(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 208-215

 ตอนที่ 208 ลมหึงหึ่ง


 


 


เจียงมู่เฉินเห็นแววตาของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวที่คอขึ้นมานิดหน่อย รู้สึกมาตลอดว่าในแววตาของซือเหยี่ยนไม่มีเรื่องอะไรดีแน่ เขาคงจะไม่คิดบัญชีเรื่องที่ตัวเองโดนซังจิ่งกอดหรอกใช่ไหม


 


 


เจียงมู่เฉินปวดหัวจนกุมขมับ พวกเขาคุยกันมาจนถึงตอนนี้แล้ว ยังคิดว่าซือเหยี่ยนจะลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้วซะอีก


 


 


“คือว่า…ระหว่างพวกเราก็พูดกันจบแล้วไม่ใช่เหรอ ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก”


 


 


ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ช่วงนี้มู่เฉินอารมณ์ไม่ดี ออกมาแก้เซ็งเป็นเพื่อนเขา?” เขาก้มหน้ามองคนใต้ร่าง “คุณอยากจะอธิบายให้ผมฟังสักหน่อยไหม อะไรคือออกมาแก้เซ็งเป็นเพื่อนคุณ”


 


 


พอคิดถึงว่าทั้งสองวันนี้เจียงมู่เฉินอยู่ด้วยกันกับซังจิ่งตลอด ซือเหยี่ยนก็รู้สึกว่าในใจลมหึงใกล้จะหึ่งเต็มทนแล้ว


 


 


“คือ…คือ…ว่าเขาเข้าใจผิดเอง ฉันไม่ได้พูดขนาดนี้ซะหน่อย”


 


 


“อ๋อ เข้าใจผิดเองสินะ” ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “คุณอย่าผมนะว่าพวกคุณสองอยู่ในภูเขาด้วยกันก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดด้วย”


 


 


เจียงมู่เฉินขยับมือ “คือว่า นายถอยห่างจากฉันนิดนึงก่อน มือฉันโดนนายกดไว้จนชาแล้ว”


 


 


ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วมองดูเขา “ยังชาไหม”


 


 


เจียงมู่เฉินกลัวขึ้นมาทันที “ไม่ชา ไม่ชา ไม่ชาเลยสักนิด สบายฟินสุดๆ เลย”


 


 


“งั้นคุณอยากจะอธิบายกับผมหน่อยไหม ว่าพวกคุณสองคนมาอยู่ในภูเขานี้ด้วยกันได้ยังไง”


 


 


“พวกเรามาที่นี่ก็เพราะเรื่องงาน ไม่ใช่เพราะเรื่องส่วนตัว” เจียงมู่เฉินมองเขาก็หัวเราะ “แหะแหะ” ออกมาสองเสียง


 


 


“เรื่องงาน? ระหว่างพวกคุณสองคนจะมีเรื่องงานอะไรได้”


 


 


เจียงมู่เฉินเคืองใจแล้ว “อะไรเรียกว่าระหว่างฉันกับเขาจะมีเรื่องงานอะไรได้ เขาเป็นเจ้าของบริษัท ฉันเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัท จะร่วมทำธุรกิจด้วยกันบ้าง ไม่ได้เหรอ”


 


 


“ได้ งั้นขอถาม พวกคุณเตรียมวางแผนจะทำธุรกิจอะไร”


 


 


“เรื่องนี้บอกนายได้หรือไง นี่คือความลับทางธุรกิจของพวกเรา บอกนายแล้ว ถ้าหากว่านายอยากขโมยธุรกิจของพวกเราขึ้นมาจะทำยังไง” เจียงมู่เฉินกรอกตาไปมาอย่างรู้ทัน


 


 


‘เยี่ยม! เยี่ยมจริงๆ! ตอนนี้ยังรู้จักคุยเรื่องความลับทางธุรกิจด้วยเหรอ’


 


 


‘เก่งขนาดนี้ ทำไมไม่ขึ้นไปสวรรค์กันเลยล่ะ!’


 


 


เขาโน้มตัวก้มลงประกบปากที่ยังคงร้องประท้วงของเจียงมู่เฉิน จูบปิดช่องทางอย่างหนักหน่วง ในที่สุดเขาก็พบว่าเจียงมู่เฉินตอนพูดจาดูดึงดูดใจไม่เท่ากับเจียงมู่เฉินตอนไม่พูดจาแล้วนอนอยู่ใต้ร่างเขาแบบเทียบไม่ติดเลยทีเดียว


 


 


เจียงมู่เฉินตั้งตัวรับไม่ทัน โดนเขาจูบกันไว้ทุกทาง แขนขาออกแรงไม่ไหว ทำได้เพียงยอมให้เขากดจูบตัวเองอยู่แบบนี้


 


 


‘มามุขนี้ทุกครั้งไป พูดไม่ชนะเขาก็ใช้ปากจูบเขา’


 


 


‘มีวิธีที่ดีกว่านี้หน่อยได้หรือเปล่า หาวีธีอื่นๆ บ้าง อย่าเอะอะก็คร่อมทับจับกด ยิ่งทำยิ่งเหนื่อยนะ’


 


 


ซือเหยี่ยนกัดเขาแรงๆ คำหนึ่งถึงได้ถอยห่างออกมาเพียงนิด “แล้วพวกคุณคุยธุรกิจกันถึงขนาดกอดกันด้วยเหรอ”


 


 


เบื้องบนรู้เห็นเป็นใจ เมื่อครู่นั่งในรถก็เห็นพวกเขาทั้งสองคนกอดกันกะทันหันพอดี ซือเหยี่ยนหน้าดำคร่ำเครียดไปขนาดไหน แม้แต่อุณหภูมิในรถก็ลงฮวบลงในพริบตา


 


 


เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมจริงๆ เขายังไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ก็แค่เสียหลักทรงตัวไม่อยู่ก้าวพลาดไป แล้วซังจิ่งก็ดึงตัวเขาไว้ทันพอดี ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นด้วย


 


 


“อะไรคือเรียกว่าพวกเรากอดกัน ที่เขาทำคือเรียกว่ากล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรม เห็นฉันจะล้มเสียหลัก ก็ยื่นมือมาดึงฉันไว้”


 


 


ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “กล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรม? ตามที่คุณพูดมาขนาดนี้ ถ้าครั้งหน้าคนอื่นโดนวางยา ผมก็จะกล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรมช่วยเขาแก้คลายฤทธิ์ของยาเลย?”


 


 


เจียงมู่เฉินได้ยินก็ระเบิดลงทันที “แม่งเอ๊ย ถ้านายกล้าไปป๊าบๆ กับคนอื่นนะ คุณชายอย่างฉันจะทำลายนายทิ้งซะ”


 


 


ซือเหยี่ยนเบือนหน้าไม่สนใจเขา


 


 


เจียงมู่เฉินกัดเขาไปคำหนึ่ง “นายได้ยินไหม”


 


 


ซือเหยี่ยนยังไม่พูดจาต่อไป


 


 


เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว “นี่ ฉันพูดกับนายอยู่นะ นายได้ยินไหม”


 


 


ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “กล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรม คุณพูดของคุณเองไม่ใช่เหรอ นี่ผมก็ทำตามความคิดของคุณไง”


 


 


 


 


ตอนที่ 209 นายข่มขู่ฉัน


 


 


เจียงมู่เฉินโดนเขาอัดด้วยคำพูดจนตัวเองพูดไม่ออก เจ้าหมอนี่พูดจาได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาเลือดขึ้นหน้าแล้ว ก่อนจะเอ่ยตอบ “ได้ ครั้งนี้ถือว่าฉันผิดเอง ฉันไม่ดีเอง ที่ปล่อยให้ซังจิ่งฉวยโอกาสได้”


 


 


ซือเหยี่ยนจ้องมองเขา “ยังมีอีกไหม”


 


 


เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง “ฉันก็ยอมรับในความผิดฉันไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่จบสักที”


 


 


“คุณคิดว่าแค่พูดไปเรื่อยมาประโยคเดียวก็ได้แล้วเหรอ”


 


 


เจียงมู่เฉินชูนิ้วกลางในใจเงียบๆ ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาก่อน ง้อเขาให้ได้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน


 


 


เขาเข้าไปใกล้แล้วจูบซือเหยี่ยนไปทีหนึ่ง “ฉันรับประกันว่าหลังจากนี้จะไม่เกิดปัญหาแบบนี้อีก ถ้าปัญหาแบบนี้ปรากฏขึ้นมาอีก ก็ตามแต่คุณซือเหยี่ยนจะจัดการเลย ฉันรับรองจะไม่ขัดขืนต่อต้านใดใดทั้งสิ้น…เป็นไงบ้าง ฉันยอมรับในความผิดครั้งนี้ได้ลึกซึ้งมากเลยใช่ไหม”


 


 


ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเอาอกเอาใจของเขา ก็ยกมุมปากขึ้นอย่างจนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยจะโกรธอีกฝ่ายลงคอได้อยู่แล้ว


 


 


เขากัดคนตรงหน้าอีกสักที “เห็นแก่ที่คุณยอมรับผิดอย่างลึกซึ้งเมื่อกี้นี้ ครั้งนี้ผมก็จะไม่สอบสวนต่อแล้ว”


 


 


เจียงมู่เฉินตาลุกวาว “ดีเลย ดีเลย ไม่สอบสวนแล้ว”


 


 


ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางดีอกดีใจของเขา แววตาก็ประกายความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาแวบหนึ่ง “แต่ว่าเพื่อให้คุณเป็นบทเรียน การลงโทษที่ควรพึ่งมีก็ยังต้องมีอยู่”


 


 


เจียงมู่เฉินงงเป็นไก่ตาแตก บ้าอะไรกัน ทำไมจู่ๆ อยากจะลงโทษเขา การซื้อขายครั้งนี้ไม่คุ้มค่าเกินไปหรือเปล่า ขอโทษก็แล้ว รับผิดก็รับแล้ว ตอนนี้ยังจะลงโทษเขาอีกเหรอ


 


 


“นายยังคิดจะลงโทษฉันเหรอ การซื้อขายครั้งนี้ขาดทุน คุณชายไม่ทำด้วยแล้ว” เจียงมู่เฉินรีบผลักเขาออก รีบสาวเท้าคิดจะวิ่งออกไป


 


 


“เสียใจทีหลังก็ได้” ซือเหยี่ยนนั่งนิ่งๆ พิงอยู่ตรงนั้น “งั้นที่ผมพูดไปเมื่อกี้เก็บกลับคืนทั้งหมด”


 


 


เจียงมู่เฉินชะงักฝีเท้าไป หยุดชะงักหัวแทบทิ่ม


 


 


“นายข่มขู่ฉันเหรอ”


 


 


ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “อืม กำลังข่มขู่คุณอยู่ไง”


 


 


เจียงมู่เฉินระเบิดลง “ว้าว ดีนี่ซือเหยี่ยน คิดไม่ถึงว่าข่มขู่ฉันกันหน้าด้านๆ ขนาดนี้”


 


 


“ดังนั้นคุณจะรับการข่มขู่นี้ไหม”


 


 


เจียงมู่เฉินเลือดขึ้นหน้าแล้ว เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ถ้าไม่รับ แล้วซือเหยี่ยนออกไปหาคนอื่นขึ้นมา จะทำยังไง แต่ถ้ารับการข่มขู่นี้ เขาก็ต้องรับการลงโทษของซือเหยี่ยน


 


 


การโดนตลบหลังนี้คิดไม่ถึงว่าเขาจะบังคับแฟนตัวเองขนาดนี้ ยังมีความรักกันอยู่นิดนึงบ้างไหม


 


 


“เฉินเฉิน คุณคิดดีหรือยัง” ซือเหยี่ยนนั่งพิงอยู่ตรงนั้น น้ำเสียงอ่อนโยนดั่งน้ำใส


 


 


เจียงมู่เฉินกัดฟันกรอด “ลงโทษกันอยู่ไม่ใช่หรือไง นายลงโทษเรียบร้อยแล้ว” เขาไม่เชื่อหรอกว่าซือเหยี่ยนจะยังกล้าลงไม้ลงมือกับเขาอย่างโหดเ**้ยม


 


 


แววตาซือเหยี่ยนประกายรอยยิ้ม “ได้ นั่นพูดเองนะ”


 


 


เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ฉันพูดแล้ว ไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด”


 


 


“ได้ งั้นคุณเข้ามาเถอะ”


 


 


เจียงมู่เฉินยืนอยู่ตรงนั้นไม่เข้าไป มองเขาอย่างระแวดระวัง “ฉันว่านายอย่าเอาแต่คิดมาต้มตุ๋นฉันจะดีที่สุด”


 


 


ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “ผมจะต้มตุ๋นคุณลงได้ยังไง”


 


 


เจียงมู่เฉินเห็นรอยยิ้มนั้นของเขา ก็รู้สึกว่าน่ากลัวเกินบรรยาย เขารู้สึกมาตลอดว่าแค่มองซือเหยี่ยนแวบเดียว คนคนนี้ก็ไม่มีเจตนาดีอะไรแล้ว


 


 


“ถ้านายกล้าต้มตุ๋นฉัน คุณชายจะทำลายนายแน่นอน” เจียงมู่เฉินยังคงกล่าวตักเตือน


 


 


ซือเหยี่ยนทำหน้าทำตาสบายๆ ไม่กดดัน “วางใจเถอะ เฉินเฉิน ผมจะดีกับคุณให้มากๆ”


 


 


หลังจากพินิจพิจารณาอยู่หลายครั้ง เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งได้เดินเข้าไปอย่างช้าๆ เขามองซือเหยี่ยนอย่างระแวดระวัง ขอเพียงแต่อีกฝ่ายเล่นตุกติกลงมือทำอะไรกะทันหัน เขาก็จะเปลี่ยนใจทันที


 


 


‘ถึงยังไงซือเหยี่ยนก็ไม่ได้พูดว่าไม่ให้เขาเปลี่ยนใจ คนโบราณกล่าวไว้การทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบายไม่ใช่เหรอ’


 


 


 ซือเหยี่ยนกวักมือเรียกเขา เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปหาด้วยความไม่สมัครใจ “นายคงจะไม่คิดจะใช้ความรุนแรงในครอบครัวกับฉันหรอกใช่ไหม”


 


 


ซือเหยี่ยนสีหน้าบูดบึ้ง เขาดูมีแนวโน้มจะป่าเถื่อนมากเลย?


 


 


“หรือจะว่านายฉวยโอกาสตอนที่ฉันเผลอแอบวางแผนร้ายอะไรใส่ฉันอีกแล้ว?”


 


 


ซือเหยี่ยนกุมขมับ รู้สึกว่าแฟนของเขาพูดมากเกินไปหน่อยแล้ว เขาอดทนที่เหลือเพียงน้อยนิดโดนเขาบดขยี้จนใกล้จะหมดแล้ว


 


 


ไม่รอให้เขาได้พูดต่อ ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสตอนเขาเผลอ คว้าตัวเขามาคร่อมทับไว้ ไม่ให้โอกาสเจียงมู่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบก็ลงมือถอดเสื้อผ้าเขาเสียเดี๋ยวนั้น


ตอนที่ 210 ไม่อยากได้หน้า อยากได้คุณ 


 


 


           เจียงมู่เฉินตกใจจนฉี่จะราดแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงจู่ๆ ก็มาถอดเสื้อผ้าเขาเลย จะหมายความว่าอะไรได้บ้างล่ะ 


 


 


           “เดี๋ยวก่อนสิ ยังพูดไม่จบเลย นายจะลงไม้ลงมืออะไรกัน” เจียงมู่เฉินรีบดึงเสื้อผ้าตัวเองเอาไว้แน่น 


 


 


           ยังพูดคุยกันไม่จบก็คิดจะป๊าบๆ เขาเลย? บนโลกจะมีเรื่องที่ไหนดีขนาดนี้อีก 


 


 


           ซือเหยี่ยนทำได้เพียงพูดคุยกับเฉินเฉินของเขาต่ออย่างจนใจ  มือเขายังคงวางไว้บนหน้าอกของเจียงมู่เฉิน คลอเคลียอย่างตามใจ “งั้นคุณว่ามา” 


 


 


           “ฉันว่านายคิดแผนอะไรกับฉันอีกใช่ไหม” เจียงมู่เฉินถามคำถามที่เพิ่งถามไปเมื่อครู่นี้ซ้ำอีกรอบ 


 


 


           ซือเหยี่ยนตอบกลับอย่างไม่ลังเล “เปล่า” 


 


 


           “เปล่าจริงเหรอ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนถูกเขาถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำได้เพียงหยุดการกระทำในมือลง แล้วมองเขาอย่างจริงจัง “อยากปล้ำคุณถือว่าเป็นแผนหรือเปล่า อยากจูบคุณถือว่าเป็นแผนหรือเปล่า” 


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนเขาถามกลับตรงๆ ขนาดนี้ ทำเอาใบหน้าเล็กได้รูปแดงระเรื่อ เขาเอามือไปตีซือเหยี่ยนเบาๆ ไปที “นายเก็บอาการนิดนึงหน่อยจะได้ไหม นายไม่ไว้หน้าตัวเอง แต่ฉันยังต้องการไว้นะ” 


 


 


           ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนจ้องมองเขา “ตอนนี้อะไรที่อธิบายก็อธิบายไปหมดแล้ว ให้ผมถอดได้หรือยัง” 


 


 


           เจียงมู่เฉิน “…” 


 


 


           ‘ประธานซือจะขอมีสัมพันธ์ทีพูดได้เต็มปากเต็มคำขนาดนี้เลยเหรอ’ 


 


 


           “ฉันรู้สึกว่านายไม่ค่อยอยากจะเก็บหน้าตัวเองไว้เท่าไหร่เลยนะ” เจียงมู่เฉินมองหน้าเขาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ 


 


 


           “อืม ไม่อยากได้หน้า อยากได้คุณ” 


 


 


           “…” โดนโจมตีด้วยคำหวานอีกจนได้ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองต้านทานไม่ค่อยจะไหวแล้ว 


 


 


           “จะให้ถอดหรือไม่ถอด” ซือเหยี่ยนใช้ฟับงับเขาไปที “หืม?” 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าเมื่อตกอยู่ในสภาพที่โดนความหน้าไม่อายของซือเหยี่ยนโจมตี เส้นตายของตัวเองก็ค่อยๆ มลายหายไปแล้ว โดยเฉพาะดวงตาคมเข้มสีนิลที่มองเขาอย่างซื่อๆจนน่าเหลือเชื่อ 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่า ถ้ามาอีกประโยคหนึ่ง ตัวเองจะต้านทานไม่ไหว อยากจะรับปากยอมตกลงแล้ว 


 


 


           “คุณชายเจียง…ยังนอนอยู่ไหม” เสียงเคาะประตูดังขึ้นมากะทันหัน เสียงของซังจิ่งดังเข้ามาจากข้างนอก 


 


 


           เจียงมู่เฉินตาลุกวาว รีบดันมือซือเหยี่ยนไว้ “รีบลุกสิ มีคนเคาะประตูแล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกดหน้าต่ำลง แรงกดดันหนักขึ้นเพียงเสี้ยวเวลา “ไม่สน” เขาพูดจบก็ส่งมือไปถอดเสื้อผ้าของเจียงมู่เฉิน 


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบดึงเสื้อผ้าตัวเองไว้ แต่ครั้งนี้ซือเหยี่ยนตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าต้องการจะป๊าบๆ กับเขา ดึงไปก็ดึงไว้ไม่อยู่ฃ 


 


 


           เสียงเคาะประตูข้างนอกยังคงดังต่อไป ซังจิ่งยังอยู่ข้างนอกเรียกเขาออกมากินข้าวเย็น 


 


 


           เจียงมู่เฉินชักจะสับสนลุกลี้ลุกลนแล้ว นี่ถ้า ‘ทำ’ กับซือเหยี่ยนแล้ว ก็ออกไปไม่ได้สิ ข้างนอกยังมือซังจิ่งอยู่ด้วย เขาปวดหัวทีเดียว 


 


 


           เขารีบสกัดกั้นมือซือเหยี่ยนไว้ “ที่นี่กันเสียงไม่ดี”  


 


 


           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “ผมไม่ถือ” จะได้ให้ซังจิ่งได้ยินว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันพอดี จะได้ให้เขารู้ถึงความยากลำบากแล้วถอนตัวไปด้วย 


 


 


           เจียงมู่เฉินเป็นของเขาได้เพียงคนเดียว ส่วนซังจิ่งถูกลิขิตไว้แล้วให้เป็นได้แค่ตัวรับกระสุนเท่านั้น 


 


 


           “นายไม่ถือ แต่ฉันถือนะ” เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ “ฉันไม่ต้องการไว้หน้าตัวเองหรือไง” 


 


 


           ถ้าคนอื่นมาได้ยินการเคลื่อนไหวในห้องของพวกเขา ไม่ใช่ว่าจะรู้ทันทีได้เลยหรือไงว่าตลอดทั้งบ่ายปิดประตูทำอะไรกันอยู่ข้างใน 


 


 


           เขาเสียหน้าไม่ได้ อีกอย่างซังจิ่งเจ้าหมอนั่นก็ยังอยู่นอกประตู 


 


 


           “งั้นพวกเราไปห้องน้ำ” ซือเหยี่ยนเอ่ยอีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทีเขาว่าไม่มีทางที่จะเจรจากันได้ ความคิดๆ หนึ่งก็วาบเข้ามาในหัว “ไม่งั้นให้ฉันใช้มือช่วยนายไหม” 


 


 


           เป็นอย่างที่คิดไว้ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำในมือลง เขาก้มลงมองเจียงมู่เฉินที่ขอบตาแดงก่ำ แล้วพยักหน้าอย่างชื่นใจ “ได้ คุณพูดเองนะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเขาดูชื่นใจอะไรขนาดนั้น ก็รู้สึกว่าต้องมีตรงไหนผิดปกติ แต่ยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองกลับไป เขาก็โดนซือเหยี่ยนอุ้มเข้าห้องน้ำไปแล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนที่ยืนจังก้าอยู่ต่อหน้า เล่นเอาปวดหัวทีเดียว เป็นครั้งแรกของเขาที่มาทำเรื่องอะไรแบบนี้ เขาไม่ประสีประสา ทำไม่ค่อยจะเป็นเท่าไหร่เลย 


 


 


           อยากจะรีบให้ซือเหยี่ยนปล่อยตัวเองออกจากห้องไป ผลสุดท้ายสิ่งที่ตัวเองเอ่ยเสนอไปกลับมาฝังกลบตัวเองจนได้ 


 


 


           เขามองซือเหยี่ยนเงียบๆ จนหัวชักจะเริ่มชาๆ บ้างแล้ว 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 211 ขุดหลุมฝังกลบตัวเองอีกแล้ว 


 


 


           ‘ลงมือทำหรือไม่ลงมือทำ ถอดหรือไม่ถอด เป็นปัญหาที่จริงจังเสียจริง…’ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร และก็ไม่ได้เร่งรัดอีกฝ่าย ปล่อยให้เขายืนอยู่ต่อหน้าตัวเองคิดทบทวนอยู่เงียบๆ ถึงอย่างไรเขาก็มีเวลาให้เจียงมู่เฉินค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปได้ 


 


 


           รออีกหลายนาที เจียงมู่เฉินถึงได้กัดฟันกรอด ก็แค่เรื่องใช้มือทำไม่ใช่หรือไง จะทำให้คุณชายน้อยเจียงลำบากได้เหรอ 


 


 


           เจียงมู่เฉินส่งมือไปปลดเข็มขัดให้ซือเหยี่ยน ขณะแก้อยู่ เหงื่อก็ไหลออกท่วมหัว มือน้อยๆ ที่ประหม่าของเขากำลังสั่นระริก 


 


 


           กว่าจะปลดเข็มขัดออกมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะโดนถอดออกไปชั้นหนึ่งแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะหน้าหนาพอ ไม่ใส่เสื้อผ้าล่อนจ้อนอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยนได้ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือเขาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน ช่วยซือเหยี่ยนถอดเสื้อผ้า มันไม่ใช่ความหมายนี้แล้ว 


 


 


           ความน่าละอายเกินจะบรรยายได้หมายความว่าไงกัน เจียงมู่เฉินแอบขบกราม รู้สึกว่าตัวเองไม่คืบหน้าไปไหนเลย 


 


 


           พอหลับตาก็ดึงกางเกงซือเหยี่ยนลงมา เอาล่ะ ในที่สุดก็เข้าเรื่องได้สักที 


 


 


           “เริ่มกันเถอะ คุณชายน้อยเจียงของผม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกราม หัวชักจะเริ่มชาๆ บ้างแล้ว 


 


 


           ‘เริ่มกันเถอะ…สามคำนี้พูดง่าย แต่ทำยาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะลงมือยังไงดี’ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางแบบนั้นของเขาก็ถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดว่าถ้าตัวเองไม่ลงมือสักที เกรงว่าผ่านไปคืนนี้ก็ยังหากินไม่ได้สักที 


 


 


           เขาส่งมือไปจับมือเจียงมู่เฉินดึงลงเข้าหาตัวเองไปตรงๆ 


 


 


           ใบหน้าเรียวเล็กของเจียงมู่เฉินแดงจัด ทันใดก็คิดอยากจะชักมือออก แต่กลับโดนซือเหยี่ยนกดทับไว้จนอยู่หมัด ไม่เหลือที่ให้เขาเผ่นแนบไปไหนเด็ดขาด 


 


 


           เขายกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีสุขุม “เฉินเฉิน ขยับเองสิ” 


 


 


           …… 


 


 


           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ เป็นวันหนึ่งที่เขาขุดหลุมฝังกลบตัวเองอีกแล้ว ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเหนื่อยขนาดนี้ สู้นอนแผ่หลาให้ซือเหยี่ยนมาปล้ำยังจะดีกว่า 


 


 


           แบบนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขายังได้เสพสุขไปด้วย 


 


 


           ตอนนี้เป็นไงล่ะ เหลือแค่เหนื่อยอย่างเดียว มีหรือจะได้เสพสุขด้วย 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองมาอย่างน่าสงสารอยู่บนเตียงไม่อยากขยับไปไหน ซือเหยี่ยนจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยเดินออกมาด้วยสีหน้าสบายอารมณ์ 


 


 


           “เฉินเฉิน ยังไม่ออกไปเหรอ ข้างนอกยังมีคนรอคุณกินข้าวอยู่นะ” เขาเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี 


 


 


           อีกนิดเจียงมู่เฉินจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว ตอนนี้รู้จักว่ามีคนรอกินข้าวอยู่เหรอ เมื่อกี้ไม่เห็นจะนึกถึงเรื่องนี้เลยสักนิด 


 


 


           เขาขบกรามแน่นยื่นมือไปทางซือเหยี่ยน 


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น เข้าไปดึงเขา สุดท้ายเจียงมู่เฉินฉวยโอกาสกัดเข้าที่คอไปคำหนึ่ง 


 


 


           “ซี๊ด…คุณเป็นหมาหรือไง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันเป็นของนาย” 


 


 


           ได้กัดคอเขาระบายอารมณ์ เจียงมู่เฉินก็สบายใจได้สักที เขาลงจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเปิดประตูออกไป 


 


 


           ซังจิ่งรออยู่ข้างนอกมานานสองนานแล้ว เห็นเจียงมู่เฉินเดินออกมาจากข้างในก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “ผมคิดว่าพวกคุณจะไม่กินข้าวเย็นกันแล้วซะอีก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดประชดของเขา นั่งลงตรงข้ามไป๋จิ่งทันที ซือเหยี่ยนก็ตามเข้ามานั่งลงข้างเจียงมู่เฉินด้วยตัวเอง 


 


 


           ซังจิ่งกวาดสายตามองพวกเขาสองคนสลับกันไปมา เขายกมุมปากขึ้น “ทั้งบ่ายนี้พวกคุณสองคนทำอะไรกันในห้องเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “ทำไมนายนี้มันเผือกได้ขนาดนี้ นอนชดเชยไม่ได้เหรอ หรือว่าเวลาฉันนอนก็ต้องรายงานนายด้วย” 


 


 


           ซังจิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย หัวร้อนขนาดนี้ ดูท่าว่ายังไม่ได้ระบายความร้อนออกมาล่ะสิ แต่ว่าสองคนนี้ดูเหมือนจะไม่คิดจะร่วมเตียงกันเท่าไหร่ 


 


 


           ซังจิ่งความกลัดกลุ้มในใจคลายลงเล็กน้อย 


 


 


           ไม่รู้ว่าทำไมถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนมีความสัมพันธ์กันแบบนั้น แต่พอคิดเห็นภาพตอนที่สองคนนี้อยู่ด้วยกันใกล้ชิดสนิทสนมกัน ก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเกินจะเอ่ยได้ 


ตอนที่ 212 แตกหักกับซือเหยี่ยนได้ไหม 


 


 


           “ผมจะกล้าที่ไหนกัน คุณเจียงอยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นอยู่แล้ว นี่ผมเป็นห่วงสุขภาพของคุณชายเจียงไม่ใช่เหรอ ถ้าหากไม่ได้กินข้าว แล้วหิวจนตาลายขึ้นมาจะทำยังไง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วหน้าผากกระตุกแล้วกระตุกอีก ทำไมตอนนี้นิยมเดินทางสายเลี่ยนๆ กันเหรอ 


 


 


           คำพูดของซังจิ่งไม่กี่ประโยคนี้อีกนิดจะทำให้เขาเลี่ยนจนตายแล้ว 


 


 


           “โอเค กินข้าวกันเถอะ” เจียงมู่เฉินหยิบตะเกียบเตรียมจะลงมือกินข้าว เขาหิวแล้วจริงๆ ตั้งแต่ตอนเที่ยงกลับมาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย 


 


 


           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็หยิบตะเกียบจากมือเขาไป มาวางที่มือของเขาเอง 


 


 


           เจียงมู่เฉินงุนงงอยู่ในที ทำไมไม่ปรนนิบัติเขาดีๆ แม้แต่กินข้าวก็ไม่ให้กินแล้ว? 


 


 


           ซือเหยี่ยนคีบอาหารให้เขาด้วยท่าทีอ่อนโยน ทุกอย่างเป็นอาหารที่เขาชอบวางใส่ในชามของเจียงมู่เฉิน หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ซือเหยี่ยนถึงได้คืนตะเกียบให้เขา “เมื่อกี้คุณบอกว่าเมื่อยมือจนยกไม่ขึ้นไม่ใช่เหรอ อยากกินอะไรก็บอกผมได้ ผมทำให้” 


 


 


           ‘…บัด! ซบ! บัด! ซบ!’ 


 


 


           ‘ตลบหลังกันสินะ’ ทีตอนนี้รู้ว่าเขาเหนื่อยจนปวดมือ ทีตอนนั้นให้เขาทำอะไรแบบนั้นลงไป ทำไมไม่เห็นจะเห็นใจเขาสักนิด 


 


 


           ทุกครั้งที่เขาถามว่าหยุดได้หรือยัง เจ้าหมอนั่นก็เอาแต่พูดว่า ‘ทำต่อ’ สองคำนี้ตอบกลับเขามา 


 


 


           ตอนนี้จะกินข้าวถึงมานึกได้เหรอว่าเขาปวดมือ 


 


 


           ‘จงใจ เจ้าหมอนี่ต้องจงใจแน่นอน’ อยู่ต่อหน้าซังจิ่งมาพูดว่าเขาเมื่อยมือจนยกไม่ขึ้น ขอเพียงแต่เป็นผู้ใหญ่ที่ไอคิวปกติ แวบแรกก็ดูออกแล้วว่าพวกเขาทำอะไรกันมา 


 


 


           ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซังจิ่งผู้เจนโลกคนนี้อีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าวันนี้ไม่มีทางจะผ่านไปได้แล้ว ถ้าคนอื่นรู้ว่าเขาเป็นคนที่ช่วยซือเหยี่ยนทำอะไรแบบนั้นลงไป เขาจะเสียหน้าแค่ไหน 


 


 


           ซือเหยี่ยนมีหรือจะเหลียวแลคำพูดพวกนั้นที่วาบขึ้นมาในหัวของเจียงมู่เฉิน เขาพูดจบก็มองซังจิ่งด้วยรอยยิ้มเบาๆ ประกาศศักดาผ่านแววตาคู่นี้ 


 


 


           รอยยิ้มบนใบหน้าซังจิ่งไม่เปลี่ยน แต่มือที่จับตะเกียบไว้กลับกำแน่นขึ้นเล็กน้อย 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ขออภัย เพราะมีเรื่องส่วนตัวเลยทำให้ประธานซังรอนานขนาดนี้ ยังต้องขออภัยด้วยจริงๆ” 


 


 


           ซังจิ่งยิ้มเยาะ ขออภัย? 


 


 


           เขาฟังคำขออภัยจากซือเหยี่ยนไม่ออกถึงสักครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ กลับรู้สึกว่า ซือเหยี่ยนประกาศศักดาครองอำนาจสิทธิ์ขาดต่อหน้าเขาอย่างหน้าชื่นตาบานมาก 


 


 


           “รอๆ ไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คิดไม่ถึงว่าประธานซือจะรีบเร่งกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ไม่เจอหน้าเฉินเฉินมาตั้งหลายวัน จะนานเท่าไหร่ก็คิดถึง ประธานซังโดดเดี่ยวอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ต้องเข้าใจยากเป็นธรรมดา” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเริ่มจะปวดหัวนิดหน่อยแล้ว สองคนนี้เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องจิกกัดกัน เขามองดูอาหารที่อยู่เต็มบนโต๊ะ แล้วตัดสินใจจะไม่สนใจพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาทำตามสบายดีกว่า เขาไม่ยุ่งด้วยแล้ว 


 


 


           เขาคนเดียวผ่อนคลายสบายใจ 


 


 


           เจียงมู่เฉินกินข้าวไปด้วย พลางมองดูสงครามน้ำลายของพวกเขาทั้งสองคนไปด้วย ในใจก็คิดว่าทั้งสองคนนี้จะต่อปากต่อคำกันถึงเมื่อไหร่ถึงจะหยุดได้สักที 


 


 


           “คุณชายเจียงรักอิสระ ถ้าผมเป็นประธานซือจะไม่ตามติดขนาดนี้” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ เขาก้มหน้ามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง “คนนอกมักจะคิดว่าเฉินเฉินรักสนุก ความเป็นจริงแล้วเขาไม่ค่อยเหมือนกับข่าวลือที่ได้ยินมาเท่าไหร่” 


 


 


           ‘คนนอก’ สองคำนี้ฟังแล้วซังจิ่งไม่ค่อยปลื้มใจนัก ไม่ช้าก็เร็วสักวันเขาจะลบคำว่า ‘คนนอก’ นี้ทิ้งเสีย ถึงตอนนั้นจะทำให้ซือเหยี่ยนจดจำคำพูดในวันนี้ให้ดี 


 


 


           ซังจิ่งคีบซี่โครงไปวางใส่ชามของเจียงมู่เฉิน “ได้ยินว่าคุณชอบกิน ผมตั้งใจให้ครัวเตรียมให้คุณเป็นพิเศษ ลองชิมดูว่าเป็นยังไงบ้าง” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเจียงมู่เฉินด้วยท่าทีเย็นชา “เฉินเฉิน คุณชอบกินซี่โครงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่ยักรู้เลย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกเย็นสันหลังวาบ ข้างหน้ามีซังจิ่ง ข้างหลังมีซือเหยี่ยน วันนี้หมดทางจะผ่านไปแล้ว 


 


 


           เขาหัวเราะอย่างเลิ่กลั่ก “ขอบใจประธานซังนะ เพียงแต่ว่าวันนี้ฉันปวดฟันนิดหน่อย เลยจะไม่กินแล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนได้ยินแบบนี้ถึงได้เริ่มกินข้าวอย่างพอใจ ยังคีบเนื้อปลาให้เขาอีก “ปวดฟันก็กินของแข็งให้น้อยลงหน่อย” 


 


 


           เจียงมู่เฉิน “…”  เขาแตกหักกับซือเหยี่ยนได้ไหม 


 


 


            


 


 


           ตอนที่ 213 งั้นคุณก็ฆ่าผมเลย 


 


 


           กว่าจะกินข้าวเย็นมื้อนี้เสร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ท้องฟ้ายังไม่ถือว่าค่ำมากนัก ข้างนอกยังสว่างโร่ เจียงมู่เฉินกินจนอิ่มแล้วก็เตรียมจะออกไปเดินย่อยรอบๆ แถวนี้ 


 


 


           เขาเดินตามทางไปทะเลสาบแห่งนั้นที่ซังจิ่งชี้บอกเขาเมื่อตอนเช้า เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ซือเหยี่ยนก็เดินตามเข้ามา เจียงมู่เฉินหันกลับมามองเขา “นายตามมาทำไม” 


 


 


           “จุกนิดหน่อย เลยมาเดินเล่น” 


 


 


           “ในภูเขานี้มีถนนตั้งหลายเส้นขนาดนั้น นายไม่ไปเดิน มาเดินใกล้ฉันทำไม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเดินเอ้อระเหยลอยชายตามเขาอยู่ด้านหลัง มองเขาก่อนเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำ “แฟนผมอยู่ที่นี่ ผมไม่อยู่ที่นี่ คุณจะให้ผมไปไหน” 


 


 


           “ฉันเห็นนายคุยอยู่กับซังจิ่งดูเพลิดเพลินเจริญใจกันอยู่ไม่ใช่เหรอ พอดีจะได้เข้าไปคุยกันต่อสักหน่อยเลย” เจียงมู่เฉินแอบเอ่ยเหน็บแนม 


 


 


           “ผมอยากจะคุยเพลิดเพลินกับคุณมากกว่า” 


 


 


           ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เจียงมู่เฉินเดินอย่างช้าๆ คิดไม่ถึงว่าในภูเขาแห่งนี้จะรู้สึกถึงความเงียบสงบที่ไม่ได้พบมานาน เป็นความรู้สึกที่พูดไม่ถูกจริงๆ 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่พูดจา ซือเหยี่ยนเดินเข้าไปอยู่ข้างกายเขา 


 


 


           “นายว่าที่ซูเตอร์กลับมาครั้งนี้ เขามาตามจีบนายหรือเปล่า” จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็เอ่ยปากขึ้น 


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ทำไมพูดแบบนี้” 


 


 


           “คนเขาอยู่ตั้งอเมริกา ห่างไกลตั้งกี่หมื่นลี้กว่าจะมาถานโจวได้ ถ้าไม่คิดแบบนี้ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว” 


 


 


           “ดังนั้น คุณกลัวว่าผมจะตั้งรับการรุกจีบของเขาไม่อยู่เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินหางตากระตุก “ฉันถูกเอาไปเปรียบเทียบง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง ความมั่นใจนี้คุณชายก็ยังมีอยู่นะ” 


 


 


           ในใจเขานอกจากแฟนเก่าคนนั้นของซือเหยี่ยนที่เป็นหนามยอกอกแล้ว คนอื่นเขาไม่เคยวางไว้ในสายตา 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางหยิ่งผยองของเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น เขาดึงมือเจียงมู่เฉินมากุมไว้ “วางใจเถอะ ผมเป็นของคุณ ใครก็แย่งชิงไปไม่ได้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคำพูดของนายความน่าเชื่อถือต่ำจัง” 


 


 


           ก่อนหน้านี้ยังพูดว่าลืมแฟนเก่าไม่ได้อยู่เลย ตอนนี้ยังบอกกับเขาว่าเป็นของตัวเองอีก ถ้าหากว่าแฟนเก่าคนนั้นกลับมาแย่งชิงกับเขา ใครจะรู้ว่าซือเหยี่ยนจะเลือกแบบไหน 


 


 


           ถึงอย่างไรคนคนนั้นก็คบกับเขามานานขนาดนี้ ถ้าหากรู้สึกเบื่อหันไปตบก้นเรียก ก็หนีตามแฟนเก่าไปแล้ว 


 


 


           พูดถึงแฟนเก่า เจียงมู่เฉินก็อดจะหรี่ตาลงไม่ได้ รอจัดการซูเตอร์ก่อน ค่อยไปจัดการแฟนเก่าคนนั้นของซือเหยี่ยน 


 


 


           ถึงอย่างไรตอนนี้ซือเหยี่ยนก็เป็นคนของเขา ยกเว้นเขาเจียงมู่เฉินไม่ต้องการแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นใครก็แย่งไปไม่ได้ 


 


 


           เขาพลิกมือมาคว้าคอเสื้อซือเหยี่ยนไว้ “ฉันจะบอกนายให้นะ ฉันไม่เคยจะเป็นคนดีอะไร ยกเว้นฉันจะเบื่อไม่ต้องการนายแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นนายก็ทำได้แค่ทำตัวดีๆ อยู่ข้างกายฉัน” 


 


 


           การใช้อำนาจข่มขู่ปรากฏในแววตา ยังมีอีกหรือท่าทางอะไรก็ได้เมื่อครู่นี้ เขาเจียงมู่เฉิน เขาเจียงมู่เฉินอยากได้อะไรก็ต้องได้ ในเมื่อเป็นของเขาแล้ว ก็ไม่มีทางจะปล่อยมือไปง่ายๆ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเอาเรื่องอย่างเอาเป็นเอาตายของเขา ก็ยิ้มหัวเราะเบาๆ “งั้นคุณก็คงจะต้องดูผมดีๆ แล้ว” 


 


 


           “นายไม่กลัวว่าฉันทำจะเรื่องอะไรไม่ดีออกมาเหรอ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนก้มหัว “ไม่เป็นไร ถึงยังไงผมเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร พวกเราสองคนก็ไม่ใช่คนดีทั้งคู่ เข้ากันได้พอดี ทำลายกันและกันก็พอแล้ว ไม่ต้องทำลายคนอื่น” 


 


 


           “ถ้าหากว่าสักวันฉันอยากจะไปทำลายคนอื่นล่ะ” ถึงอย่างไรคนที่ชอบเขาก็มีไม่ใช่น้อยๆ เลย 


 


 


           “งั้นผมก็จะขังคุณเอาไว้ ให้ผมเห็นคุณได้คนเดียวเท่านั้น” 


 


 


           “แล้วถ้านายอยากจะไปทำลายคนอื่นบ้างล่ะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างจริงจัง “งั้นคุณก็ฆ่าผมเลย” 


 


 


           นัยน์ตาเอาจริงเอาจังของเขาทำเอาเจียงมู่เฉินตกใจจนขวัญกระเจิงแล้ว เขารู้ว่าที่ซือเหยี่ยนพูดเป็นความจริง ถ้ามีสักวันเขาอยากจะฆ่าซือเหยี่ยน เกรงว่าซือเหยี่ยนจะไม่กะพริบตาเลย แล้วปล่อยให้เขาลงมือ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเข้าไปจูบเขา “ฉันคิดๆ แล้ว ไม่ค่อยจะทำใจได้ลงเท่าไหร่ แต่ถ้ามีวันนั้นจริงๆ ฉันก็จะไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ หรอก” 


ตอนที่ 214 มาตรการพื้นฐานของศัตรูหัวใจ 


 


 


           “งั้นตอนนี้…คุณชายเจียงให้ผมจูบคุณดีๆ สักหน่อยจะได้หรือเปล่า” 


 


 


           ตั้งแต่เขาเริ่มตามหาเจียงมู่เฉิน จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้จูบเขาดีๆ เลย กว่าจะง้อเจ้าตัวได้ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องรีบตักตวงรางวัลปลอบใจให้ได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเชิดนัยน์ตาดอกท้อพราวเสน่ห์ของตัวเองขึ้น “อยากจูบฉัน?” 


 


 


           “อืม ให้จูบหรือเปล่า” 


 


 


           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ว่า…” เขาพูดจบก็เข้าไปจูบซือเหยี่ยน “ต้องให้ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน” 


 


 


           ทั้งสองคนอยู่ในเขารกร้างเปล่าเปลี่ยวผู้คน ซือเหยี่ยนกักช่วงเอวของเจียงมู่เฉินไว้แน่น มอบจุมพิตสวาทอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เจียงมู่เฉินพลิกมือมากุมมือซือเหยี่ยนไว้ ทั้งยังเลียนแบบการกระทำของซือเหยี่ยนเช่นกัน ใช้มือกักช่วงเอวของเขาไว้ 


 


 


           เขาพลิกเบี้ยล่างให้กลายเป็นเบี้ยบน เป็นฝ่ายกดจูบซือเหยี่ยนเอง ปกติเขายอมให้ซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายรุก เพียงแค่ใจมันอ่อนใจมันยอมให้ทั้งใจก็เท่านั้นเอง 


 


 


           ทุกครั้งที่พูดว่าอยากเป็นรุกบ้าง ก็ไม่พ้นหาเรื่องสนุกให้อีกฝ่ายแทน ถ้ามีวันหนึ่งที่เขาอยากจะกดซือเหยี่ยนบ้าง ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ 


 


 


           ถึงเขาจะต่อยตีไม่สู้ซือเหยี่ยน แต่ถ้าแข็งขืนขึ้นมาจริงๆ จังๆ ซือเหยี่ยนเองก็ไม่แน่ว่าจะหาข้อดีได้ 


 


 


           เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขายอมให้ซือเหยี่ยนทำผิดโดยไม่ห้ามปราม ไม่ขัดขวางถึงขนาดว่าไม่ว่าเขาจะทำเรื่องอะไร ขอเพียงแค่อยู่ในหลักการที่ยึดถือไว้ เขาก็สนองความต้องการได้ทั้งนั้น 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธไม่ลง เมื่อถอยออกมาก็ยังไม่ลืมที่จะใช้ฟันกัดซือเหยี่ยนไปหนักๆ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเจ็บที่มุมปาก เขายกยิ้มมุมปากขึ้น พลางหัวเราะ “คุณกัดผมตรงนี้ ถ้าบวมขึ้นมา จะไม่ทำให้คนอื่นรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างของพวกเราสองคนเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายยังกลัวจะคนอื่นจับได้อยู่เหรอ ฉันเห็นว่านายอยากให้คนจับได้จนตัวสั่นมากกว่ามั้ง เมื่อกี้บนโต๊ะอาหารจงใจพูดว่าฉันใช้แรงงานมือเกินขนาด ไม่ใช่ว่าจะประกาศศักดาครองอำนาจสิทธิ์ขาด บอกซังจิ่งว่าพวกเราเพิ่งจะทำเรื่องอะไรกันมาหรือไง” 


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ “ผมไม่รู้สึกว่าแบบนั้นผมผิดนะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “อืม นายไม่ผิด ปฏิบัติกับศัตรู การกระทำต้องตรงจุดและชัดเจนตลอด นี่เป็นหลักการพื้นฐานของนักธุรกิจไม่ใช่เหรอ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนหัวเราะ “ปฏิบัติกับซังจิ่งไม่ได้ใช้หลักการทั่วไปของนักธุรกิจหรอก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “แล้วคือ?” 


 


 


           “มาตรการพื้นฐานของศัตรูหัวใจ” ซือเหยี่ยนเอ่ยหน้าซื่อตาใส “แฟนผมใกล้จะโดนอุ้มหนีไปแล้ว ถ้าผมไม่ประกาศศักดาครองอำนาจสิทธิ์ขาด จะรอให้เขาอุ้มคุณหนีแล้วมาเลิกกับผมหรือไง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกราม “ใครกันจะโดนเขาอุ้มไป ฉันโดนอุ้มง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ผมอุ้มขึ้นมายังง่ายเหมือนปอกกล้วยอยู่” 


 


 


           “…” อยากตีคน อยากฆ่าปิดปาก ทำไงดี ด่วนมาก กรุณารอสักครู่… 


 


 


           …… 


 


 


           “นายออกมาขนาดนี้ ไม่กลัวว่าซูเตอร์จะรู้ แล้วจะไม่เป็นผลดีกับฉันเหรอ” เจียงมู่เฉินหาที่นั่งพิงข้างๆ ทะเลสาบ ก่อนเอ่ยถามอย่างเอื่อยเฉื่อย 


 


 


           “นายออกจากบ้านมา ผมจะมีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ได้ที่ไหนล่ะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ทำไมฉันรู้สึกว่านายจัดการทุกอย่างก่อนแล้วถึงค่อยมา” 


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ “ก็แค่จัดการไปตามสมควร รับประกันว่าตอนนี้ซูเตอร์จะมาสร้างความวุ่นวายให้ผมไม่ได้แน่นอน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเงยหน้า “ฉันว่าฉันพบแล้ว ว่าบางทีคนอย่างนายนี่ใจเย็นสุขุมเกินขั้นจริงๆ” ก่อนจะมาหาเขา ยังไม่ลืมจะจัดการทางหนีทีไล่ทั้งหมดไว้ให้ดี ความคิดละเอียดรอบคอบเกินไปไหม 


 


 


           ซือเหยี่ยนแอบอิงข้างกายเจียงมู่เฉิน “มีบางทีก็ไม่ใจเย็น” 


 


 


           “เมื่อไหร่” เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขายังแปลกใจอยู่จริงๆ ว่าอะไรที่ทำให้ซือเหยี่ยนไม่ใจเย็นได้ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเอียงหัวมองเจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ “ความลับ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินรอคำตอบอย่างจริงจังอยู่นานสองนาน สุดท้ายคำตอบที่ได้ก็มีแค่คำว่า ‘ความลับ’ นี่คือต้องการจะทำให้เขาอกแตกตายแล้วจะยึดสมบัติตระกูลเขาใช่ไหม  


 


 


 


 


 


ตอนที่ 215 ถ้าหากว่าพวกเราเลิกกันล่ะ 


 


 


           ซือเหยี่ยนคว้าตัวเจียงมู่เฉินที่ใกล้จะระเบิดลงมาไว้ในอ้อมกอด “อย่าพูดเลย พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองตามทางที่เขาชี้ไป พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนตกดินทีละนิดตามที่ซือเหยี่ยนบอก ค่อยๆ สลายหายไปท่ามกลางท้องฟ้า แสงอาทิตย์ส่องผ่านกลุ่มเมฆเปล่งรัศมีเรืองรองทอประกาย 


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าจะได้มาดูพระอาทิตย์ตกดินครั้งแรกที่นี่กับนาย” ถึงจะทำลวกๆ เกินไปหน่อย แต่นี่ก็ยังถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเขาที่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน 


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่รู้ว่านึกถึงอะไรได้ขึ้นมา เขาสอดมือประสานกันกับมือของเจียงมู่เฉินอย่างแนบแน่น “อยากจะดูพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกกับผมไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ที่นี่เหรอ” 


 


 


           “พวกเราไปยอดเขากัน ดูพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกกันจริงๆ จังๆ” 


 


 


           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็คิดถึงสมัยที่อยู่อเมริกาด้วยกัน ก่อนที่เจียงมู่เฉินจะออกปฏิบัติภารกิจสุดท้าย เขากอดซือเหยี่ยนแน่น แล้วพูดลงที่ข้างหู “ซือเหยี่ยน ถ้าคุณชายมีชีวิตกลับมาได้ คุณชายรับประกันว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับนาย” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกะพริบตา แต่น่าเสียดาย ภารกิจแฝงตัวเป็นสายลับครั้งนั้นล้มเหลว 


 


 


พระอาทิตย์ขึ้นที่เขากับเจียงมู่เฉินนัดจะไปดูกันก็ไปดูไม่ได้แล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างกายเขาอารมณ์ดูไม่ค่อยจะปกติอย่างบอกไม่ถูก “ได้ ฉันจะไปกับนาย” 


 


 


           ความขมขื่นเจ็บช้ำปรากฏรอบๆ ดวงตาของซือเหยี่ยน เขาหลับตาลงเล็กน้อย ปิดบังขอบตาที่เริ่มจะแดงก่ำไว้ เขายกมุมปากขึ้น แกล้งทำท่าทางสบายๆ “ผมได้ยินคุณรับปากแล้ว พรุ่งนี้ห้ามเปลี่ยนใจนะ” 


 


 


           “วางใจเถอะ พรุ่งนี้คุณชายรับรองว่าจะลุกไหว” 


 


 


           เรื่องที่รับปากแล้ว เขาไม่มีทางจะเปลี่ยนใจอยู่แล้ว 


 


 


           เพียงไม่นานท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว ซือเหยี่ยนลุกขึ้นส่งมือให้เจียงมู่เฉิน “ไปกันเถอะ ควรจะกลับกันได้แล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองมือของเขา แล้วยิ้มหัวเราะ ก่อนจะส่งมือไปจับมือเขาไว้ ซือเหยี่ยนกำลังจะเตรียมออกแรงดึงเจียงมู่เฉินขึ้นมา เขาก็โดนเจียงมู่เฉินดึงฉุดลงไป ทั้งตัวค้ำยันอยู่บนร่างเจียงมู่เฉินไว้ 


 


 


           “อะไรกัน ไม่อยากกลับไปเหรอ” 


 


 


           “ตอนนี้ข้างๆ ไม่มีคน ยังเป็นสถานที่ดีๆ ที่มืดไม่มีไฟอีก จะกลับไปทั้งแบบนี้ ไม่รู้สึกเสียดายหน่อยเหรอ” 


 


 


           ท่ามกลางความมืดสลัว ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “อะไรกัน คุณยังอยากทำอย่างอื่นอีกเหรอ” 


 


 


           “เก็บความคิดเลอะเทอะในหัวสมองนายเข้าไปเลย ฉันก็แค่อยากจะคุยต่ออีกสักพักแค่นั้นเอง กลับจากที่นี่ไป จะหาความสงบแบบนี้ได้ที่ไหนกัน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ ถือโอกาสนั่งลงข้างกายเขา “ถ้าคุณชอบ วันหลังพวกเรามาอยู่ที่นี่ก็ได้นะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ที่จริงฉันมีที่ที่ดีกว่านี้อีก” 


 


 


           “ที่ไหน” 


 


 


           “คฤหาสน์หลังนั้นตอนที่อยู่อเมริกากัน ฉันชอบที่นั่นมากกว่า” อีกอย่างที่นั่นยังเป็นที่ที่เขากับซือเหยี่ยนตกลงเป็นแฟนกัน อย่างไรก็มีความหมายเป็นที่จดจำอยู่ไม่เบา 


 


 


           “คุณอยากไป เมื่อไหร่ผมก็ไปกับคุณได้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง “ตอนนี้นายก็พูดได้น่าฟัง พอวันหลังนายยุ่งขนาดนั้นจะมีเวลามาอยู่กับฉันได้ที่ไหนกัน” 


 


 


           “ไม่ว่าเวลาไหน ขอเพียงแต่คุณอยากไป ผมก็ไปกับคุณได้ทั้งนั้น” 


 


 


           สำหรับเขาแล้ว ซือกรุ๊ปไม่ใช่ปัญหาอะไร หลายปีมานี้เขาขยายบริษัทใหญ่โตออกไปตั้งเท่าตัว ต่อจากนี้ถ้าเจียงมู่เฉินชอบอยากจะทำอย่างอื่น เขาก็ไปกับเจียงมู่เฉินได้เกือบหมด เรื่องบริษัทอย่างมากก็แค่ให้ไป๋จิ่งควบคุมดูแล 


 


 


           ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าที่เขาพูดเป็นความจริงหรือเท็จ แต่เจียงมู่เฉินก็ยังประทับใจอยู่เล็กๆ บ้างในเวลานี้ 


 


 


           เขาเอนหัวซบไหล่ของซือเหยี่ยน “นายว่าถ้าในอนาคตพวกเราเกิดเลิกกันขึ้นมา จะทำยังไง” 


 


 


           ซือเหยี่ยนแข็งทื่อไปทั้งตัว “ผมไม่อยากเลิกกับคุณ” 


 


 


           “ฉันเองก็ไม่อยาก” เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ถ้าหากว่ามีสักวันล่ะ” 


 


 


           “โลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืนจีรังและแน่นอนไม่ใช่เหรอ เรื่องบางเรื่อง ใครก็ไม่มีทางจะรับประกันได้” เจียงมู่เฉินดึงมือซือเหยี่ยนมากุมไว้แน่น “แต่ว่านายวางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นยังไง ฉันจะพยายามทุ่มเทล็อกนายไว้อยู่ข้างกายฉัน” 


 


 


           “งั้นคุณต้องล็อกผมไว้ตลอดชีวิตเลยนะ” 


 


 


           นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ของเจียงมู่เฉินเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิด ราวกับได้อธิษฐานความปรารถนาในใจอย่างไม่หวั่นไหวแน่วแน่ที่สุด 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม