(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 232-239

 ตอนที่ 232 มาเกทับเหรอ


 


 


           ซูเตอร์จ้องเขาเขม็ง แววตาหวาดระแวง “นายคิดจะทำอะไร”


 


 


           “ฉันก็แค่รู้สึกประหลาดใจ ว่าซือเหยี่ยนมีดีอะไรถึงมีค่าพอให้นายชอบได้”


 


 


           “เจียงมู่เฉิน นายอย่ามาเล่นลูกไม้อะไรกับฉันที่นี่ คิดจะล้วงอะไรจากฉันที่นี่ ฉันจะบอกนายไว้ว่าไม่มีทาง ฉันเปิดเผยความลับกับนายไม่ได้หรอก”


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางผลักไสไล่ส่งของเขา ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “น้องชาย ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้ ฉันก็แค่ประหลาดใจ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรอย่างอื่น”


 


 


           “หึ ไม่มีเจตนาร้ายเหรอ” ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “ถ้านายไม่ได้มีเจตนาร้าย แล้วจะทำฉันจนเข้าโรงพยาบาลแบบนี้เหรอ”


 


 


           “นายคิดจะขึ้นเตียงกับซือเหยี่ยนขนาดนั้น ฉันในฐานะแฟน ถ้าไม่ทำอะไรเลย จะไม่ดูใจกว้างไปหน่อยเหรอ” เขาทำเสียงกระดกลิ้นเล็กน้อย “น่าเสียดาย ฉันคนนี้ใจแคบจะตาย จะให้ฉันมองตาปริบๆ เห็นนายขึ้นเตียงกับซือเหยี่ยน ฉันทำไม่ได้หรอก”


 


 


           “งั้นวันนี้นายมาเกทับฉันหรือไง”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะเบาๆ “ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ วันนี้ฉันก็แค่มาเยี่ยม แล้วถือโอกาสถามไถ่ดูอาการบาดเจ็บของนายสักหน่อยเท่านั้นเอง”


 


 


           ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “เจียงมู่เฉิน ฉันไม่ได้ถูกนายอัดจนกระทบสมอง ไม่ได้โง่ถึงขนาดจะเชื่อจริงๆ ว่านายจะมาใจดีได้ขนาดนี้”


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “โอเค ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็จะไม่ทักทายนายตามมารยาทอีกต่อไปแล้ว” เขาพูดออกมาตรงๆ “ระหว่างฉันกับซือเหยี่ยนไม่หวังจะให้มีใครมาแทรกกลาง ถ้ามีวันหนึ่งซือเหยี่ยนเขารักนายเข้าแล้ว เลือกนาย ฉันจะไม่ว่าอะไร รับรองจะยอมหลีกทางให้…แต่ว่า ขอเพียงแต่ฉันไม่ได้เลิกกับเขา นายซูเตอร์! ก็จะไม่มีทางจะได้ยืนข้างกายซือเหยี่ยน” เขายิ้มหัวเราะเบาๆ “ฉันพูดแล้ว ว่าฉันคนนี้ใจแคบ ยอมให้คนอื่นไม่ได้”


 


 


           “เจียงมู่เฉินนายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้เชื่อว่าซือเหยี่ยนทั้งชีวิตนี้จะมีคบกับนายแค่คนเดียว”


 


 


           “ฉันไม่มีความมั่นใจเรื่องนี้หรอก แต่ว่านายจำเอาไว้ จะเลิกหรือไม่เลิกกับซือเหยี่ยนก็เป็นฉันที่ตัดสิน ขอเพียงแต่ฉันยังไม่เลิกกับซือเหยี่ยน นายก็จะไม่มีความเป็นไปได้ใดใดทั้งสิ้น”


 


 


           “หึ” ซูเตอร์ทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ถ้าซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายบอกเลิกนายล่ะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “งั้นนายกล้าทำให้เขาพูดได้ก็ลองดู!”


 


 


           เขาพูดจบประโยคนี้ก็ออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ซูเตอร์มองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินไป ความอำมหิตฉายสะท้อนขึ้นในแววตาแวบหนึ่ง เรื่องเมื่อคืนบวกกับเรื่องของซือเหยี่ยนอีก สองบัญชีแค้นนี้ เขาจะต้องสะสางกับเจียงมู่เฉินให้ดีๆ อย่างชัดเจนแน่นอน


 


 


           ……


 


 


           เจียงมู่เฉินออกจากโรงพยาบาลมา ก็มุ่งหน้าพุ่งตรงเข้าไปห้องทำงานของซือเหยี่ยน เขายืนอยู่หน้าประตูแล้วก็ถีบประตูเข้าไปทันที บานประตูอันเปราะบางโดนเขาถีบขนาดนี้ก็ไปกระแทกกับโต๊ะที่อยู่ด้านข้างจนเกิดเสียงดังสนั่น


 


 


           ซือเหยี่ยนกับไป๋จิ่งและอีกสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างใน เห็นเจียงมู่เฉินยืนอยู่ตรงทางเข้าเตะประตูเข้ามา มุมปากก็อดจะกระตุกแล้วกระตุกอีกไม่ได้


 


 


           ยังเป็นไป๋จิ่งที่มีท่าทีตอบสนองก่อน เขารีบลุกยืนขึ้นเอ่ยด่วยหน้าตาทะเล้น “นี่คุณชายเจียงไม่ใช่หรือไง อะไรกัน มาลองทดสอบว่าประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยนแข็งแรงหรือเปล่าเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายอยากให้ฉันช่วยทดสอบว่านายแข็งแรงหรือไม่แข็งแรงไหม”


 


 


           ไป๋จิ่ง “…”


 


 


           ดูท่าว่าไฟจะลุกใหญ่มากทีเดียว เขาต้องรีบหนีไป ป้องกันไฟลามมาเผาตัวจากตรงนี้


 


 


           “คือว่า ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้กะทันหันพอดีว่าฉันยังมีลูกค้าคนหนึ่งอยู่ ฉันขอตัวออกไปก่อนนะ” ไป๋จิ่งพูดจบก็รีบวิ่งออกไป เห็นไฟลูกนั้นของคุณชายเจียงแล้ว ถ้าไม่รีบหนีให้ไว รู้สึกว่าคนแรกที่คุณชายเจียงอยากจะลงดาบก็คือเขา


 


 


           ไป๋จิ่งลูบใบหน้าตัวเองไปมา คิดว่าตัวเองยังดีที่มีไหวพริบวิ่งออกมาไว


 


 


           เขาส่งข้อความหามั่วไป๋อย่างอ่อนแรง


 


 


           [คุณชายเจียงภูเขาไฟระเบิดแล้ว ยังดีว่าผมวิ่งเร็ว ไม่งั้นเกรงว่าคุณจะไม่ได้เห็นผมแล้ว]


 


 


           มั่วไป๋อ่านข้อความแล้วก็ตอบกลับไปส่งๆ


 


 


           [ไม่เป็นไร ตายแล้วฉันจะจัดงานศพให้นายเอง]


 


 


           


 


 


ตอนที่ 233 ปลิดชีพนายให้มันรู้แล้วรู้รอด


 


 


           ไป๋จิ่งตะลึงงัน ช่วงนี้เขาไม่มีเวลาไปปลูกต้นรักกับมั่วไป๋เลย เขามองข้ามตัวเองถึงขนาดนี้เชียวเหรอ


 


 


           คิดถึงเจียงมู่เฉินที่หัวร้อนไฟลุก แล้วมาคิดถึงมั่วไป๋อีก ไป๋จิ่งร้องไห้งอแงรู้สึกว่าตัวช่างน่าเวทนาเสียจริง พ่อไม่ถนอม แม่ไม่รัก


 


 


           อีกสองคนที่เหลืออยู่ในห้องทำงานเห็นไป๋จิ่งหนีไปแล้ว ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ หาข้ออ้างแล้วรีบแอบวิ่งออกไป ด้วยเหตุนี้ข้างในจึงเหลือเพียงเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนกันอยู่สองคน


 


 


           ซือเหยี่ยนสีหน้าเรียบเฉยนั่งอยู่บนเก้าอี้ เจียงมู่เฉินสะบัดประตูแล้วเดินเข้าไปหาซือเหยี่ยน


 


 


           “ฉันคิดมาแล้ว เรื่องเมื่อคืนนี้ฉันจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาย แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก พวกเราสองคนจบกัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินพูดจบก็จ้องซือเหยี่ยนเขม็งด้วยท่าทีเผด็จการ “นายได้ยินแล้วหรือยัง”


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ได้ยินแล้ว”


 


 


           “นายรู้นิสัยฉันดี คำพูดที่ฉันพูดออกมา ฉันก็พูดคำไหนคำนั้นมาตลอด ขอเพียงแต่เป็นเรื่องที่ฉันตัดสินใจแล้ว แม้แต่ทางให้เรียกกลับคืนก็จะไม่มีทั้งนั้น”


 


 


           เขาจ้องมองซือเหยี่ยน เอ่ยเน้นหนักทีละคำ “ดังนั้น ฉันให้โอกาสนายได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาแล้วก็ถอนหายใจเล็กน้อย ส่งมือไปหา “ตอนนี้ยังโกรธอยู่เหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเขาแบบนี้ก็หมดหนทางแล้ว เมื่อครู่นี้โกรธจนไม่ไหวออกไปขับรถวนอยู่รอบหนึ่งก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่มีทางจะโกรธซือเหยี่ยนได้จริงๆ อยู่แล้ว ยามคิดถึงซือเหยี่ยน ใจก็อ่อนอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


           “แม่งเอ๊ย ไม่ช้าก็เร็วสักวันฉันจะอกแตกตายเพราะนาย” เจียงมู่เฉินอดจะมองบนใส่เขาไม่ได้


 


 


           “ขอโทษนะ เป็นความผิดผมเอง” ซือเหยี่ยนพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบเจียงมู่เฉิน


 


 


           ในใจเจียงมู่เฉินต่อให้ยังมีความโกรธอยู่บ้าง ตอนนี้ไฟที่ลุกมาเนิ่นนาน ก็มอดดับลงไปพอประมาณหนึ่งแล้ว โดนซือเหยี่ยนเอาน้ำเย็นเข้าลูบขนาดนี้ สบายใจขึ้นเยอะทีเดียว


 


 


           เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยนอย่างกล้ำกลืน “คุณชายหิวแล้ว” ซาลาเปาที่ตั้งใจซื้อมาเป็นพิเศษในตอนเช้ายังไม่ได้กินเลย


 


 


           ในใจซือเหยี่ยนบีบแน่น รีบให้คนไปเตรียมของกินมาให้เจียงมู่เฉิน เพียงไม่นานทุกอย่างก็ถูกส่งขึ้นมา ทั้งหมดเป็นของที่เจียงมู่เฉินชอบกินทั้งนั้น


 


 


            ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิกินอาหารเช้า แล้วยกมุมปากขึ้นอย่างขำๆ รอยยิ้มยังทิ้งรอยเอาไว้อยู่ที่มุมปาก ซือเหยี่ยนไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรขึ้นมา เขาตัวแข็งทื่อหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง เขากำหมัดแล้วกำหมัดอีก สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ พลางส่งข้อความหาไป๋จิ่ง


 


 


           [ข้อตกลงเมื่อเช้ายกเลิก ปิดเป็นความลับชั่วคราว]


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นข้อความที่ถูกส่งออกไปสำเร็จแล้วก็หลับตาลง เขายังตัดใจเลิกกับเจียงมู่เฉินแบบนี้ไม่ลง เหมือนกับที่ไป๋จิ่งพูดไว้ ถ้าเขาให้ไป๋จิ่งเอาความลับไปแพร่กระจายข่าวให้รู้ถึงหูผู้ใหญ่ของสองตระกูลจริงๆ


 


 


           ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว ถึงเวลานั้นเจียงมู่เฉินต้องหักกันไปข้างให้ถึงที่สุดแน่นอน


 


 


         เขาถอนหายใจเล็กน้อย ถ้าระหว่างพวกเขาเดินกันไปถึงขั้นนั้นจริงๆ เกรงว่าจะไม่ทางให้เรียกกลับคืนมาได้อีกแล้ว


 


 


           ‘ส่วนเรื่องของซูเตอร์ เขาค่อยคิดหาวิธีอื่นจัดการก็แล้วกัน’


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นข้อความแล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกโล่งใจ รีบตอบกลับไป [ได้]


 


 


           หลังจากซือเหยี่ยนเห็นข้อความไป๋จิ่งตอบกลับมา ถึงได้ลบข้อความนี้ทิ้ง


 


 


           เขาเอียงหน้ามองดูเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่ไกลนัก เขายกมุมปากขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา พร้อมนั่งลงข้างๆ เจียงมู่เฉิน มองดูอีกฝ่าย “ผมเองก็ยังไม่ได้กินนะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง เดิมทีไม่อยากสนใจเขา แต่ก็รู้สึกใจอ่อนจนไม่สนใจไม่ได้ ทำได้เพียงแต่ยกส้อมขึ้นป้อนซือเหยี่ยน


 


 


           เจียงมู่เฉินป้อนไปด้วย ด่าตัวเองโง่ไปด้วย ทำไมเขาทำอะไรถึงยังคงเป็นเหมือนเดิมทุกครั้ง ใจร้ายกับซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่ลง


 


 


           พอคิดมาได้แบบนี้ก็อดจะขบกรามไม่ได้ รู้สึกว่าซือเหยี่ยนก็คือ ‘จอมตลบหลัง’    


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าดุร้ายของเขา ก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “คุณคงจะไม่ได้เห็นผมเป็นข้าวที่คุณกินอยู่หรอกใช่ไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันอยากจะปลิดชีพนายให้มันรู้แล้วรู้รอดจริงๆ จะได้ไม่มาทำให้ฉันโกรธง่ายๆ ได้ทุกวัน”


 


 


           ซือเหยี่ยนทำหน้าซื่อๆ กะพริบตาปริบๆ “ผมตายไป ก็จะไม่มีใครทำให้คุณสบายแล้วนะ”


ตอนที่ 234 ตีตราเป็นเจ้าของ


 


 


           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ทั้งโลกไม่ได้มีแค่นายคนเดียว ถ้าฉันอยากสบาย ก็มีคนอื่นยินดีด้วยอยู่แล้ว อีกอย่างคุณชายอย่างฉันก็ไม่ชอบโดนจับกดด้วย นายตายไป ฉันจะได้หาคนมาให้ฉันจับกดพอดี”


 


 


           ยิ่งคิดเจียงมู่เฉินยิ่งอดจะขบกรามไม่ได้ เขาเป็นผู้ชายแมนๆ อยู่ดีๆ อย่าว่าแต่โดนซือเหยี่ยนทำลายความเป็นชายเลย ยังมาโดนจับกดแบบนั้นอีก


 


 


           ‘คิดๆ แล้ว เขาก็อยากร้องไห้ ทำไมสายตาเขาดีขนาดนี้นะ’


 


 


           คนตั้งมากมายไม่เลือก ต้องมาเลือกคนที่ไม่มีทางจะยอมอยู่เป็นเบี้ยล่างใครอย่างซือเหยี่ยน


 


 


           “คุณกล้าเหรอ นอกจากผม คุณจะไปหาใครไม่ได้ทั้งนั้น” ซือเหยี่ยนเพียงพลิกฝ่ามือก็กดทับร่างเจียงมู่เฉินเอาไว้


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของเขา ฮึดฮัดกัดเขาเข้าไปคำหนึ่ง “นายคิดจะปีนกำแพงแล้ว ยังไม่ให้ฉันไปหาอีกเหรอ นี่นายไม่ค่อยจะมีเหตุผลเกินไปไหม”


 


 


           “ผมไม่ปีนกำแพง คุณเองก็ไปหาคนอื่นไม่ได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกราม “ฉันเป็นผู้ชายคนนึง วันๆ โดนจับกดก็ช่างเถอะ นายแม่งยังคิดจะปีนกำแพง ในโลกนี้มีเรื่องดีขนาดนี้ไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนก้มหน้ามองคนใต้ร่าง ดวงตาสีดำขลับทอประกาย เขามองเจียงมู่เฉินอย่างจริงจัง “งั้นให้ผมโดนคุณจับกดครั้งหนึ่ง?”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อใจ พูดแบบนี้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว โดนซือเหยี่ยนหลอกมาทุกครั้ง โดนหลอกมาหลายครั้งขนาดนี้ ถ้าเขายังไม่เข็ดหลาบ เขาก็เป็นคนโง่จริงๆ แล้ว


 


 


           “นายเห็นว่าคุณชายโง่จริงๆ ใช่ไหม” ซือเหยี่ยนคนหยิ่งยโสโอหังขนาดนี้ จะมาสมัครใจยอมนอนให้โดนจับกดได้อย่างไร


 


 


           ซือเหยี่ยนโน้มตัวลงมากัดใบหูเจียงมู่เฉิน “ผมจริงจัง” กว่าเขาจะตัดสินใจยอมให้เจียงมู่เฉินเปลี่ยนกลับเป็นรุกได้ครั้งหนึ่งไม่ใช่ง่ายๆ


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง พูดอย่างไม่สนใจ “ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันไม่สนใจเรื่องจะจับกดอะไรนายแล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่แล้ว “คุณไม่สนใจผม คุณคิดจะสนใจใคร”


 


 


           “นายยุ่งอะไรฉัน ฉันชอบจะสนใจใคร ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”


 


 


           ซือเหยี่ยนทำไขสือกะพริบตาปริบๆ “คุณเป็นแฟนผมนะ ต้องเกี่ยวกับผมอยู่แล้วสิ” 


 


 


           “นายยังรู้ว่าฉันเป็นแฟนนายอยู่เหรอ ตอนขุดหลุมฝังกลบฉัน ทำไมไม่คิดถึงสักนิดว่านายยังมีแฟนหนุ่มรูปงามที่ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งฉลาดและสง่าผ่าเผยคนหนึ่งอยู่”


 


 


           ซือเหยี่ยนได้ยินคำพรรณนามากมายขนาดนี้ของเขา ก็อดจะยิ้มหัวเราะออกมาไม่ได้


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “น่าขำเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่อดกลั้น พยักหน้ารับ “น่าขำนิดหน่อย”


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามมองใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มบางๆ อย่างตามใจตัวเอง สุดท้ายก็ใช้ฟันกัดคางเขาหนักๆ แรงๆ จนเห็นเป็นรอยฟันชัดเจน


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ยกมือขึ้นลูบรอยฟันบนคางของตัวเอง “คุณกัดจนเป็นแบบนี้ จะยังให้ผมออกไปอีกเหรอ”


 


 


            เจียงมู่เฉินจ้องเขม็ง “ทำไม นายไม่พอใจเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “คุณจงใจถูกไหม” เขาใช้มือถูรอยฟันบนคางเบาๆ “ทำไม อยากแสดงอำนาจสิทธิ์ขาดเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกัดฟัน “ฉันแทบอยากจะเขียนบนหน้านายว่าฉันเป็นเจ้าของ ให้นายวันๆ ไม่กล้าออกไปเจ้าชู้ไม่เลือกหน้ากับใครข้างนอก”


 


 


           ‘ยังเป็นแก๊งมังกรครามที่รับมือยากนั่นอีก…’


 


 


ซือเหยี่ยนอดจะเลิกคิ้วไม่ได้ เขาเอ่ยเตือนเล็กน้อย “เฉินเฉิน คุณลืมไปแล้วหรือเปล่า สองวันก่อนคุณเพิ่งจะปีนกำแพงสำเร็จมา”


 


 


           หลังจากเฉินเฉินของเขาทำสงครามเย็นกับเขา ก็ไม่พูดไม่จาไปกอดกับคนอื่น ถ้านับกันจริงๆ แล้ว กำแพงนี้เป็นเจียงมู่เฉินที่ปีนไปได้ไกลกว่า


 


 


           ‘เขายังไม่ได้รับความเป็นธรรมเลยนะ’


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องของซังจิ่งขึ้นมา ใจก็แป่วนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก นับกันแบบนี้ดูเหมือนว่าเขาจะปีนกำแพงไปก่อนจริงๆ


 


 


           ‘แต่ว่า’


 


 


           “ฉันไม่ได้ขึ้นเตียงกับคนอื่น แล้วดูนาย กล้าเปิดห้องถอดเสื้อผ้าเล่นกันกับคนอื่นสดๆ ร้อนๆ ต่อหน้าต่อตาฉัน” เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉันกำลังคิดว่าฉันเองก็ต้องไปเล่นกับซังจิ่งแบบนี้สักครั้งดีไหม ถึงจะได้เสมอกันกับนาย”


 


 


       


 


 


ตอนที่ 235 ชอบโดนกระทำ


 


 


           ทันทีที่ซือเหยี่ยนได้ยินเขาพูดขนาดนี้ก็รีบคว้าตัวคนเข้ามากอดไว้แนบอกทันที “ไม่ได้ เรื่องบนเตียงคุณเล่นได้แค่กับผมเท่านั้น”


 


 


           เจียงมู่เฉินยกเท้าถีบใส่ “ทีนายแม่งยังไปเล่นกับคนอื่น ซือเหยี่ยนนายเป็นจอมเผด็จการหรือไง แม่งไม่ฟังเหตุผลกันเลย”


 


 


           พอคิดถึงภาพเฉินเฉินของเขาไปเล่นถอดเสื้อผ้ากับคนอื่น เพียงเสี้ยวเวลานัยน์ตาซือเหยี่ยนก็ดำดิ่งหยั่งลึกแผ่รังสีความโกรธเกรี้ยวที่ค่อยๆ คุกรุ่น


 


 


           แค่คิด เขาก็ระเบิดลงแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาเห็นกับตาตัวเอง


 


 


           เขากอดกกคนในอ้อมกอดแน่น “ต่อไปมีแค่พวกเราสองคนเล่นกันเองได้เท่านั้น ดีไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินแกะมือเขาออกอย่างเสียแรงเปล่า ไม่ว่าอย่างไรอยู่ในมือเจ้าหมอนั่นก็เหมือนโดนฉาบปูน แกะอย่างไรก็แกะไม่หลุด


 


 


           แกะจนสุดท้ายเขาโมโหจนกัดฟันกรอด เล็งคางที่เขายังทิ้งรอยฟันเอาไว้ แล้วกัดเข้าไปหนักๆ แรงๆ คำหนึ่ง


 


 


           ซือเหยี่ยนเจ็บ แต่ก็เอ่ยต่ออย่างติดตลก “ถ้าคุณกัดต่อไปแบบนี้ เดี๋ยวสักพักเลือดออก คนที่เห็นใจก็คือคุณอยู่ดี”


 


 


           “นายเจ็บของนาย มาเกี่ยวอะไรกับฉัน ถึงยังไงคุณชายก็กัดอย่างมีความสุขดีออก”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาพูดขนาดนี้ก็รีบเอียงขวาให้ทันที “มา คุณมากัดอีกคำ”


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคนคนนี้ค่อนข้างจะชอบโดนกระทำทีเดียว กัดเขาเดี๋ยวเดียวไม่ได้ ยังจะต้องให้เข้าไปกัดเขาต่ออีก


 


 


           “นายเพี้ยนไปแล้วเหรอ ไม่มีอะไรจะมาให้ฉันกัดทำไม”


 


 


           ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้ว มองเขาด้วยสีหน้าท่าทางอ่อนโยนอีก “คุณมีความสุขไม่ใช่เหรอ ผมก็อยากให้คุณมีความสุขมากยิ่งขึ้นหน่อยไง”


 


 


           ‘เชี่ยแม่ง…คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ความอ่อนโยนที่หน้าไม่อายนี้มาจู่โจมตัวเอง’


 


 


           ‘ดันใช้กับตัวเองได้ดีเป็นพิเศษด้วยซะงั้น…’


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกราม รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่เลย


 


 


           “ไปให้พ้น ฉันกัดอีกสองคำ นายก็อย่าคิดจะออกไปข้างนอกเลย” จ้องมองใบหน้าที่มีรอยฟันเขม็ง ทั้งยังไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเขาอีก


 


 


           “ไม่เป็นไร ที่คุณกัด เป็นเกียรติของผม”


 


 


           ‘…เป็นเกียรติ? เป็นเกียรติกับผีนายสิ’


 


 


           เจียงมู่เฉินเลือดขึ้นหน้า รู้สึกว่าตัวเองเมื่อเทียบกับซือเหยี่ยนแล้ว วางตำแหน่งในกระดานหมากรุกต่ำเกินไปจริงๆ เขานั่งห่อเ**่ยวอยู่บนโซฟาอย่างสิ้นหวัง


 


 


           ซือเหยี่ยนเข้าไปกัดเขาคำหนึ่ง “อะไรกัน ตัดใจกัดผมไม่ลงเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามยิ้มเยาะ “คุณชายกลัวว่ากัดเข้าไปแล้วจะอดไม่ได้จนกัดนายตายไปซะก่อน” สายตาเขาจับจ้องที่เส้นเลือดใหญ่ของซือเหยี่ยน เปล่งแสงอย่างเงียบๆ


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบคอไป พลางครุ่นคิดปัญหานี้ของเจียงมู่เฉินด้วยท่าทีจริงจัง เขาเอ่ยเสนอแก้ไข “ไม่งั้น…เปลี่ยนที่กัดมั้ย”


 


 


           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองเขา


 


 


           ซือเหยี่ยนจับมือของเขาขึ้นมาลูบ “กัดตรงนี้เป็นไง”


 


 


           ‘……บัด ซบ บัด ซบ’


 


 


           “ในที่สุดฉันก็มองนายเข้าใจแล้ว นายแม่งอาศัยช่วงล่างเดินสินะ เมื่อก่อนทำไมไม่รู้เลยว่าหัวสมองนายมีแต่เรื่องแบบนี้เต็มไปหมด เสียแรงที่ฉันเชื่อว่านายเป็นพ่อพระมาโดยตลอด” เจียงมู่เฉินโมโหจนระเบิดลง “พ่อพระกับน้องสาวนายสิ นายแม่งเป็นสัตว์ตลอดหัวจรดเท้า”


 


 


           เจียงมู่เฉินหดมือเข้า ฝ่ามือร้อนจนน่าตกใจ ครั้งที่แล้วใช้แรงงานมือจนเกินเส้นขีดความอดทนเขาแล้ว ตอนนี้ไม่คาดคิดว่าจะมาโหยหาริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเขา


 


 


           ‘เป็นสัตว์สินะ เป็นสัตว์ที่น่าไม่อายประชาชีด้วย’


 


 


           ซือเหยี่ยนทำหน้าซื่อตาใส ถอนหายใจ “เฉินเฉิน คุณอยู่ต่อหน้าผม ถ้าผมไม่คิดอะไรเลย เกรงว่าคุณจะต้องอกหักแล้ว”


 


 


           คนอื่นอยากให้เขาคิดแบบนี้ด้วย เขาก็ไม่เต็มใจด้วยทั้งนั้น ใจจดใจจ่อสำรวจแต่บนร่างกายของเจียงมู่เฉิน เขารักเดียวใจเดียวมาก โอเคไหม


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนเขาตอกกลับหน้าหงาย จู่ๆ ก็ไม่พูดจา รู้สึกว่าซือเหยี่ยนพูดถูกต้องมาก แต่ว่า…ถูกต้องแล้วมีประโยชน์อะไร  ถูกต้องแล้วก็ต้องเบลอภาพในหัวทุกวันเหรอ


 


 


           ซือเหยี่ยนกดมือไว้แน่น “ถ้าไม่ได้ ผมไปลองดูกับซูเตอร์แล้วกัน เขาต้องยินดีให้ความร่วมมือกับผมเป็นพิเศษแน่ๆ”


 


 


           เสียงขบกรามลอยอยู่ในห้องทำงาน เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยท่าทีดุร้าย “นายกล้าไปก็ลองดู”


ตอนที่ 236 พูดเข้าเค้าความจริงแล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้ “คุณไม่ยอมจะลองด้วย ยังไม่ยอมให้ผมไปลองกับคนอื่นอีก เป็นแบบนี้ตลอดผมจะช้ำในได้นะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องเขาด้วยสายตาดุร้าย “ฉันไม่ยอมให้นายลองเหรอ แม่งเอ๊ย เมื่อคืนนี้ใครกันแน่ที่ไม่คิดถึงตัวเองรีบออกไปช่วยนาย ยังโดนนายจับพลิกไปคว่ำมาเหมือนกับกำลังจี่ขนมเปี๊ยะไปกับกระทะ ทำจนเอวฉันยกไม่ขึ้นแบบนี้”


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ “นั่นมันเมื่อวานไม่ใช่เหรอ วันนี้ยังไม่ได้ลอง”


 


 


           “นายอายุเท่าไหร่แล้ว ยังคิดจะลองทุกวันอีกเหรอ” เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยท่าทีเหยียดหยาม


 


 


           ซือเหยี่ยนบริสุทธิ์ใจ เขายังหนุ่มยังแน่น ถ้าเวลานี้ไม่ลองทุกวัน ต่อไปตัวเองกับเจียงมู่เฉินอายุมากแล้ว ก็จะทำทุกวันไม่ได้แล้วนะ


 


 


           “ผมยังไม่ถึงสามสิบ ยังหนุ่มมากอยู่”


 


 


           เจียงมู่เฉินเดือดดาลจนอีกนิดเดียวจะกระอักเลือดออกมาแล้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าซือเหยี่ยนพูดประโยคนี้ดูเป็นเกียรติมากอย่างไรอย่างนั้น


 


 


           “เฉินเฉิน รอจนอายุมากขึ้น ระดับความยืดหยุ่นของร่างกายคุณก็ไม่ไหวแล้ว ถึงเวลานั้นท่ายากก็ท้าทายกันไม่ไหวแล้วเช่นกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยแนะนำด้วยความจริงใจ “ไม่งั้นตอนนี้พวกเราก็มาลองกัน บางทีต่อไปอาจยังพอไหว”


 


 


           เจียงมู่เฉินคว้าหมอนที่อยู่ด้านข้าง ฟาดเข้าไปเต็มๆ มือ “นายแม่งไปตายได้แล้ว”


 


 


           ……


 


 


           วุ่นวายกับซือเหยี่ยนตลอดทั้งเช้า สุดท้ายเจียงมู่เฉินก็กลัวว่าจะรบกวนเวลาซือเหยี่ยนทำงาน จึงจะเตรียมตัวกลับแล้ว ถ้ายังอยู่กับเขาต่อไป เกรงว่าตัวเองจะลงมือฆ่าซือเหยี่ยนหมกตู้จริงๆ


 


 


           เขาลุกยืนขึ้นมุ่งหน้าจะเดินออกไปข้างนอก แต่ซือเหยี่ยนกลับคว้าตัวเขาเอาไว้เสียก่อน กระตือรือร้นอยากจะไปส่งเจียงมู่เฉินลงไปมาก


 


 


           เจียงมู่เฉินจนใจ เขาก็แค่ลงลิฟต์ไปเอง ตัวเองรู้ทางอยู่ ต้องการให้เจ้าหมอนี่ไปส่งทำไม


 


 


           “คุณชายไม่ได้โง่ ลงตึกยังเป็นอยู่” เขามองรอยฟันบนคางซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ยังชัดเจนมากทีเดียว “นายไม่กลัวจะโดนคนอื่นเห็นคางนายเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยักคิ้วด้วยท่าทีสุขุม “ก็เพื่อให้พวกเขาเห็น ถึงได้จะลงไปไง”


 


 


           …ยังกลยุทธขั้นเทพแบบนี้อีก สมองซือเหยี่ยนเป็นของเซียนโดยแท้จริง คิดไม่เหมือนคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่ได้ใช้ลิฟต์ส่วนบุคคล แต่จงใจใช้ลิฟต์ธรรมดาเป็นพิเศษ ตอนที่ลงไปลิฟต์หยุดทุกชั้น และทุกครั้งที่มีคนเข้ามา จิตใต้สำนึกของทุกคนจะสั่งให้มองซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉินทั้งสองคนตลอด


 


 


           พอเห็นรอยฟันบนคางของซือเหยี่ยน แววตาก็จะลุกวาวทันที


 


 


           เจียงมู่เฉินหางตากระตุกอยู่ร่ำไป สายตาที่ตื่นเต้นส่งมาจากรอบข้างอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาค่อนข้างจะปลง ในที่สุดเขาก็พบว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่ปกติ แม้แต่คนในบริษัทนี้ก็ไม่ปกติกันหมด


 


 


           ลงลิฟต์กันจนมาถึงชั้นหนึ่ง ซือเหยี่ยนส่งเจียงมู่เฉินออกผ่านประตูไปด้วยสีหน้าท่าทางอ่อนโยน ยังไปส่งที่รถด้วยตัวเองด้วย


 


 


           คนที่เห็นฉากนี้ก็พากันตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาในพริบตา เพียงไม่นานข่าวก็แพร่ไปในบริษัท ประธานซือส่งคุณชายเจียงออกจากบริษัทด้วยตัวเอง จุดสำคัญคือยังมีรอยฟันบนคางด้วย


 


 


           มีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยใคร่รู้ในรอยฟันบนคางของซือเหยี่ยน มีบางคนถึงขึ้นอดไม่อยู่อยากไปหาเจียงมู่เฉินเปิดปากดูว่ารอยฟันตรงกันหรือเปล่า


 


 


           มีคนจับกลุ่มถกกันอย่างออกรสออกชาติ ซือเหยี่ยนที่ส่งเจียงมู่เฉินเสร็จเดินกลับเข้ามาเห็นพนักงานตื่นตัวกันชัดเจน ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ เชิดมุมปากขึ้นยกมือขึ้นมาลูบคลำรอยฟันบนคาง


 


 


           การกระทำของเขาทำให้คนรอบข้างที่เห็นเกือบจะตกใจจนฉี่จะราดแล้ว


 


 


           ทำไมตอนประธานซือลูบคาง สีหน้าอารมณ์ดูลึกซึ้งค่อนข้างแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก


 


 


           ภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็นทุกรูปแบบที่ส่งมา ซือเหยี่ยนเดินอย่างผ่าเผยกลับเข้าลิฟต์ไป เมื่อประตูลิฟต์ปิดในพริบตาเดียวทั้งตึกก็ระเบิดเสียงเซ็งแซ่ออกมา “เมื่อกี้ประธานซือยิ้มแล้วถูกต้องไหม”


 


 


           “แม่เจ้าเว้ย นี่คงจะไม่ใช่เป็นฝีมือคุณชายเจียงกัดหรอกใช่ไหม หรือทั้งสองคนตีกันข้างบน คุณชายเจียงตีไม่สู้ก็เลยใช้ปากประธานซือ”


 


 


           “แต่ว่า…คุณชายน้อยกัดประธานซือ แล้วประธานซือจะยังดูมีความสุขขนาดนี้ไปทำไม”


 


 


           หญิงสาวคนหนึ่งกัดนิ้ว เอ่ยด้วยสีหน้าแปลกใจ “หรือว่า ประธานซือเป็นพวกชอบโดนกระทำ”


 


 


           ‘…อืม…น้องสาวคนนี้ เหมือนเธอจะพูดเข้าเค้าความจริงบ้างแล้ว’


 


 


           


 


 


ตอนที่ 237 ซือเหยี่ยนจะอยากรัดคอเขาให้ตาย


 


 


           เรื่องที่ซือเหยี่ยนไปส่งคุณชายน้อยเจียงด้วยตัวเองแพร่สะพัดไปทั้งบริษัท ไป๋จิ่งเองก็ได้ทราบข่าวไปโดยปริยาย เขารีบหยิบมือถือออกมาส่งข้อความหามั่วไป๋


 


 


           [ช่วงวิกฤตกาลคลี่คลาย ผมไม่ต้องตายแล้ว]


 


 


           มั่วไป๋อ่านข้อความแล้วมุมปากกระตุกขึ้นมา ตอบกลับไปส่งๆ


 


 


           [ถ้านายอยากตาย ฉันจะลงมือช่วยนาย]


 


 


           เขาส่งไปเสร็จก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เสริมไปอีกประโยค


 


 


           [นายวางใจได้ ต่อให้ฉันลงมือฆ่านาย ก็ยังช่วยนายจัดงานศพได้อยู่]


 


 


           ไป๋จิ่งถือมือถือไว้ยืนฟุ้งซ่านอยู่ข้างหน้าต่าง ครั้งนี้เขาไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วจริงๆ ใช่ไหม ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วจริงๆ ใช่ไหม


 


 


           คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋ของเขาจะยังอยากลงมือฆ่าเขาเองด้วย


 


 


           ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ริมหน้าต่างเศร้าสลดสักพัก ตัดสินใจจะต้องเป็นฝ่ายตีวงล้อมกลับไปกอบกู้ตำแหน่งของตัวเอง


 


 


           เขาทำแม้กระทั่งรีบวิ่งพุ่งเข้าไปห้องทำงานของซือเหยี่ยน เลียนแบบท่าทางของเจียงมู่เฉินใช้เท้าถีบประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยน


 


 


           เขายืนอยู่ตรงนั้นคิดคำนึงว่าต้องมีพลังออกมา ต่อให้ไม่แรงเท่าเจียงมู่เฉินได้ ก็จะแย่กว่าเจียงมู่เฉินไม่ได้


 


 


           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ในห้องทำงานกวาดสายตามองไป๋จิ่งเล็กน้อย มีความเย็นยะเยือกอยู่ในสายตา เพียงครู่เดียวไป๋จิ่งก็หวาดกลัวจนพลังที่มีหายเกลี้ยง


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นประตูที่ถูกถีบเข้ามากวัดแกว่งไปมาอยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ปิดประตูดีๆ แล้วออกไป”


 


 


           ไป๋จิ่งหวาดกลัวจนปิดประตูอย่างจริงจัง ยืนอยู่หน้าประตูสูดหายใจเข้าลึกๆ เคาะประตูด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง


 


 


           “เข้ามา”


 


 


           ตอนนี้เองที่ไป๋จิ่งถึงได้ผลักประตูเข้ามา ตอนที่เข้ามายังถือโอกาสพูดขอโทษกับประตูด้วย


 


 


           ซือเหยี่ยนกุมขมับที่ปวดกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


           “ฉันต้องการขอลากิจ” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงดัง


 


 


           “ไม่อนุญาต!”


 


 


           ‘…ปฏิเสธกันตรงๆ ขนาดนี้เชียว แม้แต่เหตุผลก็ไม่ต้องถามกันเลยเหรอ’


 


 


           “ฉันมีเหตุผลที่เหมาะสมจะขอลากิจ” ไป๋จิ่งแอบพูดต่อ


 


 


           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “ไม่รับ”


 


 


           ไป๋จิ่งน้ำตาตกใน ขาดแค่พุ่งตรงเข้าไปกอดขาซือเหยี่ยนเท่านั้น “ถ้านายไม่ปล่อยฉันไป เมียฉันก็จะไม่มีแล้ว ถ้าฉันต้องเป็นโสด รับประกันว่าฉันไม่จบกับนายแน่…ฉันจะบอกพ่อแม่นายแล้วก็พ่อแม่เจียงมู่เฉิน บอกว่าพวกนายสองคนคบกัน ทำให้พวกท่านจับพวกนานแยกจากกัน” เขาเริ่มข่มขู่เงียบๆ


 


 


           ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำในมือลง กอดอกมองไป๋จิงจริงจัง “หืม นี่นายกำลังขู่ฉันเหรอ”


 


 


           ไป๋จิ่งพยักหน้า “ชัดเจนว่าใช่”


 


 


           “แล้วถ้าฉันไม่ยอมตกลงล่ะ”


 


 


           “ฉันก็กระโดดตึก เมียไม่มีแล้ว ชีวิตจะมีความหมายอะไรอีก” สีหน้าท่าทางแบบนั้นเรียกว่าไม่ย่อท้อที่จะยืนหยัดต่อความถูกต้อง


 


 


           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว พยักหน้าจริงๆ “ฉันเข้าใจแล้ว”


 


 


           เขากดต่อสายโทรศัพท์ “เสี่ยวหลิว เข้ามาหน่อย ถือเชือกติดมือมาด้วย”


 


 


           เสี่ยวหลิวรีบถือเชือกเข้ามา ราวกับคุ้นชินกับเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่มีผิด ท่าทีเรียบเฉยอาการนิ่งอย่างมาก


 


 


           “ประธานซือ เชือกมาแล้วครับ”


 


 


           “ประธานไป๋ของนายอยากจะกระโดดตึก ฉันกับเขาเป็นเพื่อนกันมาหลายปี ยังมีความผูกพันกันอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องให้เขาเสียแรงกระโดดตึกลงไปเอง ถือเชือกไว้ นายรัดคอประธานไป๋ของนายด้วยมือนายเองเถอะ จะได้ส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย”


 


 


           ‘…ไม่คาดคิดว่าซือเหยี่ยนจะอยากรัดคอเขาให้ตาย?’


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นเสี่ยวหลิวที่เข้ามาประชิดตัวด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง ก็รีบวิ่งหันกลับออกไปทันที


 


 


           เสี่ยวหลิวไม่เห็นเงาคนในห้องทำงานแล้วถอนหายใจเงียบๆ “เชือกยังจะใช้อยู่ไหมครับ”


 


 


           “เก็บไว้ ถ้าประธานไป๋ของนายไม่ฟังความก็ใช้ต่อไป”


 


 


           เสี่ยวหลิว “…”


 


 


           คนที่อยู่ชั้นล่างของตึกยังคงตกอยู่ในภวังค์ในโลกของซือเหยี่ยน ทันใดนั้นก็เห็นไป๋จิ่งราวกับพายุพัดผ่านออกมา กิริยาท่าทางเร็วปานข้างหลังมีผีไล่ตามอยู่


 


 


           กระแสลมแรงผ่านไป ไป๋จิ่งก็พุ่งตัวออกจากตึกใหญ่จนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย


 


 


           …คนที่เหลือมองหน้ากันไปมา วันนี้บริษัทเป็นอะไรไปกันแน่ หรือว่าเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น


 


 


           ประธานซือมาก่อน ตามด้วยประธานไป๋ ยิ่งมายิ่งไม่ปกติ


 


 


           คนทั้งกลุ่มถอนหายใจเงียบๆ เป็นพนักงานของซือกรุ๊ปนี่เหนื่อยจัง


ตอนที่ 238 คบกับผู้ชายกากเดน 


 


 


           เจียงมู่เฉินขลุกตัวอยู่บนโซฟานุ่ม กินไปด้วย บ่นกับมั่วไป๋ไปด้วย ยังพูดกันไปได้ไม่เท่าไหร่ ที่ประตูบานใหญ่ก็มีเสียงคนตบประตูดังขึ้นมาต่อเนื่อง 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองมั่วไป๋อย่างจริงจัง “ช่วงนี้หรือว่านายจะถือโอกาสตอนที่ฉันไม่อยู่ ไปยืมเงินกู้ดอกเบี้ยสูงอะไรมา คนเขาเลยมาทวงเงินนายตอนนี้” 


 


 


           “ฉันดูเหมือนคนยืมเงินกู้ดอกเบี้ยสูงเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดอย่างจริงจังสักพัก ก่อนส่ายหัว “นายเองไม่ได้ขาดเงิน ไม่ถึงกับต้องไปยืมเงินกู้ดอกเบี้ยสูงมา” 


 


 


           เสียงตบประตูดังสนั่นขึ้นมาเป็นระลอกต่อกันอีกครั้ง 


 


 


           “หรือว่านายไปเล่นกับความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่ไหนมา คนเขาถึงได้ทุ่มเทมาหานายถึงที่” 


 


 


           มั่วไป๋มุมปากกระตุก ไม่ค่อยอยากจะพูดกับเจียงมู่เฉินแล้ว ลุกยืนขึ้นเดินไปเปิดประตู 


 


 


           เขายื่นมือไปเปิดประตูมาก็เห็นไป๋จิ่งยืนฟุ้งซ่านอยู่หน้าประตู “มีคนอยากฆ่าผม” เขาเพิ่งจะเตรียมฟ้องก็เห็นเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างๆ มั่วไป๋ 


 


 


           เขาตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง “ทำไมที่นี่ก็มี…” พูดจบก็ตบประตู แล้วปิดประตูไป 


 


 


           มั่วไป๋หันกลับมามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ทั้งสองคนอดจะกระตุกมุมปากพร้อมกันไม่ได้ 


 


 


           เขาเปิดประตูมาอีกครั้ง ไป๋จิ่งยังยืนอยู่ที่เดิม เขากะพริบตาเอ่ยถาม “เจียงมู่เฉินที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อกี้นี้เป็นภาพหลอนใช่ไหม” 


 


 


           มั่วไป๋ฉุดคนให้เข้ามา ปิดประตูเสร็จสรรพอย่างคล่องแคล่วว่องไว “นายไปถามเองดูว่าเขาใช่ภาพหลอนหรือเปล่า” 


 


 


           …ไป๋จิ่งยังไม่ได้สติกลับมาจากโลกที่ซือเหยี่ยนเตรียมจะใช้เชือกรัดคอเขาตาย เขากวาดสายตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง แล้วกลับมามองมั่วไป๋ รีบสวมกอดมั่วไป๋ทันที 


 


 


           “ซือเหยี่ยนของเขาอยากฆ่าผม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “โอ้ วันนี้เขาถึงเพิ่งจะอยากฆ่านายเหรอ” 


 


 


           “หืม?” หรือว่าเมื่อก่อนซือเหยี่ยนเคยพูดกับเจียงมู่เฉินว่าอยากจะฆ่าเขา 


 


 


           “ทนอยู่กับนายมาได้นานขนาดนี้โดยไม่ลงมือฆ่านาย ซือเหยี่ยนของฉันช่างเป็นเซียนจริงๆ ถ้าฉันเป็นเขา นายควรจะตายไปตั้งนานแล้ว จะยังมาขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ จนถึงตอนนี้ได้เหรอ” 


 


 


           ไป๋จิ่ง “= : =” 


 


 


           มั่วไป๋กุมขมับ สองคนนี้ไม่มีใครปกติสักคน เขาแกะมือที่โอบรัดเขาอย่างแน่นสนิทของไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่แรงเยอะเกินไปจริงๆ จะแกะมือออกอย่างไรก็แกะไม่ออก สุดท้ายทำได้แค่โดนเขากอดอยู่แบบนี้ 


 


 


           มั่วไป๋นั่งอยู่บนโซฟาเอนซบพิงร่างของไป๋จิ่ง เอ่ยถามเสียงต่ำ “ทำไมซือเหยี่ยนถึงอยากจะฆ่านายเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินดื่มกาแฟไป พลางเอ่ยอย่างเฉยเมย “จะเพราะอะไรได้อีก ก็เพราะเขามันเป็นกากเดนไง”  


 


 


           …ไป๋จิ่งโมโหแล้ว อะไรก็ว่าเขาเป็นกากเดน คนดีศรีศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดจะใช่กากเดนที่ไหนกัน 


 


 


           “พอเถอะ นายไม่ต้องพูดแล้ว” มั่วไป๋กวาดสายตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง 


 


 


           เจียงมู่เฉินยักคิ้ว ดื่มกาแฟอย่างจริงจัง 


 


 


           ไป๋จิ่งมองเจียงมู่เฉินด้วยท่าทียั่วยุไปแวบหนึ่ง มีมั่วไป๋ของเขาอยู่ มั่วไป๋ถึงทำใจเห็นตัวเองโดนเจียงมู่เฉินรังแกไม่ได้ 


 


 


           ไป๋จิ่งแนบใบหน้าคลอเคลียใบหน้าของมั่วไป๋ 


 


 


           มั่วไป๋สีหน้าดำคร่ำเครียด ท่าทางของเขาเหมือนกำลังคลอเคลียหมาอยู่ไม่มีผิด นี่หมายความว่าไง เขาเอามือผลักไป๋จิ่งให้ถอยหลังอย่างไม่ลังเล 


 


 


           เจียงมู่เฉินเอาแต่พินิจมองพวกเขาสองคนอยู่ครู่ใหญ่ เขาเลิกคิ้ว เอ่ยถาม “พวกนายทำกันแบบนี้ไม่ค่อยถูกนะ” 


 


 


           ไป๋จิ่งเด้งตัวออกมา “ไม่ถูกยังไง มั่วไป๋ตกลงยอมคบกับฉันแล้ว กอดสักหน่อยผิดตรงไหน” 


 


 


           “นายคบกับผู้ชายกากเดนจริงๆ เหรอ”  


 


 


           “นายนั่นแหละผู้ชายกากเดน” ไป๋จิ่งโต้แย้งเงียบๆ 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่สนใจเขา สายตาของเขามองมาแต่ที่มั่วไป๋ ไป๋จิ่งสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง 


 


 


           “อืม ฉันรับปากเขา” มั่วไป๋พยักหน้า 


 


 


           “เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่” 


 


 


           “ช่วงที่นายไม่อยู่” มั่วไป๋เอ่ยตอบเสียงต่ำ “ฉันคิดดูแล้ว ลองกับเขาดูได้ แต่ตอนนี้พวกเรายังอยู่ในช่วงทดลองใช้” 


 


 


           “ไม่ช้าก็เร็วจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นตัวจริงได้” 


 


 


           คำพูดนี้ของไป๋จิ่งถูกทั้งสองคนนี้มองข้ามไปอย่างเงียบๆ… 


 


 


           “นายยังทดลองใช้กับเขาอยู่เหรอ เขามีอะไรน่าทดลองใช้ ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรงทั้งหมด อีกอย่างหน้าตาเจ้าชู้แบบนี้ ไม่แน่ว่าจะยังมีโรคพูดโกหก พูดไม่น่าเชื่อถืออะไรอีกด้วยนะ” 


 


 


            


 


 


ตอนที่ 239 เรือล่ม 


 


 


           เจียงมู่เฉินเข้าไปใกล้ “ต้องการให้ฉันแนะนำหมอให้นายหรือเปล่า นายไปตรวจดูสักหน่อยไหม” 


 


 


           เขากอดมั่วไป๋ให้ห่างจากเจียงมู่เฉิน “นายมาที่นี่ทำไม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกสดชื่นแล้ว คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะถามเขาว่ามาที่นี่ทำไม 


 


 


           “ฉันยังไม่ได้ถามนายด้วยซ้ำว่ามาที่นี่ทำไม นายยังไม่กระดากใจถามฉันอีกเหรอ” 


 


 


           “ฉันมาดูแลหัวใจไม่ได้เหรอ ตอนนี้พวกเราคบกันโดยชอบธรรมอย่างเปิดเผย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “คุณชายก็มาดูแลหัวใจไม่ได้เหรอ” เขาเข้าไปกอดมั่วไป๋ไว้ ทำเสียงจิ๊จ๊ะ หอมแก้มมั่วไป๋ “ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันเองก็จะจีบมั่วไป๋…ให้เขาคบผู้ชายกากเดนแบบนายสู้ฉันเก็บเขาไว้ดีกว่า” 


 


 


           “นายจีบมั่วไป๋เหรอ แล้วซือเหยี่ยนล่ะ จะรักสามเส้า เราสามคนเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินลูบคาง คิดทบทวนอย่างจริงจังพักหนึ่ง รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว เขากอดมั่วไป๋ดวงตาลุกวาว “เป็นไง นายกับฉัน คุณชายจะดูแลนายอย่างดีเลย” 


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นสถานการณ์ดูท่าจะไม่ดี จึงรีบส่งข้อความหาซือเหยี่ยน  


 


 


           [คุณชายน้อยของนายอยากจะปีนกำแพง ถ้านายไม่สนใจอีก เขาจะหนีไปกับคนอื่นแล้ว] 


 


 


           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ในห้องทำงาน เห็นข้อความนี้ ก็เลิกคิ้วในทันใด  


 


 


           [ที่ไหน] 


 


 


           ตอนที่ไป๋จิ่งเอาที่อยู่ส่งให้ซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนก็อยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว มุ่งหน้าไปยังจุดหมายพร้อมรังสีอำมหิต 


 


 


           ‘เจียงมู่เฉินอยากจะปีนกำแพงเหรอ’ 


 


 


           ‘ขอเพียงมีเขาอยู่ ไม่มีทาง’ 


 


 


           …… 


 


 


           เจียงมู่เฉินยังไม่รู้ว่ามีใครบางคนแอบคาบข่าวไปฟ้องให้อีกคนตามมาแล้ว เขายังทำหน้าตาอยากได้กอดแขนมั่วไป๋อยู่ “ยอมตกลงกับคุณชายโอเคไหม คุณชายอ่อนโยน เอาใจใส่ อะไรๆ ก็ดีกว่าผู้ชายกากเดนคนนั้นใช่ไหม” 


 


 


           ไป๋จิ่งได้ยินคำพูดนี้ยิ่งโกรธจนหน้ามืดตามัว แต่พอคิดว่าใช้เวลาอีกไม่นาน ก็จะมีคนมาสั่งสอนเขาแทนตัวเองแล้ว คิดมาแบบนี้ในใจก็สบายขึ้นแล้ว 


 


 


           ไป๋จิ่งกระชับมือแน่นขึ้น “นายอย่าหมายปองมั่วไป๋ของฉันเลย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายอย่าลืมสิ ว่านายก็คือช่วงทดลองใช้ ยังไงก็ตกรอบได้ ยังจะมามั่วไป๋อะไรของนายอีก เรียกซะสนิทกันจริงๆ” 


 


 


           ไป๋จิ่งขบกราม ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าตอนเช้าเขากินยาไม่เขย่าขวดมาหรือเปล่าถึงได้คิดจะพูดโน้มน้าวซือเหยี่ยนแบบนั้น 


 


 


           ‘ควรจะเลิกๆๆๆ แบบนี้ไม่เลิกกันแล้ว จะเก็บไว้ฉลองปีใหม่เหรอ’ 


 


 


           พวกเขาสองคนทะเลาะกันจนทำให้มั่วไป๋ปวดหัว ทำหน้าเย็นชานั่งอยู่ตรงกลาง โดนพวกเขาดึงไปดึงมา พออีกนิดเดียวใกล้จะระเบิดอารมณ์ออกมา มือถือของไป๋จิ่งก็สั่นขึ้นมา 


 


 


           เขาหยิบออกมาอ่านก็เห็นสองคำนี้ 


 


 


           [เปิดประตู] 


 


 


           แผนร้ายฉายสะท้อนในแววตาไป๋จิ่งขึ้นมาวาบหนึ่ง เขาจูบมั่วไป๋แล้วรีบกระโดดหนี “นายอย่ามาจูบมั่วไป๋ของฉันตามใจชอบสิ”  


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกราม ไม่ให้จูบ เขากลับจะจูบ เขากอดมั่วไป๋ไว้แล้วจูบเข้าไปหนักๆ แรงๆ ไป๋จิ่งเหลือบมอง เมื่อได้เวลาเหมาะก็เปิดประตูทันที 


 


 


           ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าประตูเห็นเจียงมู่เฉินที่กอดจูบมั่วไป๋แล้ว เส้นเลือดตรงขมับก็อดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะจูบเสร็จ ก็พูดเกทับเสียงสูงกับไป๋จิ่ง “จูบฉันก็จูบแล้ว นายจะว่าอะไร…ฉัน…ล่ะ…” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก สีหน้าดำดิ่งในอารมณ์เพียงเสี้ยวนาที 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกหนาวๆ ที่คอจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที ยามสายตามองเห็นใบหน้าดำคร่ำเคร่งของซือเหยี่ยนก็ตะลึงงันไปในชั่วพริบตา… 


 


 


           เขามองดูมือตัวเองที่กอดมั่วไป๋ไว้ พลางคิดว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองทำอะไรลงไป จากนั้นก็เด้งตัวจากโซฟามายืนตัวตรงราวกับทหารอย่างไรอย่างนั้น “นาย…นาย…นายมาได้ยังไงกัน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “อะไรกัน คุณจะปีนกำแพงหนีไปแล้ว ผมจะไม่มาได้ยังไง” 


 


 


           เจียงมู่เฉิน “…” 


 


 


           มั่วไป๋ “…” 


 


 


           ไป๋จิ่งลำพองใจ มาเล่นกับฉัน นายมันยังเด็กไป ใครใช้ให้นายมากอดมาจูบเมียฉัน ตอนนี้เรือล่มแล้วล่ะสิ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม