(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 3

 ตอนที่ 3-1

 

ตอนที่ 3-1 ความสับสน

 


 


 


 


“คิมจองอูติดต่อมาบ้างหรือยัง?” 


 


 


“ซองจู” 


 


 


“แค่บอกมาว่า ติดต่อมาแล้ว หรือยังไม่ติดต่อมา?” 


 


 


“ไม่ได้ติดต่อมา ขอร้องล่ะนะ มีสติหน่อย มันเรื่องอะไรกันแน่? กับจองอูน่ะมีเรื่องอะไรกันแน่? ตอนนี้นายดูไม่เหมือนตัวนายเองเลยรู้ไหม?” 


 


 


“เงียบซะ หยุดพล่าม แล้วบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไอ้บ้านั่นอยู่ไหน!” 


 


 


ดงฮยอนดึงโทรศัพท์ออกห่างตัวครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา 


 


 


จองอูหายตัวไปได้เดือนหนึ่งแล้ว หลังจากวันนั้นแล้ว ภาพรองเท้าผ้าใบคู่เก่าของจองอู ที่เคยวางระเกะระกะอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องของซองจูก็ไม่เคยปรากฎขึ้นมาอีกเลย 


 


 


ยิ่งวันเวลาที่จองอูไม่ยอมปรากฏตัวออกมานั้นยาวนานมากเท่าไหร่ สภาพของซองจูก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปเช่นกัน หลังจากที่กลายเป็นดารา เขาก็มักใช้มันเป็นข้ออ้างว่าต้องคอยดูแลตัวเอง จึงได้ห่างจากเหล้าและบุหรี่ แต่ตอนนี้เขาเริ่มกลับมาแตะต้องมันอีกครั้ง แม้ว่าด้วยอาชีพดาราจะทำให้เขาต้องคอยรักษาชื่อเสียงและมักตกเป็นเป้าสายตาอยู่ตลอด ทำให้เขาไม่มีโอกาสเดินออกไปซื้อของพวกนั้นด้วยมือของตัวเองได้ แต่ว่าหากไม่ยอมซื้อมาให้แล้วล่ะก็ เขาก็จะใช้ความโหดร้ายทั้งหมดที่มี ทำให้มินซิกต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้ม 


 


 


ในตอนแรก เขาพยายามถามหาร่องรอยของจองอูราวกับคนบ้า ในตอนนั้น เขาคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร หากบอกให้รอ เขาก็จะรอ แม้จะสบถออกมาด้วยความกังวล แต่เขาก็ยังมีสติครบถ้วน แต่ว่ายิ่งจองอูหายไปนานเท่าไหร่ ซองจูก็ยิ่งสติหลุดมากขึ้นเท่านั้น นิสัยชอบกัดเล็บนิ้วหัวแม่มือที่เข้าใจว่าหายไปตั้งแต่โตขึ้น กลายเป็นว่าตอนนี้เพิ่มขึ้นมาเป็นนิ้วทั้งสิบ อาการกระตุกเกร็งที่เริ่มตั้งแต่คางลามไปทั้งตัว ทำให้เขาสั่นเทาจนดูเหมือนคนติดยา และกำลังอยากยาอย่างมาก รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่มันก็ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติไม่ได้เลย พอเมาเหล้า เขาก็จะด่าทอออกมา ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะเรื่องของจองอูคนเดียว 


 


 


เมื่อพฤติกรรมผิดปกติของซองจูหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ สิ่งแรกสุดที่ดงฮยอนทำก็คือการเปลี่ยนผู้จัดการของซองจู เขาสั่งย้ายมินซิกไปดูแลศิลปินคนอื่นแทน 


 


 


คิดไม่ถึงว่า กลับเป็นมินซิกที่คัดค้านการกระทำนั้นของดงฮยอน ด้วยไม่สามารถทิ้งซองจูที่มีสภาพแบบนั้นไปได้ และบอกว่าตัวเองจะดูแลซองจูต่อไป แต่ว่าดงฮยอนไม่ยอมรับฟังคำพูดพวกนั้น และยังประกาศว่าจะเป็นคนดูแลซองจูด้วยตัวเองไปสักระยะหนึ่ง สุดท้าย เมื่อมินซิกได้รับคำตอบที่แน่ชัดว่าหากซองจูมีสภาพที่ดีขึ้นมาเมื่อไหร่ จะเรียกตัวให้กลับมารับหน้าที่เดิม เจ้าตัวจึงได้ยอมถอยจากตำแหน่งผู้จัดการของซองจูไป 


 


 


“ก็กำลังตามหาอยู่ ช่วยทนอีกหน่อยได้ไหมล่ะ? แล้วก็หยุดดื่มเหล้าได้แล้ว ขนาดในโทรศัพท์ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นเหล้าเลย นายทำแบบนี้จะทำให้กลายเป็นคนติดเหล้านะ หืม?” 


 


 


“หนวกหูน่า! เรื่องพวกนั้นผมรู้อยู่แล้ว พี่แค่พาไอ้บ้านั่นมา ขอร้องล่ะ ผมขอร้อง…” 


 


 


ท้ายเสียงของซองจูนั้นสั่นเครือ พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ที่เล็ดลอดออกมา ดงฮยอนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่พรูลมหายเฮือกใหญ่ออกมา 


 


 


พฤติกรรมแปลกประหลาดของซองจูและการอ้อนวอนขอร้องที่นานๆ ทีจะหลุดออกมา เมื่อลองเอามารวมกันแล้ว ดงฮยอนก็ได้ข้อสรุปว่าเจ้าพวกนี้ต่างคนคงจะต่างก็ตกหลุมรักกันไปแล้ว 


 


 


ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ เขาไม่เคยคิดฝันว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น จองอูที่ไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษแบบนั้น การจะมอบหัวใจให้ใครสักคน ทำไมคนๆ นั้นถึงได้เป็นฮันซองจู นั่นเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมากแล้วซองจูที่เขาเคยคิดว่านอกจากเซจอง ตลอดชีวิตคงไม่อาจยอมรับใครไว้ในอ้อมกอดได้อีกแล้ว กลับมาตกหลุมรักจองอูแบบนี้ มันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย 


 


 


ทั้งสองคนคือคนที่ดงฮยอนรักเหมือนเป็นคนในครอบครัว ไม่สิ ไม่ว่าจะมุมไหนมันก็ถูกแล้วที่เขาต้องใส่ใจเจ้าพวกนี้มากยิ่งกว่าครอบครัวเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าเรื่องที่ทั้งคู่คบกัน มันก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้ คนที่ไม่มีความแน่นอนอะไรเลยสองคน ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ กลับผูกพันกันมากขนาดนี้ หากคิดว่ามันเป็นผลดีกับทั้งคู่ มันก็ยิ่งต้องเป็นอย่างนั้น เหนือสิ่งอื่นใด หากเพียงมองจากสถานการณ์ในตอนนี้ จองอูที่หนีไป และซองจูที่แหลกสลาย ดงฮยอนคิดว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าความคิดของเขาแล้ว ดงฮยอนจึงเอ่ยปากด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ 


 


 


“ฉันกำลังตามหาอยู่ นายก็ช่วยรออยู่เงียบๆ เถอะนะ แล้วก็หยุดดื่มเสียที เข้าใจไหม?” 


 


 


ทว่ากลับไม่มีการตอบรับกลับมา ดงฮยอนจ้องมองโทรศัพท์ที่มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นดังออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแตะลงไปบนปุ่มยกเลิกการโทร แล้วถูหน้าด้วยมือทั้งสองข้างอย่างแรง 


 


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ซองจูที่ไม่รู้กระทั่งว่าโทรศัพท์ได้ถูกตัดสายไปแล้ว และยังคงปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาเป็นสาย โทรศัพท์ที่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก ถูกกำเอาไว้ในมือแน่น ทั้งยังจ้องมองทะลุผ่านม่านน้ำตาเลยผ่านห้องนั่งเล่นไปยังทิศทางของประตูหน้าห้องอยู่เช่นนั้น 


 


 


หลังจากที่จองอูหายไป ซองจูก็ได้ตระหนักว่าอีกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว หลังจากที่เลิกรากับเซจองแล้ว ตัวเขาที่เหมือนมีบางส่วนขาดหายไปก็ได้จองอูเป็นคนมาเติมเต็มมัน พอจู่ๆ อีกคนกลับหายไป ก็ทำให้ซองจูพังทลายลงอย่างรวดเร็ว แม้จะกลับมาดื่มเหล้าที่เคยเลิกดื่มไป แม้จะเติมเต็มหัวใจที่ขาดหายด้วยบุหรี่ แต่หัวใจที่เป็นแผลฉกรรจ์กลับไม่มีทีท่าจะเติมเต็มกลับมาเลยแม้แต่น้อย กลับกันมันกลับยิ่งปวดร้าวมากขึ้น 


 


 


เขามารู้สึกตัวเมื่อมันสายเกินไปแล้ว ซองจูไม่รู้ต้องทำอย่างไรกับความรู้สึกสูญเสียที่เพิ่งได้รับเป็นครั้งแรก เขาได้แต่ปล่อยให้ตัวเองพังทลายลงอย่างหมดหนทาง 


 


 


แม้อยากตามหาจองอู แต่เพราะอีกคนไม่เหลือเบาะแสอะไรไว้เลย เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างน้อยหากรู้เบอร์ติดต่อ เรื่องราวมันจะต่างไปจากเดิมหรือเปล่า แต่ว่าจากคำพูดของดงฮยอนอีกคนยกเลิกเบอร์ไปแล้ว ทำให้เขาได้แต่ผิดหวังอีกครั้ง วันแล้ววันเล่าที่เขาใช้ชีวิตจมอยู่กับเหล้า นานมากแล้วที่ซองจูไม่ได้พึ่งพาการดื่มจนเมาเพื่อให้ตัวเองนอนหลับได้ เขานั่งอยู่ที่ขอบเตียงขยุ้มหัวตัวเองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเขานึกบางออกมาได้ 


 


 


ฮันซองฮี น้องชายของเขา ฮันซองฮีต้องรู้จักคิมจองอูแน่นอน 


 


 


หากเชิญมาร่วมงานแต่งงานขนาดนั้น แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่แค่การรู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น สีหน้าของซองจูพลันสดใสขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว น้องชายที่ไม่เคยมีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขาเลย ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ เมื่อตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ซองจูก็ผุดลุกขึ้นมา แล้วจึงคว้าโทรศัพท์มาต่อสายหาอีกคนในทันที 


 


 


“ว่าไง มีเรื่องอะไรล่ะ” 


 


 


อีกฝ่ายรับโทรศัพท์เร็วกว่าที่คิดเสียอีก 


 


 


แน่นอนว่ามันเป็นการโทรหาอีกคนโดยที่ยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย หากเป็นเวลานี้ ปกติแล้วมันเป็นเวลาที่ซองฮีจะรวมตัวอยู่กับสมาชิกในวงที่ห้องซ้อม ตอนนี้ก็เช่นกัน เขาได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากอีกฟากของโทรศัพท์ ซองจูเค้นเสียงที่แหบแห้งจากการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ พยายามส่งเสียงคำรามขู่ออกไป 


 


 


“ตอนนี้นายอยู่ไหน” 


 


 


“อยู่ไหนอะไร ห้องซ้อมน่ะสิ ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะโทรมา นี่คิดจะส่งเสียงมาให้ตกใจรึไง? นอกจากบ้านแล้ว นายก็รู้นี่ว่าฉันจะไปไหนได้ นายคิดจะทำอะไรถึงโทรมาเวลานี้?” 


 


 


ซองฮีโต้กลับด้วยการถามว่าเขากำลังทำเรื่องบ้าอะไร แต่ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับอีกคน ซองจูที่กำลังจะเอ่ยปากออกไปว่าเขาจะไปหาให้รออยู่ก่อนก็ถึงกับต้องหยุดชะงักไป เมื่อนึกได้ว่าไม่นานมานี้ซองฮีจัดการกับห้องซ้อมเดิมที่ใช้มานานแล้ว ก่อนจะย้ายไปที่ใหม่ เขาจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา 


 


 


“พูดมาก รีบบอกที่อยู่ห้องซ้อมนายมาเดี๋ยวนี้” 


 


 


“หา? นี่ อะไรของนายเนี่ย? บ้าไปแล้วเหรอ? นายจะมาที่นี่เนี่ยนะ? ตอนที่พวกนั้นมันอยู่กันครบหมดแบบนี้เนี่ยนะ?” 


 


 


“เลิกพล่ามสักที แล้วส่งที่อยู่มาทางข้อความนะ จะได้เอาไปใส่ในจีพีเอส” 


 


 


ซองจูทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะตัดสายไป ซองฮีได้แต่จ้องมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปด้วยสีหน้างุนงงอย่างที่สุด เซจุนที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมวงและเพื่อนสนิทของเขาจึงมองมาทางเขา แล้วค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ 


 


 


“อะไรเหรอ มีเรื่องอะไรรึไง?” 


 


 


อีกคนยื่นหน้ามาดู ก็เห็นเพียงโทรศัพท์ที่หน้าจอดับไปแล้ว หน้าจอที่มืดสนิทก็เหมือนกับใจของซองฮีที่ดำมืดอยู่ตอนนี้ ซองฮีตอบคำถามของเซจุนกลับไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า 


 


 


“เปล่า พี่น่ะ…” 


 


 


เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ใบหน้าดูดีของเซจุนก็ปรากฏความยุ่งยากออกมา 


 


 


“พี่? พี่ซองจู? นี่ อะไรเนี่ย ทำไมไอ้พี่นั่นถึงโทรมาหานายก่อนได้ล่ะ? นายไปทำอะไรผิดไว้รึไง?” 


 


 


“เปล่า จู่ๆ ก็โทรมาถามว่าอยู่ที่ไหน สั่งให้ฉันส่งที่อยู่ห้องซ้อมไปให้ แล้วก็วางสายไปเลย”  


 


 


เซจุนที่เห็นซองฮียังคงเอาแต่จ้องมองไปที่โทรศัพท์ด้วยสีหน้ามึนงงอยู่เช่นนั้น ก็พลอยมีสีหน้ากังวลตามไปด้วย 


 


 


“ที่อยู่ห้องซ้อม…? จะรู้ไปทำไมกัน?”  


 


 


ซองฮุนหัวหน้าวงผู้เป็นดังศูนย์กลางของวงขมวดคิ้วมุ่น ขณะจ้องมองไปที่อีกสองคนซึ่งมีสีหน้าวุ่นวายใจ ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา 


 


 


“ส่งที่อยู่ห้องซ้อมไปซะ ก่อนมันจะเป็นปัญหามากกว่าเดิม” 


 


 


ซองฮีที่ได้ยินประโยคนั้น ก็ค่อยๆ หันหน้าไปหาซองฮุน 


 


 


“ส่งที่อยู่ไปให้แบบนั้น ไม่คิดว่ามันอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งกว่าเดิมรึไง?” 


 


 


“พี่นายเหมือนคนปกติรึไง จะส่งให้หรือไม่ส่งให้ คนพาลยังไงก็เป็นคนพาลอยู่วันยังค่ำ ฉะนั้นก็รีบๆ ส่งไปซะยังจะดีกว่า” 


 


 


“ที่ซองฮุนพูดก็ถูกนะ…ส่งที่อยู่ไปให้อาจจะยังพอช่วยลดความเสียหายได้บ้างนิดหน่อย ดีกว่าไม่ส่งไปให้แล้วกลายเป็นสงครามแทน” 


 


 


แม้แต่เซจุนก็ยังพูดแบบนั้น มันก็คงไม่มีทางเลือกอื่น ซองฮีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะกดส่งที่อยู่ไปให้ แล้วจึงโยนโทรศัพท์ไปตรงซอกโซฟา ราวกับจับต้องโดนของแสลงเข้าให้ 


 


 


“เวรจริงๆ วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มันต้องเป็นอะไรที่เลวร้ายสุดๆ” 


 


 


เขาพึมพำออกมาเช่นนั้น ก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาไปทั้งอย่างนั้น เซจุนและซองฮุนมองท่าทางแบบนั้นของซองฮีด้วยความสงสาร แต่สีหน้าของทั้งคู่ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ากันนัก 


 


 


“ให้หลบออกไปก่อนไหม รู้สึกขนลุกขึ้นมายังไงก็ไม่รู้” 


 


 


เซจุนขยุ้มหัวตัวเองที่เริ่มจะปวดหนึบๆ ขึ้นมาแล้ว พร้อมกับเอ่ยถามซองฮี 


 


 


กว่าสิบปีแล้วที่เป็นเพื่อนกับซองฮีมา สำหรับพวกเขา ซองจูที่น่าขนลุกนั่นไม่ใช่มนุษย์ปกติทั่วไป ในสายตาของพวกเขาที่ได้ฟังน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียว แล้วยังยังรอดมาได้ มันช่างดูหนักหนามากเกินกว่าพี่น้องทั่วๆ ไป ก็นับว่ายังโชคดีที่ตอนนี้สองแฝดนรกแห่งวงคราฟท์อย่างฮยอนจินและแฮจินไม่อยู่ด้วย ถ้ามีพวกที่เหมือนอยู่ในมิติที่แปดนั่นอยู่ด้วยล่ะก็ ยากจะจินตนาการได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นตอนที่ซองจูบุกเข้ามา เซจุนและซองฮุนที่กำลังหมกมุ่นกับการคาดเดาเรื่องที่จะเกิด กลับได้รับคำตอบที่คาดไม่ถึงกลับมา 


 


 


“ไม่ต้อง ช่างเถอะ ถ้าพวกนายอยู่มันก็คงรุนแรงน้อยหน่อย” 


 


 


“…นายเชื่อใจพี่ชายตัวเองเหรอ?” 


 


 


ซองฮีเองก็ไม่สามารถตอบอะไรได้กับคำถามที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเซจุน ในความคิดของเขา ฮันซองจูที่ขาดสติเสียขนาดนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น 


 


 


“โธ่เว้ย มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ ไม่เคยติดต่อมากะทันหัน ไม่เคยแสดงท่าทีจะบุกมาที่นี่ ช่วงนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่? ได้เจอกันก็แค่ตอนที่นัดรวมครอบครัวเมื่อเดือนที่แล้วเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่ออะไรเลยนี่หว่า” 


 


 


ซองฮีขยุ้มหัวตัวเอง พร้อมกับพยายามคิดอย่างถี่ถ้วนว่าตัวเองไปทำความผิดอะไร เซจุนกับซองฮุนที่เคยมองดูด้วยความสงสาร ตอนนี้กลับเคลื่อนไหวไปมากันอย่างวุ่นวาย เริ่มจัดการย้ายอุปกรณ์ในห้องซ้อม 


 


 


“พวกนายทำอะไร” 


 


 


ซองฮุนทำหน้าหาเรื่องไปทางซองฮีที่จ้องมองเพื่อนอยู่สักครู่ ก่อนเอ่ยปากดุอีกคนด้วยเสียงดัง 


 


 


“พี่นายกำลังหัวร้อนแบบนั้น อาจจะทำลายอุปกรณ์ของพวกเราก็ได้นี่ ฉะนั้นต้องจัดการเก็บกวาดซะก่อน ถ้ายังมีสำนึกอยู่บ้างก็เลิกขยำหัวตัวเองแล้วรีบมาช่วยกันซะ” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้ซองฮีโซเซลุกขึ้นมา เริ่มต้นจัดการกับกีต้าร์ที่โยนทิ้งไว้บนโซฟาและขาตั้งสำหรับวางโน้ตอย่างลวกๆ  

 

 

 


ตอนที่ 3-2

 

ตอนที่ 3-2 ความสับสน

 


 


 


 


พวกเขาเพิ่งจะจัดการสะสางและโยกย้ายห้องซ้อมจากห้องชั้นใต้ดินของบ้านที่เคยใช้เป็นที่ฝึกซ้อม มายังที่นี่ รวมไปถึงห้องอัดที่เป็นห้องเก็บเสียงนั่นก็เพิ่งทำขึ้นมาใหม่ได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น หากเพราะอาการคลุ้มคลั่งของซองจูทำให้เกิดความเสียหายกับสิ่งที่พวกเขาหามาอย่างยากลำบาก พวกเพื่อนๆ คงไม่ยืนดูอยู่เฉยๆ แน่ 


 


 


ทั้งสามคนใช้เวลาจัดการเก็บอุปกรณ์และเครื่องดนตรีที่อยู่รอบๆ โซฟาอยู่ครู่หนึ่ง เอามันไปซ่อนในมุมหนึ่งของห้องอัด รวมไปถึงเก็บพวกของมีคมหรือของจำพวกปากกาทั้งหลายจนเสร็จ ในตอนที่กำลังพักเหนื่อยอยู่นั้น เสียงกริ่งของห้องซ้อมที่ถูกกดรัวอย่างรีบร้อนก็ดังขึ้น 


 


 


กริ๊ง กริ๊ง กริ๊งงงงงงงงงง 


 


 


“บ้าไปแล้ว ดูท่าคงมาถึงแล้วสินะ” 


 


 


จากคังนัมมาถึงฮงแดได้รวดเร็วขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าต้องเหยียบคันเร่งมิดขนาดไหน แม้จะกังวลว่าคงจะไม่ได้ถูกปรับ แต่เสียงกริ่งที่ดังต่อเนื่องอย่างไร้ความเกรงใจนั่นไม่มีทางที่จะดังขึ้นมาเองได้ เสียงกริ่งนั่นทำให้บรรยากาศในห้องซ้อมเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที ซองฮีเก็บสีหน้าก่อนจะเดินไปที่ประตูหน้า รู้สึกเหมือนกับมันกำลังจะเกิดสงครามขึ้น 


 


 


 


 


 


“…ถ้าไม่สะดวกให้พวกเราออกไปก่อนดีไหมครับ?” 


 


 


“ไม่ ไม่ต้อง” 


 


 


ซองจูดูสงบกว่าที่คิด เขาเข้าไปนั่งบนโซฟาที่จัดเตรียมไว้ด้านหนึ่งของห้องด้วยสีหน้าหมองหมุ่น เซจุนสังเกตซองจูที่เป็นแบบนั้นอยู่ตลอด จึงเอ่ยปากออกมาอย่างจริงใจว่าจะหลบออกไปก่อน แต่ทว่ากลับโดนลงดาบด้วยการถูกปฏิเสธ เซจุนที่มีสีหน้าลำบากใจยื่นขวดน้ำส้มไปทางซองจูพร้อมกับฉีกยิ้มออกมา 


 


 


“ขับรถมาเหนื่อยๆ ดื่มสักหน่อยนะครับ” 


 


 


สมกับเป็นบุคคลผู้มีเซ้นส์ของคราฟท์ รับหน้าที่ในการต่อบทสนทนาต่อไป แต่ว่าซองจูกลับไม่สนใจเครื่องดื่มเลยสักนิด สายตาคอยจ้องไปยังซองฮีที่นั่งนิ่งอยู่ตรงหน้า 


 


 


“คิมจองอู” 


 


 


ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของซองจูทำเอาคนที่รวมกันอยู่ในห้องซ้อมตะโกนร้องอุทานออกมาด้วยเสียงประหลาด 


 


 


“เอ๋?” 


 


 


“หืม” 


 


 


“หา? นายรู้จักหมอนั่นได้ไง?” 


 


 


คนที่ตกใจที่สุดก็คือซองฮี ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้ยินชื่อนี้ที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากปากของซองจูได้ ซองฮีค่อยๆ กวาดสายตามองสำรวจซองจูที่มีสภาพยับเยินด้วยสีหน้าตกตะลึง 


 


 


จู่ๆ ก็มาขอที่อยู่ของห้องซ้อม แต่กลายเป็นว่าคนที่มาหาเขา ไม่ใช่พี่ชายในแบบที่เขาเคยเห็นมาก่อนเลยสักนิด 


 


 


พี่ชายที่มักจะรักษาภาพลักษณ์ตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง สภาพคนตรงหน้าที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและใบหน้าซีดเซียว ถ้าแม่ได้มาเห็นสภาพนี้เข้า มีหวังคงได้เป็นลมล้มตึงไปแน่ๆ เรื่องนั้นว่าน่าตกใจมากแล้ว แต่ชื่อของคนที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกมาจากปากของอีกคนได้เนี่ยสิ ไม่รู้เลยว่าจะต้องตีความมันว่าอย่างไรดี ซองฮีขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับเอ่ยถามซองจู 


 


 


“หมายถึงเลซี่ใช่ไหม? นายรู้จักจองอูได้ยังไง?” 


 


 


“จะเลซี่หรืออะไร ฉันไม่รู้หรอก คิมจองอูอยู่ที่ไหน นายรู้ใช่ไหม” 


 


 


ซองฮีถึงกับหมดแรงกับสิ่งที่ออกมาจากปากของซองจู 


 


 


ตามหาจองอู แต่กลับไม่รู้จักนามแฝงของเจ้านั่น มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ และเพราะตัวเขาเอง ซองจูถึงได้เหมารวมพาลเกลียดพวกที่ทำงานด้านดนตรี แต่นี่ซองจูกลับมาหาเขาเพื่อถามหาจองอู มันยิ่งชวนให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่ ซองฮีกังวลว่าซองจูคงไม่ได้ตามหาจองอูเพื่อจะไปก่อกวนหรอกนะ เขากลืนน้ำลายอย่างใจเย็นก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง 


 


 


“นั่นล่ะ คนที่นายตามหาก็คือเลซี่ ไม่สิ คิมจองอูใช่ไหม คิมจองอูที่แต่งเพลงนั่นน่ะ” 


 


 


“ไอ้บ้าเอ๊ย เลิกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้สักที! ไอ้บ้านั่นอยู่ไหน นายซ่อนมันเอาไว้ใช่ไหม? หา? ไอ้บ้านั่นมันทำอะไรอยู่ที่ไหนกันแน่วะ” 


 


 


สุดท้ายซองจูก็หมดความอดทนกับการถูกซักไซ้ซ้ำๆ จึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมา เพราะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ ซองจูจึงพุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อของซองฮีอย่างเหลืออด สภาพของซองจูดูแทบไม่เหมือนคนเลยด้วยซ้ำ 


 


 


ดวงตาทั้งคู่ของซองจูแดงก่ำด้วยเลือดที่คั่งอยู่ พาลทำให้สีหน้าซองฮีเต็มไปด้วยความตกใจ จนไม่ทันได้หยุดยั้งอีกคนที่พุ่งมาคว้าคอเสื้อ 


 


 


ซองจูที่ได้เห็นในระยะใกล้ สภาพดูเลวร้ายอย่างมาก ใบหน้าที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่จนมีไรหนวดขึ้นประปราย ริมฝีปากแห้งแตกมีรอยเลือดติดอยู่ ทุกครั้งที่อีกฝ่ายแผดเสียงตะโกนออกมา มันทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่ นั่นยิ่งทำให้ซองฮีงุนงงมากขึ้นไปอีก 


 


 


พี่ชายของเขาที่ไม่ชอบให้ตัวเองดูน่าเกลียดเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ทั้งยังดื่มเหล้าเฉพาะเมื่อสถานการณ์มันยากจะปฏิเสธเท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จะมีกลิ่นเหล้าหึ่งออกมาทั้งที่ยังเป็นเวลากลางวันแบบนี้ แล้วยังบุหรี่อีก ซองฮีจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นฮันซองจูคาบบุหรี่ก็คือเมื่อห้าปีที่แล้ว มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่ชายของเขากันแน่ ซองฮีที่ประหม่าจนทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามออกมา เซจุนที่ทนเฉยไม่ไหวจึงได้พรวดพราดเข้ามาแทน 


 


 


“พี่ครับ ปล่อยมือแล้วมาคุยกันดีๆ ดีกว่านะครับ ซองฮีตกใจจนพูดอะไรไม่ออกแล้วนะครับ” 


 


 


“นายจะทำอะไร ยังไม่เอามือออกไปอีก?” 


 


 


“โธ่ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะครับ มาเจรจากันอย่างสันติเถอะ เราไม่ใช่วัยที่ต้องลงไม้ลงมือกันแล้วนะครับ ไปรู้จักกับเลซี่ได้ยังกันครับพี่” 


 


 


เซจุนเป็นคนที่มีลักษณะเฉพาะ เมื่อเขายิ้มกว้างกลับช่วยยับยั้งซองจูได้ แม้ว่ามันจะดูเจ้าเล่ห์ไปสักหน่อย แต่เจ้านั่นก็ทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจได้ ซองจูเองก็จัดลำดับเซจุนเอาไว้ค่อนข้างดีเลย เพราะฉะนั้นท่าทางที่โมโหร้ายแบบนั้นของซองจูถึงได้ลดลงเล็กน้อย 


 


 


“ฉันไม่รู้ชื่ออื่นหรอกนะ พวกนายรู้จักหมอนั่นใช่ไหม ถึงขนาดเชิญหมอนั่นไปงานแต่งงานด้วย แน่นอนว่าต้องสนิทกัน บอกหน่อยได้ไหมว่าไอ้บ้านั่นอยู่ที่ไหน” 


 


 


ซองจูอ้อนวอนกับเซจุน ทั้งที่ยังคงจับคอเสื้อของซองฮีอยู่อย่างนั้น มือนั้นกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง ซองฮุนที่พอจะเข้าใจเรื่องราวนั้นแล้ว จึงเอื้อมไปจับมือของซองจูเอาไว้ด้วยสีหน้าเย็นชาเฉพาะตัว 


 


 


“ปล่อยมือแล้วค่อยคุยกันครับ” 


 


 


คำพูดที่แข็งกร้าวนั่นทำให้หางตาของซองจูกระตุกขึ้นมา แต่ทว่ากลับไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไรเป็นพิเศษอย่างที่คิด ทันทีที่ซองฮุนดึงมือนั้นออกมา มือทั้งสองข้างของซองจูก็ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง 


 


 


“ขอร้องล่ะ พวกนายช่วยบอกที…” 


 


 


เจ้าตัวอ้อนวอนออกมาด้วยน้ำเสียงโรยแรง ทำให้สีหน้าของทั้งสามคนถึงกับเปลี่ยนเป็นลำบากใจขึ้นมา พวกนั้นเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าจองอูได้หายตัวไป 


 


 


คิมจองอูที่ใช้นามแฝงว่าเลซี่ในการทำงาน แน่นอนว่าต้องเป็นคนสนิทถึงจะเอ่ยเรียกชื่อของเจ้านั่นได้ และสมาชิกของคราฟท์ที่เรียกชื่อของเจ้านั่นได้ ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน 


 


 


พวกเขาเจอกับจองอูครั้งแรกเมื่อประมาณสี่ปีก่อน 


 


 


ในเวลานั้น มีวงดนตรีที่ชื่อว่าคราฟท์อยู่ก็จริง แต่มันก็เป็นแค่วงเฉิ่มเฉย ที่ดูแล้วไม่น่าจะมาได้ไกลถึงขนาดนี้ ถึงวงจะเป็นที่รู้จัก แต่นั่นก็เป็นเพราะการศึกษาและหน้าตาที่โดดเด่นของสมาชิก มากกว่าจะเป็นเรื่องของดนตรี แม้ว่าเพลงพวกนั้นจะไม่ใช่เพลงแบบที่พวกเขาอยากจะทำก็ตาม ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับทางพวกผู้ใหญ่ของที่นั่น สามปีก่อนจึงได้ถูกไล่ออกด้วยเหตุผลที่คลุมเครือ ต่อมาในช่วงเตรียมออกอัลบั้มใหม่ พวกเขาก็ได้ตัดสินใจชวนกันทำเพลงในแบบที่อยากทำ แล้วในตอนนั้นคนที่ซองฮีนึกถึงขึ้นมาเป็นคนแรกๆ ก็คือจองอูนั่นเอง 


 


 


ในเวลานั้นจองอูเป็นเหมือนดาวเด่นในวงการเพลงอินดี้ เพลงที่เจ้านั่นทำมันกลายเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมและสร้างสรรค์ ไม่เพียงแค่แต่งเนื้อร้อง แต่งทำนอง เรียบเรียงด้วยตัวเองเท่านั้น ยังเล่นดนตรีทุกอย่างเอง รวมทั้งกำกับเสียง ไปจนถึงสร้างมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยมือของตัวเองคนเดียว จึงเป็นเหตุที่ทำให้เจ้านั่นกลายเป็นที่น่าจับตามอง เป็นบุคคลสำคัญสำหรับคราฟท์ที่ไม่อาจหลุดพ้นจากกรอบเดิมๆ ของบริษัทได้เลย 


 


 


จองอูตอบรับคำเรียกร้องจากสมาชิกของคราฟท์ พวกเขาจึงได้เริ่มทำงานร่วมกัน ชื่อของเจ้านั่นได้ขึ้นในเครดิตของซิงเกิลอัลบั้มที่สองของคราฟท์ที่ชื่อว่า ‘LOVESONG’ เมื่อมันถูกปล่อยออกไป ก็สามารถนำพาให้วงกลายเป็นวงโด่งดังขึ้นมาได้ จองอูจึงเป็นเหมือนผู้มีพระคุณของพวกเขา  


 


 


แต่ว่านี่ไม่ใช่ใครอื่น กลับเป็นคิมจองอูคนนั้น คนที่ฮันซองจูตามหาด้วยความเป็นห่วงอยู่ในตอนนี้ สมาชิกทุกคนไม่รู้จะรับมืออย่างไรกับสถานการณ์ที่เหมือนกับเรื่องโกหกนี้ อีกทั้งเรื่องที่จองอูหายไปนั่นด้วย อาจเพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน จองอูเพิ่งมาร่วมทำเพลงทัวร์ด้วยกันกับคราฟท์ จึงยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ซองฮีค่อยๆ จัดระเบียบความคิดที่ยุ่งเหยิงทีละนิด ก่อนจะหันไปพูดกับซองจู 


 


 


“ฉันเองก็เพิ่งรู้เรื่องที่จองอูหายไปจากปากนายเนี่ยล่ะ นายไปทำอะไรเจ้านั่น? จองอูไม่ใช่คนที่จะหายไปโดยไม่บอกอะไรแบบนั้น เรื่องนั้นนายน่าจะรู้ดี มันอะไรกันแน่ เรื่องระหว่างพวกนายน่ะ?” 


 


 


คำถามที่แทงใจของซองฮี ทำให้สีหน้าของซองจูถมึงทึงขึ้นมาทันที 


 


 


“ถ้านายรู้แล้วจะทำไมงั้นเหรอ? ทำไมต้องสงสัยด้วยว่ามีอะไรระหว่างกัน?” 


 


 


เพราะซองจูไม่ยอมตอบคำถามออกมาตรงๆ ทำให้ความโกรธของพี่น้องที่มีมากอยู่แล้ว มันยิ่งทบเท่าทวีคูณขึ้นไปอีก 


 


 


“ถ้าฉันรู้ว่านายทำอะไร แล้วฉันจะบอก” 


 


 


“อะไรกันวะ ไอ้เวรนี่!” 


 


 


“ปัดโธ่ พี่ครับ ใจเย็นก่อนนะ” 


 


 


“นี่ ฮันซองฮี พอได้แล้ว” 


 


 


เขาพุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้ออีกคนเอาไว้อีกครั้ง บรรยากาศการทะเลาะกันระหว่างพี่น้องที่เริ่มคุกรุ่นทำให้ทั้งเซจุนและซองฮุนรีบวิ่งเข้ามาแยกทั้งสองคนออกจากกัน เซจุนดูซองจู ส่วนซองฮุนดูซองฮี ทั้งคู่คอยกัน และต่างพยายามเกลี้ยกล่อมทั้งสองคน ขณะที่ทั้งพี่ทั้งน้องกลับแผ่รังสีดื้อรั้นออกมาทั้งคู่ 


 


 


“เฮอะ ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้านั่นอยู่ที่ไหน แต่ต่อให้รู้ ฉันก็ยิ่งต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้คนแปรปรวนโมโหร้ายอย่างนายจะทำอะไรกับเจ้านั้น คนอย่างนายเกิดประสาทอะไรขึ้นมา กับพี่น้องก็ยังมาทำหวงเจ้านั่นแบบนั้น? หา?” 


 


 


“เวรเอ๊ย นั่นพูดเหรอ นึกว่าเห่าซะอีก ประสาทงั้นเหรอ? นายเป็นอะไรถึงต้องมายุ่งเรื่องคนอื่นวะ? ถ้ามีปัญหา ฉันก็ต้องแก้ปัญหากับไอ้บ้านั่น นายจะเข้ามาสอดทำไม?” 


 


 


“ถ้านายมันปกติฉันคงไม่ยุ่งหรอก! กับเด็กที่เป็นโรคหวาดระแวงแบบนั้น นายจะทำอะไรกับเจ้านั่นหา!” 


 


 


“ว่า ว่าไงนะ…? โรคหวาดระแวงงั้นเหรอ?” 


 


 


ซองจูนิ่งไปทันทีที่ได้ยินคำที่ไม่คาดคิด ในตอนนั้นเซจุนที่ยังไม่ปล่อยมือจากซองจูจึงเริ่มเอ่ยปลอบอีกคน 


 


 


“พี่ครับ พี่ใจเย็นก่อนนะ เรามาคุยกันดีๆ ดีกว่า นายเองก็หยุดได้แล้วซองฮี ถ้านายยังเป็นแบบนี้คงจะคุยกันรู้เรื่องหรอกนะ” 


 


 


“นี่ นายอยู่ข้างใครกันแน่วะ” 


 


 


“มันใช่เรื่องที่จะมาแบ่งข้างกันตอนนี้ไหม ทำไมกัน ไม่สมกับเป็นนายเลยนะแบบนี้น่ะ พี่ครับ พี่กับจองอูน่ะ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ครับ พี่ต้องบอกให้เรารู้ก่อน พวกเราจะได้รู้ว่าจะสามารถเปิดเผยได้แค่ไหน” 


 


 


คำพูดของเซจุนทำให้ซองจูค่อยๆ สงบลง ซองฮุนที่เห็นท่าทางของอีกฝ่าย จึงกำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น ขณะที่กำลังเรียบเรียงคำพูด เขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ออกไปเอาน้ำเย็นมา ซองจูที่รับมันมาไว้ หลังจากดื่มน้ำนั่นแล้ว ก็สูดหายใจอย่างช้าๆ 


 


 


“หลายเดือนมานี้ เราอยู่ด้วยกัน” 

 

 

 


ตอนที่ 3-3

 

ตอนที่ 3-3 ความสับสน

 


 


 


 


อีกคนที่เดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบปากอย่างไม่พร้อมที่จะพูด เอ่ยออกมาด้วยความยากลำบาก คำพูดนั้นทำเอาสมาชิกวงคราฟท์ทั้งสามคนตกใจเป็นอย่างมาก 


 


 


“อยู่ด้วยกันงั้นเหรอ?” 


 


 


ในบรรดาสามคนนั้น ซองฮีดูเหมือนจะตกใจมากที่สุด 


 


 


เรื่องที่ว่าพี่ชายของเขาอยู่ร่วมกับคนที่แทบจะไม่รู้จักกันเลยมาเป็นเวลาหลายเดือนนั้น มันไม่น่าเชื่อเลยสักนิด และยิ่งอีกฝ่ายเป็นพวกมีปัญหาเรื่องการอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างคิมจองอูแล้ว นั่นยิ่งทำให้ไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ 


 


 


“ไม่สิ เดี๋ยวนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน…?” 


 


 


อีกสองคนก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก พวกนั้นกำลังจ้องมองมาที่ซองจูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเอามากๆ  


 


 


“พี่ครับ ผมคงต้องขอพูดอะไรสักหน่อย พี่อยู่กับจองอูได้โดยไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ? เจ้านั่นดูเป็นคนสบายๆ ก็จริง แต่ให้อยู่กับคนแปลกหน้านานๆ มันก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากเอาการอยู่” 


 


 


“…ตอนแรกๆ ก็ลำบากอยู่ แต่พอนานๆ ไปก็พอจะอยู่ด้วยกันได้ แต่ว่าจู่ๆ ก็กลับหายตัวไป…” 


 


 


ซองจูพูดประโยคนั้นออกมาพร้อมกับก้มหน้าลง ทั้งสามคนที่ได้เห็นว่าบนกางเกงยีนส์ที่ซองจูสวมอยู่เกิดรอยชื้นที่ต้นขา ก็พาลให้ตกใจยิ่งกว่าเดิม แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว ซองจูผู้แสนเย่อหยิ่งที่เคยรู้จัก กลับกำลังร้องไห้ให้กับการหายตัวไปของคนที่อยู่ด้วยกันได้ไม่เท่าไหร่ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่เอามากๆ แล้วแหละ 


 


 


“ถ้าไม่รู้ว่าไปที่ไหน ก็ช่วยบอกที่ที่ไปบ่อยๆ ก็ได้นะ เพราะพวกนายน่าจะรู้เรื่องนั้น ฉันถึงได้มาหาพวกนาย มือถือก็ติดต่อไม่ได้เพราะปิดเบอร์ไปแล้ว พี่ดงฮยอนบอกว่าจะตามหาเอง ฉันไม่จำเป็นต้องสนใจ แต่ฉันไม่เชื่อเขา” 


 


 


ซองจูอ้อนวอนทั้งที่น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด มาถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่สามารถทนนิ่งเฉยกับการตามหาจองอูของอีกคนได้ ท่าทางของซองจูนั้นเหมือนมันออกมาจากใจจริง สถานการณ์ที่กะทันหันนี้ ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร ในบรรดาสามคนนั้น คนที่เป็นเหมือนแสงสว่างให้ซองจูเป็นคนแรกก็คือเซจุน 


 


 


“พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเจ้านั่นไปที่ไหน จองอูที่ผมรู้จักเขาก็มีแค่โทรศัพท์เครื่องเดียวเท่านั้น…ถ้าหากปิดเบอร์ไปแล้ว ก็คงตั้งใจที่จะหายตัวไปเองจริงๆ” 


 


 


“งั้นรู้ที่ที่เขาชอบไปบ้างไหม มีที่ที่เดาได้ว่าอีกคนอาจจะไปบ้างหรือเปล่า? เจ้านั่นไม่ได้อยู่โซลมาตั้งแต่เกิดนี่” 


 


 


ไม่ใช่แบบนั้นเหรอ สีหน้าของซองจูที่มองไปยังเซจุนกำลังบอกออกมาแบบนั้น หากเป็นปกติซองจูผู้เย่อหยิ่ง แล้วยังอารมณ์ร้ายคนนั้น ไม่มีทางจะสนใจเซจุน แล้วขยับเข้ามาใกล้กันแบบนี้แน่ 


 


 


“ไม่รู้จริงๆ เหรอ?” 


 


 


เซจุนถอนหายใจกับการถามย้ำของอีกคน ก่อนจะเอ่ยปากพูด 


 


 


“บ้านเกิดหมอนั่นอยู่ที่คงจู ในจังหวัดชุงนัมครับ แต่ว่าคงไม่มีทางอยู่ที่นั่นแน่” 


 


 


“ทำไมล่ะ?” 


 


 


“ก็ตัดขาดกับครอบครัวแล้วน่ะครับ พ่อของหมอนั่นหายสาบสูญไปหลายปีแล้ว ส่วนแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็จริง แต่ผมรู้มาว่าตัดขาดกันไปหลายปีแล้วครับ ไม่มีทางจะกลับไปที่บ้านแน่นอนครับ” 


 


 


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่เราก็ไม่ชัวร์สักหน่อย” 


 


 


“หยุดเพ้อเจ้อแบบนั้นได้แล้ว ต่อให้เกิดอะไรขึ้น เจ้านั่นก็ไม่มีทางกลับไปที่นั่นเด็ดขาด” 


 


 


ซองฮีที่เห็นซองจูรีบร้อนเข้าไปเกาะแขนเซจุนแบบนั้น ก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับลงดาบตัดความหวังของอีกคนไปเต็มแรง แต่ทว่ามันกลับไม่มีผลอะไร ซองจูนั้นไม่ได้สนใจฟังคำพูดของซองฮีเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“คงจู ในชุงนัมอย่างนั้นสินะ?” 


 


 


“พี่ครับ ถึงไปก็ไม่เจอหรอกครับ เราเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของที่นั่นกันแน่” 


 


 


“ช่างสิ ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ยังดีกว่าอยู่แต่ในบ้าน” 


 


 


ซองจูพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ก่อนจะหุนหันวิ่งออกไปทันที เมื่อสามคนที่เหลือได้ยินเสียงประตูปิดดังปัง ก็พาลให้มีสีหน้าร้อนรนขึ้นมา 


 


 


สีหน้าของคนทั้งสามที่ถูกทิ้งไว้ ทั้งที่ยังไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลยสักนิด แต่มันกลับดูเหนื่อยล้า และเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ด้วยไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้จะเป็นไปอย่างไรต่อ และไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก  


 


 


“นี่มัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร…” 


 


 


หลังจากที่ซองจูกลับออกไปแล้ว ทั้งสามคนที่เหลืออยู่สบตากันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา โดยเฉพาะซองฮีที่มีสายเลือดเดียวกัน ยิ่งมีท่าทางสับสนมากเข้าไปใหญ่ เพราะไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์นี้ออกมาอย่างไร เขาจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยจิตใจว้าวุ่นสับสน พร้อมกับขยุ้มผมตัวเองไปด้วย ซองฮุนที่ได้เห็นสภาพเช่นนั้นของซองฮี จึงได้แต่หันไปถามเซจุน 


 


 


“จองอูน่ะ ช่วงนี้ไม่ได้มีท่าทางอะไรแปลกๆ ใช่ไหม” 


 


 


“อื้อ กลับกันหมอนั่นดูสงบมากด้วยซ้ำ ตอนทำงานก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย” 


 


 


“เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่…นี่ ฮันซองฮี ตั้งสติสักที นายเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาได้หรอกนะ” 


 


 


“ปล่อยไปเถอะ ที่จริงสภาพของเจ้านั่นก็เหมือนไปเหยียบโดนกับระเบิดเข้าให้นั่นแหละ พวกเราต้องมาช่วยกันคิดก่อนว่ามีที่ไหนที่จองอูพอจะไปได้บ้าง” 


 


 


เซจุนพูดออกมาพร้อมกับกอดอกไว้ 


 


 


เมื่อสองสัปดาห์ก่อนจองอูยังมาทำงานด้วยกันในสภาพที่ปกติดีอยู่เลย แถมยังเอ่ยปากพูดชื่นชมออกมาทั้งที่ปกติไม่เคยทำ แล้วยังใจดใจจ่อกับการปล่อยเพลงใหม่ออกมาด้วย แน่นอนว่าหลังจากที่ทำงานที่ต้องทำจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว จองอูถึงได้หายตัวไป มันจึงไม่มีปัญหากระทบต่องาน แต่ว่าการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของเจ้านั่น อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซองจู ความจริงข้อนั้นทำให้คนทั้งสามเกิดความตึงเครียดขึ้นมา 


 


 


“ฉันกลัวว่ามันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นน่ะสิ…” 


 


 


เซจุนลูบคางเรียวแหลมของตัวเองไปมา ขณะที่พึมพำประโยคนั้นออกมา ซองฮีถึงกับกำหมัดแน่น ส่วนซองฮุนที่เห็นเช่นนั้นทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะไหล่เซจุน 


 


 


เซจุนที่รับรู้ความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อให้เขาหยุดพูดอะไรที่ไม่มีประโยชน์แบบนั้นซะ พอเขาเงียบเสียงไป บรรยากาศอึมครึมแสนหนักอึ้งก็ได้ข้ามาเยือนยังห้องซ้อมแห่งนี้ 


 


 


 


 


 


“แฮ่ก แฮ่ก…” 


 


 


ในระหว่างที่คนทั้งสามกำลังสับสนวุ่นวายใจกับความจริงที่ยากจะเชื่ออยู่นั้น ซองจูก็ขับรถตรงดิ่งกลับห้องในทันที หากเป็นเวลาปกติ เขาที่ใส่ใจกับสายตาของคนอื่น จึงมักจะใช้ชีวิตในแบบที่ทำให้ใครๆ อิจฉา แต่ว่าในเวลานี้ เขาไม่มีสติมาคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว ซองจูที่ดวงตาแดงก่ำด้วยเลือดที่คั่งอยู่ มือจับพวงมาลัยไว้ มีเพียงเสียงลมหายใจที่เล็ดลอดออกมาจากช่องฟันที่ขบกันไว้แน่น 


 


 


ไม่รู้ว่าเขาเอาสติมาจากไหน ถึงได้ออกมาจากห้องซ้อมของซองฮีได้ ไม่ว่าจะคงจูในชุงนัม ตามหมู่บ้าน หรือรอบนอก หากสามารถตามหาอีกคนได้ ไม่ว่าที่ไหนเขาก็ไปได้ทั้งนั้น เขาจะไม่ยอมหยุดตามหาง่ายๆ แน่ ทันทีที่มองเห็นหน้าต่างกระจกวิบวับของวิลล่าที่อยู่ไกลออกไปในความมืดอันเลือนราง เขาก็รู้สึกเหมือนกับถูกตีกระแทกเข้าอย่างจัง 


 


 


“อุ๊บ…!” 


 


 


ซองจูคิดไปว่าอาจจะเป็นคนๆ นั้น จึงได้รีบร้อนเปิดประตูออกแล้วเข้าไปข้างในทันที แต่ทว่ามันกลับมีเพียงความว่างเปล่าที่รอต้อนรับเขาอยู่ ไม่เห็นรองเท้าผ้าใบคู่เก่านั้นเลยแม้แต่เงา แล้วเขาก็ไม่อาจกล้ำกลืนสิ่งที่กำลังตีตื้นขึ้นมาได้อีก 


 


 


มันตั้งแต่ไม่กี่วันก่อนแล้ว ที่เขาไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลย ท้องที่ว่างเปล่ามีเพียงเหล้าเท่านั้นที่ถูกเติมเข้าไป จึงไม่ทางเลยที่มันจะยังเป็นปกติอยู่ได้ อาการคลื่นไส้จากกรดไหลย้อนทำให้จุกขึ้นมาถึงคอและพุ่งออกมาในทันที เขาทรุดตัวลงตรงหน้าประตู พร้อมทั้งใช้มือปิดปากกลั้นอาการอยากอาเจียนนั้นเอาไว้อย่างทรมาน ซองจูที่ตกอยู่ในสภาพนั้นถึงกับน้ำตาไหลพรากออกมา 


 


 


“คนเลว…” 


 


 


เจ้าตัวพูดเสียงลอดไรฟันออกมาด้วยความเจ็บแค้น แม้ว่าอีกคนจะไม่ได้อยู่รับฟังแล้วก็ตาม น้ำตาที่ซองจูเก็บกลั้นไว้ค่อยๆ รินไหลลงมา เป็นเพราะความทระนงตนที่มี ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยน้ำตาให้ไหลพรากออกมาต่อหน้าน้องชายและเพื่อนๆ ได้ กว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาร้องไห้ออกมาราวกับก๊อกแตก แม้แต่ในการแสดง ซองจูก็ยังไม่เคยร้องไห้หนักถึงขนาดนี้ 


 


 


แต่ทว่าเขาก็ทำได้เพียงแค่ร้องไห้ออกมาอย่างไร้สติแบบนี้เท่านั้น อย่างที่เขาได้บอกกับเซจุนไป การตามหาอีกคนอย่างไร้จุดหมายยังดีกว่าการอยู่ที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลย ซองจูกำหมัดปาดเช็ดใบหน้าที่เปียกชื้นอย่างลวกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากตั้งใจจะตามหาจองอู ก่อนอื่นเขาต้องรวบรวมสติกลับมาก่อน เขารู้ดีกว่าใครว่าด้วยสภาพจิตใจที่อ่อนแอและร่างกายที่ราวกับตกอยู่ในไหเหล้าแบบนี้ ไม่มีทางที่จะขับรถเป็นเวลานานๆ ได้แน่ 


 


 


“รอให้เจอก่อนเถอะ ฉันจะทำให้นายเสียใจที่หนีไปเลย” 


 


 


เขาพยุงตัวลุกขึ้น พร้อมกับพึมพำถ้อยคำนั้นออกมา หากจะตามหาจองอู ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องพักผ่อนเสียก่อน แสงไฟที่ส่องสว่างมาจากทางห้องนอน ทำให้เกิดเงาทอดยาวขึ้นที่ด้านหลังของซองจู 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


 “เวรเอ๊ย จะหาคนในที่แบบนี้ได้ยังไงล่ะเนี่ย” 


 


 


ซองจูที่จับพวงมาลัยรถอยู่นั้น พึมพำออกมา ขณะที่สายตาก็ทอดมองไปยังริมแม่น้ำที่เปลี่ยวร้างอยู่ไกลๆ นั่น แล้วความคิดที่ว่า การมาที่นี่มันช่างเปล่าประโยชน์ก็ผุดขึ้นมา มันเป็นอย่างที่เซจุนพูด เขาเริ่มรู้สึกผิดหวังกับการกระทำไม่รู้จักคิดของตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว 


 


 


ทีแรกก็คิดว่าเป็นเมืองในชนบทเล็กๆ แต่นี่มันทั้งกว้างและดูเปลี่ยวร้างอย่างมาก เขาขับรถผ่านอ่างเก็บน้ำและไร่นาที่กินอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมาจนถึงจุดหมาย ทันใดนั้นซองจูก็ตระหนักขึ้นได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามหาจองอูในสถานที่แห่งนี้ แต่ว่าหากกลับไปทั้งแบบนี้ มันก็เหมือนกับเกราะป้องกันชั้นสุดท้ายหายไป ไม่ง่ายเลยที่จะให้ก้าวเดินจากไป เพราะเขารู้ดีว่าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว จิตใจของเขาก็จะแหลกสลายลงไม่มีชิ้นดี 


 


 


เขาเองก็ไม่ได้อยากจะตามหาอีกคนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เขาก็รู้ดีกว่าใครว่าเรื่องไร้เหตุผลแบบนั้นกำลังจะทำให้เขาต้องขายขี้หน้าคนไปทั่วประเทศ ทว่าเขาก็ไม่คิดจะถอยหลังกลับอีกแล้ว เขาคิดว่าจะลองตามหาดูรอบๆ ไปจนถึงแถวสถานีขนส่งอีกสักวันสองวัน แต่เผอิญว่าไม่มีที่พักที่ถูกใจเขาเลย สุดท้าย ขณะที่กำลังขะมักเขม้นค้นหาดูรอบๆ และกำลังคิดที่จะล้มเลิกแล้วเดินทางกลับ ซองจูก็ถึงกับต้องชะงักค้างไป เมื่อสังเกตเห็นนักศึกษาคนหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับจองอูมากๆ 


 


 


“ใช่ไหมนะ? ไม่หรอก เหมือนจะเตี้ยไปหน่อย ไม่ใช่หรอก ฉันคงแค่เข้าใจผิดไปเอง” 


 


 


ซองจูเหม่อมองไปยังแผ่นหลังที่ห่างไกลออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว เขาก็จอดรถข้างทาง แล้วเริ่มออกวิ่งตามหลังผู้ชายคนนั้น ที่เดินหายเข้าไปภายในซอย 


 


 


“แฮ่ก แฮ่ก…” 

 

 

 


ตอนที่ 3-4

 

ตอนที่ 3-4 ความสับสน

 


 


 


 


เมื่อเขาขยับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างกะทันหัน ร่างกายที่มีแต่เหล้าและบุหรี่ก็เริ่มส่งสัญญาณประท้วงออกมา ฝืนทนกับลมหายใจที่ตีตื้นขึ้นมา ก่อนจะขยับช่วงขาอย่างรีบร้อน จนภาพด้านหลังของผู้ชายคนนั้นปรากฎขึ้นอีกครั้ง ช่วงขาเรียวยาว ผอมเพรียวแต่กลับบึกบึน สวมเสื้อผ้าสีดำแบบนั้นยิ่งทำให้ดูเหมือนคิมจองอูเข้าไปอีก ส่วนสูงที่เตี้ยกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย รวมถึงทรงผมที่ดูจะสั้นไปสักหน่อยนั่น ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย สีดำทำให้ส่วนสูงดูเตี้ยลงได้ หากอีกคนตัดผมก็คงไม่ต่างจากนี้ แค่ปล่อยผมข้างหน้าให้ยาวเพื่อปิดบังแผลเอาไว้ก็ได้ ผมข้างหนังสั้นก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ซองจูคิดหาเหตุผลให้ตัวเองเช่นนั้น ก่อนจะไล่ตามผู้ชายคนนั้นอย่างสุดชีวิต 


 


 


ด้วยช่วงขายาวทำให้ผู้ชายคนนั้นขยับก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความพยายามวิ่งไล่ตามอย่างสุดชีวิต จึงทำให้ระยะห่างค่อยๆ ร่นลงมา ผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินไปทางมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ไกลออกไป ในวินาทีนั้นเอง ที่ตัวเขาวิ่งเข้าไปใกล้ อีกคนก็หันขวับกลับมา 


 


 


“เฮ้ย!” 


 


 


ซองจูหยุดฝีเท้าลงทันทีด้วยความตกใจ ผู้ชายคนนั้นระบายยิ้มสดใสบนใบหน้า มองไปทางกลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่อยู่แถวๆ นั้น แม้ว่าเขาจะพอรู้สึกได้รางๆ ตั้งแต่ที่ไล่ตามมาแล้วก็ตาม คนๆ นั้นไม่ใช่จองอู 


 


 


ซองจูยืนเหม่อนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น 


 


 


แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ แต่เพราะความรู้สึกที่คิดว่าอาจจะเป็นไปได้ มันทำให้เขาไม่ยอมรับ จองอูที่หายไป แล้วทิ้งเขาไว้เช่นนี้ ช่างเป็นคนที่นิสัยไม่ดีเอาเสียเลย ตอนนี้กระทั่งน้ำตาก็แห้งเหือด ไม่มีให้ไหลออกมาอีกแล้ว ใครบางคนเดินผ่านเข้ามา ชนกระแทกเข้าที่ไหล่ของซองจูที่ยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวกลางซอยแคบๆ นั่น ร่างกายที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวัน ถึงกลับเซจะล้ม เพียงเพราะแค่การกระทำที่เล็กน้อยนั่น ซองจูที่พยายามทรงตัวกลับมาอย่างยากลำบาก ยังคงพยายามมองหาร่องรอยของผู้ชายที่หายไปแล้ว เขารู้สึกได้ว่าคนที่เดินผ่านไปเมื่อครู่ เริ่มแอบชำเลืองมองมา 


 


 


ซองจูไม่ได้ขยับออกไปจากตรงนั้น แม้เขาจะรู้ดีว่าอาจจะถูกใครสักคนแอบถ่ายภาพเขาในสภาพยืนเหม่อไร้สติอยู่ที่นี่ แล้วเอาไปอัปโหลดลงบนโซเชี่ยล พร้อมข้อความวิจารณ์ในทางไม่ดี จนมันกลายเป็นกระแสในทางลบออกมาได้ ทั้งที่รู้ความจริงข้อนั้น แต่เขาก็ยังไม่ยอมออกไปจากตรงนั้น มันเหมือนกับว่าหากเขาไปจากที่นี่ เขาอาจจะไม่ได้เจอจองอูอีกเป็นครั้งที่สอง เขาทำเพื่อความสำเร็จของตัวเองอยู่เสมอ ฮันซองจูที่ตกประหม่า เขาจะยอมแพ้กับตัวเองที่เป็นถึงขนาดนี้ได้ไหมนะ ซองจูที่มีท่าทางหายใจติดขัด ค่อยๆ ขยับก้าวเท้าต่อไป 


 


 


ไม่ควรมาที่นี่เลย เขาควรฟังคำพูดของเซจุน ใบหน้าของซองจูแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเอง ที่มันช่างดูหม่นหมอง 


 


 


 


 


 


ซองจูไปจนถึงที่นั่นแต่ก็ยังไม่เจอจองอู สภาพของเขาจึงไม่ต่างอะไรจากคนป่วยหนักเกินเยียวยา เขาไม่มีความกล้าที่จะไปตามหาอีกคนที่นั่นอีกแล้ว ดงฮยอนมาที่ห้องเพื่อมาเช็คดูว่า ซองจูที่เอาแต่กินเหล้า สูบบุหรี่ยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ แล้วเจ้าตัวก็ถึงกับต้องส่ายหน้าไปมา เมื่อสภาพของซองจูมันดูย่ำแย่กว่าเขาคิดเอาไว้เสียอีก 


 


 


“นายกินข้าวบ้างไหมเนี่ย” 


 


 


“ถ้าไม่คิดจะช่วยก็กลับไปซะ” 


 


 


“ที่จริงแค่เห็นข้าวกับโจ๊กที่ยังอยู่ในตู้เย็นสภาพเดิมก็พอจะรู้อยู่หรอก ไอ้เจ้านี่ ถ้านายยังเป็นแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องขึ้นมาหรอก ถึงจะกลุ้มใจแค่ไหนก็ต้องกินอะไรซะบ้างไม่ใช่หรือไง” 


 


 


“ออกไปเดี๋ยวนี้!” 


 


 


อีกคนที่มีสภาพไม่สู้ดีนัก พยายามใช้แขนที่ไร้เรี่ยวแรงขว้างหมอนออกไปอย่างสุดแรง แต่ยังไม่ทันที่จะสัมผัสโดนดงฮยอน หมอนก็ร่วงตกลงบนพื้น ทำให้เกิดเพียงฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมาเท่านั้น ดงฮยอนที่ยืนพิงกรอบประตูห้องนอน ทอดสายตามองมาที่ซองจูซึ่งเอาผ้าห่มมาคลุมมิดทั้งตัวอย่างกับต้องการประท้วง ก่อนจะถอนหายใจออกมา 


 


 


“เฮ้อ…ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอกนะ แต่หมอนั่นก็ไม่อยากให้ฉันตามหาเจอเหมือนกัน จะให้หายังไงล่ะ หมอนั่นเล่นตัดขาดการติดต่อทุกทางซะขนาดนั้น” 


 


 


“ยังไงพี่ก็ต้องตามหาได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” 


 


 


ซองจูเชื่อว่าอย่างไรเสียดงฮยอนก็ต้องตามหาจองอูจนเจอได้ ไม่รู้ว่าเขาเอาอะไรมาเชื่อมั่นได้ขนาดนั้น ที่จริงการที่จองอูหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่ไม่ได้บอกอะไรเขาเลยแบบนี้ มันนับเป็นครั้งแรกเลยล่ะ ตัวดงฮยอนเองก็รู้สึกรับมือไม่ถูกด้วยเช่นกัน 


 


 


แต่สิ่งนี้มันก็เทียบไม่ได้เลยกับจองอูที่ต้องใช้ชีวิตจมปลักอยู่แบบนั้น ดงฮยอนคิดว่าหากอีกคนจัดการกับความคิดของตัวเองได้แล้ว ก็คงจะติดต่อเขามาอีกครั้ง 


 


 


ปัญหาตอนนี้ก็คือซองจู แม้ว่าไม่อาจเทียบกับจองอูได้เลย แต่ฮันซองจูที่ได้รู้จักมานานพอตัวก็ไม่ใช่คนแบบนี้ แม้แต่ในตอนที่เซจองจากไป เขาก็ไม่เคยเห็นน้ำตาของอีกคนเลยสักครั้งเดียว ไม่ได้มีท่าทางแตกสลายแบบนี้เลยด้วยซ้ำ คนแบบนั้นไม่รู้ทำไมถึงได้ยึดติดกับคิมจองอูได้ถึงขนาดนี้ 


 


 


ก่อนหน้านี้ เขาเคยลองถามหาเหตุผลที่อีกคนเป็นถึงขนาดนี้ ในตอนนั้นดวงตาสีน้ำตาลสุกใสของซองจูดูวูบไหว สุดท้ายก็พึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา 


 


 


‘ถ้ารู้ผมจะเป็นแบบนี้เหรอ?’ 


 


 


คำตอบนั้นทำให้ดงฮยอนได้รู้ว่า ซองจูกำลังป่วยเป็นโรคตรอมใจเสียแล้ว 


 


 


ซองจูเคยชินกับการใช้ชีวิตในกรอบที่สร้างขึ้น เพื่อให้เป็นที่พอใจของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แม้จะอึดอัดกับเรื่องนั้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว เมื่อโอกาสที่จะก้าวออกมาจากรอบนั้นได้มาถึง อีกคนกลับเตะมันทิ้งไปด้วยตัวเองเสมอ 


 


 


การเติบโตมาด้วยความคาดหวังของพ่อแม่ มันเป็นการใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน ทรัพย์สินมากมายและตำแหน่งในสังคมพวกนั้น ไม่ง่ายเลยกับการต้องรองรับความอิจฉาริษยาของคนอื่น ทันทีที่เกิดมาเขาก็ได้รับทุกอย่างที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในสังคมประเทศเกาหลี มันไม่มีเหตุผลที่เขาต้องเตะมันทิ้งไปด้วยเท้าของตัวเอง เพียงแค่ทำตามที่พ่อแม่จัดเตรียมเอาไว้ ก็สามารถได้รับสิ่งดีๆ มากมายพวกนั้น หากเขายอมทิ้งมันไป มันคงไม่ต่างอะไรกับคนโง่เขลา  


 


 


ในความคิดของดงฮยอน ซองจูใช้ชีวิตด้วยการเสแสร้งอยู่ระหว่างการมีชีวิตและไร้ชีวิตมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างคนอื่นได้ดี ดังนั้นจึงทำให้เจ้าตัวยึดติดกับจองอู 


 


 


 


 


 


แต่เมื่อสองคนตกหลุมรักกัน วิกฤตนี้ก็เริ่มต้นขึ้น 


 


 


 


 


 


เขายอมรับว่าความคิดของเขามันผิด ก่อนจะยกยิ้มเย้ยหยันตัวเองออกมา ถึงอย่างไรในเร็ววันนี้ ถ้ายังตามหาจองอูไม่เจอ เห็นทีซองจูคงจะมีสภาพใกล้ตายยิ่งกว่านี้ เขาจะต้องหลีกเลี่ยงก่อนที่มันจะไปถึงขั้นนั้น และจากที่เห็นฮันซองจูมีสภาพเช่นนี้ ในตอนนี้คิมจองอูเองก็คงไม่ได้อยู่ในสภาพที่ปกติอย่างแน่นอน เขาเกาหัวตัวเองไปมา ก่อนจะหันไปพูดกับก้อนผ้าห่มตรงหน้า 


 


 


“แค่หาให้เจอก็พอใช่ไหม” 


 


 


จบประโยคนั้น ก้อนผ้าห่มก็ขยับไหวไปมาอย่างรุนแรง ดงฮยอนกระตุกยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง 


 


 


“ถ้าหาเจอแล้ว พวกนายก็ปรับความเข้าใจกัน แล้วเรื่องทุกอย่างก็จะจบใช่ไหม ฉันไม่ทำเรื่องที่มันน่ารำคาญหรอกนะ” 


 


 


“…คงงั้น” 


 


 


“ฉันคงส่งตัวลูกชายสุดหวงของฉันให้กับไอ้บ้าที่พูดจาหยาบคายไม่ได้หรอกนะ” 


 


 


“พูดเรื่องสยองอะไรออกมาเนี่ย ถ้าไอ้บ้านั่นเป็นลูกชายพี่ พี่ต้องไปแอบมีลูกตั้งแต่อายุเท่าไหร่กันน่ะ? ไปให้พ้นเลย ผมไม่มีเวลามาฟังพี่พูดไร้สาระแบบนั้นหรอกนะ” 


 


 


“ไอ้นี่ ยังปากดีได้อยู่นี่ คงยังไม่ถึงตายสินะ?” 


 


 


แม้จะดูไร้เรี่ยวแรง แต่ฝีปากก็ยังคงเดิม นั่นทำให้สีหน้าของดงฮยอนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง หากแม้เรื่องร้ายที่เกิดในครั้งนี้ จะใช้เป็นโอกาสที่ทำให้ซองจูโตขึ้นได้ อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีได้เช่นกัน เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะพยักหน้ากับตัวเอง 


 


 


“ฉันไปนะ ฉันไม่มีเวลามาคุยเล่นด้วยแล้ว ต้องไปตามหาเมียของนายก่อน” 


 


 


“จะทำไรก็รีบๆ ทำ” 


 


 


ทันที่ได้ยินเสียงตอบพึมพำจากอีกคนที่ยังคงเอาแต่มุดตัวอยู่ในผ้าห่ม ดงฮยอนก็ค่อยๆ ก้าวออกจากห้องไป 


 


 


ประตูปิดลง พร้อมเสียงประตูล็อกดังปิ๊บปิ๊บแสนน่ารำคาญดังออกมา ซองจูที่ยังอยู่ในผ้าห่มจึงบ่นงึมงำด้วยเสียงเบาออกมา 


 


 


“ไอ้เวรเอ๊ย มันกลับกันต่างหากเล่า” 


 


 


เมื่อบ่นเช่นนั้นออกมาแล้ว มือที่กำผ้าห่มก็ยิ่งบีบแน่นขึ้น 


 


 


 


 


 


มันก็แค่คำโม้โอ้อวดของดงฮยอนเท่านั้น แม้แต่ร่องรอยของจองอูก็ยังหาไม่เจอ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความอดทนของซองจูก็ยิ่งลดต่ำลงเรื่อยๆ  


 


 


ซองจูไม่ได้แสดงความหงุดหงิดออกมาอีกแล้ว 


 


 


มันเลยจุดของความโมโหไปไกลแล้ว ตอนนี้มีเพียงท่าทางของคนที่สิ้นหวัง เมื่อตระหนักได้ว่า หากอีกคนปรากฏตัวออกมา ก็อาจจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเขาก็ได้ เช่นนั้นแล้ว ความหวังที่มีก็ยิ่งลดฮวบลงไปยิ่งกว่าเดิม ซองจูที่กอดขวดไวน์ขวดหนึ่งไว้ตั้งแต่ช่วงหัววัน พาตัวเองเดินเข้าไปในห้องนอน 


 


 


เจ้าตัววางแก้วลงบนโต๊ะหัวเตียง แล้วรินไวน์ลงแก้ว ของเหลวสีแดงในแก้วที่ถือไว้ ถูกแสงแดดส่องกระทบจนเป็นประกายวิบวับ ซองจูคิดว่าไวน์มันช่างดูเหมือนเลือดเสียเหลือเกิน 


 


 


ถ้าปล่อยให้แก้วนี้ร่วงตกลงพื้น แล้วเขากรีดที่ข้อมือตัวเองดู สีที่ออกมามันจะเหมือนกันหรือไม่นะ ความคิดแบบนั้นของตัวเองมันช่างราวกับคนเสียสติเหลือเกิน คิดได้เช่นนั้น พร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา 


 


 


“ฉันคงจะเริ่มบ้าไปแล้วสินะ จบแล้วสินะ” 


 


 


เขาพึมพำเช่นนั้นออกมา แล้วจึงเกี่ยวนิ้วเข้ากับส่วนก้านของแก้วไวน์ก่อนจะยกมันขึ้นดื่มช้าๆ  


 


 


จิบไวน์เข้าไปอึกหนึ่ง แล้วจึงเอนหลังพิงลงกับหมอน ความอ่อนนุ่มของหมอนขนนกที่โอบอุ้มแผ่นหลังเอาไว้ มันให้ความรู้สึกที่อุ่นและสบาย ช่างต่างกันเหลือเกิน กับความรู้สึกที่ได้รับจากแผ่นหลังของจองอูที่เขายังคงจดจำได้อยู่นั้น 


 


 


หลังจากเสร็จสิ้นการร่วมรักอันหนักหน่วง ซองจูก็มักจะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ส่วนจองอูก็จะไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาเช็ดทำความสะอาดเนื้อตัวให้ซองจู และบางครั้ง หรือหลายครั้ง ที่อีกคนไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเอง แล้วก็นอนหลับไปพร้อมกับซองจูแบบนั้น 


 


 


เมื่อซองจูหันหลังกลับไปก็จะพบกับจองอูที่หลับสนิทพร้อมกับกอดเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง ในตอนแรกซองจูเองก็รู้สึกแปลกๆ กับไออุ่นของคนอื่น แต่แล้วเขาก็คุ้นเคยกับมัน และรู้สึกหลับได้อย่างสบายใจในอ้อมกอดของจองอู ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากด้านหลังนั้น แม้จะแข็งกระด้างแต่กลับอบอุ่น การนอนหลับไปแบบนั้นมันทำให้เขาพอใจกว่าที่คิด 


 


 


ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็ทำคนเดียวมาตลอด แม่ที่งานยุ่งอยู่เสมอจะฝากซองจูและซองฮีสองพี่น้องเอาไว้กับครูพี่เลี้ยงและแม่บ้าน ผู้เป็นพ่อแม่เข้าบ้านมาในตอนดึกเพื่อตรวจเช็คกิจวัตรในแต่ละวันของพวกเขาพี่น้องเท่านั้น แม้จะอยู่ร่วมกันและคอยเฝ้าดู แต่ว่าก็ไม่ได้มอบความรักให้สองพี่น้องเหมือนอย่างคนอื่นๆ  


 


 


เด็กที่โหยหาอ้อมกอดอันอบอุ่นของพ่อแม่ ด้วยสภาพแวดล้อมนั้น เด็กจึงเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่เย็นชาที่ไม่รู้จักความอบอุ่นของใคร แม้จะมีคนรัก แต่ก็ไม่ได้มอบความรักที่สมบูรณ์แบบให้ไป พยายามปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองขาดไป ด้วยการซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ความหยิ่งทระนงนั้น ซองจูได้ตระหนักแล้วว่า ชีวิตกว่าสามสิบปีของเขา มันคือสิ่งที่ผิดพลาดอย่างที่สุด หากว่าไม่ได้รู้จักกับจองอู แล้วอีกคนไม่ได้หายตัวไป ตลอดชีวิตเขาอาจจะไม่มีทางรับรู้ถึงความรู้สึกนี้เลยก็เป็นได้ 


 


 


ตั้งแต่ตอนนั้น ซองจูก็มีนิสัยบางอย่างเกิดขึ้นมา 

 

 

 


ตอนที่ 3-5

 

ตอนที่ 3-5 ความสับสน

 


 


 


 


เขาไปเอาโน้ตบุ๊กมาจากห้องอ่านหนังสือ ถือมันเข้ามาในห้องนอน ขณะที่ดื่มเหล้าไปก็เปิดค้นหาทั้งในเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับดนตรี เว็บสตรีม สื่อโซเชี่ยลต่างๆ เริ่มค้นหาไปทั่วเพื่อตามหาร่องรอยของจองอู 


 


 


สิ่งที่จองอูทำมันมีมากมายกว่าที่เขาคิดไว้ เพลงประกอบโฆษณาที่ไม่เคยตั้งใจฟังเลยสักครั้ง จนถึงเพลงของวงอินดี้ที่ไม่เคยดู ไม่เคยฟังเลย เพลงที่ทำขึ้นมาจากฝีมือของเขาคนนั้น วันหนึ่งเขาฟังมันซ้ำๆ ไม่รู้กี่รอบ แล้วยังค้นเจอวิดีโอสัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ด้วย 


 


 


วิดีโอที่ถูกเล่นซ้ำไปมานั้น จองอูกำลังพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ในตอนนั้นอีกคนกำลังร้องเพลง พร้อมกับเล่นเครื่องดนตรีอะไรสักอย่างที่เขาก็ไม่แน่ใจนัก คิมจองอูที่มีชีวิตอยู่ในจอภาพนั้น แม้จะไม่อาจสัมผัสความอบอุ่น แต่มันก็พอจะทดแทนกันได้ 


 


 


ทำไมถึงคิดไม่ได้กันนะ ซองจูตำหนิความโง่เขลาของตัวเอง ก่อนจะหลุดเข้าไปในโลกจินตนาการที่อยู่ภายในคอมพิวเตอร์นั่น 


 


 


แค่จ่ายเงิน เขาก็สามารถฟังเพลงที่มีเสียงของจองอูอยู่ในนั้น ผ่านทางเว็บสตรีมมากเท่าไหร่ก็ได้ เขาที่ไม่เคยเฉียดใกล้โซเชี่ยลต่างๆ เพราะคิดว่ามันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ แต่เพื่อตามหาร่องรอยของคิมจองอู เขาค้นหาในแฮชแท็กที่เกี่ยวกับคิมจองอู หรือเลซี่วันละเป็นร้อยๆ ครั้ง จนเหมือนคนที่หมกมุ่น แต่ถึงอย่างนั้นดงฮยอนก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร มันยังดีเสียกว่าการทำลายข้าวของในห้อง ท่าทางที่ดูสนับสนุนจนออกนอกหน้าของอีกคน บางครั้งก็ทำเอาเขาอดโมโหไม่ได้ จนต้องตวาดด่าออกไป แต่ทว่าดงฮยอนกลับตีความไปว่ามันคือสัญญาณของการมีชีวิตอยู่ของเขา จึงได้แค่ยิ้มออกมาเท่านั้น สำหรับซองจู ตอนนี้ไม่ว่าดงฮยอนจะทำอะไรเขาก็พร้อมที่จะเมินเฉย 


 


 


วันนี้ก็เช่นกัน เขามือกดเข้าไปดูวิดีโอในเว็บสตรีม เมื่อครู่เขาเจอบัญชีผู้ใช้ของคนที่ดูเหมือนจะเป็นแฟนตัวยงของจองอู ซองจูเพียงมองเพลย์ลิสต์วิดีโดของคนๆ นั้นผ่านๆ โดยไม่ได้เอะใจอะไร 


 


 


นั่นมันไม่ต่างอะไรจากคลังขุมทรัพย์เลย 


 


 


มีวิดีโอของคิมจองอูตอนร้องเพลง ตอนที่ร้องไห้ ตอนที่หัวเราะ หรือตอนโกรธถูกจัดเรียงเอาไว้ตามลำดับปี ซองจูค้นหาและเปิดเล่นวิดีโอที่เก่าที่สุด 


 


 


 


 


 


[เอ่อ…ผมจะพูดอะไรดีครับ] 


 


 


 


 


 


เสียงของผู้ชมที่หัวเราะให้กับอีกคนดังออกมา ท่าทางที่ลังเลใจอยู่หน้าไมโครโฟนกับใบหน้าที่ระบายยิ้มกว้างออกมา จากภาพวิดีโดที่ไม่คมชัดเหมือนมีฝนตกลงมา หรือเสียงแตกซ่าไม่ชัดเจน ดูเหมือนวิดีโอนี้คงนานมากแล้ว ภาพของจองอูที่เห็นในนั้นก็ดูเหมือนจะยังดูเด็กอยู่มาก ซองจูเอื้อมมือไปแตะลงบนจอ ลูบไล้ใบหน้าของจองอูที่สะท้อนอยู่บนนั้น ในขณะที่เขาทำแบบนั้น จองอูที่อยู่ในวิดีโดก็กำลังพูดบางอย่างออกมาอยู่เรื่อยๆ 


 


 


 


 


 


[เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดของพี่ชายที่ผมสนิทด้วยน่ะครับ ตั้งใจว่าจะแค่ไปอวยพรเฉยๆ แต่จู่ๆ ก็โดนลากไปกินเหล้า ก็เลยลำบากใจอยู่สักหน่อย…แต่ก็อ้างไปว่าวันนี้มีการแสดง เหล้าหยดเดียวก็จะไม่ดื่มเด็ดขาด เพราะอย่างนั้นก็เลยสามารถมาร้องเพลงได้อย่างปลอดภัยแบบนี้น่ะครับ] 


 


 


 


 


 


ภาพที่อีกคนเล่าเรื่องที่ไม่ได้ดูน่าสนใจเลยสักนิดออกมา พร้อมกับรอยยิ้มเขินอายนั่น ทำให้เขาเบะปากใส่ 


 


 


ต่อหน้าคนอื่นนายทำหน้าสีหน้าแบบนั้นสินะ 


 


 


นึกถึงภาพคิมจองอูที่เอาแต่ทำหน้านิ่งและไร้ความรู้สึกเวลาอยู่ต่อหน้าเขา ซองจูก็ซบหน้าลงบนหัวเข่า 


 


 


จองอูพูดออกมาอีกไม่กี่คำ โดยที่ไม่ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก กับบรรดาแฟนคลับอะไร ก่อนเจ้าตัวจะร้องเพลงอีกครั้ง เพลงที่ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนเสียงกระซิบไม่ได้มีอะไรที่ดูพิเศษ ไม่รู้ว่ามันเพราะอย่างไร แต่ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกจับใจอย่างประหลาด 


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำกระซิบวนอยู่ในหูอย่างแผ่วเบา เสียงทุ้มต่ำทำให้มันฟังไม่ชัดเจนนัก มันเหมือนกับเสียงลมหายใจที่ดังออกมาในยามที่พวกเขาแบ่งปันความรักระหว่างกัน เสียงลมหายใจที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างรุนแรงที่ดังอยู่ข้างหูอยู่เขา ความรู้สึกนั้นทำให้ซองจูเริ่มขยับสะโพก พร้อมกลับส่งเสียงร้องออกมา 


 


 


“ฮึก…” 


 


 


ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน มือของเขาเลื่อนลงไปสัมผัสกับส่วนที่อยู่ต่ำลงไป แกนกายของเขาเริ่มแข็งชูชันขึ้นมาทีละนิด 


 


 


“อ้า ฮึก อึก…อือ อ๊ะ อึก…” 


 


 


ซองจูเร่งขยับมือพร้อมกับเสียงเฉอะแฉะที่ดังออกมา 


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำของจองอูที่ร้องเพลงออกมา และเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งของคนอื่นๆ เพลงใหม่เริ่มขึ้นด้วยเสียงเบาสบายของกีต้าร์อะคูสติก พร้อมกับวิดีโออันใหม่ แม้จะเป็นเพียงจอภาพขนาดไม่กี่นิ้ว หากซองจูกลับหลุดเข้าไปในโลกที่ไม่ใช่ความจริง ซึ่งมีคิมจองอูที่มีลมหายใจหากแต่ไร้ไออุ่นนั่น เขาค่อยๆ ปลดปล่อยมันออกมา ทั้งๆ ที่สายตายังคงจ้องมองไปที่วิดีโอนั่น 


 


 


เขาวางโน้ตบุ๊กเอาไว้ที่ข้างหมอน แล้วจึงนอนตะแคงข้าง มือนั้นกอบกุมรอบตัวตนของตัวเองที่ตั้งชันขึ้น ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด เพื่อฟังเสียงของจองอูที่ดังออกมาให้ได้ยินผ่านลำโพงที่อยู่ด้านล่างนั่น น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังออกมาราวกับมันทะลุผ่านเครื่องนอนขึ้นมา แล้วแตะสัมผัสกับเรือนร่างของเขา เหมือนเสียงกระซิบในยามที่อีกคนกอดเขาเอาไว้ ซองจูหลับตาลง และจดจ่อไปกับน้ำเสียงแว่วหวานของจองอู 


 


 


“อ๊ะ อื้อ…อีก ตรงนั้น ไม่ไช่ อื้อ ไม่เอา อีก…” 


 


 


เขาหลงลืมความจริงที่ว่าตอนนี้เขากำลังปลุกอารมณ์ด้วยมือของตัวเองอยู่ ซองจูค่อยๆ ขยับมือเร็วขึ้น เสียงเฉอะแฉะที่ดังชัดยิ่งทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน เขาขยับสะโพกและขาเกี่ยวกระหวัดไปมา 


 


 


อีก ลึกเข้ามาอีก เข้ามาในส่วนที่ซ่อนอยู่ลึกกว่านี้ มันรู้สึกดีที่อีกคนเข้ามาอยู่ในตัวเขา 


 


 


ร้องขอโดยที่ไม่กล้าเอ่ยออกไปจากปาก ซองจูค่อยๆ ขยับเคลื่อนอีกมือไปทางด้านหลัง 


 


 


“อือออ…” 


 


 


ช่องทางที่ไม่มีใครอื่นเข้ามาสัมผัสเป็นเวลานานมากแล้ว ฝืดเคืองกว่าที่คิดเอาไว้ อีกมือหนึ่งลูบสัมผัสไปที่ตัวตนอย่างรักใคร่ กวาดรูดน้ำรักที่ไหลเยิ้มออกมาราวกับน้ำ ก่อนจะปาดป้ายลงไปบนช่องทางที่ฝืดเคือง ลูบวนอย่างแผ่วเบาลงบนช่องทางที่ไม่ยอมเปิดออกมาซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น ร่างกายที่จดจำรสน้ำนั้นได้ก็เริ่มตอบสนองกลับมา 


 


 


เสียงของจองอูที่ดังอยู่ข้างหู เริ่มต้นร้องเพลงในจังหวะเนิบๆ ออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่เหมือนอีกคนกำลังร้องเพลงอยู่ข้างๆ เขา ก็ทำให้ช่องทางนั้นเริ่มเปิดออก 


 


 


“อื้อ อื้ม อ๊ะ อือ…อ๊ะ ฮึก…ตรงนั้น อื้ม…” 


 


 


แก้มที่แนบชิดไปกับหมอน ถูไถไปมาช้าๆ ราวกับกำลังออดอ้อน ผืนผ้าฝ้ายที่เริ่มอุ่นร้อนขึ้นมา โอบรับใบหน้าของซองจูเอาไว้อย่างนุ่มนวล แม้จะต่างจากฝ่ามือใหญ่และหยาบกร้านของจองอู แต่ไม่เป็นไร อย่างไรมันก็ยังรู้สึกถึงความอุ่นร้อนได้เหมือนกัน ซองจูขยับเคลื่อนไหวทั้งสองมือ ยิ่งเสียงน้ำเฉอะแฉะดังออกมามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งขยับยกก้นสูงขึ้น พร้อมกับขยับโยกสะโพกรับไปมา 


 


 


“อ๊ะ อื้อ อึก อื้ม! ฮือ…อึก ฮือ!” 


 


 


ยิ่งเสียงอู้อี้ผสมกับเสียงครางดังมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงหอบหายใจดังชัดที่ข้างหู มันคือเสียงของเขาหรือของจองอูที่อยู่ในจอภาพก็สุดจะรู้ ผ้าห่มสีขาวที่พันรอบเอวเขา อุ่นร้อนขึ้นตามอุณหภูมิร่างกายของเขา มันให้ความรู้สึกราวกับมือหยาบกร้านของจองอูกำลังโอบกอดเขาเอาไว้ 


 


 


เสียงครางของซองจูดังมากขึ้นตามการขยับปลุกอารมณ์ที่ช่องทางด้านหลังด้วยมือที่เพิ่มแรงยิ่งขึ้น เขาไม่สามารถปลดปล่อยได้โดยแค่การปลุกเร้าแกนกายของตัวเอง การรับสัมผัสที่เปลี่ยนไปของร่างกายทำให้ซองจูหวาดหวั่น หากไม่ใช่จองอูแล้ว เขาก็คงไม่ยอมรับ ในตอนนี้กลับเคยชินกับมันไปเสียแล้ว เช่นนี้เขายิ่งเกลียดจองอูที่มาสร้างความเคยชินเอาไว้แล้วก็หนีไปมากขึ้นกว่าเดิม  


 


 


“อื้อ ฮือ จะ จองอู…นี่ คิมจองอู อ๊ะ อื้อ อึก! อื้ม!” 


 


 


เมื่อเรียกชื่อจองอูออกมา สะโพกก็ยิ่งขยับรับอย่างบ้าคลั่ง เสียงเพลงที่ไม่ได้ร้องออกมาเพื่อเขา น้ำเสียงนุ่มลึกของอีกคน เสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังตรงข้างหู เขาคิดถึงทั้งหมดนั่น 


 


 


ซองจูละทิ้งชีวิตที่ตัวเขาเคยชิน ร่องรอยของจองอูที่หลงเหลืออยู่มันทำให้ทุกอย่างง่ายมาก แม้ว่านั่นจะไม่ได้เป็นการทำเพื่อซองจูก็ไม่เป็นไร ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ที่รู้ตอนนี้ก็คือเขาไม่อาจปล่อยมือจากการล่อลวงอันหอมหวานนี้ได้แล้ว ปล่อยให้โดนหลอกอยู่อย่างนี้ ยังดีเสียกว่าการรู้ว่ามันคือเรื่องโกหก 


 


 


“จองอู ตรงนั้น อื้อ! ได้โปรด อีก แรง อีก!” 


 


 


ร่ำร้องเรียกชื่อของจองอูซ้ำๆ พร้อมกับขยับโยกส่วนสะโพก ลูบไล้ไปที่แกนกายที่แข็งขึ้นมา ซองจูขยับโยกสะโพกด้วยแรงอารมณ์เหมือนพวกสุนัข ขณะที่ข้างหูก็แว่วเสียงที่แสนคิดถึง 


 


 


 


 


 


[ผมเคยเฝ้ารอคอยคนๆ นึง คนที่ไม่ว่าจะเฝ้ารอสักกี่คืนวัน เขาก็ไม่มาหา และก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน ที่กระทั่งการรอคอยนั้นก็กลับทำให้รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา นั่นเป็นครั้งแรกที่ตัวผมรู้สึกแบบนั้น แล้วผมก็ได้เอาความรู้สึกในตอนนั้น มาใส่ลงเนื้อเพลงของเพลงนี้ครับ] 


 


 


 


 


 


คนที่ไม่ว่าจะเฝ้ารอสักกี่คืนวัน เขาก็ไม่มาหา คนๆ นั้นก็คือนาย 


 


 


ซองจูคิดเช่นนั้น พร้อมกับพรูลมหายใจหอบถี่ออกมา 


 


 


“อือ อื้อ…อื้ม อ้า อ๊ะ…จะ จองอู…อื้ม อึก อือ…อื้ม!” 


 


 


แม้จะขยับกอบกุมส่วนกลางกายเอาไว้ พร้อมทั้งเคลื่อนขยับสะโพกสอดรับความต้องการไปด้วยก็ตาม แต่ทว่ามันก็ไม่อาจเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่านั้นได้เลย 


 


 


แม้จะคิดถึงอีกคนมากมายขนาดนี้แล้ว หากความอบอุ่นของอีกฝ่ายที่เขาเฝ้ารอคอย มันกลับเป็นเพียงแค่การรอคอยอันเหน็บหนาวก็เท่านั้น 


 


 


“อื้อ!” 


 


 


ฤทธิ์ความมึนเมาจากเหล้าและความฉ่ำแฉะด้วยความคิดถึง ทำให้ภายในหัวสมองถูกฟอกเสียจนขาวโพลนไปหมด พร้อมกันกับส่วนแกนกายที่ปลดปล่อยห้วงอารมณ์ปรารถนาออกมา ก่อนเสียงครางหวานที่หลุดออกนั้นจะเลือนหาย พร้อมกับลมหายใจที่ขาดห้วง แขนทั้งสองข้างของซองจูตกลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง แล้วเจ้าตัวจึงค่อยหลับตาลงอย่างช้าๆ 


 


 


ดวงตาทั้งสองข้างของซองจูที่ปิดสนิทอยู่นั้น ค่อยๆ มีน้ำตารินไหลออกมาอย่างเงียบงัน 


 


 


ซองจูที่ใช้ชีวิตราวกับเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย ตลอดช่วงเวลานั้น สภาพของเขาเหมือนคนที่กำลังวิ่งไปบนเส้นทางที่ย่ำแย่อย่างที่สุด 


 


 


ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้น เขาก็รีบคว้าเอาโน้ตบุ๊กมาเปิดหาวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับจองอู ทำตัวเปล่าประโยชน์ไปกับการนั่งดูวิดีโอพวกนั้น หากรู้สึกเจ็บตากับการเพ่งมองเป็นเวลานาน เขาก็จะเปลี่ยนไปเข้าแอพสตรีม ฟังผลงานเพลงที่จองอูทำไว้แทน ส่วนใหญ่ที่ฟังก็เป็นอัลบั้มเดี่ยวของจองอูทั้งนั้น 


 


 


แรกสุดนั้น เป็นเพลงในจังหวะกระชากวิญญาณ ตามแบบฉบับที่ใช้ในการแสดงคอนเสิร์ตร็อคแดนซ์ เพลงที่จองอูทำส่วนใหญ่เป็นเพลงร็อคที่มีจังหวะเหมาะกับการขยับร่างกายตามไปด้วย หรือไม่ก็เป็นเพลงแนวอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บ้างก็เป็นเพลงที่ใส่เรื่องราวอันแสนเศร้าของอีกคนเอาไว้ เมื่อเขาได้ลองฟังเพลงพวกนี้ทั้งหมดแล้ว ก็เหมือนว่าพอจะเข้าใจในความคิดของคิมจองอูขึ้นมาบ้าง 


 


 


จองอูไม่ได้เล่าเรื่องราวของตัวเองให้ซองจูได้รับรู้มากนัก ซองจูรับรู้ผ่านบทเพลงของอีกคนที่ได้ฟัง ก็พอจะรู้ว่า ชีวิตของจองอูนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แน่นอนว่าในบทเพลงพวกนั้น จองอูมักจะพูดถึงคนรอบตัวหลายๆ คน ซึ่งนั่นรวมถึงน้องชายของเขาด้วย จองอูช่างเป็นคนที่กอดเก็บความเจ็บปวดเอาไว้มากมายเหลือเกิน จนมันทำให้เขารู้สึกผิดที่มีชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบมาตลอด 


 


 


ดังนั้นเขาจึงยิ่งรู้สึกผิดต่ออีกคนอย่างมาก อีกคนต้องเจ็บปวดแค่ไหนกับการต้องทำตามใจ และคอยรองรับอารมณ์คนที่ไม่ได้เรื่องแบบเขา ตัวเขาที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวเหล่านั้นเลย มันยิ่งทำให้เขาเกลียดตัวเองที่แสดงท่าทีแบบนั้นออกไป 


 


 


ถึงตอนนี้เขาจะรู้สึกเสียใจ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว ด้วยจิตใจที่สับสนอยู่ระหว่างความคิดถึงและความเสียใจ เขาฟังเพลงของจองอูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เช่นนั้น ทำแบบนั้นเรื่อยๆ จนหลับไปโดยไม่รู้ตัว และในความฝัน ตัวเขาก็พยายามไล่ตามจองอูที่ห่างไกลออกไป 


 


 


เมื่อลืมตาตื่นขึ้น เขาก็ต้องหงุดหงิดกับสภาพของตัวเอง ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยร่องรอยของหยาดน้ำตามากมายแบบนั้น ข้าวก็กินบ้างไม่กินบ้าง กินแต่เหล้าและสูบบุหรี่ จนดวงตาลึกโหล ใต้ตาก็เป็นรอยดำคล้ำขนาดใหญ่ ใบหน้าที่เคยมีน้ำมีนวลกลับซูบตอบ น้ำหนักก็ลดลง แก้มสองข้างตอบลงจนไม่เหลือเค้าเดิม 

 

 

 


ตอนที่ 3-6

 

ตอนที่ 3-6 ความสับสน

 


 


 


 


ทุกๆ สองวัน ดงฮยอนจะคอยมาหาเพื่อเช็กสภาพของซองจูสักครั้งหนึ่ง เดี๋ยวนี้ดงฮยอนเก็บซ่อนสีหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยไว้ไม่มิดเลย 


 


 


“กินอะไรบ้างเถอะ คงไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่เตรียมให้ แต่ไม่ยอมพูดออกมาหรอกใช่ไหม” 


 


 


“รู้แล้วน่า กลับไปเถอะ” 


 


 


“ซองจู นายทำไมทำแบบนี้ล่ะ แบบนี้มันไม่สมเป็นตัวนายเลยนะ” 


 


 


“บอกให้ไปไง” 


 


 


กระทั่งท่าทางที่เอ่ยปากไล่เขาให้รีบๆ ออกไป ก็ดูแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงอยู่แล้ว ดงฮยอนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความห่วงใย ยืนพิงอยู่ตรงกรอบประตูห้อง โดยที่ไม่ได้ขยับออกห่างไปไหนแม้แต่นิด คอยจับตาเฝ้ามองท่าทางของซองจูอยู่เช่นนั้น 


 


 


“นายไปโรงพยาบาลกับฉันดีไหม? ยังไงสภาพนี้ก็ควรจะไปตรวจร่างกายดูบ้าง…” 


 


 


“ให้ออกไปทั้งสภาพนี้งั้นเหรอ? พี่เสียสติไปแล้วเหรอ?” 


 


 


ดงฮยอนจ้องมองซองจูที่ทำท่าทางหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง แล้วจึงได้แต่ถอนหายใจออกมา ถ้ารู้ว่าอีกคนมีสภาพอย่างไร จะสนใจบ้างไหมนะ ดงฮยอนได้แต่กล้ำกลืนคำพูดนั้นกลับไปอย่างไม่กล้าเอ่ยออกมา พร้อมกับสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดขึ้น ช่วงนี้เขาดูจะถอนหายใจบ่อยเสียเหลือเกิน 


 


 


“เฮ้อ…ไม่งั้น ฉันพาหมอมาที่นี่ก็ได้” 


 


 


“ไม่ต้อง ถ้าว่างมากขนาดนั้น ก็ไปทำเรื่องที่ควรทำซะเถอะ มีอะไรที่สำคัญกว่าเรื่องนั้นอีกตั้งเยอะไม่ใช่รึไง?” 


 


 


ซองจูพูดออกมาเช่นนั้น พร้อมแสดงท่าทีต่อต้านด้วยการหยิบหูฟังขึ้นมาสวม ดงฮยอนที่เห็นการแสดงท่าทางต่อต้านไม่ต้องการพูดคุยอะไรอีกต่อไปแล้วของอีกคน จึงได้แต่ถอยกลับไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก 


 


 


ปัง 


 


 


เมื่อเสียงปิดประตูดังออกมา ก็ทำให้ความสงบสุขกลับเข้ามาเยือนภายในห้องชุดอันกว้างขวางนี้อีกครั้ง 


 


 


หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อนล่ะก็ ไม่มีทางที่เขาจะคิดว่าห้องชุดแห่งนี้มันกว้างเกินไป แต่ว่าตอนนี้กระทั่งในห้องนอนนี้ก็ยังดูกว้างเหลือเกิน เขาละทิ้งทุกอย่างที่เคยยึดติด เมื่อซองจูตระหนักได้แล้วว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ไม่อาจช่วยเติมเต็มภายในจิตใจที่ว่างเปล่านี้ได้เลย 


 


 


เหลือเพียงสิ่งเดียวที่เขายังคงยึดติดกับมัน 


 


 


คิมจองอู 


 


 


ซองจูยังคงไม่สามารถลบเลือนจองอูที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยได้ 


 


 


ไม่สิ เขาสามารถลืมมันไปได้ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจมันกลับไม่ยอมรับแม้แต่น้อย เขาได้แต่เวทนาตัวเองที่จมอยู่กับความสับสนกระวนกระวาย เขาค่อยๆ เปิดโน้ตบุ๊ก แล้วจึงได้สังเกตเห็นสัญลักษณ์แจ้งเตือนที่โฟลเดอร์ฮาร์ดดิส 


 


 


เขาเปิดมันเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แล้วนั่งไล่ดูวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับจองอู และเปิดฟังเพลงเท่านั้น แต่ไม่ได้ใส่ใจดูแลตัวเครื่องเลย 


 


 


โน้ตบุ๊กนี้เขาใช้มันมานานมากแล้ว เพราะฉะนั้น นั่นอาจเป็นสัญญาณแจ้งเตือนก่อนที่มันจะระเบิดตัวเองก็เป็นได้ สัญลักษณ์แจ้งเตือนสีแดงที่ปรากฏขึ้นมานั้น แสดงให้รู้ว่าพื้นที่ความจุของฮาร์ดดิสเหลือน้อยแล้ว และยังสัญลักษณ์ป็อบอัพแจ้งเตือนให้เลื่อนการอัปเดตออกไปที่เด้งขึ้นมาตลอดเวลานั่นอีก มันทำให้เขาเริ่มโมโหออกมา 


 


 


“โธ่เว้ย น่ารำคาญชะมัด” 


 


 


ซองจูบ่นพึมพำออกมาพร้อมกับจัดการกับพื้นที่ในถังขยะ 


 


 


เสียงแจ้งเตือนและสัญลักษณ์แจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาทันทีที่จัดการลบข้อมูลในถังขยะ เขาจึงได้เปิดเข้าไปดูในไดร์ฟดีที่มีแจ้งเตือนปริมาณพื้นที่ความจำเหลือน้อย ใช้โอกาสนี้จัดการกับไฟล์ที่ไม่จำเป็นทั้งหลายให้หมดเสีย 


 


 


จัดการลบพวกบทละครที่ไม่จำเป็นต้องตรวจดูอีกต่อไป หรือจดหมายแนะนำตัวต่างๆ รวมถึงพวกข้อมูลที่ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาแล้ว ย้ายเอกสารมากมายพวกนั้นลงถังขยะไปเสีย 


 


 


แต่ว่าในบรรดาโฟลเดอร์ทั้งหมด โฟลเดอร์ที่กินพื้นที่เยอะที่สุดเห็นจะเป็นโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์วิดีโอเอาไว้ เพราะการไปโรงหนังมันไม่เป็นไปอย่างใจคิดนัก ว่างเมื่อไหร่เขาก็จะซื้อไฟล์ภาพยนตร์มาเก็บสะสมไว้ จนตอนนี้มันกองเท่าภูเขาแล้ว ในบรรดาโฟลเดอร์พวกนั้น เขาตั้งใจจะลบโฟลเดอร์ที่ไม่ประทับใจทิ้งไปเสีย จึงได้ดับเบิ้ลคลิกลงไปที่โฟลเดอร์แถวแรกที่มีเลขหนึ่งอยู่ 


 


 


มันเป็นโฟลเดอร์ที่เขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าตัวเองสร้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเปิดเข้าไปดูข้างใน เขาก็พบเอกสารไม่กี่อันอยู่ในนั้น ส่วนท้ายสุดเป็นวิดีโอที่ถ่ายเอาไว้ตอนช่วงที่ไปออกค่ายกับชมรมตอนสมัยยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย 


 


 


“นี่เราเก็บของแบบนี้ไว้จนถึงตอนนี้เลยเหรอ? มันก็ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย ทำไมไม่ลบทิ้งไปนะ?” 


 


 


ซองจูบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะกดเปิดวิดีโอนั้นขึ้นมา 


 


 


ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ คือบรรยากาศของวงเหล้าที่เสียงดังเอะอะโวยวาย ไม่ว่าจะพยายามนึกดูเท่าไหร่ มันก็แค่วิดีโอที่ไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิด มันก็แค่วิดีโอที่ถ่ายภาพบรรยากาศวงเหล้าแบบลองช็อตเอาไว้ก็เท่านั้น สงสัยว่าด้วยเหตุผลอะไรเขาถึงยังเก็บมันเอาไว้ ซองจูที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพ่งมองไปที่ภาพวิดีโอนั่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ค้นพบเหตุผลที่ตัวเองเก็บวิดีโอนี้เอาไว้ โดยที่ไม่ได้ลบมันทิ้งไป 


 


 


สิ่งที่ปรากฏในสายตาของเขาก็คือ ภาพตัวเขาที่มีใบหน้าเรียบนิ่ง ในมือข้างหนึ่งถือแก้วเหล้าเอาไว้ และใบหน้าของเซจอง 


 


 


จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ซองจูผู้ไม่เคยสนุกสนานกับการดื่มร่วมกับคนอื่น จึงนั่งอยู่ตรงมุมด้านในสุดของห้องพัก กำลังตั้งใจฟังเรื่องที่ใครบางคนกำลังพูดออกมา คนๆ นั้นนั่งหันหลังอยู่ จึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าพอได้เห็นทรงผมที่ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แบบนั้น คนที่กำลังพูดจ้ออยู่นั่น แน่นอนว่าต้องเป็นท่านดงฮยอนนั่นแหละ เมื่อเห็นสีหน้าของตัวเองที่ขมวดคิ้วแน่น และดูจริงจังแบบนั้นแล้ว ดูเหมือนคงจะกำลังคุยเรื่องที่จริงจังมากๆ กันอยู่อย่างแน่นอน 


 


 


‘อาจจะกำลังคุยเรื่องเกี่ยวกับหนังกันอยู่ล่ะมั้ง’ 


 


 


เขายกยิ้มมุมปาก เมื่อพอจะคาดเดาเรื่องราวที่กำลังคุยกันอยู่ได้บ้าง แล้วก็นั่งดูวิดีโอต่อไป 


 


 


แม้จะไม่ใช่สมาชิกที่ถูกต้องตามระเบียบ แต่เซจองก็มักจะโผล่มาร่วมกิจกรรมในชมรมของซองจูบ่อยๆ ส่วนดงฮยอนนั้น แม้จะเรียนต่อปริญญาโท แต่ก็เป็นพวกที่ขยันขันแข็งในการทำกิจกรรมของชมรมมากว่าจะสนใจเรียนเสียอีก 


 


 


เซจองที่ทำตาเป็นประกาย ในขณะที่จ้องมองไปยังดงฮยอนที่กำลังขยับปากพูดอย่างออกรสอยู่นั้น ยังดูเด็กอยู่มาก แต่ทว่ามันก็เพียงแค่เท่านั้น ซองจูมองภาพตัวเองที่นั่งถัดจากเซจองแบบนั้นแล้ว ก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกอะไรอื่นอีก 


 


 


“เด็กมากๆ เลยนะ” 


 


 


ดูสดใสดี จากสภาพดงฮยอนที่ดูแปลกประหลาด หรือตัวเขาเองที่ดูไม่ได้แบบนั้นแล้ว วิดีโอนี้คงเป็นช่วงที่เซจองเพิ่งจะปลดประจำการออกจากกรมมา แต่ว่าทั้งหมดมันก็มีเพียงเท่านั้น สดใสและยังเด็กอยู่มาก แค่เด็กวัยรุ่นที่ยังคงค้นหาตัวเองอยู่ เพียงแค่การกระทำแบบเด็กๆ ในวัยไร้เดียงสาที่เคยแสดงท่าทางเป็นรุ่นพี่ผู้มีประสบการณ์ก็เท่านั้น มันแค่ความรู้สึกแบบนั้นเท่านั้น ที่เขาสามารถรับรู้ได้ในเวลานี้ 


 


 


ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ 


 


 


หากเป็นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ตัวเขาในตอนนั้นที่ยังคงยึดติด และไม่อาจจัดการกับความรู้สึกที่มีต่อเซจองได้ แม้จะได้ดูวิดีโอซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตที่คิดถึงอย่างเช่นตอนนี้ เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดที่พิเศษไปจากเดิม ซองจูเพิ่งตระหนักว่าตัวเขาได้จัดการกับสายใยความรู้สึกบางๆ ที่เกี่ยวข้องเซจองได้นานแล้ว จึงได้ปิดวิดีโอไปด้วยสีหน้าที่ยังคงเรียบนิ่ง 


 


 


ซองจูเพียงคิดว่าเขาควรต้องยอมรับในสิ่งที่ต้องยอมรับได้แล้ว 


 


 


ในใจของเขามันไม่มีที่ว่างสำหรับเซจองมานานแล้ว คนที่มาแทนที่และเข้ามายึดครองทุกส่วนไปจนหมดนั้น มีเพียงแค่คิมจองอูเท่านั้น 


 


 


ไอ้บ้าที่วิ่งหนีเขาไปด้วยตัวเองแบบนั้น เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียวว่า อีกคนมีอะไรดีขนาดนั้นกัน แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เสียแล้ว คนที่ตกหลุมรักก่อนไม่ใช่คนที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรอกนะ 


 


 


ไม่เกี่ยวว่าเป็นมุนเซจองหรือใคร แม้ไม่รู้ว่าควรจะเรียกชื่อความสัมพันธ์แบบนั้นว่าอย่างไร มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าตัวเขาชอบจองอู ถึงจะมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จองอูจะปฏิเสธความรู้สึกนั้น แม้ไม่รู้ว่าอีกคนทำอะไร อยู่ที่ไหนก็ตาม เขาตัดความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ อาจจะคิดแค่ว่ามันเป็นแค่เรื่องน่าขำก็เท่านั้น 


 


 


เรื่องง่ายๆ แค่นี้ จนตอนนี้ก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ ผลลัพธ์ของความโง่เขลาที่มาคิดได้ในเวลาที่มันสายไปแล้ว ก็คือหัวใจและร่างกายที่แหลกสลายเช่นนี้ 


 


 


หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เห็นทีว่าคงได้จัดงานศพให้ตัวเองแน่ๆ แม้จะไม่มีเรื่องเช่นนั้น แต่ถ้าหากวันนี้จองอูเกิดกลับมากะทันหันล่ะ? เขาไม่อยากให้อีกคนได้มาเห็นเขาในสภาพที่ดูไม่จืดแบบนี้ หากเป็นไปได้ เขาอยากมีสภาพที่ดูดีที่สุด ถึงนายจะไม่อยู่ ฉันก็ยังคงดูดีเช่นเดิม ยังคงเหมือนเดิมเสมอ และอยากจะหัวเราะเยาะใส่อีกฝ่าย แบบนั้นล่ะถึงเป็นฮันซองจู 


 


 


เขาค่อยๆ ปิดพับฝาโน้ตบุ๊กลง ลุกออกมาจากที่นอน สองเท้าที่ไม่ได้สัมผัสลงบนพื้นห้องมาเนิ่นนานแล้ว จึงพาลให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง ซองจูก้าวไปทางห้องอาบน้ำอย่างช้าๆ  


 


 


แอ๊ดด 


 


 


เสียงบานพับประตูที่ดังเอี๊ยดอ๊าดออกมาเช่นนั้น ทำให้เกิดความคิดที่ว่าหากว่างเมื่อไหร่ เขาคงต้องหาน้ำมันมาหยอดเสียหน่อยแล้ว ก่อนเจ้าตัวจะก้าวเข้าไปภายในห้องอาบน้ำ 


 


 


“โห” 


 


 


วินาทีที่ได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ก็ทำเอาต้องส่งเสียงอุทานออกมา 


 


 


สภาพที่ไม่ได้รับการดูแลตัวเองเลย รูปร่างซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัดจนดูน่าเกลียด ร่างกายที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลยสักครั้งตลอดช่วงที่ผ่านมา น้ำหนักที่ลดฮวบลงจนเผยให้เห็นกระดูกซี่โครงชัดเจน กล้ามหน้าอกที่เคยมีก็หายไป กลายเป็นแบนราบ ทรวดทรงที่เคยมีก็ซูบตอบไปหมด แผ่นหลังที่เห็นเส้นกระดูกสันหลังปูดชัดออกมา เป็นสภาพที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย ตำแหน่งบนสองแขนและสองขาที่เคยมีมัดกล้ามเนื้อก็หายไปจนหมด และยังใบหน้าที่หมองคล้ำ รวมถึงสองแก้มที่ซูบตอบ เส้นผมยาวและมีสภาพกระเซอะกระเซิง อย่างกับไม่เคยได้รับโอกาสให้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าหวีเลยสักครั้งหนึ่ง 


 


 


เขาได้แต่หัวเราะเยาะให้กับสภาพที่ดูไม่ได้ของตัวเอง ในสภาพนี้ของฮันซองจู หากกลับไปเป็นนักแสดงคงจะได้รับทาบทามไปเล่นบทคนป่วยใกล้ตายอย่างแน่นอน 


 


 


“สภาพนี้เนี่ยนะ? ชวนให้ไปโรงพยาบาล? ก่อนจะได้ไปโรงพยาบาล คงได้มีข่าวลือใหม่เกิดขึ้นมาก่อนน่ะสิ ไอ้บ้าเอ๊ย เป็นประธานประสาอะไร” 


 


 


หลังจากตกตะลึงกับสภาพตัวเอง และได้พึมพำออกมาอย่างเจ็บแค้นแล้ว ซองจูก็ปิดประตูห้องอาบน้ำลง และได้เวลาที่เขาจะค่อยๆ สลัดการกระทำที่ผิดแปลกของตัวเองทิ้งเสียที 


 


 


 


 


 


“ส่งผู้จัดการผมมา คืนมินซิกมาให้ผม” 


 


 


เขาจัดการอาบน้ำจนสะอาดหมดจด เมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำมาแล้ว ซองจูก็ต่อสายหาดงฮยอนในทันที ดงฮยอนที่รีบร้อนกดรับรับสายของอีกฝ่ายทั้งที่ยังไม่ทันจะพ้นสองวินาทีด้วยซ้ำ ก็ถึงกับตอบอะไรไม่ถูกกับคำพูดที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน 


 


 


หลังจากนั้นจึงได้เอ่ยตอบกลับไปอย่างยากลำบาก 


 


 


“นายเป็นบ้าไปแล้วรึไง?” 


 


 


ซองจูหัวเราะเฮอะให้กับประโยคนั้น ก่อนจะตอบกลับไป 


 


 


“ถ้าผมดีขึ้นแล้ว ก็จะคืนมินซิกให้ นั่นมันคำพูดของพี่ไม่ใช่รึไง” 


 


 


“แล้วสภาพนายตอนนี้มันดีขึ้นเสียที่ไหน…เดี๋ยวนะ อะไรเนี่ย ตอนนี้นายตั้งสติได้แล้วเหรอ?” 


 


 


“ผมมีสติอยู่ตลอดนั่นแหละ จะยังไงก็ช่าง รีบส่งมินซิกมาที่นี่ด่วนเลย พี่ไม่ได้มีหน้าที่คอยตามก้นผมสักหน่อย” 


 


 


“นี่ พูดอะไรให้มันรู้เรื่องหน่อย คนตามก้นนายอะไรกัน” 


 


 


“ช่างมันเถอะน่า รีบๆ ส่งตัวมาสักที คงต้องปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารเพื่อเพิ่มน้ำหนักซะก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยไปโรงพยาบาล แล้วก็กลับไปออกกำลังกาย ส่งมินซิกมา เจ้านั่นจะได้จัดการตารางให้ผมได้ ถ้ายังชักช้าล่ะก็ ผมจะลืมๆ มันไปซะ” 


 


 


คำพูดคำจาแบบนั้น ดูท่าซองจูคนเก่าคงจะกลับมาแล้วสินะ ดงฮยอนต้องรีบตอบกลับไปทันที เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสไป เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคออยู่หลายวินาที ก่อนจะเอ่ยปากตอบกลับไปอย่างยากลำบาก 


 


 


“นี่นายจริงจังอยู่ใช่ไหม” 


 


 


“เคยเห็นผมทำเรื่องไร้สาระเหรอ” 


 


 


เมื่อดงฮยอนได้ฟังคำตอบของซองจูแล้ว เจ้าตัวก็ตาลุกวาวแล้วรีบตอบกลับไปทันที 


 


 


“ได้เลย จะส่งมินซิกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” 


 


 


เมื่อได้ยินประโยคนั้นซองจูก็วางสายจากอีกฝ่ายทันที พร้อมกระตุกยิ้มมุมปากออกมา มุมปากที่ไม่เคยยกยิ้มขึ้นมานานแล้วนั้น เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาได้คืนชีพกลับมาแล้ว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม