(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 264-279
ตอนที่ 264 ดื่มเหล้าย้อมใจ
ในห้องเงียบเชียบ มั่วไป๋เป็นห่วงเจียงมู่เฉินที่มีอาการเมาเหล้า เขายื่นมือไปเปิดประตูอย่างไม่วางใจ กลับเห็นเจียงมู่เฉินที่ควรจะหลับสนิทนั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้น
มองจากมุมเขาแล้ว ดูแข็งกระด้างเป็นพิเศษ
มั่วไป๋ใจกระตุกวูบ ผลักประตูเดินเข้าไป นั่งลงข้างกายเจียงมู่เฉิน
“นอนไม่หลับเหรอ”
เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงของมั่วไป๋ ก็พยักหน้าเงียบๆ
มั่วไป๋เหยียดขาตรง มองเขา “แต่ก่อนฉันก็เป็นแบบนี้ พอถึงตอนกลางคืนก็ทำได้เพียงนั่งอยู่แบบนี้”
เจียงมู่เฉิยเอียงหัวมองเขา “ตอนนี้ล่ะ”
มั่วไป๋ยิ้มเจื่อนๆ “พึ่งยา” เขาเอียงหัวมองเจียงมู่เฉิน “แบบนั้นก็ไม่เจ็บปวดทุกข์ทรมานเท่าไหร่แล้ว”
“ไป๋ไป๋ นายว่าฉันเป็นแบบนี้ไม่เหมือนฉันเลยใช่ไหม” ตอนกลางวันเขาดูเหมือนสบายๆ ไม่คิดอะไร ไม่ต่างจากในอดีต
แต่พอตกกลางคืน เขาถึงเป็นเจียงมู่เฉินตัวจริงคนนั้น
นอนไม่หลับ ถึงขั้นหมดหนทางจะหลับตาลง
หลับตาลงทีไร ก็เห็นแต่ใบหน้าของซือเหยี่ยน เมื่อก่อนเขาไม่เคยรักใคร ไม่เคยรู้ว่าที่แท้การรักคนคนหนึ่งก็เป็นแบบนี้ได้
เหมือนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ซือเหยี่ยนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาไปแล้ว
แล้วตอนนี้ซือเหยี่ยนจากไป ก็กระชากเอากระดูกเอาเนื้อออกจากร่างกายเขาไปด้วย
“เลิกกับซือเหยี่ยนแล้วเหรอ”
“อืม”
“เขาพูดเหรอ”
“ฉัน”
มั่วไป๋ลุกพรวดพราดขึ้นมา หมุนตัวเดินออกจากห้องนอนไป เขาเข้าไปในครัวหยิบเหล้าที่มีทั้งหมดในตู้เย็นออกมา วางกองรวมกันที่พื้น
เจียงมู่เฉินเอียงหัวมองเขา
“ดื่มเหล้าย้อมใจสิ ไม่ใช่ฉากที่ต้องมีแน่นอนเวลาเลิกกันแล้วเหรอ”
มั่วไป๋เปิดกระป๋องหนึ่งส่งให้เจียงมู่เฉิน “ลองดูสักหน่อย ดูว่าสรุปแล้วจะย้อมใจได้หรือเปล่า”
เจียงมู่เฉินยิ้มยื่นมือไปรับต่อ มองเหล้าในมือแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างจนใจ ฉากดื่มเหล้าย้อมใจพวกนี้ หลอกกันทั้งเพ
สุดท้ายกลับเป็นมั่วไป๋เองที่ดื่มจนเมา เจียงมู่เฉินอุ้มเขาขึ้นเตียงไป ส่วนตัวเองนั่งอยู่ข้างหน้าต่างทั้งคืน
เช้าวันต่อมามั่วไป๋ตื่นขึ้น เจียงมู่เฉินก็ออกจากคอนโดมิเนียมไปแล้ว
เขานอนเหยียดแขนขาเรียวยาวอยู่บนเตียง ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ความรักความรู้สึกอะไรพวกนี้ ยามหวานชื่นช่างหวานล้ำ ยามทำร้ายช่างเจ็บปวดที่สุด
ตอนนั้นเขาลิ้มรสกับมันอย่างถึงที่สุดแล้ว
เจียงมู่เฉินออกจากบ้านมั่วไป๋แล้วก็กลับบ้านตระกูลเจียงไป คืนนี้มีงานเลี้ยงตอนเย็น คุณแม่เจียงให้เขาต้องเข้าร่วมงานด้วย
ตอนนี้สำหรับเจียงมู่เฉินแล้ว จะไปที่ไหนก็เหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างอะไรทั้งสิ้น
แม่เขาออกปากมาแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาต้องทำตามความต้องการของคุณแม่เจียง
กลับไปนอนพักอีกที เวลาห้าโมงถึงเพิ่งตื่นขึ้นมา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ลงมาชั้นล่าง
คุณแม่เจียงรอเขาที่ชั้นล่างอยู่ก่อนแล้ว เจียงมู่เฉินเห็นคุณแม่เจียงก็เดินเข้าไปหาทันที “ผมเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ”
คุณแม่เจียงเห็นเจียงมู่เฉินเป็นแบบนี้ แววตาฉายสะท้อนความกังวลใจขึ้นมาวาบหนึ่ง แต่ใบหน้าเรียบเฉยของเจียงมู่เฉินมองหาความผิดปกติไม่ออกเลยสักนิด
คุณแม่เจียงต้องถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรสักคำ พาเจียงมู่เฉินออกเดินทาง
รถมาจอดที่หน้าทางประตูทางเข้าโรงแรมจินเม่า ข้างๆ มีคนดึงเปิดประตูรถของเจียงมู่เฉิน ขาเรียวยาวก้าวออกมาก่อน ตามด้วยร่างทั้งร่างของเจียงมู่เฉินที่เดินออกมาจากรถ
เขาสวมชุดสูทที่วัดตัวสั่งตัดมาเป็นพิเศษ รูปร่างดีสูงเพรียวเผยให้เห็นเด่นชัดอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งประกอบเข้ากับใบหน้างามละเอียดได้รูปของเจียงมู่เฉินอีกแล้วนั้น
คนรอบข้างไม่น้อยต่างตกตะลึงงัน
ถึงแม้จะรู้ว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้นี้สุดยอดไม่มีใครเปรียบได้ แต่จู่ๆ พอมาได้เห็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้คนละสายตาไปไม่ได้
เจียงมู่เฉินเห็นผู้คนมากมายก็ยกมุมปากขึ้น ส่งมือต่อให้คุณแม่เจียงอยู่ด้านข้าง
การกระทำและท่าทางของเขาแบบนั้นยิ่งแสดงความเป็นสุภาพบุรุษองอาจให้เห็น คุณหนูลูกผู้ลากมากดีที่อยู่ด้านข้างหัวใจใกล้จะกระโดดออกมาแล้ว หวังจริงๆ ว่าตัวเองจะถูกเขาจูงมือแบบนี้บ้าง
ตอนที่ 265 จี้ฉิงปรากฏตัว
คุณแม่เจียงพาเจียงมู่เฉินเดินเข้าไป ข้างในมีคนอยู่ไม่น้อยแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ทั้งสาวทั้งสวย
เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น ดูท่าว่าแม่เขาจะยังไม่ยอมแพ้ อยากทำให้เขากลับเนื้อกลับตัว
เขาอยากหัวเราะ นี่ไม่ใช่โรคสักหน่อย รักษาไม่หายหรอก
ตลอดทั้งคืนคุณแม่เจียงพาเจียงมู่เฉินเจอหน้าพบปะคนมากมาย ทั้งหมดคือผู้หญิงที่เหมาะสมคู่ควรจะแต่งงานด้วย เจียงมู่เฉินเห็นมาแต่ละที แม้แต่หน้าก็ยังจำไม่ได้
สุดท้ายไม่รู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งแทรกเข้ามาจากไหน แม่เขามองเธอด้วยความรักใครเอ็นดู ปล่อยให้พวกเขาสองคนคุยกันเอง
ตรงมุมมุมหนึ่ง เจียงมู่เฉินถือแก้วเหล้าในมือ ยืนพิงอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเอ้อระเหย “ฉันไม่คิดจะดูตัว”
ตรงข้ามเป็นผู้หญิงใส่ชุดเดรสสีน้ำตาลอ่อน เธอมองเจียงมู่เฉินแล้วอดจะยิ้มหัวเราะไม่ได้ “เมื่อก่อนได้ยินมาว่าคุณชายเจียงทำอะไรไม่เหมือนใคร วันนี้มาเจอ ก็เป็นอย่างนี้จริงๆ”
เจียงมู่เฉินคิดไม่ถึงว่าเธอจะมาท่าทีตอบกลับแบบนี้ได้ เขาชายตามองเธอโดยไม่ตั้งใจ หน้าตาสวยมากทีเดียว ดูหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน
“ได้ยินมา?”
เธอยิ้มหัวเราะ “ขอแนะนำตัว ฉันชื่อจี้ฉิง บังเอิญทีเดียว ฉันเองก็ไม่ได้มาดูตัวเหมือนกัน”
“ถ้างั้น เธออยากจะพูดอะไรกับฉัน”
จี้ฉิงลูบแก้วเหล้า “ถ้าคุณชายเจียงไม่รังเกียจ ร่วมมือกับฉันสักหน่อย เป็นไง”
เจียงมู่เฉินยักคิ้ว “เดิมทีไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็ชักจะสนใจบ้างแล้ว”
เขาเห็นแววตาของเธอทอประกายความเจ้าเล่ห์และแผนการบางอย่าง แต่เขากลับชอบแผนการทำนองนั้นพอดีด้วยสิ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ถือว่าพูดคำไหนคำนั้น ไม่มีการคืนคำแล้ว”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า “แน่นอน ฉันเจียงมู่เฉินไม่เคยคืนคำอยู่แล้ว”
หลังจากคืนนั้น คนทั้งถานโจวก็ได้รู้ว่าตระกูลเจียงตั้งใจจัดงานเลี้ยงดูตัวเพื่อคุณชายเจียงโดยเฉพาะ คนมีหน้ามีตาทุกคนมาที่งานเลี้ยงนี้กันทั้งหมด งานใหญ่โตอลังการ
ถึงขนาดที่ว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงกลายเป็นประเด็นร้อนพูดถึงกันไปทั่วถานโจวเพียงชั่วข้ามคืน
ถึงอย่างไรด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเจียงแล้ว ถ้าหากว่ามีคนตะกายถึงตระกูลเจียงได้ก็ไม่แตกต่างอะไรจากการได้เป็นหงส์บินไปเกาะที่ยอดกิ่ง
หลายวันต่อมาเจียงมู่เฉินก็ติดอันดับการค้นหายอดนิยมอยู่อันดับต้นๆ ไม่ตกอันดับลงมาตลอด
ในร้านอาหารเขตเมืองแห่งหนึ่ง เจียงมู่เฉินนั่งฝั่งหน้าต่าง อยู่ฝั่งตรงข้ามกับจี้ฉิง ใบหน้าทั้งสองคนคนแต่งแต้มรอยยิ้มท่าทางดูสนิทชิดเชื้อกันไม่เบา
“คุณชายเจียง ท่าทางของคุณหนักแน่นกว่านี้หน่อยได้ไหม”
เจียงมู่เฉินฉีกมุมปาก “เธอต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำที่ตอนนี้ยังให้ความร่วมมือกับเธออยู่”
จี้ฉิงเผลอยิ้มออกมา ยื่นมือคีบอาหารให้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองเธอ จี้ฉิงชี้ที่มือของตัวเอง “ตะเกียบกลาง[1]”
“ในเมื่อต้องการให้พวกเขาถ่าย ก็ต้องให้พวกเขามีอะไรให้ถ่ายเยอะๆ บ้าง ไม่งั้นจะไม่เป็นการเล่นละครเสียเปล่าหรอกเหรอ”
เจียงมู่เฉินยื่นมือไปเหน็บผมของเธอที่ตกลงมากะทันหันกลับเข้าไป เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “เธอแน่ใจว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ที่เธอหามาเอง?”
จี้ฉิงหลุดหัวเราะ “ก็ฉันเป็นดารานี่ คนอยากถ่ายฉันต้องไม่น้อยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” เธอยักไหล่ “ดังนั้น ก็โทษฉันไม่ได้ ถูกไหม”
เห็นเธอทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ ความชื่นชมวาบขึ้นมาในแววตาของเจียงมู่เฉิน “เพราะฉะนั้น เธอคิดจะยืมฉันมาขยี้ตามประเด็นร้อน[2]ตอนนี้เหรอ”
“แหม คุณชายเจียงก็ พวกเราจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการไงล่ะ เล่นละครกันทีก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้เสียหายอะไร ดีมากเลยนะ”
“เธอคิดจะขยี้ประเด็นร้อนนี้ไปอีกนานเท่าไหร่”
จี้ฉิงมองเขา “งั้นก็ต้องดูว่าคุณชายเจียงอดทนได้สักแค่ไหนแล้ว”
เจียงมู่เฉินดื่มน้ำ “อีกสองวัน ฉันต้องไปอเมริกา ฉันจะให้โอกาสเธอขยี้ประเด็นร้อนนี้”
จี้ฉิงตาลุกวาว “ฉันจะมารับคุณ ไปส่งคุณด้วยตัวเอง”
“อืม” เจียงมู่เฉินพยักหน้า
ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงมุมมุมหนึ่ง เอาแต่ยิ้มหัวเราะพูดคุยกันดูไปแล้วช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน จนกระทั่งกินอาหารกันเสร็จแล้ว เจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงถึงได้เตรียมตัวออกจากร้านไป
เมื่อออกมาจากร้านอาหาร จี้ฉิงยืนทรงตัวไม่อยู่เซล้มไปด้านข้าง เจียงมู่เฉินยื่นมือไปโอบกอดเธอเอาไว้ เสียงต่ำเอ่ยปลอบใจเธอ
จนจี้ฉิงส่ายหัว ทั้งสองคนถึงได้ออกจากร้านอาหารไป
[1] ตะเกียบกลาง ที่ไว้ใช้ร่วมกันคีบอาหารวางใส่จานตัวเองได้ แต่เอาเข้าปากไม่ได้
[2] ขยี้ตามประเด็นร้อน ศัพท์แสลงในอินเทอร์เน็ตของจีน หมายถึง การขยี้ตามประเด็นร้อน ณ ตอนนั้น เพื่อให้ตัวเองดังขึ้นตามประเด็น
ตอนที่ 266 ข่าวเดตซุบซิบเต็มหน้าจอ
ช่วงเช้าวันที่สอง จี้ฉิงขลุกตัวอยู่ในโซฟาอ่านหัวข้อพาดหัวข่าวของวันนี้
[เทพธิดาแห่งยุคจี้ฉิงเดตลับๆ กับคุณชายน้อยตระกูลเจียง คุณชายน้อยตระกูลเจียงรักและปกป้องจี้ฉิงขนาดนี้ คิดแล้วอาจจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น]
การพาดหัวข่าวเช่นนี้ระเบิดกระจายไปทั้งโลกออนไลน์ ด้านข้างยังมีรูปประกอบที่เจียงมู่เฉินช่วยเหน็บผมให้จี้ฉิงและที่เขายื่นมือไปโอบประคองจี้ฉิงไว้ด้วยเช่นกัน
มุมที่ถ่ายรูปออกมาดูดีมาก ถ่ายพวกเขาสองคนออกมาได้อย่างชัดเจน
จี้ฉิงนอนฟุบอยู่บนโซฟาเอ่ยจากใจ “เจียงมู่เฉิน รูปนี้ถ่ายคุณออกมาได้ดูดีมากจริงๆ ถ้าได้เข้าวงการบันเทิง คงจะทำให้คนอื่นไม่มีที่ยืนแล้วจริงๆ”
เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “เธอเองก็ไม่เลว”
“เมื่อวานคุณจงใจทำให้ฉันสะดุดใช่ไหม” เธอเดินมาดีๆ ไม่มีทางจะมาล้มกะทันหันได้
เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ก็เลียนแบบเธอดู คนเขาลำบากกันไม่เบา ก็ให้ดูมีความหวานบ้าง”
จี้ฉิงส่ายหัวถอนหายใจ “ยังดีที่ฉันไม่ได้ชอบคุณ ไม่งั้นความคิดของคุณแบบนี้ คงโดนคุณปั่นเล่นจนหัวหมุนไปนานแล้ว”
เจียงมู่เฉินมองดูเวลา “สามชั่วโมงแล้ว ฉันก็ควรจะไปได้สักที”
เขาวางนิตยสารในมือลงแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน
จี้ฉิงพินิจมองดูเจียงมู่เฉิน ขาเรียวยาวนี้ รูปร่างนี้ ทำให้คนอิจฉาไม่ไหวเสียจริง
เจียงมู่เฉินกวาดสายมองเธอแวบหนึ่ง “มีอะไรก็ค่อยบอกฉันแล้วกัน ฉันไปแล้ว”
เขาไม่ลังเลอะไร ออกจากคอนโดมิเนียมของจี้ฉิง ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
……
ณ แก๊งมังกรคราม ซูเตอร์เลื่อนอ่านพาดหัวข่าวนี้ก็ยิ้มหัวเราะ คิดไม่ถึงว่าหลังจากเจียงมู่เฉินเลิกกับซือเหยี่ยนแล้ว จะหาดาราสาวคนหนึ่งมา แล้วยังกลายเป็นคนดังในโลกออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
เขายกมุมปากขึ้น ไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าให้ซือเหยี่ยนเห็นพวกนี้ จะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรได้บ้าง
“คุณชายน้อยครับ คุณซือมาหาครับ”
ซูเตอร์ตาลุกวาว รีบเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา “โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาเดินถึงประตูก็เห็นซือเหยี่ยนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาเดินเข้าไปยืนข้างๆ ซือเหยี่ยน “เหยี่ยน นายมีธุระหาฉันเหรอ”
“วันนี้ต้องไปบ่อน คุณลืมแล้วเหรอ”
“เข้าไปตอนนี้เหรอ” ซูเตอร์นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานเรย์มอนตั้งใจให้วันนี้เขาไปตรวจสอบและสำรวจดูที่บ่อนการพนันสักหน่อย
“อืม ผมเตรียมเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ออกเดินทางกันเถอะ”
ซูเตอร์พยักหน้า เดินออกไปพร้อมซือเหยี่ยน ทั้งสองคนขึ้นรถไป ซือเหยี่ยนเป็นคนขับให้ ซูเตอร์นั่งอยู่ด้านข้าง แกล้งทำทีเป็นเล่นมือถือ
เขาเปิดข่าวที่เพิ่งอ่านเมื่อเช้านี้อีกครั้ง จงใจทำเป็นเลิกคิ้วประหลาดใจ “เป็นข่าวที่สุดยอดจริงๆ เปิดโลกทัศน์ให้ฉันจริงๆ”
ซือเหยี่ยนสีหน้าเย็นชาขับรถไป ไม่ได้พูดอะไร
ซูเตอร์โน้มตัวเข้าไปใกล้ทางฝั่งเขา “เรื่องเกี่ยวกับเจียงมู่เฉิน นายอยากรู้หรือเปล่า”
มือซือเหยี่ยนที่จับพวงมาลัยรถเกร็งแน่น ซูเตอร์ดูสภาพการณ์แล้วก็หัวเราะเบาๆ ไม่รอซือเหยี่ยนพูดก็อ่านออกมา “สาวคนใหม่ของคุณชายน้อยตระกูลเจียงเป็นดาราสาวหน้าตาสะสวยจริงๆ ไม่น่าเลยพวกนายเพิ่งจะเลิกกัน เขาก็ใจเร็วด่วนได้ไปเดตกับคนอื่นซะแล้ว”
ซูเตอร์หัวเราะ “ฉันยังคิดว่าเจียงมู่เฉินชอบนายมาก ตอนนี้คิดๆ ดูก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่”
“พอเถอะ อย่าพูดเลย” สีหน้าซือเหยี่ยนเก็บกดอารมณ์หนักหน่วง เสียงต่ำเอ่ยตำหนิ
ไม่ว่าอย่างไรซูเตอร์ก็จะทำให้เขาสมปรารถนาให้ได้ “ซือเหยี่ยน ฉันรักนายรักเดียวใจเดียว และก็ไม่แย่กว่าเจียงมู่เฉินด้วยหรอกใช่ไหม”
“ซูเตอร์!” ซือเหยี่ยนกล่าวเตือนเสียงดัง
“นายอย่าใจร้อนสิ ที่จริงข่าววก็ไม่ได้มีอะไร ก็แค่คุณชายน้อยเจียงโอบกอดกับดาราสาวคนหนึ่ง แล้วยังไปพักค้างคืนอยู่ในบ้านดาราสาวด้วย จากนั้นโลกออนไลน์ก็แชร์ต่อๆ กันเรื่องข่าวดีของสองคนนี้ก็เท่านั้นเอง”
ซือเหยี่ยนเหยียบเบรกเสียเดี๋ยวนั้น สายตามองซูเตอร์แวบหนึ่งอย่างรวดเร็วและดุดัน “ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องเอ่ยถึงเจียงมู่เฉินต่อหน้าผมอีก ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา”
ตอนที่ 267 ซือเหยี่ยนโดนลอบทำร้าย
ซูเตอร์เห็นว่าเขาโกรธจริงๆ แล้ว จึงจำใจต้องเงียบปากไม่พูดอะไรอีก
ถึงอย่างไรเป้าหมายของเขาก็ถึงตามเป้าแล้ว ขอเพียงแต่ซือเหยี่ยนได้รู้เรื่องพวกนี้ของเจียงมู่เฉินก็เพียงพอแล้ว
เขาก็แค่ต้องการให้ซือเหยี่ยนรู้ ว่าเจียงมู่เฉินเป็นคนโลเลสองจิตสองใจ เลิกกับซือเหยี่ยนไม่ทันไร ก็ไปหาคนอื่นแล้ว
‘ไม่มีค่าอะไรคู่ควรให้ซือเหยี่ยนโหยหาคิดถึง’
“เอาล่ะๆ ฉันไม่พูดแล้ว ยังไม่โอเคอีกเหรอ” ซูเตอร์เอ่ยอย่างไม่รู้ไม่ชี้
หลังจากซือเหยี่ยนได้ยิน ถึงได้สตาร์ทรถขับมุ่งหน้าออกไป ซูเตอร์มองดูใบหน้ามุมข้างของเขา สันกรามเกร็งแน่น ความโกรธยังคุกรุ่นแม้จะพร่าเลือน
ความพอใจทอประกายในแววตาซูเตอร์ ขอเพียงแต่ซือเหยี่ยนตัดใจจากเจียงมู่เฉิน แล้วยอมรับเขา ทางก็สะดวกแล้ว
รถขับไปข้างหน้าเรื่อยๆ ด้านหลังก็มีรถคันสีดำขับตามพวกเขามาเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน ซือเหยี่ยนเอียงหัวมองแวบหนึ่ง ดูเหมือนรถคันนี้จะขับตามเขาตลอดหลังจากพวกเขาออกมาได้ไม่นาน
นัยน์ตาฉายแวว หักเลี้ยวเข้าถนนเล็กๆ ข้างทางทันที
ซูเตอร์เห็นเขาเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ก็รีบถาม “เป็นอะไรไป”
ซือเหยี่ยนบอกใบ้ให้เขามองดูกระจกหลัง ซูเตอร์เอียงหัวมองเข้าไป “รถข้างหลังคันนั้นสะกดรอยตามพวกเรา?”
“อืม พวกเราออกมาได้ไม่นานก็ตามมาเลย ดูท่าว่าจะมีคนรู้ว่าวันนี้พวกเราต้องออกมา”
รถคันนั้นที่ตามมาข้างหลังรู้ว่าพวกเขาไหวตัวทันรับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว ก็รีบเร่งความเร็วตามให้ทัน
ซือเหยี่ยนดูสถานการณ์แล้วก็พูดกับซูเตอร์ “นั่งดีๆ”
“อ้อ” เอ่ยรับเสียงเดียว รถก็เร่งความเร็วแล่นไปบนถนนทันที
รถคันข้างหลังก็ไม่ยอมน้อยหน้ารีบขับตามให้ทัน
ความเร็วในการขับรถของซือเหยี่ยนหนีจากรถคันอื่น หลายครั้งที่ใกล้จะชนรถคันข้างหน้า เขาก็จะเปลี่ยนทิศทางมุ่งทะลุไปด้านข้างอย่างรวดเร็วและเต็มกำลัง
รถคันสีขาว รถคันสีดำ รถสองคันนี้ไล่ตามกันไปบนถนน ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งเครียดเอาแต่จ้องเขม็งไปรอบทิศทาง คิดหาทางหนีไปด้วย พลางป้องกันไม่ให้รถคันข้างหลังไล่ตามมาทันไปด้วย
“ซือเหยี่ยน ทางนั้น”
ด้านข้างมีรถตามมาอีกคัน พุ่งตรงมาจะชนพวกเขา
ซือเหยี่ยนเหยียบเบรกอย่างรวดเร็วและรุนแรง ถอยหลังกลับ หักโค้งไปด้านข้าง
โครมคราม เสียงรถชนสองคันพุ่งชนใส่กัน
ซูเตอร์เห็นรถสองคันข้างหลังนั้น ก็โล่งใจ “ในที่สุดก็คลี่คลายแล้ว”
สีหน้าซือเหยี่ยนกลับคร่ำเคร่งในทันใด “เพิ่งจะเริ่มต่างหาก”
รถสองคันที่จอดอยู่ข้างหน้า ในมือยังถือปืน ดูท่าว่าวันนี้จะไม่คิดให้พวกเขามีชีวิตกลับไปแล้วจริงๆ
ซูเตอร์นัยน์ตาแปรเปลี่ยนฉายความเฉียบคม เขาควานหาคว้าปืนออกมาสองกระบอก ตัวเองถือหนึ่งกระบอก อีกกระบอกส่งให้ซือเหยี่ยน “ระวังด้วย”
ซือเหยี่ยนถือปืนไว้ ขับรถถอยหลังเลี้ยวออกไป รถสองคันนั้นคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะหนีออกไป จึงรีบตามไปทันที
ซือเหยี่ยนขับรถเร็วสะบัดหนีพวกเขา เอารถจอดไว้ด้านข้าง ทั้งสองคนทิ้งรถอยู่บริเวณไม่ไกลนัก แล้วหนีเข้าภูเขาไป
คนกลุ่มนั้นตามเข้าไปทันทีหลังจากนั้น เห็นรถที่ใต้เขาก็รีบเอ่ย “คนยืนอยู่ข้างบน รีบตามมาให้ฉัน”
คนในชุดดำกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวตามเข้าไป
ซือเหยี่ยนพาซูเตอร์มาหาที่ซ่อนตัวที่เหมาะสม เห็นสภาพการณ์ทางด้านล่างได้พอดี
ทั้งสองคนมองข้างล่างภูเขาอย่างใจจดใจจ่อ เป็นอย่างที่คิดไว้ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ก็มีคนวิ่งขึ้นมา
ซือเหยี่ยนหรี่ตาลงมองคนที่ขึ้นมา มีประมาณหกคน ทั้งหมดมีปืนในมือ
เขามองอย่างละเอียดสักพัก เอ่ยเสียงต่ำกับซูเตอร์ “คุณจัดการสองคนฝั่งนั้น สี่คนฝั่งนี้ผมเอง”
ซูเตอร์จ้องเขม็งมองดูคนไม่กี่คนคนนั้น แล้วพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ ฝีมือยิงปืนฉันยังได้อยู่”
“ดี”
คนกลุ่มนั้นยิ่งเดินยิ่งเข้ามาใกล้ ค้นหาอย่างระมัดระวัง
“พวกเขาสองคนต้องอยู่แถวนี้ ทุกคนระวังตัวให้ดี ไว้ชีวิตไม่ได้สักคน”
“รับทราบครับ” คนไม่กี่คนขานรับอย่างพร้อมเพรียง
ตอนที่ 268 ซือเหยี่ยนถูกยิง
บรรยากาศลุ้นระทึกขึ้นมาชั่วพริบตา นอกจากเสียงเหยียบกิ่งไม้หัก บางครั้งก็มีเสียงนกร้องยามบินผ่าน
ซูเตอร์กำปืนในมือแน่นโดยไม่ตั้งใจ
คนกลุ่มนั้นกระจายกำลังกันค้นหาอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งใกล้พวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ
พวกเขาเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว ซือเหยี่ยนนัยน์ตาประกายมองซูเตอร์ปราดเดียวโดยฉับพลัน
ซูเตอร์รับสารของซือเหยี่ยนมา ก็รีบเล็งเป้าไปยังคนที่อยู่ด้านข้าง แล้วเหนี่ยวไกปืนใส่ทันที
เสียงปืนสองนัดดังขึ้นขณะเดียวกัน
สองฝั่งซ้ายขวาแต่ละคนหวีดร้องอย่างทรมานล้มลงไปทันที
พวกซือเหยี่ยนจัดการไปแล้วสองคนโดยราบรื่น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการเผยให้รู้ถึงตำแหน่งของตัวเองไปด้วย
พวกที่เหลือเห็นสถานการณ์แล้วก็กราดยิงราวกับคนเสียสติ ซือเหยี่ยนกระโดดหลบกระสุนไปด้านข้าง
ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขายิงปืน ยิงเข้าไปอีกสองนัด
เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง
ห่ากระสุนทางฝั่งซูเตอร์หนักหน่วงมาก ยังพาตัวเองออกมาไม่ได้ชั่วขณะ ทำได้เพียงหลบซ่อนไปก่อน
ปัง! ปัง! ซือเหยี่ยนยิงปืนอีกสองนัดก็จัดการไปได้อีกคน
ตอนนี้ทั้งสองฝั่งเหลือเพียงแค่สองคน ซือเหยี่ยนมองดูปืนในมือ ปืนในมือเขาตอนนี้เหลือกระสุนแค่เพียงนัดเดียวเท่านั้น
ถ้าใช้ไม้แข็งก็หาประโยชน์ไม่ได้เลย
สองคนที่เหลือราวกับคนคลั่งอย่างไรอย่างนั้น ยิงปืนไม่หยุด เพียงพริบตากระสุนสาดมั่วไปทั่วบริเวณ
กระสุนกระทบบนต้นไม้และลงในดิน เศษไม้และฝุ่นละอองลอยตลบฟุ้งกระจาย มีบางส่วนสาดกระเด็นโดนใบหน้าของทั้งสองคน
ซูเตอร์โดนโจมตีจนลงมือตอบโต้ไม่ได้ ทำได้เพียงหลบหนีไปทุกมุมไม่ให้โดนยิง ระหว่างหลบหนีอย่างสับสนอลหม่าน ก็ไม่ได้ระวังสังเกตเห็นว่ามีคนเดินมาทางเขา
ตาเห็น ปากกระบอกปืนก็ต้องการจะเล็งมาที่เขา ซือเหยี่ยนรีบเล็งยิงไปยังตำแหน่งมือของคนคนนั้นทันที
“อ๊ากกก” เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด ปืนร่วงหล่นลงพื้น ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสนี้ดึงซูเตอร์มาอยู่ข้างหลังเขา
“คุณอยู่ติดผมไว้” เขาเอ่ยกำชับ
ซูเตอร์มองแผ่นหลังของซือเหยี่ยน แววตาฉาบรอยยิ้มขึ้นมาวาบหนึ่ง ซือเหยี่ยนยังเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดจริงๆ ขอเพียงแต่เขาประสบอันตรายคราใด ซือเหยี่ยนก็จะสามารถปกป้องตัวเขาเสมอ
“วางใจได้ ฉันรับรองจะไม่เป็นภาระนาย”
ซือเหยี่ยนเอาปืนสั้นที่หมดกระสุนแล้วทุบออกไปฟาดเข้ากับข้อมือของคนที่ถือปืนคนสุดท้ายนั้น
เขาเจ็บปวดทันที ปืนในมือหลุดร่วงลง
ขณะนี้ระหว่างพวกเขาต่างฝ่ายต่างไม่มีปืนกันแล้ว ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสโถมเข้าโจมตีระยะประชิด
สมัยนั้นที่ซือเหยี่ยนอยู่ที่โรงเรียนฝึกตำรวจ ฝีมือศิลปะการต่อสู้คราฟมากา[1]ของเขาติดอันดับต้นๆ นอกจากเจียงมู่เฉินในตอนนั้น คนที่สู้ชนะเขาก็ไม่มีเป็นสอง
ท่าทางของเขารวดเร็วดุดัน คล่องแคล่วและตรงจุด ไม่ชักช้ายืดยาดแม้แต่น้อย
เขาล็อกมือคนคนนั้นไว้แล้วจับพลิกหมุนกลับมาหักข้อมืออย่างไม่รอรี คนคนนั้นแผดเสียงด้วยความทรมาน แต่กลับยังไม่ลืมจะลงมือต่อไป
ซือเหยี่ยนสัมผัสได้ถึงลมระลอกหนึ่งบริเวณขา เขาเบี่ยงขาข้างหนึ่งถอยหลังหลบ จากนั้นก็วาดขาเตะฟาดคนคนนั้นจนร่วงลงพื้น
หลังจากจัดการคนทั้งหมดแล้ว เขาถึงให้ซูเตอร์ออกมา “ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปก่อน”
ซูเตอร์เห็นคนอีกสองคนที่ยังไม่ตายสนิท จึงเอ่ยถามขึ้น “จะทำยังไงกับสองคนนี้”
“พวกเขาลุกขึ้นมาทำอะไรไม่ไหวแล้ว ก็ปล่อยพวกเขาไว้ที่นี่เถอะ”
ทั้งสองคนกำลังจะเตรียมตัวออกไป ไม่ได้รู้ตัวว่าคนที่โดนกระบอกปืนฟาดข้อมือคนนั้นจู่ๆ จะขยับเขยื้อนร่างกาย
ปากกระบอกปืนสีดำทมิฬเล็งเป้ามาที่ซือเหยี่ยน
……
ซือเหยี่ยนกักเสียงคำรามในลำคอ ทั้งร่างโซเซ
ซูเตอร์รีบเข้าไปประคองเขาไว้ “เหยี่ยน นายเป็นไรไป”
ซือเหยี่ยนต้องกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำ “กลับกันก่อน เร็วเข้า”
ทั้งสองคนกลับลงภูเขาไป ก่อนจะเข้าในรถ ซือเหยี่ยนพูดกับซูเตอร์ “คุณขับรถที”
ซูเตอร์พยักหน้า รีบวิ่งไปขึ้นฝั่งคนขับ รอซือเหยี่ยนเข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถออกไปทันที
ระหว่างทาง ซูเตอร์เอียงหัวมองซือเหยี่ยนไม่หยุด “เหยี่ยน นายไม่เป็นไรใช่ไหม”
เหงื่อผุดท่วมหน้าผากของซือเหยี่ยน สีหน้าซีดเซียว “ไม่เป็นไร ไม่ตายหรอก”
[1] คราฟมากา (Krav Maga) เป็นศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวของหน่วยจู่โจมของกองทัพอิสราเอล ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อฝึกให้เราสามารถปลดอาวุธและหยุดการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ตอนที่ 269 ช่วยชีวิตให้พ้นขีดอันตราย
อุ้งมือซูเตอร์ตื่นตระหนกจนมีเหงื่อผุดขึ้นมาชั้นหนึ่ง เขาเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว กลัวซือเหยี่ยนจะเกิดเรื่อง
ซือเหยี่ยนพยายามอดทนประคองสติไว้ จนกระทั่งหลังจากเห็นประตูของแก๊งมังกรครามแล้ว ถึงได้ปล่อยตัวจนหมดสติไป
ซูเตอร์ละเท้าออกจากคันเร่ง พุ่งตัวไปประคองซือเหยี่ยนออกมา ตะโกนเรียกเสียงดัง “พวกแก รีบมาเร็วเข้า”
คนกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามา รีบหามซือเหยี่ยนเข้าไป
ซือเหยี่ยนร่างโชกเลือด เรย์มอนเห็นก็ตกตะลึงรีบเอ่ยถาม “เจ้าเตอร์ พวกนายเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น”
ซูเตอร์ดึงตัวเรย์มอนมาอย่างลุกลี้ลุกลน “อาเรย์ อาอย่าเพิ่งถามเลยครับ รีบชีวิตเขาก่อน”
เรย์มอนรีบส่งตัวคนเข้าไปในห้อง แล้วเรียกหมอสองสามคนเข้ามา
ซือเหยี่ยนโดนยิงเข้าที่บ่า ถึงแม้ว่าบาดแผลจะไม่ได้ร้ายแรง แต่เสียเลือดเยอะเกินไป สถานการณ์ยังวางใจไม่ได้
ยังต้องช่วยให้พ้นขีดอันตรายโดยเร่งด่วน
ซูเตอร์ยืนอยู่หน้าประตู เดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ “เป็นเพราะผมเอง ถ้าผมเอาลูกน้องไปด้วยอีกสักสองสามคน ซือเหยี่ยนก็จะได้ไม่ต้องมาบาดเจ็บแล้ว”
เรย์มอนมองดูซูเตอร์แล้วอดจะถามขึ้นมาไม่ได้ “มีคนมุ่งร้ายพวกนาย?”
ซูเตอร์เล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นตอนนั้นให้เรย์มอนฟังรอบหนึ่ง เรย์มอนขมวดคิ้ว “คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าทำกันถึงขนาดนี้”
“อาเรย์ อาว่าซือเหยี่ยนจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า”
เรย์มอนปลอบใจซูเตอร์ “วางใจเถอะ คุณซือเป็นคนดีพระคุ้มครอง ไม่เป็นอะไรไปได้หรอก”
ซูเตอร์กำมือแน่น เดินไปเดินมาด้วยความไม่วางใจ
จนกระทั่งประตูห้องนอนถูกเปิดออก หมอเดินออกมา “คุณชายวางใจได้ คุณซือพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”
ทันทีที่ซูเตอร์ได้ยินก็พุ่งตัวเข้าไปทันที
หมอมองเรย์มอนแวบหนึ่ง เรย์มอนพยักหน้าให้ หมอถึงได้ปลีกตัวออกมา
หลังจากเขาออกไป เรย์มอนเข้าห้องนอนไป มองดูซือเหยี่ยนที่นอนอยู่บนเตียง ความระแวงในแววตาลดลงไปนิดหนึ่งแล้ว
……
เรื่องที่จี้ฉิงดาราสาวคนดังกับเจียงมู่เฉินคบกันอย่างคลุมเครือถูกยกให้ประเด็นร้อนที่สุดในขณะนี้ ทั้งถานโจวถกเรื่องนี้กันอย่างหนาหูว่าสรุปแล้วระหว่างพวกเขาเป็นจริงตามที่ในโลกออนไลน์ว่ากันแบบนั้นหรือเปล่า
ไม่เพียงแต่คนนอกที่ให้ความสนใจ แม้กระทั่งคุณแม่เจียงก็เรื่องนี้ไม่แพ้กัน
เจียงมู่เฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าหิ้วกระเป๋าเดินทางลงมาชั้นล่าง คุณแม่เจียงเห็นเขาก็รีบเดินเข้าไปหา “เจ้าลูกชาย นี่ลูกจะไปไหน”
“แม่ครับ ผมจะไปดูงานที่อเมริกาครับ”
คุณแม่เจียงพยักหน้า ลังเลใจอยู่สักพัก ยื่นมือไปดังเสื้อเจียงมู่เฉินเอาไว้ “ลูก แม่มีเรื่องจะถาม”
“แม่อยากจะถามเรื่องผมกับจี้ฉิงใช่ไหม” นอกจากเรื่องนี้ก็คงจะไม่มีเรื่องอื่น ที่จะทำให้แม่เขาถามอย่างร้อนใจขนาดนี้ได้
“ลูกรำคาญว่าแม่ปากมากเลยนะ แม่ก็แค่อยากถามสักหน่อย ว่าลูกกับจี้ฉิงคนนี้เป็นอย่างที่ในโลกออนไลน์ว่าแบบนั้นหรือเปล่า”
เจียงมู่เฉินมองเธอ “แม่ แม่อยากให้ผมหาแฟนผู้หญิงสักคนไม่ใช่เหรอครับ”
คุณแม่เจียงสบสายตาคู่นี้ที่เจือความเย็นชาของเจียงมู่เฉิน นิ้วมือก็อดจะสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้
“ผมเพียงแค่ทำตามที่แม่หวังก็เท่านั้น” เขาดึงมือคุณแม่เจียงออก “จี้ฉิงมาถึงแล้ว ผมขอตัวไปสนามบินก่อนนะครับ”
พูดจบเจียงมู่เฉินก็ลากกระเป๋าเดินทางออกจากคฤหาสน์ตระกูลเจียงไป
คุณแม่เจียงมองดูเจียงมู่เฉินค่อยๆ เดินจากลับไปไกลอย่างช้าๆ อดจะกำมือแน่นไม่ได้ ความไม่สงบในใจเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ
รถของจี้ฉิงจอดอยู่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเจียง เมื่อเห็นเจียงมู่เฉินก็รีบเปิดประตูลงมาทันที “เป็นไงบ้าง มารับคุณด้วยตัวเองดูซื่อสัตย์พออยู่ใช่ไหม”
เจียงมู่เฉินเอากระเป๋าเดินทางใส่ที่เก็บของหลังรถ แล้วมาเปิดประตูเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ “ซื่อสัตย์พอ”
จี้ฉิงขับรถมุ่งหน้าไปสนามบินอย่างช้าๆ เจียงมู่เฉินนั่งพิงหรี่ตาลงเล็กน้อย
รถสปอร์ตคันสีขาวขับไปอย่างช้ามากถึงมากที่สุด เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “คุณดาราใหญ่จี้ รถคันนี้ของเธอยังขับได้ช้ากว่านี้อีกไหม”
จี้ฉิงไม่ยอมแล้ว “แต่ก่อนจะเข้าออกก็มีคนมารับมาส่งตลอด ไม่จำเป็นต้องให้ฉันขับรถ วันนี้ฉันตั้งใจขับรถมาส่งคุณเป็นพิเศษ คุณยังมาบ่นว่าฉันขับรถช้าอีก”
ตอนที่ 270 เจอซังจิ่ง
เจียงมู่เฉินโดนเธอเอะอะโวยวายใส่จนเวียนหัว รีบสงบศึกก่อน “ได้ๆๆ เธอขับช้าๆ เลย ไม่รีบ”
รถความเร็วอย่างกับเต่าขับมุ่งหน้าไป ใช้เวลาช้ากว่าปกติไปครึ่งชั่วโมง กว่าจะมาถึงที่สนามบินได้
ตอนลงรถไป เจียงมู่เฉินถอนหายใจเงียบๆ “ฝีมืออย่างเธอ ยังจะซื้อรถสปอร์ตมาอีก ทำเสียของตามใจตัวเองชะมัด”
“พี่มีเงิน เต็มใจจะซื้อกลับมาดู ไม่ได้เหรอ”
เจียงมู่เฉินขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น “ได้อยู่แล้ว”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปด้วยกัน จี้ฉิงอยู่เป็นเพื่อนเจียงมู่เฉินจัดการเรื่องเช็คอินจนเสร็จ ทำท่าทางวางตัวเหมือนเป็นแฟนสาวของเขา
กระทั่งเมื่อเจียงมู่เฉินต้องเข้าผ่านจุดตรวจเช็คความปลอดภัยก่อนขึ้นเครื่อง จี้ฉิงก็กอดเจียงมู่เฉินไว้แนบกาย แสดงความรู้สึกไม่อยากจากกันอยู่อย่างนั้น
นักข่าวที่อยู่ด้านข้างรีบถ่ายภาพตรงหน้าทุกอย่างนี้ทันที
มีนักข่าวใจกล้าอยู่ไม่กี่คนทนไม่ได้พุ่งตัวเข้าไปถาม “คุณชายเจียง คุณจี้ พวกคุณสองคนกำลังคบกันจริงๆ หรือเปล่าครับ”
เจียงมู่เฉินมองดูพวกเขายกยิ้มมุมปากเบาๆ “ผมกับคุณจี้ต่างก็โสดกันทั้งคู่ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันบ้าง ก็ไม่ได้ทำร้ายใครอยู่แล้วครับ”
“ได้ยินมาว่าคุณกับคุณจี้กำลังจะมีข่าวดีกันเร็วๆ นี้ใช่ไหมครับ”
เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามองจี้ฉิงแวบหนึ่ง สายตาทอประกายความอ่อนโยน “ถ้าโอกาสนั้นมาถึง ก็ควรจะเป็นแบบนี้ได้อยู่แล้วครับ”
นักข่าวกลุ่มนี้ยังอยากถามต่อ แต่จี้ฉิงกลับจูงมือเจียงมู่เฉินไว้ “ทุกคนคะ มู่เฉินยังมีธุระต่อ รบกวนทุกคนออกไปกันก่อน ให้เวลาพวกเราอยู่กันตามลำพังหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
พูดจบก็นำตัวคนมาส่งที่ห้องพักผู้โดยสาร จี้ฉิงกะพริบตามองเขาด้วยความสลดใจ “คุณมีเวลาได้อยู่อย่างปลอดภัยขึ้นมานิดนึงแล้วล่ะ เหลือแค่ฉันคนเดียวเผชิญหน้าเหตุการณ์อย่างนี้”
เจียงมู่เฉินหัวเราะ “ฉันกลับรู้สึกว่าเธอดูจะชอบเผชิญหน้าเหตุการณ์ทำนองนี้นะ”
“วางใจได้ ฉันรู้ว่าจะทำยังไง ไม่ทำเกินไปหรอก”
“ฉันรู้ ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ฉันก็ไม่มีทางจะยอมตกลงเล่นละครฉากนี้กับเธอหรอก”
อย่างอื่นไม่พูดถึง แต่เขากลับชอบบุคลิกนิสัยของจี้ฉิงจริงๆ เป็นคนหยุมหยิมไปหน่อย แต่กลับไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
ยังเป็นคนที่ใช้ได้จริงๆ
จี้ฉิงกอดเขาไว้แนบกายสักพัก “คุณไปแล้ว ช่วงเวลานี้อย่าคิดถึงฉันมากเกินไปเชียวล่ะ”
เจียงมู่เฉินหัวเราะเล็กน้อย “คุณจี้ คุณคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ” เขาพูดจบก็ผละตัวออกจากอ้อมกอดของจี้ฉิง
หลังจากจี้ฉิงออกไปแล้ว เจียงมู่เฉินก็นั่งพักบนเก้าอี้สักพัก อีกครู่เดียวก็จะต้องขึ้นเครื่องแล้ว
หลังจากขึ้นเครื่องมาแล้ว เจียงมู่เฉินเห็นคนที่กำลังนั่งลงข้างที่นั่งของตัวเองก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้
“ประธานซังช่วยชี้แจงสักหน่อยได้หรือเปล่า ว่าทำไมนายถึงมานั่งข้างฉันได้พอดิบพอดีเลย”
ซังจิ่งยิ้มหัวเราะนิดหน่อย “อาจจะเพราะผมกับคุณชายเจียงมีวาสนาต่อกันมากเกินไป”
เจียงมู่เฉินกวาดสายตาเย็นชามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะนั่งหลับตาเอนพิงด้านข้าง ซังจิ่งมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ต่อให้ซังจิ่งไม่พูดอะไร เจียงมู่เฉินก็พอเดาได้
เขาอาจจะไม่ใช่แค่บินไปทางเดียวกันกับตัวเองเท่านั้น
ไม่แน่ว่าช่วงเวลานี้ เขาก็ไปทางเดียวกันกับตัวเองตลอดทั้งทริปนี้
เจียงมู่เฉินใช้มือกดลงหว่างคิ้ว กว่าจะออกมาผ่อนคลายอารมณ์ได้ไม่ใช่ง่ายๆ ปรากฏว่าสุดท้ายข้างกายก็มีซังจิ่งออกมาจนได้
บินมาสิบกว่าชั่วโมง ซังจิ่งลงเครื่องไปกับเจียงมู่เฉิน จนออกจากสนามบินมาแล้ว ถึงพูดอย่างยิ้มๆ “คุณชายเจียงไปด้วยกันเถอะ ถึงยังไงจุดหมายปลายทางก็เหมือนกันอยู่ดี”
เจียงมู่เฉินรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่จะไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอหน้าซังจิ่ง เขาไม่มีอะไรน่ากลัวอยู่แล้ว
เจียงมู่เฉินส่งกระเป๋าเดินทางต่อให้คนขับรถที่อยู่ด้านข้าง แล้วเข้าไปนั่งในรถทันที
หลังจากซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินเข้าไปนั่งในรถแล้ว ก็หัวเราะเบาๆ แล้วก็ตามเขาเข้าไปนั่งข้างเจียงมู่เฉิน
ระหว่างทางเจียงมู่เฉินมองไปยังนอกหน้าต่างรถไม่ได้พูดอะไร ซังจิ่งมองดูใบหน้ามุมข้างที่สมบูรณ์แบบของเขา ก็อดจะเอ่ยปากไม่ได้ “ช่วงนี้ที่ถานโจว ข่าวที่เกี่ยวกับคุณเป็นที่พูดถึงกันมากเลย”
ตอนที่ 271 ถือโอกาสเข้ามาในช่วงอ่อนแอ
“อืม นายอยากถามอะไร”
“เรื่องพวกนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า” ซังจิ่งรู้สึกแปลกๆ ไม่เบา เจียงมู่เฉินเลิกกับซือเหยี่ยนโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วหันมาหาดาราสาวแทน ท่าทางยังดูรักกันมากอีก
เจียงมู่เฉินเอ่ยปากอย่างขำๆ “อะไรกัน ประธานซังเองก็เป็นพวกชอบเผือกขนาดนี้ด้วยเหรอ”
“ผมก็แค่ข้องใจ ทำไมจู่ๆ คุณถึงเลิกกับซือเหยี่ยนแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่เอ่ยถึงซือเหยี่ยน ใบหน้าของเจียงมู่เฉินไม่สะทกไม่สะท้านอะไร เขายกมุมปากขึ้นเบาๆ “ที่บ้านไม่ยอมรับก็เลยเลิกกันไง”
ซังจิ่งหรี่ตาลง “คุณชายเจียง คุณเป็นคนที่ปล่อยมือง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
เจียงมู่เฉินนัยน์ตาทอประกายความเย้ยหยัน “มีคนอยากปล่อยมือ ก็ปล่อยเลยไง ทำไมจะต้องบังคับให้ลำบากใจกันด้วยล่ะ”
“ช่วงเวลานี้ประธานซือไม่ได้อยู่ที่ถานโจวเลย ไม่รู้ว่าคุณชายเจียงรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
มือที่เจียงมู่เฉินปล่อยลงสบายๆ อดจะกำมือเข้ามาไม่ได้ “อ้อ ใช่เหรอ ฉันเลิกกับเขาแล้ว จะไปสนอะไรเขามากมายไปทำไม”
ซังจิ่งหัวเราะเบาๆ “อ้อ งั้นก็เป็นผมที่คิดมากเอง ผมยังคิดว่าคุณชายเจียงจะรู้ว่าประธานซือเองก็อยู่ที่อเมริกาด้วย”
ความประหลาดใจฉายในแววตาเจียงมู่เฉิน คิดไม่ถึงซือเหยี่ยนเองก็อยู่ที่อเมริกาด้วยเหรอ
‘อเมริกา…ซูเตอร์…’
เจียงมู่เฉินหัวใจบีบรัด ซือเหยี่ยนคงจะไม่เลิกกับเขาแล้วไปอเมริกาด้วยกันกับซูเตอร์หรอกใช่ไหม ถึงได้ไม่มีข่าวคราวอะไรเลยหลังจากเลิกกันกับเขา
ซังจิ่งเอาแต่สังเกตมองดูเจียงมู่เฉิน เห็นสีหน้าอารมณ์เขาดูพะว้าพะวังถึงได้เข้าใจ ว่าเจียงมู่เฉินไม่รู้จริงๆ ว่าซือเหยี่ยนเองก็อยู่ที่อเมริกาด้วยเช่นกัน
ดูท่าว่าครั้งนี้ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินจะบาดหมางใจกันถึงที่สุดแล้วจริงๆ
นัยน์ตาซังจิ่งทอประกายรอยยิ้ม แบบนี้ได้จังหวะทีเดียว เขาจะได้อาศัยช่วงเวลานี้ทำให้เจียงมู่เฉินตัดใจจากซือเหยี่ยนได้เสียที
‘เขาจะได้ถือโอกาสนี้เข้ามาในช่วงที่อ่อนแอพอดี’
รถได้ขับมาถึงคฤหาสน์แล้ว เจียงมู่เฉินเห็นว่าเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวอย่างชัดเจน ก็เลิกคิ้ว “ประธานซังไม่คิดจะอธิบายให้ฉันฟังสักหน่อยเหรอ”
“ผมมีคฤหาสน์พักตากอากาศอยู่ที่นี่พอดี อยู่สบายกว่าพักในโรงแรม จะให้คุณชายเจียงลำบากไปพักโรงแรม ผมทำใจไม่ได้”
“ในเมื่อประธานซังพูดมาแบบนี้ ฉันเองก็ไม่มีความเห็นอะไร งั้นก็รบกวนประธานซังด้วยแล้วกัน”
ซังจิ่งให้คนส่งกระเป๋าเดินทางของเจียงมู่เฉินเข้าไปข้างใน แล้วยังพาเจียงมู่เฉินเข้าห้องไปด้วย
“คืนนี้ผมจองร้านอาหารไว้ คุณพักสักหน่อย ถึงเวลาแล้วผมจะเรียกคุณ”
เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้อง เขายื่นมือไปปิดประตูลงกลอน แล้วเอนพิงประตู หลับตาลงเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะตามซูเตอร์มาอเมริกาแล้ว
‘หลังจากจากเลิกกับตัวเอง เขาก็ไปเลยสินะ’
เจียงมู่เฉินอยากจะหัวเราะไม่เบา เสียแรงที่เขายังคิดมาเสมอ ว่าซือเหยี่ยนจะทนไม่ไหวแล้วเป็นฝ่ายมาหาเขาถึงที่เอง
เขารออย่างโง่ๆ อยู่หลายวัน ก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนแม้แต่นิดเดียว
ตอนนี้มาคิดดู ซือเหยี่ยนกลับมีแฟนใหม่อีกคนไปแล้ว
เจียงมู่เฉินฝืนยิ้ม ดูท่าว่าในเกมรักครั้งนี้ คนที่ตกเข้าไปในหลุมพรางลึกมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
……
ณ แก๊งมังกรคราม ซูเตอร์เฝ้าอยู่หน้าเตียงของซือเหยี่ยน เขาเห็นซือเหยี่ยนที่ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมาได้เสียที ก็เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “เหยี่ยน นายดีขึ้นบ้างไหม”
ซือเหยี่ยนลืมตาคู่นี้อย่างไร้เรี่ยวแรง มองพาดผ่านใบหน้าของซูเตอร์ “ผมหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว”
“หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว” ซูเตอร์ดวงตาแดงก่ำ “ยังดีที่นายตื่นแล้ว ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำยังไงแล้ว”
ซือเหยี่ยนหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันไม่เป็นไร”
“เพราะนายช่วยฉัน นายถึงได้เป็นแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน นายก็คงจะไม่บาดเจ็บแบบนี้ได้”
“ในเมื่อรับปากว่าจะช่วยคุณแล้ว เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว”
ซูเตอร์มองซือเหยี่ยน กระแสไออุ่นประดังประเดมาในแววตาไม่มีหยุด เขาคว้ามือซือเหยี่ยนเอาไว้ “เหยี่ยน ฉัน…”
ตอนที่ 272 แฟนหนุ่ม
ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง ค่อยๆ ชักมือกลับมา ซูเตอร์ชะงักค้าง ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่
“ซูเตอร์…ผมเพิ่งตื่นมา ยังไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ คุณให้ผมพักผ่อนสักหน่อยได้ไหม”
ซือเหยี่ยนพูดมาแบบนี้ ซูเตอร์ก็ปฏิเสธไม่ถนัดไปโดยปริยาย เขาทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ “งั้นนายพักผ่อนเถอะ ฉันจะออกไปก่อน”
ซูเตอร์ออกจากห้องมา เดินไปถึงข้างนอก ก็อัดหมัดชกใส่ประตูเต็มแรง
ตั้งกี่วันมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะยังไม่ยอมรับในตัวเขาอีก
เขาหรี่ตาลง ความอำมหิตฉายสะท้อนในแววตา เขากวักมือเรียกคนสนิทเข้ามา “ไปถานโจว ช่วยฉันฆ่าเจียงมู่เฉิน อย่าให้เหลือร่องรอย”
มีเพียงเจียงมู่เฉินตายแล้วเท่านั้น เขาถึงจะครอบครองซือเหยี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ได้
“ตอนนี้เหรอครับ”
ซูเตอร์กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “เดี๋ยวนี้!”
“ได้ครับ คุณชายน้อย ผมจะนำคนไปจัดการทันที”
ซูเตอร์หรี่ตาลงมองออกไปยังนอกหน้าต่าง เจียงมู่เฉินนะเจียงมู่เฉิน เดิมทีไม่ได้คิดว่าจะต้องฆ่านาย แต่น่าเสียดาย เป็นนายเองที่มาชนปากกระบอกปืนของฉัน
‘ถึงยังไงถ้าไม่กำจัดนายแค่เพียงวันเดียว ฉันก็ไม่มีทางได้ครอบครองซือเหยี่ยน’
……
ยามฟ้าใกล้จะมืด ซังจิ่งเพิ่งได้มาเคาะประตูห้องของเจียงมู่เฉิน เขาเห็นเจียงมู่เฉินทรงผมยุ่งเหยิง “มากินข้าวได้แล้ว”
“ได้ นายรอฉันแป๊บนึงนะ ฉันเปลี่ยนชุดก่อน”
ปัง! เจียงมู่เฉินปิดประตูลง ซังจิ่งเห็นเขาสะบัดประตูแบบนี้ก็ลูบจมูกป้อยๆ ยืนขำรออยู่ข้างนอก
เจียงมู่เฉินท่าทางคล่องแคล่วรวดเร็ว เปลี่ยนเสื้อเชิ้ตตัวเดียวก็เดินออกมา ซังจิ่งเลิกคิ้วมองกระดุมสองเม็ดที่เขาจงใจเปิดอ้าเอาไว้
เจียงมู่เฉินเห็นสายตาของเขาจดจ่อมาบนเรือนร่างของตัวเอง “ทำไม ประธานซังมีความเห็นอะไร”
ซังจิ่งมองดูผิวขาวราวหิมะนั้นแล้วยิ้มหัวเราะ “นอกจากได้ชมอาหารตานิดหน่อย ก็ไม่มีความเห็นอย่างอื่นแล้ว”
ทั้งสองคนขับรถออกไป สถานที่ซังจิ่งจองเอาไว้อยู่ในเขตเมือง ค่อนข้างเป็นสถานที่คึกคักทีเดียว
รถมาจอดตรงทางเข้า ทั้งสองคนถึงเพิ่งได้เดินเข้าไป
หลังจากเจียงมู่เฉินนั่งลงแล้ว ซังจิ่งก็ส่งใบเมนูอาหารต่อให้เขา “อยากกินอะไรก็สั่งได้ตามใจเลย”
“นายสั่งเถอะ อะไรฉันก็กิน”
พอซังจิ่งได้ยินก็ไม่พูดอะไรมากอีก เขายื่นมือไปหยิบใบเมนูอาหารกลับมา สั่งอาหารทันที
มีคนไม่กี่คนเดินเข้าประตูมา นั่งลงที่ด้านหลังเจียงมู่เฉินพอดี
เจียงมู่เฉินนั่งพิงดื่มน้ำอยู่ตรงนั้น ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึง ‘แก๊งมังกรคราม’ ชื่อนี้แว่วๆ มา
นัยน์ตาเย็นยะเยือก ระมัดระวังจับตามากขึ้น
“เดิมทียังคิดว่าทริปนี้น่าเบื่อเกินไป คิดไม่ถึงว่าคุณชายเจียงก็อยู่ด้วย จู่ๆ กลับรู้สึกว่าสนุกขึ้นมาเยอะเลย”
คุณชายเจียงกวาดสายตามองเขา เอ่ยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ฉันกลับรู้สึกว่าไม่มีประธานซัง จะเงียบสงบมากๆ ได้”
ซังจิ่งชินกับนิสัยแบบนี้ของเขามาตั้งนานแล้ว ถ้าวันไหนเจียงมู่เฉินเกรงใจเขาขึ้นมา นั่นถึงจะแปลกแล้วจริงๆ
“อยากให้ผมแยกจากคุณชายเจียงเหรอ” ซังจิ่งยักไหล่ “เกรงว่าจะไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่”
เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
คนไม่กี่คนข้างหลังเหมือนว่าหลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้วก็นั่งคุยกันอย่างไรอย่างนั้น เจียงมู่เฉินเฝ้าจับสังเกตคนไม่กี่คนด้านหลังนั้นอย่างไม่กระโตกกระตาก
“จนถึงตอนนี้แล้ว พวกนายยังดูไม่เข้าใจอีกเหรอ”
“ดูอะไรเข้าใจเหรอ”
“ฉันได้ยินจากในโถงใหญ่ครั้งหนึ่ง คุณชายรองถามคุณชายน้อยว่าทำไมถึงพาซือเหยี่ยนกลับมาด้วย สุดท้ายนายรู้ไหมว่าคุณชายน้อยพูดยังไงบ้าง”
พวกที่เหลือมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คุณชายน้อยพูดว่า ซือเหยี่ยนเป็นแฟนของเขา คุณชายน้อยยังกอดซือเหยี่ยนดูท่าทีสนิทสนมกันอีก”
“ไม่ใช่มั้ง นายพูดจริงๆ เหรอ”
“ฉันเห็นกับตาตัวเองมาทั้งหมด จะปลอมได้ยังไง ต่อมาคุณชายรองทำอะไรไม่ได้ ก็ถอนหายใจแล้วเดินออกไปเลย”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง มิน่าล่ะซือเหยี่ยนคนนี้ถึงอยู่ในแก๊งเข้าออกได้ตามสบาย ไม่มีใครกล้ายุ่ง แม้แต่คุณชายน้อยตรวจดูงาน ก็มีซือเหยี่ยนไปด้วยตลอด”
ตอนที่ 273 นายจงใจ
“นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไรแล้ว ได้ยินคนเก่าคนแก่ในแก๊งเล่าว่า หลายปีก่อนซือเหยี่ยนคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของคุณชายน้อย ต่อมาไม่รู้ว่าทำไมถึงออกจากแก๊งไป ครั้งนี้ก็กลับมาอย่างน่าประหลาดใจอีก”
“มีคนอยู่ไม่น้อยบอกว่า ตอนนั้นที่ซือเหยี่ยนหนีไปก็เพราะว่าทะเลาะกับคุณชายน้อยจนเลิกกัน ถึงได้ออกจากแก๊งไป ตอนนี้ทั้งสองคนคืนดีกันแล้ว ก็เลยได้กลับมาโดยปริยาย”
“เอ่อใช่ ครั้งนี้ซือเหยี่ยนยังโดนยิงเพื่อช่วยชีวิตคุณชายน้อยด้วย คุณชายน้อยไม่หลับไม่นอนอยู่ข้างๆ คอยดูแลทั้งวันทั้งคืนเลย”
มือเจียงมู่เฉินที่ถือแก้วน้ำไว้กำแน่นสนิท ราวกับนาทีต่อมาจะกำแก้วนี้ให้แตกคามือไม่มีผิด
หลายปีก่อน คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนกับซูเตอร์จะเป็นแฟนกัน
ตอนนี้ยังกลายเป็นแฟนของซูเตอร์
ยังรับกระสุนเพื่อซูเตอร์อีก…
เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ ซือเหยี่ยนนะซือเหยี่ยน ตกลงนายปิดบังฉันไปสักกี่เรื่องแล้วกันแน่
เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่ไม่มีผิด โดนซือเหยี่ยนปิดหูปิดตา แม้กระทั่งจนถึงตอนนี้เป็นแบบนี้แล้ว ตัวเองได้ยินว่าซือเหยี่ยนบาดเจ็บ ก็ยังอดจะเป็นห่วงเขาไม่ได้
เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ฟังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาวางแก้วลงด้านข้างแล้วลุกยืนขึ้น
ซังจิ่งเห็นเขาไม่บอกไม่กล่าวอะไรก็เดินออกไปเลย จึงรีบลุกขึ้นเดินตามออกไป
เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตู เงาร่างทอดยาวในยามราตรีช่างดูเดียวดายอ้างว้าง เขาเห็นซังจิ่งออกมา เสียงต่ำเอ่ยถาม “มีบุหรี่ไหม”
ซังจิ่งชะงักงัน ล้วงหยิบบุหรี่จากในกระเป๋ากางเกงออกมาส่งให้
เจียงมู่เฉินหยิบบุหรี่ออกมาจุดไฟหนึ่งมวน
ท่ามกลางควันบุหรี่คละคลุ้ง เขาหรี่ตามองดูซังจิ่ง นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้มองความรู้สึกไม่ออก เวลาผ่านไปนาน เขาถอนหายใจเบาๆ “นายจงใจพาฉันมาที่นี่สินะ”
ซังจิ่งกำมือแน่น “ผมยอมรับ ผมจงใจอยากให้คุณได้ยิน”
เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “เสียแรงตั้งมากมายขนาดนี้ก็แค่อยากให้ฉันรู้ข่าวคราวล่าสุดของซือเหยี่ยนแค่นั้นเหรอ”
“ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณถูกเขาปิดหูปิดตา”
“ปิดหูปิดตา…” เจียงมู่เฉินฝืนยิ้ม “ที่ฉันโดนเขาปิดหูปิดตาก็เป็นจุดนี้อีก”
ซังจิ่งมองดูเจียงมู่เฉิน เขารู้จักเจียงมู่เฉินมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้าของเจียงมู่เฉิน แสดงสีหน้าความรู้สึกว้าเหว่แบบนั้นออกมาอย่างจนใจ
เจียงมู่เฉินที่เขาพบเจอเมื่อก่อน ทั้งเหมือนปีศาจแสนยั่วยวนใจ ทั้งเจ้าเล่ห์เพทุบายวางแผนไม่หยุด ทั้งจิตใจฮึกเหิมห้าวหาญแววตาเด็ดเดี่ยวทรหด
แต่ครั้งนี้ เจียงมู่เฉินดูว้าเหว่อยู่เต็มๆ ตาจริงๆ
ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินเป็นแบบนี้ หัวใจก็บีบคั้นแน่น
“ในเมื่อนายรู้ว่าวันนี้จะมีคนในแก๊งมังกรครามมาที่นี่ งั้นนายก็รู้ร่องรอยของซือเหยี่ยนได้อยู่แล้วสินะ”
ซังจิ่งมองมาทางเขา “คุณอยากเจอซือเหยี่ยน?”
“ฉันก็แค่อยากจะทำให้แน่ใจ แบบนี้จะได้ตัดใจได้”
“ช่วงนี้เขาไม่สามารถมาปรากฏตัวได้ ก็เหมือนกับที่คุณเพิ่งจะได้ยินไป เขาโดนยิงบาดเจ็บเพราะช่วยซูเตอร์”
เจียงมู่เฉินกำมือแน่น กดเก็บความขื่นขมในใจลงไปอย่างช้าๆ “ให้เร็วที่สุดเถอะ ฉันอยากเจอเขา”
ซังจิ่งพยักหน้า “ได้ ผมจะช่วยคุณ”
เจียงมู่เฉินสูบบุหรี่มวนสุดท้ายจนหมด “ไปดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
ซังจิ่งดูสถานการณ์แล้ว ก็ทำได้เพียงขับรถพาเจียงมู่เฉินไปไนต์คลับ เขาจอดรถที่หน้าทางเข้าไนต์คลับ หลังจากเจียงมู่เฉินมองเห็นได้ชัดๆ ก็ตกตะลึงงัน
ซังจิ่งมองเขา “เป็นไรไป มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ไม่มีอะไร”
เขาก็แค่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ เข้ามาไนต์คลับกันเรื่อยเปื่อย ไม่คาดคิดว่าจะเป็นร้านนั้นที่เคยมากับซือเหยี่ยนครั้งก่อน
ซังจิ่งกับเจียงมู่เฉินนั่งลงแถวเคาน์เตอร์บาร์ สั่งเหล้ามาสองแก้ว
เจียงมู่เฉินเงยหน้ามาก็ดื่มทันที ดื่มอย่างรวดเร็วมาก เขาส่งแก้วเปล่ากลับไป “เอาอีกแก้ว”
ดื่มต่อกันแบบนี้อยู่หลายแก้ว ซังจิ่งเห็นเขาเอาแต่ซื้อเหล้ามาดื่มแบบนี้ก็ทนไม่ไหวยื่นมือไปห้ามปราม “คุณชายเจียง เหล้าตัวนี้แรงมาก ระวังจะเมาได้”
ตอนที่ 274 เจียงมู่เฉินเมาเหล้า
เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ถ้าเมาได้ก็ดีมากเลย”
เขาดื่มแก้วต่อแก้ว ไม่ให้เวลาตัวเองหยุดพักเลยสักนิด
ซังจิ่งอยากจะห้ามปรามแต่กลับทำอะไรไม่ได้ คุณชายน้อยเจียงฟังความเห็นคนอื่นได้เมื่อไหร่ นั่นก็ไม่ใช่คุณชายน้อยเจียงแล้ว
ซังจิ่งนั่งอยู่ข้างๆ ไม่แตะเหล้าสักหยด นั่งดูเจียงมู่เฉินดื่มอย่างเอาเป็นตาย
จนสุดท้ายเจียงมู่เฉินเมาจนคว่ำหน้าฟุบลงกับโต๊ะ ซังจิ่งถึงได้ลุกขึ้นประคองเขาขึ้นมา
“เจียงมู่เฉิน…เจียงมู่เฉิน…” ซังจิ่งเรียกชื่อเขาสองครั้งสองครา
แพรขนตายาวสั่นไหว หลังจากเจียงมู่เฉินปรือตามองซังจิ่งแวบหนึ่ง ก็เข้าสู่นิทราอีกครั้ง
ซังจิ่งเห็นสถานการณ์แล้ว ทำได้เพียงประคองเขาออกจากไนต์คลับไป
เขายื่นมือเปิดประตูรถ ประคองเจียงมู่เฉินเข้ารถไปอย่างระมัดระวัง ทั้งเนื้อทั้งตัวเจียงมู่เฉินมีแต่กลิ่นเหล้า แก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ
เป็นครั้งแรกที่ซังจิ่งได้เห็นเจียงมู่เฉินในสภาพแบบนี้ หัวใจเขาเต้นรัว มืออดจะลูบแก้มของเจียงมู่เฉินไม่ได้
อุณหภูมิร้อนผ่าวทำให้นิ้วมือของเขาสั่นสะท้าน
เจียงมู่เฉินยามเมาเหล้าช่างดูยั่วยวนใจอย่างบอกไม่ถูก ซังจิ่งพยายามให้ตัวเองละออกจากใบหน้าของเจียงมู่เฉิน
เขาสงบจิตใจแน่วแน่ ถึงได้ขับรถพาอีกฝ่ายกลับคฤหาสน์ไป
รถขับเคลื่อนอยู่บนถนน หาได้ยากที่เจียงมู่เฉินจะปรือตานั่งพิงพนักที่นั่งในรถอย่างว่าง่ายและน่าเอ็นดูเช่นนี้
ซังจิ่งลดกระจกรถลงนิดหนึ่ง ระบายกลิ่นเหล้าออกไป
ดีที่ไนต์คลับห่างจากคฤหาสน์ไม่ถือว่าไกลนัก เพียงครู่เดียวก็จอดอยู่หน้าทางเข้าคฤหาสน์
ซังจิ่งจอดรถเข้าที่เรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว เขาถอนหายใจ ทำได้เพียงเดินเข้าไปประคองอีกคนขึ้นมา
พยุงเขาไปตลอดทางจนเข้าห้องไป ซังจิ่งบรรจงวางร่างเขาลงบนเตียง
เขาเห็นหางตาเจียงมู่เฉินแดงเถือก ก็ทนไม่ไหวยื่นมือไปลูบคลึงเบาๆ ซังจิ่งมองเจียงมู่เฉินที่ตอนนี้ไม่มีแรงจะต่อต้านแม้สักนิด คิดทบทวนอย่างจริงจังว่าจะฉวยโอกาสนี้กลืนกินเจียงมู่เฉินให้หมดเกลี้ยงเลยดีไหม
เจียงมู่เฉินที่อยู่บนเตียงเหมือนว่าจะไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ ขมวดคิ้วขยับตัวขึ้นมา “น้ำ…”
‘น้ำ’ คำนี้ทำให้ซังจิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาในทันใด เขากดเก็บความคิดที่อยากจะจับเจียงมู่เฉินกดไว้ใต้ร่างเอาไว้ ออกไปรินน้ำให้แก้วหนึ่ง
ทั้งยังเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดใบหน้าแดงก่ำของเจียงมู่เฉิน
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ซังจิ่งก็ฟุบลงบนเตียงนอนมองหน้าเขา ปลายนิ้วลูบไล้เกลี่ยอย่างเบามือ ตั้งแต่ขนคิ้วจรดมุมปากก็ไม่ปล่อยผ่านแม้สักบริเวณ
เจียงมู่เฉินยามดื่มเหล้าจนมึนเมา ดูๆ ไปเหมือนจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากกว่าในยามปกติ ดูไม่มีพิษมีภัยให้เห็นมากแล้ว
ดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจคนอย่างไม่คาดคิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ซังจิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโดนหลอกให้ลุ่มหลง เขาพินิจมองริมฝีปากแดงที่เพิ่งจะฉ่ำน้ำมาหมาดๆ ก็ทนไม่ไหว แนบชิดกายโน้มตัวเข้าไปใกล้อยากจะจูบคนตรงหน้า
เขาค่อยโน้มลงไปทีละนิดๆ ลมหายใจรินรดอยู่บนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน
ระยะห่างระหว่างคนสองคนยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขอเพียงแต่ซังจิ่งก้มหัวลงเท่านั้นก็จะจูบเจียงมู่เฉินได้
เจียงมู่เฉินเอียงหน้าเล็กน้อย ซังจิ่งเสียหลักกลางอากาศ ลงมาจูบโดนแก้มของเจียงมู่เฉินทันที
อุบัติเหตุไม่คาดฝันนี้ ทำให้ซังจิ่งหลุดจากภวังค์ เขายันกายขึ้นมานั่งมองเจียงมู่เฉิน แล้วยิ้มอย่างจนใจ
แม้กระทั่งยามหลับก็ยังไม่ให้เขาได้จูบ…
ซือเหยี่ยนฝืนยิ้ม เขาโตมาขนาดนี้แล้ว เจียงมู่เฉินก็ยังเป็นคนแรกที่รังเกียจและไม่แยแสเขาได้ถึงขนาดนี้
คิดดูว่าตัวเขาหลายปีมานี้ ไม่เอ่ยถึงว่าเป็นที่ต้อนรับมากแค่ไหน แต่อย่างน้อยดูๆ ไปก็ยังไม่มีใครสักคนหลบหลีกตีตัวออกห่างเขาแบบนี้
ก็จะมีเพียงคุณชายน้อยคนนี้เท่านั้น มองเขาเป็น ‘ตัวอะไร’ ป้องกันไว้ทุกทาง
‘ช่างเถอะ’ เวลานี้ฉวยโอกาสช่วงที่เสียเปรียบตักตวงกินเจียงมู่เฉินไป ถึงเวลาเขาตื่นมาคงจะไม่มีทางปล่อยตัวเองไปง่ายๆ
ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ ยื่นมือไปลูบสัมผัสริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน
‘แล้วกันไป ช่างเถอะ ครั้งนี้ปล่อยคุณไปก่อน’
‘ยังไงซะไม่ช้าก็เร็ว คุณก็จะเป็นของผมทั้งหมด’
ตอนที่ 275 แผนการร้ายของซูเตอร์
ซือเหยี่ยนพักอยู่ที่ห้องมาสองวันแล้ว เรย์มอนมาเข้าดูอยู่หลายครั้ง ให้เขาได้พักฟื้นดีๆ
ซูเตอร์ก็อยู่ข้างกายเป็นเพื่อนซือเหยี่ยน คอยดูแลปรนนิบัติไม่ห่างตลอด
การกระทำเช่นนั้นดูเอาใจใส่ยิ่งกว่าที่เขาดูแลพ่อของตัวเองอีก เพียงไม่นานคนในแก๊งก็ยิ่งโพนทะนาเรื่องของทั้งสองคนนี้กระจายกันไปทั่ว
แต่ซูเวลล์และเรย์มอนก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเรื่องนี้
เหตุการณ์ที่เป็นไปในขณะนี้ ดูไม่ค่อยจะเข้าใจได้เสียจริงๆ
ซือเหยี่ยนพักฟื้นอีกไม่กี่วัน ก็เสนอตัวออกไปทำงานต่อได้แล้ว แต่ซูเตอร์ยังไม่วางใจ ต้องการให้ซือเหยี่ยนพักผ่อนให้มากกว่านี้ต่ออีกสักวันสองวัน
ซือเหยี่ยนมองเขา “ตอนนี้กำลังเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายกันได้ง่ายๆ”
“งั้นนายก็รอให้แผลหายดีแล้วค่อยทำต่อสิ”
ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม “ซูเตอร์ ผมจะพูดอีกครั้ง ผมไม่เป็นไรแล้ว”
“ฉันบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ นายพักรักษาแผลนายต่อไปเลย”
เรย์มอนมาหาซูเตอร์พอดี ได้ยินทั้งสองคนโต้เถียงกัน เขาจึงเข้าไปสอบถาม “เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น อยู่ไกลยังได้ยินเสียงพวกนายทะเลาะกันแล้ว”
“อาเรย์ อามาได้จังหวะเวลาพอดี ผมให้เหยี่ยนพักฟื้นต่ออีกสักวันสองวัน แต่เขายืนกรานว่าตัวเองหายดีแล้วครับ”
เรย์มอนมองมาทางซือเหยี่ยน “แผลยังไม่หายดี อย่าฝืนตัวเองเด็ดขาด”
“คุณวางใจเถอะครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”
เรย์มอนพยักหน้า “ในเมื่อซือเหยี่ยนพูดมาขนาดนี้แล้ว ก็เอาตามซือเหยี่ยนว่าเถอะ”
“อาเรย์…” ซูเตอร์ยังอยากจะพูดอะไรต่อ
“พอเถอะ คนในอาณัติของนายมาหา บอกมีเรื่องด่วน” เรย์มอนอุดปากเข้าไว้เสียก่อน
ซูเตอร์ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงกำชับซือเหยี่ยน ก่อนออกจากห้องไป
“คุณชายน้อยครับ พวกเราที่ไปถานโจวมาบอกว่า เจียงมู่เฉินไม่อยู่ถานโจว มาอเมริกาแล้วครับ”
ซูเตอร์ตาลุกวาว “จริงเหรอ”
“ผมให้คนไปสืบหาร่องรอยของเขาแล้ว เขามาประชุมอยู่ที่แคปริคอร์นเจมฮอลล์ครับ”
แววตาซูเตอร์ทอประกายความดีใจ เขาคาดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะยิ่งไปหาเจียงมู่เฉินได้ดีๆ แล้ว
“คุณชายน้อยครับ ต้องการให้นำคนไปจัดการไหมครับ”
“ไม่ต้อง ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” ซูเตอร์หรี่ตาลง ใช้ปืนฆ่าเขามันง่ายเกินไป เขาต้องการจะทรมานเจียงมู่เฉินอย่างช้าๆ เอาความอัปยศที่ได้รับเมื่อก่อนคืนกลับไปให้หมด
“เตรียมรถให้ฉัน ตอนบ่ายฉันจะไปแคปริคอร์นเจมฮอลล์”
หลังจากที่เขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็กลับไปยังห้องนอนของซือเหยี่ยน ส่วนเรย์มอนออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ซูเตอร์มองเขา เสียงต่ำเอ่ยถาม “ตอนบ่ายฉันจะไปแคปริคอร์นเจมฮอลล์ นายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”
ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “เมื่อกี้ยังบอกไม่ให้ผมไปอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันกลัวว่านายจะอยู่นิ่งเฉยไม่ไหวไงล่ะ ถึงยังไงไปแคปริคอร์นเจมฮอลล์ ก็ไม่ได้มีอันตรายอะไร ก็ถือว่าพานายออกไปรับลมชมวิวแล้วกัน”
ซือเหยี่ยนพยักหน้า “รู้แล้ว”
ตอนบ่ายสองโมง ซูเตอร์กับซือเหยี่ยนขับรถมุ่งหน้าไปแคปริคอร์นเจมฮอลล์ ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนอยู่ข้างกาย นัยน์ตาฉายสะท้อนแผนการขึ้นมาวาบหนึ่ง
รออีกไม่นานให้ซือเหยี่ยนได้เจอกับเจียงมู่เฉิน…
‘ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดฉากเด็ดๆ อะไรออกมาได้ เขารอคอยมากเลยนะ’
เจียงมู่เฉินประชุมอยู่ตลอดทั้งช่วงเช้า ประชุมจนปวดหัวแล้วจริงๆ สื่อสารคุยกับคนไม่รู้จักกลุ่ม เรื่องทำนองนี้เขาไม่เคยจะทำได้อยู่แล้ว
ซังจิ่งเห็นเขาเอาแต่ขมวดคิ้ว ก็อดจะเอ่ยถามไม่ได้ “ไม่อยากอยู่ที่นี่เหรอ”
“นายอยากอยู่เหรอ
” เจียงมู่เฉินถามกลับ
ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ไม่งั้นออกไปเดินเล่นไหม ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง”
เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายใจดีได้ขนาดนี้เชียว อยากมาเดินเล่นกับฉันด้วยเหรอ”
“คุณชายเจียง คุณว่าพวกเรารู้จักกันมาก็นานแล้ว อีกอย่างผมคิดกับคุณยังไง นายก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้” ซังจิ่งถอนหายใจอย่างเศร้าโศก “ต่อให้คุณไม่ชอบผม ก็คงไม่ถึงกับว่าจะไม่ให้โอกาสไปเดินเล่นด้วยกันเลยหรอกใช่ไหม”
ซังจิ่งกะพริบตาปริบๆ “หรือว่า คุณกลัวคนเข้าใจผิด…ให้ผมเดา เป็นคนไหนของคุณ ระหว่างจี้ฉิงแฟนสาวน้อยคนใหม่ของคุณ หรือว่า…ซือเหยี่ยน…”
ตอนที่ 276 สองคนเจอกัน
เจียงมู่เฉินได้ยิน ‘ซือเหยี่ยน’ สองคำนี้ สีหน้าก็จมดิ่งในอารมณ์ เขาลุกยืนขึ้นมา “ออกไปเดินเล่นเท่านั้นเอง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ ไปกันเถอะประธานซัง”
ซังจิ่งยิ้มเดินตามเจียงมู่เฉินไป เดินอยู่เคียงข้างเขา
ทั้งสองคนลงลิฟต์จากชั้นห้าลงมา ซังจิ่งกำลังคิดอยากจะพาเจียงมู่เฉินไปชิลที่ไหนดีถึงจะเข้าท่า ก็เห็นเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างกายหยุดชะงักไปกะทันหันพอดี
เขามองตามไปข้างหน้า นิ้วมือก็กำแน่นเล็กน้อย
เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ตรงหน้า เขาผอมลง สีหน้าซีดเซียว ดูอาการแล้วคงจะเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บหนัก
เจียงมู่เฉินตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ขณะนั้นยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองกลับไป ทำได้เพียงยืนอยู่ตรงที่เดิม
ซูเตอร์เห็นเจียงมู่เฉินอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “บังเอิญจริงๆ นี่คุณชายเจียงไม่ใช่เหรอ ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่นายก็มาอเมริกาด้วย”
เวลานี้เจียงมู่เฉินถึงได้เบนสายตามาที่ข้างๆ ซือเหยี่ยน ซูเตอร์แสดงรอยยิ้มเกทับ เพียงพริบตาเดียวเจียงมู่เฉินก็เข้าใจได้ในทันที
นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญที่ได้มาเจอซือเหยี่ยน
ถ้าเขาเดาไม่ผิด ทั้งหมดนี้เป็นความจงใจของซูเตอร์ รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ดังนั้นถึงได้พาซือเหยี่ยนมาเกทับตัวเอง
เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากเบาๆ “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กัน ฉันถึงได้กลายเป็นเพื่อนที่ต้องคอยรายงานนายว่าอยู่ไหน”
“นาย!” ซูเตอร์อ้ำอึ้งพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
เขาเพิ่งจะเตรียมโต้แย้งก็เห็นซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างกาย เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วซือเหยี่ยนล่ะ ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานเหรอ”
สายตาเจียงมู่เฉินเคลื่อนมาหยุดลงตรงใบหน้าของซือเหยี่ยน นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ทอประกายความเย้ยหยัน
“ฉันคิดว่าฉันยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะต้องมารายงาน ว่าฉันอยู่ที่ไหนกับคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลยด้วยช้ำนะ”
“อ้อ คุณชายเจียงตัดเยื่อใยกันขนาดนี้เชียว เลิกกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันไม่ได้เลย?”
ความเดือดดาลฉายสะท้อนในแววตาเจียงมู่เฉินขึ้นมาวาบหนึ่ง ยิ่งเขาโมโห รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งหนักแน่น เขาเชิดมุมปากมองดูซูเตอร์ “ฉันไม่เหมือนนาย เลิกกันแล้วยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่…
…สำหรับฉันเจียงมู่เฉิน เลิกกันแล้วก็คือคนแปลกหน้า”
เขากวาดสายตามองผ่านซือเหยี่ยนไป ไร้ความรู้สึกความผูกพัน เย็นชาราวกับเพิ่งได้เจอซือเหยี่ยนเป็นครั้งแรกไม่มีผิด
สุดท้ายสายตาก็มาหยุดที่ซูเตอร์ “ขอเตือนนายสักคำ ดูคนไว้ให้ดีๆ ด้วย จะได้ไม่มีคนตัดใจไม่ลง แล้วกลับมาหาฉัน ถึงตอนนั้นจะอับอายได้”
ซูเตอร์โดนถากถางกันขนาดนี้ ใบหน้าขึ้นสีไปหมดแล้ว กำลังจะเตรียมเอ่ยปาก ก็เห็นเจียงมู่เฉินลากซังจิ่งไป “ไปกันเถอะ อยากออกไปเดินกันไม่ใช่เหรอ”
ซังจิ่งพยักหน้าให้สองคน แล้วมาเดินข้างเจียงมู่เฉิน “ผมกำลังคิดว่าจะไปที่ไหนกันดี”
เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “แต่ฉันมีอยู่ที่ที่หนึ่ง”
“ที่ไหน”
“สนามยิงปืน”
สามคำไม่ดังไม่ค่อย พอที่จะให้ซือเหยี่ยนได้ยินได้ ในมุมที่ซูเตอร์มองไม่เห็น มือที่ข้างตัวซือเหยี่ยนก็กำแน่นสนิทขึ้นในพริบตา
เพราะออกแรงมากเกินไป ข้อต่อกระดูกจึงซีดเผือดขึ้นเล็กน้อย
ซือเหยี่ยนที่ยืนหันหลังให้เจียงมู่เฉิน ดวงตาสีดำขลับคู่นี้ฉายสะท้อนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาวาบหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าเขาจะพาซังจิ่งไปสนามยิงปืนที่พวกเขาเคยไปด้วยกัน…
……
เจียงมู่เฉินออกมาข้างนอกแล้วก็ส่งมือมาทางซังจิ่ง ต้องการกุญแจรถ “เอากุญแจให้ฉัน ฉันจะขับเอง”
ซังจิ่งเอียงหัวมองเขา “เอาจริงเหรอ”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า “วางใจได้ ฝีมือขับรถฉันใช้ได้อยู่”
เวลานี้เองซังจิ่งถึงได้ส่งกุญแจให้เจียงมู่เฉิน หลังจากเจียงมู่เฉินขึ้นรถก็สตาร์ทรถเหยียบคันเร่งเต็มแรงออกตัวไปทันที
เขาใช้ความเร็วถึงขีดสุดเร่งขับตีวงออกข้างนอกไป
ซังจิ่งเห็นท่าทีเขาแบบนี้ก็อดจะเอ่ยปากไม่ได้ “อารมณ์ไม่ดี อยากขับรถแข่ง?”
เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้นอย่างทะนงตัว “อะไรกัน อารมณ์ดีแล้วอยากขับรถแข่งไม่ได้เหรอ”
ตอนที่ 277 เจียงมู่เฉินเกิดเรื่อง
ซังจิ่งเห็นท่าทีของเจียงมู่เฉินก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ได้ก็ได้ เพียงแต่ว่าผมไม่เห็นจะดูออกเลยว่าคุณอารมณ์ดีจริงๆ”
เจียงมู่เฉินโดนเขาเปิดโปงขนาดนี้ รอยยิ้มที่มุมปากก็ค่อยๆ หุบลง
“โอเค ฉันยอมรับ ฉันอารมณ์ไม่ดี” เขามองซังจิ่งด้วยสายตาเย็นชา “ตอนนี้ขับรถเร็วได้หรือยัง”
“ผมพาคุณไปที่ที่หนึ่งดีกว่า ที่นั่นจะขับรถแข่งความเร็วใช้ได้ทีเดียว”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ได้ งั้นนายชี้บอกทางแล้วกัน” เขาพูดจบก็เหยียบคันเร่ง รถสปอร์ตคันสีเงินแล่นเร็วปานลมกรดไปตามถนน
เจียงมู่เฉินลดกระจกข้างลง ลมแรงพัดโชยเข้ามา พัดพาเรือนผมของเจียงมู่เฉินพลิ้วไหวตามกระแสลมไป
ซังจิ่งเอียงหัวมองเจียงมู่เฉิน ความซับซ้อนทอประกายในแววตา
ดูเหมือนว่านับวันเขาจะยิ่งทุ่มเทใจให้คุณชายน้อยคนนี้
สถานที่ที่ซังจิ่งพาเจียงมู่เฉินไปก็คือสนามแข่งรถแห่งหนึ่ง เจียงมู่เฉินจอดรถเลิกคิ้วมองซังจิ่ง “ที่ที่นายว่าก็คือที่นี่”
“อยากเล่นแบบตื่นเต้นเร้าใจ ที่นี่เหมาะที่สุดแล้ว”
เจียงมู่เฉินเห็นคนข้างๆ ที่กำลังเล่นอยู่ ก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ใช้ได้พอตัวเลย ที่นี่แล้วกัน”
ทั้งสองคนลงจากรถ เดินมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปนั่งในรถ
ซังจิ่งเอียงหัวตะโกนเรียกเจียงมู่เฉิน “คุณไหวหรือเปล่า”
เจียงมู่เฉินยกมุมปาก “คุณชายน้อยไม่มีอะไรไม่ไหว”
การแข่งขันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เจียงมู่เฉินสวมหมวกเรียบร้อยก็สตาร์ทรถ รถแข่งคันสีขาวทะยานตัวออกไป รถแข่งคันสีดำคันนั้นของซังจิ่งก็ขับตามไปติดๆ
ความเร็วรถของเจียงมู่เฉินเร็วมาก ขณะที่กำลังขับไปอยู่นั้น ยิ่งรู้สึกราบรื่นกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก ยามเข้าโค้งแรก เจียงมู่เฉินเร่งความเร็วเลี้ยวหักศอกตามโค้งไป เร็วกว่าซังจิ่งขึ้นมานิดหนึ่งพอดี
เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ในรถ เป็นครั้งแรกที่เขามาเล่นรถแข่งแบบนี้ แต่กลับมีความรู้สึกทำนองว่าเขาเคยมาเล่นอยู่หลายครั้งแล้ว
เขาแทบจะไม่ต้องคิดเยอะ ยามเข้าโค้งแต่ละโค้ง ร่างกายเหมือนมีความทรงจำอย่างไรอย่างนั้น มีปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ
ข้างหน้าก็เป็นอีกทางโค้งหนึ่ง เจียงมู่เฉินเห็นซังจิ่งที่ตามมาติดๆ ก็ดันเปลี่ยนเกียร์เร่งความเร็วดริฟต์รถเข้าโค้งข้างหน้าไป
เจียงมู่เฉินมองดูถนนตรงหน้า สมองก็ฉายสะท้อนภาพเป็นฉากๆ ขึ้นมาวาบหนึ่ง เหมือนกับเขาเองเคยนั่งอยู่ในรถแข่งแบบนี้ด้วย
“มาสิ มาแข่งกับคุณชาย ดูว่าใครจะชนะได้”
“แข่งก็แข่งสิ ใครกลัวใคร”
“พูดมาก่อนเลย ว่าแพ้แล้วจะต้องทำยังไง”
“แพ้แล้วก็ตามแต่คุณจะลงโทษเลย”
เจียงมู่เฉินปวดหัวอย่างรุนแรงขึ้นมากะทันหัน รถทั้งคันลดความเร็วลงในทันที เพราะความชะลอตัวลงของรถกลับทำให้พุ่งตัวออกไป
เจียงมู่เฉินกดหัวตัวเองเอาไว้ ราวกับมีคนถือมีดมากรีดให้ฉีกขาดอยู่ข้างในนั้นไม่มีผิด เจ็บจนใกล้จะขาดออกจากกันแล้ว
“ใครกำลังพูด ตกลงใครกำลังพูดอยู่…” เจียงมู่เฉินกุมหัวร้องตะโกนเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวดทรมาน
รถเสียการควบคุมเหวี่ยงออกนอกเส้นทางการแข่งขันกะทันหันไปชนเข้ากับรั้วกั้นด้านข้าง
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้เจียงมู่เฉินหน้ามืด หมดสติไปทั้งอย่างนั้น
……
ซังจิ่งเห็นรถของเจียงมู่เฉินเสียการควบคุม ก็รีบจอดรถพุ่งตัวไปอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน รีบช่วยชีวิตอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หามเจียงมู่เฉินออกมาจากรถ อาการคร่าวๆ ไม่ได้รับบาดเจ็บภายนอกมากจนเกินไป เพียงแต่คนไม่ได้สติสลบไปเท่านั้น
ซังจิ่งรีบส่งตัวคนไปโรงพยาบาล
หลังจากเจียงมู่เฉินถูกส่งตัวถึงที่โรงพยาบาลแล้ว ก็ถูกส่งตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที
……
เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองหมายกำลังฝันอยู่ ในฝันมีคนพูดอยู่ตลอด แต่เขาฟังไม่ชัดเลยสักประโยค
เขาพยายามทำให้ตัวเองฟังได้ชัดๆ ว่าคนคนนั้นกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
เจียงมู่เฉินพยายามต่อสู้ดิ้นรน รู้สึกมาเสมอว่าคนคนนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับตัวเองเป็นพิเศษ
ราวกับพวกเขารู้จักกันมานานมากๆ อย่างไรอย่างนั้น
เจียงมู่เฉินกำมือแน่นพยายามไขว่คว้าเขาไว้ แต่ไม่ว่าจะตามไปอย่างไรก็ตามไม่ทัน
คนคนนั้นยังคงห่างไกลออกไปอยู่ดี
“อย่าไป…อย่าไป…”
ตอนที่ 278 เริ่มสงสัย
เจียงมู่เฉินบนเตียงคนไข้กำมือแน่น เอ่ยประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เหงื่อผุดตามหน้าผากเขา สีหน้าซีดเซียว
ซังจิ่งเข้ามาจากด้านนอกก็เห็นท่าทางแบบนี้ของอีกฝ่าย เขารีบดึงมือที่กำแน่นของเจียงมู่เฉินให้คลายออกทันที
เจียงมู่เฉินสั่นสะท้าน พลิกมือมากุมมือซังจิ่งไว้
เขาคว้ามือซังจิ่งแล้วเอ่ยพึมพำไม่หยุด “อย่าไป อย่าไป…”
ซังจิ่งหัวใจบีบคั้น รีบกุมมือเจียงมู่เฉินไว้แน่น พลางเอ่ยปลอบใจ “ผมไม่ไป วางใจเถอะ…ผมจะไม่ไปไหน”
เขานั่งลงอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน ปล่อยให้อีกคนรั้งมือเขาไปอยู่อย่างนั้น
ราวกับเจียงมู่เฉินกำลังฝันร้ายไม่มีผิด เหงื่อไหลท่วมหน้าผาก ซังจิ่งหยิบเอากระดาษทิชชูที่อยู่ด้านข้างซับเหงื่อบนหน้าผากของเขาอย่างเบามือและอ่อนโยน
บางทีการปลอบประโลมของซังจิ่งก็มีประโยชน์ เจียงมู่เฉินค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ แล้ว
ซังจิ่งเห็นสถานการณ์แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาโดยไม่ตั้งใจ
ตลอดทั้งคืนซังจิ่งอยู่เคียงข้างกายเจียงมู่เฉินตลอด แม้แต่เพียงครึ่งก้าวก็ไม่ละออกไปไหน
……
เช้าวันต่อมา เจียงมู่เฉินค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นอย่างช้าๆ เขาลืมตาก็เห็นห้องพักผู้ป่วย เรื่องเมื่อวานนี้ทุกอย่างกลับเข้ามาในสมอง
เขาอยากจะยกมือขึ้นมากดหัวที่ปวดขึ้นมา กลับพบว่ามีคนกุมมือเขาอยู่
เจียงมู่เฉินมองตามเข้าไป ก็เห็นเพียงซังจิ่งฟุบหน้าอยู่ข้างเตียง รั้งมือเขาไว้อยู่
ท่าทางการขยับมือของเขาทำให้ซังจิ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานิดหน่อย ซังจิ่งลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นเจียงมู่เฉินก็ยันกายขึ้นมานั่งในทันใด “คุณตื่นแล้ว?”
“อืม” เจียงมู่เฉินขานรับ “เมื่อวานลำบากนายแล้ว”
“ไม่เป็นไร คุณตื่นก็ดีแล้ว” ซังจิ่งโล่งใจไปที “เมื่อวานคุณเกือบทำให้ผมตกใจแทบตาย”
เจียงมู่เฉินมองดูเวลา “เมื่อวานฉันเป็นอะไรไปเหรอ”
“คุณกับผมแข่งรถกัน จู่ๆ รถคุณก็เสียการควบคุมพุ่งตัวออกไป อาการโดยรวมคุณไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ไม่มีอะไรปัญหาติดขัด กลับไปพักฟื้นดีๆ ก็ได้แล้ว”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า “เมื่อไหร่ฉันถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้”
“เดี๋ยวรอหมอเข้ามาตรวจอาการสักพัก ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
ซังจิ่งให้เจียงมู่เฉินนอนต่ออีกสักหน่อย ส่วนเขาออกไปข้างนอก
เจียงมู่เฉินนอนอยู่บนเตียงคนไข้ อดจะคิดไม่ได้ว่าฝีมือของเขาถึงแม้จะไม่ได้ถึงขั้นเป็นมืออาชีพ แต่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะทำให้รถเสียการควบคุมกะทันหันได้แบบนั้น
อีกอย่างก่อนที่รถทั้งสองคันนั้นจะออกตัวไป ก็ได้ทำการตรวจสอบสภาพแล้ว ไม่ได้มีอันตรายแอบแฝงใดใด
จู่ๆ เขาก็นึกเรื่องที่ระหว่างทางตัวเองปวดหัวอย่างรุนแรงขึ้นมากะทันหันได้
เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว
ครั้งก่อน เขาเองก็เคยประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน
ครั้งนั้นเกือบจะโดนชนกับครั้งนี้ที่หมดสติไปกะทันหัน ล้วนแล้วแต่ทำให้เขาเกิดอาการปวดหัวอย่างสาหัสทั้งสิ้น
เจียงมู่เฉินหรี่ตา ร่างกายเขาเกิดปัญหาอะไรกันแน่ หรือว่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุเมื่อห้าปีก่อนนั้น?
หลังจากตั้งแต่ที่สูญเสียความทรงจำในอุบัติเหตุครั้งนั้น หลายปีมานี้เขาก็อยู่อย่างดีมาตลอด ไม่ได้ปรากฏเรื่องทำนองนี้ขึ้นเลย แต่ตอนนี้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงเดือน คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏขึ้นสองครั้งแล้ว
เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว หรือว่าจะเป็นสาเหตุมาจากอาการข้างเคียงอันตรายแฝงที่อุบัติเหตุนั้นทิ้งไว้?
ไม่เพียงเท่านี้ เขารู้สึกว่าในความทรงจำที่ตัวเองสูญเสียไปมีบางเรื่องที่เขาไม่รู้
ครั้งก่อนที่ทะเลาะกันกับซูเตอร์ จู่ๆ ร่างกายเขาก็ปรากฏความคุ้นเคยเรื่องๆ หนึ่งอย่างน่าประหลาดใจเกินจะบรรยายได้ เหมือนเมื่อก่อนเขาก็ทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ เป็นประจำอย่างไรอย่างนั้น
ยังมีการแข่งรถครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของเขาอยู่ทนโท่ แต่กลับรู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองเคยทำท่าทางแบบเดียวกันนั้นอยู่หลายครั้งหลายครา
ข้างในนั้นมีความรู้สึกเคยชินอย่างบอกไม่ถูกซึมซาบผ่านเข้ามา
เจียงมู่เฉินอดจะสงสัยไม่ได้ ตัวเองในอดีตมีความลับอะไรกันแน่
เขาคิดถึงเรื่องที่พ่อแม่เขาไม่ยอมปริปากเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนนั้นอีกครั้ง ยังมีคนที่ถานโจวที่รู้จักเขาทั้งหมดไม่รู้ถึงอดีตที่ผ่านมาของเขา
ราวกับมีคนเจตนาลบทิ้งจนเกลี้ยง หรือเก็บซ่อนเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
เจียงมู่เฉินหรี่ตา จู่ๆ ตอนนี้เขาก็อยากรู้อยากเห็นเรื่องราวแต่ก่อนนั้นขึ้นมา ดูท่าว่าเขาจะต้องสืบหาอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาในอดีตใช่หรือเปล่า
ตอนที่ 279 พบหน้าซือเหยี่ยนอีกครั้ง
ซังจิ่งโทรศัพท์เสร็จ กลับเข้ามาจากข้างนอก ก็เห็นเจียงมู่เฉินนอนขมวดคิ้วอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เขาเดินเข้าไปถามใกล้ๆ “เป็นอะไรไป จู่ๆ สีหน้าถึงได้ดูผิดปกติขนาดนี้”
เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่มีอะไร ฉันก็แค่กำลังคิดว่าทำไมจู่ๆ รถถึงเสียการควบคุมได้”
ซังจิ่งสีหน้าเคร่งขรึม “ผมติดต่อสนามแข่งรถไปแล้ว รถคุณคันนั้นผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นสาเหตุที่เสียการควบคุม ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่”
“ฉันรู้ ก่อนฉันจะออกตัวไป ก็ตรวจสอบสภาพรถแล้ว ไม่มีปัญหาได้หรอก”
“อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ไปก่อนเลย เดี๋ยวหมอจะเข้ามาตรวจดูอาการคุณแล้ว ผมจะไปซื้ออาหารเช้ามาสักหน่อย เดี๋ยวพอตรวจเสร็จไม่มีปัญหาอะไร ผมก็จะพาคุณกลับไป”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า “โอเค งั้นรบกวนนายแล้ว”
ซังจิ่งไปซื้ออาหารเช้า หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จ หมอก็เข้ามาตรวจอาการเจียงมู่เฉินรอบหนึ่ง หลังจากตรวจดูอาการทุกอย่างเสร็จแล้ว หมอถึงได้กล่าวออกมา “ไม่มีอะไร กลับไปพักผ่อนสงบๆ สองวันก็ดีแล้วครับ”
หลังจากทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซังจิ่งกำลังจะเตรียมพาเจียงมู่เฉินออกจากที่นี่
เจียงมู่เฉินเปลี่ยนชุดผู้ป่วยที่อยู่บนตัวมาสวมใส่เป็นเสื้อทีเชิ้ตตัวเรียบๆ ดูสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเลยทีเดียว
“จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราออกไปข้างนอกกันเถอะ”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า เพราะร่างกายยังไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ จึงเดินได้อย่างไม่กระฉับกระเฉงนัก
ซังจิ่งมองดูเขา “เอางี้ไหมให้ผมอุ้มคุณ”
เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “เห็นว่าคุณชายอย่างฉันจำเป็นต้องให้คนอื่นอุ้มหรือไง”
ซังจิ่งรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเห็นด้วย เดิมทีเขาเองก็พูดไปส่งๆ ไม่ได้คิดจริงๆ ว่าเจียงมู่เฉินจะยอมตกลงได้
ทั้งสองคนออกจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว ก็เจอซือเหยี่ยนที่เข้ามาตรวจดูอาการที่โรงพยาบาลพอดี
ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเจียงมู่เฉินซีดเซียวแบบนั้น คิ้วก็ขมวดผูกปมเข้าหากันทันที เดินเข้าไปถามโดยที่ไม่ทันได้คิดอะไร “ทำไมมาโรงพยาบาลได้ บาดเจ็บมาเหรอ”
เจียงมู่เฉินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ออกห่างจากเขา “คุณซือ ระหว่างพวกเราไม่สนิทกันมั้ง”
ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้น หายใจหอบติดขัดบ้างแล้ว
เขากดหน้าต่ำลงมองเจียงมู่เฉิน “บาดเจ็บมาแล้ว”
เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ฉันบาดเจ็บหรือไม่บาดเจ็บเกี่ยวข้องอะไรกับคุณซือเหรอ” เขาไม่อยากพูดกับซือเหยี่ยนมากเกินจำเป็น มุ่งหน้าเดินแฉลบผ่านอีกฝ่ายไป
ซือเหยี่ยนกลับนัยน์ตามืดดับยื่นมือไปกักตัวคนแล้วฉุดเข้าไปข้างในห้องพักผู้ป่วยของเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินที่ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับไป ก็โดนซือเหยี่ยนจับกดอัดเข้าผนังทันที
ซังจิ่งรีบตามเข้าไป กำลังจะเตรียมยื่นมือช่วย ประตูก็ถูกซือเหยี่ยนปิดล็อคไว้แล้ว
“ซือเหยี่ยน ปล่อยเจียงมู่เฉินออกมานะ”
เสียงร้องตะโกนของซังจิ่งเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวาซือเหยี่ยนไป เขากอดรัดเจียงมู่เฉินไว้แน่นสนิท “ตกลงแล้วบาดเจ็บตรงไหน”
เจียงมู่เฉินโดนเขาเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาขนาดนี้ เพียงเสี้ยวนาทีก็เวียนหัวจนไม่ไหว สีหน้าซีดลงในทันใด
เขากระชับจับเสื้อผ้าของซือเหยี่ยนไว้แน่นหนา เสียงต่ำเอ่ยตวาดใส่ “นายแม่งอย่าเหวี่ยงแล้วได้ไหม”
ซังจิ่งยังตะโกนอยู่นอกประตู ทำให้คนตกใจอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นมีคนจะไปตามคนมาไขเปิดประตูแล้ว
เจียงมู่เฉินกลัวเรื่องราวจะวุ่นวายใหญ่โต รอให้พอหายเวียนหัวสักพักแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ซังจิ่งฉันไม่เป็นไร อีกแป๊บเดียวจะออกมา ไม่ต้องตะโกนแล้ว”
ซังจิ่งได้ยินเสียงเจียงมู่เฉินแล้วถึงได้หยุดลง ข้างนอกเองก็เงียบสงบลงแล้วเช่นกัน
เจียงมู่เฉินถูกกักตัวอยู่ในอ้อมกอดของซือเหยี่ยน เขากดขมับที่ปวดขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “นายถอยออกห่างฉันสักหน่อยก่อนจะได้ไหม ฉันเวียนหัว”
ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเขาซีดเซียว คิ้วขมวดเกร็งแน่น ท่าทางทรมานเหลือเกิน จึงรีบคลายมือออกเพิ่มระยะห่างนิดหน่อย
เจียงมู่เฉินผ่อนคลายลงสักพัก รู้สึกว่าสบายขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเขาพอมีเลือดฝาดกลับมาบ้างเล็กน้อยแล้ว ก็โล่งใจไปที เจียงมู่เฉินเมื่อครู่นี้ดูน่าตกใจกลัวเลยทีเดียวจริงๆ
“คุณเป็นอะไรไป ถึงได้ทำตัวเองกลายเป็นแบบนี้ได้”
เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ไม่มีอะไร ไม่ทันระวังเลยรถชน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น