(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 256-263

 ตอนที่ 256 ทางเลือกที่ยากลำบาก 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นแม่เขาค้านหัวชนฝาถึงขั้นนี้ ก็ค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว เขาคิดว่าตามความชอบที่คุณแม่เจียงมีต่อซือเหยี่ยน จุดนี้ก็ควรจะไม่ได้เสียใจขนาดนั้น 


 


 


           แต่เห็นคุณแม่เจียงในวันนี้ เจียงมู่เฉินถึงได้เข้าใจ ต่อให้คุณแม่เจียงจะชอบซือเหยี่ยนอีกสักแค่ไหน แต่ในความสัมพันธ์ประเภทนี้ เธอไม่มีทางจะยอมรับได้เป็นธรรมดา 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองคุณแม่เจียงด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่เองก็ชอบซือเหยี่ยนเอามากๆ เขาอยู่ที่บ้านเรากับลูกชายของแม่ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ทำไมแม่ถึงไม่เห็นด้วยล่ะครับ” 


 


 


           คุณแม่เจียงขอบตาแดงก่ำ เธอพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่อยากระเบิดออกมา พยายามแสดงออกถึงความเป็นคนที่พอมีเหตุผลอยู่บ้างเล็กน้อย 


 


 


           “เจียงมู่เฉิน ลูกมาหาแม่ ตั้งแต่วันนี้ไปกลับบ้านเราไปกับแม่” 


 


 


           “แม่ครับ ที่นี่ก็เป็นบ้านของผมเหมือนกัน” 


 


 


           “หยุดพูด มีแค่บ้านตระกูลเจียงเท่านั้นถึงจะเป็นบ้านของลูก” ในที่สุดคุณแม่เจียงก็ทนไม่ได้ เอ่ยตวาดออกมา 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นคุณแม่เจียงอารมณ์เดือดดาล ก็รีบดึงเจียงมู่เฉินเข้าหาตัว อยากจะปลอบโยนเขา แต่คุณแม่เจียงกลับเห็นมือที่พวกเขาสอดประสานกันอยู่ฉากนี้พอดี 


 


 


           เธอรีบพุ่งตัวมากระชากมือของทั้งสองคนแยกออกจากกัน “ปล่อยมือ ปล่อยมือ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกลัวจะทำให้คุณแม่เจียงบาดเจ็บ จึงจำใจต้องปล่อยมือเจียงมู่เฉินชั่วคราว เขามองคุณแม่เจียง เอ่ยชี้แจงด้วยความนอบน้อมและจริงใจ “น้าเจียงครับ ผมกับเฉินเฉินชอบกันด้วยใจจริงนะครับ”  


 


 


           คุณแม่เจียงยิ้มเยาะ “ชอบกันด้วยใจจริง?” เธอมองซือเหยี่ยน “น้าเองก็ชอบเราด้วยใจจริง แต่เราล่ะ ไม่ปริปากพูดสักคำก็ทำให้ลูกชายเพียงคนเดียวของน้าเบี่ยงเบน… 


 


 


           …ซือเหยี่ยน เราไม่ละอายใจต่อความรักความชอบที่น้ามีต่อเรามาหลายปีขนาดนี้บ้างเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินฟังไม่เข้าหู รีบออกปาก “แม่ครับ นี่มันไม่เกี่ยวกับซือเหยี่ยนเลย ผมเป็นฝ่ายชอบเขาก่อน และก็เป็นผมที่ต้องการให้เขามาคบกับผม ถ้าแม่จะโทษก็โทษผม” 


 


 


           เวลานี้คุณแม่เจียงฟังประโยคใดใดไม่เข้าหูโดยสิ้นเชิง เธอได้ยินคำพูดปกป้องซือเหยี่ยนได้เต็มปากเต็มคำของเจียงมู่เฉิน ก็ยกฝ่ามือขึ้นมาฟาดใส่เจียงมู่เฉินฉาดใหญ่อย่างรุนแรง 


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนตบจนหน้าหันไปอีกฝั่ง ไม่ค่อยกล้าจะเชื่อ หลายปีมานี้แม่เขารักใคร่เอ็นดูเขา ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขาแม้แต่ปลายเล็บ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นรอยแดงบนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน หัวใจก็อดจะบีบคั้นไม่ได้ ฝ่ามือเดียวยังเจ็บกว่าเฆี่ยนตีไปบนตัวเขา 


 


 


           คุณแม่เจียงมองดูมือตัวเอง รู้ว่าทุกอย่างที่ทำไป เธอสูญเสียการควบคุมไปแล้ว ในใจนึกเสียใจทีหลังอยู่ไม่เบา แต่ในเมื่อฟาดไปแล้ว เวลานี้พูดอะไรไปก็ชดเชยคืนมาไม่ได้ 


 


 


           เธอหลับตาลงด้วยความยากลำบาก มองไปทางเจียงมู่เฉินอีกครั้ง แล้วเอ่ยเน้นคำต่อคำ “แม่จะพูดกับลูกเป็นครั้งสุดท้าย กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดิมทีเขาคิดจะค้านหัวชนฝาให้ถึงที่สุด อยากจะสู้จนแม่เขาใจอ่อน 


 


 


           แต่ซือเหยี่ยนกลับส่ายหัวอยู่ด้านข้าง… 


 


 


           เจียงมู่เฉินใจสั่นสะท้าน ตัวเองอยู่ต่อหน้าเขาและต่อหน้าแม่เขาแบบนี้ ในใจซือเหยี่ยนเองก็ไม่อาจจะสบายได้ หลายปีมานี้แม่เขาทั้งรักทั้งเอ็นดูซือเหยี่ยนเหมือนลูกคนที่สองมาตลอด 


 


 


           เวลานี้เรื่องของพวกเขาสองคนโดนคุณแม่เจียงจับได้แบบนี้ จะสักเพียงใดก็ยากจะยอมรับได้ 


 


 


           คุณแม่เจียงมองเจียงมู่เฉินด้วยอารมณ์เดือดดาล “วันนี้แม่มีสองทางเลือกให้ลูก ต้องการแม่กับของลูก หรือต้องการซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินลูกต้องเลือกด้วยตัวเองแล้ว” 


 


 


           ‘ทางหนึ่งคือซือเหยี่ยน อีกทางหนึ่งคือคุณพ่อเจียงและคุณแม่เจียง เขาจะเลือกได้ยังไง’ 


 


 


           “แม่ แม่อย่าบีบบังคับผมสิ” เจียงมู่เฉินมองเธออย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาต้องการทั้งสองทางเลือก 


 


 


           “เจียงมู่เฉิน ลูกนั่นแหละบีบบังคับแม่!” คุณแม่เจียงตัวสั่นโดยไม่ตั้งใจ 


 


 


           ทั้งสองคนต่างไม่มีใครยอมใคร กัดไม่ยอมปล่อยทั้งคู่ ซือเหยี่ยนกำมือแน่น เขาเอ่ยเสียงต่ำยุติเหตุการณ์ไม่ยอมอ่อนข้อนี้ลง 


 


 


           “น้าเจียง ให้ผมคุยกับเฉินเฉินสักคำจะได้ไหมครับ” 


 


 


           คุณแม่เจียงมองเขาแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ยังพยักหน้าให้อย่างไม่เต็มใจนัก 


 


 


           ซือเหยี่ยนลากเจียงมู่เฉินมาถึงบริเวณหลังรถ ห่างกับคุณแม่เจียงกั้นเพียงหนึ่งฝาผนัง เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าของเจียงมู่เฉิน เอ่ยถามเสียงเบา “เจ็บไหม”   


 


 


  


 


 


           ตอนที่ 257 พวกเราเลิกกัน 


 


 


           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “แม่ฉันจะมีแรงได้สักเท่าไหร่ มีอะไรให้เจ็บ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนจ้องมองเขาชั่วครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงต่ำ “คุณกลับไปกับแม่คุณเถอะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้างถลึงตามองเขาด้วยความตกใจ “ซือเหยี่ยนนายหมายความว่าไง” 


 


 


           “ผมบอกว่า คุณกลับไปกับแม่คุณเถอะ” ซือเหยี่ยนเอ่ยซ้ำอีกครั้ง 


 


 


           เจียงมู่เฉินกำมือแน่นยืนอยู่ตรงนั้น อุณหภูมิทั่วร่างกายผันผวนถึงจุดต่ำสุด หัวใจเหมือนถูกคนจับมาบีบไว้แน่นสนิทจนหายใจไม่ออก เขาจ้องมองซือเหยี่ยนเอ่ยถามทีละคำ “นี่เป็นครั้งที่สองที่นายให้ฉันไปกับแม่ฉัน ซือเหยี่ยน นายรู้ไหม ถ้าครั้งนี้ฉันไปแล้ว ฉันจะกลับมาไม่ได้แล้วนะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกดหน้าต่ำลง สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ดูสุขุมใจเย็นอย่างยิ่ง “ผมรู้” 


 


 


           “ถ้าอย่างนั้น…นายยังจะต้องการให้ฉันกลับไปกับแม่ฉันอีกเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองซือเหยี่ยน อยากจะจับพิรุธในตัวเขาสักนิด แต่สีหน้าอารมณ์ของซือเหยี่ยนสงบนิ่งเกินไป เขาดูอะไรไม่ออกสักอย่าง 


 


 


           ซือเหยี่ยนพูดอีกครั้ง “คุณควรจะกลับไป” 


 


 


           เจียงมู่เฉินปัดมือของเขาออก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองเขาอย่างเยือกเย็น “ซือเหยี่ยน ขอเพียงแต่วันนี้ฉันจากไป ก็จะเป็นสัญลักษณ์ว่าระหว่างพวกเราเลิกกันโดยสมบูรณ์” 


 


 


           เขาจ้องมองซือเหยี่ยนให้ลึกเข้าไปข้างใน “แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ นายก็ยังต้องการให้ฉันไป?” 


 


 


           นัยน์ตาของซือเหยี่ยนฉายสะท้อนความร้าวรานใจขึ้นมาวาบหนึ่ง เพียงไม่นานก็ถูกเขาหยุดยั้งเอาไว้ พลันสูญสลายไปในแววตา 


 


 


           เขาพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว แต่เสียงกลับเด็ดเดี่ยวผิดปกติ “ใช่ ผมหวังว่าคุณจะไป” 


 


 


           ได้ยินคำว่า ‘ใช่’ ของเขา ความคาดหวังในแววตาที่มีเหลือแค่เพียงน้อยนิดก็ดับสลายไม่เหลือชิ้นดี เขาเห็นใบหน้าของซือเหยี่ยน ก็รู้สึกน่าขันไม่เบาจนอดจะยกยิ้มมุมปากขึ้นไม่ได้ 


 


 


           เพียงเสี้ยวนาทีเดียวที่โดนแม่เขาจับได้ ทั้งใจเขาก็คิดว่าจะต้องทำอย่างไรให้แม่เขาเห็นด้วยให้เขาได้คบกับซือเหยี่ยน 


 


 


           จะต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้แม่เขายอมรับซือเหยี่ยนได้ 


 


 


           คิดว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะพูดจากโน้มน้าวใจแม่เขาได้ 


 


 


           เขาเชื่อมาตลอด ว่าซือเหยี่ยนจะยืนอยู่ข้างเขาตรงนี้ตลอดไปได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็จะสนับสนุนเขาทุกอย่างได้ อยู่เป็นเพื่อนคอยพูดโน้มน้าวแม่เขาทีละนิดๆ 


 


 


           แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าคนที่เขาเชื่อมาตลอดว่าจะยืนอยู่ฝั่งนี้กับตัวเอง จะกลับลำเปลี่ยนไปยืนอยู่ฝั่งนั้นกับแม่ของเขาพูดโน้มน้าวใจตัวเอง… 


 


 


           พูดขึ้นมาก็ตลกไม่เบา เขาเชื่อมั่นทั้งใจ คิดว่าซือเหยี่ยนจะเหมือนกันกับเขาได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็จะไม่ปล่อยมือกันไปง่ายๆ 


 


 


           ‘แต่ตอนนี้ล่ะ’ เพียงแค่แม่เขารู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้ว เพิ่งจะเริ่มคัดค้าน ซือเหยี่ยนก็ปล่อยมือแล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยน อยากรู้ว่าเนิ่นนานมาถึงเพียงนี้ ซือเหยี่ยนจริงใจกับเขาแค่ไหนกันแน่ 


 


 


           หรือว่า ตั้งแต่ต้นจนจบซือเหยี่ยนไม่เคยรักเขาเลยสักนิด 


 


 


           ดังนั้นถึงได้พูดให้เลิกกันได้ง่ายดายขนาดนี้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น เขาเจียงมู่เฉินชั่วชีวิตนี้ไม่เคยพลาดพลั้งเสียทีคนอื่นได้มากขนาดนี้เลย 


 


 


           มอบใจจริงส่งออกไปให้ กลับโดนซือเหยี่ยนทุบลงกับพื้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด 


 


 


           ‘นี่ก็คือคำว่าชอบที่ออกมาจากปากเขาเหรอ’ 


 


 


           ‘เขาเจียงมู่เฉินไม่ต้องการ!’ 


 


 


           “ซือเหยี่ยน ฉันจะถามนายอีกเป็นครั้งสุดท้าย” 


 


 


           “ทุกอย่างในวันนี้ที่นายพูดมาทั้งหมดออกจากใจจริงๆ เหรอ ต่อให้หลังจากนี้ระหว่างพวกเราไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ” เจียงมู่เฉินกำมือไว้ “ต่อให้หลังจากนี้นายกลับมาหาฉันอีก ฉันก็จะไม่ต้องการนายได้” 


 


 


           คำพูดอีกไม่กี่คำสุดท้าย ทุกๆ คำสำหรับเจียงมู่เฉินแล้วช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน ราวกับต้องใช้แรงกำลังจากทั้งร่างกายถึงเค้นออกมาจากคอหอยได้ “ถ้าเป็นแบบนี้ นายยังต้องการให้ฉันไปอีกไหม” 


 


 


           เงียบไม่พูดจากันสั้นๆ เพียงไม่กี่นาที สำหรับเจียงมู่เฉินแล้วมันคือเวลาที่เนิ่นนานชั่วชีวิต… 


 


 


           เขาจดจำได้เพียงซือเหยี่ยนที่พยักหน้าอย่างไร้ความรู้สึก 


 


 


           ราวกับเป็นการใคร่ครวญครั้งสุดท้าย สำหรับซือเหยี่ยนแล้วไม่ต้องใช้เวลามากมาย ก็ให้คำตอบนี้ออกมาได้ 


 


 


           “ผมยืนยัน” 


 


 


           สั้นๆ แค่สามคำ ก็เพียงพอจะทำให้เจียงมู่เฉินใจเสีย 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ความเย็นชาปรากฏอยู่ในนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันก็เห็นด้วยเช่นกัน” 


 


 


           เขาพูดจบก็หันกลับมุ่งหน้าเดินออกไป เดินไปได้ระยะห่างประมาณสามก้าว เขาก็หยุดลงกะทันหัน  


 


 


           น้ำเสียงเย็นชาดังทะลุออกมา “ซือเหยี่ยน พวกเราเลิกกัน ต่อไปจะไม่เจอกันอีก” 


 


 


           เขาพูดจบก็เดินจากไปโดยไม่เหลือเยื่อใยความรู้สึกเลยสักนิด 


 


 


           เพียงไม่นานเสียงสตาร์ทรถดังขึ้น รอจนกว่ารถเคลื่อนตัวออกไปลับตาแล้ว ซือเหยี่ยนถึงได้ค่อยๆ ขดตัวทรุดลงไปนั่งยองๆ 


 


 


           เหงื่อท่วมหน้าผากเขา ราวกับเจ็บปวดรวดร้าวถึงขีดสุดอย่างไรอย่างนั้น คนทั้งคนขดตัวลงรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดูเหมือนจะแข็งทื่อเป็นพิเศษ ปรากฏให้เห็นความบิดเบี้ยวอยู่ในที 


 


 


           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ยืนขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้ากลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม 


 


 


           เพียงแต่ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นไร้เกลียวคลื่น ดุจดั่งน้ำตาย ไม่มีชีวิตชีวาอีกต่อไป… 


ตอนที่ 258 กลับแก๊งมังกรคราม 


 


 


           ตั้งแต่เจียงมู่เฉินกลับมาบ้านตระกูลเจียงก็โดนกักบริเวณให้อยู่แต่ในคฤหาสน์ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น 


 


 


           วันๆ เขาอยู่ในห้อง นอกจากนอนหลับก็ใจลอย นอกจากเงียบไม่พูดจาแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม 


 


 


           คุณแม่เจียงเฝ้าอยู่ที่คฤหาสน์ตลอดวัน มือถือของเจียงมู่เฉินถูกเธอเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว ตัดการสื่อสารอินเทอร์เน็ตทั้งหมดทุกอย่าง นอกจากเธอก็ติดต่อใครข้างนอกไม่ได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเอนตัวลงนอนบนเตียง ลืมตาอย่างล่องลอย นัยน์ตาดอกท้อคู่เดิมที่เบิกบานสดใสในวันวานสงบนิ่งราวกับน้ำตายก็ไม่ปาน 


 


 


           เขาเหมือนกับหุ่นกระบอก ปฏิกิริยาตอบสนองอะไรก็ไม่มี 


 


 


           คุณแม่เจียงยกจานผลไม้มายืนอยู่หน้าประตู เธอเคาะประตูอยู่ตั้งนานก็ไม่มีการตอบรับ ในใจคุณแม่เจียงเป็นทุกข์ในที่สุดก็ยื่นมือผลักประตูเปิดเข้าไป 


 


 


           เจียงมู่เฉินยังคงอยู่ในท่าเดิม ไม่ขยับเขยื้อน แม้แต่คุณแม่เจียงเข้ามาก็ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร 


 


 


           คุณแม่เจียงเห็นเขาเป็นแบบนี้ ในใจก็ปวดร้าว ถึงอย่างไรก็เป็นลูกชายที่ทั้งรักทั้งเอ็นดูมาตั้งแต่เล็กจนโต เนื้อชิ้นหนึ่งหลุดออกมาจากตัว จะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร 


 


 


           เธอวางผลไม้ลงข้างเตียง เอ่ยเสียงต่ำ “เฉินเฉิน มากินผลไม้สักหน่อยเถอะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่มีท่าทีตอบสนอง ราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


           คุณแม่เจียงถอนหายใจ “แม่รู้ว่าลูกเคืองใจแม่ แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับซือเหยี่ยน มันไม่ถูกต้อง แม่ลืมตามามองลูกเดินผิดเส้นทางไม่ได้” 


 


 


           “แม่เข้าใจว่าลูกโตแล้ว มีคนที่ชอบได้ แต่ลูกชอบใครไม่ชอบ ลูกดันมาชอบซือเหยี่ยน” 


 


 


           เธอยื่นมือไปเกลี่ยผมข้างหูที่ยาวขึ้นแล้วของเจียงมู่เฉิน 


 


 


           “แม่มีลูกชายแค่ลูกคนเดียว ลูกก็เห็นใจให้อภัยแม่ได้ไหม” 


 


 


           ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เจียงมู่เฉินก็มีแค่ท่าทีตอบสนองเดียว สุดท้ายเขาก็ขยับตัวหันหลังให้คุณแม่เจียง 


 


 


           “แม่ครับ แม่ให้ผมอยู่เงียบๆ ได้ไหม” เจียงมู่เฉินที่ไม่ได้เอ่ยปากมานาน เสียงแหบแห้งอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


           เสียงราวกับปลายปากกาขีดจนกระดาษทะลุไม่มีผิด 


 


 


           คุณแม่เจียงใจสั่นเทารีบยืนขึ้นขึ้นมา เธอเช็ดน้ำตาที่หางตาออก “ได้ แม่จะออกไปเดี๋ยวนี้ ลูกพักผ่อนดีๆ นะ” 


 


 


           หลังจากคุณแม่เจียงออกไป เจียงมู่เฉินกะพริบดวงตาที่ค่อนข้างบอบช้ำ เวลาผ่านไปนาน เขาก็ลุกยืนขึ้นจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำไป 


 


 


           ก็แค่เลิกกันเท่านั้นเอง เขาควรจะฟื้นคืนกลับสู่สภาพปกติได้แล้ว 


 


 


           จะมามัวนั่งเศร้าเสียใจไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะเรื่องซือเหยี่ยน เรื่องแบบนี้เขาเจียงมู่เฉินทำไม่ได้ 


 


 


เจียงมู่เฉินเช็ดหน้าเช็ดตา คุณชายน้อยแห่งตระกูลเจียงผู้สง่าผ่าเผยก็ควรจะกลับมาแล้ว 


 


 


           อีกฝั่งหนึ่ง เครื่องบินที่บินขึ้นจากถานโจวก็กำลังลงจอดพอดี ซือเหยี่ยนในชุดดำทั้งตัวและซูเตอร์เดินออกมาอย่างช้าๆ 


 


 


           นอกสนามบินมีคนมารออยู่ก่อนหน้านี้หลายชั่วโมงแล้ว 


 


 


           “คุณชายน้อย คุณซือเหยี่ยน เชิญทางนี้ครับ” 


 


 


           ใบหน้าเย็นชาของซูเตอร์พยักรับ เดินเข้าไปนั่งในรถเก๋งสีดำพร้อมกับซือเหยี่ยน เพียงไม่นานรถก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขับออกไป 


 


 


           แก๊งมังกรครามถือครองพื้นที่ใหญ่มาก บวกกับรากฐานหยั่งลึกหลายปีมานี้ที่มีแผ่ปกคลุมขยายไปทั่วทั้งแก๊ง 


 


 


           ซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายซูเตอร์ ใบหน้าสงบนิ่งไม่มีความประหลาดใจใดๆ 


 


 


           การที่ซูเตอร์กลับมา สำหรับแก๊งมังกรครามแล้วนั้นเป็นเรื่องดี มีคนอยู่ไม่น้อยหลังจากเห็นซูเตอร์แล้ว ใบหน้าก็แสดงออกถึงความโล่งใจ 


 


 


           ตั้งแต่ที่ซูแวนโดนลอบทำร้ายกะทันหันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส คนในแก๊งมังกรครามทุกระดับชั้นก็อลหม่านวุ่นวายกันไปหมด ไม่กี่วันมานี้ต่างคนต่างสร้างเรื่องสร้างปัญหาอยู่ไม่น้อย 


 


 


           โชคดีที่เวลานี้ ในที่สุดซูเตอร์ก็กลับมาจนได้ 


 


 


           ถ้าไม่อย่างนั้นขืนสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าในแก๊งจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้อีก 


 


 


           “อาเรย์ อาการของพ่อผมสองวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ‘เรย์มอน’ ผู้ช่วยมือฉมังของซูแวน 


 


 


            สมัยนั้นก็เป็นเรย์มอนที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมก่อร่างสร้างตัวให้แก๊งมังกรครามเดินมาถึงวันนี้ได้ หลายปีมานี้ฐานะของเขาในแก๊งมังกรครามก็เป็นรองแค่ซูแวนเท่านั้นมาโดยตลอด 


 


 


           คนในแก๊งทุกระดับชั้นก็ให้เกียรติและนับถือเขาอย่างยิ่ง แม้กระทั่งซูเตอร์เองก็เคารพเรย์มอนคนนี้เช่นกัน 


 


 


           เรย์มอนเห็นซูเตอร์ก็โล่งใจขึ้นนิดหน่อย “ยังดีที่นายกลับมา ไม่กี่วันมานี้พ่อนายเอาเรียกหานาย” 


 


 


           “ท่านอยู่ที่ไหนครับ ผมจะไปหาท่าน” 


 


 


           เรย์มอนเพิ่งจะนำซูเตอร์ไปข้างหน้า ก็เห็นซือเหยี่ยนข้างกายซูเตอร์พอดี เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยถาม “นี่ไม่ใช่…” 


 


 


            


 


 


       ตอนที่ 259 ไม่มีทางเลือกอื่น 


 


 


           ซูเตอร์พยักหน้า “คนนี้คือพี่ซือเหยี่ยน เมื่อก่อนโชคดีที่ได้เขาปกป้องผม” 


 


 


           เรย์มอนหรี่ตาลง สายตาอันเฉียบคมกวาดมองซือเหยี่ยน “ไม่ทราบว่าคุณซือมาปรากฏตัวที่นี่กะทันหันได้ยังไง” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ซูเตอร์ก็ชิงตอบไปก่อน “ครั้งนี้ที่ผมไปถานโจวก็ตั้งใจจะไปหาพี่ซือเหยี่ยนโดยเฉพาะ ครั้งนี้ผมก็ตั้งใจเชิญพี่ซือเหยี่ยนมาช่วยผมด้วยครับ” 


 


 


           เรย์มอนยังคงไม่คลายความระแวง พินิจมองซือเหยี่ยนอย่างละเอียด 


 


 


           ซือเหยี่ยนรู้แจ้งแก่ใจดี ถึงอย่างไรคนที่อยู่กับซูแวนมานานขนาดนี้ ถ้าไม่มีความสามารถอะไรแม้แต่นิดเดียวจริงๆ จะอยู่ในแก๊งมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร 


 


 


           “สวัสดีครับคุณเรย์ ผมซือเหยี่ยนครับ” เขาเอ่ยทักทายด้วยการวางตัวที่ไม่แสดงตัวต่ำต้อยและไม่แสดงตัวโอหัง ปล่อยให้เขาพิจารณาสังเกตเขาโดยไม่หวาดหวั่น 


 


 


           “อาเรย์ อารีบพาผมไปเจอพ่อที ผมเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่าน” 


 


 


           เดิมทีเรย์มอนอยากจะพินิจพิเคราะห์ในตัวซือเหยี่ยนต่อ แต่พอคิดว่าคนก็มาแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเร่งรัดในตอนนี้ 


 


 


           “มา อาจจะพานายเข้าไป” เขาเรียกคนข้างๆ “พาคุณซือลงไปพักผ่อน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ เดินจากไปพร้อมกับคนนั้น 


 


 


           เวลานี้เองเรย์มอนถึงได้พาซูเตอร์เดินเข้าไปข้างใน “อาการบาดเจ็บของพ่อนายค่อนข้างสาหัส แต่ยังดีที่ไม่ได้ถูกจุดสำคัญ พักฟื้นดีๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร” 


 


 


           ซูเตอร์ฟังแบบนี้ถึงได้วางใจพยักหน้ารับ “งั้นก็ดีครับ ผมเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่านตลอดเลย” 


 


 


           ทั้งสองคนยิ่งเดินยิ่งไกลจนไม่ได้ยินเสียงแล้ว ดวงตาซือเหยี่ยนแน่วแน่ เดินไปยังห้องรับรองแขก 


 


 


           จู่ๆ เขามาปรากฏตัวกะทันหันตอนนี้ ต้องการจะได้รับความไว้วางใจยังไม่ค่อยจะง่ายดายเท่าไหร่นัก  


 


 


           ซือเหยี่ยนครุ่นคิด เขาจำเป็นต้องรีบทำเวลาให้ได้รับความไว้วางใจโดยเร็วที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นเวลายืดออกไปยิ่งนานยิ่งไม่เป็นผลดีกับเขา 


 


 


           แต่ยังดีที่ยังมีซูเตอร์ เขาสามารถอาศัยซูเตอร์ทำให้ตัวเองยืนอย่างมั่นคงอยู่ในแก๊งมังกรครามได้ชั่วคราว 


 


 


           หลังจากซือเหยี่ยนเข้าห้องพักไปแล้ว คนนั้นก็เดินจากไป เขายืนอยู่หน้าหน้าต่างมองออกไปข้างนอก ทั้งแก๊งมังกรครามราวกับคุกไม่มีผิด มีคนยืนเฝ้าอยู่ทุกมุม 


 


 


           ขณะนี้ซูเตอร์ไปเยี่ยมเยือนหาซูแวน สักพักหนึ่งคงจะยังไม่กลับมาได้ เขากดคลึงบริเวณขมับ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย 


 


 


           หลังจากวันก่อนที่เลิกกันกับเจียงมู่เฉิน เขาก็บอกซูเตอร์ว่าเขาตัดสินใจจะกลับมาแก๊งมังกรครามด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ถึงมาปรากฏพร้อมกันที่นี่ได้ 


 


 


           เดิมทีเขาหาข้ออ้างที่เหมาะสมสำหรับเรื่องที่เขาต้องออกจากถานโจวสักระยะหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคุณแม่เจียงจะมาเจอมารับรู้เรื่องของเขากับเจียงมู่เฉินพอดี 


 


 


           ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เขาจำใจต้องเล่นไปตามน้ำเลิกกับเจียงมู่เฉิน 


 


 


           เขาจำเป็นต้องแก้ปัญหาเรื่องของซูเตอร์ ถึงจะอยู่กับเจียงมู่เฉินได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าไม่อย่างนั้นระหว่างพวกเขาก็จะมีระเบิดเวลาลูกหนึ่งขึ้นมาเสมอ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกจุดชนวนได้ 


 


 


           เขาไม่มีทางจะทนนั่งดูเจียงมู่เฉินตกอยู่ในอันตรายอีกครั้งได้อีกแล้ว 


 


 


           ซือเหยี่ยนหลับตาลง ในหัวปรากฏภาพแววตาตัดเยื่อใยในวันนั้นลอยขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ในใจก็อดจะเจ็บกระตุกไม่ได้ 


 


 


           การเลิกกับเจียงมู่เฉิน ก็เหมือนกับมีคนเอามีดมาเฉือนหัวใจเขาออกทีละนิดๆ ฉีกหัวใจของเขาออกมาทีละหน่อยๆ เหมือนการฆ่าให้ตายทั้งเป็น 


 


 


           ถึงแม้ว่าจะเจ็บจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น 


 


 


           ซือเหยี่ยนอดจะคิดไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าสองวันที่เขาจากมา เจียงมู่เฉินจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว 


 


 


           คนดื้อรั้นหัวแข็งอย่างเจียงมู่เฉิน โดนเขาทำให้เจ็บขนาดนี้ คงจะยังเดินหน้าไปไหนไม่ได้ยิ่งกว่าเขา 


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ หวังแค่ว่าเจียงมู่เฉินจะอยู่ปลอดภัยดีทุกอย่างอยู่ที่ถานโจว 


 


 


           …… 


 


 


           หลังจากซูเตอร์ไปเยี่ยมซูเหวินเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาจากห้องนอน เรย์มอนมองตามแผ่นหลังซูเตอร์ไปก็อดไม่ได้ที่จะเรียกให้เขาหยุดก่อน “เจ้าเตอร์” 


 


 


           “อาเรย์” 


 


 


           “นายมานี่ที อามีเรื่องอยากจะถามนาย” เรย์มอนยืนอยู่ข้างๆ เสียงต่ำเอ่ยเรียก  


 


 


           ซูเตอร์เดินเข้าไป “อาเรย์ อาอยากถามผมเรื่องซือเหยี่ยนสินะครับ” 


 


 


           “นายรู้ก็ดี ตอนนั้นเขาจากไปอย่างคลุมเครือ ตอนนี้จู่ๆ กลับมากับนายได้ นายไม่เคยจะสงสัยเลยเชียวเหรอ” เขารู้สึกระแวงซือเหยี่ยนมากอย่างยิ่งมาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ 


ตอนที่ 260 เขาเป็นแฟนของผม


 


 


           “ครั้งนี้ผมเองเป็นฝ่ายหาร่องรอยของซือเหยี่ยนเจอ พูดโน้มน้าวใจเขาให้กลับมากับผม” ซูเตอร์ยิ้มหัวเราะ “อาเรย์ อาวางใจเถอะ ซือเหยี่ยนเขาไม่มีอะไรอย่างอื่นหรอกครับ”


 


 


           เรย์มอนขมวดคิ้ว ยังคงไม่ค่อยวางใจ แต่เห็นท่าทีของซูเตอร์ก็ทำได้แค่พยักหน้า “โอเค นายก็อย่าคิดมากด้วย ไปพักผ่อนก่อนเถอะ หลังจากนี้ยังมีเรื่องอีกไม่น้อยที่ต้องจัดการ”


 


 


           ซูเตอร์พยักหน้า “งั้นอาเรย์ ผมขอตัวก่อนนะครับ”


 


 


           เขาออกจากโถงทางเข้า ก่อนจะกลับห้องไป ก็แวะไปที่ห้องของซือเหยี่ยนก่อน เขายืนอยู่หน้าประตู เคาะประตูเรียก “เหยี่ยน ฉันเอง”


 


 


           “อืม” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับเสียงต่ำ ถึงได้เปิดประตูเข้าไป


 


 


           “คือว่าฉันอยากมาดูว่ากำลังพักผ่อนอยู่หรือเปล่า วันนี้เหนื่อยมากแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ” รอยยิ้มนิดๆ ของซูเตอร์ดูเหมือนไม่มีพิษภัยอะไรมากมาย


 


 


           ซือเหยี่ยนเปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ สบายๆ ทรงผมดูยุ่งๆ นิดหน่อย ดูเหมือนว่าควรจะเพิ่งลุกจากเตียงขึ้นมา


 


 


           สายตาซูเตอร์จับจ้องตรงหน้าอกของซือเหยี่ยนที่เผยออกมาให้เห็น มองค้างอยู่อย่างนั้นไม่อาจหักใจจากไปได้อยู่พักหนึ่ง


 


 


           “ผมสบายดีทุกอย่าง คุณซูเป็นยังไงบ้าง”


 


 


           “อาการบาดเจ็บของพ่อฉันค่อนข้างสาหัส จำเป็นต้องพักผ่อนอย่างสงบ” เอ่ยถึงซูแวน เขาดูเหมือนค่อนข้างจะช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้ ซูเตอร์ยื่นมือไปจับมือของซือเหยี่ยนไว้ “เหยี่ยน ยังดีที่เวลานี้นายอยู่ข้างกายฉัน ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วจริงๆ”


 


 


           ซือเหยี่ยนชักมือกลับมา เอ่ยปลอบใจ “วางใจเถอะ คุณซูต้องไม่เป็นไรแน่นอน”


 


 


           โดนซือเหยี่ยนปฏิเสธอีกครั้ง เขาเองก็ไม่มีอะไรไม่สบายใจ ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็เลิกกับเจียงมู่เฉินแล้ว ตอนนี้ปฏิเสธเขาก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วสักวัน ซือเหยี่ยนต้องมาคบกับเขาจนได้


 


 


           “งั้นเหยี่ยน นายพักผ่อนดีๆ ล่ะ ฉันขอตัวกลับไปก่อน ไม่รบกวนนายแล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “อืม โอเค”


 


 


           เพียงไม่นานซูเตอร์ก็หมุนตัวหันกลับเดินออกไป หลังจากซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเขาไปจนลับตา ก็ปิดประตูใส่กลอนลงทันที


 


 


           …… 


 


 


           เช้าวันต่อมา มีเสียงอึกทึกโครมครามดังไปทั่วทั้งโถงทางเข้า ซือเหยี่ยนเดินออกมาจากห้องพักที่อยู่ด้านหลังก็ได้ยินเสียงคนกำลังพูดคุยกัน


 


 


           “ในที่สุดนายก็กลับมาแล้ว อารองเอาแต่คิดถึงนาย”


 


 


           ซูเวลล์ อารองของซูเตอร์


 


 


           ซูเตอร์ยิ้มหัวเราะ “หลายวันมานี้ลำบากอารองแล้ว แต่ว่าตอนนี้ผมก็กลับมาแล้ว มีเรื่องอะไรก็จะพยายามแบ่งเบาภาระช่วยอารอง วันหน้าจะได้ไม่ต้องรบกวนอารองมากเกินไป”


 


 


           ซูเวลล์ฉีกยิ้มมุมปาก แต่ในแววตากลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย


 


 


           ซือเหยี่ยนดูสถานการณ์แล้วเดินเข้ามาจากด้านหลัง ซูเตอร์เห็นซือเหยี่ยนก็รีบเอ่ยเรียกทันที “เหยี่ยน ท่านนี้คืออารองของฉันเอง”


 


 


           “คุณซูเวลล์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”


 


 


           ซูเวลล์หรี่ตาลง “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”


 


 


           ตอนนั้นซือเหยี่ยนเป็นบอดี้การ์ดให้ซูเตอร์ พวกเขาต่างก็รู้เรื่องนี้ดีเป็นธรรมดา ตอนนั้นซือเหยี่ยนได้ช่วยชีวิตของซูแวนไว้ เพื่อเป็นการขอบคุณเขา ซูแวนจึงถามว่าเขาต้องการจะมาอยู่แก๊งมังกรครามด้วยหรือเปล่า


 


 


           สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซือเหยี่ยนก็มาอยู่เป็นบอดี้การ์ดของซูเตอร์ แต่ที่ซือเหยี่ยนต่างจากคนรอบข้างคนอื่นๆ คือเขาเป็นอิสระ ถ้าอยากจะมาอยู่ในแก๊งมังกรครามก็มาได้เลย


 


 


           ถ้าอยากจะไป เมื่อไหร่ก็ไปได้ทั้งนั้น คนในแก๊งมังกรครามไม่ว่าจะระดับชั้นไหนต่างก็เข้าไปก้าวก่ายไม่ได้


 


 


           ดังนั้น หลังจากที่ซือเหยี่ยนเดินออกไปจากแก๊ง ก็ไม่มีใครเคยไปตามหาซือเหยี่ยน


 


 


           เพียงแต่คิดไม่ถึง ว่าหลายปีมานี้เขาจะกลับมาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญแบบนี้จนได้


 


 


           “ผมพาเขากลับมาเองแหละครับ อารอง ตอนนี้สถานการณ์ในแก๊งมังกรครามไม่มั่นคง ผมอยากให้เหยี่ยนมาปกป้องอยู่ข้างกายผมเหมือนกับเมื่อก่อน อีกอย่างผมเองจำเป็นต้องให้เขาช่วยทำให้สถานการณ์มั่งคงด้วยครับ”


 


 


           ซูเวลล์ขมวดคิ้ว “ซูเตอร์ นายเป็นลูกชายคนเดียวของพี่ใหญ่ การที่นายเข้าควบคุมดูแลงานในแก๊งเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถึงยังไงซือเหยี่ยนก็เป็นคนนอก จะให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับแก๊งมังกรครามได้ยังไง”


 


 


           ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง รีบเอามือคล้องแขนของเขาไว้ “อารองยังไม่รู้ ว่าเขาเป็นแฟนของผม เข้ามาช่วยผมก็เรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว”


 


 


 


 


ตอนที่ 261 เริ่มจะยอมรับเขาแล้ว


 


 


           ซูเวลล์สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “เจ้าเตอร์ นี่นายหมายความว่าไง”


 


 


           “เมื่อก่อนผมก็ชอบซือเหยี่ยนมาตลอด เพียงแต่ว่าต่อมาเขามีเรื่องทำให้ต้องจากไป ดังนั้นหลายปีมานี้ผมจึงเอาแต่ตามหาเขา ครั้งนี้ที่ออกจากแก๊งมังกรครามไปก็เพื่อตามหาเขา จะว่าไปครั้งนี้ผมโชคดีใช้ได้เลยครับ” ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนอย่างอ่อนโยน ยิ้มไป อธิบายไป


 


 


           “นาย” ซูเวลล์ถอนหายใจ “นายทำได้ยังไง…เฮ้อ”


 


 


           สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป


 


 


           หลังจากซูเตอร์เห็นซูเวลล์เดินจากไปแล้ว เขาก็รีบปล่อยมือลงมองซือเหยี่ยนอย่างซื่อๆ “ขอโทษนะ ฉันก็แค่ไม่อยากให้อารองเพ่งเล็งนาย ถึงได้พูดแบบนี้ ฉันไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น นายอย่าโกรธฉันเลยนะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนเก็บมือเข้าไป ลูบบริเวณที่โดนซูเตอร์จับจนยับ เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร”


 


 


           ซูเตอร์นัยน์ตาลุกวาว ถึงแม้ว่าซือเหยี่ยนจะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่คำพูดที่เขาพูดเมื่อกี้นี้หมายความว่าไง


 


 


           ‘ถือว่าซือเหยี่ยนกำลังเริ่มจะยอมรับเขาแล้วใช่ไหม’


 


 


           หลังจากกลับแก๊งมังกรครามมาแล้ว เรื่องงานมากมายทั้งหมดนั้นส่งไว้ในมือของซูเตอร์ แล้วซือเหยี่ยนเองก็ห่างกายซูเตอร์ไม่ได้ไปโดยปริยาย ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ทั้งสองคนก็จะเป็นเงาตามตัวกันอยู่เสมอ


 


 


           เดิมทีเรย์มอนยังรู้สึกว่ามีบางที่ที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แต่เห็นความต้องการอันแรงกล้าของซูเตอร์แล้ว สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ จำใจต้องรับปาก


 


 


           เพียงแต่ว่าจิตใจที่คอยระแวดระวังที่มีต่อซือเหยี่ยนของเรย์มอนไม่เคยวางลงได้มาจนถึงตอนนี้ ยังแอบจับจ้องซือเหยี่ยนอยู่เสมอ


 


 


           เพียงแต่ว่ามีซูเตอร์ขวางอยู่ จึงไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนขนาดนั้น


 


 


           เบื้องหน้าซูเวลล์มอบงานมากมายส่งให้ซูเตอร์ มีหลายเรื่องที่ตัวเองไม่ออกหน้าอีก แต่ความเป็นจริงแล้วงานที่เขาส่งออกมาก็แค่ดูเสมือนความเป็นจริง กลับเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายอะไร


 


 


           แต่เรื่องที่สำคัญพวกนั้น ทั้งหมดยังควบคุมอยู่ในมือของเขา


 


 


           ซูเตอร์รู้ว่าอารองคนนี้ใจไม่ไปทางเดียวกันกับพ่อเขา เพียงแต่ว่าติดขัดอยู่ที่ยังหาหลักฐานที่ชัดเจนไม่ได้มาเสมอ จึงจำใจต้องรักษาความสงบที่เบื้องหน้าไปชั่วคราวก่อน


 


 


           ถึงอย่างไรซูเตอร์ก็เป็นลูกคนเดียวของซูแวน เติบโตมาอยู่ในแก๊ง ทั้งยังมีเรย์มอนคอยช่วยเหลือ ถ้าต้องมาเทียบกับซูเวลล์จริงๆ กลับไม่ได้ห่างชั้นกันเท่าไหร่นัก


 


 


           ซูเวลล์เห็นซูเตอร์กลับมา ในใจก็กระวนกระวายนิดหน่อย เลี่ยงไม่ได้ที่อยากจะลงมือให้เร็วที่สุด จะได้ไม่รอจนอิทธิพลฝั่งซูเตอร์ใหญ่โต ถึงเวลานั้นเขาจะลงมือก็ไม่มีโอกาสอะไรแล้ว


 


 


           คนในตระกูลซูล้วนคดในข้องอในกระดูกด้วยกันทั้งสิ้น


 


 


            ……


 


 


           “คืนนี้จะไปไหน” เฉิงฉีมองเจียงมู่เฉิน “ไม่คิดจะกลับไปเร็วหน่อยเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “อย่าเลย ช่วงนี้แม่ฉันกำลังหาเรื่องนัดดูตัวให้ฉันอยู่ ขืนกลับไปเร็วโดนจับไว้ต้องพูดอีก”


 


 


           “เมื่อก่อนก็ยังดีๆ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงอยากจะนัดดูตัวให้นายได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินหัวเราะ ดื่มเหล้าเข้าไปอึกหนึ่ง ไม่ได้อธิบายอะไร


 


 


           ‘จะเพราะอะไรได้ กลัวเขาจะรักผู้ชายเข้าอีกไง’ ดังนั้นถึงอยากจะรีบหาแฟนที่เป็นผู้หญิงให้เขา รีบแต่งงานมีลูก แก้ไขเรื่องในใจเธอก็เท่านั้นเอง


 


 


           “แต่ว่าช่วงนี้นายดูแปลกไปจริงๆ นะ ช่วงหนึ่งนายไม่ได้มาที่นี่เลย แล้วช่วงนี้ทำไมถึงมาได้ทุกวัน”


 


 


           “เอาเป็นว่าฉันค้นพบแล้ว ว่าชีวิตแบบอิสระตามใจตัวเองเข้ากันกับฉันมากกว่า”


 


 


           เฉิงฉีเห็นเขาดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อยแค่เพียงแป๊บเดียว ก็ค่อนข้างเป็นห่วงจึงหยุดมือของเจียงมู่เฉินไว้ “พอเถอะ นายดื่มไปเยอะแล้ว ดื่มอีกจะเมาแล้วนะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มแล้วดึงมือของเขาออก “วางใจเถอะ เมาได้ก็ดีแล้ว” เขาต่างหากที่กลัวจะเมาไม่ไหว


 


 


           มั่วไป๋เดินเข้านายเยี่ยมาแวบแรกก็เห็นเจียงมู่เฉินก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้าอยู่ตรงนั้น เขาขมวดคิ้วเดินเข้าไปหยุดเจียงมู่เฉิน “เสียสติไปแล้วหรือไง นายดูว่านายดื่มไปเท่าไหร่แล้ว”


 


 


           เฉิงฉีมองมั่วไป๋แวบหนึ่ง ทั้งยังมองความสัมพันธ์ของเขาและเจียงมู่เฉิน แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


           “นายกับมู่เฉินเฉินเขา”


 


 


           มั่วไป๋เอ่ยเสียงต่ำ “เพื่อน”


 


 


           เฉิงฉีกับมั่วไป๋ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของมั่วไป๋และเจียงมู่เฉิน เขากำลังเตรียมจะพูดก็เห็นเจียงมู่เฉินยื่นมือฉุดมั่วไป๋ให้เข้าไปหาอย่างกะทันหัน


ตอนที่ 262 นายไม่ช่วยฉันอาบเหรอ


 


 


           “ไป๋ไป๋ นายมาได้จังหวะพอดีเลย”


 


 


           มั่วไป๋ขบกรามมองเจียงมู่เฉิน ถือแก้วเหล้าในมือเขาลง “พอได้แล้ว ฉันจะส่งนายกลับบ้าน”


 


 


           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่กลับไป”


 


 


           มั่วไป๋จนใจ “งั้นไปบ้านฉันไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดแล้วคิดอีก “ได้ งั้นไปบ้านนาย”


 


 


           มั่วไป๋มองเฉิงฉีแวบหนึ่ง “ฉันพามู่เฉินกลับไปก่อนนะ” เขาพูดจบก็ไม่รอให้เฉิงฉีได้พูดต่อ ดึงตัวคนมากอดประคองเดินออกไป


 


 


           เฉิงฉีลูบคางไปมา รู้สึกว่าบุคลิกของมั่วไป๋แปลกอยู่ทีเดียวจริงๆ บางมุมค่อนข้างเหมือนเจียงมู่เฉินอย่างบอกไม่ถูก


 


 


           “โอเค ฉันจะพานายกลับไปก่อน มีอะไรกลับไปค่อยว่ากัน อย่ามาวุ่นวายอยู่ที่นี่”


 


 


           เจียงมู่เฉินผู้ดื่มเหล้าไปแล้วนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ลืมตามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเมาแล้วหรือไม่ได้เมา ไม่พูดจาสักคำดูสีหน้าอารมณ์ไม่ออก


 


 


           มั่วไป๋ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงขับรถมุ่งหน้าไปคอนโดมิเนียมของตัวเองเท่านั้น


 


 


           เขาประคองร่างคนขึ้นชั้นบนไป พามาถึงห้องแล้วก็ถีบใส่ให้เข้าห้องน้ำไป ให้เขาอาบน้ำล้างกลิ่นเหล้าทั้งตัวออก แล้วค่อยมาคุยกับตัวเอง


 


 


           เจียงมู่เฉินทำหน้าซื่อมองเขา “นายไม่ช่วยฉันอาบเหรอ”


 


 


           มั่วไป๋ไม่พูดเป็นคำที่สอง ยกเท้าให้เขาเสียก่อน “อาบไม่อาบ? ไม่อาบ ฉันจะฆ่านาย”


 


 


           คนที่จะสยบเจียงมู่เฉินได้ก็มีแค่มั่วไป๋ โดนเขาถีบใส่ทีหนึ่ง เจียงมู่เฉินก็ว่าง่ายสุดๆ เข้าไปห้องน้ำอาบน้ำทันที


 


 


           มั่วไป๋ยืนอยู่นอกประตู เป่าปากโล่งอก เขาฟังเสียงน้ำข้างใน แล้วโทรหาไป๋จิ่ง


 


 


           “มาที่บ้านฉันที ถึงใต้ตึกแล้วโทรหาฉัน”


 


 


           ไป๋จิ่งได้ยินก็ตกลงทันที คว้าเสื้อจากในห้องทำงานแล้วรีบออกไป


 


 


           หลังจากวางสายแล้ว มั่วไป๋กุมขมับ ช่วงนี้เจียงมู่เฉินไม่ปกติขั้นรุนแรง ถึงแม้จะดูเหมือนเที่ยวเล่นไม่สนใจโลกตามปกติก็ตาม


 


 


           แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เขามองแวบเดียวก็เห็นได้ชัดเจน


 


 


           เรื่องของเจียงมู่เฉินต้องเกี่ยวข้องกับซือเหยี่ยนแน่นอน ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้เจียงมู่เฉินนิสัยอารมณ์เปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้


 


 


           ดื่มเหล้าแล้วมาอาบน้ำ เจียงมู่เฉินเวียนหัวอยู่บ้าง ออกจากห้องน้ำก็ตะกายขึ้นเตียงทันที


 


 


           มั่วไป๋ถือน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งเดินเข้ามา เขาเตะเจียงมู่เฉิน “ลุกขึ้นมาดื่มน้ำ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกำลังกระหายน้ำพอดี บังคับตัวเองให้ลืมตาขึ้น ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งเข้าไป


 


 


           ทำทุกอย่างเสร็จ มั่วไป๋ถึงได้ปล่อยให้เจียงมู่เฉินนอนต่อไป


 


 


           เขาออกมาจากห้องนอน ไป๋จิ่งก็มาถึงใต้ตึกพอดี เขาคิดว่าเจียงมู่เฉินนอนสักพักก็ไม่น่าจะตื่นไหว จึงหยิบกุญแจแล้วออกไปข้างนอก


 


 


           มั่วไป๋ออกไปแล้ว ทันทีที่ประตูปิดลง เจียงมู่เฉินที่อยู่ในห้องนอนเพียงชั่วครู่เดียวก็ลืมตาขึ้นมา


 


 


           เขาตาสว่าง มีหรือจะยังมีความง่วงเมื่อครู่นี้อยู่ เจียงมู่เฉินยืดแขนยืดขานอนบนเตียง ลืมตามองฝ้าเพดาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


           ใต้ตึก มั่วไป๋นั่งอยู่ในรถของไป๋จิ่ง เขาเอ่ยประโยคแรกก็ถาม “ซือเหยี่ยนล่ะ ช่วงนี้เขาอยู่ที่ไหน”


 


 


           ไป๋จิ่งใจสั่นเทา “ทำไมจู่ๆ คุณถึงมาถามว่าซือเหยี่ยนอยู่ที่ไหน” มั่วไป๋ไม่ได้สนใจซือเหยี่ยนมาแต่ไหนแต่ไร


 


 


           “ไม่มีอะไร ก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อย” มั่วไป๋จ้องมองเขา ราวกับอยากจะมองอะไรออกจากดวงตาของเขา


 


 


           “เกี่ยวข้องกับเจียงมู่เฉินใช่หรือเปล่า”


 


 


           “ตกลงระหว่างซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินเกิดปัญหาอะไรกันขึ้น”


 


 


           ไป๋จิ่งขมวดคิ้ว “บอกตามตรง ผมเองก็ไม่ชัดเจน อีกอย่างซือเหยี่ยนก็มีธุระไปดูงานต่างเมืองกะทันหัน ช่วงเวลานี้ไม่ได้อยู่บริษัทเลย”


 


 


           “โอเค ถ้าซือเหยี่ยนกลับบริษัทมา ก็รีบบอกฉันทันทีนะ”


 


 


           มั่วไป๋พูดจบก็เตรียมจะออกไป ไป๋จิ่งเห็นก็รีบฉุดรั้งดึงคนกลับเข้ามา


 


 


           “เป็นไรไป”


 


 


           ไป๋จิ่งมองใบหน้าของมั่วไป๋ เดิมทีพื้นที่ในรถก็เล็กอยู่แล้ว ยิ่งมาบวกกับที่มั่วไป๋หันหน้ากลับมาหา ทั้งสองคนอยู่ในระยะประชิดใกล้กันถึงขีดสุด


 


 


           เห็นมั่วไป๋ที ไป๋จิ่งค่อนข้างจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว เขาเข้าไปจูบทั้งแบบนี้


 


 


           ดวงตามั่วไปเบิกขึ้นเล็กน้อย ฉายสะท้อนความรู้สึกแปลกใจขึ้นมาวาบหนึ่ง


 


 


           


 


 


ตอนที่ 263 อาลัยในความอบอุ่น


 


 


ขณะจูบไม่รู้ว่าอารมณ์ฮึกเหิมมาจากไหน หลังจากจบจูบนี้ จู่ๆ ไป๋จิ่งก็หวาดกลัวอยู่บ้าง สายตาไม่ค่อยกล้าวางไว้ที่มั่วไป๋


 


 


มั่วไป๋ดูสถานการณ์แล้ว ก็ยกมือขึ้นโอบรอบคอของไป๋จิ่ง เป็นฝ่ายลงมือจูบเขาเอง


 


 


ครั้งนี้เป็นทีของไป๋จิ่ง เขาตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋จะเป็นฝ่ายจูบเขาเอง เขายังคิดว่าเมื่อครู่ที่ตัวเองจูบมั่วไป๋กะทันหัน มั่วไป๋จะโกรธเขาขึ้นมาได้


 


 


ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ ในเมื่อคนเขาเป็นฝ่ายมาส่งให้ถึงที่ ถ้ายังไม่จูบตอบ ก็จะเป็นความผิดของเขาไปจริงๆ


 


 


เขายื่นมือไปดึงมือมั่วไป๋มา เปลี่ยนจากผู้รับเป็นผู้ให้ รวมอำนาจสิทธิ์ขาดไว้ในมือของตัวเอง


 


 


มั่วไป๋รีบใช้มือยันตัวไป๋จิ่งออก ทั้งสองคนห่างกันเพียงนิดเดียว


 


 


“พอแล้ว ฉันยังมีธุระ ขอตัวขึ้นไปก่อนแล้ว” เจียงมู่เฉินยังอยู่ข้างบนห้องนะ


 


 


ไป๋จิ่งตัดใจปล่อยมั่วไป๋ไปไม่ได้ โอบรัดเข้าไว้ตลอด มั่วไป๋เห็นท่าทางเขาแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างจนใจ “นายปล่อยมือก่อน”


 


 


ไป๋จิ่งยังดึงดันดื้อรั้นอยู่ข้างๆ


 


 


“อยู่ต่ออีกสักพักนะ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง อาจจะไม่ได้มีเวลามาหาคุณ”


 


 


ซือเหยี่ยนออกจากบริษัทกะทันหัน เรื่องงานทุกอย่างก็โยนอยู่ที่เขาทั้งหมด ช่วงเวลานี้เขายุ่งจนกระดิกไปไหนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


 


 


มั่วไป๋เห็นแววตาเล็กๆ ของเขา ก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้”


 


 


ที่สุดแล้วเขาก็ยังคงไม่ได้ผลักไป๋จิ่งออก


 


 


ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ในรถ ไป๋จิ่งฉวยโอกาสตอนที่มั่วไป๋อยู่ด้วย แอบขโมยจูบไปได้ไม่น้อยทีเดียว แบบนี้ถึงได้อิ่มอกอิ่มใจพามั่วไป๋ไปส่งขึ้นชั้นบน


 


 


ออกจากลิฟต์มา ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เตรียมจะเปิดประตูในใจก็สั่นไหว จับเขาจูบอีกสักรอบ


 


 


ขามั่วไป๋อ่อนแรงบ้างแล้ว ดึงแขนเสื้อของไป๋จิ่งไว้แน่น ในใจเขาฝืนยิ้มอย่างจนใจ ที่แท้หลายปีมาขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังคงไม่มีแรงต้านทานสัมผัสจูบของไป๋จิ่งแม้แต่นิดเดียว


 


 


จูบตามอำเภอใจแบบนี้ เขาก็ยกมือยอมจำนนแล้ว


 


 


หลังพายุฝนโหมกระหน่ำ ก็จะมีฝนโปรยปรายเจือจางอีกครั้ง เพียงชั่วขณะความรู้สึกอบอุ่นรุนแรงได้เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน


 


 


มั่วไป๋ถูกแววตาอันรุ่มร้อนของเขามองมาจนหัวใจบีบคั้น


 


 


เขากำมือแน่น พยายามทำให้ตัวเองฟื้นคืนกลับมาสู่สภาพปกติ อย่าให้การกระทำเช่นนี้ของไป๋จิ่งหลอกให้ลุ่มหลงได้


 


 


ไป๋จิ่งเป็นคนแบบไหน เขารู้แจ้งแก่ใจดีกว่าใคร


 


 


เวลานี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นกับนายเพียงน้อยนิด เวลาต่อไปก็จะตัดเยื่อใยอย่างไร้ความปรานีได้


 


 


เขาเคยตกหลุมพรางมาแล้วครั้งหนึ่ง จะมาโดนหลอกอย่างโง่ๆ อีกครั้งไม่ได้


 


 


มั่วไป๋ผลักเขาออก เอ่ยเสียงต่ำ “พอได้แล้ว ดึกแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”


 


 


ไป๋จิ่งถอนหายใจ “อยากจะห่อคุณกลับไปด้วยจริงๆ”


 


 


รอยยิ้มฉายสะท้อนขึ้นมาในแววตามั่วไป๋วาบหนึ่ง “ได้สิ รอนายทำงานของนายเสร็จแล้ว นายก็มาห่อฉันกลับไป”


 


 


ไป๋จิ่งตาลุกวาว ไม่ค่อยกล้าจะเชื่อเท่าไหร่ “คุณพูดจริงๆ เหรอ พาคุณไปได้จริงๆ เหรอ”


 


 


“ถ้านายอยากพาไปด้วย ก็ได้อยู่แล้ว”


 


 


ไป๋จิ่งก้มลงจูบเขาฟอดหนึ่ง “มั่วไป๋ ไม่งั้นคุณย้ายมาอยู่กับผมไหม” เขากลัวมั่วไป๋เข้าใจผิด จึงรีบเอ่ยต่อ “หรือว่าให้ผมย้ายเข้ามาอยู่กับคุณ”


 


 


มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “ย้ายไปอยู่กับนาย…”


 


 


ไป๋จิ่งรอคำตอบของมั่วไป๋อย่างกระวนกระวายใจ หายใจแรงๆ ยังไม่กล้าเลย


 


 


“ก็ไม่ใช่ไม่ได้”


 


 


บรรยากาศเงียบลงสองวินาที ไป๋จิ่งชะงักงันมองเขาอย่างไม่น่าเชื่อ นัยน์ตาทอประกายความดีใจแทบบ้า


 


 


เขากุมมือมั่วไป๋ไว้แน่น “งั้นถือว่าคุณพูดแล้วนะ ผมจะรีบจัดการเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วจะมาช่วยคุณย้ายบ้านนะ”


 


 


“ได้” มั่วไป๋จูบเขาครู่หนึ่ง “รีบกลับไปเถอะ เดินทางปลอดภัย ระมัดระวังด้วย”


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋รับปากแล้ว ก็เบิกบานไปทั่วทั้งหัวใจ ครั้งนี้มั่วไป๋ให้เขากลับไปก่อน เขาแทบจะปล่อยมืออย่างไม่ลังเล


 


 


           “โอเค งั้นผมกลับไปก่อนแล้ว รีบพักผ่อนนะ”


 


 


           จนกระทั่งไป๋จิ่งออกไปแล้ว สีหน้ามั่วไป๋ก็เย็นชาเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จืดจางลง ถึงได้ยื่นมือเปิดประตูเข้าไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม