(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 2
ตอนที่ 2-1
ตอนที่ 2-1 แผลฉกรรจ์
“โอ้โห ลูกชายบ้านนี้ทำไมถึงได้ดูดีกันขนาดนี้”
“ก็เป็นดารากันทั้งคู่เลยนี่นา แล้วก็สามีของอาจารย์มินก็หน้าตาดีอยู่แล้ว สมัยหนุ่มๆ มีสาวมาติดเต็มเลยใช่ไหม คงจะเหมือนพ่อละสิ”
“โอ๊ะ! คนเล็กก็เป็นดาราเหรอ นึกว่าแค่คนโตเสียอีก”
“เห็นว่าเป็นนักดนตรีน่ะ”
“ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย นี่คงจะชอบพวกดารา ไอดอลอะไรแบบนั้นใช่ไหมเนี่ย”
“ก็อย่างนั้นแหละ แต่นี่ไม่อายุเยอะไปหน่อยเหรอ”
ตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้ว ที่กลุ่มมนุษย์ป้าซึ่งรวมตัวกันอยู่บริเวณทางเข้างานแต่งงาน ยังคงจับกลุ่มพูดคุยไร้สาระกันไม่หยุด
ประโคมทั้งเนื้อทั้งตัวด้วยแบรนด์เนมและน้ำหอมเสียจนฉุน แสร้งทำท่าทางสูงส่ง ทั้งๆ ที่บทสนทนาพวกนั้นหยาบคายและไร้มารยาทอย่างที่สุด
ไม่รู้สึกละอายต่อบรรดาผู้ชายอาวุโสรอบข้างบ้างเลยหรือไงกัน แถมยังคอยแอบชำเลืองมองมาทางครอบครัวเจ้าบ่าวอยู่บ่อยๆ ราวกับวิจารณ์คุณภาพสินค้า ยิ่งทำให้ดูน่ารังเกียจเข้าไปอีก เสียงพูดก็ดังเสียจนคนรอบข้างพากันเหลือบมองอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด ซองจูที่คอยต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานกำลังครุ่นคิดว่าควรจะจัดอย่างไรดี ระหว่างนั้น คนพวกนั้นก็ยังคงพ่นบทสนทนาที่ลดเกียรติของตัวเองออกมาอยู่เรื่อยๆ
“วงอะไรน้า เหมือนจะเคยได้ยินอยู่นะคะ ว่างหน่อยเป็นไม่ได้ อาจารย์มินชอบมาพูดอวดอยู่ตลอดว่าดังมากเลยนะคะ”
“ก็เป็นลูกชายของอาจารย์มินนี่ ยังไงซะสำหรับเธอก็ต้องดังที่สุดอยู่แล้ว ไม่อวยลูกตัวเองได้เหรอ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ทำตัวสูงส่งเสียขนาดนั้น แต่ลูกชายตัวเองกลับเป็นดารากันหมดเนี่ยนะ ไม่รู้ว่าเพราะเรียนไม่ได้เรื่องหรือเปล่า”
“จุ๊ๆ เบาหน่อย เดี๋ยวก็ได้ยินกันหมดหรอกค่ะ”
“โธ่ ไม่ได้ยินหรอกน่า จะกลัวไปทำไมกัน คนเยอะแยะขนาดนี้”
สุ้มเสียงที่ทำใจดีปลอบโยนอีกคนว่าคงไม่มีใครได้ยินที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ยังคงพูดจานินทาว่าร้ายต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสายตาของผู้คนโดยรอบนั้น คอยที่จะปรายหางตามามองด้วยความเอือมระอาอย่างไร
“แต่ว่าให้ลูกชายคนเล็กแต่งงานก่อนเหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ตามนิสัยของอาจารย์มิน ไม่น่าจะยอมให้ลูกชายคนเล็กได้แต่งงานก่อนนี่นา ทำไมนะ ทั้งที่ออกจะเคร่งครัดเสียขนาดนั้น”
“นั่นน่ะสิคะ ทำไมถึงได้ยังไม่แต่งกันนะ ลูกชายคนโตของอาจารย์มิน เป็นนักแสดงที่ทั้งหน้าตาดี แถมยังโด่งดังเสียขนาดนั้นไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็นั่นแหละ แบบนั้นถึงยิ่งแต่งไม่ได้ไม่ใช่รึไง ถ้าแต่งงานความนิยมต้องตกลงแน่ๆ”
“อย่างนี้เองสินะ โอ๊ะ! นั่นอาจารย์มินอยู่นั่น เบาๆ กันหน่อย”
มาร่วมงานมงคลของคนอื่นเขา พูดอย่างโน้นอย่างนี้นินทาไปเรื่อยอย่างออกรสยังไม่พอ ต่อหน้าก็ยังทำเสแสร้ง ลับหลังก็พูดจาว่าร้ายไปเรื่อย ช่างเป็นพวกไร้มารยาทสิ้นดี
เขาเพียงทักทายแบบส่งๆ ให้ไป เมื่อคนพวกนั้นเดินเข้ามาด้วยท่าทางสูงส่งจอมปลอมนั่น ดูท่าคงจะเป็นคนรู้จักของพ่อกับแม่ ตั้งแต่เมื่อครู่ที่เอาแต่เปรียบเทียบซองจูกับซองฮี ทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน แต่ในตอนนี้กลับทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“โอ๊ะ อาจารย์มิน ยินดีด้วยนะ เมื่อไรฉันจะได้จัดงานแต่งให้ลูกชายบ้างนะ”
“ทำพูดไป หวงลูกชายที่อุตส่าห์เลี้ยงมาเสียขนาดนั้น จะปล่อยไปได้เหรอ”
“นั่นสิๆ”
ซองจูเย้ยหยันคนพวกนั้นอยู่ในใจ แล้วผละออกมายืนอยู่ไม่ไกลนัก
พอมาอยู่รวมกันแล้วช่างดูน่าสมเพช ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วที่ความโกรธของเขาปะทุออกมา ยิ่งได้เห็นใบหน้าของคนพวกนั้น พูดคุยหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ยิ่งทำให้เขานึกรังเกียจ ถ้าเป็นปกติ โดยนิสัยแล้วเขาอยากจะเข้าไปตะโกนด่าใส่หน้าคนพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าในความเป็นจริง นี่เป็นงานแต่งงานของน้องชายร่วมสายเลือดตัวเอง เขาไม่สามารถแสดงกิริยาแบบนั้นออกมาได้ ซองจูได้แต่กล้ำกลืนคำด่าที่ไม่สามารถสบถออกมาได้ให้กลับคืนไปอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วจึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ในวงล้อมของแขกผู้ร่วมงาน
“แม่ครับ คุณลุงมาถึงแล้วนะครับ ท่านเอาแต่ถามหาแม่มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แม่ไปกับผมหน่อยได้ไหมครับ”
“อ้าว อย่างนั้นเหรอ อือ งั้นก็ไปกันเถอะ”
แม่แสดงความยินดีออกมาทางสีหน้า ทันทีที่ได้ยินว่าพี่ชายตนมาถึงแล้ว ซองจูจึงกันตัวท่านออกไป ก่อนจะหันกลับไปยังบรรดาคุณผู้หญิงที่จับกลุ่มนินทาอยู่ก่อนหน้านี้
“ถ้างั้นก็เชิญคุยเรื่องที่ค้างอยู่ต่อเถอะครับ”
พูดเหน็บแนมออกไป พร้อมส่งเสียงหัวเราะหึๆ บรรดาคุณผู้หญิงทั้งหลายที่เมื่อครู่ยังคงเสแสร้งทำตัวสูงส่งพวกนั้น ถึงกับหน้าเจื่อนลงในทันที ซองจูก้มหัวให้คนพวกนั้นเล็กน้อย ก่อนจะออกเดินนำไปข้างหน้า พาผู้เป็นแม่ไปพบคุณลุงที่รออยู่
‘พวกคนน่าสมเพช มาร่วมงานมงคลของคนอื่นเขา แล้วยังมาพูดจาน่ารังเกียจแบบนั้นได้ มันเป็นคำพูดที่ควรพูดถึงคนที่ไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอ’
คำก่นด่ามากมายที่ไม่อาจพูดออกมาได้นั้น ซองจูได้แต่พึมพำอยู่ในใจเท่านั้น
หลังจากที่สองพี่น้องได้พบหน้ากันในวันนั้น ซองจูก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ เป็นพิเศษที่เกี่ยวกับการแต่งงานของซองฮีอีก แน่นอนว่าซองฮีเองก็ไม่ได้เอ่ยปากขอให้ช่วยหรือขอให้ทำอะไรให้ ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องก็ยังคงเป็นเช่นที่เคยเป็นมา ไม่ได้สนใจกันและกัน ต่างฝ่ายต่างทำเรื่องของตัวเอง ไม่มีการพูดถึงว่าใครจะทำอะไร แม้แต่แม่ที่คิดว่าจะต้องบ่นซองจูนนั่นนี่ก็ไม่ได้บ่นอะไรเลย ดังนั้นซองจูจึงได้กลับมาอยู่ที่บ้านได้อย่างสบายใจจนถึงวันก่อนงานแต่งงาน
แต่ว่าในวันแต่งงานนั้นกลับต่างออกไป อย่างไรเสีย เมื่อเป็นคนในครอบครัวก็คงต้องคอยช่วยงานแน่นอนอยู่แล้ว เขาต้องเชื่อมั่นในตัวเองเช่นเดียวกับที่ไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้ ไม่สิ ไม่ใช่ต้องเชื่อมั่น แต่มันเป็นสิ่งที่ทำได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าการที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้กับน้องชายที่ไม่ลงรอยกัน มันทำให้รู้สึกเหมือนได้สวมบทบาทเป็นพี่ชายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ในที่แห่งนี้ฮันซองจูต้องเป็นพี่ชายที่แสนดี มากความสามารถ แล้วก็ใจดี เหนื่อยชะมัด ให้ตายเถอะ
“…รุ่นพี่?”
ดังนั้น ถึงตอนนี้จะมีใครบางคนกำลังเรียกเขาอยู่ก็ตาม ตัวเขาก็ไม่ได้รับรู้เลย ยังคงนั่งกุมหน้าอยู่ในมุมหนึ่งของงาน และจดจ่อกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก
“รุ่นพี่?”
“…อ๊ะ?”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นอีกเป็นหนที่สองทำเอาเขาตกใจเสียจนใจหาย ทันทีที่หันกลับไปซองจูก็ถึงกับตาเบิกโพลง คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน ใบหน้าหมองหม่นนั่นกำลังจ้องมองมายังเขา
“มะ มาด้วยเหรอ”
ซองจูฝืนหัวเราะออกมา แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะดูสดใส และเป็นปกติดีในสายตาของคนอื่น แต่สำหรับเขาแล้ว กลับเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก แสนทรมาน อีกฝ่ายเองก็คงรู้สึกได้เช่นกัน จึงได้แสดงสีหน้าชอกช้ำเช่นนั้นออกมา
“คงจะไม่อยากคุยด้วยสินะครับ”
“ปะ เปล่า ฉันแค่รู้สึกเพลียๆ น่ะ”
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ดูเหมือนจะใจเย็นขึ้นนะ ทั้งที่เคยเป็นพวกที่ต่อให้ปล่อยหมัดออกมาแล้วก็ยังไม่ยอมใจเย็นลงแท้ๆ พออายุมากขึ้นก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วยงั้นสินะครับ”
“วิเคราะห์พอหรือยัง…นายเองใช่ว่าจะนิสัยดีสักเท่าไรนะ”
“นั่นมันแค่กับรุ่นพี่หรือเปล่าครับ”
บทสนทนาที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สนิทสนมกันหรือไม่ จบลงด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆ เลือนรางไป ทั้งสองจ้องมองกันและกันอยู่พักใหญ่
รูปร่างที่ดูจะเพรียวกว่ากันเล็กน้อย สวมใส่ชุดสูทเนื้อดี ผมที่ดูจะยาวขึ้นกว่าเมื่อก่อนถูกมัดรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย ทุกสิ่งช่างรับกันดีกับใบหน้าแสนงดงามนั่น แม้อีกฝ่ายมักจะอยู่ในภาพลักษณ์ที่ดูดีอยู่ตลอด แต่นั่นก็แค่ภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้น ตัวตนของผู้ชายตรงหน้าที่ทั้งจิตใจคับแคบและมีนิสัยเลวร้ายนั่น มันลดทอนความงดงามของใบหน้าไปจนหมดสิ้น ซองจูถึงกับกระตุกยิ้มมุมปาก
“ผมนายยาวขึ้นมากเลยนี่”
คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายเอื้อมไปจับหลังคอด้วยใบหน้าที่ดูเคอะเขิน
“อืม จะให้ไปร้านทำผมมันก็น่ารำคาญ…ยังไงซะที่ร้านก็ต้องจัดการให้อยู่แล้ว ก็เลยปล่อยมันยาวไปแล้วค่อยมัดเอาน่ะครับ”
“ร้าน? นายเปิดร้านงั้นเหรอ?”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นหรอกครับ ผมมันแค่มนุษย์เงินเดือนเอง”
“ก็เมื่อกี้นายเพิ่งพูดแบบนั้นออกมาเองนี่”
“บ้านก็ไม่มี สมบัติอะไรก็ไม่มีแบบผมเนี่ย คงไม่มีปัญญาเปิดร้านใจกลางกรุงโซลหรอกครับ”
“ฉันเปิดร้านให้เอาไหมล่ะ”
เมื่อคำพูดทีเล่นทีจริงนั่นหลุดออกมา สีหน้าของอีกฝ่ายก็เริ่มเผยให้เห็นความไม่พอใจ ซองจูจ้องมองร่างอันคุ้นเคย มองสบตาคู่นั้นที่หงุดหงิดจนแทบระเบิดออกมา แล้วน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกก็ดังขึ้น
“มุนเซจอง นายมาทำอะไรที่นี่”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น อีกคนก็วาดรอยยิ้มเจิดจ้าขึ้น แสบตาชะมัด
“มาแล้วเหรอ?”
“ฉันถามว่ามาทำไรแถวนี้ ตามหาอยู่ตั้งนาน”
“ฉันกำลังทักทายรุ่นพี่ซองจูน่ะ”
เพียงได้เห็นอีกคนยิ้มแฉ่งขณะที่คุยจ้อกับผู้มาใหม่แบบนั้นแล้วก็พาลหมั่นไส้ รอยยิ้มแบบนั้น ต่อให้เป็นเมื่อก่อนเขาก็ไม่เคยได้รับมัน และนั่นทำให้ในวันนี้อีกคนดูอ่อนหวานขึ้นไปอีก
ซองจูซึ่งกำลังคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัวนั้น ถูกน้ำเสียงทุ้มต่ำเรียกให้สติที่หลุดลอยกลับคืนมาอีกครั้ง
“อ๊ะ ฮันซองจู?”
น้ำเสียงเช่นนั้น ทำให้หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่นขึ้นกว่าเดิม
“เอ๋ นี่มันใครกันเนี่ย คนแบบที่ไม่ควรได้เจออีกเป็นครั้งที่สองนี่ ใครกันนะ? คิดไม่ถึงเลยนะว่าจะมาด้วยตัวเองแบบนี้ พีดีคิมจีฮุน”
ซองจูแสดงความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายออกมาอย่างเต็มที่
เพราะตรงนี้เป็นมุมอับจึงไม่เป็นที่สังเกตของใคร หากเผยนิสัยที่แท้จริงของตัวเองออกมาคงจะไม่เสียหายอะไร และมันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเสแสร้งต่อหน้าคนพวกนี้ เพราะอย่างไรเสีย คนๆ นี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นซองจูจึงได้พูดจาเหน็บแนมอีกฝ่ายออกไปเช่นนั้น
“ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าท่านประธานคิมจีฮุนใช่ไหม ได้ยินว่าเปิดบริษัทโปรดักชั่นแล้วนี่ ตำแหน่งใหญ่โตเสียขนาดนี้ อนาคตคงต้องระวังท่าทีซะแล้วสิ”
“นี่คุณ? ผมไม่รู้หรอกนะว่าไปได้ยินมาจากไหน แต่มันไม่ใช่เรื่องจริง”
“มันจะไม่ใช่เรื่องจริงได้ยังไง ข่าววงในก็แพร่ออกมาซะขนาดนั้น”
“ไม่ใช่คนแวดวงเดียวกันด้วยซ้ำ บางทีอาจจะเป็นข่าวลือจากพวกที่ชอบซุบซิบนินทาก็ได้”
“อย่ามัวมาสนใจเรื่องไร้สาระเล็กน้อยพวกนั้นกันเลยครับ อุตส่าห์ได้เจอกันที่นี่ทั้งที ผมไม่ยักรู้ว่าคุณสนิทกับน้องชายผมด้วย”
แม้จะพูดเหน็บแหนมออกมาขนาดไหน คิมจีฮุน พีดีสารคดีมากพรสรรค์คนนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการฉุนเฉียวออกมาแม้แต่น้อย ถ้าได้ลองร่วมงานกันก็จะพบเจอกับความจริงทุกอย่าง เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้หมอนั่นหวั่นไหวเลยสักนิด ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้ดีว่าถ้าทำแบบนี้เท่ากับยั่วโมโหเขา แต่ถึงจะรู้ ซองจูก็ยังคงฟังเสียงทุ้มต่ำนั่นเอ่ยออกมา
“ไม่ได้มาเจอนายก็แล้วกัน ฉันแค่มาแสดงความยินดีกับซองฮีเท่านั้น”
“คิมจีฮุน…”
ตอนที่ 2-2
ตอนที่ 2-2 แผลฉกรรจ์
ทันทีที่คำพูดแข็งกร้าวนั่นโต้กลับมา สายตาของซองจูส่องประกายความโกรธเกรี้ยวออกมา
มุนเซจองกับคิมจีฮุน
เมื่อสี่ปีก่อน คนรักเก่าที่เขาปล่อยให้หลุดมือไปเพราะการกระทำของเขาเอง ไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
ในงานแต่งงานของน้องชาย
“พอเถอะ ที่นี่มีคนอยู่เยอะนะ”
“อ้า โทษที”
แล้วเซจองก็เป็นผู้หยุดยั้งสถานการณ์ตรงหน้า ใบหน้างดงามที่ขมวดคิ้วมุ่นมองคนทั้งคู่สลับไปมา
“รุ่นพี่เองก็พอเถอะครับ อายุก็ปาเข้าไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังจะทำแบบนั้นอีก”
“โทษที”
ทันทีที่เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นราวกับประกาศว่ายอมแพ้ ใบหน้าที่เคยขมวดมุ่นของเซจองก็กลับมาสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง ใบหน้าแบบนั้น แบบที่ซองจูชอบ
“ว่าแต่ นี่ติดต่อกับซองฮีอยู่ตลอดเลยงั้นเหรอ”
“เอ่อ ไม่ใช่หรอกครับ เมื่อปีก่อนซองฮีเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน มาถามว่าเป็นยังไงบ้างน่ะครับ รุ่นพี่ไม่ได้เป็นคนให้เบอร์ติดต่อไปหรอกเหรอครับ”
“เคยเห็นฉันคุยกับหมอนั่นรึไง”
“ก็นั่นสินะครับ”
เซจองที่รู้ดีกว่าใครเรื่องความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ไม่ลงรอยกัน จึงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ มีเพียงจีฮุนที่ไม่สามารถจะทำตัวให้คุ้นชินกับบรรยากาศแบบนี้ได้ จึงจ้องมองทั้งคู่ด้วยใบหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ส่วนคนทั้งสองก็ยังคงพูดคุยกันต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ช่วงนี้ไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ”
“จะให้มีอะไรล่ะ ถ่ายทำอีกไม่กี่เรื่องก็จะได้พักแล้ว”
“คงไม่ได้มีอะไรไปกวนใจเพราะเรื่องที่ย่านโดกก[1]ใช่ไหมครับ”
เซจองที่พูดประโยคนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ซองจูเข้าใจเป็นอย่างดีถึงสิ่งที่เซจองต้องการจะพูด เด็กนั่นยังคงกังวลว่าพ่อแม่ของตัวเองยังคอยมาก่อกวนเขาอยู่หรือเปล่า
“พวกนั้นเลิกใส่ใจเรื่องของฉันแล้ว นี่มันก็ผ่านมาห้าปีแล้วนะ ยังกังวลเรื่องนั้นอยู่รึไง? ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตอนนี้ไม่มีใครกล้ายุ่งกับฉันแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
ซองจูพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ
ซองจูเติบโตขึ้นมาภายใต้ครอบครัวที่พ่อเป็นนักธุรกิจและแม่เป็นอาจารย์ เซจองเองก็เช่นเดียวกัน พ่อแม่ของเด็กนั่นเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่กลับเป็นพวกเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ แต่ดูอีกฝ่ายจะก้าวพ้นเงาของครอบครัวได้มากกว่าที่เขาคิด
การตกอยู่ภายใต้เงาของพ่อแม่แบบนั้นทำให้เซจองไม่สามารถแสดงตัวตนออกมาได้ ต้องแอบซ่อนมันเอาไว้ และในช่วงมหาวิทยาลัยนั้นเองที่อีกฝ่ายได้พบกับซองจูแล้วก็กลายมาเป็นคนรักกัน
พวกเขาคิดว่าการที่ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเปิดเผย ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรต่อความสัมพันธ์ของเรา
แต่ทว่ามันไม่มีความสัมพันธ์ใดที่มั่นคงยืนยาว ซองจูที่เป็นคนแปรปรวนง่ายและไม่ได้รักชอบแค่ผู้ชาย กับเซจองที่มีความลับมากมายและสนใจแค่การเรียน ระหว่างทั้งคู่จึงเริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นทีละนิด
กระทั่งเมื่อเซจองยอมเป็นดาราตามที่ซองจูพยายามเกลี้ยกล่อม ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พังพินาศลงอย่างรวดเร็ว ตารางงานที่อัดแน่นทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหินยิ่งขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ณ ลานจอดรถของอะพาร์ตเมนต์ซึ่งพวกเขาลักลอบมาพบกันนั้น เรื่องของทั้งคู่ถูกพ่อแม่ของเซจองจับได้ และนั่นก็คือจุดจบของความสัมพันธ์ระหว่างเรา
เซจองที่ถูกทุบตีจนเกือบเสียโฉม ต้องหลบหนีไปต่างประเทศโดยที่ไม่มีโอกาสได้เคลียร์งานอะไรเลยในวงการให้เรียบร้อย ส่วนซองจูที่ยังคงอยู่ที่เกาหลีเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ถูกข่มขู่จากพ่อแม่ของเซจอง ว่าจะทำลายอนาคตในวงการของเขาเสีย และคนที่จัดการเรื่องทุกอย่างก็คือคนเดียวกันกับที่พาพวกเขาทั้งคู่เข้าสู่วงการ ดงฮยอนนั่นเอง
ทุกฝ่ายต่างก็ได้รับบาดแผลทางใจ เรื่องวันนั้นกลายเป็นเพียงอดีตที่ไม่อาจหวนกลับมาทำร้ายคนทั้งสามได้อีก
‘เห็นนายไม่ได้ตั้งท่ารังเกียจกันแบบนี้ แสดงว่าตัวฉันก็คงไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่’
ซองจูทอดสายตาไปยังเซจองที่ไม่ได้มองมาทางเขา แล้วบ่นพึมพำในใจ
สำหรับซองจู เซจองก็เป็นเพียงคนในอดีต
สำหรับเซจองเอง ซองจูก็เป็นเพียงช่วงเวลาที่ผ่านไปแล้ว
ซองจูที่รับโทรศัพท์จากเซจอง ซึ่งโทรมาบอกว่าพ่อแม่ของตนจับได้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้ว ตอนนั้นเขาตอบกลับไปเพียงว่า ‘งั้นเหรอ’ หลังจากนั้นเขาก็ลบเรื่องราวของเซจองออกไปตลอดกาล สิ่งนั้นมีเพียงตัวของฮันซองจูเท่านั้น ที่รู้ดีกว่าใคร
แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าความเสียใจมันกำลังกัดกร่อนเขา ซองจูไม่อาจจะเข้าใจตัวเองได้เลย แล้วดูเหมือนว่าเซจองจะไม่พอใจเขาอย่างไรก็ไม่รู้
เมื่อก่อนตอนที่ยังคบกันอยู่ อีกฝ่ายไม่เคยยิ้มสดใสแบบนั้นให้เห็นเลย แต่เพราะอะไรถึงมีแค่คนน่ารังเกียจและหัวรั้นอย่างคิมจีฮุนที่ได้เห็นมัน ทำไมสายตาคู่นั้นของเซจองถึงไม่ได้มองมาที่ฮันซองจูอีกต่อไปแล้ว
เขารู้สึกว่าลำคอแห้งผากจนเจ็บไปหมด แม้จะรู้เหตุผลดี แต่ก็ยังอยากรับรู้ ซองจูในเวลานี้รู้สึกเหมือนเป็นพวกที่ชอบทรมานตัวเอง
“มุนเซจอง นายมาหาฉันเพื่อจะอวดคนรักของตัวเองรึไง”
ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นก็ตาม แต่เขาก็ยังคงขว้างมีดใส่เซจองจนได้ แม้เขาจะหวังให้เซจองมีความสุข แต่เขาไม่ชอบความสุขของอีกคนในตอนนี้เลย กระทั่งในช่วงเวลาแบบนี้ซองจูก็ยังคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น
“เซจอง”
คนที่เรียกเซจองอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เขา เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั่น เขาก็หันไปทางต้นเสียงนั้นทันที จึงได้เห็นว่าใบหน้าของคิมจีฮุนแข็งกร้าวขึ้นมา เซจองตอบรับเสียงเรียกนั้นอย่างอ่อนโยน
“หืม? ทำไมเหรอ?”
“เราควรไปกันได้แล้วนะ จะมัวเสียเวลาอยู่ตรงนี้ต่อไปทำไมกัน ทักทายก็ทักทายไปแล้ว แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันต่อแล้วด้วย”
“แต่…?”
คำพูดเย็นชาของจีฮุนทิ่มแทงใจของซองจูอย่างจัง บนหน้าผากซองจูจึงปรากฏรอยเส้นเลือดปูดชัดเจน ทั้งยังส่งสายตาราวกับจะฆ่ากันให้ตายไปข้างให้กับจีฮุน
“คุณพีดีคิม เมื่อกี้พูดว่าไงนะ ลองพูดอีกทีสิ”
“ทำไม ฉันพูดผิดตรงไหน มัวเสียเวลาอยู่ตรงนี้ต่อไปทำไมกัน ทักทายกันเรียบร้อยก็พอแล้วนี่ เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่หรอกนะ”
“ว่าไงนะ ทำไม มันทำไมหา?”
“ทำไม ผิดตรงไหนเหรอ มันก็ถูกต้องแล้วนี่ เรื่องเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอย่างนาย มันมีอะไรดีหรือไง นายก็ลองคิดดูเอาเองแล้วกัน”
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงอาการโกรธเกรี้ยวใดๆ เพียงซักถามออกมาทีละข้อ แต่มันไม่ถูกใจเขาเอาเสียเลย ซองจูที่ตอนนี้ไม่อาจอาละวาดออกมาได้ จึงทำเพียงเม้มริมฝีปากที่ไร้ความผิดเอาไว้ แน่นอนว่าคำพูดของจีฮุนไม่มีส่วนไหนที่ผิด ที่แสดงท่าทีหยาบคายออกมานั้นไม่ใช่เพราะไร้จิตสำนึก หากแต่ว่าเขาแสดงความขี้ขลาดออกมาไม่ได้ก็เท่านั้น
ถึงอย่างไรในตอนนี้เขาก็ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างที่ตัวเองปรารถนา เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนที่เหนี่ยวรั้งการกระทำแบบนั้นเอาไว้ ซองจูที่กำลังเลือดขึ้นหน้าจึงเอ่ยขึ้น
“ถึงอย่างนั้น เรื่องที่ฉันกับเซจองเคยคบกันมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง? ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าคนอื่นน่ะ”
“นั่นมันก็แค่เรื่องในตอนนั้น”
แม้ว่าตัวเองจะพ่นคำเหล่านั้นออกมาแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ซองจูคลายความโกรธได้เลย เขาพยายามบังคับความโกรธที่พลุ่งพล่านให้สงบลง ด้วยกลัวจะเป็นที่สังเกตของคนอื่น แต่แก้มที่ขึ้นสีแดงและเส้นเลือดบนหน้าผากที่ปูดชัด ก็ทำให้รับรู้ได้ไม่ยากนัก
“แล้วไงล่ะ นายต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
“นิสัยของนายเป็นยังไงก็รู้ๆ กันอยู่ เลิกเสแสร้งเป็นรุ่นพี่แสนดีได้แล้ว รีบๆ พูดมาดีกว่า อย่าให้มันต้องค้างคาใจอีกต่อไปเลย”
จีฮุนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็กที่สวมอยู่ และยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ
“ตอนที่ยังอยู่ด้วยกัน ก็ต้องทำดีต่อกันไว้สิ แต่นายกลับเตะโอกาสพวกนั้นทิ้งไป”
จีฮุนที่ยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและสุขุมจนน่าหมั่นไส้ เห็นแบบนั้นก็ทำเอาอยากจะเข้าไปซัดหน้าดูสักที แต่ซองจูก็ทำได้เพียงข่มใจทั้งที่กำหมัดเอาไว้แน่น
ที่พูดมามันไม่ผิดเลย ซองจูรู้อยู่แก่ใจว่ามีโอกาสมากมายหลายครั้งเข้ามาหาเขา และไม่ใช่ไม่รู้ว่าเป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่เตะโอกาสพวกนั้นทิ้งไป
แต่ว่าเรื่องนั้นควรเป็นมุนเซจองที่กล่าวโทษเขา
คนที่จะขีดเส้นใต้และบอกว่าเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งคนสำคัญในชีวิตของมุนเซจองอีกต่อไปแล้วนั้น เขาอนุญาตให้มุนเซจองทำได้คนเดียวเท่านั้น แต่นี่กลับกลายเป็นคิมจีฮุนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ เขายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ซองจูกัดฟันกรอด จ้องไปยังจีฮุนราวจับจะฆ่าให้ตาย แต่คนที่หยุดการกระทำของซองจูได้นั้นก็คือเซจอง เซจองทอดสายตามองไปยังซองจูที่ทำท่าราวกับจะเข้าไปซัดหน้าจีฮุนได้ตลอดเวลา ก่อนจะเปิดปากออกมาช้าๆ
“…รุ่นพี่”
“อือ”
การตอบรับที่ไม่ได้อ่อนโยนเช่นเสียงที่เรียกเขาเอาไว้ เซจองที่ท้วงถามอีกคนผ่านทางสายตาว่าไม่พอใจอะไร พอสบตากับซองจูที่มีความอาลัยอาวรณ์ล้นทะลักออกมา คิมจีฮุนที่ถูกทำราวกับไม่มีตัวตนก็เขม้นมองมายังเขาด้วยสายตาพิฆาต แม้จะรับรู้แต่เขาก็แกล้งทำไม่ใส่ใจ แต่ทว่าสายตาของเซจองที่มองมายังซองจูนั้น มันช่างเย็นชาเหมือนเช่นสายตาของพีดีคิมจีฮุนคนนั้น
“ขอร้องละ อย่าทำแบบนี้เลย ใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง คุณจีฮุนก็ด้วย พอได้แล้ว มันใช่เรื่องที่ต้องทำอะไรแบบนี้ในงานมงคลของคนอื่นงั้นเหรอ ถ้าจะทะเลาะกันก็ไปนัดกันที่อื่น”
“ฉันไม่คิดจะเจอไอ้เวรนี่อีกครั้งหรอกนะ”
“พี่ครับ”
จีฮุนหุบปากทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงข่มขู่นั่น ดูก็รู้ว่าใครกันที่เป็นฝ่ายเหนือกว่า แค่เซจองเรียกเพียงแค่คำเดียวก็ทำเอาใบหน้าที่แข็งกร้าวของจีฮุนอ่อนลง อีกคนเกาหัวด้วยสีหน้าละล้าละลังอยู่ครู่นึง ก่อนจะเอ่ยคำหนึ่งออกมา
“ขอโทษ”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษผมสักหน่อย”
แม้จะพูดเกลี้ยกล่อมแต่จีฮุนก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูดออกมาง่ายๆ เซจองจึงถอนหายใจออกมา ก่อนจะพยักพเยิดไปทางซองจู
“รุ่นพี่ละครับ”
“…ฉันอะไรอีกล่ะ”
“รุ่นพี่เองก็มีอะไรจะพูดเหมือนกันใช่ไหมครับ”
“เซจอง”
ท่าทางของผู้ชายสองคนที่อายุก็เลยสามสิบกันแล้ว แต่ยังทำตัวเป็นเด็ก ทำให้เซจองได้แต่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะพร้อมกับเดาะลิ้นอย่างระอา นั่นทำให้จีฮุนหน้าตึงขึ้นกว่าเดิม ถึงขนาดนี้แล้วถ้าเพียงใครสักคนก้าวออกมาเอ่ยขอโทษแบบขอไปที สถานการณ์ตอนนี้ก็คงคลี่คลายไปได้ พอเป็นเรื่องของมุนเซจองแล้ว ผู้ชายสองคนกลับไม่มีใครยอมลงให้กันเลย ทำเพียงนิ่งเงียบ ขบคิดอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องทำอย่างไร
[1] ย่านโดกก ที่ตั้งของซัมซุงทาวเวอร์พาเลซซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยที่หรูหราซึ่งมีอาคารที่สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 11 ของเกาหลีใต้
ตอนที่ 2-3
ตอนที่ 2-3 แผลฉกรรจ์
นี่เราคงตาบอดสินะ เซจองบ่นพึมพำก่อนจะหันไปตะคอกใส่ผู้ชายน่าเอือมระอาทั้งสองคน
“ทั้งสองคนเลิกเป็นแบบนี้สักทีเถอะ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ กันแล้ว ยังจะทำตัวไม่รู้จักคิดแบบนี้อีกเหรอ”
เซจองที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ต่างจากเมื่อก่อน หันขวับมาทางซองจูซึ่งไม่ได้แสดงความประหลาดใจแต่อย่างใด
“รุ่นพี่เองก็ช่วยแยกแยะด้วยเถอะครับ ผมรู้สึกละอายใจทุกครั้งที่รุ่นพี่ดงฮยอนพูดถึงรุ่นพี่ อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังเอาแต่ใจตัวเองอยู่อีก ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่บ้างไม่ได้เหรอครับ”
มากล่าวหาว่าเขาทำตัวไม่สมเป็นผู้ใหญ่แบบนี้เนี่ยนะ คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ไม่ได้ติดต่อกันมาตั้งหลายปีจะกล้าวิจารณ์กันขนาดนี้ ซองจูพยายามอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด แต่อารมณ์ขุ่นมัวก็ยังคงฉายชัดบนใบหน้า เซจองที่รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองของซองจู สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติ
“รุ่นพี่ ตอนนี้พี่ตัวคนเดียวเหรอ”
คำถามที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทำเอาซองจูที่กำลังคุกรุ่นถึงกับชะงัก
ตอนนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ ซองจูที่ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อสักครู่ ย้อนถามเซจองกลับไปอีกครั้ง
“หมายถึงฉันมาที่นี่คนเดียวงั้นเหรอ”
ซองจูตระหนักถึงเจตนาที่แท้จริงในคำถามนั้น
เซจองคงจะรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับซองจูคร่าวๆ ผ่านทางดงฮยอน หรือไม่ก็ซองฮี อีกฝ่ายคงต้องการถามถึงซอยอนคนที่เขาคบหลังจากเลิกกับเด็กนี่ไปได้ไม่นานเท่าไหร่
ซองจูพยักหน้าให้กับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ
“อะไร คิดว่าฉันจะลงโทษตัวเองเหรอ”
คำตอบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มบางเบานั่น กลับทำให้สีหน้าของเซจองสงบนิ่งลง
“โทษทีนะ คงมีแต่ผมที่มีความสุขดี”
แต่ว่าคำตอบนั้นที่เอ่ยออกมาช่างเย็นชาแตกต่างจากใจหน้าสงบนิ่ง และนั่นก็สร้างรอยบิดเบี้ยวไม่น่าดูขึ้นบนใบหน้าของซองจู
สุดท้ายแล้ว เซจองก็ไม่เคยแสดงออกว่ารักซองจูเลย สายตาที่ไม่ได้มองมายังเขาอีกต่อไปนั่น ไม่ได้มีร่องรอยของความรักใคร่ปรากฏอยู่ เขารู้ดีแต่ทำไมถึงยังรู้สึกต้องการมัน
หากซองจูต้องการได้เซจองคืนมา เมื่อสี่ปีก่อนที่อีกฝ่ายกลับมาเหยียบเกาหลี ตอนนั้นเขาก็ต้องคว้าตัวของอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว คว้าเอาไว้ให้ได้ก่อนที่เซจองจะได้เจอกับคิมจีฮุน ก่อนที่อีกคนจะถูกพ่อแม่ตัวเองเหยียดหยามอีกครั้ง เขาต้องใช้สองมือของตัวเองปัดป้องอันตรายเหล่านั้นเสีย ถึงจะรู้ดี แต่ก็เป็นเขาเองที่ก้าวเท้าออกมาจากโลกของเซจอง ซองจูเป็นคนที่รู้ความจริงพวกนี้ดียิ่งกว่าใครๆ
แม้จะรู้ดีว่าเขาควรจับมือของอีกคนไว้ แต่เขาก็คือคนที่ตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์นี้ ซองจูที่อยากใช้เวลากับเซจองไปตราบนานเท่านาน ทำได้เพียงยอมแพ้ให้กับสถานการณ์ผิดปกติที่โอบล้อมเข้ามา สิ่งนั้น สิ่งที่ซองจูเกลียดอย่างที่สุด ‘สถานการณ์ผิดปกติ’ นั่น
ซองจูเสแสร้งใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปมาตั้งแต่เด็ก การใช้ชีวิตแบบนั้นช่วยทำให้จิตใจที่แปรปรวนของซองจูสงบนิ่ง ต้องยอมรับว่าสิ่งนั้นทำให้เขาโดดเด่นเหนือกว่าคนอื่น หากเพียงบอกความจริงเรื่องความลับดำมืดน่าตื่นตกใจที่ซ่อนเอาไว้ออกไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็จะสามารถมั่นคงยิ่งขึ้นได้
แต่ทว่าความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดแบบนั้นก็ไม่ได้ยาวนาน ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็เลิกรากันไปอย่างที่คาดคิดไว้ โดยที่ยังไม่ทันได้แสดงออกมาว่าเสียใจ คนที่รู้ความจริงข้อนั้นดีก็คือซองจู คือตัวเขาเอง
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เลิกอาวรณ์ถึงเซจองได้ คนที่โง่กว่าใครคือเขาเอง ซองจูหัวเราะเย้ยหยันตัวเองออกมา เสียงหัวเราะเย้ยหยันที่เต็มไปด้วยความเสียใจมันก็เหมาะกับเขาดี
“มีความสุขไหม”
เขาถามออกไปเช่นนั้น
การถามคนอื่นว่ามีความสุขหรือไม่ ในงานแต่งงานของน้องชายตัวเองแบบนี้ ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกพิกล ณ มุมหนึ่งของสถานที่ซึ่งมีความสุขและความยินดีของทั้งโลกลอยอบอวลอยู่ทั่ว กลับเหมือนกำลังเกิดสงครามความขัดแย้งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ขึ้น มันช่างยากจะอธิบาย แม้ในตอนนี้จะไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางรำคาญใจออกมา เพราะว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือมุนเซจอง ซองจูตระหนักขึ้นมาอีกครั้งว่า ตัวเขายังไม่ได้ปลดปล่อยอีกคนออกไปจากใจเลย
“อือ เป็นครั้งแรกเลยแหละที่มีความสุขแบบนี้”
เพราะได้เห็นใบหน้าของเซจองที่พูดว่ามีความสุขออกมาโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มันทำให้เขาทรมาน
ความสุขและชีวิตเรียบง่ายที่เขาไม่เคยให้อีกคนได้ มันเป็นสิ่งที่เซจองปรารถนาอย่างแท้จริง เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดี ที่เขาทำมันไม่ได้เพราะสิ่งที่อีกคนต้องการ ทั้งหมดมันตรงข้ามกับจุดยืนของฮันซองจู ซองจูรู้ตัวดี ว่าเขาไม่มีความคิดที่จะทำในสิ่งที่ขัดกับนิสัยของตัวเอง
“ดีนี่ แค่มีความสุขกับสิ่งที่ฉันทำให้ไม่ได้ก็พอแล้ว”
เพราะฉันไม่สามารถพานายกลับมาได้อีกแล้ว
ซองจูย้ำคำนั้นอีกครั้งในใจพร้อมยิ้มออกมา
[ประกาศค่ะ อีกสักครู่จะเริ่มพิธีสมรสระหว่างเจ้าบ่าวฮันซองฮีและเจ้าสาวคิมฮเยจองแล้ว ขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน มารวมตัวกันที่สถานที่จัดงานด้วยค่ะ]
ติ๊งต่อง
ในขณะที่เขายังคงสบตากับอีกคนที่เต็มไปด้วยความสุขและความรัก เสียงเปิดขวดแชมเปญที่ดังขึ้นก็เป็นสัญญาณให้พวกเขาทั้งสามได้รู้ว่าพิธีเริ่มขึ้นแล้ว ซองจูรีบพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาที่สวมอยู่ทันที
“ตอนนี้ฉันคงต้องขอตัวก่อน ไม่อยากได้ยินเสียงบ่นจากเจ้าฮันซองฮี”
“ถ้าซองฮีว่าอะไรก็อ้างชื่อผมไปก็ได้ ถึงยังไงก็ไม่ได้โกหกอยู่แล้ว”
“ไม่ละ พูดชื่อนายไปคงได้เปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งแทน รีบเข้าไปละ”
“อือ ดีใจที่ได้เจอกันนะครับ”
“รู้แล้ว ไปนะ”
ทั้งสองเอ่ยลากันอย่างธรรมดา แต่ทว่าซองจูสังหรณ์ใจว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้เจอเซจองโดยบังเอิญแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ถึงเซจองจะตั้งใจมาเจอ เขาคงต้องขอปฏิเสธ
เขาลองพินิจพิเคราะห์ใบหน้าอ่อนโยนและสดใสของเซจองเมื่อครู่
แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา
หากอีกคนตะโกนด่าทอ เรียกร้องให้เขารับผิดชอบที่ทอดทิ้งตนไป มันยังจะทำให้เขาโล่งใจมากกว่า แม้ในเวลาที่เขาโด่งดังอย่างที่สุด ก็ไม่ได้มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น
มุนเซจองไม่ได้สนใจฮันซองจูแม้แต่น้อย
ทักทายเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ในช่วงที่เขาเอ่ยปากถามและพยายามค้นหัวใจดวงนั้น มุนเซจองก็เอาแต่สนใจคิมจีฮุนเท่านั้น
สิ่งที่เซจองสงสัยไม่ใช่เรื่องของฮันซองจู แต่เซจองเพียงแค่ต้องการจะยืนยันว่าตัวเองนั้นมีความสุขอีกครั้งผ่านสถานการณ์ปัจจุบันของเขา แม้จะรู้ดีว่าคนที่ทำให้เซจองเป็นแบบนั้นก็คือเขาเอง แต่ซองจูก็ยังเจ็บปวดกับท่าทางอย่างนั้นของอดีตคนรัก
ซองจูถูกลบเลือนไปตลอดกาลแล้ว เขาตระหนักได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้รับโอกาสอีกต่อไป
ถึงจะเจ็บปวด แต่มันก็คือความจริง
ซองจูเฝ้ามองแผ่นหลังของเซจองที่ค่อยๆ ไกลออกไป ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความขมขื่น
“เวร ฉันก็ต้องรีบเข้าไปแล้วนี่ ไม่งั้นไอ้ซองฮีคงได้คลุ้มคลั่งแน่”
บ่นพึมพำเบาๆ จบ ซองจูที่กำลังจะตรงไปทางห้องจัดเลี้ยงกลับต้องชะงักฝีเท้าแล้วหยุดยืนนิ่ง
แม่งเอ๊ย
ที่นั่น ไกลออกไปด้านนั้น มุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง แขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งกำลังจ้องเขม็งมาทางเขา
‘ไอ้บ้านั่นรู้จักฮันซองฮีด้วยงั้นเหรอ?’
เขาได้แต่พึมพำไปมาในหัวอย่างไม่กล้าพูดออกมา
ตอนแรกที่เรียกอีกคนว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน เขาก็ยังไม่เชื่อสักเท่าไร แต่คงเพราะเขามันทึ่มเกินไป ถึงได้มองข้ามเรื่องที่อีกคนอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิงในวงของฮันซองฮี ‘คราฟท์’ วงอินดี้ที่กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกอยู่ตอนนี้ นึกได้ดังนั้นซองจูก็ทะลึ่งตัวตรงขึ้นทันที เหงื่อกาฬเปียกชุ่มไปทั่วแผ่นหลัง
เขาจ้องมองไปยังจองอู ทั้งตัวของอีกคนยังคงห่อหุ้มไปด้วยโทนสีดำเช่นเดิม แต่สูทชุดนี้กลับเข้ากับอีกคนจนทำให้ดูภูมิฐานกว่าที่คิด
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มราวกับถูกทาบทับเอาไว้ด้วยความมืดมน ภายใต้แสงไฟสีเหลืองนวลในห้องจัดเลี้ยง ดวงตาคู่นั้นกลับส่องประกายหมองหม่นออกมา ใจของซองจูถึงกับร่วงหล่นลงไปที่ตาตุ่ม เมื่อรับรู้ได้ถึงมัน
* * *
‘เอาละครับ ขอถามคำถามกับว่าที่ซูเปอร์สตาร์ในอนาคตสักหน่อยนะครับ รู้สึกยังไงบ้างในการเข้าฉากครั้งแรกครับ’
‘รุ่นพี่ครับ อย่าพูดเล่นแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวเจ้าตัวคิดว่าเป็นเรื่องจริง แล้วจะถือตัวหยิ่งกว่าเดิมนะครับ’
‘เซจอง นายพูดอะไรของนายกัน แล้วก็ไม่ต้องรอถึงอนาคตหรอก ตอนนี้ฉันก็เป็นซูเปอร์สตาร์อยู่แล้ว’
‘คนแบบรุ่นพี่นี่ เขาเรียกว่าพวกหลงตัวเอง’
‘มุนเซจองโตขึ้นเยอะเลยนะ เมื่อก่อนยังเอาแต่โยเย แล้วก็เดินตามหลังฉันต้อยๆ อยู่เลยนี่’
‘ผมไปทำแบบนั้นตอนไหนกัน!’
เสียงหัวเราะดังกังวานไปทั่วห้องนั่งเล่นกว้าง ปิดซ่อนหัวใจที่หนักอึ้งเอาไว้ ซองจูจดจ้องไปยังจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่แขวนบนผนังห้องนั่งเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
บนจอภาพยังคงฉายภาพใบหน้าของฮันซองจูและเซจองที่กำลังพูดคุยพร้อมหัวเราะเสียงสดใส เสียงอ่อนเยาว์ของดงฮยอนที่ดังแทรกเข้ามาในบทสนทนา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเรื่องราวในวิดีโอนี้ผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว
‘เอาละ จบเรื่องไร้สาระไว้เท่านี้ก่อน ช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับผลงานครั้งนี้หน่อยได้ไหมครับ คุณพระเอก’
‘เฮ้อ อะไรอีกล่ะ ทำเรื่องบ้าบออีกแล้วนะ ไม่รู้จักอายกันบ้างรึไง’
‘ไอ้นี่ อย่านอกเรื่อง รีบทำตามที่สั่งเดี่ยวนี้เลย ฉันกำลังรวบรวมเบื้องหลังอยู่นะ’
‘เฮ้อ วุ่นวายชะมัด…เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องเล่นใหญ่กันขนาดนี้เลยเหรอ จริงๆ เลย ถามคำถามใหม่อีกรอบสิ’
‘ทำทั้งทีก็ต้องเอาให้มันใหญ่ๆ ไปเลยสิ เอาละ ช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับผลงานครั้งนี้หน่อยได้ไหมครับ คุณนักแสดงฮันซองจู’
‘อ้า อืม…นี่ถือเป็นโอกาสดีที่ได้รับมา ให้ตายพูดไม่ออกเลยแฮะ อะแฮ่ม สวัสดีครับ ผมฮันซองจูครับ ภาพยนตร์เรื่อง <ชูตติ้ง> เป็นผลงานเรื่องที่หกของชมรมภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยฮันกุกของพวกเราเองครับ…’
ใบหน้าในวัยเยาว์ของตัวเองที่กำลังเผยรอยยิ้มกว้างไม่ได้ดูแข็งกร้าวดังเช่นตอนนี้ ภาพที่ตัวเขากำลังพยายามอธิบายอย่างแข็งขัน ช่างให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย ซองจูเหม่อมองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย ตัวเขาที่เอาแต่พูดจ้อโดยมีเซจองอยู่ข้างๆ แบบนั้น
“ยังเด็กมากจริงๆ…”
แม้ใบหน้าของเขาตอนนี้จะดูเด็กกว่าอายุเกือบสิบปี แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแตกต่างไป การแต่งกายกับทรงผมเชยๆ นั่น และยังใบหน้าที่อวดยิ้มเปิดเผยของตัวเอง มันช่างดูแปลกพิกล เขาเคยดูสดใสขนาดนั้นด้วยเหรอ ไม่ชินเอาเสียเลย ตัวเขาที่พูดคุยหยอกล้อกับเซจอง มันดูอบอวลไปด้วยความรักแสนบริสุทธิ์ แม้จะเจอกับมรสุมก็ยังคงมีประกายสดใสแบบนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีทางจะหาได้จากฮันซองจูในเวลานี้
“พอเห็นแบบนั้นแล้ว เรานี่เก่งจริงๆ คนรอบข้างดูไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย ถูกหลอกกันหมด”
ซองจูพึมพำออกมา พร้อมเอนตัวพิงโซฟา
* * *
ตอนที่ 2-4
ตอนที่ 2-4 แผลฉกรรจ์
ทันทีที่งานแต่งงานจบลงเขาก็ตรงดิ่งมาที่ห้องตัวเองทันที
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ไปรวมตัวกันที่บ้านพ่อแม่เจ้าสาว แล้วจึงได้กลับมาที่นี่ ใบหน้าของพ่อแม่ที่ส่งยิ้มให้แขกเหรื่อตลอดงานแต่งงานมีแววเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว ซองจูปลอบใจพ่อแม่อยู่หลายครั้ง แต่ตัวเขาเองก็แอบซ่อนความรู้สึกโหวงเหวงเอาไว้เช่นกัน
ทำไมมันถึงรู้สึกโหวงเหวงแบบนี้นะ
เขากลับออกมาจากบ้านของผู้มีสายเลือดเดียวกัน ในสถานที่ซึ่งครอบครัวพร้อมหน้า แต่กลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาด แล้วยังการบอกลากับอดีตคนรักนั่นอีก มันเหมือนว่าตัวเขาไม่ได้เป็นอะไรสำหรับคนพวกนั้นเลย ชั่วครู่ที่รู้สึกสิ้นหวังต่อความจริงนั้น ทำเอาซองจูรู้สึกอยากจะสำรอกมันออกมา แล้วเขาจึงเริ่มขับรถออกไปอีกครั้ง
ร่างกายที่ราวกับจมลึกสู่ใต้ดิน เขาก้าวเข้ามาภายในห้องด้วยความรู้สึกอ้างว้างจับใจ ปิดประตูอย่างแรงและทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาภายใน ซองจูก็รับรู้ถึงความว่างเปล่า
เพียงไม่กี่เดือน เขากลับเคยชินกับการมีตัวตนของแขกไม่ได้รับเชิญเสียอย่างนั้น ซองจูหัวเราะให้กับสิ่งที่คาดไม่ถึงนี้ แล้วจึงก้าวเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
หลังจากชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าด้วยน้ำอุ่น และจัดการเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ซองจูก็ตรงไปคว้าขวดแมคคัลแลน คราก สเตรง มาจากโฮมบาร์ที่อยู่ในห้องชุดทันที แล้วจึงย้ายตัวเองไปยังห้องนั่งเล่น วางขวดเหล้าลงบนโต๊ะอย่างไม่เบามือนัก ก่อนจะเดินเซไปข้างโทรทัศน์ ตรงนั้นมีเครื่องเล่นบลูเรย์และบรรดาแผ่นภาพยนตร์ดีวีดีที่เขาสะสมเอาไว้วางอยู่
ด้วยอาชีพนักแสดง เขาจึงสร้างห้องโฮมเธียเตอร์ไว้ในห้องอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีอารมณ์จะมานั่งดูภาพยนตร์อะไรแบบนั้น อย่างไรเสีย ก็ไม่ได้มีใจอยากดูภาพยนตร์อยู่แล้ว เขาเพียงต้องการลบความรู้สึกสับสนและไม่อาจเข้าใจได้พวกนี้ออกไปเท่านั้น ซองจูคุ้ยหาไปได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็เจอกล่องซีดีใสที่ไม่มีชื่อเรื่องกำกับอยู่
“นี่มัน…”
ทันทีที่ค้นพบสิ่งนั้น เขารู้สึกราวกับถูกตีเข้าที่ท้ายทอยอย่างจัง หากจำไม่ผิด นี่คงเป็นแผ่นซีดีที่บันทึกเรื่องราวส่วนหนึ่งสมัยมหาวิทยาลัย ช่วงที่พวกเขาและดงฮยอนถ่ายทำภาพยนตร์สั้นด้วยกัน ซองจูใส่แผ่นซีดีเข้าไปในเครื่องเล่นบลูเรย์ แล้วกดปุ่มเพลย์ทันที ภาพที่ฉายอยู่บนจอในตอนนี้ก็คือ
‘เอาล่ะ คุณจะพูดถึงเรื่องการแสดงของนักแสดงฮันซองจูให้เราฟังกันใช่ไหมครับ คุณมุนเซจอง?’
‘ผมยังไม่เคยได้เห็นแบบเต็มๆ เลย แล้วจะให้เอาอะไรมาพูดกันล่ะครับ’
‘โธ่ แบบนี้อีกแล้ว ดูก็รู้ คงจะเขินสินะครับ’
‘ก็มันจริงนี่ครับ รุ่นพี่ครับ ผมแค่ผ่านมานั่งเล่นฆ่าเวลาที่ห้องชมรมนี่แค่ไม่กี่ครั้งเองนะครับ’
ไม่รู้เมื่อไหร่ ที่บนหน้าจอเต็มไปด้วยภาพของเซจองที่กำลังถูกดงฮยอนเย้าแหย่แบบนั้น ซองจูคว้าขวดเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะรินเหล้าลงในแก้ว นี่ก็แก้วที่สามแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะดื่มไปมากเท่าไหร่ มันก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลยสักนิด
เขาแกว่งแก้วที่บรรจุของเหลวสีอำพันเอาไว้ไปมา กลิ่นเข้มข้นของวิสกี้ลอยฟุ้งมากระทบประสาทส่วนรับกลิ่น เขายกแก้วขึ้นทาบแตะที่ริมฝีปากอย่างช้าๆ และในตอนนั้นเอง เสียงปลดล็อกดังแกร๊กจากประตูหน้าก็ทำเอาเขาหันไปมองยังทิศทางนั้นโดยไม่รู้ตัว
“อ้า…”
ที่สุดทางเดินซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนประตูหน้านั้น จองอูกำลังจ้องมองมายังซองจู
“กลับมาเร็วกว่าที่คิดนะ”
จองอูเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาภายในห้องอย่างช้าๆ เขาอยู่ในชุดสูทเนี้ยบดูเรียบร้อย ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติไร้การเสริมแต่ง สดชื่นจัง
จองอูกำลังเดินผ่านไปยังห้องของตัวเองด้วยท่าทางระมัดระวัง แต่กลับถูกน้ำเสียงแผ่วเบาของซองจูรั้งตัวเอาไว้
“อยากดื่มสักแก้วไหม”
จองอูหันกลับมาทันทีด้วยท่าทางราวกับว่าตนนั้นคงหูฝาดไป ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมีแววของความไม่แน่ใจสะท้อนออกมา
“ถ้าไม่อยากดื่มก็แล้วแต่”
ซองจูที่ได้เห็นแววตาเช่นนั้น ถึงกับส่งเสียงคิกคักแผ่วเบาออกมา จองอูที่กำลังทอดสายตามองมาที่เขา เพียงพยักหน้าเล็กน้อย โดยไม่ได้แสดงสีหน้าผิดแปลกอะไรออกมาเลย
“ก็เอาสิ”
ทันทีที่เอ่ยปากออกมา อีกคนก็นั่งลงที่ด้านข้างซองจู แรงยุบฮวบและการขยับตัวของอีกฝ่ายทำให้ไออุ่นของเจ้าตัวส่งผ่านออกมา ไม่รู้ทำไมซองจูถึงได้รู้สึกดีกับไออุ่นนั้น ซองจูค่อยๆ ลุกจากที่นั่ง
“เดี๋ยวเอาแก้วมาให้”
เขาเดินไปที่ครัวราวกลับต้องการหลีกหนีจองอูเสียอย่างนั้น ขณะที่เดินออกมา เขายังรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมายังตัวเองตลอดเวลา เป็นเขาที่เอ่ยชวนอีกฝ่ายออกไปก่อน จะแกล้งทำเป็นเนียนหนีไปเสียคงจะไม่ได้แน่ ได้แต่คว้าแก้ววิสกี้ออกมา แล้วกลับไปยังห้องนั่งเล่น ในเวลานั้นบนจอภาพยังคงปรากฎภาพที่เขาและเซจองถกเถียงกัน ด้วยท่าทางที่ดูก็รู้ว่าคงไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น
‘โธ่ พอได้แล้ว หันกล้องกลับไปเลยนะ!’
‘ไม่ได้ถ่ายทำจริงสักหน่อย… ก็แค่ถ่ายเบื้องหลังเอง ทำไมนายต้องเรื่องคิดมากด้วย’
‘เบื้องหลังมันก็คือการถ่ายทำไม่ใช่รึไง เป็นดาราหรือไงถึงทำงั้นน่ะ’
‘ว้าว พูดไม่มีหางเสียงแล้วด้วย กับรุ่นพี่เลยนะ’
‘เป็นรุ่นพี่ก็หัดทำตัวให้มันเหมือนรุ่นพี่ซะบ้าง! ทำอะไรตามใจชอบอยู่เรื่อย…’
ภาพตัวเขาคงหยอกล้อกับเซจองที่กัดฟันกรอด แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าอีกคนดูสดใส ซองจูเบิกตาขึ้นเล็กน้อย
ซองจูคาดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า ความสัมพันธ์ของเขากับเซจองไม่มีทางยืนยาว แม้เขาจะชอบอีกคนมากขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรเซจองก็เป็นผู้ชาย ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่มีทางราบรื่น มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปิดเผยออกไปได้ ยิ่งซองจูได้เป็นนักแสดงดั่งที่ตั้งความหวังไว้ ช่วงเวลานั้นการพบเจอกับเซจองกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจอย่างที่สุด
เราคบหากันตอนอายุยี่สิบห้าและเลิกรากันตอนอายุยี่สิบแปด ช่วงที่สดใสที่สุดในชีวิต ระยะเวลาสามปีที่ได้คบหากันนั้น เขาทั้งคู่ไม่ได้เชื่อใจในกันและกัน และไม่ได้เปิดเผยทุกสิ่งต่อกัน
ท้ายที่สุดพวกเราก็คบหากันต่อไปไม่ได้ การเลิกรากันไประหว่างคนทั้งคู่นั้น มันไม่ได้มีอะไรสวยงามเลย และคนที่ทำให้เรื่องราวทุกอย่างกลับกลายเป็นเช่นนั้นก็คือตัวซองจูเอง
“เวรเอ๊ย…”
คำสบถเล็ดลอดออกมาพร้อมกับการกระแทกแก้วเหล้าลงบนโต๊ะ ทั้งที่ควรตกใจกับการกระทำที่ก้าวร้าวนั่น แต่จองอูกลับยังนิ่งเฉย อีกคนทำราวกับไม่ได้ใส่ใจซองจูมากนัก เพียงยื่นมือออกไปรับแก้วเหล้ามา ดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วเบนสายตาไปยังจอโทรทัศน์เบื้องหน้าเท่านั้น
“คนนั้นน่ะ คือคนที่คุยด้วยเมื่อกี้ใช่ไหม”
จองอูที่มองภาพซองจูกับเซจองถกเถียงกันไปมาตั้งแต่เมื่อครู่ เอ่ยปากขึ้น หากเป็นเวลาปกติ เมื่ออีกคนเอ่ยถามอย่างสงสัยว่านี่มันคืออะไร ซองจูคงหาเรื่องกวนอารมณ์อีกคนกลับไปแล้ว หากเขากลับไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
“…ดูจะชอบมากเลยสินะ”
เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น ไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหวใดๆ เพียงแค่จ้องเขม็งไปที่จอโทรทัศน์ด้วยแววตาที่ราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ จองอูที่เห็นอีกฝ่ายกัดปากราวกับไม่ต้องการตอบสิ่งใด เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“ขอโทษ ฉันคงล้ำเส้นมากไป”
“…รู้ก็ดีแล้วนี่”
ในที่สุดซองจูก็เอ่ยปาก
เขาเอื้อมไปคว้าแก้วเหล้าที่วางบนโต๊ะมาถือไว้
ยกขึ้นดื่มรวดเดียว ภายในร้อนขึ้นราวกับถูกเผาผลาญด้วยรสเหล้าดีกรีแรงที่ไหลผ่านเข้าไป เขาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา พิงศรีษะไปบนนั้น ร่างกายที่เย็นเยียบสั่นสะท้าน สายตาเริ่มพร่ามัว ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ซึ่งค่อยๆ หยาดหยดลงมา บนจอภาพยังคงฉายภาพร่องรอยของวันคืนเหล่านั้นออกมา เขาจ้องไปบนจอภาพนั่นอีกครั้งแล้วก็ได้เห็นใบหน้าของเซจอง
ดวงตาที่เป็นประกายสีเขียวอ่อนนั่นช่างดูห่างไกลเหลือเกิน
ตอนนี้เขาได้ลิ้มรสของความเสียใจแล้ว แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกก็ตาม ซองจูกัดฟันกรอด หมดหวัง เขาหลับตาลงชั่วขณะ เมื่อไม่อาจปรับสายตาที่เลือนรางให้กลับเป็นปกติได้ น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นดึงซองจูให้กลับมาอีกครั้ง
“ถ้านายไม่ถือสาอะไรที่เป็นฉันละก็ ลองระบายมันออกมาบ้างดีไหมล่ะ น่าจะทำให้นายสบายใจกว่าที่ทำอยู่”
คำพูดที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินมัน ทำเอาซองจูต้องกะพริบตาถี่ ๆ
“สงสารฉันอยู่งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“งั้นคืออะไรล่ะ”
“เก็บเอาไว้ในใจแบบนั้น อาจจะป่วยเป็นโรคตรอมใจ…เหมือนแม่”
“อะไรกัน เรื่องแบบนั้น”
คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ซองจูถึงกับหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาเข้าใจว่าอีกคนเป็นพวกเถรตรงและไม่แยแสต่อสิ่งใด แต่ไม่คิดว่าจะมีด้านแบบนี้กับเขาด้วย
“นายน่ะ ชื่อว่าอะไรนะ”
“…คิมจองอู”
“งั้นเหรอ”
ซองจูตอบรับกลับไปเหมือนไม่มีเรื่องอะไร แล้วจึงผงกศรีษะที่พิงโซฟาเอาไว้เมื่อครู่กลับขึ้นมา
“นายมีความสัมพันธ์ยังไงกับฮันซองฮีงั้นเหรอ? รู้จักกันมานานแล้วเหรอ?”
“หา?”
“ก็ไอ้คนที่มันแต่งงานวันนี้ไง”
เมื่อครู่ยังทำราวกับจะเป็นจะตาย แต่จู่ๆ กลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแทนเสียอย่างนั้น กระทั่งดวงตาคู่นั้น ก็กลับสดใสขึ้นมาด้วย จองอูเหม่อมองอีกฝ่ายที่แปรปรวนไปมาแล้วถึงกับเกาศรีษะแกรกๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“นายรู้ตัวไหมว่าเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยน่ะ เมื่อกี้ยังทำท่าจะเป็นจะตาย จู่ๆ ทำไมมาถามถึงเรื่องของพี่ซองฮีซะอย่างนั้นล่ะ”
“พี่? นายเด็กกว่าฮันซองฮีอีกเหรอ? นายบอกว่าอายุเท่าไหร่กันนะ?”
“สามสิบสอง ทั้งชื่อ ทั้งอายุ ฉันว่าฉันตอบไปตั้งแต่วันแรกแล้วนะ นี่นายเป็นพวกที่ไม่ใส่ใจอะไรใครเลยอย่างนั้นสินะ”
ซองจูไม่ได้ใส่ใจสักนิด ถึงแม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเคยแนะนำตัวไปตั้งแต่วันแรก ตอนนี้ยังจะมาถามคำถามพวกนั้นซ้ำอีกเหรอ
“แล้วทำไมฉันต้องให้ความสนใจกับนายด้วยล่ะ แขกไม่ได้รับเชิญที่แอบเข้ามาในห้องฉันเนี่ย รู้สึกว่าต้องการนู่นนี่เยอะจังนะ”
จองอูถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เหมือนตอนนี้ซองจูจะกลับไปเป็นคนเดิมแล้ว
“คิดไม่ถึงว่านายก็เป็นคนตลกกับเขาด้วย”
“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระ ตอบคำถามมาสักที สนิทกับฮันซองฮีเหรอ”
“ก็นะ ตามประสาคนที่ทำงานด้วยกันอยู่หลายปี แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายเป็นคนในครอบครัวพี่ซองฮีด้วย ไม่เห็นจะเหมือนกันเลยสักนิด”
“ก็เพราะฉันเหมือนแม่ ส่วนไอ้นั่นเหมือนพ่อไงละ”
นิสัยก็ต่างกันโดยสิ้นเชิงด้วย เขาบ่นพึมพำออกมาราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก จองอูที่จ้องมองซองจูซึ่งกำลังเทเหล้าลงในแก้วอยู่นั้น ก็ได้ยื่นแก้วในมือตัวเองออกมา
“ขออีกแก้ว”
ตอนที่ 2-5
ตอนที่ 2-5 แผลฉกรรจ์
ซองจูจ้องมือที่ยื่นออกมาพลางหัวเราะคิกคัก ช่างเถรตรงเสียเหลือเกินนะ เจ้านี่คงรู้จักแต่การพูดทื่อๆ ราวกับขอนไม้เท่านั้นสินะ
“หน้าด้านจังเลยนะ รู้มั้ยว่าเหล้านี่ราคาตั้งเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้เลิกผลิตไปแล้วด้วย หาไม่ได้ง่ายๆ เลยนะ เพราะงั้นระหว่างที่ดื่มมันไปก็รู้สึกขอบคุณฉันเสียด้วยละ”
พูดออกมาพร้อมกับแสดงท่าทางโอ้อวดเสียใหญ่โต ทำราวกับเขาเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว จองอูได้แต่แอบขำให้กับท่าทางแบบนั้นของซองจู
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยโต้เถียงเรื่องใดกันต่ออีก จนกระทั่งเวลาเดินมาจนถึงช่วงหัวค่ำ
ร่างกายที่อ่อนล้าอยู่แล้ว แถมยังถูกกรอกเหล้าดีกรีแรงเข้าไปอีก ร่างกายที่ไหนจะทนรับไหว หากกลับเป็นเรื่องประหลาด ที่ทั้งซองจูซึ่งหมดแรงไปกับการต้อนรับแขกเหรื่อ หรือแม้แต่จองอูซึ่งเป็นมนุษย์ผู้นอนในเวลากลางวัน กลับทนอยู่มาจนถึงเวลานี้ได้ ทั้งคู่ยังคงดื่มเหล้าด้วยกันบนโซฟาตัวเดิมโดยที่ไม่รู้สึกตัวถึงความแปลกประหลาดนี้เลย
จองอูที่ศีรษะโงนเงนจนแทบจะตั้งตรงไม่ได้ บนไหล่ของเขามีซองจูที่คอพับไปแล้วซบพิงอยู่ มันคงไม่แปลกอะไรหากจองอูจะไม่ได้เอาแขนข้างหนึ่งของซองจูมาพาดเอาไว้ที่เอวตัวเอง ด้วยกลัวว่าอีกคนจะไหลตกลงไปข้างล่าง ใบหน้าขาวซีดของซองจูนั้นดูราวกับดวงจันทร์ท่ามกลางความมืดมิด และความมืดมิดที่ว่าซึ่งกำลังโอบล้อมซองจูเอาไว้ก็คือตัวของจองอูนั่นเอง
แสงของดวงจันทร์จะมีค่าก็ในยามที่ถูกโอบล้อมด้วยความมืดมิด
ความมืดมิดภายนอกค่อยๆ คืบคลานเข้ามาโอบล้อมร่างของคนทั้งสอง ซึ่งยังคงไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งใด
* * *
“นี่ ฉันขอด้วยแก้วนึง”
ไม่รู้ทำไมถึงได้อยากลืมตาตื่นมาแต่เช้าทั้งที่ยังง่วงอยู่แบบนี้ จองอูที่กำลังเดินไปทางห้องครัวเพื่อเติมคาเฟอีนให้ไปกระตุ้นดวงตาที่ไม่ยอมลืมขึ้น แต่กลับถูกซองจูเรียกเอาไว้ เขาหันกลับไปด้วยคิดว่าตัวเองคงจะหูฝาด แต่กลับเห็นใบหน้าของซองจูปรากฏสู่สายตา โดยที่อีกฝ่ายกำลังเอนตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น จองอูเพียงพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถามซองจู
“อเมริกาโน่?”
“อือ แบบเย็น”
“รู้แล้ว เดี๋ยวเอามาให้”
คำตอบที่สวนกลับมาในเวลาเดียวกันกับที่จองอูชะงักฝีเท้า
หากเป็นปกติ คงต้องค่อยๆ บดเมล็ดกาแฟ แล้วจึงนำไปดริปด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะ หากตอนนี้เขาต้องทำให้คนใจร้อนเช่นซองจู จะให้มาพิถีพิถันแบบนั้น อีกคนคงได้ร้อนรนจนไฟลุกขึ้นมาเสียก่อน จองอูเดินไปยังโฮมบาร์ที่อยู่ระหว่างห้องครัวและห้องนั่งเล่น แล้วพาตัวไปยังส่วนที่มีเครื่องชงกาแฟตั้งอยู่
“เอาแบบที่ดื่มทุกวันใช่ไหม”
“ไม่เอาอันนั้น เอาแบบที่นายดื่มทุกวันน่ะ”
“อะไรนะ?”
“ก็ที่นายเอามาบดๆ ชงๆ แบบทุกวันน่ะ แบบนั้นแหละ”
“…มันนานนะ”
“ไม่เป็นไร”
ไม่รู้ว่าคนใจร้อนแบบนั้นเกิดนึกครึ้มอะไรขึ้นมาถึงได้อยากดื่มกาแฟดริป แต่ว่าตัวเขาเองก็ชอบดื่มกาแฟดริปมากกว่ากาแฟที่ชงจากเครื่องชงเสียด้วยสิ เขาจึงเลือกที่จะตามใจซองจู จองอูเปิดช่องแช่แข็งตู้เย็นหยิบเอาเม็ดกาแฟออกมาแล้วใส่ลงในเครื่องบดเมล็ดกาแฟ
“ว่าแต่นายซื้อของที่ต้องลำบากลำบนแบบนั้นมาทำไม?”
ซองจูที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เฝ้ามองดูอีกฝ่ายอยู่พักนึงจึงได้เอ่ยถามจองอูออกมา เจ้ายักษ์สีดำนั่น ดูไม่ได้เข้ากับการทำงานประณีตอะไรแบบนี้เลยสักนิด และเหมือนว่าตอนนี้คนทั้งคู่จะสนิทใจกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
“อะไรล่ะ”
“ฉันเคยเห็นในหนังนะ มันมีแบบที่คล้ายเครื่องปั่น ที่ใส่เข้าไปแล้วก็จะบดให้เลยน่ะ แล้วทำไมนายถึงมานั่งบดด้วยมือแบบนั้นล่ะ ไม่ปวดแขนรึไง”
“ก็แค่เคยชินกับแบบนี้น่ะ”
“คงไม่ใช่เพราะไม่มีเงินซื้ออะไรแบบนั้นหรอกนะ ฉันซื้อให้เอาไหม”
“มันไม่ใช่เพราะไม่มีเงินซื้อเครื่องบดอัตโนมัติแบบนั้นซะหน่อย”
อุตส่าห์แสดงความใจดีอย่างที่สุด แต่กลับไม่รู้จักขอบคุณกันเลยสักนิด ซองจูได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ จองอูเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ถึงกับหัวเราะออกมา
“เจ้านี่ นายหัวเราะเยาะฉันเหรอ”
“ก็แล้วแต่จะคิด”
แม้อยากจะเถียงต่อ แต่เพราะจองอูไม่ได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย ซองจูจึงทำได้เพียงทำเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในลำคอ แล้วจึงหันมาจดจ้องจองอูที่นำเมล็ดกาแฟที่บดเสร็จเรียบร้อยมาดริป
หลังจากงานแต่งงานของซองฮี ซองจูรู้สึกสบายใจกับการอยู่กับจองอูมากขึ้น จองอูที่แม้จะรับรู้เกี่ยวกับตัวตนที่ติดลบของเขาแต่กลับไม่ได้ใส่ใจอะไร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ และอีกฝ่ายเองก็เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง แต่ซองจูก็คิดว่านั่นไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถึงขั้นสนิทสนม แล้วเกิดเป็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนกันหรอกนะ ก็แค่พูดคุยกันได้อย่างสนิทใจในระดับหนึ่ง ทานข้าวด้วยกันบ้างบางครั้ง หรือแบ่งปันนั่นนี่อย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ แต่ว่าการได้แสดงท่าทีสนิทสนมกับใครแบบนี้สำหรับเขามันก็นานมากแล้ว สำหรับซองจู ความสัมพันธ์กับจองอูนั้นนับเป็นเรื่องแปลกใหม่
คิมจองอูนั้นประสบกับเรื่องราวแบบไหนมา หรือถูกขัดเกลามาอย่างไรนั้น เขาไม่อาจรู้ แต่อย่างไรเสียอีกคนก็นับได้ว่าเป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถยกโทษให้กับเรื่องที่อีกคนตีสนิทกับมินซิกได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็นะเขาก็พอจะเข้าใจพฤติกรรมของอีกคนอยู่บ้าง
ถึงจะเป็นพวกไม่ค่อยพูดและชอบพูดจากตรงไปตรงมา แต่ว่าอีกคนกลับเป็นคนที่เอาใจใส่ต่อคนรอบข้างในระดับหนึ่ง แม้อาชีพของอีกฝ่ายจะเกี่ยวข้องกับดนตรี จึงมักจะทำงานโต้รุ่งอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะทำเสียงดังรบกวน และทำให้ซองจูตื่นขึ้นมากลางดึก เมื่อหวนคิดไปถึงสมัยเรียน เขามักจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมานจากมลภาวะทางเสียงที่เกิดจากการดีดกีต้าร์ของซองฮี ตอนนั้นมันเป็นปัญหาระดับชาติเลยทีเดียว แล้วเวลาที่มินซิกไม่ว่าง จองอูก็จะเป็นคนจัดการเรื่องอาหารการกินให้แทน เพียงเวลาไม่นานจองอูก็ค่อยๆ เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของซองจูมากยิ่งขึ้น
“อ๊ะ ได้แล้ว ถ้าอยากเติมน้ำแข็งเพิ่มก็ไปเอาในช่องแช่แข็งเองนะ”
ในขณะที่ซองจูกำลังจมอยู่กับความคิดตัวเอง กาแฟก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
อีกคนเดินเข้ามายังห้องนั่งเล่นเงียบๆ ก่อนจะวางแก้วใสขนาดพอเหมาะลงบนโต๊ะดัง ตึ่ก ซองจูมองไปยังแก้วใสที่ภายในนั้นมีก้อนน้ำแข็งลอยอยู่ท่ามกลางมวลน้ำกาแฟสีเข้ม ดูราวกับสัตว์น้ำที่กำลังแหวกว่ายอย่างช้าๆ อยู่ในนั้น ก่อนเจ้าตัวจะเปิดปากพูดออกมา
“ของนายล่ะ?”
“ก็กำลังจะทำนี่ไง”
พูดจบจองอูก็เดินกลับไปทางห้องครัว จองอูที่ทั้งตัวยังคงสวมเสื้อผ้าสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นเคย ยามที่ร่างสูงใหญ่และแข็งแรงนั่นเคลื่อนไหวมันดูราวกับเป็นภาพเงา
“แล้วทำไมไม่ทำพร้อมกันเลยล่ะ?”
“ฉันกับนายใช้เมล็ดกาแฟไม่เหมือนกันไง”
“แล้วจะทำให้มันยุ่งยากแบบนั้นเพื่อ?”
“ก็เมล็ดกาแฟแบบที่ฉันชอบ นายไม่ชอบ”
จองอูตอบแบบนั้นพร้อมกับหยิบของบางอย่างออกมาจากช่องแช่แข็ง
เจ้าตัวเทเมล็ดกาแฟลงไปในเครื่องบดกาแฟ ก่อนเสียงดัง ตึ่ก จากการปิดลิ้นชักจะดังขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงปรากฎบนท่อนแขนซึ่งกำลังค่อยๆ ขยับด้วยความเร็วคงที่ เสียงเมล็ดกาแฟที่ถูกบดดังออกมาให้ได้ยิน ซองจูที่ได้ยินเสียงซึ่งฟังแล้วชวนให้ใจสงบค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ดื่มด่ำกับการจิบกาแฟที่จองอูชงให้
ในตอนนั้นเอง เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมของดอกไม้และกลิ่นเลม่อนลอยมาเตะจมูก
“นายใส่อะไรลงในกาแฟเหรอ”
“เปล่า ไม่ได้ใส่ ทำไมเหรอ”
“มันมีกลิ่นดอกไม้อะไรสักอย่างออกมาด้วย แล้วก็กลิ่นเหมือนพวกผลไม้ด้วย”
“อ้อ เมล็ดกาแฟพันธุ์นั้นก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ชอบเหรอ ก็นึกว่าจะชอบซะอีก”
“ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก แต่เพราะไม่เคยดื่มแบบนี้ต่างหาก”
“ถ้าชอบก็ดีแล้ว”
จองอูเอาแต่พูดวนไปวนมาอยู่แค่นั้น
ช่างเป็นคนที่น่าเบื่อเสียจริง ซองจูถอนหายใจ แล้วเสียงแปลกปลอมก็ดังขึ้น เป็นเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาที่วางอยู่สุดปลายโต๊ะ มันกำลังสั่นครืดคราดพร้อมกับแสงหน้าจอที่ส่องสว่างขึ้น ซองจูจ้องเขม็งพร้อมหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นให้กับตัวการของเสียงที่ดังขึ้นทำลายช่วงเวลาอันสงบสุขของเขา
บนหน้าจอที่ส่องสว่างปรากฏชื่อของดงฮยอน
“อะไรกัน มนุษย์นี่โทรมาทีไรไม่เคยจะมีเรื่องดีหรอก”
ซองจูพึมพำแผ่วเบา แล้วจึงเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์เจ้าปัญหามา
“ทำไม”
[นี่ ไอ้การตอบรับโทรศัพท์จากรุ่นพี่แบบนี้นี่มันอะไรกัน]
“ก็ไม่ได้อยากจะรับสักหน่อย”
[แล้วถ้าฉันโทรมาเรื่องงานนายจะว่าไง]
“ปกติก็ไม่เคยคุยเรื่องงานทางนี้อยู่แล้วนี่”
เสียงบ่นตอบงึมงำของซองจูทำเอาดงฮยอนถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา
[ฮ่าๆ ยังไหวพริบดีไม่เปลี่ยนเลยนะ เอ้อ วันนี้นายว่างใช่ไหม]
“ดูก่อน มีเรื่องอะไรล่ะ”
[ก็แค่มีเรื่องจะคุยด้วย ออกมาเจอกันหน่อยสิ]
“เรื่องงานเหรอ”
[ไม่ใช่หรอก ก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วว่าจะคิดว่ามันสำคัญหรือเปล่า]
“อะไรเนี่ย แล้วไง ต้องวันนี้เลยรึไง”
ซองจูถึงกับแสดงสีหน้าไม่พอใจกับการถูกเรียกตัวออกไปหากะทันหัน
ปกติแล้วดงฮยอนจะโทรมาล้อเล่นแบบนี้ จากนั้นก็จะปรับโหมดเป็นโหมดจริงจัง แล้วถึงจะนัดเวลากับสถานที่เพื่อคุยธุระกัน แต่ว่านี่จู่ๆ ก็มาเรียกให้ไปหาที่บริษัทแบบปัจจุบันทันด่วน ทำอย่างกับแอบมีแผนการอะไรอย่างนั้นแหละ และแล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นถมึงทึงขึ้นทันที
“ฉันยังไม่คิดที่จะรับงานอะไรหรอกนะ แต่นี่มีบทภาพยนตร์ลึกลับเข้ามารึไง”
เขายกกาแฟของจองอูขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ พิงตัวลงกับโซฟา รสสัมผัสของกลิ่นเลม่อนหอมสดชื่นกับกลิ่นของดอกไม้นั้น ดูจะเป็นที่พอใจเขากว่าที่คิดไว้เสียอีก
[ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้น มีอะไรจะให้น่ะ]
“ให้? ไม่ใช่ของแปลก ๆ ใช่ไหม?”
[ถ้ามันเป็นของแปลก ฉันจะเรียกให้นายออกมาดูรึไง ยังไงก็เถอะ แค่น่าสงสัยมากเท่านั้นแหละ]
ซองจูทำเสียงจิ๊ออกมาพร้อมเดาะลิ้นในทันที สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง
“เฮอะ จริงๆ เลย แค่ออกไปก็จบใช่ไหม! แล้วจะอยู่ที่บริษัทถึงเมื่อไหร่ล่ะ”
[จนกว่านายจะมา]
“นี่”
[รู้แล้วน่า ไอ้นี่ ที่จริงฉันเองก็ไม่ใช่คนรับของหรอกนะ แต่ก็ ถ้าเข้ามาสักประมาณหลังหน่งทุ่มก็คงจะพอดีกันมั้ง]
“หา? มั้งอะไร? นี่ล้อกันเล่นเหรอ? นี่มันเรื่องบ้าอะไร?”
เป็นเพราะดงฮยอนที่ทำเหมือนกำลังพูดเล่นไร้สาระ จึงทำให้สติของซองจูขาดผึงไปแล้วเรียบร้อย
มีใครบางคนส่งอะไรมาให้ แล้วยังว่าตัวเองไม่ใช่คนรับของนั่นอีก นี่มันพูดเรื่องบ้าอะไรวะ กระทั่งเวลาก็ยังไม่ได้กำหนดให้แน่ชัดอีก พูดเหมือนกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นดงฮยอนที่จัดการ แล้วก็นะ ไอ้ชินดงฮยอนเนี่ย ไม่ใช่คนประเภทที่จะยินดีกับเรื่องอะไรแบบนั้นด้วย ซองจูกลืนกาแฟลงคอไปอึกนึง ก่อนจะพูดจาข่มขู่ออกมา
“พูดมาซะดีๆ มีแผนอะไรอยู่กันแน่”
[ไม่ได้มีอะไรแบบนั้นหรอกน่า ไม่สิ จริงๆ ก็มีเรื่องสำคัญนิดหน่อย เหมือนถ้าไม่ใช่นายก็คงจะไม่ได้ เลิกบ่นแล้วมาเถอะน่า ฉันเองก็อึดอัดใจเหมือนกันนั่นแหละ]
ตอนที่ 2-6
ตอนที่ 2-6 แผลฉกรรจ์
ท้ายที่สุดดงฮยอนก็ไม่ยอมพูดออกมาว่าเรื่องอะไร ได้แต่บอกให้ซองจูมาหาเท่านั้น อยากจะทำเป็นไม่แยแส แต่พอบอกออกมาว่าถ้าไม่ใช่เขาก็คงจะไม่ได้นั้นมันทำให้ไม่สบายใจอย่างไรก็ไม่รู้ ซองจูขมวดคิ้วแล้วยกแก้วในมือขึ้นมาช้าๆ น้ำแข็งในแก้วชนแก้วเบาๆ จากนั้นเขาจึงเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“สองทุ่ม อย่าช้าละ”
[อะไรกัน มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันเสียหน่อย ตกลงมาแน่ใช่ไหม]
“ไปสิ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องไร้สาระละก็พี่ตายแน่”
[ไม่ใช่แน่นอน แล้วเจอกัน]
ดงฮยอนหัวเราะคิกคักออกมา ก่อนจะวางสายไป
ซองจูจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่หน้าจอดับลงแล้วด้วยสายตาที่ชวนให้ผวา ในเวลาเดียวกันนั้น จองอูที่จัดการทุกอย่างในครัวเรียบร้อยแล้ว ก็เดินถือแก้วกาแฟเข้ามาข้างๆ ซองจูอย่างเงียบๆ
“มีเรื่องอะไร ทำไมทำเสียงสูงซะขนาดนั้น”
“…เรื่องอะไรงั้นเหรอ รู้สึกจะสนใจเรื่องของฉันไปหมดเลยนะเนี่ย”
ซองจูเบนสายตาขึ้นเหม่อมองไปยังจองอูที่ยืนอยู่ ด้วยส่วนสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรนั่น ทำเอาเขาปวดคอขึ้นมานิดๆ แล้ว
“ทำไม?”
“นั่งลงสิ ปวดคอแล้วเนี่ย”
สีหน้าเขามันดูไม่ค่อยดีอย่างนั้นเหรอ ซองจูสั่งให้จองอูซึ่งเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ให้นั่งลง แล้วจึงยกกาแฟขึ้นมาดื่ม เพราะรสชาติที่ถูกอกถูกใจทำให้ใบหน้าที่บูดบึ้งก่อนหน้านี้มีรอยยิ้มออกมา
“อร่อยดีแฮะ นี่ไม่ได้ใส่อะไรลงไปจริงๆ เหรอ”
“นายควรจะหัดเชื่อคำพูดที่คนอื่นเขาพูดบ้างนะ”
“ไอ้นี่ พูดจาได้น่า…”
ถึงแม้จะไม่ชอบใจกับท่าทางที่ชอบพูดจาแข็งทื่อขัดเขาไปเสียทุกเรื่องของจองอู แต่ซองจูก็ยังหัวเราะให้กับท่าทางนั้น แม้จองอูจะไม่ได้เป็นคนประเภทใส่ใจกับการบ่นพึมพำของเขา แต่เขากลับเคยชินเสียแล้วกับการพูดคุยแบบนี้ ซองจูค่อยๆ ฝังตัวลงพิงกับโซฟา และจิบกาแฟอย่างเอื่อยเฉื่อย
“มาพูดเรื่องเมื่อกี้ให้จบเถอะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องกาแฟแบบของนายไม่ใช่แบบที่ฉันชอบนั่นน่ะ แบบที่ฉันชอบมันแบบไหนกัน”
“อ้อ เรื่องนั้น…”
จองอูที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นของซองจูถึงกับต้องก้มหน้าลงซ่อนสีหน้าเก้อเขิน พร้อมกับวางแก้วกาแฟที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ
“ก็ไม่มีอะไรหรอก”
“ก็นั่นแหละ ไอ้ที่ว่าไม่มีอะไรน่ะ มันคืออะไรล่ะ”
ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านไปอย่างคลุมเครือแบบนี้ เจ้าตัวจึงได้ลองถามออกมาอีกครั้ง จองอูถึงกับมีสีหน้าละล้าละลัง แล้วจึงเอ่ยปากตอบกลับไปอย่างลังเล
“ไม่มีอะไรจริงๆ แค่มันจะเหมือนพวกถั่ว ช็อกโกแลต หรือเบอร์รี่เท่านั้นแหละ”
“หมายถึงมีกลิ่นแบบนั้นออกมาจากกาแฟเหรอ”
“อืม เฉพาะกับเมล็ดกาแฟสดน่ะ”
“ก็ธรรมดานี่ ทำไมถึงคิดว่าฉันไม่ชอบของพวกนั้นล่ะ”
“นายไม่กินหวาน”
หมอนี่เป็นผีหรือไงกัน
ซองจูถึงกับเดาะลิ้นออกมาเมื่อได้รับคำตอบอันน่าตกใจจากจองอู อยากรู้นักว่าอีกคนไปรู้ไปเห็นอะไรมาจากไหน แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถาม จึงเลือกจิบกาแฟเข้าไปอึกนึงแทนเสีย
คิมจองอูนี่แปลกชะมัด
ไม่หือไม่อือ ไม่สนใจ ทำอย่างกับเขาเป็นสิ่งของ แต่กลับรับรู้เรื่องราวสำคัญๆ ได้เป็นอย่างดี ถึงจะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปก็เถอะ แต่กลับทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญเสียได้ ซองจูไม่คิดว่าคนๆ นี้ก็มีมุมอ่อนโยนด้วยเหมือนกัน
ตอนแรกเขาคิดว่าอีกคนเป็นแค่แขกไม่ได้รับเชิญที่โผล่เข้ามาในห้องเขาอย่างกะทันหัน แล้วยังมาแย่งคนรอบตัวของเขาไปอีก ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขามองอีกคนเปลี่ยนไปแบบนี้ คิดดูแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่เหมือนกัน ซองจูได้แต่ยกกาแฟขึ้นดื่มติดๆ กัน
มันช่างน่าประหลาดใจที่เขายอมกระทั่งให้อีกคนเขามาอยู่ข้างๆ เสมอแบบนี้ หากจะคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะเซจอง ก็พาลให้ความโกรธปะทุขึ้นมาอีก แต่ว่าหลังจากได้พบกับจองอู ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าจองอูได้เปิดประตูหัวใจที่ปิดตายมาตลอด แล้วเจ้าตัวก็ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามา แต่ซองจูก็แค่แกล้งไม่รับรู้ว่าจองอูได้ใช้ความเมินเฉย ความอ่อนโยนที่หยาบกระด้างนั่น กอบกุมหัวใจของเขาเอาไว้ได้แล้วเท่านั้น
“นี่ มีแค่กาแฟรึไง ของกินอย่างอื่นไม่มีเหรอ”
“นายไม่ใช่พวกชอบกินจุกจิกนี่”
“ไอ้นี่ พูดอะไรก็ขัดไปซะหมดเลยนะ!”
อุตส่าห์คิดจะพูดแหย่อีกฝ่ายขำๆ กลายเป็นว่าจองอูไม่เล่นด้วยง่ายๆ ทันทีที่ซองจูทำท่าโมโหใส่อีกฝ่าย ก็กลับมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“หยุดหัวเราะเลยนะ”
ดวงตาอดหลับอดนอนนั่นเหลือบมองไปที่อีกฝ่าย แล้วจึงจิบกาแฟอีกครั้ง พยายามฝืนข่มรอยยิ้มที่จะเผยออกมาบนริมฝีปาก ชำเลืองมองไปยังคนข้างๆ แล้วก็ไม่กล้าที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมาอีก ได้แต่ก้มหน้าลงเท่านั้น ภาพไหล่ที่สั่นไหวก็ปรากฎเข้ามาในสายตาของเขา
“เวรเอ๊ย ฉันยอมแล้ว เชิญนายหัวเราะจนเป็นบ้าได้เลย”
ซองจูพึมพำออกมาแล้วจึงฝังตัวเองเข้ากับโซฟา
“หึ้ย หัวเราะออกมาเลยสิ!”
อุตส่าห์ข่มความอายตะโกนออกไปแบบนั้น แต่อีกคนก็ยังไม่ยอมหัวเราะออกมาแม้แต่น้อย จึงทำให้รู้สึกหัวร้อนขึ้นไปอีก ขณะที่กำลังขบคิดว่าเขาต้องทำอย่างไรกับอีกคนดี แต่สุดท้ายแล้วซองจูก็ตระหนักได้เพียงว่าเขาไม่ควรถือสาอะไรกับจองอู
“เฮอะ ช่างเถอะ ยังไงซะนายก็ชงกาแฟให้ ฉะนั้นฉันจะอดทนไว้ก็แล้วกัน”
ซองจูบ่นพึมพำออกมาก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม น้ำแข็งที่เริ่มละลายกระทบก้นแก้วส่งเสียงแกร็งๆ ออกมาให้ได้ยิน ซองจูเอ่ยปากเสียงเบาออกมาอีกครั้ง
“นี่”
“ทำไม”
“ทำไมนายถึงได้มาเป็นพวกเต้นกินรำกินล่ะ”
จองอูขมวดคิ้วให้กับคำถามนั้นทันที
“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วมั้ง ว่าฉันเป็นพวกเต้นกินรำกิน นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“นายกับฉันจะอยู่ระดับเดียวกันได้ยังไง”
ซองจูพูดแบบนั้นพร้อมกับยิ้มออกมา ลองคิดดูแล้วท่าทางนั้นมันก็เหมือนเด็กๆ แต่ก็ยังมีความจริงใจแฝงอยู่เล็กน้อย ใบหน้าของจองอูที่มองมายังซองจูนั้นดูแปลกพิกล มันไม่ได้โกรธเกรี้ยว แต่ออกไปทางเวทนาจนหมดคำจะพูด
“นายนี่นะ ไม่ได้เรื่องยิ่งกว่าพี่ซองฮีอีก”
เส้นเลือดบนหน้าผากของซองจูถึงกับเต้นตุบๆ กับคำพูดนั้น
“แล้วยังไง มันยังไง หา? นี่! แล้วทำไมทีฮันซองฮีเรียกพี่ แต่กับฉันเรียกนาย! ฉันน่ะ แก่กว่าไอ้บ้านั่นตั้งสองปีเลยนะ!”
“เขามีความเป็นพี่ก็ต้องเรียกพี่สิ”
จองอูที่แสดงท่าทางเหมือนเขาถามคำถามนี้ทำไม ในเมื่อนั่นมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ทำให้ใบหน้าของซองจูร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“ถึงจะไม่รู้ว่านายมีปัญหาอะไรกับพี่ซองฮี แต่ก็อย่าไปทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นละ”
“ไม่ให้ฉันไปทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นงั้นเหรอ”
“ฉันก็เป็นคนอื่นไม่ใช่หรือไง”
ซองจูถึงกับสงบปากกับคำโต้กลับของจองอู พูดอะไรออกไป ก็ถูกโต้กลับมาจนหมดคำจะเถียงต่อแล้ว ความสามารถแบบนั้นของอีกคนทำเอาเขาหงุดหงิดอย่างที่สุด เวลาที่อีกคนทำแบบนั้นมันดูคล้ายกับซองฮี แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องความแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องสไตล์การพูด ซองฮีจะชอบพูดเหน็บแนมต่ออีกสักคำสองคำ ซึ่งมันทำให้ซองจูโมโหแทบคลั่ง แต่จองอูจะพูดแต่ความจริงแบบทะลุกลางปล้อง ให้เขาต้องหุบปากเพราะเถียงไม่ออก นั่นแหละคือสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก
“พอได้เปิดปากก็ทำตัวหยาบคายเหมือนฮันซองฮีไม่มีผิด มาอาศัยเขาแท้ๆ…”
สุดท้ายที่ซองจูสามารถทำได้ก็เพียงแค่การบ่นพึมพำออกมาเท่านั้น หากเป็นซองฮีคงจะก่อกวนกลับตามนิสัย ให้อารมณ์ของเขาขึ้นๆ ลงๆ จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์โกรธออกมา แต่ว่าพอเป็นจองอู ตัวซองจูรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณว่า การก่อสงครามกับอีกฝ่ายที่อยู่ร่วมห้องกัน หากเพียงแสดงท่าทีดื้อดึงออกมา คนที่สุดท้ายจะไม่เหลืออะไรก็คือตัวเขาเอง
“ถ้าไม่พอใจก็ไล่ออกไปเลยสิ”
“แล้วถ้านายตอนกลับมาว่าไม่ยอมย้ายล่ะ ต้องให้ข่มขู่เลยไหม”
“ที่ทำอยู่นี่ก็เรียกว่าข่มขู่แล้ว เลิกทำตัวเป็นเด็กๆ สักที”
จองอูพูดออกมาแบบนั้น แล้วจึงคว้าแก้วกาแฟของตัวเองที่วางไว้ขึ้นมาถือ
เจ้าตัวดื่มกาแฟที่เริ่มเย็นชืดแล้วเข้าไปอึกหนึ่ง กลิ่นดินอ่อนๆ และกลิ่นโกโก้ที่ติดอยู่ที่ปลายจมูกค่อยๆ เจือจางไป จองอูค่อยๆ เอนตัวพิงโซฟาตามซองจู ผละริมฝีปากออกจากแก้ว
“ทำไม่ต้องไม่ชอบใจขนาดนั้น เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ พี่ซองฮีก็ไม่ใช่คนเลวร้ายสักหน่อย”
เสียงเอ่ยถามที่แม้จะแผ่วเบาแต่กลับชัดเจน ซองจูจึงทำเช่นเดียวจองอู เขาผละริมฝีปากออกจากแก้วกาแฟที่ถืออยู่ในมือช้าๆ
น้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งผสมเข้ากับกาแฟเกิดเป็นริ้วไหวแปลกประหลาด ราวกับสีขาวและสีดำที่ถูกผสมผสานเข้าด้วยกัน มันกระเพื่อมไหวเป็นวงคลื่นไปตามการขยับของซองจู คล้ายความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ จากคนแปลกหน้าที่ไม่มีทางมาบรรจบกันได้ กลับค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้กันโดยที่คนทั้งสองไม่ได้คาดคิด แม้จะดูแปลกประหลาด แต่กลับไม่ได้อึดอัดอะไร
ไม่รู้เหมือนกันว่า เริ่มคุ้นชินกับอีกฝ่ายได้อย่างไร เพียงแค่ตอนนี้ก็ไม่ได้เกลียดอะไรอีกแล้ว ซองจูเปิดปากออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบไง แล้วนายจะมาก้าวก่ายเรื่องครอบครัวคนอื่นทำไมกัน”
“งั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้ามีคนอื่นมาจัดการเรื่องครอบครัวนายตามใจชอบ นายจะชอบใจหรือไง”
“ฉันไม่มีครอบครัวก็เลยไม่รู้ ขอโทษด้วยก็แล้วกัน”
“อ๊ะ เอ่อ…”
คำขอโทษที่ถูกส่งออกมา ทำให้ซองจูปิดปากไม่พูดอะไร แล้วยกกาแฟอึกสุดท้ายขึ้นดื่ม ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา
บทสนทนาที่จู่ๆ ก็เงียบหายไป ทำให้ภายในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงความเงียบงัน แม้รู้ว่าควรจะต้องเอ่ยอะไรบางอย่างออกไป แต่ริมฝีปากกลับไม่ยอมขยับเลยสักนิด สายลมที่พัดเข้ามาเป็นครั้งคราวทางหน้าต่างที่ถูกเปิดอ้ากว้างเอาไว้นั้นเฉียดผ่านคนทั้งคู่ที่นั่งชิดติดกัน ก่อนจะสลายไป
เสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และสายลมเย็นสบาย อีกทั้งอุณหภูมิอบอุ่นที่ส่งผ่านออกมาจากต้นขาที่แนบชิดกันนั้น พาให้รู้สึกดี ซองจูจึงหลับตาลงก่อนจะเปิดปากพูดอีกครั้ง
“ดนตรีมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันไม่เคยเข้าใจพวกที่ใช้ชีวิตกับการหลงใหลอะไรแบบนั้นเลยสักนิด”
สุ้มเสียงทุ้มต่ำดังแผ่วเบาราวกับกำลังท่องบทสวด จองอูเพียงชำเลืองตามองเจ้าของเสียงพูดที่อยู่ข้างๆ ขณะที่ซองจูกำลังหลับตาและบดเบียดตัวไปกับโซฟานั้น ใบหน้าของอีกคนดูสงบนิ่งอย่างมาก เขาเพียงจ้องมองใบหน้างดงามของอีกฝ่าย โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบียดตัวเข้ากับโซฟา และหลับตาลงดังเช่นที่ซองจูทำ
“ตอนเด็กๆ น่ะ”
ตอนที่ 2-7
ตอนที่ 2-7 แผลฉกรรจ์
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยขึ้นนั้นทำให้ซองจูลืมตาขึ้นมาแอบลอบมองอีกฝ่าย เส้นผมที่ยาวปรกใบหน้าฝั่งหนึ่งไว้ทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าแบบไหน เห็นเพียงจมูกโด่งเป็นสันจนดูสะดุดตานั่นเท่านั้น ซองจูจึงทำเพียงหลับตาลงอีกครั้ง และตั้งใจฟังสุ้มเสียงที่ดังขึ้น
“บังเอิญได้ดูวิดีโอการแสดงอันนึง เป็นผู้ชายหน้าตาดีที่ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร สวมใส่ชุดสูทหรูหรากำลังเต้นแล้วก็ร้องเพลงอยู่ นั่นเป็นครั้งแรกเลยละ เพราะที่บ้านฉันน่ะ ไม่มีของหรูหราแบบทีวีหรอกนะ”
นี่โตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนกัน ถึงได้บอกว่าไม่มีทีวีน่ะ มันเป็นคำบอกเล่าที่ทำให้อดหัวเราะไม่ได้ก็จริง แต่ซองจูก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศ ด้วยการพูดแบบไม่คิดออกมา อีกคนอาจจะรู้หรือไม่รู้ความคิดแบบนั้นของเขา แต่จองอูก็ยังคงพูดต่อไป
“สำหรับฉันที่คิดมาตลอดว่าดนตรีก็คือเพลงลูกทุ่ง เพลงพื้นบ้านที่คนในหมู่บ้านร้องกัน หรือไม่ก็แค่เพลงกล่อมเด็กที่ได้เรียนในโรงเรียนเท่านั้น วิดีโดนั่นคือสิ่งที่มากะเทาะโลกของฉันเลยละ ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร ฉันแค่ต้องการพิสูจน์ว่า นักร้องทั่วๆ ไปที่พวกเพื่อนในห้องพูดถึงกัน กับคนๆ นั้นน่ะต่างกันตรงไหน และนั่นก็คือจุดเริ่มต้น”
“ถ้าแค่เต้นไปด้วย ร้องเพลงไปด้วย งั้นก็คือพวกไอดอลไม่ใช่รึไง”
“ไม่ใช่หรอก มันมีแนวร็อกแดนซ์อยู่ด้วย”
“แล้วยังไงล่ะ ยังไงคนๆ นั้นก็ถือว่าเป็นต้นแบบของนายไม่ใช่รึไง”
“มันก็คล้ายๆ แบบนั้นละ”
ซองจูลืมตาขึ้นและจ้องมองไปยังจองอู อีกคนลืมตาขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว และกำลังเหม่อมองไปยังหน้าจอมืดสนิทของทีวีที่แขวนอยู่บนผนังตรงกลางห้องนั่งเล่น
“ในเมื่อที่บ้านไม่มีทีวี แล้วนายไปเห็นวิดีโอนั่นจากที่ไหนกันล่ะ บ้านนอกแบบนั้นคงไม่มีใครที่ไหนจะพกเอาวิดีโอการแสดงของวงร็อกไปหรอกมั้ง”
“พี่ดงฮยอน”
“ไอ้บ้าชินดงฮยอนนี่ ไปทำลายชีวิตคนอื่นเขาอีกแล้วนะ”
ซองจูบ่นเรื่อยเปื่อยออกมาเบาๆ จากคำบอกเล่าของจองอู แล้วก็เรื่องราวในปัจจุบัน พอลองเอามาปะติดปะต่อกันดูแล้ว ดงฮยอนคงไม่ใช่แค่เพื่อนของลูกพี่ลูกน้องเฉยๆ แล้วละ ซองจูพยายามดัดเสียงหัวเราะเล็กแหลมของตัวเองให้ทุ้มต่ำลง
“งั้นนายก็ทั้งเต้นแล้วก็ร้องบนเวทีด้วยเหรอ”
“ฉันดูเป็นแบบนั้นรึไง”
คำตอบตรงไปตรงมานั่นติดจะเย้ยหยันเล็กน้อย การสนทนาของทั้งคู่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่มันกลับดูสนิทสนมมากกว่าที่คิด ซองจูพยักหน้าให้กับคำตอบที่ได้รับจากจองอู
“นั่นสิ ไม่ใช่อย่างนั่นหรอกเนอะ แค่คิดก็ขนลุกแล้วเนี่ย”
“หยุดจินตนาการเพ้อเจ้อสักทีเถอะ”
เขาแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยหางตา คิ้วที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ราบเรียบนิ่งเฉยของจองอูนั้นปรากฏรอยขมวดมุ่นอยู่เล็กน้อย
ดูท่าคงจะไม่ชอบใจคำพูดนั้นสินะ ซองจูที่คิดได้เช่นนั้น ก็เบือนสายตากลับมาอีกครั้ง ในตอนนั้นเอง จองอูก็เปิดปากพูดต่ออีกหน
“แล้วนายทำไมถึงได้มาเป็นนักแสดงล่ะ”
ซองจูไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ในทันที
เขาเกิดความคิดที่อยากจะเป็นนักแสดงตอนช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่สักปีสามหรือไม่ก็ปีสี่เนี่ยแหละ เพราะเข้าชมรมภาพยนตร์ แล้วก็มีรุ่นพี่ในสาขามาคอยตามตื้อ แต่ไม่ใช่เพราะเขาเกิดสนใจวงการภาพยนตร์หรือการแสดงอย่างแน่นอน แม้จะมารู้ในภายหลังว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในด้านการแสดง แต่เขาก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกพิเศษอะไรที่มันแตกต่างไปจากเดิมเลย
กับประเด็นที่ว่าด้วยเหตุใดจึงกลายเป็นนักแสดง
คงเพราะว่ามันเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย เขาไม่มีความคิดอยากใช้ชีวิตแบบมนุษย์ออฟฟิศ รับผิดชอบกิจการใหญ่โตแบบพ่อ และก็ไม่ได้อยากเดินบนเส้นทางสายวิชาการแบบแม่ด้วย เขาไม่มีสิ่งที่อยากทำ แต่ถ้าให้เลือกแล้ว เขาก็ขอเลือกการเป็นนักแสดง ถึงอย่างไร เขาก็แกล้งใช้ชีวิตเป็นคนอื่นมาตลอดอยู่แล้ว มันจึงไม่มีอะไรยากเย็นเลยสักนิด เขาถึงได้เลือกทางนี้อย่างง่ายดาย แล้วก็โล่งใจที่การตัดสินใจนั้นมันลงตัวพอดี
เขาไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวพวกนี้ออกไปได้ แม้จะมีเหตุผลที่จะปกปิดเอาไว้ แต่คนที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจแบบนี้คงไม่มีทางเข้าใจความคิดอ่านอย่างนี้ของเขาหรอก ดังนั้นซองจูจึงไม่ทันได้สังเกตเลยว่าจองอูนั้นทำปากขมุบขมิบและจ้องมองตนเองอยู่
“ไม่ต้องตอบก็ได้นะ ถ้าไม่อยากตอบ”
คำพูดต่อมาของจองอูทำให้ซองจูรู้สึกโล่งใจ แม้โดยนิสัย เขาจะเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเองก็ตาม แต่การสารภาพความในใจที่ไร้ค่าและดูไม่ค่อยดีออกมานั้นมันเป็นเรื่องที่ช่างแตกต่าง ในขณะที่ซองจูกำลังกะพริบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มีแววตากระจ่างใสนั่นราวกับกำลังขบคิดคำพูดอยู่นั้น ก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำ หนักแน่นของจองอูเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ว่าแต่โทรศัพท์เมื่อกี้น่ะ ไม่ได้มีเรื่องอะไรจริงๆ เหรอ”
“เออ จริงด้วย นัดนั่น”
ซองจูนึกขึ้นได้ถึงนัดของดงฮยอนในตอนแรกที่เขาลืมมันไป แล้วก็รีบร้อนหันรีหันขวางมองหานาฬิกา นาฬิกาดิจิตอลสไตล์มินิมอลที่ประดับอยู่กลางห้องนั่งเล่น ตัวเลขบนนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว ซองจูหลับตาแน่น ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ…ไม่อยากไปเลย”
ใบหน้าบูดบึ้ง คิ้วขมวดมุ่น แล้วก็เสียงถอนหายใจหนักๆ แสดงออกว่าเขาไม่อยากไปจริงๆ จองอูจึงหันไปเอ่ยถามอีกครั้ง
“สรุปแล้วมันเรื่องอะไรกันแน่”
“โอ๊ย ปกติก็ไม่เห็นจะสนใจอะไร แล้ววันนี้ทำไมถึงได้คาดคั้นกันเก่งนัก พอเป็นผู้อาศัยเขาแล้วต้องทำตัวแบบผู้อาศัยด้วยรึไง หรือเห็นว่าชินดงฮยอนทำตัวน่าสงสัย ก็เลยอดใส่ใจไม่ได้”
“จะไปเจอพี่ดงฮยอนงั้นเหรอ? งั้นก็เป็นเรื่องงานไม่ใช่รึไง?”
“เฮอะ ไม่รู้ อยู่ๆ ก็เรียกให้ไปหาไม่บอกอะไรสักคำ รู้สึกทะแม่งๆ ยังไงก็ไม่รู้”
ซองจูบ่นพึมพำความคิดที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ที่วันนี้เขาทำตัวติดกับจองอูอย่างที่ไม่เคยเป็น มันก็เพราะดงฮยอนทั้งนั้น คิดได้เช่นนั้นที่เคยอึดอัดก็ผ่อนคลายลง แล้วก็ไม่คิดจะหยุดปากตัวเองอีกต่อไป
“เวรเอ๊ย ไม่อยากไปโว้ย”
จองอูเหลือบสายตาลงจ้องมองซองจูที่กำลังบ่นพึมพำความในใจออกมา
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่รู้ มีปัญหาหรือว่าทำอะไรผิดก็ไม่รู้ ยังไงซะฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ปกติเลย แล้วก็ไม่อยากทำอะไรที่มันน่าสงสัยแบบนี้เลยด้วย”
“งั้นก็จบมันซะ”
“หา?”
เขาหันไปมองจองอูอย่างต้องการถามว่า ที่พูดนั่นหมายความว่าอย่างไร จึงได้สบตากับอีกฝ่ายที่ยังคงทำสีหน้าเฉยชาเหมือนปกติ
“คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ย”
“อะไร”
“ฉันคิดว่านายเป็นพวกที่ เรื่องอะไรก็ช่างมันเถอะ อย่างนั้นซะอีก”
“เหรอ?”
“อือ”
บทสนทนาที่ออกทะเลไปไหนไม่รู้นั้น ทำให้เกิดความอึดอัดขึ้นภายในห้องนั่งเล่น จองอูที่สบตากับซองจูโดยตรงนั้น ถึงกับพูดอะไรไม่ออกครู่ใหญ่ ก่อนที่เขาจะเริ่มเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“การหนีมันก็ไม่ได้แย่เสมอไปหรอกนะ”
ซองจูตาโตกับคำพูดที่ได้ยินทันที
“งั้น ตอนนี้นายกำลังบอกให้ฉันหนีงั้นเหรอ”
“ก็ไม่ใช่ว่าต้องทำขนาดนั้น”
“นายนี่มันพิลึกจริง”
ซองจูหลุดขำออกมา แล้วจึงลุกขึ้นยืน
“จะไปเหรอ”
“ต้องไปสิ ถ้าบอกว่าไม่ไป ชินดงฮยอนจะทำอะไรต่อนายก็น่าจะรู้”
“ฝากทักทายพี่เขาด้วย”
“ไอ้นี่ อย่ามาออกคำสั่งนะ”
ทำไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาทิ่มแทงที่ส่งตามหลังมา ก่อนเขาจะขยับก้าวเท้าออกไป เหมือนจะอึดอัดอย่างไรก็ไม่รู้จึงได้พยายามทำเมิน แต่เขากลับรู้สึกว่าแต่ละก้าวมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
ทางไปบริษัท รถติดกว่าที่คิด
แม้ระยะทางจากห้องไปบริษัทจะไม่ได้ไกลมากนัก แต่เพราะเขาดันออกมาตรงกับช่วงเวลาเลิกงานของย่านคังนัมพอดีเป๊ะเสียอย่างนั้น
‘การหนีมันก็ไม่ได้แย่เสมอไปหรอกนะ’
คำพูดที่ได้ยินก่อนหน้านี้ยังดังแว่วอยู่ข้างหู ซองจูจับพวงมาลัยรถด้วยมือเพียงข้างเดียว นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เพราะคำพูดที่คนเด็กกว่าพูดออกมาเป็นคำพูดที่หนักแน่น เสียจนทำให้ใจเขาเต้นโครมครามโดยไร้เหตุผล คิดๆ ดูแล้ว เจ้าคิมจองอูนั่นช่างเป็นคนที่รับมือได้ยากเสียจริงๆ
สายตาหนักแน่น แล้วยังท่าทางแข็งกร้าวราวกับยอมหักไม่ยอมงอ คำพูดห้วนๆ ตรงประเด็นนั่นก็อีก ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเค้าของความประหม่าปะปนอยู่พอควร เขาคิดว่าตัวเองคงไม่มีทางตกม้าตายกับอะไรแบบนั้นแน่ แต่ทว่าอีกคนกลับแตกต่างออกไป
“ไอ้บ้านั่น พิลึกชะมัด”
พึมพำออกมาแผ่วเบา พยายามสลัดความคิดนั้นไปจากหัว แล้วหันกลับไปจ้องมองเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า ทว่ารถที่แน่นเอี๊ยดทุกเลนบนถนนกลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย ด้วยความหงุดหงิด เขาจึงได้เอามือข้างที่ว่างมายีหัวตัวเองจนผมเผ้ากระเซอะกระเซิง และในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ที่วางนิ่งอยู่บนคอนโซลหน้ารถก็แผดเสียงร้องน่ารำคาญออกมา ดงฮยอนโทรเข้ามานั่นเอง
“ทำไม”
ซองจูยื่นแขนไปกดรับพร้อมเปิดสปีกเกอร์โฟน พลางตอบกลับไปอย่างห้วน ๆ
“กำลังมาใช่ไหม”
“รถติดอยู่เนี่ย หงุดหงิดชะมัด”
ยังไม่ทันที่เสียงบ่นด้วยความหงุดหงิดอย่างที่สุดของซองจูจะจบ เสียงหัวเราะน่ารำคาญก็ดังแทรกผ่านสปีกเกอร์โฟนที่เปิดไว้ออกมา
“ฮ่าๆ เวลาแบบนี้ ถ้าแถวคังนัมรถไม่ติดน่ะสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก อย่าหงุดหงิดกับเรื่องอะไรแบบนี้เลยน่า เดี๋ยวหน้าเ**่ยวไม่รู้ด้วยนะ”
“พูดบ้าอะไรเนี่ย! เวร ถ้าไปถึงแล้วมันเป็นเรื่องไร้สาระละก็ ผมเอาพี่ตายแน่”
“เอาเถอะ ค่อยๆ มาก็แล้วกัน”
หัวเราะคิกๆ ส่งท้ายก่อนจะวางสายไปทันที ซองจูถึงกับกำมือแน่น พร้อมกับกัดฟันกรอดอย่างเหลืออด
“เวรเอ๊ย เรื่องบ้าอะไรกันวะ ถึงกับต้องเรียกให้คนอื่นไปหาเนี่ย”
พึมพำออกมาโดยที่ไม่มีใครสักคนจะให้คำตอบเจ้าตัวได้ แล้วก็ได้แต่ทนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อย่างนั้น เพราะไม่สามารถเอาชนะอีกคนได้
ความมืดที่เริ่มโรยตัวลงมาช้าๆ ปกคลุมด้านนอกหน้าต่างรถ แต่ทั้งแสงไฟริมทาง และแสงไฟรถยนต์ส่องสว่างเจิดจ้าไปหมด ท่ามกลางเมืองที่ระยิบระยับด้วยแสงไฟ เขากลับต้องมาติดแหง็กอยู่ภายในรถเพียงลำพัง และก็ได้แต่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ซองจูเริ่มต้นขบคิดเรื่องชีวิตในช่วงนี้อย่างจริงจัง
หลังจากที่จองอูโผล่เข้ามาในชีวิตของซองจู หลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
ตอนที่ 2-8
ตอนที่ 2-8 แผลฉกรรจ์
เริ่มแรกที่เขาคิดว่าอีกคนคงจะทนอยู่ได้ไม่นานแล้วก็จะจากไป แต่กลายเป็นว่าอีกคนกลับก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อเขามากกว่าที่คิด กว่าจะรู้ตัวเขาก็หมดโอกาสที่จะกำจัดอีกคนออกไปแล้ว การได้มาพัวพันกับจองอู ทำให้แม้แต่ความคิดห่วงกังวลก็มีเพิ่มมากขึ้น เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปแล้วหรือไงกัน
คงเพราะจิตใจเขากำลังอ่อนแอ
ตั้งแต่ที่ได้เจอกับเซจองที่งานแต่งงานของซองฮี การแสร้งตีหน้าตายปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป เพราะอย่างนั้น เขาคิดว่าหากถูกก่อกวนแค่เพียงเล็กน้อย ก็คงทำให้อาละวาดออกมาได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
แต่ว่าพอคิดทบทวนดูแล้ว ซองจูยังไม่เคยอาละวาดออกมาเลยด้วยซ้ำ ชีวิตเขาไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม นอกจากจองอูที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ขยับเข้ามาอยู่ข้างๆ เขาแบบนั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกไปเลย หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา หากเขาไม่ได้พยายามเอาชนะคะคานกับจองอูเช่นนี้ อีกคนก็คงไม่ต่างจากมินซิกที่คอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“อยากจะบ้าตาย…”
ซองจูแสดงความหงุดหงิดออกมาโดยการทุบกำปั้นเข้ากับต้นขาที่ไร้ความผิดของตัวเอง เพราะไม่มีอะไรเป็นดั่งใจสักอย่าง
การกระทำและคำพูดของจองอู เขารู้ดีว่าไม่ได้มีความตั้งใจใดๆ แอบแฝงอยู่ พวกเขาไม่แม้แต่จะสนิทกันด้วยซ้ำ และเขาก็ไม่ยอมให้ทำอย่างนั้นแน่ๆ เพียงแค่คิดไปตามสิ่งที่ได้ยินมันก็เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจฟังคำพูดที่พูดออกมา แต่ว่ามันกลับต่างจากที่ซองจูคิดไว้ เขาตอบรับกับคำพูดที่จองอูพูดออกมาทีละคำทีละคำทั้งเรื่องดีและร้าย นั่นเพียงเพราะว่าเขามองเห็นความเจ็บปวดของอีกคน แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็รู้สึกว่านี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด
ฮันซองจูไม่เคยแสดงความในใจให้ใครรับรู้ทั้งนั้น
แม้แต่กับพ่อแม่ พี่น้องท้องเดียวกัน เขาก็ใช้ชีวิตโดยการเสแสร้งกับคนเหล่านั้นตลอดมา แต่กลับยอมเปิดเผยเรื่องราวภายในใจให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
สำหรับคนอื่นแล้ว ชีวิตของฮันซองจูไม่ได้อะไรยากลำบากอะไรเลยสักนิด ชีวิตที่ดูไม่มีอะไรในสายตาของคนอื่น สำหรับซองจูแล้ว ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นการเสแสร้งทั้งนั้น เขาใช้ชีวิตแบบนั้นจนมันกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนล่วงเลยมากว่าสามสิบปี ‘ความไม่ปกติ’ คือตัวตนของเขา และสิ่งนั้นก็กำลังจะเปลี่ยนไป
การเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเช่นนี้ แม้แต่เซจองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ
แต่ว่าทำไมกันนะ ทำไมคิมจองอูถึงสามารถทำได้
ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าอะไรเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุด
ตอนนี้ซองจูทำได้เพียงแค่ยอมรับมันเท่านั้น
อีกคนที่เป็นดังป้อมปราการ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา
และแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ไช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป
ความรู้สึกที่ซองจูเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ มันเอ่อล้นขึ้นมาจนจุกแน่นถึงคอ
“ไอ้บ้านั่น ทำอะไรกับฉันกันแน่”
เขาหงุดหงิดจองอูทั้งที่ไม่ได้อยู่ข้างๆ ในระหว่างที่กำลังรอคอยให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน แม้จะระบายความกระวนกระวายออกมาด้วยการเคาะนิ้วชี้ลงบนพวงมาลัยรถ แต่แถวรถที่ยาวสุดลูกหูลูกตาและไม่มีทีท่าว่าจะขยับขเยื้อน ก็ทำเอาซองจูที่เฝ้ารอคอยได้แต่แสดงความกระวนกระวายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่อย่างนั้น
ภายในตัวตึกเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นสว่างไสวด้วยแสงไฟไม่ต่างจากย่านคังนัมที่เป็นที่ตั้งของตัวตึก แม้ว่าบรรดาพนักงานออฟฟิศในระแวกใกล้เคียงจะเลิกงานกันหมดแล้ว แต่ที่นี่ยังคงมีบรรดาเด็กฝึกอยู่กันเต็มห้องซ้อม รวมถึงพวกพนักงาน และทีมงานที่พากันวิ่งวุ่นไปมาเต็มไปหมด ซองจูตีหน้าเคร่งขรึมออกมา ไล่คนพวกนั้นให้กระเจิงไปคนละทิศละทาง แล้วก้าวขาเรียวยาวอย่างเนิบๆ ไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องผู้บริหาร
ปัง!
ทันทีที่ปิดประตูห้องผู้บริหารลงอย่างรุนแรงจนน่ากลัวว่ามันจะพังลงมา ดงฮยอนซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โซฟาและกำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่นั้น ก็ยกยิ้มพรายออกมา
“โอ้โฮ มาเร็วกว่าที่คิดเสียอีกนะ”
ซองจูแสดงออกอย่างหงุดหงิดกับสีหน้าน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย ด้วยการกอดอกยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“โอ้โฮ สมองกระทบกระเทือนสินะ เลิกเสแสร้งแล้วก็พูดธุระมาซะ พี่วางแผนบ้าอะไรอยู่กันแน่ พี่เรียกผมออกมาแบบนี้มันน่าสงสัยมาก รู้ใช่ไหม…บ้าอะไรวะเนี่ย”
“ก็นั่นไง ถ้าฉันบอกนายไปตรงๆ นายจะยอมมารึไง”
ปฏิกิริยาตอบรับของซองจูไม่ได้ต่างไปจากที่คาดไว้เลยสักนิด สีหน้าของดงฮยอนจึงดูเจื่อนลงเล็กน้อย ซองจูกัดฟันกรอด จ้องมองมาราวกับต้องการจะฆ่าอีกคน อีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดงฮยอนและกำลังหันหน้ามาทางเขา
“ไอ้เวรนี่ทำไมมาอยู่นี่ ที่เรียกให้มาเนี่ย คงไม่ใช่จะให้ทำงานด้วยกันหรอกใช่ไหม”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันคงปฏิเสธตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกัน ฉันเองก็ไม่ได้อยากเจอนายนักหรอกนะ ฮันซองจู”
“ผู้กำกับ คิมจีฮุน อย่ามาเรียกชื่อกันตามอำเภอใจแบบนี้”
ซองจูตำหนิอีกฝ่ายเสียงดัง ทั้งที่อีกฝ่ายยังใช้สายตาคมดุนั่นมองมายังเขา แต่ทว่า จีฮุนกลับทำหูทวนลม ไม่ได้ยินคำตักเตือนนั้น และยังส่ายหน้าไปมาพร้อมส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยซองจู
“เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยสินะ ใครกันแน่ที่ขึ้นเสียงใส่คนอื่นน่ะ”
“เอาล่ะ นอกจากไม่ให้ฉันขึ้นเสียงใส่นายแล้วยังมีเรื่องอะไรอีกล่ะ ไหนว่ามาสิ เรื่องอะไรที่ถ้าไม่ใช่ฉันก็ทำไม่ได้ และยังไอ้อะไรที่ฉันต้องได้รับนั่นอีก คิดจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เรียกให้คนที่กำลังพักผ่อนอยู่ต้องถ่อออกมาถึงนี่รึไง”
ซองจูพูดเหน็บแนมอีกฝ่ายออกมา ก่อนจะขยับตัวไปทางประตู สายของจีฮุนดุดันยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นท่าทางกอดอกและเอนตัวพิงเข้ากับผนังห้องเย็นเยียบอย่างอวดดีแบบนั้นของซองจู แต่ว่าซองจูก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจกับเรื่องนั้น
“ว่ามา ถ้าเรียกมาเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องล่ะก็ ฉันไม่อยู่เฉย ๆ แน่”
คำพูดที่ราวกับคำเตือนนั่น ทำให้ดงฮยอนได้แต่ถอนหายใจกับความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง
“เฮ้อ…ถ้านายจะอยู่เฉยๆ แล้วคอยฟังว่าประธานคิมจะว่ายังไง มันจะตายรึไง”
“พี่เงียบไปเลย”
“นี่ ไอ้เจ้านี่ นายนี่มัน…”
“ไม่เป็นครับ ประธานชิน”
“เฮอะ นี่สองคนกำลังเล่นบ้าอะไรกัน”
ซองจูส่งสายตาเย้ยหยันมองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง ที่กำลังขอโทษกันไปมา เขาไม่รู้ว่าท่าทางพวกนั้นมันคืออะไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาถูกเรียกมาทำอะไรกันแน่ ไม่รู้ว่ามันเป็นแผนการที่มาจากใคร แต่ไม่ว่าอย่างไร คนร้ายก็ดูเหมือนจะเป็นดงฮยอนนั่นแหละ เขาไม่มีทางคิดหรอกว่า คนที่ดูหัวแข็ง ดื้อดึง และชอบพูดจาซ้ำซากแบบคิมจีฮุนจะเป็นคนร้ายได้ ซองจูจึงโยนความโมโหไปที่ดงฮยอน
“รีบเอาออกมาสิ ของที่ฉันต้องได้รับนั่นน่ะ อะไร? อย่างคิมจีฮุน คงจะไม่เอาของขวัญมาให้กันหรอกนะ มันเรื่องอะไร? มีแผนอะไรกันแน่?”
“นี่ ซองจู หยุดทำท่าทางแบบนั้น แล้วมานั่งคุยตรงนี้ดีๆ มา”
“ผมไม่มีอะไรจะคุย ถ้าอยากจะคุยอะไรกับผมแล้วละก็ ไล่ไอ้นั่นออกไปซะ”
“ซองจู”
คำพูดที่เหมือนสั่งให้เขาพอสักทีนั่น ทำเอาใบหน้าของซองจูที่ขมวดมุ่นอยู่แล้ว ยิ่งขมวดมุ่นมากเข้าไปใหญ่ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่ ซองจูยังคงดื้อดึงปักหลักยืนอยู่ตรงนั้น
“ปล่อยไปเถอะครับ มันไม่ใช่เรื่องที่ถึงกับต้องมานั่งจับเข่าคุยกันอยู่แล้ว ยังไงซะ ฝ่ายที่ต้องเสียใจก็เป็นเขา ท่านประธานไม่จำเป็นต้องไปรบเร้าเขาแบบนั้นหรอกครับ”
“อะไรนะ หมายความว่ายังไงวะ”
สถานการณ์ดูไม่ปกติจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ขนาดดงฮยอนที่ขึ้นชื่อว่าไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ยังถึงกับมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ตอนนี้ ซองจูส่งเสียงเฮอะพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากออกมา
“เฮ้อ ก็ได้ ไหนลองว่ามาสิ มันเรื่องอะไรกัน”
ซองจูพูดดแบบนั้นพร้อมกับมองไปยังดงฮยอนที่มีสีหน้าลำบากใจ
“นี่ ยังไงก็มานั่งนี่ตรงนี้ก่อนมา มันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะจะพูดด้วยบรรยากาศแบบนี้หรอกนะ”
“แล้วทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย”
“ซองจู ทำแบบนี้นายจะเสียใจนะ”
เพราะท่าทางที่จริงจังกว่าที่คิดของดงฮยอน ทำให้สีหน้าของซองจูยิ่งแสดงความดื้อรั้นออกมา
ให้ตายสิมันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ ท่าทีก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนนิสัยปกติของดงฮยอนเลยสักนิด อีกคนไม่ยอมบอกมาอย่างชัดเจนแต่แรกว่าเรื่องนี้มันคือเรื่องอะไร ถ้าอย่างนั้นมันอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดเปลี่ยนใจหลังจากได้คุยกับคิมจีฮุน แล้วก็หัวข้อที่จีฮุนกับดงฮยอนคุยกัน มันคือเรื่องเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอน เมื่อพอจะเข้าใจสถานการณ์อย่างคร่าวๆ แล้ว สีหน้าของซองจูก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมา หากให้ลองคาดเดาออกมา จากคำพูดของจีฮุน ซองจูดูจะไม่มีอำนาจต่อรองกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย
“พวกบ้านี่…”
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็เหมือนจะมีแต่เสียกับเสีย ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ซองจูขมวดคิ้วแน่นเสียจนใบหน้านั้นยับย่น แล้วจึงค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่คนทั้งสองนั่งอยู่
“ว่าไง รีบพูดมาสิ มีเหตุผลอะไรถึงได้เรียกคนที่ไม่ได้มีเวลาว่างมากให้ออกมาแบบนี้”
แม้จะมีท่าทีที่ดูอ่อนลงกว่าเมื่อครู่ แต่ก็คงท่าทีอวดดีเอาไว้เช่นเดิม แน่นอนว่าถ้าผลมันออกมาว่าเขาถูกเรียกออกมาด้วยเรื่องไม่สำคัญแล้วละก็ ซองจูคงจะไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ และสำหรับซองจูแล้ว เรื่องสำคัญก็มีแค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับมุนเซจองเท่านั้น
ดงฮยอนมองไปยังซองจูครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งสายตาบางอย่างให้จีฮุน
“เอานี่ไปซะสิ”
จีฮุนพูดออกมาแบบนั้น พร้อมกับนำถุงกระดาษที่เคยวางอยู่ข้างตัวขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ภายในถุงกระดาษสีดำไร้ซึ่งลวดลายใดๆ มีกล่องสีดำใบหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถระบุได้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในนั้น
“นี่มันอะไรกันล่ะ”
“ดูแล้วก็จะรู้เอง”
“ไม่ใช่ของพิเรนทร์อะไรใช่ไหม”
“ไม่เชื่อหรือไง ถึงได้ถาม”
ซองจูจ้องเขม็งไปยังจีฮุนที่โต้กลับมาอย่างอวดดี พร้อมท่าทีที่ไร้ความเกรงใจใดๆ นั่นครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยิบกล่องสีดำที่อยู่ภายในถุงกระดาษนั่นออกมา กล่องนี่ดูเบากว่าที่เขาคิดไว้
“มันมีอะไรอยู่ในนี้กันแน่”
บ่นพึมพำออกมาเสียงเบาพร้อมกับเปิดฝากล่องออก แล้วใบหน้าของซองจูก็ยิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
ภายในกล่องสีดำใบนั้นมีเพียงกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบหนึ่งใส่อยู่เท่านั้น
“นี่มัน…”
“ตอนนี้มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บเอาไว้อีกต่อไปแล้ว”
จีฮุนเอ่ยกับซองจูที่จ้องมองไปยังกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบนั้นอย่างเหม่อลอย สีหน้าของเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ดูดีนัก ดงฮยอนที่มองคนทั้งคู่สลับไปมา ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ฉันจะออกไปก่อน ยังไงก็ค่อยๆ คุยกันละ แล้วก็อย่าทำลายข้าวของด้วย”
ดงฮยอนพูดทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ก่อนจะออกจากห้องไป
“เฮ้อ…”
แม้จะพยายามลองใช้มือทั้งสองข้างถูหน้าตัวเองแรงๆ ดูแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถทำให้จิตใจที่หวาดหวั่นกลับมานิ่งสงบได้เลย เขาไม่สบายใจเลยสักนิดเพราะไม่รู้ว่าหากเขาก้าวออกไปจากบริษัททั้งอย่างนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้น เขายืนนิ่งอยู่หน้าห้องทำงานของตัวเองมาพักหนึ่งแล้ว แต่โชคดีที่ไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกเล็ดลอดออกมา ในตอนนั้นเองดงฮยอนจึงหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะ ไอ้พฤติกรรมพวกนี้นี่มันอะไร อายุที่เพิ่มขึ้นมันก็แค่ตัวเลขสินะ…ฉันคงแก่แล้วสินะ แก่แล้วจริงๆ”
เขาบ่นพึมพำเรื่อยเปื่อยออกมาโดยไม่เข้ากับอายุที่เพิ่งจะอยู่ในช่วงสี่สิบต้นๆ เลยสักนิด พร้อมกับเดินอย่างอ่อนแรงไปตามทางเดินที่เงียบสงบ เขารู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้
“คงจะไม่เกิดเรื่องแบบตอนนั้นหรอกนะ”
เดินมาได้สักพักจนถึงสุดทางเดิน ใบหน้าของดงฮยอนก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
ตอนที่ 2-8
ตอนที่ 2-8 แผลฉกรรจ์
เริ่มแรกที่เขาคิดว่าอีกคนคงจะทนอยู่ได้ไม่นานแล้วก็จะจากไป แต่กลายเป็นว่าอีกคนกลับก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อเขามากกว่าที่คิด กว่าจะรู้ตัวเขาก็หมดโอกาสที่จะกำจัดอีกคนออกไปแล้ว การได้มาพัวพันกับจองอู ทำให้แม้แต่ความคิดห่วงกังวลก็มีเพิ่มมากขึ้น เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปแล้วหรือไงกัน
คงเพราะจิตใจเขากำลังอ่อนแอ
ตั้งแต่ที่ได้เจอกับเซจองที่งานแต่งงานของซองฮี การแสร้งตีหน้าตายปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป เพราะอย่างนั้น เขาคิดว่าหากถูกก่อกวนแค่เพียงเล็กน้อย ก็คงทำให้อาละวาดออกมาได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
แต่ว่าพอคิดทบทวนดูแล้ว ซองจูยังไม่เคยอาละวาดออกมาเลยด้วยซ้ำ ชีวิตเขาไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม นอกจากจองอูที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ขยับเข้ามาอยู่ข้างๆ เขาแบบนั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกไปเลย หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา หากเขาไม่ได้พยายามเอาชนะคะคานกับจองอูเช่นนี้ อีกคนก็คงไม่ต่างจากมินซิกที่คอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“อยากจะบ้าตาย…”
ซองจูแสดงความหงุดหงิดออกมาโดยการทุบกำปั้นเข้ากับต้นขาที่ไร้ความผิดของตัวเอง เพราะไม่มีอะไรเป็นดั่งใจสักอย่าง
การกระทำและคำพูดของจองอู เขารู้ดีว่าไม่ได้มีความตั้งใจใดๆ แอบแฝงอยู่ พวกเขาไม่แม้แต่จะสนิทกันด้วยซ้ำ และเขาก็ไม่ยอมให้ทำอย่างนั้นแน่ๆ เพียงแค่คิดไปตามสิ่งที่ได้ยินมันก็เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจฟังคำพูดที่พูดออกมา แต่ว่ามันกลับต่างจากที่ซองจูคิดไว้ เขาตอบรับกับคำพูดที่จองอูพูดออกมาทีละคำทีละคำทั้งเรื่องดีและร้าย นั่นเพียงเพราะว่าเขามองเห็นความเจ็บปวดของอีกคน แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็รู้สึกว่านี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด
ฮันซองจูไม่เคยแสดงความในใจให้ใครรับรู้ทั้งนั้น
แม้แต่กับพ่อแม่ พี่น้องท้องเดียวกัน เขาก็ใช้ชีวิตโดยการเสแสร้งกับคนเหล่านั้นตลอดมา แต่กลับยอมเปิดเผยเรื่องราวภายในใจให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
สำหรับคนอื่นแล้ว ชีวิตของฮันซองจูไม่ได้อะไรยากลำบากอะไรเลยสักนิด ชีวิตที่ดูไม่มีอะไรในสายตาของคนอื่น สำหรับซองจูแล้ว ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นการเสแสร้งทั้งนั้น เขาใช้ชีวิตแบบนั้นจนมันกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนล่วงเลยมากว่าสามสิบปี ‘ความไม่ปกติ’ คือตัวตนของเขา และสิ่งนั้นก็กำลังจะเปลี่ยนไป
การเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเช่นนี้ แม้แต่เซจองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ
แต่ว่าทำไมกันนะ ทำไมคิมจองอูถึงสามารถทำได้
ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าอะไรเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุด
ตอนนี้ซองจูทำได้เพียงแค่ยอมรับมันเท่านั้น
อีกคนที่เป็นดังป้อมปราการ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา
และแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ไช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป
ความรู้สึกที่ซองจูเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ มันเอ่อล้นขึ้นมาจนจุกแน่นถึงคอ
“ไอ้บ้านั่น ทำอะไรกับฉันกันแน่”
เขาหงุดหงิดจองอูทั้งที่ไม่ได้อยู่ข้างๆ ในระหว่างที่กำลังรอคอยให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน แม้จะระบายความกระวนกระวายออกมาด้วยการเคาะนิ้วชี้ลงบนพวงมาลัยรถ แต่แถวรถที่ยาวสุดลูกหูลูกตาและไม่มีทีท่าว่าจะขยับขเยื้อน ก็ทำเอาซองจูที่เฝ้ารอคอยได้แต่แสดงความกระวนกระวายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่อย่างนั้น
ภายในตัวตึกเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นสว่างไสวด้วยแสงไฟไม่ต่างจากย่านคังนัมที่เป็นที่ตั้งของตัวตึก แม้ว่าบรรดาพนักงานออฟฟิศในระแวกใกล้เคียงจะเลิกงานกันหมดแล้ว แต่ที่นี่ยังคงมีบรรดาเด็กฝึกอยู่กันเต็มห้องซ้อม รวมถึงพวกพนักงาน และทีมงานที่พากันวิ่งวุ่นไปมาเต็มไปหมด ซองจูตีหน้าเคร่งขรึมออกมา ไล่คนพวกนั้นให้กระเจิงไปคนละทิศละทาง แล้วก้าวขาเรียวยาวอย่างเนิบๆ ไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องผู้บริหาร
ปัง!
ทันทีที่ปิดประตูห้องผู้บริหารลงอย่างรุนแรงจนน่ากลัวว่ามันจะพังลงมา ดงฮยอนซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โซฟาและกำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่นั้น ก็ยกยิ้มพรายออกมา
“โอ้โฮ มาเร็วกว่าที่คิดเสียอีกนะ”
ซองจูแสดงออกอย่างหงุดหงิดกับสีหน้าน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย ด้วยการกอดอกยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“โอ้โฮ สมองกระทบกระเทือนสินะ เลิกเสแสร้งแล้วก็พูดธุระมาซะ พี่วางแผนบ้าอะไรอยู่กันแน่ พี่เรียกผมออกมาแบบนี้มันน่าสงสัยมาก รู้ใช่ไหม…บ้าอะไรวะเนี่ย”
“ก็นั่นไง ถ้าฉันบอกนายไปตรงๆ นายจะยอมมารึไง”
ปฏิกิริยาตอบรับของซองจูไม่ได้ต่างไปจากที่คาดไว้เลยสักนิด สีหน้าของดงฮยอนจึงดูเจื่อนลงเล็กน้อย ซองจูกัดฟันกรอด จ้องมองมาราวกับต้องการจะฆ่าอีกคน อีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดงฮยอนและกำลังหันหน้ามาทางเขา
“ไอ้เวรนี่ทำไมมาอยู่นี่ ที่เรียกให้มาเนี่ย คงไม่ใช่จะให้ทำงานด้วยกันหรอกใช่ไหม”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันคงปฏิเสธตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกัน ฉันเองก็ไม่ได้อยากเจอนายนักหรอกนะ ฮันซองจู”
“ผู้กำกับ คิมจีฮุน อย่ามาเรียกชื่อกันตามอำเภอใจแบบนี้”
ซองจูตำหนิอีกฝ่ายเสียงดัง ทั้งที่อีกฝ่ายยังใช้สายตาคมดุนั่นมองมายังเขา แต่ทว่า จีฮุนกลับทำหูทวนลม ไม่ได้ยินคำตักเตือนนั้น และยังส่ายหน้าไปมาพร้อมส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยซองจู
“เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยสินะ ใครกันแน่ที่ขึ้นเสียงใส่คนอื่นน่ะ”
“เอาล่ะ นอกจากไม่ให้ฉันขึ้นเสียงใส่นายแล้วยังมีเรื่องอะไรอีกล่ะ ไหนว่ามาสิ เรื่องอะไรที่ถ้าไม่ใช่ฉันก็ทำไม่ได้ และยังไอ้อะไรที่ฉันต้องได้รับนั่นอีก คิดจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เรียกให้คนที่กำลังพักผ่อนอยู่ต้องถ่อออกมาถึงนี่รึไง”
ซองจูพูดเหน็บแนมอีกฝ่ายออกมา ก่อนจะขยับตัวไปทางประตู สายของจีฮุนดุดันยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นท่าทางกอดอกและเอนตัวพิงเข้ากับผนังห้องเย็นเยียบอย่างอวดดีแบบนั้นของซองจู แต่ว่าซองจูก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจกับเรื่องนั้น
“ว่ามา ถ้าเรียกมาเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องล่ะก็ ฉันไม่อยู่เฉย ๆ แน่”
คำพูดที่ราวกับคำเตือนนั่น ทำให้ดงฮยอนได้แต่ถอนหายใจกับความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง
“เฮ้อ…ถ้านายจะอยู่เฉยๆ แล้วคอยฟังว่าประธานคิมจะว่ายังไง มันจะตายรึไง”
“พี่เงียบไปเลย”
“นี่ ไอ้เจ้านี่ นายนี่มัน…”
“ไม่เป็นครับ ประธานชิน”
“เฮอะ นี่สองคนกำลังเล่นบ้าอะไรกัน”
ซองจูส่งสายตาเย้ยหยันมองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง ที่กำลังขอโทษกันไปมา เขาไม่รู้ว่าท่าทางพวกนั้นมันคืออะไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาถูกเรียกมาทำอะไรกันแน่ ไม่รู้ว่ามันเป็นแผนการที่มาจากใคร แต่ไม่ว่าอย่างไร คนร้ายก็ดูเหมือนจะเป็นดงฮยอนนั่นแหละ เขาไม่มีทางคิดหรอกว่า คนที่ดูหัวแข็ง ดื้อดึง และชอบพูดจาซ้ำซากแบบคิมจีฮุนจะเป็นคนร้ายได้ ซองจูจึงโยนความโมโหไปที่ดงฮยอน
“รีบเอาออกมาสิ ของที่ฉันต้องได้รับนั่นน่ะ อะไร? อย่างคิมจีฮุน คงจะไม่เอาของขวัญมาให้กันหรอกนะ มันเรื่องอะไร? มีแผนอะไรกันแน่?”
“นี่ ซองจู หยุดทำท่าทางแบบนั้น แล้วมานั่งคุยตรงนี้ดีๆ มา”
“ผมไม่มีอะไรจะคุย ถ้าอยากจะคุยอะไรกับผมแล้วละก็ ไล่ไอ้นั่นออกไปซะ”
“ซองจู”
คำพูดที่เหมือนสั่งให้เขาพอสักทีนั่น ทำเอาใบหน้าของซองจูที่ขมวดมุ่นอยู่แล้ว ยิ่งขมวดมุ่นมากเข้าไปใหญ่ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่ ซองจูยังคงดื้อดึงปักหลักยืนอยู่ตรงนั้น
“ปล่อยไปเถอะครับ มันไม่ใช่เรื่องที่ถึงกับต้องมานั่งจับเข่าคุยกันอยู่แล้ว ยังไงซะ ฝ่ายที่ต้องเสียใจก็เป็นเขา ท่านประธานไม่จำเป็นต้องไปรบเร้าเขาแบบนั้นหรอกครับ”
“อะไรนะ หมายความว่ายังไงวะ”
สถานการณ์ดูไม่ปกติจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ขนาดดงฮยอนที่ขึ้นชื่อว่าไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ยังถึงกับมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ตอนนี้ ซองจูส่งเสียงเฮอะพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากออกมา
“เฮ้อ ก็ได้ ไหนลองว่ามาสิ มันเรื่องอะไรกัน”
ซองจูพูดดแบบนั้นพร้อมกับมองไปยังดงฮยอนที่มีสีหน้าลำบากใจ
“นี่ ยังไงก็มานั่งนี่ตรงนี้ก่อนมา มันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะจะพูดด้วยบรรยากาศแบบนี้หรอกนะ”
“แล้วทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย”
“ซองจู ทำแบบนี้นายจะเสียใจนะ”
เพราะท่าทางที่จริงจังกว่าที่คิดของดงฮยอน ทำให้สีหน้าของซองจูยิ่งแสดงความดื้อรั้นออกมา
ให้ตายสิมันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ ท่าทีก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนนิสัยปกติของดงฮยอนเลยสักนิด อีกคนไม่ยอมบอกมาอย่างชัดเจนแต่แรกว่าเรื่องนี้มันคือเรื่องอะไร ถ้าอย่างนั้นมันอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดเปลี่ยนใจหลังจากได้คุยกับคิมจีฮุน แล้วก็หัวข้อที่จีฮุนกับดงฮยอนคุยกัน มันคือเรื่องเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอน เมื่อพอจะเข้าใจสถานการณ์อย่างคร่าวๆ แล้ว สีหน้าของซองจูก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมา หากให้ลองคาดเดาออกมา จากคำพูดของจีฮุน ซองจูดูจะไม่มีอำนาจต่อรองกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย
“พวกบ้านี่…”
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็เหมือนจะมีแต่เสียกับเสีย ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ซองจูขมวดคิ้วแน่นเสียจนใบหน้านั้นยับย่น แล้วจึงค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่คนทั้งสองนั่งอยู่
“ว่าไง รีบพูดมาสิ มีเหตุผลอะไรถึงได้เรียกคนที่ไม่ได้มีเวลาว่างมากให้ออกมาแบบนี้”
แม้จะมีท่าทีที่ดูอ่อนลงกว่าเมื่อครู่ แต่ก็คงท่าทีอวดดีเอาไว้เช่นเดิม แน่นอนว่าถ้าผลมันออกมาว่าเขาถูกเรียกออกมาด้วยเรื่องไม่สำคัญแล้วละก็ ซองจูคงจะไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ และสำหรับซองจูแล้ว เรื่องสำคัญก็มีแค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับมุนเซจองเท่านั้น
ดงฮยอนมองไปยังซองจูครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งสายตาบางอย่างให้จีฮุน
“เอานี่ไปซะสิ”
จีฮุนพูดออกมาแบบนั้น พร้อมกับนำถุงกระดาษที่เคยวางอยู่ข้างตัวขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ภายในถุงกระดาษสีดำไร้ซึ่งลวดลายใดๆ มีกล่องสีดำใบหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถระบุได้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในนั้น
“นี่มันอะไรกันล่ะ”
“ดูแล้วก็จะรู้เอง”
“ไม่ใช่ของพิเรนทร์อะไรใช่ไหม”
“ไม่เชื่อหรือไง ถึงได้ถาม”
ซองจูจ้องเขม็งไปยังจีฮุนที่โต้กลับมาอย่างอวดดี พร้อมท่าทีที่ไร้ความเกรงใจใดๆ นั่นครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยิบกล่องสีดำที่อยู่ภายในถุงกระดาษนั่นออกมา กล่องนี่ดูเบากว่าที่เขาคิดไว้
“มันมีอะไรอยู่ในนี้กันแน่”
บ่นพึมพำออกมาเสียงเบาพร้อมกับเปิดฝากล่องออก แล้วใบหน้าของซองจูก็ยิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
ภายในกล่องสีดำใบนั้นมีเพียงกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบหนึ่งใส่อยู่เท่านั้น
“นี่มัน…”
“ตอนนี้มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บเอาไว้อีกต่อไปแล้ว”
จีฮุนเอ่ยกับซองจูที่จ้องมองไปยังกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบนั้นอย่างเหม่อลอย สีหน้าของเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ดูดีนัก ดงฮยอนที่มองคนทั้งคู่สลับไปมา ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ฉันจะออกไปก่อน ยังไงก็ค่อยๆ คุยกันละ แล้วก็อย่าทำลายข้าวของด้วย”
ดงฮยอนพูดทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ก่อนจะออกจากห้องไป
“เฮ้อ…”
แม้จะพยายามลองใช้มือทั้งสองข้างถูหน้าตัวเองแรงๆ ดูแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถทำให้จิตใจที่หวาดหวั่นกลับมานิ่งสงบได้เลย เขาไม่สบายใจเลยสักนิดเพราะไม่รู้ว่าหากเขาก้าวออกไปจากบริษัททั้งอย่างนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้น เขายืนนิ่งอยู่หน้าห้องทำงานของตัวเองมาพักหนึ่งแล้ว แต่โชคดีที่ไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกเล็ดลอดออกมา ในตอนนั้นเองดงฮยอนจึงหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะ ไอ้พฤติกรรมพวกนี้นี่มันอะไร อายุที่เพิ่มขึ้นมันก็แค่ตัวเลขสินะ…ฉันคงแก่แล้วสินะ แก่แล้วจริงๆ”
เขาบ่นพึมพำเรื่อยเปื่อยออกมาโดยไม่เข้ากับอายุที่เพิ่งจะอยู่ในช่วงสี่สิบต้นๆ เลยสักนิด พร้อมกับเดินอย่างอ่อนแรงไปตามทางเดินที่เงียบสงบ เขารู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้
“คงจะไม่เกิดเรื่องแบบตอนนั้นหรอกนะ”
เดินมาได้สักพักจนถึงสุดทางเดิน ใบหน้าของดงฮยอนก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
ตอนที่ 2-8
ตอนที่ 2-8 แผลฉกรรจ์
เริ่มแรกที่เขาคิดว่าอีกคนคงจะทนอยู่ได้ไม่นานแล้วก็จะจากไป แต่กลายเป็นว่าอีกคนกลับก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อเขามากกว่าที่คิด กว่าจะรู้ตัวเขาก็หมดโอกาสที่จะกำจัดอีกคนออกไปแล้ว การได้มาพัวพันกับจองอู ทำให้แม้แต่ความคิดห่วงกังวลก็มีเพิ่มมากขึ้น เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปแล้วหรือไงกัน
คงเพราะจิตใจเขากำลังอ่อนแอ
ตั้งแต่ที่ได้เจอกับเซจองที่งานแต่งงานของซองฮี การแสร้งตีหน้าตายปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป เพราะอย่างนั้น เขาคิดว่าหากถูกก่อกวนแค่เพียงเล็กน้อย ก็คงทำให้อาละวาดออกมาได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
แต่ว่าพอคิดทบทวนดูแล้ว ซองจูยังไม่เคยอาละวาดออกมาเลยด้วยซ้ำ ชีวิตเขาไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม นอกจากจองอูที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ขยับเข้ามาอยู่ข้างๆ เขาแบบนั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกไปเลย หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา หากเขาไม่ได้พยายามเอาชนะคะคานกับจองอูเช่นนี้ อีกคนก็คงไม่ต่างจากมินซิกที่คอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“อยากจะบ้าตาย…”
ซองจูแสดงความหงุดหงิดออกมาโดยการทุบกำปั้นเข้ากับต้นขาที่ไร้ความผิดของตัวเอง เพราะไม่มีอะไรเป็นดั่งใจสักอย่าง
การกระทำและคำพูดของจองอู เขารู้ดีว่าไม่ได้มีความตั้งใจใดๆ แอบแฝงอยู่ พวกเขาไม่แม้แต่จะสนิทกันด้วยซ้ำ และเขาก็ไม่ยอมให้ทำอย่างนั้นแน่ๆ เพียงแค่คิดไปตามสิ่งที่ได้ยินมันก็เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจฟังคำพูดที่พูดออกมา แต่ว่ามันกลับต่างจากที่ซองจูคิดไว้ เขาตอบรับกับคำพูดที่จองอูพูดออกมาทีละคำทีละคำทั้งเรื่องดีและร้าย นั่นเพียงเพราะว่าเขามองเห็นความเจ็บปวดของอีกคน แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็รู้สึกว่านี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด
ฮันซองจูไม่เคยแสดงความในใจให้ใครรับรู้ทั้งนั้น
แม้แต่กับพ่อแม่ พี่น้องท้องเดียวกัน เขาก็ใช้ชีวิตโดยการเสแสร้งกับคนเหล่านั้นตลอดมา แต่กลับยอมเปิดเผยเรื่องราวภายในใจให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
สำหรับคนอื่นแล้ว ชีวิตของฮันซองจูไม่ได้อะไรยากลำบากอะไรเลยสักนิด ชีวิตที่ดูไม่มีอะไรในสายตาของคนอื่น สำหรับซองจูแล้ว ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นการเสแสร้งทั้งนั้น เขาใช้ชีวิตแบบนั้นจนมันกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนล่วงเลยมากว่าสามสิบปี ‘ความไม่ปกติ’ คือตัวตนของเขา และสิ่งนั้นก็กำลังจะเปลี่ยนไป
การเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเช่นนี้ แม้แต่เซจองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ
แต่ว่าทำไมกันนะ ทำไมคิมจองอูถึงสามารถทำได้
ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าอะไรเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุด
ตอนนี้ซองจูทำได้เพียงแค่ยอมรับมันเท่านั้น
อีกคนที่เป็นดังป้อมปราการ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา
และแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ไช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป
ความรู้สึกที่ซองจูเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ มันเอ่อล้นขึ้นมาจนจุกแน่นถึงคอ
“ไอ้บ้านั่น ทำอะไรกับฉันกันแน่”
เขาหงุดหงิดจองอูทั้งที่ไม่ได้อยู่ข้างๆ ในระหว่างที่กำลังรอคอยให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน แม้จะระบายความกระวนกระวายออกมาด้วยการเคาะนิ้วชี้ลงบนพวงมาลัยรถ แต่แถวรถที่ยาวสุดลูกหูลูกตาและไม่มีทีท่าว่าจะขยับขเยื้อน ก็ทำเอาซองจูที่เฝ้ารอคอยได้แต่แสดงความกระวนกระวายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่อย่างนั้น
ภายในตัวตึกเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นสว่างไสวด้วยแสงไฟไม่ต่างจากย่านคังนัมที่เป็นที่ตั้งของตัวตึก แม้ว่าบรรดาพนักงานออฟฟิศในระแวกใกล้เคียงจะเลิกงานกันหมดแล้ว แต่ที่นี่ยังคงมีบรรดาเด็กฝึกอยู่กันเต็มห้องซ้อม รวมถึงพวกพนักงาน และทีมงานที่พากันวิ่งวุ่นไปมาเต็มไปหมด ซองจูตีหน้าเคร่งขรึมออกมา ไล่คนพวกนั้นให้กระเจิงไปคนละทิศละทาง แล้วก้าวขาเรียวยาวอย่างเนิบๆ ไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องผู้บริหาร
ปัง!
ทันทีที่ปิดประตูห้องผู้บริหารลงอย่างรุนแรงจนน่ากลัวว่ามันจะพังลงมา ดงฮยอนซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โซฟาและกำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่นั้น ก็ยกยิ้มพรายออกมา
“โอ้โฮ มาเร็วกว่าที่คิดเสียอีกนะ”
ซองจูแสดงออกอย่างหงุดหงิดกับสีหน้าน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย ด้วยการกอดอกยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“โอ้โฮ สมองกระทบกระเทือนสินะ เลิกเสแสร้งแล้วก็พูดธุระมาซะ พี่วางแผนบ้าอะไรอยู่กันแน่ พี่เรียกผมออกมาแบบนี้มันน่าสงสัยมาก รู้ใช่ไหม…บ้าอะไรวะเนี่ย”
“ก็นั่นไง ถ้าฉันบอกนายไปตรงๆ นายจะยอมมารึไง”
ปฏิกิริยาตอบรับของซองจูไม่ได้ต่างไปจากที่คาดไว้เลยสักนิด สีหน้าของดงฮยอนจึงดูเจื่อนลงเล็กน้อย ซองจูกัดฟันกรอด จ้องมองมาราวกับต้องการจะฆ่าอีกคน อีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดงฮยอนและกำลังหันหน้ามาทางเขา
“ไอ้เวรนี่ทำไมมาอยู่นี่ ที่เรียกให้มาเนี่ย คงไม่ใช่จะให้ทำงานด้วยกันหรอกใช่ไหม”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันคงปฏิเสธตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกัน ฉันเองก็ไม่ได้อยากเจอนายนักหรอกนะ ฮันซองจู”
“ผู้กำกับ คิมจีฮุน อย่ามาเรียกชื่อกันตามอำเภอใจแบบนี้”
ซองจูตำหนิอีกฝ่ายเสียงดัง ทั้งที่อีกฝ่ายยังใช้สายตาคมดุนั่นมองมายังเขา แต่ทว่า จีฮุนกลับทำหูทวนลม ไม่ได้ยินคำตักเตือนนั้น และยังส่ายหน้าไปมาพร้อมส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยซองจู
“เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยสินะ ใครกันแน่ที่ขึ้นเสียงใส่คนอื่นน่ะ”
“เอาล่ะ นอกจากไม่ให้ฉันขึ้นเสียงใส่นายแล้วยังมีเรื่องอะไรอีกล่ะ ไหนว่ามาสิ เรื่องอะไรที่ถ้าไม่ใช่ฉันก็ทำไม่ได้ และยังไอ้อะไรที่ฉันต้องได้รับนั่นอีก คิดจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เรียกให้คนที่กำลังพักผ่อนอยู่ต้องถ่อออกมาถึงนี่รึไง”
ซองจูพูดเหน็บแนมอีกฝ่ายออกมา ก่อนจะขยับตัวไปทางประตู สายของจีฮุนดุดันยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นท่าทางกอดอกและเอนตัวพิงเข้ากับผนังห้องเย็นเยียบอย่างอวดดีแบบนั้นของซองจู แต่ว่าซองจูก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจกับเรื่องนั้น
“ว่ามา ถ้าเรียกมาเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องล่ะก็ ฉันไม่อยู่เฉย ๆ แน่”
คำพูดที่ราวกับคำเตือนนั่น ทำให้ดงฮยอนได้แต่ถอนหายใจกับความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง
“เฮ้อ…ถ้านายจะอยู่เฉยๆ แล้วคอยฟังว่าประธานคิมจะว่ายังไง มันจะตายรึไง”
“พี่เงียบไปเลย”
“นี่ ไอ้เจ้านี่ นายนี่มัน…”
“ไม่เป็นครับ ประธานชิน”
“เฮอะ นี่สองคนกำลังเล่นบ้าอะไรกัน”
ซองจูส่งสายตาเย้ยหยันมองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง ที่กำลังขอโทษกันไปมา เขาไม่รู้ว่าท่าทางพวกนั้นมันคืออะไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาถูกเรียกมาทำอะไรกันแน่ ไม่รู้ว่ามันเป็นแผนการที่มาจากใคร แต่ไม่ว่าอย่างไร คนร้ายก็ดูเหมือนจะเป็นดงฮยอนนั่นแหละ เขาไม่มีทางคิดหรอกว่า คนที่ดูหัวแข็ง ดื้อดึง และชอบพูดจาซ้ำซากแบบคิมจีฮุนจะเป็นคนร้ายได้ ซองจูจึงโยนความโมโหไปที่ดงฮยอน
“รีบเอาออกมาสิ ของที่ฉันต้องได้รับนั่นน่ะ อะไร? อย่างคิมจีฮุน คงจะไม่เอาของขวัญมาให้กันหรอกนะ มันเรื่องอะไร? มีแผนอะไรกันแน่?”
“นี่ ซองจู หยุดทำท่าทางแบบนั้น แล้วมานั่งคุยตรงนี้ดีๆ มา”
“ผมไม่มีอะไรจะคุย ถ้าอยากจะคุยอะไรกับผมแล้วละก็ ไล่ไอ้นั่นออกไปซะ”
“ซองจู”
คำพูดที่เหมือนสั่งให้เขาพอสักทีนั่น ทำเอาใบหน้าของซองจูที่ขมวดมุ่นอยู่แล้ว ยิ่งขมวดมุ่นมากเข้าไปใหญ่ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่ ซองจูยังคงดื้อดึงปักหลักยืนอยู่ตรงนั้น
“ปล่อยไปเถอะครับ มันไม่ใช่เรื่องที่ถึงกับต้องมานั่งจับเข่าคุยกันอยู่แล้ว ยังไงซะ ฝ่ายที่ต้องเสียใจก็เป็นเขา ท่านประธานไม่จำเป็นต้องไปรบเร้าเขาแบบนั้นหรอกครับ”
“อะไรนะ หมายความว่ายังไงวะ”
สถานการณ์ดูไม่ปกติจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ขนาดดงฮยอนที่ขึ้นชื่อว่าไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ยังถึงกับมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ตอนนี้ ซองจูส่งเสียงเฮอะพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากออกมา
“เฮ้อ ก็ได้ ไหนลองว่ามาสิ มันเรื่องอะไรกัน”
ซองจูพูดดแบบนั้นพร้อมกับมองไปยังดงฮยอนที่มีสีหน้าลำบากใจ
“นี่ ยังไงก็มานั่งนี่ตรงนี้ก่อนมา มันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะจะพูดด้วยบรรยากาศแบบนี้หรอกนะ”
“แล้วทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย”
“ซองจู ทำแบบนี้นายจะเสียใจนะ”
เพราะท่าทางที่จริงจังกว่าที่คิดของดงฮยอน ทำให้สีหน้าของซองจูยิ่งแสดงความดื้อรั้นออกมา
ให้ตายสิมันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ ท่าทีก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนนิสัยปกติของดงฮยอนเลยสักนิด อีกคนไม่ยอมบอกมาอย่างชัดเจนแต่แรกว่าเรื่องนี้มันคือเรื่องอะไร ถ้าอย่างนั้นมันอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดเปลี่ยนใจหลังจากได้คุยกับคิมจีฮุน แล้วก็หัวข้อที่จีฮุนกับดงฮยอนคุยกัน มันคือเรื่องเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอน เมื่อพอจะเข้าใจสถานการณ์อย่างคร่าวๆ แล้ว สีหน้าของซองจูก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมา หากให้ลองคาดเดาออกมา จากคำพูดของจีฮุน ซองจูดูจะไม่มีอำนาจต่อรองกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย
“พวกบ้านี่…”
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็เหมือนจะมีแต่เสียกับเสีย ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ซองจูขมวดคิ้วแน่นเสียจนใบหน้านั้นยับย่น แล้วจึงค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่คนทั้งสองนั่งอยู่
“ว่าไง รีบพูดมาสิ มีเหตุผลอะไรถึงได้เรียกคนที่ไม่ได้มีเวลาว่างมากให้ออกมาแบบนี้”
แม้จะมีท่าทีที่ดูอ่อนลงกว่าเมื่อครู่ แต่ก็คงท่าทีอวดดีเอาไว้เช่นเดิม แน่นอนว่าถ้าผลมันออกมาว่าเขาถูกเรียกออกมาด้วยเรื่องไม่สำคัญแล้วละก็ ซองจูคงจะไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ และสำหรับซองจูแล้ว เรื่องสำคัญก็มีแค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับมุนเซจองเท่านั้น
ดงฮยอนมองไปยังซองจูครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งสายตาบางอย่างให้จีฮุน
“เอานี่ไปซะสิ”
จีฮุนพูดออกมาแบบนั้น พร้อมกับนำถุงกระดาษที่เคยวางอยู่ข้างตัวขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ภายในถุงกระดาษสีดำไร้ซึ่งลวดลายใดๆ มีกล่องสีดำใบหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถระบุได้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในนั้น
“นี่มันอะไรกันล่ะ”
“ดูแล้วก็จะรู้เอง”
“ไม่ใช่ของพิเรนทร์อะไรใช่ไหม”
“ไม่เชื่อหรือไง ถึงได้ถาม”
ซองจูจ้องเขม็งไปยังจีฮุนที่โต้กลับมาอย่างอวดดี พร้อมท่าทีที่ไร้ความเกรงใจใดๆ นั่นครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยิบกล่องสีดำที่อยู่ภายในถุงกระดาษนั่นออกมา กล่องนี่ดูเบากว่าที่เขาคิดไว้
“มันมีอะไรอยู่ในนี้กันแน่”
บ่นพึมพำออกมาเสียงเบาพร้อมกับเปิดฝากล่องออก แล้วใบหน้าของซองจูก็ยิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
ภายในกล่องสีดำใบนั้นมีเพียงกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบหนึ่งใส่อยู่เท่านั้น
“นี่มัน…”
“ตอนนี้มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บเอาไว้อีกต่อไปแล้ว”
จีฮุนเอ่ยกับซองจูที่จ้องมองไปยังกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบนั้นอย่างเหม่อลอย สีหน้าของเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ดูดีนัก ดงฮยอนที่มองคนทั้งคู่สลับไปมา ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ฉันจะออกไปก่อน ยังไงก็ค่อยๆ คุยกันละ แล้วก็อย่าทำลายข้าวของด้วย”
ดงฮยอนพูดทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ก่อนจะออกจากห้องไป
“เฮ้อ…”
แม้จะพยายามลองใช้มือทั้งสองข้างถูหน้าตัวเองแรงๆ ดูแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถทำให้จิตใจที่หวาดหวั่นกลับมานิ่งสงบได้เลย เขาไม่สบายใจเลยสักนิดเพราะไม่รู้ว่าหากเขาก้าวออกไปจากบริษัททั้งอย่างนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้น เขายืนนิ่งอยู่หน้าห้องทำงานของตัวเองมาพักหนึ่งแล้ว แต่โชคดีที่ไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกเล็ดลอดออกมา ในตอนนั้นเองดงฮยอนจึงหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะ ไอ้พฤติกรรมพวกนี้นี่มันอะไร อายุที่เพิ่มขึ้นมันก็แค่ตัวเลขสินะ…ฉันคงแก่แล้วสินะ แก่แล้วจริงๆ”
เขาบ่นพึมพำเรื่อยเปื่อยออกมาโดยไม่เข้ากับอายุที่เพิ่งจะอยู่ในช่วงสี่สิบต้นๆ เลยสักนิด พร้อมกับเดินอย่างอ่อนแรงไปตามทางเดินที่เงียบสงบ เขารู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้
“คงจะไม่เกิดเรื่องแบบตอนนั้นหรอกนะ”
เดินมาได้สักพักจนถึงสุดทางเดิน ใบหน้าของดงฮยอนก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
ตอนที่ 2-9
ตอนที่ 2-9 แผลฉกรรจ์
เหตุการณ์เปิดตัวว่าเซจองเป็นพวกรักร่วมเพศเมื่อไม่กี่ปีก่อนนั้น ไม่ได้มีแค่สองคนที่ได้รับผลกระทบ แม้แต่ดงฮยอนที่เป็นผู้บริหารของบริษัทก็พลอยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไปด้วย
ตอนที่ถูกพ่อแม่จับได้เรื่องรสนิยมส่วนตัวนั้น ทำให้เซจองถูกทุบตีจนแทบดูไม่ได้ และเลือกหลบหนีไปทั้งที่ยังไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาด้วยซ้ำ เซจองยอมแพ้และจากไปเช่นนั้น เหลือเพียงแค่ซองจูที่ถูกพ่อแม่ของเซจองซึ่งกอดเก็บความเจ็บแค้นเอาไว้ และคอยตามราวีงานของเจ้าตัวในทุกทาง
เพราะงานในวงการบันเทิงของทั้งคู่ที่ถูกระงับ จึงทำให้บริษัทเองไม่อาจอยู่ในสภาวะปกติได้ เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แม้แต่ดงฮยอนก็ยังต้องเผชิญกับความผิดหวังจากพ่อแม่ เขาพยายามดูแลและรักษาบริษัทเอาไว้อย่างยากลำบาก แม้ตอนนี้มันจะเป็นเรื่องที่เมื่อคิดถึงแล้วก็ทำให้รู้สึกขำ แต่กว่าซองจูจะได้กลับสู่วงการ และกว่าบริษัทจะฟื้นตัวกลับคืนมาได้นั้น ก็ใช้เวลาไปกว่าห้าปี
ถึงอย่างนั้น ภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้น ไม่กี่ปีต่อมาเขาก็ได้รับการติดต่อจากเซจอง อีกคนยังคงมีท่าทีเช่นแต่ก่อน และนั่นก็ทำให้เขาเกิดความละอาย รู้สึกอยากแสดงความรับผิดชอบต่ออีกคน
สำหรับดงฮยอนแล้ว ซองจูกับเซจองเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์ที่เริ่มมาจากการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัย เขาคือคนที่ชักจูงทั้งคู่เข้าสู่วงการบันเทิง รู้เห็นในเรื่องความสัมพันธ์แบบคนรัก และจุดจบที่พังไม่เป็นท่าของความสัมพันธ์นั่น และต้องคอยตามสะสางทุกอย่าง ความรับผิดชอบอันหนักหนาพวกนั้น ดงฮยอนกอดเก็บมันเอาไว้ลึกสุดใจตลอดมา ด้วยเหตุนั้น ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาไม่สามารถเมินเฉยต่อคำขอร้องอย่างกะทันหันของจีฮุนได้ เพราะคำขอร้องจากจีฮุนก็ไม่ต่างจากคำขอร้องของเซจองเลย
ตอนที่ได้ยินว่าเซจองมีบางอย่างอยากจะมอบให้กับซองจูเป็นครั้งสุดท้าย ดงฮยอนก็ตระหนักได้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่คงไม่มีอะไรติดค้างกันอีกต่อไปแล้ว
แม้จะแกล้งว่าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่กับซองจูที่ไม่ได้จริงจังกับใครและยังคงไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกที่มีต่อเซจองได้ กับเซจองที่ต้องการที่พักพิงและคอยเฝ้าแต่ตามหาความสบายใจในชีวิตที่เรียบง่ายนั้น ดงฮยอนก็ได้แต่เฝ้าหวังอยู่เสมอ ให้การเดินทางอันแสนยาวนานกว่าสิบปีของทั้งสองสิ้นสุดลงสักที นั่นจึงทำให้เขาทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกได้ แม้จะเลิกสูบบุหรี่มาได้เกือบสองปีแล้ว แต่ตอนนี้เขาอยากได้บุหรี่เหลือเกิน
ในตอนนั้นเองใครบางคนจากทางเดินอีกฝั่งพบดงฮยอนเข้าพอดี จึงรีบร้อนวิ่งมาหา
“ท่านประธาน! ยังไม่เลิกงานอีกเหรอครับ”
“เอ่อ ผู้จัดการลี มาทำอะไรเวลานี้ล่ะ”
ผู้จัดการของเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้น ผู้เปรียบเสมือนมือขวาของดงฮยอน ยองอุกนั่นเอง ทันทีที่อีกคนเห็นดงฮยอน ดวงตาสุขุมภายใต้กรอบแว่นนั่นก็จับจ้องมายังเขาพร้อมยกยิ้มกว้าง
“ช่วงนี้ต้องออกไปข้างนอกอยู่ตลอด ก็เลยไม่ได้เข้ามาตรวจเอกสารสำคัญเลยน่ะครับ”
“งั้นเหรอ…ฉันใช้งานนายจนแทบไม่มีเวลาพักเลยแบบนี้ ยังไงก็ขอโทษด้วยนะ”
“อะไรกันครับ พี่งานยุ่งกว่าผมอีก”
ยองอุกหัวเราะออกมาพร้อมกับส่ายหัวไปมา
สำหรับยองอุกที่ติดตามดงฮยอนมาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก ดงฮยอนคือคนที่น่านับถือยิ่งกว่าใครๆ ดังนั้นเมื่อเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นถูกก่อตั้งขึ้น เจ้าตัวที่คิดจะเริ่มต้นเข้าทำงานกับบริษัทอื่น จึงได้ถูกชักจูงเข้าสู่วงการธุรกิจบันเทิง จนได้มาเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบเรื่องราวน่าปวดหัวทั้งหมดที่เกี่ยวกับซองจู และเพราะเจ้าตัวทำให้เขารู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณกับอีกฝ่ายเหลือเกิน ดงฮยอนจึงสามารถเปิดเผยเรื่องทุกอย่างกับยองอุกได้ ดังนั้นการได้เจอยองอุก อาจเรียกได้ว่าเป็นโชคดีสำหรับเขาก็ได้ ดงฮยอนหัวเราะหึๆ ออกมา
“ยองอุก มีบุหรี่ใช่ไหม”
“…เลิกไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“วันนี้คงต้องสูบสักหน่อยแล้วล่ะ”
“เพราะซองจูอีกแล้วเหรอครับ คราวนี้อะไรอีกล่ะครับ”
ยองอุกเงียบไปพักนึง ก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่าก่อเรื่องอะไรอีกแล้วด้วยท่าทางเดือดปุดๆ ดงฮยอนที่มองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ ยังคงยกยิ้มที่มุมปากน้อยๆ พร้อมตอบกลับไป
“เรื่องของเซจองน่ะ”
ยองอุกที่เดือดปุดๆ อยู่ถึงกับชะงักไปกับคำนั้น
“ตอนนี้เซจองอยู่ที่บริษัทเหรอครับ อยู่กับซองจูสองคนเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอก ส่งประธานคิมมาแทนน่ะ”
“ลำบากแย่เลยนะครับ เขาคนนั้นน่ะคงไม่ได้อยากทำอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก”
“แต่เขาคงไม่อยากเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันมากกว่าน่ะสิ ถึงได้รับอาสามาแทน เราต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำ”
ดงฮยอนหันไปส่ายหน้าให้กับยองอุกที่ถามออกมาว่า ปล่อยจีฮุนกับซองจูเอาไว้ตามลำพังในห้องด้วยกันแบบนั้นจะดีเหรอ
“ช่างเถอะ เขาค่อนข้างมีเหตุผลอยู่นะ ก็ ถ้าตีกันจนเละเทะ ก็แค่เรียกช่างมาตกแต่งห้องใหม่ซะ”
“ไม่เปลี่ยนเลยนะครับ ผมให้ยืมบุหรี่แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะครับ”
“คนสูบจัดอย่างนาย กลัวเรื่องแค่นี้ด้วยเหรอ”
ท่าทางของดงฮยอนที่ตอบกลับมาโดยแสร้งทำทีท่าแบบเมื่อก่อนทำให้ยองอุกได้แต่ฝืนยิ้มออกมา แล้วเปิดประตูหนีไฟออกเพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้า
ลมที่ลอดผ่านช่องประตูเข้ามานั้น ทั้งชื้นและเย็น ดูท่าแล้วฝนคงจะตกลงมาอย่างแน่นอน
* * *
“ของนี่ใช้มาตลอดจนถึงก่อนหน้านี้น่ะ”
“แล้วตอนนี้ เอามันมาคืนทำไมกันล่ะ”
“นั่นนั้นนายน่าจะรู้ดีกว่าใครไม่ใช่เหรอ”
ระหว่างที่คนสองคนสูบบุหรี่กันอย่างเงียบๆ บนดาดฟ้า ส่วนคนอีกสองคนที่ถูกทิ้งไว้ในห้องทำงานด้วยกันนั้นก็กำลังเผชิญหน้ากันด้วยเรื่องเกี่ยวกับกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบหนึ่ง
แม้จะมีร่องรอยที่บ่งบอกว่าผ่านวันเวลามานานมากแล้ว แต่สภาพของกระเป๋านั้นราวกับถูกใช้งานอย่างทะนุถนอม เพียงมองจากสภาพของตัวหนังที่ยังเป็นเงาวับ ไร้รอยตำหนิใดๆ ก็สามารถรับรู้ได้แล้ว โลโก้แบรนด์ที่ประดับอยู่บริเวณขอบกระเป๋าสตางค์ โลหะนั้นยังคงส่องประกายวิบวับเมื่อต้องแสงไฟภายในห้อง นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่ามันถูกซื้อมาในราคาสูงลิบเพียงใด
“ทิ้งไปซะก็ได้ ทำไมต้อง…”
“เพราะไม่กล้าทำแบบนั้นไง แค่เก็บมันไว้จนถึงตอนนี้ นายก็น่าจะเข้าใจได้แล้วนี่ ของสิ่งนี้น่ะคือความทรงจำหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่”
“แล้วไง จะบอกว่าตอนนี้ตั้งใจจะทิ้งมันงั้นเหรอ”
“ควรต้องทิ้งมันมาตั้งนานแล้วต่างหาก”
ซองจูยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อยให้กับการตอบโต้ที่ตัดบทอย่างเย็นชาของจีฮุน
“พวกนายนี่เหมือนกันเลยนะ”
“ฉันก็หวังให้เป็นแบบนั้น”
แม้จะเป็นคำพูดเหน็บแนม แต่เพราะอีกฝ่ายตอบรับอย่างจริงจัง เขาก็เลยพูดไม่ออก ซองจูได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ทึ่งจัด
“นี่นายเข้าใจที่ฉันพูดอยู่จริงๆ ใช่ไหม”
“นายกำลังว่าฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันเคยเข้าใจว่านายเป็นคนที่ปกติที่สุด แต่ที่แท้ก็เป็นพวกประสาท”
“นั่นมันนายแล้วมั้ง”
ซองจูปล่อยจีฮุนที่พูดจาไร้สาระเอาไว้ตรงหน้า แล้วหยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้อย่างเงียบๆ
กระเป๋าสตางค์ใบนี้ เขาจำมันได้ดีเลยล่ะ มันเป็นของขวัญที่เขามอบให้กับเซจอง ในตอนที่เราทั้งคู่ได้เริ่มต้นคบหากัน
การคบหาที่ไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ให้ใครได้รับรู้แบบนั้น เรื่องการใช้ของคู่กันอะไรนั่น เลิกคิดไปได้เลย แต่ในวินาทีที่เขาได้เห็นกระเป๋าสตางค์ใบนี้ที่ห้างสรรพสินค้า เขาก็เกิดความคิดที่อยากจะมอบมันให้กับเซจอง แม้ว่าดีไซน์เรียบๆ ดูเป็นทางการนั่นจะเป็นแบบที่เขาชื่นชอบ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันดูเหมาะกับเซจองอย่างมาก
ตอนที่ได้รับของขวัญซึ่งเป็นทั้งชิ้นแรกและชิ้นสุดท้าย เซจองที่มีท่าทางตกใจ แก้มทั้งสองข้างก็ขึ้นสีระเรื่อ พอเห็นเช่นนั้นก็ทำเอาเขาอดรู้สึกปลาบปลื้มไม่ได้
และที่สุดก็ลืมเลือนมันไป
นานๆ ทีจะเห็นเซจองใช้กระเป๋าสตางค์ใบนี้เสียที พอได้เห็นก็มักจะคิดว่า ‘ยังคงใช้มันอยู่สินะ’ ไม่ได้คิดเลยว่ามันเป็นสิ่งสำคัญอะไร และเมื่อคิดได้ว่า สิ่งนี้มันไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ของเขากับเซจอง ก็ทำเอาเกิดความรู้สึกขมปร่าขึ้นมา
“เซจองล่ะ”
ซองจูเอ่ยปากถามจีฮุนอย่างไม่ใส่ใจ
“เขาก็ยังคงเป็นห่วงนายอยู่ตลอดนั่นแหละ รวมไปถึงแค้นใจนายด้วย แต่ว่าสิ่งที่เซจองสามารถทำได้ก็คือพยายามที่จะเข้าใจนาย”
“มุนเซจอง พูดอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ แม้จะทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปมีชีวิตของตัวเองซะก็ได้ แต่เขาก็บอกว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องห้ามนายไม่ให้ทำอย่างนั้นด้วย แม้มันจะเป็นแค่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังคงเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีเหมือนกับกระเป๋าสตางค์ใบนั้น แต่พอฉันบอกว่ามันเก่าแล้ว น่าจะให้ของขวัญอย่างอื่นแทน เขาก็ดื้อรั้นไม่ยอมรับฟังอะไรเลย”
มันมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ของขวัญที่ให้ด้วยเหตุผลพิเศษอะไรสักหน่อย ซองจูขบคิดอย่างเหม่อลอย แต่ก็ไม่ได้พูดคำพวกนั้นออกไป หากทำแบบนั้นไป อาจจะโดนอีกคนต่อยเข้าให้ก็ได้ จีฮุนยังคงพูดต่อไป แม้จะไม่รู้ว่าซองจูกำลังคิดอะไรอยู่ก็ตาม
“นายไม่ได้มีอะไรจะให้เซจองใช่ไหม”
ซองจูพยักหน้าตอบกลับไปอย่างเงียบๆ เขาไม่รู้เลยว่านี่มันเป็นเรื่องจริงหรือหลอก จีฮุนถึงกับพ่นลมหายใจออกมาจากปากเมื่อเห็นการกระทำของเขา
“ตอนแรกฉันก็คิดว่านี่คงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ความผูกพันที่มีต่อกัน แต่สำหรับฮันซองจู มันอาจจะเป็นแค่ของขวัญที่มอบให้โดยไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ แต่กับเซจองน่ะมันไม่ใช่ มันคือของสำคัญ ที่แม้จะกำลังหนีโดยยังไม่ทันได้จัดการอะไรสักอย่าง เขาก็ไม่ยอมทิ้งมันไป”
“แล้วมาเอาคืนตอนนี้ มันหมายความว่าอะไรล่ะ”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ใช่เขานี่ ยังไงซะ ถึงเซจองจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายกับเขามันจบลงไปแล้ว แต่ความรู้สึกพวกนั้นมันก็ยังคงอยู่ แม้กระทั่งตอนที่ได้มาเจอกับฉัน เซจองก็ยังดูเหมือนจะยังคงมีเยื่อใยให้นายอยู่”
“นายมาที่นี่เพื่อบอกให้ฉันเชื่อเรื่องนั้นหรือไงกัน”
“ใช่ แม้แต่นายเองในตอนนี้ก็ไม่ได้หมดเยื่อใยไปเสียทีเดียวนี่ นั่นละที่ฉันเห็น”
ตลอดเวลาที่คุยกัน ใบหน้าของจีฮุนมีรอยยิ้มที่ดูเจ็บปวดเผยให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ซองจูพอจะรับรู้ได้ถึงความหมายของมัน ถึงได้ยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น ในเวลานี้ มันคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำนัก หากจะพูดขัดคอเรื่องของอีกคนกับเซจองดั่งเช่นปกติ
“แล้วทำไมเพิ่งมาเอาตอนนี้”
“ก่อนหน้านี้ก็เคยพยายามติดต่อหานายบ้างเหมือนกัน แต่บางทีนายอาจจะกำลังอยู่ดีมีสุขก็ได้ แล้วไม่รู้น้องชายนายหรือประธานชินเป็นคนติดต่อไป พอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับนาย มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็น เพราะคิดว่าบางทีนายอาจจะรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง”
“จำเป็นต้องรู้สึกผิดด้วยหรือไงกัน”
“เพราะนายมีชีวิตที่ดีไงล่ะ”
“อะไรนะ นายจะบอกว่าให้ฉันใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานหรือไง”
“นั่นก็ถูกต้องแล้วนี่”
ตอนที่ 2-10
ตอนที่ 2-10 แผลฉกรรจ์
ทันทีที่จีฮุนตอบกลับมาด้วยคำพูดที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแบบนั้น ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกคัดค้านขึ้นมาบ้าง แต่จะให้แย้งออกไปตอนนี้ มันจะมีประโยชน์อะไรกันล่ะ ซองจูจึงได้แต่นิ่งเงียบไว้ ถึงอย่างไรคนที่ขี้ขลาดที่สุดในความสัมพันธ์นี้ มันก็คือตัวเขานั่นล่ะ
“ถ้างั้นที่เอามาคืนให้ มันหมายความว่าไงล่ะ ให้มาสอดแนม เพราะฉันใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีมีความสุขงั้นเหรอ”
เสียงพึมพำแผ่วเบานั่นทำให้จีฮุนหน้าบูดบึ้งขึ้นมา คิดดูแล้ว แม้จะไม่ได้มีจิตใจคิดร้ายอะไรแบบนั้นเลยเสียทีเดียว แต่จะให้ทำท่ายอมรับก็คงจะเป็นไปไม่ได้
“คงอยากจะบอกว่า รีบๆ ทิ้งผมไปซะล่ะมั้ง”
“อะไรนะ?”
ที่เขาได้ยินนี่มันอะไรกัน ซองจูแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ยินคำพูดที่เหนือความหมายนั่นด้วยตัวเอง
“แล้วก็คงอยากจะบอกต่อว่าคุณต้องปล่อยผมไป ถึงจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แล้วต่อไปได้โปรดช่วยดูแลคนๆ นั้นให้ดีด้วย”
ซองจูไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ เขานั่งอยู่ริมโซฟา ได้แต่ทอดสายตามองกระเป๋าสตางค์ที่เซจองทิ้งไว้ให้เท่านั้น
ภาพของเซจองในอดีตที่กำลังแสดงความโกรธเกรี้ยวต่อเขา ภาพที่เขาซ่อนมันไว้ภายในใจผุดวาบขึ้นมา แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่สามารถหวนกลับไปในช่วงเวลานั้นได้แล้ว แต่พอนึกถึงเซจองขึ้นมา เขาก็ยังคงรู้สึกเสียใจอยู่ดี สิ่งที่เขาทำให้ไม่ได้นั้น มันมีมากมายกว่าสิ่งที่เขาได้ทำให้อีกคนได้เสียอีก แม้จะบอกออกไป มันก็ไม่มีสิ่งใดกลับคืนมาได้อีกแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้แกล้งไม่ยอมรับเหมือนเช่นเมื่อก่อน แต่เพราะปฏิเสธความรู้สึกนั้นไปตั้งแต่ต้น จึงทำให้จิตใจที่เจ็บปวดนั้นไม่อาจเดินต่อและถูกแช่แข็งไปเช่นนั้น
ไม่ว่าจะคบหากับใคร เขาก็ไม่สามารถลืมเซจองได้ ก่อนที่เขาจะได้พูดว่า ‘งั้นเหรอ’ เป็นคำบอกลาที่แสนสั้นนั้น เขารู้ดีอยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิม ดังนั้นแม้เขาจะตัดสินใจปล่อยเซจองจากไป แต่ภายในใจลึกๆ แล้ว มันกลับร่ำร้องคัดค้านไม่ให้ปล่อยอีกคนไป
การกระทำที่ขัดแย้งกับหัวใจ ความสัมพันธ์ที่เหมือนแถบเมอบีอุส[1]นั้น ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่ามันถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือจากกันไปเสียที อย่างที่จีฮุนได้พูดเมื่อครู่ การได้เห็นท่าทีไม่ยอมแพ้และยึดติดเช่นนั้น มันช่างน่าสมเพช ซองจูพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“คำพูดนั้น หมายความว่าตอนนี้ เซจองก็จะทิ้งฉันด้วยใช่ไหม”
“ใช่แล้ว”
คนที่ยินดีกับความจริงข้อนั้นที่สุดก็คือคิมจีฮุนนี่แหละ แล้วซองจูก็ได้ตระหนักอีกว่า ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้ เป็นคนที่อำมหิตอย่างที่สุด
ตลอดเวลาสี่ปี คนที่เขากอดเก็บเอาไว้ยังคงเป็นเศษเสี้ยวของคนรักเก่าที่ฝังอยู่ในซอกหลืบของความรู้สึก แม้ว่าอีกคนจะรับรู้เรื่องนั้น แต่ก็ยังยอมให้เขาได้กอดเก็บมันไว้ เหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น และท้ายที่สุดคนนั้นก็มาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง เพื่อกระชากสิ่งที่เขาโอบกอดไว้แล้วโยนมันทิ้งไป ความจริงนี้ทำให้ซองจูถึงกับรู้สึกขนลุกขึ้นมา เขาไม่อยากที่จะต้องมาพัวพันกับคนแบบคิมจีฮุนเลยสักนิด
“เอาล่ะ ตอนนี้มันจบแล้ว แต่ฉันไม่เอากระเป๋าใบนี้ไปด้วยแน่ ฝากนายจัดการให้เรียบร้อยด้วยก็แล้วกัน”
“ฉัน? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เซจองต้องการสักหน่อย”
“ถ้าฉันยังเก็บกระเป๋านี่เอาไว้ อาจจะเป็นเรื่องขึ้นมาก็ได้”
เพราะการโต้กลับอย่างเจ็บแสบของซองจู ทำให้ใบหน้าที่เรียบเฉยของจีฮุนเริ่มตึงขึ้นมาทีละนิด
“จะทิ้งก็ทิ้งกับมือนายเองสิ มันคือของแทนความรู้สึกนี่ โยนเรื่องมาให้ฉันแล้วตัวเองก็หนีไป มันใช้ได้เหรอ?”
“นี่”
“ถ้าไม่อยากฟังก็จัดการซะ เอาไป”
จีฮุนเดินออกไปด้วยท่าทางราวกับไม่อยากทนฟังคำพูดไร้สาระอะไรอีกต่อไปแล้ว นั่นทำให้ซองจูเกิดความรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา เขาไม่ได้อยากจะเอากระเป๋านี่ไปด้วย แต่ว่าทำแบบนั้นก็เหมือนเมินเฉยต่อความรู้สึกของเซจอง อย่างที่จีฮุนพูดไว้นั่นแหละ ถึงไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะได้เจอกันอีกหรือไม่ แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้มันจบลงด้วยวิธีนี้
แต่ว่ากระเป๋าใบนั้นมันหนักเหลือเกิน
ความรู้สึกที่บรรจุอยู่ในนั้นมันช่างหนักหนาและเกินกำลังที่เขาจะรับได้ ความรู้สึกที่ไม่สามารถปล่อยมันไปได้นั้น ไม่อยากจะคิดเลยว่าตลอดทางที่กอดเก็บมันเอาไว้จะต้องทนเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหนกัน ดังนั้นซองจูจึงได้แต่นิ่งค้างอยู่หน้ากล่องใบนั้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร ก่อนจะหลับตาทั้งสองข้างลง
“ฉันขอตัวก่อน ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ามาเจอกันอีกเลย ถือว่าขอร้องก็แล้วกัน”
จีฮุนทิ้งท้ายความต้องการที่ไม่มีทางเป็นได้นั้นไว้แล้วจึงเดินจากไป ทันใดนั้นซองจูก็พรั่งพรูลมหายใจออกมาด้วยท่าทางอย่างคนที่แหลกสลาย
“เฮ้อ…จบแล้วสินะ”
แทบจะในเวลาเดียวกันกับที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา เขารีบคว้าฝากล่องนั่นมาปิดเอาไว้ ไม่สำคัญอีกแล้วว่าจะจัดการกับกระเป๋าสตางค์ใบนั้นอย่างไรต่อไป ก่อนอื่นต้องรีบเอามันออกไปให้พ้นจากสายตาเสียก่อน
ซองจูรู้สึกว่าตัวเขาอ่อนล้าเหลือเกิน
ปัง!
ประตูเหล็กที่ปิดกระแทก ส่งเสียงดังสนั่นออกมา แม้เสียงนั่นจะทำให้เจ็บจี๊ดที่หู แต่ซองจูก็ไม่ได้ใส่ใจ ก้าวเดินฉับๆ เข้าไปภายในห้องชุด
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีสติขับรถกลับมาถึงที่นี่ได้อย่างไร เขาเองยังรู้สึกทึ่งกับตัวเองมากๆ มือที่จับส่วนบนของถุงกระดาษสีดำเอาไว้ เขาขยุ้มอย่างแรงจนมันยับย่น ขณะที่เท้าหนักๆ ก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้น พาลเตะสะเปะสะปะไปทั่วตลอดทางที่เดินผ่าน
ทันทีที่วางถุงกระดาษลงบนโต๊ะ เขาก็ถอดเสื้อโค้ทที่สวมอยู่ออกก่อนจะโยนไปพาดไว้บนโซฟา ปลดกระดุมตรงคอปกของเสื้อเชิ้ตที่ถูกรีดจนเรียบออกด้วยความอึดอัด รวมไปถึงกระดุมตรงแขนเสื้อด้วย ซองจูสูดหายใจเข้าออกอย่างทรมาน
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่อาจควบคุมความโกรธที่ตีตื้นขึ้นมาจนแทบจะสำรอกมันออกมา เขาจึงได้รีบพุ่งตัวไปทางห้องครัว เพราะซองจูเป็นคนโมโหง่ายจึงมักจะมีถุงน้ำแข็งเตรียมเผื่อไว้เสมอ เขาแกะมันออกแล้วเทใส่ลงในแก้ว จากนั้นจึงนำไปเติมน้ำจากที่กดน้ำตรงตู้เย็นในโฮมบาร์ การออกแรงด้วยมือที่สั่นเทาเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด และเพราะมือที่ยังคงสั่นอยู่ก็ทำให้เขาผลักหัวก๊อกไปผิดทาง ซ้ำร้ายน้ำที่ล้นออกจากมือยังหกกระจายไปทั่ว ทำให้พื้นหน้าตู้เย็นตอนนี้กลายสภาพเป็นทะเลขนาดย่อมไปเสียแล้ว
“เวรเอ๊ย บ้าชะมัด…”
ซองจูที่สบถออกมาเสียงเบาด้วยความกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกมืออบอุ่นคว้าไปจับเอาไว้อย่างเงียบๆ
“พอเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
จองอูนั่นเอง ไม่รู้ว่าอีกคนโผล่มาจากไหน ฝ่ายนั้นถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนท่อนแขนยาวและแข็งแกร่งนั่นจะโอบประคองตัวของซองจูที่กำลังสั่นเทาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ทาบทับลงมาบนมือของเขา แล้วค่อยๆ ยื่นแก้วเข้าไปรองรับน้ำจากที่กดน้ำ
น้ำที่เอ่อล้นออกจากแก้วไหลไปตามมือที่สั่นเทาเรื่อยไปจนถึงพื้นเบื้องล่าง แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางน้ำเจิ่งนอง แต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีมีใครใส่ใจกับความเป็นจริงนั้น สำหรับจองอู สิ่งที่ต้องสนใจเป็นอันดับแรกก็คือซองจู เขาประคับประคองตัวของอีกคนเอาไว้ พร้อมกับตบเบาๆ ลงไปบนหลังอย่างปลอบโยน ซองจูที่เหมือนถูกกอดเอาไว้ในอ้อมแขนใช้สองมือสั่นเทาประคองแก้วขึ้นมา ก่อนจะดื่มน้ำเย็นในแก้วเข้าไป
“เฮ้อ…”
น้ำเย็นที่ไหลผ่านลำคอเข้าสู่ร่างกายทำให้อุณหภูมิเย็นวาบของมันแผ่ไปทั่วร่าง ในตอนนั้นเองเขาถึงได้รู้สึกว่าหายใจได้โล่งขึ้น แล้วจู่ๆ ร่างกายของซองจูก็หมดแรงเอาเสียดื้อ ๆ
“เดินไหวไหม”
เมื่อจองอูที่ประคองร่างโงนเงนอยู่นั้นเอ่ยถามขึ้นมา ซองจูจึงได้พยักหน้าอย่างอ่อนแรงกลับไป จองอูเชื่อคำพูดอีกฝ่ายจึงค่อยๆ คลายอ้อมแขนออก แต่ไม่ทันไรก็ต้องเข้าไปคว้าร่างของซองจูที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ดันลื่นน้ำที่เจิ่งนองบนพื้น สุดท้ายจองอูก็ทำเพียงถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่าย
“จะไปไหน เดี๋ยวพาไป”
“…ไปห้อง”
“ห้องนอน?”
“อือ”
ทันทีที่บทสนทนาแสนสั้นจบลง จองอูซึ่งประคองร่างของซองจูเอาไว้ จึงค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้า หากเป็นเวลาปกติซองจูคงได้แสดงท่าทีหงุดหงิดรำคาญใจออกมาแล้ว แต่เวลานี้เจ้าตัวเพียงก้าวเดินไป ทั้งที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสงบเสงี่ยม นั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แน่นอนว่าจองอูไม่ได้พูดมันออกมา เพราะถ้าหากทำอย่างนั้นแล้ว ซองจูคงจะไม่นิ่งเฉยอยู่แบบนี้แน่ แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขากลับดีใจเสียด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายยอมพึ่งพาเขาแบบนี้ ทั้งเขายังต้องคอยบังคับริมฝีปากที่มันคอยแต่จะสัมผัสลงไปบนเส้นผมซองจูที่อยู่ในระยะสายตาของเขาตอนนี้อีกด้วย
ผมของซองจูต่างจากเขาที่มีผมสีดำสนิท เส้นผมสีสว่างที่เขาคิดว่ามันช่างเหมือนกับผู้เป็นเจ้าของ แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะยกมืออีกข้างที่ว่างลูบศีรษะของอีกคน ในตอนนั้นเองน้ำเสียงแข็งทื่อก็ร้องท้วงขึ้นมาในทันที
“เอามือออกไป”
การตอบรับที่ไม่ต่างจากปกติ ทำเอาจองอูถึงกับหัวเราะเบาๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายที่สั่นไหวของอีกคนที่ประคองตัวเองเอาไว้ทำให้ซองจูรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายที่สั่นระริกของเขามันค่อยๆ สงบลง และอีกไม่กี่ก้าวต่อมา พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าห้องนอนโดยไม่ทันได้รู้ตัว
“ให้พาไปส่งถึงข้างในเลยไหม”
แม้จะถามออกมาตามมารยาท แต่ทว่าแรงพยุงที่แขนนั้นมันกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ถึงแม้จะปฏิเสธออกไปแต่ซองจูก็รู้สึกได้นิดๆ ว่า อย่างไรเสียอีกคนก็คงดึงดันจะพาเข้าไปส่งถึงข้างในอยู่ดี จึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างอ่อนแรงออกไป
“อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน”
“ไม่ได้เป็นพวกที่ชอบกลับคำพูดซะหน่อย”
ทันทีที่ได้รับคำตอบห้วนๆ กลับมา เท้าที่หยุดชะงักลงเมื่อครู่ก็เริ่มก้าวเดินต่อ ซองจูที่พักพิงร่างกายไว้กับอีกฝ่าย ก้าวเดินเข้ามาถึงภายในห้องอย่างเลื่อนลอย ด้วยการเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอเหมือนกับจังหวะการเต้นของหัวใจ
หลังจากที่จองอูพยุงซองจูนั่งลงบนเตียงแล้ว เจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไปเงียบๆ เมื่ออีกคนออกไปจากห้องแล้ว สักพักหนึ่งก็มีเสียงเท้าย่ำลงบนน้ำดังขึ้นมา ในตอนนั้นเองซองจูจึงรู้ว่าจองอูกำลังจัดการทำความสะอาดพื้นห้องครัวที่มีน้ำเจิ่งนองเหมือนแม่น้ำฮันขนาดย่อมนั่นอยู่
“นี่ เดี๋ยวฉันจะทำ…”
ซองจูตะโกนเสียงสูงออกไป แล้วก็ต้องตกใจออกมา เมื่อจู่ๆ ก็เหมือนมีมวลความหนาวเย็นถาโถมเข้ามา ดูท่าว่าคงจะไข้ขึ้นอย่างแน่นอน
เขาเอื้อมมือที่สั่นเทาไปคว้าผ้าห่มมาพันรอบตัว ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หากไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ เขาก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ต่อหน้าพ่อแม่เขาไม่สามารถแสดงอารมณ์โกรธออกมาได้ พอลองพยายามที่จะผ่อนคลาย สุดท้ายจึงจบด้วยการเจ็บป่วยเช่นนี้ เวลาเป็นแบบนี้ทีไร ซองฮีมักจะเรียกมันว่า ‘อาการคลุ้มคลั่งกำเริบ’ พ่อแม่มักจะคิดว่าซองจูแค่ร่างกายอ่อนแอ แต่ว่าซองฮีที่รู้สาเหตุที่แท้จริงของอาการป่วยนี้ มักจะส่งเสียงเฮอะลับหลัง พาลให้ความโกรธของซองจูทวีคูณขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นมันก็ผ่านมาเนิ่นนานมาก จนเหลือเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น แล้วน้ำเสียงทุ้มต่ำของจองอูก็ดังขึ้นที่ข้างหู ในขณะที่ตัวเขานั้นยังห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าห่มผืนบาง
“เสื้อเอาไปเก็บที่ห้องแต่งตัวให้แล้วนะ อันนี้จะให้วางตรงไหน ถุงกระดาษมันขาดแล้ว ก็เลยเอาไปไว้ตรงที่ทิ้งขยะ จะให้ไปเอากลับมาไหม”
[1] แถบเมอบีอุส พื้นผิวชนิดหนึ่ง ซึ่งมีด้านเพียงด้านเดียวและมีขอบเพียงข้างเดียว สิ่งที่น่าสนใจทางคณิตศาสตร์ก็คือ ไม่ว่าเราจะเลือกสองจุดใดๆ บนแถบ เราสามารถที่จะลากเส้นเชื่อมต่อสองจุดนั้นได้โดยที่ไม่ต้องยกปากกาหรือว่าลากเส้นผ่านขอบ
ตอนที่ 2-11
ตอนที่ 2-11 แผลฉกรรจ์
ในมือของอีกคนถือกล่องที่ข้างในใส่กระเป๋าสตางค์ของเซจองเอาไว้ ซองจูที่ได้เห็นสิ่งนั้นก็เริ่มเกิดอาการตัวสั่นอย่างรุนแรงขึ้นมาอีก จองอูที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตาโต เขารีบร้อนเข้าไปภายในห้อง แล้วแตะมือลงบนหน้าผากของซองจูในทันที
“นี่นาย เหมือนจะเป็นไข้นะ ไหวไหม ต้องไปโรงพยาบาลหรือเปล่า”
“ไม่ต้อง อย่าถามมาก เดี๋ยวมันก็หายเองแหละ”
“เกิดเรื่องอะไรที่บริษัทงั้นเหรอ”
จองอูซักไซ้ออกมาไม่สมกับเป็นเจ้าตัวเอาเสียเลย ทำให้เขารู้สึกรำคาญขึ้นมานิดๆ แต่ซองจูก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้ จึงได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับกำผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่แน่นขึ้น
“ฉันขอร้องอะไรหน่อยสิ”
“อะไรล่ะ”
ซองจูมองไปยังจองอูที่กำลังมองเขาด้วยสายตาเป็นกังวล ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยคำขอร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“รู้จักห้องแต่งตัวฉันสินะ”
“อือ”
“ฉันจะไปอาบน้ำ นายช่วยไปเอาเสื้อผ้าในนั้นมาให้หน่อย”
“ชั้นในด้วยไหม”
“…อือ”
แม้จะไม่อยากขอร้องอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มันก็ช่วยไม่ได้ ในเวลานี้แค่ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำก็ยังนับเป็นเรื่องยากสำหรับซองจูเลย แต่ถ้าไม่อาบเขาก็คงไม่อาจทนอยู่บนเตียงเฉยๆ แบบนี้ได้ ทั้งตัวยังคงเป็นชุดที่ใส่ออกไปข้างนอก แล้วยังคลุมตัวไว้ด้วยผ้าห่มอีก ฮันซองจูที่ปกติเป็นพวกค่อนข้างรักความสะอาด ไม่มีทางยอมรับเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน เขาจึงพยายามลุกขึ้นยืนด้วยขาอันสั่นเทา ก่อนจะหันไปพูดกับจองอูอีกครั้งหนึ่ง
“เอาเสื้อผ้าวางไว้บนเตียงก็พอ ขอโทษด้วย”
“รีบไปอาบน้ำซะเถอะ ให้พาไปที่ห้องน้ำด้วยไหม”
“…ไม่ต้อง”
เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจนั่น จองอูที่ยังละล้าละลังอยู่จึงตัดสินใจเดินออกจากห้องไป ซองจูมองตามแผ่นหลังกว้างซึ่งค่อยๆ ไกลออกไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพาตัวเองไปยังห้องอาบน้ำที่อยู่ภายในห้องนอน
แม้จะได้สัมผัสกับน้ำอุ่นแต่ว่าร่างกายก็ยังคงไม่หยุดสั่น หลังออกจากกรมเขาก็ไม่เคยป่วยหนักถึงขนาดนี้มาก่อน แม้กระทั่งหลังจากที่เลิกกับเซจองในตอนนั้นก็ยังไม่เจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเลย
อ้า นั่นสินะ
ตอนนี้ฉันเลิกกับเซจองแล้วนี่
ซองจูยืนเหม่อลอยอยู่กลางสายน้ำที่ยังคงไหลลงมากระทบตัวอย่างไม่ทีท่าว่าจะหยุดลง รู้สึกราวกับถูกตีเข้าที่ท้ายทอยอย่างจังกับความคิดที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ในเวลาที่มันสายไปแล้วเช่นนี้
แม้จะเลิกรากันไปหลายปีแล้ว แต่เป็นเขาเองที่โง่งม เป็นเขาเองที่ไม่เคยหยุดความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายได้เลย เป็นตัวเขาที่ยังคงสั่นเทาอยู่ในเวลานี้ ความรู้สึกนั้นของเขาแน่นอนว่าเซจองเองก็รับรู้มันเป็นอย่างดี แม้ไม่อาจเอื้อมมือไปหาอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็ไม่เคยหยุดหัวใจนี้ได้เลย เหมือนที่จีฮุนพูดว่า ‘ยึดติด’ นั่นแหละ
ซองจูคอยเปรียบเทียบตัวเขากับจีฮุนอยู่เสมอ และหลายๆ อย่างบอกว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าจีฮุน
แต่ทว่าในความเป็นจริง คนที่มุนเซจองเลือกก็คือคิมจีฮุนไม่ใช่ตัวเขา อีกคนจัดการกับความรู้สึกที่ยังหลงเหลือต่อเขา และประกาศออกมาอย่างชัดเจนที่จะลงหลักปักฐานกับคิมจีฮุน การที่เซจองคืนกระเป๋าสตางค์ที่เป็นเหมือนความทรงจำสุดท้ายที่มีต่อเขามา มันก็คงจะหมายความว่าแบบนั้นนั่นแหละ ซองจูใช้มือที่สั่นระริกปิดก๊อกฝักบัว
เขาเช็ดผมเปียกชื้นและอบอวลไปด้วยกลิ่นของแชมพูด้วยผ้าขนหนู ร่างกายเปลือยเปล่าเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมหนานุ่มที่วางพาดเตรียมไว้ที่โต๊ะด้านหน้าห้องอาบน้ำมาสวม ตลอดเวลาที่ก้าวเดินแม้จะเพียงไม่กี่ก้าว แต่ร่างกายที่สั่นเทาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแม้แต่น้อย เขานึกคาดเดาว่าอาการป่วยรุนแรงนี้จะกินเวลาสักกี่วัน ขณะที่ก้าวเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ในตอนนั้นเองซองจูถึงกับผงะไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นจองอูยืนเหม่ออยู่ที่ข้างเตียง
“นาย อะไรเนี่ย ทำไมถึงได้มายืนอยู่ตรงนั้น”
เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นและขาดๆ หายๆ แล้วก็ได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดกลับมา
“ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไอ้นี่วางไว้ตรงไหนน่ะ”
สิ่งที่จองอูยื่นออกมานั้นก็คือกล่องที่ใส่กระเป๋าสตางค์ของเซจองเอาไว้ พอได้เห็นสิ่งนั้นขาของซองจูก็อ่อนแรงเสียดื้อๆ
“เฮ้ย! ระวังหน่อยสิ!”
จองอูรีบก้าวเข้ามาคว้าร่างที่ทรุดฮวบลงไปได้ทันท่วงที เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ร่างกายนั้นกลับสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จองอูพอจะเดาสาเหตุของอาการสั่นที่เกิดขึ้นได้บ้างแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพราะของที่อยู่ในกล่องนี้ จองอูจึงได้รีบเอากล่องซ่อนไว้ด้านหลัง แล้วประคองร่างกายของซองจูเอาไว้ด้วยแขนอีกข้าง
“ไปนั่งที่เตียงก่อน”
“…ไม่ต้อง”
ไวกว่าความคิด เจ้าตัวก็พูดสวนกลับมาในทันที ซองจูลังเลอยู่ครู่นึงก่อนจะส่ายหน้าและยื่นมือออกไปทางจองอู
“ส่งมา”
เขาสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด จองอูลังเลอยู่ครู่ก่อนจะยอมส่งกล่องสีดำนั่นให้กับซองจู
“ถ้างั้น ฉันไปนะ”
จองอูที่เห็นซองจูวางกล่องนั้นลงที่ข้างตัวก็เตรียมหันหลังเดินกลับออกไป ทว่าตัวเขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าพ้นขอบประตู จองอูก็ถูกเสียงแผ่วเบารั้งตัวเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน”
จองอูหันกลับมาถามอีกฝ่ายทางสีหน้าว่ามีอะไรหรือเปล่า
“อย่าไป ช่วยอยู่ที่นี่ก่อน ตอนที่เปิดมัน”
ซองจูพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูน่าสงสารอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ดวงตาคู่นั้นดูราวกับจะมีน้ำตารินไหลออกมา ใบหน้าที่จ้องไปทางกล่องใบนั้น มันซีดเผือดเสียจนน่ากลัวว่าอีกคนจะเป็นลมล้มพับลงไปเสียก่อน สิ่งที่สะดุดตาในใบหน้านั้นของอีกคน คงมีเพียงริมฝีปากสีระเรื่อที่สั่นระริกนั่น ฮันซองจูในสภาพแบบนั้น มันช่างดูแปลกตาเหลือเกิน จองอูรีบร้อนก้าวเท้ากลับเข้าไปใกล้ซองจู
ด้วยช่วงขาเรียวยาวนั้นทำให้ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถเข้าไปสัมผัสมือของซองจูได้ จองอูย่อตัวลงคุกเข่าที่หน้าเตียงนอน ก่อนจะคว้าร่างที่สั่นเทาของอีกคนมาไว้ในอ้อมกอด
“ไหวนะ?”
ซองจูพยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบ แต่ในความเป็นจริงแล้วอีกคนไม่มีทางไหวอย่างแน่นอน จองอูรู้สึกว่าตอนนี้ซองจูช่างเหมือนกับตัวเขาในตอนเด็ก
เขาที่มาเห็นภาพของพ่อที่กำลังทำร้ายแม่ จึงได้หนีไปแอบที่ห้อง เนื้อตัวนั้นสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่นอยู่นานนับชั่วโมง พ่อที่อารมณ์โกรธลุกโชนราวกับไฟ เตะเข้าที่ผนังอย่างจังแล้วจึงออกจากบ้านไป แม่ที่เคยร้องตะโกนขอให้ไว้ชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้ก็บุกเข้ามาที่ห้องของจองอูพร้อมกับไม้กวาด ไม้เขี่ยฟืน หรือไม่ก็รองเท้าแตะ เธอใช้ของพวกนั้นทุบตีเขาที่ร่างกายอ่อนแอโดยไร้ความปรานี แม้จะอ้อนวอนร้องขอให้ไว้ชีวิตแค่ไหน ก็ไม่มีใครรับฟัง เหมือนเขาเห็นภาพตัวเขาในตอนนั้นซ้อนทับอยู่ที่ตรงหน้า จองอูออกแรงโอบรัดซองจูแน่นขึ้น
มืออีกข้างลูบไล้ผ่านต้นคออย่างแผ่วเบาขึ้นไปด้านบน ลูบปลอบลงไปบนกลุ่มผมที่ยังคงเปียกชื้นอยู่ แล้วดึงรั้งศีรษะของอีกคนเข้าหาตัว ซองจูซึ่งยังคงถือกล่องสีดำเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งก็ปล่อยตัวให้เอนพิงไปตามแรงของจองอู
ซองจูที่เนื้อตัวสั่นเทาซุกซบศีรษะไว้ที่ต้นคอของจองอู อีกคนลูบหลัง ลูบหัวอย่างเงียบๆ เพื่อปลอบให้ซองจูสงบลง ดึงรั้งร่างกายที่สั่นเทาอยู่ตลอดเข้ามาใกล้ตัวอย่างดื้อดึงจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ซองจูที่เหนื่อยเกินกว่าจะขัดขืนจึงได้แต่เอนตัวพิงจองอูอย่างง่ายดาย ร่างกายที่แนบชิดทำให้ได้กลิ่นหอมของแชมพูที่ฟุ้งอบอวลออกมาและไออุ่นจากตัวซองจูก็ทำให้จองอูรู้สึกหวิวขึ้นมา เขาผละร่างกายที่แนบชิดกันเมื่อครู่ออกมา ก่อนจะจ้องหน้าของซองจู
“นั่งบนเตียงได้ไหม”
ซองจูพยักหน้ารับโดยไม่ขัดขืน
ทันทีที่ได้รับอนุญาต ตัวเขาจึงลุกขึ้นไปนั่งลงบนเตียงอย่างหวาดๆ แรงที่กดลงบนเตียงตามการเคลื่อนไหวทำให้กล่องที่วางอยู่ข้างตัวซองจูกระเด็นกระดอนไปเล็กน้อย จองอูจึงได้แต่พึมพำขอโทษกับสถานการณ์ตรงหน้า
“เอ่อ โทษที”
“ไม่เป็นไรหรอก ช่างมันเถอะ”
จองอูจดจ้องไปที่ใบหน้าของซองจูซึ่งเอ่ยคำว่าไม่เป็นไรออกมาด้วยริมฝีปากสั่นระริกนั่น ก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองทางกล่องไปนั้น
จองอูคิดขึ้นมาว่า อะไรกันนะที่มันอยู่ในกล่องนั้น อีกคนถึงได้ยอมรั้งกันเอาไว้ ทั้งที่ก็ไม่ได้ชอบใจในตัวเขานัก
แน่นอนว่าเขารู้แก่ใจดีถึงสาเหตุที่ซองจูไม่พอใจในตัวเขาเอาเสียเลย เป็นเพราะเหตุการณ์ในวันแรกนั่นแหละ ถึงอย่างไรสำหรับคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากใคร เรื่องแบบนั้นมันก็ไม่สำคัญอะไรอยู่แล้ว สำหรับจองอูแล้ว สิ่งสำคัญก็คือการที่เขาไม่ต้องอยู่เพียงลำพังไปช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ ความเศร้าและความโดดเดี่ยวที่กัดกินตัวเขาจนมันเกิดผลร้ายมากมาย ทั้งอาการหูแว่ว เกิดภาพหลอน หรือกระทั่งฝันร้ายพวกนั้นมันกลับค่อยๆ ลดลง ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะซองจู
แม้ว่าเขาจะถูกอีกฝ่ายต่อว่าและเพิกเฉยอย่างไร จองอูก็ยังรู้สึกพอใจในตัวซองจูเป็นอย่างมาก
ในตอนแรกนั้น ภาพลักษณ์ของอีกคนทำให้เขาคิดว่าเป็นเพียงคนที่ซับซ้อนคนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่า พอคิดดูดีๆ แล้ว หากจู่ๆ มีคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปโผล่พรวดพราดเข้ามา แล้วบอกว่าตัวเองจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ จะให้ต้อนรับด้วยความยินดีก็คงไม่ใช่เรื่อง ดังนั้น จองอูจึงได้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อการแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด หรือการเมินเฉยของซองจู
เรื่องที่ทำให้เขาสนใจอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างจริงจังน่ะ บางทีคงจะเป็นวันที่มินซิกหอบหิ้วแฮมเบอร์เกอร์เข้ามา แล้วเอ่ยปากชวนให้ไปกินด้วยกันนั่นแหละ วันนั้นจองอูรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าซองจูคิดว่าตัวเองถูกแย่งความสนใจของมินซิกไป ถึงได้แสดงอาการฉุนเฉียวออกมาเช่นนั้น เพราะเขาเติบโตมาโดยที่ไม่ได้รับการสนใจจากใครๆ ทำให้ไวต่อการจับความรู้สึกของคนอื่นได้อย่างน่าประหลาดใจ จองอูที่ได้เห็นผู้ชายอายุสามสิบกว่า หงุดหงิดเพียงเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจแบบนั้น มันทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อซองจู ดูอย่างไรคนนั้นก็เหมือนคนที่มีบาดแผลที่ไหนสักแห่ง
สำหรับคนที่มีบาดแผลเหมือนพวกสัตว์เวลาได้รับบาดเจ็บนั้นต้องการคนเอาใจใส่ และในวันนั้นเอง จองอูก็ได้ปลดล็อกประตูหัวใจที่ปิดเอาไว้ให้กับซองจู
หลังจากนั้นก็เป็นที่งานแต่งงานของซองฮี
ที่จริง จองอูไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าซองจูเป็นพี่ชายของซองฮี แม้ชื่อของทั้งคู่จะมีส่วนคล้ายคลึงกัน แต่ภายนอกกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งนิสัยยิ่งแล้วใหญ่ ต่างกันคนละขั้วเลย แม้ซองฮีจะเคยบอกว่าตัวเองมีพี่ชาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เพราะฉะนั้นเขาเองก็ไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายมาก่อนหน้านั้น ดังนั้นที่งานแต่งงานนั่น พอเขาได้เห็นซองจูซึ่งสวมสูทแบรนด์ดัง บนอกมีช่อดอกไม้กลัดไว้ และกำลังต้อนรับแขกเหรื่ออย่างแข็งขัน มันก็ทำเอาเขาตกใจไม่น้อยเลย
แต่ว่าในตอนนั้น จองอูแอบมองซองจูที่กำลังเผชิญหน้ากับคนสองคนที่เขาเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรกอยู่ตรงมุมหนึ่งของงาน เขาอ่านสีหน้าของอีกคนได้ว่ามันแฝงไปด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด
มันเหมือนกับเป็นสัญชาตญาณ แต่แค่จองอูมองหน้าซองจูเท่านั้น เขาก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของอีกคนได้แล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น