(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 5

 ตอนที่ 5-1

 

ตอนที่ 5-1 เยียวยา

 


 


 


 


“ตอนนี้ยอมกลับมาได้แล้วใช่ไหม” 


 


 


“ดูพูดเข้า” 


 


 


“นายก็รู้นี่ ฉันพูดแบบนี้มาเป็นเดือนแล้วไม่ใช่เหรอไง” 


 


 


“อื้อ” 


 


 


วันนี้ก็เช่นกัน พอจัดการงานที่คาเฟ่เรียบร้อยแล้ว ซองจูก็บ่นใส่จองอูที่รีบร้อนมาหาตัวเองในทันที 


 


 


ทั้งสองกลับมาคืนดีกันและเริ่มคบหากันอย่างเป็นทางการได้หนึ่งเดือนแล้ว ในระหว่างนั้นจองอูก็ยังคงไปช่วยงานที่คาเฟ่อยู่เช่นเดิม จะมาหาซองจูที่นี่ก็ประมาณสัปดาห์ละสองถึงสามครั้ง นั่นจึงทำให้ซองจูไม่พอใจอย่างมาก 


 


 


ไม่สิ เคยอยู่ด้วยกันมาตลอด พอไม่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายเดือน ห่างกันเพียงวันเดียว ก็กระโจนพุ่งเข้าหากัน มันดูจะยังไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ ซองจูไม่เคยเข้าใจความคิดของจองอูเลยจริงๆ แม้ว่าแต่เดิมคิมจองอูก็เป็นพวกที่เข้าใจยากอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ เขาได้แต่บ่นมันออกมา พร้อมกับรับแก้วกาแฟที่จองอูยื่นมาให้ 


 


 


“ก็นั่นแหละ นายเลิกทำงานที่คาเฟ่นั่นไม่ได้เหรอ? ดูยังไง ที่นั่นก็ละเมิดกฎหมายแรงงานชัดๆ เลย ฉันไปแจ้งความได้เลยด้วยซ้ำ” 


 


 


“ทำไมล่ะ ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ไม่มีที่ไหนที่ให้สวัสดิการเป็นที่พักพร้อมอาหารแบบนี้แล้วนะ” 


 


 


“เงินก็ไม่ได้ให้นี่ อะไรกัน! นายเป็นพวกใจง่ายรึไง?” 


 


 


“ถ้าพี่เขาไม่มีคนช่วย ก็แค่ปิดคาเฟ่ แล้วก็ขายแค่เมล็ดกาแฟก็อยู่ได้แล้ว คนที่เสียดายก็คือฉันนี่แหละ” 


 


 


จองอูพูดเช่นนั้น พร้อมกับยกยิ้ม 


 


 


“เมื่อก่อนถ้าไม่มีที่ไป ฉันก็ไปรบกวนเขาอยู่บ่อยๆ เขาเป็นคนดีนะ” 


 


 


คำพูดที่ได้ยินทำให้หางตาของซองจูกระตุกขึ้น 


 


 


“…นอนด้วยกันแล้ว?” 


 


 


“หา?” 


 


 


“พวกนาย นอนด้วยกันแล้วเหรอ” 


 


 


ซองจูถามออกมาแบบนั้นพร้อมกับเหลือบมองสำรวจอีกคน 


 


 


คนที่ไม่ได้รักกัน แต่ก็ยังมีเซ็กซ์กันได้มีเยอะแยะไป ก่อนหน้านี้คิมจองอูก็เคยมีเซ็กซ์กับคนอื่น ทั้งที่ไม่ได้คบใครอยู่ ดังนั้นก็สามารถที่จะมีเซ็กซ์กับเจ้าของร้านคาเฟ่นั่นได้เหมือนกัน ในหัวของซองจูคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว จองอูที่รับรู้ถึงอารมณ์ที่ค่อยๆ ปะทุขึ้นมาของซองจู ก็เผลอหลุดขำออกมาเสียได้ 


 


 


“เฮอะ จริงๆ เลย…” 


 


 


เสียงหัวเราะนั่นยิ่งทำให้อารมณ์ของซองจูขุ่นมัวยิ่งขึ้น 


 


 


“อะไร นอนด้วยกันแล้วจริงเหรอ?” 


 


 


จองอูได้แต่ส่ายหัวให้กับซองจูที่แผดเสียงตะโกนออกมาเช่นนั้น 


 


 


“พูดอะไรที่เป็นไปได้หน่อยเถอะ ทำไมฉันต้องนอนกับพี่เขาด้วย” 


 


 


“ตอนที่โมโหก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นี่!” 


 


 


“ฉันไม่ใช่พวกมักมากสักหน่อย” 


 


 


“ถ้างั้นคืออะไรล่ะ ทำไมถึงเลิกทำไม่ได้?” 


 


 


“อย่างน้อยก็ได้ทำอะไร ให้อยู่เฉยๆ ก็ยังไงอยู่” 


 


 


“ทำเพลงไปสิ” 


 


 


“นั่นฉันก็ทำอยู่ แต่ว่านั่นมันต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป” 


 


 


คำพูดตัดจบง่ายๆ เช่นนั้นของจองอูทำให้จิตใจซองจูร้อนรุ่มไปหมด แล้วเขาก็เอ่ยคำพูดติดปากตลอดหลายวันที่ผ่านมาออกไปอีกครั้ง 


 


 


“งั้นก็มาอยู่ที่นี่สิ ทำไมจะไม่มีที่ไป? นายก็เคยมากินนอนอยู่ที่นี่ตั้งหลายเดือน ทำไมตอนนี้ถึงทำไม่ได้ล่ะ? ลองอธิบายมาสิ” 


 


 


ซองจูเอ่ยเช่นนั้นออกไป พร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอก หากอีกคนไม่ยอมอธิบายออกมาแต่โดยดี เขาก็จะสร้างความกดดันให้แบบนี้ต่อไป บรรยากาศตอนนี้ทำเอาจองอูหนักใจขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


“ตอนนั้นฉันก็คิดจะย้ายออกไปในสักวันอยู่แล้วนะ” 


 


 


ความจริงที่ถูกสารภาพออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทำเอาแววตาของซองจูสั่นไหวอย่างรุนแรง 


 


 


“การอยู่ที่นี่มันทำให้ฉันอึดอัด แล้วก็ลำบากใจมาก มันกว้างเกินกว่าจะอยู่กันแค่สองคน มันเหมือนโดนกดดันอยู่ตลอด” 


 


 


เขาพูดออกมาแบบนั้น พร้อมกับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของซองจู 


 


 


ถึงจะเจ็บปวด แต่เขาก็รู้ดีว่าจองอูคือคนที่สามารถจากไปได้ในวันใดวันหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ซองจูไม่พอใจเลยสักนิด แต่ทว่าเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากซ่อนความไม่พอใจนี้เอาไว้ ต่อหน้าคนอื่นเขาสามารถซ่อนความรู้สึกตัวเองได้ดีเสมอมา แต่พออยู่ต่อหน้าจองอู เขากลับไม่เคยซ่อนมันได้เลย หากเพราะรู้ดีว่านั่นคือความรักในแบบของตัวเอง ซองจูจึงได้แต่เจ็บปวดอยู่เช่นนี้ 


 


 


ขณะที่คิดว่าเคยเกาะติดอีกคนได้ครั้งหนึ่ง จะทำอีกเป็นครั้งที่สองไม่ได้หรือ เขาก็เกิดกลัวว่าจองอูอาจจะผิดหวัง หรือเอือมระอาเขา จนไม่อาจอยู่ใกล้กันได้อีก หากเป็นคนอื่น เขาคงหลุดปากว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรเป็นเรื่องที่เขาจะตัดสินเอง แต่กับจองอูเขาทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงได้ปวดใจอยู่เช่นนี้ ไม่มีที่ไหนให้คำปรึกษากับอาการนี้ได้เลย 


 


 


ถึงเรื่องนี้จะพูดคุยกับดงฮยอนได้ แต่ก่อนที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือ คงต้องทนถูกอีกคนหัวเราะเยาะเสียก่อน ซองจูจึงได้เลิกคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไปนานแล้ว 


 


 


“งั้นเหรอ ก็ช่วยไม่ได้นะ” 


 


 


ซองจูพูดออกมาเช่นนั้น พร้อมกับหลุบตามองต่ำ วันนี้เขารู้สึกว่าห้องนั่งเล่นดูจะอ้างว้างขึ้นมาอย่างน่าประหลาด 


 


 


“เฮ้อ…” 


 


 


จองอูเองก็ร้อนใจไม่ต่างกัน 


 


 


เขารู้ดีว่าซองจูกำลังเข้าหาเขาด้วยความจริงใจ แต่ทว่ามันกลับทำให้เขาอึดอัด เขาไม่เคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ แล้วเขาก็เกลียดตัวเองที่เชื่องช้าเหลือเกิน เขาอยากถามว่าเราค่อยเป็นค่อยไปกันดีไหม ไม่ใช่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ซองจูยอมอ่อนข้อให้เขามันช่างมากมายเหลือเกิน จองอูจึงทำได้เพียงปิดปากเงียบ อย่างไรเสีย มันก็ต้องมีทางออกสำหรับพวกเขา 


 


 


“ต้องทำยังไงล่ะ” 


 


 


แล้วเสียงรบกวนบางอย่างก็ดังลอดเข้ามาในโสตประสาทของจองอู ขัดเสียงพึมพำแผ่วเบาของเจ้าตัวเอาไว้ พอหันมองไปรอบๆ จึงได้เห็นว่า โทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะกินข้าวในห้องครัวนั้น กำลังส่องแสงวูบวาบออกมา จองอูลุกจากโซฟา ก่อนจะก้าวเร็วๆ ไปทางห้องครัว 


 


 


“สวัสดีครับ” 


 


 


[จองอู ว่างไหม] 


 


 


เป็นเซจุนนั่นเอง น้ำเสียงที่ฟังร่าเริงไม่ต่างจากปกติของเจ้าตัวทำให้อารมณ์ของจองอูพลอยดีขึ้นตามไปด้วย จองอูยกยิ้มออกมา พร้อมกลับเอ่ยทักทายกลับไป 


 


 


“พี่นั่นเอง สวัสดีครับ” 


 


 


คำทักทายนั้นทำให้รู้สึกได้ว่าซองจูที่เอนตัวพิงโซฟาอยู่ถึงกับหางตากระตุก จองอูยืนหันหลังให้ห้องนั่งเล่น ขณะที่จดจ่อกับการคุยโทรศัพท์ 


 


 


[นี่ เจ้าเด็กทึ่ม นายหายตัวไปโดยที่ไม่บอกอะไรพวกเราสักคำได้ไง หา? ยังไม่รีบพูดอีกว่าตัวเองผิด] 


 


 


“ผิดไปแล้วครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอครับ” 


 


 


[อ้อ ว่างไหม ออกมาเจอหน่อยสิ] 


 


 


ทันทีที่ยอมรับผิดออกไปอย่างง่ายดาย เซจุนก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรอีก อีกคนกลับเรียกให้จองอูออกไปหาแทน 


 


 


“ครับ? ตอนนี้เหรอครับ?” 


 


 


[จะตกใจอะไรหนักหนา คนเขารู้กันทั้งโลกแล้ว ว่านายมันเป็นพวกมนุษย์กลางคืนน่ะ ทำไม ไม่ว่าง? อยู่ไหนเนี่ย?] 


 


 


“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไรกันแน่ครับ? หรืองานครั้งก่อนมีปัญหาเหรอครับ?”  


 


 


จองอูรีบร้อนเปลี่ยนเข้าสู่โหมดเป็นการเป็นงานขึ้นมาในทันที ในเวลาแบบนี้ ให้ไปทำงานยังจะดีเสียกว่า พอเซจุนได้ยินคำพูดที่พุ่งสวนกลับมาเหมือนคมมีดนั้นแล้ว เขาก็หัวเราะออกมานิดๆ ทันที 


 


 


[ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็ต้องเรียกตัวนายมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วสิ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก พอดีตอนนี้พวกเรากำลังทำดิจิตอลอัลบั้มกันอยู่ ว่าจะให้นายมาทำด้วย ออกมาลองฟังเพลงดูหน่อยเป็นไง] 


 


 


“อ้า งั้นเดี๋ยวผมไปที่ห้องซ้อมเลยแล้วกันครับ คงจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงนะครับ” 


 


 


[โอเค รับทราบ] 


 


 


จองอูยังไม่ทันได้ฟังคำพูดของเซจุนก็วางสายไปทันที ซองจูที่มองจองอูอยู่ตลอด เห็นเช่นนั้นแล้ว จึงได้ลุกจากที่นั่ง 


 


 


“อะไรเนี่ย จะไปไหนอีก” 


 


 


“ไปฮงแดน่ะ” 


 


 


“ไปห้องซ้อม เจ้าพวกนั้นโทรมาชวนเหรอ?” 


 


 


ซองจูที่ยังคงมีสีหน้าไม่พอใจอยู่เช่นเดิมปราดตามองจองอู และรีบก้าวไปหาจองอูที่รีบร้อนเก็บมือถือและกำลังจะก้าวทางไปทางประตูบ้านพลางทำหน้าเศร้า  


 


 


“อื้อ พี่เซจุนบอกให้ไปเจอกันหน่อยน่ะ” 


 


 


“คิมเซจุน? พอเจ้านั่นชวนก็รีบร้อนออกไปเลยนะ…” 


 


 


จองอูจัดการยีผมของซองจูที่บ่นพึมพำจนมันยุ่งเหยิง แล้วจึงได้เห็นใบหน้าหงิกงอของอีกคน กระชากแขนของอีกคนเข้ามาใกล้ กอดเจ้าตัวไว้ในอ้อมแขน ซองจูจึงเบะปากออกมา แต่ก็ปล่อยตัวไปตามแรงดึงของอีกคน 


 


 


“ไม่กลับเข้ามาแล้วใช่ไหม” 


 


 


“อืม ไม่รู้สิ น่าจะดึกเลยล่ะ” 


 


 


“งั้นก็ไม่ต้องมา ถ้าเอาแต่ไปๆ มาๆ แบบนี้มันเสียเวลา” 


 


 


ซองจูพูดออกมาพร้อมกับซบหน้าลงในอ้อมกอดของอีกคน ท่าทางเช่นนั้นดูราวกับจะตายเสียให้ได้ ทำเอาจองอูไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเลย 


 


 


“…อื้อ แล้วจะโทรหานะ” 


 


 


“จะนอนแล้ว ไม่ต้องโทรมา” 


 


 


ซองจูบ่นพึมพำ ขณะที่เดินไปส่งจองอู ท่าทางของอีกคนที่ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเหมือนทุกที ไม่รู้ทำไมมันถึงทำให้จองอูรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“โอ๊ะ คิมจองอู ไม่เจอกันนานเลยนะ” 


 


 


ทันที่ที่เจอหน้า เซจุนก็พูดจาเย้าแหย่ เซจุนที่มีพรสวรรค์ในการทำให้คนรอบข้างสบายใจนั้น เป็นหนึ่งในบรรดาผู้คนที่จองอูชื่นชอบ เขายกยิ้มออกมาก่อนจะนั่งลงบนโซฟาในห้องซ้อมของวงคราฟท์ 


 


 


“สบายดีนะครับ แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับ” 


 


 


“กลับไปแล้วสิ เหมือนทุกวันนั่นแหละ ซองฮีก็กลับบ้านดื่มด่ำกับชีวิตข้าวใหม่ปลามัน ซองฮุนก็เย็นชาไปตามประสา ฮยอนจินกับแฮจินก็รีบกลับบ้านไปเล่นเกม” 


 


 


“แล้วพี่ล่ะครับ พี่ก็มีแฟนแล้วนี่ ไม่ใช่งั้นเหรอครับ” 


 


 


คำถามของจองอูที่รู้ดีว่าเขาเป็นพวกติดแฟน ถึงได้คอยเอาแต่งอแงคร่ำครวญอยู่ทุกวัน มันทำให้เซจุนแสดงสีหน้าหดหู่ออกมา 


 


 


“ที่รักไปดูงานน่ะสิ อีกตั้งสองอาทิตย์กว่าจะกลับมา” 


 


 


อย่างนี้เองสินะ คิมเซจุนที่เอาแต่ทะเลาะกับบรรดาสมาชิกคนอื่นๆ ในวงคราฟ์ จนเป็นคนงี่เง่าติดอันดับหนึ่งหรือไม่ก็สองของวงก็มีด้านแบบนี้อยู่ด้วยสินะ จองอูยกยิ้มขำออกมา พร้อมกับยกเครื่องดื่มที่เซจุนส่งให้ ขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง 


 


 


“ไม่ได้นอกใจซะหน่อย จะทำเศร้าไปทำไมกันครับ ก็ไปทำงานนี่นา อีกแค่สองอาทิตย์ก็ได้เจอกันแล้ว อดทนหน่อยเถอะครับ” 


 


 


พูดออกมาแบบนั้นแล้ว จองอูก็ยกยิ้มออกมา เซจุนได้แต่ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น ก่อนจะเปิดปากถามออกไป 


 


 


“คนที่ทำให้คนรอบข้างต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของตัวเอง พูดจาอย่างนั้นได้ด้วยเหรอ?” 


 


 


“ครับ?” 


 


 


“ตอนนี้กับพี่ซองจูโอเคแล้วใช่ไหม ตอนที่พี่เขาบุกเข้ามาซักไซ้เรื่องนายที่นี่ ฉันก็พอจะเดาได้อยู่หรอก…เจ้านี่ นายคิดจะมีแฟนทั้งที นายควรจะบอกเรื่องของตัวเองให้รู้บ้างนะ จะได้เตรียมรับมือล่วงหน้าได้ อยู่ๆ มาหายตัวไปแบบนั้น มันใช้ได้เหรอ เพราะนาย เกือบจะเกิดสงครามพี่น้องขึ้นแล้วรู้ไหม” 

 

 

 


ตอนที่ 5-2

 

ตอนที่ 5-2 เยียวยา

 


 


 


 


คำพูดของเซจุนที่ทำเอาตกตะลึงจนพูดไม่ออก ทำให้สติของจองอูหลุดลอยไปไกล 


 


 


“เขามาตามหาผมที่นี่เหรอครับ” 


 


 


“อื้อ มาขอร้องให้ช่วยบอกที่ที่นายพอจะไปได้ แล้วสักพักก็กลับออกไปเลย แต่ก็นะ เทียบกับนิสัยปกติแล้ว พี่เขาดูจะนิ่งๆ อยู่บ้าง ยังไงซะ หลังจากวันนั้นซองฮีก็ดูหัวเสียไม่เบาเลย…สองคนนั้นไม่มีใครบอกนายเลยเหรอ?” 


 


 


“ไม่เลยครับ ผมก็เพิ่งรู้ตอนนี้นี่แหละ” 


 


 


“ก็คงจะอายละมั้ง งั้นนายก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปน่ะดีแล้ว” 


 


 


“ครับ” 


 


 


เซจุนที่เอาแต่พูดพล่ามมาช่วงหนึ่ง ก็เริ่มต้นพูดคุยเรื่องจริงจังกับจองอูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม 


 


 


“นี่ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก มีซิงเกิลที่เคยทำด้วยกันครั้งก่อนน่ะ คิดว่าจะเอาเพลงนั้นกับเพลงที่ปรับทำนองครั้งก่อนมารวมกันเป็นดิจิตอลซิงเกิล สนใจจะทำด้วยกันไหม เจ้าพวกนั้นบอกว่าอยากทำงานกับนายกันนะ” 


 


 


“ช่วงนี้ผมว่างๆ อยู่แล้วครับ แล้วก็ยังไม่ได้คิดวางแผนว่าจะทำอะไรด้วย ดูเหมือนเป็นโอกาสที่เหมาะพอดีเลยครับ” 


 


 


“งั้นเหรอ? แต่ถ้าทำงานมันจะไม่เป็นปัญหากับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อีกใช่ไหม” 


 


 


“ถ้ามัวแต่กังวลเรื่องนั้น คงไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะครับ พี่ก็รู้อยู่นี่” 


 


 


จองอูพูดออกมาเช่นนั้น พร้อมกับจ้องมองไปที่เซจุน 


 


 


“ถ้าเป็นเพลงที่ปรับทำนอง ใช่ที่ผมมาช่วยดูครั้งก่อนหรือเปล่าครับ ถ้างั้นก็คงไม่จำเป็นต้องฟังอีกรอบแล้วล่ะครับ” 


 


 


“อย่างนั้นมันก็ใช่แหละ แต่มันก็มีจุดที่ปรับเปลี่ยนที่นายยังไม่รู้ด้วยนะ” 


 


 


“เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันตอนที่อยู่พร้อมหน้ากันดีกว่าครับ แล้วจะเริ่มทำกันเมื่อไหร่ล่ะครับ” 


 


 


“เดี๋ยวพอมารวมตัวกันครบแล้วจัดการวางตารางงานเสร็จ จะติดต่อไปอีกทีแล้วกัน เรื่องสัญญาก็ค่อยมาดูตอนนั้นด้วยเป็นไง” 


 


 


“ครับ เอาตามนั้นเลยครับ” 


 


 


จองอูตอบรับกลับมาอย่างง่ายดาย พร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เขารู้สึกเป็นห่วงซองจูที่ก่อนออกมา เจ้าตัวทำท่าทางเหมือนหมดแรงแบบนั้น 


 


 


“เพิ่งมาก็จะไปแล้วเหรอ เย็นชาจังนะ” 


 


 


“มีที่ที่ต้องไปต่อน่ะครับ” 


 


 


จองอูพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเดินไปทางประตู เซจุนที่มองอีกฝ่ายอยู่ก็พลอยยิ้มขำออกมาด้วย 


 


 


“งั้นเหรอ ฝากทักทายพี่เขาด้วยล่ะ” 


 


 


“ครับ ท่าทางจะหัวเสียน่าดู ที่ผมทิ้งเขาไว้แล้วออกมาทีนี่ตอนนี้” 


 


 


“…พี่ซองจูน่ะนะ? อยู่มาตั้งนานก็เพิ่งจะเคยเห็นแบบนี้” 


 


 


คำพูดที่ไม่คาดคิดแบบนั้น ทำให้เซจุนได้แต่ยิ้มเจื่อน จองอูจึงค้อมศีรษะลงเพื่อบอกลาอีกฝ่าย 


 


 


“แล้วติดต่อมานะครับ ผมขอตัวก่อน” 


 


 


“อื้อ เดี๋ยวไว้เจอกัน” 


 


 


“ครับ” 


 


 


คำพูดของจองอูที่เอ่ยลาอย่างมีมารยาทพร้อมกับออกไปเช่นปกตินั้น เซจุนได้แต่ขบคิดมันอย่างถี่ถ้วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ออกมาอีกหน 


 


 


“ทำตัวซะผียังต้องร้องไห้เลยนะ ความรักทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” 


 


 


เสียงบ่นพึมพำเพียงลำพังของเซจุนดังก้องไปทั่วหน้าประตูที่เงียบสงบ ในหัวพาลนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ตอนที่ซองจูเข้ามาที่นี่ พร้อมกับน้ำตานองหน้านั่น 


 


 


 


 


 


จองอูที่ยอมรับข้อเสนอของเซจุนก็พาลให้เจ้าตัวยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ตอนที่บอกให้เลิกทำงานที่คาเฟ่กลับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน พอได้เริ่มทำเพลง อีกคนก็จัดการกับงานที่คาเฟ่ตั้งแต่นั้นทันที นั่นจึงทำให้ซองจูรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก 


 


 


นอกจากนี้เขาก็ไม่ชอบใจนัก ทำไมอีกคนถึงต้องไปร่วมงานกับวงของซองฮีด้วย ถ้ามองว่าเขาผิดปกติเพราะคิดว่าโดนซองฮีแย่งจองอูไปก็คงจะอย่างนั้น เพราะซองจูคิดอย่างนั้นจริงๆ 


 


 


อีกไม่นาน ตัวเขาเองก็ต้องเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์แล้ว มันจะเป็นแบบนี้อีกหรือเปล่า หากเราต้องห่างกันในระหว่างที่ทำงาน แบบนี้จะทำให้ความรู้สึกของเรามันห่างเหินไปด้วยหรือไม่นะ พอเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ เขาก็ไม่มีสมาธิในการอ่านบทอีกต่อไป ซองจูลุกพรวดขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ ทั้งที่ยังคงไม่อาจจัดการกับความรู้สึกไม่สบายใจที่เป็นอยู่ได้ 


 


 


“เวร ไม่ได้การแล้ว คงต้องไปสอดส่องว่าทำอะไรกันอยู่สักหน่อยแล้ว” 


 


 


เขาพึมพำกับตัวเองเช่นนั้น พร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินไปทางห้องแต่งตัว 


 


 


 


 


 


“ไม่สิ แบบนี้ไม่เหมาะกว่าแบบนั้นเหรอ กลองแจ็สจะทำให้ทำนองมันออกมาดูกระชับมากกว่านะ ถ้าเป็นไปได้ ใช้เป็นกลองไฟฟ้าก็ไม่เลวเหมือนกัน แล้วพี่เซจุนก็จะได้พักแป๊บนึงด้วยนะครับ” 


 


 


“เรื่องพักไม่พักสำหรับฉันไม่สำคัญหรอก มันไม่ได้ใช้แรงอะไรมากมายขนาดนั้นด้วยนี่ ลองแบบที่ไม่ใช้กลองไฟฟ้าดูก่อนเป็นไง มันน่าจะกระชับกว่านะ” 


 


 


“ก็ถ้าพี่ว่าแบบนั้น มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ว่า…” 


 


 


ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง 


 


 


“ใครมาในเวลาแบบนี้นะ ฮยอนจิน นายออกไปดูหน่อยสิ” 


 


 


เสียงกริ่งที่ดังก้องไปทั่วห้องซ้อมในกลางดึก ในขณะที่กำลังประชุมกันมาถึงจุดสำคัญ เวลาในตอนนี้ได้เลยผ่านช่วงสี่ทุ่มมาแล้ว คนที่จะมาในเวลานี้ได้คงจะเป็นประธานกลุ่มแม่บ้านแถวนี้ ที่มาหาเพื่อต่อว่าเรื่องทำเสียงดังรบกวน หรือไม่ก็คงเป็นคนในละแวกใกล้เคียง หรืออาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับแจ้งความไปก็เท่านั้น บรรดาสมาชิกวงที่ตื่นตกใจกับเหตุกะทันหันนี้พากันวางมือจากงานที่ทำอยู่ แล้วก็มองตามหลังฮยอนจินที่วิ่งดุ๊กๆ ไปทางประตู 


 


 


“ใครครับ…เอ่อ? เอ้ย คือว่า เอ่อ แป๊บนึงนะครับ!” 


 


 


คนที่ได้เห็นผ่านทางจอมอนิเตอร์ทำให้ใจหายใจคว่ำ กระทั่งพูดยังตะกุกตะกักไปหมด ก่อนที่เจ้าตัวจะร้อนเปิดประตูให้อีกคนเข้ามา ในเวลาแบบนี้ใครกันที่มาที่นี่ บรรดาสมาชิกวงคราฟท์และจองอูต่างพากันจ้องมองไปที่ประตู พร้อมกับชะโงกหน้าไปดู 


 


 


“นี่ พวกนายทำไมถึงได้ทำงานกันดึกดื่นขนาดนี้ เป็นหนี้เหรอ” 


 


 


เสียงบ่นที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงปิดประตู มันช่างฟังดูคุ้นเคยอย่างมาก สีหน้าของทุกคนที่ได้ยินน้ำเสียงนี้ต่างเคร่งเครียดไปตามๆ กัน 


 


 


“ไอ้บ้านั่น ทำไมถึง…” 


 


 


ในบรรดาคนเหล่านั้นคนที่ดูจะเดือดร้อนที่สุดก็คือเจ้าของเสียงเมื่อครู่และรั้งตำแหน่งนักร้องนำของวง ซองฮีนั่นเอง เจ้าตัวขมวดคิ้วจนเป็นปม พร้อมกับเขม้นมองด้วยความไม่พอใจไปยังจองอูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเอง สีหน้าของอีกคนก็เคร่งเครียดไม่ต่างกัน 


 


 


“นายเรียกมาเหรอ แยกแยะไม่ได้รึไง” 


 


 


จองอูส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายให้กับคำพูดนั้น 


 


 


“เปล่านะครับ ปกติผมไม่เคยเล่าเรื่องดนตรีให้ฟังเลยด้วยซ้ำ” 


 


 


จองอูโต้แย้งออกไปอย่างหนักแน่น พร้อมกับเบือนสายตาไปมองทางประตู ด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก 


 


 


“เอ่อ พี่ครับ ทำไมถึงได้มาเอาป่านนี้ล่ะครับ ไม่ยอมโทรมาบอกกันเลย” 


 


 


เซจุนผู้ครองตำแหน่งคุณแม่ของวงคราฟท์ เป็นคนแรกที่ตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว เจ้าตัวจึงได้รีบเร่งสาวเท้าไปทางซองจู อีกคนรับถุงของกินที่ซองจูถือมาเต็มสองแขน ก่อนจะใช้เท้าเตะเข้าที่หน้าแข้งฮยอนจินที่ยืนเหม่ออยู่ด้านหน้านั่น 


 


 


“โอ๊ย!” 


 


 


“นี่ ยังไม่รีบรับไปอีก” 


 


 


พวกนั้นถือถุงไว้เต็มสองมือ เดินตามหลังซองจูเข้ามาภายในห้องซ้อม 


 


 


“พี่น่าจะโทรมาบอกกันสักหน่อยว่าจะเข้ามา ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พี่ต้องลำบากไปซื้อของพวกนี้มาให้พวกผม…” 


 


 


“มาห้องซ้อมของน้องชายทั้งที จะให้มามือเปล่าได้ยังไงล่ะ ฉันต้องหาอะไรติดไม่ติดมือมาด้วยสิ” 


 


 


เขาอมยิ้ม ขณะเฝ้ามองดูบรรดาสมาชิกวงที่ทยอยเอาต็อกบกกี ไส้กรอกเลือด ของทอดที่เป็นพวกอาหารว่างและขนมออกมาวางบนโต๊ะ ซองจูมีสีหน้าสดใสอย่างมาก แต่บรรดาสมาชิกวงคราฟท์ที่ได้เห็นท่าทางเช่นนั้น สีหน้ากลับดูตื่นตะลึงจนตาเบิกโพลง ฮันซองจูที่ไม่เคยมีท่าทางอ่อนโยนกับซองฮีเลยสักครั้ง ถึงขนาดใช้คำพูดว่าน้องชายของฉัน ทว่าพวกเขาก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่อีกคนจะดูแลซองฮี 


 


 


แววตาที่เต็มไปด้วยความข้องใจ ย้ายไปรวมกันที่จองอูทันที บรรดาสมาชิกที่ต่างก็รู้เรื่องที่ว่าจองอูคบกับซองจูแล้ว จึงได้หันไปถามหาความรับผิดชอบจากอีกคน 


 


 


“ไม่เห็นบอกว่าจะมา” 


 


 


ในที่สุดจองอูก็ยอมแพ้กับสายตาที่มองมา แล้วจึงได้เอ่ยถามซองจูออกไป 


 


 


‘พูดไม่มีหางเสียงด้วย! นายเด็กที่สุดในนี้เลยนะ! แถมยังพูดกับฮันซองจูเนี่ยนะ!’ 


 


 


สายตาตื่นตกใจของคนพวกนั้น กำลังบอกแบบนี้ออกมา แต่ซองจูกลับไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางนั้น เพียงวาดยิ้มหวานพร้อมเอ่ยตอบจองอู 


 


 


“ก็ตอนกำลังนั่งอ่านบทอยู่ที่ห้อง จู่ๆ ก็คิดได้ว่าควรจะมาที่นี่สักหน่อย พอคิดดูแล้ว เหมือนว่าจะไม่เคยซื้อพวกของกินเล่นเข้ามาฝากเลยสักครั้ง ก็เลยไปซื้อของพวกนี้มาให้ ที่จริงก็อยากจะซื้ออะไรที่ดีกว่านี้อยู่หรอก แต่ว่าแถวนี้มันไม่ค่อยจะมีอะไรเลย ย้ายมาทั้งที เลือกที่ที่มันดีๆ หน่อยไม่ได้รึไง มีเหตุผลอะไรถึงได้ย้ายมาอยู่ที่ที่รอบๆ ไม่มีอะไรเลยแบบนี้กัน ราคามันถูกงั้นเหรอ” 


 


 


ก็คงจะอย่างนั้นล่ะ พูดออกมาตั้งยืดยาว พร้อมกับแสดงท่าทางเป็นพี่ชายที่แสนดีออกมา เอ่ยคำพูดที่ฟังดูใส่ใจคนอื่นอย่างเต็มที่ ขณะนั้นซองจูที่นั่งอยู่บนโซฟาก็เอ่ยปากออกมาอีกครั้ง 


 


 


“มัวนิ่งทำอะไรกัน รีบกินก่อนที่มันจะเย็นสิ” 


 


 


บรรดาสมาชิกรีบยัดอาหารที่ซองจูซื้อมาตามคำสั่ง แล้วมันก็เป็นการบังคับให้หยุดพักไปในตัวด้วย 


 


 


“ช่วงนี้พี่ยุ่งๆ ไม่ใช่เหรอครับ เห็นมีข่าวว่าพี่กำลังจะร่วมแสดงหนังเรื่องใหม่” 


 


 


ในบรรดาทั้งหมด คนที่มีความกล้าที่สุดและยังได้รับความชื่นชอบจากซองจูด้วยก็คือเซจุน เขายังคงเป็นตัวแทนเผชิญหน้ากับซองจูต่อไป ซองจูมองไปยังเซจุนที่กำลังเคี้ยวต็อกบกกีอยู่ ก่อนจะเอ่ยตอบไป 


 


 


“อีกสักพักแหละกว่าจะเริ่มเปิดกล้อง ตอนนี้ก็กำลังลองอ่านบทอยู่ แต่เพราะรู้สึกว่าไม่มีสมาธิเลยไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าพักนานไปล่ะมั้ง เพราะงั้นก็เลยออกมาสูดอากาศแล้วก็มาที่นี่ด้วยเลย” 


 


 


ซองจูพูดเช่นนั้น พร้อมกับดื่มน้ำแร่ที่เซจุนส่งให้เข้าไปอึกหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ เขาเข้าสู่ช่วงคุมน้ำหนัก ต็อกบกกี ของทอด ของกินเล่นต่างๆ เขาจึงไม่สามารถหยิบมันเข้าปากได้เลย เซจุนสงสัยว่ามีเหตุผลอะไร ทำไมอีกคนถึงได้ซื้อแต่ของที่ตัวเองกินไม่ได้มาแบบนี้ แล้วเมื่อได้เห็นว่าสายตาของซองจูนั้นทอดมองไปที่ไหน เขาก็เข้าใจมันได้ทันที อาหารพวกนี้เป็นของชอบของเจ้าจองอูที่มีต่อมรับรสแบบเด็กๆ นั่นเอง 


 


 


“จะไม่กินจริงๆ เหรอครับ” 


 


 


“ขืนกินเข้าไปคำนึง ฉันต้องทนลำบากไปอีกเป็นอาทิตย์ๆ แน่ พวกนายน่ะกินเข้าไปเถอะ อย่าให้เหลือเด็ดขาด” 


 


 


ซองจูขู่ไปเช่นนั้น ก่อนจะยกน้ำขึ้นมาดื่มอีกอึก เซจุนที่กำลังลำบากใจจากสายตากดดันของเจ้าพวกนั้นที่มองมา จึงได้เอาแต่ยัดต็อกบกกีและไส้กรอกเลือดเข้าปากอย่างแข็งขัน ในตอนนั้นเอง ซองฮีที่ยังไม่คลายสีหน้าเคร่งเครียดลง จึงได้เอ่ยปากถามซองจู 


 


 


“ที่จริงไม่มีความจำเป็นอะไรที่นายต้องสนใจ ฉะนั้นอย่าโผล่มาโดยพลการแบบนี้อีก เราทำงานกันอยู่ แล้วมันก็ขาดตอน” 


 


 


“อวดดี…ซื้อของมาให้ก็ยังไม่ยอมกิน ถือตัวขนาดนั้น เป็นพวกธุรกิจรัดตัวนักรึไงกัน” 


 


 


“นายซื้อมาให้ฉันรึไงล่ะ ซื้อมาให้จองอูต่างหาก ถ้าจะพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ เลย นายเคยสนใจดูแลฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นักแสดงเจ้าบทบาทแบบนาย แค่พูดตรงๆ แค่นั้นก็ทำไม่ได้รึไง” 


 


 


ซองฮีพูดแบบนั้นโจมตีซองจู ในตอนนั้นเองจองอูก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหน้ากากที่ซองจูสวมเอาไว้แตกร้าว แต่ทว่าหน้ากากนั่นดูจะแข็งแกร่งกว่าที่คิด ซองจูไม่ได้ใส่ใจกับเส้นเลือดที่ปูดโปนบนหน้าผากตัวเอง แล้วเจ้าตัวก็ยกยิ้มออกมา 


 


 


“ว้าว น้องชายฉันดูจะน้อยใจนะเนี่ย เพราะงั้นฉันเลยซื้อของว่างมาให้ยังไงล่ะ กินเข้าไปเยอะเลยนะ หืม?” 


 


 


ท่าทางซองจูที่ทำราวกับกำลังคุยอยู่กับเด็กๆ ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ในตอนนั้นเอง จองอูจึงได้หยิบคุกกี้ออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วยัดมันใส่ในมือของซองจู 


 


 


“กินนี่สักหน่อยสิ” 


 


 


คำพูดนั้นแค่คำเดียวก็ทำให้ซองจูหุบปากและเคี้ยวคุกกี้อย่างกลัวคนจะแย่งไป ส่วนจองอูที่อยู่ข้างๆ ก็รินน้ำแร่ให้อีกคนอย่างเงียบๆ ท่าทางเช่นนั้นทำให้คนที่อยู่รอบๆ เบิกตาโพลงด้วยความตื่นตะลึง ส่วนซองฮีกลับมองไปที่พี่ชายของตัวเองด้วยสายตาเย็นชา 

 

 

 


ตอนที่ 5-3

 

ตอนที่ 5-3 เยียวยา

 


 


 


 


“ลั้ลลา ลั้ลลา” 


 


 


ซองจูเอาแต่ฮัมเพลงทั้งที่ไม่เคยทำมานานมากแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาบุกเข้าไปยังห้องซ้อมของซองฮี พอได้สอดส่องด้วยตาตนเองจนพอใจแล้ว อารมณ์ที่ดิ่งลงอยู่ช่วงหนึ่งก็กลับมาสดใสเบิกบานอย่างรวดเร็ว ยิ่งเขาคิดถึงมัน ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ดีจนเหมือนเป็นพวกไบโพลาร์ ถึงขนาดที่ทำให้มินซิกต้องถามว่าเขาไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นซองจูก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรมินซิก เพราะว่าเขาน่ะ อารมณ์ดีมากๆ เลยละ 


 


 


ถึงเรื่องที่เราเป็นคนรักกันจะไม่ได้ถูกป่าวประกาศไปทั่ว แต่ว่าในบรรดาคนรอบตัวที่รับรู้ต่างก็จับตามองความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจองอู แต่เขากลับสบายใจ แน่นอนว่ามีคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่เสียสติ แต่ถึงอย่างไร หลังจากวันนั้นเวลาที่ซองจูไปเจอจองอูที่ทำงานกับวงคราฟท์ ทุกคนก็ไม่ได้ทำท่าอึดอัดใจ ดังนั้นจองอูจึงได้สามารถทำงานต่อไปได้อย่างสบายใจ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย 


 


 


“อีกเดี๋ยวจองอูก็จะมาแล้ว พอก่อนดีกว่า” 


 


 


เขาวางบทที่ถือเอาไว้ลง แล้วจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ซองจูพยายามแกะบทอย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจกับคาแรกเตอร์ให้ได้อย่างถ่องแท้ มันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เจ้าตัวไม่ได้ทำงานนี้อย่างส่งๆ ซองจูขยับตัวไปทางห้องครัว เมื่อเท้าเหยียบเข้าไปถึงที่นั่น ก็ได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นมาในทันที 


 


 


“อะไรกัน ใครมาเวลานี้เนี่ย” 


 


 


เจ้าตัวบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะค่อยๆ เดินไปทางประตู 


 


 


“บ้าอะไรเนี่ย…หมอนั่นมีเรื่องอะไร” 


 


 


ใบหน้าของซองจูที่ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร เมื่อได้มองไปยังมอนิเตอร์ สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที คนที่อยู่ในจอมอนิเตอร์ไม่ใช่ใครอื่น หากเป็นซองฮีนั่นเอง 


 


 


“มีอะไร มาหาฉันถึงนี่เลยนะ” 


 


 


พอซองจูเปิดประตูออกก็โพล่งถามซองฮีออกไปในทันที ไม่ได้คิดจะชวนอีกฝ่ายทะเลาะ แต่เขาถามเพราะกำลังรู้สึกสงสัยจริงๆ ซองฮีแทรกตัวเข้ามาภายในห้อง โดยไม่ได้ตอบคำถามนั้น 


 


 


“อยู่คนเดียวเหรอ” 


 


 


“เคยเห็นมีใครเข้ามาในห้องฉันหรือไงล่ะ” 


 


 


“ก็มินซิกกับจองอูไง” 


 


 


“มินซิกมาเมื่อเช้า แล้วก็กลับไปแล้ว ส่วนจองอูไม่อยู่” 


 


 


คำตอบนั้นทำให้สีหน้าของซองฮีผ่อนคลายลงนิดหน่อย 


 


 


“อะไรของนาย นี่คงไม่ได้ตั้งใจจะมาคุยกับฉันอย่างนั้นหรอกใช่ไหม”  


 


 


ซองฮีไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธ 


 


 


“เรื่องอื่นนายจะเอาแต่ใจตัวเองยังไงก็เรื่องของนาย…” 


 


 


“พูดบ้าอะไร” 


 


 


“เพราะนิสัยเฮงซวยของนาย ทำให้ฉันห่วงแทบบ้า กลัวว่านายจะทำผิดกับจองอู ถ้าเกิดนายทำผิดกับจองอูขึ้นมา ฉันไม่อยู่เฉยๆ แน่” 


 


 


ซองจูที่ได้ยินคำพูดนั้นของอีกคน ก็ได้แต่รู้สึกว่ามันช่างเหลวไหลสิ้นดี 


 


 


“นายบ้าไปแล้วหรือไง” 


 


 


คำพูดนั้นทำเอาซองฮีขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


“ถ้าจะเป็นห่วง นายควรต้องห่วงฉันไหม ฉันเป็นพี่ชายนายนะ ฮันซองจูคนนี้เนี่ย ตั้งสติหน่อยเถอะ” 


 


 


“ฉันบอกแล้วใช่ไหม อย่ามาเสแสร้งทำตัวเป็นพี่ ถ้านายไม่ได้มีความเป็นพี่เลยสักนิด” 


 


 


“ถึงยังไงความจริงที่ว่าฉันเป็นพี่ชายนายมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปหรอกนะ แล้วฉันก็ไม่เคยคิดจะทำตัวเป็นพี่ชายอยู่แล้วด้วย” 


 


 


“เมื่อไม่กี่วันก่อน ที่ซื้อของกินเข้ามานั่นล่ะ นั่นคืออะไรเหรอ” 


 


 


“ฉันซื้อไปให้นายกินงั้นเหรอ ฉันซื้อไปให้จองอูกินต่างหากล่ะ นายนี่มันไม่มีเซ้นส์ซะเลยนะ” 


 


 


คำพูดที่ทำให้อึ้งจนพูดไม่ออกนั่น ทำเอาแววตาของซองฮีเหมือนมีประกายไฟลุกโชติช่วงขึ้นมา 


 


 


“นี่ อย่าห่วงเลย ถึงนายจะไม่ห่วง ฉันก็กำลังพยายามทำให้มันผ่านไปด้วยดีอยู่แล้ว ถ้าเกิดทะเลาะกัน มันก็เป็นเรื่องของฉันกับเจ้าเด็กนั่น ทำไมนายต้องเสนอตัวมายุ่งด้วยล่ะ ฉันเคยเข้าไปยุ่งตอนนายคบกับฮเยจองหรือไง” 


 


 


“ก็มันน่าเป็นห่วงนี่!” 


 


 


“ฉัน? หรือว่าคิมจองอู” 


 


 


เขาถามพร้อมกับพยักพเยิดหน้าให้กับซองฮี ซึ่งอีกคนไม่ได้ตอบกลับมาในทันที อันที่จริงเขาก็ห่วงพี่ชายพอๆ กับจองอูนั่นล่ะ 


 


 


สิ่งหนึ่งที่ซองฮีรู้ก็คือนิสัยของคนทั้งคู่ไม่ได้เข้ากันเลย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นมนุษย์ประเภทที่คล้ายคลึงกัน เป็นพวกที่เข้ากับคนในสังคมไม่เก่ง มีอะไรก็มักจะอดทนและเก็บกดมันเอาไว้ แล้วในช่วงวิกฤตของชีวิต คนทั้งคู่ก็กลับมามีชีวิตใหม่ได้อีก นั่นคือสิ่งที่เหมือนกันของทั้งคู่ หากในระหว่างที่ทั้งคู่คบกัน ดันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา มันคงจะจัดการได้ไม่ง่ายดายนัก ถึงในตอนนี้เขาจะอยู่ข้างจองอู แต่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ซองฮีก็พร้อมที่จะกลับไปยืนข้างซองจูในทันที นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจไว้อยู่แล้ว 


 


 


“เฮ้อ ตอนนี้เรื่องนั้นมันสำคัญนักหรือไง” 


 


 


“สำคัญอยู่แล้ว แต่ว่านายไม่ต้องตอบหรอกนะ” 


 


 


“อะไร นายจะเอาไงกันแน่ ถ้าแบบนั้นนายจะถามทำไม” 


 


 


ซองจูที่มองมาทางซองฮี แล้วจึงค่อยเปิดปากตอบ 


 


 


“ถ้านายจะห่วง นายก็ควรห่วงเราทั้งคู่ แต่ถ้าจะดูแลใครสักคนก็ให้ดูแลจองอูก็พอ ไม่ต้องสนใจฉัน” 


 


 


“พูดบ้าอะไรอีกล่ะนั่น…” 


 


 


คำพูดของพี่ชายทำเอาเขาไม่เข้าใจความคิดของอีกคนเลย มันกำลังทำให้ซองฮีสับสน คำพูดของผู้เป็นน้องชายจึงได้ขาดห้วงไป ในระหว่างนั้นซองจูจึงพูดต่ออีกครั้ง 


 


 


“อย่างที่นายพูด เจ้านั่นเป็นคนที่ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเข้าข้าง แล้วก็ไม่มีครอบครัวด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างฉันกับจองอู ยังไงซะ ฉันก็ยังมีคนคอยอยู่เคียงข้าง ทั้งมินซิก ทั้งพี่ดงฮยอน แต่ว่าเจ้าเด็กนั่น นอกจากพี่ดงฮยอนก็ไม่มีใครอีกแล้ว เพราะฉะนั้นนายก็อยู่ข้างคิมจองอูไปนั่นแหละ ยังไงนายก็ไม่ได้ชอบใจฉันอยู่แล้ว แบบนั้นก็เหมาะเจาะพอดีเลยไง หรือว่าไม่ใช่” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้ซองฮีพูดอะไรไม่ออก 


 


 


“แต่ยังไงการที่นายบุกมาถึงที่นี่ แล้วมาแสดงท่าทางนักเลงใส่กันแบบนี้ ฉันคงไม่ทนด้วยหรอกนะ จะห่วงก็ช่วยห่วงอยู่ในใจก็พอนะ การที่นายมาแสดงท่าทีไม่เข้าท่ากับพี่น้องสายเลือดเดียวกันแบบนี้ มันก็ทำให้เหนื่อยเหมือนกันนะ” 


 


 


ซองจูพูดเช่นนั้น ก่อนจะขยับไปทางห้องนั่งเล่นอย่างช้าๆ 


 


 


“พูดจบแล้วใช่ไหม ถ้างั้นก็รีบๆ กลับไปซะ อีกเดี๋ยวจองอูก็จะกลับมาแล้ว ถ้าเห็นนายกับฉันอยู่ด้วยกันแบบนี้ คงได้สงสัยตายว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันไม่อยากให้เจ้านั่นมาเห็นเข้าหรอกนะ” 


 


 


ซองจูออกมาพูดเช่นนั้น ด้วยท่าทางพร้อมไล่แขกไม่รับเชิญออกไป ซองฮีที่แสดงท่าทีข่มขู่ออกมา ต่างจากปกติที่มักจะสุขุมเยือกเย็น ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ก่อนจะออกจากห้องของซองจูไปด้วยท่าทางราวกับถูกบังคับ 


 


 


รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเสียอย่างนั้น 


 


 


เขาคิดว่าอีกคนคงไม่ได้คบหากันอย่างลึกซึ้งอะไรนัก เหมือนกับคราวของเซจอง แต่ดูแล้วจองอูพิเศษกับซองจูมากกว่าที่คิดเสียอีก จากที่เป็นห่วงจองอูว่าจะต้องเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ กลับกลายเป็นซองจูที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า ซองฮีเริ่มกังวลว่าเพราะนิสัยใจร้อนของตัวเองจะไปสร้างบาดแผลให้ซองจูหรือไม่ กับซองจูที่เป็นที่คาดหวังของพ่อแม่ เขารู้ดีกว่าใครว่าการทำแบบนั้นมันเป็นการแหกคอกดีๆ นี่เอง 


 


 


“เจ้าพี่ชายงี่เง่าเอ๊ย…” 


 


 


ตลอดเวลาที่เดินกลับไปยังรถที่จอดทิ้งไว้แถวๆ นั้น นอกจากประโยคนั้นแล้ว ซองฮีก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก วันนี้มันช่างทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในใจเสียจริง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


[นี่ ผู้กำกับคนนี้เป็นพวกโรคจิตชัดๆ ซีนเดียวแต่สั่งให้ถ่ายเป็นสิบๆ ครั้ง เหนื่อยจะตายอยู่แล้วเนี่ย] 


 


 


[ถึงอย่างนั้น ก็ได้เรียนรู้อะไรตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ] 


 


 


[โดนขนาดนั้นมันก็แน่อยู่แล้ว! ฉันเองเวลาทำงานก็เป็นพวกจู้จี้ แล้วก็ชอบความสมบูรณ์แบบอยู่แล้วนะ แต่พอเทียบกับคนๆ นี้แล้วคนละเรื่องเลย…] 


 


 


[ทนหน่อยเถอะ อีกไม่นานก็ถ่ายจบแล้วไม่ใช่เหรอ] 


 


 


[เหลืออีกตั้งอาทิตย์นึงเลยนะ] 


 


 


ในยามบ่าย หลังจากถ่ายภาพยนตร์เสร็จแล้ว ซองจูก็หมกตัวอยู่ในห้องพัก และเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับหน้าจอมือถือ 


 


 


เขาคิดว่าการถ่ายทำภาพยนตร์แนวชีวิตสบายๆ มันคงไม่หนักหนาอะไรสักเท่าไร แต่ทว่า ดูเหมือนซองจูจะคิดผิดมหันต์ ผู้กำกับอาวุโสที่ถูกเรียกขานว่าเป็นปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์ แท้จริงเป็นพวกคลั่งความเพอร์เฟกต์ เพื่อซีนเดียว เขากลับสั่งเทคแล้วเทคอีกเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ไม่ได้ต่างจากเสียงร่ำลือเลยสักนิด เพราะแบบนั้นซองจูจึงต้องถ่ายฉากเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า จนล้าไปหมดแบบนี้ 


 


 


แน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็อย่างที่จองอูบอกนั่นแหละ แต่ปัญหาอยู่ที่ร่างกายที่อ่อนล้าไปหมดนี่ต่างหาก 


 


 


นอกจากนี้โลเคชั่นตามเนื้อเรื่องอยู่ที่ชนบท ดังนั้นโลเคชั่นในการถ่ายทำทั้งหมดจึงอยู่ในเขตชนบท ตลอดเวลาหนึ่งเดือนนั้นเขาคุ้นเคยกับการที่ต้องขนข้าวของมาอยู่ที่โรงแรม แล้วก็ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ มันทำให้คิดถึงสมัยเรียนที่ต้องทนลำบากเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาคอยดูแลยิ่งกว่าตอนนี้ ความลำบากตอนนี้จึงไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่สักเท่าไร สิ่งที่ลำบากจริงๆ คือการที่ต้องอยู่ห่างจากจองอูต่างหาก 


 


 


พอถ่ายทำเสร็จซองจูก็จะรีบกลับมายังที่พัก แล้วก็ส่งข้อความไปปลุกจองอูให้ตื่นมาคุยกัน ซึ่งมันมักจะทำให้เขาคิดไปถึงช่วงเวลาก่อนนี้ ที่จองอูทิ้งเขาไว้แล้วก็หนีไป เทียบกับตอนนั้นแล้ว การได้คุยโทรศัพท์ ได้ส่งข้อความหากันแบบนี้ ยังนับว่าดีกว่าตอนนั้นอยู่มาก เขาไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ หากไม่มีความอบอุ่นและความผ่อนคลายที่ได้รับจากอีกคน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาใช้ชีวิตแบบนี้ ซองจูคิดว่าตัวเองกำลังเสพติดจองอูเข้าให้แล้ว 


 


 


“ฮันซองจูสบายดีนะ” 


 


 


“อะไร มาทำไม” 


 


 


“มันก็แน่นอนอยู่แล้วนี่ที่ประธานต้องมาดูแลนักแสดงในสังกัดน่ะ นายควรจะรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำ ทำไม ถ้าฉันจะมาดูแลนายทุกวันแล้วมันจะทำไม” 


 


 


ดงฮยอนที่เปิดประตูเข้ามาแบบกะทันหัน ทำให้ซองจูเบะปากออกมาในทันที คนที่อยากให้มากลับไม่ยื่นจมูกมาให้เห็น แต่คนไร้ประโยชน์พวกนี้ก็มากันบ่อยเสียเหลือเกิน แต่อย่างไรในสายตาคนอื่น ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่เหมาะจะออกมาแสดงตัวนัก แม้จะรู้ดีว่าเรื่องที่อีกคนจะโผล่มาถึงที่นี่มันช่างริบหรี่ แต่เขาก็ยังอดบ่นพึมพำออกมาไม่ได้ 


 


 


จองอูที่เมื่อครู่ยังส่งข้อความคุยกับเขา จู่ๆ ก็ดันมีงานด่วนแทรกเข้ามา เลยได้แต่ส่งข้อความทิ้งท้ายไว้ว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับมาใหม่ ก่อนจะหายไป ซองจูจึงยิ่งเบะปากออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ 


 


 


“คราวนี้มีเรื่องอะไรอีก” 


 


 


“เฮ้อ นายนี่ วันนี้ตอนถ่ายมีเรื่องอะไรหรือไง ทำไมถึงได้ดูหงุดหงิดขนาดนี้” 


 


 


“เฮ้อ ไม่รู้สิ เอาแต่บอกให้เล่นซีนเดิมซ้ำๆ จนจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย ถ้าบอกให้ลองเปลี่ยนโทนเสียงตอนแสดงก็ไม่อะไรหรอก แต่ที่มันน่าหงุดหงิดคืออะไรรู้ไหม ถ่ายซีนเดียวอยู่เกือบจะร้อยรอบ แต่สุดท้ายก็บอกว่าที่ถ่ายไปอันแรกดีกว่า พอเป็นแบบนั้น ทุกครั้งที่โดนสั่งให้ถ่ายใหม่ รู้สึกเหมือนจะคลุ้มคลั่งไปจริงๆ เลยนะ พี่ ฉันมาถ่ายเรื่องนี้ทำไมเนี่ย” 


 


 


เสียงพร่ำบ่นของซองจู ทำเอาดงฮยอนถึงกับขำออกมา 


 


 


“ฮ่าๆ โธ่ ฟังดูแล้วมันก็น่าหงุดหงิดนั่นแหละ แต่ว่านะ ทำไงได้ ตอนเริ่มก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าการถ่ายทำมันจะเป็นแบบนั้นนี่นา นายเองก็จะได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างด้วย” 


 


 


“โอ๊ย พี่ก็ยังมาพูดแบบเดียวกันอีก” 


 


 


คำพูดของซองจูทำให้ดงฮยอนเกิดความสงสัย 


 


 


“ใคร ใครพูดแบบนั้นเหรอ” 


 


 


“ก็มีแล้วกันน่า” 


 


 


ท่าทางตอบปัดอย่างไม่ใส่ใจของซองจู ทำให้ดงฮยอนที่ได้เห็นท่าทางนั้นถึงกับยกยิ้มมุมปาก คงเป็นเจ้าจองอูสินะที่พูดน่ะ เขาคิดเช่นนั้น ก่อนจะโยนบางอย่างไปหาซองจูโดยไม่บอกอะไร 


 


 


“นี่ รับไปซะ” 


 


 


“เฮ้ย! อะไรเนี่ย ไอ้นี่น่ะ” 


 


 


ซองจูรีบเอื้อมมือไปรับเจ้าวัตถุปริศนาที่ลอยละลิ่วมาหาตัวเองเอาไว้ สิ่งที่อยู่ในมือเขาตอนนี้ก็คือ USB อันเล็กๆ อันหนึ่ง 


 


 


“ไอ้นี่มันอะไรอีก คงไม่ใช่หนังโป๊อะไรแบบนั้นหรอกนะ”

 

 

 


ตอนที่ 5-4

 

ตอนที่ 5-4 เยียวยา

 


 


 


ซองจูพลิกเจ้า USB นั่นไปมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีนัก


 


 


“คำพูดคำจานายนี่มัน…ถ้าใช่แล้วจะทำไม ฉันก็แค่เอาให้ตามคำสั่งหรอก ขอบคุณสักคำก็ไม่มี ยังจะพูดหมาๆ แบบนั้นอีกเหรอ เข่าอ่อนเลยเนี่ย ให้ตายเถอะ”


 


 


“คำสั่ง? คำสั่งอะไร”


 


 


“ก็ไอ้นั่นไง ไอ้นั่นน่ะ”


 


 


ดงฮยอนพยักพเยิดปลายคางชี้ไปยัง USB ที่อยู่ในมือของซองจู ซองจูจ้องมองมันด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้าๆ


 


 


“ยิ่งพูดมาแบบนี้มันยิ่งน่าสงสัยไปอีก ออกไปเลย เดี๋ยวผมเช็คเองว่ามันคืออะไรกันแน่”


 


 


“โอ้โฮ นี่! ถ้านายรู้ว่ามันเป็นอะไร นายจะต้องมาขอบคุณฉันแน่ๆ แต่นายกลับทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง!”


 


 


“บ้าเอ๊ย จู่ๆ ก็เอามาโยนให้แบบนี้ จะไม่ให้สงสัยได้หรือไง ไอ้นี่มันคืออะไรกันแน่”


 


 


ซองจูที่ไม่อาจอดกลั้นความโมโหเอาไว้ได้จึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมา พอเห็นเช่นนั้นดงฮยอนก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกับหัวเราะคิกคัก


 


 


“ดูทำสิ นายนี่ดูออกง่ายจริงๆ เลยนะ นี่ ฉันจะไปแล้ว ถือ USB นั่นไว้ให้แน่นจนกว่าจะไปถึงโซลนะ แล้วก็อยู่แบบนั้นไปอีกพันปีหมื่นปีเลย”


 


 


“บ้าเอ๊ย ก็ดูไม่เห็นจะมีอะไรสักนิด คงจะเป็นบทภาพยนตร์เรื่องต่อไปละสิ กลับดีๆ ล่ะ อย่าไปทะเลาะกับพี่ยองอุกอีกล่ะ”


 


 


“อยู่ที่นี่จะพูดถึงยองอุกขึ้นมาทำไมกัน”


 


 


“ที่ถามเนี่ยเพราะไม่รู้จริงๆ เหรอ ไปได้แล้ว รีบไปไกลๆ เลย”


 


 


ซองจูโบกมือไล่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ ดงฮยอนได้แต่โมโหให้กับท่าทางไร้ความจริงใจแบบนั้น ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา เมื่อแน่ใจว่าประตูปิดลงแล้ว และอีกคนก็ออกไปแล้ว เจ้าตัวจึงกลับมามองพิจารณา USB ที่ถืออยู่ในทันที


 


 


“มาเพราะเรื่องงานจริงๆ เหรอ ของแบบนั้นส่งเมลล์มาก็ได้นี่ มันอะไรกันแน่นะ…”


 


 


ซองจูที่บ่นพึมพำ พร้อมจ้องมองเจ้า USB อยู่พักหนึ่งจึงได้ตัดสินใจเปิดฝาโน้ตบุ๊กออก แล้วเปิดเครื่อง ก่อนจะจัดการเสียบ USB เข้าไป เมื่อติดตั้งไดร์ฟเรียบร้อย โฟลเดอร์ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ ในตอนนั้นเองสีหน้าของซองจูก็ดูเหนื่อยหน่ายใจ


 


 


“อะไรเนี่ย ไฟล์เสียงเนี่ยนะ”


 


 


เมื่อได้เห็นข้อมูลที่ถูกใส่ไว้ในโฟลเดอร์แล้ว ใบหน้าของซองจูก็ยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย แค่ที่จู่ๆ ก็โผล่มากะทันหันแบบนั้นมันก็น่าสงสัยพออยู่แล้ว ใน USB ที่ให้มาก็ยังใส่มาแค่ไฟล์เสียงแค่อันเดียว แบบนี้มันไม่ยิ่งน่าสงสัยกว่าเดิมเหรอ หรือว่าจะเป็นไฟล์ที่อัดเสียงที่เขาพูดถึงมุนเซจองให้ดงฮยอนฟังงั้นเหรอ นี่คงไม่ใช่การแบล็กเมล์จากดงฮยอนเพื่อให้เขายอมรับงานแปลกๆ หรอกนะ และแล้วซองจูก็รีบควานหาหูฟังในทันที


 


 


โชคดีที่หูฟังถูกวางทิ้งไว้ไม่ไกลจากตัวเขานัก เมื่อหาเจอแล้ว ซองจูก็จัดการเสียบมันเข้าไป แล้วกดเปิดไฟล์เสียงนั้นในทันที


 


 


สูดหายใจเข้าออกอย่างใจจดใจจ่ออยู่สักครู่ และทันใดนั้นเสียงกีตาร์อะคูสติกจังหวะแผ่วเบาก็ดังออกมาให้ได้ยิน มันเป็นเพลงที่ฟังดูเรียบๆ และอ่อนโยน เสียงเล่นดนตรีฟังดูไม่ค่อยดีนัก และดูไม่ชำนาญเอาเสียเลย แต่ว่าน่าแปลกที่หัวใจของเขากลับเต้นแรงขึ้นมา ซองจูหลับตาลงช้าๆ พร้อมกับเอนตัวลงนอนบนเตียง


 


 


แม้จะมีบางส่วนที่เสียงเดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบาเหมือนยังปรับไม่เข้าที่นักดังออกมา แต่โดยรวมแล้วเพลงที่อัดมานี้ มันกลับทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าของเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก ในระหว่างที่ทำนองเพลงยังคงบรรเลงต่อไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำฮัมตามดนตรีดังแทรกเข้ามา ซองจูลืมตาที่หลับอยู่ในทันที นั่นคือเสียงของจองอูอย่างแน่นอน


 


 


เขาลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง และตั้งใจฟังเพลงส่วนที่เหลือ แม้ว่ามันจะเป็นเพลงที่มีความยาวแค่สามนาทีซึ่งสั้นกว่าที่คิดไว้ แต่สำหรับซองจูมันกลับให้ผลดียิ่งกว่าการได้พักผ่อนเป็นชั่วโมงเสียอีก พอเพลงนั้นจบลง เขาก็ผละจากโน้ตบุ๊ก แล้วไปต่อสายโทรหาจองอูในทันที


 


 


“สวัสดีครับ”


 


 


รอไม่นานเท่าไรจองอูก็รับสาย แม้ว่าจะหยุดพักไปได้ไม่นานนัก และเขาก็รู้สึกได้ว่าอีกคนคงอยากจะถามว่าโทรมาอีกแล้วเหรอ แต่ตอนนี้ไม่สำคัญแล้วว่าจองอูจะรู้สึกอะไร ซองจูรีบตะโกนกลับไปในทันที


 


 


“นี่ เพลงน่ะ!”


 


 


คำพูดนั้นของซองจูทำให้จองอูยกยิ้มกว้างออกมา


 


 


“อ้อ ฟังแล้วสินะ”


 


 


พอได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูร่าเริงของอีกคน มันก็พลอยทำให้ซองจูรู้สึกอารมณ์ดีตามไปด้วย


 


 


“จู่ๆ ชินดงฮยอนก็มาหาฉัน แล้วเอาของที่ไม่มีที่มาที่ไปและดูไร้ประโยชน์แบบนั้นมาให้ ฉันก็เลยบ่นยับเลย…ที่จริงควรจะต้องชื่นชมด้วยซ้ำ”


 


 


“พี่ดงฮยอนมาได้ยินเข้าคงจะเสียใจแย่”


 


 


“ก่อนจะทันได้พูด ฉันก็ไล่ไปแล้วละ”


 


 


ซองจูหัวเราะคิกคัก ขณะที่พูดถึงดงฮยอนว่าต้องรู้สึกเสียใจมากแค่ไหน บางทีหากดงฮยอนมาได้ยินเข้าและได้เห็นว่าจองอูก็หัวเราะไปด้วย ก็คงได้ร้องไห้น้ำตาไหลพรากออกมาแน่ แล้วทั้งคู่ก็เริ่มพูดคุยเรื่องที่ยังคุยค้างเอาไว้ต่อ


 


 


“งานที่บอกเมื่อกี้เสร็จแล้วเหรอ”


 


 


“งานเมื่อกี้?”


 


 


“ก็นายบอกมีเรื่องด่วน”


 


 


“อ้อ นั่นน่ะ…พี่ซองฮุนเซฟไฟล์ที่อัดเสียงไปผิดน่ะ ก็เลยขอให้ช่วยส่งไปให้ใหม่อีกรอบ ตอนนี้หาเจอแล้ว ไม่เป็นไรแล้วละ”


 


 


“มินซองฮุนที่ปกติไม่เคยจะทำพลาดเลยแบบนั้นเนี่ยนะ ทำไมวันนี้ถึงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ เพราะมีแฟนก็เลยไม่มีสมาธิงั้นเหรอ”


 


 


“พวกพี่เขาก็คบกันนานมากแล้วนะ…ถ้าตัดเรื่องที่พี่ซองฮุนดูเหมือนคนทำท่าทางประหม่าอยู่ทุกวัน ก็คงเป็นคู่ที่ไม่หวือหวาอะไรล่ะมั้ง”


 


 


“ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นคนแบบไหน สำหรับเจ้าคนที่เหมือนกำแพงหินแบบนั้นแล้ว ก็คงต้องเป็นคนที่เรียกได้ว่ายอดคนแล้วละ”


 


 


“เป็นคนดีสินะ”


 


 


พูดออกมาแบบนั้นแล้วจองอูก็หัวเราะออกมาเบาๆ


 


 


“อ้า ก็ใช่แหละ แต่ว่าเพลงนี้มันอะไรกัน นายดีดกีตาร์เองเหรอ พอดีดไอ้นั่นแล้ว ดูจะอัดเสียงได้ไม่ดีเท่าไหร่สินะ”


 


 


“อ้อ นั่นน่ะ เป็นเพลงที่กำลังคิดว่าจะเอาไปใส่ในโซโล่อัลบั้มดีไหมน่ะ”


 


 


“ว่าแต่ทำไมทำแค่นี้ล่ะ ที่ได้ยินจากเจ้าพวกนั้นว่านายเป็นพวกชอบความสมบูรณ์แบบนี้นา ตั้งแต่เริ่มเพลงแล้ว มันยังดูไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่เลยนะ”


 


 


จองอูยิ้มน้อยๆ ให้กับคำถามของซองจูที่เต็มไปด้วยความสงสัย


 


 


“ก็แค่พออยู่ห้องคนเดียวแล้วคิดถึงนายขึ้นมาก็เลยรีบอัดเอาไว้น่ะ แล้วอีกอย่างเพราะมันเป็นกีต้าร์อะคูสติก…นั่นฉันก็เต็มที่สุดๆ แล้วนะ”


 


 


“หืม พูดอะไรน่ะ”


 


 


คำพูดที่ไม่อาจจะเข้าใจความหมายได้นั้นทำให้ซองจูเอียงหัวไปมาอย่างสงสัย เพราะเป็นกีต้าร์อะคูสติก เต็มที่แล้ว? นั่นมันหมายถึงอะไรล่ะ เขายังคงเอียงหัวไปมา ขณะที่ก็ฟังเสียงของจองอูไปด้วย


 


 


“นิ้วก้อยข้างซ้ายของฉันมันออกแรงไม่ค่อยได้น่ะ ถ้าอัดเสียงด้วยพวกเบสหรือกีต้าร์ไฟฟ้า มันก็คงพอปรับแก้ได้ แต่เพลงนั้นฉันใช้ของใกล้ๆ ตัว ซึ่งมันก็มีแค่กีตาร์อะคูสติก แล้วก็อัดด้วยโทรศัพท์มันก็เลยออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของอีกคน ซองจูก็เกิดรู้สึกเสียใจที่ตัวเองพูดอะไรไม่ได้เรื่องออกไปแบบนั้น อยากจะตบปากตัวแรงๆ แทนที่จะบอกว่าดีแล้ว เขากลับเผลอพูดอะไรที่ไปสร้างบาดแผลให้อีกคนโดยไม่รู้ตัวออกไป หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วก็แกล้งทำเหมือนไม่มีอะไร แต่พอเป็นเรื่องของจองอู มันกลับเปลี่ยนไป ซองจูรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ


 


 


“…ขอโทษ”


 


 


“ไม่หรอก ไม่เป็นไร นายทำไปเพราะไม่รู้นี่นา”


 


 


“ถึงงั้นก็เถอะ”


 


 


“ช่างเถอะ อย่าคิดแบบนั้นเลย ครั้งหน้าถ้ามันเสร็จสมบูรณ์ ฉันจะให้นายฟังนะ ตอนนี้มีงานอื่นต้องทำ คงต้องเลื่อนออกไปก่อน”


 


 


“นายจะออกอัลบั้มของตัวเองเมื่อไหร่”


 


 


“ไม่รู้สิ คงจะต้องรอไปสักหน่อยหนึ่งปี? สองปี?”


 


 


“อะไรกัน”


 


 


“ปกติฉันก็ไม่ได้ออกอัลบั้มบ่อยๆ อยู่แล้ว มีงานอื่นต้องทำจนยุ่งไปหมดน่ะ”


 


 


จองอูพูดแบบนั้นพร้อมกับระบายยิ้มบางๆ รู้สึกเหมือนได้เห็นใบหน้าที่กำลังยิ้มกว้างปรากฏออกมา ซองจูทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวบนเตียง ทั้งที่ยังมีโทรศัพท์แนบอยู่ที่หู


 


 


“อยากรีบถ่ายให้เสร็จๆ จะได้รีบกลับไป”


 


 


“อีกแค่อาทิตย์เดียวเอง เวลาผ่านไปเร็วจะตาย ทำงานไปอีกแป๊บๆ เอง ฉันเองก็คิดถึงนายเหมือนกัน”


 


 


ฟังเสียงจองอูที่พูดออกมาแบบนั้นแล้ว ซองจูก็ค่อยๆ หลับตาลง เสียงของจองอูที่ได้ฟังในตอนนี้ กับเสียงทำนองจากกีตาร์หยาบๆ ที่ได้ฟังเมื่อครู่ มันกำลังช่วยปลอบโยนซองจูที่หมดแรงไปกับการถ่ายทำ


 


 


 


 


“โอ๊ย จะตายแล้ว ทำไมถึงได้เหนื่อยขนาดนี้เนี่ย ฉันคงแก่แล้วสินะ ร่างกายเริ่มไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วเนี่ย”


 


 


“พี่ยังดูเด็กอยู่เลยนะครับ ทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ คนอื่นมาได้ยิน คงพากันช็อก”


 


 


“มินซิก พี่น่ะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทำงานเกินเวลาได้สบายๆ เลย แต่ตอนนี้น่ะ ร่างกายนี่แทบจะไม่ไหวแล้วนะ นี่มันคือเรื่องของข้อจำกัดของร่างกาย โอ๊ย อู๊ย…”


 


 


ซองจูนอนแผ่ลงบนเบาะหลังของรถด้วยท่าทางเจ็บปวดไปทั้งตัว


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน ถ่ายทำเสร็จ เขาก็มักจะกลับมาด้วยอารมณ์ไม่พอใจอยู่ตลอด แล้วก็ค่อย ชๆ แสดงนิสัยร้ายๆ ออกมาทีละอย่างสองอย่าง แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเช่นนั้น หากตอนนี้เขากลับนอนโอดครวญอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ที่เบาะหลัง มันช่างเป็นความจริงอันน่าตกใจ มินซิกหันกลับไปมองที่เบาะหลังแวบหนึ่งในระหว่างที่รอสัญญาณไฟ ก่อนจะเอ่ยปากออกมา


 


 


“ยังไงซะถ้ากลับไปตอนนี้ก็จะได้พักยาวไปอีกหลายวันเลยนะครับ”


 


 


“นั่นมันก็ใช่ แต่ผู้กำกับนั่นดูยังไงก็คงจะให้ถ่ายซ่อมแน่ ใช่ไหมล่ะ นายก็คิดแบบนั้นใช่ไหม”


 


 


ซองจูซักไซ้มินซิก แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา อันที่จริงเมื่อครู่ตอนที่ออกมาจากกองถ่าย เขาดันไปได้ยินผู้กำกับกับผู้ช่วยกำลังหารือกันเรื่องวางคิวถ่ายซ่อม ดังนั้นก่อนที่ข่าวนั้นจะถูกส่งผ่านบริษัทมาถึงเขาอย่างเป็นทางการ ซองจูจึงต้องยื่นเงื่อนไขขอวันพักไปเสียก่อน


 


 


“พี่ครับ ให้ตรงกลับไปบ้านเลยใช่ไหมครับ”


 


 


พอเห็นว่าใกล้ถึงเขตโซลเข้าไปทุกที เขาจึงได้เอ่ยถามซองจูออกไป แต่ว่ากลับไม่มีคำตอบใดกลับมา พอเขาลองมองกระจกมองหลัง ใบหน้าที่กำลังหลับลึกของอีกคนก็ปรากฏสู่กรอบสายตาของมินซิกในทันที


 


 


“โธ่ เห็นทีคงต้องบำรุงร่างกายให้พี่สักหน่อยแล้วสิ”


 


 


มินซิกพึมพำ พร้อมกับเหยียบคันเร่งต่อไป


 


 


 


 


ซ่า…


 


 


ซองจูกำลังยืนเหม่ออยู่ใต้สายน้ำอุ่นที่รินไหลลงมา


 


 


อันที่จริงใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงก็มาถึงโซลได้แล้ว แต่วันนี้รถติดอย่างน่าประหลาดใจ ในคืนวันธรรมดาแบบนี้ ทำไมรถถึงติดได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้ นั่นทำให้เขาหงุดหงิดอย่างมาก แต่ว่าด้วยกำลังคนธรรมดาคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาการจราจรที่ติดขัดนี้ได้ สุดท้ายซองจูก็ต้องเสียเวลาโดยเปล่าอยู่บนถนนนานกว่าสี่ชั่วโมง พอมาถึงห้องก็ปาเข้าไปห้าทุ่มแล้ว


 


 


ซองจูรีบไล่มินซิกที่ดูจะเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเขากลับไปทันที ก่อนที่จะรีบตรงดิ่งขึ้นมาที่ห้องชุดของตัวเอง แม้ว่ามันจะมีเพียงห้องว่างเปล่า เย็นเชียบกำลังรอคอยเขาอยู่เท่านั้นก็ตาม แต่ว่าถึงจะเป็นเพียงกระท่อมปลายนา บ้านก็คือสถานที่ที่ดีที่สุดอยู่แล้ว เขาอยากจะรีบไปทิ้งตัว แล้วนอนหลับแบบลืมตายบนเตียงกว้างที่กำลังรอคอยอยู่


 


 


พอประตูลิฟต์เปิดออก เขาก็เร่งฝีเท้าไปทางประตูใหญ่ ปลดล็อกเปิดประตูออก และแล้วความโดดเดี่ยวก็พุ่งเข้ามาทักทายเขาในทันที


 


 


มันเป็นความรู้สึกที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้สึกเลย ตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยจะรู้สึกโดดเดี่ยวเลยสักนิด เขามักจะพูดเล่นๆ อยู่ตลอดว่า อยู่คนเดียวก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบาย เขาเชื่อว่าการเชื่อถือในตัวเองมันปลอดภัยกว่าการที่ต้องพึ่งพาคนอื่น สุดท้ายแล้ว เขาก็เลยกลายเป็นพวกที่ใช้ชีวิตคนเดียวมาเรื่อยๆ เขาใช้ชีวิตที่ผ่านมาด้วยสบายใจของตัวเอง ด้วยความเชื่อที่ว่าความสำเร็จในชีวิตนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด


 


 


ชีวิตที่เป็นมาแบบนั้นของซองจู เมื่อได้มาเจอกับจองอูแล้ว มันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป

 

 

 


ตอนที่ 5-5

 

ตอนที่ 5-5 เยียวยา

 


 


 


ในตอนนี้เวลาที่ซองจูอยู่คนเดียว ก็มักจะถูกความเหงาโอบกอดเอาไว้ ความอบอุ่นจากคนอื่นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นได้ขนาดไหน สิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็ได้เรียนรู้แล้วว่ามันเป็นได้ทั้งหมด และสิ่งที่เขาเคยเชื่อ เขาก็ได้เรียนรู้แล้วว่าการเชื่อใจคนรอบข้าง มันก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ถึงมันจะเป็นคำพูดที่น่าอับอาย หากตัวเขานั้นชอบตัวฮันซองจูในตอนนี้มากกว่าฮันซองจูที่เป็นนักแสดงคนก่อน


 


 


เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ขณะที่หันมองสำรวจไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่า มันเป็นห้องชุดในวิลล่าที่กว้างใหญ่และหรูหราสมฐานะของนักแสดงแบบเขา เขาคิดอยู่แล้วว่าอย่างไรก็คงจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ถึงมันจะไม่ได้มีชื่อเขาเป็นเจ้าของ แต่คิดว่าแบบนั้นมันคงจะเป็นการดีกว่า พวกทรัพย์สินอะไรนั่น เขาเองก็ได้เก็บรวบรวมเอาไว้ที่ธนาคารอยู่แล้ว หากมีข่าวว่าเขาซื้อตึกในชื่อของตัวเองแพร่สะพัดออกไป เขาคงจะถูกเอาไปพูดนินทา ถูกเอาชื่อไปพูดต่อๆ จนเกิดเป็นข่าวลือว่าไปซื้ออะไรที่ไหนอย่างไรมา ดังนั้นแค่ใช้ชีวิตหรูหราอยู่ในวิลล่าที่เป็นชื่อของบริษัท แล้วภายหลังค่อยออกไปหาซื้อตึกเป็นของตัวเองคงดีเสียกว่า


 


 


แต่ว่าการอยู่คนเดียวในห้องชุดแห่งนี้ มันทั้งดูกว้างและหรูหราเกินไป ห้องว่างที่เหลืออยู่ แม้จะถูกเรียกว่าห้องพักแขกก็จริง แต่แขกที่เข้ามาพักและออกไปแล้วก็มีแค่คิมจองอูเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่เคยเฉียดผ่านมาใช้ห้องพักแขกที่นี่เลยด้วยซ้ำ แค่มีเพียงห้องแต่งตัว ห้องหนังสือ ห้องนอน และห้องนั่งเล่นมันก็มากพอแล้ว ถึงจะสร้างห้องสำหรับให้จองอูทำงานเพิ่มมา อย่างมากมีห้องแค่สี่ห้องก็เพียงพอแล้ว ซองจูพอจะเข้าความรู้สึกของจองอูขึ้นมาบ้างแล้วว่า ทำไมอีกคนถึงไม่อยากจะมาที่นี่สักเท่าไหร่นัก มันใหญ่เกินไป และความกดดันที่ได้รับก็ทำให้อึดอัด นั่นคืออารมณ์ที่ซองจูรู้สึกได้ในตอนนี้


 


 


ซองจูก้าวเข้าไปข้างในอย่างช้าๆ


 


 


ภายในห้องว่างเปล่าร้างผู้คน ทุกครั้งที่เขาเหยียบย่างเข้าไปด้านใน เขารู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่ทำให้อารมณ์บูดขึ้นมาในทันที หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงแค่เปิดเครื่องทำความร้อนภายในห้องเสียก็สิ้นเรื่อง แต่ไม่รู้ทำไม ถึงได้ไม่ชอบใจอาการขนลุกในตอนนี้เลย ซองจูอยากจะรีบกำจัดความหนาวเหน็บที่โอบรัดรอบกายทิ้งไปโดยเร็ว แต่เพราะยังไม่ได้จัดข้าวของ เขาจึงได้แค่จัดการกับมันอย่างลวกๆ ไม่สมกับรูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองเลย หลังจากเอาของที่ต้องซักใส่ลงตระกร้าซักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาถึงได้พาตัวเองเข้าไปภายในห้องอาบน้ำได้สักที


 


 


“ทำไมถึงได้เหนื่อยขนาดนี้นะ…”


 


 


ร่างกายที่เหนื่อยล้าและมีความเครียดสะสมเป็นเวลานาน ถึงจะได้สัมผัสกับน้ำอุ่นมากสักเท่าไหร่ มันก็ไม่มีท่าทีจะผ่อนคลายลงได้เลย ในเวลาแบบนี้ เขารู้ว่ามันมียาวิเศษอยู่ แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในทันที ซองจูก็ได้แต่หวังว่ามันจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น


 


 


สิ่งนั้นคือการได้นอนหลับในอ้อมกอดของจองอู คนเราก็เพียงต้องการความอบอุ่นจากคนที่ชอบก็เท่านั้น ซองจูล้มเลิกความตั้งใจ ก่อนจะปิดก๊อกน้ำเสีย


 


 


“อ้า ฉันควรต้องบอกเจ้านั่นก่อน ว่ามาถึงแล้ว”


 


 


พอออกมาจากห้องอาบน้ำ ซองจูก็พึมพำออกมา


 


 


ในบรรดาบทละครที่เขาเคยถ่ายทำมา มันมีบทพูดที่ตัวละครอยู่คนเดียวและต้องพูดคนเดียวกับตัวเอง ในตอนนั้นเขาไม่เคยจะเข้าใจบทพูดแบบนั้นเลย ซองจูเองก็อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งนาน แต่เขาก็ไม่เคยจะพูดคนเดียวกับตัวเองเลยสักครั้ง มันจึงทำให้เขาไม่มีทางเข้าใจบทพูดแบบนั้นได้เลย แต่ว่าในตอนนี้เขากลับกำลังพูดคนเดียวอยู่ ขณะที่พูดพึมพำออกมาอย่างไม่ใส่ใจอะไร เขาก็ได้ตระหนักถึงความจริงนั้น แล้วก็ได้แต่ยิ้มอายๆ ออกมา ทั้งที่ทุกทีเขาไม่เคยยิ้มและเอาแต่วางท่าเฉยเมย


 


 


แต่หลังจากที่ได้เรียนรู้ถึงการรู้สึกผูกพันกับคนอื่น ซองจูก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป แบ่งปันความอบอุ่นต่อกันจนมันกลายเป็นความคุ้นเคย เขาจึงได้เข้าใจความรู้สึกละเอียดอ่อนแบบนั้น นั่นเป็นความรู้สึกที่เขาไม่คุ้นชินกับมันเอาเสียเลย แม้จะเข้าใจแต่ก็ไม่ปรารถนามัน การต้องมานั่งคิดถึงใครในเวลาที่อยู่ลำพัง มันคงจะดีกว่าถ้าได้มีอีกคนอยู่ข้างๆ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็อยู่คนเดียว หลังจากซองจูออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาก็ค่อยๆ เดินไปทางห้องนอน


 


 


เท้าเปียกชื้นที่สัมผัสลงบนพื้นห้อง ทำให้เกิดเป็นเสียงเบาๆ ดังออกมาตามจังหวะการก้าวเดิน เวลาที่อยู่คนเดียวแบบนั้น เขากลับรู้สึกถึงอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมันเลยก็ได้ ซองจูก้าวผ่านกรอบประตูเข้าไปอย่างเนิบๆ แล้วก็ต้องชะงักเท้าหยุดยืนด้วยความตกใจ มีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น


 


 


ดวงตาเบิกกว้างขึ้น มองสำรวจไปรอบๆ ห้องที่มืดสนิท ดวงตาที่ยังไม่คุ้นชินกับความมืด จึงทำให้ไม่อาจระบุชัดได้ถึงรูปร่างของสิ่งแปลกปลอมนั้นได้ แต่ทว่าเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่ามันมีบางอย่างอยู่ที่นี่ เพราะเห็นเงาดำๆ โผล่ขึ้นมาจากบนเตียงนอนนั่น ซองจูควานมือคลำไปตามผนังห้อง ตอนนี้เขาต้องการอาวุธ


 


 


ควานมือไปตามผนังอยู่ครู่ จนกระทั่งจับไปโดนขวดบางอย่างเข้า ขวดแก้วที่ค่อนข้างหนัก คงจะพอใช้เป็นอาวุธที่ดีได้ ซองจูกระชับมือจับเข้าที่ขวดแน่น ก่อนจะขยับเข้าไปหาเงาปริศนานั่นอย่างช้าๆ ในตอนที่เขากำลังจะฟาดขวดแก้วในมือไปทางเตียง ซองจูก็ถูกตะครุบตัวเอาไว้ในทันที


 


 


“ปล่อย! ปล่อยสิวะ! ไอ้บ้า แกจะทำอะไร!”


 


 


ด้วยความตกใจทำให้ซองจูเผลอปล่อยขวดแก้วหลุดมือร่วงลงไปที่พื้น ด้วยเป็นแก้วที่ค่อนข้างหนา ขวดจึงไม่แตก และกลับกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น


 


 


“บอกให้ปล่อยไงวะ! ใครก็ได้ช่วยด้วย! อื้อ!”


 


 


เจ้าตัวเหวี่ยงแขนสองข้างอย่างแรง พร้อมทั้งร้องตะโกน แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้เลย แขนทั้งสองข้างที่พยายามเหวี่ยงใส่อีกฝ่ายดันถูกรวบคว้าไว้จนขยับไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็ถูกดึงรั้งขึ้นไป คนร้ายหนีบช่วงเอวของซองจูที่อยู่ตรงหว่างขาของเจ้าตัวเอาไว้ด้วยเข่า ซองจูตัวสั่นเทาด้วยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับตัวเอง และแล้วเสียงที่คุ้นเคยก็กระซิบมาที่ข้างหู


 


 


“ชู่ว ฉันเอง”


 


 


เมื่อรับรู้ถึงตัวตนของเจ้าของเสียงนั้นแล้ว ร่างกายของซองจูก็ถึงกับหมดแรงในทันที


 


 


“เฮ้อ อะไรเนี่ย ตกใจหมดเลย…”


 


 


ตัวตนของผู้ร้ายก็คือจองอูนั่นเอง ซองจูเริ่มบ่นพึมพำทั้งที่ยังคงมีหยดน้ำตาค้างอยู่ที่หางตา


 


 


“อะไรกัน ฉันแน่ใจนะว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครอยู่นี่ มันยังไงกันแน่”


 


 


“ก็คิดว่าคงมาถึงประมาณนี้ ก็เลยมาหา จู่ๆ มันก็อยากเจอน่ะ”


 


 


“งั้นก็ควรจะโทรมาก่อนสิ!”


 


 


“ไม่เอา ฉันตั้งใจจะทำให้นายตกใจน่ะ…”


 


 


ด้วยยังไม่อาจปรับให้อารมณ์ที่ตื่นตกใจเมื่อครู่สงบลงได้ อีกคนจึงได้ทุบเข้าที่ไหล่ของจองอูทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองได้ทำผิด เจ้าตัวจึงได้ค่อยๆ หดตัวโตๆ ของตัวเองลง ท่าทางน่าสงสารแบบนั้นทำให้ซองจูได้แต่ถอนหายใจ แล้วหยุดหมัดที่ทุบลงไป


 


 


“เฮ้อ คราวหน้าห้ามทำอีกนะ ฉันเกือบจะหัวใจวายแล้ว”


 


 


“อื้อ ข้าวเย็นล่ะ”


 


 


“ไม่กิน เหนื่อยมาก อยากนอน”


 


 


จองอูที่ได้ยินคำตอบของซองจู ก็ค่อยๆ ดึงร่างของอีกคนเข้ามากอด


 


 


“งั้นก็นอนเถอะ”


 


 


เมื่อเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น ความง่วงก็เข้าครอบงำอย่างไม่อาจฝืนทนได้ ซองจูจึงพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ


 


 


“อื้อ”


 


 


ตอบออกมาสั้นๆ พร้อมกับการมุดตัวซุกซบในอ้อมกอดของจองอู ไม่นานซองจูก็หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ และหลับลึกไปในที่สุด


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


การหวนคืนสู่วงการของซองจูประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ส่วนดิจิตอลอัลบั้มของคราฟท์ที่ออกจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน ซองจูยังคงวุ่นอยู่กับการขึ้นเวทีทักทายและกิจกรรมโปรโมตต่างๆ ขณะที่จองอูคนตกงานกลับมีเวลาว่างเหลือเฟือ ทั้งสองคนมีตารางชีวิตสวนทางกัน หากก็ยังคงใช้เวลาด้วยกันไปเช่นนี้


 


 


“ฉันคิดว่าจะลองหาบ้านใหม่ดูน่ะ”


 


 


ซองจูที่นอนกลิ้งไปมาบนโซฟา เมื่อได้ยินคำพูดเปิดประเด็นขึ้นมาอย่างกะทันหันของจองอู จึงได้หันหน้าไปหาเจ้าตัว สีหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความแปลกใจ


 


 


ด้วยตารางโปรโมตต่อเนื่องจนเขาแทบหมดแรง สุดท้ายเพราะข่มขู่ออกไปว่าถ้าไม่ยอมให้เขาพักวันหนึ่ง เขาจะพังงานให้เละไม่มีชิ้นดี เพราะฉะนั้นจึงได้หยิบยื่นวันพักผ่อนมาให้ หลังจากจัดการวันหยุดได้ สิ่งแรกที่ซองจูทำในทันทีก็คือเรียกจองอูให้มาหา แล้วซุกตัวนอนหลับในอ้อมกอดของอีกคน เพราะว่าเหนื่อยมามาก ก็เลยไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากเอาแต่นอนจนเวลาผ่านไปกว่าค่อนวันอย่างน่าเสียดาย ซองจูเอาแต่ตามติดอยู่ข้างจองอูต้อยๆ พอหมดแรงก็มานอนแผ่หนุนตักจองอูอยู่บนโซฟาแบบนี้


 


 


ซองจูทำหน้าไม่พอใจ พร้อมจ้องมองไปยังจองอู


 


 


“ทำไม”


 


 


จองอูก้มลงมามองหน้าซองจู เมื่อได้ยินคำถามสั้นๆ เพียงคำเดียวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว


 


 


“ทำไมอะไรล่ะ งานที่คาเฟ่ฉันก็ไม่ทำต่อแล้ว ที่เขายอมให้อยู่มาจนถึงตอนนี้มันก็มากพอแล้ว ตอนนี้พนักงานคนก่อนก็กลับมาทำงานแล้วด้วย ฉันก็ต้องหลีกทางให้สิ”


 


 


คำตอบของจองอูไม่ค่อยถูกใจซองจูสักเท่าไหร่ เจ้าตัวจึงได้เบะปากออกมาแบบนั้น


 


 


“ถ้าไม่ใเพราะแบบนั้น นายก็คงจะตั้งรกรากอยู่ที่นั่นเลยงั้นสิ”


 


 


คำพูดนั้นทำให้จองอูก้มมาจ้องซองจูนิ่ง


 


 


“ไม่พอใจอะไรอีกแล้วล่ะ”


 


 


“นายมาอยู่กับฉันก็ได้นี่”


 


 


“ที่นี่มัน…”


 


 


มองหน้าจองอูที่พูดค้างไว้แบบนั้นแล้วซองจูก็แสดงอาการหงุดหงิดออกมา


 


 


“แค่มาอยู่ด้วยกันไม่ได้หรือไง เมื่อก่อนก็ไม่เห็นจะมีปัญหาเลย ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องรักษาระยะห่างกับฉันแล้วด้วย มันมีอะไรที่ทำให้ลำบากใจงั้นเหรอ ห้องที่เคยใช้ก็ทำเป็นห้องทำงานซะ ส่วนห้องนอนก็มาใช้ห้องเดียวกับฉันก็ได้”


 


 


“รูปแบบชีวิตเราต่างกันนะ ใช้ห้องนอนด้วยกันไม่ได้หรอก”


 


 


“อะไรที่ว่าไม่ได้ อย่ามาอ้างเลย นายไม่อยากอยู่กับฉัน ก็แค่พูดมาตรงๆ สิ”


 


 


“ไม่ใช่แบบนั้น”


 


 


ซองจูเอาแต่ทำท่าทางดื้อดึง เพราะแบบนั้นสีหน้าของจองอูจึงพลอยกระวนกระวายไปด้วย


 


 


“เมื่อก่อนที่นายมีข่าวลือหลุดออกมา ฉันก็พลอยถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกไปข้างด้วย จะให้มีข่าวแปลกๆ หลุดออกไปอีกไม่ได้หรอกนะ แต่นายกลับบอกฉันมาอยู่ด้วยกัน ถ้ามีใครกระจายข่าวลือแปลกๆ ออกไป คนที่เสียหายก็คือนาย ไม่ใช่ฉัน”


 


 


ถึงแม้จะเป็นข้อโต้แย้งที่ฟังดูมีเหตุผลเพียงพอ แต่ท่าทีของซองจูก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป


 


 


“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย”


 


 


“ฮันซองจู”


 


 


“แล้วยังไงล่ะ บอกว่านายมาอยู่ด้วยกันเพราะว่าสนิทกับน้องชายฉันมันก็ได้นี่ เพราะข่าวลือครั้งก่อนก็เลยคิดว่ามันอาจจะเกิดขึ้นอีก แต่มันก็ไม่ได้เกิดจริงๆ สักหน่อย”


 


 


“พี่ดงฮยอนก็คงไม่เห็นด้วย”


 


 


“ถ้านายเอ่ยปาก แล้วรู้ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คงจะกล้าค้านหรอกนะ”


 


 


คำพูดของซองจูทำให้จองอูถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


 


“เฮ้อ…เห็นว่าไม่พูดมาสักพัก ก็คิดว่าล้มเลิกไปแล้วซะอีก”


 


 


“ฉันก็คิดตลอดนั่นแหละ แค่ไม่มีโอกาสได้พูดต่างหาก”


 


 


ซองจูพูดเช่นนั้น พร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง


 


 


“ฉันไม่ได้คบกับนายแค่สนุกๆ หรอกนะ”


 


 


“รู้แล้ว”


 


 


“แล้วทำไมถึงบอกว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ล่ะ ฉันเบื่อที่ต้องอยู่ในห้องนี้เหงาๆ คนเดียวนะ ทำไมล่ะ เพราะห้องมันใหญ่แล้วก็อึดอัดสำหรับนายงั้นเหรอ ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน สองคนก็ต้องดีกว่าคนเดียวสิ อยู่ที่นี่นานๆ เข้าฉันก็ยิ่งเหงา ตอนนี้ฉันมีแฟนแล้ว แล้วทำไมยังต้องทนโดดเดี่ยวด้วยล่ะ ฉันไม่ชอบแบบนั้นเลยสักนิด”


 


 


จองอูมองซองจูที่ยืนกรานอย่างหนักแน่นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ซองจูอยากตะโกนให้อีกคนหยุดถอนหายใจแบบนั้นสักที แต่ก็ทำได้แค่อดทนและจ้องไปที่จองอูต่อไป


 


 


“คิดให้ดีๆ นะ เรื่องโน้มน้าวพี่ดงฮยอนฉันจะทำเอง”


 


 


“ไม่ใช่สิ นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญสักหน่อย”


 


 


“แค่เรื่องเดียว นายอยากอยู่กับฉันไหม”


 


 


จองอูไม่ได้ตอบคำถามนั้น การที่ลองถามคำถามแบบนั้นออกมา เพราะรู้ว่าคำตอบของอีกคนก็จะต้องเป็น YES อยู่แล้ว และคนฉลาดอย่างฮันซองจู รู้เรื่องนั้นดีเลยล่ะ


 


 


“ช่างเถอะ ไม่ต้องตอบหรอกนะ ฉันรู้อยู่แล้วว่านายเองก็คิดเหมือนกันกับฉัน”


 


 


ซองจูพูดเช่นนั้นออกมาพร้อมกับอมยิ้ม หากคนที่ไม่รู้เรื่องราวได้มาเห็นก็คงมองว่าเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์อย่างมาก แต่ว่าในสายตาของจองอู มันดูเหมือนคนที่มีงูนับร้อยตัวเลื้อยไปมาอยู่ในท้อง


 


 


“นายคิดจะทำอะไรอีก”


 


 


“ก็นะ ฉันคิดไว้หมดแล้ว”


 


 


พูดเช่นนั้นแล้วก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักของจองอูอีกครั้ง จองอูที่ได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนริมฝีปากคู่นั้นแล้ว ทำให้เขาได้แต่คิดมากจนรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดออกมาเสียอย่างนั้น


 


 


คบกับฮันซองจูช่างน่าปวดหัวจริงๆ

 

 

 


ตอนพิเศษ (บทส่งท้าย)

 

บทส่งท้าย

 


 


“คิมจองอูกินข้าวกันเถอะ” 


“ฉันยังทำงานไม่เสร็จเลย” 


“นี่ ฉันรอมาจะเป็นชั่วโมงแล้วนะ” 


“ก็นั่นแหละ ถึงได้บอกให้กินก่อนเลยไง” 


“อะไรกัน นายมันใจร้าย อยู่ด้วยกันแต่มาบอกให้ฉันกินคนเดียวงั้นเหรอ” 


เสียงบ่นพึมพำดังมาจากด้านหลังของจองอู ที่กำลังขะมักเขม้นทำงานอยู่กับแผงควบคุมตรงหน้า เจ้าตัวจึงได้ถอดหูฟังออกพร้อมกับถอนหายใจออกมา 


เมื่อวานก็แบบนี้ งานสำคัญถึงได้ถูกเลื่อนออกมาแบบนี้ วันนี้เขาตั้งใจจะไม่ทำตามความตั้งใจของซองจู แต่ดูเหมือนว่ามันจะทำไม่ได้ง่ายๆ เลย 


“มื้อเย็นมีอะไรล่ะ” 


“ไม่รู้สิ สั่งอะไรมากินดีไหม ทำกินเองมันยุ่งยาก” 


“ยังไม่ได้คิดเมนูเลยเหรอ…” 


จองอูได้แต่ส่ายหน้าให้กับคำพูดของซองจู 


“แล้วยังไง มีเวลาตั้งเยอะ ยังไงนายก็ทำงานโต้รุ่งอยู่แล้วนี่” 


“เมื่อวานก็พูดแบบนี้ แล้วไง เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นล่ะ” 


พอโดนจองอูดุเข้าให้ ซองจูก็ถึงกับเงียบปากทันที เพราะความคึกคะนองเลยถูกจองอูผลักลงเตียงไป แล้วก็ได้ร้องอื้ออ้าพร้อมกับเกาะติดอยู่กับอีกคนทั้งคืน ซองจูแอบแลบลิ้นใส่อีกคน ก่อนจะเดินออกไปทางประตูห้องทำงาน 


“ยังไงก็ช่าง ตอนนี้จะกินข้าวแล้ว รีบๆ ขึ้นมาล่ะ” 


ทิ้งท้ายไว้เท่านั้น แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องทำงานที่ถูกปิดลง เพราะซองจูออกไปแล้ว ในตอนนั้นเองจองอูจึงได้แต่หลุดขำออกมา 


“ยังไงก็ยังเอาแต่ใจเหมือนเดิม…” 


จองอูส่ายหัวน้อยๆ แล้วจึงจัดการเซฟไฟล์งานที่ทำอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง 


“มาแล้ว” 


เปิดประตูที่เชื่อมต่อระหว่างชั้นสี่พร้อมกับเดินเข้ามาข้างใน ในตอนนั้นเอง กลิ่นอาหารก็ลอยมาเตะจมูกทันที ถึงจะบอกว่าทำกินเองมันยุ่งยาก แต่ที่จริงก็หุงข้าวไว้แล้วสินะ จองอูมองซองจูที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าปกติ ก่อนจะยกยิ้มออกมา 


“กลัวใครไม่รู้ว่าเป็นนักแสดงหรือไง หลอกคนอื่นซะเนียนเลยนะ” 


“ไม่ได้หลอกสักหน่อย ก็แค่บอกว่าทำเองมันยุ่งยาก” 


“แล้วที่ทำเป็นคิดว่าจะสั่งอะไรมาดีไหมนั่นล่ะ” 


“ก็อาหารที่ฉันทำมันไม่อร่อยนี่ นั่นก็เอาไว้แก้ขัดไง” 


ซองจูพูดแบบนั้นออกมาพร้อมกับยักไหล่ 


คำพูดนั้นก็ไม่ผิดหรอก จนถึงตอนนี้ถ้าไม่ใช่อาหารที่มินซิกเอามาให้ ซองจูก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการสั่งอาหารจากข้างนอกมาส่งเป็นส่วนใหญ่ เขาเพิ่งจะมาเริ่มลองทำอาหารด้วยเองเมื่อไม่นานนี้เอง 


ถึงอย่างนั้น เขาก็ทำได้แค่หุงข้าว พวกแกงหรือซุปก็ให้มินซิกไปซื้อมาจากร้านดังๆ แล้วก็เอามาอุ่นใหม่อีกรอบแทน พวกเครื่องเคียงเขาก็สั่งจากในอินเทอร์เน็ตมาทั้งนั้น 


ที่ซองจูทำได้ก็มีแค่ทอดไข่หรือไม่ก็ไข่คน แล้วก็ทอดแฮมอะไรแบบนั้นเท่านั้น แต่ไข่ทอดที่เขาทอดนั้นแทบจะหาเค้าเดิมไม่ได้เลย ถึงอย่างนั้นพอได้เห็นอีกคนกินมันอย่างเอร็ดอร่อย ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องดีที่จองอูไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องอาหารการกินนัก การได้เห็นอีกคนกินแบบนั้นแล้ว กับการจัดจานที่ยากแสนยาก เขาก็ยังพยายามทำมันออกมาจนได้ จองอูนั่งลงที่หัวโต๊ะ พร้อมกับมองสำรวจไปทั่ว 


“จัดบ้านแล้วเหรอ” 


“อื้อ เห็นกล่องมันวางเกลื่อนกลาดอยู่แบบนั้น ฉันรู้สึกขัดหูขัดตาน่ะ” 


“มีเวลาตั้งเยอะ ค่อยๆ ทำไปก็ได้นี่” 


“ก็แบบนั้นจะได้ไม่ต้องทำไปเรื่อยๆ ไง พอนึกได้ก็เลยรีบทำซะดีกว่า” 


ซองจูพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะวางถ้วยซุปถั่วงอกลงตรงหน้าจองอู จองอูที่คว้าช้อนขึ้นมา ตักซุปเข้าปากไปคำนึง แล้วจู่ๆ ก็ชะงักไป 


“ทำไม ไม่อร่อยเหรอ” 


พอเห็นสายตาที่จ้องมาแบบนั้นของซองจู จองอูก็ค่อยยกยิ้มแหยๆ ออกมา 


“เปิดฝาหรือเปล่า” 


“เปล่านี่ ก็ในเน็ตบอกว่าต้องปิดฝาเอาไว้” 


“งั้นระหว่างนั้นได้เปิดดูหรือเปล่า” 


 “อื้อ เปิดดูนิดหน่อยว่ามันสุกหรือยังน่ะ” 


“อ้อ งั้นเหรอ” 


จองอูพูดเช่นนั้น ก่อนจะตักซุปเข้าปากอีกคำหนึ่ง ซองจูที่เกิดสงสัยในสีหน้าเช่นนั้น จึงได้แย่งช้อนมาทันที แล้วก็ลองตักซุปมาชิม และตอนนั้นสีหน้าเจ้าตัวก็ขมวดมุ่นขึ้นมา 


“ห่วยแตกสุดๆ ทำไมมันรสชาติเป็นแบบนี้ล่ะ นี่ ห้ามกินนะ” 


ซองจูดึงถ้วยซุปคืนมาในทันที พร้อมกับเทคืนลงไปในหม้อ แล้วก็บ่นออกมา 


“ก็ทำตามที่สั่งทุกอย่างแท้ๆ ทำไมรสชาติมันเป็นแบบนี้ล่ะ ทั้งคาวทั้งจืดเลย” 


“ระหว่างทำต้องห้ามเปิดฝาเด็ดขาด เปิดได้แค่ตอนแรกๆ แล้วก็ใส่เกลือน้อยไปหน่อย ไม่สิ ช่างเถอะ ครั้งต่อไปฉันจะเป็นคนเตรียมอาหารเองละกัน” 


จองอูพูดแบบนั้น ก่อนจะลุกจากที่นั่ง ยิ่งได้เห็นท่าทางแบบนั้นของจองอู มันยิ่งทำให้ซองจูรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ 


เขาไม่ได้ทำเพราะแค่รู้สึกอยากจะเตรียมอาหารขึ้นมาหรอกนะ เขาไม่ได้มีนิสัยแบบนั้นสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้ทำอาหารเป็นงานอดิเรกด้วย ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาไม่ใช่พวกที่มีนิสัยยึดติดกับอะไรแบบนี้ มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กินก็แค่นั้น ถ้าถามว่าทำไมฮันซองจูที่เป็นคนแบบนั้น ถึงได้ลุกขึ้นมาเล่นหม้อข้าวหม้อแกงแบบนี้ล่ะก็ มันก็เป็นเพราะคิมจองอูนั่นแหละ 


ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจความจริงข้อนั้น หากจองอูจดจ่อกับอะไรแล้ว จะเรื่องอาหารการกินหรือเรื่องปกติทั่วไปก็ลืมมันไปเสียหมด ตัวเขาเองไม่ได้มีนิสัยชอบดูแลใครนัก แต่เพราะเป็นห่วงว่าจองอูจะเป็นอะไรร้ายแรงด้วยเรื่องแบบนั้น ซองจูจึงไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ จนต้องยื่นมือเข้ามาจัดการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องไม่คาดฝันที่ควบคุมไม่ได้ ถึงมันจะไม่มีอะไรดีขึ้น แต่เขาก็ได้ลองพยายามแล้ว อย่างไรก็ต้องอยากได้กำลังใจเล็กน้อยบ้าง 


“ไม่มีซุปแล้วทำยังไงล่ะ” 


เห็นซองจูที่นั่งหน้าบูดอยู่แบบนั้น จองอูจึงพูดออกมาอย่างนิ่งๆ 


“ช่างเถอะ แค่มีกิมจิฉันก็กินได้แล้ว” 


จองอูพูดแบบนั้นออกมาโดยที่สีหน้ายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม 


 


จองอูและซองจูคบกันอย่างเป็นทางการมาได้เกือบหนึ่งปีแล้ว ตลอดเวลานั้น ชีวิตของทั้งคู่ได้เปลี่ยนไปมาก 


ภาพยนตร์ที่ซองจูเลือกแสดงเพื่อเป็นการหวนคืนสู่วงการก็ได้รับผลตอบรับอย่างดีมาตลอด ได้เป็นหนึ่งในผลงานที่ออกไปสู่เทศกาลหนังในต่างประเทศ ด้วยการตลาดที่ดีกว่าที่คิด จึงทำให้กระแสของเจ้าตัวพลอยเพิ่มขึ้นไปด้วย บทดีๆ มากมายถูกส่งเข้ามา ซึ่งทำให้มินซิกชอบใจอย่างมาก แต่ซองจูก็บอกกับบริษัทไปว่าอยากจะให้ค่อยเป็นค่อยไป และปล่อยให้ช่วงเวลาน้ำขึ้นต้องรีบตักนั้นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วก็ทำผลงานคุณภาพเยี่ยมออกมาดีกว่า ซึ่งดงฮยอนก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น ดังนั้นตอนนี้ซองจูจึงอยู่ในสภาพงดรับงานชั่วคราว 


ส่วนจองอูนั้นอยู่ในช่วงเตรียมดิจิตอลอัลบั้มใหม่อยู่ 


แทนที่จะเสียเวลาไปกับการเตรียมอัลบั้ม ก็เลือกที่จะรวบรวมเพลงที่ทำไว้ตั้งแต่ที่ได้เจอซองจู แล้วเอามารวบรวมทำเป็นอัลบั้ม และก็เป็นดงฮยอนที่แสดงสีหน้าปลื้มปริ่มเป็นคนแรกๆ ในตอนนั้นเอง ซองจูก็ขุดค้นพบความทรงจำที่ว่าจองอูได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นขึ้นมาได้ แต่ทว่าจองอูที่ยังมีเรื่องพัวพันกับบริษัทเดิมอยู่ จึงได้แก้ขัดด้วยการไปร่วมงานกับที่นั่นที่นี่ และหมดเวลามากมายไปกับเรื่องพวกนั้น 


จังหวะชีวิตที่สวนทางกันของคนทั้งคู่หรือตารางงานที่แตกต่าง ทำให้คู่รักไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานมากนัก 


สุดท้ายระเบิดฮันซองจูก็ทำให้เกิดเหตุใหญ่ขึ้นมา เจ้าตัวได้แอบซื้อตึกในละแวกฮงแดเอาไว้ 


ชั้นใต้ดินและชั้นที่หนึ่งปล่อยให้เช่า ชั้นที่สองก็ให้เหล่าสมาชิกวงคราฟท์ใช้ จะได้ไม่ต้องห่วงกังวลว่าจะรบกวนคนอื่น และใช้มันได้ตามใจชอบ ชั้นที่สามเป็นห้องทำงานของจองอู ส่วนชั้นที่สี่ก็เป็นบ้านของซองจู 


มองจากภายนอกดูเหมือนว่าจองอูจ่ายค่าเช่าชั้นที่สาม แต่ที่จริงแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ร่วมบ้านเดียวกันเลย ตอนแรกเจ้าตัวไม่ยอมรับข้อเสนอของซองจูอย่างเด็ดขาด ดงฮยอนก็อีกคน แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าทั้งคู่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ ก็เลยยอมๆ ไปทั้งอย่างนั้น 


ปัญหาคือจองอูนั่นแหละ 


ตั้งแต่ที่เขาพยายามอ้อนวอนอยู่เรื่อยๆ อีกคนก็ดูเหมือนจะมีท่าทีลังเล แต่ก็รู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่อีกคนกังวลอยู่ตลอด ถ้าหากถามไปว่าปัญหามันคืออะไร แม้จะไม่ได้ตอบออกมา แต่ซองจูก็รับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจที่อีกคนมี ซึ่งนั่นก็คือการที่อีกคนห่วงว่าจะมีข่าวลือออกมาอีก 


เขาจึงได้ทำแบบนี้ ถ้ามีอะไรก็ไม่มีใครสงสัย แค่เปิดเผยว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเจ้าของบ้านกับผู้เช่า เจรจาเกลี้ยกล่อมอยู่นาน จองอูก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อให้ เขาจึงโมโหจนควันออกหู ทั้งที่แค่เป็นการชักชวนให้มาอยู่ด้วยกันแค่นี้ ทำไมถึงมีปัญหามากนัก แต่อีกคนก็ยังไม่สะทกสะท้าน นั่นก็เป็นเพราะว่าเป็นห่วงตัวเขานั่นแหละ ถึงจะรู้แต่ซองจูก็รู้สึกอึดอัด 


หลังจากเรื่องนั้น เขาก็สารภาพกับพ่อแม่ว่าไม่คิดจะแต่งงาน ตอนแรกก็คิดว่าพ่อกับแม่อาจจะแสดงท่าทีต่อต้าน แต่ก็กลับปล่อยผ่านไปโดยไม่มีปัญหาอย่างที่คิด และก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก สิ่งที่พ่อแม่หวังก็แค่ให้ทำตัวดีๆ ก็เท่านั้น ถึงจะกังวลเรื่องจองอู แต่มันก็กลับไม่มีอะไรเลย เขาจึงไม่คิดอะไรอีก ซองจูเพียงมองจองอูที่กินข้าวอยู่เงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปากออกมา 


“งานยังเหลืออีกเยอะไหม” 


“อือ ที่ทำเสร็จไปก่อนหน้านี้ มันไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ ก็เลยจะเริ่มทำใหม่ตั้งแต่ต้นน่ะ” 


“ต้องขนาดนั้นเลยหรือไง ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ” 


“ก็เหนื่อยแหละ แต่มันไม่ถูกใจนี่ คงปล่อยไปไม่ได้หรอก มันจะอยู่ไปตลอดชีวิตเลยนะ” 


คำตอบตรงๆ ของจองอู ทำให้ซองจูได้แต่พยักหน้ารับ 


“อยากไปเที่ยว” 


เมื่อจบมื้ออาหารแล้ว เสียงพึมพำเบาๆ นั่น ก็ทำให้จองอูต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย 


“มีที่ที่อยากไปไหมล่ะ” 


“ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แค่อยากพักผ่อนน่ะ” 


“ตอนนี้ก็พักอยู่นี่” 


“ไม่ใช่แบบนี้สิ แบบที่ที่ไปครั้งแรก ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องสนใจสายตาใครอะไรแบบนั้นไง” 


“ไปคนเดียวเหรอ” 


“เปล่า ทำไม ถ้าจะไปนายก็ต้องไปด้วยสิ” 


ท่าทางที่ถามกลับมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นแบบนั้นของซองจู ทำให้จองอูลืมคำที่ตัวเองจะพูดไปเสียหมด 


“จะประกาศให้คนรู้เหรอ ว่าเราคบกันน่ะ” 


คำพูดตัดบทอย่างไร้เยื่อใยของจองอู ทำเอาซองจูหน้าบึ้งไปทันที 


“แค่ไปเที่ยวด้วยกัน ไม่โดนจับได้หรอกน่า” 


“ถ้าเราไปเที่ยวด้วยกัน จะได้เที่ยวสงบๆ เหรอ” 


“นั่นน่ะสิ” 


คำพูดที่เหมือนกับว่าจะมีความโกลาหลเกิดขึ้น ทำให้ซองจูได้แต่ปล่อยผ่านสิ่งที่พูดไป แล้วเคี้ยวข้าวต่อไปเงียบๆ 


จองอูก็เป็นแบบนี้ทุกวัน ถ้าซองจูขออะไรไป ก็ไม่เคยจะยอมให้มาโดยดีหรอก แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเป็นเรื่องที่พอถูไถก็จะแกล้งทำเป็นเอาชนะไม่ได้เสีย แต่หากเป็นปัญหาที่ตกลงกันไม่ได้ เขาก็มักจะแสดงความเด็ดเดี่ยวเพื่อให้มันเป็นไปอย่างที่ต้องการ ซึ่งนั่นเป็นปัญหาส่วนใหญ่ของพวกเขา อย่างเช่นตอนนี้ ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกเปิดเผยแล้วล่ะก็ อีกคนก็จะลงดาบใส่กันแบบนี้ 


ถ้าบอกว่าไม่เสียใจก็คงจะโกหก แต่เพราะรู้ว่าที่ทำแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงเขา ซองจูจึงไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา กว่าจะโน้มน้าวให้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้ ก็ใช้เวลาไปตั้งหลายเดือน 


ถึงอย่างไรคิมจองอูก็คือคนขี้ขลาด ส่วนตัวเขาก็คือตัวสร้างปัญหา ความจริงข้อนี้ ถึงจะอายุมากขึ้นก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ซองจูกินอาหารต่อไปเงียบๆ ขณะจ้องมองไปที่จองอู พอมาอยู่ด้วย อีกคนก็ดูจะน้ำหนักเพิ่มขึ้นบ้าง นั่นทำให้เขาพอใจมาก 


“ทำไมมองแบบนั้นล่ะ” 


“ก็แค่ เดี๋ยวนี้หน้านายบวมขึ้นนะ” 


“…คงต้องไดเอตแล้วสินะ” 


“ไดเอตทำไม ปล่อยไว้นั่นแหละ แบบนี้กำลังดีเลย” 


“ก็บอกว่าอ้วนไม่ใช่เหรอ” 


“แบบนี้ดีแล้ว นายน่ะผอมเกินไปแล้ว” 


เขารีบห้ามปรามทันทีที่เห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของจองอู แต่ว่าเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ นะ เพราะตอนเด็กๆ เติบโตมาแบบอดมื้อกินมื้อ น้ำหนักจองอูก็เลยไม่ขึ้น ถึงแม้ว่าจองอูจะไม่ใช่คนกินน้อยก็ตาม แต่น้ำหนักขนาดนี้กำลังดีเลย 


แม้เขาจะบังคับอย่างเอาเป็นเอาตายว่าให้กินข้าว พอได้เห็นแบบนี้แล้ว ก็เลยรู้สึกปลื้มปริ่มอย่างบอกไม่ถูก มากกว่าการเป็นคนรัก เขารู้สึกเหมือนได้เป็นแม่มากกว่า แต่แบบนี้มันก็แปลกใหม่ดี ได้รับรู้ความรู้สึกแบบที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน 


เมื่อก่อนเขาเอาแต่ไปร่วมสังสรรค์ในงานปาร์ตี้ ไม่ก็ตามร้านเหล้า ในที่แบบนั้นเขาต้องคอยยิ้ม เพื่อให้ได้รับไมตรีที่ดีกลับมา แล้วเขาก็ได้เจอกับซอยอนในที่แบบนั้นด้วย 


ความสัมพันธ์บอบบางเหมือนแผ่นกระดาษนั่น เพื่อรักษามันเอาไว้ เขาต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความวุ่นวาย ซึ่งตอนนี้มันเป็นสิ่งเขาเกลียดมากๆ สิ่งที่เมื่อก่อนเคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เขาก็ตระหนักได้นานแล้วว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาไร้ชีวิตก็เท่านั้น ตอนนี้ซองจูชอบการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายอย่างที่เป็นอยู่ 


“ถ้าเราไปกันแค่สองคนไม่ได้ งั้นก็จองบ้านพักริมทะเลแล้วให้พวกซองฮีไปด้วยกันเป็นไง” 


ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้เรื่องการไปเที่ยวหรอกนะ จองอูชำเลืองมองซองจูที่ทำท่าทางออดอ้อน ก่อนจะส่ายหน้า 


“พอเถอะ พวกพี่เขารู้ความคิดนายเข้าคงอยากตายกันแน่” 


“ฉันทำไมล่ะ” 


“ที่ถามเพราะไม่รู้? เดี๋ยวนายกับพี่ซองฮีก็ได้ขู่ใส่กันอีกหรอก แบบนั้นจะไปสนุกอะไร ทรมานตัวเองชัดๆ” 


“นายพูดแรงไปแล้วนะ” 


“ก็นั่นแหละ เวลาเจอหน้ากันก็เลิกทะเลาะกันเสียทีเถอะ เดี๋ยวก็ต้องได้เจอกันบ่อยๆ อยากให้มันเป็นแบบนั้นหรือไง” 


จองอูพูดเช่นนั้นพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่ง ถือถ้วยข้าวที่กินหมดแล้ว เดินไปยังอ่างล้างจาน ก่อนจะลงมือล้างจาน ซองจูที่มองตามอีกคนไปก็ทำปากยื่นอย่างขัดใจ 


“ฉันก็ทำดีกับพวกนั้นตามที่นายบอกแล้วนี่ แบบนี้มันเกินไปแล้วนะ” 


“ก็นะ เทียบกับเมื่อก่อนก็ถือว่าไม่เลว” 


จองอูไม่สามารถปฏิเสธความจริงข้อนั้นได้จึงพยักหน้ารับ หลังจากที่คบกับจองอูแล้ว ซองจูก็สมัครใจที่จะคอยดูแลบรรดาสมาชิกวงคราฟท์มากกว่าเดิม เพราะงานที่จองอูได้ทำกับพวกนั้นมีบ่อยกว่าเดิม ความสัมพันธ์กับซองฮีจึงดีมากขึ้นตามไปด้วย 


ระหว่างสองพี่น้องที่เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องได้ขู่ใส่กันอยู่เรื่อยๆ ก็เริ่มดีขึ้นกว่าเก่า เรื่องนั้นทำให้สบายใจขึ้นก็จริงอยู่ แต่ว่าระดับความรู้สึกไม่ไว้ใจของซองฮีที่มีต่อซองจูก็ยังคงไม่ลดลงไปสักเท่าไหร่ ซึ่งนั่นทำให้เป็นปัญหาอยู่บ้าง จองอูได้แต่ถอนหายใจออกมา 


“ถึงยังไงช่วงนี้ยังมีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยนอีกมาก มันคงจะวุ่นวายพอตัว” 


ซองจูเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น 


“ก็ทำไงได้ล่ะ เปลี่ยนไปเยอะมากอย่างกับละครขนาดนั้น แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนี่ หรือไง” 


“อืม ก็ใช่แหละ” จองอูเห็นด้วยกับคำพูดนั้น 


แม้จะไม่ถึงขนาดที่สร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นได้อย่างไร้ที่ติ แต่ที่เคยเป็นคนแสดงออกน้อยก็มีปรับเปลี่ยนตัวเองบ้าง ถึงจะยังมีข้อบกพร่องอยู่ แต่พอได้ลองฝึกฝนกับคนรอบข้างก็ทำให้เริ่มเห็นใจคนอื่นขึ้นมาบ้าง ตอนเขาเด็กๆ นั้นเขาต้องตัดความรู้สึกทิ้งไปเพื่อความอยู่รอด พอโตขึ้นมาเรื่อยๆ จึงทำให้ไม่รู้จักวิธีการแสดงความรู้สึก กลายเป็นเพิกเฉยต่อทุกอย่าง เพียงเมินเฉยไปเสีย เขาก็สามารถอยู่ต่อไปบนโลกนี้ได้โดยไม่ลำบากใจ 


แต่ว่าตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่อาจกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมได้อีกแล้ว การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น มันน่าสนุกกว่าที่คิด ได้รู้สึกโกรธ รู้สึกสนุกสนาน รู้สึกดีใจ และยังได้รู้สึกเศร้า พอเป็นแบบนั้นแล้วมันให้รู้สึกได้ว่า เวลานั้นช่างผ่านไปรวดเร็ว มันดีมากที่ได้รู้ถึงการมีชีวิตจริงๆ ขึ้นมาเป็นครั้งแรกแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะซองจู เขาคงไม่มีวันได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้ และเพราะแบบนั้น เพลงล่าสุดของเขาถึงได้มีอารมณ์ที่สดใสขึ้นมา ทำให้ได้รับคำชมว่าเป็นนักแต่งเพลงที่สร้างเพลงที่มีจังหวะหลากหลายมากขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่เสียหายเลย 


“ก็ไม่ใช่ไม่ดี แค่ยังไม่ค่อยชินเท่านั้นเอง” 


จองอูพูดขึ้น ขณะที่ล้างจานเสร็จพอดี 


“ฉันต้องทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จภายในวันนี้นะ นอนคนเดียวได้ใช่ไหม” 


“ไม่เอา” 


“อย่าเอาแต่ใจสิ” 


“งั้นฉันจะไปอยู่กับนายในห้องซ้อมด้วย แบบนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว จะไม่รบกวน แล้วก็จะอยู่เงียบๆ เลย” 


“จะนอนที่โซฟางั้นเหรอ นอนที่นี่เถอะ สบายกว่าตั้งเยอะ ถ้านายไปนอนขดตัวอยู่แบบนั้น ฉันจะมีสมาธิทำงานได้ยังไง” 


“นายก็ไม่ต้องสนใจสิ” 


“มันทำได้หรือเปล่าล่ะ…” 


บ่นพึมพำว่าพูดแบบนั้นมันทำได้เสียที่ไหน แต่จองอูก็รู้ดีว่าซองจูไม่สนใจคำพูดเขา แล้วอีกคนก็จะหอบหมอนลงมาที่ห้องซ้อมจนได้ ถึงจะห้าม แต่อีกคนก็จะแสดงท่าทียืนกรานไม่ยอมออกไป พร้อมกับนอนลงที่โซฟานั้น และมองดูเขาทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มนั่งสัปหงกไปมา 


แล้วพอถึงเวลานั้นตัวเขาก็คงทนดูสภาพนั้นของอีกคนไม่ได้ จนต้องหยุดทำงาน แล้วก็อุ้มพาซองจูขึ้นมาที่ชั้นสี่ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ภาพแบบนั้นของอีกคนกลายเป็นภาพที่ติดตาเขาไปแล้ว 


ก็เลยคิดว่า ถ้าปั่นงานที่ค้างอยู่ในช่วงกลางวันก็น่าจะได้ เพราะงั้นเลิกทำงานดีกว่า จองอูคิดเช่นนั้น พร้อมกับสะบัดมือที่เปียกชื้น 


 


ถ้าอยากจะสนุกสนานกับชีวิตประจำวันแสนธรรมดาที่กว่าเขาจะได้มันมาก็ยากเสียเหลือเกิน เขาก็คงต้องอดทนเท่านั้นแหละ ชีวิตของคิมจองอู ไม่เคยได้อะไรมาฟรีๆ อยู่แล้ว 


“ไปกันเถอะ ถ้าช้าฉันล็อกห้องนะ” 


“ไอ้เด็กบ้า! รอกันก่อนสิ ฉันไปเอาโน้ตบุ๊กก่อน!” 


“งั้นก็ไปเอามาแล้วตามลงมานะ แต่ยังไงก็รีบๆ หน่อยล่ะ” 


“นี่! เดี๋ยวก่อนสิ โน้ตบุ๊กอยู่นี่ไง! รอกันด้วยสิ คิมจองอู! นี่!” 


พอซองจูพูดจบ ก็รีบร้อนไปคว้าโน้ตบุ๊กที่อยู่ในห้องนั่งเล่นมา ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามหลังเขามา น้ำเสียงพร่ำบ่นพร้อมกับต่อว่าเขาของซองจู วันนี้มันฟังดูอ่อนหวานเหลือเกิน จองอูระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ขณะที่เปิดประตูห้องทำงานเข้าไป 


วันนี้ชีวิตของคนทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างราบเรียบเหมือนเช่นเคย 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม