(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 248-255

 ตอนที่ 248 โดนจับคาที่


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบเร่งจนมาถึงยังใต้ตึกของซือกรุ๊ป พอรถจอดก็มุ่งหน้าพุ่งตัวขึ้นไปหาที่ห้องทำงานของไป๋จิ่ง หลังจากเสี่ยวหลิวพึ่งจะออกมาจากห้องทำงานของไป๋จิ่งก็เห็นเจียงมู่เฉินทันที เพียงรู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตสังหารอย่างชัดเจน


 


 


           เขาคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง ตัวเองต้องแอบส่งข่าวด่วนไปบอกประธานไป๋ของเขาสักหน่อยไหม แต่ยังไม่ทันได้ใคร่ครวญเสร็จ เจียงมู่เฉินก็พุ่งตัวเข้าไปแล้ว


 


 


           ปัง! ได้ยินแค่เสียงกระแทก ประตูโดนเหวี่ยงในเพียงพริบตา


 


 


           เสี่ยวหลิวเก็บความคิดเรื่องแอบส่งข่าวเข้าไปอย่างเงียบๆ ถึงอย่างไรเขากับประธานไป๋ล้มได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ประธานไป๋ล้มแล้ว เขาก็ต้องพยายามปักหลักยืนหยัดอย่างทรหดเสมอ ไม่อย่างนั้นงานใครจะมาทำ


 


 


           คิดได้ขนาดนี้ เสี่ยวหลิวรู้สึกว่าตัวเองมีความจงรักภักดีที่สุดแล้ว


 


 


           ไป๋จิ่งอยู่ในห้องทำงาน เจียงมู่เฉินกดไป๋จิ่งไว้กับเก้าอี้ ยิ้มเยาะมองเขา ไป๋จิ่งสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น


 


 


           “คือว่า…คุณชายน้อยเจียง ฉันเป็นแฟนของเพื่อนนายนะ นายกดฉันไว้แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง”


 


 


           “แฟนช่วงทดลองใช้”


 


 


           ไป๋จิ่งได้ยินคำที่ฟังไม่เข้าหูที่สุด ‘ช่วงทดลองใช้’ ก็รีบโต้แย้งทันที “เดี๋ยวก็ต้องเลื่อนขั้นเป็นตัวจริงแล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันกลัวว่านายจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันได้เลื่อนขั้นวันนั้นแล้ว”


 


 


           “นายต้องการมาลงความโกรธแค้นอะไรกับฉัน” ไป๋จิ่งกลืนน้ำลาย คุณชายน้อยเจียงคงจะไม่มาหลงเสน่ห์ความหน้าตาดีของเขากะทันหัน แล้วมีใจอยากได้ขึ้นมาหรอกใช่ไหม 


 


 


           “ไป๋จิ่ง วันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของนาย ฉันร่ำลาแฟนช่วงทดลองใช้ของนายให้นายเรียบร้อยแล้ว ให้เขาไม่ลืมไปไหว้นายด้วย”


 


 


           “มั่วไป๋ว่ายังไงบ้าง” ไป๋หน้าสีหน้ารอคอย อยากรู้เหลือเกินว่ามั่วไป๋ของเขาจะพูดคำอาวรณ์อะไรออกมาได้บ้าง


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะเพียงนิด “เขาบอกว่าจะเก็บศพนาย แล้วยังจะส่งดอกกุหลาบวางหน้าป้ายหลุมศพนายด้วย”


 


 


           ไป๋จิ่งมองเขาอย่างสิ้นหวัง “มั่วไป๋ของฉันพูดขนาดนี้จริงๆ เหรอ”


 


 


           “อะไรกัน ตัวนายเองอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในใจของมั่วไป๋ นายเองไม่ได้นับดูหรือไง”


 


 


           “เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ที่มั่วไป๋จะไม่ชอบฉัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ชอบกับน้องสาวนายสิ”


 


 


           ไป๋จิ่งทำหน้าไม่เข้าใจ “ไม่ได้สิ ฉันไม่มีน้องสาวนะ เขาจะชอบน้องสาวฉันได้ยังไงกัน” เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉิน “หรือว่าฉันจะต้องแปลงเพศ แล้วแกล้งทำเป็นน้องสาวฉันเข้าใกล้เขา?”


 


 


           เจียงมู่เฉินจะโดนความคิดพิสดารของไป๋จิ่งโจมตีจนจะแพ้แล้วจริงๆ เมื่อก่อนรู้สึกว่าคนคนนี้ดูเหมือนจะยังเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง ตอนนี้เดินบนเส้นทางนักแสดงตัวพ่อนับวันยิ่งไปไกลแล้ว


 


 


           ยังเป็นประเภทที่กู่อย่างไรก็กู่ไม่กลับเสียด้วย


 


 


           เจียงมู่เฉินหลับตาลง กำปั้นทุบไปบนเก้าอี้ข้างตัวไป๋จิ่ง “ใครอนุญาตให้นายเอาเรื่องฉันไปโพนทะนาไปทั่วแบบนี้”


 


 


           “ฉันโพนทะนาเรื่องอะไรของนาย”


 


 


           “แม่งเอ๊ย เรื่องที่ฉันโดนซือเหยี่ยนกักตัวสามวันเต็มๆ นายไม่ได้พูด เป็นผีพูดหรือไง” เจียงมู่เฉินขบกราม “นายจะให้คุณชายกักตัวนายสามวันเต็มๆ ให้นายโดนจับกดครั้งแล้วครั้งเล่าใช่ไหม”


 


 


           ไป๋จิ่งคิดไตร่ตรองอย่างจริงจังสักพักหนึ่ง “ถ้านายอยากจะกักตัวฉันไว้สามวันเต็มๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” เขาลูบคางไปมา “ฉันมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา ตอนนี้ยังกล้ามีเงื่อนไขอีกเหรอ


 


 


           “ให้มั่วไป๋ของฉันเข้ามาอยู่ด้วยกันกับฉันได้ไหม แบบนี้นายอย่าว่าแต่สามวันเลย สัปดาห์หนึ่งฉันก็ไม่ต่อต้านอะไรทั้งนั้น”


 


 


           เจียงมู่เฉิน “…”


 


 


           อดจะมองบนใส่ไม่ได้แล้วจริงๆ วงจรสมองของคนคนนี้เป็นลำไส้ใช่ไหม ไม่ปกติเลยสักนิด


 


 


           เขามองไป๋จิ่งเอ่ยถามอย่างจริงจัง “นายต่ำทรามขนาดนี้ มั่วไป๋รู้บ้างไหม”


 


 


           ไป๋จิ่งใคร่ครวญครู่เดียว “มั่วไป๋จะรู้หรือไม่รู้ เรื่องนี้ฉันไม่แน่ใจ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันแน่ใจ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “เรื่องอะไร”


 


 


           ไป๋จิ่งได้ยินเสียงประตูเปิด เขายิ้มเบาๆ แต่สดใสไม่มีใครเกินให้กับเจียงมู่เฉิน “ฉันแน่ใจว่านายอาจจะต้องโดนจับกลับไปกักตัวสามวันอีกครั้ง”


 


 


           ประตูถูกผลักเปิดเข้ามาพอดี เจียงมู่เฉินกำลังกดไป๋จิ่งไว้อยู่ อิริยาบถของคนสองคนใกล้ชิดแนบสนิทกัน


 


 


 


 


ตอนที่ 249 พี่ชาย ฉันเจ็บ


 


 


           ซือเหยี่ยนสีหน้าดำคร่ำเคร่งยืนอยู่หน้าประตู เห็นสองคนที่อยู่ไม่ไกล เส้นเลือดบนหน้ากระตุกแล้วกระตุกอีก


 


 


           เจียงมู่เฉินหันกลับมามองซือเหยี่ยน ทั้งยังก้มหน้ามองมือที่กดอยู่บนตัวของไป๋จิ่ง เขารีบเก็บมือเข้าไป แล้วมองซือเหยี่ยน “ถ้าฉันบอกว่า ฉันเตรียมจะล้อเล่นกับไป๋จิ่ง นายจะเชื่อไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น เดินเข้าไปอย่างช้าๆ หิ้วปีกเจียงมู่เฉินกลับมากดที่ห้องทำงานของตัวเอง “ตอนนี้ผมกดคุณอยู่ก็คือการล้อเล่นเหมือนกัน คุณจะเชื่อไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก เขาอยู่ในท่าแบบนี้แล้ว ยังจะกดไว้ล้อเล่นเหรอ


 


 


           “ซือเหยี่ยน นายเห็นว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง” เขาดูเหมือนปัญญาอ่อนขนาดนั้นเลยเหรอ


 


 


           “แล้วคุณคิดว่าผมเป็นคนโง่เหรอ” ซือเหยี่ยนเอาคำพูดคงเดิมย้อนใส่เจียงมู่เฉิน


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรกตัวเองก็จะไม่พุ่งเข้าไปคิดบัญชีในห้องทำงานของไป๋จิ่ง ควรจะให้ซือเหยี่ยนไปช่วยเขาคิดบัญชี


 


 


           ซือเหยี่ยนขบกรามมองเขา “สองวันก่อนจูบมั่วไป๋ วันนี้มาคร่อมทับไป๋จิ่ง ทำไม ผมเติมเต็มให้คุณไม่ดีพอกับใจคุณใช่ไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกถึงก้นที่เกร็งแน่น รีบยอมแพ้ “พี่ชาย พอใจๆๆ พอใจเป็นพิเศษเลย”


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “อ้อ แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าคุณพอใจนะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินร้องโหยหวนในใจอย่างเงียบๆ ตอนนี้ใครช่วยพาเขาออกจากปากซือเหยี่ยนออกมาได้ เขารับรองจะขอบคุณเขาคนนั้นไปตลอดชีวิตเลย


 


 


           ‘ก้นเขายังเจ็บอยู่นะ’ ถ้าโดนซือเหยี่ยนจับกดอีก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องตายภายใต้ร่างของซือเหยี่ยนแน่


 


 


           “พี่ชาย ฉันเจ็บ” เจียงมู่เฉินเริ่มแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา


 


 


           “พอดีเลย ผมจะได้ช่วยคุณดู” ขณะพูดก็จะลงมือถอดกางเกงของเจียงมู่เฉินไปด้วย


 


 


           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ต่อไปจะไม่รนหาที่ตายอีกแล้ว โดนจับกดบ่อยๆ ขนาดนี้ช่างขาดทุนง่ายมากจริงๆ เขายังหนุ่มขนาดนี้ไม่อยากจะตายตั้งแต่ยังหนุ่มนะ


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทีของเขา รอยยิ้มก็ฉายสะท้อนขึ้นในแววตาแวบหนึ่ง เขาจงใจจ้องมองคนตรงหน้า พร้อมแสดงท่าทางเหมือนว่าจะจัดการเขาตรงนี้จริงๆ


 


 


           เจียงมู่เฉินหวาดกลัว หรือว่าสถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีใครที่ไหนจะมาช่วยเขาเลยเชียวเหรอ


 


 


           ก๊อก ก๊อก…


 


 


         จู่ๆ ประตูก็ถูกเคาะสองที เจียงมู่เฉินได้ยิน ดวงตาก็ลุกวาวในพริบตา หรือว่าผู้ช่วยชีวิตมาถึงแล้วใช่ไหม ผู้มีพระคุณสินะ


 


 


           เขายกเท้าถีบเข้าไป “รีบปล่อยคุณชายสิ มีคนมาแล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางร้อนรนของเขา แอบออกแรงในมือเงียบๆ ไม่ยอมปล่อยมือ เขาจงใจก้มหน้าเข้าใกล้ใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ทำท่าทางต้องการจะจูบอีกฝ่าย “ห้องทำงานของผม ผมไม่ให้เข้ามา เขาก็ต้องยืนรออยู่ข้างนอกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”


 


 


           เขากัดเข้าที่มุมปากของเจียงมู่เฉิน “มาแก้ปัญหาระหว่างพวกเราสองคนก่อนดีกว่า”


 


 


           เจียงมู่เฉินตกใจจนฉี่จะราดแล้ว ไม่ขนาดนี้มั้ง ข้างนอกยังมีคนอยู่ เจ้าหมอนี่ยังคิดจะกดเขา เมื่อกี้ที่พวกเขาเข้ามายังไม่ได้ล็อกประตูนะ ถ้าหากโดนคนเห็นเข้า จะไม่เสียหน้าไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิกเลยเหรอ


 


 


         เจียงมู่เฉินขบกราม ตอนนี้ในอิริยาบถนี้ ซือเหยี่ยนไม่ร้อนใจอยู่แล้ว มีความสามารถให้เขาพลิกกลับมากดซือเหยี่ยนได้ รับรองเขาเองก็ใจเย็นมากเหมือนกัน


 


 


           “นายแม่งปล่อยฉันนะ ฉันไม่ได้อยากแก้ปัญหากับนายสักหน่อย”


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “เฉินเฉิน คุณไม่ยินยอมจริงๆ เหรอ”


 


 


           “หัวฉันโดนประตูหนีบเท่านั้นแหละถึงจะเห็นด้วยได้” เขาขยับขาอยากจะเตะซือเหยี่ยน “แม่งเอ๊ยนายปล่อยฉันนะ ได้ยินไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้รอยยิ้มในแววตายิ่งหยั่งลึก เขาวางมือบนกระดุมเสื้อเชิ้ตของเจียงมู่เฉิน หัวใจเจียงมู่เฉินตกใจแทบจะหยุดเต้นแล้ว “ซือเหยี่ยน นายแม่งจะมาจริงๆ เหรอ”


 


 


           เขาลงมือแยกกระดุมเม็ดแรกออก “อะไรกัน ผมมาหลอกๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


 


           นอกประตูมีเสียงเคาะดังขึ้นมาอีกสองครั้ง หัวใจที่ตื่นตระหนกของเจียงมู่เฉินใกล้จะกระโดดออกมาแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่ตื่นตระหนกขนาดนี้มาก่อน


 


 


           “นายว่ามา นายจะเอายังไงกันแน่” เจียงมู่เฉินขบกราม


ตอนที่ 250 ซูแวนโดนลอบทำร้าย


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นว่าตัวเองแกล้งจนเขาเดือดพล่านแล้ว ก็รีบคลี่คลายสถานการณ์ “คืนนี้กลับไป คุณขยับเอง ถ้าคุณตกลง ผมถึงจะปล่อยมือ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกัดฟันกรอด ไม่พูดจา


 


 


           เขามองดูท่าทางของซือเหยี่ยน ทำนองว่าถ้าเขาไม่เอ่ยปากยอมตกลงก็จะทำมันตรงนี้เลย เจียงมู่เฉินขบกรามแรงๆ อยู่ครู่ใหญ่ “ตกลง คุณชายตกลงแล้ว ยังไม่โอเคเหรอ”


 


 


           เขาอยากจะร้องไห้เสียจริงๆ โดนซือเหยี่ยนขุดหลุมฝังกลบอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ จะดีจริงๆ เหรอ


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นว่าในที่สุดเขาก็เอ่ยปากออกมา ถึงได้ก้มหน้าลงไปจูบเขาอย่างดุเดือด ถึงได้ปล่อยมือออกจากเจียงมู่เฉินไป เจียงมู่เฉินโดนเขาจูบจนหางตาแดงก่ำ ซือเหยี่ยนเห็นนัยน์ตาทอประกายแสงแวววาวของเขา กล้ามตรงท้องน้อยก็เกิดหดเกร็งขึ้นมา แทบอยากจะโผเข้าหาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่งด้วยอารมณ์รุนแรง รีบเช็ดหางตาที่ยังคงปริ่มน้ำ ก่อนใช้มือยันกายขึ้นมาจากโต๊ะ


 


 


           “เข้ามา” ซือเหยี่ยนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ


 


 


           ข้างนอกเงียบสักพักหนึ่งถึงเปิดประตูเข้ามา ผู้ช่วยของซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าทางเข้า “ประธานซือครับ คุณซูมาแล้วครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว เป็นอย่างที่คิดไว้เจอซูเตอร์อยู่ข้างหลังของเขา คิดไม่ถึงว่าจะมาบังเอิญเจอซูเตอร์จนได้


 


 


           เขาเบนสายตามาจดจ่อที่ซือเหยี่ยน เชิดหางตาใส่ แสดงท่าทีบ่งบอกว่าให้อีกฝ่ายชี้แจงมาด้วย


 


 


           ซือเหยี่ยนยื่นมือดึงเขามาอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง จากนั้นมองผู้ช่วยแล้วพยักหน้า “เชิญเขาเข้ามา”


 


 


           ตั้งแต่เข้ามานาทีนั้นดวงตากลมโตของซูเตอร์ก็เอาแต่จับจ้องมาที่เจียงมู่เฉินตลอด เขายืนรออยู่ข้างนอกตั้งนานก็ไม่เปิดประตูสักที พวกเขาสองคนปิดตายอยู่ข้างในห้องทำเรื่องอะไรกัน มองปราดเดียวก็รู้ได้


 


 


           ยิ่งไปกว่านั้นคือหางตาที่แดงก่ำและริมฝีปากที่ยังคงบวมแดงของเจียงมู่เฉิน…


 


 


           ซูเตอร์กำหมัดแน่น เขารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉิน แต่ว่าพอมาเห็นพวกเขายังคงเหมือนเดิมอยู่แบบนี้ ในใจก็รู้สึกโกรธแค้นยากเกินจะทนไหว


 


 


           ไม่ช้าก็เร็วสักวันเขาจะเอาความอับอายขายหน้าทั้งหมดบนตัวเขาทยอยส่งคืนให้เจียงมู่เฉินทีละนิดๆ ให้โดนแผดเผาทั้งเป็น


 


 


           ถึงเวลานั้น ซือเหยี่ยนก็จะเป็นของเขาได้โดยไม่มีเจียงมู่เฉินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยตลอดไป


 


 


           เจียงมู่เฉินนั่งลงอยู่ตรงนั้น กวาดสายตามองซูเตอร์โดยไม่ระวัง เขาอยากรู้จริงๆ ว่าวันนี้ซูเตอร์มาเพราะเรื่องอะไรอีก


 


 


           “เหยี่ยน ฉันมาหานายมีเรื่องจะคุยส่วนตัวกับนายสองคน สะดวกไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง เห็นเขายิ้มเยาะเยือกเย็นมองตัวเอง ซือเหยี่ยนรู้ความหมายของเจียงมู่เฉินอย่างไม่มีทางเลี่ยง


 


 


           “เฉินเฉินเขาไม่ใช่คนนอก ไม่เป็นไร”


 


 


           ซูเตอร์กำหมัดด้วยความไม่ยินดี “เรื่องนี้เกี่ยวกับแก๊งมังกรคราม ฉันคิดว่าคุณชายเจียงหลบเลี่ยงไปจะดีกว่า”


 


 


           ดึงเรื่องแก๊งมังกรครามออกมาจนได้ นี่ถ้ายังไม่ออกไปอีกไม่ใช่จะว่า ‘เขาไม่รู้จักกาลเทศะ’ หรอกใช่ไหม


 


 


           เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้นปัดเสื้อผ้าอย่างช้าๆ ทั้งยังจัดเสื้อเชิ้ตที่โดยซือเหยี่ยนทำเสียทรง “ในเมื่อเป็นเรื่องภายในของคุณซู ฉันก็ไม่ยุ่งด้วยแล้ว วันหลังจะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรมาก็มาสงสัยฉันเป็นทำความลับรั่วไหล”


 


 


           เขามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “ฉันไปก่อนนะ คืนนี้ก็กลับบ้านเร็วหน่อยแล้วกัน” เขาหรี่ตาใส่ซือเหยี่ยน “เลยเวลาไม่รอนะ”


 


 


           เขาพูดจบก็กวาดสายตามองซูเตอร์ด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม จากนั้นถึงได้เดินจากไป


 


 


           ความเดือดดาลฉายสะท้อนในแววตา มาแสดงอำนาจสิทธิ์ขาดต่อหน้าเขา คิดว่าทำแบบนี้แล้วเขาจะยอมให้เหรอ


 


 


           เจียงมู่เฉินไร้เดียงสาเกินไปแล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนรอจนเจียงมู่เฉินเดินออกไปแล้ว ถึงได้เบนสายตามามองซูเตอร์ “เป็นไรไป แก๊งมังกรครามเกิดเรื่องอะไรเหรอ”


 


 


           “พ่อฉันโดนคนลงมือลอบสังหาร ได้รับบาดเจ็บสาหัส หวังให้ฉันกลับไป” เขาเองก็เพิ่งรู้ข่าวเมื่อเช้านี้ เมื่อคืนระหว่างทางกลับบ้าน ซูแวนโดนลอบยิง กระสุนเข้าที่หัวใจ


 


 


           “ถ้างั้นคุณก็ควรจะกลับไป แก๊งมังกรครามและพ่อคุณต้องการคุณมากนะ”


 


 


           


 


 


           ตอนที่ 251 เริ่มลงสนาม


 


 


           “ฉันอยากให้นายไปเป็นเพื่อนฉันด้วยกัน พ่อฉันโดนลอบทำร้ายกะทันหัน ตอนนี้ในแก๊งต้องวุ่นวายมากแน่ๆ ฉันกลับไปเวลานี้ต้องไม่สงบแน่ๆ” เขามองซือเหยี่ยน “ฉันรู้ว่าวันนั้นฉันเอาแต่ใจตัวเองเกินไป ฉันผิดเอง หลายวันมานี้ฉันพิจารณาตัวเองอยู่ตลอด ดังนั้นนายอย่าถือสาฉันเลยได้ไหม”


 


 


           นิ้วมือซือเหยี่ยนเคาะที่โต๊ะเบาๆ “ผมเป็นคนนอก ไปปรากฏตัวด้วยกันกับคุณ ไม่ดีมั้ง”


 


 


           ซูเตอร์รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “นายอยู่ข้างฉันมาตั้งนาน ตลอดมาฉันเชื่อนายมาก ครั้งนี้ฉันกลับไปก็ยากจะรับประกันว่าจะไม่มีใครอยากจะลอบฆ่าฉัน ดังนั้นฉันอยากจะขอร้องให้นายกลับไปด้วยกันกับฉัน ช่วยฉันสักครั้งนะ…รอฉันกลับไปทำให้สถานการณ์สงบนิ่งมั่นคงได้แล้ว นายก็กลับมาได้ทันทีเลย ฉันสัญญาฉันรับประกันว่าต่อไปจะไม่มาหานายอีก”


 


 


           นัยน์ตาซือเหยี่ยนฉายแววบางอย่าง เขาครุ่นคิดนิดหน่อย


 


 


           ซูเตอร์เห็นท่าทีของเขาดูอ่อนลงบ้างแล้ว ก็เอ่ยต่อ “ตอนนั้นพ่อฉันช่วยนายอยู่ไม่น้อย ตอนนี้พ่อฉันตกอยู่ในอันตราย นายไม่คิดจะไปช่วยท่านสักหน่อยจริงๆ เหรอ”


 


 


           “ซูเตอร์ เรื่องนี้คุณให้ผมคิดทบทวนสักหน่อยจะได้ไหม”


 


 


           “เหยี่ยน ฉันบินกลับอเมริกาเที่ยวบินตอนเช้า ฉันหวังว่าฉันขอร้องอ้อนวอนนายแล้ว นายจะกลับไปกับฉันได้” ใบหน้าซูเตอร์แสดงความขอร้อง


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “ได้ ผมจะไตร่ตรองดูอย่างจริงจัง”


 


 


           “เหยี่ยน ฉันต้องการนายมากจริงๆ”


 


 


           หลังจากซูเตอร์ออกไป นัยน์ตาที่เจืออารมณ์ที่ต่อสู้ขัดแย้งกันเมื่อครู่นี้ก็แปรเปลี่ยน เขาวิดีโอคอลติดต่อกับไมเคิลโดยพลัน


 


 


           “ซูแวนโดนลอบทำร้ายจริงๆ เหรอ” ไมเคิลรับสายก็เปิดประเด็นเรื่องซูแวนทันที


 


 


           ไมเคิลพยักหน้า “ฉันกำลังจะเตรียมติดต่อนายพอดีเลย เมื่อคืนนี้ซูแวนโดนลอบทำร้ายทำร้ายกะทันหัน”


 


 


           “รู้ไหมว่าใครทำ”


 


 


           “ซูเวลล์”


 


 


           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว “เขาลงมือกะทันหันรวดเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” เขาคิดว่าตามนิสัยของซูเวลล์แล้วยังต้องรอไปอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง ทำไมจู่ๆ ถึงมาลงมือเวลานี้ได้


 


 


           “สถานการณ์โดยละเอียด ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เพราะเรื่องที่ซูแวนถูกยิง ทำให้ในแก๊งมังกรครามวุ่นวายไปหมด ฉันคิดว่าในเมื่อซูเวลล์กล้าลงมือ ต้องเป็นการเตรียมจะปิดเกมแน่ๆ หรือบางทีอีกแป๊บเดียวเขาก็จะไปขั้นต่อไปแล้ว”


 


 


           “ซูเตอร์ให้ฉันกลับไปแก๊งมังกรครามด้วยกันกับเขา”


 


 


           “เขามาหานายจริงๆ เหรอ แล้วนายตัดสินใจยังไง จะมากับเขา?” ไมเคิลขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพียงแต่ว่าถ้านายปรากฏตัวออกมา นายจะหลุดพ้นจากน้ำขุ่นๆ นี้ไม่ได้แล้วนะ ถึงเวลานั้นนายก็จะติดร่างแหอยู่ในการต่อสู้แสนวุ่นวายนี่ไปด้วย”


 


 


           เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะฉะนั้น นายต้องคิดดีๆ แล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนเงียบไม่พูดจาไปสักพัก “ฉันเคยคิดไว้ ในเมื่อการชิงชัยนี้มีขึ้นมาแล้ว ฉันจะได้อาศัยซูเตอร์ลงสนามนี้พอดี…ถึงแม้ว่าตอนนี้ซูแวนจะถูกยิง แต่หลายปีมานี้เขาเองก็มีคนสนิทที่ซูเวลล์สยบไม่ไหว ถ้ารวมซูเตอร์กลับไป ถึงตอนนั้นซูเวลล์ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะครอบครองแก๊งมังกรครามได้โดยสมบูรณ์…เพราะฉะนั้น ฉันตัดสินใจจะลงสนามนี้ ช่วยซูเวลล์สักตั้ง”


 


 


           “แล้วนายเคยคิดหรือเปล่า ว่าต่อหน้า นายเป็นคนของซูเตอร์ แต่ลับหลัง แอบช่วยซูเวลล์ ถ้าซูเวลล์ทำสำเร็จจริงๆ ถึงเวลานั้นซูเวลล์ก็จะไม่มีทางปล่อยนายไป”


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “วางใจเถอะ ฉันวางแผนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ครั้งนี้ก็คิดซะว่าฉันไปจบเรื่องราวชดเชยที่ตอนนั้นฉันจากไปกะทันหันก็แล้วกัน…แก๊งมังกรครามมีชีวิตอยู่มาได้หลายปีขนาดนี้ ก็ควรจะสิ้นสุดลงได้สักที”


 


 


           ไมเคิลหัวใจบีบคั้น คิดถึงเรื่องหนึ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาอ้าปากเอ่ยถามด้วยความสองจิตสองใจ “นายจะบอกว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นายไม่ได้ทำเพื่อโค่นล้มซูเตอร์ ไม่ได้ทำเพื่อรักษาตำแหน่งให้ซูเวลล์ได้ขึ้นใช่ไหม”


 


 


           “เป้าหมายของฉันมีเพียงแค่อย่างเดียว คือปฏิบัติภารกิจการแฝงตัวเป็นสายลับในตอนนั้นให้สำเร็จ ถอนรากถอนโคนแก๊งมังกรครามให้หมด”


 


 


           “ดังนั้น นายเตรียมจะ…ติดต่อพวกเขาเหรอ”


ตอนที่ 252 เอาตัวเข้าไปเสี่ยง


 


 


           “อืม ฉันต้องยืมกำลังจากฝั่งตำรวจ”


 


 


           ไมเคิลได้ยินก็ว่า “นายบ้าไปแล้ว ตอนนั้นจู่ๆ นายก็พูดว่าไม่ทำก็ไม่ทำ ท่านเชนพวกเขาโกรธนายแทบคลั่งเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้นายกลับไปหาพวกเขา พวกเขาจะเชื่อนายง่ายๆ เหรอ”


 


 


           “วางใจเถอะ อย่างมากก็แค่อัดฉันระบายความแค้นเอง” ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “เพียงแต่อาจารย์ของฉันไม่แน่นอนว่าจะฟาดฉันได้ลงคอ”


 


 


           ไมเคิลรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างเป็นห่วงแทนซือเหยี่ยนไม่เบา เขาเป็นห่วงมากมายขนาดนั้น ซือเหยี่ยนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ


 


 


           “โอเค งั้นพรุ่งนี้นายก็กลับมาพร้อมซูเตอร์เลยสินะ ถึงอเมริกาเมื่อไหร่ไว้เจอกันอีก”


 


 


           “หลังจากฉันถึงอเมริกาแล้ว จะเจอหน้านายไม่ได้ ฉันกลับไปกะทันหันแบบนี้ คนตระกูลซูต้องจับจ้องฉันไม่ให้คลาดสายตาอยู่แล้ว แต่ว่านายวางใจได้ มีโอกาสฉันจะเป็นฝ่ายติดต่อนายไปเอง”


 


 


           ไมเคิลพยักหน้า “โอเค งั้นนายก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น อย่าเกิดเรื่องเด็ดขาด”


 


 


           หลังจากจบการสนทนาทางวิดีโอไป ซือเหยี่ยนเอามือกุมขมับ เขาเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ตอนนี้จะบอกเจียงมู่เฉินยังไงดี


 


 


           ถ้าเจียงมู่เฉินรู้ว่าเขาเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เขาไม่มีทางจะบอกให้เขาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


 


 


           ซือเหยี่ยนหลับตาลง ต้องคิดหาแผนที่รอบคอบรัดกุม ถึงจะทำให้เจียงมู่เฉินไม่สงสัยเขาได้


 


 


           ……


 


 


           เจียงมู่เฉินออกจากห้องทำงานของซือเหยี่ยนแล้ว ก็ขับรถมุ่งหน้าไปเจียงกรุ๊ป ช่วงเวลานี้เขาไม่ได้กลับบ้านเลย พ่อทนดูเฉยๆ ไม่ได้จึงให้เขาเข้ามารายงานตัวสักหน่อย


 


 


           เขาจอดรถบริเวณทางเข้าเจียงกรุ๊ป เมื่อลงรถไปก็เห็นรถคันข้างๆ ดูคุ้นตา ลักษณะเหมือนจะเป็นรถของซังจิ่ง


 


 


           หรือว่าเจ้าหมอนั่นก็อยู่ด้วย?


 


 


           เจียงมู่เฉินเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยเข้าไป ตลอดทางไม่มีกีดขวางเส้นทางจนไปถึงหน้าประตูห้องทำงานของคุณพ่อเจียง เขาเคาะประตูอย่างมีมารยาทเป็นพิเศษ


 


 


           ถ้าหากว่าพ่อเขาทำเรื่องอะไรรุนแรงขึ้นมา ตัวเองก็ไม่สามารถไปปะทะกับท่านได้


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเงียบๆ รู้สึกว่าตัวเองรู้ความที่สุดแล้ว ลูกชายทำได้ถึงขั้นนี้ก็ไม่มีใครแล้วล่ะ         


 


 


           “เข้ามา”


 


 


           ได้ยินเสียงของพ่อเขา เจียงมู่เฉินถึงได้ผลักประตูเข้าไป เป็นอย่างที่คิดไว้ข้างในมีซังจิ่งนั่งอยู่ เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “บังเอิญจัง เจอประธานซังที่นี่ได้ด้วย?”


 


 


           คุณพ่อเจียงเห็นท่าทางลอยหน้าลอยตาของเจียงมู่เฉินก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “ทำไมถึงเพิ่งจะเข้ามาตอนนี้ได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินทำอะไรในใจไม่ได้ ลูกชายของพ่อถ้าไม่ต่อสู้ดิ้นรนออกมาจากใต้ร่างของซือเหยี่ยน เกรงว่าวันนี้จะมาปรากฏตัวไม่ได้แล้ว


 


 


           “พ่อ วันนี้เรียกผมมามีเรื่องอะไรอีกครับ”


 


 


           ‘ถึงยังไงไม่มีเรื่อง พ่อเขาก็ไม่มีทางให้เขาเข้าบริษัทมาง่ายๆ หรอก’


 


 


           “โครงการหลินไห่ฉันดูแล้ว โชคดีที่มีประธานซังช่วย ทำออกมาได้ดีมาก วันนี้เรียกแกเข้ามาก็อยากให้ต่อไปแกเรียนรู้งานกับประธานซังเยอะๆ จะได้รีบมาช่วยฉันประคับประคองบริษัทไง”


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว ดูท่าว่าคำพูดของพ่อเขามีความหมายอื่นแฝงอยู่นะ


 


 


           “คุณชายเจียงฉลาดขนาดนี้ ท่านเอ่ยแค่นิดเดียวก็พอแล้วครับ ผมอยู่ต่อหน้าท่านก็เป็นแค่เพียงเส้นขนเท่านั้นเองครับ”


 


 


           “ที่ไหนกัน ประธานซังยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ ก็ประสบความสำเร็จแล้ว อนาคตจะยิ่งโดดเด่นกว่านี้อีก”


 


 


           เจียงมู่เฉินจนใจ เหตุที่เรียกเขามาคือให้มาดูพวกเขาคุยโวโอ้อวดกันและกันเหรอ


 


 


           “ประธานเจียง คุณชายเจียง ผมยังมีธุระต่อ ขอตัวออกไปก่อนแล้ว วันหลังมีเวลาจะมาเยี่ยมเยียนอีกนะครับ”


 


 


           คุณพ่อเจียงเผลอยิ้มออกมา “ตามสบาย เมื่อไหร่ก็มาได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นพ่อของเขาออกไปส่งคนแล้วกลับมาอีกครั้ง เขาฟุบไปกับโซฟามองดูคุณพ่อเจียง “พ่อครับ พ่อเรียกผมมา คงจะไม่ใช่แค่ให้ผมมาดูพ่อกับเขาทักทายกันตามธรรมเนียมหรอกใช่ไหม”


 


 


           คุณพ่อเจียงเห็นท่าทางทำเป็นเล่นๆ ของเจียงมู่เฉิน ก็ส่ายหัว พลางถอนหายใจ “แกดูแกสิ โตพอๆ กับซังจิ่งแล้วก็ซือเหยี่ยน แต่ทำไมถึงต่างกันได้มากขนาดนี้นะ”


 


 


 


 


ตอนที่ 253 เกือบจะโดนรถชน


 


 


           เจียงมู่เฉินหางตากระตุก ยกเขามาเปรียบกับซือเหยี่ยนก็ช่างเถอะ ตอนนี้ทำไมยังยกเขามาเปรียบกับซังจิ่งอีก


 


 


           “ผมใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อจริงๆ แน่ใช่ไหม” เขาค่อนข้างจะสงสัยในปัญหานี้อย่างแปลกประหลาด


 


 


           ใบหน้าของคุณพ่อเจียงขึ้นสีแล้ว “ถ้าแกไม่ใช่ลูกชายฉัน แกคิดว่าฉันจะปล่อยให้แกมีชีวิตจนถึงวันนี้”


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นทีว่าพ่อเขาจะเหวี่ยงวีนแล้วจึงรีบว่าง่ายขึ้นมาทันที เขามองคุณพ่อเจียงด้วยท่าท่างดูอ่อนแอ “ผมจะกลับบ้านไปพูดกับแม่ผม ว่าที่บริษัทพ่อไม่เพียงแต่ใช้คำหยาบด่าผม ยังข่มขู่ผมอีกด้วย”


 


 


           คุณพ่อเจียงขัดใจ แทบอยากจะใช้ฝ่ามือพิฆาตเจ้าเด็กโง่นี่


 


 


           ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว เขาให้กำเนิดลูกชายคนนี้มาก็เพื่อลงโทษตัวเขาเอง


 


 


           “พอเถอะ ฉันเรียกแกมาก็เพื่อจะพูดเรื่องสำคัญ สัปดาห์หน้าแกต้องไปเข้าร่วมงานประชุมแลกเปลี่ยนงานหนึ่งแทนฉันที่อเมริกา เป็นเวลาสิบวัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “สิบวัน? อเมริกา? พ่อไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม ให้ผมไปเข้าร่วมงานประชุมแลกเปลี่ยน? ไม่กลัวผมทุบป้ายตระกูลเจียงของพ่อเหรอ”


 


 


           “ในเมื่อกลัวว่าจะทุบป้ายตระกูลเจียงของฉัน ช่วงนี้แกก็ซ่อมแซมให้ฉันดีๆ ถึงยังไงงานประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ฉันจะมาถามเอาความกับแก”


 


 


           เจียงมู่เฉินสั่นเทาด้วยความอิดโรย รู้สึกว่าพ่อเขาตอนแสดงอารมณ์โกรธออกมา ไม่น่ารักเลยสักนิด


 


 


           เขาลุกยืนขึ้นจากโซฟามุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอก คุณพ่อเจียงถลึงตาใส่เขา “แกจะไปทำไม”


 


 


           “ไปเรียนกับซือเหยี่ยนไงครับ ถึงยังไงจะให้ผมทำขายหน้าตระกูลเจียงไม่ได้นี่ครับ”


 


 


           เขาเดินอย่างทะนงตัวออกไป คุณพ่อเจียงมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินไป ในใจเป็นปลื้มอยู่เล็กๆ ดูท่าว่าลูกชายคนนี้ของเขายังไม่ถือว่าเหลวแหลกเกินไป


 


 


           ‘มีทางรอดๆ’


 


 


           ระหว่างทางกลับไป เจียงมู่เฉินต่อสายโทรหาซือเหยี่ยน “กลับมาแล้วหรือยัง”


 


 


           ซือเหยี่ยนกำลังเตรียมตัวออกจากห้องทำงาน “กำลังเตรียมตัวออกไป”


 


 


           “โอเค งั้นฉันกลับไปรอนายก่อน”


 


 


           ซือเหยี่ยนรู้สึกตลกนิดหน่อย รู้สึกว่าท่าทีในตอนนี้ของเจียงมู่เฉินไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ เขาเลิกคิ้วถาม “จู่ๆ คุณว่าง่ายขนาดนี้ เกิดอะไรกันขึ้น”


 


 


           เจียงมู่เฉินจะชิดข้างเตรียมเลี้ยว “เอาใจนายไง นายจะได้ไม่หนีไปกับซูเตอร์”


 


 


           ซือเหยี่ยนเข้าไปนั่งในรถพร้อมสตาร์ทเครื่อง “วางใจเถอะ ผมทำใจทิ้งคุณไม่ลงหรอก”


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินความเคลื่อนไหวจากทางซือเหยี่ยนแล้วก็เอ่ยต่อ “โอเค กลับบ้านรอนายนะ”


 


 


           เขากดตัดสายเตรียมตัวจะเลี้ยวขวา จู่ๆ ก็มีรถเก๋งคันสีดำพุ่งออกมาตัดหน้า เจียงมู่เฉินตกใจกลัวจนรีบหักหลบไปด้านข้าง


 


 


           รีบร้อนเบี่ยงหลบรถ เจียงมู่เฉินชนเข้ากับราวเหล็กด้านข้าง รถสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ศีรษะกระแทกอย่างหนักอยู่บนที่นั่ง


 


 


           สมองได้รับการกระทบกระเทือนเพียงพริบตาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว เขาหลับตาลงเล็กน้อยรู้สึกว่าในหัวค่อนข้างจะสับสนปนเป ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างต้องฝ่าเข้ามาในสมองอย่างไรอย่างนั้น


 


 


           เขายกมือขึ้นกุมหัวด้วยความเจ็บปวด มีอะไรบางอย่างวาบผ่านสายตาเข้ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า เร็วจนเขามองได้ไม่ชัดเจน


 


 


           เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้นสองที เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก เขากดลดกระจกลง “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”


 


 


           หูของเจียงมู่เฉินไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง เขาเห็นตำรวจคนที่อยู่ข้างกระจก ในหัวมีภาพหนึ่งวาบขึ้นมา สายตาของเขาจดจ่อพุ่งเป้ามาที่ตำรวจคนนี้ เขาจ้องชุดเครื่องแบบตำรวจอย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


           “คุณครับ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” ตำรวจรออยู่ช้าๆ แต่ยังไม่ได้คำตอบ จึงเอ่ยถามอีกครั้ง


 


 


           ภาพในหัวเจียงมู่เฉินตีกันยุ่งเหยิงไปหมด มองเข้าไปอีกครั้งกลับนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง เขายกมือขึ้นกดเข้าที่หัว เอ่ยเสียงแหบแห้ง “ผมไม่เป็นไร”


 


 


           “ไม่ต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ เหรอครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างช้าๆ แล้ว นอกจากศีรษะยังมีบาดเจ็บภายนอกนิดหน่อย ไม่มีอาการอะไรอย่างอื่น ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยซ้ำไปอีกรอบหนึ่ง “ผมไม่เป็นไร ขอบคุณครับ”


 


 


           ตำรวจเห็นสภาพของเขายังพอใช้ได้ ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เจียงมู่เฉินสตาร์ทรถขับออกไปจากตรงถนนนั้น เขามองดูหน้ารถของตัวเองโดนชนจนบุบเข้าไปเป็นรอยใหญ่ ถ้าให้ซือเหยี่ยนเห็นก็ต้องเป็นห่วงอย่างเลี่ยงไม่ได้


 


 


           ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอารถไปอู่ซ่อมบำรุงที่ไปอยู่เป็นปกติ ให้พวกเขาซ่อมแซม แล้วตัวเองก็เปลี่ยนรถอีกคันที่ครั้งก่อนจอดทิ้งเอาไว้อยู่อู่ซ่อมรถนั้นพอดี ขับกลับไป


 


 


           เสียเวลาขนาดนี้ เมื่อเขารีบกลับไปถึงที่คอนโดมิเนียมก็เจอเข้ากับซือเหยี่ยนพอดี


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเปลี่ยนรถมา ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “แล้วรถสปอร์ตคันนั้นล่ะ ทำไมถึงเปลี่ยนมา”


 


 


           เจียงมู่เฉินหัวใจบีบคั้น ไม่เพียงเท่านั้นยังกำนิ้วมือไว้ด้วย    


ตอนที่ 254 เปิดโหมดหึงหวง 


 


 


           “ทำไม คุณชายอย่างฉันรวยซะอย่าง อยากจะเปลี่ยนรถสักคัน ยังต้องให้นายอนุมัติด้วยเหรอ” เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากเอ่ยหยอกล้อ 


 


 


           ท่าทางทะนงตัวของเขาทำเอาซือเหยี่ยนตลกไม่เบา 


 


 


           ในโลกนี้คงจะมีแค่เจียงมู่เฉินพูดคำพูดแสนเย่อหยิ่งทะนงตัวขนาดนี้ออกมาได้เต็มปากเต็มคำ 


 


 


           เขากุมมือเจียงมู่เฉินเอาไว้ “งั้นถ้าผมอยากจูงมือคุณก็ควรจะไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากคุณหรอกใช่ไหม” 


 


 


           ‘ว้าว นี่ไร้ยางอายแล้ว’ 


 


 


           เจียงมู่เฉินอีกนิดจะกระอักเลือดออกมาแล้ว ใกล้จะโดนซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ตีป้อมจนจะแพ้แล้วจริงๆ 


 


 


           เขายืนพิงรถ ถลึงตาใส่อีกฝ่าย “นายยังหน้าไม่อายกว่านี้ได้อีกไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนลากอีกคนเข้าไปข้างใน “กับคุณแล้ว ผมหน้าไม่อายหรือเปล่า คุณเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “อะไรกัน เริ่มหุนหันพลันแล่นเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกราม “หุนหันพลันแล่นกับน้องสาวนายสิ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “คุณชายน้อยอย่างคุณพูดจาสุภาพหน่อยไม่ได้เหรอ” 


 


 


           “เหอะเหอะ” เจียงมู่เฉินหัวเราะเสียงเย็นไปสองที “ทำไม ตอนนี้รังเกียจที่คุณชายพูดจาไม่สุภาพแล้วเหรอ ยังไง มีคนใหม่แล้วรังเกียจคนใหม่แล้วใช่ไหม” 


 


 


           คนบางคนเปิดโหมดหึงหวงอีกแล้ว ซือเหยี่ยนอดจะใคร่ครวญไม่ได้ ถ้าเจียงมู่เฉินรู้เข้าว่าตัวเองกลับอเมริกาไปเป็นเพื่อนซูเตอร์ เกรงว่าเขาคงจะถือปืนมาตามฆ่าตัวเองแล้วจริงๆ 


 


 


           เขากุมขมับ รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะจัดการได้ยากจริงๆ 


 


 


           ท่าทางลำบากใจของซือเหยี่ยนอยู่ในสายตาของเจียงมู่เฉิน เขาคิดว่าซือเหยี่ยนรู้สึกว่าคำพูดที่เขาเพิ่งถามไปทำให้เจ้าตัวลำบากใจ ทันใดนั้นก็โมโหจนทนไม่ได้ พลิกมือมากดคนติดผนังเอาไว้ 


 


 


           “นี่ นายยังจะกล้าคิดจริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “อะไรกัน ตอนนี้ฉันควรจะรู้งานรีบจบกับนายเคลียร์ทางทุกอย่าง จะได้ให้นายไปหาคนอื่นใช่หรือเปล่า” 


 


 


           เขาซือเหยี่ยนไม่พูดจาเอาแต่จ้องมองเขา ก็อดจะกระทืบเท้าใส่อีกฝ่ายไม่ได้ “ถามนายอยู่นะ นายแม่งทำมาเป็นถือตัวอะไร” 


 


 


           ซือเหยี่ยนทำหน้าเสพสุขแม้โดนกดอัดติดกับผนัง เจียงมู่เฉินขบกรามรู้สึกว่า เจ้าหมอนี่คงจะไม่ใช่พวกชอบโดนกระทำหรอกใช่ไหม 


 


 


           “ซือเหยี่ยน ถ้านายยังไม่พูดอีก คุณชายจะฆ่านาย” 


 


 


           เขาเห็นเจียงมู่เฉินถูกเขายั่วจนโมโหจริงๆ ก็อดจะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “เฉินเฉิน นี่คุณหึงแล้วเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกำลังหึงอยู่ดีๆ จู่ๆ โดนซือเหยี่ยนพูดมาขนาดนี้ทำเอาใบหน้าเรียวเล็กแดงจัดในทันใด มือที่กดไหล่ซือเหยี่ยนไว้สั่นเทาขึ้นมา “ฉันหึง ฉันวุ่นวายขนาดนี้หรือไง” 


 


 


           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสตอนที่เขาคลายมือลง พลิกมือมากดเขาอัดติดกับรถ เจียงมู่เฉินตกใจกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบกลับ ร่างของตัวเองก็แนบชิดกับหน้าต่างรถแล้ว ขยับเขยื้อนไม่ได้สักนิด 


 


 


           “นายปล่อยฉันนะ” เจียงมู่เฉินร้อนใจจนเหยียดคิ้วขมวด 


 


 


           “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย” ซือเหยี่ยนบอกเป็นนัยว่า ‘คุณไม่พูด ผมก็จะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด’ 


 


 


           “พูดอะไร คุณชายมีอะไรน่าพูดเหรอ” เจียงมู่เฉินจะไม่ยอมรับเรื่องที่ตัวเองหึงเรื่องนี้เด็ดขาด ยอมยืนเป็นกระต่ายขาเดียวอยากเป็นอิสระโดยเร็ว 


 


 


           ตัวเองโดนซือเหยี่ยนปราบให้พ่ายอยู่หลายครั้งหลายคราแบบนี้ เขาก็ไม่เชื่อแล้ว ตัวเองจะสู้ซือเหยี่ยนไม่ชนะจริงๆ เหรอ 


 


 


           เขาฉวยโอกาสตอนซือเหยี่ยนเผลอ พลิกมือไปจับมือของซือเหยี่ยน กลับโดนซือเหยี่ยนจับมือทั้งสองข้างแยกจากกันกดแนบติดกับหน้าต่างรถ 


 


 


           เขาถูกบีบบังคับจนชิดกับประตูรถ กระดุกกระดิกไม่ได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วยกเท้าถีบใส่ซือเหยี่ยน ครั้งนี้ไม่เหมือนวันก่อนที่แค่ถีบเล่นๆ ครั้งนี้เจียงมู่เฉินออกแรงอยู่ไม่น้อย 


 


 


            ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ เล็กน้อย หนีบขาเจียงมู่เฉินไว้อยู่กลางขาของตัวเอง 


 


 


           เขามองเจียงมู่เฉินอย่างขำๆ “เฉินเฉิน ในที่สุดผมก็พบแล้ว ว่าตอนนี้คุณไม่ว่าง่ายเลยสักนิด” 


 


 


           เจียงมู่เฉินโกรธจนทนร้องตะโกนออกมาไม่ไหว “นายปล่อยมือฉันก่อน คุณชายเจ็บมือ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนได้ยินเขาร้องว่าเจ็บก็รีบออมแรงทันที กลัวว่าจะกดเจียงมู่เฉินไว้จนเจ็บขึ้นมาจริงๆ เจียงมู่เฉินดูสถานการณ์แล้ว นาทีที่เห็นเขาปล่อยมือ ทันใดนั้นก็พลิกมือกลับมาพยายามออกแรงจับอีกคนอัดชนกับรถคันข้างๆ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 255 โดนจับได้แล้ว 


 


 


           “ซือเหยี่ยน เวลาปกตินายแอบกินอะไรมั่วซั่วลับหลังฉันใช่ไหม” แรงเยอะเหมือนวัวไม่มีผิด 


 


 


           ซือเหยี่ยนขำจนกะพริบตาปริบๆ “อะไรกัน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าผมเก่งมากเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “เก่งกับผีน่ะสิ” 


 


 


           แววตาซือเหยี่ยนมืดลงเล็กน้อย ดูท่าว่านี่คือถามเพราะข้องใจในสมรรถภาพของเขาสินะ โดนแฟนข้องใจแบบนี้ ต้องพิสูจน์ให้เห็นสักหน่อยน่าจะเหมาะสมใช่ไหม 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาถลึงตามองซือเหยี่ยนอย่างไม่กลัวตาย “ฉันจะบอกนายให้นะ วันนี้คุณชายยังจะไม่พูดกับนายแล้ว มีความคิดเห็นไม่พอใจก็อดทนรอไปนะ” 


 


 


           “คุณชายหึงนาย? รอชาติหน้าเถอะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็เอนพิงรถไปเลย “เอาเถอะ ในเมื่อคุณไม่อยากหึงผม งั้นผมหึงคุณก็ได้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง “นายหึงอะไรฉัน” 


 


 


           “เรื่องที่คุณคร่อมทับไป๋จิ่งเล่นลีลากับเขาที่บริษัทผม ผมยังไม่ลืมนะ” 


 


 


           “!” เจียงมู่เฉินตาลุก “ใครเล่นลีลากับเขา คุณชายอยากจะเล่นงานเขาจนตายต่างหาก โอเคไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อย “อ่อ งั้นเรื่องที่คุณคร่อมทับอยู่บนตัวไป๋จิ่ง เป็นผมที่มองผิดไปแล้วใช่ไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขุ่นเคืองใจ เขาไปแก้แค้นไป๋จิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะถูกมองว่าไปลวนลามไป๋จิ่งแทน 


 


 


           ‘นี่ก็โรคจิตเกินไปจริงๆ แล้วไหม’ 


 


 


           “ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดอยากจะอะไรกับเขาอยู่แล้ว เขาส่งให้ฉัน ฉันก็รังเกียจไม่แยแสทั้งนั้น แล้วยังจะเล่นลีลากับเขาอีกเหรอ” 


 


 


           “ที่พูดอยู่ห้องทำงานผม คุณยังไม่ลืมใช่ไหม” ซือเหยี่ยนตัดสินใจเอ่ยเตือนเขา 


 


 


           ในสมองเจียงมู่เฉินฉายภาพเรื่องที่ตัวเองรับปากซือเหยี่ยนว่าจะขยับเอง ใบหน้าเรียวเล็กแดงปรี๊ด รีบโต้แย้ง “ฉันไม่เห็นจำได้เลยว่าตัวเองรับปากอะไรนายไป” 


 


 


           ‘ล้อเล่นอะไรกัน’ ตอนนี้คนอยู่ใต้มือเขาแล้ว เขาไม่พูด ซือเหยี่ยนจะทำอะไรเขาได้ 


 


 


            ‘ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับเด็ดขาด’ 


 


 


           รอยยิ้มฉายสะท้อนในแววตาซือเหยี่ยนขึ้นมาวาบหนึ่ง เขายกมุมปากขึ้น พยายามกดเสียงต่ำให้ถึงที่สุด “เฉินเฉิน เรื่องที่รับปากคนอื่นไว้ จะพูดแล้วกลับคำได้ยังไง” 


 


 


           “นั่นมันเป็นนายต่างหากที่บังคับให้ฉันรับปาก ฉันเป็นฝ่ายรับปากเองหรือไง” 


 


 


           “แต่ไม่ว่าจะยังไง ก็เป็นคุณเองที่เอ่ยรับปาก ถ้าผมพูดออกไปว่าคุณชายน้อยเจียงเป็นคนพูดแล้วคืนคำ ไม่รู้ว่า…” เขาจงใจพูดไม่จบประโยค เป็นการแสดงท่าทีข่มขู่เจียงมู่เฉิน 


 


 


           เจียงมู่เฉินโกรธจนขบกราม เขาเตรียมจะกัดซือเหยี่ยนหนักๆ แรงๆ สักคำ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นมา 


 


 


           “ลูก พวกลูก…พวกลูกกำลังทำอะไรกัน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินคลายมือเอียงหน้ามองเข้าไป คุณแม่เจียงยืนอยู่ไม่ไกลนัก มองพวกเขาสองคนด้วยความหวาดกลัว เจียงมู่เฉินใจกระวูบ รีบปล่อยมือแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง 


 


 


           “แม่…แม่มาได้ยังไงครับ” 


 


 


           คุณแม่เจียงนิ้วมือสั่นเทา เธอมองเจียงมู่เฉิน แล้วก็มองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง สายตาวนเวียนมองไปมาทั้งสองคน สุดท้ายก็มาหยุดลงที่เจียงมู่เฉิน 


 


 


           “เฉินเฉิน ลูกบอกกับแม่ที พวกลูกสองคนไม่ได้เป็นแบบที่แม่คิดแบบนั้น” ราวกับคุณแม่เจียงโดนโจมตีอย่างแรง ในเสียงมีความสั่นเครือเล็กๆ 


 


 


           ซือเหยี่ยนสีหน้าดำดิ่ง “น้าเจียงครับ…” 


 


 


            “เฉินเฉิน!” คุณแม่เจียงแผดเสียงเอ่ยตัดบทคำพูดของซือเหยี่ยน “ลูกพูดสิ ระหว่างพวกลูกสองคนมีความสัมพันธ์เป็นอะไรกันแน่” 


 


 


           ซือเหยี่ยนทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย ตอนนี้อารมณ์คุณแม่เจียงกำลังเดือดดาล อย่างไรก็ไม่ฟังคำพูดเขาอยู่แล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูคุณแม่เจียงที่ไม่กล้ายอมรับ แล้วมองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างกาย ในใจจมดิ่งในห้วงความคิด ฉากนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องเผชิญหน้ากับมัน เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่คุณแม่เจียงมาเห็นก่อน ไม่ได้อยู่ในแผนของเขา 


 


 


           แต่ว่าขอเพียงแต่ได้อยู่ด้วยกันกับซือเหยี่ยน การสารภาพกับคุณแม่เจียงเป็นเรื่องที่ 


 


 


           เขากุมมือของซือเหยี่ยนไว้อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ มองมาทางคุณแม่เจียง “แม่ครับ ผมกับซือเหยี่ยนมีความสัมพันธ์เป็นคนรักกันครับ” 


 


 


           เพล้ง! ปิ่นโตเก็บความร้อนในมือของคุณแม่เจียงร่วงหล่นลงพื้น น้ำแกงไก่ที่ตุ๋นมาอย่างดีหกกระจายบนพื้น 


 


 


           เธอหน้าเปลี่ยนสี มองทั้งสองคน “แม่ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม