(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 216-223

 ตอนที่ 216 คุณชายจะเจี๋ยนนายทิ้งซะ 


 


 


           เขาใช้ชีวิตมาตั้งหลายปีกว่าจะมาตกหลุมรักซือเหยี่ยน ความรักความรู้สึกครั้งนี้ เขาจะพยายามรักษามันเอาไว้ให้ได้ 


 


 


           ทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างทะเลสาบ ต่างอิงแอบคลอเคลียกันไปมา ท่ามกลางความมืดมิดมือทั้งสองสอดประสานกันอย่างแนบสนิท การกระทำทุกอย่างราวกับจะบอกอีกฝ่ายถึงความตั้งใจอันหนักแน่นว่าอยากจะเดินไปด้วยกันชั่วนิรันดร์ 


 


 


           เวลาผ่านไปนานระยะหนึ่ง เจียงมู่เฉินถึงได้ยืนขึ้น 


 


 


           “ไปเถอะคุณแฟน กลับไปนอนได้แล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเลียนแบบท่าทางเมื่อครู่นี้ ส่งมือไปทางเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น เล่นใหญ่ทีกลับไม่ลืมจะยื่นมือมา 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูมือที่เขาส่งมา ก่อนจะเกี่ยวพันจับแขนไว้แน่น เจียงมู่เฉินออกแรงดึงขึ้นมา ทั้งสองคนเดินควงแขนกันมุ่งหน้ากลับไป 


 


 


           ในโรงแรมเดิมทีก็ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่อยู่แล้ว นอกจากพวกเขาไม่กี่คนก็ไม่มีใครคนอื่น ตอนที่เจียงมู่เฉินพวกเขากลับมา ซังจิ่งก็ไม่อยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมแล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่เห็นเขาก็ไม่ได้ถามหา เจ้าตัวพาซือเหยี่ยนเข้าห้องไปทันที 


 


 


           ทั้งสองคนอาบน้ำเสร็จถึงเพิ่งได้เอนตัวลงนอนบนเตียงมองดูดวงดาวนับพันนับหมื่นอยู่นอกหน้าต่าง ที่นี่ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากคุยกันก็ทำได้แค่นอนหลับ 


 


 


           ทั้งสองคนหลับกันมาทั้งบ่ายแล้ว พอมานอนกันแต่หัวค่ำแบบนี้ก็ทำให้นอนไม่ค่อยจะหลับเท่าไหร่ นับดวงดาวมาตั้งนานสองนาน เจียงมู่เฉินก็ยังไม่รู้สึกง่วงนอน เจียงมู่เฉินเอาแต่พลิกมาคว่ำไปไม่หยุด 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเหมือนกับแพนเค้กที่พลิกไปพลิกมาทั้งสองด้าน เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พลางเบรกอีกฝ่ายเอาไว้ “ถ้าคุณนอนไม่หลับจริงๆ พวกเราหาอะไรทำกันหน่อยไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกราม อะไรที่ออกมาจากปากของซือเหยี่ยน เห็นแล้วก็รู้ได้ในทันใดว่าต้องไม่มีเรื่องอะไรดีๆ 


 


 


           “ไม่เอา ฉันขอปฏิเสธ พรุ่งนี้เช้าต้องไปขึ้นเขา คือว่านาย ถ้าพรุ่งนี้ถึงเวลาแล้วฉันกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงขึ้นมา นายจะแบกฉันขึ้นไปเหรอ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนพลิกตัวขึ้นมาคร่อมทับเขาไว้ “ผมแบกคุณเอง ไม่ต้องให้คุณเดิน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของเขานัก “ทางเรียบก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ในเขานายยังจะแบกฉันได้ ถึงตอนนั้นพวกเราจะเสียหลักล้มกันหมดพอดี” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “คุณลืมไปแล้วเหรอว่าครั้งก่อนที่คุณโดนลักพาตัววิ่งหนีเข้าในเขาไป ใครอุ้มคุณออกมา วันนั้นผมทั้งอุ้มทั้งแบกพาคุณออกมานะ” 


 


 


           เหมือนจะมีเหตุผลก็เหตุผลนี้ไม่ผิด แต่ว่าก็รู้สึกตลอดว่ามันตหงิดๆ ดูชอบกล 


 


 


           “ต้องการให้ผมช่วยคุณออกกำลังกายสักหน่อยมั้ย หลังจากนั้นพอคุณเหนื่อยแล้วก็ค่อยนอนพักกัน” ซือเหยี่ยนเริ่มกัดเข้าที่ใบหูเขา พร้อมเอ่ยเสียงต่ำยั่วยวนล่อใจ 


 


 


           เสียงกดต่ำของซือเหยี่ยนดังวนเวียนอยู่ที่ข้างหูเขาไม่หยุด ช่างดึงดูดคนเหลือเกิน เจียงมู่เฉินโดนเขาทำแบบนี้ ใจก็เต้นตึกตักบ้างแล้ว 


 


 


           ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ ‘ทำ’ กับซือเหยี่ยนมานานแล้ว จะ ‘ทำ’ กันสักหน่อยก็ไม่น่าจะมีอะไร 


 


 


           คิดได้เช่นนี้ เจียงมู่เฉินก็พยักหน้ารับคำยอมตกลงทันที “โอเค แต่ให้แค่ครั้งเดียวนะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นว่าในที่สุดเขาก็รับคำยอมตกลงได้เสียที พอเจียงมู่เฉินพยักหน้า ซือเหยี่ยนก็ลงมือวาดลวดลายทันที แต่จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบฉุดมือเขาไว้ “เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่ง” 


 


 


           ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำลง มองดูเขา 


 


 


           “ห้องนี้กันเสียงไม่ดีจริงๆ นายทำเบาๆ หน่อยนะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเงียบไปพักหนึ่ง วินาทีต่อมาก็สอดแขนช้อนร่างของเขาอุ้มขึ้นมาพาเข้าห้องน้ำไป “อยู่ข้างในนี้ ข้างนอกไม่ได้ยินแล้วใช่ไหม” 


 


 


           หลังจากเจียงมู่เฉินให้เขาปิดประตูสนิทแล้ว ถึงได้เห็นด้วย 


 


 


           ออกกำลังกายกันอยู่ข้างใน ทั้งร่างเจียงมู่เฉินเต็มไปด้วยเหงื่อ ซือเหยี่ยนอุ้มเขาไปอาบน้ำล้างตัว สุดท้ายอาบไปอาบมา ก็จัดกันไปอีกรอบ 


 


 


           เจียงมู่เฉินกัดฟันกรอด ที่แท้เจ้าหมอนี่ให้แค่ครั้งเดียว ไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว 


 


 


           เมื่อซือเหยี่ยนจะจับกดเขาอีกครั้ง เจียงมู่เฉินก็ระเบิดลงจริงๆ แล้ว เขายกขาที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นถีบใส่อีกฝ่ายไปทีหนึ่ง “นายแม่งถ้ากล้ามาอีก คุณชายจะเจี๋ยนนายทิ้งซะ” 


 


 


           โดนขู่ฟ่อขนาดนี้ ซือเหยี่ยนก็ว่าง่ายโดยพลัน รีบอาบน้ำล้างตัวเช็ดตัวคนให้แห้ง แล้วอุ้มออกมาบรรจงวางลงบนเตียง ตั้งใจปรนนิบัติดูแล 


 


 


           พวกเขาไม่ได้ ‘ทำ’ กันมาระยะหนึ่งแล้ว ยังมาจัดกันไปสองรอบในห้องน้ำอีก เขารับไม่ค่อยจะไหวแล้วจริงๆ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นอนฟุบอยู่บนเตียง ไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนเลย 


 


 


               


 


 


ตอนที่ 217 ออกเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้น 


 


 


           ซือเหยี่ยนรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดที่กินเขาจนคุ้มทุน ทำหน้าทำตาน่าเอ็นดูเสนอตัวช่วยนวดให้เจียงมู่เฉิน 


 


 


           เขานวดให้ขนาดนี้แล้ว ผ่านไปพักหนึ่ง เจียงมู่เฉินก็รู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่หดเกร็งไปทั้งตัวค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างช้า 


 


 


           ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ซือเหยี่ยนถึงได้หยุดลง ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เจียงมู่เฉินด้วยความระมัดระวัง แล้วจับเขาพลิกตัวมานอนหงายดีๆ 


 


 


           ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซือเหยี่ยนถึงได้เอนตัวลงนอนข้างกายเจียงมู่เฉิน 


 


 


           ท่ามกลางความมืดมิดซือเหยี่ยนมองหาแสงไฟรางๆ จากข้างนอกที่ฉายสะท้อนเข้ามากระทบใบหน้ายามหลับใหลของเจียงมู่เฉิน พินิจมองอยู่อย่างนั้น เขารู้สึกชอบใจอย่างบอกไม่ถูก จนทนไม่ไหวเข้าไปใกล้แล้วมอบจุมพิตก่อนนอนให้คนตรงหน้า 


 


 


           ถ้าไม่ใช่เพราะคิดถึงว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ซือเหยี่ยนเกรงว่าตัวเองในตอนนี้จะทำให้อีกคนตื่นแล้วจัดกันอีกสักรอบ 


 


 


           ในห้องที่เงียบสงบ เพียงครู่เดียวคนสองคนก็เข้าสู่นิทรา 


 


 


           …… 


 


 


           เช้าวันต่อมาเวลาตีสี่ ซือเหยี่ยนตื่นมาแล้ว ขณะเดียวกันเจียงมู่เฉินก็ยังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่ เขาดูเวลาแล้ว ลังเลอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเรียกปลุกเจียงมู่เฉิน 


 


 


           “เฉินเฉิน ตื่นได้แล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงเบาๆ เรียกปลุกเจียงมู่เฉิน เขาขยับพลิกตัวนอนต่อ 


 


 


           เขาถอนหายใจเงียบๆ ว่าแล้วเชียวเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหมอนี่จะตื่นได้ตามเวลาจริงๆ เขายื่นมือไปบีบจมูกเจียงมู่เฉินไว้ เป็นอย่างคิดไม่กี่วินาทีเจียงมู่เฉินก็ขมวดคิ้วในทันใด 


 


 


           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสที่เจียงมู่เฉินยังไม่ตื่นดี รีบคลายมือออก “เฉินเฉิน รีบตื่นเร็วเข้า” 


 


 


            เวลานี้เจียงมู่เฉินถึงได้ยกเปลือกตาหนักๆ ขึ้นมาด้วยความยากลำบาก “จะทำอะไร ฟ้ายังไม่สว่างเลย นายมาเรียกฉันทำไม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาขำๆ “ไม่ใช่ว่าวันนี้จะออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันหรอกเหรอ ถ้าไม่อยากไป คุณก็นอนต่อเลย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดว่าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ทันทีหลังจากนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าวันนี้รับปากซือเหยี่ยนเอาไว้ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน 


 


 


           ฉวยโอกาสที่ตัวเองยังมีสติอยู่ นั่งตัวตรงขึ้นมาในพริบตา “ไปๆๆ ต้องไปสิ เมื่อคืนคุณชายพูดแล้ว รับรองว่าวันนี้ตื่นเช้าได้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินลงจากเตียงด้วยท่าทางโคลงเคลง พุ่งตัวเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน แบบนี้ถึงได้ตาสว่างตื่นตัวมากขึ้น 


 


 


           ทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องไป 


 


 


           ในโรงแรมไม่มีใครสักคน มืดมิดไม่มีแสงไฟ ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินเดินตามหลังกันไป เมื่อออกจากประตูใหญ่ทางเข้าโรงแรม ก็ไปนั่งในรถของซือเหยี่ยนทันที 


 


 


           ก่อนซือเหยี่ยนจะขับรถออกตัวไป เขาหยิบของกินเล็กๆ น้อยๆ ให้เจียงมู่เฉิน ทั้งยังหยิบผ้าห่มให้อีกด้วย แล้วถึงได้สตาร์ทรถขับออกไป 


 


 


           เจียงมู่เฉินเอาผ้าห่มมาพันตัวไว้ แล้วเอนพิงพนักที่นั่งข้างคนขับอย่างรวดเร็วเสร็จสรรพ เขากินขนมปังไปด้วย ป้อนซือเหยี่ยนไปด้วย 


 


 


           หลังจากที่ผ่านถนนราบเรียบข้างหน้าแล้ว เจียงมู่เฉินก็หยุดป้อนอาหาร ข้างหน้าเป็นทางขึ้นเขาทั้งหมด เขายังไม่อยากฝังศพกับซือเหยี่ยนด้วยกันที่นี่ 


 


 


           “ซือเหยี่ยน เมื่อก่อนนายเคยขับรถขึ้นภูเขาแบบนี้ไหม” เจียงมู่เฉินชักจะอยากรู้ขึ้นมา 


 


 


           “เปล่า ครั้งแรก” 


 


 


           “อ้าวเฮ้ย ครั้งแรกนายยังกล้าบอกฉันว่าจะขับรถขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกเหรอ ฉันใช้ชีวิตของฉันอยู่ดีๆ ยังไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่” 


 


 


           ซือเหยี่ยนขับรถอย่างเอาจริงเอาจัง “คุณเชื่อผมสักหน่อยไม่ได้เหรอ ผมมีใบอนุญาตขับขี่รถแข่ง แค่ทางขึ้นเขาจะกลัวอะไร” 


 


 


           “นายยังมีใบอนุญาตขับขี่รถแข่งด้วยเหรอ เจ๋งขนาดนี้เชียว” พอเจียงมู่เฉินได้ยินก็อิจฉาขึ้นมาทันใด “ครั้งหน้าเมื่อไหร่นายจะพาฉันไปแข่งรถไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “ได้ รอคราวหน้า ผมจะพาคุณไปแข่งรถ” 


 


 


           พูดถึงเรื่องใบอนุญาตขับขี่รถแข่งขึ้นมา ในสมัยนั้นตอนที่อยู่โรงเรียนฝึกตำรวจ เขากับเจียงมู่เฉินเจียดเวลาว่างไปเรียนอบรมสอบขอใบอนุญาตขับขี่รถแข่งมา ใบขับขี่นี้ของเจียงมู่เฉินยังถูกเก็บรักษาอยู่ที่เขาตลอด 


 


 


           ท่ามกลางภูเขาที่มืดสนิทมีเพียงรถของซือเหยี่ยนที่ขับเคลื่อนไปตามถนนบนเขา จนกระทั่งรถมาจอดพักที่จุดชมวิว ทั้งสองคนถึงได้ลงจากรถมา ก่อนที่ซือเหยี่ยนจะลงจากรถก็หยิบเอาของกินและผ้าห่มที่เจียงมู่เฉินห่มเมื่อครู่นี้เอาลงไปด้วย 


ตอนที่ 218 เขาไม่เคยให้ผมต้องอุ้ม


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขา “นายหยิบผ้าห่มมาทำไม”


 


 


           เขากวาดสายตามองเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ ของเจียงมู่เฉิน “ข้างบนลมพัดแรง ถือผ้าห่มมาจะได้ใช้ด้วย”


 


 


           เจียงมู่เฉินอดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาเข้าไปใกล้เชยคางของซือเหยี่ยนไว้ “แฟนฉันทำไมเอาใจใส่ดูแลกันขนาดนี้นะ”


 


 


           “รีบขึ้นไปข้างบนกันเถอะ ข้างหน้ายังมีทางขึ้นเขาต่อไปอีก ถ้าไม่รีบจะไม่ทันแล้ว”


 


 


           พวกเขาออกเดินทางกันมาเมื่อตอนตีสี่กว่าๆ ตอนนี้ยังต้องขับรถมาอีกกว่าครึ่งชั่วโมง เหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมง พระอาทิตย์ก็ใกล้จะขึ้นแล้ว


 


 


           ทั้งสองคนค่อยๆ เดินขึ้นไปตามทางบนภูเขาอย่างช้าๆ ช่วงแรกๆ เจียงมู่เฉินก็ยังไม่เป็นไร แต่พอผ่านไปช่วงหนึ่ง อาการข้างเคียงจากการที่เมื่อคืนโดนซือเหยี่ยนจับกดไปสองรอบกำเริบขึ้นมาทั้งหมด


 


 


           เอวและขาอ่อนกำลังไร้เรี่ยวแรง เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วฝืนอดทนค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ


 


 


           “เฉินเฉิน” ซือเหยี่ยนเอ่ยเรียกเขา เจียงมู่เฉินเงยหน้าขึ้นมอง ซือเหยี่ยนส่งของในมือให้เขา “ถือไว้ ผมจะแบกคุณ”


 


 


           เมื่อคืนเขาก็พูดแล้ว ทางขึ้นเขาแบบนี้ มีหรือเขาจะตัดใจให้ซือเหยี่ยนแบกเขาได้ลงคอ เจียงมู่เฉินส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก “ไม่ต้อง ฉันขึ้นไปเองได้”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เอ่ยต่อเป็นคำที่สอง ก็ยัดของใส่มือของเจียงมู่เฉิน แล้วอุ้มเขาขึ้นมาทันที


 


 


           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน โดนเขาอุ้มท่าเจ้าหญิงอีกครั้งแล้ว?


 


 


           ‘เขาเป็นผู้ชายนะ เอะอะก็อุ้มท่าเจ้าหญิงหมายความว่าไง ดูเหมือนเขาไม่มีความองอาจแบบลูกผู้ชายเอาซะเลย’


 


 


           “เอาล่ะ คุณให้ผมอุ้มคุณแก้ขัดไปก่อนเถอะ จะไม่ทำร้ายมาดคุณชายน้อยของคุณหรอก”


 


 


           “นายไหวเหรอ อย่าโยนฉันทิ้งกลางทางล่ะ” พวกเขาเพิ่งมากันครึ่งทาง อย่าให้ถึงเวลานั้นแล้วซือเหยี่ยนอุ้มเขาไม่ไหวจนโยนเขาออกไปนะ


 


 


           “วางใจเถอะ ต่อให้ผมโยนตัวเองออกไปก็จะไม่โยนคุณออกไปหรอก” คนในส่วนลึกของหัวใจ มีหรือจะตัดใจโยนทิ้งได้ลงคอ


 


 


           “งั้นถ้านายเหนื่อยแล้วก็บอกฉันมา ฉันลงไปเดินเองได้” เจียงมู่เฉินเอ่ยกำชับอย่างไม่วางใจ


 


 


           “ได้”


 


 


           ซือเหยี่ยนอุ้มเขาไว้ ค่อยๆ เดินขึ้นเขาไปอย่างช้าๆ ความเร็วช้ากว่าเดินนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก


 


 


           เจียงมู่เฉินอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเขา เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เมื่อก่อนนายอุ้มคนอื่นบ่อยๆ เหรอ”


 


 


           ขณะซือเหยี่ยนเดินอยู่ ก็ต้องตอบคำถามของเจียงมู่เฉินไปด้วย “เปล่า คุณเป็นคนแรกที่ผมอุ้ม”


 


 


           “แล้วแฟนเก่าคนนั้นของนายล่ะ”


 


 


           “เขาไม่เคยให้ผมต้องอุ้ม” เจียงมู่เฉินในอดีตเย่อหยิ่งทะเยอทะยานมากกว่าในปัจจุบัน จะมาอยู่เงียบๆ นิ่งๆ ในอ้อมกอดเขาแบบนี้ได้ยังไงกัน


 


 


           มีเรื่องอะไรไม่ออกตัวก็ถือว่าดีมากแล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ ถ้าสมัยนั้นเขาว่าง่ายไม่ดื้อขนาดนี้ ก็ไม่มีทางที่เขาจะแอบไปรับภารกิจหลับหลังเขาได้


 


 


           เขายังจำได้ว่าภารกิจในตอนนั้น เดิมทีเป็นของเขา แต่ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน จนเป็นฝ่ายไปอาสาเสนอตัวบอกว่าต้องการจะไปแฝงตัวเป็นสายลับ กว่าเขาจะรู้ตัวทุกอย่างก็กำหนดชี้ขาดมาเรียบร้อย


 


 


           หลังจากที่เขาทราบเรื่องก็รีบไปหาเจียงมู่เฉินถามว่าทำไมต้องแอบรับภารกิจนี้ลับหลังเขาด้วย เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยท่าทางลำพองใจ “คุณชายเป็นผู้ชายของนาย ช่วยนายรับภารกิจจะเป็นไรไป ชีวิตของตัวเองยังมีอะไรจำเป็นต้องแบ่งอีกเหรอ พวกเราสองคนใครไปก็ไม่เหมือนกัน”


 


 


           เขาไม่เชื่อว่าเจียงมู่เฉินจะแค่ถือโอกาสช่วยเขารับภารกิจนี้ ทั้งๆ ที่เจียงมู่เฉินรู้อยู่เต็มอกว่าระดับความยากของภารกิจนั้นสเกลใหญ่เกินไป มีโอกาสล้มเหลวสูงมาก ดังนั้นเจียงมู่เฉินถึงได้แอบขอรับภารกิจนี้ลับหลังเขาได้


 


 


           ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรวมหัวกันกับผู้บังคับบัญชามาหลอกเขา ส่งเขาออกไปทำภารกิจอื่นที่ไม่หนักไม่เบา จนทุกอย่างถูกกำหนดชี้ขาด รู้ว่าเวลานั้นเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว ถึงได้มาบอกเรื่องนี้กับเขา


 


 


           ตอนนั้นเขาโมโหจนบ้าคลั่ง แต่เจียงมู่เฉินกลับมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วางใจเถอะ คุณชายฉลาดขนาดนี้ แค่ภารกิจเดียวเอง รับรองว่าสำเร็จอย่างราบรื่นได้แน่นอน”


 


 


 


 


ตอนที่ 219 เจียงมู่เฉิน ผมรักคุณ


 


 


           ทุกๆ อย่างถูกเตรียมการเอาไว้อย่างดีทั้งหมดแล้ว กองตำรวจใช้กำลังกายกำลังสมองมากมายขนาดนั้น ถ้าในเวลาเช่นนี้เขาเอ่ยเสนอให้เปลี่ยนคน ทั้งหมดพูดไปก็เสียแรงเปล่า ยังอาจจะทำให้สายที่ปิดซ่อนไว้ทั้งหมดถูกตัดขาด


 


 


           เขาทำได้เพียงเบิกตาค้างทำอะไรไม่ถูก จำใจมองดูเจียงมู่เฉินเดินเข้าสู่ความอันตรายทีละก้าวทีละก้าว


 


 


           ซือเหยี่ยนยังจำวันสุดท้ายที่กองตำรวจได้ เจียงมู่เฉินใส่ชุดเครื่องแบบตำรวจยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองมาที่เขาพร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย


 


 


           แสงแดดสาดส่องตกกระทบใบหน้างามละเอียดของเขาสะท้อนความรู้สึกอาวรณ์ใจบางอย่างออกมาอย่างคาดไม่ถึง เขายืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ เงาร่างเพรียวทอดยาวมา ภาพทั้งหมดค่อยๆ สลักลงฝังในสมองของซือเหยี่ยนทีละนิดทีละนิด


 


 


           ขอเพียงแค่ได้มองแวบเดียว หลังจากนี้เขาก็จะลืมอีกไม่ได้


 


 


           ตลอดชีวิตเขาไม่นึกไม่ฝัน ว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นเจียงมู่เฉินที่ยังมีชีวิตอยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจ


 


 


           ……


 


 


           เดินกันมาถึงยอดเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เจียงมู่เฉินกระโดดลงมาจากอ้อมอกของซือเหยี่ยน เวลานี้พระอาทิตย์ยังไม่แย้มหน้าออกมา แต่ดูท่าว่าอีกไม่นานก็จะขึ้นมารับอรุณได้แล้ว


 


 


           “ไป หาที่เหมาะๆ กัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินลากซือเหยี่ยนมาหาที่นั่งตรงมุมที่ไม่มีอะไรบดบัง ทั้งสองคนนั่งลง กระแสลมบนยอดเขายามเช้าทั้งแรงทั้งหนาว ลมพัดกระพือเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ ของเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินหนาวจนอดจะเอามือมาถูกันไม่ได้


 


 


           ซือเหยี่ยนเอาผ้าห่มมาคลุมพันรอบตัวเจียงมู่เฉิน เขาเอียงหน้าไปกลับเห็นซือเหยี่ยนเองก็ใส่เสื้อเชิ้ตนั่งอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉินรีบเอาผ้าห่มบนตัวมาคลุมห่มให้ทั้งสองคนอยู่ข้างในด้วยกัน


 


 


           “คุณชายเป็นผู้ชายของนาย จะให้นายรับความหนาวได้เหรอ”


 


 


           เขากอดเอวซือเหยี่ยนไว้ ทั้งสองคนสร้างความอบอุ่นให้กันและกันอยู่บนยอดเขา


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ผมนี่โชคดีจริงๆ ได้มาเจอคุณ แฟนที่ดีขนาดนี้”


 


 


           เจียงมู่เฉินกะพริบตาด้วยความภาคภูมิใจ “ก็ไม่ขนาดนั้น นายเองก็ดีมากเหมือนกัน”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูเขาก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้มาเจอเจียงมู่เฉิน


 


 


           รออีกยี่สิบนาที พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากหมู่มวลก้อนเมฆ แสงแดดอบอุ่นเปล่งประกาย สว่างอร่ามตา ค่อยๆ สาดสะท้อนแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกผืนดิน


 


 


           แสงแห่งรุ่งอรุณกระทบรับใบหน้าผิวขาวผ่องของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนพินิจมองใบหน้ามุมข้างของคนข้างกาย แล้วยกมุมปากขึ้น เขากดเสียงต่ำเอื้อนเอ่ย “เจียงมู่เฉิน”


 


 


           เจียงมู่เฉินได้เสียงซือเหยี่ยนก็เอียงหน้าไปมอง ชั่วพริบตาเดียวที่หันกลับมาหากลับโดนเขาประกบปากจูบแทน เจียงมู่เฉินยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็เบิกตากว้าง เขามองซือเหยี่ยนที่กำลังมอบจูบให้เขาอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง กะพริบตาปริบๆ ด้วยความตกตะลึง


 


 


           ซือเหยี่ยนมองท่าทีตอบสนองของคนตรงหน้าอย่างขำๆ เขาเอามือปิดตาอีกคนไว้ “คุณมองผมแบบนี้ ผมจะจูบต่อไม่ได้นะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเอ่ยถามพลางหายใจหอบด้วยเล็กน้อย “ซือเหยี่ยน จู่ๆ นายมาจูบฉันทำไม ทำเอาฉันตกอกตกใจหมดเลย”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูเขายามแนบชิดกาย โน้มตัวเข้าไปจูบอีกครั้ง ซือเหยี่ยนค่อยๆ งับริมฝีปากเจียงมู่เฉินทีละนิดโดยใช้วิธีที่อ่อนโยนที่สุด


 


 


           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็แนบชิดริมฝีปากของเขา เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบ “เจียงมู่เฉิน ผมรักคุณ”


 


 


           ขณะเดียวกันนั้น พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นพ้นหมู่มวลก้อนเมฆมาอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า แสงตะวันส่องสว่างไปทั่วผืนป่าบนเขา ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นแสนพิเศษ


 


 


           เจียงมู่เฉินเก็บคำพูดนี้ของซือเหยี่ยนฟังไว้ในหู ดวงตาที่ปิดสนิทขยับเล็กน้อยแฝงรอยยิ้มในแววตา


 


 


           ถึงแม้ว่าเอ่ยขึ้นมาแล้วจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่ว่าได้ยินซือเหยี่ยนพูดแบบนี้ ในใจก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก


 


 


           เขายิ้มพลางส่งมือไปกอดซือเหยี่ยนไว้ ออกแรงตอบรับเขา


 


 


           ผ่านไปนานพอสมควร คนสองคนถึงได้หยุดสบตากันและกัน มีแต่รอยยิ้มปรากฏในแววตา เจียงมู่เฉินเงยหน้าหลับตาลง ให้แสงแดดอุ่นกระทบลงใบหน้าของเขา


 


 


           แพรขนตายาวสั่นไหวในอากาศ เผยอารมณ์ความตื่นเต้นที่เขามีออกมาเล็กน้อย     


ตอนที่ 220 ลองโซฟา


 


 


           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แสงอาทิตย์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า เจียงมู่เฉินเอามือผลักซือเหยี่ยนออก “ไปกันเถอะ ควรจะลงไปได้แล้ว”


 


 


           ระหว่างทางที่กลับไป เจียงมู่เฉินไม่ได้ให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขาแล้ว ทั้งสองคนค่อยๆ เดินเรียงหน้ากระดานกันลงมา จนลงมาจากเขาแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ยืนอยู่หน้ารถ หันกลับไปมองแวบหนึ่ง


 


 


           เขาเอียงหน้ามองซือเหยี่ยนคนข้างกาย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะจับมืออีกฝ่ายกุมไว้แน่น ผ่านไปสักพัก ถึงได้คลายมือออก


 


 


           ต่อจากนี้ไปอีกนานแค่ไหน ทุกครั้งที่เจียงมู่เฉินหวนรำลึกถึงช่วงเวลานี้ ในใจก็จะรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ ขึ้นมา มันคือฉากในความทรงจำที่อบอุ่นที่สุดของเขา


 


 


           ทั้งคู่ขับรถลงเขาไป ก็เจอเข้ากับซังจิ่งที่รอพวกเขาอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงแรม สีหน้าท่าทางซังจิ่งดูจริงจังทีเดียว “ขออภัยด้วย ผมมีธุระกะทันหันนิดหน่อย อาจจะจำเป็นต้องกลับไปก่อน พวกคุณจะกลับด้วยกันกับผมหรือว่า?”


 


 


           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด อยู่ที่นี่ก็ไม่มีธุระอะไรแล้ว ที่ควรสำรวจพื้นฐานก็ตรวจดูกันเสร็จแล้ว จะได้กลับไปด้วยกันพอดี


 


 


           “พวกเราก็กลับไปด้วยกันเถอะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้าตกลง


 


 


           พวกเขากลับเข้าไปเก็บของในห้องพักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพวกเขาถึงได้ขับรถพากันไปสนามบิน


 


 


           หลังจากสี่ชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินถานโจว ออกจากสนามบิน ซังจิ่งก็ขับรถออกไปทันที ส่วนเจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนมีคนขับรถมารับ


 


 


           ระหว่างทางกลับ เจียงมู่เฉินคิดเสมอว่าจะกลับไปที่บ้านตระกูลเจียง จนรถจอดแล้วถึงได้พบว่าที่ที่ซือเหยี่ยนจะกลับไปคือคอนโดมิเนียมที่พวกเขาซื้อใหม่


 


 


           “ของยังไม่ได้ย้ายมาหมดไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงมาที่นี่แล้วล่ะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนลากตัวเจียงมู่เฉินคนง่วงนอนมา “ผมให้คนขนย้ายของที่จำเป็นจากคฤหาสน์มาที่นี่หมดแล้ว ส่วนของอย่างอื่นก็ให้คนไปซื้อใหม่มาเรียบร้อย”


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายมองเขาแวบหนึ่งอย่างชื่นชม “ดูท่าว่าแฟนฉันคนนี้ยังมีประโยชน์มากทีเดียว”


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “คุณวางใจเถอะ แฟนคุณไม่ได้ทำได้แค่เรื่องนี้หรอก ประโยชน์ใช้สอยใหญ่อยู่”


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกราม รู้สึกว่าตอนนี้ซือเหยี่ยนนับวันยิ่งหน้าไม่อาย ไม่กลัวว่าวันไหนเขาจะไม่แยแสเขาด้วย


 


 


           ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าคอนโดมิเนียม ใช้มือเปิดประตูเข้าไป หลังจากเจียงมู่เฉินเข้าไปแล้ว ก็พยักหน้าอย่างพอใจ ทุกอย่างในนี้ทั้งหมดตกแต่งตามแบบที่เขาชอบทั้งนั้น


 


 


           เพราะรู้ว่าเจียงมู่เฉินชอบเดินเท้าเปล่า ข้างในข้างนอกทั้งหมดจึงปูพื้นด้วยพรม


 


 


           เขาพุ่งตัวไปหาโซฟาเขาถูกใจเมื่อคราวก่อน เขาเอนตัวลงนอนบนโซฟา ผ่อนลมหายใจออกด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ “ฟินจริงๆ”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างขำๆ โซฟาที่เขาวางไว้ในคฤหาสน์แต่ก่อนนั้นก็ดีมากอยู่ แค่ไม่ได้เห็นเจียงมู่เฉินอวดโซฟานั้นได้ขนาดนี้


 


 


           ซือเหยี่ยนเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ อย่างสนอกสนใจ เขานั่งพิงอยู่ตรงนั้น พร้อมเอ่ยถามอย่างจริงจัง “สบายขนาดนี้เชียว”


 


 


           เจียงมู่เฉินดึงเขาไว้ “นายเอนตัวลงนอนดูสิ”


 


 


           ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนที่นอนเบื่อๆ บนโซฟา จึงทดลองระดับความสบายกันขึ้น


 


 


           ……


 


 


           “ประธานไป๋ครับ วันนี้คุณซูเตอร์โทรมาถามหาตำแหน่งที่อยู่ของประธานซือครับ” เสี่ยวหลิวได้รับโทรศัพท์จากซูเตอร์ก็รีบเข้ามารายงานทันที


 


 


           ไป๋จิ่งกุมขมับ หลายวันที่ซือเหยี่ยนไม่อยู่ ซูเตอร์ก็เอาแต่ถามหาตำแหน่งที่อยู่ของซือเหยี่ยน


 


 


           ซูเตอร์คนนี้ เขาพอเข้าใจเรื่องราวอยู่บ้าง เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา ถ้าซือเหยี่ยนพวกเขายังไม่กลับมาอีก เขาก็ไม่รู้จริงๆ แล้วว่าจะต้องขัดขวางซูเตอร์อย่างไรแล้ว


 


 


           “โอเค ฉันรู้แล้ว” ไป๋จิ่งให้เสี่ยวหลิวออกไปก่อน


 


 


           ตัวเองก็เตรียมกดสายโทรหาซือเหยี่ยนถามเขาว่าสรุปแล้วจะพร้อมกลับมาเมื่อไหร่ ถ้ายังไม่กลับมาอีก เขาจะต้านไม่อยู่จริงๆ แล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนกำลังจะลองโซฟากับเจียงมู่เฉินอยู่ เมื่อได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น ซือเหยี่ยนก็มองข้ามมันไปเลย แต่เจียงมู่เฉินกลับฉวยโอกาสนี้เตะซือเหยี่ยนออกไป “ไปรับโทรศัพท์สิ”


 


 


            ซือเหยี่ยนจำใจทำได้แค่ทำหน้าน้อยใจไปหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย


 


 


           “ซือเหยี่ยน ในที่สุดนายก็รับสายได้สักที สองสามวันนี้นายไปไหนมา โทรหานายไม่ติดเลย” ไป๋จิ่งได้ยินเสียงซือเหยี่ยนในปลายสาย ก็โล่งใจทันที


 


 


 


 


ตอนที่ 221 การกระทำที่คุ้นเคย


 


 


           “สองสามวันก่อนไม่มีสัญญาณมือถือ”


 


 


           “นายจะกลับมาเมื่อไหร่ ฉันใกล้จะต้านไม่อยู่แล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงไป๋จิ่งไม่บอก แต่เขาก็รู้ว่าที่ไป๋จิ่งพูดถึงก็คือเรื่องของซูเตอร์


 


 


           “ฉันถึงถานโจวแล้ว” เจียงมู่เฉินอยู่ที่นี่ด้วย เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับซูเตอร์มากเกินไป


 


 


           “นายจะมาบริษัทเมื่อไหร่ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”


 


 


           “อีกสักพักฉันจะเข้าไป นายรอฉันที่บริษัทก่อน”


 


 


           ซือเหยี่ยนพูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที เจียงมู่เฉินมองดูเขา “ไป๋จิ่ง?”


 


 


           “อืม เขามีธุระหาผม”


 


 


           “โอเค งั้นนายรีบไปบริษัทเถอะ ฉันจะได้นอนชดเชยพอดีด้วย” เขาก็ง่วงสุดๆ แล้วพอดี เมื่อเช้าตีสี่โดนเรียกปลุก จนถึงตอนนี้ง่วงจนตาจะลืมไม่ขึ้นแล้ว


 


 


           เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วเดินเข้าห้องนอนไป หันหลังใส่พร้อมปัดมือทำท่าให้เขารีบออกไป


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเข้าห้องนอนไปแล้ว ถึงได้ออกจากคอนโดมิเนียม แล้วมุ่งหน้าพุ่งตรงไปยังบริษัท


 


 


           ไป๋จิ่งวางสายแล้วก็รอซือเหยี่ยนที่บริษัท หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไปในที่สุดเขาก็มาถึงสักที ไป๋จิ่งเข้าห้องทำงานไปพร้อมกับซือเหยี่ยน


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขา “มีเรื่องอะไร ด่วนขนาดนี้เชียวเหรอ”


 


 


           “ฉันยังมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ ซูเตอร์ไง สองสามวันนี้มาตามนายทุกวันเลย” ไป๋จิ่งนึกถึงตอนที่ซูเตอร์เป็นกระต่ายขาวตัวน้อยอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน แต่พออยู่ต่อหน้าเขากลับกลายเป็นเสือชีตาห์ที่กัดคนได้ตลอดเวลา เปลี่ยนกันเร็วเสียเหลือเกินนะ


 


 


           “นอกจากมาตามฉันแล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวอะไรอย่างอื่นไหม”


 


 


           ไป๋จิ่งครุ่นคิดสักพัก “เขามาถานโจวนานขนาดนี้ ฉันยังไม่เห็นเขาเคยติดต่อใครเลยจริงๆ ก็มีแค่ทุกวันต้องมาถามถึงร่องรอยของนาย นายว่าเขามาตั้งไกลขนาดนี้ก็เพียงเพื่อนายคนเดียวหรือเปล่า”


 


 


           “แผนการของเขาตอนนี้ยังไม่ต้องคาดเดา ในเมื่อคนก็มาถึงที่นี่ทั้งที ต้องไม่มาเสียเที่ยวอยู่แล้ว” ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว “ใช่แล้ว อเมริกาทางนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างเหรอ”


 


 


           “หลังจากที่นายออกไป ฉันก็รีบให้คนไปตรวจสอบที่อเมริกามา แต่แก๊งมังกรครามทุกอย่างยังปกติดี ไม่มีความผิดปกติใดๆ”


 


 


           ซือเหยี่ยนกดหน้าลงพลางคิดทบทวน สองสามวันนี้เขาจงใจทำตัวเย็นชาใส่ซูเตอร์ เดิมคิดว่าเขาจะลงมือทำอะไร แต่ผ่านไปแล้วหลายวัน คาดไม่ถึงว่าซูเตอร์จะเงียบขนาดนี้ ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร จะมีแค่โทรมาหาสายหนึ่งทุกวันเหรอ


 


 


           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะสงบเงียบขนาดนี้ถึงจะถูก ตามนิสัยของซูเตอร์แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ถึงตอนนี้แล้วจะความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ออกมา


 


 


           “เอาล่ะ เรื่องของซูเตอร์ส่งต่อให้ฉันแล้วกัน”


 


 


           ไป๋จิ่งพยักหน้า “ได้ งั้นฉันไปจัดการธุระอย่างอื่นก่อนแล้วกัน นายไม่อยู่สองวันนี้ ฉันใกล้จะตายทั้งเป็นอยู่แล้ว”


 


 


           เขายุ่งจนแม้แต่เวลาจะไปหามั่วไป๋ก็หดสั้นลงแล้ว


 


 


           หลังจากไป๋จิ่งออกไป ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าต่าง เขาก้มหน้ามองลงไปยังข้างล่างตึก สีหน้าเหนื่อยล้านิดหน่อย เงียบงันอยู่ไม่กี่นาที เขาถึงได้หยิบมือถือออกมากดโทรออก


 


 


           “ซูเตอร์ ผมซือเหยี่ยนนะ คืนนี้ผมจะไปหาคุณ”


 


 


           ……


 


 


           เจียงมู่เฉินนอนทีหลับยาวจนถึงตอนพลบค่ำ ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมานิดหนึ่ง นอกหน้าต่างท้องฟ้ามืดลงบ้างแล้ว เขาเวียนหัวจึงหลับตาลงอีกสองวินาที ถึงค่อยๆ ลงจากเตียงอย่างเอื่อยเฉื่อย


 


 


           “ซือเหยี่ยน…”


 


 


           เจียงมู่เฉินออกมาจากห้องนอน เอ่ยเสียงต่ำร้องเรียก


 


 


           ผ่านไปตั้งนานก็ไม่มีใครตอบรับ เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว หรือว่าซือเหยี่ยนยังไม่กลับมา?


 


 


           เขาเดินเท้าเปล่าหยิบมือถือออกมาโทรหาซือเหยี่ยน อยากถามว่าคืนนี้เขาจะกลับมากินข้าวเย็นหรือเปล่า เพิ่งจะกดโทรออกไปไม่ทันไรก็โดนตัดสายทิ้ง เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว การกระทำนี่ดูคุ้นๆ นะ เกิดอะไรขึ้นกัน  


 


 


           ในหัวโพล่งออกมาสองคำ ‘ซูเตอร์’


 


 


           มือเจียงมู่เฉินที่ถือแก้วน้ำอยู่กำแน่นขึ้น อารมณ์พลุ่งพล่าน


ตอนที่ 222 ศัตรูหัวใจมาหาถึงที่แล้ว


 


 


           มือถือที่เพิ่งจะโดนวางสายไป จู่ๆ ก็สั่นขึ้นมา เจียงมู่เฉินเปิดอ่านข้อความจากเบอร์แปลกที่ส่งเข้ามา


 


 


           [ซือเหยี่ยนอยู่ด้วยกันกับฉัน ไม่รบกวนนายให้ลำบากแล้ว]


 


 


           เจียงมู่เฉินอ่านข้อความตัวเล็กบรรทัดนั้นบนหน้าจอ แล้วยิ้มหัวเราะออกมา นี่เขาโดนยั่วยุกันซึ่งๆ หน้าอยู่ใช่ไหม


 


 


           “มาเจอกันเถอะ ซูเตอร์”


 


 


           เจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายนัดให้ออกมาเจอกัน ศัตรูหัวใจมาหาถึงที่แล้ว ถ้าเขายังถอยกลับหลัง ก็ไม่ใช่สไตล์ของคุณชายน้อยแห่งตระกูลเจียงแล้ว


 


 


           “ไม่มีปัญหา!” ซูเตอร์ตอบกลับมาครั้งแรกอย่างสบายอารมณ์


 


 


           “พรุ่งนี้เช้าสิบโมง เจอกันที่เซิ่งซื่อ”


 


 


           “ได้ ส่วนคืนนี้ซือเหยี่ยนฉันก็จะช่วยนายดูแลดีๆ นะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “น่าเสียดายจริงๆ เกรงว่าซือเหยี่ยนของฉันจะไม่ต้องการให้นายดูแล”


 


 


           เขาวางสายไป ก็รีบโทรหามั่วไป๋ทันที “ช่วยฉันสืบหาตำแหน่งของซือเหยี่ยนที”


 


 


           มั่วไป๋ถือสายไป พลางเลิกคิ้ว “อะไรกัน ซือเหยี่ยนเตรียมจะปีนกำแพงแล้วโดนนายจับได้เหรอ”


 


 


           “วางใจเถอะ มีกำแพงเขาก็ไม่กล้าปีนหรอก” เจียงมู่เฉินหยุดสักพัก “นายเร็วหน่อยสิ ฉันรีบอยู่”


 


 


           ทางมั่วไป๋เองขณะพูดอยู่ เสียงเคาะแป้นก็ดังออกมาด้วย “เฉินเฉิน ฉันเพิ่งพูดกับนายประโยคสองประโยคเองนะ ให้เร็วกว่านี้ฉันก็หาออกมาไม่ได้ มีความอดทนสักนิดนึงหน่อยได้ไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินเอนพิงอยู่ตรงนั้นอย่างเอื่อยเฉื่อย “ได้ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ฉันไม่รีบเลยสักนิด”


 


 


           ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ทางมั่วไป๋ก็ตอบกลับมา “อยู่ที่จุ้ยถิงเซวียน ฉันหาได้แค่ถึงตรงนี้ รายละเอียดอย่างอื่นฉันไม่มีวิธีแล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา “ที่เหลือฉันจัดการเอง”


 


 


           เขาหยิบกุญแจรถเดินออกไปข้างนอก อยากจะปีนกำแพงต่อหน้าต่อตาเขา ประตูก็ไม่มีทั้งนั้น ต่อให้ซือเหยี่ยนอยากจะปีน อย่างมากก็แค่จะต่อกำแพงให้สูงขึ้นอีก ให้เขาปีนออกไปไม่ได้


 


 


           ซือเหยี่ยนปีนกำแพงขึ้นได้หนึ่งนิ้ว เขาก็จะเอาขึ้นไปอีกหนึ่งนิ้ว


 


 


           ยังดีที่ซือเหยี่ยนเอารถสปอร์ตของเขามาไว้ที่นี่ให้ด้วย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่อย่างนั้นคิดจะไปตามจับคน ก็ไม่รู้จะไปอย่างไรแล้ว


 


 


           เจียงมู่เฉินเหยียบคันเร่งหนักๆ รถสปอร์ตคันสีแดงรีบมุ่งหน้าพุ่งตัวออกไปทันที


 


 


           ‘จุ้ยถิงเซวียนเหรอ’


 


 


           เป็นสถานที่ดีๆ ที่น่าสนใจเสียจริง


 


 


           ……


 


 


           ซูเตอร์ฉวยโอกาสตอนที่ซือเหยี่ยนไปเข้าห้องน้ำ กดตัดสายเรียกเข้าจากเจียงมู่เฉิน แล้วยังแอบบันทึกเบอร์มือถือของเจียงมู่เฉินในมือถือของตัวเองอีกด้วย


 


 


           ผ่านไปสองสามนาที ซือเหยี่ยนก็กลับมา เขานั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร เอ่ยเสียงต่ำ “ในเมื่อคุณกินเสร็จแล้ว ผมจะส่งคุณกลับไปนะ”


 


 


           ซูเตอร์จะอยากกลับไปได้อย่างไร กว่าเขาจะนัดคนออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะมาเลิกล้มกลางคันได้อย่างไร


 


 


           ซูเตอร์ส่ายหัว “ตอนนี้ฉันยังไม่อยากกลับ”


 


 


           ซือเหยี่ยนระงับท่าทีที่อยากจะขมวดคิ้วเอาไว้ “แล้วคุณอยากจะไปไหน”


 


 


           “ก็อยู่ที่นี่ไง พวกเราดื่มกันต่ออีกหน่อย ได้ไหม” เขาจองห้องที่นี่เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงแต่ให้ซือเหยี่ยนดื่ม แล้วทำให้ซือเหยี่ยนปล้ำเขา ถึงตอนนั้นสำหรับซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินจะเป็นอะไรได้อีก


 


 


           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว “ผมขับรถมา ดื่มเหล้าไม่ได้”


 


 


           ซูเตอร์กะพริบตาปริบๆ ตีหน้าเศร้า “เหยี่ยน นายอยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหม ฉันคนเดียวเดินทางมาตั้งไกลขนาดนี้เพื่อมาหานาย นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยไม่ได้เหรอ…


 


 


           …คิดถึงตอนนั้นเป็นฉันที่ช่วยชีวิตนายไว้ แล้วตอนนี้นายกลับมาทำแบบนี้กับฉันเหรอ” ขอบตาซูเตอร์แดงก่ำ ทำหน้าทำตาน่าสงสารชัดเจน


 


 


           ซือเหยี่ยนทำได้แค่นั่งลงไปอีกครั้ง


 


 


           ซูเตอร์เห็นสถานการณ์เป็นไปตามแผนแล้ว ก็ยิ้มตาหยีออกมา “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเหยี่ยนทนเห็นฉันเศร้าไม่ได้ เมื่อก่อนนายดีกับฉันขนาดไหน ตอนนี้ก็ต้องดีให้เหมือนเดิมเหมือนเมื่อก่อน”


 


 


           “ดื่มได้แค่นิดเดียวนะ แล้วเดี๋ยวผมจะส่งคุณกลับไป”


 


 


           ซูเตอร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย “ได้ ฉันรับรองว่าจะดื่มไม่เยอะ”


 


 


           เขากวักมือเรียกให้คนยกไวน์แดงมาเสิร์ฟ ทั้งยังหยิบแก้วไวน์อีกสองแก้วมาด้วย ซูเตอร์รินไวน์อย่างชำนาญ แล้วส่งต่อให้ซือเหยี่ยน


 


 


           


 


 


           ตอนที่ 223 ในไวน์มีอะไรบางอย่าง


 


 


           ซือเหยี่ยนส่งมือไปรับแก้วไวน์มาไว้ตรงหน้าตัวเอง


 


 


           ซูเตอร์เองก็รินไวน์ให้ตัวเองด้วยแก้วหนึ่ง เขายิ้มยกแก้วไวน์ขึ้น พูดกับซือเหยี่ยน “เหยี่ยน ตั้งแต่นายจากฉันไป ฉันก็คิดถึงนาย…


 


 


           …หลายปีมานี้ฉันเอาแต่คิดถึงวันวาน คิดถึงเป็นพิเศษเลย เมื่อก่อนนายอยู่ข้างกายฉันคอยปกป้องฉันตลอด ไม่ว่าฉันจะพบเจออุปสรรคอะไร นายก็จะเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ” ใบหน้าซูเตอร์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาหรี่ตาลง “ฉันคิดนะว่าถ้าไม่รับตำแหน่งต่อจากพ่อก็คงจะดีกว่านี้ แบบนี้พี่เหยี่ยนของฉันก็จะได้อยู่ปกป้องฉันไปตลอดชีวิต”


 


 


           “ซูเตอร์ การสืบต่อแก๊งมังกรครามเป็นหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบ ที่ผมปกป้องคุณก็ในฐานะที่ตอนนั้นผมเป็นบอดี้การ์ด มันคือหน้าที่รับผิดชอบของผม”


 


 


           “ไม่ใช่หรอก นายดีกับฉันขนาดนั้น จะเป็นแค่หน้าที่รับผิดชอบเป็นบอดี้การ์ดง่ายๆ แค่นั้นได้ยังไง” ซูเตอร์มองเขา “นายชอบฉันใช่ไหม นายน่าจะชอบฉันบ้างแหละ”


 


 


           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ซูเตอร์ ครั้งนี้ที่คุณมาที่จีนกะทันหัน สร้างเรื่องวุ่นวายอยู่ไม่เบาจริงๆ คราวก่อนที่พวกเราเจอกัน ผมก็พูดกับคุณชัดเจนมากแล้ว เมื่อก่อนผมคือบอดี้การ์ดที่พ่อคุณว่าจ้างมาให้ปกป้องคุณ ความปลอดภัยในชีวิตคุณเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผม…ดังนั้น ผมจำเป็นต้องปกป้องคุณ ไม่ใช่เพราะผมชอบคุณ เข้าใจไหม”


 


 


           ขอบตาซูเตอร์แดงก่ำ น้ำใสๆ เอ่อขึ้นมาในดวงตาคมสวย “ฉันไม่เชื่อ นายดีกับฉันขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้หรอกที่นายจะไม่ชอบฉัน”


 


 


           เขาจ้องมองคนตรงหน้า “เพราะคนคนนั้นในวันนั้นใช่ไหม คนคนนั้นคือแฟนใหม่ของนายเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่อยากให้เรื่องนี้ไปพัวพันถึงเจียงมู่เฉิน ซูเตอร์คนนี้ดูเหมือนจะบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ลงมือได้อย่างโหดเ**้ยมไม่ปรานีใคร เรื่องนี้เขารู้ดีแก่ใจ


 


 


           ตอนที่แอบแฝงตัวเป็นสายลับเข้าไปในแก๊งมังกรคราม เขาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของซูเตอร์ เห็นจนชินตากับภาพของซูเตอร์ที่ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้อย่างหน้าตาระรื่นไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ


 


 


           “ไม่มีเกี่ยวกับเขา เขากับผมเป็นแค่เพื่อนธรรมดากันเท่านั้นเอง”


 


 


           ซูเตอร์มองเขาอย่างไม่เชื่อ “แต่ฉันกลับรู้สึกว่าสำหรับนายแล้วเขาไม่ค่อยเหมือนใครนะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนดื่มไวน์แดงในแก้วจนหมดทีเดียว “เอาล่ะ ดึกมากแล้ว ไวน์ก็ดื่มเป็นเพื่อนคุณแล้ว ตอนนี้ผมจะส่งคุณกลับไปพักผ่อน”


 


 


           หลังจากซูเตอร์เห็นเขาดื่มไวน์ในแก้วจนไม่เหลือสักหยด แผนร้ายฉายสะท้อนในแววตาขึ้นมาวาบหนึ่ง


 


 


           ‘ดื่มไวน์เข้าไปเรียบร้อย ที่เหลือก็จัดการได้ง่ายๆ แล้ว’


 


 


           เขาพยักหน้าพลางรินไวน์ให้ซือเหยี่ยนอีกแก้ว “เมื่อกี้นายดื่มของนายเอง นายยังไม่ได้ดื่มพร้อมฉันเลย ดื่มเสร็จแก้วนี้ ฉันรับรองว่าจะไม่ดื้อยอมกลับไปกับนาย”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกแก้วขึ้นมา “คุณพูดแล้วนะ หวังว่าจะไม่มีความคิดอย่างอื่นอีก”


 


 


           ซูเตอร์หัวเราะเบาๆ “แน่นอน นายก็รู้นี้ดี ว่าฉันพูดแล้วจะไม่คืนคำเด็ดขาด”


 


 


           “ได้ แก้วนี้ผมจะดื่มกับคุณ”


 


 


           ซือเหยี่ยนดื่มไวน์เข้าไปอีกแก้ว เขาวางแก้วไวน์ที่ว่างเปล่าไว้บนโต๊ะ “คราวนี้ก็ไปกันได้แล้ว”


 


 


           ครั้งนี้ซูเตอร์ไม่ได้ขัดขวางอะไรมากมายต่อ ลุกเดินขึ้นมาเดินไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยนอย่างว่าง่าย “เหยี่ยน ไปกันเถอะ”


 


 


           ทั้งสองคนกำลังจะเตรียมตัวออกไป จู่ๆ ซูเตอร์ก็คล้องแขนซือเหยี่ยนเอาไว้ ซือเหยี่ยนตกใจทันที อยากจะชักแขนออกไปตามปฏิกิริยาตอบโต้ของร่างกาย


 


 


           “เหยี่ยน เมื่อกี้ฉันรีบดื่มเกินไปเลยเวียนหัวนิดหน่อย นายให้ฉันคล้องแขนพยุงตัวหน่อยได้ไหม”


 


 


           ซูเตอร์เดินช้ามาก เพราะเวียนหัว ซือเหยี่ยนจำใจทำได้แค่ให้เขาเกาะแขนตัวเอง แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เขาเดินไปได้สองแก้วก็รู้สึกว่าภายในร่างกายไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่


 


 


           จิตใต้สำนึกเขาบอกให้เขาดึงมือของซูเตอร์ออกในทันใด “คุณใส่อะไรลงไปในไวน์”


 


 


           ซูเตอร์ทำไขสือยิ้มหัวเราะ “ไวน์ฉันก็ดื่มด้วย ฉันจะใส่อะไรลงไปได้ยังไงกัน”   

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม