(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 4

 ตอนที่ 4-1

 

ตอนที่ 4-1 ข้ามผ่าน

 


 


 


 


กรุ๊ง กริ๊ง 


 


 


“เชิญเลยครับ” 


 


 


เมื่อเสียงกระดิ่งที่เชื่อมติดกับประตูดังขึ้นภายในร้านค้าขนาดเล็ก เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยต้อนรับลูกค้าออกไปในทันที ‘day, after, tomorrow’ ร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองของโซล วันนี้ก็ยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและเงียบสงบดังเช่นที่ผ่านมา 


 


 


“อ้าว พี่มาแล้วเหรอครับ” 


 


 


ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของลูกค้าผู้มาเยี่ยมเยือนที่คาเฟ่แห่งนี้ตั้งแต่เช้า ใบหน้าของบาริสต้าหนุ่มก็มีรอยยิ้มระบายออกมาจนเต็มหน้า 


 


 


เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมออกสองเม็ด แขนเสื้อทั้งสองข้างพับทบขึ้นมาที่ต้นแขน สวมผ้ากันเปื้อนสีดำไว้ด้านหน้า และผมที่ยาวลงมาปิดบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง 


 


 


เขาคือคิมจองอูนั่นเอง 


 


 


“สบายดีนะ” 


 


 


“อะไรกันครับ ก็เหมือนเดิมแหละครับ ตื่นเช้ามาที่ร้าน เลือกกาแฟ พอเลิกงานแล้วก็กลับไปนอนพัก” 


 


 


“เจ้าเด็กนี่ เลิกเก็บเอาไว้คนเดียวสักทีเถอะ เพราะพวกนายทั้งคู่ ฉันถึงต้องลำบากใจแทบตายแล้วเนี่ย” 


 


 


“…ขอโทษครับ” 


 


 


จองอูค้อมศีรษะลงให้กับคุณลูกค้า พร้อมพึมพำคำนั้นออกมาด้วยรอยยิ้มจางๆ อีกคนลอบสังเกตสีหน้าของจองอู ก่อนคุณลูกค้าจะสั่งเครื่องดื่ม 


 


 


“ขอไอซ์มอคค่าให้ฉันแก้วนึง” 


 


 


“ครับ รอสักครู่นะครับ” 


 


 


คุณลูกค้าจ้องมองไปทางจองอูที่ก้าวฉับๆ ออกไปด้วยใบหน้าที่ระบายยิ้มพรายออกมา แล้วเจ้าตัวจึงแอบถอนหายใจออกมาโดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายได้สังเกตเห็น 


 


 


ตัวตนที่แท้จริงของลูกค้าคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นดงฮยอนนั่นเอง 


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น ถาดใบเล็กก็ถูกนำมาวางลงตรงหน้าดงฮยอนที่ยังคงพยายามซุกซ่อนสีหน้ากระวนกระวายใจเอาไว้ บนนั้นมีแก้วกาแฟที่อัดแน่นด้วยวิปปิ้งครีมและไซรัปช็อกโกแลตอีกแก้วหนึ่ง กับแซนวิชอีกสองชิ้นวางอยู่ 


 


 


“ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าใช่ไหมครับ อันนี้เป็นเซอร์วิสของร้านน่ะครับ” 


 


 


“เจ้าของร้านก็ไม่ใช่ ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ไม่โดนหักเงินบานเลยรึไง” 


 


 


“ไม่หรอกครับ พี่เจ้าของร้านก็บอกแล้วว่าถ้ามีคนรู้จักมา ก็ทำให้ได้เลย” 


 


 


“ทำธุรกิจแบบไหนกันเนี่ย ไม่นับเงินเดือนนาย ยังจะเหลือกำไรอะไรอีกเนี่ย” 


 


 


“ที่นี่ไม่ได้เปิดร้านกาแฟเพื่อค้ากำไรอยู่แล้ว แต่ทำกำไรจากการส่งออกเมล็ดกาแฟที่คั่วเองครับ ดังนั้นไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ อีกอย่างผมก็แค่เข้ามาช่วยดูแลร้านพักนึงเท่านั้น ในช่วงที่ยังจัดการเรื่องที่หลับที่นอนก็เท่านั้นน่ะครับ” 


 


 


จองอูเดินตรงไปทางประตูทางเข้าคาเฟ่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะจับพลิกป้ายที่แขวนอยู่ด้านหน้า เป็นคำว่าปิดร้าน 


 


 


ภายในคาเฟ่ขนาดเล็กที่ถูกปิดให้บริการลงอย่างง่ายดายในชั่วพริบตา ทำเอาดงฮยอนได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง 


 


 


“เฮ้อ…แบบนี้ก็ได้เหรอ” 


 


 


“ครับ ที่นี่ไม่เปิดร้านตอนเช้าครับ แต่เพราะว่าพี่บอกจะมาตอนนี้ ผมก็เลยเปิดร้านให้น่ะครับ” 


 


 


จองอูพูดเช่นนั้น พร้อมกับขยับมานั่งตรงข้ามกับดงฮยอน 


 


 


“ช่วงนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ” 


 


 


สีหน้าของจองอูตอนที่ถามคำถามนั้นออกมาดูกระวนกระวายอย่างชัดเจน ดงฮยอนจ้องมองจองอูที่มีสีหน้าเช่นนั้นอยู่ครู่ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา 


 


 


“ไอ้เจ้าเด็กนี่ ทำไมมาถามเอาตอนนี้” 


 


 


“…ขอโทษ…” 


 


 


“เลิกพูดคำว่าขอโทษสักที ถ้านายอยากจะขอโทษจริงๆ คงไม่ทำแบบนี้หรอก คำนั้นนายควรจะบอกกับซองจูมากกว่าที่จะเป็นฉันไม่ใช่รึไง? ฉันคิดว่าจะได้จัดงานศพแล้วซะอีก ใครจะไปคิดว่าคนอย่างเจ้านั่น จะมีสภาพเป็นคนป่วยใกล้ตายได้แบบนั้น เฮ้อ จริงๆ เลย อยากจะบ้าตาย” 


 


 


เรื่องที่ทำเอาอึ้งจนพูดไม่ออกพวกนั้น พอดงฮยอนบ่นออกมาแล้ว สุดท้ายเจ้าตัวก็ใช้หลอดที่ส่วนปลายเป็นเหมือนช้อนนั่นตักครีมขึ้นมาคำโต ก่อนจะเอายัดใส่ปากตัวเองเสีย คงเพราะอายุที่เพิ่มขึ้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็พาลทำให้รู้สึกสูญเสียน้ำตาลไปมากเหลือเกิน หากยังเป็นแบบนี้มีหวังโรคเบาหวานคงได้ถามหา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้ยกแก้วขึ้นดื่มได้เลย 


 


 


“ฉันจะมาตายแบบนี้ไม่ได้นะ เฮ้อ…” 


 


 


เมื่อบ่นคำพูดไร้สาระออกมา ก็จัดการดื่มกาแฟเข้าไปอีกอึกใหญ่ จองอูที่มองเห็นสภาพเช่นนั้นของดงฮยอนก็ถึงกับทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา 


 


 


“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับ ดีขึ้นมากแล้วใช่ไหม” 


 


 


“ห่วงด้วยรึไง” 


 


 


“ก็ต้องอย่างนั้นสิครับ…” 


 


 


เมื่อถูกถามย้ำๆ จองอูก็ทำสีหน้าเศร้าสลด ดงฮยอนที่เห็นสีหน้าเช่นนั้นของจองอู ก็ไม่ได้มีใจเข้าข้างอีกฝ่ายเลยสักนิด 


 


 


 


 


 


ในเวลาที่ซองจูที่ค่อยๆ สูญเสียตัวตน และมีสภาพแหลกสลายไปอย่างช้าๆ ตอนนั้นก็มีเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรเข้ามาหาดงฮยอน 


 


 


คนที่โทรเข้ามาไม่ได้โทรเข้าเบอร์ที่เอาไว้สำหรับติดต่องาน แต่โทรมาเบอร์ส่วนตัวของเขา ที่รู้กันเฉพาะกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น เขารับสายที่ติดต่อเข้ามาในทันที เขากลัวว่าหากเขาไม่รับสายนี้ บางทีเขาอาจจะต้องเสียใจภายหลังก็ได้ 


 


 


แล้วการตัดสินใจครั้งนั้นมันก็คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เจ้าของเบอร์ที่โทรเข้ามา ก็คือคนที่เขาพยายามตามหามาตลอดอย่างจองอูนั่นเอง 


 


 


เจ้านั่นบอกว่าตัวเองอยู่ที่คาเฟ่แถบชานเมืองของโซล บอกว่าทำงานเป็นผู้ช่วยอยู่ที่คาเฟ่นั่น เหมือนกับที่เคยทำงานเป็นบาริสต้า ในสมัยที่ยังใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงได้พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วดงฮยอนก็ถามกลับไปทันทีว่าที่นั่นคือที่ไหน ก่อนจะตรงไปหาอีกฝ่ายในทันที 


 


 


เมื่อรีบไปตามที่อยู่ที่ได้รับจากมือถือ ก็ได้พบจองอูที่กำลังรออยู่ แม้อีกฝ่ายจะดูผอมลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีสภาพดีกว่าที่เขาคิด เมื่อได้เห็นหน้าของอีกคน ดงฮยอนก็ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดลงนั่งอยู่ตรงหน้าคาเฟ่อย่างคนหมดแรงในทันที 


 


 


 


 


 


‘นี่ ไอ้เจ้าเด็กบ้านี่ นายคิดจะหนีไปใช้ชีวิตลำพัง โดยไม่สนว่าใครจะเป็นห่วงบ้าง นายทำแบบนี้ได้ยังไงกัน! ให้ความสนิทกันแล้ว ทำแบบนี้จะให้เข้าใจว่าอะไรนอกจากว่าถูกทิ้งแล้วน่ะ หา?’ 


 


 


 


 


 


ดงฮยอนนึกถึงวันนั้นที่เขารู้สึกใจหาย พร้อมกับเอ่ยตำหนิจองอูออกไป 


 


 


จองอูนั่นแหละที่ห้ามไม่ให้ดงฮยอนบอกเรื่องนี้กับซองจู เจ้าตัวเอาแต่ร้องไห้อ้อนวอนอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถจะช่วยอะไรซองจูได้อีก และหากตัวเองยังคงอยู่ข้างๆ ซองจูต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายทุกอย่างก็อาจจะพังลงจนไม่เหลืออะไรอีก ดงฮยอนที่เห็นสภาพนั้นของอีกคน จึงไม่กล้าที่จะบอกความจริงทั้งหมดออกไป 


 


 


แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด ซองจูที่มีสภาพแหลกสลายเช่นนั้น ไม่ได้ดีขึ้นมาเลยสักนิด จองอูที่ได้ยินเรื่องนั้น ก็ไม่มีกำลังใจเช่นกัน นั่นคือเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้เท่านั้น 


 


 


หลังจากที่ซองจูตระหนักแล้วว่าตัวเองนั้นมีใจให้จองอู จึงได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ร่างกายก็กลับฟื้นฟูจนแข็งแรงขึ้น ไม่นานมานี้ก็เริ่มกลับไปออกกำลังกายอีกครั้ง เรื่องที่จองอูไม่รู้ คือก่อนหน้านี้อีกฝ่ายนั้นจมอยู่ในสภาพปางตายขนาดไหน ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ร่างกายที่แทบแหลกสลายนั้นกลับคืนมาเหมือนเดิม จองอูกำลังรับฟังเรื่องราวทั้งหมดนั้นผ่านทางดงฮยอน 


 


 


“มาถึงขนาดนี้แล้ว กลับไปหาไหมล่ะ” 


 


 


“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะครับ ผมหนีออกมาเองแท้ๆ ถ้าให้กลับไปมันก็ยังไงๆ อยู่” 


 


 


“เลิกดื้อด้านสักทีได้ไหม พวกนายนี่มันดื้อด้านด้วยกันทั้งคู่เลย ฉันเองไม่ใช่เหรอที่เอาพวกนายมายัดอยู่ในที่เดียวกันน่ะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดฉันเอง ใครมันจะไปคิดล่ะว่าพวกนายจะเกิดตกหลุมกันขึ้นมาซะได้….” 


 


 


พูดแล้วก็ได้แต่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมขมับ พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นอย่างคนอับจน สีหน้าของจองอูที่จ้องมองมายังสภาพเช่นนั้นของดงฮยอน ดูราวกับเด็กน้อยที่กำลังถูกตำหนิ ไม่สิ หากมองดูดีๆ แล้ว ก็เหมือนจะดูโกรธอยู่ด้วย เป็นสภาพที่บ่งบอกว่าตัวเองก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับเรื่องนั้น จองอูที่พอจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของดงฮยอน จึงเอ่ยปากออกมา 


 


 


“เดี๋ยวพอนานไปก็ลืมไปเองแหละครับ ถึงยังไงเขาก็ไม่คิดจริงจังอะไรอยู่แล้ว” 


 


 


“หา? นี่ คนที่ไม่จริงจังน่ะ แค่นายหายไป ถึงกับไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ทำตัวเละเทะจนมีสภาพแทบไม่ต่างอะไรกับคนป่วยใกล้ตายแบบนี้เลยเหรอ? คิดให้ดีๆ นะ พวกนายพัฒนาความสัมพันธ์ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน ตลอดช่วงเวลานั้นพวกนายทั้งตกหลุมรักกัน มีความสัมพันธ์แบบแนบชิด แล้วยังใช้เวลาร่วมกันอีกขนาดนั้น ไม่คิดว่าใจคนเรามันจะเปลี่ยนกันบ้างเหรอ? ถ้าคิดแบบนั้นทำไมไม่ยอมแพ้ซะตั้งแต่แรก ไม่งั้นก็ควรมาปรึกษาฉันสิ เมื่อก่อนแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องนายก็ยังมาโอดครวญกับฉัน หรือคิดว่าตัวเองโตแล้ว จัดการเองได้ ไม่ต้องสนใจพี่อย่างฉันก็ได้อย่างงั้นเหรอ จริงๆ เลย อย่าเป็นแบบนั้นเลยนะ ไม่งั้นก็ช่วยใส่ใจพี่ชายคนนี้บ้างสักนิดเถอะ” 


 


 


“ขอโทษครับ…” 


 


 


“เนี่ย อีกแล้ว! นายเลิกพูดคำว่าขอโทษสักทีได้ไหม! ถ้ารู้สึกผิดจริงๆ ล่ะก็ รีบกลับไปหาซองจู แล้วก็ไปคุกเข่าบอกว่าตัวเองผิดแล้วเดี๋ยวนี้เลย!” 


 


 


“เรื่องนั้น…ยังไงซะอีกไม่นานเขาก็จะลืมไปเองแหละครับ เขายังมีคนๆ นั้นอยู่นี่ครับ” 


 


 


คนๆ นั้น? นี่มันบ้าบออะไรอีกล่ะ คำพูดที่คาดไม่ถึงนั้น ทำเอาดงฮยอนต้องเงี่ยหูมาฟัง เขายัดแซนด์วิชที่ยังคงอุ่นๆ อยู่เข้าปากไปชิ้นหนึ่ง พร้อมทั้งส่งสายตาสั่งให้จองอูพูดต่อไป 


 


 


“ยังอยู่นี่ครับ คนๆ นั้นน่ะ” 


 


 


“ใคร?” 


 


 


“คนที่เคยคบ…” 


 


 


ที่หน้าตาดีคนนั้นน่ะ เจ้าตัวไม่กล้าเอ่ยประโยคสุดท้ายออกไป ได้แต่กัดริมฝีปากเอาไว้เช่นนั้น ดงฮยอนที่เห็นจองอูเช่นนั้น จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา 


 


 


“เฮ้อ…เด็กนั้นเจอคนของตัวเองแล้ว แล้วก็จากไปไกลแล้วด้วย ไม่กลับมาอีกแล้ว อีกอย่างซองจูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกคนแล้วด้วย นายไม่รู้รึไง? คนที่ฮันซองจูชอบก็คือนาย นายนั่นล่ะ คิมจองอู” 


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะเขาต้องทรมานจากการที่ลืมคนๆ นั้นไม่ได้มาตั้งแต่ต้น กับผมถึงได้เป็นแบบนั้น…” 


 


 


ท่าทางของจองอูที่พยายามโต้แย้งว่าคำพูดพวกนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ ทำให้สีหน้าของดงฮยอนเริ่มมีรอยยับย่นเพิ่มขึ้น 


 


 


“จองอู นี่มันคือเรื่องของหัวใจนะ ไม่มีทางที่จะเหมือนกันหรอก นายเอง ตอนแรกก็ไม่ได้มองว่าซองจูเป็นคนดีนี่ แต่พอได้อยู่ด้วยกัน ได้เห็นข้อดีของอีกคน มันเลยกลายมาเป็นแบบนี้ได้…” 


 


 


“ตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ” 


 


 


“…หา?” 


 


 


“ก็ ตั้งแต่แรกเห็นแล้วที่รู้สึกว่าเขาไม่ได้เลวร้ายอะไร” 


 


 


คำพูดที่ไม่คาดคิดของจองอูทำเอาดงฮยอนถึงกับเลิ่กลั่กจนทำอะไรไม่ถูก หลังจากซดกาแฟเข้าไปอึกหนึ่ง เขาถึงสามารถเอ่ยปากพูดออกมาได้ 


 


 


“รสนิยมของนายนี่มันช่างพิสดารซะจริงนะ” 


 


 


จองอูยิ้มนิดๆ ให้กับคำพูดนั้น 


 


 


“ยังไงก็ลองเก็บไปคิดดูละกัน ซองจูค่อยๆ ดีขึ้นแล้วก็จริง แต่ที่ฉันเห็นมันยังห่างไกลจากคำว่าดีอยู่โขเลยแหละ นายต้องกลับไป เจ้านั่นถึงจะสามารถดีขึ้นได้โดยสมบูรณ์แบบ” 


 


 


“…ผมจะลองคิดดูครับ แต่มันอาจเป็นคำตอบที่ไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีก็ได้นะครับ” 


 


 


“นายนี่มัน ยังจะทำตัวดื้อด้านจนถึงที่สุดจริงๆ เลยนะ ไม่รู้ล่ะ ฉันต้องรีบกลับไปบริษัทแล้ว ต้องไปจัดการกับงานที่ค้างอยู่ซะก่อน ขอบใจสำหรับไอ้นี่นะ เดี๋ยวอีกสักสองสามวันฉันจะกลับมาใหม่ อยู่ที่นี่อย่าคิดหนีไปไหนอีกล่ะ” 


 


 


“ครับ ขับรถดีๆ นะครับ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อมาด้วยนะครับ” 


 


 


“เออ ไม่ต้องไปส่งนะ” 


 


 


ดงฮยอนที่ในมือข้างหนึ่งถือแก้วที่ยังมีกาแฟเหลืออยู่กว่าครึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จับยัดแซนด์วิชที่เหลือเข้าปาก พร้อมกับเดินออกไปจากร้าน จองอูมองตามเจ้าตัวที่เดินไปขึ้นรถ ก่อนจะปิดล็อกประตูร้านอีกครั้ง และจัดการเตรียมเปิดร้านต่อไปอย่างเงียบๆ  

 

 

 


ตอนที่ 4-2

 

ตอนที่ 4-2 ข้ามผ่าน

 


 


 


 


ก่อนที่จะไปเข้ากรม ตัวเขาก็ทำงานนี้ในการหาเลี้ยงตัวเอง มันก็ถือว่าเป็นงานที่ไม่เลวเลย สำหรับการเลี้ยงดูตัวเองลำพัง แต่ว่ามันก็ไม่ใช่งานที่ได้เงินมากมายอะไรนัก ดังนั้นหลังจากออกจากกรมมาแล้ว เขาจึงได้มองหางานอื่นๆ ดู เพราะอยากจะเก็บเงินสักก้อน แต่ทว่ามือของเขาก็มาได้รับบาดเจ็บเสียก่อน จึงไม่สามารถทำตามที่ตั้งใจได้ เงินที่เก็บหอมรอมริบมาพักหนึ่งก็หมดไปกับค่ารักษา หลังจากนั้นเขาจึงได้กลับมาเป็นบาริสต้าอีกครั้ง 


 


 


เพราะส่วนที่ได้รับบาดเจ็บคือนิ้วก้อยข้างซ้าย จึงไม่ได้ทำให้ลำบากในการทำงานอะไรนัก ก่อนที่เขาจะได้ก้าวเข้ามาทำงานในแวดวงที่เกี่ยวกับดนตรี เขาก็ทำงานเป็นบาริสต้ามาตลอด ซึ่งมันก็ไม่ใช่งานที่เหน็ดเหนื่อยอะไรเท่าไหร่ 


 


 


ตอนนี้เขาก็คอยมาช่วยงานที่คาเฟ่ในช่วงกลางวัน ตอนเย็นที่พอมีเวลาว่าง เขาก็ใช้เวลานั้นทำเพลงบ้าง เครื่องไม้เครื่องมือที่เขาเคยย้ายไปไว้ในห้องของซองจู เขาได้ส่งกลับไปที่ห้องทำงานเก่าของตัวเองแล้ว ตอนนี้จึงค่อยๆ ทำงานด้วยเครื่องมือที่พอมีอยู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็พอใจกับอะไรแบบนั้น กว่าจะมาได้ถึงขนาดนี้ จองอูเองก็ใช้เวลาอยู่นานเช่นกัน 


 


 


แม้จะได้รับคำสารภาพในตอนนี้ แต่ก่อนหน้านี้การต้องรับมือกับความรู้สึกที่ว่าซองจูไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อกันนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วยังการที่ต้องคอยอดทนไปวันๆ กับความรู้สึกที่เป็นบุญคุณกับการไปรบกวนอาศัยอยู่ในที่ของคนอื่นแบบนั้นอีก 


 


 


กลางวันก็สวมหน้ากากคอยต้อนรับลูกค้า และต้องอดทนผ่านค่ำคืนอันยาวนานด้วยสภาพไม่ต่างจากคนป่วยใกล้ตาย ตลอดเวลานั้นความรู้สึกที่มีต่อซองจูมันก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงเลยแม้สักนิด เมื่อไม่อาจทนต่อความรู้สึกคิดถึง ความรู้สึกเสียใจ และความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกคนได้ เขาก็ทำได้แค่เพียงยอมรับมัน แล้วอาการนอนไม่หลับและอาการหูแว่วที่ทำให้เหมือนตกอยู่ในนรกนั่น ก็ค่อยๆ หายไป 


 


 


กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังคงคิดถึง 


 


 


ตอนที่ได้ยินว่าซองจูนั้นมีสภาพไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะตัวเอง เขาก็รู้สึกราวกับโลกถล่มลงตรงหน้า รู้สึกละอายใจเหลือเกินกับคำบอกเล่าที่ว่าอีกมีสภาพไม่ต่างอะไรกับผู้ป่วยใกล้ตาย การจะทำใจให้สงบลงได้ช่างเป็นเรื่องยากลำบาก ในตอนนี้อีกคนกลับมามีสภาพที่เกือบจะเป็นปกติดังเดิมแล้ว เขาคิดว่าการที่ตัวเองกลับไปเจออีกคน อาจจะเป็นการทำร้ายซองจูที่ฟื้นตัวกลับมาได้แล้วก็เป็นได้ 


 


 


ได้แต่คิดว่าจะสามารถกลับไปเจออีกคนได้หรือไม่ มันยิ่งทำให้อึดอัดและคิดถึง อยากจะวิ่งกลับไป แล้วกอดอีกคนเอาไว้ แบ่งปันความอบอุ่นให้แก่กัน แม้ว่าการอยู่ตัวคนเดียวจะทำให้สบายใจ แต่เขากลับโหยหาความอบอุ่นที่เคยมีอยู่ข้างกาย ได้แต่กังวลว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ตัวเองจะทรุดลงไปอีกหรือเปล่า 


 


 


ดังนั้นจึงได้พยายามโหมทำงานอย่างหนัก ใช้งานมาทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นนั่นถูกพับเก็บไป เขาตรวจดูขนมหวานที่เอาออกมาวางไว้ ให้ตัวเองได้หลงลืมซองจูออกไปจากความคิดชั่วขณะหนึ่ง แต่ถึงอย่างไร กระทั่งในความฝันเราก็ยังได้พบกัน ดังนั้นเขาจึงใช้มันมาปลอบใจตัวเอง ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“พี่ครับ วันนี้คงจะยุ่งหน่อย ถ้ายังไม่รีบเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ พี่จะสายเอานะครับ” 


 


 


“รู้แล้วน่า รอแป๊บนึง” 


 


 


มินซิกที่ทำตัววุ่นวายตั้งแต่เช้ายังคงบ่นไม่เลิก อีกฝ่ายถูกปล่อยทิ้งไว้ตรงหน้าประตู เอ่ยเร่งให้เขารีบเตรียมตัว ขณะที่ซองจูยังยืนอยู่หน้ากระจกค่อยๆ ส่องสำรวจตัวเอง 


 


 


ผิวพรรณที่ดูมีเลือดฝาดมากกว่าเก่า น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมา ทำให้รูปร่างกลับมาดูดีอีกครั้ง จัดแต่งขนคิ้วและเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากให้ออกมาดูดีด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ต่ำลงมาคือดวงตาสีน้ำตาลใสกระจ่างและขนตาที่ถูกปัดให้ดูหนาขึ้นมา 


 


 


ด้วยอากาศที่ยังคงเย็นอยู่เล็กน้อย เขาจึงสวมกางเกงยีนส์คู่กับเสื้อเชิ้ต และสวมทับด้วยเสื้อเทรนโค้ทบางๆ ซองจูดูสภาพตัวเองในกระจกอีกครั้ง ประมาณนี้ก็คงจะไม่ดูเหมือนคนป่วยในสายตาคนอื่นสักเท่าไหร่แล้วแหละ 


 


 


“เอาล่ะ ไปกันรึยัง?” 


 


 


เจ้าตัวยกยิ้มให้ตัวเองในกระจก ก่อนจะออกจากห้องไป 


 


 


ตอนนี้ซองจูอยู่ในช่วงของการเตรียมตัวกลับสู่วงการอีกครั้ง 


 


 


เขาปรับเปลี่ยนการออกกำลังกายและการกิน กลับมางดดื่มเหล้าและสูบบุหรี่อีกครั้ง แต่ร่างกายที่เสื่อมโทรมไปก็ดูจะไม่กลับคืนมาง่ายๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่หายไป แม้จะปรับการออกกำลังกายเท่าไหร่ ก็ดูจะไม่มีวี่แววเลยสักนิด ได้แต่บอกคนอื่นไปว่าเขาป่วยหนัก และในความเป็นจริงมันก็ดูเป็นเช่นนั้น ซองจูแสดงออกมาว่าตัวเองไม่ได้เจ็บป่วยอะไรแล้ว 


 


 


แต่ทว่าจิตใจที่อ่อนแอนั้นไม่ได้ดีขึ้นมาเลย เขายังคงคิดถึงสัมผัสที่อบอุ่นและเสียงกระซิบทุ้มต่ำนั่น ในช่วงเวลาเช่นนั้น ซองจูจะเข้าไปที่ห้องซ้อมของบริษัทและซ้อมการแสดง พูดตำหนิตัวเองออกมาด้วยแรงอารมณ์ ลองแสดงเป็นคนอื่นเช่นนั้น ก็พอจะช่วยให้ลืมความอ้างว้างและความรู้สึกสูญเสียพวกนั้นไปได้บ้าง 


 


 


แต่หากคิดถึงจองอูขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาก็จะฟังเพลงของอีกคน และเปิดดูภาพการแสดงของอีกคนที่ถูกถ่ายเอาไว้เช่นเมื่อก่อน หากคิดถึงความอบอุ่นของอีกคนขึ้นมา เขาก็ได้แต่กระวนวายใจอยู่เพียงลำพัง และจบแต่ละวันไปด้วยการร้องไห้ 


 


 


อาจดูเหมือนดีขึ้น แต่มันกลับไม่ดีขึ้นเลย แน่นอนว่าการยอมรับความจริงกับไม่ยอมรับความจริงนั้นมันแตกต่างกันอย่างมาก แต่ทว่าซองจูคิดว่าสภาพจิตใจของเขามันไม่ได้สมบูรณ์ดีขึ้นเลย 


 


 


“มินซิก วันนี้ตารางงานมีอะไรบ้าง” 


 


 


เมื่อซองจูขึ้นมาบนรถแล้ว เจ้าตัวจึงได้เอ่ยถามมินซิก เมื่อดูตารางงานแล้วก็มีแค่ไปบริษัทกับฟิตเนส แล้วก็ไปโรงพยาบาลเพียงเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นการที่รู้ตัวว่าต้องทำอะไรกับการไม่รู้เลยนั้นก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างมาก คำถามของซองจูทำให้มินซิกหันกลับมามองข้างหลังแวบหนึ่ง ก่อนจะขับรถต่อไป 


 


 


“เมื่อกี้เราไปออกกำลังกายมาแล้ว ที่เหลือก็แค่ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลครับ เอ้อ แล้วก็วันนี้ท่านประธานชวนให้ไปกินมื้อเที่ยงด้วยกันนะครับ” 


 


 


“หา? แล้วทำไมมาบอกนายล่ะ ต้องมาบอกฉันโดยตรงไม่ใช่รึไง ที่ถูกก็ควรต้องบอกฉันนี่สิ” 


 


 


“เอาอีกแล้วนะครับ ยังไงก็บอกไปแล้วว่าจะไป พี่ก็อย่าทำตัวแบบนั้นเลยนะครับ เพราะแบบนั้นคนเขาจะเข้าใจผิดเอาได้ว่าพี่ถูกทิ้งนะครับ” 


 


 


“แล้วจะทำไมล่ะ?” 


 


 


“ไม่ใช่แบบนั้นครับ…ยังไงซะพี่ก็เป็นคนดีมากๆ นะครับ ทิ้งคนแบบพี่ได้ต้องเป็นคนที่โง่มากๆ เลยแหละครับ” 


 


 


“เดี๋ยวนี้นายชักจะเริ่มปีนเกลียวแล้วนะ” 


 


 


“ผมทำแบบนั้นที่ไหนกัน!” 


 


 


ซองจูหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะหัวเราะให้กับการหยอกเย้ามินซิก 


 


 


ช่วงนี้บรรยากาศรอบตัวซองจูเปลี่ยนไป 


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน แม้จะเป็นคนของเขา ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเจ้าตัวก็จะหัวร้อนออกมาทุกครั้ง ทว่าช่วงนี้กลับหลุดเสียงหัวเราะและมีรอยยิ้มมากขึ้น แล้วยังหยอกมินซิกกลับด้วย 


 


 


คนที่ดูมีประโยชน์ที่สุดในช่วงเวลาที่แสนสาหัสแบบนี้ ก็คือมินซิกนี่แหละ อีกคนต้องตัวติดกับซองจูตลอดทั้งวัน จึงช่วยให้ได้ผ่อนคลายจากความเครียด แล้วยังทำให้พลอยสดใสไปด้วย 


 


 


เรื่องดีๆ มันก็คือเรื่องดีๆ ซองจูมองสำรวจใบหน้าที่ยิ้มพรายของมินซิก ก่อนจะค่อยๆ หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง 


 


 


“แล้วนี่จะไปไหนล่ะ” 


 


 


“ไปเจอท่านประธานครับ” 


 


 


“งั้นฉันขอพักสายตาสักแป๊บ ถ้าถึงแล้วก็ปลุกด้วยล่ะ” 


 


 


“ครับ” 


 


 


ซองจูที่ไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป ค่อยๆ หลับตาลง 


 


 


“อะไรเนี่ย สีหน้าดูดีขึ้นเยอะเลยนี่” 


 


 


“งั้นเหรอ” 


 


 


“ดีแล้วสินะ ตอนนี้ค่อยดูเหมือนคนขึ้นมาหน่อย” 


 


 


“งั้นก่อนหน้านี้ไม่ใช่คนหรือไง คำพูดคำพูดจานี่มัน…” 


 


 


เสียงที่ดังปลุกทำให้เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วใบหน้ายิ้มแย้มของดงฮยอนก็ปรากฏสู่สายตาเป็นสิ่งแรก นั่นทำให้รู้สึกไม่พอใจสักเท่าไหร่ สีหน้าจึงพาลบูดบึ้ง จนเกิดบทสนาทนาเมื่อครู่นั่นแหละ สถานการณ์ที่ดูไม่ได้น่ายินดีเลยสักนิด ทำให้ตอบโต้กลับไปอย่างไม่ใส่ใจ และก็เพราะดงฮยอนที่เอาแต่คอยจับผิดคำพูด จึงยิ่งทำให้สีหน้าเขาบูดบึ้ง 


 


 


ดงฮยอนที่ได้เห็นซองจูที่มีสภาพจิตใจเช่นนั้น อีกทั้งยังแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ก็ทำเอาเจ้าตัวไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลย 


 


 


เพราะก่อนหน้านี้อีกคนมีสภาพราวกับจะตายเสียให้ได้ ตอนนี้พอมีสภาพที่ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา และยังนิสัยเดิมที่เผยออกมา มันก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง หากอยู่ในสภาพนี้ การปล่อยสองคนเอาไว้ด้วยกันก็คงไม่ทำให้จองอูหนักใจเท่าไหร่มั้ง เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะหลุดขำออกมา 


 


 


“นี่ ทำไมจู่ๆ ก็ยิ้มน่าเกลียดแบบนั้น ขนลุกชะมัด” 


 


 


“มีเรื่องให้อารมณ์ดีก็ต้องยิ้มออกมาสิ นี่ ไปดื่มกาแฟกันเถอะ” 


 


 


“กาแฟเหรอ? ไม่ใช่ข้าว?” 


 


 


“ก็มันไม่มีเวลาพอให้ไปนั่งกินข้าวนี่ ไปหาอะไรง่ายๆ กินที่นั่นเอาก็แล้วกัน” 


 


 


“ประสาท ไม่อร่อยละน่าดู” 


 


 


แม้บุคลิกเดิมจะตายไป แต่ฝีปากจัดจ้านก็ยังคงไม่หายไปไหน พอสะกิดให้หงุดหงิดเข้าหน่อย ก็ขู่คำรามกลับมาเสียแล้ว ซองจูที่เป็นเช่นนั้นได้แต่ทิ้งดงฮยอนที่เอาแต่หัวเราะคิกคักไว้ตรงนั้น 


 


 


ร้านคาเฟ่เล็กๆ ในละแวกใกล้กับที่ตั้งของบริษัท ให้บรรยากาศเรียบง่ายและดูทันสมัยอยู่ในที ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา น้ำเสียงที่เอ่ยต้อนรับออกมาด้วยความยินดีก็ดังจากมาทุกทิศทาง นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่มาที่นี่ ดงฮยอนเดินนำไปทางส่วนด้านในของร้านที่จัดเป็นห้องส่วนตัวเอาไว้ 


 


 


“โอ้ ท่านประธาน ไม่ได้มานานเลยนะครับ” 


 


 


ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง รีบตรงดิ่งเข้ามาทางพวกเขาทันทีที่สังเกตเห็นดงฮยอน 


 


 


“อ้า เถ้าแก่ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ พวกเราขอใช้ห้องประชุมหน่อยจะได้ไหมครับ” 


 


 


“แน่นอนครับ จะใช้นานเท่าไหร่ก็ตามสบายเลยครับ ว่าแต่ คุณคนนี้…คุณฮันซองจูใช่ไหมครับเนี่ย?” 


 


 


“อ้า สวัสดีครับ” 


 


 


เขาโค้งศีรษะเล็กน้อยให้กับเจ้าของร้านคาเฟ่ที่ดูจะรู้จักเขาด้วย สีหน้าของเถ้าแก่ดูเบิกบานอย่างมาก 


 


 


“โอ้ ผมเป็นแฟนคลับคุณด้วยนะครับ ได้มาเจอตัวจริงแบบนี้ เป็นเกียรติมากเลยครับ” 


 


 


“ผมสิครับที่ต้องรู้สึกเป็นเกียรติ ร้านดูดีมากเลยนะครับ” 


 


 


“ขอบคุณครับ อ๊ะ ท่านประธาน จะให้จัดเมนูอะไรมาให้ดีครับ” 


 


 


“ของผมเอากาแฟแบบเดิม กับไอซ์อเมริกาโน่แก้วนึงครับ แล้วก็ขอเป็นเมนูอะไรก็ได้ที่พอจะช่วยประทังหิวด้วยนะครับ เอ้อ มินซิกจะกินอะไรล่ะ?” 


 


 


“ผมคงต้องเข้าไปที่บริษัทสักหน่อยน่ะครับ ผอ.เขาเรียกไปพบน่ะครับ…” 


 


 


“ยองอุกน่ะเหรอ? เจ้านั่นไม่คิดจะพักบ้างเลยรึไงนะ ถ้าโดนรังแกละก็มาบอกฉันเลยนะ” 


 


 


“ไม่หรอกครับ ผอ.ออกจะดีกับผมนะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พี่ครับ ถ้าเสร็จธุระแล้ว ช่วยโทรหาผมด้วยนะครับ!” 


 


 


“อื้อ แล้วเจอกัน” 


 


 


ซองจูมองตามมินซิกที่รีบเร่งเดินจ้ำไปทางบริษัท แล้วจึงเดินตามดงฮยอนเข้าไปในห้องประชุมของคาเฟ่ 


 


 


“ดูดีเลยนะเนี่ย” 


 


 


ซองจูมองสำรวจรอบๆ ห้องแคบ ก่อนจะนั่งลง 


 


 


ส่วนมากแล้วร้านคาเฟ่ในละแวกบริษัทก็มักจะเป็นเช่นนี้ ที่นี่ถูกจัดไว้ให้คล้ายคลึงกับห้องประชุม มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จัดเตรียมไว้สำหรับเหล่าพนักงานบริษัททั้งหลาย เพราะอย่างนั้นจึงสามารถหลบเลี่ยงจากสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนอื่น แล้วมีความสุขกับการพักผ่อนได้ นั่นทำให้เขารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก 


 


 


ด้วยความพิเศษของอาชีพนักแสดง จึงทำให้ไม่สามารถจะเมินเฉยต่อสายตาของคนอื่นๆ ได้ แต่ทว่าถึงจะบอกว่าเคยชินแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นสบายอกสบายใจได้ โดยเฉพาะซองจูที่เพิ่งจะผ่านช่วงเวลาที่สาหัสมาได้ไม่เท่าไหร่ จึงยิ่งจำเป็นต้องอยู่ห่างๆ จากสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนอื่นเข้าไว้ เขาเอนหลังพิงเข้ากับพนักของเก้าอี้อย่างช้าๆ แล้วมองไปยังดงฮยอนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 4-3

 

ตอนที่ 4-3 ข้ามผ่าน

 


 


 


 


“มีแผนการอะไรถึงได้ลากมาที่แบบนี้กันล่ะ” 


 


 


แม้จะพูดจาเหน็บแนมอีกฝ่ายออกไป แต่ดงฮยอนก็ยังคงมองมายังซองจูด้วยท่าทางนิ่งเฉยเช่นเดิม 


 


 


“อะไร?” 


 


 


“คนอย่างชินดงฮยอนน่ะ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องลากกันมาถึงที่นี่หรอกมั้ง ถ้ามีอะไรจะคุยละก็ คุยที่บริษัทไม่ปลอดภัยกว่ารึไง จากที่ดู นี่คงจะสั่งให้พี่ยองอุกเรียกตัวมินซิกไปด้วยสินะ มีเรื่องอะไรกันแน่? ปัญหาเร่งด่วนรึไง?” 


 


 


ซองจูพูดออกมาเช่นนั้นพร้อมกับมองดงฮยอนด้วยท่าทางลำบากใจ ดงฮยอนที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของซองจูก็ถึงกับหลุดขำออกมา ก่อนจะส่ายหน้าไปมา 


 


 


“ยังความรู้สึกไวเหมือนเดิมเลยนะ อีกเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ ไอ้เจ้านี่” 


 


 


ดงฮยอนพูดออกมาเช่นนั้น พร้อมกับสังเกตซองจูไปด้วย 


 


 


สีหน้ากลับมาดีขึ้นมากแล้ว แต่ทว่าน้ำหนักยังดูห่างไกลจากแต่ก่อนอยู่มาก มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ถ้าจะถือเสียว่านี่เป็นการไดเอตของเจ้าตัว แต่ทว่าถ้าคิดถึงเรื่องของสุขภาพก็ควรจะเพิ่มน้ำหนักอีกสัก หนึ่งกิโลหรือไม่ก็สักสองกิโล แต่ก็นะเทียบกับการลดน้ำหนักแล้ว เพิ่มน้ำหนักดูจะง่ายกว่าเป็นไหนๆ เขาจึงไม่ได้กังวลอะไรมากนัก เรื่องที่เร่งด่วนกว่านั้น คือเรื่องของสภาพจิตใจต่างหาก 


 


 


แม้จะดูฟื้นฟูกลับมามากแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจแก้ไขสาเหตุที่ทำให้จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนเช่นนี้ได้เลย แล้วเรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการพาไปหาจองอู ปัญหาเรื่องสภาพจิตใจของซองจูนั้น มันเป็นปัญหาที่ฝังลึกมากกว่านั้น ซึ่งเจ้าตัวเองก็รู้ดีกว่าใคร 


 


 


ปัญหาที่เกี่ยวกับพ่อแม่และน้องชาย ตอนนี้อีกคนก็กำลังปรับแก้มันอยู่ กับปัญหาเรื่องคนรักเก่านั้น ไม่ได้แก้ไขได้ด้วยการปรึกษากับใครสักคน มันเป็นปัญหาที่พึ่งพาคนอื่นไม่ได้ ซองจูผู้โชคร้ายในเรื่องพวกนี้อยู่เสมอ ก็ไม่ได้มีใจที่คิดอยากจะได้รับคำปรึกษาจากใคร สุดท้ายมันก็ไม่มีทางอื่นนอกจากเอาชนะด้วยตัวเอง วันนี้ดงฮยอนจึงพาซองจูมาที่นี่ ก็เพื่อให้อีกคนได้ลองเผชิญหน้าดู 


 


 


“อะไรเนี่ย ขนลุกชะมัด มองกวาดขึ้นลงแบบนั้นทำไม?” 


 


 


“นายเนี่ยพูดเพราะขึ้นนะ” 


 


 


“พี่รู้เหรอว่าอะไรคือพูดเพราะน่ะ?” 


 


 


“ปัดโธ่ เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ไอ้เราก็นึกว่านิสัยแบบนั้นตายไปแล้ว ที่แท้ก็เหมือนเดิม” 


 


 


“ก็ต้องงั้นสิ สันดานเนี่ยจะให้เปลี่ยนยังไงเล่า ถึงจะน่ารำคาญ แต่ก็ไม่มีแรงจะสู้ด้วยหรอกถึงได้ทนแบบนี้” 


 


 


ซองจูที่ทำเสียงเฮอะใส่คำพูดของเขา เห็นเช่นนั้นดงฮยอนก็ได้แต่หลุดขำออกมา หากเป็นเจ้าคนที่ทำท่าหมดอาลัยตายอยากเมื่อก่อนนั้น แค่พูดตอบโต้ออกมาแบบนี้ก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว แต่ทว่าก็คงแกล้งทำเป็นไม่รับรู้กับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้ อย่างไรเสียจะตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนๆ นี่แหละ เขาคิดเช่นนั้น ก่อนจะดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่ 


 


 


“ได้เวลาแล้วนี่” 


 


 


“กำลังรอใครอยู่กันแน่?” 


 


 


“เดี๋ยวก็มาแล้ว โอ๊ะ มาแล้วสินะ” 


 


 


เมื่อดงฮยอนมองเห็นเงาตะคุ่มๆ แถวประตู ก็ขยับขาที่ไขว่ห้างอยู่ลง ในตอนนั้นเองประตูห้องประชุมก็ค่อยๆ เปิดออก 


 


 


“ร้านเราให้บริการตัวเองนะครับ ครั้งหน้าช่วยไปยกมาเองด้วยนะครับ รุ่นพี่” 


 


 


ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดนั่น สีหน้าของซองจูก็พลันเคร่งเครียดขึ้นมา 


 


 


“มุนเซจอง?” 


 


 


เขาขยับเปลี่ยนท่านั่งสบายๆ ของตัวเอง พร้อมกับมองตรงไปยังประตูที่ถูกเปิดออก 


 


 


เซจองยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือถาดที่เต็มไปด้วยของกิน 


 


 


“อะไรเนี่ย รุ่นพี่ก็มาด้วยเหรอ?” 


 


 


เซจองพูดแบบนั้นออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับปิดประตูลง 


 


 


“ทำไมถึงได้ไปขอร้องเถ้าแก่เอาเองแบบนั้น คิดจะมาขโมยเวลาทำงานกันรึไง…” 


 


 


เซจองบ่นพึมพำเสียงเบา พร้อมกับวางถาดลงตรงหน้าคนทั้งสอง 


 


 


“อเมริกาโน่เย็นนี่ของรุ่นพี่สินะ? ยังกินเหมือนเดิมเลย” 


 


 


“โธ่เอ๊ย พอเถอะ เดี๋ยวเราจัดการเองได้ นายมานั่งก่อนเถอะ นี่ไม่ได้เรียกให้มาทำอะไรแบบนี้สักหน่อย” 


 


 


“ช่างเถอะ ยังไงผมก็เป็นพนักงานที่นี่อยู่แล้ว” 


 


 


 แม้ดงฮยอนจะแสดงท่าทางห้ามปรามออกมา แต่เซจองก็ยังคงจัดการวางเครื่องดื่มลงตรงหน้าแต่ละคน พอเอาแก้วอเมริกาโน่มาวางให้เขาแล้วจึงได้นั่งลง 


 


 


“แล้วมีเหตุผลอะไรถึงได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ได้ครับ” 


 


 


เจ้าตัวมองสลับไปมาระหว่างดงฮยอนและซองจู ซองจูที่ได้เห็นเซจองซึ่งมีท่าทีเช่นนั้น สีหน้าของเจ้าตัวก็ยังเรียบเฉยเช่นเดิม ไม่ได้ดูผิดแปลกไป 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เห็นว่านานแล้วที่เราสามคนไม่ได้รวมตัวนั่งพูดคุยกันน่ะ” 


 


 


คำพูดของดงฮยอนทำเอาเซจองหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม 


 


 


“รุ่นพี่ ผมเป็นพนักงานที่นี่นะครับ ถ้าผมมัวแต่มานั่งคุยเล่นอยู่แบบนี้ พนักงานคนอื่นได้ลำบากตายเลย พี่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?” 


 


 


“โธ่ กลัวแล้วจ้า อันนั้นฉันก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ นายก็จะไม่ยอมออกมาเจอซองจูนี่นา” 


 


 


เจ้าตัวยกมือสองข้างขึ้น พร้อมทั้งทำสีหน้าชวนให้ขำ คำพูดตัดฉับของดงฮยอนนั้นทำเอาเซจองไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก การเงียบก็เท่ากับเป็นการยอมรับ ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้แก่ใจดี 


 


 


“ถึงประธานคิมจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่การจัดการกับเรื่องความสัมพันธ์แบบนั้น มันออกจะไร้มารยาทไปสักหน่อยไหม นายเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เซจองเด็กที่เรียบร้อยและฉลาดเฉลียวที่พี่รู้จักคนนั้น ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ จะไม่ให้สงสัยเลยได้เหรอ” 


 


 


“พี่บ้าบออะไรกัน” ดงฮยอนยังคงยิ้มแย้มออกมา อีกทั้งยังทำเป็นเมินเฉยต่อเสียงพึมพำนั้นของซองจู เซจองที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา 


 


 


“เฮ้อ…รุ่นพี่เนี่ยไม่เคยจะอ่อนข้อให้เลยนะ ถึงจะแกล้งทำเป็นไม่ใช่ แต่ที่จริงก็เข้าข้างพี่ซองจูตลอด” 


 


 


เซจองส่ายหน้าอย่างระอากับคำพูดนั้นของดงฮยอน ก่อนจะเอนตัวพิงกับเก้าอี้ 


 


 


“ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้คิดที่จะเข้าไปบอกด้วยตัวเองหรอกนะ อันที่จริงแล้วผมไม่มีความมั่นใจเลย ตอนงานแต่งงานก็ด้วย ผมเองเอาแต่กังวลอยู่ตลอด เพราะก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับรุ่นพี่ดี แล้วคุณจีฮุนเขาก็ไม่ชอบใจที่ผมไปเจอรุ่นพี่ เลยออกตัวว่าจะไปจัดการแทนเอง” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะมาด้วยกันซะก็สิ้นเรื่อง นายก็รู้ดีนี่ว่าซองจูก็ไม่ได้รู้สึกดีกับสถานการณ์ตอนนั้น แล้วก็ยังมีเรื่องบาดหมางกับประธานคิมไปด้วย” 


 


 


“ก็เขาบอกคุยกันด้วยดีแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นเหรอครับ” 


 


 


ในตอนนั้นเซจองก็หันไปจ้องซองจู ใบหน้างดงามนั้นเกิดรอยยับย่นขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


“ก็นะ มันไม่ได้มีอะไรหรอก ถึงฉันกับหมอนั่นจะเถียงกันก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับลงไม้ลงมือหรอก” 


 


 


เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระออกมา เซจองที่เห็นท่าทางที่บอกว่ามันไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงอะไรแบบนั้นของซองจูแล้ว จึงได้คลายความกังวลลง 


 


 


“ก็ ถ้ารุ่นพี่ว่าอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น” 


 


 


ดงฮยอนมองไปทางเซจองที่พูดแบบนั้นออกมา แล้วจึงได้หยิบแซนด์วิชที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมายัดใส่ปากชิ้นหนึ่ง ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา 


 


 


“แซนด์วิชอีกแล้ว เดี๋ยวนี้ฉันได้กินแต่เศษขนมปัง หิวจะตายแล้วเนี่ย ไม่มีเมนูอาหารอย่างอื่นแล้วรึไง?” 


 


 


“ก็นั่นล่ะอาหาร เคยเห็นคาเฟ่เสิร์ฟอาหารเป็นชุดรึไงครับ? ถ้าอยากกินข้าวก็ไม่ต้องมาที่นี่” 


 


 


“ไม่ใช่ซะหน่อย แบบพวกอาหารของพนักงานน่ะ ไม่มีบ้างรึไง? มีชีวิตโดยไม่กินข้าวกันเหรอ?” 


 


 


สายตาของเซจองเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้น เมื่อได้เห็นท่าทางของดงฮยอนที่บ่นอะไรไม่รู้จักคิดแบบนั้นออกมา เจ้าตัวจึงได้ดึงถาดที่วางตรงหน้าดงฮยอน ขยับเลื่อนไปทางซองจูแทน 


 


 


“นี่ให้รุ่นพี่กินเถอะ ถ้าอยากกินข้าวนักก็เชิญออกไปหากินข้างนอก” 


 


 


“สมเป็นมุนเซจอง ไม่เคยจะยอมกันเลยนะ นี่ ช่วงนี้ฉันได้กินแต่พวกขนมปัง ไม่อยู่ท้องเอาซะเลย งั้นเดี๋ยวฉันขอออกไปหาข้าวกินหน่อยก็แล้วกัน เอ้อ อย่างน้อยก็ขอไปหาแกงกิมจิกินสักหน่อยก็ยังดี พวกนายก็กินไอ้นี่ แล้วก็คุยกันไปนะ” 


 


 


“เดี๋ยวสิ พี่!” 


 


 


คนที่เพิ่งบอกว่าจะออกไปหาอะไรกินนั่น เพิ่งจะเขมือบวิปปิ้งครีมที่กองพูนเท่าภูเขาไปเองนะ แล้วก็ยังออกไปด้วยท่าทางร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ ทำตัวน่าสงสัยซะจริง สีหน้าของซองจูที่มองตามแผ่นหลังของดงฮยอนไปนั้น เต็มไปด้วยความไม่พอใจ 


 


 


“ไอ้บ้านั่นมีแผนอะไรกันแน่ แค่กาแฟแก้วนั้น แคลอรี่ก็ปาไปสามเท่าของอาหารปกติแล้วด้วยซ้ำ กินของหวานเข้าไปตั้งขนาดนั้นแล้วยังจะต้องกินข้าวอีกรึไง” 


 


 


“รุ่นพี่ดงฮยอนก็เป็นแบบนั้นตลอดแหละครับ เขารู้กันหมดแล้วยังจะมาหลอกคนกันเองอีก ช่างไม่เคยเรียนรู้อะไรซะบ้างเลย” 


 


 


ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เซจองก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ซองจูจึงได้หลุดขำให้ท่าทางนั้น 


 


 


“ก็นั่นน่ะสิ สบายดีนะ? ไม่ยักรู้ว่านายทำงานที่นี่ด้วย” 


 


 


“ปกติรุ่นพี่เคยเข้าร้านแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ” 


 


 


“คำพูดคำจาไม่ห้วนไปหน่อยรึไง?” 


 


 


“เมื่อก่อนผมเคยทำแบบนี้เหรอไงครับ” 


 


 


ไม่รู้เลยว่าพอสนิทใจแล้ว ก็ทำให้คุ้นเคยกับท่าทางที่ดูอวดดีแบบนี้ได้ ซองจูพอจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง 


 


 


“นายคิดอะไรของนาย ถึงได้ให้หมอนั่นเอาของนั่นมาคืนให้ฉัน” 


 


 


ซองจูเอ่ยคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป เซจองจ้องมาทางซองจูครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดบางอย่างออกมา 


 


 


“ก็แค่คิดว่าถ้ารุ่นพี่ได้รับของนั้นแล้ว ก็คงพอจะเข้าใจคำพูดที่ผมอยากจะบอกเองน่ะครับ” 


 


 


“ฉันดูน่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ” 


 


 


“แล้วจะบอกว่าไม่เข้าใจหรือไงครับ” 


 


 


“ก็ ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่ามันตรงกับที่นายคิดไว้หรือเปล่า” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้เซจองหลุดขำออกมา 


 


 


“ถ้าเข้าใจดีอยู่แล้ว ก็อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยครับ มันดูเหมือนพวกคนเจ้าเล่ห์น่ะ” 


 


 


คำพูดนั้นทำเอาซองจูหลุดยิ้มกว้างออกมา 


 


 


“ก็นะ นายไม่ได้เกลียดฉัน แค่นั้นก็ดีแล้ว แต่ว่านะนายคิดจะไม่เจอฉันไปตลอดชีวิตเลยรึไง?” 


 


 


“ยังไงซะ คนที่เรารู้จักก็พัวพันกันวุ่นไปหมด มันก็ทำแบบนั้นไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะตามหาจุดยืนแบบนั้นอยู่แล้วด้วย ดูตอนนี้สิครับ แบบนี้ดีจะตายไป ให้มันเป็นแบบนี้ไปก็ดีแล้วครับ คุณจีฮุนเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากแล้ว” 


 


 


“เออใช่ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็จะเรียกว่าพี่ด้วยใช่ไหม” 


 


 


“อื้อ แบบนี้ก็โอเค” 


 


 


ก็ไม่ได้เรียกแบบนั้นบ่อยนักหรอก ท่าทางของเซจองที่เอ่ยออกมาแบบนั้น มันช่างแปลกตาเสียจริง เป็นท่าทางที่ไม่เคยเห็นเลยแม้แต่ตอนที่ยังคบกันอยู่ ซองจูคิดว่าเซจองนั้นเปลี่ยนไปมาก และถึงจะได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของเซจอง แต่ตัวเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว 


 


 


หากเป็นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แน่นอนว่าถ้าได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของเซจอง เขาคงจะแสดงความเกรี้ยวกราดและพูดจาเหน็บแนมอีกคนด้วยอารมณ์โกรธ แต่ทว่าเขากลับไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเลยสักนิด และแม้ว่าจะเป็นตัวเขาคนก่อน การได้มาเจอกับอีกคนที่เป็นเจ้าของใบหน้างดงามแบบนี้ มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรเลยสักนิด เมื่อเขาแน่ใจกับสิ่งนั้นแล้ว จึงทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น 


 


 


เลิกกันจริงๆ สักทีนะ 


 


 


ซองจูถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจ กับความรู้สึกที่เพิ่งค้นพบนี้ 


 


 


“ถอนหายใจทำไมกันครับ?” 


 


 


“ก็แค่คิดว่าฉันกับนายจบกันจริงๆ แล้วน่ะ” 


 


 


“เรื่องที่ผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนั้น ยังต้องเก็บมาคิดอีกเหรอครับ?” 


 


 


“เพิ่งจะไม่กี่เดือนต่างหาก” 


 


 


เซจองถึงกับเงียบไป เมื่อได้ยินคำพูดนั้น 

 

 

 


ตอนที่ 4-4

 

ตอนที่ 4-4 ข้ามผ่าน

 


ไม่มีใครต้องรู้สึกละอายใจกับการทิ้งกระเป๋าสตางค์ใบนั้นอีกแล้ว มันถึงเวลาที่ต้องหยุดดึงรั้งกันและกันได้แล้ว แต่ทว่าพอได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของเซจอง ก็ทำให้คิดได้ว่าอีกคนนั้นโตขึ้นมาก ซองจูยิ้มให้กับความคิดตัวเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก 


 


 


“ไม่ต้องเก็บมาคิดมากนักหรอกนะ” 


 


 


“ว่าไงนะครับ” 


 


 


“ก็ที่จงใจไม่ติดต่อมา แล้วยังตอนที่เจอกันก็เอาแต่ทำท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่กันซะขนาดนั้นน่ะ มันไม่จำเป็นแล้วล่ะ ดีกันเถอะ นายเองก็เจอคนของนายแล้ว ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปก็พอ ฉันเองถ้าได้เจอคนๆ นั้นบ้าง มันก็คงจะดีเหมือนกัน” 


 


 


“…รุ่นพี่ไม่ได้คบใครอยู่เหรอครับ” 


 


 


คำพูดที่ไม่คาดคิดแบบนั้น ทำเอาเซจองมีสีหน้าแปลกไป ซองจูที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมา ทำเอาเซจองหลุดอุทานออกมา 


 


 


“อ๊ะ!” 


 


 


“ถึงไม่รู้ว่าคนๆ นั้นอยู่ที่ไหน แต่พอฉันบอกว่าจะอยู่กับคนดีๆ นายถึงกับคัดค้านเลยเหรอ” 


 


 


“เฮ้ย ทำไมรุ่นพี่พูดจาแบบนี้ล่ะครับ!” 


 


 


“อะไร? ฉันจะเจอคนดีๆ บ้างไม่ได้รึไง?” 


 


 


“ไม่ใช่แบบนั้นแต่ว่า…มันจริงใช่ไหมครับ เขาเป็นคนแบบไหนเหรอครับ” 


 


 


เซจองที่ดวงตาเบิกโพลงราวกับเรื่องที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องไม่คาดฝันอย่างที่สุด พอเอ่ยปากถามออกมาแบบนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเหมือนสมัยก่อนเลย ซองจูหลุดยิ้มกว้าง พร้อมกับส่ายหน้าไปมา 


 


 


“ไม่อยู่แล้วล่ะ ตอนที่เขายังอยู่ฉันไม่เคยเห็นค่า ตอนนี้ถึงได้หนีจากฉันไปแล้วน่ะ” 


 


 


“ทำตัวไม่ดีขนาดไหนกัน เขาถึงได้หนีไปน่ะครับ” 


 


 


“ก็อย่างนั้นล่ะ ฉันมันเอาแต่ใจตัวเอง ตอนเขาอยู่ข้างๆ กลับไม่เคยรับรู้ถึงความดีของเขาเลย เอาแต่ทำตามใจตัวเอง ทำนิสัยเสีย ทำให้เขาต้องเจ็บปวด เพราะอย่างนั้นถึงได้หนีไป พอเขาหายไปแล้ว ถึงได้เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนที่ดีขนาดไหน เพราะถึงฉันจะทำตัวไม่ดียังไง ก็ยังอดทนรับข้อเสียของฉันได้” 


 


 


“รุ่นพี่ต้องเปลี่ยนตัวเองในเรื่องนั้นนะครับ ผมเองตอนที่คบกับรุ่นพี่ ก็ไม่ชอบนิสัยแบบนั้นเลย ตอนนี้พอคิดดูแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทนกับนิสัยเลวร้ายพวกนั้นด้วย เปลือกนอกมันน่ากลัวจริงๆ นะครับ” 


 


 


“ก็นั่นแหละ ครั้งนี้ฉันก็สำนึกผิดได้มากแล้ว” 


 


 


เซจองที่มองไปทางซองจูซึ่งกำลังยกยิ้มอย่างหดหู่ออกมา จึงได้พูดขึ้น 


 


 


“เสียใจจริงๆ ใช่ไหมครับ” 


 


 


“แล้วจะให้เสียใจปลอมๆ รึไง” 


 


 


“จับไว้สิครับ แค่นั้นก็สิ้นเรื่อง” 


 


 


“หา?” 


 


 


“บอกให้จับไว้ เห็นพี่ทำสีหน้าแบบนั้นแล้ว คงจะชอบเขาเอามากๆ เลยไม่ใช่เหรอไงครับ แทนที่จะมัวมานั่งเสียใจก็รีบคว้าเอาไว้ซะ แล้วก็เลิกยึดติดกับอะไรที่มันค้างคาสักที” 


 


 


ซองจูตั้งใจฟังคำพูดของเซจองด้วยสีหน้างุนงง บอกให้จับก็จับได้เลยงั้นเหรอ? เขาตั้งใจฟังคำพูดของเซจองด้วยความสงสัย ไม่สิ เป็นครั้งแรกเลยที่เซจองให้คำปรึกษากับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของซองจูแบบนี้ อย่างกับไม่ใช่เรื่องจริงเลย ซองจูกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา 


 


 


“จับไว้แล้วมันจะดีเหรอ?” 


 


 


“ก็ต้องลองดู ถ้าทางนั้นยังบอกว่าไม่ชอบอีก ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว” 


 


 


“หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ฉันโดนเขี่ยทิ้งแล้ว” 


 


 


“ถ้าอีกคนรู้สึกชอบเหมือนกัน ยังไงก็ต้องกลับมาอีก” 


 


 


“แล้วนายรู้ได้ยังไง” 


 


 


“ก็แค่ มันน่าจะเป็นอย่างนั้นน่ะครับ” 


 


 


เซจองพูดเช่นนั้น ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง 


 


 


หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย หากเป็นเมื่อก่อน ซองจูคงจะเอาแต่ยิ้ม แล้วก็มองเซจองที่อยู่ตรงหน้า หากตอนนี้อีกคนกลับเอาแต่ก้มหน้า แล้วก็กดโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น เซจองค่อยๆ ลอบสังเกตท่าทางเช่นนั้นของซองจูอย่างเงียบๆ 


 


 


บรรยากาศอันหนักอึ้งที่ยากเกินจะควบคุมค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมภายในห้อง เซจองจึงพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา 


 


 


“อิจฉานิดๆ แฮะ” 


 


 


ซองจูไม่ได้ตอบอะไรกลับไป 


 


 


 


 


 


“คุยกันแล้วใช่ไหม” 


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับดงฮยอนที่เดินเข้ามา อีกคนที่ออกไปเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกมานั้น มีกลิ่นบุหรี่โชยออกมาจากตัวจนรู้สึกได้ 


 


 


ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ซองจูสบถด่าอีกคนออกมาในใจ แล้วจึงจ้องเขม็งไปที่ดงฮยอน 


 


 


“ไม่ได้ไปกินข้าวมาใช่ไหม” 


 


 


“ไม่ ฉันไปกินมื้อกลางวันแสนอร่อยมาต่างหาก” 


 


 


“โกหกชัดๆ ไปกินอะไรที่ไหนกัน” 


 


 


“เอ๊ะ ทำไมเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะ คุณนักแสดงคนเก่ง” 


 


 


“เลิกเสแสร้งสักทีเถอะ! เพราะแบบนี้ไงถึงไม่ค่อยมีใครคบน่ะ” 


 


 


“เลิกพูดเรื่องไร้สาระสักที แล้วนี่พวกนายเคลียร์กันแล้วใช่ไหม” 


 


 


“มีอะไรให้เคลียร์อีกรึไง แค่ให้เป็นอย่างที่เป็นก็พอแล้วนี่” 


 


 


ซองจูพูดเช่นนั้นออกมา ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เซจองมองสองคนสลับไปมา แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง 


 


 


“ไปแล้วเหรอ?” 


 


 


“ต้องไปแล้วสิครับ หายออกมาตอนช่วงที่ร้านกำลังยุ่งตั้งนานสองนาน ไม่รู้ข้างนอกจะหัวหมุนขนาดไหน” 


 


 


“วันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ ขอบใจนะที่สละเวลามา คราวหน้าก็ชวนประธานคิมมาดื่มด้วยกันสักหน่อยนะ” 


 


 


“รอไปเถอะ รายนั้นน่ะออกนอกสถานที่ทุกวันเลย ยุ่งจนแทบไม่ได้เจอหน้ากันแล้ว” 


 


 


เซจองพูดออกมาเช่นนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ลูกบิดประตู 


 


 


“ผมไปนะครับ รุ่นพี่ก็อย่าเอาแต่เศร้าแบบนั้น ลองพยายามดูนะครับ แล้วก็อย่าลืมกินข้าวด้วย หน้าตอบลงไปตั้งเยอะ” 


 


 


“รู้แล้วน่า รีบไปเถอะ” 


 


 


“ครับ ไปจริงๆ แล้วนะครับ” 


 


 


เซจองทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ  


 


 


เสียง ตึก ดังออกมาเมื่อประตูถูกปิดลงอีกครั้ง ดงฮยอนที่มองไปทางประตูอยู่เมื่อครู่ จึงได้หันกลับมายังซองจู 


 


 


“พยายาม? พยายามอะไร?” 


 


 


“ก็มีแล้วกันน่า” 


 


 


ซองจูตอบออกมาเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะยกกาแฟที่น้ำแข็งละลายไปกว่าครึ่งขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง 


 


 


กาแฟที่เซจองเอามามันก็อร่อยดี แต่ทว่ามันไม่ใช่รสชาติอย่างที่เขาต้องการ 


 


 


สิ่งที่เขาต้องการคือกาแฟที่ใส่น้ำแข็งจนเต็มให้พอรู้สึกสดชื่นขึ้นมา แล้วก็ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้กับกลิ่นสดชื่นของเลม่อน 


 


 


“กาแฟก็งั้นๆ” 


 


 


ซองจูพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และได้ตระหนักว่าตัวเขาเคยชินกับรสชาติกาแฟที่จองอูเป็นคนชงให้เสียแล้ว ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความหดหู่ ดงฮยอนที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของซองจู ก็พาลให้สีหน้าดูครุ่นคิดมากกว่าเดิม 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“แหม ได้ร่วมงานกับคุณนักแสดงฮันแบบนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆ นะครับ” 


 


 


“อะไรกันครับ ผมสิครับ ที่ต้องเป็นเกียรติ ตอนที่ถ่ายทำผมคงจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากเลยล่ะครับ ผู้กำกับครับ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ” 


 


 


“คุณนี่อ่อนน้อมสมคำร่ำลือจริงๆ เลยนะครับ ผมเองก็จะตั้งตารอวันนั้นเลยนะครับ ยังไงก็ต้องขอฝากตัวด้วยเช่นกันนะครับ” 


 


 


“ครับ วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ ถ้าจัดการเรื่องวันเวลาได้แล้ว ก็ติดต่อมาได้เลยนะครับ” 


 


 


“กลับดีๆ นะครับ พอแก้ไขบทเสร็จแล้ว ผมจะส่งไปให้อีกครั้งนะครับ” 


 


 


“ครับ สวัสดีครับ” 


 


 


ซองจูหันไปค้อมศีรษะเป็นการร่ำลาให้กับชายวัยกลางคนที่ยังคงส่งยิ้มมาให้เขาอยู่ ทั้งดงฮยอนที่มองภาพตรงหน้า ทั้งมินซิกที่เอาแต่คอยเช็คดูเวลาจากมือถือในมืออย่างกระวนกระวายใจ และทั้งยองอุกที่คอยชำเลืองมองมินซิกด้วยสายตาที่ชวนให้อึดอัด ทั้งหมดต่างก็แสดงสีหน้าสดใสออกมาพร้อมๆ กัน พอพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของซองจูที่ระเบียงทางเดินก็พากันถอนหายใจเฮือกออกมาแทบจะในเวลาเดียวกัน 


 


 


“เฮ้อ…ในที่สุดก็ประทับตราเสียที” 


 


 


ยองอุกเข้ามาคว้าคอมินซิกที่กำลังพึมพำคำพูดนั้นออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา 


 


 


“ออกไปคุยกันข้างนอกดีไหม” 


 


 


“เอ่อ ครับ…” 


 


 


ท่าทางที่น่ากลัวของยองอุก ทำเอาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ดงฮยอนได้แต่มองมินซิกที่ถูกยองอุกลากตัวออกไป ก่อนเจ้าตัวจะวางมือลงบนไหล่ของซองจู 


 


 


“ตอนนี้ถึงเวลาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแล้วนะ มาทำให้ดีไปด้วยกันเถอะ” 


 


 


“ครับ ฝากตัวด้วยนะ” 


 


 


ซองจูตอบกลับดงฮยอนอย่างตรงไปตรงมา แล้วจึงก้าวต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ 


 


 


วันนี้คือวันที่ซองจูตัดสินใจหวนคืนสู่วงการอีกครั้ง 


 


 


ตอนแรกเพียงตั้งใจจะหยุดพักเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่ก็กลายเป็นว่าพักยาวมาจนเกือบจะหนึ่งปีแล้ว ด้วยเวลาขนาดนั้นการกลับมาจึงต้องคิดอย่างรอบคอบ 

 

 

 


ตอนที่ 4-5

 

ตอนที่ 4-5 ข้ามผ่าน

 


 


 


 


เมื่อหลายปีก่อนมีคำเชิญให้ลองมาแคสติ้งจากผู้กำกับสูงวัยคนหนึ่ง ที่ติดต่อส่งบทมาให้เขาอยู่เรื่อยๆ ผู้กำกับที่โด่งดังจากภาพยนตร์แนวอาร์ต ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตที่ถูกนำมาเล่าอย่างง่ายๆ โดยการถ่ายทอดผ่านมุมมองและความรู้สึกซึ่งผสมผสานออกมาอย่างลงตัว ด้วยความสามารถที่ยอดเยี่ยมทำให้ผู้กำกับคนนั้นได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากในเวทีระดับโลก นับเป็นการตัดสินใจที่เหมาะกับการหวนคืนของซองจู หลังจากหยุดพักไปเกือบหนึ่งปี เมื่อซองจูได้ลองอ่านบทดูแล้ว เจ้าตัวก็ตอบโอเคกลับไปในทันที และไม่มีข้อสัญญาใดๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนอีก ตอนนี้จึงได้ประทับตราลงในสัญญาเป็นที่เรียบร้อย ดงฮยอนที่มองดูซองจูที่มีสีหน้าสบายใจเช่นนั้น จึงได้เอ่ยปากพูดออกมา 


 


 


“นี่ จะกลับไปที่บริษัทเลยงั้นเหรอ” 


 


 


“แล้วมีอะไรต้องทำอีกเหรอ” 


 


 


“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” 


 


 


ซองจูที่ได้ฟังคำตอบของดงฮยอนก็เกิดสงสัยอะไรขึ้นมา ก่อนจะสะบัดหัวไปมา 


 


 


“งั้นก็ขอกลับบ้านไปพักก็แล้วกัน ไม่ได้ใช้ความพยายามแบบนี้นานแล้วเลยเพลียๆ น่ะ” 


 


 


“งั้นเหรอ งั้นฉันกลับกับยองอุกก็แล้วกัน” 


 


 


“อือ มีอะไรก็โทรมานะ” 


 


 


“อื้ม” 


 


 


เมื่อซองจูพูดจบ ดงฮยอนก็เรียกหายองอุกในทันที ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างรู้กัน เขามองตามหลังยองอุกที่เดินตามหลังดงฮยอนออกไปอย่างรีบเร่ง ขณะนั้นมินซิกก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงงอนๆ 


 


 


“ทำไม คุณยองอุกแกล้งแต่ผมคนเดียวล่ะครับ” 


 


 


“พูดอะไรอีกล่ะนั่น” 


 


 


“ก็อย่างนั้นนั่นแหละครับ เอาแต่ทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุขสักวันเลย ถ้าผมอยากกินอะไร ก็จะแย่งเอาไป แล้วก็เอาอย่างอื่นมาแทน แล้วก็ยังคอยว่าว่าผมแต่งตัวเชยทุกวันเลยด้วย” 


 


 


“ก็นายมันเป็นพวกที่น่ารังแกอยู่แล้วนี่ ทนๆ ไปเถอะ พี่ยองอุกน่ะ เป็นปีศาจสำหรับทุกคนนั่นแหละ” 


 


 


“พี่อยู่ข้างใครกันครับ?” 


 


 


“ข้างตัวเองสิ” 


 


 


“พี่…” 


 


 


มินซิกถูกปล่อยให้สะอึกสะอื้นอยู่เช่นนั้น เพราะไม่มีใครเข้าข้างตัวเองเลยสักคนเดียว ซองจูเห็นแบบนั้นก็ได้แต่หลุดขำออกมา ตั้งแต่ที่ถูกเปลี่ยนผู้จัดการตอนนั้น เขารู้ดีว่ายองอุกตั้งใจเอามินซิกมาปล่อยทิ้งไว้ข้างตัวเขา แต่ว่าก็ไม่คิดว่าอีกคนจะมีมุมน่ารักแบบนี้ด้วย ซองจูแลบลิ้นใส่อีกคน ก่อนจะปล่อยมินซิกไว้แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน 


 


 


“อ้าว? พี่ครับ! พี่จะไปไหนน่ะครับ! รอผมด้วย!” 


 


 


เสียงมินซิกตะโกนไล่หลังมา พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งไล่ตามมา ทำให้ซองจูค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง พร้อมกับหันมองไปรอบๆ  


 


 


“คอแห้งจัง ไม่มีคาเฟ่เลยรึไง” 


 


 


“พี่อยากดื่มอะไรครับ” 


 


 


“แค่กาแฟสักแก้วก็พอ…เอ๊ะ ตรงนั้นมีคาเฟ่นี่ ไปหาอะไรดื่มที่นั่นกัน” 


 


 


ซองจูที่มองไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงมุมถนนนั่นเข้าให้ เจ้าตัวผลักประตูเข้าไปในคาเฟ่ที่ดูเก่าอยู่หน่อยๆ ร้านยังเปิดอยู่หรือปิดแล้วเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เพราะเห็นว่าไฟยังเปิดอยู่จึงได้เดินเข้ามา คงจะพอทำกาแฟสักแก้วให้ได้อยู่ล่ะมั้ง เจ้าตัวคิดเช่นนั้น แล้วจึงได้ก้าวเท้าไปทางคาเฟ่แห่งนั้น ในตอนนั้นเองมินซิกก็เอ่ยห้ามเอาไว้ 


 


 


“เดี๋ยวผมไปซื้อให้เอง พี่ไปรอที่รถเถอะครับ” 


 


 


“ไม่เอา ฉันไม่ชอบกินบนรถแบบนั้น ก็เข้าไปกินที่นั้นด้วยกันนั่นแหละ” 


 


 


“ครับ? เอ่อ แบบนั้นจะดีเหรอครับ? พี่ครับ! เดี๋ยวก่อน รอด้วยครับ!” 


 


 


มินซิกที่ถูกทิ้งไว้เช่นนั้น รีบเร่งวิ่งตามหลังซองจูที่ก้าวฉับๆ ไปข้างหน้า 


 


 


ที่ด้านบนของประตูร้านมีป้ายชื่อร้านที่ทำจากไม้แขวนเอาไว้อยู่ บนป้ายนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘day, after, tomorrow’  


 


 


กริ๊ง- 


 


 


เมื่อเปิดประตูออก เสียงกริ่งอัตโนมัติก็ดังขึ้นภายในร้าน ซองจูถึงกับขมวดคิ้วให้กับเสียงกริ่งที่ดูไม่ได้มีความเข้ากันกับบรรยากาศร้านคาเฟ่เลยสักนิด เจ้าของร้านที่กำลังวุ่นวายอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์ เมื่อได้ยินเสียงกริ่งก็รีบเงยหน้าขึ้นมาในทันที 


 


 


“เอ่อ เชิญเลยครับ! เอ่อ ตอนนี้ร้านเราปิดแล้วนะครับ ทำไม…” 


 


 


ซองจูที่ได้ยินคำพูดนั้น จึงได้หันชำเลืองมองไปทางประตูร้าน ที่ตรงนั้นมีป้ายที่เอาไว้แจ้งให้รู้ว่าร้านเปิดหรือปิดแขวนอยู่  


 


 


“ป้ายที่ประตูบอกว่าเปิดอยู่นะครับ” 


 


 


“เอ่อ งะ งั้นเหรอครับ อ่า ความผิดผมเอง…คือ ยังไงซะ ในเมื่อเข้ามาแล้ว จะทานอะไรก็สั่งได้เลยนะครับ” 


 


 


“ไม่ต้องก็ได้ครับ ไม่เป็นไร ต้องขอโทษด้วยนะครับ” 


 


 


“มะ ไม่ได้สิครับ! เมื่อกี้ผมออกไปส่งของเลยไม่ได้เปลี่ยนป้าย เอ่อ ไม่สิ ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แบบ คืออย่างงั้น…รับอะไรดีครับ?” 


 


 


ซองจูถึงกับทำตัวไม่ถูกตามเจ้าของร้านที่เอาแต่พูดจาวกไปวนมาแบบนั้น เขาคิดว่าแค่รีบๆ ดื่มกาแฟแล้วก็ไปเสียดีกว่า จึงได้หันกลับไปหามินซิกที่ยืนประหม่าอยู่ข้างหลัง 


 


 


“มินซิก อยากกินอะไร” 


 


 


“เอ่อ ผมขออะไรก็ได้ที่หวานๆ ครับ” 


 


 


“ของชอบนายนี่มัน…เพราะอย่างงั้นไงนายถึงได้มีพุงน่ะ ผมขอไอซ์อเมริกาโน่กับคาเฟ่ลาเต้ ใส่ไซรัปสามปั้มครับ” 


 


 


“ครับ รอสักครู่นะครับ แป๊บเดียวครับ ผมขอเปลี่ยนป้ายก่อน…” 


 


 


เจ้าของร้านที่เร่งฝีเท้าอย่างลุกลี้ลุกลนไปทางประตูร้าน หมุนพลิกกลับป้ายด้านที่เขียนว่า open เป็นอีกด้านหนึ่งแทน จากนั้นจึงวิ่งกลับไปทางด้านในเคาน์เตอร์ มินซิกมองดูเจ้าของร้านที่มีท่าทางเช่นนั้นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ก่อนตัดสินใจรีบพาซองจูไปนั่งที่โต๊ะ  


 


 


“พี่ครับ นั่งก่อนนะครับ” 


 


 


“อ่อ โอเค” 


 


 


พวกเขานั่งลงที่โต๊ะแถวเคาน์เตอร์ ก่อนจะถอนหายใจออกมา 


 


 


ร้านดูเล็กกว่าที่มองเห็นจากข้างนอกเสียอีก พอมองไปที่ด้านในเคาน์เตอร์แล้ว ข้างในนั้นดูจะใหญ่กว่าส่วนหน้าร้านมากๆ กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟที่ลอยคลุ้งออกมาจากภายในนั้น ส่งกลิ่นหอมออกมากระตุ้นประสาทสัมผัสอยู่เรื่อยๆ ในขณะที่ซองจูกำลังชำเลืองมองเจ้าของร้านที่กำลังเลือกเมล็ดกาแฟอย่างแข็งขันอยู่นั้น ก็เอ่ยปากถามกับมินซิกไปด้วย 


 


 


“มินซิก วันนี้งานเสร็จหมดแล้วใช่ไหม” 


 


 


“ครับ จะออกไปที่ไหนเหรอครับ?” 


 


 


“เปล่า อยากจะพักหน่อยน่ะ พี่เขาก็บอกให้พักสักสองสามวัน” 


 


 


“นั่นสิครับ พี่เพิ่งจะฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้ไม่เท่าไหร่ หักโหมมากไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอาได้นะครับ จนกว่าบทฉบับสมบูรณ์จะเสร็จ ผมจะไม่รับงานอื่นเพิ่มแล้วกันนะครับ” 


 


 


ซองจูหันไปยกยิ้มพรายให้กับมินซิก ที่นานๆ ทีจะมีท่าทีสมกับเป็นผู้จัดการออกมากับเขาบ้าง แล้วเจ้าตัวจึงพยักหน้ารับให้อีกฝ่าย เทียบกับเมื่อก่อน ท่าทางนั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว 


 


 


“คือ เพื่อเป็นการขอโทษ ผมเลยอัพไซส์ให้นะครับ แล้วนี่ก็เป็นเซอร์วิสของทางร้าน ฉะนั้นไม่ต้องเกรงใจ ทานได้ตามสบายเลยนะครับ” 


 


 


ระหว่างนั้นเจ้าของร้านก็ถือถาดที่มีกาแฟกับคุ้กกี้เข้ามาให้ ซองจูส่งยิ้มกว้างให้กับเจ้าของร้านตัวสูง พร้อมกับยื่นมือไปรับถาดมาไว้ก่อน 


 


 


“ขอบคุณมากเลยครับ ที่จริงไม่ต้องให้อะไรแบบนี้ก็ได้นะครับ” 


 


 


“ไม่ได้หรอกครับ ผมเป็นพวกหัวช้า…ที่จริงมีน้องชายอีกคนที่มาคอยช่วยดูแลร้านให้ แต่ว่าตอนนี้เขาออกไปซื้อของน่ะครับ เอ่อ คือว่า ยังไงก็ทานให้อร่อยนะครับ…” 


 


 


เพราะเจ้าของร้านที่พูดวกไปวนมา แล้วก็เอาแต่ก้มคำนับให้อยู่อย่างนั้น ซองจูที่พาลสับสนตามจึงได้เผลอตัวก้มคำนับตอบกลับไปด้วย ด้วยเหตุนั้น หลังจากที่เจ้าของร้านกลับเข้าไปหลังเคาน์เตอร์แล้ว ตัวเขาก็เลยมีสีหน้าราวกับคนสติหลุดอยู่เช่นนี้ 


 


 


“พี่นี่เปลี่ยนไปมากเลยนะครับ” 


 


 


มินซิกรับกาแฟมาจากซองจู ก่อนจะพูดพึมพำออกมาเสียงเบา ซองจูที่ได้ยินคำพูดนั้น หันไปถามมินซิกด้วยสีหน้าไม่พอใจ 


 


 


“อะไรอีกล่ะ” 


 


 


“หลังจากที่หายป่วย พี่ก็ดูเปลี่ยนไปมากเลยครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงจะโมโหออกมาแล้ว แต่นี่กลับไม่โมโหเลยสักนิด” 


 


 


“ฉันทำตัวแบบนั้นทุกที่เลยรึไง นิสัยที่ทำให้คนอื่นเหนื่อยใจแบบนั้นน่ะ ทำไม ฉันเปลี่ยนไป แล้วมันไม่ดีรึไง” 


 


 


“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างงั้น…มันแค่แปลกๆ น่ะครับ” 


 


 


มินซิกพูดเช่นนั้น ก่อนจะจิบกาแฟเข้าไปอึกหนึ่ง 


 


 


การเผชิญหน้ากับฮันซองจูที่อารมณ์เย็นกว่าเก่ามันสบายใจกว่าก็จริง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างน่าเป็นห่วงอยู่ มินซิกรับรู้ได้ว่าความจริงแล้ว อีกคนเก็บกดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ ไม่ยอมแสดงออกมา หากว่าซองจูยังใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขากังวลว่ามันอาจจะเกิดผลที่ร้ายแรงกว่าเดิมก็ได้ 


 


 


“ไอ้เจ้านี่ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนายก็ชินไปเองแหละน่า จะให้คนเราเหมือนเดิมทุกวันได้ยังไง” 


 


 


ซองจูพูดเช่นนั้นออกมา ก่อนจะยกอเมริกาโน่ที่มีน้ำแข็งเต็มแก้วนั่นขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง แล้วดวงตาทั้งคู่ก็เบิกโพลงขึ้น กาแฟนี่อร่อยกว่าที่คิดอีก 


 


 


“ดีกว่าที่คิดแฮะ” 


 


 


“ใช่เลยครับ! อร่อยมาก” 


 


 


แม้แต่มินซิกก็ยังเป็นไปด้วย อีกคนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของซองจู ทั้งคู่ค่อยๆ ดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟ พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน 


 


 


“ว่าแต่ พี่ครับ รับงานแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอครับ” 


 


 


“งั้นจะให้พักไปเรื่อยๆ รึไง พักนานไปมันก็ไม่ดีหรอกนะ” 


 


 


“ถึงงั้นก็เถอะครับ พี่ยังไม่ได้หายดีเต็มร้อยนี่…” 


 


 


“เดี๋ยวนี้อะไรๆ มันก็รวดเร็วไปหมด ถ้าไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลย นานเข้าคงได้ถูกลืมแน่ สำหรับนักแสดงน่ะ การถูกลืมก็ไม่ต่างอะไรกับตายเลยสักนิด ยังไงซะ เสร็จจากนี้แล้วค่อยพักก็ยังได้นี่ จัดการตารางงานให้พอดีๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาแล้ว คิดในแง่ดีสิ โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ นะ” 


 


 


คำพูดของซองจูนั้นถูกต้องแล้ว 


 


 


ทุกทีเอาแต่ทำตัวเหมือนหมาบ้า จึงไม่คิดว่าซองจูจะพูดอะไรมีสาระแบบนี้ออกมาได้ด้วย เล่นเอามินซิกถึงกับน้ำตาคลอเบ้า หากเขาเผลอบอกความคิดนี้ออกไป มีหวังได้โดนโกรธแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมินซิกด็รู้สึกดีมากๆ ที่ได้ทำงานกับซองจู ช่วงหนึ่งที่เขาถูกย้ายไป ไม่ได้ดูแลซองจูนั้น ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนจะตาย การใช้ชีวิตหรือกระทั่งงานก็ดูหนักหนา แต่ว่าเมื่อไม่ใช่คนที่ใช่แล้ว เขาก็ไม่สามารถอดทนได้เลย ถ้าซองจูหรือดงฮยอนส่งเขาไปทำงานที่อื่นอีก เขาคิดว่าจะแกล้งป่วย ไม่ก็ชิงลาออกไปเสียเลย เจ้าตัวคิดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น พร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอึกหนึ่ง และในตอนนั้นเอง ประตูคาเฟ่ก็ถูกเปิดออก พร้อมกับเสียงกริ่งที่ดังระงมไปทั่วร้าน 


 


 


กริ๊ง- 


 


 


ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เสียงนี้มันก็ไม่ได้เข้ากันกับบรรยากาศคาเฟ่เลยสักนิด เสียงนั้นทำให้ทั้งหมดในร้านพร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นมามองไปทางประตูร้าน 


 


 


“อ้าว จองอูมาแล้วเหรอ อ่า ไม่หนักเหรอนั่น โทษทีนะ ที่ใช้ให้ไปแทนแบบนั้น…” 


 


 


เจ้าของร้านพูดออกมาแบบน้ำไหลไฟดับ ขณะที่เดินไปทางประตูหน้าร้าน เมื่อมองข้ามไหล่ของอีกคนไปก็เห็นผู้ชายตัวสูงที่ติดจะผอมไปสักหน่อย ในมือทั้งสองข้างถือถุงพลาสติก และกำลังยืนหันหลังให้กับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมา 


 


 


วินาทีที่ได้เห็นภาพเงานั้น ทั้งซองจูและมินซิกต่างก็ตาเบิกโพลงขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครทำแบบนั้นขึ้นมาเป็นคนแรก 


 


 


จองอูยืนอยู่ตรงนั้น 


 


 


“จองอู ได้ของครบตามที่จดในกระดาษใช่ไหม ไม่ได้แพงไปใช่ไหม ทุกทีฉันต้องคอยตามไปด้วยตลอด แต่จู่ๆ เครื่องก็ดันมาเสียซะได้…โทษทีนะ เอ่อ นี่ลูกค้าน่ะ ฉันดันลืมเปลี่ยนป้ายน่ะสิ เพื่อเป็นการขอโทษก็เลยชงกาแฟให้ รู้ตัวแล้วว่าเป็นความผิดฉันเอง อย่าว่าอะไรกันเลยนะ…จองอู? จองอู ทำไมเป็นงี้ล่ะ? เฮ้?” 


 


 


แม้ไม่มีใครตอบรับกลับมา เจ้าของร้านก็ยังคงพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น และเหมือนเจ้าตัวจะสังหรณ์ใจได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงได้ยอมเงียบไปในที่สุด 


 


 


จองอูยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ส่วนซองจูและมินซิกที่นั่งนิ่งอยู่กับที่ต่างก็มีสภาพตื่นตกใจไม่ต่างกัน ต่างคนต่างก็ตกอยู่ในสภาวะที่ทำอะไรไม่ถูก เจ้าของร้านหันไปทางนั้นทีทางนี้ที มองดูคนทั้งสามซึ่งตกอยู่ในสภาพนั้นแล้วจึงได้คว้าถุงในมือของจองอูมาถือ ก่อนจะเดินไปทางเคาน์เตอร์ 

 

 

 


ตอนที่ 4-6

 

ตอนที่ 4-6 ข้ามผ่าน

 


 


 


 


ซองจูจ้องมองไปทางจองอูที่ทอดสายตามองมาทางเขาด้วยเช่นกัน เพราะแสงที่สะท้อนมา ทำให้เขามองหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนนัก คิมจองอูที่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ยังคงมีสภาพหม่นๆ เช่นเคย โดยด้านหลังของเจ้าตัวถูกแต่งแต้มเอาไว้ด้วยแสงอาทิตย์ที่ลุกโชน ทั้งตัวยังคงสวมใส่เสื้อผ้าสีดำสนิท ที่เอวก็คาดผ้ากันเปื้อนสีดำเอาไว้ ภาพลักษณ์ของอีกคนดูราวกับยมทูต และการที่ทำให้เขารู้สึกใจแกว่ง กระทั่งหายใจก็ลำบากเต็มทนได้แบบนี้แล้ว อีกคนอาจจะเป็นยมทูตจริงๆ ก็ได้ ความคิดนั่นทำให้ซองจูรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ 


 


 


เจ้าตัวขยับอ้าปากเพื่อกอบโกยลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกอึดอัดภายในใจจางหายไปได้เลย ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องหายใจ เขาเผยอปากออกมาคล้ายกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เขาไม่อาจทนเก็บกลืนความโกรธที่พลุ่งพล่านออกมาเรื่อยๆ จึงได้แต่กำหมัดแน่น พร้อมกับจ้องมองไปทางจองอูอยู่เช่นนั้น 


 


 


“คือว่า…” 


 


 


เจ้าของร้านที่ไม่สามารถทนต่อบรรยากาศกดดันที่แผ่ปกคลุมไปจนทั่วร้านได้ เอ่ยปากออกมาพร้อมขยับถุงพลาสติกจนมันส่งเสียงกรอบแกรบออกมา 


 


 


“เหมือนฉันจะลืมอะไรไปสักอย่าง งั้นเดี๋ยวขอออกไปข้างนอกแป๊บนึงนะ หืม?” 


 


 


เจ้าตัวพูดออกมาเช่นนั้น ก่อนจะก้าวเร็วๆ ไปที่ประตู แล้วก็ออกจากร้านไป 


 


 


ตอนนี้ภายในคาเฟ่เหลือเพียงจองอู ซองจู แล้วก็มินซิกเท่านั้น มินซิกเองก็ไม่อาจทนกับบรรยากาศตอนนี้ได้อีกต่อไป จึงได้ส่งสายตาไปทางซองจู พร้อมกับเอ่ยปากออกมาทันที 


 


 


“พี่ครับ งั้นผมออกไปรอข้างนอกแล้วกันนะครับ” 


 


 


ซองจูหันกลับมาสบตากับมินซิกครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปจ้องจองอูอีกครั้ง 


 


 


“อื้อ นายออกไปก่อนก็ได้” 


 


 


จบคำนั้น มินซิกก็ลุกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งออกไปข้างนอกในทันที ตอนนี้ในคาเฟ่แคบๆ แห่งนี้ จึงเหลือเพียงจองอูกับซองจูแค่สองคนเท่านั้น 


 


 


ซองจูที่ไม่อาจอดทนต่อความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเรื่อยๆ จึงได้ลุกขึ้นจากที่นั่งทันที เขากัดฟันกรอดพร้อมจ้องมองไปที่จองอูซึ่งมองเขาด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาอยากจะคว้าคอเสื้อของอีกคน แต่เขามีสิทธิ์อะไรที่จะไปแสดงท่าทีแบบนั้นกันล่ะ 


 


 


สีหน้าของจองอูที่มองมายังซองจูซึ่งเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอในดวงตา ก็ไม่ได้ดูสดใสเท่าไหร่นัก ทั้งคู่เพียงมองหน้ากันไปมาเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่ต่างก็ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา 


 


 


มีคำพูดมากมายที่อยากพูด แต่ก็ไม่สามารถพูดมันออกมาได้เลย ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกมา ถึงจะกระตุ้นความรู้สึกระหว่างกันได้ เพราะเขารับรู้ว่านี่มันไม่ใช่แค่ความบังเอิญ ซองจูรู้สึกเกลียดความดื้อรั้นของตัวเองเหลือเกิน 


 


 


ทำไมเขาถึงทำอย่างที่ทำกับคนอื่นไม่ได้ ทั้งที่เขาใช้ชีวิตเหมือนกับไร้ชีวิต เสแสร้งแสดงละครตลอดมา หากเป็นต่อหน้าคิมจองอูแล้ว เขากลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ในตอนนี้ก็ด้วย หากเป็นปกติเขาคงต้องแผดเสียงตะโกนออกมาให้รู้สึกสบายใจ แต่ทว่าเขากลับทำแบบนั้นออกมาไม่ได้ ซองจูรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อถูกสายตาของจองอูจ้องมองมาเช่นนั้น หยาดน้ำตาค่อยๆ รินไหลลงมาจากดวงตาทั้งคู่ ไหล่ทั้งสองข้างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เมื่อจองอูได้เห็นสภาพเช่นนั้นของซองจู จึงได้รีบก้าวเข้าไปหาอีกคนทันที 


 


 


ทั้งที่ระยะห่างระหว่างกันนั้นเหลือเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น จองอูกลับยังเว้นระยะห่างเอาไว้หนึ่งก้าว แล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ทำท่าทางขยับยื่นแขนออกมาเพื่อสัมผัสซองจู พร้อมกับเม้มริมฝีปากเอาไว้อย่างอดกลั้น จองอูแสดงท่าทีลังเลอยู่เช่นนั้น พร้อมกับมองสบมาที่ใบหน้าของซองจู ก่อนเจ้าตัวจะรวบรวมความกล้าออกมาอีกครั้ง แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของซองจู 


 


 


ปลายนิ้วที่แตะสัมผัสลงบนแก้มอย่างแผ่วเบา พร้อมเกลี่ยเช็ดน้ำตาที่รินไหลออกมา ซองจูเพียงหลับตารับสัมผัสนั้น แก้มนุ่มนิ่มที่ผูกมัดหัวใจหยาบกระด้าง ท่าทางการขยับแนบชิดร่างกายลงบนมือของเขา ดวงตาที่หลับลง พร้อมทั้งไหล่ที่สั่นไหวอย่างรุนแรง ทำให้ความรู้สึกลึกๆ ในใจที่ไม่อาจเข้าใจได้นั้น ปะทุออกมา แล้วจองอูก็ยื่นมือข้างที่เหลือออกไปคว้าตัวซองจูเข้ามากอดไว้ 


 


 


ร่างกายอ่อนแรงที่สติยังคงไม่กลับคืนมานั้น สัมผัสแนบลงกับแผ่นอกแกร่งอย่างง่ายดาย เจ้าตัวทิ้งกายให้แนบชิดไปกับแผ่นอกแกร่งนั่น จองอูลูบไล้ลงบนกลุ่มผมของซองจูอย่างแผ่วเบา ในยามสอดแทรกปลายนิ้วไปบนเรือนผมซึ่งถูกจัดแต่งทรงด้วยแวกซ์ มันทำให้เกิดความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ความอบอุ่นของซองจูที่สัมผัสได้จากปลายนิ้ว และยังกลิ่นกายของอีกคน มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ ทำไมตัวเขาถึงได้หนีจากสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีพวกนี้กันนะ เพราะความโง่เขลาของตัวเองแท้ๆ นั่นจึงทำให้เขาดึงตัวซองจูเข้ามากอดแน่นขึ้นอีก 


 


 


ถึงอย่างนั้นร่างกายของซองจูก็ไม่มีท่าทีจะสงบลงเลยสักนิด ยังดีที่อีกคนไม่ถึงกับสะอึกสะอื้นออกมา แต่ร่างกายที่สั่นเทาเช่นนั้น มันกลับทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในหัวใจขึ้นมา เป็นแบบนี้คงจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาอีกใช่ไหม จองอูที่กำลังรู้สึกกังวลใจ ก้มหน้าลงไปมองสำรวจสีหน้าของซองจูอย่างเงียบๆ แก้มเปียกชื้นนั้น แดงระเรื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“…ไม่เป็นไรนะ?” 


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังออกมาอย่างกะทันหัน ทำเอาซองจูกัดฟันกรอดขึ้นมา คิมจองอูช่างเป็นมนุษย์ก้อนหินเสียจริง ซองจูที่ไม่อาจเอาชนะความรู้สึกที่ปะทุออกมา จึงได้แผดเสียงตะโกนออกมา 


 


 


“ไม่เป็นไรนะงั้นเหรอ? ในสายตานายตอนนี้ ฉันดูสบายดีรึไง!” 


 


 


จองอูไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีเพียงแค่สายตาที่สะท้อนความหนักใจจ้องมองกลับมาที่ตัวเขาเท่านั้น และเพราะท่าทางของอีกคน ที่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรออกมา นั่นจึงทำให้ซองจูกลัวขึ้นมาจับใจ 


 


 


เป็นแบบนี้แล้ว อีกคนคงจะไม่หนีหายไปอีกใช่ไหม ตอนนี้เขาหวาดกลัวเหลือเกินว่าอีกคนจะไม่ยอมพูดด้วยอีก ทำไมน้ำตามันเหมือนจะไหลออกมาอีกแล้วล่ะ ลองอดทนอีกสักหน่อย พอคิดได้แบบนั้นน้ำตาก็เอ่อคลอออกมาอีกครั้ง ซองจูที่ยังไม่ทันได้หยุดพักความรู้สึก ก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก แล้วเจ้าตัวก็ซุกหน้าลงกับอกของจองอู พร้อมทั้งกอดเอวจองอูเอาไว้แน่น หากไม่ทำเช่นนี้ มันเหมือนกับว่าอีกคนอาจจะหนีหายไปอีก 


 


 


“ฮึก…” 


 


 


และแล้วน้ำตาที่ไหลทะลักออกมาอีกครั้งก็เริ่มทิ้งรอยเปียกชื้นบนเสื้อเชิ้ตสีดำของจองอู เพราะศักดิ์ศรีที่ยังเหลืออยู่ ทำให้เขาไม่กล้าร้องไห้โฮออกมา แม้จะรู้ว่าท่าทางสะอึกสะอื้นแบบนั้นก็ไม่ได้น่าดูเลยสักนิด แต่เขาก็หยุดมันไม่ได้ ที่จริงเขาอยากจะคว้าขากางเกงของอีกคนเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทำ การกระทำไร้ค่าที่ทำอยู่นี้ก็ทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองไปมากพอแล้ว 


 


 


แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ถึงกับไร้ค่าขนาดนั้น หากทำเช่นนี้แล้วจะสามารถคว้าตัวเจ้าคนที่เอาแต่เมินเฉย และไม่สนใจใยดีกันไว้ได้แล้วล่ะก็ หากทำให้อีกคนกลับมาอยู่เคียงข้างเขาได้อีกครั้งแล้วล่ะก็ มันก็ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ซองจูจับเสื้อของจองอูเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยปากออกมา 


 


 


“…กลับมาเถอะนะ” 


 


 


จองอูไม่ได้ตอบรับอะไรกลับมา แต่กลับออกแรงกอดซองจูแน่นขึ้นไปอีกแทน จนทำให้อีกคนไม่สามารถขยับไปไหนได้ กักอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ หน้าอกที่แนบชิดกัน ทำให้รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นตึกตักของกันและกัน หัวใจเต้นรัวจนไม่อาจแยกได้ว่าเป็นของใคร ไม่รู้ทำไมมันถึงไม่ยอมสงบลงบ้างเลย ซองจูซุกใบหน้าลงกับลาดไหล่ของจองอูมากยิ่งขึ้น 


 


 


“ไม่ได้เหรอ?” 


 


 


แต่ทว่าจองอูก็ยังคงไม่ตอบอะไรกลับมาเช่นเดิม 


 


 


คงไม่ได้สินะ ไม่อยากกลับมาแล้วสินะ 


 


 


พอคิดได้เช่นนั้น น้ำตาที่เหือดแห้งไปก็เริ่มไหลเอ่อออกมาอีกครั้ง น้ำตาที่รินไหลออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง เปียกชื้นลงบนเสื้อของจองอูอีกครั้ง 


 


 


คลื่นความสิ้นหวังที่ก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ซองจูได้แต่ปล่อยน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าให้รินไหลออกมาอย่างเลื่อนลอย 


 


 


ต้องพูดอะไรออกมาอีกเหรอ ทั้งอ้อนวอนขอให้กลับมา ทั้งถามออกมาว่าได้หรือไม่ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดกลับมาเลย 


 


 


คำพูดที่ดูง่ายดายสำหรับคนอื่น กับซองจูแล้ว มันต้องใช้ความกล้ามากมายกว่าจะพูดออกมาได้ จะครอบครัว หรือใครที่ไหน เขาก็ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้เลย เวลาที่ต้องเผชิญความลำบากกับเรื่องความรัก หรือต้องเลิกรากัน เขาก็จัดการกับความสัมพันธ์พวกนั้นได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะยอมพูดคำพวกนี้ออกมา เรื่องนี้คิมจองอูจะรับรู้บ้างหรือไม่ 


 


 


ถึงแม้จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเขา แต่เขาก็คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงไม่คิดที่จะยึดติดกับมันอีกต่อไปแล้ว ซองจูเตรียมพร้อมสำหรับครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยมือออกจากเสื้อของจองอูที่เจ้าตัวได้จับยึดเอาไว้ แขนทั้งสองข้างตกลงข้างตัวอย่างสิ้นแรง เช่นเดียวกับหัวใจของเขา เขาเอ่ยพึมพำแผ่วเบาออกมา ทั้งที่ยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น 


 


 


“จบเท่านี้สินะ? เกลียดกันขนาดนั้นเลยเหรอ” 


 


 


กับคำพูดพวกนี้ก็ยังคงไม่มีคำตอบใด การยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนและไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยสักคำแบบนั้น จะให้เขาเข้าใจท่าทางของอีกฝ่ายได้ว่าอย่างไร นั่นคงจะเป็นการบอกว่ามันเปล่าประโยชน์ ซองจูฝืนเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง 


 


 


“แค่ตอบอะไรกลับมาบ้าง ก็ไม่ได้เลยเหรอ…” 


 


 


แล้วเขาก็เปล่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา 


 


 


“นี่ ไอ้เด็กบ้า ถ้าจะเป็นแบบนี้ แล้วตอนนั้นนายทำแบบนั้นทำไม ถ้านายแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ไปซะ มันก็คงจบไปตั้งนานแล้ว กับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลยน่ะ นายจะยื่นมือเข้ามายุ่งทำไม ถ้านายไม่ทำแบบนั้น มันก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรไม่ใช่รึไง ฉันก็อยู่ส่วนฉัน นายก็อยู่ส่วนนาย แค่อาศัยร่วมห้องเดียวกันไปเงียบๆ แค่นั้นก็ได้นี่ แบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว…แล้วทำไม ทำไมต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย…” 


 


 


ตอนนี้ความรู้สึกมากมายมันล้นทะลักออกมาแทนน้ำตาที่ไม่หลงเหลือให้ไหลออกมาอีกแล้ว ไม่เคยเลยที่ต้องมาอ้อนวอนเช่นตอนนี้ และซองจูก็ได้พยายามอ้อนวอนอย่างที่สุดแล้ว ความรู้สึกมากมายที่กระทั่งในการแสดงก็ไม่เคยได้สัมผัสมัน ตอนนี้มันล้นทะลักออกมาเพียงเพราะคนๆ นั้น ประสาทการรับรู้ทุกส่วนถูกกระตุ้น ความรู้สึกประหลาดที่กระทบกระเทือนหัวใจ ซองจูแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งนี้ แล้วผู้ชายที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาตระหนักแล้วว่าคงไม่อาจทำให้จองอูล้มเลิกความตั้งใจได้ ซองจูได้แต่พึมพำซ้ำไปซ้ำมาอย่างแผ่วเบา 


 


 


“ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย มันคงจะเจ็บน้อยกว่านี้ แค่โอกาส นายยังไม่ให้ฉันเลย”  


 


 


คำพูดนั้น ทำให้จองอูถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา แล้วก้าวถอยห่างออกไป 


 


 


“ฉัน…” 


 


 


จองอูพูดออกมาแค่นั้น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกพยายามควบคุมอารมณ์ ริมฝีปากคู่นั้นไม่ได้ขยับเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีกแม้เพียงนิด แต่ทว่าถ้ายังไม่พูดอะไรออกไป ซองจูอาจจะจากเขาไปก็ได้ นั่นคือสิ่งที่เขาตระหนักได้ เขาคิดว่ามันคงดีเสียกว่า หากได้พูดแก้ตัวออกไปบ้าง ดีกว่าปล่อยอีกคนให้จากไปโดยที่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ จองอูใช้เวลาอยู่หลายนาที ก่อนจะเอ่ยพูดออกมาอย่างยากลำบาก 


 


 


“ฉันอาจจะทำให้นายต้องเสียใจ เพราะฉันนายถึงได้รู้สึกสับสน ฉันไม่ใช่คนที่มีค่าอะไรแบบนั้นหรอก ก็แค่คนที่ไม่มีอะไรเลยแค่นั้น” 


 


 


“คุณค่าของนายฉันวัดเองได้! ทำไมถึงได้ดูถูกตัวเองแบบนั้น นั่นมันเป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก รู้บ้างไหม” 


 


 


ซองจูแผดเสียงออกมาด้วยความโกรธ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นของจองอู จองอูเถียงกลับซองจูที่เป็นเช่นนั้นอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน 


 


 


“ฉันไม่ใช่คนปกติ ฉันใช้ชีวิตแบบนั้นมาจนเกือบครึ่งชีวิตแล้ว ฉันไม่เคยรู้จักการให้ใจกับใครเลย การพุ่งเข้ามาหาฉันด้วยความรู้สึกดีแบบนั้น มันจะทำให้นายต้องเจ็บซะเอง เห็นนายเป็นแบบนั้น มันยิ่งทำให้ฉันเจ็บ ตัวฉันเหมือนระเบิดเวลา ที่ไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ ฉันมันก็แค่คนที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เลย” 


 


 


“เพราะอย่างนั้นก็เลยหนีมางั้นเหรอ ทำแบบนั้นแล้วนายสบายใจขึ้นหรือเปล่าล่ะ ก็ไม่ไง! นายเองเจ็บเหมือนกัน! ฉันเจ็บขนาดนี้ แล้วนายไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลยรึไง ทำไมถึงดูไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ผอมลงซะขนาดนั้นแล้ว…” 


 


 


พ่นถ้อยคำไร้สาระพร้อมกับแผดเสียงตะโกนด้วยความโมโห แต่ในใจของซองจูก็ยังคงเจ็บปวด สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่ มันก็แค่คนขี้ขลาด 


 


 


“จับฉันไว้ ก่อนที่จะต้องเสียใจ จับฉันไว้สิ แค่นั้นก็พอแล้ว ฉันจะจับนายเอาไว้เอง” 


 


 


“ทำแบบนั้น อาจเป็นนายเองที่เสียใจ” 


 


 


“เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้ นายแค่จับฉันเอาไว้ก็พอ! ไม่มีฉันนายอยู่ได้เหรอ? สมบูรณ์แบบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายอยู่ได้เหรอถ้าต้องเจอหน้าน้องชายฉัน คนรอบตัวฉันน่ะ!” 


 


 


จองอูไม่ตอบอะไรกลับไปกับคำถามนั้นของซองจู ซองจูจ้องมองไปยังจองอูที่ยืนเหม่ออย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะตะโกนออกมาอีกครั้ง 


 


 


“ก็ไม่ไง ทำไม่ได้ไง เพราะแบบนั้นนายถึงได้หนีไม่ใช่เหรอ นายเกี่ยวข้องกับฉันมากกว่าที่คิดซะอีก นายก็เลยกลัว แล้วก็หนีไป ฮันซองฮี มินซองฮุน แล้วยังคิมเซจุนอีก นายไม่ได้ติดต่อไปหาคนพวกนั้นเลย เมื่อไม่นานมานี้ นายเพิ่งทำงานกับพวกนั้น แต่ก็ไม่โผล่หน้าไปหาเลย แบบนั้นมันคืออะไรกัน นายคิดแค่ว่าต้องหนี แต่ไม่ได้คิดหน้าหลังอะไรเลยใช่ไหมล่ะ เป็นแบบนั้นแล้ว นายยังจะทำเพลงได้อีกเหรอ? หา?” 


 


 


ยิ่งซองจูพูดออกมาเท่าไหร่ สีหน้าของจองอูก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเท่านั้น จองอูได้แต่หลับตาลง ทุกคำพูดของซองจู เขาปฏิเสธมันไม่ได้เลย 


 


 


“เพราะอย่างงั้น นายก็แค่จับฉันเอาไว้ซะ จับฉันไว้ แล้วก็เจ็บไปด้วยกัน ฉันจะช่วยให้นายได้เจ็บปวดเอง ถึงฉันจะไม่ชินเท่าไหร่ แต่ก็จะยอมรับเอาไว้เอง นายหายไปแบบนั้น ฉันเองก็สำนึกผิดมากแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะพยายามไม่เอาแต่ใจตัวเองอีก…” 


 


 


ซองจูไม่อาจพูดต่อไปได้ จึงได้สูดหายใจเข้าลึก ถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าอีกคนจะยอมคว้ามือที่เขายื่นออกไปหรือไม่ แต่เขาก็ไม่อาจยอมแพ้ ทั้งที่ยังไม่ได้ลองทำมัน 


 


 


“เพราะงั้น ขอร้องล่ะ กลับมาเถอะนะ…” 


 


 


ในที่สุดเสียงแผ่วเบาก็หลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของเจ้าตัว จองอูที่รับฟังคำพูดพวกนั้นของซองจูอย่างเงียบๆ ค่อยๆ แกะแขนที่ถูกซองจูจับยึดไว้ออก แล้วจึงขยับถอยหลังไปทั้งอย่างนั้น 


 


 


พอได้ยินเสียงสูดหายใจเข้า เขาก็หวาดกลัวกับท่าทางที่ไม่อาจตีความได้นั้น ซองจูได้แต่กะพริบตาถี่ๆ อย่างคิดหนัก ระหว่างนั้นจองอูก็หันหลังเดินกลับไปทางเคาน์เตอร์ 


 


 


จบแล้วสินะ 


 


 


แต่แล้วจองอูก็เดินกลับมาหาซองจูที่กำลังครุ่นคิดออกมาอย่างสิ้นหวังอีกครั้ง อีกฝ่ายยื่นบางอย่างมาให้เขาโดยไม่มีคำพูดใด เขาได้แต่ยืนมองมันอยู่อย่างนั้น ด้วยสติที่ยังไม่กลับคืนมา ตรงหน้าคือกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่ง เมื่อเขารับมันมาแล้ว จองอูที่มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยบางอย่างออกมา 


 


 


“ลองกลับไปคิดทบทวนดูก่อน ถ้ายังรู้สึกเหมือนเดิม ก็โทรมาที่เบอร์นี้” 


 


 


อีกฝ่ายพูดเช่นนั้นออกมา แล้วจึงค่อยๆ ดึงซองจูเข้าไปกอดไว้ 


 


 


แววตาของซองจูยังคงดูเลื่อนลอย ดวงตายังคงกะพริบถี่อย่างคนสติหลุด กระทั่งในเวลาที่ตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นนั้นแล้วก็ตาม 

 

 

 


ตอนที่ 4-7

 

ตอนที่ 4-7 ข้ามผ่าน

 


 


 


 


หลังจากวันนั้นซองจูก็เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง 


 


 


ด้วยความเป็นห่วงซองจูที่มีท่าทางเช่นนั้น มินซิกจึงได้คอยหมั่นเข้ามาหาอีกคนที่ห้อง แม้จะถูกห้ามเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะอีกคนอยากอยู่คนเดียว 


 


 


สาเหตุก็มีเพียงอย่างเดียว การโทรหาจองอูนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด 


 


 


ซองจูเอาแต่ครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น วันแล้ววันเล่า แต่มันก็ไม่มีคำตอบออกมา ช่างไม่สมกับที่เป็นฮันซองจู คนสันดานเสียที่สุดในโลกคนนั้นเลย เขาไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้เรื่องคิมจองอู ดังนั้นแค่ไปหาอีกฝ่ายเรื่องทุกอย่างก็จะคลี่คลาย แต่เพราะศักดิ์ศรีไร้สาระที่ค้ำคอจึงทำแบบนั้นไม่ได้ เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดสุดๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจคลี่คลายได้ด้วยการมานั่งคร่ำครวญกับตัวเองแบบนี้ ข้อนั้นเขารู้ดี แต่ทว่าเรื่องนั้นมันก็ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว ตั้งแต่โตมา เขายังไม่เคยต้องพบเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง 


 


 


“ไอ้คนเฮงซวยเอ๊ย เดี๋ยวก็ได้หนีไปอีก” 


 


 


ไม่ว่าจะคิดทบทวนสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจคลายความโมโหลงได้เลย ซองจูระบายความหงุดหงิดออกมาด้วยการต่อยลงไปบนที่นอน ทั้งที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่อย่างนั้น 


 


 


ทั้งที่เขาอ้อนวอนขอร้องว่าอย่าไป และขอให้กลับมา แต่ก็ยังให้ผลักให้เขาเป็นคนตัดสินใจแบบนี้ มันยิ่งทำให้ความหงุดหงิดและความโกรธที่มีต่อจองอูไม่อาจลดน้อยถอยลง ความสัมพันธ์ที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้น ความรัก ความเกลียดชังพวกนั้นถูกระบายออกมาเช่นนี้แล้ว การคบกันของพวกเขา ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ราบรื่นเลยสักนิด 


 


 


“ไม่สิ ทำไมฉันต้องเป็นคนโทรไปด้วยล่ะ คนที่ต้องอ้อนวอนขอให้ยอมรับ มันต้องเป็นนายไม่ใช่รึไง หนีไปก่อนแท้ๆ ทำไมยังโยนมาให้ฉันเป็นคนตัดสินใจอีกล่ะ ฉันก็ขอให้กลับมาแล้วนี่” 


 


 


พึมพำออกมาอย่างหงุดหงิด ทั้งที่ไม่มีใครมารับฟัง สุดท้ายแล้ว ความโกรธที่มีก็ไม่ได้ถูกระบายออกมา ถึงเขาจะรู้เรื่องนั้นดี แต่ซองจูก็ยังคงพ่นคำพูดเกี่ยวกับจองอูออกมาด้วยความไม่พอใจอยู่เหมือนเดิม 


 


 


“โอ๊ย ยังไงก็ต้องโทร…” 


 


 


ซองจูตัดสินใจแล้วว่าต้องโทรไป อะไรจะเกิดขึ้นอีกหลังจากนี้ เขาก็คงได้แต่ยอมรับมัน เขาจ้องมองไปยังโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง 


 


 


“ช่วงกลางวันที่คาเฟ่ไม่ค่อยมีลูกค้าสักเท่าไหร่ โทรไปตอนนี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” 


 


 


บ่นพึมพำออกมาอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ขึ้นมาถือ จ้องมองหน้าจอราวกับจะมองทะลุมันเข้าไป ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก แล้วกดเบอร์โทรที่เอาแต่จ้องมันอยู่อย่างนั้นตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ลงไป 


 


 


เสียงรอสายธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานมากแล้ว กระตุ้นความรู้สึกของเขาขึ้นมา ซองจูขมวดคิ้วมุ่นให้กับเสียงที่ฟังเฉิ่มเชยแบบนั้น 


 


 


“อะไรเนี่ย เจ้าคนที่ทำงานด้านดนตรีแบบนั้น กลับไม่ใช้เสียงรอสายที่เขาฮิตกัน ดันมาใช้อะไรเชยๆ แบบนี้เนี่ยนะ” 


 


 


สิ่งที่คาดไม่ถึงนี้ทำเอาซองจูตกตะลึงจนพูดไม่ออก ได้แต่พึมพำออกมาคนเดียวอยู่อย่างนั้น และแล้วอีกฝ่ายก็รับโทรศัพท์ 


 


 


“สวัสดีครับ” 


 


 


น้ำเสียงที่ฟังสงบนิ่ง ทำให้ซองจูเผลอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง 


 


 


“…สวัสดีครับ” 


 


 


เขาได้แต่เผยอปากอ้าๆ หุบๆ อยู่อย่างนั้น ด้วยไม่กล้าพูดอะไรออกไป จนอีกฝ่ายถามท้วงออกมาอีกครั้งด้วยความสงสัย ในตอนนั้นเองซองจูจึงได้ตระหนักว่าเบอร์ที่จองอูให้เขามา ไม่ใช่เบอร์ส่วนตัวของเจ้าตัว อีกคนถึงได้ไม่เอะใจว่าเป็นเขา 


 


 


“อื้อ ฉันเอง” 


 


 


ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าออกมา แล้วส่งเสียงตอบกลับไปได้ การที่อีกคนนิ่งไปแบบนั้น มันทำเอาเขาอยากจะโมโหออกมา แต่ว่าซองจูก็แค่รวบรวมกำลังเอ่ยออกไปอีกครั้ง 


 


 


“ฉันเองไง” 


 


 


จบคำนั้น จองอูก็หลุดขำออกมาให้ได้ยิน 


 


 


“รู้แล้ว” 


 


 


“…ทำอะไรอยู่?” 


 


 


ถึงจะฟังดูห้วนๆ แต่ก็ดูสงบนิ่งกว่าที่คิด เหมือนว่าสิ่งที่กังวลมาตลอด จะเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระไปเสียแล้ว พอคิดได้เช่นนั้น มันก็พาลให้หงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย จองอูที่เหมือนจะล่วงรู้ความคิดนั้นของซองจู จึงได้เอาแต่หลุดเสียงหัวเราะออกมาเรื่อยๆ  


 


 


“ทำไมจู่ๆ ถึงหัวเราะอย่างกับคนบ้ากัน ฉันก็โทรมาแล้วนี่ไง” 


 


 


“เปล่า แค่คิดว่ามันเป็นแบบนี้ได้ด้วยงั้นสินะ” 


 


 


จองอูพูดออกมาแบบนั้น พร้อมกับพยายามกลั้นขำเอาไว้ ซองจูเบะปากออกมา พร้อมก้มหน้าลง ถึงอย่างนั้นก็ยังสังเกตได้อยู่ดีว่า ต้นคอของเจ้าตัวนั้นปรากฏเป็นริ้วสีแดงออกมา 


 


 


“ทำงานอยู่เหรอ” 


 


 


“อื้อ” 


 


 


“ทำอะไรกัน ลูกค้าก็ดูไม่ค่อยมีมาสักเท่าไหร่ ได้เงินเดือนด้วยรึไง” 


 


 


“มันเป็นงานที่ไม่ได้เงินหรอก” 


 


 


“หา? เจ้าของที่ดูมึนๆ เบลอๆ นั่น ที่แท้เป็นพวกหน้าเลือดเหรอเนี่ย? นี่! แบบนั้นมันผิดกฎหมายแรงงานนะ ลาออกมาเลยนะ” 


 


 


คำพูดที่ไม่คาดคิดทำเอาเขาเผลอระเบิดความไม่พอใจออกมา แล้วซองจูก็ต้องมารู้สึกเสียใจในภายหลัง แค่เพียงไม่กี่วันก่อน ที่ได้ประกาศเอาไว้ว่าจะไม่เอาแต่ใจตัวเองอีก คิดแล้วก็ได้แต่เอือมระอากับตัวเขาเองที่เป็นแบบนี้อีกแล้ว เขาได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหน้า พร่ำบ่นซ้ำๆ กับตัวเองด้วยความสิ้นหวัง ในตอนนั้นซองจูก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดงดังแว่วเข้ามาในหู 


 


 


“หัวเราะทำไมกัน! ยังไม่หยุดอีก!” 


 


 


ตัวเขาที่ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกอารมณ์แปรปรวน ตอนนี้กลับถูกก่อกวนจนหัวปั่น ทำให้เผลอแสดงความหงุดหงิดออกมา แต่นั่นกลับยิ่งทำให้จองอูหัวเราะลั่นยิ่งกว่าเก่า อุตส่าห์รวบรวมความกล้าโทรหาแล้วแท้ๆ กลับเอาแต่คุยอะไรไร้สาระกันแบบนี้ มันทำเอาเขาได้แต่รู้สึกอับอายกับความจริงนี้ จองอูที่หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ครู่หนึ่ง เปิดปากพูดออกมา ทั้งที่ยังคงมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาปะปนมาด้วย 


 


 


“เดิมทีที่ร้านทำกิจการขายส่งเมล็ดกาแฟที่คั่วเอง คาเฟ่ก็แค่เปิดเอาไว้ให้เข้ากับบรรยากาศก็เท่านั้น ฉันแค่มาดูแลแทนพนักงานพาร์ทไทม์คนก่อนที่ลาหยุดไปน่ะ แล้วก็ได้สวัสดิการเป็นที่พักกับอาหารสามมื้อมาแทนเงินเดือน วันๆ นึงทำงานไม่ถึงสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้อารมณ์กรุ่นโกรธของซองจูลดลงมานิดนึง 


 


 


“ถึงอย่างงั้น นายก็ไม่ได้คิดจะทำงานที่นั่นไปตลอดนี่” 


 


 


“ก็นะ ออกตอนไหนมันก็ไม่ได้มีผลอะไร แต่ว่าเขาก็เป็นพี่ที่สนิท แล้วช่วงนี้ก็ยังต้องการคนคอยช่วยงานสักระยะนึงด้วยน่ะสิ” 


 


 


“งั้นคิดจะอยู่อีกนานแค่ไหนล่ะ” 


 


 


“อืม คงต้องอยู่ไปจนกว่าคนทำงานคนก่อนจะกลับมาน่ะสิ” 


 


 


“…เรื่องเพลงล่ะ” 


 


 


“หือ?” 


 


 


“ไม่ทำเพลงแล้วรึไง” 


 


 


คำถามของซองจูทำเอาจองอูพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง 


 


 


คงไม่ใช่เพราะคนพวกนั้นเกี่ยวข้องกับเขาก็เลยคิดจะเลิก ไม่ทำเพลงอีกแล้วอย่างนั้นหรอกนะ เมื่อเขาคิดมาถึงตรงนี้ ก็อยากจะร้องไห้ออกมาเสียดื้อๆ เพราะเขาคนเดียวทำให้ชีวิตคนอื่นกระทบกระเทือนไปหมด มันไม่ใช่เรื่องเลย 


 


 


ตลอดเวลาที่อยู่ห่างกัน เพลงของจองอูที่ได้ฟัง มันมีเสน่ห์มาก ด้วยอายุเท่านี้ ทำไมอีกคนถึงได้สามารถเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจมันบ้างแล้ว น่าเสียดายหากอีกคนต้องล้มเลิกมันเพียงเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วซองจูก็ตัดสินพูดออกมาอีกครั้ง 


 


 


“ไม่ต้องสนใจสายตาคนอื่นหรอก ทำเพลงของนายต่อไปเถอะ มันคือพรสวรรค์ของนาย ถ้าไม่ใช้มันก็คงจะแปลกพิลึก” 


 


 


“รู้ได้ยังไงว่าฉันมีพรสวรรค์” 


 


 


“เพลงที่ทำให้คนทั่วไป เปิดฟังซ้ำๆ ได้แบบนั้น ก็ต้องเรียกว่ามีพรสวรรค์แล้ว” 


 


 


อีกคนนิ่งไป ไม่ได้ตอบอะไรกลับมากับคำพูดที่ฟังดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษนั่น ทำให้ซองจูเกิดความวิตกขึ้นมาอีก 


 


 


“นายอย่าเงียบไปเฉยๆ แบบนี้สิ ทำไมปล่อยให้ฉันรู้สึกวิตกจริตไปคนเดียวแบบนี้ล่ะ นี่ฉันพูดคนเดียวอยู่รึไงกัน” 


 


 


“…ขอโทษ” 


 


 


“ห้ามพูดคำว่าขอโทษด้วย” 


 


 


แล้วบทสนทนาก็จบลงที่คำพูดเด็ดขาดคำนั้น ไม่ว่าอย่างไร สำหรับคิมจองอูแล้ว การห้ามไม่ไห้พูดคำว่า ‘ขอโทษ’ และ ‘อื้อ’ มันก็ดูจะเป็นอะไรที่โหดร้ายไปสักหน่อย ซองจูถอนหายใจออกมา ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งถูปากตัวเองแรงๆ  


 


 


“เฮ้อ…ช่างเถอะ อยากทำอะไรก็ทำเถอะ” 


 


 


สีหน้าของซองจูในยามที่เอ่ยคำนั้น ดูมีประกายของความสิ้นหวังฉายออกมา 


 


 


“ยังไงซะ นายก็อย่าอยู่ที่นั่นนานนักล่ะ ทำงานอย่างที่เคยทำเถอะ” 


 


 


“นี่ก็เป็นงานที่ฉันเคยทำนะ” 


 


 


“เออ ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นแล้ว แค่ทำเพลงของนายไปก็พอ! กาแฟน่ะ ทำให้ฉันกินคนเดียวก็พอแล้ว!” 


 


 


“…หา?” 


 


 


“ตอบแบบนั้นหมายความว่าไง! นายจะไม่กลับมารึไง? ถ้าอย่างนั้น จะให้เบอร์ฉันมาทำไมกัน? นายคงไม่ได้คิดจะให้ฉันโทรมาคุยด้วย คอยเป็นเพื่อนแก้เหงาบางครั้งบางคราวแบบนั้นหรอกนะ” 


 


 


แล้วจองอูก็เงียบไปอีกครั้ง 


 


 


แบบนี้มันคืออะไรกัน เจ้าเด็กบ้านี่แค่หยุดพักชั่วคราวระหว่างที่กำลังหนีหรือไงกัน เขาอยากจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ถึงได้พยายามมากมายขนาดนี้ แต่สิ่งที่ฉุกคิดได้ในตอนนี้ มันก็ทำเอาเส้นเลือดบนหน้าผากของซองจูปูดโปนออกมาอีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปรับตัวกับความรู้สึกนึกคิดของคิมจองอู 


 


 


“นี่…นายคงไม่ได้วางแผนแกล้งหลอกให้ฉันตายใจ แล้วนายก็ตัดขาดการติดต่อไปอีกหรอกใช่ไหม” 


 


 


 ซองจูพูดออกไปด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความวิตกในจิตใจ การรอคอย ความไม่สบายใจ ทั้งหมดนั่น เขาไม่ชอบมันเลยสักนิด ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เขาก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจองอูนั้นยกโทษให้ตัวเขาบ้างหรือยัง 


 


 


“ช่างเถอะ ทำแบบนี้ไปก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว” 


 


 


เสียงพึมพำตอบออกมาด้วยถ้อยคำที่บอกว่ามันช่างเปล่าประโยชน์ ถึงจะทำแบบนั้นก็ยังคงไม่มีคำตอบใดกลับมา อึดอัดชะมัด 


 


 


บทสนทนาถูกตัดจบลง ตอนที่อยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมายนัก แม้กระทั่งในเวลานี้ ก็ไม่ได้มีคำพูดที่สำคัญอะไร แม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายเดือนแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไม่มีหัวข้ออะไรให้พูดคุยกันได้เลย 


 


 


เขารู้เรื่องนั้นดี แต่ความรู้สึกผิดหวังกลับยังคงกัดกินในจิตใจของเขา เทียบกันแล้ว ที่ซองจูพยายามทำไปมันก็ยังคงเปล่าประโยชน์ เพราะจองอูไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนใจเลยสักนิดเดียว แต่ว่าหากเขาตัดสายไปตอนนี้แล้ว ก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่อาจตัดใจวางสายลงได้ ด้วยเหตุผลนั้น จึงทำให้ความอุ่นวาบไหลรินลงมาบนแก้ม ซองจูยังคงมองเหม่ออย่างไร้จุดหมาย พร้อมกับเอ่ยปากออกกมาอีกครั้ง 


 


 


“นี่” 


 


 


“อื้อ” 


 


 


อีกฝ่ายตอบรับเสียงเรียกกลับมาในทันที ช่างเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ  


 


 


“คิมจองอู” 


 


 


“…อื้อ” 


 


 


ซองจูฝืนกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเอ่ยออกมา 


 


 


“คิดถึง” 


 


 


ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา 


 


 


“มาหาตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ?” 


 


 


จองอูยังคงไม่ตอบอะไรกลับมา 


 


 


“นี่ ถ้านายจะเป็นแบบนี้ แล้วทำไม…” 


 


 


ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด 


 


 


สุ้มเสียงที่ดังสะท้อนออกมาอย่างไม่มีมารยาทนั่น ทำเอาซองจูที่หลับตาอยู่ลืมตาโพลงขึ้นมาในทันที 


 


 


“อะไรเนี่ย?” 


 


 


เขาดึงโทรศัพท์ออกห่างเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมันเป็นอย่างที่เข้าใจ หน้าจอที่ส่องสว่างอยู่ระบุว่าสายถูกตัดไปแล้ว 


 


 


“ไอ้เด็กบ้านี่ จริงๆ เลย!” 

 

 

 


ตอนที่ 4-8

 

ตอนที่ 4-8 ข้ามผ่าน

 


 


 


ซองจูแผดเสียงตะโกนออกมา พร้อมทั้งเขวี้ยงโทรศัพท์ลงไปบนหมอน ถึงตอนนี้ก็ยังคงคิดว่าอีกคนอาจจะโทรกลับมาอีกครั้ง จึงได้แต่อดทนไม่เขวี้ยงมันลงพื้นไปเสีย เพราะแบบนี้คนที่ตกหลุมรักก่อนถึงได้เป็นฝ่ายแพ้ เมื่อไม่อาจทนต่อความโกรธที่พลุ่งพล่านออกมา ซองจูจึงลุกพรวดขึ้นทันที


 


 


เดินลากเท้าปึงปังไปทางห้องครัว เปิดตู้บิวท์อินที่เอาไว้เก็บอาหารออกมา ภายในนั้นมีขวดเหล้าที่เขาคิดจะไม่แตะต้องมันอีกวางเกลื่อนอยู่ จนกระทั่งในตอนนี้ เขาเลือกขวดที่ดีกรีแรงสุดออกมาขวดหนึ่ง ถือมันไปยังห้องนั่งเล่น นั่งลงบนโซฟาว่างเปล่าและเย็นเยียบ ที่ก่อนหน้านี้มินซิกที่กลับออกไปแล้วช่วยจัดการเก็บกวาดให้ แล้วซองจูก็เปิดฝาขวดออกในทันที ตอนนี้ไม่มีอะไรมากวนใจอีกแล้ว


 


 


“ไอ้คนเฮงซวย ถ้าจะทำแบบนี้ให้เบอร์มาแต่แรกทำไมวะ ถ้าสุดท้ายแล้วก็ยังทิ้งกันแบบนี้ จะมาให้ความหวังกันทำไม ฉันมันดูเหมือนตัวตลกนักเหรอ? จะปฏิเสธกันก็ช่วยปฏิเสธออกมาแบบจริงจังไม่ได้เหรอ ไม่ใช่พวกเสียสติสักหน่อย จะปฏิเสธก็ทำให้มันปกติไม่ได้รึไงวะ”


 


 


เขาระบายความอัดอั้นภายในใจออกมา พร้อมกับยกขวดเหล้าขึ้นมาดื่มเข้าไปหลายอึก


 


 


“แม่งเอ๊ย แค่วันนี้เท่านั้น แค่วันนี้เท่านั้น ที่จะดื่มให้เมาตายไปเลย แล้วพรุ่งนี้ก็จะลืมมันให้หมด ไอ้คนเส็งเคร็ง ไม่มีนายฉันก็อยู่ของฉันได้ ระดับฉันแล้วน่ะ! อยากหนีก็เชิญหนีไปตลอดชีวิตเลย…”


 


 


ความเจ็บปวดที่เจ้าตัวโพล่งมันออกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนยกขวดเหล้าขึ้นแตะที่ริมฝีปาก ร่างกายที่ถูกเติมเต็มด้วยรสสัมผัสของแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้แตะต้องมานานมากแล้ว ทำให้มันตีย้อนกลับออกมา


 


 


 “เวร กินเหล้าก็ไม่ได้อีก”


 


 


ดื่มไปได้เพียงไม่กี่อึก ร่างกายก็เริ่มต่อต้านออกมาแบบนั้น มันทำให้เขาเจ็บใจขึ้นไปอีก ซองจูถือขวดเหล้าเอาไว้ พร้อมทั้งเอนศีรษะพิงไปกับโซฟา เขาเริ่มรู้สึกว่าเพดานห้องกำลังหมุนไปมา


 


 


เจ้าตัวพึมพำออกมาทั้งที่ยังทิ้งตัวแผ่ไปกับโซฟาเช่นนั้น ในระหว่างนั้นก็ค่อยๆ ยกขึ้นมาซด แล้วซองจูก็เริ่มสบถด่าออกมาอีก บางทีก็สบถด่าดงฮยอน เรื่องทั้งหมดนี้ มันเริ่มขึ้นก็เพราะดงฮยอนที่พาจองอูเข้ามาที่ห้องของซองจู ทำเช่นนั้นจนผ่านไปหลายนาที ซองจูที่สติเริ่มเลือนรางเข้าไปทุกที พึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา


 


 


“แม่งเอ๊ย ครั้งสุดท้ายแล้ว จะลืมให้หมดเลย จะไม่ชอบใครอีกต่อไปแล้ว”


 


 


แล้วเขาก็ได้ยินเสียงปิ๊บๆ ที่ดังออกมาจากที่ไหนสักที่ ราวกับมันตอบรับกับคำพูดนั้น ก่อนซองจูจะเงยหน้ามองไปทางประตูในทันที


 


 


“ไอ้พวกเวร ออกไป! ห้ามเข้ามา!”


 


 


ซองจูแผดเสียงตะโกนดังลั่น อย่างไรเสียก็คงจะเป็นมินซิก ไม่ก็ดงฮยอนนั่นแหละ ทั้งที่ตะโกนห้ามไม่ให้เข้ามา แต่กลับไม่คำตอบใดกลับมา ความไม่พอใจปะทุขึ้นมาพร้อมกับเสียงแกร๊กที่ดังขึ้น ทำให้เขาตะโกนออกไปอีกครั้ง


 


 


“บอกให้ออกไป! รีบปิดประตูแล้วกลับไปซะ! ฉันไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น ไปให้พ้น!”


 


 


แต่ทว่าที่ได้ยิน กลับเป็นเสียงฝีเท้าที่ฟังดูรีบร้อนเท่านั้น ถึงอย่างไรคนรอบตัวเขาก็ไม่เคยมีใครเชื่อฟังคำพูดเขาเลยสักคนเดียว เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมา ด้วยหมายจะตะโกนไล่อีกครั้ง แต่กลับต้องชะงักค้างไปด้วยความตกใจ


 


 


ลมหายใจถึงกับชะงักไป เมื่อได้เห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคิมจองอู


 


 


“บ้าอะไรเนี่ย ทำไม…”


 


 


ซองจูพึมพำออกมาทั้งที่ในมือยังคงถือขวดเหล้าเอาไว้ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เมื่อได้เห็นสภาพเช่นนั้นของอีกคน จองอูก็มีสีหน้าซีดเผือดลงในทันที


 


 


“นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย!”


 


 


จองอูตะโกนออกมาเสียงดังลั่น พร้อมทั้งวิ่งเข้ามาหาอีกคน แล้วคว้าขวดเหล้าไปจากมือของซองจู วางมันลงบนโต๊ะ สีหน้านั้นดูราวกับคนที่กำลังจะร้องไห้ออกมา ซองจูสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะพึมพำออกมากับจองอูที่กำลังมองมายังตัวเขา


 


 


“นายทิ้งฉันแล้วไม่ใช่เหรอ?”


 


 


จองอูขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น


 


 


“นายบอกว่าให้มา! บอกว่าคิดถึง!”


 


 


“นายตัดสายฉัน”


 


 


“งั้นจะให้ฉันเอาแต่คุยโทรศัพท์กับคนที่บอกว่าคิดถึงกันอยู่อย่างนั้นรึไง? ทำแบบนั้นนายก็จะโกรธไม่ใช่เหรอ!”


 


 


ท่าทางของจองอูที่แผดเสียงตะโกนออกมาอย่างไม่สมกับเป็นเจ้าตัว ทำให้น้ำตาของซองจูเริ่มรินไหลออกมาจากดวงตาของเจ้าตัว


 


 


“ฉันก็แค่…เข้าใจว่านายไม่อยากติดต่อกันอีกต่อไปแล้ว…”


 


 


ซองจูพูดออกมาทั้งที่น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด


 


 


เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ความคิดเขาไม่ปกตินัก ทำไมจองอูถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ตัวเขาที่โมโหเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ก่อนหน้านี้ ทำไมจู่ๆ ถึงได้ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าแบบนี้ก็ไม่รู้ ที่แน่นอนที่สุดในตอนนี้ คือคิมจองอูอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ซองจูยื่นมือสั่นเทาออกไปคว้าแขนของจองอูเอาไว้


 


 


“แล้วคาเฟ่ล่ะ”


 


 


“บอกพี่เจ้าของร้านไว้แล้ว”


 


 


“แล้วถ้ามีขโมยล่ะ”


 


 


“หยุดพูดเรื่องนั้นเถอะ ตอนนี้มันสำคัญนักเหรอ? ทำไมถึงได้ดื่มเหล้าแบบนี้ ตอนที่ฉันไม่อยู่ นายเลิกมันได้ก่อนที่จะติดมันแล้วนี่ ทำไมถึงได้…!”


 


 


หางตาของซองจูกระตุกขึ้นมาทันที ขณะที่กำลังฟังสิ่งที่จองอูพูดออกมา


 


 


“เรื่องนั้นนายรู้ได้ยังไง”


 


 


คำพูดนั้นทำให้จองอูปิดปากเงียบทันที ดวงตาที่มองสบมานั้น ในแววตาของอีกคนมันดูสั่นไหวอย่างรุนแรง ซองจูเม้มปากแน่น ก่อนจะพึมพำลอดไรฟันออกมา


 


 


“ชินดงฮยอนสินะ”


 


 


จองอูไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดนั้น เจ้าตัวเพียงวางมือทาบทับลงบนมือของซองจูที่จับแขนของตัวเอาไว้


 


 


“ขอร้องล่ะนะ อย่าดื่มอีกเลย ถ้าจะดื่มก็มาดื่มกับฉัน แค่บางครั้ง นานๆ ทีนะ”


 


 


“นายไม่ได้อยู่กับฉันแล้ว ยังมาพูดอีก”


 


 


จองอูไม่ตอบอะไรกลับไปอีก เพียงก้มลงไปหาซองจูอย่างเงียบ ๆ


 


 


“อ๊ะ อืม…”


 


 


รสเหล้าอ่อนๆ กระจายออกมาจากริมฝีปากคู่นั้น เขาค่อยๆ สอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไปภายในโพรงปากของอีกคน ดื่มด่ำกับรสสัมผัสที่ติดค้างอยู่ที่ริมฝีปากล่างอย่างอ่อนโยน แตะลิ้นสัมผัสผ่านไรฟัน แล้วอีกคนก็เปิดปากให้ได้เข้าไปรุกล้ำในทันที เรียวลิ้นนุ่มลื่นรุกรานภายใน แหวกว่ายไปทั่วทุกที่ภายโพรงปากของซองจูอย่างช้าๆ


 


 


“ฮือ อื้อ อื้ม อือ…อืม อื้อ ฮึก!”


 


 


ซองจูขยับเรียวลิ้นตอบรับสัมผัสนั้นกลับไป เรียวลิ้นอุ่นเกี่ยวกระหวัดกัน ทั้งผลักดันและดูดดึงกันไปมาอยู่เช่นนั้น เรียวลิ้นทั้งคู่เสียดสีกันไปมาอย่างรุนแรง ราวกับกำลังทำสงครามกันอยู่ ในตอนนั้นเองจองอูจึงได้ขยับมืออย่างรวดเร็ว รั้งเอวของซองจูเข้ามาแนบชิด กกกอดอีกคนเอาไว้ ในวินาทีที่ร่างกายได้สัมผัสกัน ความร้อนรุ่มก็พลันปะทุขึ้นมาในทันที


 


 


“ฮึก!”


 


 


เขาเลิกเสื้อเชิ้ตตัวบางขึ้น แล้วสอดมือร้อนเขาไปสัมผัสแถวช่วงเอวของอีกคน จนทำให้ซองจูหลุดเสียงครางสั้นๆ ออกมา


 


 


มันร้อนวาบ จั๊กจี้ จนทำให้รู้สึกวูบวาบขึ้นมาที่ท้ายทอย ฝ่ามืออุ่นร้อนของจองอูที่ปัดผ่านไปทั่วร่างเขาราวกับอสรพิษร้าย ทำเอาเขาขนลุกขึ้นมา


 


 


ซองจูผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ พร้อมกับหอบกระเส่าไปกับการเล้าโลมของจองอูที่ทำกับร่างกายของเขา ราวกับเจ้าตัวกำลังเล่นเครื่องดนตรีอยู่ จองอูค่อยๆ สร้างความทรมานให้กับร่างกายของซองจู เขาเผลอไผลไปกับมันจนไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร ร่างกายบิดเร่าไปตามการควบคุมของจองอู ซองจูได้แต่หายใจหอบ พร้อมกับหลุดเสียงหวีดร้องออกมา


 


 


“อ๊ะ อื้อ อึก! อ๊ะ อื้อ อืม…ฮือ อึก อื้อ…”


 


 


สัมผัสจากปลายนิ้วที่วนเวียนอยู่แถวสะโพก ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาแตะสัมผัสตรงส่วนหน้าอก แผ่นอกนุ่มนิ่มแบนราบเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ยามมันถูกสัมผัส ทำให้เขาเสียวซ่านจนหลุดเสียงครางออกมา


 


 


“อ๊ะ ฮือ! ฮือออ อ๊ะ…อื้ม”


 


 


พอลืมตาขึ้นมอง ก็ได้พบดวงตาที่ปรือปรอยอย่างเลื่อนลอย และท่าทางของซองจูที่กำลังร้องครางออกมาด้วยความหวามไหว ตัวเขาหลงมัวเมาไปกับเหล้าและความปรารถนา จนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ใบหน้าถูกย้อมจนแดงก่ำ กำลังถูกอีกคนกอดเอาไว้ จองอูดึงรั้งร่างกายที่เริ่มอ่อนปวกเปียกของซองจูเข้ามาอย่างรวดเร็ว


 


 


“อื้อ อะ อะไร…อื้อ!”


 


 


ซองจูตกใจจนใจหายใจคว่ำ เมื่อต้นขาของตนเองถูกกระชากเข้าไปเกี่ยวกับช่วงเอวของอีกคน แล้วซองจูจึงได้คว้าต้นคอของเขาเอาไว้ ร่างกายที่ดูเบาลงกว่าที่คิด ทำเอาเขาจิ๊ปากอย่างไม่ชอบใจนัก ซองจูที่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไป จึงได้ขยับถอยห่างออกไป ถึงจะแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่ความจริงแล้วกลับอ่อนแออย่างมาก จองอูรู้สึกว่าซองจูในเวลานั้นช่างดูน่ารักอย่างยิ่ง


 


 


แม้อีกคนจะบอกว่าอย่าทำ แต่กลับชอบที่ถูกบังคับให้ทำและถูกกระทำอย่างรุนแรง แม้เขาจะเคยหนีไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเดินกลับมาด้วยตัวเองเช่นนี้แล้ว ตอนนี้เขาก็ไม่คิดจะปล่อยอีกคนไปอีกแล้ว จองอูแนบประทับจูบแผ่วเบาลงบนปรางแก้มของซองจูที่กอดเขาอยู่ ก่อนจะเดินไปทางห้องนอน


 


 


“ปะ ไปไหน…”


 


 


“เตียง”


 


 


ซองจูเพียงพยักหน้าให้กับคำตอบนั้นอย่างเงียบๆ จองอูที่สังเกตเห็นใบหูที่แดงระเรื่อของซองจู ก็หลุดยิ้มกว้างออกมา เป็นคนที่น่ารักอะไรขนาดนี้นะ


 


 


“ตอนฉันไม่อยู่ นายเป็นยังไงบ้าง”


 


 


ถึงจะรู้ว่าอีกคนใช้ชีวิตเหลวแหลกขนาดไหน แต่ก็ยังแกล้งถามออกมา เขาสงสัยว่าจะมีเรื่องราวหลุดออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นมากแค่ไหน อีกคนยังแกล้งทำดื้อดึง หลบสายตาทำเป็นไม่รับรู้ ทำให้เขาได้แต่เพลิดเพลินกับการจ้องมองแพขนตายาวคู่นั้น


 


 


ดูท่าตัวเขาน่าจะเสียสติไปแล้ว จองอูคิดเช่นนั้น ก่อนจะบรรจงวางร่างของซองจูลงบนเตียง


 


 


“จะไปไหน อย่าไป”


 


 


เมื่อวางซองจูลงนอนแล้ว เขาก็ขยับยกตัวขึ้น ในตอนนั้นอีกคนรีบร้อนคว้าจับแขนของเขาเอาไว้ในทันที ในแววตาที่มองมานั้นอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ จองอูยกยิ้มออกมา พร้อมกับลูบลงบนกลุ่มผมซองจูอย่างแผ่วเบา


 


 


“ไม่หนีหรอกน่า”


 


 


ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน พร้อมกับลูบไล้ลงบนกลุ่มผมของอีกคน ก่อนจะตบเบาๆ ที่แผ่นหลังให้อีกคนได้คลายความกังวล ในตอนนั้นเอง เจ้าตัวจึงได้พึมพำออกมา


 


 


“เชื่อไม่ได้หรอก”


 


 


“มาถึงที่นี่ขนาดนี้ ถ้ายังหนีไปอีก ก็คงเป็นคนเฮงซวยสุดๆ แล้วล่ะ”


 


 


“นายก็เป็นไอ้คนเฮงซวยอยู่แล้วนี่”


 


 


ถึงอยากจะบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาคุยกันบนเตียงแบบนี้ แต่ทว่าจองอูก็ทำเพียงยกยิ้มออกมาเท่านั้น อย่างไรเสียคนที่ทำให้อีกคนไม่เชื่อใจก็เป็นตัวเขาเอง


 


 


“ต้องถอดเสื้อออกไม่ใช่เหรอ”


 


 


“ไม่เกี่ยวสักหน่อย”


 


 


พึมพำออกมาอย่างไม่สมกับเป็นเจ้าตัว จองอูที่แกล้งทำเป็นสู้แรงของซองจูที่ดึงมือเขาไม่ได้ แล้วจึงได้ขยับกายขึ้นมาบนเตียง มองสบตาแววตาสุกใสของซองจู ขณะที่เลิกเสื้อเชิ้ตของเจ้าตัวขึ้นอย่างรีบเร่ง ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล และความต้องการ ผสมปนเปกันอยู่เบื้องหลังแววตาสุกใสคู่นั้น แววตาคู่นั้นกำลังบ่งบอกว่าต้องการเขาแค่ไหน ในวินาทีนั้น มันทำให้จองอูรู้สึกดีอย่างมาก เช่นในตอนนี้ อีกคนดูน่ารักเสียยิ่งกว่าตอนที่ร่างกายนั้นตอบรับเขาอย่างซื่อสัตย์เสียอีก เขาก้มหน้าลงไป ประทับจูบลงบนริมฝีปากของซองจูอีกครั้ง


 


 


“อื้อ…อื้ม”


 


 


อีกคนตอบรับกลับมาด้วยเสียงครางแผ่ว ร่างกายเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง มันกำลังอ้อนวอนขอสิ่งที่มากยิ่งกว่านี้ จองอูสอดมือเข้าไปในเสื้อเชิ้ตของซองจูอย่างช้าๆ ก่อนจะกระชากมันทิ้งไป


 


 


“อื้อ หนาว…อึก!”


 


 


ร่างกายที่ร้อนผ่าว พอได้สัมผัสกับอากาศเย็นภายนอก ก็ทำให้ต้องห่อตัวเข้าหากัน เขากดขยี้ปลายนิ้วลงไปบนตุ่มไต ในตอนนั้นอีกคนถึงกับเชิดหน้าขึ้นด้วยความเสียวซ่าน พร้อมกับหลุดครางเสียงหวานออกมา ซองจูหอบหายใจถี่ ปรือตาจ้องมองไปที่จองอู


 


 


“รีบ…เข้ามา”


 


 


เจ้าตัวอ้าขาออกอย่างเชิญชวน แสดงท่าทางยั่วยวนออกมาอย่างไม่ประสา ขณะที่ส่วนกลางก็เริ่มแข็งขืน จองอูยกยิ้มลามกออกมาพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปาก


 


 


“จะไม่เสียใจใช่ไหม”


 


 


“มะ ไม่เสีย อือ อื้ม! ใจ…ฮึก! อ๊ะ!”

 

 

 


ตอนที่ 4-9

 

ตอนที่ 4-9 ข้ามผ่าน

 


 


 


 


เขาถอดชั้นในที่เป็นปราการสุดท้ายออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าจู่โจมในทันที ซองจูถึงกับหลุดครางเสียงดังออกมา  


 


 


เกี่ยวกระหวัดช่วงสะโพกที่อ้ากว้างอย่างเชิญชวนเอาไว้ พอกดลงไป ช่วงสะโพกก็พลันกระตุกเกร็งในทันที เขาคว้าสะโพกอีกคนเอาไว้ด้วยมือเดียว แล้วใช้อีกมือลูบไล้ลงไปบนช่วงกระดูกไหปลาร้า แตะสัมผัสตรงส่วนที่บุ๋มลึกลงไป พร้อมกับก้มลงดูดดึงซ้ำๆ ซองจูถึงกับกระเด้งสะโพกสวนขึ้นมาอย่างแรงในทันที 


 


 


“ฮือ อือ อึก! อื้อ!” 


 


 


ประทับร่องรอยสีกุหลาบเพื่อแสดงให้รู้ว่าคนอื่นไม่มีสิทธิ์แตะต้องร่างกายนี้ ก่อนจะลากไล้ริมฝีปากลงต่ำเรื่อยๆ ดูดดึงส่วนยอดราวกับจะกลืนกินมัน จนอีกคนหลุดเสียงครางออกมา เนื่องจากความเสียวซ่านแสนทรมานเมื่อครู่ กวาดเรียวลิ้นเค้นคลึงและดูดดึงมันซ้ำๆ ในตอนนั้นเขาขบกัดลงไปตรงส่วนยอดอกที่ถูกปลุกเร้าจนมันตั้งชูชันขึ้นมา 


 


 


“อ๊ะ ฮึก! จะ เจ็บ…อือ อึก อื้อ! อึก!” 


 


 


“เจ็บจริงเหรอ? หืม?” 


 


 


“อ๊ะ อือ อึก! อื้อ! อ๊ะ อื้อ…!” 


 


 


เจ้าตัวไม่หลงเหลือสติพอจะตอบอะไร ได้แต่สะบัดหน้าไปมา นั่นทำให้เขายกยิ้มออกมา  


 


 


“ชอบหรือไม่ชอบกันล่ะ ไหนพูดออกมาให้ชัดๆ สิ” 


 


 


พูดเช่นนั้นออกมาพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งคว้าจับที่ปลายคางของอีกคนเอาไว้ แล้วริมฝีปากของซองจูก็เผยอออกในทันที พอเขาสอดนิ้วเข้าไปนิ้วหนึ่ง อีกคนจึงได้ใช้ลิ้นแลบเลียมันแทบจะทันที ซองจูปรือตาขึ้นมาจ้องมองจองอู ขณะที่ลิ้นก็ยังคงโลมเลียเรียวนิ้วอยู่เช่นนั้น 


 


 


ทั้งสองมองสบกันไปมาราวกับว่าสายตาได้ถูกตรึงเอาไว้ เรียวลิ้นที่ลากไล้โลมเลียไปมาอย่างรักใคร่ ราวกับสิ่งที่โลมเลียอยู่นั้นเป็นอย่างอื่น เจ้าตัวแลบเลียมันอย่างช้าๆ จนเรียวนิ้วชุ่มไปด้วยน้ำลาย ดูดดุนไปมาพร้อมกับส่งเสียงครางกระเส่า จองอูจ้องมองท่าทางเช่นนั้นของซองจู พร้อมกับค่อยๆ ขยับโยกสะโพก ปลุกเร้าส่วนกลางกายของเขา 


 


 


ใบหน้าของซองจูแดงจัดยิ่งขึ้น ขณะที่ลมหายใจของจองอูก็หอบหนักขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


“จ๊วบ…” 


 


 


เสียงดูดดังขึ้นทันทีที่เขาดึงเรียวนิ้วออกมาจากปากของอีกคน จองอูดึงถอนนิ้วออกมาอย่างแรง ก่อนจะโฉบลงไปประกบริมฝีปากของซองจู 


 


 


“อื้อ อื้ม! อึก ฮือ อื้อ!” 


 


 


เสียงครางที่ฟังไม่ได้ศัพท์หลุดออกมาจากริมฝีปากของทั้งคู่ที่โรมรันกันอยู่ พร้อมกับสะโพกที่โยกขยับไปตามแรงอารมณ์ แกนกายที่แข็งชูชันของทั้งคู่เสียดสีกันไปมา จนส่วนปลายเริ่มมีน้ำเยิ้มออกมา และแล้วเสียงเฉอะแฉะจากส่วนล่างก็เริ่มดังออกมาให้ได้ยิน 


 


 


จองอูเลื่อนมือลงไป แล้วกอบกุมส่วนที่เปียกแฉะของซองจูเอาไว้ 


 


 


“ฮึก!” 


 


 


ลิ้นร้อนทำให้เขาหลุดเสียงครางออกมาอย่างไร้สติ แกนกายกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง ด้วยความทรมานจากห้วงอารมณ์ที่ปะทุขึ้น 


 


 


“ฮึก! อื้อ อึก! อ๊ะ ฮือ…อื้อ อึก! อื้ม…” 


 


 


เมื่อได้เห็นท่าทางเลื่อนลอยของซองจูที่อยู่ใต้ร่างตัวเอง จองอูก็พลอยยกยิ้มขึ้นมา เขาไล้ต้อนซองจูต่อด้วยการค่อยๆ เคลื่อนมือลงต่ำไปอีก ช่องทางที่ไม่ได้ถูกสัมผัสมาเนิ่นนาน มันกำลังรอคอยเขาอยู่ 


 


 


“ตอนฉันไม่อยู่ นายเคยสัมผัสมันบ้างไหม” 


 


 


จองอูถามออกมาแบบนั้นพร้อมกับแตะสัมผัสที่ช่องทางด้านหลังของซองจู ที่ที่ไม่เคยเปิดรับให้ใครเข้าไป นอกจากตัวเขา มันกำลังเฝ้ารอคอยเขาอยู่ 


 


 


“นะ นั่นมัน…ฮึก!” 


 


 


คำตอบที่ได้รับไม่ถูกใจเขาสักเท่าไหร่ พอกดแทรกเรียวนิ้วเข้าไปในช่องทางนั้น อีกคนถึงกลับกรีดร้องออกมาในทันที เขากวาดนิ้วสำรวจไปทั่วอย่างใจเย็น เมื่อกดลงไปช่องทางอ่อนนุ่มที่คลายตัวอยู่ก่อนแล้ว เปิดขยายออกอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะลองคิดดูอย่างไร มันก็ดูไม่เหมือนกับส่วนที่ไม่ได้ถูกแตะต้องมาเป็นเวลานาน 


 


 


“สัมผัสมันด้วยเหรอ?” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้ซองจูหลับตาแน่น พร้อมกับเบือนหน้าหนี 


 


 


“แค่นั้นคงไม่ช่วยให้เสร็จสินะ ทำเองเหรอ? ตอนทำนายคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ?” 


 


 


คำถามที่หลุดออกมาเรื่อยๆ ทำให้ซองจูได้แต่สะบัดหน้าไปมา อันที่จริงแล้วเขารู้สึกดีมากๆ เลย ในตอนนี้อีกคนเริ่มเปิดใจกับความรู้สึกของเขาแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมจะพูดมันออกมาอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เลย แต่นั่นแหละที่ทำให้น่าหลงใหล  


 


 


จองอูยกยิ้มออกมา พร้อมกับขยับเรียวนิ้วเบิกช่องทางนั้นออกทีละนิด 


 


 


“อื้อ อื้ม…!” 


 


 


เมื่อซองจูที่บิดเร้าอย่างทรมานลืมตาขึ้นมามองกัน จองอูจึงได้เอ่ยถามออกไปอีกครั้ง 


 


 


“ได้คิดถึงคนอื่นหรือเปล่า? ใคร? คนรักเก่า?” 


 


 


เจ้าตัวส่ายหน้าไปมา เพื่อคัดค้านคำพูดของจองอู 


 


 


“มะ ไม่…อื้อ!” 


 


 


“ใช่ หรือไม่ใช่กันแน่” 


 


 


“มะ ไม่ใช่…! ฮึก อื้อ จะ จองอู ได้โปรด! อ๊า!” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นใครล่ะ ถ้าไม่พูดก็คงต้องทรมานไปเรื่อยๆ” 


 


 


คำพูดที่จงใจกดดันอีกฝ่ายทำให้ซองจูได้แต่เขม้นมองกลับไป ด้วยดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา เขายกยิ้มออกมา พร้อมกับขยับเรียวนิ้วช้าๆ จ้องมองดูซองจูเผยอปากกว้างออกอย่างจนใจ ทั้งยังสั่นสะท้านไปทั้งตัว จองอูสอดนิ้วลึกเข้าไปและค่อยงอปลายนิ้วกดลงไปตรงนั้นบ้างตรงนี้ 


 


 


“ฮึก อื้อ อื้ม อึก…อื้อ อึก! อ๊ะ อื้อ!”  


 


 


การเคลื่อนไหวที่ไปแตะถูกจุดอ่อนไหวทำให้สะโพกของซองจูเริ่มกระตุกเกร็งถี่ขึ้นเรื่อยๆ สะโพกกระตุกไหวพร้อมกับเรียวขาที่อ้ากว้างออก ท่าทางเชิญชวนเช่นนั้นถูกใจเขาเป็นอย่างยิ่ง จองอูสอดนิ้วเพิ่มเข้าไปอีกช้าๆ ช่องทางนั้นเบิกขยายกว้างมากขึ้นไปตามแรงอารมณ์ 


 


 


“ฮือ อื้อ! อื้อ! จะ จองอู…จองอู ได้โปรด…อื้อ!” 


 


 


“ฉันถามว่านายคิดถึงใคร” 


 


 


การเร่งเร้าที่รุนแรงทำให้ซองจูได้แต่หลับตาแน่น ก่อนจะตะโกนกลับไปในทันที 


 


 


“…นาย คิดถึง อื้อ! นาย…อ๊ะ อื้อ!” 


 


 


ทันทีที่ได้ยินคำตอบที่ต้องการ บนใบหน้าของจองอูก็ประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง 


 


 


“ฮึก! ฮือ อื้อ! อ๊ะ อือ…อึก! อ๊ะ อื้ม…” 


 


 


ยิ่งถูกปลุกปั่นรุนแรง เสียงครางก็ยิ่งดังออกมามากขึ้น เขาชื่นชอบสีหน้าของซองจูยามมองมาที่เขา ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเช่นนี้ แม้ปกติจะแสดงท่าทางอวดเก่ง ถือดีขนาดไหน หากเมื่ออยู่กับเขา อีกคนกลับไม่คิดจะปิดกั้นและยังทำท่าอ้อนวอนออกมาอยู่เสมอ จองอูประทับจูบลงบนปรางแก้มของซองจู ก่อนจะเพิ่มนิ้วเข้าไปอีก 


 


 


“อ๊า อื้อ! มะ ไม่! ไม่นะ…ไม่เอา ฮือ อื้อ!” 


 


 


“ไม่เอาอะไร ไม่ทำแบบนี้นายจะเจ็บเอานะ” 


 


 


“มะ ไม่เอา มันแปลก…ฮึก!” 


 


 


“ไม่เห็นจะแปลกเลย” 


 


 


“นาย วันนี้ นิสัย ไม่ดี…ไม่เอา แบบนี้ ฉัน รู้สึก แปลก…ฮือ อื้อ…” 


 


 


อะไรกันที่ว่าแปลก ถึงได้คอยเอาแต่บอกว่าไม่เอาแบบนี้กันนะ เขากดนิ้วลงไปพร้อมกับคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วน แล้วก็ได้พบบางอย่างที่ต่างไปจากปกติ 


 


 


ตำแหน่งไง ตำแหน่งมันต่างไป 


 


 


ปกติเวลาที่มีอะไรกัน จองอูมักจะชอบคร่อมทับด้านหลังของอีกคน เหตุผลก็ไม่ได้พิเศษอะไร เขาแค่ไม่ชอบให้ใครได้เห็นใบหน้าของตัวเองก็เท่านั้น ไม่ชอบให้ใครมองเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้านี้ 


 


 


หากคร่อมทับด้านหน้า เวลาที่ขยับตัวไปมา แผลเป็นบนใบหน้าที่คอยปิดบังเอาไว้ก็จะต้องปรากฏชัดออกมาอย่างแน่นอน หากเป็นการมีเซ็กซ์กับคนอื่นที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้ สิ่งที่น่าอับอายนี้ก็จะถูกเปิดเผยออกมา กับซองจูเองก็เช่นกัน 


 


 


ความสัมพันธ์ที่มีตั้งแต่แรกเริ่ม จนกระทั่งเมื่อเขาหนีไป ระหว่างเขากับซองจูมันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีความชัดเจนอะไรเลย เขาเคยไม่รู้ว่าต่างคนต่างก็มีใจให้กัน และตลอดเวลานั้นจองอูก็ไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจกับการเปิดเผยเรื่องน่าอับอายให้กับซองจู ดังนั้นเวลาได้แนบชิดกัน เขาจึงไม่เคยขึ้นคร่อมด้านบนตัวซองจูเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป 


 


 


แต่ว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว แม้ทุกอย่างจะยังไม่ชัดเจน แต่ซองจูก็รับรู้เรื่องรอยแผลของเขาอยู่แล้ว จองอูพร้อมแล้วที่จะเปิดเผยด้านที่อ่อนแอของตัวเองให้อีกคนได้รับรู้ ไม่จำเป็นจะต้องเก็บซ่อนความรู้สึกกับอีกคน นั้นเป็นสิ่งจองอูพอใจอย่างยิ่ง 


 


 


“รังเกียจที่ต้องมองหน้าฉันงั้นเหรอ” 


 


 


ทันทีที่ถามออกไปแบบนั้น ซองจูก็ปิดปากเงียบ เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกคนนิ่งไป จองอูก็ได้รู้ว่าเขาพลาดไปเสียแล้ว 


 


 


มันไม่ใช่แบบนั้นเลย ไม่จำเป็นต้องถามอะไรที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้น ขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างกังวล ซองจูก็กระซิบที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา 


 


 


“มันไม่ใช่แบบนั้น…” 


 


 


“หา?” 


 


 


เขาเงี่ยหูไปใกล้ๆ โดยไม่รู้ตัว พร้อมถามซ้ำอีกครั้ง ซองจูจึงได้เขม้นมองกลับมาในทันที 


 


 


“…มันน่าอาย!” 


 


 


อีกคนเบือนหน้าหนี พร้อมกับตะคอกเสียงดังออกมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาจองอูถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา ได้ไงเนี่ย อีกคนทำตัวน่ารักอย่างนี้ก็ได้เหรอ เขาหลงลืมเรื่องที่ซักไซ้ไปก่อนหน้านี้ จองอูได้แต่ระเบิดเสียงหัวเราะ ขณะที่คร่อมทับอยู่บนตัวของซองจู 


 


 


“นาย พอเลยนะ…”  


 


 


จองอูจ้องมองไปยังซองจูที่พูดอะไรไม่ออก ขณะที่ใบหูของเจ้าตัวก็ขึ้นสีแดงจัด แล้วจึงได้ค่อยๆ ขยับเคลื่อนมือที่หยุดชะงักไป 


 


 


“ฮึก!” 


 


 


ร่างกายของซองจูตอบรับสัมผัสจากนิ้วเรียวของเขาที่ขยับไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน สัมผัสจากนิ้วที่เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็วอยู่ภายในนั้น ทำให้ซองจูเริ่มกระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ นิ้วเรียวยาวของจองอูที่ขยับเคลื่อนอยู่ในช่องทางแตะสัมผัสไปถูกจุดกระสันอย่างต่อเนื่อง เรียวนิ้วแตะลงไปที่จุดลึกสุด ในเวลาที่มันเฉียดผ่านจุดอ่อนไหว ซองจูก็ได้แต่ร้องครางเสียงดังอย่างไม่อาจขัดขืน พร้อมกับร่างกายที่กระตุกสั่นไปทั้งตัว 


 


 


“อื้อ!” 


 


 


เมื่อเสียงครางนั้นหลุดออกมา จองอูก็ประทับจูบลงไปบนกระดูกไหปลาร้าอย่างแผ่วเบา พร้อมกับดึงนิ้วออกมาอย่างช้าๆ 


 


 


“ฮืออ…” 


 


 


เมื่อสิ่งที่สอดใส่ถูกดึงถอนออกไป ความรู้สึกว่างเปล่าและอารมณ์หวามไหวที่ยังคงค้างอยู่ก็ทำให้เจ้าตัวบิดสะโพกไปมา พร้อมกับหอบหายใจถี่ ก่อนจะรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ใหญ่กว่า ที่แตะสัมผัสมาตรงช่องทางนั้น ทำให้อีกคนเผลอร่อนสะโพกตอบรับโดยสัญชาตญาณ เรียวขาอ้าออกกว้างยิ่งขึ้น พร้อมกับสะโพกที่ยกลอยขึ้นในทันที 


 


 


“อื้อ ไม่ชอบ แบบนี้…” 


 


 


ท่วงทางที่ยังไม่เคยทำมาก่อน เล่นเอาซองจูตกใจจนใจหายใจคว่ำ พร้อมกับปฏิเสธออกมาอีกครั้ง แต่ทว่าจองอูก็ไม่รับฟัง อย่างไรเสียต่อไปก็จะคุ้นชินกับท่าทางนี้ไปเอง เขาคิดเช่นนนั้น พร้อมกับเริ่มกดแทรกตัวตนของตัวเองเข้าไปในตัวของซองจู 


 


 


“ฮึก อื้อ…เจ็บ” 


 


 


อีกคนส่ายหน้าไปมา พร้อมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอจนปริ่มขอบตา จองอูจึงได้ใช้ริมฝีปากจูบซับน้ำตาของอีกคน 


 


 


“เจ็บเหรอ? ฉันก็เบิกทางให้แล้วนี่” 


 


 


ซองจูพยักหน้าให้กับคำถามที่ฟังอ่อนโยนนั่น 


 


 


“นาย มัน…ใหญ่ อื้อ” 


 


 


“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ชินไปเอง” 

 

 

 


ตอนที่ 4-10

 

ตอนที่ 4-10 ข้ามผ่าน

 


 


 


 


หลังจากดันเข้าไปจนสุดลำ เขาก็ไม่ได้เริ่มขยับในทันที เพียงแค่ดึงอีกคนเข้ามากอดไว้ ซองจูที่เริ่มคุ้นชินจึงไม่ค่อยรู้สึกเจ็บแล้ว และก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมาอีก จองอูเฝ้ามองดูซองจูที่ถูกเขากอดเอาไว้ในอ้อมกอด เสียงลมหายในที่แนบชิดและเสียงครางหวานที่หลุดออกมา มันทำให้เขาเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา 


 


 


“ได้อยู่แบบนี้แล้วรู้สึกดีมากเลย” 


 


 


“…แล้วใครล่ะที่หนีไป”     


 


 


กระทั่งเสียงบ่นพึมพำแผ่วเบานี้เขาก็ชอบ จองอูยกยิ้มพรายพร้อมกับยกสะโพกซองจูขึ้นมา 


 


 


“อ๊ะ อึก! นี่! “ 


 


 


“พักพอแล้วใช่ไหม บ่นได้แล้วนี่” 


 


 


จองอูพูดเช่นนั้นออกมาก่อนจะเริ่มขยับสะโพกอย่างช้าๆ  


 


 


“ฮึก อื้ม…อีก แรงอีก” 


 


 


ก่อนหน้านี้ยังบ่นออกมาอย่างโมโหว่าเจ็บอยู่เลย พอถึงเวลาเอาจริง ก็กลับกลายเป็นซองจูที่อ้อนวอนขอให้ทำเสียอย่างนั้น อีกคนใช้สองแขนโอบรัดรอบต้นคอของจองอู แนบร่างกายส่วนบนเข้ามาจนชิด เกาะเกี่ยวเขาเอาไว้เช่นนั้น 


 


 


“อื้อ อึก! อ๊ะ อีกสิ อ๊ะ อ้า ตรงนั้น ตรงนั้น…อ๊ะ ละ ลึก! ฮึก!” 


 


 


เขาสอดตัวเข้าไปสุดจนหน้าขาบดเบียดแนบชิดไปกับก้นของอีกคน กดกระแทกเน้นๆ ไปที่จุดอ่อนไหว จนซองจูร้องออกมาด้วยความเสียวซ่านที่แล่นวาบขึ้นมา จองอูยังคงเน้นกดกระแทกที่จุดนั้นอย่างจงใจสร้างความทรมานพร้อมกับกอดรั้งซองจูเอาไว้ 


 


 


“ฮึก อ๊ะ อื้อ ฮึก…อึก จะ จองอู จองอู คิมจอง อู…” 


 


 


ในเวลานี้แม้แต่สติก็ยังหลุดลอยหายไป ได้แต่ครางเรียกชื่อของเขาออกมาซ้ำๆ ราวกับถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ แววตานั้นเลื่อนลอยและเรียวขาก็ตวัดรัดช่วงเอวเขาไว้ เขารู้สึกดี ยามที่เรียวแขนบอบบางนั่นกอดเกี่ยวอยู่ที่ต้นคอ เขากระแทกสะโพกเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับลูบไล้ลงไปบนแผ่นหลังเนียน ให้ร่างกายเบียดชิดเข้าหากัน ซองจูที่ขยับแนบชิดเข้าหาเขา มันช่างดูน่ารักจนแทบบ้า 


 


 


จากนี้จะไม่ปล่อยไปอีกแล้ว เขาไม่คิดอยากจะหนีไปอีกแล้ว 


 


 


จองอูไม่ติดค้างใจอะไรอีกแล้ว หากไม่ใช่คนๆ นี้ คงไม่มีทางที่ใครจะยอมรับตัวตนเขาได้ถึงขนาดนี้ ปัญหาอีกมากมาย มันก็แค่เรื่องรองลงไปเท่านั้น เขาไม่ได้เชื่อตัวเอง แต่เขาตัดสินที่จะเชื่อในตัวซองจู เพราะฉะนั้นในเวลานี้เพียงแค่มองดูซองจูเกาะเกี่ยวเขาเอาไว้เช่นนี้ มันก็เพียงพอแล้ว จองอูเริ่มเร่งจังหวะในการขยับสะโพกขึ้นไปอีก 


 


 


“อ๊า อื้อ! อ๊ะ ฮึก! อื้อ…อึก จะ จองอู…ดะ ได้โปรด ได้โปรด อื้อ!” 


 


 


เมื่อเขากระแทกกระทั้นเข้าไป ซองจูก็ขบกัดลงมาบนไหล่และต้นคอของเขา พร้อมข่วนลงไป ความต้องการของซองจูที่ระบายออกมาทำให้เขายิ่งเร่งขยับสะโพกไปเรื่อยๆ เขาใช้มือข้างหนึ่งรองรับศีรษะที่โงนเงนของซองจูเอาไว้ พร้อมกับเร่งกระแทกเข้าหาอีกคน ซองจูหวีดเสียงครางด้วยความเสียวซ่าน พร้อมกับครูดเล็บลงมาบนไหล่ของเขา 


 


 


“อึก!” 


 


 


“อ๊า ฮึก อ๊ะ อ๊ะ….อ๊า!” 


 


 


จองอูหายใจหอบออกมา ขณะที่กดกระแทกเข้าไปยังจุดลึกสุดภายในช่องทางของซองจู ร่างทั้งร่างของซองจูกระตุกเกร็ง พร้อมกับศีรษะที่เชิดขึ้นไปด้านหลัง ยิ่งเขาขยับเคลื่อนต่อไป ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงต้นขาที่สั่นสะท้านกับสะโพกที่กระตุกเกร็ง พร้อมกันนั้นน้ำรักก็ไหลออกมา ร่างกายที่ส่งเสียงประท้วงให้กับการออกแรงอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงหวีดร้องที่ดังออกมา คงมีเพียงจิตใจเท่านั้นที่รู้สึกผ่อนคลายยิ่งกว่าเวลาไหนๆ 


 


 


จองอูรั้งร่างกายของซองจูที่แทบไม่รู้สึกตัวเข้ามากอดเอาไว้ ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้าๆ  


 


 


 


 


 


“อือ…” 


 


 


ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วทั้งร่าง เจ้าตัวพยายามปรือตาที่แทบลืมไม่ขึ้นออกมา เมื่อลืมตาได้แล้ว ตรงหน้าเขาก็ปรากฏภาพใบหน้าของจองอูที่กำลังหลับลึก โผล่เข้ามาในสายตา ซองจูเผลอหลุดยิ้มพรายออกมา พร้อมกับจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาอยู่เช่นนั้น 


 


 


ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยาก กับการที่เขานอนหลับอยู่บนเตียงร่วมกับคนอื่นเช่นนี้ เรื่องประหลาด ที่มักจะมีจองอูรวมอยู่ด้วย ในตอนที่มีเพียงความสัมพันธ์ทางกายต่อกัน เขาก็มักจะหลับไป โดยที่ยังมีอีกคนอยู่ด้วยเช่นนี้ 


 


 


ไม่รู้เหมือนกันว่า แบบไหนกันที่เป็นตัวตนของเขา ฮันซองจูที่นอนหลับไปในอ้อมกอดของคนอื่นเป็นตัวจริง หรือคนที่หลับไปเพียงลำพัง อยู่แต่ในโลกของตัวเอง ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงกันแน่ ที่เป็นตัวตนของเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือความสบายใจเพียงเท่านั้น ซองจูยกมือขึ้นมาอย่างเงียบๆ เกลี่ยเส้นผมที่ปิดบังใบหน้าของจองอูไปอีกด้าน ในตอนนั้นเองรอยแผลลึกที่อยู่บนหน้าผากของอีกคนก็ปรากฏสู่สายตา 


 


 


จองอูไม่ยอมให้สัมผัสรอยแผลนี้ แต่ทว่าในครั้งแรกที่ซองจูได้เห็นรอยแผลนี้ เขาไม่เคยคิดว่ามันดูน่ารังเกียจเลยสักนิด เจ้าตัวลูบไล้ไปบนใบหน้าของอีกคนอย่างเงียบๆ ก่อนจะเลื่อนไปสัมผัสรอยแผลเป็นนั้น รอยแผลเป็นนั้นกลับให้ความรู้สึกนุ่มลื่น ไม่หยาบกร้านอย่างที่คิด เขาลากปลายนิ้วสัมผัสไปบนแผลเป็นนั้น ก่อนที่มือของเขาจะถูกคว้าเอาไว้ 


 


 


“โอ๊ย!” 


 


 


จองอูนั่นเอง 


 


 


“ทำไมถึงได้ติดใจกับแผลนี้นัก” 


 


 


อีกคนพึมพำคำพูดที่ไม่ได้ฟังดูตำหนิหรือหงุดหงิดแต่อย่างใดออกมา พร้อมกับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอีกคน ปรากฏเป็นภาพใบหน้าของซองจูเข้าอยู่ในสายตา ซองจูกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากออกมา 


 


 


“ก็แค่เกิดสนใจขึ้นมาเท่านั้นแหละ” 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักหน่อย ทำไมถึงได้สนใจนัก” 


 


 


“ก็มันเป็นเรื่องของนายนี่” 


 


 


เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ จองอูจึงค่อยๆ รั้งร่างของซองจูเข้าหาตัวในทันที 


 


 


“ทุกครั้งที่เห็นแผลนี่” 


 


 


จองอูกอดซองจูเอาไว้ เขาจึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าของอีกคน ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยพูดต่อไป 


 


 


“ช่วงเวลาที่ฉันอ่อนแอที่สุดมันก็จะโผล่ออกมา แล้วฉันก็เกลียดมันมาก พอหลุดพ้นออกมาจากช่วงเวลาแสนทรมานนั่นได้ ฉันก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบๆ แต่พอได้เห็นมัน ฉันก็มักจะได้ยินเสียงกระซิบ ตลอดชีวิตฉันคงไม่สามารถหลุดพ้นจากคนพวกนั้นได้” 


 


 


อีกคนพูดเช่นนั้นออกมา ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ซองจูยื่นแขนออกไป กอดรัดเข้าที่ช่วงเอวของจองอู 


 


 


“นายไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด” 


 


 


“อ่อนแอสิ ถ้าเพียงมีโอกาส ฉันก็คิดแต่จะหนีอยู่เรื่อย” 


 


 


“รู้ตัวด้วยเหรอ?” 


 


 


จองอูหลุดขำให้กับถ้อยคำกล่าวโทษของซองจู หากเขาพูดว่าขอโทษออกไปตอนนี้ คงจะได้ถูกตวาดเสียงดังกลับมาแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ ซองจูที่เห็นท่าทางเช่นนั้นก็มุดตัวซุกเข้าหาอ้อมกอดของจองอู พร้อมกับบ่นพึมพำออกมาแผ่วเบา 


 


 


“การหนีก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีนี่นา” 


 


 


“งั้นเหรอ” 


 


 


จองอูตอบกลับด้วยเสียงอู้อี้ 


 


 


“คิดๆ ดูแล้ว ฉันเองก็เคยเอาแต่หนีเหมือนกัน แกล้งทำเป็นว่าไม่เป็นไร ทำตัวเข้มแข็ง เสแสร้งทำตัวเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ทั้งที่ความจริงแล้ว ฉันมันก็แค่ไอ้คนเส็งเคร็ง แล้วก็อ่อนแอ พอถูกทิ้งก็กลายคนที่ไม่มีดีอะไรเลยก็แค่นั้น” 


 


 


ซองจูพูดออกมาเช่นนั้น ก่อนจะขยับเปลี่ยนท่านอน จองอูที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของซองจูก็รีบคว้าเอวของอีกคนเอาไว้ ไม่อยากให้อีกคนถอยห่างไปแม้เพียงนิด 


 


 


“ไม่หนีหรอกน่า นายนี่มัน คิดว่าฉันจะเหมือนนายเหรอ” 


 


 


ซองจูบ่นออกมา พร้อมหลุดยิ้มให้กับท่าทางเช่นนั้นของจองอู 


 


 


“ฉันอาจจะต้องเสแสร้งอย่างนี้ไปตลอดชีวิต เพราะภาพลักษณ์ที่เคยสร้างไว้ มันใหญ่เกินกว่าที่จะทิ้งมันไป” 


 


 


“อื้อ” 


 


 


“ต่อหน้าคนอื่นฉันเป็นคนดี เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ แต่กับคนรอบตัวแล้ว ฉันมันก็แค่คนที่ไม่มีดีอะไรและจิตใจคับแคบคนนึง” 


 


 


“อื้อ” 


 


 


“เลิกทำเสียง อื้อ นั่นสักทีเถอะ!” 


 


 


ถึงซองจูจะตอบรับด้วยการระเบิดความโมโหออกมา แต่จองอูก็ไม่ได้มีท่าทีอื่นใด เขาจึงได้แต่ปล่อยให้เป็นไปแบบนั้น วันข้างหน้าก็คงจะเข้าใจได้เองนั่นล่แหละ 


 


 


“อื้อ” 


 


 


แล้วอีกคนก็ยังคงตอบกลับมาเช่นเดิม ซองจูได้แต่ถอนหายใจกับท่าทางที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแบบนั้น 


 


 


“ยังไงก็ช่าง ถึงฉันจะโมโหใส่นาย ทำตัวไม่ดีกับนาย ก็ห้ามเสียใจล่ะ ถ้าไม่ใช่นาย ฉันก็ไม่ทำแบบนั้นหรอกนะ” 


 


 


“รู้แล้ว” 


 


 


“เพราะฉะนั้นถึงจะบอกว่าเกลียด ก็ห้ามหนีไปอีกเด็ดขาด” 


 


 


 “อื้อ” 


 


 


“ให้ทำตัวปกติ มันคงเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับฉัน ฉันไม่เคยแยกแยะถูกผิดอะไรได้ เพราะฉะนั้น คงทำให้นายเจ็บหนักแน่” 


 


 


“ไม่เป็นไร ฉันเองก็ไม่ต่างกันหรอก” 


 


 


จองอูตอบกลับถ้อยคำแก้ตัวอย่างเอาเป็นเอาตายของซองจูทีละข้อทีละข้อ ถึงมันจะห้วนไปหน่อย แต่ซองจูก็รู้ดีว่าคำพูดพวกนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจของอีกคน 


 


 


คนทั้งสองที่ไม่เคยมีชีวิตอย่างปกติทั่วไป พวกเขาใช้ชีวิตภายใต้ตัวตนที่ไร้ชีวิต เพื่อซ่อนตัวตนที่อ่อนแอเอาไว้ ในที่สุดก็ได้เปิดเผยตัวตนที่อ่อนแอออกมาให้กันและกันได้เห็นเป็นครั้งแรก เพียงเท่านั้นก็นับเป็นการพบเจอที่น่ายินดีอย่างที่สุดแล้ว 


 


 


ในอนาคตไม่รู้ว่ามันจะเกิดเรื่องที่ทำให้ต้องหนีไปอีกหรือไม่ อาจเกิดเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้ขึ้นก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าหากได้แบ่งปันช่วงเวลาร่วมกัน ถ้าหากได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน มันก็คงจะไม่เป็นไร จองอูคิดเช่นนั้น ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนกระหม่อมของซองจูอย่างอ่อนโยน 


 


 


ถึงตอนนี้ความมืดจะเริ่มปกคลุมไปทั่วห้อง แต่เขาก็คุ้นเคยกับมันดี 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม