื่นแล้ว
หลานเยี่ยรีบรุดเดินทางไปยังเรือนหรงอี้ หลังจากผ่านเข้าประตูไปแล้วถึงพบว่าอาหารบนโต๊ะล้วนเสียหมดแล้ว ด้านนอกไม่มีคน หลานเยี่ยเดินเข้าไปในห้องเห็นอวิ๋นอี้นอนอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง
“ท่านลุง” หลานเยี่ยลองตะโกนเรียก แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ
หลานเยี่ยลองวัดลมหายใจอวิ๋นอี้ ทันใดนั้นใจก็ต้องกระตุกขึ้นมา
“ท่านลุง” หลานเยี่ยเสียใจอย่างมาก กัดริมฝีปากแน่น พยายามควบคุมอารมณ์ของตน อารมณ์ตนเองนั้นจะส่งไปยังหลานเฟิง เขาไม่อาจส่งผลกระทบไปถึงหลานเฟิงได้
หลานเยี่ยขับพลังค้นหาสาเหตุการตายของอวิ๋นอี้ พบว่าอวิ๋นอี้ตายเพราะยาพิษ หลานเยี่ยก็คิดถึงอาหารขึ้นมา หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดแล้วก็พบว่ามีเพียงเหล้าเท่านั้นที่มีพิษ
แต่ยาพิษภายในเหล้าคนที่มีพลังสามารถรับรู้ได้ แล้วทำไมท่านลุงถึงได้ยินยอมพร้อมใจที่จะดื่มลงไป ในที่เกิดเหตุก็ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ บนร่างท่านลุงก็ไม่ได้มีวี่แววโดนบังคับ แท้จริงแล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่?
หลานเยี่ยขยับไปพิงโต๊ะข้างหลัง เมื่อกับชนเข้ากับจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยวางอยู่บนโต๊ะ
ข้างบนนั้นเขียนว่าถึงหรูเอ๋อร์
หลานเยี่ยหยิบจดหมายขึ้นมา พบว่าบนนั้นมีเศษชิ้นส่วนของม่านพลังหลงเหลืออยู่ บางทีก่อนหน้านี้มีการตั้งท่านพลังเอาไว้ แต่หลังจากนั้นก็ถูกคนทำลายลง
แต่คนคนนั้นน่าจะไม่สมปรารถนาแค่มองจากกองเลือดข้างๆ ก็พอรู้
หลานเยี่ยเปิดออกดู อ่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายก็ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง
หลานเยี่ยเก็บจดหมายไว้ที่หน้าอก ตั้งม่านพลังไว้รอบกายอวิ๋นอี้ ทำให้คนอื่นไม่อาจสัมผัสร่างของอวิ๋นอี้ได้
หลานเยี่ยออกมาจากเรือนหรงอี้ด้วยน้ำตาอาบหน้า เข้าร่วมการต่อสู้ในเขาเทียนปี้
ท่านลุง ข้าเชื่อว่าหรูเอ๋อร์จะเข้าใจท่าน แต่ข้าไม่อาจให้อภัยนาง
ตอนที่ 80 เผาวอดเขาเทียนปี้
หลานเยี่ยได้รับการกระตุ้น เมื่อครู่นี้ได้ประสบพบผ่านความเป็นความตาย แม้อวิ๋นอี้จะไม่ต้อนรับเขาอยู่ตลอดตั้งแต่อวิ๋นหรงตายไป แต่เขาก็เข้าใจ
สำหรับเขาอวิ๋นอี้ก็เป็นเหมือนบิดา ตนเองสูญเสียมารดาไปด้วยสถานการณ์เช่นนั้น หลังจากนั้นก็เกือบจะสูญเสียบิดาไป ท่านลุงเพิ่งจะปล่อยวางเรื่องในอดีตได้ ยังไม่ทันได้สัมผัสกับความสุขของครอบครัวที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาก็มาจากไปเสียก่อน
สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คืออวิ๋นหรู เขาไม่อาจให้อภัยนางได้ เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว นางมีแต่กลับไม่รักษาให้ดี สุดท้ายแล้วต้องการอย่างไรกันแน่? ทำไมถึงได้เอาแต่ใจเช่นนี้
หลังจากที่ตระกูลหลานเข้าร่วมการต่อสู้ก็กลายเป็นดีขึ้นอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายนั้นต่อสู้กันด้วยฝีมือที่พอฟัดพอเหวี่ยง พอหลานเยี่ยมาร่วมต่อสู้ก็เปิดการโจมตีแบบบ้าคลั่ง สู้กับชายชุดดำเหมือนมีความแค้นรากเลือดฝังลึก
ไม่นานกลุ่มชายชุดดำก็ตกเป็นรอง
จู่ๆ ชายชุดดำคนหนึ่งก็เขวี้ยงระเบิดควันสองลูกมาทางพวกเขา หลานเยี่ยเพิ่งจะสูดหายใจเข้าก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“กลั้นลมหายใจไว้ ในควันมีพิษ”
แต่เวลาก็ช้าเกินไป ทหารพลังส่วนใหญ่ล้มลงไปแล้ว หลานเยี่ยขับเคลื่อนกระแสพลังมาสู้กลับ แต่พบว่ากระแสพลังเคลื่อนที่ได้ไม่ราบรื่น ควันได้ปิดทางการไหลเวียนของกระแสพลัง
เมื่อเห็นว่าหลานอีที่อยู่ข้างๆ ก็ใกล้จะไม่ไหวแล้ว หลานเยี่ยใช้พลังเฮือกสุดท้ายพาหลานอีออกไปหาพื้นที่บริเวณลับตาแห่งหนึ่ง หลานเยี่ยนอนกองลงไป สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนราง
ก่อนที่จะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปทั้งหมด หลานเยี่ยเหมือนสังเกตเห็นว่าบริเวณฝั่งเขาเทียนปี้นั้นแดงแสบตา
ท่านลุง…
ระหว่างทางกลับเขาเทียนปี้อวิ๋นหรูก็ยังคงคิดถึงเรื่องจดหมายฉบับนั้น ไม่ใช่ท่านพี่เขียนจริงๆ อย่างนั้นหรือ? ถ้าหากไม่ใช่ แล้วเป็นใครกัน? ทำไมถึงได้ทำเช่นนี้ หรือว่ามีคนคิดว่าฉวยโอกาสลอบโจมตีเขาเทียนปี้?
ตระกูลเยี่ยเพิ่งได้รับความพ่ายแพ้ หรือจะยังใช้แผนการอันน่ากลัวอื่นอีก? แต่พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะต้องพาทหารไปที่ซีเชวียอย่างแน่นอน?
ไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องขึ้นที่เขาเทียนปี้จริงหรอกกระมัง?
อวิ๋นหรูส่งกองทหารให้กับหัวหน้าทัพ ตนเองไล่ตามครุ่นคิดอยู่ข้างหลัง แล้วยิ่งออกห่างตามหลังไปเรื่อยๆ
จู่ๆ แม่ทัพที่ดินนำอยู่ด้านหน้าก็วิ่งมา พูดสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
“เขาเทียนปี้ ถูกเผาวอดหมดแล้ว”
กลุ่มคนชุดดำเหมือนไม่ได้จากไปไหน แอบอยู่ในบริเวณมืดรอการมาถึงของอวิ๋นหรู
อวิ๋นหรูวิ่งไปข้างหน้า เห็นเขาเทียนปี้อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง เปลวไฟสีแดงนั้นกระจายเต็มพื้นที่ทุกบริเวณ สะท้อนเต็มดวงตาอวิ๋นหรู
“เป็นไปได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ท่านพ่อ ท่านอย่าเป็นอะไรไปนะ ท่านพ่อ” อวิ๋นหรูร้องไห้อย่างเจ็บปวด ไม่เชื่อสิ่งที่นางมองเห็น
จู่ๆ คนชุดดำกลุ่มนั้นก็วิ่งออกมา ต่อสู้ไล่ฆ่ากับทหารเขาเทียนปี้ที่เพิ่งกลับมา พวกเขาเหมือนได้รับคำสั่งไม่ให้กลับไป แต่จะต้องต่อสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย
ก่อนที่จะตายกำลังที่ระเบิดออกมานั้นล้วนเป็นพลังการต่อสู้ที่น่าตกใจ ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ต้องพ่ายแพ้ลงเพราะความเหน็ดเหนื่อยที่พานพบก่อนหน้านี้
ชายชุดดำคนหนึ่งตั้งเป้าหมายเป็นอวิ๋นหรูที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก ยกดาบคิดจะฟันลงไป อวิ๋นหรูเงยหน้าขึ้นมาในสภาพน้ำตานองหน้า เพียงมองดาบที่พุ่งมาทางตนเองอย่างนิ่งๆ
แต่ดาบไม่ได้แทงลงมาบนร่างกายของตน ข้างหน้านางมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นหนึ่งในกลุ่มคนชุดดำ แต่น่าจะเป็นคนที่ได้เห็นภาพในอุโมงค์ลับเป็นคนสุดท้าย
“เจ้าเหมือนกับนางอย่างมาก สวยทั้งนั้น นางมีฉีฮวน แล้วเจ้าหาคนที่ตนรักมากที่สุดพบแล้วหรือยัง?” พูดจบก็ล้มลงไป
ทำไม? ทำไมจะต้องมาตายแทนตน ตนเองที่เป็นเช่นนี้ไม่ควรค่า
อวิ๋นหรูวิ่งไปดูหน้าคนคนนั้น แต่กลับไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
คนชุดดำเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ก็คิดจะแทงอวิ๋นหรูอีกครั้ง อวิ๋นหรูปัดคนคนนั้นออก ผ้าปิดหน้าตกลงมา ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
“ผิงเอ๋อร์!”
ตอนที่ 81 ไว้อาลัย
“ทำไม? ทำไมเจ้าถึงแต่งกายเช่นนี้ ทำไมเจ้าถึงทรยศเขาเทียนปี้” อวิ๋นหรูแววตาเลื่อนลอย
“ทรยศหรือ? จะพูดว่าทรยศได้อย่างไร แต่เดิมข้าก็เป็นคนตระกูลเยี่ย รับบทเป็นนายบ่าวกับท่านอยู่มานานหลายปี เบื่อมาตั้งนานแล้ว”
“นายบ่าวหรือ? ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดของข้ามาโดยตลอด ทำไมถึงทำเช่นนี้กับข้า ทำไมบุญคุณที่เขาเทียนปี้มีต่อเจ้าในหลายปีมานี้ไม่ทำให้เจ้ายอมแพ้?”
“พี่น้อง? บุญคุณ? ข้าไม่เสียดาย แค่เห็นใบหน้าเจ้าข้าก็รู้สึกรำคาญใจ อย่าได้มาตีสนิทกับข้า เจ้าคงยังไม่รู้กระมัง เหล้าแก้วนั้นที่เจ้าให้อวิ๋นอี้ไม่ใช่ยาสลบ แต่เป็นพิษชนิดหนึ่ง
อวิ๋นอี้ตายไปนานแล้ว น่าสงสารที่เขาลงมือเขียนจดหมายถึงเจ้าฉบับหนึ่ง แล้วยังใช้ม่านพลังผนึกเอาไว้ ช่างน่าเศร้าเสียเหลือเกิน ตอนนี้เขาเทียนปี้วอดวาย คิดว่าร่างของอวิ๋นอี้น่าจะกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วกระมัง แล้วก็ถือบอกเจ้าอีกเรื่องไฟคราวนี้ข้าเป็นคนวางเอง
ตั้งแต่เด็กเจ้ามีบ่าวรับใช้อยู่รอบกาย จะขาดข้าไปได้อย่างไร เจ้าให้ข้าเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายเจ้าก็เพราะสงสารข้า แต่สำหรับข้าแล้วถือเป็นโอกาสที่จะได้เข้าใกล้เจ้า ก่อนหน้านี้เรื่องดีๆ ทั้งหมดที่ข้าทำให้เจ้าล้วนเป็นการโกหก ตื่นซะเถิด ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่
เจ้าคิดว่าเจ้ายิ่งใหญ่ครอบคลุมทุกพื้นที่ มีแสงประกายอยู่รอบตัว แต่หากเจ้าไม่ใช่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาเทียนปี้เจ้าก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น เจ้าเพลิดเพลินไปกับชีวิตดีงามทุกอย่างที่อวิ๋นอี้หามาให้เจ้าอย่างตามที่ควรเป็นแต่ไม่รู้จักรักษาให้ดี คนเช่นเจ้าสมควรตาย”
แต่ประโยคข้างหลังอวิ๋นหรูไม่ได้ฟังแม้แต่น้อย ตอนที่ได้ยินข่าวการตายของอวิ๋นอี้นางก็แทบจะคลั่งตายแล้ว
“กรี๊ด” ทำไมสวรรค์จะต้องกลั่นแกล้งข้าขนาดนี้ นางรีบวิ่งหกล้มคลุกคลานไปยังเรือนหรงอี้ ด้านหลังผิงเอ๋อร์ถูกคนชุดดำคนหนึ่งใช้ดาบแทงทะลุลำตัว
“เปิดเผยความลับ เจ้าสมควรตาย”
ณ เรือนหรงอี้อวิ๋นหรูเห็นภาพสถานการณ์เดียวกันกับหลานเยี่ย อวิ๋นหรูพุ่งเข้าไป แต่กลับถูกม่านพลังซัดกระเด็นออกมาอย่างแรง
อวิ๋นหรูตีม่านพลังด้านนอก
“ท่านพ่อๆ ท่านตื่นขึ้นมา ข้าคือหรูเอ๋อร์ไงเจ้าค่ะ ท่านตื่นขึ้นมาดูข้า ท่านยังไม่ตายใช่หรือไม่ ผิงเอ๋อร์โกหกข้าใช่หรือไม่ ท่านเพียงแค่ดื่มยาสลบเข้าไปใช่หรือไม่ เดี๋ยวท่านก็จะตื่นขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่? ท่านพ่อลุกขึ้นมาบอกข้าซิ” อวิ๋นหรูร้องไห้ไปพลางตะโกนไปพลาง แต่สีผิวที่เริ่มเปลี่ยนไปของอวิ๋นอี้ทำให้นางจำต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
“ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ คนตระกูลหลานตายหมดแล้ว” แม่ทัพที่นำกำลังทหารเข้ามาเห็นศพของอวิ๋นอี้ ก็พูดออกมาอย่างอดกลั้นความเจ็บปวด
“ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่? หากไม่มีข้าจะอยู่กับท่านพ่อ”
“เขาเทียนปี้โดนไฟไหม้ขนานใหญ่ เผาไหม้ทุกสิ่งอย่าง เหลือเพียงโถงบรรพบุรุษและเรือนอี้หรงเท่านั้น ภายในคนที่โดนเผาตายนอกจากทหารเขาเทียนปี้แล้ว ยังมีส่วนหนึ่งที่เป็นคนของตระกูลหลาน นายท่าน โปรดอย่าได้ทุกข์ไป”
“ตระกูลหลาน? หลานเยี่ยอยู่ที่ใด เจอหลานเยี่ยหรือไม่”
จู่ๆ อวิ๋นหรูก็วิ่งออกไป แม้แต่ร้องไห้ก็ลืมไปแล้ว นางพลิกศพไปมา คนที่ถูกไฟเผาไหม้ล้วนหน้าตาเละเทะ เสียหาย อีกทั้งยังน่ากลัวเป็นอย่างมาก แต่นางเหมือนกับไร้ความรู้สึก พลิกศพไปมาทีละร่าง
มือโดนประกายไฟที่ยังไม่ดับลามเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังไม่รู้สึก นางที่เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาเทียนปี้จะเคยพบพานเรื่องเช่นนี้ที่ไหนกัน สุดท้ายแล้วทุกศพก็ถูกพลิกจนครบแต่ก็ยังไม่เจอร่างของหลานเยี่ย อวิ๋นหรูถึงวางใจขึ้นมา
“ยังดี พวกเจ้าไม่ได้ทิ้งข้าไปหมด”
อวิ๋นหรูพึมพำกับตนเอง
“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนธรรมดาของเขาเทียนปี้ล้วนหลบหนีภัยอันตรายไปด้านหลัง ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต อีกอย่างพบท่านประมุขตระกูลหลานอยู่ที่บริเวณลับแห่งหนึ่งนอกเมือง
ดวงตาของอวิ๋นหรูมีประกายขึ้นมาเล็กน้อย
“พาข้าไปหาเขา”
ตอนที่ 82 เนื้อหาถึงหรูเอ๋อร์
ยามที่อวิ๋นหรูพบหลานเยี่ย หลานเยี่ยยังไม่ได้สติ หมอที่ติดตามกองทัพมาช่วยคลายพิษให้หลานเยี่ย หลานเยี่ยถึงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา
หลังจากหลานเยี่ยฟื้นมาแล้วเห็นหน้าอวิ๋นหรู เขาไม่ได้ตกใจ แต่กลับหันหน้าไปอีกทาง
“หลานอีเล่า?” อวิ๋นหรูกัดริมฝีปากแน่น จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยออก
“หลานอีอยู่อีกห้องหนึ่ง มีคนคอยดูแล ท่านพี่ไม่ต้องกังวล”
เพียงบทสนทนาเช่นนี้ประโยคเดียว จากนั้นก็ไม่มีการพูดอะไรต่อ หลานเยี่ยหลับตานิ่งเงียบไม่พูดจา
“ท่านพี่ ทำไมท่านไม่พูดเล่า?” หลายวันมานี้อวิ๋นหรูถูกโจมตีที่รุนแรงเกินไป ตอนนี้พอได้พบหลานเยี่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา
“ทำไมต้องพาทหารออกไปจากเขาเทียนปี้? ทำไมต้องไปซีเชวีย? ทำไมต้องวางยาท่านลุง? ทำไมถึงได้เอาแต่ใจเช่นนี้” หลานเยี่ยโมโหอย่างมาก แต่กลับนึกรังเกียจตัวเอง ตัวเองก็เช่นกัน ไร้ประโยชน์เสียจริง
พูดมาได้ว่าเชื่อชะตาแต่ไม่ยอมรับในชะตา สุดท้ายแล้วก็ต้องอยู่ในสภาพน่าเวทนาขนาดนี้
อวิ๋นหรูไม่ได้ตอบอะไร แต่ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ขอโทษ ข้าขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดกับข้า ไปพูดกับท่านลุง พูดกับประชาชนชาวเขาเทียนปี้” หลานเยี่ยลงจากตั้ง นำจดหมายที่อยู่ตรงหน้าอกออกมาวางไว้หน้าอวิ๋นหรู จากนั้นก็เดินไปห้องหลานอี เหลือเพียงอวิ๋นหรูเพียงลำพัง
อวิ๋นหรูเห็นตัวหนังสือสีตัวบนซองจดหมาย ไม่กล้าที่จะหยิบขึ้นมา
เนื้อหาถึงหรูเอ๋อร์
หรูเอ๋อร์ ลูกสาวของข้า เจ้าโตแล้ว พ่อจากไปแล้ว อย่าได้เสียใจไป ทั้งหมดนี้เป็นเพียงสวรรค์ลิขิตเท่านั้น จะเป็นหรือตายแล้วแต่ฟ้าลิขิต ไม่ต้องติดใจ พ่อรู้ว่าในเหล้าแก้วนั้นมีพิษ แต่พ่อก็รู้ว่าเจ้าไม่ได้คิดจะฆ่าพ่อจริง เจ้าเพียงถูกคนหลอกใช้เท่านั้น
แต่พ่อก็ยังดื่มลงไป เพราะพ่อเองก็ควรต้องจากไปเช่นนั้นตั้งแต่แรก หลายวันก่อนนี้พ่อรู้สึกได้ว่าชีวิตของตนเหลืออีกไม่นาน เลยลองคำนวณดวงชะตาตัวเองดู จากนั้นพ่อก็เห็นโชคชะตาของตนเอง
พ่อยังคำนวณดวงชะตาให้เจ้า ให้เขาเทียนปี้ ให้หลานเยี่ย เขาเทียนปี้พบเคราะห์ภัยครานี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พ่อเองก็เคยคิดจะต้านสวรรค์แก้ไขดวงชะตา แต่พ่อสูญเสียตบะบำเพ็ญไปกว่าครึ่งแล้วแต่ก็ยังล้มเหลว
ในเมื่อแก้ไขไม่ได้เช่นนั้นก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามสถานการณ์ พ่อขอแค่ให้เจ้าจัดการประชาชนเขาเทียนปี้ให้ดี อย่าได้ให้พวกเขาเจอกับความอยุติธรรม
หลายปีมานี้เขาเทียนปี้สงบสุขมาตลอด ใช้ชีวิตเรียบง่ายเงียบสงบมาจนเคยชิน พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นมา เป็นผู้นำให้พวกเขา หากว่าเจ้ารับไม่ไหว ล้มลงไป แล้วพวกเขาจะทำเช่นไร?
เจ้าเองก็โตแล้ว มอบเขาเทียนปี้ให้เจ้าอย่างกะทันหันเช่นนี้บางทีอาจจะไร้กำลังมากเกินไป แต่พ่อเชื่อว่าเจ้าจะต้องทำได้ดี
อวิ๋นซูบรรพบุรุษของเราเมื่อพันปีก่อน ละทิ้งตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์เขาเทียนปี้ลงอย่างไม่เสียดายเพราะความรักของตนเอง ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายธรรมดากับฉีฮวน พ่อเชื่อว่าเจ้าเองก็จะต้องหาคนที่ตนเองรักที่สุดพบ
อย่าได้ยึดติดกับหลานเยี่ยจนเกินไป อย่างไรเขาก็ไม่เป็นของเจ้า ชะตาของเขามีการเปลี่ยนแปลงมากมาย พ่อพยายามเท่าที่จะสามารถแต่ก็ยังมองไม่ออกว่าอนาคตของเขาเป็นเช่นไร ก็เหมือนกับตอนนั้นที่ข้ามองชะตาชีวิตท่านป้าของเจ้าไม่ออก
พ่อใช้ตบะบำเพ็ญทั้งหมดที่มีปกป้องโถงบรรพชนและเรือนหรงอี้เอาไว้ เพียงเพราะหวังว่ารากฐานของเขาเทียนปี้จะไม่โดนทำลายลงไปจนหมด
สถานการณ์ในใต้หล้าพ่อไม่อาจเปิดเผยมากเกินไป มิเช่นนั้นเจ้าเองก็จะพาลถูกลากไปเกี่ยว แต่พ่อหวังว่าเจ้าอย่าได้สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องใต้หล้า พาประชาชนเขาเทียนปี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเรียบง่ายต่อไป
หากรู้สึกเหนื่อยเกินไปก็ให้พักสักหน่อย หากพบเรื่องลำบากก็ให้ไปสถานที่ที่พาเคยพาเจ้าไปตอนเด็กๆ
สิ่งที่อยากพูดมีมากมาย ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน หลังจากนี้เจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้ว
พ่อ
อวิ๋นหรูน้ำตาไหลเหมือนฝนตก รอจนสงบลงก็ไม่เลื่อนลอยอีกต่อไป
ตอนที่ 83 แข็งแกร่งขึ้น
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพ ได้สืบที่มาที่ไปของคนที่ลอบบุกเขาเทียนปี้อย่างละเอียดแล้วหรือยัง”
อวิ๋นหรูเช็ดน้ำตาจนแห้ง แล้วเรียกหัวหน้าแม่ทัพของกองกำลังทหารเข้ามา
“คนตระกูลเยี่ยกลุ่มนั้นไม่ได้เข้ามาทางประตูใหญ่เขาเทียนปี้ แต่เหมือนปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศมากกว่า ตามที่นายทหารเฝ้าประตูเขาเทียนปี้บอก ประตูใหญ่เขาเทียนปี้นั้นมีเพียงขบวนทหารตระกูลหลานผ่านเข้ามาขอรับ
ตอนนั้นหลังจากที่ขบวนทหารตระกูลหลานเข้ามาท่านประมุขหลานบอกว่าท่านประมุขต้องการให้กำลังทหารทั้งสองฝ่ายประลองฝีมือกัน รอจนทหารเฝ้าประตูเข้ามารายงานก็พบว่าภายในเขาเทียนปี้เริ่มต่อสู้ขึ้นมาแล้ว
กำลังทหารของตระกูลหลานร่วมต่อสู้กับศัตรูกับทหารเขาเทียนปี้ แต่คนตระกูลเยี่ยกลับวางยาสลบ หลังจากนั้นตระกูลเยี่ยก็วางเพลิงเขาเทียนปี้ มีเพียงท่านประมุขหลานและหลานอีเซ่าจื๋อซือตระกูลหลานเท่านั้นที่หนีออกมาได้ หลังจากนั้นก็เหมือนกับที่ท่านเห็น”
ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ? อวิ๋นหรูพอจะรู้แล้วว่าคนตระกูลเยี่ยเข้ามาจากทางไหน
อวิ๋นหรูไปยังอุโมงค์ลับ เป็นไปตามที่คาดไว้ ม่านพลังของอุโมงค์ลับถูกทำลายลง กำแพงที่แต่เดิมไม่มีร่องรอยอะไร ตอนนี้ปรากฏรูโหว่รูหนึ่งให้เห็น
อวิ๋นหรูเดินเข้าไปก็พบว่าสภาพข้างในยังคงเหมือนที่ท่านพ่อเคยพามาตอนเด็กๆ นางไม่รู้ว่าท่านพ่อพาเข้ามาอย่างไร แต่ตัวหนังสือเหล่านั้น ภาพวาดที่แสดงตอนนี้ปรากฏขึ้นมาในหัวของนางอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
อวิ๋นซูธิดาศักดิ์สิทธิ์เขาเทียนปี้มีใจรักใครกับองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ ไม่อาจรับได้กับการตัดสินใจเพื่อที่จะรักษาทรัพย์สินและเกียรติยศของนายวังด้วยการส่งนางให้กับชิวจือเว่ยหัวหน้าตระกูลเยี่ย ด้วยความช่วยเหลือจากหลานเซียวประมุขตระกูลหลานได้มีการส่งคนมาก่อสร้างอุโมงค์ลับที่ไม่อาจประเมินราคาได้เพื่อส่งธิดาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นซูไปยังจวนขององค์ชายเจ็ดฉีฮวน ให้ทั้งสองกราบไหว้ฟ้าดิน แต่งงานกัน
จากนั้นทั้งสองคนหนีออกจากเมืองหลวง หลบซ่อนอยู่ในป่าเขา ไม่มีคนได้เห็นทั้งสองคนอีก ตำนานรักพันปีกลายเป็นตำนานอันสวยงามเป็นต้นมา
อวิ๋นหรูคิดถึงคำพูดของคนตระกูลเยี่ยที่ยอมตายเพื่อนางก็รู้สึกคล้อยตามไม่ได้ สตรีที่สวยล้ำล่มเมืองเช่นนี้แล้วยังได้พบกับโชคชะตาที่ดีเช่นนี้จะไม่ให้คนอิจฉา อยากเห็นหน้าได้อย่างไร
แม้ตนเองจะมีส่วนคล้ายอยู่บ้าง แต่ตนเองควรจะพัดลอยไปที่ใด แล้วใครคือคู่ครองของตน
อวิ๋นหูคิดเช่นนี้ พลันคิดเรื่องม่านพลังขึ้นมา ทางด้านเขาเทียนปี้ต้องใช้ตราคำสั่งของตระกูลเยี่ย ทางฝั่งเมืองหลวงต้องใช้หยกประจำตัวประมุขตระกูลหลาน ทางด้านเขาเทียนปี้สามารถเข้าใจได้ แต่ทางด้านเมืองหลวงพวกเขาเปิดออกได้อย่างไร
นางจะต้องไปสอบถามหลานเยี่ย
เมื่อกลับมาถึงเรือนอี้หรง นางเข้าไปในห้องหลานอี แต่พบว่ามีเพียงหลานอีอยู่เพียงลำพัง เหมือนกับเพิ่งตื่นมาเมื่อครู่นี้
“คุณหนูหลานอี ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านประมุขหลานไปไหน” อวิ๋นหรูสอบถาม
“ไม่รู้ซิ ท่านประมุขฟื้นแล้วหรือ? ข้าตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเขาแล้ว”
“เมื่อครู่หลังจากเขาตื่นขึ้นมาก็เข้ามาในห้องท่าน บางทีอาจจะมีเรื่องอะไรกระมัง”
อวิ๋นหรูออกมาจากห้องหลานอี ท่าทางมืดมน แม้แต่บอกลาก็ยังไม่คู่ควรหรืออย่างไร?
“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เพลิงไหม้ที่เขาเทียนปี้ถูกดับหมดแล้ว ต่อจากนี้ควรทำเช่นไรกับประชาชนทั่วไป?”
“หลานเยี่ยไม่อยู่ แต่เดิมข้าคิดจะนำเอาประชาชนทั่วไปไปไว้ที่ตระกูลหลานก่อนช่วงเวลาหนึ่ง รอจนเขาเทียนถูกซ่อมแซมสร้างขึ้นใหม่แล้วจึงไปรับพวกเขากลับมา ดูท่าข้าต้องไปที่ตระกูลหลานด้วยตนเองสักครั้งแล้ว ก่อนที่ข้าจะกลับมาปกป้องดูแลพวกเขาให้ดี อย่าให้พวกเขาถูกสัตว์ป่าบนเขาทำร้ายเอา”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นท่านประมุข?”
ตอนที่หลานเยี่ยตื่นขึ้นมาได้จัดการปลดม่านพลังรอบหายอวิ๋นอี้ออกหมดแล้ว
“รอจนข้ากลับมาจากการเจรจากับตระกูลหลานแล้ว ให้ทำพิธีฝังศพตามพิธีกรรมของเขาเทียนปี้เถิด” อวิ๋นหรูไม่อยากเสียน้ำตาอีก แต่น้ำตากลับไหลลงมาอย่างน่าผิดหวัง
“ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์…”
“ข้าไม่เป็นอะไร ช่วงเวลาที่ข้าไปตระกูลหลาน เขาเทียนปี้ต้องมอบให้เจ้าแล้ว ข้าไปแล้ว”
อวิ๋นหรูออกเดินทางไปยังตระกูลหลาน
ตอนที่ 84 ความทรงจำอันสับสนวุ่นวาย
หลังจากหลานเยี่ยออกจากห้องไป คิดจะเข้าไปดูอาการหลานอี แม้จะกินยาถอนพิษแล้วแต่ก็ยังฟื้นตัวกลับมาไม่หมด กระแสพลังยังคงเคลื่อนที่ได้ช้าอย่างมาก
หลานเยี่ยมาถึงหน้าประตูห้องหลานอี ได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยในห้อง บางทีนางอาจจะตื่นขึ้นมาแล้ว จากนิสัยของหลานอีแล้วนั้นจะต้องสนิทสนมกับคนเขาเทียนปี้ในทันทีอย่างแน่นอน
หลานเยี่ยผลักประตูเข้าไป แต่กลับพบว่าหลานอีนอนนิ่งสงบอยู่บนเตียง ยังไม่ฟื้นขึ้นมา แล้วเสียงพูดคุยหัวเราะเมื่อครู่นี้มาจากที่ไหนกัน
หลานเยี่ยรู้สึกถึงความผิดปกติ เพิ่งจะนึกระวังตัวก็ถูกคนลอบตีจนสลบจากข้างหลัง ก่อนจะสลบไปหลานเยี่ยทำธุระเรื่องสุดท้าย จากนั้นก็เห็นคนชุดดำเดินมายังตนเอง
……
กลุ่มควันสีขาวผืนใหญ่นั่นคืออะไร หมอกอย่างนั้นหรือ? หลานเยี่ยเดินอยู่บนพื้นแผ่นดิน แต่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด
พื้นที่อันสับสนวุ่นวายเละเทะนี่คือที่ไหนกัน?
ตนเองยังอยู่ที่เขาเทียนปี้หรือไม่? ไม่ใช่ว่าตนเองถูกตีจนสลบหรอกหรือ? แล้วที่นี่คือที่ไหนกัน?
หลานเยี่ยเดินไปเรื่อยๆ เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จู่ๆ ก็สังเกตเห็นเงาคนร่างหนึ่งจึงรีบวิ่งไปหา แต่กลับพบว่าเป็นหลานชิงและอวิ๋นหรง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำไมพวกท่านมาอยู่ที่นี่” หลานเยี่ยวิ่งเข้าไปด้วยความดีใจ แต่กลับพบว่าตนเองไม่อาจสัมผัสพวกเขาได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของตนเอง แต่เห็นใบหน้าของพวกเขาที่หัวเราะอย่างมีความสุข
หลานเยี่ยมองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งมา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ มอบให้พวกท่าน” ในมือของเด็กน้อยถือดอกไม้ช่อหนึ่งเอาไว้
นี่คือ…ตัวข้าเอง? หรือว่านี่จะเป็นความทรงจำของข้าอย่างนั้นหรือ? หลานเยี่ยรู้สึกว่าเหลือเชื่อ เขาเดินต่อไปข้างหน้า ภาพทุกภาพล้วนคุ้นตา ตอนที่ได้เห็นภาพในอดีตอีกครั้ง หลานเยี่ยก็อดรู้สึกสั่นคลอนไม่ได้
ท่ามกลางความทรงจำในอดีตปรากฏคนประเภทต่างๆ นานา เขาแอบหนีไปเมืองหลวง ได้พบกับอวี้มั่ว เทียนซี มู่หลี สิ่งที่เขาคิดมาอย่างขึ้นมาอย่างนึกสนุกสร้างกลุ่มที่ถือเป็นของเขาขึ้นมาในเมืองหลวง นั่นคือครองจันทร์ แต่ว่าที่เยอะที่สุดก็คือช่วงเวลาที่เขาอยู่กับหลานเฟิง
แล้วได้เห็นภาพนั้นอีกครั้ง มู่หลีถูกหลานเฟิงสาดน้ำชาใส่หน้า ทั้งสองคนนี้ช่างเหลือเกินเสียจริง หลานเยี่ยหัวเราะออกมา
เดินตรงไปข้างหน้าต่อ หลานเยี่ยมองเห็นจุดเริ่มต้นของทุกเรื่อง หลานเยี่ยหันกลับมามองอย่างไม่ตั้งใจครั้งหนึ่ง แต่กลับต้องชะงักฝีเท้า นิ่งอึ้งไป ความทรงจำที่อยู่ด้านหลังนั้นมีคนคนหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วหายไป แล้วมองไปข้างหน้าอีกครั้ง ใช่แล้ว นั่นคือมู่หลี นั่นคือหลานเฟิง ไม่มีความขัดแย้งแม้แต่น้อย แต่หลานเฟิงปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?
หลานเฟิงเป็นองครักษ์ของตน แต่ก่อนหน้านี้หลานเฟิงเป็นอะไรสำหรับตนเอง? หลานเยี่ยไม่กล้าคิดต่อไป เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีอะไรไม่ถูกต้องหรือไม่ เขาวิ่งไปข้างหลังอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่เห็นก็ยังเป็นความทรงจำของตน ไม่มีซึ่งความขัดแย้ง
การเปลี่ยนแปลงตรงนั้นไม่ได้หยุดลงตามการวิ่งไปข้างหลังของหลานเยี่ย แต่กลับเร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้น จู่ๆ หลานเยี่ยก็หยุดลง เหมือนกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไป หลังจากนั้นชั่วครู่ก็เพ่งกำลังเขม็งมองในฉับพลัน
“นี่คือที่ไหน” หลานเยี่ยแสดงท่าทางเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำไมพวกท่านถึงอยู่ที่นี่?”
หลานเยี่ยวิ่งไป แต่กลับสัมผัสพวกเขาไม่ได้ หลานเยี่ยมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ
ช่างมีความสุขเสียจริง รู้จักคนมากมายในเมืองหลวง เทียนซี อวี้มั่ว
แต่ที่เยอะที่สุดก็ยังคงเป็นมู่หลี
หลานเยี่ยเดินเข้าไป ความทรงจำด้านหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาเป็นใครกัน? ไม่มีใครรู้ แต่ตอนที่หลานเยี่ยหันกลับไปอีกครั้งกลับไม่มีแววตาเลื่อนลอยให้เห็นอีก เหมือนว่านั่นเป็นเหมือนกับชีวิตที่เขาประสบผ่านมา
ตอนที่ 85 เจียงหลิงพูดกล่อม
หลานเฟิงควบคุมออกคำสั่งการต่อสู้ที่ชายแดนซีเชวีย การศึกหมุนเวียนของตระกูลเยี่ยดำเนินมาถึงสองวันจากนั้นก็ถูกหลานเฟิงใช้ค่ายกลใหม่บุกทำลาย
ไม่รู้ว่าหลานเฟิงได้ค่ายกลใหม่มาจากที่ใด รู้เพียงว่าทหารพลังกลุ่มใหม่ที่ขึ้นมาหลังจากถูกตีกลับไปแล้วนั้นภายในระยะเวลาครึ่งเดือนไม่มีแรงกำลังต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
ภายในค่ายทหารที่กลายเป็นที่พักชั่วคราวกำลังดื่มเหล้าฉลองชัยชนะ ฉลองความสำเร็จที่ครั้งนี้กำจัดศัตรูให้ถอยไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีมีการศึกไปอีกครึ่งเดือน
หลานเฟิงดื่มเหล้าอยู่นอกกระโจมเพียงลำพัง คนหนึ่งคน ดวงจันทร์หนึ่งดวง คำนึงถึงหลานเยี่ย
ข้างกายมีขลุ่ยไผ่อยู่เลาหนึ่ง เป็นของที่หลานเยี่ยสลักให้เขาตอนที่อยู่ในตระกูลหลาน เขาเองก็เอาติดตัวเอาไว้ตลอด ข้างกายไม่มีผู้ใด หลานเฟิงจึงหยิบขลุ่ยขึ้นมาไว้ข้างปาก เป่าขึ้นมาเบาๆ บทเพลงที่ออกมาไม่ได้ถือว่าไพเราะเพราะพริ้ง แต่เป็นทำนองที่เขาแต่งขึ้นมาให้หลานเยี่ย รวมไปด้วยความรักอบอวล
ประตูกระโจมถูกเปิดออก มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา หลานเฟิงรู้สึกได้จึงหยุดเป่าขลุ่ย
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพ มีประโยคหนึ่งไม่รู้ว่าสมควรพูดหรือไม่” เจียงหลิงที่วิ่งมาพูดกับหลานเฟิง
“พูดมา”
“พวกเราป้องกันศัตรูอยู่ตลอด ครั้งนี้กำจัดศัตรูไปได้ หลังจากนี้ครึ่งเดือนพวกเขาจะต้องมาใหม่เป็นแน่ แต่หากพวกเขาเคลื่อนกำลังทหารจากที่อื่นมาใหม่ เช่นนั้นระยะเวลาที่สามารถพักก็จะไม่ถึงครึ่งเดือน เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะรับไม่ไหวเอานะขอรับ”
“ท่านแม่ทัพมีแผนที่ดีหรือไม่?”
หลานเฟิงมองเขาเรียบๆ
“สั่งกำลังทหารออกไปโจมตีตระกูลเยี่ยโดยตรงได้หรือไม่? ตอนนี้กำลังการต่อสู้ของตระกูลเยี่ยอยู่ในสภาวะตกต่ำ ส่งทหารไปตอนนี้อัตราในการชนะสูง”
“ส่งทหารออกไปโจมตีกำลังทหารที่ตั้งค่ายอยู่ในเหวินเย่ว์ หรือกำจัดทั้งตระกูลเยี่ย?”
เจียงหลิงตะลึงไปไม่พูดอะไร แต่คำตอบนั้นเห็นได้ชัดเจนแล้ว
“ท่านแม่ทัพเข้าใจตระกูลเยี่ยมากเพียงใด?”
“ไม่ได้เข้าใจเท่าไรนัก” เจียงหลิงพูดออกมาอย่างถ่อมตัว
“ท่านแม่ทัพคิดว่าภูมิประเทศของตระกูลหลานเป็นเช่นไร?”
“ตระกูลหลานมีการเดินทางที่สะดวกสบาย ภูมิประเทศชัดเจนโล่งกว้าง สภาพแวดล้อมสวยงามอย่างมาก ถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การอยู่พักอย่างมาก”
“แล้วหากเกิดการต่อสู้วุ่นวายเล่า”
“นี่..หากเกิดการต่อสู้ สำหรับศัตรูแล้วภูมิประเทศไม่มีข้อได้เปรียบ สิ่งที่ต้องอาศัยคือกำลังของทั้งสองฝ่าย อีกทั้งประชาชนและกำลังทหารภายในตระกูลหลานไม่ได้อยู่ไกลกันเท่าไรนัก หากเกิดสงครามขึ้นตระกูลหลานจะต้องมีสิ่งที่ต้องระแวงเป็นแน่ แล้วยังทำให้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่พาลได้รับบาดเจ็บโดยง่าย”
“แล้วตระกูลเยี่ยเล่า?”
“เพราะไร้ซึ่งความสามารถ ข้าน้อยไม่เคยไปตระกูลเยี่ยมาก่อน สิ่งที่รู้ก็เป็นเพียงเรื่องที่คนอื่นได้ยินต่อกันมาเท่านั้น”
“ภูมิประเทศภายในตระกูลเยี่ยคดเคี้ยว สภาพแวดล้อมซับซ้อนสับสน ขบวนทหารที่ไม่คุ้นชินเข้าไปโจมตีจะต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเป็นแน่ แพ้ให้กับภูมิประเทศ อีกทั้งประชาชนทั่วไปของตระกูลเยี่ยก็อยู่ห่างจากฝั่งหน้าตระกูลเยี่ยค่อนข้างมาก ต่อให้การศึกจะกินพื้นที่มากเพียงใด ก็ไม่มีทางทำให้คนไม่รู้เรื่องพาลบาดเจ็บไปด้วยเป็นง่าย”
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพเกิดในตระกูลเยี่ย มีท่านหัวหน้าแม่ทัพไปด้วยจะต้องไม่เป็นปัญหาโดยแน่”
เจียงหลิงยืนหยัด
“ตระกูลเยี่ย ข้าไม่ได้กลับไปเกือบสิบกว่าปีแล้ว ภายในตระกูลเยี่ยมีประเพณีสืบต่อกันมาอยู่ข้อหนึ่ง เพื่อที่จะป้องกันศัตรูจากภายนอก เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งพื้นที่ภายในจะถูกเปลี่ยน แม้ตระกูลเยี่ยจะไม่มีม่านพลังที่พันปีมานี้ไม่มีใครโจมตีลงได้เช่นตระกูลหลาน แต่พื้นที่ภายในก็มากพอที่จะไม่ทำให้พวกเขาล้มลง ต่อให้เป็นเหวินเย่ว์ คิดจะปราบก็ยากเป็นอย่างมาก นี่ที่จริงแล้วในบางมุมยังเป็นวิธีการป้องกันที่ได้ผลมากกว่าม่านพลังอีกด้วย”
“แต่ท่านผู้นำแม่ทัพ ท่านไม่รู้สึกว่าละทิ้งโอกาสครั้งนี้ไปช่างน่าเสียดายนักหรือ?”
เจียงหลิงเหมือนตัดสินใจแล้วว่าต้องพูดกล่อมหลานเฟิงให้ออกคำสั่งโจมตีตระกูลเยี่ย
หลานเฟิงเข้าใจความคิดของเขาอย่างถ่องแท้
“แม้ท่านประมุขจะมีความคิดเช่นนี้ แต่ก่อนที่จะมีคำสั่งจากเขาข้าไม่มีทางกระทำเป็นแน่ เจ้าอย่าได้กล่อมอีกเลย”
ตอนที่ 86 ไม่สงบ
หลานเฟิงหลับไปเพราะฤทธิ์สุราน้อยๆ ที่ดื่มเข้าไป จากนั้นวันรุ่งขึ้นตอนที่ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างหลานเฟิงก็ตื่นขึ้นมา
สิ่งที่ส่งมาจากมุกหลิววั่งคืออะไร? ทำไมถึงได้กดดันและเศร้าโศกเพียงนี้? หลานเยี่ยเจ้าเป็นอะไรกันแน่?
ความรู้สึกเช่นนี้หลานเฟิงคุ้นเคยเป็นอย่างดี แร่เพราะผ่านมานานเกินไป ถูกความทรงจำผนึกเอาไว้เอง ตอนนี้เมื่อถูกเปิดออกมาอีกครั้งกลับรุนแรงถึงเพียงนี้
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ชิวหลีฆ่าพ่อแม่เขาต่อหน้าเขาเอง ตอนแรกสิ่งที่อยู่ในใจไม่ใช่ความแค้นแต่เป็นความเศร้า ความรู้สึกที่สูญเสียแหล่งพักพิงทั้งหมดช่างรุนแรงถึงเพียงนี้
เสี่ยวเยี่ยไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้ายังมีข้า เจ้าได้ยินหรือไม่?
ผ่านไปครู่หนึ่งความรู้สึกนั้นก็หายไป มาอย่างกะทันหัน แล้วก็จากไปอย่างกะทันหัน ทำให้หลานเฟิงรู้สึกว่านี่เป็นเพียงอาการหลอนของตนเอง
เพราะอารมณ์ไม่ดีหลานเฟิงจึงเดินไปยังบริเวณใกล้จุดสูงสุดบนภูเขา มองไปยังทิศทางเขาเทียนปี้ เหมือนว่าทำเช่นนี้จะมองเห็นหลานเยี่ยได้ และเหมือนว่าทำเช่นนี้จะทำให้จิตใจสงบลงได้เล็กน้อย
แต่บริเวณที่ห่างออกไปไกลเป็นเพียงหมอกควันขาวกลุ่มใหญ่ ไม่มีเงาเขาเทียนปี้ให้ได้เห็นแม้แต่น้อย
เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลานเยี่ยตั้งใจกดความรู้สึกของตนเองเอาไว้ แต่เขาก็ค่อยๆ ส่งความอบอุ่นและกำลังใจให้หลานเยี่ยผ่านทางมุกหลิววั่ง
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพช่างอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง ตื่นมาแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น” เจียงหลิงปรากฏตัวขึ้นมาในตอนนี้พอดิบพอดี
“แม่ทัพก็เช่นกันไม่ใช่หรือ!”
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพ เรื่องเมื่อวานนี้ได้กลับไปคิดใหม่หรือไม่?”
“ต้องขออภัยที่หลานเฟิงพูดไม่น่าฟัง คนที่ไล่ล่าตามหาชื่อเสียงและความสำเร็จมากเกินไปมักมีจุดจบที่ไม่ดีเท่าไรนัก” หลานเฟิงพูดจบก็เดินจากไป เหลือเพียงเจียงหลิงที่ยืนมองแผ่นหลังของหลานเฟิงด้วยสายตาดูแคลน
ความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ที่ส่งมาไม่หยุดจากหลานเยี่ย แล้วทุกครั้งก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็หายไปเร็วทุกครั้ง หลานเฟิงมั่นใจแล้วว่าหลานเยี่ยกำลังควบคุมอารมณ์ตนเองไม่หยุด
เจ้าจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะจะทำให้เจ้าเสียใจ เขาเทียนปี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เจ้าจะวางมือได้หรือไม่ ข้าจะทำแทนเจ้าทั้งหมด ข้าจะเป็นดาบของเจ้า
หลานเฟิงค่อยๆ สงบลง สิ่งที่ส่งมาจากหลานเยี่ยมีเพียงความโศกเศร้าและโกรธเกรี้ยว ไม่มีมีความหวาดกลัวและสิ้นหวังส่งมา นี่หมายความว่าคนที่เกิดเรื่องไม่ใช่หลานเยี่ยแต่เป็นเขาเทียนปี้
เสี่ยวเยี่ย ข้าขอโทษ
กิจวัตรประจำวันของชายแดนที่ไม่มีสงครามก็คือการฝึกซ้อม พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงแล้ว เจียงหลิงพาทหารพลังไปยังลานซ้อมใกล้ๆ เพื่อเข้ารับการฝึกฝน
การประลองฝีมือระหว่างทหารพลัง มีคนเฉพาะด้านคอยสั่งสอนวิธีการพัฒนาพลัง รวมถึงท่าทางฝีมือ วิธีลอบฆ่าต่างๆ เป็นระเบียบและมีวินัย เจียงหลิงเป็นคนที่สามารถพัฒนาสร้างได้ หากลดความคิดเรื่องความสำเร็จลงสักน้อย…
หลานเฟิงขี่ม้าออกไป เตรียมพร้อมสำรวจลอบซีเชวียอีกครั้ง วางแผนก้าวต่อไปใหม่อีกครั้ง
เมื่อมาถึงภายในป่าไม้ที่มืดทึบ จู่ๆ หลานเฟิงก็กระโดดลงมาจากหลังม้า ยืนพิงอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง จับคอเสื้อตรงหน้าอกของตนเอาไว้แน่น
“หลานเฟิงมาช่วยข้า ช่วยข้า หลานเฟิง” คือความหวาดกลัว ความหวาดกลัวและสิ้นหวังที่ลึกล้ำถูกส่งมาจากทางหลานเยี่ยอย่างไม่มีการกดดันแม้แต่น้อย เป็นหลานเยี่ยที่ขอความช่วยเหลือจากตนโดยเฉพาะ เกิดเรื่องขึ้นกับหลานเยี่ยแล้ว
ทันใดนั้นหลานเฟิงกลับไม่รู้ว่าจะตั้งสติจากความสิ้นหวังและหวาดกลัวนี้ได้อย่างไร ในตอนนั้นเสี่ยวเยี่ยถูกตระกูลเยี่ยจับตัวไปด้วยสถานการณ์เช่นนี้ใช่หรือไม่ ทำไมถึงได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
จู่ๆ ก็เกิดเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านหลัง หลานเฟิงรีบเอากระบี่คู่กายหันไปแทงไว้บนต้นไม้ข้างคนคนนั้น
คนคนนั้นนิ่งอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับ มองหลานเฟิงด้วยแววตาสั่นสะท้าน
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพ ข้าเอง”
ตอนที่ 87 มุกหลิววั่งขาดการติดต่อ
หลังจากเห็นคนที่มาถึงอย่างชัดเจน หลานเฟิงก็ไม่ได้ดึงกระบี่ออก
“เจ้าไม่อยู่ที่ค่ายออกมาที่นี่ทำไม?”
ใบหน้าของหลานเฟิงปรากฏความดุดันออกมา
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพเก็บกระบี่ไปก่อนได้หรือไม่ ปักเอาไว้เช่นนี้หากว่าข้าไม่ทันระวัง เลือดที่กระเซ็นออกไปจะทำให้กระบี่ของท่านสกปรกนะขอรับ ท่านว่าใช่หรือไม่”
หลานเฟิงเก็บกระบี่กลับไป แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าดีให้เขาได้เห็น
ยังคงมองเขาอย่างเย็นชา
ความรู้สึกที่ส่งมาจากหลานเยี่ยเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เหมือนกับสลบไปแล้ว
“พวกเราพี่น้องล้วนชื่นชมฝีมือและพลังของท่านหัวหน้าแม่ทัพ อยากขอความรู้จากท่านบ้าง ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าแม่ทัพจะให้เกียรติกันได้หรือไม่”
เขาจะต้องไปเขาเทียนปี้หาหลานเยี่ยในทันที ไม่อาจล่าช้าได้ ไม่อาจดึงเวลาต่อไปได้อีก
“เจ้ามากับข้า” พอหลานเฟิงพูดทิ้งไปประโยคหนึ่งก็ขึ้นหลังม้าเดินทางหลับไปยังเส้นทางเดิม เจียงหลิงตามมา แต่เดิมทั้งสองคนยังรักษาระยะห่างเล็กๆ แต่ไม่นานหลานเฟิงก็ดึงระยะห่างระหว่างพวกเขาให้มากขึ้น ทิ้งเจียงหลิงเอาไว้ข้างหลังไกลๆ
รอจนเจียงหลิงกลับมาถึงหลานเฟิงก็ถือผ้าถักผืนหนึ่งและจดหมายสองสามฉบับรอเขาอยู่บริเวณหน้ากระโจม
“นี่คือค่ายกลและแผนการทั้งหมด ข้าจะกลับเขาเทียนปี หากมีศัตรูเข้ามาโจมตีก็ให้ทำตามที่ข้าเขียนไว้ อีกอย่างเพื่อชีวิตของพี่น้องใต้อำนาจเจ้า ทางที่ดีที่สุดอย่าได้เกิดความคิดเป็นอื่น”
หลังจากหลานเฟิงสั่งการส่งมอบทุกเรื่องเสร็จแล้วนั้นก็รีบเดินทางไปยังเขาเทียนปี้ ม้านั้นช้าเกินไป หลานเฟิงปล่อยม้าไปแล้วใช้กระแสพลังในการเดินทาง
ผ่านไปไม่นานหลานเฟิงก็เริ่มสัมผัสถึงหลานเยี่ยไม่ได้ ต่อให้เขาสงบใจพยายามจะจับสัมผัสก็ยังไม่อาจรู้สึกได้ เขาลนลานแล้ว นี่เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นตอนนอนก็ยังรู้สึกถึงความรู้สึกบางๆ ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกไม่ได้เล่า?
หรือว่า…
เป็นไปไม่ได้ หลานเยี่ยยังไม่ตายเป็นแน่ ตอนแรกเพื่อช่วยหลานเยี่ยได้ทำการเปิดช่องระหว่างมุกหลิววั่งเชื่อมเข้าหากัน นับตั้งแต่นั้นทั้งสองคนร่วมเป็นร่วมตาย หากหลานเยี่ยตายแล้วตนเองก็ไม่อาจมีชีวิตต่อได้
แล้วเป็นเพราะอะไรกัน? ทำไมถึงรู้สึกไม่ได้? อีกทั้งก่อนหน้านี้หลานเยี่ยเพิ่งส่งขอความช่วยเหลือ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลานเฟิงอดคิดถึงคำพูดที่ชิวหลีพูดออกมาตอนฆ่าพ่อแม่ของเขาขึ้นมาไม่ได้
พูดว่าเป็นคนที่คุ้นเคยกับมุกหลิววั่งที่สุด? มุกหลิววั่งยังมีประโยชน์อะไรอีก? หรือว่ามันจะไม่ใช่เพียงของวิเศษชิ้นหนึ่งเท่านั้น หลิวและวั่งยังปิดบังอะไรเขาอีก หลังจากเปิดเขตด่านมุกหลิววั่งให้เชื่อมต่อกันแล้วนั้นทั้งสองคนร่วมเป็นร่วมตายจริงหรือ?
หลานเฟิงมั่นใจแค่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นนั่นคือหลานเยี่ยถูกคนจับตัวไป อีกทั้งเป็นคนของตระกูลเยี่ย
ชิวหลีตายไปแล้ว แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ที่มีความสามารถควบคุมฉากใหญ่เช่นนี้ได้ ในหัวของหลานเฟิงคิดถึงคนที่เป็นไปได้ออกมาสำรวจครุ่นคิดดูรอบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปอะไรออกมา จู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องในคืนนั้นขึ้นมา เป็นชิวอวี้อย่างนั้นหรือ ตอนแรกเจ้าจับหลานเยี่ยไปเพื่อข้าอย่างนั้นหรือ? แท้จริงแล้วเจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
หลานเฟิงเดินทางไม่ได้พักตลอดทาง ใช้กำลังทั้งหมดพุ่งไปยังทิศทางเขาเทียนปี้ พระอาทิตย์ตอนเที่ยงตรงร้อนแรงผิดปกติ ต่อให้เป็นต้นไม้ที่เจริญงอกงามตามทางเขาเทียนปี้ก็ไม่อาจบดบังแสดงแดดที่ร้อนแรงนี้ได้ หลานเฟิงเหงื่อออกไหลริน จับขลุ่ยไผ่ในมือเอาไว้แน่น
ในที่สุดก็มาถึงเขาเทียนปี้ เขาสามารถมองเห็นควันอันหนาแน่นที่ลอยมาจากเขาเทียนปี้ตั้งแต่ที่ไกลๆ เมื่อมามองดูจากบริเวณที่ใกล้ขึ้นก็เห็นพื้นที่ที่ถูกไฟเผาจนกลายเป็นสีดำมืด
ประตูใหญ่ยังมีคนเฝ้าประตู ทั้งข้างในและข้างนอกกำลังจัดการกับศพทหารอยู่ กวาดสายตามองออกไปสิ่งก่อสร้างทั้งสองแห่งที่ไม่ถูกทำลายท่ามกลางซากดำเหล่านี้กลายเป็นโดดเด่นขึ้นมา
หลานเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้เดินผ่านประตูใหญ่เข้าไป แต่หมุนตัวไปยังอีกบริเวณหนึ่ง
ตอนที่ 88 เหตุไม่ทันคาดคิด
ไม่ได้ผิดจากที่คาดไว้ ทหารเฝ้ายามตรงปากทางลับเขาเทียนปี้ถูกฆ่าแล้ว บริเวณทางเข้าไม่มีรอยเท้าเละเทะ ไม่เหมือนกับพบเจอการต่อสู้อันรุนแรงมา ดูท่าทางฝีมือของคนที่จะมาเก่งกาจเป็นอย่างมาก อีกทั้งวิธีที่ใช้ก่อเหตุก็ชาญฉลาดเป็นอย่างมาก
หลานเฟิงพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นกลุ่มคนเช่นไร ไล่ตามอุโมงค์ลับนี้ไป จนถึงปลายทางกลับไร้ซึ่งร่องรอย ร่องรอยที่มีทั้งหมดถูกลบไปแล้ว
หลานเฟิงทำได้แค่เดินกลับไปยังเขาเทียนปี้ตามทางเดิม อวิ๋นหรูหวังว่าเจ้าจะรู้ข่าวคราวของเสี่ยวเยี่ย
เมื่อมาถึงเรือนหรงอี้ หลานเฟิงตามหาอวิ๋นหรูจนทั่วแต่ก็ไม่พบ เจอเพียงแม่ทัพอวิ๋นที่มาดูอาการหลานอีเท่านั้น เมื่อเห็นหลานเฟิงอยู่ที่นี่แม่ทัพอวิ๋นก็รู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ
“ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าแม่ทัพมาเขาเทียนปี้ด้วยเหตุอันใด? ทางด้านซีเชวียสงบแล้วหรือ? ใช่แล้วคุณหนูหลานอีของตระกูลท่านยังอยู่ที่นี่ ท่านจะพานางกลับไปอย่างนั้นหรือ?”
แม่ทัพอวิ๋นถามออกมาสองสามคำถามติดต่อกัน หลานเฟิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่?
“อวิ๋นหรูเล่า?”
“หากเป็นท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นางไปตระกูลหลาน คิดจะไปหาท่านประมุขหลานปรึกษาเรื่องการอพยพประชาชนขาวเขาเทียนปี้ไปอยู่ที่ตระกูลหลานเป็นการชั่วคราว”
“ไปหาท่านประมุขหลานที่ตระกูลหลาน? นางรู้ได้ว่าอย่างไรว่าท่านประมุขอยู่ที่ตระกูลหลาน?”
หลานเฟิงเหมือนจะมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้ท่านประมุขมาร่วมช่วยเหลือเขาเทียนปี้ แต่กลับโดนกับดักแปลกของศัตรู แม้จะหนีไปได้แต่ก็สลบไม่ได้สติ รอจนหาเขาพบเขาก็ยังอยู่ในสภาวะสลบไสล รอจนดื่มยาถอนพิษไปแล้วตื่นขึ้นมาเขียนจดหมายให้ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ฉบับหนึ่งแล้วจึงไปดูอาการคุณหนูหลานอี
แต่ตอนที่ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จัดการธุระต่างๆ เสร็จแล้วไปหาเขานั้น เขาก็ไม่อยู่แล้ว ท่านเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คิดว่าท่านประมุขหลานน่าจะกลับไปตระกูลหลานก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไปหาเขาที่ตระกูลหลานขอรับ”
หลานเฟิงกำหมัดแน่น
“ระยะเวลาหน้าหลังระหว่างท่านประมุขจากไปจนถึงอวิ๋นหรูมาหาเขาห่างกันนานเพียงใด?”
“ประมาณหนึ่งชั่วยามขอรับ”
หนึ่งชั่วยาม ดูจากข้อความที่เสี่ยวเยี่ยส่งมาขอความช่วยเหลือแล้ว น่าจะถูกจับตอนที่เพิ่งจากไป
“สมควรตายเสียจริง” ด่าเป็นคำหยาบออกมาประโยคหนึ่ง หลานเฟิงหมุนตัวเดินจากไป
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพ?”
เมื่อเห็นว่าหลานเฟิงจากไป แม่ทัพอวิ๋นรู้สึกพิลึกยากจะเข้าใจ แท้จริงแล้วมาทำอะไรกันแน่?
หลานเฟิงออกจาเขาเทียนปี้ ในเสี้ยววินาทีนั้นไม่รู้ว่าจะไปที่ใด? หรือว่าเมื่อหาหลานเยี่ยพบแล้วจะต้องทำเช่นไร? จะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร?
คนที่อยู่เบื้องหลัง เจ้า อยู่ที่ตระกูลเยี่ยกระมัง
หลานเฟิงก้าวฝีเท้ายาวไปยังทิศทางตระกูลเยี่ย แต่กลับพบว่าทางเดินถูกขวางไว้ ชุดบ่าวนั่นช่างคุ้นตาเสียจริง
ตระกูลเยี่ยหลายพันปีมานี้รักษาประเพณีหนึ่งมาตลอด สั่งสอนฝึกฝนทหารพลีชีพกลุ่มหนึ่ง ทำภารกิจต่างๆ ที่ดำมืดสกปรก หลายพันปีมานี้วิธีการฝึกฝนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ภารกิจที่ต้องทำก็เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกเช่นกัน แต่ชุดของทหารพลีชีพกลุ่มนี้ไม่เคยเปลี่ยนมาก่อน
ชุดสีดำล้วนบริเวณคอเสื้อด้านซ้ายมีรูปพระจันทร์เสี้ยวสีเหลือง ด้านขวาเป็นตัวหนังสือคำว่าชิวสีม่วง บริเวณหน้าอกมีกริชแหลมคมอยู่เล่มหนึ่ง ใช้ด้ายสีเงินปักเอาไว้
และคนกลุ่มนั้นตลอดหลายพันปีมานี้มีเพียงชื่อเรียกเดียว นั่นคือจิ้งจอกราตรี
หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร มือที่วางอยู่บนกระบี่ขยับเล็กน้อย ดึงกระบี่ออกมาฟาดฟันต่อสู้กับจิ้งจอกราตรีกลุ่มนั้น
หลายคนล้อมรอบหลานเฟิงคนเดียว คนที่คิดจะจับเขาก็ช่างอุตสาหพยายามเสียจริง หลานเฟิงเชิดปลายกระบี่ขึ้น ลากระยะห่างระหว่างกลุ่มจิ้งจอกราตรีเหล่านั้น
“นายท่านเชิญท่านไปเป็นแขกที่ตระกูลเยี่ย ขอให้ท่านอย่างได้ปฏิเสธ”
จิ้งจอกราตรีคนหนึ่งเปิดปากพูด เย็นๆ ชาๆ ไม่มีความรู้สึกอะไร
“ทำไมข้าต้องไปกับพวกเจ้า?”
“อาศัยท่านประมุขหลานที่อยู่ในมือพวกข้า นายท่านได้สั่งมาแล้ว หากท่านไม่ไป เขาไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของท่านประมุขหลานได้”
ได้ยินจิ้งจอกราตรีพูดเช่นนี้สีหน้าของหลานเฟิงกลายเป็นไม่น่ามองในทันใด เหมือนกำลังดิ้นรน และเหมือนว่าสำนึกผิด หลังจากนั้นชั่วครู่มือก็ปล่อยลง กระบี่ตกลงบนพื้น
เสี่ยวเยี่ย ข้าขอโทษ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น