(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท ตอนพิเศษ 2
ตอนพิเศษ 2-1 ปลายนิ้ว
“อ้า อื้อ จองอู นี่ ตรงนั้น ตรงนั้น อีกนิด…”
“ตรงไหน พูดมาชัดๆ สิ”
“ตะ ตรงนั้น! อื้อ ฮึก…ลึกอีก อีก อีก ฮึก!”
หยาดเหงื่อใสถูกขับออกมาจากร่างกายที่โยกคลอนอย่างไร้สตินั้นอย่างต่อเนื่อง เสียงครางกระเส่าที่เต็มไปด้วยความเสียวของซองจูดังก้องไปทั่วห้องนอน ในยามที่เรียวลิ้นนั้นแลบเลียความเค็มปร่าที่ไหลรินลงมาตามแนวคาง
ท่าทางที่ต่างไปจากปกติ ร่างกายของซองจูที่ขยับโยกส่วนสะโพกอย่างแข็งขันอยู่ด้านบนของจองอูนั้น เต็มไปด้วยตราประทับสีแดงก่ำ เมื่อได้มองร่องรอยคล้ายดอกไม้ผลิบานกระจายอยู่ทั่วผิวขาว จองอูจึงได้ขยับสะโพกเด้งสวนขึ้นไป ซองจูเชิดหน้าขึ้นด้วยความเสียวซ่านอีกครั้ง
“ฮึก นาย เกินไปแล้ว…อึก อื้อ!”
“อึก!”
เลียริมฝีปากบนด้วยเรียวลิ้น พร้อมกับขยับสะโพกเด้งสวนขึ้นไปอีกครั้งจนซองจูชะงักค้างไป ร่างทั้งร่างก็พลันกระตุกเกร็ง ในตอนนั้นเอง ด้วยการขยับตอดรัดอย่างแรงภายในทำให้ความต้องการที่อัดแน่นของจองอูถูกปลดปล่อยออกมาในทันที
ซองจูที่ซบลงกับแผ่นอกของจองอูอย่างหมดแรง และได้แต่หายใจหอบถี่อยู่อย่างนั้น จู่ๆ ก็มีสัมผัสจากมือที่แสนอ่อนโยนคอยลูบไล้ไปตามแผ่นหลังและช่วงเอวของเจ้าตัว
“ฮือ อื้อ…ตรงนั้น ไม่ ได้…”
อารมณ์ปรารถนาที่ยังไม่มอดไหม้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งด้วยการสัมผัสลูบไล้นั้น การขยับโยกร่างกายอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับปลดปล่อยความต้องการนั้นเข้าไปภายในตัวของซองจูก่อนหน้านี้ แต่ส่วนกลางจองอูกลับเริ่มตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
“ร่างกายของนายบอกว่าไม่เป็นไรนี่”
“นายเนี่ย ถ้ายังทำแบบนี้ แล้วฉันเกิดสลบไปจะทำยังไง…”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็ดูแลนายไง”
ซองจูเหลือบมองจองอูที่กล่าวออกมาอย่างสบายใจพร้อมกับยกยิ้มละไม เห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะเซ้าซี้ซองจูจริงๆ จองอูกอดร่างกายของอีกคนเอาไว้อย่างเงียบๆ และตบเบาๆ ลงบนแผ่นหลังนั้น
คนทั้งคู่ทอดกายอยู่บนเตียงด้วยกัน แนบชิดด้วยความปรารถนาที่ถูกจุดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่ายาวนานตั้งแต่ช่วงกลางวัน จนกระทั่งดวงอาทิตย์นั้นคล้อยผ่านไป บนเตียงที่ไม่อาจระบุได้ว่าแปดเปื้อนความต้องการที่สำลักออกมานับไม่ถ้วนนั้นมากเท่าไรตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย เตียงที่เหนอะหนะด้วยคราบน้ำรักของคนทั้งสอง และผ้าห่มที่ปลิวหล่นอยู่ไกลออกไปนั้น ทำให้รู้ได้ว่าการแนบชิดแสนยาวนานนั้นร้อนแรงเพียงใด จองอูโอบกอดร่างกายที่ยังสั่นสะท้านอยู่เล็กน้อยของซองจูเอาไว้ด้วยสองแขน แล้วจึงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
“หนาวเหรอ”
“นิดหน่อย”
ด้วยคำพูดนั้น เขาจึงค่อยๆ ยกตัวของซองจูลงมา แต่ทว่าอีกคนกลับมีท่าทางดื้อดึง
“อื้อ…”
เขาไม่สามารถเอาชนะซองจูที่ทำเสียงงอแงออกมาเช่นนั้นได้เลย ดังนั้นแทนที่จองอูจะไปเก็บผ้าห่มขึ้นมา จึงได้เลือกดึงอีกคนเข้ามากอดเอาไว้แทน
“เดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก”
“ไหนนายว่าจะดูแลฉันไง”
“นั่นมันก็แน่อยู่แล้ว”
จองอูกล่าวออกมาแบบนั้น แล้วจึงประทับจูบแผ่วเบาลงบนแก้มของซองจูที่ยังคงขึ้นสีระเรื่อให้เห็น
“ทำตัวเป็นเด็กๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย”
“แล้วไง ไม่ชอบ?”
“เปล่า แค่ทำบ่อยๆ ไม่ได้เหรอ”
“แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก”
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงคอยลูบหัวของซองจูที่ซุกอกของเขา เมื่อเผลอแสดงท่าทีที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน แล้วจองอูก็ยกยิ้มออกมา
พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านหลังนี้มาเกินหนึ่งปีแล้วโดยไม่รู้ตัว ย้ายเข้ามาตอนช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แล้วก็ผ่านช่วงฤดูร้อน ฤดูหนาวมาจนเป็นฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง แล้วก็ใกล้จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว คนทั้งคู่ที่ต่างเป็นพวกขี้ร้อน แม้จะหาบ้านที่มีลมพัดผ่านได้ดี ก็ยังคงใช้ชีวิตในตอนกลางวันด้วยการเปิดเครื่องปรับอากาศเอาไว้อยู่ดี
“ตอนกลางวันอากาศร้อนก็จริง แต่พอเป็นกลางคืนก็เลยหนาวสินะ”
“ไม่ใช่เพราะว่าเหงื่อออกเยอะเหรอ”
“ยังไงก็ช่าง อย่าอ้วกพอ”
นอนแหมะอยู่บนตัวเขาอย่างไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้น แล้วก็ส่งเสียงบ่นงึมงำออกมาให้หน้าอกได้ขยับสะท้อนขึ้นลง จองอูหัวเราะแผ่วเบาออกมา พร้อมกับออกแรงขยี้ลงบนกลุ่มผมนุ่มที่เปียกชื้นอยู่นิดหน่อยนั่น
“นายนี่มัน…!”
ด้วยสัมผัสหยอกเย้าเช่นนั้น ซองจูจึงได้เงยหน้าพรวดขึ้นมา แล้วปัดเส้นผมที่ปิดบังใบหน้าด้านหนึ่งของจองอูขึ้น เมื่อรอยแผลเป็นลึกที่เริ่มจากคิ้วด้านซ้ายพาดไปจนถึงบริเวณหางตาถูกเผยออกมา จองอูก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
“ต้องเอาคืนกันแบบนี้เลยเหรอ”
“ก็แล้วทำไมฉันต้องทนอยู่เฉยๆ ด้วยล่ะ”
ซองจูพูดแบบนั้นออกมา พร้อมขยับร่างกายขยุกขยิกไปมาบนตัวของจองอู
หยอกล้อด้วยการใช้นิ้วเรียวม้วนเส้นผมนั้นไปมา แล้วปัดไปด้านหลังอีกครั้ง เรียวนิ้วที่ขยับขยุกขยิกด้วยความหงุดหงิด ปัดป่ายมันไปด้านทางหลัง เผยให้เห็นส่วนหน้าผาก ที่เป็นสาเหตุว่าทำไมจองอูถึงไม่เคยเปิดเผยใบหน้าทั้งหมด หากต่อหน้าซองจูแล้ว เขาสามารถเปิดเผยมันออกมาได้ทั้งหมด โดยไม่มีความรู้สึกประหม่าเลยสักนิด
“ยังรู้สึกอยู่ไหม”
ใช้ปลายนิ้วโป้งสัมผัสลงบนรอยแผลเป็นนั้นอย่างอ่อนโยน พร้อมกับกระซิบถามออกมา
รอยแผลเป็นนั้นทั้งลึกและไม่เรียบเนียน อาจเพราะการเย็บแผลไม่ดี หรือด้วยสภาพร่างกายก็ไม่อาจรู้ได้ ความขรุขระที่ปรากฏเด่นชัดอยู่บนผิวนั้นได้สร้างรอยตำหนิบนใบหน้าที่หล่อเหลาของจองอู ใบหน้าที่ดูหล่อเหลา หากสีหน้ากลับเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงกับท่าทางไม่ใส่ใจและเมินเฉยกับทุกสิ่ง ไหล่กว้างผึ่งผายและร่างกายที่มีกล้ามเนื้อพอเหมาะ เมื่อเพิ่มรอยแผลเป็นนี้เข้าไป ในสายตาของคนที่ไม่รู้จักกัน ก็ดูไม่ต่างอะไรจากพวกนักเลงหัวไม้ ใช้ชีวิตมาจนป่านนี้ก็อาจจะได้รับการปฏิบัติด้วยท่าทางแบบนั้นก็ได้ ซองจูค่อยๆ แตะปลายนิ้วเรียวลงบนหน้าผากของจองอู
“ไม่ได้โดนตรงเส้นประสาทสักหน่อย”
“งั้น ถ้าจับไปแบบนี้แล้วรู้สึกยังไง”
“ก็แค่จั๊กจี้หน่อยๆ”
จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะออกแรงกอดรัดช่วงเอวของซองจูแน่นขึ้น
“ปวดใจจัง”
“อะไรกัน”
“ก็นั่นแหละ”
ซองจูกล่าวเช่นนั้น พร้อมกับลูบลงไปบนหน้าผากของจองอูซ้ำๆ
บาดแผลนั้นลื่นกว่าที่คิด แม้จะปูดนูน แต่ด้วยสัมผัสที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากผิวปกติ เลยทำให้เขาเผลอลูบไล้มันอยู่อย่างนั้น แบบนี้เรียกว่าเสพติดได้หรือเปล่านะ เขาเสพติดทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคิมจองอูมานานแล้ว การยึดติดเกี่ยวกับแผลนี่ก็ด้วย มันก็คือส่วนหนึ่งของอาการเสพติดเช่นกัน ซองจูค่อยๆ ลดมือลงมากุมแก้มของจองอูเอาไว้
“อืม…”
เสียงครางต่ำที่ถูกส่งออกมาด้วยรู้สึกดี ก่อนที่จองอูจะกอดร่างของซองจูแน่นขึ้นไปอีก มือใหญ่บีบลงไปแถวๆ สะโพกอิ่ม อุณหภูมิอุ่นร้อนที่ลุกโชนขึ้นมาจากร่างกายท่อนร่างที่ยังคงเกี่ยวกระหวัดกันอยู่พานให้รู้สึกคันยุบยิบตรงหัวใจ ด้วยความร้อนที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว พวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตาที่เป็นประกายสุกใสกลับพร่ามัวขึ้นมา ซองจูเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากล่าง ก่อนจะเคลื่อนมือลงมาด้านล่างทีละนิด
ร่างกายของจองอูนั้นมีรอยแผลเช่นนี้เกลื่อนเต็มไปหมด เจ้าตัวลากไล้กดนวดฝ่ามือไปตามลาดไหล่ผึ่งผายและกระดูกไหปลาร้าที่ยุบเป็นร่องลึกอย่างพอเหมาะ ลามมาจนถึงแผ่นอกกว้าง
“อื้ม…”
เสียงครางต่ำดังออกมา และตัวตนตรงช่วงหว่างขาที่ได้รับแรงกระตุ้นกำลังส่งสัญญาณว่ามันกำลังเริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งสงบลงไป แต่ทว่าซองจูกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลย มือของอีกคนที่เคลื่อนผ่านไปมาราวกับอสรพิษน้อยบีบ ขย้ำ และปลุกเร้าลงบนร่างกายของจองอูทุกส่วน
รอยแผลลึกและเป็นริ้วสีขาวขนาดใหญ่ที่พาดผ่านใต้หน้าอกตรงบริเวณซี่โครงกับบริเวณโดยรอบที่ปรากฏร่องรอยเป็นริ้วแผลขนาดเล็ก และยังรอยข่วนมากมายเต็มแผ่นหลังนั้น เป็นสิ่งที่อยู่กับจองอูมานานแสนนาน เจ้าตัวสัมผัสลูบไล้ลงไปอย่างระมัดระวังราวกับมันเป็นสิ่งล้ำค่า ซองจูนั้นกำลังทำให้จองอูร้อนรุ่ม
ร่างกายที่นอนเหยียดตรงของจองอู เปลี่ยนพลิกตัวนอนตะแคงตามการสัมผัสของซองจูนานแล้ว เขามองซองจูที่สัมผัสลงบนร่างกายของเขาราวกับมันเป็นสิ่งล้ำค่า ก่อนจะยกยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา
“ฮันซองจู”
“อือ”
ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบไล้ลงบนกลุ่มผมนุ่ม แม้จะเอ่ยเรียกออกไป แต่ก็ตอบกลับมาเพียงสั้นๆ เท่านั้น ซองจูไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เจ้าตัวยังคงซุกหน้าอยู่ตรงหน้าอกของจองอูและค่อยๆ ลูบไล้สัมผัสร่างกายของเขาอย่างตั้งใจ
“มองหน้ากันหน่อย”
ด้วยคำพูดนั้น ซองจูจึงทำเพียงเหลือบสายตาขึ้นมามองใบหน้าของจองอู ในสายตาพลันปรากฏภาพใบหน้าสมบูรณ์แบบและดูสดใสที่กำลังยกยิ้มกว้าง
รอยแผลเป็นนั้น หากเพียงไม่มีมันก็คงไม่ต้องปิดบังใบหน้าหล่อเหลาอีกครึ่งหนึ่งไว้แบบนั้น เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากล่างของซองจูก็ยื่นออกมาด้านหน้าในทันที
แม้จะเป็นยามค่ำคืนในฤดูร้อน จองอูก็ไม่มีทางเปิดเผยใบหน้าที่ถูกปกคลุมอยู่ใต้เส้นผมนั้นออกมาให้เห็น แม้จะถามว่าไม่รู้สึกร้อนหรือไง หากก็ยังคงดื้อรั้น ในตอนที่อยู่กับเขา ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ก็ไม่ตอบรับกลับมา เมื่อทนเฉยไม่ได้ แล้วจึงคิดจะปัดรวบผมให้ แต่ก็ทำไม่ได้ด้วยกลัวว่าจะโกรธหรือแสดงท่าทีน้อยใจกัน สุดท้ายก็มีเพียงเวลาที่เราแนบชิดกันแบบนี้ ถึงจะได้เห็นใบหน้าทั้งหมดของอีกคน แม้กระนั้น แต่เพราะรู้ว่ามีแค่เขาที่จองอูยอมให้ทำแบบนี้ได้ จึงได้กล้าแสดงท่าทางแบบนี้ออกมา ซองจูค่อยๆ ยื่นมือออกไปคว้ามือข้างซ้ายของจองอูเอาไว้
“เรียกทำไม”
ถามกลับไปด้วยเสียงแผ่ว แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมาในทันที ด้วยสายตาของจองอูที่จ้องมองมายังใบหน้าของเขาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มบางๆ เช่นนั้น ทำให้ใบหน้าที่ร้อนผ่าวอยู่แล้วยิ่งขึ้นสีแดงจัด ซองจูเคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน พร้อมกับสอดเรียวนิ้วของตัวเองเข้ากับนิ้วของจองอู
“จะห้ามเหรอ ไม่ชอบ?”
“เปล่า”
“แล้วทำไมล่ะ”
“ก็แค่ ชอบมาก”
ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ยังคงมองมาที่เขาอยู่เช่นเดิม สีหน้าของซองจูที่รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ปรากฏเป็นรอยยิ้มบางๆ ออกมา ไม่ว่าอย่างไร กับคิมจองอูทุกอย่างล้วนกลายเป็นเป็นครั้งแรก กระทั่งการสารภาพที่น่าอายเช่นนี้ ร่างกายที่ราวกับจะร้อนรุ่มขึ้นมาทุกครั้งที่ได้รับสายตาอบอุ่นนั้น มันนับเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย หากมันกลับน่าตื่นเต้นจนไม่ใช่ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายเลย ซองจูค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าของจองอู
จุ๊บ
ริมฝีปากที่แตะลงไปแผ่วเบา ก่อนผละจากไปจนแทบไม่หลงเหลือร่องรอย การจู่โจมแบบกะทันหัน ทำให้จองอูตกใจจนดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้น ซองจูหลับตาลงก่อนจะประทับจูบกับริมฝีปากนั้นอีกครั้ง
“อื้อ…”
หนักแน่นกว่าเมื่อครู่ กดแนบและดูดดึงริมฝีปากคู่นั้นอย่างอ่อนโยน พร้อมกับออกแรงกระชับเรียวนิ้วที่เกี่ยวกันไว้ให้แน่นขึ้น แม้จะรู้สึกได้ถึงการต่อต้านเล็กน้อย แต่สุดท้ายมันก็สลายหายไป
ตอนพิเศษ 2-2 ปลายนิ้ว
คิมจองอูก็เป็นแบบนี้ตลอด ซ่อนบาดแผลบนใบหน้าไว้ภายใต้เส้นผม มันก็เพียงเท่านั้น แต่ทว่าก็ไม่ยอมให้ใครได้เห็นมือข้างซ้ายอย่างง่ายๆ เช่นกัน เช่นเดียวกับที่ไม่เปิดเผยใบหน้า แม้รู้ดีว่าเพราะเป็นฮันซองจูจึงสามารถจับมือนี้ไว้ได้ หากซองจูก็ยังคงรู้สึกไม่เพียงพอ ทุกครั้งที่อีกคนปิดบังสายตาหรือมือนั้นตอนอยู่ต่อหน้าเขา มันทำให้เขารู้สึกเหมือนยังไม่ได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของอีกคนจนกระวนกระวาย เขาค่อยๆ ดึงมือซ้ายที่เกี่ยวกระชับกันไว้เข้ามา
“อื้ม”
เมื่อประทับจูบอย่างช้าๆ ลงบนหลังมือที่ถูกดึงเข้ามาชิดใบหน้า เสียงครางสั้นๆ ก็หลุดออกมาจากปากของจองอู แม้ได้ยินแต่ก็แกล้งไม่รับรู้ ซองจูค่อยๆ แลบลิ้นออกมา แตะปลายลิ้นลงไป และเริ่มไล้เลียไปบนหลังมือของจองอู
ทุกครั้งที่ออกแรงกดปลายลิ้นอุ่นลงไปบนมือใหญ่และแห้งกร้านจนปรากฏเป็นเส้นเลือดปูดนูนชัดขึ้นมานั้น ทำให้รู้สึกได้ว่าช่วงล่างที่สัมผัสกันอยู่ พลันเกิดแรงปรารถนาปะทุขึ้นมาจนแทบทะลัก เรียวลิ้นที่ขยับเคลื่อนช้าๆ ไปตามแนวเส้นเลือดที่ปูดนูนขึ้นมา ทุกครั้งที่มันไปบรรจบตรงโคนนิ้ว กล้ามเนื้อของจองอูก็ถึงกับเกร็งกระตุกขึ้นมา มือข้างที่เหลือไต่ขึ้นไปตามช่วงเอวของซองจู พร้อมกับลมหายใจที่หอบถี่ขึ้นทีละนิด เคลื่อนผ่านไปที่ท้ายทอย แล้วจึงขยับขึ้นไปขยุ้มกลุ่มผมเปียกชื้นเล็กน้อยนั้นไว้
“ฮึก!”
ด้วยแรงดึงที่เส้นผมจึงทำให้คอถูกดึงรั้งขึ้นมาด้วย หากซองจูเพียงส่งเสียงครางแผ่วออกมา แล้วจึงกลับไปสนใจกับมือของจองอูเช่นเดิม เริ่มจากนิ้วโป้ง ไปนิ้วชี้ ลามไปยังนิ้วกลาง ดูดดึงเรียวนิ้วยาวอย่างรักใคร่ กดปลายลิ้นลงไปตรงช่องระหว่างนิ้ว เกี่ยวกระหวัดเรียวนิ้วอีกครั้ง และเลียขึ้นไป ทำซ้ำๆ อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ใส่เข้าไปในปากแล้วดูดกลืนเข้าไปจนสุด การดูดรัดซ้ำๆ ราวกับสัมผัสที่ส่วนนั้นอยู่ ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละนิ้ว จนมาถึงสุดท้าย
มันถูกกำหนดไว้ให้เป็นที่สุดท้ายอยู่เสมอ ต่อจากการสัมผัสนิ้วกลาง ซองจูก็ค่อยๆ แตะเรียวลิ้นลากผ่านไปตามสันมือข้างซ้ายของจองอูอย่างอ่อนโยน ทุกครั้งที่เรียวลิ้นอุ่นและฉ่ำชื้นลากผ่านไปมา ลมหายใจที่ติดขัดกับกล้ามเนื้อที่กระตุกเกร็งนั้น ยังคงส่งผ่านมาถึงร่างกายของซองจูที่แนบชิดติดกันอยู่ ช่วงสะโพกที่เหมือนก้อนหินสองก้อนถ่วงอยู่ตรงกลางหว่างขา ส่วนกลางระหว่างนั้นที่ร้อนขึ้นอย่างชัดเจนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของจองอู มันแข็งเกร็งขึ้นราวกับจะระเบิดออกเสียเดี๋ยวนั้น ด้วยไม่อาจเอาชนะความต้องการที่ท้วมท้น และช่วงสะโพกที่สั่นสะท้าน กับมืออีกข้างที่ยังคงกำขยุ้มกลุ่มผมของซองจูเอาไว้จนกล้ามเนื้อเกร็งชัดขึ้นมา เป็นสัญญาณให้รู้ว่าตอนนี้จองอูนั้นคึกคักมากขนาดไหน ถึงกระนั้นซองจูก็ยังไม่ยอมหยุด
ท้ายของท้ายที่สุด เจ้าตัวประทับจูบลงบนนิ้วมือที่ยังคงผิดรูปเช่นเดิมเสมอ ซองจูไม่ได้ใส่นิ้วนั้นเข้าไปในปาก กลับประทับจูบกว่าสิบครั้งลงไปบนนิ้วผิดรูปที่เล็บไม่ยาวออกมาอีกแล้วซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ดวงตาทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาเปิดปรืออยู่เช่นนั้น พร้อมกับหยาดน้ำลายสีใสที่ไหลออกมาจากริมฝีปากที่เผยอค้าง หยดเหงื่อรินไหลผ่านพวงแก้มที่ขึ้นสีแดงจัด น้ำรักที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวนั้นกำลังร้องตะโกนว่าไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป จองอูที่ไม่อาจทนกับการกระหน่ำจูบบนเรียวนิ้วของตัวเองได้อีกต่อไป จึงดึงร่างของซองจูขึ้นมาด้านบน
“ฮึก!”
เสียงตุ้บกับความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมา ในตอนนั้นเองร่างของซองจูก็ขึ้นมาคร่อมอยู่บนร่างของจองอู
“อ้อนกันขนาดนี้…พร้อมแล้วสินะ”
แลบเลียเรียวลิ้นลงบนริมฝีปากคู่นั้น พร้อมกับยกยิ้มลามกออกมา ทำให้ความต้องแล่นพล่านขึ้นมาที่ท้ายทอยของซองจู ด้วยแววตาที่พร่ามัว ซองจูก็พยักหน้ารับกับคำถามนั้น
“ฮึก! อื้อ! อึก!”
แทบจะในทันที่ตอบรับออกไป จองอูก็ทาบริมฝีปากของตนเองลงบนริมฝีปากของซองจู มอบจูบแนบแน่นจนเสียงครางใดก็ไม่อาจหลุดลอดออกมาได้
พลิกตัวให้ร่างของซองจูกลับมาอยู่ใต้ร่างเขา แล้วจึงส่งมือข้างขวากดแทรกเข้าไปในช่องทางรักของซองจู
“อื้อ ไม่เอา อันอื่น อ๊ะ! ไม่เอา อันนี้…สะ ใส่มาหน่อย ได้โปรด ฮึก!”
คำพูดอ้อนวอนที่หลุดลอดออกมาจากปากอย่างยากลำบาก และท่าทางส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง ตอนที่ใบหน้านั้นค่อยๆ เชิดขึ้นไปด้านหลัง ในตอนนั้นเองที่เรียวนิ้วของจองอูถูกดึงออกมา ช่องทางที่ตอดรัดกันครั้งแล้วครั้งเล่า แม้หลังจากที่เขาปลดปล่อยความต้องการออกไปแล้ว มืออีกข้างที่เกี่ยวกระชับกันอยู่นั้นก็ยังไม่คลายออกจากกันเลย คนทั้งคู่บดเบียดร่างกายเข้าหากันซ้ำๆ จนฟ้าสาง โดยที่ไม่มีใครยอมปล่อยมือที่กระชับเกี่ยวกันไว้ออกจากกันเลย
* * *
“ตอนนี้ค่อยๆ ทำงานไปแบบสบายๆ ได้แล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมยังยุ่งอยู่ล่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเวลาให้นายอยู่นะ”
“ไม่ใช่ว่าทำเพราะเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหม อะไรกัน ถ้านายเป็นแบบนี้บ่อยๆ ฉันจะทิ้งนายไปถ่ายหนังที่ต่างประเทศเลยคอยดู”
“โธ่ กลัวแล้วเนี่ย”
ท่าทางที่ดูไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิดนั่นทำให้ซองจูอดแสดงท่าทางโมโหออกมาไม่ได้ เขาส่งเสียงจิ๊ออกมา ก่อนจะโยนหนังสือที่ถืออยู่ในมือลงไปบนโต๊ะ
วันหนึ่งของเดือนมิถุนายน ซองจูที่เบื่อหน่ายกับการอยู่คนเดียวในบ้านมาตั้งแต่เช้า พอเข้ามาที่ห้องทำงานของจองอูที่อยู่บนชั้นสามของบ้านเขา งานทุกอย่างของจองอูก็เป็นอันหยุดชะงักในทันที
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ซองจูมักจะใช้วิธีนี้เข้ามาที่ห้องทำงานของจองอูโดยไม่สนเวลาล่ำเวลา แล้วก็ขัดขวางการทำงานของอีกฝ่ายอย่างหน้าไม่อาย เวลาแบบนั้นจองอูก็มักจะทำใจกว้าง ปล่อยผ่านกับการก่อกวนแบบนั้นอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามตอนที่มีงานสำคัญ ซองจูก็จะไม่เข้ามายุ่งหรือไม่ก็หลบมุมทำงานของตัวไป การจะรับมือกับท่าทางในตอนนี้ก็คือการพูดคุยอย่างเปิดใจ จองอูก้มมองซองจูที่หนุนศีรษะลงบนตักของเขา
“วันนี้หัวร้อนเรื่องอะไรมาอีกล่ะ”
“ก็แค่คิดว่าออกไปข้างนอกรับแสงแดดแล้วก็กินข้าวกันบ้างก็คงดี”
“ไม่ชอบหลบสายตาคนอื่นไม่ใช่เหรอ”
“ก็นานๆ ทีไง”
“งั้นออกไปตอนนี้เลยไหม”
“…ช่างเถอะ”
บทสนทนาที่พูดออกมาทันทีโดยไม่รั้งรอนั้น ทำให้ปากของซองจูถึงกับเบะออกมา
ถึงจะเป็นพวกเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ตาม แต่พอทำแบบนี้แล้ว จองอูก็ยังแสดงท่าทางว่าไม่ใส่ใจ นั้นก็ยิ่งทำให้งอนเข้าไปอีก เพราะอยากออกไปโดยไม่วุ่นวาย ไม่ใช่แบบนี้ ที่ไหนก็ได้ เขาแค่อยากลองทำอะไรอื่นๆ ร่วมกับจองอูสักครั้งเท่านั้น ผู้ชายที่เพิ่งทลายกำแพงของเขาได้ไม่นานเท่าไหร่คนนี้ยังไม่ยอมเปิดใจทั้งหมดให้แก่เขา
‘แค่ไม่หนีไป แล้วก็อยู่แบบนี้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว’
ซองจูยอมแพ้กับทุกอย่างทันที แล้วพึมพำอยู่ในใจ
ทุกคนที่รู้จักเขากับจองอู ขนาดน้องชายแท้ๆ ก็ไม่คิดว่าพวกเขาสองคนจะคบกันมานานขนาดนี้ได้ ซองจูสัมผัสได้ว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด
สำหรับเขาการเดตกับคนอื่นๆ มันคือการออกไปแสดงตัวในสถานที่หนึ่ง ใช้เวลาร่วมกัน แล้วก็ไปดื่มที่บาร์สักแก้วสองแก้ว หลังจากนั้นก็ไปมีเซ็กซ์กันที่โรงแรม แล้วแยกทาง เป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆ ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะทุกคนล้วนแต่รู้จักหน้าค่าตาเขาจึงไม่สามารถไปพวกโรงหนังหรือสถานที่ที่จัดการแสดงต่างๆ ได้ พวกร้านค้าที่วัยรุ่นชอบไปหรือย่านต่างๆ ก็ไม่สามารถไปได้เหมือนกัน ไม่สามารถเดินจับมือกันไป ทำตัวติดกัน กระซิบกระซาบบอกรักแบบนั้นได้ ไม่ว่าจะคบกับผู้หญิงหรือว่าคบกับผู้ชายก็เหมือนกัน ข้อจำกัดของคนที่ใช้หน้าตาทำมาหากินนั้นมากมายเหลือเกิน แม้ส่วนใหญ่จะบอกว่าเข้าใจ แต่การเข้าใจด้วยสมองกับการเข้าใจด้วยหัวใจนั้นมันต่างกัน ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าชีวิตแบบนี้มันน่าเบื่อสิ้นดี
แต่ทว่าเมื่ออยู่กับคิมจองอู สถานการณ์มันกลับกลายเป็นตรงกันข้ามกัน
จองอูที่ไม่เก่งในการปรับตัวเข้ากับสังคมจึงใช้ชีวิตอยู่กับบ้านตลอดเวลา งานก็ทำที่บ้าน ใช้ชีวิตแค่ในบ้าน การออกไปข้างนอก ก็คือไปจ่ายตลาด หรือไม่ก็ออกไปธนาคารบ้างบางครั้ง ซองจูที่ถูกจำกัดการออกไปข้างนอกเพราะงานที่ทำอยู่ จึงไม่ต่างจากการใช้ชีวิตแบบตัวติดกันตลอดเวลา หากคนที่กระวนกระวายกลับกลายเป็นซองจู
นั่นเพราะเขาอยากทำหลายๆ อย่างร่วมกัน ยิ่งจองอูซ่อนตัวตนเอาไว้ก็ยิ่งกระวนกระวายใจ หากได้ทำหลายอย่างร่วมกันก็ยิ่งเพิ่มความทรงจำระหว่างกัน พอได้ใช้ชีวิตแบบเดิมตลอดเวลา ก็กลับปรารถนาชีวิตในแบบอื่น ซองจูคิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“จะนาย หรือฉัน…ช่างเป็นพวกพิลึกจริงๆ เลย”
ซองจูบ่นพึมพำแบบนั้นออกมา แล้วจึงยื่นมือออกไปลูบไล้ปลายคางของจองอู
“อยู่ๆ ก็พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้”
จองอูกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะคว้ามือของซองจูไว้ แล้วดึงให้ลุกขึ้น
“หืม…”
พอถูกดึงให้ลุกขึ้นมา จองอูก็ประกบปิดริมฝีปากนั้นทันที ใบหน้าที่เบียดชิดจนไม่มีช่องว่างและตามทาบปิดอย่างเร่งรีบทำให้ริมฝีปากเผยอรับเรียวลิ้นชื้นของอีกคน พอเรียวลิ้นอุ่นชื้นแทรกผ่านระหว่างฟันเข้าไปสัมผัสที่เพดานปากของเขา ร่างกายนั้นก็ถึงกลับเอนไปด้านหลังอย่างนึกหวั่นในทันที ปลายเท้าที่ขยับออกไปนั้นกระตุกเกร็ง แล้วหยุดชะงักไป สิ่งที่ปรากฏในสายตาทำให้จองอูยกยิ้มไปถึงดวงตา พร้อมกับผละริมฝีปากออก
“ขึ้นข้างบนไหม”
“หือ แต่ว่า…”
“ที่นี่คงไม่ดี อาจจะมีใครเข้ามาก็ได้”
เอ่ยออกมาแบบนั้นพร้อมกับเสียงจุ๊บที่ดังขึ้นเมื่อริมฝีปากนั้นประทับจูบลงไปอีกครั้ง ซองจูยกแขนขึ้นคล้องคอของจองอูไว้
“งั้นเราขึ้นข้างบนกันไหม”
ในตอนนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออกโดยแรงอย่างกะทันหัน
“นี่! จองอู! ข่าวใหญ่!”
เสียงปังดังสนั่นออกมา กระดิ่งที่แขวนอยู่บนประตูก็สั่นไหว พร้อมกับส่งเสียงกังวานแทรกเข้ามาในบรรยากาศที่เงียบสงัด สองคนที่ยังอยู่ในท่าทางล่อแหลมหันไปมองทางประตูด้วยความตกใจ แล้วคนคนหนึ่งที่ชะงักค้างราวกลับกลายเป็นหินไปแล้วนั้นก็จ้องมองไปยังคนทั้งคู่ด้วยสายตากระอักกระอ่วน ทั้งหมดสบสายตากันไปมา
ตอนพิเศษ 2-3 ปลายนิ้ว
“ขอโทษด้วยครับ เห็นว่าประตูหน้าเปิดอยู่ก็เลย…”
“นี่ นายไม่มีไหวพริบเลยเหรอ ถึงประตูจะเปิดอยู่ก็เคาะประตูได้ไม่ใช่หรือไง ถ้าเห็นว่าประตูเปิดอยู่ก็เข้าไปเลยได้ แล้วจะมีกริ่งไว้ทำไม หา?”
“ก็คือ นั่นมัน ก็ผมไม่รู้นี่ครับว่าพี่ก็อยู่ด้วย”
“แล้วมีกฎหมายไหนบอกว่าฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ขอโทษครับ…”
“เอาล่ะ พอได้แล้ว พี่เซจุนก็ขอโทษแล้วไง”
“นี่! นายเข้าข้างใครกันแน่!”
ด้วยความอายเลยทำให้แสดงออกมามากเกินกว่าปกติ พอห้ามซองจูที่หัวร้อนออกมาแบบนั้นได้แล้ว จองอูก็เอากาแฟที่มีไอร้อนลอยฟุ้งวางลงตรงหน้าเซจุน
“นี่ อากาศร้อนแบบนี้เอากาแฟร้อนมาให้เนี่ยนะ”
“ก็เปิดแอร์อยู่นี่ครับ ดื่มๆ ไปเถอะ”
“นี่นายกำลังเอาคืนฉันใช่ไหม…”
ถึงอย่างไรเซจุนที่ไม่ได้ถูกไล่ตะเพิดออกไปก็ยกกาแฟที่จองอูเอามาให้ดื่มไปอึกหนึ่ง ก็มีเหตุผลนี่นะ อย่างไรเสียกาแฟที่จองอูเลือกมาก็รสชาติดีกว่าที่ร้านเป็นไหนๆ
“แล้วตกลงมีเรื่องครับ ตอนเข้ามา พี่บอกว่ามีข่าวใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ”
“อ้อ เรื่องนั้นไง!”
เซจุนที่เงียบไปครู่แล้วเอาแต่จิบกาแฟเงยหน้าทันทีราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ลืมไป แววตาของเจ้าตัวกำลังเปล่งประกายแวววาวอย่างมาก
“นายน่ะ อยากขึ้นแสดงกับพวกเราไหม”
“แสดงเหรอครับ”
“แสดง?”
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างน่ากลัวเมื่อกล่าวคำนั้นจบ ท่าทางของคนทั้งสองนั้นทำเอาเซจุนทำหน้าตกใจขึ้นมา
“ก็เข้าใจนะที่ตกใจน่ะ แต่อย่าโพล่งถามเสียงดังออกมาแบบนั้นสิครับ มันน่ากลัวออกครับพี่”
เซจุนกล่าวเช่นนั้นออกมา พร้อมกับไอแค่กๆ ออกมา
“มีข้อเสนอเข้ามาน่ะ เสนอมาว่าให้ลองจัดมินิคอนเสิร์ตในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงร่วมกับนาย นายว่าไง”
“จากที่ไหนครับ”
“เอ็นเคมิวสิค”
คำตอบที่ได้รับในทันทีทำให้สีหน้าของจองอูนิ่งไป
“ที่นั่น เป็นบริษัทที่แฟนพี่ทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
“อือ ใช่แล้ว ว่าแต่นายว่ายังไงล่ะ”
“ก็ไม่เลวนะครับ แต่มันก็…”
พูดให้ดูสุภาพไปอย่างนั้นสินะ สีหน้าของจองอูไม่ค่อยปกตินัก พอได้เห็นสีหน้าที่ดูไม่เต็มใจอย่างชัดเจน เซจุนก็รีบกล่าวต่อ
“นี่ มีปัญหาอะไร จะฉันหรือจีฮยอนก็ไม่ได้เอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานนะ เรากับบริษัทของเจ้านั่นก็ร่วมงานกันไม่กี่งานเอง”
“ก็ไม่ใช่ว่าตกหลุมรักกันตอนที่เตรียมการแสดงอยู่หรือไงครับ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ก่อนหน้านั้นฉันก็เอาแต่ค้านหัวชนฝาไปแล้วนะ”
“ยังไงซะก็ได้คบกันเพราะเรื่องสตอล์กเกอร์นั่นนี่ครับ ก่อนหน้านั้นก็มีพี่ที่พยายามอยู่คนเดียว”
“นี่ เอาเรื่องพวกนั้นขึ้นมาพูดตอนนี้ทำไม!”
เซจุนกระทืบเท้าด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมในสถานการณ์นี้
“ยังไงก็เถอะ ที่นั่นน่ะเดือนนึงจะเปิดการแสดงครั้งหนึ่ง เดิมที่ตั้งใจจะทำตั้งแต่ตอนออกอัลบั้มที่แล้ว ก็ดันล่มไปซะ ครั้งนี้ก็เลยเสนอเพิ่มเข้ามา ในเมื่อก็เป็นโปรดิวเซอร์อยู่แล้วก็เลยให้นายมาร่วมแจมด้วยซะเลย ไม่ได้เหรอ”
“เรื่องนั้นใครเป็นคนเสนอล่ะครับ”
“ไม่ใช่จีฮยอนหรอกน่า ไอ้นี่ คนที่ชื่อซอนจองวอนนู่น”
เซจุนพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะควานหาบางอย่างในกระเป๋าที่ถือมา
“อ้า แป๊บนะ ไม่ได้เอาแผนงานมาเหรอเนี่ย โธ่เว้ย…ลืมไว้ที่บ้านแหง”
เจ้าตัวกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับควานหาในกระเป๋าอย่างขะมักเขม้น ทั้งไม้กลองไว้ โน้ตเพลง กล่องดินสอ ของต่างๆ มากมายถูกวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟา ตอนนั้นสีหน้าของซองจูที่นั่งอยู่ข้างๆ จองอูก็เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวที่เป็นพวกรักสะอาดและคิดมาก การได้เห็นอาณาเขตของเขามีสภาพไร้ระเบียบด้วยข้าวของของเซจุนก็ดูจะลำบากอยู่บ้าง
“นี่ คิมเซ…”
ซองจูที่เอ่ยเรียกชื่อของเซจุนออกมาด้วยท่าทางเอาเรื่องนั้นหยุดชะงักไปในทันที
ครืด ครืด
โทรศัพท์มือถือของเซจุนที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง
“สวัสดีครับ”
เซจุนเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรีบร้อน แล้วกดรับในทันที
“อ้า จองวอน โทรมาได้จังหวะพอดีเลย เหมือนฉันจะไม่ได้เอาแผนงานที่ให้เมื่อกี้มาด้วยนะ”
คำพูดของเซจุนฟังดูร้อนรน
“อ้า อ้อ จริงเหรอ งั้นก็ขอบใจ ว่าแต่ว่างเหรอ อ้า ว่าไงนะ นี่…แบบนั้นเท่ากับใช้ประโยชน์ฉันไม่ใช่หรือไง”
ยิ่งคุยโทรศัพท์นานเท่าไร สีหน้าของเซจุนก็เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน คงสนิทกันมากถึงได้ใช้คำพูดสบายๆ ท่าทางที่จู่ๆ ก็พยายามอธิบายแทบตายแบบนั้นก็น่าสนใจดี
แต่ทว่าเซจุนที่เห็นแบบนั้น อันที่จริงแล้วเป็นคุณชายคนเล็กของบ้านที่จบการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เจ้าตัวทิ้งเส้นทางบนกองเงินกองทองที่คนเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นถึงจะเข้าไปสัมผัสได้ แล้วก็กลายมาเป็นนักดนตรีเสีย นิสัยที่ไม่มีตรงไหนที่น่ารังเกียจเลยสักนิดกับท่าทางสุภาพในทุกครั้งที่เจอ จึงเป็นคนที่ไม่สามารถเกลียดได้ลงเลย แม้กระทั่งกับซองจูที่เห็นทุกอย่างขวางหูขวางตาไปหมดแบบนั้นก็ตาม เซจุนก็ยังคงได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“อือ จริงเหรอ อือ เข้าใจแล้ว ที่นี่? คือว่าที่นี่คง…”
เซจุนกล่าวอ้อมแอ้มพร้อมกับปรายตามองจองอูและซองจูที่สังเกตเขาอยู่แล้ว เมื่อพอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ จองอูจึงพยักหน้าไปทางเซจุน ตอนนั้นเซจุนก็รีบตอบคนในสายกลับไปทันที
“เออ รู้จักห้องซ้อมเราใช่ไหม แค่ขึ้นมาชั้นสามก็พอ อือ เดี๋ยวเจอกัน!”
เซจุนวางสายจากอีกฝ่าย แล้วจึงถอนหายใจยาวออกมาทันที
“เฮ้อ…ใจหายหมด เกือบได้โดนซองฮีกับซองฮุนด่าเข้าให้แล้วไง”
จองอูกล่าวกับอีกคนที่กำลังกางแขนกางขาลงบนโซฟาอย่างเต็มที่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ทำไมกันดูไม่สมเป็นพี่เลยนะครับ แผนงานก็ต้องเป็นเอกสารสำคัญอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็นั่นแหละ วันนี้ฉันไม่มีสมาธิสักเท่าไรน่ะ”
“ตื่นเต้นที่จะเจอแฟนข้างนอกเหรอครับ”
“นี่ เลซี่ ตอนที่พี่ทำงานเนี่ย เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานเหรอ บอกว่าทำงานก็คือทำงาน”
“ยังไงซะก็เจอกันตอนทำงานเลยได้เป็นแฟนกันอยู่ดีนี่ครับ”
“เลิกพูดเรื่องนั้นสักทีเถอะ…”
เซจุนอ้อนวอนจองอูพร้อมกับยกสองมือขึ้นปิดหน้า
“ยังไงซะ เจ้าตัวก็จะมาอยู่แล้ว ก็ค่อยฟังเรื่องการแสดงจากเจ้านั่นเองแล้วกัน”
“อะไรนะ คนอื่นจะมาที่นี่งั้นเหรอ”
แย่แล้ว ทุกสายตาจ้องมาที่ซองจูซึ่งสบถเสียงดังออกมา ด้วยไม่ถูกใจนักกับสถานการณ์ที่มีแค่เขาเท่านั้นที่ต้องกลับไป จองอูที่มองเห็นสีหน้าที่เริ่มฉายความไม่พอใจออกมามากขึ้น จึงได้ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“ถ้าไม่สบายใจก็กลับไปดีไหม”
ซองจูส่ายหน้าอย่างดื้อดึงให้กับข้อเสนอนั้น
“ใครจะมาบ้างล่ะ”
“อืม รองหัวหน้าซอนที่คุยด้วยเมื่อกี้กับ…”
“กับใคร”
ซองจูถามกลับด้วยท่าทางเอาเรื่อง ดูเหมือนคงจะตัดสินใจหลังจากที่รู้แล้วว่ามีใครมาบ้าง เซจุนที่รับรู้ถึงความคิดนั้นของอีกคน จึงได้ตอบกลับไป
“บางที แฟนผมอาจจะมาด้วยครับ”
ซองจูที่ได้ยินคำตอบนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“หืม งั้นเหรอ”
“ครับ อาจจะนะครับ”
“งั้นฉันก็อยู่นี่แหละ”
“คะ ครับ?”
มีเพียงเซจุนเท่านั้นที่ตกใจกับคำพูดแบบกะทันหันนั่น อีกคนเอ่ยปากต่อทั้งที่ดวงตายังคงเบิกโพลงอยู่เช่นนั้น
“พี่ครับ แบบนั้นจะไม่มีข่าวลือแปลกๆ ออกไปเหรอครับ”
“จะมีข่าวลืออะไรได้ล่ะ ก็บอกไปว่าเจ้านี่ก็ทำการแสดงด้วยเพราะสนิทกับพวกนาย ฉันเองก็รู้จักกับพวกนายก็เลยพลอยสนิทกับเจ้านี่ด้วย แค่นั้นก็จบ ยิ่งพยายามปิดก็ยิ่งทำให้ปวดหัวหนักกว่าเก่า”
“ก็ ที่พี่พูดมามันก็ถูก…”
เซจุนกล่าวเช่นนั้นออกมาพร้อมกับสีหน้าฉายชัดถึงความลำบากใจ
ถึงจะมีคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจองอูกับซองจูขึ้นมา ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่ทว่าไม่รู้ทำไมถึงได้ไม่สบายใจ แม้ว่าจะเป็นฮันซองจูที่กินขาดในเรื่องการแสดงด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยม แต่มันก็เป็นเรื่องที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย
“ไม่เป็นไรแน่นะ”
จองอูเองก็มีความคิดเช่นเดียวกับเซจุน จึงได้หันหน้าที่ยังคงนิ่งไม่สะทกท้านไปทางซองจู พร้อมกับเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง แต่ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาก็ชัดเจนแล้ว
“อือ ไม่เป็นไรหรอก”
ด้วยคำตอบที่ชัดเจน ทั้งสองคนจึงไม่พูดอะไรออกมาอีก ถึงจะแสดงท่าทางห้ามปรามออกไป ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีทางห้ามได้
ทั้งสามคนพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยเวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ในระหว่างรอคอยการมาถึงของแขกที่ไม่คาดคิด ช่างเป็นยามบ่ายที่แสนสงบเหลือเกินในความเป็นจริง
ตอนพิเศษ 2-4 ปลายนิ้ว
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
“มาแล้ว!”
พอได้ยินเสียงกริ่งที่หน้าประตูใหญ่ เซจุนที่เหยียดกายอยู่บนโซฟาก็กระเด้งตัวลุกขึ้นมาทันที เจ้าตัววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขยับตัวอย่างเร่งรีบราวกับว่าห้องทำงานนี้เป็นของตัวเอง
“นี่ อะไรเนี่ย ทำไมมาช้านัก คนเขารออยู่เนี่ย”
“ฉันเอาของที่นายลืมมาให้ ทำไมต้องมาโดนบ่นด้วย ไอ้เจ้านี่”
“ถึงงั้นก็เถอะ ว่าแต่ทำไมนายก็มากับเขาด้วยล่ะ ฝากจีฮยอนมาให้ก็ได้”
“ก็มีที่อธิบายตกหล่นไปเมื่อกี้ด้วย ก็เลยมาทีเดียวเลย ว่าแต่ที่นี่คือ?”
“อ้า จริงด้วย แป๊บนะ!”
บทสนทนาที่เป็นกันเองตามประสาคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกันนั้น ดังมาให้ได้ยินถึงข้างใน เซจุนตัดบทสนทนาไปกะทันหัน แล้วจึงวิ่งกลับเข้าไปในห้องทำงาน
“เลซี่! มีเวลาสักแป๊บไหม”
“เวลาเหรอครับ”
คำถามที่ถามมากะทันหัน ทำให้จองอูตอบกลับไปอย่างงุนงง คงมาโน้มน้าวให้ไปช่วยกันฟังเรื่องที่จะมาอธิบายอะไรนั่นสินะ เจ้าตัวคิดเช่นนั้นก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา
“กลับขึ้นไปอยู่ข้างบนไหม”
“ฉันเหรอ ทำไม จะอยู่นี่แหละ”
“จะไม่อึดอัดเหรอ”
“ช่างเถอะ ฉันจัดการเองได้น่า ไม่ต้องห่วง ฉันจะอยู่นี่แหละ”
ถามออกไปด้วยคิดว่าบางทีอาจจะอยากกลับขึ้นไป แต่ก็ไม่สะทกสะท้าน จองอูยอมแพ้กับการเกลี้ยกล่อมซองจู แล้วจึงหันไปหาเซจุน
“ให้เข้ามาได้เลยครับ”
เซจุนจึงวิ่งกลับไปทางประตูอีกครั้ง เมื่อได้รับคำอนุญาต
“เออ รบกวนด้วยนะครับ ได้มาเจอกันแบบนี้ยินดีมากๆ เลยครับ ผมซอนจองวอนจากเอ็นเคมิวสิคครับ”
หนึ่งในสองคนที่เดินตามหลังเซจุนเข้ามาทางประตูนั้น มีผู้ชายที่มีท่าทางสุภาพและตัวสูงกว่าเล็กน้อยโค้งทักทายอย่างนอบน้อม จองอูจึงลุกขึ้นจากที่นั่งทันที ก่อนจะโค้งกลับไปอย่างเงอะงะ แล้วผู้ชายคนนั้นก็ยื่นนามบัตรที่อยู่ในเสื้อสูทส่งมาให้จองอู ในนามบัตรนั้นระบุว่าอีกคนเป็นรองหัวหน้าแผนกวางแผน
“เออ…สวัสดีครับ ผมชองจีฮยอนจากเอ็นเคมิวสิคครับ ยินดีที่ได้พบนะครับ เป็นเกียรติอย่างมากเลย”
จากนั้นผู้ชายที่ยืนเยื้องไปด้านหลังซึ่งดูเด็กกว่าและบอบบางกว่าเล็กน้อย จึงได้ยื่นนามบัตรมาให้ด้วยท่าทางประหม่า เจ้าตัวรับนามบัตรที่ระบุว่าชื่อชองจีฮยอน เป็นหัวหน้าทีมการจัดการ แต่ทว่าจองอูนั้นรู้จักกับอีกฝ่ายดีอยู่แล้ว ชายคนนั้นก็คือคนรักของเซจุนที่ทำเอาจองอูหัวหมุนอยู่ก่อนหน้านี้
“ผมได้ยินเรื่องของพวกคุณมาเยอะเลยละครับ ยินดีที่ได้พบกันนะครับ เชิญนั่งทางนี้ก่อนครับ”
เขาส่งยิ้มไปให้ทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะเชิญไปนั่ง
บรรดาแขกที่ไม่คาดคิดเดินตามจองอูเข้ามาด้านใน ในตอนนั้นเอง จู่ๆ น้ำเสียงอุทานจนเกือบจะเป็นการโห่ร้องก็ดังออกมาจากปากของรองหัวหน้าซอนจองวอน
“เฮ้ย!”
เมื่อจองอูหันไปมองด้านหลังด้วยอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ภาพที่ปรากฏก็เป็นใบหน้าของจองวอนที่ตาเบิกโพลงขึ้น
“นักแสดงฮันซองจู?”
จองวอนเอ่ยออกมาพร้อมกับมองซองจู จองอู และเซจุนสลับไปมา
“อ้า คือว่า…”
“คงรู้จักกันสินะครับ นี่ นายต้องบอกฉันก่อนสิว่าคุณนักแสดงเขาก็อยู่ด้วยน่ะ เลยกลายเป็นว่ามารบกวนเลยเนี่ย”
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอกนะครับ”
ซองจูยกยิ้มอย่างคนที่สุภาพเรียบร้อย แล้วจึงกล่าวกับจองวอน โล่งอกที่วันนี้ฮันซองจูนั้นแสดงสีหน้าของคนสุภาพเรียบร้อยออกมาได้อย่างไร้ที่ติ
“ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมครับ อาจจะช้าไปสักหน่อย ผมซองจองวอนจากเอ็นเคมิวสิคครับ บริษัทของเราทำกิจการด้านเว็บไซต์เกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการจัดโครงการต่างๆ ครับ หวังว่าหากมีโอกาส เราจะได้ร่วมงานกันสักครั้งนะครับ”
จองวอนกล่าวเช่นนั้นพร้อมกับยื่นนามบัตรให้ซองจู ท่าทางจริงจังและนอบน้อมอย่างมากนั้นเป็นที่พอใจของซองจู เจ้าตัวจึงได้ยกยิ้มเล็กน้อยและพูดกับจองวอน
“ผมเองก็ไม่ใช่เจ้าของบ้าน พูดไปอาจจะแปลกสักหน่อย แต่ก็เชิญทำตัวตามสบายเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ ได้มาเจอกันแบบนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ”
จองวอนกล่าวเช่นนั้นออกมา ก่อนจะนั่งลงตรงโต๊ะสำหรับประชุมที่ถูกจัดวางไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องทำงาน จีฮยอนที่เฝ้ามองคนทั้งสองอยู่จึงได้ขยับเข้าไปใกล้ซองจู ก่อนจะยื่นนามบัตรให้
“ผมชองจีวอนครับ ฝากตัวด้วยนะครับ”
เจ้าเด็กนี่คือคนรักของเจ้าเซจุนสินะ คำทักทายสั้นๆ และนามบัตรที่ส่งมานั้นทำให้ซองจูยกยิ้มสดใสให้กับอีกคน
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ไม่รู้ว่าการให้นามบัตรนั้นเป็นมารยาททางการหรืออย่างไร หรือเพราะเจ้านายอย่างจองวอนคอยพร่ำบ่นกรอกหู จีฮยอนจึงโค้งศีรษะให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินจ้ำอย่างรวดเร็วตามไปนั่งที่ข้างๆ จองวอน ตลอดเวลาที่คนทั้งสองและเซจุนวุ่นวายกับการเตรียมการประชุม จองอูก็เตรียมของว่างเพื่อมาต้อนรับแขกที่ไม่คาดคิด
“พี่ครับ ถ้าเบื่อมานั่งด้วยกันตรงนี้ไหมครับ”
เซจุนที่มีท่าทางชอบอกชอบใจกับการได้นั่งข้างจีฮยอนเอ่ยถามซองจูอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ ซองจูที่นั่งเอียงตัวบนโซฟา เตรียมที่จะอ่านหนังสือ จึงได้หันไปมองทางโต๊ะประชุม
“ฉัน? จะไม่รบกวนเหรอ”
“มีอะไรให้รบกวนล่ะครับ แต่ถ้าสบายใจจะอยู่ตรงนั้นคนเดียว ก็แล้วแต่นะครับ”
ซองจูที่มองหน้าเซจุนที่กำลังพูดอะไรประหลาดออกมาๆ ตัดสินหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเล่มหนึ่ง ก่อนจะลุกจากที่นั่ง
“ก็ถ้าพูดขนาดนั้น จะไม่ปฏิเสธแล้วกันนะ”
กล่าวออกมาแบบนั้น แล้วซองจูก็เดินไปทางโต๊ะประชุมอย่างเนิบๆ
ดึงเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆ เก้าอี้ที่มีโทรศัพท์ของจองอูวางอยู่ออกมาแล้วนั่งลงทันที จองวอนที่ดวงตาเป็นประกายก็มองสลับไปมาระหว่างซองจูและเซจุน
“ว่าแต่ว่า รู้จักกันได้ยังไงเหรอ”
ใบหน้าที่หันมาถามเซจุนนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เซจุนจึงตอบคำถามนั้นออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“ไม่รู้หรือไง เนี่ยพี่ชายแท้ๆ ของซองฮี”
“หา จริงเหรอ ไม่เห็นรู้เลย!”
ดวงตาของจองวอนผู้ไม่รู้อะไรเลยเบิกกว้างขึ้น มีเพียงจีฮยอนที่รู้จักชื่อเสียงของซองจูผ่านทางเซจุนเท่านั้นที่ยังคงมีสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร จองวอนสะกิดเข้าที่เท้าของจีฮยอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ก่อนจะกระซิบกระซาบถาม
“นี่ ทำหน้าแบบนี้แสดงว่านายรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ”
“มันดังออกจะตาย พี่น่ะตกข่าวเองแท้ๆ ทำไมมาโทษผมล่ะ”
“ในเมื่อบอกว่าฉันตกข่าวเอง ก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้ว อันที่จริงข้อมูลพวกนี้มันก็ไม่ได้สำคัญสักหน่อยนี่”
คำพูดนั้นทำให้ซองจูปรายตามอง
“ถ้างั้นอะไรที่สำคัญล่ะครับ”
“นั่นมันก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วนี่ครับ เรื่องสำคัญยังไงก็ต้องเป็นเรื่องการแสดงสิครับ นักแสดงสื่อสารกับผู้คนผ่านการแสดงไม่ใช่เหรอครับ นักดนตรีก็ใช้ดนตรีเป็นสื่อ นักแสดงก็ใช้การแสดง พวกเราก็สื่อสารกันผ่านบทเพลงที่ไพเราะ”
ซองจูให้ความสนใจจองวอนที่พูดออกมาแบบนั้นเป็นอย่างมาก ท่าทางสุภาพนอบน้อม ดูสดใส แล้วยังมีมารยาทอีกด้วย ความคิดก็ถูกใจเขามากด้วย ทั้งนี้การเป็นคนรู้จักของคิมเซจุนซึ่งเป็นคนที่เขาเชื่อถือที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ ของซองฮี ก็เป็นเหตุผลที่พอให้ยอมรับได้แล้ว ซองจูยกยิ้มขำ ก่อนจะกล่าวกับจองวอน
“สนิทกับเซจุนเหรอครับ”
“ครับ?”
“เป็นเพื่อนเจ้านี่เหรอ”
จองวอนพยักหน้ารับคำพูดนั้น
“ครับ ไม่กี่ปีก่อนได้ร่วมงานกันก็เลยสนิทกันน่ะครับ”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง พูดสบายๆ เถอะครับ ถ้าเป็นเพื่อนเซจุน ก็เป็นเพื่อนของซองฮีด้วย เรียกคุณนักแสดงแบบนั้นมันก็ออกจะแปลกอยู่นะครับ”
เซจุนกับจีฮยอนถึงกับทำสีหน้าฉงนกับคำพูดและรอยยิ้มสดใสแบบนั้น พวกนั้นจ้องมองไปยังคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกเหมือนเฝ้าจับตามองระเบิดเวลา
“เออ แต่ว่าจู่ๆ จะให้ทำแบบนั้นเลยมันก็…”
“ก็นะ เราคงได้เจอกันอีกบ่อยๆ อยู่แล้ว ค่อยๆ ปรับไปก็แล้วกันนะ ก่อนอื่นจะให้เรียกยังไงดีนะ คุณนักแสดงมันดูเกินไปหน่อย เอาเป็นเรียกพี่ก็พอ จริงสิ ฉันเริ่มพูดธรรมดาๆ ก่อนแบบนี้ โอเคใช่ไหม”
“ครับ? อ้า ครับ…ไม่มีปัญหาครับ”
สุดท้าย ด้วยความงุนงงทำให้ซองจูจัดการเรื่องคำเรียกให้จองวอนเป็นที่เรียบร้อย พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของเซจุนที่มองมาด้วยสายตากระดากใจ แต่แล้วเซจุนก็หลบสายตาของเขาที่มองกลับราวกับถามถึงเหตุผล เขาจึงได้แต่คันยุบยิบในใจ ตอนนั้นเองแก้วที่บรรจุไอซ์อเมริกาโน่อยู่เต็มเปี่ยมก็ถูกวางลงตรงหน้าเขา
“อากาศร้อนแบบนี้ ต้องมาถึงที่นี่คงลำบากแย่ ดื่มนี่ก่อนแล้วค่อยๆ คุยกันไปแล้วกันนะครับ”
“อ้า ขอบคุณครับ”
เพราะจองอูที่เข้ามาจัดการจบสถานการณ์ตรงหน้าในตอนท้าย บรรยากาศจึงไม่ได้กระอักกระอ่วนอีกต่อไป จองอูวางแก้วกาแฟลงตรงหน้าคนที่นั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะ ก่อนจะวางแก้วกาแฟที่มีน้ำแข็งอยู่เต็มแก้วไปตรงหน้าซองจูเป็นคนสุดท้าย
“อย่าให้มันเกินไปนักสิ”
เจ้าตัวลูบลงไปบนกลุ่มผมของซองจูแผ่วเบา ก่อนจะนั่งลง จองวอนที่มองท่าทางของคนทั้งสองอย่างสนอกสนใจนั้น เคาะฝ่ามือเบาๆ ลงบนโต๊ะ
“เอาล่ะ งั้นรีบๆ เริ่มประชุมกันเลยดีกว่าครับ คุณเลซี่เองก็ต้องมาหยุดทำงานเพราะพวกเราที่เข้ามากะทันหันแบบนี้ด้วย”
“ไม่เป็นครับ แล้วก็ผมคิมจองอู เรียกผมด้วยชื่อก็ได้ครับ”
“เอางั้นเหรอ เอาเป็นว่ามาประชุมกันเถอะครับ”
เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก กับการที่บอกให้เรียกตัวเองด้วยชื่อคิมจองอูแบบนั้นตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ดูอย่างไรซอนจองวอนก็ดูจะได้คะแนนอย่างท่วมท้นในการเจอกันครั้งแรกกับจองอูและคู่รักของเจ้าตัว เซจุนส่งแผนงานที่จองวอนนำมาให้กับจองอูด้วยหนึ่งฉบับ
ในแผนงานนั้นไม่ได้มีข้อมูลที่ซับซ้อนอะไรเลย จองอูมองดูแผ่นกระดาษที่ในนั้นเพียงอธิบายสถานที่แสดง จุดประสงค์ รูปแบบที่ทางบริษัทต้องการเอาไว้เพียงคร่าวๆ ก่อนจะวางมันลง แล้วกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ
“เรื่องอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในแผนงานนี้ระบุว่ามีการแสดงแบบอะคูสติกกับแบบปกติมาด้วย แบบนี้คือให้มาเป็นตัวเลือกที่ทางเราจะตัดสินใจหรือเปล่าครับ”
“อ้า ก็อย่างที่พูดมาแหละครับ ทางเราอยากให้เป็นการแสดงแบบอะคูสติก แต่ว่าตอนประชุมเมื่อกี้ เซจุนบอกว่าไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้เองคนเดียวได้ ก็เลยทำมาให้เลือกแบบนี้ครับ”
พอได้ฟังคำพูดของจองวอน สายตาของจองอูก็เหลือบมองไปทางเซจุนทันที แต่ทว่าสีหน้าของเซจุนที่ทำเป็นไม่รับรู้กับสายตาที่บอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอะไรแบบนี้กลับเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย จองอูเคาะปากกาที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะกล่าวออกมา
“ผมคิดว่าแสดงแบบปกติดีกว่านะครับ”
สีหน้าของเซจุนที่ได้ยินคำพูดนั้นเคร่งเครียดขึ้นทันที
“ผมคิดว่าตัดความหลากหลายออกไป แล้วก็เล่นแบบอะคูสติกอย่างเดียวจะดีที่สุดนะครับ เวลาการแสดงทั้งหมดมีประมาณหกสิบนาที รวมช่วงอังกอร์ด้วยแล้วคงสักเก้าสิบนาที กับเวลาขนาดนี้ ถ้าเราทำการแสดงให้มันออกมาผ่อนคลายมากกว่าแสดงแบบใส่พลังจัดเต็มอย่างที่เคยทำทุกที มันจะไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“การแสดงอะคูสติก เมื่อก่อนก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำนี่ครับ ประมาณสองปีก่อน ถ้าผมจำไม่ผิด มันเป็นการแสดงที่ทางเอ็นเคมิวสิคจัดขึ้นด้วยนะครับ”
“นั่นมีแค่วงคราฟท์นี่ครับ พวกเราอยากเห็นคุณจองอูมาร่วมเล่นแบบอะคูสติกด้วยไงครับ”
“ไม่รู้สิครับ…”
ตอนพิเศษ 2-5 ปลายนิ้ว
ประชุมนี้ท่าทางจะยืดเยื้อกว่าที่คิด เรื่องราวที่กำลังพูดคุยกันตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากการโต้เถียงกันโดยเปล่าประโยชน์เลย จองอูที่โดยปกติแล้วก็ไม่ได้ชื่นชอบการแสดงแบบอะคูสติกอยู่แล้วนั้น จึงไม่ยินดีกับข้อเสนอของจองวอน ถึงแม้จะเป็นปัญหาที่พอจะหลับหูหลับตายอมรับได้ก็ตาม แต่การพยายามยื้อไปมาแบบนี้ก็เพราะไม่อยากทำจริงๆ ครึ่งหนึ่งของข้อเสนอนั้นเขายอมรับได้ ก็แค่อยากขึ้นเวทีร่วมกับวงคราฟท์เท่านั้น จองอูกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถ้าสมาชิกวงคราฟท์ทุกคนอยากทำแบบอะคูสติก ผมก็จะลองคิดดูอีกครั้ง แต่พูดตรงๆ นะครับ ผมไม่ชอบใจกับการแสดงแค่แบบอะคูสติกนักหรอกครับ”
“ทำไมเหรอครับ ถามเหตุผลได้ใช่ไหมครับ”
“เวลาหกสิบนาทีมันนานกว่าที่คิดนะครับ แต่ละเพลงให้พยายามเล่นยืดขนาดไหนก็ได้แค่เพลงละหกถึงเจ็ดนาทีเองครับ แล้วเพลงทั้งหมดก็ไม่ได้ทำออกมายาวขนาดนั้นด้วย รวมเวลาพูดเปิดแต่ละช่วง และเวลาเซ็ทเครื่องดนตรีเข้าไปแล้ว ยังไงก็ต้องเล่นถึงเจ็ดเพลงมันถึงจะพอ มันเป็นเวลาที่โอเคเลยกับการเล่นแบบจริงจังตามต้นฉบับเพลงที่มี”
จองอูกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ซองจูเห็นว่าดูอย่างไรก็เป็นท่าทางที่สง่าผ่าเผยอย่างมาก จึงได้ปิดหนังสือที่อ่านอยู่เมื่อครู่ลงเสีย แล้วก็ใช้มือเท้าคาง ขณะเฝ้ามองดูท่าทางเช่นนั้น
“อีกอย่าง เพลงทั้งหมดที่ปล่อยออกมาก็เป็นซาวนด์อิเล็กทรอนิกส์ ถ้าจะแสดงอะคูสติกก็จำเป็นต้องแก้ไขใหม่ทุกเพลงไม่ใช่เหรอครับ คราฟท์มีเพลงที่เป็นแบบอะคูสติกประมาณเพลง สองเพลงในแต่ละอัลบั้มอยู่แล้ว ถ้าต้องการเราเอามาใช้สักเพลงก็ได้ วันแสดงอยู่ประมาณช่วงไหนเหรอครับ”
“กลางเดือนหน้าครับ”
“กลางเดือนหน้า…งั้นก็เหลือเวลาอีกแค่ประมาณหนึ่งเดือน เวลาแค่นี้กับการจัดเตรียมการแสดงจะไม่กระชั้นเกินไปหน่อยเหรอครับ ผมเองตอนนี้ก็มีงานที่ทำกับศิลปินคนอื่นอยู่ด้วย”
“อืม พวกฝาแฝดเองก็มีงานส่วนตัวกันด้วย คงจะเรียกมาตามใจชอบไม่ได้หรอกนะครับ ทำแบบที่จองอูบอกจะไม่ดีกว่าเหรอครับ”
ทั้งสี่คนต่างแลกเปลี่ยนสายตากันไปมา
หากเป็นแบบนี้ เห็นทีการประชุมคงจะยืดเยื้อโดยเปล่าประโยชน์ หนักสุด อาจจะถึงขั้นเสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่าย ถึงจะแค่มองสถานการณ์อยู่ข้างๆ ก็พอจะเข้าใจคนพวกนั้นได้ไม่ยาก ซองจูเองก็ไม่สบายใจที่ได้เห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ของจองอู เขาไม่อยากเห็นหน้าบึ้งตึงแบบนั้นไปตลอดช่วงเย็นหรอกนะ
“คือว่า…”
ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ก่อนจะกล่าวออกมา
“ขอพูดอะไรหน่อย”
ด้วยเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด สายตาทั้งหมดจึงมารวมกันที่ซองจู
“คือว่า นายชื่อจองวอนใช่ไหม คือ เออ…ไงดีล่ะ ต้องทำแบบนั้นเลยหรือไง”
คำถามของซองจูทำให้จองวอนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก
“ไม่ครับ ไม่ได้จำเป็นต้องทำแบบนั้นครับ”
“งั้นก็ไม่จำเป็นต้องดื้อดึงจนพานให้ทะเลาะกันนี่ใช่ไหม”
“ก็ใช่ครับ…”
สีหน้าของจองวอนดูจะมึนงงอยู่เล็กน้อย เขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับดนตรีดีมากมายนัก การมาก้าวก่ายแบบนี้ก็ทำเขารู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ทว่าเพื่อความสุขและความสงบของครอบครัว ซองจูจึงต้องพูดต่อไป
“การที่ฉันมาพูดแบบนี้มันก็ยังไงๆ อยู่ แต่ว่าการแสดงน่ะ มันก็คือสิ่งที่ศิลปินอยากแสดงออกมาให้เห็นไม่ใช่หรือไง ก็ใช่ที่มันมีเรื่องของธุรกิจแบบผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้องด้วย แต่การบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถ้าเป็นฉันเอง การเตรียมพร้อมกับบทที่ถูกบังคับมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เจ้าพวกนี้เองก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ด้วยคำพูดของซองจู ทำให้จองวอนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของซองจูที่มุ่งมันกับการหยุดการถกเถียงนี้ เปลี่ยนกลับไปเรียบนิ่งเช่นเดิม ในตอนที่โยนหนังสือที่ไม่อ่านแล้วไปไกลตัว ก็ได้สบตากับเซจุนเข้า
‘ขอบคุณครับ’
เจ้านั่นขยับปากพูดความรู้สึกออกมาโดยไร้เสียง ซองจูยกยิ้มตอบรับกลับไป
“งั้นก็แสดงแบบปกติเจ็ดเพลง ช่วงอังกอร์แบ่งคนละเพลงก็รวมเป็นเก้าเพลง แล้วจะแบ่งกันยังไงดีล่ะ”
“ของผมรวมเพลงอังกอร์แล้วก็เป็นสี่เพลง อีกห้าเพลงก็ใช้เพลงของพวกพี่ๆ ในนั้นก็จะเลือกเพลงอะคูสติกมาเพลงนึง ให้พี่ซองฮุนเป็นคนร้อง”
“แบบนี้โอเคเหรอ นายจะเล่นห้าเพลงก็ได้ พวกเราไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
“ยังไงเพลงของพวกพี่ก็มีเพลงที่ผมร่วมทำด้วยอยู่แล้วนี่ครับ ไม่เป็นไรหรอก สำคัญที่การจัดเวลาให้มันสมดุลกัน งั้นเล่นสิบเพลงเพิ่มเพลงโปรโมตเข้าไปด้วยแบบนั้นเป็นไงครับ”
“เอางั้นเหรอ จองวอน บริษัทนายมีเพลงที่อยากให้เล่นเป็นพิเศษไหม”
“อ้อ มี มีสิ เพลงนั้นไง…”
บรรยากาศเย็นยะเยือกเมื่อครู่สลายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เพราะต่างฝ่ายก็มีเป้าหมายที่อยากให้การแสดงนั้นออกมาดีเช่นกัน ต่างกันแค่เงื่อนไขเล็กน้อยเท่านั้น และต่างฝ่ายก็ไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อกันเลย ด้วยเพราะแบบนั้น ทั้งหมดจึงสามารถตกลงเงื่อนไขกันได้ แต่ซองจูไม่ใช่แบบนั้น ที่ออกมาไกล่เกลี่ยด้วยตัวเอง เพราะไม่อาจทนดูสีหน้าขมขื่นของอีกคนได้ เพราะว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของจองอูดี สายตาของซองจูจ้องมองไปที่มือข้างซ้ายที่วางอยู่บนต้นขาของจองอูโดยไม่รู้ตัว
คิมจองอูน่ะ ตอนที่อยู่กับคนที่ไม่สนิทกันก็มักจะซ่อนมือข้างซ้ายเอาไว้ที่ไหนสักที่ ปกติแล้วจะซุกมือซ้ายไว้ในกระเป๋าของชุดที่ใส่หรือไม่ก็กำมือไว้หลวมๆ ดังนั้นซองจูจึงไม่เคยรู้เลยว่ามือข้างซ้ายของจองอูนั้นมีปัญหา
เช่นเดียวกับการไว้ผมยาวปิดบังบาดแผลบนใบหน้าเอาไว้ จองอูก็คอยซ่อนนิ้วก้อยข้างซ้ายที่ผิดปกติเอาไว้อยู่เสมอเช่นกัน ซองจูเองก็ไม่เคยรู้ว่านิ้วมือนั้นกลายมาเป็นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เช่นเดียวกับบาดแผลบนใบหน้าที่เกิดจากการถูกแม่เตะ นิ้วมือที่มีสภาพไม่อาจใช้การได้ปกตินั่น ก็คงเกิดจากการถูกใช้ความรุนแรงแบบหนึ่งเช่นกัน การคาดเดาก็เป็นแค่เพียงการคาดเดา ด้วยไม่เคยมีอะไรหลุดลอดออกมาจากปากของจองอูเลย จึงไม่สามารถยืนยันอะไรได้
เพราะนิ้วมือนั้นทำให้เกิดผลเสียมากมายในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อใช้เครื่องดนตรีทำเพลงก็ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้นไปอีก
เวลาจองอูเล่นกีต้าร์นั้น ไม่สามารถเล่นให้เสียงมันออกมาสมูทได้เลย แต่เพราะมีเครื่องมือและอุปกรณ์อัดเสียงคุณภาพดี จึงสามารถปรับแต่งเสียงกีต้าร์ไฟฟ้าหรือเบสได้ ถ้าต้องเล่นอะคูสติกกีตาร์ต่อหน้าคนอื่นแล้วละก็คงสามารถรู้สึกได้ถึงความผิดแปลกเล็กน้อยนั่นได้ กระทั่งคนภายนอกแบบเขายังรู้สึกได้ พวกมือโปรก็คงดูออกได้ทันที การปฏิเสธการแสดงแบบอะคูสติกก็คงด้วยเหตุผลนั้นอย่างแน่นอน
ซองจูปิดปากเงียบ
หากเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่เขาเป็นคนสร้างก็คงขอโทษออกไป หรือบังคับให้ปล่อยวางมันไปได้ แต่ทว่าบาดแผลแบบนี้ คงไม่สามารถทำแบบนั้นได้ อุปสรรคและรอยแผลเป็นที่อาจลบมันไปได้ตลอดชีวิตนั่น สร้างความเจ็บปวดให้จองอูได้มากมายเหลือเกิน แม้จะอยู่ร่วมกันก็ไม่สามารถรับความเจ็บปวดพวกนั้นแทนกันได้ ดังนั้นซองจูคอยคิดถึงความเจ็บปวดของอีกคนอยู่เสมอ
“อ้า น่าเสียดาย ดูท่าคงจะไม่ได้บทสรุปง่ายๆ”
เสียงนั้นดังมาให้ได้ยินอย่างกะทันหัน ซองจูที่เอาแต่มองไปที่มือของจองอูจึงได้เงยหน้าขึ้นเพราะตกใจกับเสียงนั้น แล้วจึงได้สบกับสายตาของจองอูที่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะยกยิ้มแหยให้กับอีกคน แล้วหันมองไปโดยรอบ จึงได้เห็นว่าพวกนั้นกำลังหาว หรือไม่ก็บิดขี้เกียจกันอยู่ ซองจูเอนตัวพิงไปกับเก้าอี้ แล้วจึงก้มมองไปด้านข้าง ตรงนั้นมีกีต้าร์เบสที่ซองจูเอามาเล่นอย่างนึกสนุกเมื่อนานมาแล้ว วางตั้งอยู่บนแท่นวางตัวหนึ่ง
“นี่ เซจุน”
“ครับพี่”
“ทำไมนายถึงเริ่มเล่นดนตรีล่ะ”
ซองจูมองไปที่เบสพร้อมกับเอ่ยถามเซจุน แต่เหมือนคำตอบจะง่ายกว่าที่คิด คำถามสุดท้ายจึงถูกพับเก็บไปเหมือนเปลือกหอยที่ปิดสนิทลง ซองจูย้ายสายตาที่จ้องมองเบสไปที่เซจุนแทน
“มันต้องมีเหตุผลไม่ใช่เหรอ”
เซจุนตอบกลับคำถามนั้นด้วยสีหน้างุนงง
“อืม ตอนตีกลองมันช่วยให้หายเครียดได้มั้งครับ”
“อะไรกัน ไม่เห็นจะเข้าท่า”
คำตอบที่ได้รับไม่เห็นจะเท่เลยสักนิด หัวคิ้วจึงได้ขยับเข้าหากันโดยอัตโนมัติ เซจุนมีสีหน้าอึ้ง เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดหวังของซองจู ก่อนจะหลุดขำออกมา
“คนที่เริ่มต้นด้วยเหตุผลเท่ๆ น่ะมีแค่ไม่กี่คนเองครับ ส่วนมากก็เริ่มจากเหตุผลธรรมดาๆ เริ่มเล่นเพราะอยากดูดีเวลาอยู่ต่อเพื่อนๆ หรือไม่ก็เพราะไม่ชอบการเรียนหนังสือ ส่วนใหญ่ก็ด้วยเหตุแบบนี้กันทั้งนั้นแหละครับ”
“งั้นตอนนี้ เวลานายตีไอ้นั่นก็จะทำให้หายเครียดเหรอ”
“อืม ยังไงดีละ ผมเริ่มตีกลองก่อนเป็นอย่างแรก เวลาตีกลองก็เหมือนกับต้องใส่พลังกายลงไปด้วย เพราะแบบนั้นก็เหมือนได้ออกกำลังกาย แถมยังได้เงิน แบบนั้นมันก็ดูไม่เลวเลยนะครับ”
“งั้นเหรอ”
ซองจูหลุดขำออกมา ทั้งจองวอนและจีฮยอนที่รู้สึกสนใจกับบทสนทนาของคนทั้งคู่จึงได้เฝ้ามองพวกเขาอยู่อย่างนั้น
“พวกนายใช้ชีวิตอยู่กับดนตรีทุกวันแบบนั้น ฉันก็เลยลองเรียนดูบ้าง อยากรู้ว่ามันสนุกยังไง แต่ว่าฉันก็ไม่เข้าใจมันเลยสักนิด ให้แสดงละครยังดีซะกว่า”
“ทุกคนต่างก็มีหนทางของตัวเองนี่ครับ กับพี่เองทางนั้นก็ไม่ใช่ดนตรีไงครับ”
“งั้นจะบอกว่าทางของเจ้าซองฮีคือดนตรีงั้นเหรอ”
“ก็อาจจะใช่มั้งครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินซองฮีบ่นว่าไม่ชอบดนตรีเลยสักครั้งนะครับ”
คำตอบของเซจุนทำให้สีหน้าของซองจูเคร่งเครียดขึ้นมา
เขาสงสัยสิ่งที่อยู่ในใจของจองอูที่ยังคงเล่นดนตรีต่อไป ทั้งที่นิ้วมือไม่ปกติแบบนั้น แล้วเขาก็สงสัยน้องชายของตัวเองที่ยอมแพ้กับอนาคตอันสวยหรูแล้วบอกว่าจะมาเป็นนักดนตรีนั่นด้วย
ดนตรีมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ กระทั่งตอนที่เลือกเส้นทางการแสดง เขาคิดคำนวณอยู่นานว่าสิ่งนี้มีประโยชน์กับเขาหรือไม่ ให้ผลประโยชน์อะไรบ้าง มั่นใจแล้วจึงได้เริ่มทำมัน เทียบกันแล้ว การตัดสินใจของซองฮีนั้นไร้ความรอบคอบอย่างมาก
อันที่จริงแล้ว ซองฮีต้องอดทนว่าสิบปีถึงจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ แต่ทว่าพ่อแม่ไม่ได้พูดอะไรและยอมรับการตัดสินใจแบบนั้นของซองฮี แต่บรรยากาศช่างแตกต่างกันอย่างมากกับตอนที่เขาเลือกเป็นนักแสดงและโน้มน้าวใจพ่อกับแม่ ซึ่งซองจูเองก็พอจะแยกแยะได้
“ฉันไม่เข้าใจเลย”
“มันไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจไม่ใช่เหรอครับ”
“มันก็ใช่ ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลยเหมือนกัน แต่ช่วงนี้เอาแต่สงสัยอะไรแปลกๆ แหะ”
“พี่เองก็มีอะไรที่เปลี่ยนไปหลายอย่างนะครับ แล้วพี่ลองเรียนเครื่องดนตรีอะไรล่ะครับ”
เซจุนจิบกาแฟเข้าไปอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป กาแฟที่น้ำแข็งละลายไปโดยไม่รู้ตัวนั้นไหลผ่านเข้าไปในท้อง แล้วจึงยื่นขนมชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะไปให้จีฮยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ ระหว่างที่รอคอยคำตอบของซองจู
“นั่นไง”
“เบสเหรอครับ”
เซจุนมองตามปลายคางของซองจูที่พยักพเยิดชี้ไป
เฟนเดอร์ พรีซิชัน เบส แน่นอนเลยว่านั่นเป็นเบสของจองอู ที่เคยทำท่ารังเกียจเมื่อพูดถึงดนตรี พอได้คบกับนักดนตรีเข้าก็ถึงกับอยากเรียนดนตรีขึ้นมา ทำให้เขาหลุดขำออกมา ถึงใครจะว่าอย่างไร หากฮันซองจูก็มีเสน่ห์แบบลึกลับอยู่บ้าง
“ไม่ดีเหรอครับ”
“ไม่ เจ็บมือเปล่าๆ ยุ่งยากด้วย”
“งั้นก็ยอมแพ้เถอะครับ ไม่จำเป็นต้องเล่นดนตรีเก่งขนาดนั้นสักหน่อยนี่ครับ”
“ไอ้ นายกำลังเยาะเย้ยเพราะฉันเล่นไอ้นั่นไม่ได้ใช่ไหม”
คำพูดของเซจุนทำเอาซองจูหัวร้อนขึ้นมาทันที
ซองจูที่รับรู้ถึงการตกเป็นเป้าสายตาจากจองวอนที่งงว่าทำไมสองคนที่คุยกันอยู่ดีๆ เมื่อครู่ถึงกลายเป็นแบบนั้นเสียได้ กับจองอูที่รู้อยู่แล้วว่าต้องกลายเป็นแบบนี้ และยังสายตาจากจีฮยอนอีก ดังนั้นเขาจึงแผดเสียงตะโกนออกมา
“นี่ ฉันเล่นเปียโนเก่งนะ”
“อ้า ครับ…”
ตอนพิเศษ 2-6 ปลายนิ้ว
ซองจูทำท่าทางฮึดฮัดพร้อมจ้องไปที่เซจุนซึ่งทำท่าทางไม่สนใจกับระดับความสามารถที่ได้รับการฝึกฝนเพียงเล็กน้อยจากโรงเรียนใกล้บ้านๆ แบบนั้น พอหันมองไปรอบตัว ซองจูก็สังเกตเห็นอัพไรท์เปียโน[1]ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องทำงาน จึงตะโกนถามจองอู
“นั่นน่ะ ยังดีอยู่ใช่ไหม”
“หือ”
จองอูที่ตกใจกับเหตุการณ์กะทันหันนั้นจึงได้ตอบกลับไปอย่างงุนงง ซองจูชี้มือออกไปทางเปียโน แล้วถามขึ้นอีกครั้ง
“นั่นไง”
“อ้อ อือ”
ทิ้งจองอูที่ตอบตะกุกตะกักเอาไว้ แล้วซองจูก็ก้าวฉับๆ ไปทางเปียโน สีหน้าของจองวอนที่กำลังมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่นั้นยกยิ้มค้างอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เจ้าตัวใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดต่อไป
ซองจูหยุดเท้าตรงหน้าอัพไรท์เปียโน เปิดฝาที่มีฝุ่นบางๆ เกาะอยู่ราวกับไม่เคยถูกแตะต้องเลยนั้นขึ้นมา สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะวางนิ้วหนึ่งลงบนแป้นเปียโน
ติ๊ง
เสียงกังวานใสดังก้องขึ้นมา ที่จริงแล้วเปียโนนี้อยู่ในสภาพที่ต้องปรับเสียงเสียก่อน แต่ซองจูก็ไม่ได้รู้ถึงขนาดนั้น พอลองกดลงบนแป้นเปียโนแล้วก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอยู่นาน ตัวเขาไม่ได้มีเซนส์ด้านดนตรีเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในห้องนี้
ครืด
พอลากเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงไป เขาก็เอียงคอแล้วครุ่นคิดว่าจะเล่นเพลงอะไรดี เขารู้จักเพลงมากมาย แต่แล้วเขาก็ใช้นิ้วมือเคาะลงบนปลายคาง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นซองจูจึงวางนิ้วมือลงบนแป้นเปียโนก่อนจะเริ่มกดลงไป
“อ้า…”
ในตอนที่เสียงเพลงดังขึ้น จองอูก็หลุดยิ้มขำออกมา เพลงที่ซองจูเริ่มเล่น k265 [Ah! vous dirai-je, Mama] ของโมสาร์ท หรือก็คือ [Twinkle, Twinkle, Little Star] นั่นเอง
สีหน้าที่ดูตื่นตระหนกกลายเป็นอ่อนโยนขึ้นมา จนกระทั่งจบเพลง ทุกคนที่รวมตัวอยู่ในห้องนี้ต่างก็คิดว่าซองจูโมโหจึงได้แสดงท่าทีโอ้อวดออกมาเท่านั้น แต่ทว่าท่าทางที่บรรเลงเพลงแสดงเดี่ยวเปียโนของเจ้าตัวนั้นไม่ได้ดูลำบากยากเย็น นิ้วมือที่ได้รับความทรมานจากการเล่นเบส กลับวางไล่ไปตามแป้นเปียโนได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“อืม แค่นี้พอหรือยังล่ะ”
พอการแสดงจบลง ซองจูทำเสียงติ๊งๆ ด้วยการขยับเรียวนิ้วไปมาบนแป้นเปียโน แม้จะเป็นการแสดงที่ไม่มีอะไรนัก แต่ก็รู้สึกได้ว่าเป็นการขยับนิ้วด้วยความผ่อนคลาย ซองจูที่ขยับไล่เรียวนิ้วไปตามใจอยู่ไม่นานนัก สอดเรียวนิ้วทั้งสองข้างเข้าหากัน ก่อนจะเหยียดมือไปมา หลังจากนั้นจึงวางนิ้วเรียวลงบนแป้นเปียโนอีกครั้ง
“โอ๊ะ”
เมื่อปลายนิ้วของซองจูกดลงไป บทเพลงที่ถูกบรรเลงออกมาอีกครั้ง ทำให้ดวงตาของทุกคนเบิกโพลงขึ้นทันที บทเพลงที่พริ้วและนุ่มนวลกว่าเมื่อครู่กำลังถูกบรรเลงออกมา
“โชแปง?”
จองวอนพึมพำออกมา เพลงที่ซองจูกำลังเล่นอยู่คือน็อกเทินส์ โอพัสที่ 9 ของโชแปง (Chopin Nocturne Op.9 No.2) นั่นเอง
การแสดงของซองจูนับว่าไม่เลวเลย ดังเช่นคำโอ้อวดของเจ้าตัว อาจจะไม่ถึงขั้นเทียบเท่ากับนักเปียโนผู้เชี่ยวชาญ แต่ทว่าก็เป็นการแสดงที่รู้สึกได้ว่าผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
ทุกคนหยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่ลง แล้วตั้งใจฟังการแสดงของซองจู ในตอนที่การแสดงจบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพียงมองไปยังซองจูที่นั่งอยู่หน้าเปียโนด้วยแววตาเลื่อนลอย ซองจูยกยิ้มกว้าง ทันทีที่ได้เห็นสีหน้าที่อึ้งทึ่งเช่นนั้น รอยยิ้มนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูดีและมีเสน่ห์มาก
“เห็นหรือยัง เล่นได้ดีกว่าที่คิดใช่ไหมล่ะ”
นับว่าเป็นการแสดงที่ไม่เลวเลยทีเดียว ออกมาดูดีจนทำให้สีหน้าของเจ้าตัวพลันดูสดใสด้วยความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
“การแสดงแบบนั้นเหมือนกับอาจารย์อีซองจุนเลย”
พอการแสดงของซองจูจบลง จองวอนที่ขบคิดคำพูดบางอย่างละเอียดอยู่นั้นก็ได้พูดพึมพำออกมา ต่างจากคนอื่นที่มองไปทางจองวอนราวกับถามว่ากำลังพูดเรื่องอะไร หน้าของซองจูนั้นกลับยังมีรอยยิ้มพอใจประดับอยู่
“อ้อ อาจารย์ฉันเองน่ะ”
“หา?”
คำตอบที่ไม่คาดคิดนั่น ทำให้ทุกคนเกิดอาการตกใจขึ้นมาอีกครั้ง ในบรรดาทั้งหมดนั้นมีเพียงจองวอนที่ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้ได้
“เป็นลูกศิษย์ท่านเหรอครับ”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรหรอก แค่ได้เรียนกับท่านมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วน่ะ จนถึงตอนม.ปลายปีสองล่ะมั้ง แม่เขาอยากให้เก่งอะไรแบบนั้นน่ะ”
จบคำพูดของซองจู เซจุนก็โพล่งคำพูดออกมาทันที
“ซองฮีบอกว่าไม่เคยได้เรียนเกี่ยวกับดนตรีเลยนะ”
“เออ เรื่องนั้น…”
ซองจูมีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา
“ส่วนใหญ่เจ้านั่นได้เรียนพวกกีฬากับวิทยาศาสตร์น่ะ เพราะว่าดูแมนๆ ก็เลยคิดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องเรียนพวกดนตรีหรือศิลปะอะไรแบบนั้น”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนทำสีหน้าแปลกประหลาด
ภายนอกพ่อและแม่ของซองจูก็เพียงแค่ดูสง่างาม ถึงจะรู้ดีว่ามีความคิดที่ไร้เหตุผลอยู่บ้าง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นขนาดนี้ การพูดแบบนี้ต่อหน้าคนที่เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกนั้นก็ทำให้กังวลอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ทว่าก็มั่นใจว่าทุกคนไม่คิดติดใจอะไรหรอก ซองจูที่อยู่ตรงหน้าเปียโนยกมือขึ้นกอดอก แล้วพูดเสียงแผ่วเบาออกมา
“ฟังดูเหลวไหลใช่ไหม ก็นะ สุดท้ายแล้วก็ได้เข้าเรียนด้านวิศวกรรม สมัยอยู่มหาวิทยาลัย ถึงจะลาออกก็เถอะ”
สีหน้าของซองจูตอนที่กล่าวคำนั้นดูหงอยลงไป
เป็นพี่น้องที่ทุกอย่างตรงข้ามกันไปหมด ทั้งรูปลักษณ์ ทั้งท่าทาง ทั้งนิสัย กระทั่งความสามารถก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซองจูจบคณะบริหารจัดการจากมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ส่วนซองฮีนั้นเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังที่เป็นคู่แข่งกับของซองจู สุดท้ายแล้วก็บอกว่าจะเป็นนักดนตรี หลังจากปลดประจำการแล้วก็ไม่กลับไปเรียนอีกเลย เมื่อคิดถึงช่วงมหาวิทยาลัยแล้ว ซองฮีนับว่าเป็นคนที่เรียนเก่งมาก
พ่อแม่หวังให้ซองจูได้เดินในเส้นทางสายดนตรีหรือศิลปะ จึงได้ส่งสัญญาณให้รับรู้ ด้วยการให้ไปเรียนดนตรีคลาสสิค
แต่ทว่าซองจูนั้นไม่มีพรสวรรค์ในด้านดนตรีเลย ถึงจะฝากฝังให้ได้เรียนกับนักเปียโนชื่อดัง ขนาดยอมจ่ายเงินเพิ่มให้ จัดการให้ได้เรียนแบบตัวต่อตัว แต่ทว่าพ่อแม่ก็ยังให้ซองจูเล่นเปียโนไปจนกระทั่งขึ้นมัธยมปลายปีสองถึงขนาดนั้นก็ต้องมีความเชี่ยวชาญกันบ้าง แต่เอาเข้าจริงเขากลับได้แต่แค่นเสียงเฮอะออกมาเท่านั้นแหละ
คนที่ต้องการความเชี่ยวชาญอะไรแบบนั้น ความจริงแล้วน่าจะเป็นซองฮีมากกว่า แต่พ่อแม่ของพวกเขานั้นไม่เคยรับรู้เลยว่าแท้จริงแล้วลูกมีความต้องแบบไหน หรือมีพรสวรรค์อะไร สุดท้ายก็เป็นพวกเขาที่ได้ความเสียหายจากเรื่องนั้น ความไม่ปรองดองกันของซองจูและซองฮีก็มาจากสาเหตุพวกนี้เช่นกัน
“ว่าแต่ทำไมไม่เล่นต่อไปล่ะครับ ถึงจะหยุดไปนานก็ยังเล่นได้ถึงขนาดนี้ ก็คงไม่ถึงกับไม่มีพรสวรรค์เลยไม่ใช่เหรอครับ”
“อ้า ถามอะไรแบบนั้นเล่า! ก็เพราะว่าทำไม่ได้ไงล่ะ!”
ซองจูหงุดหงิดจนโมโหออกมา
“ฉันน่ะไม่มีหรอกนะไอ้เพอร์เฟกต์ พิตช์[2]ที่ใครเขาบอกกันน่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้เรียนมันเพราะอยากเรียน ก็แค่เลียนแบบคนอื่นไปเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกสนุก แล้วก็คิดแค่ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำแค่นั้น ไม่รู้จักหรอกการเรียนอย่างง่ายๆ น่ะ เพราะเริ่มต้นฉันก็ได้เรียนอะไรที่มันเกินคำว่าง่ายไปแล้ว ก็เลยได้เห็นว่าเป็นทางตันแล้ว”
สีหน้าของซองจูที่กำลังหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตอย่างเงียบๆ นั้น ถึงอยากจะแสดงความหงุดหงิดออกมา แต่ก็ทำได้แค่กดมันเอาไว้เท่านั้น
“ฉันอ่านโน้ตในทันทีไม่ได้ บรรดาพวกที่เรียนด้วยกัน มีคนนึงที่เป็นเหมือนกับฉัน เจ้านั่นถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังต้องเปิดหูรับฟัง ให้ตายยังไงก็พยายามฟังที่คนอื่นเล่นแล้วทำตาม แต่แล้วก็มาถึงจุดที่กระทั่งการทำแบบนั้นมันก็ยังยากไป ครอบครัวของหมอนั่นน่ะเป็นนักดนตรีกันหมด สุดท้ายก็มาพบว่าตัวเองเข้าเรียนด้านดนตรีไม่ได้ เทียบกันแล้ว ฉันก็ยังถือว่าดีกว่ามาก พอบอกให้รู้แต่เนิ่นๆ ว่าฉันไปต่อไม่ได้แล้ว พวกท่านก็บอกว่าแค่เรียนไว้เป็นความรู้ติดตัวก็พอ”
เรื่องราวของซองจูฟังดูน่าเศร้า คนอื่นที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรกับคำพูดนั้น จึงแค่มองมาเท่านั้น ซองจูลุกขึ้นจากนั่ง แล้วปิดฝาครอบเปียโนลง
“ยังไงก็ช่าง ฉันก็ไม่ใช่ว่าเล่นดนตรีอะไรไม่เป็นเลยแล้วกันเถอะ!”
ซองจูกล่าวเช่นนั้นออกมา พร้อมกับกลับไปนั่งที่ตัวเอง
ระหว่างที่เดินมาก็คว้าเบสที่วางตั้งอยู่บนแท่นถือติดมือมาด้วย แล้วซองจูก็หันไปกล่าวกับจองวอน
“ว่าแต่รู้ได้ยังไงว่าฉันเรียนกับอาจารย์อีซองจุน”
“อ้อ เรื่องนั้นเอง”
คำถามที่เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันทำให้จองวอนมีท่าทีตกใจ ก่อนจะตอบกลับไป
“มันมีความเป็นเอกลักษณ์อยู่น่ะครับ ให้อธิบายเป็นคำพูดมันค่อนข้างยาก…คือบริษัทเดิมที่ผมเคยทำงานอยู่ เป็นบริษัทด้านเพลงคลาสสิคน่ะครับ ก็เลยโชคดีได้ดูการแสดงของอาจารย์อีซองจุนอยู่บ่อยๆ”
“รู้เพราะตอนนั้นเหรอ”
“ครับ”
“หืม ฟังออกอย่างนั้นสินะ ฉันไม่เห็นจะรู้เลย”
“มันก็เหมือนเป็นโรคจากการทำงานแหละครับ”
พูดถึงอีซองจุนแล้วล่ะก็ ถือเป็นหนึ่งในบรรดานักเปียโนระดับประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งเลย สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยระดับประเทศ แล้วยังมีลูกศิษย์มากมายที่เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง กับคนระดับนั้น การฝากลูกชายไปเป็นศิษย์ ถึงจะพิสูจน์ออกมาแล้วว่าไม่มีพรสวรรค์ แต่ก็ยังคงให้เรียนต่อไป พ่อแม่แบบนั้นเป็นคนอย่างไรกันนะ จองวอนได้แต่นึกสงสัยเกี่ยวกับพ่อแม่ของพี่น้องตระกูลฮัน
“ยังไงก็ตาม วันนี้รบกวนเป็นอย่างมากเลยนะครับ หวังว่าคราวหน้าจะได้เจอกัน ในโอกาสที่ดีกว่านี้นะครับ”
จองวอนกล่าวออกมาเช่นนั้นก่อนจะลุกจากที่นั่ง จีฮยอนที่คอยตามหลังอีกฝ่ายอยู่ตลอดก็พลอยลุกขึ้นมาด้วย
“จะไปแล้ว?”
“อือ นี่ก็ทุ่มนึงแล้ว ต้องรีบกลับไปพักผ่อนได้แล้วสิ พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานอยู่นี่นา”
“เอ่อ ผมเองก็ขอตัวนะครับ วันนี้กลับดึกใช่ไหม”
พอเห็นท่าทางของจีฮยอนที่หันกลับมาโค้งให้เขา เซจุนเองก็พลอยลุกขึ้นจากที่นั่งไปด้วยอีกคน
“ไม่ละ ฉันเองก็ต้องกลับเหมือนกัน”
จองอูทำหน้าราวกับกินยาขมๆ พร้อมกับเอ่ยว่า
“บอกว่าอยากกลับด้วยกันแค่นั้นก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องทำท่ามากแบบนั้นเลยนี่ครับ ที่นี่ทุกคนก็รู้เรื่องที่ทั้งสองคนคบกันอยู่แล้วนี่ครับ”
“นี่ ดูพูดเข้า เดี๋ยวนี้ชักจะเหมือนพี่เขาเข้าไปทุกทีแล้วนะ”
จองอูไม่ได้โต้ตอบกับคำกล่าวนั้น
“พี่ครับ พวกผมกลับก่อนนะครับ”
“อือ ไปเถอะ แล้วไว้เจอกัน”
“ครับ พักผ่อนเถอะครับ”
[1] อัพไรท์เปียโน เปียโนที่มีสายและโครงวางในแนวตั้ง
[2] เพอร์เฟกต์ พิตช์ ผู้ที่สามารถระบุโทนเสียงได้อย่างแม่นยำ
ตอนพิเศษ 2-7 ปลายนิ้ว
เซจุนลากอีกสองคนออกจากประตูห้องทำงานไป เสียงปิดประตูใหญ่ดังขึ้น พร้อมกับเสียงล็อกประตูอัตโนมัติดังขึ้นตามมา ซองจูก็ผ่อนคลายลงทันที
“อ้า สติฉัน…”
เสียงบ่นแผ่วเบาที่ดังขึ้นพร้อมกับศีรษะที่โน้มพิงลงมาพาดบนไหล่ของจองอู จองอูขยับจัดท่าทางให้ซองจูรู้สึกสบาย ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“ขึ้นไปข้างบนไหม”
ซองจูส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับคำพูดนั้น
“ไม่เอา เพราะเจ้าพวกนั้น นายก็เลยยังทำงานที่ต้องทำไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ”
“ทำพรุ่งนี้ก็ได้”
“พรุ่งนี้เจ้าพวกนั้นก็ต้องเข้ามาจัดเตรียมเรื่องการแสดงนั่นอีก แบบนั้นจะไม่ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่หรือไง ช่างเถอะ”
ซองจูกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะเบะปากออกมา
เขารู้ว่านี่คืองานของจองอู เทียบกับเขาแล้วที่พอจบผลงานเรื่องหนึ่งก็จะได้หยุดพัก เขารู้ดีอยู่แล้วว่างานของจองอูนั้นคาดเดาอะไรไม่ได้ เพราะแบบนั้นถึงทำได้แค่คอยตัวติดกับอีกฝ่ายแบบนี้ แล้วก็ใช้เวลาร่วมกันไป ถึงบางครั้งมันจะเกินไปบ้างก็เถอะ
ถึงเขาจะบอกตัวเองว่าต้องเข้าใจว่ามันเป็นงานของอีกคน แต่ด้วยความที่ซองจูไม่เคยเข้าใจเกี่ยวกับงานสายดนตรีเลย ทำให้บางครั้งก็เกิดรู้สึกว่าเราดูเข้ากันไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ลองเรียนดนตรีที่เป็นสิ่งที่ไม่ถนัดเลย แล้วก็ลองฟังเพลงของจองอูด้วย การได้มองอีกคนกำลังเอ่ยอะไรบางอย่างอยู่ในที่ไกลๆ แบบนั้น บางครั้งก็ทำให้นึกถึงน้องชายตัวเองขึ้นมา
เวลาที่จองอูอยู่ใกล้ชิดกับดนตรี มันเหมือนได้เห็นเงาของน้องชายตัวเองได้อย่างชัดเจน ในโลกคับแคบของจองอู สิ่งที่มีผลอย่างมากก็ไม่พ้นซองฮีกับพวกเพื่อน นั่นยิ่งทำให้เขาคิดมากไปอีก เพราะแบบนั้น การบอกว่าซองจูคุ้นเคยกับเรื่องดนตรีนั้นยังถือว่าห่างไกลอยู่มาก
ซองจูวางเบสที่ถือไว้ในมือลงบนพื้น แล้วใช้มือหมุนส่วนเฮดของเบส สีหน้าของจองอูที่มองดูเบสที่หมุนเป็นวงช้าๆ ตามการขยับมือของอีกคน ราวกับเป็นลูกข่างแบบนั้นเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา แต่ซองจูไม่ได้รับรู้เลย ถ้ารู้ว่าไอ้นั่นมันราคาเท่าไรคงจะไม่ทำแบบนั้นหรอกมั้ง แต่หากบอกราคาให้ได้รู้ คงถามกลับว่าของเก่าๆ แบบนี้ราคาขนาดนั้นเลยเหรอ หรือไม่ก็คงโอ้อวดด้วยการบอกว่าจะซื้ออันที่ดีกว่าให้แน่ๆ จองอูจึงได้ปิดปากเงียบ
“คีย์บอร์ดก็เล่นยากนะ แต่พวกเครื่องดีดนี่ดูยากยิ่งกว่าอีก”
ซองจูกล่าวออกมา พร้อมกับชะงักมือที่หมุนเบสนั้นลง
“พวกคีย์บอร์ดก็แค่กดลงไป แล้วเสียงก็จะออกมาตามที่กด แต่ว่าไอ้นี่ต้องใช้ทั้งสองมือกดลงไป แค่นั้นก็เกินกำลังแล้ว”
“กีต้าร์เองก็แค่กดลงไป แล้วจะเกิดเสียงออกมาตามที่กดนะ เปียโนเองก็ต้องใช้สองมือนี่”
“เอ๊ะ นายนี่ ก็นั่นแหละ! ยังไงมันก็ต่างกัน ไม่เข้าใจที่ฉันพูดหรือไง”
“ก็นะ เหมือนจะเข้าใจอยู่…”
จองอูเพียงพยักหน้ารับกับคำพูดของซองจู พอได้เห็นท่าทางแบบนั้น เหมือนข้างในจะระเบิดออกมา ซองจูจึงถือเบสขึ้นมาแล้วจัดท่าทาง
“เล่นไปเรื่อยๆ แล้ว ก็ไม่เห็นจะเข้าใจ แปลกดี”
เจ้าตัวกล่าวออกมาแบบนั้น ก่อนจะขยับจัดท่าตามที่จองอูสอน ก่อนจะเริ่มดีดสาย ไม่ใช่ว่าฝึกฝนอยู่บ่อยๆ ทำแบบนี้ก็แค่ตอนที่พอใจจึงไม่มีอะไรที่ดีขึ้น จองอูมองท่าทางเก้ๆ กังๆ ของอีกคน ก่อนจะขยับเข้าไปยืนตรงด้านหลังของอีกคน
“ไม่ใช่แบบนั้น ต้องแบบนี้”
เจ้าตัวพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ด้านหลังของซองจู ท่าทางนั่นดูราวกับเขาถูกกอดจากด้านหลังไม่มีผิด
“ใช้นิ้วหัวแม่มือดีดขึ้นแล้วก็ดีดลงเป็นมุมสี่สิบห้าองศาแบบนี้ เวลาดีดลงไปที่สาย ให้ดีดวนเป็นวงกลมเหมือนการเดิน”
เอื้อมมาจับที่มือข้างซ้ายของซองจูแล้วจัดท่าทางที่ถูกต้องให้ ซองจูพยักหน้ารับพร้อมกับพยายามทำตามนั้น
“แบบนี้เหรอ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น ให้มันหมุนเป็นวงหน่อย อย่าให้มันดัง แต็ง ต้องให้มันดัง ตึง ออกมา”
“โธ่เว้ย ไม่เห็นได้เลย”
ถึงจะบ่นออกมาแบบนั้น หากซองจูก็พยายามทำตามที่สอน ลองขยับนิ้วอยู่อย่างนั้น
“นี่ นี่ แบบนี้เหรอ แบบนี้ได้ยัง”
“…แทนที่จะใช้นิ้วดีด ฉันสอนแบบใช้ปิ๊กให้ดีไหม”
“มันคืออะไรเหรอ”
“ปิ๊กไง แผ่นพลาสติกบางๆ ที่เอาไว้ใช้ดีดสายน่ะ”
“หา อะไรกัน แบบนั้นมันดูยากกว่าไม่ใช่เหรอ ช่างเถอะ ฉันจะเล่นแบบนี้แหละ”
จองอูที่มองดูซองจูบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิด เพราะทักษะที่ดูจะไม่เพิ่มขึ้นเลยสักนิดนั่น ได้แต่ถอยหายใจอยู่ข้างใน ซองจูที่เล่นเปียโนออกมาได้เก่งขนาดนั้น กับการเล่นเบส มันกลับไม่มีความคืบหน้าเลยสักนิด คิดว่าจะสอนวิธีการเล่นดนตรีแบบอื่นให้ ก็ไม่รู้ว่าจะลืมมันไปตอนไหน แต่พอทำท่าสอนแบบจริงจัง ก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก อย่างไรเสียการสู้รบกับฮันซองจูก็มักจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาให้ได้ปวดหัวอยู่ตลอด
“นี่ คิดอะไรอยู่”
เมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแบบนั้นของจองอู ซองจูก็เหลือบไปมองทางจองอู มือที่พยายามเล่นให้ได้เมื่อครู่นั้นหยุดชะงักลงนานแล้ว จองอูมองไปที่ซองจู ก่อนจะหลุดขำออกมา
“ไม่ได้คิดอะไรเลย”
“โกหกชัดๆ นายกำลังคิดว่าฉันไม่ได้เรื่องใช่ไหมล่ะ”
“เปล่า”
“พูดแบบนี้ ใช่แน่ๆ”
ซองจูเค้นเสียงเฮอะออกมา ก่อนจะลุกจากที่นั่ง
เอาเบสที่ถืออยู่ในมือกลับไปวางไว้ที่แท่นตามเดิม แล้วก้าวฉับๆ ไปยังโซฟา จองอูเฝ้ามองท่าทางแบบนั้นอย่างประหลาดใจ ซองจูทิ้งจองอูไว้ที่โต๊ะประชุม แล้วหนีไปนั่งที่โซฟา
“นี่”
“หืม”
จองอูลุกจากที่นั่งตามซองจู ระหว่างที่เดินเข้าไปใกล้เขาก็สังเกตสีหน้าที่ดูเหม่อลอยของอีกคน เสียงแผ่วเบาของซองจูดังมาให้จองอูได้ยิน
“นี่ คนอื่นฉันไม่สนหรอก แต่นายห้ามทำแบบนั้นกับฉัน อย่าดูถูกว่าฉันทำไม่ได้แบบนั้น”
“ไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย”
“…รู้แล้ว ก็แค่พูดเผื่อไว้ในอนาคตเหอะ”
จองอูขยับเข้าไปใกล้ซองจูอย่างช้าๆ
ใบหน้าของซองจูที่นั่งอยู่ใต้หลอดไฟแบบนั้น ทำให้เกิดเป็นเงาสีเข้มพาดผ่าน ความมืดที่ปกคลุมไปเกือบครึ่งของใบหน้าขาวใสนั่นให้ความคุ้นเคยอย่างประหลาด จองอูกระพริบตาซ้ำๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ กัน
ใบหน้าของซองจูที่โน้มเข้าหาอ้อมกอดของเขานั้นทำให้จองอูรู้สึกหดหู่ไม่น้อย
หลังจากที่เริ่มเตรียมการสำหรับการแสดงคอนเสิร์ต ซองจูก็มักจะโผล่เข้ามาในห้องทำงานนี้เป็นประจำ ตอนนี้บรรดาสมาชิกวงคราฟท์ต่างก็เคยชินกับการมีตัวตนอยู่ของเจ้าตัว จึงไม่มีการทำสีหน้าประหลาดและคอยจับตามองเรื่องของซองจูอีกแล้ว แน่นอนว่าซองจูก็ทำท่าทางว่าห้องทำงานของจองอูนั้น เป็นของตัวเองมาตั้งนานแล้ว จึงไม่มีอะไรให้สนใจอีก
“เดี๋ยวก่อน ตรงนี้เพิ่มจังหวะให้หนักขึ้นอีกหน่อยเป็นไง ทั้งสองเพลงก็เพิ่มความเร็วขึ้นอยู่แล้ว ถ้าเพิ่มช่วงท่อนบริดจ์[1]เข้าไป ก่อนจะเข้าเนื้อร้อง มันจะดูแปลกๆ นะ”
“งั้นเราแก้ตรงส่วนนี้อีกหน่อยดีไหม”
“อือ เอาตามนั้นแหละ”
ตอนนี้ซองจูก็ยังคงนอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟา เฝ้ามองจองอูกับพวกคราฟท์ที่กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ไม่นานมานี้มีบทถูกส่งเข้ามา หากเขาเพียงเก็บมันเอาไว้ แต่ไม่ได้แตะมันแม้แต่น้อย
“งั้นเพลงอะคูสติกก็เลือก Starry Night เป็นไงครับ”
“เพลงนั้นดีที่สุดในบรรดาเพลงอะคูสติกด้วย”
“งั้นพี่ซองฮีก็จะได้มีช่วงพักช่วงนึงด้วยนะครับ”
“เอาไปทั้งสองเพลงเลยไหมล่ะ”
“แบบนั้นฉันไม่โอเค เอาเพลงเดียวพอ”
เพลงอะคูสติกที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่ทำให้ซองฮีกับซองฮุนวุ่นวายอยู่กับการถกเถียงกันไปมาแบบนั้น ในบรรดาเพลงของคราฟท์ คนที่อัดเสียงอะคูสติกนั้นไม่ใช่ซองฮีแต่เป็นซองฮุนที่เป็นคนร้อง แต่ว่าเขาเองก็ไม่เคยลองฟังด้วยตัวเองเลยสักครั้ง จึงไม่เข้าใจที่พวกนั้นกำลังคุยกันอยู่เลยสักนิด แล้วเขาไม่ได้มีใจอยากจะลองฟังด้วย
ถึงจะรู้ว่าน้องชายตัวเองทำงานอะไร แต่การไปให้ความสนใจกับแนวทางของอีกคนถึงขนาดนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาพอใจจะทำอยู่แล้ว นั่นก็เพราะท่าทีของพ่อที่สนับสนุนกับการเปลี่ยนแนวทางของน้องชายนั่นแหละ แต่ถึงอายุจะย่างเข้าเลขสามแล้วก็ยังมีร่องรอยของพ่อแม่คอยตามติดอยู่ นั่นยิ่งทำให้ไม่พอใจเข้าไปใหญ่ ถึงจะมีคำพูดที่ว่าต้องแยกห่างจากพ่อแม่จึงจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ แม้เขาจะตีตัวออกห่างมา แต่ท่าทางที่ทำเหมือนพวกเขายังเด็ก ไม่อาจปล่อยห่างสายตาได้ของพ่อแม่นั้น ทำให้ไม่นานมานี้ซองจูจึงได้เริ่มออกนอกลู่นอกทางอย่างไม่คิดลังเล
“งั้นก็เล่นทั้งหมดเจ็ดเพลงนี้กันเถอะครับ ไม่ต้องไปยุ่งกับลิสต์เพลงอีกแล้ว มาคิดเรื่องเวลาที่จะใช้ซ้อมแต่ละเพลงกันใหม่ดีกว่า”
“อังกอร์ล่ะ”
“เออ ยังเหลือนั่นอีกนี่นา สรุปแทบตายก็ไม่เคยจบ”
สองแฝดที่รับหน้าที่เล่นคีย์บอร์ดและกีต้าร์ ฮยอนจินกับแฮจินถึงกับจิ๊ปากอย่างไม่พอใจออกมา
ตามคำพูดของจองอู หน้าที่แต่งเนื้อเพลงของคราฟท์ ซองฮุนเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนทำนองก็เป็นซองฮุนกับเซจุนแบ่งกัน เมื่อเนื้อเพลงกับทำนองเสร็จเรียบร้อย เซจุนกับสองแฝดก็จะนำมาช่วยกันเรียบเรียงและเพิ่มเติมบางส่วนให้ตรงกับสไตล์ของวง
‘งั้นซองฮีล่ะ’
จบคำอธิบาย เขาก็โพล่งถามถึงซองฮีทันที นอกจากหน้าที่ร้องเพลงแล้ว เจ้าตัวก็ยังทำหน้าที่ในการเป็นวิศวกรที่จับทุกส่วนมารวมกัน แต่ว่าซองจูก็ไม่เข้าใจนักว่ามันคืออะไร
‘แล้วหน้าที่นายล่ะ’
ถามถึงตรงนั้น จองอูก็ชะงักไปครู่ แล้วบอกว่าจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังทีหลัง หลังจากนั้นซองจูก็ไม่ได้ถามจองอูเกี่ยวกับเรื่องการทำเพลงอย่างจริงจังอีกเลย
ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องทำให้อากาศชื้นลอยมาแตะที่ปลายจมูก จนต้องฝืนตัวเองที่เกือบจะหลุดจามเอาไว้อย่างยากเย็น แล้วซองจูก็ย่นจมูก
อะไรกันนะ ที่ทำให้เจ้าพวกนั้นมีท่าทางกระตือรือร้นแบบนั้นได้ เขาที่แสดงละครตบตาคนรอบตัวมาตลอดชีวิต ซองจูก็คิดว่ามันก็เป็นแค่งานเท่านั้น แต่ว่าไม่เคยมีท่าทางกระตือรือร้นออกมาแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว การแสดงสำหรับเขา มันเป็นสิ่งที่คุ้นเคย แค่แสดงเพียงครู่ มันก็ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตในแบบอื่น แต่ก็ไม่เคยมีความรู้สึกพลุ่งพล่านอะไรแบบนั้นเลย
แน่นอนว่ามันก็รู้สึกปลาบปลื้มเมื่อเห็นผลงานที่ดีและแสดงออกมาได้น่าพอใจ หลังจากที่สัญญาณคัทจบลง ในอกมันฟูฟ่องไปด้วยความรู้สึกพอใจ หรือความรู้สึกที่เอ่อล้นจนไม่อาจทำเมินเฉยได้ ถึงอย่างนั้นการหลงใหลในดนตรีจนหลงลืมว่ามีใครอยู่บ้างและการถกเถียงกันอย่างกระตือรือร้นอย่างยาวนานแบบนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นในใจของซองจูเลย มันคงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ต่างกัน
เหมือนมีกำแพงที่ไม่อาจทลายลงได้ขวางกั้นระหว่างซองจูกับคนพวกนั้นอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะการใช้ชีวิตของซองจูนั้นผิดพลาดไป มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาใช้แบ่งแยกแบบนั้นได้ แต่ว่ามันก็น่าเสียดาย หากเปลี่ยนมันตั้งแต่ก่อนหน้านี้ หากเขาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตให้ต่างไปจากนี้ มันจะเปลี่ยนไปขนาดไหนนะ ช่วงนี้ซองจูมักจะคิดเช่นนี้อยู่เสมอ
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่เหมือนจะคืนดีกัน แต่ก็ยังมีท่าทีไม่คุ้นชินนั่น มันจะเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่ เจ้าตัวได้แต่ขบคิดอย่างไร้สาระอยู่อย่างนั้น
ทุกสิ่งมันดูแปลกไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นความกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อสายไปแล้วหรือไม่ ในเวลานี้ซองจูรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน
“โธ่เว้ย”
จิตใจที่หวาดหวั่นของซองจูนั้น ตรงข้ามกับอากาศเย็นชื้นที่คอยวนเวียนอยู่แถวๆ ปลายจมูกอยู่ตลอดเวลาเสียเหลือเกิน
[1] ท่อนบริดจ์ มักจะมาต่อจากท่อนคอรัสที่สอง และเป็นท่อนที่แตกต่างจากท่อนอื่นในเพลง เป็นท่อนสั้นๆ มีเนื้อร้องแค่หนึ่งหรือสองบรรทัด และบางครั้งก็คือท่อนเปลี่ยนคีย์ของเพลง
ตอนพิเศษ 2-8 ปลายนิ้ว
“ทำไมเอาแต่ทำหน้าแบบนั้นทั้งวันเลยล่ะ”
เมื่อเข้ามาในบ้านและจัดการอาบน้ำเรียบร้อย ก็ตรงมานอนแหมะอยู่บนเตียง จองอูก็เอ่ยถามขึ้นทันที ตลอดทั้งวันเอาแต่ประชุมและซ้อมเพลง พอได้เห็นสีหน้าอ่อนล้าและมองมาที่ตนเองเต็มไปด้วยความห่วงกังวล ดังนั้นซองจูจึงส่ายหน้ากลับไป
“ไม่รู้สิ สีหน้าฉันเป็นยังไงเหรอ”
“เหมือนจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนี้เลย”
ซองจูยิ้มบางๆ ให้กับคำพูดนั้น
“ไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นสักหน่อย”
จองอูไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงจ้องมองซองจูอยู่อย่างนั้น
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ นายโอเคแน่นะ”
“อะไรเล่า”
“ถ้ายังเป็นแบบวันนี้ ก็จะเจ็บไปทุกวันเลยนะ”
ซองจูกล่าวเช่นนั้นออกมา ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของจองอู
หากเป็นวันที่ฝนตก จองอูมักจะไม่สบายตัวอยู่ตลอด
ถึงจะไม่ได้แสดงออกมาชัดๆ ว่าเจ็บ แต่แค่มองหน้าก็รู้ได้แล้ว เริ่มจากช่วงเอวไปจนถึงแขนทั้งสองข้าง ไหล่ ข้อมือ และนิ้วมือ ไม่มีตรงไหนเลยที่เจ้าตัวไม่เจ็บ
“เป็นแบบนั้นตอนไหนกัน”
“มันยังไม่หายดีสักหน่อย รอยแผลพวกนั้นน่ะ อย่ามาทำเป็นปฏิเสธหน่อยเลย”
พูดโพล่งออกมาเสียงแผ่ว แล้วซองจูก็เบะปากอย่างขัดใจ
ตัวติดกันอยู่ตลอดขนาดนี้ คิดว่าจะไม่รู้เลยหรือไง แล้วสัมผัสอุ่นก็แตะลงมาบนแผ่นหลังของเจ้าตัวที่เอาแต่บ่นงึมงำด้วยความไม่พอใจออกมา เป็นจองอูที่กอดตัวซองจูเอาไว้
“อะไร”
“อยู่แบบนี้สักพักนะ”
จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับซุกหน้าลงไปตรงต้นคอของซองจู กลิ่นแชมพูและกลิ่นของจองอูที่ฟุ้งออกมาพร้อมกันนั้น กระตุ้นประสาทรับกลิ่นของซองจู
“ขอโทษ ช่วงนี้มัวแต่เตรียมการแสดงเลยไม่ค่อยได้ใส่ใจนายเลย”
“ช่างเถอะ ก็มันเป็นงานนี่นา”
“เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย ก็เลยจะถูกสังเกตได้”
“รู้แล้ว เข้าใจแล้วพอเถอะ”
ซองจูวางมือทาบลงบนแขนของจองอูที่โอบรอบเอวเขาเอาไว้โดยไม่ทันรู้ตัว พร้อมกับตอบกลับไป
เขาเข้าใจดีที่อีกคนบอกว่าอย่าไปที่ห้องทำงานนั้นเลย แต่เพราะยังรู้สึกว่าไม่อาจสงบใจได้ จึงปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดกับจองอูตลอดเวลา ถึงจะรู้ดีว่าอีกคนไม่คิดจะหนีไปจากเขา แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงรู้สึกสบายใจได้ก็ต่อเมื่อได้อยู่ใกล้กับอีกคน แม้กระทั่งตอนเด็กๆ เขาก็ไม่เคยยึดติดกับพ่อแม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุผลอะไรที่ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งทำตัวเด็กลง หากคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะคิมจองอู ในหัวกลับหยุดต่อต้านไปเอง
และหนึ่งในเหตุผลที่ไปที่นั่นก็คือ หากไปที่นั่นก็จะได้พูดคุยกับซองฮี แม้จะเป็นการโต้เถียงกันก็ตาม
พอซองฮีมาถึง ก็จะถามว่ามาสร้างเรื่องอะไรอีกล่ะพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ว่าไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ซองจูก็รู้สึกสนุกมากที่ได้เถียงกับน้องชาย ทุกครั้งที่อีกคนเยาะเย้ยหรือทับถมเขา เขาก็จะยิ่งโกรธ แล้วก็เพลิดเพลินกับการตอบโต้กลับมา ซองฮีในช่วงที่เด็กกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่สนใจซองจูเลยสักนิด สิ่งที่น่ากลัวกว่าการตอบกลับอย่างรุนแรงคือการไม่สนใจกัน ซองจูคิดว่าการที่ซองฮีโมโหใส่ตัวเองนั้นคือส่วนหนึ่งของการแสดงความสนใจ หากเป็นเช่นนั้น กระทั่งเจ้าตัวแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนสายฟ้าฟาด หรือทำท่าทางหงุดหงิด ก็ยังทำใจกว้างมองข้ามไปได้ ความจริงแล้วก็แค่พี่น้องที่ผิดแปลกไปบ้าง
“เรื่องอื่นก็ไม่เป็นไร แต่ก็เบื่อๆ บ้าง ที่แทบไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกนายเอาแต่คุยกันได้เลยน่ะ”
“มันก็เรื่องงานนั่นแหละ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงที่นายไม่เคยฟังด้วย”
“ฉันรู้จักเพลงที่นายทำนะ”
“แต่ไม่เคยฟังอัลบั้มของพวกพี่เขานี่”
“เออ จริงๆ มันก็น่าอายนิดหน่อยนั่นแหละ ไอ้เพลงที่น้องชายเป็นคนร้องนั่นน่ะ”
ซองจูรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
อันที่จริง เขาเคยดูการแสดงของวงคราฟท์แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วนั่นก็ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะดู บังเอิญเปลี่ยนช่องมาเจอเฉยๆ พอได้เห็นใบหน้าของน้องชายที่ปรากฏอยู่ในรายการเพลง มันเหมือนเขาจะตัวชะงักค้างไปเลย
ฮันซองฮีที่ร้องเพลงอยู่นั้น ไม่ใช่น้องชายของเขาเลย ไม่ใช่ซองฮีคนนั้น คนที่ตั้งแต่เดินเข้าประตูมา ก็ทักทายพ่อแม่และตัวเขาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเข้าห้องไปแล้วไม่ก้าวออกมาอีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว คนในจอที่จับไมค์และยืนอยู่บนเวทีโดยไม่ขัดเขินนั้น ช่างดูมีเสน่ห์ดึงดูดเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่เคยพูดเถียงและเต็มไปด้วยความโกรธ กลับเปลี่ยนเป็นแหบพร่าติดจะขึ้นจะจมูกอยู่หน่อยๆ สายตาที่หันมองมาทางกล้อง ทำให้ยิ่งรู้สึกถูกดึงดูด สำหรับซองจูที่จดจำได้เพียงท่าทางเหมือนนักเรียนตัวอย่างนั่น มันก็ยังกระแทกใจได้อย่างรุนแรง
“ไม่รู้ทำไมเจ้านั่นถึงได้ดูเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น”
“หืม”
เมื่อพึมพำออกมาเสียงแผ่ว เสียงหายใจที่มาพร้อมกับคำถามก็ดังขึ้นข้างหูทันที
“เคยบังเอิญได้ดูน่ะ ตอนเจ้านั่นร้องเพลง เขาไม่ใช่ฮันซองฮีที่ฉันเคยรู้จักเลย ไม่สิ ที่จริง เจ้านั่นเป็นคนแบบไหนฉันเองก็ไม่เคยรู้ แต่ยังไงมันก็ดูแปลกๆ หมอนั่นที่ทุกวันเวลาเจอฉันก็จะเอาแต่โมโห แล้วก็เมินกัน ทำไมแค่จับไมค์ก็ดูพลิกกลับเป็นอีกด้านแบบนั้นได้ เพราะงั้นก็เลยไม่ดูอีกเลย เพราะมันแปลกนั่นแหละ”
“ฉันเองถ้าไปยืนบนเวที ก็พอจะรู้สึกแบบนั้นบ้างเหมือนกัน พอเป็นพี่เขามันก็เลยยิ่งกว่าไปอีกล่ะสิ”
“นายต้องคุ้นกับท่าทางของเจ้านั่นตอนอยู่บนเวทีไม่ใช่หรือไง”
“งั้นเหรอ”
จองอูตอบห้วนๆ ก่อนจะค่อยๆ ประทับจูบลงไปตรงแถวคอของซองจู ซองจูลูบไล้ไปบนแขนของจองอูที่กอดเอวเจ้าตัวไว้ แล้วจึงสอดกระชับมือเข้าหากัน สัมผัสไปที่มือซ้ายตามนิสัย พออากาศเป็นแบบนี้ ใบหน้าของจองอูก็เลยดูบูดบึ้ง ซองจูที่รู้เรื่องนั้นดี จึงได้ค่อยๆ ประทับจูบไปบนนิ้ว
“ไม่ปวดเหรอ”
“ก็พอทนได้แหละ”
“โกหก”
ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงลมหายใจมากระทบที่หู เป็นจองอูที่หัวเราะออกมา
“นายจะปวดในวันที่มีอากาศแบบนี้ แม้กระทั่งกีตาร์ยังไม่ยอมแตะเลยนะ”
บ่นพึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่ว ก่อนจะจูบลงบนนิ้วมือนั้นอีกครั้ง แขนของจองอูก็กระชับกอดที่เอวของซองจูแน่นไปอีก
“ปวดแต่ก็ยังขยับได้ แค่นั้นก็พอแล้ว”
จองอูที่พูดคำนั้นออกมทันที พร้อมกับงับลงไปที่ต้นคอของซองจู
“ฮึก!”
“ปวดนิ้วแค่นิ้วเดียว ก็ใช่ว่าจะทำแบบนี้ไม่ได้สักหน่อย”
“อึก!”
ครั้งนี้กัดลงไปตรงผิวเนื้ออ่อนใกล้ๆ ต้นคอ เสียงร้องที่ดังออกมากับฟันที่กัดลงไปไม่ได้รับความสนใจ และการโจมตีของจองอูยังคงดำเนินต่อไป ซองจูคว้าแขนของจองอูเอาไว้อย่างลืมตัว แล้วเอ่ยอ้อนวอน
“อ๊ะ เข้าใจแล้ว พอ หยุดเถอะ!”
หอบหายใจ ก่อนจะเอ่ยห้ามอีกคน หากจองอูก็ยังไม่หยุดริมฝีปากนั้น ไม่ได้คิดที่จะทำให้เจ็บ จึงหัวเราะออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำอยู่ข้างหู ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้เกลียดมันขึ้นมาเสียได้ ซองจูที่ดวงตาเริ่มพร่ามัว ออกแรงกระชับนิ้วมือที่เกี่ยวกันไว้แน่นขึ้น
“เจ้าเด็กบ้า”
“แล้วใครที่บอกว่าชอบเด็กบ้าคนนี้ จนถึงขั้นพามาอยู่ที่บ้านด้วย”
“ก็ใช่ ฉันเองไง ฉันนี่แหละ แล้วทำไมต้องทำให้เถียงไม่ได้ด้วย”
ซองจูกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะพิงตัวไปบนแผงอกกว้างของจองอู
“จองอู”
“หืม”
“ทำไมนายถึงเริ่มเล่นดนตรีล่ะ”
จองอูไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาครู่หนึ่ง ซองจูจึงกระตุกมือที่จับกันไว้เบาๆ พร้อมกับเอ่ยทวงคำตอบ
“ตอบเร็ว ก่อนหน้านั้นนายบอกว่าได้ดูการแสดงของใครสักคน แล้วเกิดหลงใหลมันเข้านี่ นอกจากนั้นแล้วมีเหตุผลอื่นอีกไหม”
“ฉันจำไม่เห็นได้ว่าเคยพูดแบบนั้น”
“พูดสิ นายบอกว่าเห็นใครเต้นแล้วก็หลงใหลมันเลยไง”
“ยังจำได้อยู่อีกเหรอ ฉันนี่มัน…”
คำพูดของซองจูทำเอาพูดไม่ออก จองอูที่ยังคงซบหน้าอยู่ตรงต้นคอของซองจูหัวเราะออกมาอยู่นานสองนาน ซองจูรู้สึกชอบใจกับแรงสั่นน้อยๆ จากร่างกายที่แนบชิดกันนั้น ถึงจะทำบ่นออกมา แต่ก็รู้สึกยินดีกับการสั่นไหวที่รู้สึกนั่น จองอูที่หัวเราะไม่หยุดอยู่นานสองนานแบบนั้น มันคือความจริงใจที่แสดงออกมา ก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยตอบ
“ที่ฉันชอบดนตรีเพราะวิดีโอนั่นคือเรื่องจริงนะ มันดูสว่างไสวมากเลย แล้วก็ดูมีพลังมากด้วย”
“นายอยากเป็นแบบนั้นเหรอ”
“มากกว่าการที่อยากเป็นแบบนั้น คือฉันอยากจะอยู่ในที่ที่สว่างไสวแบบนั้นดูสักครั้ง เพราะชีวิตของฉันมันมืดอยู่ตลอดเวลาเลยไง”
จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะออกแรงกระชับเรียวนิ้วแน่นขึ้น
“งั้น ตอนนี้ล่ะ ตอนนี้ยังมืดอยู่ไหม”
“ไม่แล้ว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ได้สว่างขึ้นมาเพราะได้ใช้ชีวิตเป็นนักดนตรีหรอกนะ แต่เพราะมีนาย”
คำพูดนั้นทำเอาน้ำตาเกือบไหลออกมาแล้ว ซองจูชะงักลมหายใจไปครู่ ก่อนจะขบคิดคำพูดของจองอูอย่างละเอียด แม้ว่าชีวิตจะไม่ได้สว่างสดใส แต่แค่มีตัวเขาก็พอแล้ว คำนั้นมันสำคัญยิ่งกว่าคำไหนๆ บนโลกนี้เสียอีก
“ถ้าที่หลังมากลับคำพูด ฉันไม่อยู่เฉยๆ แน่”
“ไม่ทำหรอก”
“ยอมให้หลอกกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”
ทั้งสองคนกระซิบกระซาบคุยกันทั้งที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงไม่ได้ขยับไปไหน
“มือนี้น่ะ เป็นเพราะตอนเด็กๆ เหมือนกันเหรอ”
ซองจูเหลือบมองไปที่มือของจองอูก่อนจะเอ่ยถามออกมา นิ้วก้อยที่กระตุกสั่นมาตั้งแต่เมื่อครู่นั้น มันไม่ใช่ธรรมดาเลย ด้วยความปวดใจที่แล่นขึ้นมาทำให้เรียวคิ้วขยับย่นเข้าหากัน หากจองอูก็ไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสของซองจู
“เปล่าหรอก มันเกิดหลังออกจากกรมน่ะ”
“ไม่ได้เป็นตอนอยู่ในกรมเหรอ”
“อือ เกิดหลังจากนั้น”
จองอูตอบกลับเรียบๆ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้มันก็ต้องเกิดขึ้น ซองจูเริ่มต้นถามในสิ่งที่เคยสงสัยมาตลอด
“เรื่องร้ายแรงขนาดไหนกันที่ทำให้นิ้วมือกลายมาเป็นแบบนี้ได้ หรือว่าเกิดอุบัติเหตุรถชนอะไรแบบนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้น…อยากฟัง?”
“อือ”
คำตอบของซองจู ทำให้จองอูนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่า
* * *
ตอนพิเศษ 2-9 ปลายนิ้ว
“สามล้านวอน เท่านั้นก็พอ”
“ว่าไงนะครับ สามล้านวอนเลยเหรอครับ เงินจำนวนขนาดนั้นพูดเหมือนมันจะหล่นลงมาจากฟ้าเองได้ยังงั้นแหละครับ”
“ถึงยังไง นั่นก็ลดให้แล้ว หรืออยากจะให้ห้าล้านวอน”
“แม่ครับ!”
ผ่านมานานแล้วที่การพูดคุยด้วยอารมณ์คุกรุ่นดำเนินมา หลังปลดประจำการได้ไม่นาน คนที่บ้านก็โทรมาหา แม้เขาจะหนีออกจากบ้านมา แต่ก็เป็นพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเขา จองอูจึงโทรกลับไปถามไถ่ความเป็นอยู่บ้างนานๆ ครั้ง
ทุกครั้งไม่เคยมีใครยินดีต้อนรับเขาเลย ตาและยายที่คิดว่าจองอูคือตัวซวยของตระกูล หากได้รับโทรศัพท์จากเขาก็จะวางสายทันทีโดยไม่พูดคุยอะไร พ่อที่ออกไปเล่นการพนันในตลาด จึงไม่เคยอยู่ที่บ้าน เหลือเพียงแม่คนเดียวที่ยังสนใจรับสายจองอูอยู่ แต่ว่าบทสนทนาทั้งหมดก็เพียงร้องขอเรื่องเงินเท่านั้น
เพราะตาป่วยบ้าง จะเอาไปใช้หนี้พนันพ่อบ้าง แม่สุขภาพไม่ดี ทำงานในไร่ไม่ได้บ้าง เหตุผลนั้นมีอยู่มากมาย แต่สรุปแล้วก็คือเรื่องเงินนั่นเอง ก่อนที่เขาจะเข้ากรม ถึงเขาจะได้รับความลำบากจากสิ่งที่ถูกกระทำมาตลอด ก็ยังคงส่งเงินไม่กี่แสนวอนไปให้อยู่บ้าง แต่ว่าจู่ๆ ก็มาขอสามล้านวอนเนี่ยนะ จองอูได้แต่พูดไม่ออก
“ทำไมจู่ๆ ก็อยากได้เงินมากมายขนาดนั้นล่ะครับ”
“ค่ารักษาพ่อแกที่ป่วยอยู่”
คำพูดนั้นยิ่งทำเอาจองอูพูดไม่ออกเขาไปใหญ่
“เป็นอะไรเหรอครับ”
“ไม่รู้”
ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร แต่เพราะแม่ต้องจ่ายค่ารักษาก็เลยมาขอเงิน ถึงจะสงสัยอยู่ว่าป่วยจริงหรือไม่ แต่เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยร้องขอเงินมากมายขนาดนั้น หากถึงขนาดมาขอเงินกับลูกชายที่เพิ่งจะออกจากกรมมาได้ไม่นานแบบนี้ก็คงจะขัดสนจริงๆ จองอูกัดริมฝีปากแน่น
“ต้องการเมื่อไหร่ครับ”
“ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ได้เงินแล้วก็โทรมา”
เมื่อแม่พูดคำนั้นจบ ก็วางสายไปทันที ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่ใช่การพูดคุยแบบแม่ลูกเลยสักนิด
ด้วยงานบาริสต้าที่เคยทำอยู่คงไม่สามารถหาเงินมากขนาดนั้นมาได้ทันที และถึงอย่างนั้นให้ไปสมัครงานบริษัท เขาก็ยังขาดคุณสมบัติอีกมาก ถึงจะจบมัธยมปลาย แต่นั่นก็มาจากการสอบเทียบวุฒิเท่านั้น ใบประกาศหรือความสามารถอะไรก็ไม่มี ตำแหน่งผู้ช่วยที่มีอยู่มากมายก็ยังเป็นไม่ได้ สิ่งที่มีก็แค่ร่างกายที่แข็งแรงนี้เท่านั้น สิ่งที่จองอูสามารถทำได้คือไปทำงานก่อสร้าง หรือไม่ก็งานในโรงงานเท่านั้น
“งานจะเริ่มตั้งแต่เก้าโมงนะครับ แต่ว่าก็ต้องไปสอบถามรายละเอียดตามแต่ละแผนกอีกที บางทีอาจจะต้องมาทำงานเช้ากว่านั้น ส่วนเวลาเลิกงานคือหกโมง แต่แค่วันแรกเท่านั้นที่ให้กลับบ้านได้เลย ส่วนวันต่อมาถ้าไม่มีธุระด่วนอะไร อยู่ทำงานล่วงเวลาต่อก็จะยิ่งดีครับ วันนี้จะพาไปสัมภาษณ์ แล้วผลก็จะออกมาตอนบ่ายเลย หลังจากนั้นก็จะติดต่อเรื่องวันเวลาเริ่มงานที่แน่นอนไปอีกทีนะครับ”
“ถ้าตกสัมภาษณ์จะทำยังไงล่ะครับ”
“เราจะได้เจอกันอีกเมื่อถึงเวลาครับ ที่นี่ขาดคนอยู่ตลอด เลยมีคนมาสัมภาษณ์อยู่ทุกวัน ใช่คนที่เคยสอบตกมาก่อนหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้หรอกครับ”
เมื่อขึ้นมาบนรถของนายหน้าหาคนงานที่พูดไม่หยุดจนกลัวว่าเส้นเสียงจะพังเสียก่อน รถก็มุ่งหน้าไปยังสถานซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน ภายในรถคับแคบ มีจองอูรวมกับคนอื่นๆ อีกสี่คนนั่งมาด้วยกัน ทุกคนเป็นคนที่กำลังไปสัมภาษณ์ที่บริษัทเดียวกัน แต่ทว่าไม่ใช่แค่นายหน้าหาคนเท่านั้น คนอื่นๆ ก็ด้วย จองอูรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นต่างกำลังแอบมองเขา พอเขาเห็นรูปร่างที่ดูสะดุดตาของตัวเองผ่านทางกระจกมองหลัง ก็ได้แต่กลั้นขำเอาไว้
ทรงผมเกรียนทั้งหัวเพราะเพิ่งออกจากกรมมาได้ไม่นาน รอยแผลตะปุ่มตะป่ำที่พาดยาวจากหน้าผากมาจนถึงหางตา บุคลิกเย็นชา และใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่ว่าใครได้เห็นก็ต้องตกใจราวกับถูกคุกคาม เพราะแบบนี้จึงทำให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในกรมได้อย่างสบายใจ แต่ว่าก็ไม่ได้ยินดีกับสายตาของผู้คนที่มองมาเหมือนเขาเป็นพวกนักเลงอันธพาลแบบนั้นนัก ทว่าเพราะรูปลักษณ์แบบนี้จึงทำให้ไม่มีใครกล้ารังแกเขา ดังนั้นจองอูจึงได้ไม่พูดอะไรที่ไร้ประโยชน์ออกไป
บ้านเกิดในชนบทและค่ายทหาร แล้วก็โซลที่เป็นบ้านของดงฮยอน สำหรับจองอูที่ไม่เคยได้ออกไปไหนไกลจากที่เหล่านั้น อินชอนจึงเป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นอย่างมาก เมื่อตัดสถานที่ที่ต้องใช้ร่างกายทำงานจนกระดูกลั่นไปทั้งตัวอย่างไซต์ก่อสร้างออกแล้ว ก็มีเพียงไม่กี่เมืองที่เขาสามารถไปทำงานได้ งานส่งของก็ไม่ต่างจากงานก่อสร้าง สุดท้ายจึงเหลือแค่งานโรงงานเท่านั้น ถึงอย่างนั้นที่ที่มีงานให้ทำเยอะก็คืออินชอนหรืออันซัน ไม่ก็ต่างจังหวัด
เพราะคิดจะพักอยู่ใกล้ๆ ดงฮยอน การไปต่างจังหวัดจึงเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายแล้วในบรรดาทางเลือกที่มีไม่มากนักนั้น จองอูก็เลือกที่อินชอน
ถึงดงฮยอนจะห้ามเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และบอกว่าจะให้เขายืมเงิน เขาจะได้ไม่ต้องไปทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนั้น แต่ว่าพอออกจากกรมมาแล้ว เขาก็ไม่คิดอยากจะติดหนี้บุญคุณเพิ่มไปอีก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเขาด้วยซ้ำ การจะยืมเงินในจำนวนที่ครอบครัวร้องขอนั้นจากดงฮยอน มันยิ่งเป็นการกระทำที่ไร้สำนึกอย่างมาก สุดท้ายหลังจากสัญญาไปว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็จะเลิกทำทันที จองอูจึงสามารถขึ้นรถไฟมาที่อินชอนได้
หลังจากเข้าไปในเว็บไซต์หางาน เขาก็เลือกที่ที่มีหอพักให้แล้วลองโทรไป หลังจากนั้นก็มีการติดต่อกลับมาให้ไปลองสัมภาษณ์จากหลายๆ ที่ ในบรรดาทั้งหมดนั้น เขาลองไปที่ที่ติดต่อกลับมาเป็นที่แรก แล้วก็พบคนที่มีสถานภาพเดียวกันกับเขากำลังรออยู่เช่นกัน
เมื่อกรอกใบสมัคร ใช้รูปที่สแกนจากบัตรประชาชนแปะลงไปแทนรูปถ่ายเพื่อยืนยันตัวตน ก็ถูกพาไปยังสถานที่สัมภาษณ์ ผ่านเส้นทางที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน จนมาถึงที่โรงงานแห่งหนึ่ง มีคนมากมายเกินร้อยคนมารวมตัวกันอยู่
“เอาล่ะ เราต้องรู้ก่อนว่าตัวเองจะได้ทำงานที่ไหน ฉะนั้นผมจะพาไปดูงานคร่าวๆ ก่อนนะครับ เชิญตามมาเลยครับ”
นายหน้าหาคนงานที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เริ่มพาคนมากมายเดินดูรอบๆ ตัวอาคาร ในขณะที่มองผ่านหน้าต่างเข้าไป ดูคนที่กำลังขะมักเขม้นทำงานต่างๆ ที่เขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จองอูก็ยังไม่รู้สึกว่ามันคือเรื่องจริง เขาเพียงต้องการมาหาเงินเท่านั้น เพื่อสิ่งนั้นเขาถึงต้องมาไกลขนาดนี้ หลังจากจองอูส่งเงินสามล้านวอนที่แม่ขอไปให้ได้แล้ว เขากำลังคิดว่าจะเก็บเงินเพื่อซื้อเครื่องดนตรี
“…งั้นเชิญไปที่โรงอาหารชั้นห้าเลยนะครับ เราจะไปสัมภาษณ์กันที่นั่น”
นายหน้าที่ลากพาไปนู่นมานี่อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ปิดปากลงได้ เมื่อออกจากบริเวณทางเดินที่เต็มไปด้วยเสียงเครื่องจักรกำลังทำงานมาแล้ว ตลอดเวลาที่เดินขึ้นบันได จองอูก็ได้แต่สงสัยว่าจะสามารถทำงานที่นี่ได้จริงหรือ
“คุณคิมจองอู มาทำงานโรงงานครั้งแรกสินะ ก่อนหน้านี้ทำงานอะไรเหรอครับ”
“ผมเพิ่งออกจากกรมครับ”
“แล้วก่อนหน้านั้นอีกล่ะครับ”
“ทำงานบาริสต้าครับ”
“…สอบเทียบวุฒิมอปลายมาสินะครับ”
“ครับ ที่บ้านไม่มีเงินน่ะครับ”
จองอูพูดโกหกไป ถึงอย่างไรหากไม่หนีออกมาก็คงไม่ส่งเรียนต่อมัธยมอยู่ดี จะว่าเป็นคำโกหกก็ไม่ใช่เสียทีเดียว คนสัมภาษณ์เหลือบมองมาที่จองอู ก่อนจะเอ่ยถามออกมาคำหนึ่ง
“ตรงนั้น”
“ครับ?”
“ตรงนั้นทำไมถึงได้เป็นแบบนั้นล่ะครับ”
มือของอีกคนชี้มาที่หน้าผากของเขา ในตอนนั้นจองอูจึงได้จับไปที่รอยแผลเป็นตรงหน้าผากที่ชวนให้ตื่นตกใจนั่น
“อ๋อ นี่เป็นแผลที่เกิดเพราะตอนเด็กถูกของหนักตกใส่ตัวน่ะครับ”
ถึงจะพูดแบบนั้นออกไปก็ตาม แต่คนสัมภาษณ์ก็ยังคงจ้องเขม็งมาที่จองอู ความตื่นเต้นที่ล้นทะลัก ทำให้ฝ่ามือนั้นเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมา ในตอนนั้นเองที่อีกคนเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ลำบากแย่เลยนะครับ สัมภาษณ์เสร็จแล้วครับ ทำได้ดีมากครับ”
จองอูลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อคำพูดถูกกล่าวออกมา และในระหว่างที่กลับไปยังบ้านของดงฮยอน จองอูก็ได้รับข้อความว่าผ่านการสัมภาษณ์แล้ว
“งานของพวกเราเหนื่อยกว่าที่คิดนะ ทนได้ใช่ไหม เหมือนจะไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนเลยนะ”
“ไม่เคยครับ แต่ผมทำได้ครับ”
“ก่อนหน้านี้ทำงานอะไรมาล่ะ”
“เป็น…บาริสต้าครับ”
“ทำพวกกาแฟน่ะเหรอ”
“ครับ”
ผ่านการสัมภาษณ์มาได้แล้วครั้งหนึ่ง ก็ต้องมาเจอสัมภาษณ์อีกครั้ง จองอูนั่งอยู่ในสถานที่ซึ่งส่องสว่างไปด้วยแสงไฟสีเหลือง ขณะกำลังถูกสัมภาษณ์อีกเป็นครั้งที่สอง
หลังจากได้รับข้อความว่าผ่านเข้าทำงานได้ไม่กี่วัน จองอูก็สามารถเข้ามาทำงานได้แล้ว เขาได้มาทำงานตามที่นายหน้าเป็นคนจัดส่งให้ เช่นเดียวกับวันสัมภาษณ์ ผู้คนนับสิบคนมารวมตัวกันในห้องรับรองและเซ็นสัญญาจ้างงาน แล้วมายืนต่อแถวตรงประตูทางเข้าออก เพื่อบันทึกลายนิ้วมือในการยืนยันเวลาเข้างานและเลิกงาน เมื่อมาถึงห้องแต่งตัว ทุกคนก็จะได้รู้ว่าตัวเองได้ถูกจัดไปอยู่ในแผนกไหน หลังจากจองอูได้รับชุดที่ปกปิดมิดชิดราวกับชุดนักบินอวกาศกับรองเท้าที่เหมือนทำด้วยไม้มาแล้ว เขาก็เดินตามหลังเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งมาที่ฝ่ายที่เรียกว่า D/F
“รู้หรือเปล่าว่าแผนกเราทำงานเกี่ยวกับอะไร”
ชายผู้มีดวงตาเป็นประกายเอ่ยถามขึ้น ชายคนนั้นคือคนที่เป็นหัวหน้าของแผนกนี้ การพูดคุยด้วยภาษาไม่เป็นทางการแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ถึงจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่พอออกจากรมมาแล้วก็พอรู้ว่าบางที่ก็ยังใช้วินัยทหารแบบนี้อยู่ จองอูจึงมองสบไปที่ดวงตาคู่นั้น ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ไม่ทราบครับ”
“บริษัทของเราคือบริษัท fpcb เป็นบริษัทที่ทำแผงวงจร ส่วนใหญ่ก็ผลิตชิ้นส่วนที่ใส่ในพวกโทรศัพท์มือถือนั่นละ แผนก D/F มีหน้าที่ขึ้นรูปแผงวงจร ถ้าเกิดความผิดพลาดในส่วนงานของเรา สินค้าก็จะเสียหายเยอะแยะ ดังนั้นต้องระวังให้มาก แล้วก็มีเรื่องที่ต้องคอยระวังเยอะด้วย อาจจะเกินความสามารถของมือใหม่ก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่าที่ไหน ก็ไม่มีงานที่ทำได้ง่ายๆ อยู่แล้วครับ”
จองอูตอบกลับไปเช่นนั้น อย่างไรเขาก็มาเพื่อหาเงิน ถึงจะเหนื่อยแต่ถ้าได้เงินเยอะ มันก็เพียงพออย่างที่สุดแล้ว หัวหน้าที่มองท่าทางเช่นนั้นของจองอูแล้ว จึงค่อยๆ พยักหน้า
“อายุยี่สิบสองใช่ไหม เข้ากรมเรียบร้อยแล้ว?”
“เพิ่งปลดประจำการได้สองอาทิตย์ครับ”
“งั้นก็ปรับตัวได้ไม่ยาก กฎของแผนกเรามีสองข้อ นายไปกับฉัน เข้าไปข้างในแล้วจะบอกรายละเอียดให้ฟัง”
พอหัวหน้าพูดเช่นนั้นแล้วก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ล็อกเกอร์ใช้ตู้นี้ ชุดนั้นคือชุดป้องกัน ต้องเอามาเติมใส่ไว้ในนี้ ไม่ใช่ในตู้ล็อกเกอร์ สวมชุดนั้นแล้วห้ามนั่งบนพื้นเด็ดขาด แล้วก็ห้ามออกไปข้างนอกด้วย ชุดป้องกันต้องใส่ไว้ในที่เก็บ หรือไม่ก็ใส่แค่ตอนอยู่ในกรีนรูมเท่านั้น”
“กรีนรูมคืออะไรเหรอครับ”
คำถามของจองอูทำให้หัวหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง
“ที่ทำงานของเราเรียกว่ากรีนรูม”
หัวหน้าชี้มือผ่านประตูกลาง ถัดไปทางด้านในที่มีแสงไฟสีเหลืองส่องสว่างอยู่แล้วเอ่ยต่อ โดยไม่ทันรู้ตัวอีกคนก็เปลี่ยนมาสวมชุดป้องกันที่เหมือนชุดนักบินอวกาศนั่นเช่นเดียวกัน จองอูทำตามอีกคนและหยิบจับนู่นนี่ด้วยท่าทางที่ยังไม่คุ้นเคยกับชุดที่ใส่อยู่นัก
แล้วก็จบวันแรกในโรงงานไปเช่นนั้น
ตอนพิเศษ 2-10 ปลายนิ้ว
หลังจากวันนั้น จองอูก็คุ้นเคยกับฝ่าย D/F ได้อย่างรวดเร็ว
หน้าที่ที่ได้รับคือการประกอบแผงวงจร เป็นงานที่เอาแผ่นดรายฟิล์มซึ่งไวต่อแสงมาปิดทับลงบนแผ่นทองแดงที่ถูกตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้องานนั้นดูง่าย แต่เพราะต้องติดแผ่นดรายฟิล์มลงบนแผ่นทองแดงที่ออกมาจากเครื่องรีดอุณภูมิสูง แล้วยังต้องตัดส่วนเกินเล็กๆ น้อยๆ ออก จึงต้องคอยระวังอย่างมากในทุกขั้นตอน
จองอูที่ค่อนข้างคุ้นมือกับงานแล้ว เข้าไปทำงานได้เพียงสี่วันก็เริ่มตัดด้วยตัวเองได้แล้ว เมื่อได้ยินว่าตัวเขาทำงานได้ค่อนข้างเร็ว ก็ทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาอีกนิด เพราะเป็นงานที่ทำคนเดียว จึงดูจากปริมาณงานที่ทำเท่านั้น หากไม่ทำเสียหายก็เป็นงานที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใคร
ดังนั้นเพียงแค่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหนึ่งเดือนก็หาเงินมาได้ตั้งสามล้านวอน เงินนั้นไม่ได้รวมกับค่าหอพักในแต่ละเดือน ดังนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่จองอูได้จับเงินจำนวนมากขนาดนั้น
เขาส่งเงินนั้นไปให้แม่ แม้จะวางสายไปโดยที่ไม่ถามด้วยซ้ำว่าไปหาเงินนั้นมาจากไหน จองอูก็ยังรู้สึกดี แม้ทุกสองสัปดาห์จะต้องสลับกะ ระหว่างกะกลางวันและกะกลางคืน แต่ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปแค่ปีเดียวก็คงจะเก็บเงินได้เป็นจำนวนมากอยู่ เขาจะเอาเงินนั้นไปซื้อเครื่องดนตรี แล้วก็คิดว่าจะหาห้องสตูดิโอที่พอสำหรับอยู่คนเดียว แต่ทว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น มันไม่ได้เป็นไปตามแผนที่จองอูวาดไว้เลย
“ห้าล้าน”
“แม่!”
ไม่กี่เดือนแม่ก็โทรมาขอเงินที่มากกว่าเดิม จองอูไม่อาจอดกลั้นความโกรธได้อีกต่อไป จึงได้ตะโกนตอบกลับไปเช่นนั้น
“พูดมาตามตรงเถอะครับ ต้องการเงินมากมายขนาดนั้นไปทำไมกัน”
แม่ไม่ได้ตอบคำถามกลับมา
“พ่อไม่ได้ป่วยใช่ไหมครับ ต้องการเงินนั้นไปทำไมกันแน่ครับ!”
ถึงจะเป็นครั้งแรกที่ลูกชายแสดงความโกรธออกมาเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่คิดจะปริปากบอกออกมาเลยแม้แต่นิด
จองอูสิ้นหวังเหลือเกิน พ่อแม่ที่ไม่ได้ใส่ใจจะเลี้ยงดูอย่างคนอื่นเขา พอโตเป็นผู้ใหญ่ก็มาร้องขอเงินทอง ถึงจะไม่ได้มีชีวิตอย่างคนอื่น แต่ก็หวังว่าจะพอมีจิตสำนึกบ้าง แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงความหวังเลื่อนลอย เขาได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยถามแม่อีกครั้ง
“พ่อติดพนันอีกแล้วใช่ไหมครับ”
“…ไม่มีก็ช่าง”
แม่พูดทิ้งไว้แค่นั้น ก่อนจะวางสายไป จองอูยอมรับบาปนั้น แต่ว่าถึงโทรกลับไปอีกครั้ง มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไร เขารู้ดียิ่งกว่าใคร สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ออกไปทำงานกะดึกทั้งที่ยังไม่ได้นอนสักงีบ
จองอูกลับมายุ่งอีกครั้ง วันหนึ่งที่วัตถุดิบในการทำงานหมด ทำให้ตลอดสิบสองชั่วโมงเขาไม่ได้นั่งพักเลย ต้องคอยทำความสะอาดเครื่องจักรอยู่อย่างนั้น ในวันหนึ่งที่ยุ่งแทบตายเพราะต้องตัดงานจนแขนแทบหลุด แต่โดยรวมก็ยุ่งกันหมด
หากเป็นแผนกอื่น เมื่อไม่มีวัตถุดิบในการทำงาน ก็จะได้กลับบ้านไปพัก แต่แผนกของจองอูนั้น ต้องการคนคอยดูแลเครื่องจักร ดังนั้นไม่ว่าจะมีงานอะไรก็ต้องคอยนั่งเฝ้า เพราะแบบนั้นจึงทำให้ได้เงินเยอะ
แต่เพราะว่าไม่มีวันพักเลยสักวัน ทำงานสิบสองชั่วโมงตลอดวัน ไม่ว่าใครก็พลาดกันได้ทั้งนั้น แล้วเขาก็เข้ามาทำงานที่โรงงานนี้ได้หกเดือนกว่าแล้วโดยไม่ทันได้รู้ตัว ตอนนี้จองอูกำลังลำบากเพราะอาการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเวลานาน
“จองอู แม่แบบมาแล้ว!”
หลังจากไปกินข้าวกลางวันกลับมา หัวหน้าก็เรียกหาจองอูทันที
หากแม่แบบมาแล้วก็ต้องหยุดงานที่ทำอยู่ แล้วก็ต้องไปจัดการกับตรงนั้นก่อน จองอูปิดเครื่องจักรที่เปิดไว้ แล้วเตรียมพร้อมกับการเตรียมทำแม่แบบ
“นี่ ทำเป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนา ใช้เครื่องรีดมือ รีบๆ รีดซะก็เสร็จแล้ว แค่ยี่สิบอันเอง”
“หัวหน้าครับ ใช้เครื่องเบอร์หนึ่งรีดมือ มันจะไม่อันตรายเหรอครับ ปกติจะต้องใช้เครื่องเบอร์สองทำ…”
“ไอ้นี่ ตอนนี้เครื่องเบอร์สองมันใช้กับฟิล์มอื่นอยู่ แล้วเมื่อไหร่จะได้ทำล่ะ รีบๆ ใช้เครื่องรีดมือรีดซะก็จบ เดี๋ยวฉันตัดเอง”
เมื่อหัวหน้ากล่าวเช่นนั้น จองอูจึงหยิบมีดคัตเตอร์ที่เคยใช้ขึ้นมา จองอูจัดเตรียมเครื่องรีดมือตามคำพูดของอีกคน
จองอูที่ใช้เครื่องเบอร์เบอร์เป็นส่วนใหญ่ ตรงส่วนระหว่างสายพานกับแกนที่ใช้ในการรีดแผ่นดรายฟิล์มทับแผ่นทองแดงนั้นมีผนังเล็กๆ กั้นเอาไว้อยู่ เพราะต้องใส่แผ่นทองแดงเข้าไปตรงช่องนั้น การรีดด้วยมือจึงต้องระวังอย่างมาก หากไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
ดังนั้นงานทำแม่แบบที่ใช้ระบบทำมือนั้นจะใช้เครื่องเบอร์สองที่อยู่ข้างกัน แต่ว่าในวันนี้เครื่องเบอร์สองใช้กับฟิล์มคนละชนิดกับฟิล์มปกติ ตามคำสั่งของหัวหน้าแล้วจึงต้องรีดแม่แบบที่เครื่องเบอร์หนึ่งแทน จองอูถือแผ่นทองแดงออกมาด้วยความระมัดระวังก่อนจะใส่ลงไปตรงด้านหน้า
“หัวหน้าครับ ใส่เข้าไปแล้วนะครับ”
“รู้แล้ว ค่อยๆ ใส่มาช้าๆ ละ”
“ครับ”
ก้มตัวลงต่ำ แล้วเริ่มใส่แผ่นทองแดงทีละแผ่นเข้าไปในเครื่องจักรที่มีไอความร้อนกระจายออกมา
การสัมผัสด้วยมือเปล่าหรือถูกลมหายใจตกกระทบ แผ่นทองแดงก็จะเสียในทันที ถึงจะสวมถุงมือผ้าฝ้าย แต่ก็ยังเสียได้อยู่ดี ดังนั้นเวลาจับมัน จึงมีถุงมือเฉพาะให้ใช้อยู่ ปัญหาคือถุงมือนี้มันไม่พอดีกับขนาดมือ
ในวันนั้น ถุงมือที่จองอูใส่มันใหญ่เกินไป อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่อดหลับอดนอนมา พอมาเจอความร้อนที่พุ่งออกมาจากแกนรีด ตาของจองอูก็คอยแต่จะปิดลงอยู่เรื่อยๆ
“จองอู ช้ากว่านี้หน่อย ปรับให้ความเร็วอยู่ที่หนึ่งจุดห้านะ ช่วงระยะห่างมันสั้นไปหน่อย”
“…ครับ”
พอคืนสติจากอาการสะลึมสะลือมาได้ จองอูก็ตอบรับหัวหน้าออกไปอย่างยากเย็น ต้องระวังเอาไว้ เพราะเครื่องเบอร์หนึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้
ทีละแผ่น ทีละแผ่น ทุกครั้งที่ใส่แผ่นทองแดงลงไป ความร้อนก็จะพุ่งออกมาอย่างรุนแรง อุณหภูมิแกนรีดสูงสุดที่ประมาณแปดสิบองศา จะว่าร้อนก็ร้อน แต่มันมีแรงที่ทนต่อแรงดึงพอสมควร จึงนับได้ว่าเป็นอาวุธในการก่ออาชญากรรมได้เลย ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน คำพูดที่ได้ยินอยู่ซ้ำๆ คือคำว่าระวัง คำพูดที่ได้ยินบ่อยจนรู้สึกเบื่อหน่าย แต่กลับไม่สามารถเอาชนะความง่วงที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ ได้
“หัวหน้าครับ ใส่แผ่นสุดท้ายเข้าไปแล้วนะครับ”
จองอูเอ่ยบอกหัวหน้าว่าใส่แผ่นทองแดงอันสุดท้ายเข้าไปแล้ว พร้อมกับแขนที่ถูกดูดเข้าไประหว่างนั้นด้วย
เพียงใส่ชิ้นนี้เข้าไปมันก็จะเสร็จแล้ว เพราะแบบนั้นจึงได้วางใจหรืออย่างไร จองอูตกใจ พร้อมกับรู้สึกว่าสตินั้นกลับคืนมา ในตอนนั้นทั้งร่างเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส พร้อมกับริมฝีปากที่เปล่งเสียงร้องตะโกนคล้ายกับสัตว์ดังออกมา
“อ๊าก! อ๊ากกกกกกกกก!”
มันไม่ใช่เสียงของคนเลย ร่างกายบิดเกร็งไปทั้งตัว ดวงตาของจองอูที่แหกปากส่งเสียงร้องออกมานั้น พลิกกลับเป็นสีขาวโพลน ในช่วงเวลาแสนสั้นนั้น นิ้วมือของจองอูกำลังถูกดูดเข้าไปในแกนรีดอย่างรวดเร็ว
“นี่! หยุดเครื่อง! เร็วเข้า!”
พอได้ยินเสียงนั้น หัวหน้าที่รับรู้ถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็กดปุ่มฉุกเฉินหยุดการทำงานของเครื่องในทันที เขารีบเปิดเครื่องออกแล้วเอามือของจองอูออกจากแกนรีด แต่ทว่ากลิ่นเนื้อไหม้ผสมกับกลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งออกมาแล้ว
จองอูถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ดงฮยอนที่ได้รับการติดต่อก็รีบเร่งเดินทางมาที่อินชอนในทันที แล้วก็ต้องช็อกจนแทบหมดสติ เมื่อระหว่างที่มาจองอูนั้นถูกทิ้งไว้ในมุมหนึ่งของห้องฉุกเฉินอย่างคนไร้ญาติ
การผ่าตัดเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ทว่านิ้วมือที่ผิดรูปไปนั้นก็ไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีกแล้ว ส่วนปลายนิ้วที่เสียหายทำให้เล็บมือนั้นหายไป แม้จะรักษากระดูกนิ้วที่ถูกบดเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจกลับคืนเป็นรูปร่างดังเดิมได้ การที่สามารถงอนิ้วได้แม้จะลำบากอยู่บ้าง และยังคงพอออกแรงได้อยู่นิดหน่อย เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
ตลอดเวลาที่พักรักษาตัวอยู่นั้น ไม่มีใครที่โรงงานมาเยี่ยมเขาเลยสักคนเดียว นายหน้าที่เคยหลอกจองอูก็ปิดกิจการหนีไปในทันที นอกจากเรื่องค่าตอบแทนจากการทำงาน ก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีก ถึงจะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการทำงาน หากพอส่งเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่แล้ว พบว่าไม่สามารถขอรับค่าประกันชดเชยได้
แม้ดงฮยอนจะให้ยืมใช้อำนาจของครอบครัวไปต่อรอง แสดงท่าทีโมโหว่าเขาจะต้องได้รับค่าชดเชย แต่ทว่าจองอูกลับไม่ต้องการเช่นนั้น เขาอยากรีบลืมเรื่องราวทุกอย่างไปเสีย เพียงแค่นิ้วนิ้วเดียว แต่สิ่งที่สูญเสียไปมันกลับมีมากกว่านั้น
ความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถเล่นดนตรีได้อย่างใจต้องการอีกต่อไปแล้ว ถึงไม่เป็นแบบนั้น รูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนพวกฆาตรกรโฉดก็ยังเป็นอีกหนึ่งมลทินอยู่ดี ก็แค่ขยับเข้ามาในขั้นของคนพิการอ่อนแอ งานที่จะทำได้ก็แคบลง ไม่ว่าตรงไหนก็ไม่เป็นที่พอใจเลยสักอย่าง
แต่ทว่าความจริงที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือคนที่ร้องไห้เพื่อจองอูนั้น นอกจากดงฮยอนแล้วก็ไม่มีใครอีกเลย
หลังจากที่ร่างกายฟื้นตัวได้สักพัก จองอูก็โทรกลับไปหาแม่ แต่ว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครอบครัวนั้น หากได้ยินข่าวว่าเขาได้รับบาดเจ็บ คิดว่าแม่อาจจะร้องไห้ให้กับเขา ถึงไม่ร้องไห้ก็น่าจะเจ็บปวดไปด้วยกัน แต่ทว่าทั้งหมดนั่นเป็นเพียงสิ่งที่จองอูเข้าใจผิดไปเองเท่านั้น
“เงินล่ะ”
แม่กล่าวออกมาเช่นนั้น ไม่มีคำถามว่าเป็นอะไรหรือไม่ ถามหาแค่เงิน ไม่ใช่คำพูดจาเป็นห่วงเป็นใยลูกชายคนนี้ จองอูที่ไม่มีแรงกระทั่งจะตะโกนร้องออกไป ได้แต่พูดกับแม่อย่างแผ่วเบา
“ผมจะให้เงินที่ผมมีทั้งหมด แล้วก็อย่าติดต่อผมอีกเป็นครั้งที่สอง ต่อให้ตายก็ไม่ต้องติดต่อมา ให้ทำเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่ แม่ก็ไม่เคยมีลูก ผมก็เป็นแค่เด็กกำพร้า จบกันแค่นี้นะครับ”
จบคำนั้น จองอูก็ไม่ได้รับการติดต่อจากแม่อีกเลย
ดงฮยอนจ่ายค่าผ่าตัดจำนวนมหาศาลนั่นให้ แต่ว่ามันยังไม่รวมค่ารักษาเล็กๆ น้อยๆ และค่ายา เพราะต้องจ่ายนู่นนี่นอกเหนือจากนั้น เงินที่จองอูเหลืออยู่นั้นก็เพียงแค่ไม่กี่ล้านวอนเท่านั้น เขารวบรวมเงินนั้นทั้งหมดโอนไปให้ในบัญชีของแม่
ดงฮยอนไปดูหอพักในอินชอนที่เขาเคยพักอยู่ ที่นั่นกลับมีคนอื่นเข้ามาอยู่แทนแล้ว เสื้อผ้าที่เพิ่งใช้ได้ไม่นานกับข้าวของมากมายถูกเอาไปทิ้งนานแล้ว ยังดีที่เขาฝากพวกโน้ตบุ๊กหรือสมุดบัญชีที่เป็นของมีค่าเอาไว้กับดงฮยอน
การใช้ชีวิตกว่าครึ่งปีที่อินชอน สิ่งที่หลงเหลืออยู่สำหรับจองอู มีเพียงบาดแผล ร่างกายที่ทรุดโทรม และบาดแผลในใจที่ลึกยิ่งกว่าเดิม และความเจ็บปวดทั้งหมดนั่นก็คงจะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
* * *
ตอนพิเศษ 2-11 ปลายนิ้ว
“มันอะไรกัน…”
ในดวงตาของซองจูที่ได้รับฟังเรื่องราวของจองอูทั้งหมดนั้นแล้ว เริ่มมีหยดน้ำตารินไหลออกมา จองอูใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาพวกนั้นให้อย่างเงียบๆ แล้วจึงประทับจูบหนักแน่นลงบนหน้าผากของซองจู
“ฉันบอกแล้วไง มันไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังเลยสักนิด”
คำพูดนั้นยิ่งทำให้เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังออกมาจากปากของซองจู สะอึกสะอื้นหนักเสียจนไม่มีช่องว่างให้ปลอบ จองอูเองก็จนปัญญาจะจัดการกับคนที่เอาแต่ร้องไห้โฮอยู่ตรงหน้า สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ดึงซองจูเข้ามากอด เกือบหนึ่งชั่วโมงที่พยายามปลอบกัน ในที่สุดเสียงร้องไห้ของซองจูก็หยุดลงอย่างยากลำบาก ซองจูถูกกอดเอาไว้ในอ้อมกอดของจองอู สะอึกสะอื้นพร้อมกับหอบหายใจ
“แล้ว…เป็นยังไง”
“อะไร”
จองอูเอ่ยถามกลับกับคำถามที่ถูกเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น ประทับจูบครั้งแล้วครั้งเล่าลงบนหน้าผากที่อุ่นร้อนขึ้นมานั้น พร้อมกับลูบสัมผัสกลุ่มผมที่เหนอะหนะจากเหงื่อที่เกิดขึ้นจากอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นมา แต่ซองจูก็ยังไม่มีทีท่าจะสงบลง เจ้าตัวสะอึกสะอื้นอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบกลับคำถามของจองอูอีกครั้ง
“พ่อแม่ของนาย เป็นยังไงเหรอ”
จองอูยิ้มอย่างขมขื่นให้กับคำถามนั้น
“ต่อมามยองฮยอน อ้า นั่นเป็นเพื่อนที่บ้านเกิดฉันเอง ลูกพี่ลูกน้องพี่ดงฮยอนน่ะ ได้ข่าวจากหมอนั่นว่า เอาเงินนั่นไปจ่ายหนี้พนันพ่อน่ะ ไม่ผิดไปจากที่ฉันเคยเดาไว้เลย”
“แล้ว? คงไม่ใช่ว่านายยังถูกรีดไถอยู่ใช่ไหม”
ดูเหมือนจะพอมีสติกลับมาบ้างแล้ว ซองจูทำสายตาดุส่งมา พร้อมกับเอ่ยถามจองอู แต่ว่าคำตอบที่ได้รับกลับมานั้นน่าโล่งใจ ถึงจะผิดจากที่ซองจูคาดไว้ก็ตาม
“ไม่หรอก ก็ตัดขาดกันไปแล้วนี่ พ่อน่ะไม่กี่ปีต่อมาก็หายออกไปจากบ้าน แล้วก็ไม่พบร่องรอยอีกเลย อาจจะเข้าไปตลาดที่ไหนสักที่ แล้วก็ไปติดหนี้พนัน จนกลายเป็นคนเร่ร่อนไปแล้วมั้ง”
“…แล้วแม่ล่ะ”
“เหมือนจะอยู่ที่นั่นตามเดิม ตอนนี้ทั้งตาและยายก็เสียไปหมดแล้ว อาจจะเศร้าอยู่บ้าง แต่ก็คงสบายใจแล้วละ ไม่มีใครคอยรังแก แล้วก็ไม่มีใครคอยด่าว่า ไม่มีฉันด้วย”
จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับกอดกระชับซองจูแน่นขึ้น
“นายล่ะ นายยังคงเจ็บปวดอยู่สินะ”
“ฉัน? ไม่เจ็บแล้ว”
“อย่ามาโกหก แค่นายหักโหมหรือเป็นทุกข์ ฉันก็แทบบ้าแล้วรู้ไหม”
คำพูดด้วยแรงอารมณ์นั้นทำให้จองอูไม่อาจตอบโต้ได้
ถึงจะบาดเจ็บแค่มือข้างซ้าย แต่ว่ามือข้างขวาก็ไม่ได้ดูสมบูรณ์ดีเลยสักนิด ตลอดหกเดือนนั้น ข้อมือที่ใช้ตัดงานทั้งวันตลอดสิบสองชั่วโมงไม่มีหยุดย่ำแย่ลงไปเพราะมือไม่ได้หยุดพักเลย ไม่ใช่แค่ใช้มีดตัด วันทั้งวันเขาต้องทำความสะอาดเครื่องจักรนับครั้งไม่ถ้วน ถอดชิ้นส่วนที่ถูกขันไว้แน่นออกมา ก่อนจะใส่แล้วขันกลับให้แน่นเหมือนเดิม ทำซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นจนเกิดปัญหาขึ้น ในช่วงแรกก็คิดว่าไม่กี่วันก็คงจะหาย แต่ร่างกายที่พังไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อาจกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว สุดท้ายผ่านมากว่าสิบปีจนถึงตอนนี้ มือทั้งสองข้างของจองอูไม่มีวันไหนเลยที่ไม่รู้สึกเจ็บ
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าใช้การไม่ได้เลยนี่”
“นายยังกล้าพูดแบบนั้นได้อีกเหรอ”
สิ้นคำพูดตะคอกนั่น น้ำตาก็ซึมออกมาอีก จองอูที่ตกใจจึงได้รีบก้มไปมองหน้าของซองจู
“ร้องไห้? อย่าร้องสิ”
คำพูดนั้น ทำให้น้ำตาของซองจูเริ่มไหลรินออกมาเป็นสายอีกครั้ง
“เจ้าทึ่มเอ๊ย ในเมื่อไม่สบายใจขนาดนี้ก็ต้องร้องไห้ไม่ใช่เหรอไง”
เจ้าตัวกล่าวออกมาเช่นนั้น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นทาง
ไม่ว่าจะโชคร้ายขนาดไหน แต่มันถึงขั้นเลวร้ายได้ขนาดนี้เลยเหรอ ถึงอย่างนั้นก็ยังว่าตัวเองไม่เป็นไร พร้อมกับยิ้มออกมาแบบนั้น กับคนแบบนั้น เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วเหมือนกัน
ตอนนี้ซองจูเข้าใจจองอูที่เขาได้พบเป็นครั้งแรกคนนั้นแล้ว
ท่าทางที่ไม่สนใจต่อสิ่งใดๆ บนโลกใบนี้ ความมืดที่โอบล้อมอีกคน กระทั่งนิสัยที่ไม่ชอบสนิทสนมกับใครๆ ด้วยเพราะผ่านเรื่องราวแบบนี้มา จึงได้ออกมาเป็นแบบนั้น
มันไม่ใช่ความผิดของจองอู สิ่งที่ผิดคือสภาพแวดล้อมน่ารังเกียจซึ่งโอบล้อมอีกคนอยู่ต่างหาก สิ่งเหล่านั้น มันทำให้อีกคนได้แต่ตกสู่ความมืดมิดเท่านั้น คนที่ชื่อว่าคิมจองอูนั้น คือคนที่น่าสงสารและแสนบริสุทธิ์ คนที่โดดเดี่ยวขนาดนี้คงไม่อาจทอดทิ้งไปได้ ซองจูโอบกอดจองอูเอาไว้พร้อมกับกล่าวออกมา
“ฉันอยู่ข้างนายนะ เพราะฉะนั้นอย่าคิดหนีไปอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม ฉันจะรับมันแทนนายเอง อย่าอ่อนแออีกเลยนะ ถ้าอยากจะหนีก็ให้บอกมาตามตรง ต่อให้ไปสุดขอบโลก ฉันก็จะหนีไปกับนาย”
จองอูหัวเราะเบาๆ ให้กับคำพูดนั้น
“นายได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่าเนี่ย หัวเราะทำไมกัน”
ถึงจะทำเสียงขู่ออกมา แต่เสียงหัวเราะนั้นก็ไม่ได้หยุดลง ด้วยความโมโห ซองจูจึงได้เงยหน้าขึ้นมา ในตอนนั้นเอง ลมหายใจเขาถึงกับสะดุดไป ใบหน้าของจองอูที่มีรอยยิ้มกว้างช่างดูแปลกตาเหลือเกิน
“ไม่หนีหรอก ต้องให้พูดว่าไม่มีทางหนีไปอีกสักกี่ครั้งกัน แล้วก็นะฉันยังกลัวว่านายจะเบื่อจนหนีไปมากกว่าอีก”
จองอูกล่าวเช่นนั้นออกมา แต่ซองจูกลับทำเสียงเหอะตอบกลับไป
“งั้นนายก็ต้องเตรียมใจไว้เลย ถ้าฉันตัดสินใจไปแล้ว จะไม่มีทางล้มเลิกแน่”
กล่าวออกไปเช่นนั้น พร้อมกับยกยิ้มพราย จองอูเองก็ยกยิ้มตามซองจูไปด้วย
“งั้นเราจับตัวเองมัดติดกันเลยดีไหม”
“พูดแบบนั้นแล้ว เหมือนพวกโรคจิตเลยนะ”
“แล้วไง เราทั้งคู่ก็ทำแบบนั้นเป็นปกติไม่ใช่เหรอ”
จองอูกล่าวเช่นนั้นออกมา ก่อนจะเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มของซองจูออก
มันคือเรื่องปกติหรือไม่ก็ไม่รู้ อย่างไรพวกเขาทั้งคู่ก็ไม่เคยใช้ชีวิตแบบปกติ เลียนแบบการใช้ชีวิตของคนอื่น แล้วก็ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
แต่ทว่านั่นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเลวร้าย ทั้งหมดมันคือผลของการดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตต่อไป
ซองจูชอบการได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับจองอูมากกว่าการใช้ชีวิตหรูหราอย่างที่เคยเป็นมา ภายในนั้นมีตัวตนที่สมบูรณ์ของเขาที่ใครก็ไม่เคยรู้จักอยู่ มีน้องชายที่เป็นเหมือนคู่กัดกับเขาเสมอ มีคนพวกนั้นที่เคยเห็นตัวตนแท้จริงของซองจู ถึงแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันเหมือนไม่ใช่ชีวิตของซองจูเลย
เพื่อปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ ซองจูอาจจะต้องแสดงเป็นอย่างอื่นอีก ต่อหน้าพ่อแม่ที่คงจะบังคับให้เขาแต่งงานในสักวันหนึ่ง ต่อหน้าผู้คนมากมายที่ร้องขอตัวตนที่สมบูรณ์แบบและดูดีนั่น เรื่องอื่นนั้นไม่รู้ กับการแสดงที่รวมเข้ากับชีวิตของซองจูแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคยเลย ซองจูมองใบหน้าของจองอูที่สะท้อนในแก้วตาใส
สันกรามชัด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวบางอ่อนนุ่มที่ปิดสนิทนั่น แววตาสีดำสนิทที่ล้ำลึกอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ประดับตกแต่งด้วยคิ้วหนา ทั้งหมดนั่น ทำให้ซองจูได้พักและได้รับการปลอบโยน เจ้าตัวยกมือขึ้นมาปัดกลุ่มผมที่ปกปิดใบหน้าด้านหนึ่งของจองอูออก
“ทำไมอีก…”
จองอูที่ไม่ชอบเปิดเผยใบหน้า ขมวดคิ้วมุ่น แต่ทว่าซองจูเพียงปัดกลุ่มผมของอีกคนไปทัดไว้ที่ใบหู แล้วจึงยื่นหน้าเข้าไปประทับจูบลงตรงปลายคางของอีกคน
“เงียบซะ”
ออกคำสั่งให้หยุดพูดไร้สาระ แล้วซองจูดูดลงไปที่ปลายคางอย่างแผ่วเบา
เสียงน้ำลายดังออกมา พร้อมกับริมฝีปากที่สั่นน้อยๆ นั่นค่อยขยับผ่านแก้มของจองอูขึ้นไปที่หน้าผาก ซองจูที่มักจะจูบลงไปบนรอยแผลที่พาดอยู่บนใบหน้าด้านซ้ายของจองอูอยู่เสมอ และแล้วในดวงตาของจองอูก็เริ่มมีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็ผละริมฝีปากออกมาจากตรงนั้น และเริ่มจูบซับน้ำตาอย่างอ่อนโยน
น้ำตาที่มีรสเค็มแตะสัมผัสริมฝีปาก ไล้เลียสิ่งที่รินไหลออกมานั้นครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับใช้แขนกอดเอวของจองอูเอาไว้
น้ำตาที่ไหลออกมาราวกับธารน้ำ ไหลออกมาจากดวงตาของซองจูโดยไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน ทั้งสองต่างร้องไห้ออกมา พร้อมกับแนบประสานริมฝีปากของกันและกัน ริมฝีปากที่สัมผัสแนบกันอย่างยากลำบาก ไม่คิดที่จะแยกห่างจากกันอีก และยังสอดแทรกเข้าไปภายในของกันและกัน น้ำตาที่ไหลรินออกมาในระหว่างนั้น มันคือรสชาติของจูบนี้ แม้จะไม่หวานเลยสักนิด แต่ก็ทำให้เสพติดในกันและกันมากยิ่งขึ้นไปอีก เรียวลิ้นอุ่นผลัดกันหยอกล้อไปมา เดี๋ยวเกี่ยวรัดเดี๋ยวคลายออกซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
“อืม อือ อึก”
ภายในปากที่เชื่อมติดกัน เรียวลิ้นที่เดี๋ยวผลักเดี๋ยวดูดดึงเข้าหากันด้วยอารมณ์ความใคร่นั้นเกี่ยวรัดไปจนสุดโคนลิ้น จนทำให้ไฟปรารถนาเริ่มลุกโชนขึ้นมา จองอูดึงรั้งร่างของซองจูเข้ามากอด ก่อนจะจัดการถอดเสื้อเชิ้ตที่ปกปิดร่างกายของอีกคนอยู่
“อื้อ…”
รีบเร่งสลัดชายเสื้อที่ไม่ยอมหลุดออกจากแขนที่กอดกันอยู่ ก่อนจะโถมร่างกายเข้าหากัน ความรู้สึกที่ถูกแขนนั้นกอดรัดร่างกายไว้แน่นราวกับจะไม่ยอมให้แยกจากนั้น กลับทำให้พึงพอใจ ทั้งสองคนประกบริมฝีปากเข้าหากันอย่างไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นคนเริ่มต้น
“อื้อ อึก ฮือ ฮึก”
เสียงจุ๊บจ๊วบและเสียงครางที่ดังออกมาอยู่เรื่อยๆ ผสมผสานกันและสะท้อนก้องไปทั่วห้องนอนกว้าง พร้อมกับของแถมเป็นความร้อนรุ่มที่พลุ่งพล่านออกมาแทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ห้องนอนที่เคยเงียบสงบกลับเติมเต็มด้วยบรรยากาศของการสื่อสารถึงกัน
“ฮึก!”
จองอูลากไล้นิ้วมือไปบนแผ่นหลังของซองจู พอขยับเลื่อนลงด้านล่าง นิ้วเท้าของซองจูก็กระตุกเกร็งในทันที ไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน เจ้าตัวค่อยๆ นวดลงไปที่แก้มก้นของอีกคน ในตอนนั้นก็รู้สึกได้ถึงช่วงสะโพกที่เริ่มขยับโยก จองอูใช้นิ้วเกี่ยวชั้นในที่แนบชิดร่างกายของซองจูขึ้นมา
“อื้อ!”
ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วนั้น เศษผ้าชิ้นสุดท้ายที่ปกปิดอยู่บนร่างกายก็หายวับไป ซองจูจึงรีบหุบขาลงทันที
“หนาวเหรอ”
ผละริมฝีปากออกมา ก่อนจะเอ่ยถาม อีกคนจึงรีบส่ายหน้าตอบกลับ พอถูกนวดลงบนแก้มก้นขาวที่ปรากฏออกมา ก็พานให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย จองอูคว้าผ้าห่มที่วางกองอยู่ด้านข้างมาคลุมทับลงบนตัวให้ ถึงอย่างไรหากเริ่มขยับตัว มันก็คงจะตกไปบนพื้นอยู่ดี แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือไม่ทำให้ซองจูเป็นหวัด
“ทนหน่อย เดี๋ยวก็อุ่นแล้ว”
ซองจูพยักหน้ารับให้กับคำกระซิบของจองอู แล้วพวงแก้มขาวก็ปรากฏริ้วแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจที่เคยนิ่งสงบเริ่มสั่นไหวด้วยแรงปรารถนาที่เพิ่มขึ้น
“หืม…”
จองอูกัดลงบนต้นคอของซองจูอย่างแผ่วเบา ถึงจะผ่อนแรงแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีรอยทิ้งไว้ ขบกัดลงไปบนผิวเนื้อนุ่มลื่นพร้อมกับดูดดึง ร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของซองจู เริ่มจะมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว ทำซ้ำๆ เช่นนั้นอยู่หลายครั้ง บนผิวขาวเนียนก็ปรากฏเป็นรอยแดงคล้ายดอกไม้บานออกมา มันช่างดูงดงามเหลือเกิน จึงได้ทำเช่นเดียวกันซ้ำๆ โดยรอบเหมือนกับกำลังระบายสี แล้วบนผิวของซองจูก็มีดอกไม้ผลิบานเต็มไปหมด
ถึงจะถูกโกรธและโดนต่อว่าที่ทำให้ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ อย่างไรเสียเขาก็รู้ดีว่าที่ที่อีกคนจะไปนั้นก็มีแค่ฟิตเนสเท่านั้น จองอูไม่ชอบใจที่เห็นซองจูออกกำลังกายที่ฟิตเนสจนเหงื่อชุ่ม ถึงจะรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับการรักษารูปร่างของอีกคน แต่ที่เขาไม่ชอบก็คือร่างกายของซองจูนั้นมันดูยั่วอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายซองจูที่บางครั้งก็ดูไม่รู้ว่าเป็นผู้ชาย แม้จะผอมบางไปสักหน่อย แต่ก็มีกล้ามเนื้อพอเหมาะอย่างผู้ชาย แต่ว่าตอนนี้มันต่างไป ผิวพรรณที่ขาวกระจ่างของอีกคนนั้น หลังจากหายจากการล้มป่วยหนักครั้งนั้นดูแวววาวขึ้น และกล้ามเนื้อด้านบนนั้นถึงจะไม่ได้ใหญ่เท่าเมื่อก่อน แต่มันกลับทำให้ร่างกายงดงามกว่าเดิม ส่วนแก้มก้นที่จับตัวเป็นก้อนก็ดูกระจ่างใสและแวววาว จนเขาเผลอทอดสายมองอยู่อย่างนั้น ยอดอกสีชมพูนั้นยังคงมีขนาดเท่าเดิม แต่กลับตั้งชั้นแสดงถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา การมีคนที่ครอบครองร่างกายแบบนี้มายืนออกกำลังกายอยู่ตรงหน้า เป็นใครก็ต้องจ้องมองร่างกายของซองจูแน่นอน จองอูไม่อยากเห็นอะไรแบบนั้น ดังนั้นจึงยิ่งระบายสีลงบนร่างกายของซองจู ทิ้งร่องรอยไว้บนร่างกายของอีกคน ให้ไม่สามารถไปออกกำลังกายที่ไหนได้อีก
ตอนพิเศษ 2-12 ปลายนิ้ว
หากบอกไปว่าทำแบบนี้ก็เท่ากับเป็นการออกกำลังแบบโฮมเทรนนิ่งอย่างหนึ่ง ซองจูก็คงจะบ่นไม่เลิก แต่ว่าซองจูเองนั้น พอถึงตอนที่รอยมันเริ่มจางไป เจ้าตัวก็จะเป็นคนมายั่วอารมณ์จองอูเสียเอง สุดท้ายการไปออกกำลังกายข้างนอกอาทิตย์ละครั้งของซองจูก็เป็นอันงดไป และกลายมาเป็นการโฮมเทรนนิ่งด้วยเซ็กซ์แทน เพียงแค่นั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหากับการรักษารูปร่างและสรีระ จึงควรจะต้องสบายใจสินะ อย่างไรก็ตามหากต่อไปอีกคนคิดจะไปออกกำลังกาย จองอูก็จะขัดขวางการออกไปข้างนอกของอีกคนอย่างจริงจัง
“ฮึก อย่า ทำรอย…”
ถึงจะรับรู้เจตนานั้นก็ตาม แต่ปัญหาก็คือซองจูที่มุ่งมั่นแบบนี้ หากอีกคนพูดออกมาแบบนี้แล้ว จองอูรู้ดีว่าหากดื้อดึงทิ้งรอยของตัวเองไว้ ก็ยิ่งเป็นการยั่วโมโหอีกคน หากปล่อยไปแบบนี้ พอจบการร่วมรักแล้วซองจูก็คงจะงอน แล้วก็จะเอาแต่บ่นเรื่องทำเหมือนร่างกายเป็นสมบัติ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนซองจูจะชอบการทารุณร่างกายและสร้างความเจ็บปวดให้อีกคน อย่างไรเสียอาจมีความต้องการบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของซองจูก็ไม่อาจรู้ได้ ในช่วงที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบลับๆ นั้น ก็พอใจกับการที่ได้สนุกกับการรังแกหรือพูดอะไรไม่ดีออกมา แน่นอนมันก็ต้องมีช่วงเวลาแบบนั้น จองอูยกยิ้มออกมา พร้อมกับก้มหน้าลงมากัดลงบนหน้าอกของซองจู
“ฮึก!”
ดูดดึงส่วนยอดอกอย่างแรงราวกับจะกลืนกินมันเข้าไป แล้วจึงกัดลงไปรอบๆ นั้นจนร่างกายของซองจูเริ่มสั่นสะท้าน ทำซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น จนเกิดเป็นรอยฟันขนาดใหญ่บนหน้าอกของอีกคน ใช้ลิ้นดูดเลียเล้าโลมบริเวณรอบๆ นั้น จนส่วนยอดเริ่มตั้งชูชันขึ้นทีละนิดและปรากฏเป็นร่องรอยสีแดงที่แสดงออกถึงความลามกอยู่เต็มไปหมด แล้วจองอูก็ก้มลงไปอีกครั้ง ค่อยดูดดึงและขบเคี้ยวลงไปตรงส่วนยอดนั้น
“ฮึก ฮือ! อื้อ!”
เสียงร้องดังเล็ดลอดออกมาจากปากของซองจู มือของจองอูค่อยๆ เคลื่อนไล้ลงต่ำไปตามช่วงสะโพกที่เริ่มกระตุกสั่น
ตลอดเวลานั้น มือของอีกคนก็ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่าย ค่อยไล่จากหน้าท้อง ข้ามผ่านไปยังส่วนสะโพกด้านหลัง โหมกระพือความปรารถนาของซองจูให้ลุกโชนขึ้นไปอีก สัมผัสจากมือที่เคลื่อนผ่านบนผิวอย่างใจเย็นนั้นไม่ต่างจากอสรพิษร้าย
หากมีปีศาจจริง มันคงจะยั่วยวนมนุษย์ด้วยวิธีการเช่นนี้สินะ มือที่ไม่ยอมหยุดเคลื่อนไหวแม้แต่นิด ขยับลงไปด้านล่าง หยอกล้อกับตัวตนของซองจูที่ตื่นตัวขึ้นมาด้วยแรงปรารถนาที่เอ่อล้น นิ้วมือสัมผัสซ้ำๆ ไปบนส่วนปลายที่เริ่มมีน้ำรักไหลเยิ้มออกมา จนทำให้ซองจูสั่นสะท้านด้วยความเสียวกระสัน แม้จะสัมผัสลงไปราวกับจับต้องของมีค่า แต่ว่าสัมผัสจากมือที่โหดร้ายยิ่งกว่าใครลูบขึ้นไปตามแกนกาย แล้วใช้ปลายนิ้วกดลงไปที่ช่องทางซึ่งอยู่ตรงสุดปลายนั้นและปั่นป่วนอารมณ์ จนซองจูหายใจติดขัดด้วยจะถึงฝั่งฝันในไม่ช้า
“นั่น ตรงนั้น! อื้อ อึก! ฮึก! จะ จองอู คิม จองอู!”
พร่ำเรียกชื่อจองอูอยู่อย่างนั้น แม้จะอ้อนวอน แต่อีกคนกลับไม่ยอมละเว้นกัน เมื่อถึงจุดนั้น ของสิ่งนั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรง ส่วนกระเป๋าน่ารักที่ห้อยอยู่ด้านล่างกับส่วนตรงกลางที่พองนูนขึ้นมานั้น ต่างก็เปียกเฉอะแฉะไปหมด เมื่อใช้นิ้วมือกดสำรวจไปโดยรอบช่องทางของซองจูที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำรักนั้น ซองจูก็ยิ่งกระตุกสั่น
“อื้อ…ตรงนั้น อื้อ อีก ลึกอีก ได้โปรด…”
ร่างกายที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกในยามที่ส่วนนั้นถูกหยอกล้อจึงได้เริ่มอ้อนวอนเมื่อปรับตัวกับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านนั้นได้ แววตาใสกระจ่างเริ่มพร่าเลือนไปทีละน้อย ริมฝีปากงดงามที่เผยอค้างเอ่ยคำอ้อนวอน และเปล่งเสียงครางออกมาในเวลาเดียวกัน จองอูเปิดลิ้นชักที่โต๊ะข้างเตียงออกมาอย่างแรง คว้าเจลที่อยู่ในบรรดากองของมากมายในนั้นออกมา เจ้าตัวไม่คิดจะปิดลิ้นชักคืนด้วยซ้ำ เพียงรีบเร่งเปิดฝามันออกมา
“ฮึก!”
เจลเย็นถูกทาลงไปบนช่องทางของซองจู ร่างกายที่ร้อนขึ้นนั้นกลับถูกกระตุ้นได้ด้วยของแค่นั้นจนทำให้น้ำลายไหลออกมาจากปากที่เผยอค้างของซองจู จองอูป้อนจูบให้กับซองจู พร้อมกับอัดกระแทกเรียวนิ้วเข้าไปในช่องทางนั้น
“ฮึก อื้อ…”
กดแทรกเรียวนิ้วเข้าไปในนั้นหนึ่งนิ้ว ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนเข้าไปอีกเรื่อยๆ ซองจูทำได้เพียงส่งเสียงครางไม่ได้ศัพท์ออกมา ท่าทางของซองจูที่ค่อยๆ ยกส่วนสะโพกขึ้นมานั้นกำลังถูกไฟแห่งความต้องการเผาผลาญอย่างไม่มีท่าทีจะมอดดับ หากมองจากภาพลักษณ์ที่ดูฉลาดในยามปกติ ไม่อาจจินตนาการถึงท่าทางในตอนนี้ได้เลย มีเพียงจองอูเท่านั้นที่รู้ แล้วเขาก็ชอบมันด้วย
ขณะที่ฮันซองจูผู้โอหังและเอาแต่ใจนั้นหลับใหลอยู่ อีกด้านกลับเป็นท่าทางที่หลงมัวเมาในรสกามเช่นนี้ พรากจองอูที่แสนบริสุทธิ์ไป จองอูเพียงทำต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความคิดที่อยากทำให้ซองจูแปดเปื้อนมากขึ้น ปรารถนาให้อีกคนเป็นของเขา รับรู้แค่เพียงตัวเขาเท่านั้น ในความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนั้น แต่ทว่า มันก็ยังไม่พอ หากแสดงความโลภเช่นนี้ออกมาก็กลัวว่าซองจูจะหนีไป จึงได้แต่เก็บซ่อนเอาไว้ ฮันซองจูนั้น เอาทุกอย่างที่เป็นครั้งแรกของคิมจองอูไปจนหมด
“จอง อู อื้อ!”
ซองจูที่ตกอยู่ห้วงความใคร่ ค่อยๆ ยื่นมือมาหาจองอู แล้วจองอูก็จับมือนั้นไว้ เกี่ยวกระชับนิ้วมือเข้าหากัน ทั้งที่อีกมือหนึ่งยังคงเชื่อมติดกับช่องทางของซองจูอยู่เช่นเดิม จากหนึ่งนิ้วก็เพิ่มขึ้นเป็นสองนิ้ว ไม่ทันรู้ตัวก็เพิ่มมาเป็นสามนิ้วแล้วแตะกระตุ้นตรงส่วนอ่อนไหวที่ด้านใน นั่นยิ่งทำให้ซองจูเผลอเรียกชื่อจองอูออกมา
“ฮึก!”
ในตอนนั้น เมื่อเรียวนิ้วของจองอูกดลงไปที่ตำแหน่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปข้างในนั้น ซองจูก็เสียวซ่านไปทั้งตัว เมื่อได้เห็นดวงตาทั้งคู่ที่เหลือกขึ้นและร่างกายที่สั่นสะท้านไปทั้งตัว พร้อมการเกร็งนิ้วเท้านั้น เขาก็เผลอยกยิ้มลามกออกมา จองอูดึงเรียวนิ้วที่สอดอยู่ในตัวของซองจูออกมาจนหมด
“ฮือ…”
เขาเผลอทำให้อีกคนรู้สึกว่าโล่งเหรอ ซองจูส่งเสียงงอแงออกมา ส่วนสะโพกที่ยกโยกไปมาพร้อมกับสายตาที่มองมายังจองอูนั้น มันเต็มไปด้วยความต้องการจนล้นทะลัก แววตาที่เคยใสกระจ่าง เปลี่ยนเป็นดูพร่ามัว แล้วจองอูก็ยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง การได้เห็นฮันซองจูตกลงไปในทะเลแห่งความปรารถนาเช่นนั้น มันช่างให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน
“ทำไม เสียดายที่เอามันออกมา?”
จองอูกระซิบที่ข้างหูของซองจู คนที่ปกติต้องแผดเสียงตะโกนและแสดงท่าทางโมโหออกมาอย่างทุกทีได้หายไปแล้ว ซองจูที่มีดวงตาเลื่อนลอยพยักหน้า พร้อมกับกล่าวออกมา
“เร็ว ใส่มา เร็วสิ…”
แต่ว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่จองอูต้องการ เจ้าตัวจ้องมองสบดวงตาของซองจู ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
“ใส่เหรอ อะไรล่ะ”
คำพูดนั้นทำให้เห็นแววค่อนขอดในดวงตาของซองจูครู่หนึ่ง แต่ทว่าแววตานั้นก็กลับมาเลือนรางอีกครั้งด้วยพ่ายแพ้ให้กับความต้องการนี้
“ของนาย เอาของนายใส่เข้ามา”
“แล้วใส่ตรงไหน”
“ตะ ตรงนี้…ตรงนี้ ใส่ของนายเข้ามานะ ได้โปรด…หืม?”
ซองจูยื่นมือมาคว้าจับมือข้างที่ว่างของจองอูเอาไว้ ด้วยมือข้างที่เข้ามาหยอกล้อข้างในตัวเขาเมื่อครู่นั้นใช้มันกำรอบตัวตนของจองอูที่ตื่นตัวเต็มที่เอาไว้ ท่าทางอ้อนวอนด้วยไม่กล้าพูดมันออกมาจากปากนั้น ทำให้จองอูได้แต่ยกยิ้มกว้าง
“ถ้าเอานี่ใส่เข้าไปแล้ว จะเชื่อฟังกันไหม”
“อือ…ฟัง จะ เชื่อ ฟังนะ…”
“จริง?”
“จะ จริง…”
ถึงซองจูจะตอบคำถามออกมาตามที่สั่ง แต่ก็ยังคงปรายตามามองจองอูอย่างไม่พอใจนัก หากยังไม่รีบทำอย่างที่ต้องการให้ในตอนนี้ ต่อไปอาจจะถูกต่อว่าอะไรก็ไม่รู้ด้วยแล้วนะ จองอูไม่คิดที่จะหยุดรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากนั้นด้วยซ้ำ เจ้าตัวค่อยๆ เอาตัวตนของตัวเองเข้าไปใกล้กับช่องทางรักของซองจู
“เข้าไปนะ”
ซองจูพยักหน้ารับคำพูดนั้นอย่างไม่ขัดขืน
“ฮึก!”
พร้อมกับเสียงครางสั้น จองอูสอดแทรกตัวตนเข้าไปโดยไม่ปล่อยให้ขาดตอน ช่องทางที่ขยายออกเต็มที่ ค่อยๆ กลืนกินตัวของเขาเข้าไป รู้สึกได้ชัดเจนว่าส่วนขนอ่อนนั้นสัมผัสเฉียดไปมาตรงส่วนบั้นท้ายของซองจู
“อึก…”
จองอูขมวดคิ้วแน่น เมื่อรู้ได้ถึงแรงตอดรัดจากภายใน ในช่วงที่ปล่อยให้ซองจูได้ทำความคุ้นเคยกับตัวตนของเขา เจ้าตัวก็ค่อยๆ โน้มตัวลงไปกกกอดและหยอกล้อร่างกายของซองจู
“ฮือ อื้อ อึก…”
ทุกครั้งที่ฝ่ามือนั้นปัดป่ายไปมาบนส่วนยอดของหน้าอกที่ตั้งชันขึ้นมา เสียงครางก็หลุดออกมาจากริมฝีปากของซองจู ไม่ว่าจะถูกรังแกสักกี่ครั้ง เขาก็ยังชอบกล้ามหน้าอกที่จับตัวแน่นเหมือนครั้งแรก และผิวขาวกระจ่างอ่อนนุ่มนี้
“ฮันซองจู”
จองอูเรียกซองจูด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ แม้จะไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบกระชับที่มือซึ่งยังคงจับกันอยู่เช่นเดิม ซองจูกำลังตอบรับผ่านทางมือนั้น
จองอูไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หากเป็นปกติคงจะเอ่ยคำพูดลามกออกไปอีก แม้มันจะเป็นบทสนทนาที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจ เมื่อเกิดบนเตียงนอนเช่นนี้ แต่ทว่ามันก็คือคำที่ออกมาจากใจจริง ทว่าจองอูที่ยังคงสานต่อบทสนทนา ขณะที่มือนั้นก็ยังเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิงเช่นนั้น กลับทำได้เพียงแค่กัดริมฝีปากเอาไว้ เพราะคำพูดที่ไม่ได้บอกกล่าวว่ารักออกไปเลยสักคำ แต่กลับสัมผัสมันได้จากปลายนิ้วที่เกี่ยวกระชับกัน อีกทั้งคำที่ไม่ได้พูดนั้น แน่นอนว่าซองจูเองก็รู้สึกถึงมันได้เช่นกัน
จองอูเคลื่อนมือที่สัมผัสส่วนหน้าอกของซองจูขึ้นไปจับที่เรียวคางของซองจู ลูบไล้ไปตามแนวคางของอีกคนอย่างทะนุถนอม ซองจูไม่ได้แสดงการต่อต้าน เพียงหันใบหน้าไปด้านหลังตามสัมผัสของของจองอู
“อื้อ…”
จองอูประทับจูบแผ่วเบาลงไปที่ริมฝีปากคู่นั้น ไม่ใช่การหยอกเย้าจริงจังอย่างเช่นเมื่อครู่ มันเป็นจูบที่แสนอ่อนโยน
สอดแทรกเข้าไปในโพรงปากอย่างอ่อนโยน พร้อมกับดูดดุนเบาๆ และด้วยการปลุกเร้าทั้งสองทาง ช่องทางที่บีบรัดจึงได้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ถึงอย่างนั้นก็ยังค่อยๆ ดูดดึงริมฝีปากล่างที่บวมเจ่อนั้น แล้วเสียงครางกระเส่าก็หลุดลอดผ่านไรฟันของซองจูออกมา เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันอย่างเนิบนาบทลายอารมณ์รุนแรงที่เคยมีนั้นลง สัมผัสดูดเลียลงไปที่ปลายลิ้นซึ่งแลบออกมา ค่อยๆ เปิดแยกริมฝีปากของซองจูออก ในขณะเดียวกัน ภายในช่องทางของซองจูก็เหมือนทำความคุ้นเคยกับตัวตนของเขาอย่างเพียงพอแล้ว ผนังอุ่นที่เกร็งแน่นจึงได้ผ่อนคลายลง
“ฮึก อื้อ…ฮึก! อื้อ…”
ดูดดึงส่วนโคนลิ้นอย่างแรง ท่ามกลางเสียงครางที่เริ่มหลากหลายสีสันนั้น แล้วจึงเริ่มยกช่วงสะโพกของซองจูให้ลอยสูงขึ้น จองอูคว้าจับส่วนสะโพกที่บิดเร่าไปมาเอาไว้แน่น ก่อนจะเริ่มขยับสวนสะโพกเข้าไป
“ฮือ อื้อ! กึก…อึก ฮึก!”
ตอนพิเศษ 2-13 ปลายนิ้ว
ท่ามกลางเสียงครางที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายขาวกระจ่างของซองจูก็โยกคลอนไปพร้อมกัน บิดเร่าไปมาด้วยเกินจะต้านทาน ร่างกายของอีกคนอ่อนปวกเปียกอย่างสิ้นแรง เมื่อถูกจู่โจมอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซองจูจึงปล่อยร่างกายแนบสนิทไปกับร่างของจองอู แล้วขยับโยกไปพร้อมกัน
ส่วนกล้ามเนื้อที่แนบชิดยิ่งโหมกระพือความต้องการขึ้นเป็นเท่าตัว ต่างกัดกินส่วนยอดอกของกันและกัน ทำให้มันยิ่งขยายใหญ่มากขึ้น สีหน้าของจองอูที่เพิ่งได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่เกิดจากส่วนหน้าอกของตัวเองเป็นครั้งแรกนั้น มันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่เอ่อล้น
“อึก…!”
“ฮึก!”
เมื่อโยกขยับช่วงเอวพร้อมกับครางออกมาสั้นๆ ร่างกายของซองจูก็กระตุกเกร็ง บนผิวขาวกระจ่างนั้นเริ่มปรากฏร่องรอยสีแดงและรอยฟันที่เด่นชัดขึ้นมา ร่องรอยที่ทำเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน เพิ่งจะจางไปได้ไม่นานนัก แต่ว่ารอยที่สร้างขึ้นอีกครั้งนั้นจองอูรู้ดีว่ามันเป็นเครื่องประดับที่ผลิบานออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เช่นนั้น
“ซองจู”
เจ้าตัวกระซิบเรียกชื่อของซองจูที่ข้างหู
“อือ…”
“ฮันซองจู”
เมื่อถูกเรียกชื่ออีกเป็นครั้งที่สอง ซองจูจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา จองอูเอ่ยขอร้องออกมาอย่างช้าๆ
“จับฉันเอาไว้นะ”
ซองจูไม่ได้ตอบรับคำพูดนั้น แต่กลับกระชับมือที่ยังคงจับกันอยู่เช่นเดิมนั้นแทนคำตอบ
“อย่าทิ้งกัน”
“…ไม่ทิ้งหรอก เจ้าทึ่ม นายเองก็ห้ามหนีไป”
น้ำเสียงที่แหบพร่าเพราะร้องครางพูดโพล่งออกมาเสียงดัง แล้วบนริมฝีปากของจองอูก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นทันที
นี่แหละฮันซองจู ไม่เคยอ้อนวอนและไม่ยึดติด ทั้งที่ยังร้องครางอยู่ก็ยังกัดฟันพูดขู่ออกมาได้ ดังนั้นจึงทำให้อีกคนมีเสน่ห์เกินต้านทาน และเป็นคนที่ไม่สามารถปล่อยให้หลุดมือไปได้ จองอูกระซิบกับซองจูอีกครั้ง
“สัญญาแล้วนะ”
ราวกับซองจูรอคอยคำนั้นอยู่ เจ้าตัวออกแรงกดนิ้วหัวแม่มือลงไปบนหลังมือของจองอู พร้อมกันนั้นจองอูก็เริ่มเร่งจังหวะที่พักไป
“ฮึก! อึก! อื้อ…!”
ร่างกายของซองจูที่โยกคลอนอย่างไม่หยุดยั้ง เริ่มอัดแน่นด้วยความต้องการที่พุ่งทะยานขึ้นมาทีละนิด ผิวขาวกระจ่างเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ ใบหน้าแดงก่ำนั้นมีหยาดเหงื่อหยดย้อยลงมา ลมหายใจหอบกระเส่าถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากที่บวมเจ่อจากการถูกดูดนับครั้งไม่ถ้วน แล้วเสียงครางก็ถูกเปล่งตามออกมาจากริมฝีปากของซองจู
“อ้า…อ๊ะ! ได้โปรด อีก อีก…อีกนิด อีก”
ยิ่งคำพูดอ้อนวอนนั้นหลุดออมาจากปากของซองจู จองอูก็ยิ่งกระแทกเข้าไปในร่างกายอีกคนอย่างไม่หยุดพัก สอดลึกเข้า ลึกเข้าไปอีก ยิ่งขยับกาย เสียงอ้อนวอนจากปากของซองจูก็ยิ่งหลุดออกมา จองอูที่อยากได้ยินเสียงนั้นอีกสักหน่อยจึงได้โจมตีไม่ยั้ง ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คนทั้งสองเร่าร้อนได้ถึงขนาดนี้ เมื่อไหร่ที่ได้แนบสนิท ก็ไม่คิดที่จะแยกจากกันอีก ต่างก็ปรารถนาในกันและกัน แม้เป็นเช่นนี้ เมื่อปลดปล่อยมันออกมาแล้ว ก็ยังคงรักษาความหวานที่สร้างขึ้นมาได้อีก แล้วก็แนบร่างกายจนชิดกันอีกครั้ง เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว
“ระ เร็ว…อีก อีกนิด อีก…”
“อึก กึก…”
ร่างกายที่ขยับโยกอย่างรุนแรงตามคำสั่งที่ได้รับมาอยู่เรื่อยๆ นั้นที่สุดก็ปลดปล่อยออกมา ส่วนที่คึกคักมาตลอดตั้งแต่เมื่อครู่กระตุกเกร็งเล็กน้อย ก่อนจะปลดปล่อยออกมาจนหมด ลมหายใจหอบถี่รุนแรงจนขึ้นมาถึงส่วนปลายคาง
“ฮึก อ้า!”
เสียงครางที่เริ่มผสมปนกันจนไม่อาจแยกได้ว่าเป็นของใคร เสียงเนื้อกระทบกันดังออกมา พร้อมกับร่างกายของทั้งคู่ที่โยกคลอนอย่างรุนแรง จุดที่เชื่อมกันอยู่นั้นเริ่มกระตุกเกร็ง
“กึก!”
“อื้อ อื้ม!”
ร่างกายที่กระตุกเกร็งแทบจะในเวลาเดียวกันนั้นแปดเปื้อนด้วยน้ำรักที่ล้นทะลักออกมา จากนั้นจองอูจึงประคองร่างของซองจูที่โถมเข้าสู่อ้อมกอดของเขา
“ฮือ…”
จองอูกอดร่างของซองจูที่สั่นสะท้านด้วยความต้องการที่เกินจะรับ ได้แต่หอบหายใจและไม่อาจทรงตัวอยู่ได้เอาไว้ ก่อนจะตบเบาๆ ลงบนแผ่นหลังของอีกคน จังหวะที่เหมือนเสียงจังหวะของหัวใจและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมา ซองจูจึงค่อยปรับลมหายใจกลับมาทีละนิด
“…ไม่เป็นไรนะ”
พอเสียงลมหายใจนั้นเริ่มสม่ำเสมอขึ้นมา จองอูจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ตัวตนของเขายังคงอยู่ในตัวของซองจู
“อื้อ”
คำตอบที่สั้นแต่ชัดเจนนั้นทำให้ร่างกายของจองอูคลายความกังวลลง
“เฮ้อ…”
“ถอนหายใจทำไม”
เสียงพึมพำที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจนนั้นทำให้เขาได้แต่หลุดส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาเท่านั้น จองอูก้มลงมองซองจูที่เบะปากอยู่ในอ้อมกอดเขา ก่อนจะยิ้มกริ่ม
“ทั้งที่ทำท่าเหมือนจะตาย แต่ยังอยู่เหมือนเดิมสินะ”
“ฉันบอกตอนไหนว่าจะตาย อย่าคิดจะฆ่าคนเชียวนะ”
“เหรอ ผมผิดไปแล้วครับ”
หัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวคำนั้น ซองจูเงยหน้าขึ้นมาอย่างเงียบๆ
“รู้ตัวก็ดี นายน่ะแอบเข้าไปในบ้านคนอื่น แล้วก็มาขุดคุ้ยความรู้สึกของคนอื่นแล้วชิ่งหนีไป เพราะฉะนั้นก็จงใช้ชีวิตอย่างน่าอับอาย ทำแบบนั้นไถ่บาปไปตลอดชีวิตซะ”
ซองจูกล่าวเช่นนั้นออกมา พร้อมกับค่อยๆ หลับตาลง
“เพราะฉะนั้น อย่าคิดอะไรไร้สาระอีก แค่อยู่ข้างๆ ฉันก็พอ อย่าแกล้งทำเป็นว่าไม่เป็นไร ฉันน่ะไม่ว่านายจะทำอะไรก็ไม่เคยสบายใจอยู่แล้ว”
จองอูพยักหน้ารับคำพูดนั้นอย่างเงียบๆ อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีที่ให้หนีไปอีกแล้ว คนที่ไม่ได้เรื่องนั้น ได้ตายจากเขาไปแล้ว
“จะทำตามนั้นนะ”
“ถึงจะพูดว่าไม่สบายใจ แต่ก็อย่าเก็บไปคิดมากล่ะ ไม่ทิ้งไปไหนหรอก อยู่ด้วยกันมันต้องมีเรื่องแบบนั้นบ้างแหละน่า นายเองก็…”
“ไม่หนีไปไหนแล้ว”
คำพูดของจองอูที่พูดดักทางอย่างรู้ดีว่าจะพูดอะไรนั้นทำให้ซองจูได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะปิดลง เจ้าคนที่เหมือนหมาป่า ไม่สิเหมือนงูต่างหาก ตอนนี้ถึงขนาดคาดการณ์คำพูดของเขา จนทำให้เขาพูดไม่ออก
“ไอ้อ่อนเอ๊ย…”
ซองจูที่ไม่กล้าดุว่ารุนแรง ได้แต่บ่นพึมพำออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ จองอูเองก็ถึงกับยิ้มร่าออกมาอีกครั้ง
แม้จะพูดย้ำคำเดิมซ้ำๆ สักกี่ครั้ง ความไม่สบายใจที่ซุกตัวอยู่ในซอกหนึ่งของจิตใจก็ไม่เคยจางหายไปได้เลย ถึงอย่างนั้นหากเพียงมีความอบอุ่นที่สัมผัสได้จากมือที่จับกันไว้ มันก็คงไม่เป็นไร ทั้งคู่ต่างคิดเช่นนั้น พร้อมกับยกยิ้มออกมา สัมผัสจากมือที่ยังคงจับกันไว้นั้น พาให้ใจอบอุ่น ความสงบสุขที่ไม่เคยสัมผัสจนกระทั่งตอนนี้ ทั้งสองคนต่างหลับตาลงอย่างไม่อาจรู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม
ไฟตรงโต๊ะหัวเตียงที่ยังไม่ได้ปิดกำลังคอยเฝ้าพิทักษ์เจ้าของที่หลับใหลอยู่บนเตียงนั้น
* * *
“วันนี้พวกคนไร้ประโยชน์จะมาอีกเหรอ”
“อื้อ ก็ยังเรียบเรียงเพลงไม่เสร็จ เลยจะมาช่วยกันตรวจน่ะ อีกเดี๋ยวก็มากันแล้ว”
“ไปทำที่ห้องซ้อมของเจ้าพวกนั้นไม่ได้เหรอ ห้องซ้อมตัวเองก็เตรียมไว้ซะดิบดี ทำไมต้องมาที่นี่ แล้วก็ทำลายชั่วโมงพักผ่อนกันด้วย”
“ยังไงซะ ถ้าเริ่มซ้อม ก็ลงไปซ้อมที่ชั้นสองอยู่แล้ว”
“เหรอ งั้นคงต้องลงไปสอดแนมที่ชั้นสองด้วยสินะ”
“พี่ซองฮีคงจะยอมหรอก”
“แล้วจะว่าอะไรได้ ถ้าฉันจะไปก็คือจะไป”
“อ้อ งั้นเหรอ”
ซองจูที่เสนอหน้าเข้ามาในห้องทำงานของจองอูตั้งนานแล้ว บ่นพึมพำออกมา ขณะที่ทิ้งตัวไปบนโซฟา
ร่างกายที่รู้สึกปวดเมื่อยจากศึกอันดุเดือดเมื่อคืนก่อน พอร่องรอยที่กระจายอยู่ทั่วตัวนั้นจางไป ก็เข้ามาที่นี่อย่างทุลักทุเล ทั้งที่ยังบ่นว่าร่างกายระบมจนแทบตายอยู่เป็นพักๆ ทั้งสองคนก็ยังผ่านค่ำคืนอันดุเดือดด้วยกันอีกครั้ง ซองจูขยับหมุนหัวไหล่ที่ปวดตึง ก่อนจะหาวออกมา
“หาว…ถ้าจะมาก็ให้รีบๆ มา เพลียจะแย่”
“ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นไปนอน เสร็จแล้วจะตามไป”
“ไม่เอา จะอยู่นี่แหละ”
“มันวุ่นวายนะ”
“ช่างมัน ทำไมจู่ๆ ก็เอาแต่ไล่กันแบบนี้ คิดจะทำอะไรเหรอ”
แล้วเสียงติ๊ดจากประตูก็ดังแว่วมาให้คนทั้งสองที่ถกเถียงกันอย่างทุกทีได้ยิน
“จองอู มาแล้ว!”
หลังจากนั้น เซจุน ซองฮุนและซองฮีก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวาย เซจุนที่มีสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจอยู่หน้าสุด หยุดยืนนิ่งเมื่อได้เห็นซองจูนั่งอยู่บนโซฟา กำลังมองมาที่พวกเขาด้วยสายที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“วันนี้ก็อยู่ด้วยเหรอครับ พี่เตรียมย้ายมาอยู่นี่แล้วเหรอครับ”
เซจุนกล่าวออกไปเช่นนั้น พร้อมกับทักทายเล็กน้อย หากให้สาธยาย ถึงจะไม่ได้เห็นหน้ากันมาตั้งสี่วันแล้ว แต่ว่ากว่าครึ่งของสัปดาห์ซองจูก็มักจะมาขลุกอยู่ที่นี่ ที่พูดว่าเตรียมย้ายมาอยู่ก็ไม่ถือว่าผิดหรอก ซองจูกวาดสายตาเย็นชา มองเซจุนหัวจรดเท้า ก่อนจะปรับตัวมานั่งหลังตรง
“ที่อยู่ฉันน่ะ เตรียมไว้ชั้นบน”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนหุบปากเงียบยกเว้นซองจู
“พวกนายเนี่ยสิ ไม่คิดว่าขึ้นมาบ่อยเกินไปเหรอ”
“พวกเราขึ้นมาทำงานนะครับ”
ครั้งนี้เป็นซองฮุนที่ออกหน้า เจ้าตัวที่พกพาสีหน้าเย็นชา วางเครื่องดนตรีที่ถือมาลงตรงด้านข้างโซฟา
“พวกนายก็มีห้องซ้อมนี่ นั่นน่ะฉันทั้งลดค่ามัดจำแล้วก็ค่าเช่าให้แล้วไม่ใช่หรือไง”
ซองจูเท้าคางกับพนักพิงโซฟา พร้อมกับเอ่ยตอบกลับอย่างไม่พอใจ ซองฮีที่มองท่าทางเช่นนั้นของซองจูอยู่ถึงกับถอนหายใจออกมา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา แน่นอนว่าไม่ใช่ข้างๆ ซองจู
“ตอนเซ็นสัญญาก็บอกแล้วว่าจะจ่ายค่ามัดจำ แต่นายบอกเองนี่ว่าไม่ต้อง แล้วก็บอกว่าจ่ายค่าเช่าแค่สามแสนวอนก็พอ ถ้ามันน้อยไปเพิ่มให้เอาไหม พวกเราไม่ใช่พวกขอทานสักหน่อย เงินแค่นั้นจ่ายได้สบายอยู่แล้วเถอะ”
เซจุนที่ตกใจกับคำพูดที่ออกจะรุนแรงไปสักหน่อยของซองฮี กำลังจะเอ่ยท้วง แต่ซองฮุนกลับยกมือขึ้นมาห้ามเซจุนเอาไว้ ซองฮุนส่ายหน้าอย่างหนักแน่นให้กับเซจุนที่ทำท่าอยากจะเอ่ยถาม ควรจะห้ามอีกคนไม่ใช่หรือ พร้อมพยักพเยิดปลายคาง ซองจูที่ได้ยินคำพูดนั้นกลับกำลังยิ้มแย้มออกมา
“คราวนี้น้องชายผู้น่ารักเกิดงอนเรื่องอะไรขึ้นมาอีกล่ะ”
“ไม่ได้งอน นายเองนั่นแหละที่พูดหมาๆ น่ะ”
“ฉันไปพูดหมาๆ ตอนไหน แค่บอกว่าเตรียมห้องซ้อมไว้ให้ใช้แล้ว แต่ก็ยังขึ้นมาที่นี่อยู่เรื่อยๆ ควรจะใช้ที่นั่นบ้างก็แค่นั้น ถ้าไม่พอใจก็ไปใช้ห้องซ้อมตัวเองสิ”
ตอนพิเศษ 2-14 ปลายนิ้ว
คำพูดของซองจูที่ฟังดูมีเหตุมีผลอย่างมาก ทำเอาเส้นเลือดบนหน้าผากของซองฮีปูดนูนขึ้นมา แต่ว่ามันก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดตรงไหน ดังนั้นจึงไม่อาจโต้แย้ง สุดท้ายซองฮีก็แสดงท่าทางโมโหพร้อมกับพูดเสียงดัง
“ตอนซ้อมดนตรีก็ไปใช้ห้องซ้อมของเราอยู่แล้วเหอะ”
“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วหรอก แล้วเมื่อไหร่จะซ้อมดนตรีที่ว่าล่ะ”
“ก็ต้องเรียบเรียงเพลงให้เสร็จก่อนสิ! แค่นี้ก็ไม่รู้ ยังจะมีหน้ามาพูดขัดอีก”
ซองฮุนที่มองดูซองฮีตอบโต้กลับไปพร้อมกับหอบหายใจนั้น ได้แต่บ่นออกมาเสียงเบา
“ไม่ใช่เด็กๆ กันสักหน่อย สองคนนั้นน่ะ ทำไมเจอกันทีไรเป็นต้องทำตัวเป็นเด็กแบบนั้นก็ไม่รู้”
“ก็ตอนนั้นไม่ได้ทะเลาะกันไง ก็เลยมาทะเลาะกันตอนนี้ ปกติพวกเด็กๆ ก็ต้องทะเลาะกันซะบ้าง ถึงจะรู้จักโตละนะ”
“หมดคำจะพูด”
ซองฮุนเค้นเสียงเฮอะออกมา ก่อนจะตรงไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับประชุม ในตอนที่พวกเขาเตรียมการสำหรับการประชุม ซองฮีก็ยกมือขึ้นกดนวดศีรษะที่ปวดตุบๆ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก
‘ถึงยังไง ตอนเด็กๆ ก็เหมือนจะเป็นเพื่อนเล่นที่ดีต่อกันนะ’
มองท่าทางเช่นนั้นของซองฮีแล้ว ซองจูก็พลันนึกถึงเรื่องตอนเด็กๆ ขึ้นมา
เมื่อลองคิดดู ซองฮีนั้นเป็นน้องชายที่น่ารักมากจริงๆ
ถึงตอนนี้จะโตมาดูดุดันแบบนั้น กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีกลิ่นอายของความน่ารักหลงเหลืออยู่ แต่ว่าซองอีตอนยังเด็ก ตัวเล็กแล้วก็น่ารักมากๆ เส้นผมดำสนิทที่ติดจะยุ่งเหยิงสักเล็กน้อย แล้วก็ท่าทางที่คอยเรียกพี่แบบนั้น มันน่ารักเอามากๆ ซองจูถึงกับดวงตาเป็นประกายออกมา
“เมื่อก่อนน่ารักจริงๆ เลยนะ”
คำพูดนั้นทำให้มือของซองฮีที่หยิบโน้ตเพลงออกมาจากกระเป๋าถึงกับชะงักไป
“ว่าไงนะ”
“นายไง บอกว่าตอนเด็กๆ น่ะนายน่ารักมากเลยนะ หัวกระเซอะกระเซิง คอยตามตูดฉันต้อยๆ ทุกวัน แล้วก็เรียกพี่ พี่ แบบนั้นน่ะ”
“ประสาทกลับแล้วสินะ”
ทั้งที่ด่ากลับอย่างเปิดเผยแบบนั้นแล้ว ซองจูก็ยังไม่หยุดพูด
“ตอนไหนนะ ตอนที่นายกับฉันเล่นเป็นหมอกับคนไข้ไง…”
“อ้อ วันที่เกือบเป็นฆาตรกรฆ่าคนน่ะเหรอ”
คำพูดของซองฮีทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิทอีกครั้ง
“ฆาตรกรฆ่าคนเหรอ เกินไปมั้ง”
“อายุแค่ห้าขวบ แต่ถูกเอาสำลียัดจมูกเป็นสิบๆ อันเพราะจะได้สมบทบาทคนไข้นั่นน่ะ นั่นไม่เรียกว่าฆาตรกรฆ่าคนแล้วคืออะไรล่ะ”
“โธ่ ก็ยังเด็กอยู่นี่ จะไปรู้เรื่องอะไรกันล่ะ ฉันน่ะเห็นว่านายออกจะน่ารักเหอะ”
“ความน่ารักเป็นเป้าหมายของฆาตรกรงั้นสิ เหอะ! ไม่ยักกะรู้”
ซองฮียังคงเอาแต่คอยขัดคำพูดของซองจูพร้อมกับท่าทางไม่พอใจ
ถึงอย่างนั้นริมฝีปากที่ประดับด้วยรอยยิ้มของซองจูก็ยังไม่เลือนหายไปแม้สักนิด
“ยังไงซะ นายก็น่ารักนั่นแหละ ตอนนี้ก็ยังมีมุมอ่อนโยนไม่ต่างจากนั้นอยู่นี่”
“นี่! เพราะมีปากนายก็เลยคิดจะพูดอะไรตามใจชอบก็ได้งั้นเหรอ”
ซองจูที่มองท่าทางพูดไปหอบไปของซองฮีก็ถึงกับยกยิ้มออกมา
“ตอนนี้ก็ยังเป็นนะ นายยังพอมีท่าทางแบบตอนเด็กอยู่สินะ รูปร่างก็พอดูได้ ถึงนิสัยดูจะเกินรับได้ไปสักหน่อย”
“เวรเอ๊ย นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดไหม…”
ซองฮีบ่นพึมพำออกมาด้วยสีหน้าไม่คาดคิด แต่ทว่าซองจูก็ยังไม่คิดที่จะปิดปากตัวเองลงง่ายๆ เจ้าตัวหาวออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“ที่จริงแล้วตอนเด็กๆ ฉันน่ะไม่ค่อยชอบนายหรอกนะ เคยเป็นเด็กดีมากๆ แต่เพราะนายเกิดมา ทั้งครอบครัวก็เอาแต่ไปคอยสนใจนาย หากเป็นตอนนี้ก็คงไม่คิดจะใส่ใจแล้วปล่อยให้ผ่านไป แต่ว่ายังเป็นเด็กน่ะสิ พอถูกแย่งความสนใจไปจนหมด ก็เลยยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่”
ซองจูกล่าวออกมาเช่นนั้น แล้วหาวออกมาอีกครั้ง ร่างกายที่อ่อนเพลียมาหลายวันแล้ว ยิ่งรวมกับการร่วมรักเมื่อคืนที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่
“เพราะงั้นพูดตามตรงแล้ว ก็เลยคอยแกล้งอยู่บ้าง แต่ว่าตอนที่เรียกพี่ๆ แล้วก็วิ่งตามหลังมาต้อยๆ แบบนั้น มันดูน่ารักยังไงไม่รู้สิ รู้สึกดีนะ ที่มีเด็กที่หน้าตาต่างกับฉันสุดๆ มาคอยตาม เหมือนกับว่าตัวเองมีลูกสมุนเลย เพราะไม่มีเพื่อนเล่นเวลาออกไปข้างนอก นายก็เลยเหมือนเป็นเพื่อนเล่นคนนึงเลย”
“เพื่อนคงชอบหรอก นายรังแกเพื่อนเหรอ โรคจิตหรือไง”
“ยังไงก็ชอบแหละนะ กลิ่นแป้งเด็กแบบที่ตัวฉันไม่มี เวลานอนแล้วกอดกันก็นุ่มนิ่มด้วย”
ซองจูไม่ใส่ใจคำโต้แย้งของซองฮีตั้งแต่ต้น พอเห็นแบบนี้แล้ว คำพูดของซองฮีก็ไม่ผิดเลย เปลี่ยนไปมากจริงๆ แต่ว่าถึงอย่างไรเนื้อแท้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป คนที่อยู่ในห้องทำงานมาตั้งแต่เมื่อครู่กำลังมองการทะเลาะกันของสองพี่น้องด้วยสายตาลำบากใจ
“คิดว่าตัวเองไม่มีกลิ่นแป้งหรือไง เด็กที่ไหนก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ อายุห่างกันแค่สองปี พูดซะอย่างกับโตกว่าหนักหนา ประสาท”
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมอย่างรุนแรงของซองฮี ซองจูก็หาวออกมาอีกครั้ง เปลือกตาที่ปิดลงก่อนหน้านี้เริ่มหนักอึ้นขึ้นทุกที
“แต่ว่านะ ก็เป็นเด็กที่โตเกินวัย…ทั้งดูดีแบบนั้น แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทิ้งฉันแล้วก็เกลียดกันน่ะ ถึงจะเศร้าอยู่บ้าง แต่ว่าฉันเองก็ไม่ได้ดูดีขนาดนั้น มันก็ช่วยไม่ได้…”
ซองฮีมีสีหน้าเก้อเขินเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของพี่ชาย
ถึงจะห่างกันเพียงแค่สองปีเท่านั้น แต่ว่าไม่เคยรู้เลยว่ารู้สึกอะไรแบบนั้นด้วย พอคิดดูแล้ว ซองจูนั้นโตเกินวัย รู้จักนึกคิดก่อนเด็กคนอื่นๆ แล้วก็ใช้ชีวิตวัยรุ่นโดยที่เชื่อฟังคำของพ่อแม่เท่านั้น มันก็แค่มารยา ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่เรื่องโกหก แต่ว่าภายในนั้นก็มีเรื่องราวที่ซองจูต้องอดทนและสิ่งที่ต้องเสียสละ ถึงตอนนี้จะไม่รับรู้ก็ตาม
หากตัวเขาโตกว่านั้นอีกสักหน่อย แล้วก็หากเป็นเพื่อนเล่นของซองจูที่ใช้ชีวิตภายใต้หน้ากากอย่างโดดเดี่ยวนั่น ท่าทางของอีกคนในตอนนี้จะต่างไปหรือไม่ จู่ๆ ก็เกิดมีความคิดนั้นผุดขึ้นมา
“ยังไงซะ บางครั้งแกล้งทำเป็นเหมือนว่าสนิทกันบ้างก็ดีนะ เอาแต่ตะโกนใส่ทุกวัน…”
ศีรษะของซองจูที่พูดออกมาแบบนั้นค่อยๆ โน้มลงไป จองอูที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบเข้ามารับเอาไว้ แล้ววางลงบนไหล่ของตัวเอง ซองฮีได้แต่มองภาพนั้นด้วยความสงสัย
พี่ชายที่เขาจำได้นั้น ไม่เคยต้องการพึ่งพาใครเลย
“มาพูดก่อกวนคนอื่นเอาไว้แบบนั้น แล้วก็มาหลับแบบนี้เหรอ ถ้าจะนอนไม่ขึ้นไปนอนข้างบนสบายๆ จะมานอนตรงนี้ทำไมกัน”
น้ำเสียงที่ลงท้ายอย่างเหน็บแนมนั้นกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย สายตาของเพื่อนทั้งสองคนที่มองซองฮีเอ่ยคำพูดย้อนแย้งแบบนั้นออกมา เต็มไปด้วยความเอือมระอา
“ปล่อยไปเถอะครับ บอกให้ขึ้นไปแล้ว ก็ยังว่าที่นี่สบายไม่รู้จะทำยังไงแล้วครับ”
“เพราะนายตามใจแบบนั้นไง ก็เลยทำแบบนั้นทุกครั้ง ดูแล้วเหมือนจะไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่นี่”
“ช่วงนี้บอกว่าปวดเนื้อปวดตัวน่ะครับ ก็เลยเอาแต่อยู่บนห้อง ดูแล้วคงจะยังไม่หายดี เดี๋ยวคงได้อยู่แต่ในห้องไปอีกหลายวัน ช่วยไม่ได้นะ”
“นายเองก็เหนื่อยน่าดู อย่างกับคอยเลี้ยงเด็กโข่งอย่างนั้นแหละ”
ท่าทางของซองฮีที่ส่ายหน้าไปมานั้นทำให้จองอูยกยิ้มออกมา
“งั้นตอนนี้ก็คืนดีกัน แล้วก็กลับมาสนิทกันได้แล้วใช่ไหมครับ ให้ผมดูแลคนเดียวมันก็ออกจะเกินกำลังอยู่บ้างนะครับ”
“คืนดีอะไร ไม่เคยทะเลาะกัน แล้วมีเหตุผลอะไรให้คืนดี”
“พอเถอะครับ แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ เจ้าตัวเองก็คงจะตอบว่าคืนดีกันอยู่แล้ว ช่วยเลิกทำตัวเป็นเด็กเถอะครับ”
คำพูดที่ระเบิดออกมาอย่างไม่คาดคิด เสียงของเพื่อนทั้งสองก็ดังมาให้ซองฮีได้เกร็ง
“จองอูพูดถูก พวกเราต้องมานั่งดูพวกนายสองพี่น้องทะเลาะกันไปถึงเมื่อไร นี่มันก็เกินสิบปีแล้วนะ”
“ใช้โอกาสนี้คืนดีกันซะก็จบ ไม่งั้นก็ไปเคลียร์กันเองสองคน”
ซองฮีที่โมโหขึ้นมาด้วยคำพูดยั่วยุของคนอื่นๆ ได้แต่พยายามกดมันเอาไว้ ไม่ใช่แค่คำพูดนั้นมันถูกต้องแล้ว แต่เพราะเพื่อนๆ รู้ดีกว่าใครว่าพวกเขาพี่น้องจะทะเลาะกันไปเรื่อยจนหลังค่อม
“แล้วจะให้เราทำไงได้”
น้ำเสียงแข็งกระด้างนั้นชวนให้อยากจะหัวเราะออกมา ซองฮีบ่นพึมพำออกมา แล้วจึงหันไปโมโหใส่จองอูแทน
“นี่ นายคิดจะอยู่แบบนั้นไปตลอดหรือไง ไม่ประชุม?”
“นั่นต้องทำอยู่แล้ว…คนเดียวผมยกไม่ได้หรอกครับ พี่ช่วยหน่อยได้ไหมครับ”
จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับสีหน้ายุ่งยากใจ ซองจูที่พิงอยู่กับไหล่ของจองอูเกาะแขนอีกคนเอาไว้ ท่าทางที่จับมือเอาไว้ทั้งที่ยังกอดอกอยู่นั้น ทำให้ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“แล้วจะแกะออกยังไง”
“ค่อยกล่อมให้ปล่อยมือออก”
พูดออกมาแบบนั้น แล้วจองอูก็ใช้มืออีกข้างค่อยๆ แกะนิ้วมือของซองจูออกทีละนิ้ว ไม่ได้จับไว้แน่นอย่างที่คิด ยอมคลายมือออกตามการสัมผัสจากจองอู จนมือนั่นตกลงบนต้นขา แล้วจองอูก็ค่อยๆ ขยับแขนออกอย่างระมัดระวัง คลายออกจากร่างกายของซองจูอย่างช้าๆ จองอูมองไปทางซองฮีอย่างขอร้อง
“ช่วยยอุ้มเจ้าตัวไปนอนบนโซฟาหน่อยนะครับ แขนผมเป็นเหน็บน่ะ…”
เห็นจองอูยกยิ้มละล้าละลังแล้ว ซองฮีก็พรูลมหายใจออกมา ก่อนยกตัวซองจูขึ้นอุ้ม
“เบากว่าที่คิดซะอีก”
เจ้าตัวพึมพำออกมาเสียงเบา
เทียบกับตัวเขาหรือจองอูก็ถือว่าเตี้ย แต่ก็สูงเกินร้อยแปดสิบซม.นะ ทว่าร่างกายของซองจูกลับเบากว่าที่คาด ถึงจะเคยป่วยหนักมา แต่นั่นก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มดูแลร่างกายตัวเองอีกครั้ง ถึงได้มีรูปร่างที่ดูดีอย่างตอนนี้ แต่ว่าเบาขนาดนี้เลยเหรอ หากพออายุมากขึ้นก็เริ่มต่างกันตั้งแต่เรื่องน้ำหนัก แต่พอลองคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว กลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ซองฮีค่อยๆ วางร่างของพี่ชายตัวเองลงบนโซฟา
“ทั้งที่ก็ออกกำลังอยู่ตลอด แต่ทำไมดูอ่อนแอแบบนี้ได้ล่ะ”
พึมพำออกมาพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้น ในตอนนั้นปลายนิ้วก็สัมผัสถูกกัน ส่วนปลายนิ้วที่สัมผัสกัน ให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น ซองฮีจึงทำหน้าแปลกใจ เขาคิดว่าตัวของพี่ชายจะเย็นอยู่ตลอด แต่มันกลับอุ่นกว่าที่คิด
“เพราะภูมิคุ้มกันอ่อนแอน่ะสิ ตอนเด็กๆ พี่เขาเลือกกินไม่ใช่เหรอ เพราะแบบนั้นพอโตมาก็เลยไม่แข็งแรงแบบนี้”
คำพูดของเซจุนที่ตอบรับคำบ่นของซองฮีอย่างไม่คิดอะไร ทำให้ซองฮีขมวดคิ้วมุ่น
“ก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น”
“ยังไงซะนายเองก็ดูจะห่วงพี่ชายตัวเองอยู่นะ เจ้าคนย้อนแย้งเอ๊ย”
จ้องเขม็งพร้อมกับจิ๊ปากไม่พอใจให้เซจุน ก่อนซองฮีจะหันหลับไปมองทางโซฟาอีกครั้ง และได้สบสายตากับจองอูที่ยังคงนั่งอยู่ปลายโซฟา สายตาของอีกคนที่มองมายังซองจูที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนโซฟา มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
“อื้อ…”
ซองจูที่ยับพลิกตัวเพราะนอนไม่สบาย ควานมือไปรอบๆ เพื่อหามือของจองอูที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะคว้ามาจับไว้อย่างรวดเร็ว แล้วยกยิ้มพึงพอใจออกมา รอยยิ้มอ่อนโยนของพี่ชายที่ไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยนั้นทำให้ซองฮีที่รู้สึกอึดอัดใจได้ผ่อนคลายลงชั่วขณะ
‘แค่นั้นก็คงพอแล้วสินะ’
เจ้าตัวคิดเช่นนั้นก่อนจะค่อยๆ หันหลังให้กับโซฟา
รอยยิ้มของซองจูที่ไม่เคยเห็นมันเลยสักครั้ง ด้วยสิ่งนั้นมันทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี สีหน้าของซองฮีที่เดินไปทางโต๊ะประชุมที่เพื่อนๆ นั่งคอยอยู่ เริ่มมีรอยยิ้มสดใสปรากฏออกมาโดยไม่รู้ตัว
– จบบริบูรณ์ –
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น