(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท ตอนพิเศษ 1

 ตอนพิเศษ 1-1 สถานที่

 


 


 


 


“ซองฮีมากินข้าวสิ! มัวทำอะไรอยู่ ฉันเรียกตั้งหลายรอบแล้วไม่เห็นขานตอบกันเลยนะ” 


 


 


“อ้อ โทษที! จะไปแล้ว” 


 


 


ถึงจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน ทำงานต่อเนื่องไม่ได้หยุดพักจนไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จ พอได้ยินเสียงเรียกของฮเยจองผู้เป็นภรรยา ซองฮีก็รีบลุกพรวดออกไปนอกห้องทันที ฮเยจองกำลังจัดวางจานที่มีควันฉุยและกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ ก่อนจะปรายตามามองซองฮีซึ่งกำลังเดินออกมา 


 


 


“นายนี่จริงๆ เลย…เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องซ้อมแบบนั้น ต่อให้เกิดระเบิดก็คงไม่รู้เรื่องหรอก” 


 


 


“ขอโทษนะ สำนึกผิดแล้วเนี่ย” 


 


 


“ต้องให้บ่นทุกวันหรือไง ช่างเถอะ แค่ทำงานในส่วนของนายให้ดีก็พอ ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นหรอก” 


 


 


“เข้าใจแล้ว ขอโทษจริงๆ นะ” 


 


 


ซองฮียังคงเอาแต่พูดขอโทษซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ บนโต๊ะอาหารมีทั้งสตูอยู่ในชามสวย ขนมปังฮาร์ดโรลที่ซื้อมาจากร้านขนมปังในละแวกใกล้ๆ บ้าน และนอกจากนี้ยังมีสลัดใส่อยู่เต็มชามขนาดใหญ่ 


 


 


“นี่ไปเตรียมมาตอนไหนเนี่ย ช่วงนี้ยุ่งๆ ไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“ไม่แล้วละ เสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ก็เลยว่าง งานรอบนี้เกี่ยวกับเรื่องอาหารด้วยละ ทีนี้ก็เลยเอาแต่อยากกินนู่นนี่ตลอดเลย นึกว่าจะตายแล้วซะอีก พอเสร็จปุ๊บ ก็รีบไปตลาดปั๊บเลย” 


 


 


ใบหน้าของซองฮีที่มองหน้าของฮเยจองซึ่งวางอาหารที่ตนเองทำเองลงตรงหน้าแล้วยิ้มกว้างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน 


 


 


พวกเขาได้รู้จักกันตอนอายุสิบปีปลายๆ และแต่งงานกันตอนอายุสามสิบปีต้นๆ กว่าสิบที่รู้จักกันนั้น ทั้งคู่คลาดกันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ได้กลายเป็นมาครอบครัวเดียวกันไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ซองฮีก็ยังคงชอบฮเยจองเอามากๆ ฮเยจองมองไปยังซองฮีซึ่งกำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ เจ้าตัวจึงได้ยกยิ้มอ่อนหวานออกมาเช่นกัน ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาถือ 


 


 


“รีบกินเถอะ สตูเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย” 


 


 


“อือ กินข้าวกัน” 


 


 


และแล้วทั้งคู่ก็เริ่มต้นมื้อกลางวันที่ล่วงเลยมานานมากแล้ว 


 


 


สตูที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อวัวและผักนั้นให้รสชาติที่ดีเยี่ยม ผักที่ใช้ทำสลัดก็สดมาก ส่วนขนมปังฮาร์ดโรลข้างนอกก็มีความกรุบกรอบ ส่วนเนื้อข้างในนั้นนุ่มฉ่ำกำลังดี ถึงจะดูเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็อยู่ในปริมาณที่พอดิบพอดีอย่างยิ่ง 


 


 


ซองฮีเป็นนักดนตรี ส่วนฮเยจองเป็นนักวาดภาพประกอบ สองสามีภรรยาจึงใช้เวลาที่บ้านด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของงานบ้านนั้น ก็ได้จัดการแบ่งสรรหน้าที่ของแต่ละคนเอาไว้ หากมีใครต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ ก็จะมาปรึกษาหาข้อสรุประหว่างกัน แรกๆ มันก็เป็นเรื่องที่แปลกอยู่บ้าง แต่หลังจากแต่งงานกันมาได้หนึ่งปีแล้ว เวลานี้มันก็กลายเป็นความคุ้นชินไปเสียแล้ว ชีวิตแต่งงานของทั้งสองคน ดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างราบเรียบ 


 


 


“อือ รสมันจัดไปหน่อยนะ ใส่พริกไทยเยอะเหรอ” 


 


 


ซองฮีที่กินสตูเข้าไปได้ไม่กี่ช้อนก็เอียงหัวพร้อมเอ่ยถามอีกฝ่าย ฮเยจองเบือนสายตามามองซองฮีซึ่งทำท่าทางเช่นนั้นอยู่ แล้วจึงได้ยื่นแก้วน้ำเปล่าส่งไปให้ ก่อนจะเอ่ยตอบ 


 


 


“วันนี้อากาศร้อนเลยทำรสจัดกว่าปกติ แล้วก็ใส่พริกไทยมากกว่าเดิมหน่อย ไม่อร่อยเหรอ” 


 


 


“เปล่า ไม่เลวเลยแหละ” 


 


 


ซองฮีตักสตูเข้าปากอีกครั้ง ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ  


 


 


“นี่มันรสที่เจ้านั่นชอบเลยนะ” 


 


 


ฮเยจองที่ได้ยินคำพูดนั้น ถึงกับเอียงหัวด้วยความสงสัย 


 


 


“เจ้านั่น? หรือว่าเป็นพี่ ไม่สิ หมายถึงพี่สามีงั้นเหรอ” 


 


 


ซองฮีถึงกับหัวเราะลั่นให้กับฮเยจองที่รีบร้อนเปลี่ยนคำเรียก 


 


 


“หืม ฮ่าๆๆ! นี่ พอเถอะ เรียกแบบทุกทีนั่นแหละ” 


 


 


“ถ้าเกิดเรียกแบบนั้น แล้วพลาดตอนที่อยู่ต่อหน้าคุณพ่อกับคุณแม่จะทำไงล่ะ” 


 


 


“ยังไงซะ เราก็ไม่ค่อยได้เจอท่านทั้งสองบ่อยๆ อยู่แล้ว จะกังวลไปทำไมกันล่ะ ถ้าเจ้านั่นมาได้ยินว่าตัวเองโดนเรียกว่าพี่สามี คงได้ไหล่กระตุกทุกครั้งแน่ เรียกแบบปกตินั่นแหละ” 


 


 


“หึ่ย จริงๆ เลย…แล้วยังไงที่พูดก็คือพี่ซองจูใช่ไหม พี่เขาชอบรสจัดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่” 


 


 


“อือ ก็ใช่แหละ” 


 


 


ซองฮีพูดออกมาเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มหน้าลงไปจนจมูกแทบจะติดกับถ้วยข้าว 


 


 


“วันนี้ไปห้องซ้อมไหม” 


 


 


“อือ ตอนเย็นต้องไปเจอเจ้าพวกนั้น ทำไมเหรอ” 


 


 


“จะห่อไปให้ เอาไปฝากพี่ด้วยละ” 


 


 


“งั้นเหรอ ห่อให้พอสำหรับสองคนด้วยนะ” 


 


 


สายตาของฮเยจองที่มองไปยังซองฮีซึ่งพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดคัดค้านอะไรออกมา มันเป็นสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย พอซองฮีรู้สึกได้ถึงสายตานั้น เจ้าตัวจึงได้ชะงักมือที่ถือช้อนอยู่ ก่อนจะเอ่ยถามฮเยองกลับไป 


 


 


“ทำไมเหรอ” 


 


 


แต่อีกคนกลับไม่ได้ตอบคำถามกลับมาในทันที ฮเยจองยังคงจ้องเขม็งไปที่ซองฮี ทั้งที่มือก็ยังถือช้อนค้างอยู่อย่างนั้น 


 


 


“ทำไม มีอะไรจะพูดงั้นเหรอ” 


 


 


“เปล่า ก็เรื่องนั้นน่ะ” 


 


 


“อือ” 


 


 


“เอาใจใส่เสียขนาดนั้น แต่ทำไมพอเจอหน้ากันถึงได้เอาแต่ชวนทะเลาะแบบนั้นล่ะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นะ พี่น้องแบบพวกนายเนี่ย” 


 


 


ฮเยจองพูดเช่นนั้นออกมาด้วยสายตาสะท้อนความจริงจัง ซองฮีที่ถูกกดดันด้วยสายตานั้นก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป และก็เริ่มขยับช้อนในมืออีกครั้ง 


 


 


 


 


 


“เฮ้อ…” 


 


 


หลังจากจบมื้ออาหารแสนอร่อย เขาก็กลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง แล้วซองฮีก็ถึงกับถอนหายใจออกมาทันที พอหันมองไปรอบๆ ห้องที่รกรุงรังไปหมด เขาก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ ความรู้สึกอึดอัดนั่นก็ยังไม่จางหายไป อย่างที่ฮเยจองพูดนั่นแหละ ถ้าเขาได้เริ่มทำงาน รอบข้างจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด แต่ว่าอย่างไรเสียการจัดการเก็บกวาดที่นี่ มันก็เป็นหน้าที่ของซองฮี ฮเยจองจึงไม่ได้บ่นอะไรอีก สาเหตุที่ทำให้เขาถอนหายใจออกมานั้น ไม่ใช่เรื่องอื่น แต่เป็นคำพูดที่คุยกันตอนกินข้าวนั่นแหละ 


 


 


 


 


 


‘เอาใจใส่เสียขนาดนั้น แต่ทำไมพอเจอหน้ากันถึงได้เอาแต่ชวนทะเลาะแบบนั้นล่ะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นะ พี่น้องแบบพวกนายเนี่ย’ 


 


 


 


 


 


ในยามที่เสียงของฮเยจองดังก้องอยู่ที่ข้างหู ซองฮีก็ได้แต่บ่นพึมพำออกมาแผ่วเบา พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาที่จัดไว้อยู่ตรงด้านหนึ่งของห้องทำงาน 


 


 


“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องทำแบบนั้นด้วย…” 


 


 


ทิ้งตัวนั่งอย่างอ่อนล้า ปล่อยให้สติล่องลอยออกไป และในตอนนั้นเองเรื่องราวเมื่อตอนที่ซองฮียังเป็นเด็กๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“คนไข้ฮันซองฮี ป่วยตรงไหนเหรอครับ” นั่นพี่เขาเอง 


 


 


เด็กน้อยฮันซองจูในวัยเจ็ดขวบที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนกำลังก้มลงมองมาที่ตัวเขา ซองฮีในวัยเพียงห้าขวบนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าของพี่ชายที่กำลังอมยิ้มและมองลงมาที่เขานั้น มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย 


 


 


ที่มาที่ไปของเหตุการณ์นี้ก็คือการไปฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสสมองอักเสบ 


 


 


เพราะพ่อแม่ที่ยุ่งอยู่ตลอดเวลา การได้รวมตัวกันครบสี่คนในครอบครัวจึงเป็นเรื่องยาก การไปโรงพยาบาลก็เช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคุณย่าหรือไม่ก็คุณยายที่จะมาทำหน้าที่ผู้ปกครองแทน 


 


 


แต่วันนั้นมันกลับต่างออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พ่อกับแม่จูงมือพาเขากับพี่ชายไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีน หลังจากนั้นก็ยังได้กินข้าวด้วยกันก่อนจะกลับมาที่บ้านอีกด้วย มันช่างเป็นเรื่องน่าประทับใจไม่รู้ลืม พอหลังจากนั้นไม่กี่วัน ซองจูก็คว้าตัวซองฮีมา แล้วก็รบเร้าชวนให้เล่นเป็นหมอกับคนไข้กัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ดูเจ๋ง อย่างไรเสียเขาก็ต้องทำตามใจซองจูทั้งนั้น ดังนั้นซองจูจึงเป็นหมอ ส่วนซองฮีก็เป็นคนไข้ 


 


 


ไม่ว่าจะเมื่อก่อน หรือตอนนี้ หากซองจูแสดงท่าทีดื้อดึงออกมา เขาก็ไม่เคยเอาชนะอีกคนได้เลย วันนั้นเองก็เช่นกัน ซองฮีได้แต่ยอมทำตามใจพี่ชายไปเงียบๆ สวมบทบาทคนไข้ 


 


 


“เหมือนจะปวดท้องครับ” 


 


 


ซองฮีบอกสาเหตุของอาการป่วยออกไปแบบส่งๆ พร้อมกับต้องทนให้ซองจูใช้นิ้วเรียวนั่นกดแรงๆ ลงมาบนร่างกายของเขา 


 


 


แรกๆ ตอนเล่นนั่นเล่นนี่ก็จะแสดงสีหน้าเสมือนจริง จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ซองจูก็เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง แค่ได้เห็นท่าทางของหมอเด็กไม่กี่ครั้ง เจ้าตัวก็สามารถเลียนแบบท่าทางออกมาได้ ปัญหามันเกิดขึ้นหลังจากนั้นนั่นแหละ 


 


 


“เอาล่ะ คนไข้ฮันซองฮี เลือดกำเดาไหลเยอะมากเลย ต้องห้ามเลือดก่อนนะ” 


 


 


ซองฮียังคงตกใจจนพูดอะไรไม่ออก จึงได้ลุกพรวดขึ้นมาในทันที 


 


 


“พี่ฮะ ผมไม่ได้เลือดกำเดาไหลนะ” 


 


 


“หือ ไม่นะ เลือดกำเดาไหลอยู่นี่ รีบนอนลงเร็วเข้า คนไข้” 


 


 


พูดออกมาพร้อมกับอมยิ้ม แต่ทว่าบรรยากาศที่แผ่ออกมาโดยรอบกลับกำลังบอกเขาแบบนี้อยู่ 


 


 


‘ไอ้เวรนี่ นอนลงไปเดี๋ยวนี้’ 


 


 


ซองฮีที่ยังเด็ก เมื่อถูกกดดันด้วยท่าทางคุกคามแบบนั้น ก็ได้แต่ยอมนอนลงไปเงียบๆ อย่างเดิมอีกครั้ง 


 


 


“คนไข้ ถ้ายังไม่เชื่อฟังแบบนี้อีก กลับบ้านไปแล้วจะต้องโดนดุแน่ๆ เลยนะ” 


 


 


พูดออกมาเช่นนั้นเพื่อกดดันเขา พร้อมกับที่ซองจูเปิดกล่องปฐมพยาบาลอันเล็กออกโดยไม่พูดอะไรอีก ตัวเขาเพียงชะโงกหน้าขึ้นมาแอบชำเลืองมอง จึงได้เห็นอีกคนกำลังแกะถุงที่ใส่สำลีสีขาวออกมา 


 


 


มือเล็กๆ นั่นออกแรงแกะถุงพลาสติกนั่นจนสุดแรง แล้วจึงดึงเอาก้อนสำลีสี่เหลี่ยมที่เหมือนน้ำตาลก้อนนั่นออกมา แล้วก็เอาออกมากองรวมกัน ก่อนจะอัดรวมกันจนมันได้เป็นก้อนแน่นๆ หลายก้อน แล้วจากนั้นซองจูก็มองที่ซองฮีพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก 


 


 


“เอาล่ะ มาห้ามเลือดกัน” 


 


 


ใบหน้าเปื้อนยิ้มของซองจูขยับเข้ามาใกล้ซองฮีมาขึ้นเรื่อยๆ อีกคนกำก้อนสำลีเอาไว้ในมือข้างหนึ่งราวกับมันเป็นสิ่งมีค่า ส่วนอีกมือก็คว้าข้อมือของซองฮีที่กำลังตกตะลึงด้วยความหวาดกลัวเอาไว้ นั่นมันไม่ใช่สายตาของเด็กแล้ว 


 


 


“เด็กดี เอาล่ะ ต้องทนหน่อยนะ” 


 


 


เจ้าตัวพูดออกมาตามบทพูดของหมอเด็กอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง พร้อมกับที่นิ้วเรียวของเจ้าตัว เริ่มจัดการยัดก้อนสำลีทีละก้อนเข้ามาในรูจมูกของน้องชาย 


 


 


เมื่อคิดว่าใส่เข้าไปในรูจมูกข้างละอันแล้วมันยังไม่พอ จึงได้ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเข้าไปอีก ยัดเข้าไปแล้ว ก็ยัดเพิ่มเข้าไปอีก ตอนที่ยัดมันเข้าไปนั้น พอดวงตาของทั้งคู่มองสบกัน ซองจูก็จ้องมาที่ซองฮี พร้อมกับยกยิ้มกริ่ม 


 


 


“เอาล่ะ เด็กดี” 


 


 


ในตอนนั้นเองซองฮีจึงได้ระเบิดเสียงร้องไห้ดังลั่นออกมา   


 


 


“ฮือ! คุณป้า! แม่! พ่อ! พี่เขาจะฆ่าผม!” 

 

 

 


ตอนพิเศษ 1-2 สถานที่

 


 


 


 


เจ้าตัวยื้อแขนที่ถูกพี่ชายจับไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย จนสะบัดออกมาได้ แล้วซองฮีก็ลงไปที่ชั้นหนึ่ง วิ่งตามหาแม่บ้านและพ่อแม่ในห้องทำงานของทั้งคู่ที่แยกกันคนละส่วน 


 


 


เรื่องราวหลังจากนั้นก็จำไม่ค่อยได้แล้ว 


 


 


สำลีที่ถูกยัดเข้ามามากเกินไป มันได้หลุดลงหลอดอาหารไปหรือเปล่านะ เขาถูกบังคับให้อ้าปากออกเพื่อตรวจดู กะโดยประมาณแล้วน่าจะมีสักสิบอันได้ แต่มันกลับไม่หลงเหลือร่องรอยอะไรอยู่เลย ทว่าซองฮีก็ยังคงสะอื้นไห้อยู่ ส่วนซองจูก็เดินตามมายืนดูอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย นั่นจึงทำให้ได้เห็นภาพแม่เอ่ยพูดตำหนิสองพี่น้องอย่างที่ไม่ค่อยเห็นนัก 


 


 


แน่นอนว่าจุดสนใจนั้นถูกบิดเบือนไป 


 


 


“ก็เล่นกันดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือไง แม่อยู่บ้านแต่ก็ต้องอ่านหนังสือนะ เราสองคนพากันทำเสียงดังโหวกเหวกแบบนี้ มันใช้ได้เหรอ”   


 


 


“ขอโทษครับ พวกเรากำลังเล่นหมอกับคนไข้กันอยู่ ซองฮีคงจะรู้สึกกลัวขึ้นมาน่ะครับ แม่ครับ ผมผิดไปแล้วครับ” 


 


 


“ไม่เป็นไร ซองฮียังเด็ก คงจะกลัวหมอสินะ คราวหลังลูกๆ ก็เล่นอย่างอื่นแทนก็แล้วกัน” 


 


 


แล้วมันก็จบลงแค่นั้น 


 


 


แม่ไม่ได้สอบถามให้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา ไม่คิดจะรับรู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่คิดจะพยายามเข้าใจคำพูดที่วกไปวนมาของลูกชาย ส่วนพ่อที่เลิกงานกลับมา เมื่อดูแล้วคิดว่าไม่มีเรื่องสลักสำคัญอะไร จึงไม่ได้บอกอะไรไปตั้งแต่ต้น แล้วมันก็เป็นแบบนั้นเสมอ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ความทรงจำเนิ่นนานมากแล้วที่ผุดขึ้นมาทำให้ซองฮีได้แต่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับยกแขนข้างหนึ่งขึ้นก่ายหน้าผาก  


 


 


หลังจากวันนั้นซองจูก็ยังคอยรังแกซองฮีอยู่ดี  


 


 


พฤติกรรมร้ายๆ ควรจบลงเมื่อเข้าสู่ชั้นประถม แต่ว่ามันก็ไม่มีทีท่าที่จะจบลงเลย แม้อีกคนจะไม่ได้รังแกซองฮีโดยตรง แต่ก็มักจะแสดงนิสัยที่เลวร้ายออกมา และแสดงท่าทางกดดันให้รู้สึกอึดอัดใจ แต่ทว่าถึงจะถูกรังแกอย่างไร ก็ไม่สามารถลบเลือนความทรงจำในวันนั้นไปได้เลย  


 


 


วันนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซองฮีรู้สึกได้ถึงการจงใจฆ่า  


 


 


อายุเพียงแค่ห้าขวบ เขากลับตระหนักถึงมันได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะได้รับการอบรมสั่งสอนเสียอีก ความโหดร้ายนั้น จนกระทั่งเวลาผ่านมาถึงอายุสามสิบปีอย่างในตอนนี้ มันก็ยังคงติดค้างอยู่ในชีวิตของเขา  


 


 


ทุกครั้งที่ซองฮีนึกถึงเรื่องในตอนนั้นขึ้นมาทีไร สิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือแววตาคู่นั้น ดวงตาสีน้ำตาลราวกับเพชรนั่น มองเพียงแวบเดียวก็จะเห็นประกายสีเขียวงดงามในแววตานั้น แต่พอนึกถึงเวลาที่มันจ้องมองมาที่เขา มันกลับทำให้รู้เสียวสันหลังวาบไปหมด  


 


 


เบื้องหลังสีหน้าที่เต็มไปด้วยความใจดี ดูน่ารักนั่น มันคือความอิจฉาและหวาดกลัว ความโกรธและความยินดีปะปนกันอยู่ในนั้น ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความรู้สึกหมองหม่นนั่น เด็กน้อยอายุเพียงเจ็ดขวบที่ยังไม่ได้เริ่มเข้าโรงเรียนกับความรู้สึกที่มีนั้น ช่างบิดเบี้ยวและมืดมนเสียเหลือเกิน  


 


 


ซองจูมักจะมองมาที่ซองฮีด้วยสายตาเช่นนั้นเสมอ  


 


 


แรกเริ่มเขาไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนั้นของซองจูเลย หากพอโตขึ้นก็เริ่มจะเข้าใจมันขึ้นมาได้นิดหน่อย นั่นคงเพราะความรู้สึกไม่พอใจกับการไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ และเพราะหวาดกลัวว่าน้องชายที่เกิดขึ้นมาหลังจากตัวเองเพียงแค่สองปีจะมาแย่งความสนใจของพ่อแม่ไป แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็น่าปวดหัวกับการมีอยู่ของน้องชายที่น่ารักนั่น  


 


 


ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ความรู้สึกที่ซองฮีมีให้กับซองจูมันก็คล้ายคลึงกัน  


 


 


ถึงอย่างไร ประสบการณ์ในวันนั้น มันก็ได้นำความเปลี่ยนแปลงมากมายมาให้กับสองพี่น้อง 


 


 


ความน่ากลัวเกี่ยวกับความตายที่ได้สัมผัสเป็นครั้งในชีวิต มันฝังแน่นอยู่ในส่วนลึกของซองฮี และคอยทำร้ายเขาอยู่อย่างนั้น แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือการได้รับรู้ว่าพ่อและแม่ไม่เคยมีใครมองเห็นความหวาดกลัวแบบนั้นของพวกเขาเลย ยิ่งกว่าความหวาดกลัวว่าจะถูกพี่ชายทำร้าย ความกลัวที่ว่าพ่อแม่จะไม่เหลียวแลและทอดทิ้งไปนั้น มันกลับยิ่งใหญ่กว่ามาก ความไม่ลงรอยกันที่พวกท่านไม่เคยจะปรายตามามอง มันทำให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของสองพี่น้อง 


 


 


และเกี่ยวพันไปถึงปัญหาการเติบโตขึ้นมาเป็นที่เด็กดี 


 


 


พี่ชายที่ซองฮีจดจำได้นั้นต้องใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ ด้วยการซุกซ่อนความรู้สึกอันยุ่งเหยิงเอาไว้ให้ลึกที่สุด ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ถอดผ้าอ้อม จนกระทั่งถึงในตอนนี้ 


 


 


“เทียบกับตอนนั้นแล้ว ก็ดูเป็นคนขึ้นมาบ้างละนะ” 


 


 


ซองฮีพึมพำออกมาเช่นนั้น ปล่อยแขนที่ก่ายหน้าผากอยู่ให้ตกลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง 


 


 


‘ครืดดด’ 


 


 


เจ้าตัวเพียงผงกศีรษะขึ้นมาดู ทั้งที่ร่างกายก็ยังคงนอนแผ่ไปบนโซฟาอย่างไร้แรงจะพยุงตัว แล้วจึงได้เห็นว่าโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะมีแสงวูบวาบขึ้นมาที่หน้าจอ เซจุนเพื่อนร่วมวงนั่นเอง ซองฮีจึงได้รีบคว้าโทรศัพท์มาแนบหูทันที 


 


 


“ฮัลโหล” 


 


 


“ว่างอยู่เหรอ ถึงได้รับโทรศัพท์ทันทีเลยแบบนี้” 


 


 


“เพิ่งกินข้าวเที่ยงไป ก็เลยยังพักผ่อนอยู่น่ะ” 


 


 


“งั้นเหรอ ถ้างั้นออกมาตอนนี้เลยได้ไหม” 


 


 


เซจุนที่ยังมีน้ำเสียงร่าเริงไม่ต่างจากปกติ กลับฟังดูมีร่องรอยของความไม่สบายใจปะปนมา ซองฮีจึงได้เริ่มขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


“ทำไม มีเรื่องอะไรหรือไง” 


 


 


“ถือว่าขอร้องละนะ ช่วยเปลี่ยนไอ้ท่าทางเหมือนเครื่องจักรแบบนี้สักทีได้ไหม” 


 


 


“ไม่ใช่เครื่องจักรสักหน่อย แล้วตกลงว่ามีเรื่องอะไร วันนี้ตอนเย็นก็ต้องเจอกันอยู่แล้วนี่ ทำไมถึงเรียกให้ออกไปตอนนี้ด้วยล่ะ” 


 


 


เขาถามซ้ำอีกเป็นหนที่สอง แล้วเสียงหัวเราะแผ่วเบาก็ดังลอดมาจากอีกฝั่งของอุปกรณ์สื่อสารนั่น 


 


 


“เจ้านี่ แสนรู้เหมือนเดิม ก็จะให้มาตกลงกันเรื่องถ่ายทำเบื้องหลังที่ระลึกของอัลบั้มนี้ยังไงละ” 


 


 


“อือ” 


 


 


“ท่านประธานอยากจะให้ทำเพิ่ม แล้วถ่ายทำแบบสารคดีน่ะ” 


 


 


“แบบนั้นมีใครอยากทำหรือไง” 


 


 


“ก็ไม่หรอก เบื้องหลังก็คือเบื้องหลังนั่นแหละ แต่เราก็แค่ใช้สื่อ SNS อะไรแบบนั้นในการอัพโหลดตัวสารคดีนี้ลงไป มันก็ไม่เลวเลยนะ” 


 


 


“ถ้ามีเวลาทำอะไรแบบนั้น สู้เอาไปทำเพลงเพิ่มไม่ดีกว่า…” 


 


 


อย่างไรเขาก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ การได้ย้ายมาสังกัดบริษัทใหญ่ มันก็มีด้านที่สะดวกสบาย แต่ว่าเวลาที่ต้องมาทำการโปรโมทอะไรแบบนี้ ที่มันนอกเหนือไปจากการทำเพลง เขาเองไม่ค่อยชอบ แล้วก็รู้สึกรำคาญนิดหน่อย ทุกครั้ง เซจุนจะเป็นคนออกหน้า แล้วก็ช่วยไกล่เกลี่ยนั่นนี่ให้ แต่ว่าเจ้าหมอนี่กลับใช้วิธีนี้มาเกลี่ยกล่อมตัวเขาเอง ไม่ต่างอะไรกับการให้เขาตัดสินใจทำไอ้สารคดีอะไรที่ว่านั่นเลย ซองฮีถอนหายใจออกมาอย่างเปิดเผย ก่อนจะเอ่ยถามเซจุน 


 


 


“กี่โมง” 


 


 


“เร็วที่สุดเท่าที่จะได้” 


 


 


“นายอยู่ไหน” 


 


 


“ตอนนี้อยู่ห้องสตูดิโอ ทางนั้นให้เราเข้าไปที่บริษัท งั้นฉันจะไปที่บ้านนาย…” 


 


 


“ไม่ต้อง ฉันต้องเอาของไปที่สตูดิโออยู่แล้ว เพราะงั้นฉันจะไปหานายเอง” 


 


 


“อ้า เอางั้นเหรอ โอเค งั้นก็รีบๆ มานะ” 


 


 


“อือ” 


 


 


พอวางสายแล้ว ซองฮีก็รีบลุกออกจากที่นั่งในทันที แล้วก็ต้องไปเร่งให้ฮเยจองรีบจัดการห่อสตูเมื่อครู่โดยด่วน 


 


 


“ให้ตาย วุ่นวายชะมัด…” 


 


 


ซองฮีขยี้หัวตัวเองอย่างแรง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเอง 


 


 


 


 


 


“ไอ้พวกนี้มันอะไรเนี่ย” 


 


 


“ไม่ใช่ของนายแล้วกัน” 


 


 


ทันทีที่เขาถือห่อผ้าที่ดูไม่เข้ากันกับตัวเองสักเท่าไรเข้ามาภายในห้องสตูดิโอ เซจุนจึงมองมาอย่างยินดีในทันที ซองฮีเค้นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ใส่เซจุนที่ทำท่าทางแบบนั้น ก่อนจะนั่งลงตรงมุมหนึ่งของโต๊ะที่ใช้ประชุม แล้ววางห่อผ้าลงไปเสียงดังตึงที่ตรงหน้าของจองอู 


 


 


“นี่อาหาร ไม่ต้องถามมากรีบไปกินซะก่อนมันจะเย็น” 


 


 


ซองฮีพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จองอูมองท่าทางเช่นนั้น แล้วจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง 


 


 


“จู่ๆ ทำไมเอามาให้ล่ะครับ ไม่ใช่เรื่องที่พี่จะมาดูแลผมแบบนี้สักหน่อย” 


 


 


“ให้ก็คือให้ แค่ขอบคุณ แล้วก็กินๆ ไป ทำไมต้องมาถามเซ้าซี้ด้วย” 


 


 


คำถามตรงไปตรงมาของจองอูทำให้เขาได้แต่ซ่อนความรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ใจเอาไว้ พร้อมกับบ่นพึมพำออกมา ส่วนข้างๆ นั่นก็เป็นเซจุนที่ทำหน้าตาประหลาดและหลุดหัวเราะออกมา เขาจึงได้ถลึงตาใส่เป็นสัญญาณให้รีบหุบปากเดี๋ยวนี้ แต่แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า พร้อมกับเอนตัวลงพิงกับโซฟา เพราะว่าผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมาย กระทั่งความรู้สึกที่อยากจะปกปิด คนเจ้าเล่ห์แบบนั้นก็กลับรู้ทันไปเสียทั้งหมด 


 


 


“มันน่าขำนักหรือไง” 


 


 


ซองฮีกระแทกตัวลงนั่งข้างๆ เซจุนอย่างข่มขู่ แต่ทว่าคนที่เคลื่อนไหวกลับไม่ใช่เซจุน แต่เป็นจองอูที่ลุกขึ้นจากที่นั่ง พร้อมเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำของเจ้าตัว 


 


 


“แค่ปิดเป็นความลับจากคนนั้นก็พอใช่ไหมครับ” 


 


 


ซองฮีถึงกับขมวดคิ้วจนใบหน้านั้นบิดเบี้ยวและยับย่น จนดูเหมือนเศษกระดาษที่เป็นรอย 


 


 


“ฮ่าๆๆ! คิมจองอูอย่างแรง โคตรแรงเลย ทำไมถึงถามอะไรอย่างนั้นล่ะ นายอยากจะพูดอะไรก็พูดตามใจไปได้เลย” 


 


 


เซจุนที่ได้ยินสิ่งไม่คาดคิดก็ถึงกับปรบมือพร้อมหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ แต่ว่าสีหน้าของซองฮีนั้นเหมือนกับคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง จองอูมองไปยังซองฮีที่มีท่าทางเช่นนั้น พร้อมกับหลุดขำออกมา ก่อนจะเดินออกจากห้องไป 


 


 


“ไอ้เด็กนั่น นายก็ด้วย…แค่บอกมาตรงๆ ว่านายเตรียมมาให้มันจะมีปัญหาอะไรหนักหนา ทำไมต้องทำท่าทางเคร่งขรึมแบบนั้นด้วย น้องชายจะดูแลพี่ชายบ้างมันผิดหรือไง” 


 


 


“หุบปากน่า” 


 


 


ซองฮีตะโกนอย่างกระแทกกระทั้นใส่หน้าเซจุนที่ยังคงขำคิกคักอยู่แบบนั้น 


 


 


“นี่ อย่าให้มันเกินไปนักเลย ห้องสตูดิโอนี่ก็ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ซองจูก็คงจะหาไม่ได้หรอกนะ”  


 


 


“ห้องนี้น่ะ ที่หาให้เพราะว่าคิดถึงพวกเรางั้นเหรอ เพราะจะหาข้ออ้างให้คิมจองอูมาอยู่ด้วยหรอก ถึงได้ลากเราเข้ามาเกี่ยวแบบนี้” 


 


 


“แบบนั้นแล้วยังไงล่ะ แบบนั้นเราถึงได้ไม่ต้องเจอกับการโดนไล่ออกจากห้องสตูดิโอเพราะไปทำเสียงดังรบกวนชาวบ้าน แล้วก็นะ พี่นายน่ะ เป็นพวกชอบแบ่งพื้นที่ของตัวเองให้ใครหรือไง ให้ยืมพื้นที่ตั้งชั้นนึง ในบ้านราคาแพง แถมอยู่ในละแวกฮงแดแบบนี้ โดยไม่มีเงินมัดจำ แล้วก็จ่ายค่าเช่าแค่สามแสนวอนเอง มันสมควรหรือไงล่ะ” 


 


 


“หนวกหูน่า! ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนนิสัยปกตินั่นแหละ!” 


 


 


“ยอมรับซะเถอะน่า ถึงมันจะเหมือนไร้สติไปสักหน่อย แต่พี่เขาก็ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจนายเลยนี่ นายเองก็ด้วย ถึงแกล้งทำแบบนั้น พวกเราเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่านายเองก็ใส่ใจพี่เขาเหมือนกัน…ตอนนี้ก็ช่วยแสดงออกมาตรงๆ ซะก็ได้ไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“ก็บอกว่าหนวกหูไง” 


 


 


ซองฮีตอบกลับอย่างแผ่วเบาให้กับคำพูดแทงใจดำของเซจุน รู้จักกันมากว่าสิบปีแล้ว กระทั่งเรื่องที่คิดจะปกปิด เพื่อนคนนี้ก็รับรู้มันได้ในทันที ไม่มีทางเลยที่เขาจะหลอกอีกคนได้ เขาได้แต่หลุบตามองพื้น พร้อมกับพึมพำออกมาแผ่วเบา 


 


 


“เจ้าเด็กนั่นก็เหมือนกัน อยู่ด้วยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังเอาแต่เรียกว่าคนนั้น อยู่ด้วยกันแต่ไม่เรียกชื่อกันเลยงั้นหรือไง” 


 


 


เสียงบ่นพึมพำไร้สาระนั่นทำเอาเซจุนหลุดขำออกมา เอาเข้าจริงฮันซองฮีก็เข้าข้างพี่ชายตัวเอง 


 


 


“คิดมากเรื่องไม่เป็นเรื่องเนี่ยนะ นี่ ถ้ารู้ว่าคำเรียกมันเป็นปัญหานักก็จัดการซะเลยสิ พี่เขาก็ไม่เห็นจะว่าอะไรเลย นายจะเดือดร้อนทำไม” 


 


 


“แต่แบบนั้นมันก็ไม่ควร” 


 


 


“ปัดโธ่ ทำตัวเป็นน้องสาวที่ไม่ได้เรื่องไปได้” 


 


 


ซองฮีจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ พร้อมกับจ้องเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่เซจุน จนขนคอลุกพรึ่บไปหมด 

 

 

 

 

ตอนพิเศษ 1-3 สถานที่

 


 


 


 


“อะไรอีกล่ะเนี่ย” 


 


 


ทั้งสองมักจะใช้ชีวิตด้วยเสียงเอะอะโวยวายแบบนั้นเสมอ จองอูถือห่อผ้าที่ซองฮีเอามาให้ขึ้นมาที่ชั้นสี่ซึ่งเป็นบ้านของซองจู ท่าทางของจองอูที่สองมือถือของเอาไว้ แล้วกดกริ่งอย่างยากลำบากนั่นทำให้ซองจูที่วิ่งปราดมาทางประตู พอได้เห็นเข้าก็ถึงกับโหวกเหวกโวยวายออกมา 


 


 


“พี่ซองฮีให้มาน่ะ” 


 


 


“ฮันซองฮี? อะไรล่ะนั่น” 


 


 


ซองจูคว้าถุงที่อยู่ในมือของจองอูมาถือเอาไว้ พร้อมกับชำเลืองมองดูข้างใน ข้างในนั้นมีกล่องพลาสติกใส่อาหารหลายขนาดบรรจุอยู่ ซองจูจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะพึมพำออกมา 


 


 


“ฮเยจองคงจะฝากอะไรมาให้ล่ะสิ” 


 


 


พูดออกมาเช่นนั้น พร้อมกับหันมามองที่จองอู 


 


 


“ไม่หนักเหรอ” 


 


 


“ไม่หรอก ฉันแรงดีกว่านายเยอะเลยนะ” 


 


 


“คำพูดคำจาไร้มารยาทจังนะ” 


 


 


ซองจูตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปทางห้องครัว สีหน้าของจองอูที่เดินตามหลังอีกฝ่ายไปติดๆ ก็ยังคงนิ่งเหมือนปกติ 


 


 


“ว้าว ส่งอะไรมาให้เยอะแยะเนี่ย นี่คงไม่ได้กวาดมาจนหมดตู้เย็นหรอกใช่ไหม” 


 


 


ซองจูเปิดเอาของที่อยู่ในถุงออกมาพร้อมอุทานด้วยความตกตะลึง มีตั้งแต่กิมจิที่หมักจนได้ที่ แล้วก็เครื่องเคียงอีกมากมายที่กองอยู่ในกล่องใส่อาหารขนาดใหญ่นั่น พอซองจูเปิดฝากล่องออกมาก็เลยถึงกับต้องส่งเสียงโห่ร้องออกมาเช่นนั้น 


 


 


“เอ๊ะ อันนี้มันของที่ฉันชอบนี่” 


 


 


ซองจูพูดออกมาเช่นนั้น ก่อนจะรีบร้อนหยิบช้อนที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารขึ้นมา แล้วจัดการตักสตูที่อยู่ในกล่องอาหารนั่นเข้าปาก 


 


 


“เอ๋…” 


 


 


คำพูดที่อีกฝ่ายพูดออกมาตอนที่กำลังโห่ร้องไปด้วยนั้นฟังไม่ชัดเจนนัก จองอูที่กำลังจัดการกับพวกเครื่องเคียงอยู่ข้างๆ นั้นก็ถึงกับชะงักไป 


 


 


“ทำไม” 


 


 


“อือ รสชาติมัน” 


 


 


“ทำไม ไม่อร่อยเหรอ” 


 


 


ซองจูส่ายหัวให้กับคำถามนั้นของจองอู 


 


 


“เปล่า แต่มันแบบ นี่ฮันซองฮีเป็นคนให้มางั้นใช่ไหม” 


 


 


“อือ” 


 


 


“….มันไม่ใช่รสชาติแบบที่เจ้านั่นชอบเลยนะ” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้จองอูเดินเดินไปทางห้องครัว แล้วถือช้อนคันใหม่ออกมา 


 


 


“ลองชิมดูไหม ฮเยจองทำอาหารอร่อยนะ” 


 


 


ซองจูค่อยๆ เลื่อนกล่องที่ใส่สตูไปตรงหน้าจองอู เขาคว้าเอวคนที่ทำตาเป็นประกายวิบวับมากอดไว้ ก่อนที่จองอูจะใช้ช้อนตักสตูนั้นเข้าปาก สตูที่มีรสจัดและกลิ่นพริกไทยเข้มข้น ค่อยๆ ไหลผ่านลำคอลงไป 


 


 


“อืม อร่อยแฮะ เป็นรสแบบที่นายชอบเลยนี่” 


 


 


จองอูพูดออกมาพร้อมกับวางช้อนลง แล้วจึงเริ่มจัดการเอาอาหารเข้าไปเก็บในตู้เย็น แต่ซองจูยังคงยืนครุ่นคิดบางอย่างหมกมุ่นอยู่ข้างๆ  


 


 


“คิดอะไรอยู่น่ะ” 


 


 


พอจัดการเอาอาหารใส่ตู้เย็นจนหมดแล้ว จนกระทั่งจองอูกลับมายืนอยู่ใกล้ๆ ซองจูก็ยังคงไม่หยุดคิด จองอูจึงรวบเอวของซองจูเข้ามากอดไว้อีกครั้ง พร้อมกับลูบหัวอีกคนอย่างแผ่วเบา 


 


 


“ถ้ามันไม่มีประโยชน์ก็เลิกคิดเถอะ” 


 


 


ซองจูพยักหน้ารับคำพูดนั้นอย่างเงียบๆ  


 


 


“เปล่า ก็แค่…” 


 


 


“หืม” 


 


 


“ฮันซองฮีไม่ค่อยชอบกินอาหารรสจัดแล้วก็เข้มข้นแบบนี้น่ะ แต่ไม่รู้ว่าเพราะฉันหรือเปล่า ถึงได้ทำรสชาติแบบนี้ออกมา” 


 


 


“อาจจะลองกินดูแล้ว เห็นว่ารสมันจัดจ้านแบบนี้เลยเอามาฝากก็ได้นะ” 


 


 


“อย่างนั้นเหรอ” 


 


 


“อือ อย่าคิดมาก มันไม่เห็นจำเป็นเลย ที่สำคัญก็คือพี่เขาใส่ใจนายต่างหาก” 


 


 


จองอูพูดออกมาแบบนั้น แล้วจึงจูงมือซองจูไปทางห้องนั่งเล่น สีหน้าของซองจูที่ปล่อยตัวไปตามแรงดึงของจองอูโดยไม่ขัดขืน ยังคงดูคิดมากและว้าวุ่นใจอยู่บ้าง 


 


 


 


 


 


“ว่าแต่ว่ามันเพราะอะไร ถึงได้เกิดเรื่องบ้าแบบนี้ได้ล่ะ ไอ้สารคดี…จำเป็นต้องทำอะไรขนาดนั้นเลยหรือไง แค่ทำวิดีโอเบื้องหลังก็พอแล้วนี่” 


 


 


“ก็ช่วงนี้เราไม่ได้เข้าร่วมพวกงานเฟสติวัลอะไรแบบนั้นเลย ก็เลยต้องมีแฟนเซอร์วิสกันบ้างไง มันก็ไม่ได้เลวร้ายนี่ นายตื่นเต้นเวลาอยู่หน้ากล้องอะไรแบบนั้นเหรอ” 


 


 


“ตื่นเต้นบ้าอะไร ทำแค่เพลงก็พอแล้วนี่ ไม่เห็นจะมีเหตุอะไรที่ต้องทำถึงขนาดนั้นเลย” 


 


 


อีกอย่างซองฮีกำลังบ่นพึมพำเกี่ยวกับเรื่องที่ห้องสตูดิโอใหม่ออกมาให้เซจุนฟังอยู่พักหนึ่ง เหมือนจะกังวลเรื่องของซองจู 


 


 


เมื่อสองปีก่อน หลังจากได้เซ็นสัญญากับบริษัทต้นสังกัดแห่งหนึ่งด้วยเหตุบังเอิญ วงคราฟท์ของซองฮีจึงถือกำเนิดขึ้นมา 


 


 


บริษัทต้นสังกัดนั้นมีสภาพไม่ต่างอะไรกับร้านขายของชำ พวกเขาจึงไม่ได้ทำเพลงอย่างที่อยากลองทำ แต่กลับเป็นเพลงที่เป็นไปตามสไตล์ของประธานและหัวหน้าของบริษัทนั้นเท่านั้น เพลง ‘เฉิ่มเชย’ ที่ไม่ได้เรื่องนั่นล่ะ และก็เพราะความเฉิ่มเชย และการขาดการโปรโมท ทำให้พวกเขามองแทบไม่เห็นอนาคตและหลงทางอยู่เป็นเวลานาน สุดท้ายด้วยปัญหาของยอดขายที่ตกต่ำ ทำให้ถูกไล่ออกจากบริษัทต้นสังกัดแห่งนั้น หลังจากนั้นก็ได้มาเจอกับต้นสังกัดที่อยู่ในตอนนี้ มันไม่ต่างจากการได้รับโอกาสหลังผ่านการพิสูจน์ตัวอย่างหนัก ดังนั้นอะไรที่พอทำได้ก็มักจะตามน้ำไป 


 


 


แต่ว่าสารคดี? เพื่อการโปรโมท จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ฮันซองฮีเกิดคำถามแบบนั้นอยู่เสมอ พอคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของซองฮีที่บึ้งตึงอยู่แล้วก็ยิ่งดูเคร่งเครียดขึ้น เซจุนที่เห็นท่าทางแบบนั้นของซองฮีจึงเอ่ยปากพูดขึ้น 


 


 


“นายมีเหตุผลอย่างอื่นหรือเปล่า พูดมาตรงๆ เถอะ” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้ซองฮียิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่ ต่อให้พยายามขนาดไหนก็คงไม่มีทางหลอกคิมเซจุนและมินซองฮุนได้เลยสินะ เขาจึงได้ค่อยๆ พูดออกไป 


 


 


“ถ้าห้องสตูดิโอนี้ถูกเปิดเผยออกไป มันจะมีปัญหาตามมาได้” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของเซจุนดูยากจะคาดเดา 


 


 


“ปัญหา? ปัญหาอะไร” 


 


 


เซจุนขยับเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยักพเยิดคางเป็นสัญญาณให้เขาพูดออกมา เห็นเช่นนั้นแล้วซองฮีจึงเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง 


 


 


“ก็ถ้าตึกมันเป็นของคนอื่น…” 


 


 


“ทำไม ไม่อยากให้เกิดผลเสียกับพี่อย่างนั้นสินะ” 


 


 


เพราะคำพูดที่กระชับตรงประเด็นของเซจุน ทำให้ซองฮีถึงกับหุบปากลง ด้วยไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อไป เซจุนที่เห็นท่าทางดื้อดึงแบบนั้นของซองฮี ก็ได้แต่ชักสีหน้าออกมาอย่างไม่ห้ามได้ 


 


 


“ถ้าแค่ไม่มีเรื่องแบบนั้นก็พอสินะ” 


 


 


“ถ้ามีการถ่ายทำ ก็ต้องมีหน้าของจองอูโผล่ออกมาด้วย ยิ่งกว่านั้น ก็อาจจะต้องเข้าไปถึงห้องทำงานของจองอูเลยก็ได้ แล้วเจ้าคนที่ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่แบบนั้น ก็อาจจะโผล่เข้ามาด้วยก็ได้นี่” 


 


 


“ก็มันต้องถ่ายทำ ถึงตอนนั้นก็ห้ามไม่ให้ลงมาก็ได้นี่” 


 


 


“แล้วถ้าเกิดถามถึงเหตุผลที่ย้ายมาที่นี่ล่ะ” 


 


 


“ก็จัดการให้บทไม่มีคำถามแบบนั้นตั้งแต่แรกเสียสิ ถึงจะถามมาจริง ไม่ตอบซะมันก็จบแล้ว” 


 


 


ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็ถูกสกัดเอาไว้จนหมด ซองฮีที่ไม่รู้จะเถียงอะไรต่อไป จึงได้แต่ทำหน้าบึ้งตึง เซจุนที่ทนต่อไปไม่ไหวก็ได้แต่ระเบิดหัวเราะออกมา 


 


 


“ฮ่าๆๆ! คิดมากขนาดนั้นเดี๋ยวก็ป่วยเข้าให้หรอก เรื่องที่นายห่วงฉันจะจัดการให้เอง เฮ้อ ไอ้เจ้านี่ จริงๆ เลย ลับหลังพี่ชายก็ทำท่าห่วงจนลนลาน แต่พออยู่ต่อหน้าก็ทำเป็นเย็นชา ฮ่าๆๆ!” 


 


 


เห็นท่าทางหัวเราะชอบใจแล้วทำให้เขารู้สึกกดดันแบบนั้นของเซจุน ซองฮีก็ถึงกับเผลอตะโกนแผดเสียงออกไปโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“โว้ย หุบปากไปเลย! แล้วจะให้ทำยังไง! เกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เรื่องที่สองคนนั้นอยู่ด้วยกันเกิดถูกจับได้ ใครจะรับผิดชอบล่ะ! ถ้าพ่อแม่รู้เข้า จะยอมอยู่เฉยๆ งั้นเหรอ แน่นอนว่าต้องโดนด่าเละแน่ แล้วจะให้ฉันปล่อยพี่ลำบากแบบนั้นหรือไง แล้วถ้าแม่รู้เรื่องจองอูขึ้นมา เกิดเรื่องใหญ่แน่! จองอูเจ็บ พี่ฉันก็เจ็บ ฉันทนให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ!” 


 


 


“ก็บอกว่าอยู่กับน้องชายคนสนิทแบบนั้นก็ได้ไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“ครอบครัวของฉันไม่ใช่ครอบครัวธรรมดาทั่วไปหรอกนะ…มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ต้องมีคนสืบหาเบื้องหลังจองอูแน่ๆ จะให้มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด” 


 


 


คำพูดที่ร้ายแรงกว่าที่คิดของซองฮีทำให้เซจุนพลอยมีสีหน้าเคร่งเครียดไปด้วย 


 


 


พอลองคิดตามดูดีๆ กว่าสิบปีที่รู้จักกันมา ซองฮีคือคนที่ถูกที่บ้านคัดค้านน้อยที่สุด แต่ก็เป็นเพราะว่าการศึกษาและพื้นฐานครอบครัวของสมาชิกในวงไม่ได้น่าอายนักในสายตาของคนอื่น เซจุนรู้ดีว่าพ่อแม่ของอีกคนนั้นเป็นพวกเห็นแก่หน้าตา จึงไม่ใช่ไม่รู้ว่าซองฮีกำลังกังวลเรื่องอะไร ดังนั้นเขาจึงได้เลือกเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย 


 


 


“ท่านประธานบอกว่าเราไม่สามารถทำรายการถ่ายทอดสดแบบเรียลไทม์ลงใน SNS แบบพวกไอดอลได้ ก็เลยอยากให้แฟนๆ ได้เห็นการใช้ชีวิตของพวกเราตอนที่กำลังเตรียมทำอัลบั้มจนมันสมบูรณ์แบบน่ะ แล้วฉันเองก็คิดว่ามันเป็นไอเดียที่ไม่เลวเลยทีเดียว เรื่องที่นายกังวล ฉันเองก็รู้ดีว่ามันคืออะไร วันนี้ตอนที่ประชุมกัน เราค่อยมาปรับแก้ในส่วนนั้นก็ได้ไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“มันไม่ใช่แบบนั้นสิ แล้วอีกอย่างถ้าต้องอธิบายส่วนนั้น มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเล่าขยายความไปอีก ถ้าต้องมาพูดอะไรที่ไม่มีประโยชน์แบบนั้น ฉันก็คงไม่เอาด้วย” 


 


 


“ส่วนนั้นฉันจะจัดการไกล่เกลี่ยให้เองนะ” 


 


 


เพราะเซจุนที่เสนอตัวออกมาด้วยท่าทางที่จริงจังกว่าที่คิด ซองฮีจึงไม่อาจปฏิเสธอะไรได้อีกต่อไป เขาได้แต่ส่งเสียงโอดครวญออกมา แล้วก้มหน้าลงมองพื้นด้านล่าง 


 


 


“เออ ไม่รู้แล้ว จัดการเองเลย งั้นตอนนี้ก็ไปที่บริษัทเลยใช่ไหม” 


 


 


“เปล่าหรอก เราต้องไปที่บริษัทของฝ่ายนั้นน่ะ ยังไงก็ไปรถฉันแล้วกัน ซองฮุนบอกว่ามีเรื่องอะไรกับ       จินซลนิดหน่อย เดี๋ยวจะตามมาน่ะ” 


 


 


“มีเรื่องอะไรกับจินซลอย่างงั้นเหรอ” 


 


 


“ไม่รู้สิจะไปรู้ได้ไงล่ะ ไอ้เจ้านั่น ถ้าเป็นเรื่องจินซลแล้วละก็ ต่อให้ต้องหันหลังให้คนทั้งโลกก็พร้อมจะวิ่งไปหาอีกฝ่าย แล้วไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งมาเป็นกันวันสองวันนี้ซะเมื่อไหร่” 


 


 


เซจุนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรบ่นพึมพำออกมา เห็นแบบนั้นก็ทำเอาซองฮีหลุดหัวเราะออกมา 


 


 


“จะยังไงก็ช่าง เจ้านั่นเป็นหัวหน้าวง ดูแลแค่จินซลจะใช้ได้เหรอ นายเองถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับจองจีฮยอนแล้วละก็ ทำได้ทุกอย่างเหมือนกันนั่นแหละ” 


 


 


“นี่! เอาฉันไปเทียบกับคนโง่แบบนั้นได้ไง” 


 


 


“ในสายตาฉัน จะนายหรือมินซองฮุนก็เป็นพวกคนโง่เหมือนกันนั่นแหละ” 


 


 


ซองฮุนจิ๊ปากพร้อมมองมาด้วยสายตาเอาเรื่อง ก็ทำเอาเซจุนได้แต่ปิดปากเงียบ แล้วจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง 


 


 


“นี่ รีบไปกันเถอะ ช้าเดี๋ยวจะรถติด” 


 


 


“อื้อ รู้แล้ว” 


 


 


ซองฮีค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินตามหลังเซจุนไป 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 


 

ตอนพิเศษ 1-4 สถานที่

 


 


 


“เชิญเข้ามาเลยครับ รถคงจะติดสินะครับ”


 


 


“ไม่เลยครับ เพราะเราออกมาก่อนที่รถจะติดพอดี ก็เลยมาถึงได้เร็วกว่าที่คิดน่ะครับ ผมคิมเซจุนวงคราฟท์ครับ ยินดีที่ได้พบนะครับ”


 


 


“ครับ ยินดีที่ได้พบเช่นกันครับ ผมคิมจีฮุน คุณซองฮี ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ไปฮันนีมูนมาเรียบร้อยดีใช่ไหมครับ กาแฟที่ส่งมาให้เป็นของขวัญนั่น รสชาติดีมากเลยครับ”


 


 


“ครับ เพราะคุณ เราก็เลยสบายมากเลยครับ ดีที่รสชาติถูกปากนะครับ”


 


 


พอมาถึงออฟฟิศของบริษัทโปรดักชั่นที่จะทำการถ่ายทำสารคดี ใบหน้าที่มองมาอย่างยินดีนั่นทำให้ร่างกายที่เคร่งเครียดของซองฮีผ่อนคลายขึ้นมา


 


 


 สถานที่ที่เซจุนพามา คือบริษัทโปรดักชั่นของคนคุ้นเคยกับเขานั่นเอง เขาแสดงสีหน้าที่ดูเหมือนตกใจออกไป แล้วจึงได้เดินไปที่ห้องประชุมของบริษัทตามคำเชิญของประธานบริษัทอย่างจีฮุน และภายในนั้นเขาก็ได้พบกับใบหน้าที่ฉายความยินดีของคนอื่นด้วย


 


 


“โอ๊ะ ซองฮี”


 


 


“หือ? มุนเซจอง! ไม่เจอกันนานเลยนะ มาทำอะไรที่นี่ล่ะ”


 


 


การปรากฏตัวของเซจองที่มีใบหน้ายิ้มกว้างเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ซองฮีไม่คาดคิดเลย


 


 


“วันนี้มีประชุมก็เลยถูกเรียกให้มาเตรียมชากับของว่างน่ะ แต่คงต้องไปแล้วละ”


 


 


“ไม่เห็นต้องเตรียมอะไรแบบนี้เลย ลำบากนายเปล่าๆ”


 


 


“อะไรเล่า นี่มันงานฉันนะ งั้นฉันไปก่อนนะ ไม่ได้เห็นหน้าตั้งนาน ได้เจอแบบนี้ดีใจมากเลย แต่ว่าฉันยังเป็นพนักงานกินเงินเดือนอยู่ คงทิ้งร้านนานๆ ไม่ได้ ไว้คราวหน้าชวนพี่ชายนายไปดื่มด้วยกันนะ”


 


 


“อื้อ กลับดีๆ ละ”


 


 


หลังจากเอ่ยลาสั้นๆ แล้ว ซองฮีที่เฝ้ามองภาพแผ่นหลังของเซจองที่ค่อยๆ หายไป จึงได้ยกยิ้มบางๆ ออกมา เซจุนเหมือนจะมีเรื่องบางอย่างต้องคุยกับจีฮุน เก้าอี้จึงยังว่างอยู่ ตัวเขาเองนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องประชุมลำพัง ก่อนเรื่องราวของเซจองที่เพิ่งเจอหน้ากันเมื่อครู่จะผุดขึ้นมาในห้วงความคิด


 


 


 


 


วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว


 


 


ตอนนั้นเขายังอยู่ในวัยที่ต้องไปโรงเรียน พอเลิกเรียนปุ๊บ ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก็ทำให้เขาตัวเปียกจนต้องรีบเร่งกลับมาที่บ้าน แล้วสายตาของซองฮีก็แสดงความสงสัยออกมา เมื่อที่ห้องนั่งเล่นของบ้านตัวเองมีคนหน้าสวยคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น


 


 


เขาเหม่อมองไปที่คนๆ นั้นด้วยความตกตะลึง แล้วอีกคนก็ยกยิ้มน้อยๆ กลับมา พร้อมกับค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย เขาเผลอตัวค้อมศีรษะกลับไปให้ด้วยความงุนงง และแล้วน้ำเสียงแข็งกร้าวก็ดังมาให้ได้ยิน


 


 


“เซจอง ไม่ต้องอยู่ตรงนั้นแล้ว ขึ้นมาที่ห้องฉัน ไม่ต้องไปสนใจใครด้วย”


 


 


แล้วเขาก็ถูกทิ้งไว้ตรงนั้น ระหว่างที่เสียงเกรี้ยวกราดนั่นดังขึ้นมา คนหน้าสวยก็มีสีหน้ากระวนกระวาย ก่อนจะผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง หันมาค้อมศีรษะให้เขาอีกครั้ง แล้วจึงก้าวเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองทางห้องของซองจู ภาพแผ่นหลังของอีกคนทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในตอนนั้น มุนเซจองเป็นคนที่มีบรรยากาศน่าเวทนาอย่างยิ่ง


 


 


“นั่งเหม่อคิดอะไรอยู่เหรอ”


 


 


ซองฮีที่กำลังหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน เรียกสติกลับคืมาทันที เป็นซองฮุนที่ตามมาทีหลังนั่นเอง ซองฮีเกิดสีหน้ากระดากอาย ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา


 


 


“อ้าว มาแล้วเหรอ”


 


 


“อื้อ เซจุนล่ะ”


 


 


“ไปคุยกับประธานน่ะ”


 


 


“งั้นเหรอ”


 


 


ยิ่งกว่าซองฮีที่ดูบูดบึ้ง ก็ยังมีซองฮุนที่แข็งกระด้างยิ่งกว่า พอรับฟังแล้วอีกคนก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมาเป็นพิเศษ เพียงดึงเก้าอี้มานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามเขา ใบหน้าที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูดีตลอด แต่เพราะมีสีหน้าไร้อารมณ์เป็นพิเศษนั่น จึงทำให้มีบรรยากาศเย็นชาออกมาเสมอ


 


 


“ทำไมจู่ๆ ก็มาบอกว่าจะทำอันนี้ล่ะ”


 


 


ซองฮีเริ่มต้นพูดเรื่องที่เพิ่งคุยกับเซจุนจบไปก่อนหน้านี้อีกครั้ง


 


 


ถึงอีกคนจะรู้เรื่องว่าจะมีการถ่ายทำ แต่อย่างไรก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับพี่เขานัก ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเรื่องอะไรที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน ซองฮีได้แต่เบะปากออกมา พร้อมกับฟุบตัวลงไปบนโต๊ะ ซองฮุนที่มองท่าทางเช่นนั้นของซองฮีแล้ว จึงได้เอ่ยปากขึ้นมาเงียบๆ


 


 


“หลังนายแต่งงาน กิจกรรมของเราก็ลดลงไปด้วย”


 


 


“นี่ ถ้าพูดแบบนั้น แล้วฉันจะทำยังไงล่ะ…”


 


 


ใบหน้าของซองฮียับยู่ยี่เมื่อได้ยินคำพูดแทงใจดำ แต่ซองฮุนก็ยังคงไม่หยุดเท่านั้น


 


 


“เทียบกับเมื่อก่อนก็ดูเปลี่ยนไปอยู่บ้าง การเอาใจใส่เรื่องส่วนตัวมันก็ดี แต่ว่าวงก็ต้องทำกิจกรรมอะไรให้ได้เห็นบ้าง ถึงจะไม่ใช่การเล่นๆ ไปเฉยๆ แต่ถ้าเล่นให้ฟังสักเพลง มันก็เป็นการโปรโมทไปในตัวได้ด้วย เราไม่ค่อยได้เปิดเผยด้านปกติออกไป วิธีแบบนี้จะทำให้ได้เห็นด้านที่เป็นธรรมชาติ มันก็ไม่เลวนี่ ฉันคิดว่าไอเดียของท่านประธานก็โอเคนะ”


 


 


“ถ้าเราเปิดเผยด้านปกติออกไป มันจะไม่กลายเป็นติดลบหรือไง”


 


 


“เรื่องนั้นผู้เชี่ยวชาญเขาก็จัดการตัดออกให้เองแหละน่า ถึงฉันจะไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ แต่พอได้ฟังที่ท่านประธานพูดแล้ว ประธานคนเมื่อกี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงในด้านการทำสารคดีเกี่ยวกับมนุษย์เลยนี่”


 


 


“นั่นมันก็ใช่ ความสามารถดีด้วย…”


 


 


“แล้วปัญหาคืออะไรล่ะ”


 


 


คำถามแบบเดียวกับเซจุนของซองฮุนนั้น ทำให้ซองฮีได้แต่ปิดปากเงียบ ถึงจะพูดเหมือนกัน แต่วิธีการพูดของเซจุนกับซองฮุนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


 


“เอาละ รอนานไหม อ้าว อะไรเนี่ย ทำไมมีของอร่อยเต็มไปหมดเลยล่ะ”


 


 


เซจุนเข้ามาช่วยชีวิตซองฮีไว้ได้ทันพอดี อีกคนถือสำเนาเอกสารเข้ามาในห้องประชุมอย่างไม่รีบร้อน ข้างหลังก็เป็นจีฮุนที่ถือโน้ตบุ๊กตามเข้ามา ซองฮีพยายามทำเป็นไม่รับรู้ท่าทางยกยิ้มน้อยๆ พร้อมกับแอบมองมาที่เขาแบบนั้น


 


 


“จงซอบล่ะ”


 


 


เซจุนนั่งลงข้างซองฮีพร้อมกับเอ่ยถามหาผู้จัดการกับซองฮุน ซองฮุนเพียงยักไหล่ให้และตอบกลับมาแผ่วเบา


 


 


“พามาส่งที่นี่เสร็จแล้วก็ออกไปเลย เห็นว่ามีงานอื่น การประชุมก็ให้เราจัดการ แล้วค่อยไปบอกทีหลัง”


 


 


“แบบนั้นได้เหรอ คงไม่มาโมโหเอาทีหลังนะ”


 


 


“ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว ยังไงซะการตัดสินเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของเราอยู่แล้วนี่”


 


 


“ก็นะ ก็ตามนั้น งั้นก็เริ่มเลยเถอะ ท่านประธานเราเริ่มประชุมกันเลยดีไหมครับ”


 


 


“ครับ ให้คนที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างต้องมาเสียเวลานานๆ คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่”


 


 


“พวกเราไม่ได้ยุ่งอะไรหรอกครับ งั้นก็เริ่มกันเลยเถอะครับ”


 


 


เซจุนยกยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้า จีฮุนก็เปิดฝาโน้ตบุ๊กออกเริ่มต้นการประชุมทันที


 


 


 


 


“งั้นสถานที่ถ่ายทำก็เป็นบ้านส่วนตัวของสมาชิกวง และห้องสตูดิโอประมาณนี้นะครับ ที่ตั้งของห้องสตูดิโอใช่ที่นี่หรือเปล่าครับ”


 


 


“อ้า ครับ ก็ตามนั้นแหละครับ แต่ว่าเพราะเรื่องห้องสตูดิโอนี้ ก็เลยมีบางอย่างอยากจะขอร้องนิดหน่อยน่ะครับ…”


 


 


“ครับ พูดมาได้เลยครับ”


 


 


หลังจากจัดการกับส่วนเนื้อหาที่จะถ่ายทำเรียบร้อย ก็ต้องมาคุยกันเรื่องของสถานที่ถ่ายทำ ในระหว่างนั้นเองเซจุนที่รับรู้ได้ถึงสีหน้าเคร่งเครียดของซองฮีจึงได้รีบเอ่ยปากขึ้นมาก่อน ซองฮุนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ได้เห็นท่าทางที่มองกันไปมาแบบนั้นของทั้งสองคน ก็ทำให้พอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาได้บ้าง


 


 


“ที่จริงแล้ว สมาชิกทุกคนในวงไม่ได้เห็นด้วยกับการถ่ายทำนี้ไปซะทั้งหมดน่ะครับ ตอนนี้มีคนรู้จักอาศัยอยู่กับสมาชิกเราด้วย จะที่ห้องสตูดิโอหรือที่บ้านของพวกเราเอง ถ้าไม่มีภาพภายนอกของตัวตึกออกมาด้วยก็จะดีมากเลยครับ”


 


 


เซจุนพูดออกมาอย่างใจเย็น แต่จีฮุนกลับรู้สึกได้ถึงความกังวลบางอย่าง เขายกนิ้วโป้งขึ้นมาลูบปลายคางอย่างครุ่นคิด ขณะมองไปที่ซองฮี


 


 


“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักหรอกนะครับ…แต่มีเหตุผลอะไรให้ต้องทำแบบนั้นครับ”


 


 


เป็นซองฮุนที่รู้สึกผิดปกติกับคำพูดที่ออกมานั้น


 


 


“ถึงไม่ได้บอกให้รู้ แต่ว่าก็เคยมีเรื่องสตอล์กเกอร์ที่ตามติดเรา แล้วก็เกิดปัญหาระหว่างการแสดงจนทำให้ทีมงานที่ทำงานด้วยกันได้รับบาดเจ็บน่ะครับ หากปิดบังส่วนที่จะทำให้สืบเจอที่อยู่ของสมาชิกเราได้ก็คงไม่เลวนัก”


 


 


จีฮุนที่ได้รับฟังคำพูดสมเหตุสมผลของเซจุน ก็ไม่มีสีหน้าที่ผิดแปลกไปจากเดิม อีกคนขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง คนที่ไม่ปล่อยให้เกิดช่องว่างไปโดยเปล่าประโยชน์คือซองฮีนั่นเอง ซองฮีที่เดี๋ยวอ้า เดี๋ยวหุบปากอย่างร้อนใจอยู่เช่นนั้น พอจีฮุนที่ได้เห็นท่าทางนั้น จึงได้เปิดปากพูดอีกครั้ง


 


 


“เหตุผลมีแค่นั้นเหรอครับ เท่าที่เห็นผมว่าไม่น่าจะมีแค่นั้นนะครับ”


 


 


คำพูดนั้นทำเอาเซจุนถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมา


 


 


“ทำไมถึงได้คิดแบบนั้นล่ะครับ”


 


 


คำถามนั้นทำให้คิ้วของจีฮุนเลิกขึ้นเล็กน้อย


 


 


“ก็แค่ความรู้สึกน่ะครับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ผิดนะครับ”


 


 


ถามออกมาเช่นนั้นพร้อมกับหันไปทางซองฮี


 


 


“พูดออกมาเถอะครับ อย่าปิดบังเลย เราไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย คุณซองฮีกับผมก็เป็นคนรู้จักกันนี่ครับ”


 


 


ซองฮีถอนหายใจออกมากับคำพูดนั้น


 


 


“เฮ้อ…”


 


 


ในตอนนั้นก็รู้สึกได้ว่าสีหน้าของเซจุนเองก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา ซองฮุนที่ไม่รู้เรื่องราวที่ทำให้เกิดบรรยากาศไม่ปกติของเพื่อนๆ ก็พลอยมีสีหน้าเคร่งเครียดไปด้วย จีฮุนที่มองท่าทางของพวกเขาอยู่นั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน ซองฮีกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น


 


 


“ห้องสตูดิโอที่พวกเราย้ายไปอยู่ มันไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของเราครับ”


 


 


คำพูดนั้นทำให้สีหน้าสุขุมของจีฮุนเริ่มมีรอยร้าว


 


 


“ชั้นสี่มีคนรู้จักอาศัยอยู่ ส่วนชั้นสามเป็นห้องสตูดิโอของโปรดิวเซอร์ของเรา ตอนถ่ายคงไม่ได้เจอทั้งสองคนที่พูดถึงนั่น แต่ว่าการเปิดเผยที่ตั้งของสถานที่ อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถจะรับผิดชอบได้ไหวขึ้นมาก็ได้”


 


 


“นี่ เดี๋ยวสิ นายต้องทำถึงขนาดนั้น…”


 


 


“เข้าใจแล้วครับ ผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นการถ่ายทำที่บ้านของสมาชิก และตึกที่เป็นห้องสตูดิโอก็จะพยายามถ่ายทำโดยไม่ให้เห็นด้านนอก ประตูหรือหน้าต่างเราจะถ่ายจากที่ที่เหมือนกันมาแทนได้ แล้วยังมีอะไรอีกไหมครับ”


 


 


ท่าทางก่อนหน้านี้ที่เหมือนจะไม่ยอมรับกับขอเรียกร้องที่บอกไป แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนท่าที เพราะจีฮุนที่เป็นแบบนั้น เลยกลายเป็นเซจุนกับซองฮุนที่ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาแทน พวกเขาได้แต่มองด้วยสายตากังวลสลับไปมาระหว่างซองฮีกับจีฮุน


 


 


“ช่วยตัดบทที่ต้องพูดเกี่ยวกับคนที่อาศัยอยู่ด้วยกันออกด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงโปรดิวเซอร์ที่ทำงานกับเราด้วย”


 


 


“แบบนั้นมันไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ”


 


 


“ถ้าไม่ได้เราก็ไม่ถ่ายครับ”


 


 


เพราะซองฮีที่แสดงท่าทางดื้อรั้นออกมาเกินกว่าที่คิด เซจุนที่ตั้งใจจะยื่นมือเข้ามายุ่งกลับถูกซองฮุนห้ามไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกจากที่นั่ง ใบหน้าของอีกคนยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม แต่สายตากลับแข็งกร้าวจนน่ากลัว


 


 


“ฮันซองฮี”


 


 


“ทำไม”


 


 


สายตาของซองฮีที่มองกลับมาที่เขามันราวกลับมีคมมีดฝังอยู่ในนั้น ซองฮุนที่รู้สึกได้จึงทำมือให้เซจุนลุกขึ้นมาอย่างเงียบๆ


 


 


“ให้แค่สามสิบนาที จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยซะ ฉันเองก็ไม่อยากเปิดเผยเรื่องส่วนตัวจนทำให้จินซลต้องมาเดือดร้อนไปด้วย เซจุนเองก็เหมือนกัน ดังนั้นเงื่อนไขของนายคนส่วนใหญ่เห็นด้วยแล้ว นอกจากเรื่องนั้น นายเองดูมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุยกัน ฉะนั้นก็คุยกันให้จบซะ ถ้าเรากลับมาแล้วสถานการณ์ยังเหมือนเดิม ฉันจะไม่ปล่อยไว้เฉยๆ แน่”


 


 


ซองฮีไม่ได้ตอบรับคำพูดนั้น แต่ทว่าซองฮุนที่ไม่ได้คิดจะฟังคำตอบตั้งแต่แรกจึงได้พาเซจุนออกจากห้องไป

 

 

 

 

ตอนพิเศษ 1-5 สถานที่

 


 


 


 


เสียงปังดังขึ้นเมื่อประตูถูกปิดลง จีฮุนที่ขมวดคิ้วมุ่นก่อนหน้านี้ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาพร้อมยกมือขึ้นกอดอกไว้ทันที 


 


 


“คุณซองฮี ผมเข้าใจนะ เพราะเรื่องสตอล์กเกอร์กับเรื่องฮันซองจูถึงได้ไม่อยากให้เปิดเผยสถานที่ตั้งออกไปในการถ่ายทำแบบนั้น แต่ว่าถึงขนาดเรื่องของคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ก็ยังต้องตัดออกหมดแบบนั้น ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ นอกจากสมาชิกแล้วยังรวมถึงโปรดิวเซอร์ด้วย พูดตรงๆ ผมก็ไม่คิดจะถามเรื่องแบบนั้นกับโปรดิวเซอร์หรอกนะ ทำไมคุณซองฮีถึงดูไม่เป็นตัวเองเลย ผมก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้คุณโกรธหรือเปล่า…” 


 


 


“ท่านประธานไม่เคยทำให้ผมโกรธหรอกครับ ก็แค่การถ่ายทำนี้มันไม่ถูกใจผมก็เท่านั้นแหละครับ” 


 


 


พอจีฮุนได้ฟังคำพูดของซองฮุนแล้ว ก็ถึงกับยกมือขึ้นมานวดขมับตัวเองในทันที มันเป็นสถานการณ์ที่ตัดสินใจยากสำหรับเขาจริงๆ  


 


 


ครั้งแรกที่ได้เจอซองฮีก็ผ่านทางดงฮยอนนั่นแหละ 


 


 


ในตอนที่เซจองกลับมาที่เกาหลีได้ไม่นานเท่าไหร่ แล้วจีฮุนกับเซจองก็เพิ่งคบกันอย่างเป็นทางการได้ไม่นานนัก เซจองจึงแนะนำให้เขารู้จักกับรุ่นพี่มหาลัยที่เคยติดหนี้บุญคุณไว้ 


 


 


ในวันนั้นพวกเขาได้แลกนามบัตรกัน แล้วจีฮุนก็ได้รู้ว่าดงฮยอนรุ่นพี่สมัยมหาลัยของเซจอง ก็คือประธานบริษัทที่เป็นต้นสังกัดเดิมของอีกคน พอดงฮยอนรู้ว่าจีฮุนเป็นพีดีผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับมนุษย์ เจ้าตัวก็ได้ไปพูดแนะนำเขาให้กับธุรกิจในเครือต่อ ในตอนนั้นจีฮุนที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้ออกมาทำตามฝันด้วยตัวเองได้ คนที่ดงฮยอนพามาให้เขารู้จักก็ทำให้เขาสามารถมาจับธุรกิจของตัวเองได้ในที่สุด ซองฮีเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ตอนนั้นดงฮยอนแนะนำให้เขารู้จัก 


 


 


อีกคนเพียงแนะนำว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานด้านดนตรี แต่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน จีฮุนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างจากซองฮี ถึงอีกคนจะเรียบร้อยแต่ความรู้สึกด้านที่คลับคล้ายกับความไม่พอใจอะไรแบบนั้น มันก็ทำให้เขานึกไปถึงฮันซองจูขึ้นมา แต่ทว่าหน้าตาและภาพลักษณ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้เขาไม่นึกไม่ฝันว่าทั้งคู่นั้นเป็นพี่น้องกัน พอเห็นเซจองทักทายอีกฝ่ายด้วยความยินดีแบบนั้น มันทำเอาเขาทำตัวไม่ถูก 


 


 


“ถ้าไม่ชอบใจกับการถ่ายทำ ก็ควรจะแก้ไขกับทางบริษัทของคุณก่อนที่จะมาที่นี่สิ มาทำท่าทางนักเลงใส่ผมแบบนี้มันใช่เรื่องหรือไง” 


 


 


จีฮุนพูดเช่นนั้น พร้อมกับยกยิ้มขมขื่นออกมา 


 


 


กลัวใครจะไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องกันหรือไง ในตอนนี้ฮันซองฮีไม่ต่างอะไรกับฮันซองจูเลยสักนิด 


 


 


“แต่ว่าคนนั้นคือคนที่พี่เขาคบอยู่นะครับ” 


 


 


พอเพื่อนๆ ออกไปกันหมดแล้ว ซองฮีก็แสดงความรู้สึกในใจออกมาทันที ท่าทางขมวดคิ้วอย่างยืนกรานแบบนั้น จีฮุนที่เข้าใจผิดก็ถึงกับตกใจ ปกติแล้วฮันซองฮีเคยแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยกับเรื่องของพี่ชายออกมาแบบนี้ด้วยเหรอ เท่าที่จีฮุนรู้ มันไม่เคยปรากฏออกมาเลย เขาหันกลับไปถามซองฮีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


“โปรดิวเซอร์เป็นผู้หญิงเหรอ” 


 


 


จีฮุนที่ไม่จำเป็นต้องสนใจสายตาคนอื่นแล้ว จึงได้ถามแบบนั้นกับซองฮี ทั้งสองกำลังรักษาท่าทางสบายๆ ต่อกันอย่างเช่นปกติ ซองฮีแสดงสีหน้าไม่ชอบใจพร้อมกับส่ายหน้ากลับไป 


 


 


“เฮ้อ…เจ้านั่นยังนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” 


 


 


เขาบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะทิ้งตัวลงไปพิงพนักเก้าอี้ แล้วเคาะนิ้วลงบนกระดาษ ดูท่าทางจะหงุดหงิดพอตัว ซองฮีที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของจีฮุน จึงได้มองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมา 


 


 


“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ผมเป็นคนเข้าไปยุ่งเอง” 


 


 


“ว่าไงนะ คุณจะให้ผมเชื่ออย่างนั้นเหรอ ฮันซองจูลงลักปักฐานได้แล้วเหรอ แล้วกับผู้ชายด้วย? ให้บอกว่าเจ้านั่นลาออกจากวงการยังน่าเชื่อซะกว่า” 


 


 


“เบาเสียงหน่อยเถอะครับ ข้างนอกได้ยินหมดพอดี” 


 


 


“ที่นี่เป็นห้องเก็บเสียงหรอก ผมต้องทำอะไรอีก เราก็มีประกันชีวิตแล้วด้วย” 


 


 


“ตอนนี้เรื่องนั้นมันสำคัญเหรอครับ ยังไงซะปัญหาเรื่องสตอล์กเกอร์ก็ส่วนนึง แล้วถ้ามีข่าวลือว่าฮันซองจูอยู่กับผู้ชายหลุดออกไปก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก ถึงมันจะเป็นแค่ข่าวลือ แต่ถ้าพ่อแม่เราเกิดไปได้ยินเรื่องแปลกๆ เข้า มันคงวุ่นวายน่าดู แล้วยังเรื่องที่ถอนหมั้นนั่นอีก ก็อาจทำให้เดือดร้อนอีกได้” 


 


 


“เฮ้อ เหลือเชื่อจริงๆ เลย” 


 


 


จีฮุนที่ได้ฟังคำพูดของซองฮีก็ยิ่งเคาะนิ้วลงไปแรงขึ้นอีก ซองฮีอยากจะบังคับให้หยุดท่าทางแบบนั้นเสีย แต่ก็ได้แค่อดทนเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง 


 


 


“ยังไงก็จะรับฟังไว้ใช่ไหมครับ” 


 


 


คำพูดนั้นยิ่งทำให้จีฮุนเคาะนิ้วดังตึกๆ ลงไป ก่อนจะกะพริบตาอีกสองสามครั้ง 


 


 


“มันก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเซจองโกรธเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องคงไม่ดีเท่าไหร่” 


 


 


“สุดท้ายก็ตัดสินใจฟังเพราะเซจองงั้นเหรอครับ” 


 


 


“ถึงมันจะเป็นข้อเรียกร้องที่พอฟังขึ้น แต่เรื่องมันไปไกลถึงขนาดนั้น ถ้าผมยังไม่ยอมรับฟังก็คงวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น แต่ผมเองก็มีเรื่องจะขอร้องนะ” 


 


 


“จะขออะไรครับ” 


 


 


ไม่ยอมรับฟังคำพูดของเขาแต่โดยดี ตอนนี้ยังมาบอกว่ามีเรื่องจะขอร้องอีก ทำเอาซองฮีทำหน้าบึ้งตึงออกมา แต่ว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของจีฮุนก็เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน 


 


 


“ถ้าผมออกหน้าเองโดยไม่จำเป็น เจ้านั่นอาจจะเรื่องมากอย่างนู้นอย่างนี้ได้ แล้วผลที่ได้ก็อาจจะตรงข้ามจากที่ควรเป็น ถูกต้องไหม” 


 


 


“ก็น่าจะอย่างนั้นครับ” 


 


 


“เพราะฉะนั้นก็ขอให้คุณซองฮีช่วยออกหน้าจัดการแทนด้วยนะ เพราะผมคงจะแวบเข้าไปใกล้ๆ สถานที่ถ่ายทำได้ไม่บ่อยนัก ถ้าเขาเกิดพูดอะไรขึ้นมา ให้คุณบอกไปว่าคุณกำลังถ่ายทำอยู่ ผมจะได้ไม่ต้องออกหน้าเองครับ” 


 


 


“ก็ได้มั้งครับ จริงๆ คุณจะไปบ้างก็ได้เหมือนกันนะครับ” 


 


 


“ทำไม” 


 


 


“ใครจะไปรู้ใจอีกคนได้ละครับ” 


 


 


จีฮุนเผลอพยักหน้ารับกับคำพูดของซองฮีอย่างไม่รู้ตัว กับคนนั้นเขาไม่รู้ แต่กับฮันซองจูก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังมีความคิดอื่นแล่นเข้ามาในหัว 


 


 


“ถึงยังไงหมอนั่นก็คงจะฟังคำพูดน้องชายแท้ๆ ใช่ไหมล่ะ” 


 


 


“ยังจะคิดอะไรไร้สาระแบบนั้นอยู่เหรอครับ” 


 


 


คำกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นนั่น ทำเอาจีฮุนถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“จากเรื่องเมื่อครั้งก่อน ฉันคิดว่าจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างแล้ว ดูท่าจะไม่ใช่สินะ” 


 


 


“เรื่องที่ว่านั่น มันเรื่องอะไรกันล่ะครับ” 


 


 


“ไม่ได้เล่าให้ฟังหรอกเหรอ” 


 


 


“คงไม่ได้คิดว่าคนอย่างฮันซองจูจะมานั่งเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังเป็นจริงเป็นจังอย่างนั้นหรอกใช่ไหมครับ” 


 


 


ก็นั่นสินะ คนอย่างฮันซองจู ถึงจะเกิดเรื่องคอขาดบาดตายขนาดไหน ก็คงไม่มีทางมานั่งระบายให้น้องชายแท้ๆ ฟังหรอก จีฮุนพรูลมหายใจออกมาก่อนจะกล่าวขึ้น 


 


 


“ก็แค่เซจองประกาศชัดว่าจบความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อฮันซองจูแล้วก็เท่านั้น” 


 


 


“อย่างงั้นเหรอครับ แล้วท่านประธานทำยังไงล่ะ” 


 


 


“จะทำอะไรซะอีกล่ะ ฉันไม่ชอบให้สองคนนั้นเจอกันตามลำพัง ก็เลยอาสาไปจัดการแทนเซจองไง” 


 


 


“คงจะตีกันเละเลยสินะครับ” 


 


 


“บอกว่าไม่เลยก็คงจะไม่ถูกซะทั้งหมด” 


 


 


จีฮุนกล่าวเช่นนั้น ก่อนยกยิ้มเจื่อนๆ ออกมา ซองฮีที่ได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นก็ไม่ได้มีท่าทางที่สบายใจนัก 


 


 


 


 


 


การที่เขาได้มาสนิทสนมกับเซจอง มันคือเรื่องบังเอิญ 


 


 


หลังจากวันนั้นแล้ว เซจองก็มาเที่ยวที่บ้านของซองจูอยู่บ่อยๆ ซองจูที่พอจะมีจิตสำนึกอยู่บ้างจึงไม่ได้แสดงท่าทีเกินเลยกับเซจองในบ้านที่ยังมีพ่อแม่อยู่ด้วยเช่นกัน แต่ว่าสายตาที่อีกคนมองไปที่เซจอง หรือการกระทำต่างๆ ก็ทำให้รับรู้ได้ไม่ยากว่าทั้งคู่ไม่ใช่แค่เพื่อนกันเฉยๆ  


 


 


เพราะเขาเองก็ต้องปวดหัวกับรักแรกที่เป็นรักข้างเดียวของเพื่อนตัวเองอย่างซองฮุน จึงไม่ได้ต่อต้านกับความรักของเพศเดียวกัน แต่ว่ามันเป็นเรื่องน่าตกใจที่ได้เห็นว่าคนอย่างฮันซองจูก็สามารถรักใครจากใจจริงได้เหมือนกัน สายตาเวลาที่มองมาที่เซจองนั้น มันต่างจากเวลาที่ยิ้มพร้อมกับมองมาที่เขาหรือพ่อแม่ แค่ได้เห็นเช่นนั้น มันก็ทำให้ซองฮีเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา 


 


 


แม้ในตอนนั้น ภาพแววตาของซองจูที่ฉายแววมุ่งร้ายกับเขาในตอนที่ซองฮียังเป็นเด็กนั้นก็ยังผุดวาบขึ้นมา ไม่ว่าอีกคนจะชอบใคร แต่ฮันซองจูที่กระซิบคำรักด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่สามารถเผยให้เห็นทั้งความเกลียดชังและความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ นั้น มันช่างแปลกประหลาด  


 


 


พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ ซองฮีก็ได้รู้ว่าเซจองนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา พอสนิทสนมกับซองจู ก็ได้ทำงานเป็นนักแสดงประกอบในภาพยนตร์โดยไม่คาดคิด ทั้งที่เซจองเป็นคนคุยสนุกกว่าที่คิด และมักจะยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไรเสมอ แต่ว่าบนใบหน้านั้น นานๆ ทีจะปรากฏร่องรอยของความหมองหม่นออกมา นั่นทำให้เขาได้ตระหนักว่า อีกคนก็มีชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างกันกับพวกเขานัก 


 


 


ถึงพวกเขาจะแลกเปลี่ยนเบอร์ติดต่อกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องให้ติดต่อกันบ่อยนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฮันซองจูอาจจะเข้าใจผิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาได้ แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้ละเลยเซจองที่เหมือนจะตกอยู่ในอันตราย 


 


 


เทียบกับเรื่องของอีกคนที่บังเอิญไปรับรู้มากับชีวิตของพวกเขาแล้ว มันโหดร้ายเสียยิ่งกว่า หลังได้รู้เรื่องนั้น สายตาซองฮีที่มองไปยังเซจองก็ยิ่งเวทนามากขึ้นไปอีก นั่นเป็นการแสดงออกถึงความเห็นใจประเภทหนึ่ง 


 


 


คนที่แม้แต่รับผิดชอบชีวิตตัวเองยังลำบากขนาดนั้น ไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าการมาคบกับคนแบบพี่ชายเขา มันไม่ยิ่งลำบากเข้าไปอีกหรืออย่างไรกัน ดังนั้นหลังจากที่เซจองหนีหายไปอย่างกะทันหัน ความโกรธของซองฮีที่มีต่อซองจูก็ไม่เคยลดน้อยลงอีกเลย 


 


 


คนอื่นเขาไม่รู้ แต่ฮันซองจูทำแบบนั้นกับเซจองไม่ได้ ถูกพ่อแม่ของตัวเองทอดทิ้ง แล้วยังทำให้ต้องเลิกกันไปด้วยวิธีที่โหดร้ายที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจขัดขืนได้ และอีกคนก็ไม่ใช่ประเภทที่จะหาใครใหม่ที่พอใช้ได้มาแทนที่ได้ทันทีเหมือนอย่างพี่ชายเขา เหลือทิ้งไว้แค่ความผิดหวัง ทำให้ในเวลานั้น ซองฮีไม่คิดจะเข้าข้างซองจู ไม่ใช่ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของอีกคน แต่เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ยิ่งโมโห ถึงจะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่เรื่องราวต่างๆ มันผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ไม่อาจห้ามความหงุดหงิดที่ปะทุออกมาอยู่ตลอดได้ เรื่องในตอนนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับตอนนั้นเลย 


 


 


“ยังไงซะทั้งคู่ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่เจอหน้ากันเลยตลอดชีวิตได้หรอก เพราะความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมันยุ่งเหยิงเกินไป ไม่นานมานี้ก็เห็นว่าไปเจอกันอยู่นะ” 


 


 


จีฮุนกล่าวกับซองฮีที่กำลังทำสีหน้าไม่พอใจอยู่ ตอนที่กล่าวคำนั้นออกมา สีหน้าของอีกคนก็ไม่ได้สู้ดีนัก ซองฮีฝืนยิ้มออกมา พร้อมกับยกกาแฟที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ ของเหลวรสชาติขมปร่าและมีกลิ่นหอมนั่น เข้าไปอยู่ในปากก่อนจะไหลผ่านลงคอไปอย่างช้าๆ  


 


 


“คงมีใครเรียกให้ไปสินะครับ ประธานชินนั่นสินะ” 


 


 


“ก็คงอย่างนั้น” 


 


 


“ถึงขนาดนั้นแล้ว ถ้ายังไม่พอใจอีกก็คงจะวุ่นวายน่าดูนะครับ” 


 


 


“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” 


 


 


กลิ่นของความไม่พอใจฟุ้งกระจายออกมา ถึงจะคิดจะพูดว่ามันไม่น่าใช่แบบนั้นออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หลุดปากออกไป 


 


 


“เรื่องพี่ผมจะเป็นคนจัดการเอง เพราะฉะนั้นท่านประธานก็ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยละกันนะครับ อย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องก็พอ” 


 


 


“ฉันเป็นพวกมือสมัครเล่นหรือไง นายเองพอเป็นแบบนั้น ก็เหมือนพี่ชายไม่มีผิด” 


 


 


“ก็สายเลือดเดียวกันนี่ครับ” 


 


 


เพราะซองฮีที่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ พร้อมทำสีหน้าหมั่นไส้แบบนั้นออกมา พาลให้จีฮุนยิ่งอารมณ์ขุ่นเข้าไปอีก จนทำหน้าบึ้งออกมา ก่อนจะยกกาแฟที่เซจองนำมาให้ขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง 


 


 


“มีเหตุผลอะไรที่จู่ๆ ถึงไปถือหางพี่ชายแบบนั้น ดูยังไงคุณซองฮีก็ไม่หน้าจะเข้าข้างฮันซองจูแน่ๆ” 


 


 


ซองฮีที่ได้ยินคำพูดนั้นก็ทำหน้าเครียด 


 


 


ถึงเขาจะไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกัน แม้จะใส่ใจซองจูอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา จึงดูเหมือนไม่เข้าข้างอีกคน หากอีกคนทะเลาะกับจองอู จนเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ซองฮีก็ยังจะเข้าข้างจองอูมากกว่า ที่ซองฮีเปลี่ยนไป คงเป็นในตอนที่จองอูกับซองจูกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพราะคำพูดที่ซองจูพูดออกมา 

 

 

 

 

ตอนพิเศษ 1-6 สถานที่

 


 


 


ในวันนั้น ด้วยเพราะห่วงจองอู จึงได้บุกไปถึงที่ห้องของอีกคน ซองจูที่โพล่งถามซองฮีกลับมาว่าเขาอยู่ข้างใครกันแน่ คำถามที่ทำให้ซองฮีถึงกับไปไม่เป็น จึงได้ถามกลับไปว่ามันสำคัญยังไงกัน ซองจูก็สวนกลับมาเพียงคำเดียว ในเมื่อเป็นห่วง ก็ควรจะห่วงทั้งคู่ แต่ดูแลแค่จองอูก็พอ ถึงอย่างนั้น ทั้งที่เป็นพี่น้องกัน หากกลับบอกว่าเป็นไปได้ก็ดูแลแค่จองอูเท่านั้น คำพูดนั้นเลยทำให้ซองฮีเปลี่ยนใจ ฮันซองจูที่พูดคำนั้นออกมาได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง แล้วยังคำพูดสุดท้ายที่รู้ว่าอีกคนนั้นหวงคนรักของตัวเองยิ่งกว่าใคร และยังมีความรักแบบพี่น้องที่แฝงอยู่ในนั้นด้วย นั่นแหละที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้ ซองฮีนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ก่อนจะกล่าวออกมา


 


 


“ผมเองก็อายุมากขึ้นแล้ว มันก็คงเป็นความผูกพันทางสายเลือดอะไรแบบนั้นมั้งครับ”


 


 


“พูดอะไรของคุณน่ะ”


 


 


คำพูดที่เหมือนตั้งใจจะให้เขาพูดอะไรที่มันฟังรู้เรื่องหน่อยนั่น ทำให้ซองฮียกยิ้มขึ้นมา


 


 


“งั้นต้องให้พูดยังไงถึงจะเห็นด้วยล่ะครับ”


 


 


“พูดยังไงฉันก็คงจะเห็นด้วยไม่ได้หรอกนะ เมื่อก่อนถ้าพูดถึงพี่ชายก็ยังต้องกัดฟันเลย”


 


 


“ยังไงซะ พี่ก็คือพี่อยู่ดี เดี๋ยวนี้ก็พอดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาขึ้นมาบ้าง อ้า ถ้าเจอกับท่านประธานแล้ว อาจจะจะเกิดเรื่องก็ได้นะครับ”


 


 


“แบบนั้นเรียกว่าเป็นผู้เป็นคนแล้วเหรอ”


 


 


“คนเราถ้ามีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาสักครั้ง ตามหลักก็นับเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอครับ”


 


 


ซองฮีคิดว่าแสดงท่าทีหยอกเย้าอีกฝ่ายพอสมควรแล้ว เมื่อสีหน้าของจีฮุนบูดบึ้งขึ้นมาทันทีเช่นนั้น ไม่ว่าจะคิดอย่างไร สองพี่น้องก็เหมือนจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับจีฮุนอยู่ตลอด


 


 


ก๊อกๆ


 


 


ในเวลาที่บรรยากาศเริ่มจะดีขึ้น ใครบางคนก็มาเคาะที่ประตูห้องประชุม พอได้ยินจีฮุนกล่าวว่าให้เข้ามาได้ ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง พร้อมกับเซจุนที่ชะโงกหน้าเข้ามา


 


 


“ตอนนี้พวกเราเข้าไปได้แล้วใช่ไหมครับ ถึงจะอยู่เฉยๆ ที่ห้องชงกาแฟ แต่พวกเราก็คอยจับสังเกตอยู่นะครับ”


 


 


“เข้ามาเถอะ คุยกันเรียบร้อยแล้ว”


 


 


เซจุนที่เห็นสายตาที่ซองฮีส่งมาทางเพื่อนๆ จึงได้ลากซองฮุนเข้ามาในห้องประชุมทันที


 


 


“แล้วตกลงกันได้ว่ายังไงบ้างครับ”


 


 


พอนั่งลงปุ๊บ ซองฮุนก็ถามออกมาอย่างตรงประเด็นในทันที จีฮุนจึงได้ค่อยๆ ขยับปากกล่าวตอบ


 


 


“เราจะตัดฉากที่จะสามารถทำให้สืบรู้ถึงตำแหน่งของห้องสตูดิโอแล้วก็ที่อยู่ของบรรดาสมาชิกออก ถ้าเป็นไปได้ก็จะตัดเรื่องการพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัวออกด้วยครับ ในส่วนนี้จะมีบทหรือไกด์ไลน์อย่างง่ายมาให้ดูอยู่แล้ว ฉะนั้นพอดูแล้วก็ค่อยมาปรับเปลี่ยนกันอีกทีก็ได้ครับ”


 


 


“ส่วนของโปรดิวเซอร์ด้วยใช่ไหมครับ”


 


 


“ครับ เพราะคุณซองฮีน่าจะทำได้ดีกว่า ก็เลยขอให้เขาเป็นคนไปบอกกับฝ่ายนั้นให้ด้วยน่ะครับ”


 


 


“…ซองฮีเนี่ยนะครับ”


 


 


เซจุนกล่าวขึ้นด้วยสงสัยในคำพูดนั้นของจีฮุน อย่างไรเสียเมื่อไม่นานมานี้ซองฮีก็ดูจะอ่อนโยนกับซองจูขึ้นมาบ้าง แต่ให้เขาเป็นคนออกหน้าพูดให้จะไม่ดีกว่าหรือไงกัน แต่ทว่าการตอบรับของซองฮีกลับเกินคาด


 


 


“เดี๋ยวฉันเป็นคนบอกเอง”


 


 


“จะไม่เป็นไรงั้นเหรอ”


 


 


ซองฮุนเองก็รู้สึกกังวลอย่างมากเช่นกัน จึงได้ถามย้ำออกมาอีกครั้ง แต่ซองฮีก็ยังตอบออกมาเช่นเดิมว่าไม่เป็นไร สุดท้ายทั้งสองคนก็ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ได้แต่วิตกกังวลอย่างคนน้ำท่วมปากก็เท่านั้น เรื่องอื่นนั้นไม่รู้ หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายของอีกคนนั้น พวกเขารู้ดีกว่าใครเลยว่านิสัยของซองฮีนั้นมันชวนให้ต้องลุ้นระทึก


 


 


แต่ว่าเรื่องที่ทั้งสองคนหวาดกลัวมันก็ไม่ได้เกิดขึ้น เรื่องราวมันราบรื่นยิ่งกว่าที่คิดเสียด้วยซ้ำ


 


 


 


 


“อือ งั้นเหรอ ให้ทำไงได้ล่ะ”


 


 


ซองจูที่พอได้ฟังคำอธิบายคร่าวๆ ของซองฮี ก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายกับเรื่องที่ว่าในวันถ่ายทำนั้น ซองจูจะต้องไม่โผล่เข้าไปที่ห้องสตูดิโอของจองอู พอได้เห็นการตอบรับเหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเลยแบบนั้น จึงทำให้เขาเผลอส่งสายตาแสดงความสงสัยออกไป แต่ว่าเขาก็เพียงปล่อยผ่านไป เพราะเขามั่นใจว่าฮันซองจูคือคนที่ไม่ต้องการให้คนรอบข้างได้รับรู้เรื่องความสัมพันธ์กับจองอูมากกว่าใคร


 


 


ปัญหาก็คือจองอูนั่นแหละ


 


 


ซองฮีเรียกจองอูมาเพื่อบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการถ่ายทำครั้งนี้ แต่มันกลับเป็นตัวเขาเองที่กำลังตื่นเต้นเสียยิ่งกว่า จองอูเปิดประตูห้องสตูดิโอของวงคราฟท์ที่อยู่ชั้นสองของตึกเข้ามา ตัวเขาที่ได้เห็นอีกคนเดินเข้ามาข้างใน ก็เผลอกำมือจนเหงื่อออกชุ่มไปหมด


 


 


“พี่เรียกผมมาเหรอครับ”


 


 


“อือ ไม่ยุ่งใช่ไหม นั่งก่อนสิ”


 


 


ใบหน้าของซองฮีที่มองมายังจองอูนั้น ฉายชัดถึงความตื่นตระหนกอย่างไม่สมกับเป็นอีกคน เหมือนกับกำลังปกปิดบางอย่างอยู่


 


 


“จู่ๆ ก็เรียกมามีเรื่องอะไรเหรอครับ ที่จริงขึ้นไปหาก็ได้”


 


 


“ให้ฉันขึ้นไปมันก็ยังไงๆ อยู่ เจ้านั่นน่ะ จะเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”


 


 


“อ้า นั่นสินะครับ”


 


 


ถึงจะพูดถึงซองจูออกมาเหมือนไม่มีอะไร แต่ซองฮีก็รู้สึกคลางแคลงใจเล็กน้อย เรื่องที่จะพูดในตอนนี้มันทำให้เขากังวลว่ามันอาจจะส่งผลที่ไม่ค่อยดีต่อตัวจองอูขึ้นมาก็ได้


 


 


ถึงเดี๋ยวนี้อีกคนจะดูนิ่งขึ้นมาก แต่จองอูก็ยังมีสภาพจิตใจที่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจอยู่ ถ้าหากว่าไปเผลอสะกิดถูกความรู้สึกที่ไม่ดีของอีกคนเข้าให้ แล้วจองอูหนีไปอีกละก็ ซองจูกับดงฮยอนคงไม่ปล่อยซองฮีไปเฉยๆ แน่ อย่างไรก็ตาม สภาพเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างจากกำชนวนระเบิดเวลาเอาไว้ในมือเลย


 


 


ซองฮีจ้องมองไปยังจองอูที่นั่งตรงโซฟาด้านหน้าเขา ก่อนจะค่อยๆ กล่าวออกมา


 


 


“อืม จองอู”


 


 


“ครับ”


 


 


“ฉันมีอะไรจะบอก”


 


 


“ครับ”


 


 


“ครั้งนี้เราจะทำแฟนเซอร์วิสร่วมด้วย ก็เลยจะมีการถ่ายทำแนวสารคดีสั้น แล้วนายเองก็ต้องมาเข้าร่วมด้วย”


 


 


“อ้อ ผมได้ยินมาแล้วละครับ เพราะงั้นคนนั้นก็เลยมาบ่นเรื่องที่จะไม่ได้เข้ามาที่ห้องสตูดิโอสักสองสามวันอย่างนั้นเหรอครับ”


 


 


พอได้เห็นท่าทางตอบกลับที่ไม่ได้อะไรแบบนั้นของจองอู ซองฮีก็รู้สึกอ่อนแรงเสียดื้อๆ


 


 


“ช่วงนั้นมันก็อาจจะเสียเวลางานไปด้วย”


 


 


“ก็ทำไงได้ละครับ”


 


 


สีหน้าของจองอูประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง ขณะมองดูท่าทางตอบรับอย่างหมดอารมณ์ของซองฮี


 


 


“นายนี่มันพิลึกคน”


 


 


“ผมก็ได้ยินแบบนั้นอยู่บ่อยๆ “


 


 


“…เอาเถอะ ยังไงก็ต้องถ่ายอยู่แล้ว อีกอย่างคือฉันมีอะไรต้องบอกให้นายรู้ด้วย ถึงได้เรียกให้นายมาหา”


 


 


“ผมเหรอ”


 


 


คำพูดที่ว่ามีเรื่องต้องบอกเขานั้น ทำเอาดวงตาของจองอูถึงกับเบิกโพลงขึ้น ซองฮีเห็นเช่นนั้นแล้วก็ได้แต่กัดริมฝีปากเอาไว้


 


 


“อืม ก็คืออย่างนี้นะ คนที่มาถ่ายสารคดีให้เราเป็นคนที่เรารู้จัก”


 


 


“คนรู้จักงั้นเหรอครับ”


 


 


“อือ แต่ว่าเขาคนนั้นน่ะ….”


 


 


ซองฮีไม่กล้ากล่าวต่อไป ส่วนจองอูก็เอาแต่ส่งสายตาใคร่รู้ไปที่อีกฝ่ายอยู่เรื่อยๆ สุดท้ายจึงเป็นจองอูที่ไม่อาจทนรอได้ และจัดการจู่โจมให้ซองฮีพูดส่วนที่เหลือออกมาเสียก่อน


 


 


“พี่จะพูดอะไรผมไม่รู้หรอกนะ แต่อย่าเงียบไปเฉยๆ แบบนี้เลย พูดออกมาเถอะครับ แบบนี้มันอึดอัดนะ”


 


 


“อ้า ก็ได้ ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ คนนี้เขาไม่ค่อยลงรอยกับเจ้านั่นสักเท่าไหร่น่ะสิ”


 


 


“คนที่ไม่ค่อยถูกกับฮันซองจูน่ะ มีแค่คนสองคนที่ไหนกันละครับ”


 


 


การตอบรับเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญของจองอู ทำให้ซองฮีกลับดูหมดแรงเสียจนได้แต่พึมพำออกมาเสียงแผ่ว


 


 


“คือมันไม่ใช่ปัญหานั้น…แล้วก็นะ นายคิดว่าเจ้านั่นเป็นยังไงล่ะ”


 


 


มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้เห็นท่าทางเหวี่ยงวีนแบบนั้น ในสายตาคนอื่น ฮันซองจูนับเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยอย่างที่สุด แต่สำหรับคนใกล้ชิดแบบพวกเขา มันคนละเรื่องกันเลย


 


 


“ก็…เป็นคนที่ทำอะไรตามความพอใจของตัวเอง”


 


 


“ทำอะไรตามความพอใจตัวเองแค่ครั้งเดียวก็พังความสัมพันธ์ที่มีกับคนใกล้ตัวจนเละน่ะสิ นายเองก็อย่าไปตามใจนัก เพราะแบบนั้นถึงได้ยิ่งเอาแต่ใจตัวเอง แล้วก็ทำแบบนั้นอยู่เรื่อยๆ ไม่สิ เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ที่จะพูดก็คือ พีดีที่จะมาถ่ายทำสารคดีให้รอบนี้น่ะ เป็นคนที่กำลังคบอยู่กับคนรักเก่าของเจ้านั่น…”


 


 


พอได้พูดออกมาจนจบ ท่าทางของซองฮีที่มองตรงมาก็พลอยทำให้สีหน้าของจองอูนั้นเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที


 


 


ในหัวของเขากำลังนึกถึงคนหน้าสวยที่ได้เห็นที่งานแต่งงานของซองฮีกับผู้ชายท่าทางสุขุม สวมแว่นตา และตัวสูงๆ ที่คอยยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ คนนั้น หากจองอูคาดเดาไม่ผิด คนที่ซองฮีกำลังพูดถึง คงต้องเป็นผู้ชายตัวสูงที่สวมแว่นคนนั้นอย่างแน่นอน


 


 


“ใช่คนตัวสูงๆ สวมแว่น แล้วก็ท่าทางดูสุขุมคนนั้นหรือเปล่าครับ”


 


 


คำพูดของจองอูที่ยืนยันถึงลักษณะของจีฮุนได้อย่างถูกต้องนั้น ทำให้สีหน้าของซองฮียิ่งเครียดเข้าไปอีก


 


 


“เคยเจอแล้วเหรอ”


 


 


“ที่งานแต่งงานของพี่ เคยเห็นเขายืนคุยกันกับคนนั้นอยู่น่ะครับ”


 


 


“อ้อ อย่างงั้นเหรอ เคยเจอกันแล้วสินะ…”


 


 


ในเวลานั้น ซองฮีรู้สึกว่าตัวเองถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรง เพราะเขาเองแต่กังวลว่าจะเผลอไปทำร้ายจิตใจของจองอูเข้าให้ หากแต่อีกคนกลับตอบรับด้วยท่าทางเหมือนมันแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง นั่นทำเอาเขารู้สึกหมดเรี่ยวแรงไปเสียดื้อๆ ท่าทางของซองฮีที่พรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย ทำให้จองอูที่ได้เห็นเช่นนั้น ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ พร้อมกับเอ่ยออกมา


 


 


“อะไรกันครับ นี่เป็นห่วงผมอย่างนั้นเหรอ”


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ ไอ้เด็กเวร เกิดนายเข้าใจผิดขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”


 


 


“ก็นะ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังสักเท่าไหร่ คนนั้นกับคุณพีดีก็ดูไม่ค่อยจะลงรอยกันอย่างที่ว่าแหละครับ”


 


 


“อือ ใช่แล้วละ เพราะแบบนั้น ตอนถ่ายทำถึงได้บอกว่าห้ามไม่ให้เข้ามาเฉียดแถวนี้ด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะฟังกันหรือเปล่า


 


 


“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันก็จะยิ่งวุ่นวาย ดังนั้นก็เลยบอกว่าจะอยู่บ้านเฉยๆ น่ะครับ”


 


 


“ว่างั้นเหรอ…”


 


 


ท่าทางของจองอูที่บอกว่าไม่เป็นไรอย่างง่ายดายนั้น ทำเอาซองฮีไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อไป ที่แท้ก่อนหน้านี้ จองอูก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้วประมาณหนึ่ง แล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องพูดอะไรให้มันต่อความยาวสาวความยืดด้วย จองอูยิ้มกว้างราวกับเข้าใจความรู้สึกของซองฮี แล้วกล่าวขึ้นมาก่อน


 


 


“พี่”


 


 


“…อือ”


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงผมขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมในตอนนี้น่ะ ไม่คิดจะหนีไปง่ายๆ แบบเมื่อก่อนแล้วนะครับ”


 


 


ซองฮีไม่ตอบรับอะไรกับคำพูดนั้น


 


 


ไม่รู้ว่าตัวเองควรต้องเข้าไปยุ่งในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ถึงจุดไหน มันถึงจะถูกต้อง


 


 


แต่ว่าจะให้เข้าไปยุ่งแบบสุ่มสี่สุ่มห้ามันก็ไม่ได้อีก ถ้าเกิดว่าระหว่างที่ถ่ายทำอยู่ เกิดมีเรื่องอะไรไปสะกิดใจจองอูเข้าจนหนีหายไปหรือกลายเป็นว่าไปตอกย้ำความทุกข์ในใจ คนที่เจ็บปวดยิ่งกว่าใคร ในครั้งนี้ก็คงไม่พ้นเป็นซองจูนั่นแหละ เขาเองก็ไม่อยากเห็นอะไรแบบนั้น ซองฮีพรูลมหายใจน้อยๆ ออกมา


 


 


“เฮ้อ…จองอู”


 


 


“ครับ”


 


 


“ทำไมนายถึงได้ชอบเจ้านั่นได้ล่ะ”


 


 


ซองฮีถามจองอูอย่างตรงไปตรงมา

 

 

 

 

ตอนพิเศษ 1-7 สถานที่

 


 


 


 


ไม่ว่าจะลองคิดอย่างไร ก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด ทั้งมุนเซจอง ทั้งคิมจองอู ต่างก็เหมือนกันอยู่อย่าง ก็คือเรื่องที่ชอบฮันซองจู ถึงจะรู้ว่าอีกคนเป็นเจ้าตัวปัญหาในหลายๆ เรื่อง แต่ก็ยังคงลงเอยแบบนั้นได้ ในตอนแรกก็คิดว่าหลงใหลในรูปโฉม แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะอดทนกับฮันซองจูที่เจ้าอารมณ์แบบนั้นได้ เพียงเพราะเรื่องของรูปลักษณ์ หรือหมอนั่นจะมีเสน่ห์อะไรที่เขาไม่รู้อย่างนั้นเหรอ ซองฮีได้แต่สงสัยอยู่แบบนั้น 


 


 


“ก็ไม่รู้สิครับ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน” 


 


 


แต่ว่าคำตอบที่ได้รับกลับมานั้นไม่อาจช่วยไขข้อข้องใจได้เลย ซองฮีที่มีสีหน้าอ่อนแรงจึงได้บ่นพึมพำออกมา 


 


 


“อะไรเนี่ย คิดว่าจะได้คำตอบอะไรที่มากกว่านี้ซะอีก” 


 


 


คำพูดนั้นทำเอาจองอูระบายยิ้มกว้างออกมา 


 


 


“ก่อนหน้านี้ผมก็เคยถูกถามคำถามแบบนี้ แต่ผมเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน มันก็แค่เหมือนว่าเป็นอะไรที่ขัดขืนไม่ได้น่ะครับ” 


 


 


“ขัดขืนไม่ได้?” 


 


 


ซองฮีมองตรงมาที่จองอูอย่างต้องการถามว่าคำพูดแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน จองอูจึงได้กล่าวต่อ 


 


 


“ครับ ขัดขืนไม่ได้ ถูกดึงดูดเข้าไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น มันเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้ ให้พูดออกมาแบบดูดีก็ทำไม่ได้ แต่มันคือความรู้สึกที่ว่าเป็นคนนี้ละ อะไรประมาณนั้นครับ” 


 


 


จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้น ขณะที่หวนนึกไปถึงครั้งแรกที่ได้เจอกับซองจู 


 


 


ในตอนนั้นจองอูตกอยู่ในสภาพที่เป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรังและยังหูแว่วเข้าขั้นวิกฤต พอนึกย้อนกลับไปในตอนนั้น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าจะสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้หรือไม่ แต่ว่าพอได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องใหม่ และผู้อาศัยเดิมที่ปรากฏตัวออกมาด้วยท่าทางคุกคามเขาอย่างเต็มที่นั้น ในความคิดของจองอู อีกคนดูมีเสน่ห์อย่างมาก 


 


 


ครั้งแรกเขาเพียงมองผ่านๆ ไปเท่านั้น แต่พออีกฝ่ายเห็นเขาแล้วถึงกับทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงออกว่าโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล้วก็เดินกลับห้องตัวเองไป โทรศัพท์ไประบายความโกรธที่ไหนสักที่ ในตอนนั้นจองอูคิดเพียงแค่นั้น ตามนิสัยของดงฮยอนที่เป็นเจ้าของวิลล่า มีความเป็นไปได้สูงที่อีกคนจะไม่ได้บอกเรื่องจองอูให้คนที่อาศัยอยู่ก่อนรู้ ดังนั้นจองอูจึงแสดงท่าทางเป็นแขกไม่ได้รับเชิญแสนเรียบร้อย คิดว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาก็จะไปจากที่นี่ 


 


 


มันช่างเป็นบ้านที่แสนโดดเดี่ยว น่าจะอยู่ที่นั่นอย่างอึดอัดใจพอควร มันทั้งกว้างและโดดเดี่ยว ภายในบ้านหลังนั้นที่ไร้ซึ่งความอบอุ่นใดๆ ฮันซองจูยืนอยู่ที่นั่นอย่างอ้างว้าง 


 


 


ภายในห้องที่ปิดไฟ เขายืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์สีแดงในยามอัสดง จองอูมองภาพความมืดมิดที่ค่อยๆ กลืนกินเข้ามา ก่อนเสียงครึกโครมจะดังขึ้น แล้วเขาก็ได้เห็นซองจูที่เปิดประตูดังปังเข้ามา แล้วยืนค้างนิ่งอยู่ตรงนั้น มันให้รู้สึกเหมือนกับลมหายใจนั้นสะดุดลง 


 


 


ภายในห้องที่มืดมิด ใบหน้าใสกระจ่างของซองจูดูเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสว่างที่ทางเดินเบื้องหลังนั่นสะท้อนเข้ามาจนทำให้ดูราวกับกำลังเปล่งประกาย 


 


 


เขายืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด สายตาของอีกคนทอประกายแปลกประหลาด ทำให้รู้สึกได้ถึงความร้อนที่คืบคลานไปทั่วร่าง หากทว่าภายในใจนั้นกลับมืดมนเสียยิ่งกว่าใคร คนที่ชื่อว่าฮันซองจูนั้นเป็นคนที่มีความขัดแย้งอยู่ในตัวสูงมาก เหมือนในดวงตาคู่นั้นมีสีสันแบบเด็กๆ แฝงอยู่ 


 


 


แม้จะดูสดใสอย่างมาก แต่ก็เป็นคนที่มืดมนยิ่งกว่าใคร จองอูรู้ทั้งที่เพิ่งสบตากันเป็นครั้งแรกว่าซองจูเป็นเช่นนั้น แล้วเขาก็ถูกดึงดูดเข้าไปในทันที 


 


 


นั่นละคือสิ่งที่เกิดขึ้น 


 


 


“ถึงยังไง ต่อให้ได้สบตากันในที่อื่น ผมก็ยังคงจะตกหลุมรักคนนั้นอยู่ดี มันเป็นเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมมั่นใจครับ” 


 


 


สีหน้าของซองฮีที่มองมายังเขาซึ่งกำลังพูดออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้น ยังคงมีเงาของความเศร้าพาดผ่าน แต่ว่าจองอูก็ไม่ได้ใส่ใจกับมัน อย่างไรเสียชีวิตเขาก็ไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบอยู่แล้ว ท่ามกลางมรสุมของความไม่มั่นคงทางจิตใจที่พัดกระหน่ำ หากจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาอีกสักอย่าง มันก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม กลับกันเพราะมรสุมนั้น คนอื่นคงจะไม่รู้ว่ามันได้ทำให้เขาสามารถจัดการกับชีวิตที่เคยแหลกเหลวได้ 


 


 


“ก็ ต่อไปถ้าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก มันก็คงจะดราม่าได้เท่านี้ละครับ เพราะแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอกครับ” 


 


 


จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้น พร้อมกับเอนตัวพิงไปกับโซฟา ท่าทางสบายๆ ยิ่งกว่าที่คิดแบบนั้น คงมีเพียงซองฮีเท่านั้นที่ร้อนรนภายในใจ จองอูมองไปยังคนคุ้นเคยมาแสนนานซึ่งนั่งทำหน้าบูดอยู่ด้วยสีหน้าสบายใจ แต่ทว่าซองฮีกลับไม่พอใจกับท่าทางแบบนั้น จึงได้บ่นพึมพำออกมา 


 


 


“ที่จริงแค่ฉันคิดว่าในอนาคตมันอาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา ก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ก็ห่วงนายที่เป็นนายแบบนี้ แล้วก็พี่ที่เป็นแบบนั้นจนแทบบ้าแล้ว” 


 


 


“ไม่สบายใจเพราะพวกเราสองคนงั้นเหรอครับ” 


 


 


“ก็มีบ้างแหละ แต่เพราะทั้งสองคนเป็นคนที่ใกล้ชิดกับฉัน คนนึงก็นะ ถึงจะบ้าบอยังไงก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ที่มีคนเดียวในโลก และนายเองก็เป็นมากกว่าแค่เพื่อนร่วมงาน ในตอนนี้พวกนายใช้ชีวิตแบบคนรัก ตัวติดกันตลอดทั้งวัน แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ถ้าเกิดว่าสุดท้ายแล้วมันจบไม่สวยขึ้นมา ก็เป็นพวกนายทั้งคู่นั่นแหละที่ต้องเจ็บปวด แต่ว่าคนที่อยู่ตรงกลางแบบฉันก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันนักหรอก” 


 


 


ซองฮีกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้าๆ ถึงเขาจะรู้สึกได้ถึงสายตาของจองอูที่มองตรงมาที่ตัวเอง แต่ว่าตอนนี้เขาไม่อยากสบตาอีกคนแบบตรงๆ เลย ซองฮีที่แกล้งทำท่าทางไม่รับรู้อะไรอยู่นั้น ไม่นานนักน้ำเสียงกลั้วหัวเราะของจองอูก็ดังมาให้ได้ยิน 


 


 


“พี่นี่จริงๆ เลย ถ้างั้นพี่ก็ต้องดูแลคนนั้นสิครับ ก็เป็นพี่น้องกันนี่นา” 


 


 


“พูดต่างกันเลยนะ” 


 


 


“ครับ?” 


 


 


“กับหมอนั่นน่ะ พูดต่างกันเลยนี่” 


 


 


ซองฮีบังคับให้เปลือกตาที่ปิดอยู่ ปิดสนิทขึ้นไปอีก 


 


 


เขาคิดว่าช่างเป็นคู่รักที่พูดคุยกันน้อยเหลือเกิน แล้วก็เหมือนว่าจะเดาได้ถูกเสียด้วย จองอูไม่ได้รู้เลยว่าซองจูนั้นคิดถึงตัวเองแบบใด และห่วงมากแค่ไหน เพราะแบบนั้นตอนที่พูดถึงเรื่องของจีฮุน ถึงได้จดจ่อเสียขนาดนั้น จนถึงตอนนี้คิมจองอูไม่เคยรู้เลยว่าคนที่คอยใส่ใจและระมัดระวังความสัมพันธ์ที่มีต่อฮันซองจูนั้น ไม่ใช่ใครอื่นเลย แต่เป็นตัวฮันซองจูนั่นแหละ ซองฮีพรูลมหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนจะลืมตาขึ้น 


 


 


“ตอนก่อนหน้านี้ที่นายหายไป แล้วก็กลับมาใหม่น่ะ” 


 


 


ซองฮีกล่าวถึงแค่นั้น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ด้วยตระหนักว่ากำลังข้ามมาพูดถึงเรื่องนี้โดยไม่คาดคิด จึงได้ตั้งสติกับตัวเองครู่หนึ่ง แล้วจึงได้เปิดปากกล่าวต่อไป 


 


 


“ฉันบอกไปว่าเข้าข้างนาย ถึงจะทำอะไรตามใจยังไง ถ้าเป็นเรื่องที่ผิดต่อนาย ฉันก็ไม่คิดจะอยู่เฉยๆ” 


 


 


“แล้วทำยังไงล่ะครับนั่น เขาไม่ใช่คนที่จะยอมทนฟังนิ่งๆ นี่นา” 


 


 


“แต่ว่าไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมาเลย” 


 


 


“ครับ?” 


 


 


คำพูดที่คาดไม่ถึงแบบนั้นทำเอาจองอูถึงกับตาเบิกโพลง ซองฮีคอยให้จองอูสงบลง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“ก็นะ ตอนแรกก็พูดออกมาเสียงแข็งว่าพี่ของนายน่ะคือฉันนะ แต่ว่าเรื่องที่อยากพูดจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกนะ” 


 


 


“ถ้างั้น…” 


 


 


“หมอนั่นบอกว่าไม่ต้องมาสนใจตัวเขา ถ้าจะดูแลใคร ก็ให้ไปดูแลนาย” 


 


 


“อะไรนะครับ” 


 


 


“หมอนั่นว่า ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรกับตัวเอง คนที่จะคอยอยู่ข้างนายน่ะแทบจะไม่มีเลย ยังไงซะฉันก็ไม่ได้ลงรอยกับตัวเขาอยู่แล้ว มันก็เข้าเค้าพอดีไม่ใช่เหรอแบบนั้น เพราะงั้นก็ให้ดูแลตัวนายแทนตัวเองซะ แต่ก็นะ การที่คนที่มีสายเลือดเดียวกันมาบอกให้เข้าข้างคนอื่นแบบนั้น มันก็รู้สึกไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดฉันพูดอะไรโต้แย้งกลับไป หมอนั่นก็คงจะพูดอะไรยืดยาวออกมาอีกก็เท่านั้น” 


 


 


คิ้วกระตุกขึ้น พร้อมกับริมฝีปากที่เบะออก ท่าทางเช่นนั้นของซองฮีที่จองอูได้เห็นทำให้เจ้าตัวได้แต่พรูลมหายใจออกมาเงียบๆ  


 


 


“เหมือนมันจะไปกันใหญ่แล้วนะครับ” 


 


 


“งั้นเหรอ เพราะนายเองก็ขี้ขลาดกว่าที่คิด หมอกนั่นถึงได้ทำตามใจตัวเองเป็นเท่าตัวแบบนั้นได้” 


 


 


“ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่แบบนั้น เพราะว่าเคยร่วงลงไปถึงจุดต่ำสุดมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ในอนาคตก็ไม่ได้จะเลิกกันแน่นอนสักหน่อยนี่ครับ” 


 


 


“แบบนั้นมันจะไม่โลกสวยไปหน่อยหรือไง” 


 


 


“งั้นพี่ก็แต่งงานทั้งที่คิดว่าจะต้องเลิกกันงั้นเหรอครับ” 


 


 


ซองฮีไม่ได้ตอบโต้อะไรกับคำกล่าวนั้นของจองอู อย่างไรสองคนนี้ก็มักจะจี้ใจดำกันได้อยู่เรื่อย จนไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่ออีก ได้แต่ทำเสียงฮึ่มๆ ออกมา เห็นท่าทางเช่นนั้นของซองฮีแล้ว จองอูก็เอ่ยปากออกมาอีกครั้ง 


 


 


“ช่วยเล่าเรื่องคนนั้นให้ฟังอีกหน่อยสิครับ” 


 


 


“คนนั้น?” 


 


 


“คนหน้าสวยน่ะครับ คนรักเก่านั่นน่ะ” 


 


 


“อ้อ พูดถึงเซจองสินะ” 


 


 


ซองฮีมึนงงกับคำขอร้องแบบกะทันหันของจองอูไปครู่หนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขาควรจะเล่าไปถึงขนาดไหน แต่ว่าจองอูก็ดูจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แล้วก็เริ่มขยับเข้ามานั่งติดกับซองฮี ขอร้องตัวเขาที่ยังไม่ยอมเปิดปากพูดแม้แต่น้อย 


 


 


“ขอร้องฮันซองจูแค่ไหน อีกคนก็ไม่ยอมเล่าเลย พี่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิครับ” 


 


 


“นี่ แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรจะเล่าไหมล่ะ ฉันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องระหว่างสองคนนั้นไปหมดซะทุกเรื่องหรอกนะ” 


 


 


“ผมไม่ได้สงสัยเรื่องนั้น ก็แค่อยากรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนต่างหาก ขนาดมองอยู่ไกลๆ ยังเห็นเลยว่าคนนั้นน่ะประหม่าแค่ไหน ถ้าทำให้คนนั้นว้าวุ่นได้แบบนั้น ก็คงไม่ใช่ธรรมดาแล้วแหละ” 


 


 


“นิสัยน่ะเหรอ คนละขั้วเลย แล้วก็เพราะแบบนั้น เพราะผูกพันกันมาก ถึงได้ปฏิเสธไม่ได้ง่ายๆ ตอนที่ต้องตัดขาด ถึงรู้ว่าต้องตัดก็ยังยื้อปล่อยไปเรื่อยๆ” 


 


 


ซองฮีกล่าวเช่นนั้น ขณะนึกถึงใบหน้าของเซจอง 


 


 


เพราะรูปลักษณ์ที่สวยขนาดนั้นจึงทำให้ดูบอบบาง แต่ว่ากลับเป็นพวกที่ดื้อรั้นยิ่งกว่าใคร ดังนั้นถึงได้คิดแค่ว่าจะต้องทำให้ความสัมพันธ์แบบคนรักที่แสนบากลำบากนี้ผ่านไปได้ด้วยดีให้ได้ และศัตรูก็อยู่ในกฎข้อนั้นนั่นละ พอถูกพ่อแม่จับได้ในงานเปิดตัวก็ต้องหลบหนีไปต่างประเทศทันที พอได้ยินเรื่องนั้นซองฮีกลับเป็นห่วงเซจองเสียยิ่งกว่าพี่ตัวเองที่ถูกทิ้งไว้ลำพังเสียอีก 


 


 


แต่มันก็แค่ครู่เดียว ตอนที่ได้ยินว่าพ่อแม่ของเซจองคอยขัดขวางอนาคตของซองจูแบบนั้น เขาก็เกิดนึกผิดหวังในตัวเซจองขึ้นมา ถึงจะรู้ดีว่าเรื่องนั้นมันไม่ใช่เพราะเซจอง แต่เขาก็ยังไม่หายหงุดหงิด ในตอนนั้นด้วยความสัมพันธ์พี่น้องที่เหมือนลิ้นกับฟัน ซองจูจึงไม่ได้บอกเล่ารายละเอียดอะไรให้รู้ นั่นจึงทำให้เรื่องยิ่งบานปลายออกไป ซองฮีได้คลายความเข้าใจผิดที่มีต่อเซจอง ก็ตอนที่อีกคนกลับมาที่เกาหลีอีกครั้ง 


 


 


“เพราะแบบนั้นทั้งสองคนก็เลยฝังใจมาจนถึงตอนนี้” 


 


 


จองอูกล่าวออกมาแบบนั้น พร้อมกับพรูลมหายใจแผ่วเบา 


 


 


“วันที่ถ่ายทำ เขาคนนั้นจะมาหรือเปล่าครับ” 


 


 


“หืม เจ้านั่นตอนนี้ก็ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รัก แล้วก็ออกห่างไปไกลแล้วละ ถ้าเป็นตอนถ่ายทำ ประธานคิมอาจจะเรียกให้เอาพวกของว่างมาส่งบ้างก็ได้ การถ่ายทำก็ต้องเป็นการถ่ายทำ ครั้งนี้อาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้มั้ง” 


 


 


“ทำงานเกี่ยวกับอาหารอย่างนั้นเหรอครับ” 


 


 


“อือ ตอนไปต่างประเทศ เห็นว่าไปเรียนพวกทำขนมมาน่ะ ตอนนี้ก็ทำงานที่คาเฟ่อยู่ ทำงานเป็นบาริสต้าด้วย” 


 


 


“เหมือนกันเลยแฮะ” 


 


 


เป็นคำพูดสั้นที่มีความรู้สึกมากมายทับซ้อนอยู่ 


 


 


พอมองแบบนี้แล้ว จองอูกับเซจองก็คล้ายกันอยู่มากทีเดียว ทั้งที่รู้และไม่รู้ ด้วยอาชีพมันย่อมต้องคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว แต่ว่ากระทั่งบรรยากาศรอบตัวก็ยังคล้ายกันถึงขนาดนั้นอีก เริ่มจากภายในใจลึกๆ นั้น ซุกซ่อนความรู้สึกสับสนที่ปะทุขึ้นมาเอาไว้ และใช้ใบหน้าเรียบเฉยมาเป็นฉากบังหน้า แล้วยังบรรยากาศที่เหมือนโอบกอดทั้งโลกเอาไว้นั่นก็ด้วย แต่ทว่าด้วยสไตล์และรูปร่างที่ต่างกัน หากไม่ใช่คนที่คลุกคลีด้วยกันมานาน คงไม่มีทางจับสัมผัสถึงความพิเศษนั้นได้อย่างแน่นอน 


 


 


แต่ว่าที่ซองจูเลือกจองอู ก็ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอะไรแบบนั้น นั่นคือเรื่องที่มั่นใจได้อย่างแน่นอนที่สุด 


 


 


“คนละคนกันอยู่แล้ว ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย พี่เองก็เพิ่งจะรู้เรื่องที่เซจองไปทำงานที่ร้านกาแฟเมื่อไม่นานมานี้เอง อย่าเอาอะไรไร้สาระแบบนั้นไปใส่ใจเลย” 



 

ตอนพิเศษ 1-8 สถานที่

 


 


 


 


พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว สีหน้าของจองอูก็ดูจะยังเคร่งเครียดอยู่ ซองฮีคิดว่าคำพูดของเขามันช่างไร้สาระ พร้อมกับตบลงที่หลังของอีกคน 


 


 


“นี่ อย่าใส่ใจเลยน่า ฉันก็พูดอะไรเรื่อยเปื่อย” 


 


 


“ไม่ใช่หรอกครับ ยังไงๆ ผมก็เป็นคนถามเองนี่ครับ” 


 


 


จองอูยิ้มเจื่อนออกมา พร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ แต่ทว่าซองฮีกลับรู้สึกได้ว่าสีหน้าของอีกคนมันดูเศร้าสลดจนทำให้ทนนิ่งไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเห็นจองอูก้มมองปลายเท้าตัวเองอยู่นานสองนาน แล้วจึงค่อยๆ เปิดปากอย่างช้าๆ เงาแห่งความเงียบที่เข้าปกคลุมห้องซ้อมในช่วงเวลาที่ผ่านมาเหมือนจะยังไม่หายไปเสียทีเดียว สุดท้ายความเงียบนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะคำพูดของจองอู 


 


 


“ก็แค่ มันคอยจะสนใจอยู่ตลอด ยังไงซะสิ่งที่ผมจดจ่อกับมันก็มีแค่ดนตรี ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น กลับกันผมกลับมีสิ่งที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย สภาพจิตใจก็ไม่ได้ดีนัก แค่ดูก็รู้แล้วว่ามีข้อตำหนิมากขนาดไหน แต่ว่าคนนั้นก็แค่ปิดหูปิดตาก็เท่านั้น หากเป็นคนที่ดูสดใสแบบนั้นแล้ว คนนั้นก็จะไม่ต้องเจ็บปวดหรือเปล่า” 


 


 


“นายเนี่ย ถ้าพูดแบบนั้นออกมา คงได้โดนหมอนั่นต่อยเข้าให้แน่” 


 


 


“ถ้าจะตีก็ต้องยอมอยู่แล้วนี่ครับ” 


 


 


“พูดไม่เข้าท่าจริงเลยไอ้เด็กนี่” 


 


 


ซองฮีมีสีหน้าตกตะลึง จิ๊ปากออกมา ดูเหมือนจองอูจะไปกดโดนสวิตซ์บางอย่างในตัวเขาเข้าให้เสียแล้ว 


 


 


“ตอนนี้นายกำลังกังวลกับเรื่องไร้ประโยชน์แบบนั้นงั้นเหรอ ฮันซองจูเองก็ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย คนเราแค่มองจากภายนอกไม่ได้หรอกนะ ยังมีอะไรอีกมากที่เราไม่รู้ ดูจากเราพี่น้องก็เห็นแล้วนี่ ในสายตาคนอื่นคือคนที่ได้รับการศึกษาที่ดีและเติบโตมาอย่างดี ในความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้นเหรอ อย่าดูถูกตัวเองนักเลย แบบนั้นมันเหมือนไม่ให้ค่าฮันซองจูที่เป็นคนเลือกนายเลยนะ” 


 


 


ซองฮีกล่าวเช่นนั้นออกมาพร้อมกับตบลงไปบนไหล่ของจองอู แล้วจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง 


 


 


“นี่ ปล่อยเรื่องเครียดๆ พวกนี้ทิ้งไปเถอะนะ อีกเดี๋ยวเจ้าพวกนั้นก็จะเข้ามากันแล้ว” 


 


 


เจ้าตัวฝืนทำตัวให้สดใสขึ้นมา พร้อมกับบิดขี้เกียจ จองอูที่มองท่าทางแบบนั้นของซองฮีอยู่ก่อน จึงได้หลุดขำออกมา 


 


 


“พี่” 


 


 


“หือ?” 


 


 


จองอูมองไปยังซองฮีพร้อมกับยกยิ้มพราย ท่าทางแบบนั้นทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้นความสงสัยอย่างบอกไม่ถูก แล้วริมฝีปากของจองอูก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีก 


 


 


“พี่ลองพูดออกมาตรงๆ เถอะครับ ไม่ได้เกลียดคนนั้นหรอกใช่ไหม” 


 


 


“อะไร” 


 


 


พอจองอูพูดจบ ใบหน้าซองฮีก็ขึ้นสีแดงระเรื่อในทันที มันกระแทกเข้าจุดสำคัญเสียจนพูดอะไรต่อไม่ได้อีกแล้ว ได้แต่เผยออ้าๆ หุบๆ ปากเหมือนคนโง่อยู่แบบนั้น พอได้เห็นท่าทางแบบนั้นของซองฮี จองอูก็หัวเราะคิกคักออกมา 


 


 


“อันที่จริงเนี่ย พี่กับคนนั้นเหมือนกันอย่างกับอะไรดีเลยนะครับ ถึงจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจแต่ก็คอยห่วงใย แล้วก็ใส่ใจกับเรื่องของกันและกันทุกวันอยู่แล้วนี่” 


 


 


“นี่ ฉันไปทำแบบนั้นตอนไหนกัน!” 


 


 


“ไม่ใช่เหรอครับ จริงเหรอ” 


 


 


ทำตาเบิกโพลง พร้อมถามกลับด้วยท่าทางเล่นใหญ่แบบนั้นของจองอู ทำเอาใบหน้าของซองฮีนั้นบูดบึ้ง แต่ทว่าจองอูก็ยังไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น อีกฝ่ายยังคงกดดันซองฮีด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มสดใส 


 


 


“โธ่ ดูก็รู้แล้ว พี่น้องกันต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนแบบนั้นอยู่แล้วนี่ ถึงได้บอกมาตรงๆ ไม่ได้แบบนั้น ทั้งคนนั้น ทั้งพี่ต่างก็แกล้งทำเป็นทำไม่ดีต่อกัน แต่ที่จริงก็ไม่ได้เกลียดกันขนาดนั้นเสียหน่อย แค่เพราะไม่รู้วิธีที่จะพูดคุยกัน มันก็แค่นั้น ทั้งคู่ต้องแสดงออกแบบตรงไปตรงมาบ้าง ถ้ายิ่งอายุมากขึ้น มันก็จะยิ่งกลายเป็นเรื่องยากนะครับ วันข้างหน้าก็จะต้องมาเสียใจ” 


 


 


“นี่ นายจะเอาแบบนี้จริงๆ เหรอ พูดมาตามตรง นายโดนเจ้านั่นซื้อไปแล้วหรือไง” 


 


 


“พูดอะไรของพี่น่ะ ที่พูดตอนนี้คือให้กลับไปที่บ้าน ทำอย่างที่ทำ พูดอย่างที่พูด แค่นั้นมันจะตายหรือไงครับ” 


 


 


“นี่ นายเองน่ะต่อหน้าหมอนั่นก็ไม่ได้มาพูดอะไรยืดยาวแบบนี้สักหน่อย แล้วทำไมถึงมาลงที่ฉันคนเดียวละวะ!” 


 


 


“ไม่ใช่ว่าผมพูดสั้นๆ กับเขาสักหน่อย แล้วก็นะ ทำไมมันถึงเป็นปัญหาขึ้นมาได้ล่ะ เราก็เข้าใจกัน พูดคุยกันด้วยดีอยู่แล้วนี่” 


 


 


“นี่! คิมจองอู!” 


 


 


จองอูยังคงกดดันซองฮีด้วยท่าทางเหมือนโดนผีเข้า ซองฮีที่ตอบโต้มาอย่างกระหืดกระหอบ แล้วยังท่าทางของอีกคนนั่นอีก จองอูที่เอาแต่หัวเราะออกมาแบบนั้น ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งในห้องสตูดิโอนั้นเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายขึ้นมาได้ แล้ววันอันยาวนานก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเวลาค่ำ 


 


 


 


 


 


“วันนี้ไม่ไปห้องสตูดิโอหรอกเหรอ” 


 


 


“ว่าจะพักน่ะ” 


 


 


“โอ๊ะ พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกเหรอ คนบ้างานไหงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ” 


 


 


ในเย็นวันนั้น พอส่งซองฮีกลับบ้านไปแล้ว จองอูที่ขึ้นมายังชั้นสี่ก็ได้รับคำถามนั้นจากซองจูทันที ช่วงนี้ทำแต่งานจนละเลยซองจูไปบ้าง จองอูที่รู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเดินเกาหัวแกรกๆ เข้าไปทางห้องครัว 


 


 


“ข้าวล่ะ” 


 


 


“ยัง อยากกินด้วยกัน” 


 


 


“ที่หลังกินไปก่อนเลยนะ ถ้าฉันกินมาแล้ว จะทำยังไง” 


 


 


“ว่าไงนะ” 


 


 


“เปล่า แค่พูดให้ฟังเฉยๆ” 


 


 


เมื่อเอ่ยคำพูดที่คิดออกไปก็ได้รับท่าทีเกรี้ยวกราดกลับมา เห็นทีนิสัยนั้นของเจ้าตัวคงแก้ไม่หายสินะ อย่างไรก็โดนกดดันและมีนิสัยบูดๆ เบี้ยวๆ มาทั้งชีวิตแล้ว คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ง่ายๆ หรอก ทำได้แค่ยอมตามใจไปก็เท่านั้น จองอูเปิดตู้เย็น แล้วเริ่มต้นค้นหาอาหารเย็น 


 


 


“เดี๋ยวคงต้องไปซื้อของแล้วละ” 


 


 


“ทำไม ไม่มีของกินแล้วเหรอ” 


 


 


“ตอนนี้ก็มีอยู่หรอก แต่คงจะไม่พอถึงปลายอาทิตย์ ถ้าอาทิตย์หน้าเริ่มทำงานจริงจังแล้ว คงจะยุ่งจนหัวหมุน งั้นสั่งจากในเน็ตมาดีไหม” 


 


 


“ยุ่งยาก ไม่เห็นจะดีกว่าตรงไหน ปกตินายเองก็ไปคนเดียวแล้วหอบกลับมาทุกที” 


 


 


“ถ้ามีอะไรที่อยากกินก็จดเอาไว้ ขอภายในวันพรุ่งนี้นะ” 


 


 


“รู้แล้ว” 


 


 


ทั้งคู่พูดคุยเรื่องราวในชีวิตประจำวัน พร้อมกับจับจองที่นั่งในครัว 


 


 


เขาเอาสตูที่ซองฮีให้มาออกมาอุ่น นำผักออกมาหั่นให้มีขนาดพอดีคำ จากนั้นจึงนำไปผัด เอาไข่ต้มที่วางทิ้งไว้ในมุมหนึ่งของตู้เย็นมาตลอดออกมาสองฟอง ปลอกเปลือกแล้วนำไปผัดกับผัก วางถ้วยสตูลงข้างกัน อาหารเย็นของทั้งคู่เสร็จเรียบร้อย ช่างเป็นเมนูที่ธรรมดามาก 


 


 


“แค่นี้กินได้ไหม” 


 


 


“ยังไงก็ได้ ฉันไม่ได้กินเยอะอะไรอยู่แล้ว” 


 


 


จะด้วยรูปร่าง หรืออะไรก็ตาม จองอูควรจะกินเยอะกว่าเขา แต่มื้อนี้กลับมีเพียงสตูถ้วยเล็กๆ สีหน้าของซองจูเคร่งเครียดขึ้นด้วยความไม่สบายใจ  


 


 


หลังจากกลับมาเจอกันอีกครั้ง โต๊ะอาหารของสองคนก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ 


 


 


แม้จะปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ แต่เพราะซองจูที่ต้องควบคุมอาหารเป็นกิจวัตร บนโต๊ะอาหารของทั้งคู่จึงจะมีข้าวโผล่ขึ้นมาเพียงหนึ่งมื้อเท่านั้น ตัวเขาทำแบบนั้น แต่กระทั่งจองอูก็พลอยกินอาหารไดเอตไปด้วย ไม่ให้ไม่สนใจคงไม่ได้ 


 


 


ถึงจะบอกให้กินอย่างที่อยากกิน แต่ไม่ว่าจะพูดบ่นไปกี่ครั้ง จองอูก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียทุกครั้ง มันก็ทำให้ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ว่าเขาเองก็ไม่ได้เป็นคนเตรียมอาหาร จะให้มาทำเรื่องมากนู่นนี่ก็จะพาลให้ต้องทะเลาะกันเสียเปล่าๆ ซองจูจึงลืมๆ มันไป เรื่องการบ่นก็เป็นเพียงการแสดงความในใจออกมาเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะหัวร้อนอะไร 


 


 


พอจองอูนั่งลงแล้ว ก็หยิบช้อนตักเอาสตูเข้าปากไปคำหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น 


 


 


“ตอนเย็นกินรสจัดได้เหรอ ไม่ได้ไม่ใช่รึไง” 


 


 


“นานๆ ทีไม่เป็นไรหรอกน่า คิดซะว่าเป็นวันฟรีไปแล้วกัน” 


 


 


“ลำบากจังนะ” 


 


 


“ถ้าจะกินเพื่ออยู่ มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ไม่ค่อยมีบทที่ไม่ต้องควบคุมอาหารแล้วด้วย พวกนายเองก็เหมือนกันไม่ใช่รึไง ทำงานด้านดนตรีก็ต้องการให้ดูอ่อนกว่าวัย แล้วก็ดูดีด้วยนี่” 


 


 


“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” 


 


 


จองอูยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงจัดการวางแก้วน้ำที่มีน้ำแข็งเต็มแก้วลงตรงหน้าซองจู ซองจูที่มีใบหน้าซีดเซียวรับมันมาดื่มอึกหนึ่งเหมือนกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา 


 


 


“แต่ไม่ต้องดูแลขนาดนั้นก็ได้” 


 


 


บ่นพึมพำออกมาแบบนั้น ซองจูก็เบะปากออกมาทันที 


 


 


“สูงวัยน่ะรู้จักไหม ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ร่างกายจะน้ำหนักเพิ่มจนลดลงได้ยาก ก่อนจะถึงช่วงนั้นก็ต้องดูแลให้ดีสิ” 


 


 


จองอูไม่ได้ตอบโต้อะไรกับคำพูดนั้น ได้แต่นั่งกินข้าวไปเงียบๆ 


 


 


เมื่อการทานอาหารที่เงียบเสียจนไม่มีกระทั่งเสียงเคี้ยวเสร็จสิ้นลง ซองจูก็ยกน้ำขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะหันไปถามจองอู 


 


 


“ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” 


 


 


“หืม” 


 


 


จองอูที่ตกใจกับคำถามที่โพล่งขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น จึงได้ปล่อยมือที่กำช้อนให้นิ่งค้างไว้กลางอากาศ แก้วตากลมเบิกกว้างขึ้น ซองจูจึงเอ่ยถามจองอูที่มองมาที่ตนเองอีกครั้ง 


 


 


“ข้างนอกนั่นมีเรื่องอะไร ตั้งแต่เข้ามาแล้ว หน้านายดูไม่โอเคเลย” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้จองอูตกใจอีกรอบ เหมือนโดนจับได้ว่าเป็นคนถามเรื่องเซจองออกมาก่อน และยังท่าทางทุกข์ใจของตัวเองอีก เขาแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไร พร้อมกับหัวเราะออกมา 


 


 


“ก็แค่เหนื่อยนิดหน่อย” 


 


 


“ทำไมล่ะ เพราะการถ่ายทำงั้นเหรอ” 


 


 


“อื้อ” 


 


 


แน่นอนว่ามันมีสิ่งสำคัญนอกเหนือไปจากการถ่ายทำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องโกหกเสียทีเดียว จริงๆ แล้วเขาก็ไม่อยากทำงานนี้ จึงได้พูดแบบนั้นออกไป แต่ทว่าซองจูก็ยังจับสังเกตได้อยู่ดี 


 


 


“เหมือนจะไม่ใช่แค่นั้นนะ” 


 


 


“มันก็หลายอย่างปนๆ กันน่ะ แค่คิดว่าจำเป็นที่จะต้องถ่ายทำฉันด้วยเหรอ อะไรแบบนี้น่ะ” 


 


 


“อ้า ก็นะ นายไม่ค่อยชอบอยู่กับคนที่ไม่รู้จักอยู่แล้วด้วยนี่” 


 


 


โดนหลอกจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นโดนหรอกกันแน่ ซองจูถึงได้พูดออกมาแบบนั้น เขาเริ่มเขี่ยช้อนไปมาอย่างเงียบๆ ในตอนนั้นเองจองอูจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก 

 

 

 

 

ตอนพิเศษ 1-9 สถานที่

 


 


 


 


“ว่าแต่ทำไมวันนี้ไม่ทำงานแล้วล่ะ ปกติถ้านายจัดตารางไว้แล้ว ก็ไม่เคยจะโดดมาพักเลยนี่” 


 


 


“ก็แค่อยากผ่อนคลายบ้างน่ะ” 


 


 


พอจัดการมื้อเย็นเสร็จ ก็ไปอาบน้ำ แล้วกลับมาที่ห้องนอน เหลืออีกไม่นานดิจิตอลอัลบั้มก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงจะค่อยๆ เริ่มเตรียมอัลบั้มของตัวเอง แต่เพราะยังไม่จบเรื่องกับบรรดาสมาชิกวงคราฟท์ จึงได้เลื่อนงานส่วนของตัวเองออกไปก่อน 


 


 


แต่ทว่านั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก เขาเองก็มักจะตระเตรียมงานของตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่ไม่ทำงานเป็นเพราะเหตุผลอื่นต่างหาก แต่ว่าเขาไม่สามารถเอ่ยออกไปตรงๆ กับซองจูได้ การถามซักไซ้เรื่องเกี่ยวกับจีฮุนและเซจอง เรื่องพวกนั้นอาจจะสั่นคลอนความรู้สึกได้ เพราะอย่างนั้นมันอาจจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง 


 


 


หากซองจูรู้ความจริงนี้ คงจะได้ถูกต่อว่าว่าเป็นคนขี้ขลาดอะไรแบบนั้นอีก ดังนั้นจึงได้ตอบอ้อมแอ้มไปว่าไม่มีอะไร ที่เป็นทริกเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับมาหลังจากมาอยู่กับซองจูมาได้ไม่กี่เดือน  


 


 


“หืม งั้นเหรอ แต่ว่า ทำไมในสายตาฉัน นายดูไม่ค่อยสบอารมณ์ เหมือนโดนหลอกให้ไปกินขี้หมามาเลยล่ะ” 


 


 


แต่ทว่าการหลอกสายตาซองจูนั้นช่างเป็นเรื่องยาก จองอูพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไร และแอบชำเลืองมองอีกคน ก่อนจะซบศีรษะลงบนไหล่อีกฝ่ายอย่างช้าๆ 


 


 


“คงอย่างนั้นแหละ” 


 


 


ไม่ว่าจะพูดบ้าบออะไรออกมาเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจเลยสักนิด ช่างเป็นเรื่องน่าชมเชย แต่ทว่า ได้เห็นท่าทางห่อเ**่ยวเหมือนจะตายเสียให้ได้แบบนี้แล้ว ก็ทำให้ออกจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ ซองจูเบะปากอย่างขัดใจ ก่อนจะค่อยๆ ลูบเส้นผมของจองอูที่คลอเคลียอยู่ตรงต้นคอจนทำให้จั๊กจี้ 


 


 


“มีใครว่าอะไรหรือไง” 


 


 


“เปล่า” 


 


 


“แล้วทำไมถึงได้ห่อเ**่ยวแบบนี้ล่ะ” 


 


 


“ไม่รู้สิ เหนื่อยมั้ง” 


 


 


จองอูยังคงซบหัวกับไหล่ของซองจูเช่นเดิม พร้อมกับพูดงึมงำออกมา อันที่จริงก็คงไม่อยากพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอะไรพวกนั้น เขาเข้าใจความรู้สึกของจองอู ซองจูจึงได้แต่ลูบหัวของอีกคนอยู่แบบนั้น ไหล่ที่เกร็งอยู่ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง 


 


 


“นี่” 


 


 


“อื้อ” 


 


 


“คิมจองอู” 


 


 


เรียกชื่อกันทั้งที่ไม่ค่อยได้เรียกสักเท่าไหร่ แสดงว่าน่าจะมีอะไรที่อยากจะพูดออกมา แต่ซองจูก็ไม่ได้กล่าวออกมาในทันที ถึงจะรู้สึกสงสัย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่อยากได้ยิน จองอูจึงรอคอยให้อีกคนเปิดปากอย่างเงียบๆ ปล่อยให้สางนิ้วลงบนกลุ่มผมยาวนั่นอย่างอ่อนโยน ปล่อยให้เกิดความเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วซองจูก็หันหน้าไปประทับจูบลงบนกระหม่อมของจองอู พร้อมกับกล่าวออกมา 


 


 


“สารคดีนั่น ไม่อยากถ่ายก็ไม่ต้องถ่าย ถ้าลำบากใจที่จะพูด ฉันจะพูดกับคิมเซจุนให้เอง” 


 


 


“ทำไมไม่เป็นพี่ซองฮีล่ะ” 


 


 


“เจ้านั่นใช่คนที่จะยอมฟังคำขอร้องฉันเหรอ แต่ว่า ที่ไม่ยอมพูดว่าไม่ชอบออกมาแบบนี้ ดูแล้วก็คงจะไม่ชอบจริงๆ สินะ” 


 


 


หลังจากคำพูดประโยคนั้น จองอูก็เงียบไปอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกตกใจกับคำถามที่ดูชี้นำแบบนั้น ซองจูลูบลงไปบนกลุ่มผมของจองอูที่ปิดปากเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมา 


 


 


“ไม่ใช่แค่เรื่องไม่อยากถูกถ่ายอย่างเดียวใช่ไหม” 


 


 


ไม่ว่าอย่างไร ซองจูก็จับความรู้สึกของจองอูได้ดีเสมอ แต่ทว่าไม่รู้ทำไมอีกคนถึงได้ไม่อยากพูดออกมาจากปากตัวเอง ถึงจะแสดงข้อเสียของตัวเองออกมามากแค่ไหน แต่ไม่อย่างอย่างไรมันก็ยังอยู่ในขอบเขตที่สามารถยอมรับได้อยู่ดี จองอูที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้ารับอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวนั้น ทำให้ซองจูพรูลมหายใจออกมา 


 


 


“เฮ้อ…ทำยังไงดีล่ะ ต่อไปก็ต้องมีเรื่องให้เกี่ยวข้องกันอีกเรื่อยๆ อยู่ดี” 


 


 


ซองจูกล่าวแบบนั้นออกมา 


 


 


เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่จองอูเองก็รู้แก่ใจดี ถึงมุนเซจองจะไม่อะไรเท่าไหร่ แต่กับคิมจีฮุนนั้น ด้วยเป็นคนดังในวงการธุรกิจเดียวกัน ถึงจะหนีพ้นจากงานครั้งนี้ แต่คนพวกนั้นก็อยู่ในวงการบันเทิง ในวันใดวันหนึ่ง ที่ไหนสักแห่ง ก็สามารถที่จะวนเวียนมาเจอกันได้อยู่ดี เรื่องนั้นคือความจริงที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ จองอูที่ตอนนี้กำลังทำตัวเอาแต่ใจเหมือนเด็กกับซองจู ตระหนักได้เลยว่าเรื่องแบบนี้คงต้องเกิดขึ้นอีกแน่ 


 


 


“ไม่เป็นไร ทนๆ ไปแค่ไม่กี่วันเอง” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้มือของซองจูที่ลูบกลุ่มผมของจองอูอยู่นั้นถึงกับชะงักไป 


 


 


“แบบนั้นถ้านายหายไปอีกจะทำยังไงล่ะ” 


 


 


ซองจูกล่าวคำนั้นออกมา พร้อมกับเริ่มลูบมือลงไปบนกลุ่มผมนั้นอีกครั้ง มันเป็นการกระทำที่อบอุ่นและอ่อนโยน แต่ก็แสนเจ็บปวด 


 


 


“ไม่หายไปอีกแล้วละ” 


 


 


“คนที่เคยทำแล้วครั้งนึง จะไม่มีครั้งที่สองได้เหรอ” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้จองอูเงยหน้าขึ้นมามองซองจูอย่างเงียบๆ ในแววตาที่สงบนิ่งนั้นแฝงไว้ซึ่งร่องรอยของความหวาดกลัว จองอูคว้ามือที่ก่อนหน้านี้ใช้ลูบที่ผมของเขามาจับไว้ ก่อนจะค่อยๆ ประทับจูบลงบนหลังมืออย่างอ่อนโยน 


 


 


“ไม่ทำหรอก สัญญา” 


 


 


“…งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว” 


 


 


ซองจูเหม่อมองไปที่ท่าทางแบบนั้นของจองอู พร้อมกับเอ่ยตอบกลับมาแผ่วเบา ใบหน้าที่ปรากฏในแววตานั้นกำลังฝืนยิ้มกว้างออกมา 


 


 


แม้จะไม่เชื่อ ก็อยากจะลองเชื่อดู จองอูที่คาดเดาความคิดของซองจูได้ จึงได้สอดนิ้วเข้ากุมมือของอีกคนเอาไว้อย่างเงียบๆ สีหน้าของซองจูที่มองมายังท่าทางแบบนั้นของจองอู ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ 


 


 


“ถ้านายไม่สบายใจ” 


 


 


ซองจูกล่าวออกมาแค่นั้น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ที่จริงแล้วอยากจะพูดอะไรออกมากันแน่ แม้สีหน้าของจองอูจะยังคงนิ่งเฉย แต่ก็มีร่องรอยของความไม่สบายใจเจืออยู่ ทั้งคู่จ้องมองกันและกันอยู่เช่นนั้น เริ่มรู้สึกได้ว่าเรียวที่สอดประสานกันอยู่นั้นเริ่มอุ่นร้อนขึ้น จึงได้ออกแรงกระชับเรียวนิ้วที่สอดประสานกันแน่นเข้าไปอีก ซองจูดึงมือนั้นเข้ามาทาบทับลงบนหน้าอกด้านซ้ายของตน 


 


 


“ตรงนี้มันเจ็บมากเลย” 


 


 


สีหน้าของซองจูที่กล่าวคำนั้นออกมายังคงมีรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยวเต็มทน ถึงขนาดเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว ซองจูนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้จะยินดีกับสิ่งนั้น แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกเจ็บปวด จองอูค่อยๆ ยื่นแขนออกไปคว้าที่ช่วงเอวของซองจู ดึงอีกคนเข้าหาตัว 


 


 


ร่างกายของซองจูที่ไม่เคยต่อต้านสัมผัสนั้นได้เลยสักครั้ง จึงได้ตกไปอยู่ในอ้อมกอดของจองอู สัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจจากแผ่นอกที่แนบชิดกัน เมื่อรับรู้ได้ว่ามันเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจของตัวเอง จองอูก็ยิ่งออกแรงดึงรั้งอีกคนเข้ามากอดแน่นขึ้นอีก 


 


 


ตลอดเวลาที่ลูบไล้ไปบนร่างกายที่ผอมบางกว่าผู้ชายทั่วไป นิ้วมือที่สอดประสานกันอยู่นั้น ไม่ได้คลายออกจากกันเลย กลับยิ่งออกแรงกระชับมือที่สอดประสานกันอยู่ ในขณะที่เคลื่อนผ่านไปตามแผ่นหลังราวกับอสรพิษร้ายที่กำลังเลื้อยไปมา พาลให้ซองจูหลุดเปล่งเสียงครางแผ่วเบาออกมาในทันที ในตอนที่เสียงเหมือนเสียงสะอื้นในอกนั้นหลุดออกมา จองอูก็ค่อยๆ ฝังใบหน้าเข้ากับต้นคอของซองจู  


 


 


“อื้อ!” 


 


 


ลากไล้ริมฝีปากอย่างแผ่วเบาทั่วบริเวณต้นคอ แล้วเสียงครางแหลมก็หวีดออกมา พร้อมกับสะโพกที่กระตุกเกร็ง จองอูจึงลากริมฝีปากผ่านและดูดคลึงผิวเนื้อบริเวณนั้นอยู่เรื่อยๆ พากเพียรกับการสร้างความทรมานให้กับซองจู  


 


 


“ดะ เดี๋ยว…อื้อ อืม ตรงนั้น มะ มัน…มัน อื้อ!” 


 


 


“ทำไม ไม่ชอบ?” 


 


 


“อึก…” 


 


 


ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก ใบหน้าถึงได้ขึ้นสีแดงระเรื่อในพริบตาแบบนั้น จองอูค่อยๆ ลูบไล้ลงไปบนผิวเนื้อที่แดงระเรื่อของซองจู พร้อมกับค่อยๆ เคลื่อนลงต่ำไปทีละนิด 


 


 


“อ๊ะ…อึก ฮึก” 


 


 


เสียงครางที่ดังขึ้นมาทีละนิด ยิ่งเป็นการจุดไฟให้โหมขึ้นในอกของจองอู เขาค่อยๆ สัมผัสส่วนที่อยู่กลางลำตัวของซองจูอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับขบเม้มลงบนผิวบอบบางตรงต้นคอ 


 


 


“ฮึก…!” 


 


 


ความเจ็บปวดเล็กน้อยนั่นทำให้ร่างกายตื่นตัวไปกับความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น จนต้องพ่นลมหายใจหอบออกมาตามแรงปลุกเร้าที่มอบให้ พร้อมกับผลักดันร่างกายที่สั่นสะท้านของซองจูให้นอนราบลงไป แล้วจองอูก็ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าลงต่ำไปด้านล่าง 


 


 


ร่องรอยสีแดงที่ประทับอยู่บนผิวอ่อนส่วนต้นคอ ดูราวกับดอกไม้ที่ผลิบานอยู่บนผิวเนื้อขาวกระจ่าง ช่างเป็นเครื่องประดับที่เหมาะกับซองจูเหลือเกิน จองอูประทับสัมผัสลงที่บริเวณนั้น พร้อมกับสูดกลิ่นกายของซองจู และในตอนนั้นเอง 


 


 


“คอ รอย…มันจะ…” 


 


 


ซองจูเอ่ยปากขัดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นจองอูก็ยังฝากร่องรอยมากมายไว้ตามหน้าอก ช่วงเอว และต้นแขนด้านในไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าจองอูไม่ได้สนใจรับฟังคำขอร้องนั้นเลย 


 


 


“ไม่ได้รับงานสักพักอยู่แล้วนี่” 


 


 


“มะ มันก็…ฮึก!” 


 


 


ทั้งที่ซองจูยังพูดออกมาไม่จบ ก็ถูกก่อกวนด้วยการเคลื่อนไหวของจองอู ทุกครั้งที่อีกคนกัดลงบนผิวเนื้อบอบบาง ความเจ็บปวดปนวาบหวามนั่นแล่นพล่านไปทั่ว เจ้าตัวดูดเม้มลงไปที่บริเวณนั้นแผ่วเบา พร้อมกับแลบลิ้นเลีย ในตอนนั้นร่างทั้งร่างก็อ่อนยวบไปกับความรู้สึกดีนั้น ความเจ็บปวดเล็กๆ นั่นถูกเปลี่ยนเป็นความเสียวกระสัน จนในหัวของซองจูระยิบระยับไปหมด ที่เบื้องหน้าก็สว่างวาบด้วยประกายแสงของอารมณ์ปรารถนาที่กำลังไล่ต้อนซองจูให้จนมุม ตัวเองคือใคร หรือกำลังทำอะไรอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เพียงแค่ในเวลานี้ แค่ได้ถูกโอบกอดไว้ด้วยอ้อมกอดของจองอู และตกลงสู่ห้วงลึกของความต้องการที่อีกคนมอบให้เพียงเท่านั้นก็พอ ซองจูค่อยๆ เบียดกายเข้าแนบชิดกับจองอูยิ่งขึ้น 


 


 


“ฉัน อีกนิด แค่อีกนิดเดียว…” 


 


 


“ไม่เห็นพูดเหมือนเมื่อกี้เลย ที่ว่าห้ามทำรอยน่ะ” 


 


 


“ยังไงซะ…ห้ามไปก็ไม่ฟังอยู่ดี ฮึก!” 


 


 


“นั่นมันก็แน่อยู่แล้ว” 


 


 


จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าลงต่ำ สัมผัสไปบนกล้ามเนื้อที่กลับมาจับตัวเป็นสัดส่วนดังเช่นเมื่อก่อน พอบดคลึงลงไปที่ตุ่มไตโดดเด่น อารมณ์ความต้องการก็เริ่มเผยออกมาทีละนิด พร้อมกับเสียงร้องดังที่หลุดออกมาจากปากของซองจู พร้อมกันนั้นช่วงสะโพกก็บิดเร่าไปมา แต่ว่าด้วยร่างกายนั้นถูกกักอยู่ใต้กายแกร่งของจองอู ทำให้ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้ ซองจูได้แต่ครางกระเส่าออกมาด้วยหมดหนทางจะหลุดพ้นจากการตกอยู่ใต้สัมผัสของจองอู 


 


 


“อื้อ อึก หืม…อื้อ…” 


 


 


ยิ่งเสียงครางดังเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวของจองอูก็ยิ่งรุนแรงไปด้วย เขากัดและดูดดึงส่วนยอดอกที่นูนเด่นแข็งขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนมันขึ้นสีแดงจัด หลังจากนั้นจึงค่อยๆ กดจูบไปทั่วบริเวณ แนบแก้มลงไปสัมผัสจังหวะหัวใจที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นจองอูก็หยุดทุกการเคลื่อนไหวและคอยรับฟังเสียงหัวใจนั้น 


 


 


“ทำ อะไร…” 



 

ตอนพิเศษ 1-10 สถานที่

 


 


 


 


ทันทีที่อีกคนหยุดเล้าโลม น้ำเสียงของซองจูที่เคยแหบพร่าก็กลับมาดีขึ้นนิดหน่อย แล้วพอเอ่ยถามด้วยน้ำความลังเล จองอูก็ยังคงซบหน้าอยู่กับหน้าอกเขาแล้วพึมพำออกมาว่า 


 


 


“ยังเจ็บอยู่ไหม” 


 


 


“…เอ๋?” 


 


 


“เจ็บอยู่สินะ” 


 


 


กล่าวออกมาเช่นนั้น พร้อมกับยกมือขึ้นวางทาบลงบนหน้าอกของซองจู ความอบอุ่นที่ส่งผ่านออกมาทำให้ซองจูลืมสิ่งที่จะพูดไปจนหมดสิ้น คำพูดก่อนหน้านี้ที่พูดออกไป เหมือนจะยังติดค้างอยู่ในความรู้สึกของจองอู ซองจูผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนจะยื่นแขนออกไปโอบกอดจองอูที่ยังคงทาบทับอยู่บนตัวเขาอย่างไม่คิดจะละห่าง 


 


 


“เด็กโง่ อย่าใส่ใจเลย” 


 


 


“…จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ” 


 


 


ซองจูหัวเราะเบาๆ ให้กับคำกล่าวนั้น ความอบอุ่นที่สัมผัสได้จากตรงหน้าอก ไม่ใช่เพียงอุณหภูมิอบอุ่นเท่านั้น หากมันคือความรู้สึกของคิมจองอูที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ง่ายๆ 


 


 


“อย่าทิ้งกัน อย่าหนีไป แค่นั้นก็พอ” 


 


 


จองอูพยักหน้ารับกับคำกล่าวนั้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับซบหน้าลงกับหน้าอกของซองจู แม้มันจะเป็นคำสั่งที่ยากยิ่งกว่าอะไร แต่หากไม่ทำแบบนั้น มันเหมือนกับคนๆ นี้จะยิ่งค่อยๆ เลือนหายไป เพราะแบบนั้นคนทั้งสองที่ต่างก็เคยลิ้มรสความสูญเสียมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงได้เข้าใจเป็นอย่างดีที่สุดว่าการไม่มีกันและกันนั้น มันทรมานขนาดไหน เขาแนบแก้มไปกับหน้าอกของซองจู พร้อมกับพยักหน้ารับ 


 


 


“เชื่อฟังแบบนี้สิดี” 


 


 


ซองจูยกยิ้มขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับลูบไปบนกลุ่มผมของจองอู สัมผัสจากมือนี้มันดีเหลือเกิน จองอูยกยิ้มเลือนรางอย่างที่ไม่อาจมองเห็นได้ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าต่ำลง และต่ำลงไปอีก 


 


 


“ดะ เดี๋ยว…” 


 


 


ซองจูตื่นตกใจกับการขยับตัวอย่างกะทันหันนั้น จนต้องยื่นแขนออกไปแตะกั้นที่หน้าผากของจองอู แต่ทว่าน่าเสียดายที่จองอูนั้นเร็วกว่า อีกคนจัดการอ้าปากกลืนกินส่วนกลางกายของซองจูที่อัดแน่นด้วยความปรารถนาเข้าไปเป็นที่เรียบร้อย 


 


 


“ฮึก อื้ม อึก อื้อ อ้า ฮึก!” 


 


 


ดูดดึงตรงส่วนปลาย พร้อมกับค่อยเม้มปาก แล้วความเสียวกระสันก็แล่นพล่านไปทั่วร่างในทันที สายตาที่เคยมั่นคงกลับเปลี่ยนเป็นพร่ามัว พร้อมเบื้องหน้าที่เริ่มปรากฏเป็นสีขาวโพลน ซองจูกัดลงบนแขนข้างหนึ่งเพื่อสกัดกลั้นเสียงคราง แต่ก็ยังคงต้องพ่ายแพ้ เสียงครางที่เล็ดลอดผ่านไรฟันที่ขบกันแน่นออกมานั้นดังไปทั่วห้องนอนกว้าง เสียงครางหลากสีสันค่อยๆ หลุดลอดออกมา พร้อมกับเสียงน้ำเฉอะแฉะ เสียงดูดกลืนส่วนกลางกายอย่างตะกละตะกลาม ผสมปนเปกัน ทำให้บรรยากาศภายในห้องนอนนั้นเต็มไปด้วยความวาบหวามจากแรงปรารถนา และในใจของทั้งคู่ต่างก็ต้องการที่จะรวมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน 


 


 


“ฮือ อึก นั้น ตรงนั้น! อ๊ะ อ้า…อ๊า!” 


 


 


จองอูเคลื่อนเรียวลิ้นไปจนสุกโคน รูดรั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้ปากอมไว้จนเกือบสุดโคนพร้อมดูดเม้ม พาลให้ซองจูขยับปัดป่ายเรียวขาในทันที แต่เพียงครู่เดียว จองอูก็คว้าจับเรียวขานั้นของซองจูเอาไว้เสีย พร้อมทั้งดูดเม้มส่วนกลางกาย ก่อนจะส่งมือข้างหนึ่งไปแตะสัมผัสกับช่องทางด้านหลังของอีกคน 


 


 


“ฮึก! หืม อึก…อ๊า อึก อ๊ะ อื้อ!” 


 


 


ช่องทางของซองจูที่เคยรองรับตัวตนของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้แสดงการต่อต้านกับเรียวนิ้วของจองอูที่ชำแรกเข้าไป กดนวดคลึงที่ปากทางซ้ำๆ ก่อนจะขยับเข้าๆ ออกๆ ภายในนั้น เมื่อเริ่มงอข้อนิ้วช้าๆ ขาของซองจูก็สั่นสะท้านในทันที เมื่อรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น จองอูจึงคลายปากที่กลืนกินส่วนนั้นออกมาอย่างช้าๆ  


 


 


“เดี๋ยวนี้รับเก่งนะ” 


 


 


คำกล่าวนั้นทำเอาใบหน้าซองจูแดงวูบวาบขึ้นมา 


 


 


“นั่น นั่นมัน เพราะใครกันล่ะ…” 


 


 


ไม่กล้าพูดออกมาจนจบ ได้แต่พูดเสียงอ้อมแอ้มลงท้าย เมื่อได้เห็นสีหน้าแบบนั้นของซองจู จองอูก็ยกยิ้มลามกออกมา 


 


 


ในเวลาแบบนี้ฮันซองจูไม่พร้อมจะสู้รบปรบมือกับเขา ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องต่อความยาวอะไรอีก จองอูชอบที่สุดในตอนที่ซองจูเกาะเกี่ยวตัวเขาไว้ แล้วกรีดร้องออกมาอย่างไม่คิดอะไร ความทระนง การเสแสร้งทั้งหมดถูกปลดทิ้งไป ต้องการเพียงตัวเขาเท่านั้น ทุกครั้งที่ได้รู้สึกแบบนั้น มุมหนึ่งในจิตใจที่เคยว่างเปล่านั้นกลับถูกเติมเต็มขึ้นมา 


 


 


เพราะแบบนั้นจองอูรู้ดีว่าวิธีการเผชิญหน้ากับตัวเองของเขาและซองจูนั้นต่างกัน 


 


 


ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกัน ฮันซองจูนั้นเผชิญหน้ากับคิมจองอูด้วยสัญชาตญาณ ไม่ได้เผยโฉมหน้าอันเสแสร้งเหมือนที่ทำกับคนอื่นๆ และไม่ได้โปรยยิ้มสุภาพเพื่อปิดบังความรู้สึกตัวเอง โมโหร้าย ฉุนเฉียว และแสดงท่าทางดูถูกดูแคลน นั่นเป็นสิ่งทำให้เขาพอใจ ดังนั้นในเวลาแบบนี้ หากเขินอายก็แสดงออกมาว่าเขินอาย หากชอบก็บอกออกมาว่าชอบ นั่นมันดีมากๆ เลยละ แสดงความเป็นห่วงกัน ยินดีให้กัน ยิ้มให้กัน ทั้งหมดนั้นมอบให้เขาเพียงคนเดียว คิมจองอูต้องการทุกอย่างที่เป็นฮันซองจู  


 


 


“ดะ เดี๋ยวสิ! นายทำอะไร…!” 


 


 


จองอูเคลื่อนกายต่ำลงไปอีก คายสิ่งที่เมื่อครู่ดูดเม้มและเลียมันอย่างตั้งใจออกมาจากปาก เคลื่อนตัวลงต่ำกว่าเดิม และค่อยๆ ประทับจูบลงบนรอยแยกของช่องทางอ่อนนุ่ม 


 


 


“มะ ไม่ได้นะ…!” 


 


 


“ไม่เป็นไร” 


 


 


“ไม่ได้…ที่ตรงนั้นทำไม…” 


 


 


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวชินแล้วก็จะรู้สึกดีไปเอง” 


 


 


“มะ ไม่เอา…สกปรก ตรงนั้นมัน…” 


 


 


เพราะไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว จึงได้คว้าแขนของซองจูที่คิดจะหยุดยั้งการกระทำของเขา แล้วจองอูก็กดจูบลงไปซ้ำๆ ประทับจูบอย่างอ่อนโยนลงไปตรงจุดอ่อนนุ่มซึ่งง่ายต่อการบาดเจ็บ การเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้านั้นทำให้ร่างกายที่เครียดเกร็งของซองจูเริ่มผ่อนคลาย 


 


 


“อ๊ะ อื้อ…อึก อื้อ อื้ม…” 


 


 


ซองจูได้แต่ร้องครางออกมาอย่างหมดหนทาง ทั้งที่ร่างกายยังคงบิดเร่าอยู่อย่างนั้น แต่ทว่าความรู้สึกที่แฝงอยู่ในเสียงครวญครางนั้น ไม่ใช่ความเขินอาย แต่เป็นความร้อนรุ่มที่ถูกเติมเต็ม จองอูรู้เรื่องนั้นดี 


 


 


“อ่อนปวกเปียกซะขนาดนี้แล้ว ยังไม่ชอบอีกเหรอ” 


 


 


“ฮึก ก็มัน…!” 


 


 


“ไม่ชอบจริงเหรอ” 


 


 


ความกระดากอายทำให้ต้องหลับตาลง และส่ายหน้าพรืด ท่าทางแบบนั้นของซองจูทำให้จองอูยกยิ้มลามกออกมาอีกครั้ง แค่ปลุกปั่นตรงส่วนบั้นท้าย ทั้งร่างก็อ่อนเปลี้ยสิ้นแรงไปหมด และปล่อยให้เป็นไปตามการชักนำของเขาแต่โดยดี ช่วงสะโพกเกร็งกระตุกกับแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบ ร่องรอยที่เขาเป็นผู้ฝากฝังมันเอาไว้ จองอูยื่นมือออกไปสัมผัสลากไล้ลงบนรอยพวกนั้น ความรู้สึกเอื้อเอ็นดูปริ่มล้นในหัวใจ ทำให้เจ้าตัวลูบไล้อยู่ซ้ำๆ ก่อนจะเคลื่อนมือไปด้านหน้าราวกับการเลื้อยของอสรพิษ 


 


 


“ฮึก!” 


 


 


จัดการกำรอบส่วนหน้าของอีกคนที่มีน้ำปริ่มเยิ้มออกมา ด้วยอารมณ์ที่อัดแน่นทำให้ร่างกายซองจูสั่นสะท้านในทันที จองอูค่อยๆ ปลุกปั่นส่วนกลางกายที่ตึงแข็ง พร้อมกับใช้มือข้างที่เหลือนวดคลึงตรงส่วนช่องทางด้านหลังที่เริ่มผ่อนคลาย 


 


 


“อึก อื้อ อ๊ะ…ฮือ อ้า อึก…” 


 


 


ชำแรกนิ้วเข้าไปเติมเต็มยังส่วนที่คุ้นเคยกับสัมผัสจากจองอูเป็นอย่างดีแล้วอีกครั้งหนึ่ง นวดคลึงตรงปากทางให้ได้รู้สึกเสียวซ่าน ก่อนจะดันนิ้วที่ใช้นวดคลึงเข้าไปทีละนิดแล้วชักออกมา ทุกครั้งที่ทำแบบนั้นร่างกายของซองจูก็จะกระตุกสั่นไปทั้งตัว ที่เบื้องหน้าสายตานั้น ปรากฏภาพของกล้ามเนื้อขยับไหวและร่องรอยมากมายบนผิวขาวกระจ่างกำลังเปล่งประกาย ราวกับเป็นเพียงภาพฝัน หยาดเหงื่อที่ผุดซึมขึ้นมา นั้นกระทบกับแสงที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างจนเป็นประกายระยิบระยับ 


 


 


“ฮะ อื้อ ฮึก…จะ จองอู…” 


 


 


ซองจูที่ฟุบหน้าลงระหว่างหมอนกับที่นอนตั้งแต่แรก ส่งเสียงครางกระเส่าออกมา หากไม่ใช่เวลาแบบนี้ ชื่อที่ไม่ค่อยถูกเรียกนักคงไม่ถูกเอ่ยออกมาอย่างรักใคร่เช่นนี้ พร้อมกันนั้นซองจูได้ยื่นมือออกไปทาบทับลงบนมือของจองอูที่กำส่วนหน้าของเขาเอาไว้ อุณหภูมิอุ่นร้อนที่ส่งผ่านออกมากับท่าทางเร่งเร้านั้น ทำให้ภายในใจของจองอูยิ่งลุกโชนขึ้นไปอีก 


 


 


“นี่มัน นาย นิสัย…ไม่ดี” 


 


 


ความรู้สึกที่โหมกระพือและกระแทกหัวใจอย่างจัง ทำเอาจองอูถึงกับพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก พร้อมกับส่งแรงชักรูดที่ส่วนหน้าของซองจูยิ่งกว่าเดิม 


 


 


“ฮือ! อ๊า จะ จองอู คิมจอง อู…อีก อีกนิด อีกนิดเดียว ช้า ช้าหน่อย…! ฮึก!” 


 


 


สัมผัสจากมือนั้นทำลายความอดทนของจองอู ซองจูรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ อารมณ์ใคร่ที่ไหลบ่ามารวมกันมากกว่าทุกครั้ง ทำให้เขาไม่อาจคงสติไว้ได้อีก ทั้งที่อีกคนยังไม่ได้ฝากฝังเข้ามาในตัวเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกแบบนี้ล่ะ แม้จะทรมานแต่ซองจูก็ยินดี การที่จองอูมอบความรู้สึกหวามไหวแบบนี้ให้กัน การที่ร่างกายแนบสนิทจนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของอีกคน เกาะเกี่ยวร่างกายเอาไว้ด้วยกันจนถึงสุดปลายทาง แล้วหลับไปทั้งแบบนั้น มันช่างดีเหลือเกิน เพียงมีอีกคนเคียงข้าง เขากลับสบายใจอย่างน่าประหลาด เพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นเหตุผลให้เขาเต็มใจร่วมทางไปกับคิมจองอู ในตอนนี้ซองจูล้มเลิกที่จะคิดอะไรต่อ และปล่อยตัวให้ล่องลอยไปกับความปรารถนาที่จองอูมอบให้ 


 


 


“อ้า ฮึก! นั่น ตรงนั้น! อีก นิด อีก…! เร็ว!” 


 


 


“ตรงนี้? หรือว่า…ตรงนี้?” 


 


 


จองอูกดแทรกนิ้วเรียวยาวเข้าไป พร้อมกับควานไปทั่วช่องทางของซองจู ไม่ได้ขยับเข้าออกและไม่ได้งอข้อนิ้ว แต่กดย้ำซ้ำๆ ปลุกเร้าแค่ตรงจุดที่สำคัญ จองอูปลุกปั่นไปทั่วบริเวณโดยรอบอยู่เรื่อยๆ พร้อมกับทรมานตรงส่วนหน้า ในตอนนั้นเองซองจูก็หวีดร้องออกมาพร้อมกับร่างกายที่กระตุกเกร็ง 


 


 


“ฮือออ!” 


 


 


ช่วงสะโพกกระตุกเกร็งขึ้น และพร้อมกันนั้นน้ำกามสีขาวขุ่นก็ไหลทะลักออกมาจากส่วนล่างระลอกแล้วระลอกเล่า ในตอนนั้นเองกลิ่นคาวที่ฟุ้งไปทั่วห้องนอนจึงได้ลอยมากระทบประสาทรับกลิ่นของจองอู 


 


 


“ยังไม่ทันได้ทำเลย เสร็จซะแล้วเหรอ ทำไมหื่นแบบนี้ล่ะ หืม?” 


 


 


“ฉัน แบบนั้น…” 


 


 


จองอูแกล้งทำเป็นไม่สนใจจะรับรู้คำพูดแสดงความต้องการของอีกคนที่หลุดออกมาอย่างไม่ปะติดปะต่อเพราะเจ้าตัวยังหายใจหอบถี่อยู่ ก่อนจะกวาดวนนิ้วที่สอดแทรกอยู่ในช่องทางด้านหลังของซองจู 


 


 


“ฮึก!” 


 


 


ยามที่มันแตะถูกส่วนอ่อนนุ่มที่ปูดนูนออกมาระหว่างผนังนุ่มและอุ่นนั่น ร่างกายของซองจูก็กระเด้งขึ้นมาทั้งตัวทันที ความเสียวที่ยังไม่จางหายไปจากร่างกายยิ่งถูกกระตุ้นหนักขึ้นไปอีก น้ำลายใสจึงไหลเยิ้มออกมาจากปากที่เผยอค้างอยู่ทันที ดวงตาไร้จุดโฟกัสเต็มไปด้วยความปรารถนาอันรุนแรง ลำคอที่ไม่อาจตั้งตรงและบั้นท้ายที่ยกลอยเด่นขึ้นมาเพราะร่างกายที่ไร้การควบคุมไปเนิ่นนานแล้ว สะโพกของซองจูขยับโยกขึ้นลงตามแรงปลุกเร้าที่เพิ่มขึ้นกำลังยั่วยวนจองอูอยู่  


 


 


“ฉัน เร็วอีก…ได้โปรด เร็ว อีก…” 


 


 


“เร็วอะไรล่ะ” 


 


 


แต่ทว่าจองอูช่างโหดเ**้ยมนัก รู้ดีว่าซองจูนั้นต้องการอะไร แต่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับคำอ้อนวอนนั้นอย่างง่ายดาย ทั้งที่สะโพกก็ยังขยับโยกอยู่อย่างนั้น อีกคนหันกลับมามองด้วยแววตาเลื่อนลอย แล้วอ้อนวอนผ่านทางสายตา พอได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของซองจู เขาก็ยิ่งควานนิ้วไปจนทั่วช่องทางของอีกคน 


 


 


“อือ อื้ม! ฮึก ฮะ…” 


 


 


“อะไรล่ะ อยากได้อะไร” 


 


 


กดย้ำลงไปตรงส่วนอ่อนไหวของอีกคนซ้ำอีกครั้ง พร้อมกับร้องขอคำตอบ ซองจูอ้อนวอนออกมาทั้งที่แววตายังเลื่อนลอยอยู่เช่นนั้น 


 


 


“ของ นาย…” 


 


 


“ของฉัน? ของแบบไหน” 

 

 

 

 

ตอนพิเศษ 1-11 สถานที่

 


 


 


 


ซองจูเหลือบมองท่าทางกลั่นแกล้งกันของจองอูอย่างไม่รู้ตัว แต่ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น เรียวนิ้วของจองอูที่อยู่ข้างในตัวเขาก็จะกดย้ำลงไปที่จุดอ่อนไหวนั่น จึงทำให้ไม่อาจทำอะไรได้เลย 


 


 


กระทั่งในช่วงเวลาที่ตื่นตระหนก คอของซองจูกลับแห้งผาก เขาไม่ต้องการไปถึงฝั่งฝันด้วยเพียงแค่นิ้วมือ เขาปรารถนาในสิ่งที่มันใหญ่กว่านี้ อะไรที่มันอุ่นกว่านี้ อวบใหญ่กว่านี้ อะไรที่สามารถเติมเต็มตัวเขาได้พอดี ซองจูค่อยๆ ยื่นมือไปด้านหลัง กำรอบส่วนที่แสดงความเป็นชายของจองอูที่ตั้งตระหง่านอย่างดุดันนั่นเอาไว้ 


 


 


“อันนี้ ที่ใช้มันทรมาน…ฉัน” 


 


 


“นายต้องการแบบนั้นเหรอ” 


 


 


จองอูทาบทับร่างกายลงไป กระซิบแผ่วเบาข้างใบหูของซองจู เจ้าตัวพยักหน้ารับเสียงกระซิบหวานหูนั่นพร้อมกับที่ซองจูกล่าวอ้อนวอนออกมาอีกครั้ง 


 


 


“เร็วสิ ได้โปรด…” 


 


 


คำอ้อนวอนนั้นทำให้จองอูเผยยิ้มหื่นออกมา พร้อมกับค่อยๆ ดึงเรียวนิ้วที่อัดแน่นอยู่ภายในตัวของซองจูออกมา 


 


 


“อื้อ ฮึก…” 


 


 


“ทำไม เสียวเหรอ” 


 


 


เสียงครางดังลอดออกมา มันกำลังบอกว่าแบบนั้น แต่ว่าถึงรู้ก็ยังคงถามออกมาอยู่ดี ซองจูไม่คิดที่จะปิดบังความรู้สึก จึงได้พยักหน้ารับ 


 


 


“จะเข้าไปแล้วนะ” 


 


 


“อื้อ!” 


 


 


ช่องทางที่เปิดขยายออกจากกันเหมือนกำลังรอคอยเพียงให้จองอูเข้ามาเท่านั้น ความอุ่นร้อนจากตัวตนของอีกคนที่แทรกเข้าไปภายในทำให้ซองจูหลุดเสียงหวีดร้องออกมาทันที 


 


 


แม้จะผ่อนคลายแล้ว ผ่อนคลายอีก แต่น่าประหลาดที่ยังคงรู้สึกเกินจะรับมือเหมือนเป็นครั้งแรก ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ แล้วเสือกไสตัวตนเข้าไปจนสุด บั้นท้ายอวบและขาวกระจ่างของซองจูสัมผัสถูกขนอ่อนตรงส่วนนั้น และในตอนนั้นเอง เขาจึงได้กอดรัดร่างกายที่กระตุกเกร็งของซองจูเอาไว้ แล้วแนบริมฝีปากประทับจูบลงไปบนต้นคอที่ขึ้นสีแดงจัดซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น ภายในของซองจูเริ่มคุ้นชินอย่างรวดเร็ว จึงได้ตอดรัดตัวตนของจองอูอย่างอ่อนโยน ในตอนนั้นการเตรียมพร้อมทุกอย่างจึงสิ้นสุดลง 


 


 


“…ไม่ออมมือแล้วนะ” 


 


 


“ระ เร็วสิ” 


 


 


เมื่อพูดจบ จองอูก็เริ่มขยับร่างกายแกร่งอย่างช้าๆ ก่อนที่ความรู้สึกวูบโหวงอย่างประหลาดในช่องท้องจะจางหายไป แล้วแทนที่ด้วยความเสียวกระสันที่ล้นทะลักออกมา มันทำให้ซองจูเริ่มขยับทั้งที่ยังคงเผยออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“อื้อ อื้ม อื้อ” 


 


 


หยาดน้ำลายใสไหลเยิ้มออกมา ด้วยไม่รู้ต้องจัดการอย่างไร จึงได้สอดเรียวนิ้วหนึ่งเข้าไปในปาก เรียวลิ้นที่เริ่มดูดเม้ม รูดรั้งอย่างแผ่วเบาราวกับมันเป็นส่วนที่สำคัญ ความรู้สึกเช่นนั้นมันดีเหลือเกิน ดังนั้นจึงได้สอดเรียวนิ้วเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่ง แล้วเริ่มดูดเม้ม รูดรั้งราวกับเป็นตัวตนของเขาอีกอันหนึ่ง จองอูก้มลงมองสีหน้าของซองจูในตอนนั้น พร้อมกับขยับรัวสะโพกให้เร็วขึ้นไปอีก 


 


 


“ฮึก อื้อ อือ…อึก อื้อ!ฮึก!” 


 


 


ตอนที่คีบเรียวลิ้นนุ่มเอาไว้ตรงหว่างนิ้ว แล้วออกแรงดึงรั้ง ทุกครั้งที่สัมผัสบดเบียดอย่างหยอกเย้า ท่าทางของซองจูที่ขยับตามการกระทำของเขาอย่างเอาเป็นเอาตายนั่น ยิ่งทำให้ตัวตนของจองอูคึกคักขึ้นไปอีก แรงตอดรัดส่วนที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้จองอูรีบดึงนิ้วออกมา 


 


 


“อ๊ะ…? อุ๊บ!” 


 


 


ริทฝีปากของซองจูที่ยังคงเผยอปากค้างด้วยสีหน้าผิดหวังที่ถูกแย่งของเล่นไปอย่างกะทันหันแบบนั้น ก็ถูกโฉบลงไปขบเม้มดูดดึงทันที สองแขนของซองจูจึงเอื้อมไปเกี่ยวต้นคอจองอูให้แนบชิดกันเข้าไปอีก 


 


 


ทั้งสองขยับสะโพกอย่างร้อนแรง ด้วยร่างกายที่ยังคงเกี่ยวกระหวัดพันกันเช่นนั้น พร้อมทั้งดูดดึงหยอกเย้าริมฝีปากของกันและกัน 


 


 


“อื้อ อื้ม อึก อือ อื้อ!” 


 


 


“อึก ฮึก!” 


 


 


เสียงครางที่ดังขึ้นและเสียงเสียดสีของเตียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าดดังก้องยิ่งกว่าเดิม ผ้าห่มผืนบางที่เคยคลุมทับอยู่บนตัว ร่วงตกลงไปที่พื้นนานแล้ว และผ้าคลุมตียงสีขาวเนื้อลื่นก็เลื่อนหลุดออกมาเป็นที่เรียบร้อย แต่ทว่าคนทั้งสองก็ไม่คิดที่จะหยุดโหมแรงที่กระแทกเข้าปะทะกันเลยสักนิด 


 


 


ดูดดึงริมฝีปากนุ่มหยุ่นซ้ำๆ พร้อมทั้งหยอกล้อด้วยการเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นชื้นไปมา ในตอนนั้นก็เกร็งปลายลิ้นครูดไปกับเพดานปาก ช่วงสะโพกกระตุกสั่นทั้งที่ร่างกายยังคงแนบสนิท จังหวะหัวใจที่เต้นรัวจนแทบทะลุออกมา ยากเหลือเกินที่จะจำแนกให้ชัดว่าเป็นของใคร สิ่งที่ยังคงอยู่ภายในห้องนี้มีเพียงความรู้สึกที่ปรารถนาซึ่งกันและกันจนล้นทะลักเพียงเท่านั้น จองอูจ้องมองไปยังแววตาที่ยังคงเลื่อนลอยของซองจู 


 


 


ลูกแก้วสีน้ำตาลใสกระจ่างและแวววาวกระทบกับแสงภายนอกที่เล็ดลอดผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างทำให้เกิดประกายน่าพิศวง เขาชอบลูกแก้วคมเข้มสวยงามนั้นเหลือเกิน ในยามที่มันสะท้อนตัวตนที่น่าเกลียดของเขาออกมา ใบหน้าที่นิ่งเฉยและไร้อารมณ์อยู่เสมอนั่น ทุกครั้งที่มองมาที่ตัวเขาด้วยความปรารถนาอย่างที่สุด มันทำให้ชาหนึบขึ้นที่ซอกหนึ่งของหัวใจ หากเพียงสามารถทำได้ แววตานั้นจะแสดงความหยาบคายออกมาเช่นเดียวกับที่อยากถ่ายทอดออกไปจากหัวใจ การยึดติดเช่นนั้นทรมานจองอูอยู่เสมอ แต่ทว่า หากทำเช่นนั้น ฮันซองจูคงต้องขาดใจตาย เขาจึงไม่สามารถมองไปที่อีกคนด้วยแววตาที่ราวกับจะตายนั้นได้ ดังนั้นจองอูจึงแนบชิดร่างกายกับอีกคนครั้งแล้วครั้งเล่า ทรมานซองจูอย่างเอาแต่ใจและเปิดเปลือยความรู้สึกของซองจูครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


“ฮึก! อ้า ฮึก! อื้อ!” 


 


 


ยิ่งจองอูส่งแรงขยับโยกมาเท่าไหร่ ร่างกายของซองจูก็ยิ่งกระตุกสั่นอย่างรุนแรง ทว่าจังหวะสอดประสานก็ยังคงเร่าร้อนขึ้นไปอีกอยู่ดี เมื่อคนทั้งคู่มาถึงสุดปลายทางจนไม่อาจทนต่อไปได้ ร่างกายที่กอดกระหวัดกันอยู่นั้น จึงได้พากันแล่นทะยานไปสู่จุดหมาย 


 


 


แววตาที่เลือนรางเต็มทีกับความรู้สึกเสียวที่ไม่อาจทนรับไหวทำให้น้ำตารินไหลออกมาอย่างคนเลื่อนลอย สีหน้าเช่นนั้นของซองจูที่ได้เห็นทำให้เขากดจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นซ้ำๆ พร้อมกับที่จองอูโหมแรงทั้งหมดที่มีกระแทกเข้าไปจนลึกสุด 


 


 


“อึก!” 


 


 


“อ้า…อื้อ!” 


 


 


ร่างกายของจองอูกระตุกเกร็ง และในเวลาเดียวกันนั้น ผนังอุ่นด้านในของซองจูก็เริ่มตอดรัดตัวตนของจองอู การขยับอย่างรุนแรงทำให้จองอูลืมกระทั่งหายใจ พร้อมกับปลดปล่อยเข้าไปภายในตัวของซองจู 


 


 


“อ้า ฮ่า…อื้อ…” 


 


 


เปล่งเสียงร้องครางออกมา ร่างทั้งร่างสิ้นเรี่ยวแรง จองอูกอดซองจูจากทางด้านหลังพร้อมกระซิบพึมพำออกมา 


 


 


“…ไม่เป็นไรนะ” 


 


 


แต่ทว่าซองจูที่ยังไม่อาจรวบรวมสติกลับคืนมานั้น ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เจ้าตัวเพียงพยักหน้าสองสามทีพร้อมกับหอบหายใจหนัก จองอูมองดูท่าทางนั้นอย่างรักใคร่ แล้วจึงค่อยๆ ยกมือขึ้นมาทาบปิดลงบนดวงตาทั้งคู่ของซองจู 


 


 


“ถ้าเหนื่อยก็นอนเถอะ ที่เหลือฉันจัดการให้เอง” 


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำที่แว่วเข้ามาในหูและความอบอุ่นที่ทาบปิดดวงตาเอาไว้นั้น ทำให้ซองจูฝากทุกอย่างไว้กับอีกคน แล้วจมเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างช้าๆ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ช่วยมาย้ายอุปกรณ์ตรงนี้หน่อยครับ! อย่าให้ขวางทาง!” 


 


 


“ขอโทษครับ จะรีบจัดการเลยครับ!” 


 


 


เสียงรบกวนดังขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ท่ามกลางบรรดาผู้คนที่อัดแน่นอยู่เต็มห้องสตูดิโอ จองอูที่ลงมายังชั้นที่อยู่ด้านล่างห้องทำงานของตัวเอง อันเป็นที่ตั้งของห้องซ้อมวงคราฟท์ ความวุ่นวายที่ทำลายความสงบ ทำเอาเขาขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


ที่สุดแล้ว สารคดีเจ้าปัญหาก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น 


 


 


เพราะซองฮีที่ขมขู่จีฮุนไว้ล่วงหน้า กระทั่งบทตัวอย่างที่ออกมา คำถามที่ได้รับก็เป็นเพียงเรื่องทั่วไป ไม่มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของพวกเขารวมอยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็เป็นเพียงสารคดีที่พูดคุยแต่เกี่ยวกับเรื่องดนตรีก็เท่านั้น แต่ทว่ากลับกันแล้วเหมือนเป็นการเฝ้าดูบรรดาสมาชิกวงคราฟท์ที่กำลังถกเถียงกันว่าแบบนั้นแบบนี้ดีกว่า จองอูก็เพียงนั่งอยู่เงียบๆ พยายามปรับตัวยอมรับกับบรรยากาศแปลกประหลาด 


 


 


“เอ่อ โทษทีนะครับ แต่ว่าผมอยากติดตั้งกล้องทางด้านนี้สักหน่อย มีพวกเครื่องมืออะไรที่อาจเกิดปัญหา แล้วต้องตรวจเช็คไว้ล่วงหน้าไหมครับ” 


 


 


พีดีที่ตามจีฮุนมานั้นหันมาเอ่ยถามกับบรรดาสมาชิกวง เซจุนที่รับหน้าที่ในการประสานงานไปโดยปริยายจึงได้รีบเร่งลุกขึ้น แล้วเดินไปทางด้านนั้น 


 


 


“สักครู่นะครับ จะติดตั้งประมาณไหนเหรอครับ” 


 


 


“ไม่ได้เจาะเข้าผนังอะไรแบบนั้นหรอกครับ แค่จะตั้งไว้ตรงนี้ ประมาณนี้เท่านั้นแหละครับ” 


 


 


พีดีที่ยังดูเป็นเด็กใหม่ถือขาตั้งกล้องและตัวกล้องเข้ามาติดตั้งที่มุมหนึ่งของห้องซ้อม ในตอนนั้นเอง ก็ได้เห็นจีฮุนกับซองฮุนกำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


คงจะคุยกันเรื่องตารางถ่ายทำวันต่อไป หรือไม่ก็บทอะไรพวกนั้นมั้ง จองอูที่มองดูสีหน้าไม่พอใจของคนพวกนั้นอยู่ พลันรู้สึกได้ถึงแรงที่แตะลงบนไหล่อย่างไร้สุ้มเสียง แล้วจึงได้หันกลับไปมอง 


 


 


“ทำอะไร นั่งเหม่อขนาดนั้น” 


 


 


ซองฮีนั่นเอง 


 


 


“อ้า แค่ไม่ค่อยมีสมาธิน่ะครับ” 


 


 


“งั้นเหรอ โคตรวุ่นวาย” 


 


 


กล่าวออกมาแบบนั้น พร้อมกับลากเก้าอี้เข้ามานั่ง ซองฮีเป็นผู้ชายหน้าตาดีในแบบที่ต่างจากซองจู แค่มองจากท่าทางการนั่งลงบนเก้าอี้ ก็ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นภาพเขียน รู้สึกได้ว่าพีดีที่ถือกล้อง DSLR กำลังมองมาทางนี้ แต่ทว่าคนพวกนั้นต้องทำตามคำสั่งของจีฮุนที่ยังไม่ให้ถ่ายทำอะไร ผ่านไปเพียงไม่นานก็เบนสายตาที่มองมาทางนี้กลับไป ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น มีเพียงซองฮีกับจองอูเท่านั้นที่นั่งเหม่อลอยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


“ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำแบบนี้ไปทำไมกัน” 


 


 


“ทำก็เพราะกิจกรรมมันลดลง หลังจากพี่แต่งงานไงครับ” 


 


 


“ไอ้เวรที่ไหนมันบอกแบบนั้น” 


 


 


“พี่ซองฮุนครับ” 


 


 


“ไอ้บ้าเอ๊ย” 


 


 


ซองฮีสบถพร้อมกับทิ้งตัวเอนพิงไปกับเก้าอี้ 


 


 


“นั่นอะไรเหรอครับ” 


 


 


จองอูพยักพเยิดปลายคางไปทางกระดาษเอสี่ที่อยู่ในมือของซองฮี ซองฮีจับกระดาษที่ตรงมุมหนึ่ง ก่อนจะสะบัดไปมา แล้วยื่นพรวดไปตรงหน้าจองอู 


 


 


“รายละเอียดเรื่องเวลากับเนื้อหาที่ถ่ายทำวันนี้น่ะ ดูไหม” 


 


 


“ทำไมผมต้องดูล่ะ” 


 


 


“ยังไงนายก็ต้องถ่ายด้วย เกิดโดนถามขึ้นมากะทันหันจะทำไงล่ะ” 


 


 


“ก็นั่นสินะครับ” 


 


 


จองอูรับกระดาษแผ่นนั้นจากซองฮีด้วยสีหน้าไม่ยินดีกับมันสักเท่าไหร่ 


 


 


มองดูเนื้อหาผ่านๆ ให้พอเป็นพิธี รายละเอียดการถ่ายทำในช่วงเวลาตลอดสี่วันนี้ที่ว่ามันก็เพียงแค่การฝึกซ้อม อัดเสียง แล้วก็ประชุมเพียง คำถามส่วนใหญ่ก็มีเพียงเปิดโอกาสให้บรรดาสมาชิกวงคราฟท์ได้มามีส่วนร่วมก็เท่านั้น คำถามสำหรับจองอูก็เพียงแค่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอัลบั้ม และการมาร่วมงานดิจิตอลอัลบั้มร่วมกับบรรดาสมาชิกวงคราฟท์ 


 


 


“ที่จริงผมไม่ต้องถ่ายทำด้วยก็ได้” 


 


 


“คิดซะว่าเป็นการเก็บเบื้องหลังละกัน มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าตัดนายออกคงได้หยิบยกมาเป็นเรื่องอีกแน่” 


 


 


“ทะเลาะกันไปแล้วเหรอครับ” 


 


 


“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” 

 

 


 

ตอนพิเศษ 1-12 สถานที่

 


 


 


ซองฮีกล่าวออกมาแบบนั้น พร้อมกับเสียงฮึที่ดังขึ้นมาให้ได้ยิน ดูจากการตอบกลับมาแล้ว แม้จะไม่ถึงขั้นชกต่อยกัน แต่ก็คงจะทำสงครามน้ำลายกันไปพอควร ทำให้จองอูได้แต่พรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย


 


 


“เพลาๆ นิสัยแบบนี้บ้างเถอะครับ พอเห็นแบบนี้แล้วเหมือนใครอีกคนไม่มีผิดเลยนะ”


 


 


คำพูดนั้นทำให้ซองฮีหันมาจองอูด้วยสายตาเอาเรื่อง


 


 


“ไอ้เด็กนี่ โตขึ้นเยอะนี่”


 


 


“ร่างกายผมมันก็โตแบบนี้มานานแล้วนะครับ”


 


 


“แป้กมากเลยนะ”


 


 


เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของซองฮีที่มีต่อคำพูดหยอกเย้านั่นแล้ว ทำเอาจองอูหลุดขำออกมา


 


 


ซองฮีนั้นเป็นคนซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกนิดหน่อย เวลาเล่นมุกตลกออกไปก็ไม่ได้ทำหน้าตาย แต่ก็หัวร้อนง่ายเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่คนสไตล์ที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายต่างจากซองจู แต่จะให้บอกว่าซองจูเป็นคนที่พูดคุยด้วยง่ายๆ มันก็อย่างไรอยู่ อย่างไรเสียก็ช่างมันเถอะ


 


 


“แล้วสรุปว่าที่ทะเลาะกัน ชนะไหมครับ”


 


 


“ก็บอกว่าไม่ได้ทะเลาะไงวะ”


 


 


“ต้องมีชกกันแน่ๆ แบบนี้ ดูจากกระดาษคำถามแล้วนี่คงจะไม่รอด”


 


 


“คนที่ชอบพูดเรื่องไร้สาระออกมาแล้วทำร้ายตัวเองน่ะไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นนายต่างหาก ก็แค่ใส่ใจนิดหน่อยแล้วมันอะไรกันนักกันหนา”


 


 


“พี่ใส่ใจมากเลยสินะครับ กับคนนั้นน่ะ”


 


 


คำพูดของจองอูแทงใจดำซองฮีเข้าอย่างจัง เจ้าตัวจึงได้ไม่พูดอะไรออกมาอีก


 


 


ซองฮีที่นั่งแผ่หลาไปกับเก้าอี้ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่แบบนั้น เหมือนจะมีสายตาของจีฮุนคอยเหลือบมามอง แต่ทว่าจองอูก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ แล้วทำเป็นมองดูกระดาษคำถามที่ถืออยู่ในมือเสีย


 


 


ตามที่ซองฮีพูด ถ้าให้คิดว่าเป็นการเก็บเบื้องหลัง ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ทว่าตลอดเวลาสี่วันที่ต้องถูกใครที่ไหนก็ไม่รู้มาตามเก็บภาพ แล้วยังต้องคอยระวังคำพูดคำจาแบบนี้ จะให้สบายใจก็คงเป็นไปไม่ได้ จองอูพรูลมหายใจออกมา พร้อมกับยื่นกระดาษที่ถืออยู่ในมือคืนให้กับซองฮี


 


 


“ถ้าเกิดถามอะไรที่นอกเหนือจากในนี้ ไม่ตอบได้ไหมครับ”


 


 


“อือ ถ้าคำพูดไร้สาระถูกเอาไปออกอากาศ มันจะวุ่นวายเอาได้”


 


 


“นิสัยไม่ดีถึงขั้นนั้นเลยเหรอครับ”


 


 


จองอูแอบเหลือบสายตาไปมองจีฮุน พร้อมเอ่ยปากถามออกมา


 


 


มันดูเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับท่าทางที่ดูตรงไปตรงมาแบบนั้น จองอูที่เอียงหัวอย่างครุ่นคิด แล้วก็มีเสียงของซองฮีดังเข้ามาให้ได้ยิน


 


 


“เปล่าหรอก ปัญหาก็คือไอ้นิสัยตรงเป็นไม้บรรทัดนั่นต่างหาก”


 


 


“มันเป็นปัญหายังไงครับ”


 


 


“ถึงเขาจะดูเป็นคนแบบนั้น แต่ว่าอันที่จริงคนที่จะมาคอยตามติดเรา แล้วก็ถามนู่นถามนี่น่ะเป็นคนอื่นหรอก คุณเขาน่ะเป็นถึงประธานบริษัท ก็ยังอุตส่าห์ลงมาดูสถานการณ์จริงด้วยตัวเองเป็นพิเศษ แต่กับงานตัดต่อน่ะ วางมือจากมันนานแล้วละ ยังไงซะโดยพื้นฐานแล้วมันก็แบบนั้นแหละ ถ้าใครสักคนปรับเรื่องเราให้มันแปลกไป ก็คงไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ใช่คนที่เข้าข้างกันจริงๆ ยังไงก็ต้องคอยระวังไว้อยู่ดี”


 


 


“ถ้าเขามาได้ยินคงจะเสียใจแย่ สนิทกันไม่ใช่เหรอครับ”


 


 


“ฉันเนี่ยนะ ไม่ใช่สักหน่อย”


 


 


จองอูหันหน้าไปมองซองฮีราวกับว่า สิ่งที่ได้ยินมันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยสักนิด


 


 


“ทำไม”


 


 


“ไม่สนิทกันเหรอครับ”


 


 


“ไม่สนิท ถ้าเซจองก็ว่าไปอย่าง”


 


 


จองอูพยักหน้ารับคำพูดนั้นอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าหากซองฮีพูดว่าไม่ใช่ มันก็คือไม่ใช่จริงๆ นั่นแหละ แน่นอนว่ายกเว้นแค่เรื่องที่เกี่ยวกับฮันซองจู


 


 


“กับคุณคนนั้นมันก็ไม่ได้อะไรกันนักหรอก แค่คนรู้จักของเพื่อนน่ะ เป็นแค่คนรู้จักคนนึง ถึงจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันเยอะอยู่ แต่ก็ไม่ใช่คนที่อยากจะสนิทสนมให้มากนักหรอก ความสัมพันธ์มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ”


 


 


“อึดอัดแย่เลยนะครับ”


 


 


“ก็อะไรแบบนั้นแหละ”


 


 


ซองฮีพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของจองอู หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมุนเซจองแล้ว ไม่มีเรื่องไหนที่มันไม่ซับซ้อนเลยสักเรื่อง


 


 


“แล้วกับคนนั้นล่ะครับ”


 


 


“ก็เหมือนกันแหละ”


 


 


“ไม่รู้ว่าจะโผล่มาเซ้าซี้อะไรหรือเปล่า”


 


 


“ในเมื่อพูดออกมาจากปากตัวเองแล้วว่าไม่มา ก็คงไม่มานั่นละครับ ถึงจะบอกว่าจะมา แต่มีการตั้งกล้องซ่อนเอาไว้ตอนกลางคืนด้วย ถึงมาก็คงไม่อยากพูดอะไรมากมายที่นี่นักหรอกครับ”


 


 


“เหรอ ยังไงชั้นสามก็ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว ไม่เห็นเป็นไร”


 


 


“ครับ อันที่จริงผมก็ต้องขอบคุณพี่ด้วย”


 


 


จองอูกล่าวเช่นนั้นออกมาพร้อมรอยยิ้ม


 


 


ผลสรุปของการประชุมนับครั้งไม่ถ้วน ก็ได้มติว่าจะเปลี่ยนมาถ่ายทำแค่ภายในห้องซ้อมของวงคราฟท์ที่ชั้นสองเพียงเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าห้องซ้อม แต่อันที่จริงแล้วก็เป็นสถานที่ที่คล้ายกับห้องอัดพอสมควร เพราะว่าการทำงานโดยส่วนใหญ่ก็ทำกันที่นี่ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถ่ายทำไปถึงห้องทำงานของจองอูด้วย


 


 


เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ต้องทำสงครามน้ำลายไปตั้งเท่าไหร่ แค่คิดถึงบรรดาทีมงานที่ไม่คิดจะฟังคำพูดของซองฮีเลยแม้แต่น้อยนั่นแล้ว ก็ปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาเสียได้


 


 


“ยังไงซะ ฉันก็ไม่ได้พอใจเรื่องการถ่ายทำนี่นักหรอก”


 


 


บ่นพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาพอจะไม่ไปถึงหูคนอื่นรอบตัว จองอูที่ยังรู้สึกคาใจ หันมองสำรวจไปรอบตัว ก็รู้สึกว่าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น


 


 


“คนที่ไม่ชอบใจก็เห็นจะมีแค่พี่กับผมนะครับ”


 


 


“ไม่หรอก ไม่ใช่แค่นี้”


 


 


“มีใครอีกเหรอครับ”


 


 


“สองแฝดนั่นไง”


 


 


กล่าวออกมาแบบนั้นแล้วก็พยักพเยิดปลายคางไปทางมุมหนึ่งของห้องซ้อม ปรากฎภาพสองพี่น้องฮยอนจินกับแฮจินที่กำลังตั้งอกตั้งใจนั่งเรียงแถวเล่นเกมในมือถือกันอยู่


 


 


“สองคนนั้นก็ไม่ใส่ใจอะไร นอกจากเรื่องของตัวเองอยู่แล้วนี่ครับ”


 


 


“ก็งั้นแหละ”


 


 


จองอูได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับการตอบรับอย่างไม่ใส่ใจและคำพูดเช่นนั้นของซองฮี ซองฮุนที่อยู่ไกลๆ จึงได้เดินเข้ามาใกล้พวกเขา


 


 


“สองคนน่ะ วางแผนอะไรกันอีกล่ะ ฮันซองฮี นายเลิกทำท่าทางบอกบุญไม่รับแบบนั้นสักทีเหอะ วอนโดนเตะปากว่ะ”


 


 


แล้วซองฮีก็ตอบโต้กลับไปที่ซองฮุนอย่างหยาบคาย


 


 


“เสือกเหอะ”


 


 


“แต่งงานแล้ว หัดรู้จักใช้สมองบ้างเหอะ เป็นเด็กหรือไงวะ”


 


 


“แต่งงานแล้วคนเราต้องเปลี่ยนด้วยเหรอ ถ้างั้นนายมันก็แค่เด็กอมมือสินะ วันๆ เอาแต่ตามติดจินซลอยู่แบบนั้นน่ะ”


 


 


“แล้วนายไม่ได้เป็นแบบนั้นกับฮเยจองหรือไง”


 


 


คำพูดเพียงคำเดียวจากซองฮุนผู้เย็นชา ทำเอาซองฮีสงบปากขึ้นมาได้


 


 


“เลซี่”


 


 


“ครับ”


 


 


 ซองฮุนหันมองไปรอบๆ ก่อนนั่งลงข้างๆ จองอู แล้วทำท่าทางห้ามปรามจองอูที่ทำท่าจะลุกขึ้นมา ด้วยการดึงชายเสื้อของจองอูเอาไว้ แล้วค่อยๆ ส่ายหน้าไปมา


 


 


“แต่ว่า”


 


 


“ช่างเถอะ อย่าทำตัวน่ารำคาญน่า”


 


 


ซองฮุนกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องซ้อมที่แสนจะวุ่นวาย ใบหน้าติดเย็นชาของอีกคนนั้นไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา จึงทำให้ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่


 


 


“ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าเป็นเพราะอะไรพวกนายถึงได้ทำสีหน้าซังกะตายกันแบบนั้น แต่ถือว่าขอร้องเหอะ ทนอีกแค่สามวันเท่านั้นแหละ เรื่องนี้คนอื่นก็ไม่ได้ยินดีด้วยนักหรอกนะ แต่ก็ต้องทำให้เป็นของขวัญพิเศษ ก็เลยต้องปล่อยไปตามนั้น เซจุนที่ยอมฟังคำเรียกร้องของพวกนาย ก็ต้องเหนื่อยพาจงซอบมาประชุมอยู่ตลอดทั้งอาทิตย์”


 


 


ปกติแล้วซองฮุนไม่ใช่คนที่จะมานั่งบ่นพร่ำเพรื่อ กลับกันแล้ว อีกคนมักจะก้าวออกมาเป็นผู้นำ แล้วจัดการมองภาพรวมของสถานการณ์ ก่อนจะทำหน้าที่จัดสรรหน้าที่ให้แต่ละคน หากเป็นเรื่องขี้บ่น ก็ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของเซจุนผู้มีความกระตือรือร้นในการรับหน้ากับทุกสถานการณ์ แต่ว่าถึงขนาดที่ซองฮุนเข้ามาหา แล้วพูดถึงขนาดนี้แล้ว สีหน้าของพวกเขาทั้งคู่คงจะไม่ดีเอาเสียเลย ในตอนนั้นเองซองฮีก็เริ่มทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา


 


 


“ขอโทษ ช่วงนี้ฉันคงอ่อนไหวไปหน่อย”


 


 


“รู้ก็ดี ก็ไม่ใช่ไม่เข้าใจความรู้สึกนายหรอกนะ พี่เขาก็บอกแล้วว่าจะไม่ออกมาเพ่นพ่าน ยังไงก็เชื่อคำพูดเขาบ้างเถอะ ถึงจะเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนขนาดไหน ก็ไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรขนาดนั้น เรื่องนี้นายเองก็รู้ดีนี่”


 


 


ซองฮุนพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง


 


 


“เดี๋ยวก็จะต้องเริ่มถ่ายแล้ว ก่อนถึงตอนนั้นก็จัดการอารมณ์ให้เรียบร้อยเสียละ”


 


 


แล้วเจ้าตัวที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยก็เดินไปทางสองแฝดที่ยังคงนั่งเล่นเกมกันอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ดูเหมือนว่าคงจะจัดการกับสองคนนั้นเป็นลำดับต่อไปสินะ จองอูมองภาพแผ่นหลังของซองฮุนที่กำลังพูดบางอย่างกับสองแฝด ก่อนจะเอ่ยปากออกมา


 


 


“พี่ซองฮุนเองก็ดูเปลี่ยนไปนะครับ”


 


 


“งั้นเหรอ”


 


 


“ครับ รู้สึกได้นิดหน่อยน่ะครับ”


 


 


“เพราะจินซลน่ะสิ”


 


 


ซองฮีเอ่ยถึงคนรักของซองฮุนออกมาอย่างไม่ใส่ใจ จองอูรอคอยคำพูดต่อไปที่จะออกมาจากปากนั้น พร้อมกับที่ผ่อนคลายไหล่ที่เกร็งอยู่ แม้จะเป็นคำพูดที่สุขุม แต่ว่าความโกรธก็ยังเผยออกมาให้สัมผัสได้ผ่านทางร่างกาย


 


 


“ถึงจะแกล้งทำเป็นไม่มีอะไร แต่ที่จริงซองฮุนก็เป็นพวกซับซ้อนที่สุด เจ้านั่นจะลนลานทุกครั้งหากเป็นเรื่องที่มีจินซลเข้ามาเกี่ยวด้วย ฉันเองรู้จักกับฮเยจองมาตั้งแต่ตอนอายุสิบปีกว่าๆ แต่ตลอดช่วงเวลานั้น เราก็คบๆ เลิกๆ กันซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น แต่เจ้านั่นน่ะ ตั้งแต่อยู่อนุบาลจนอายุปาเข้าไปสามสิบแล้วก็ทำได้แค่คอยแอบมองอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าจะอึดอัดขนาดไหน พอความรู้สึกนั้นได้รับการตอบรับกลับมา ตอนนี้ถึงได้มีท่าทีสบายใจขึ้นมาได้ไงละ”


 


 


จองอูพยักหน้ารับคำพูดของซองฮีอย่างเงียบๆ


 


 


ครั้งแรกที่ได้เจอกับวงคราฟท์ก็เป็นช่วงนั้นพอดี


 


 


จองอูได้มาร่วมงานในอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า ‘LOVESONG’ อัลบั้มที่มีคอนเซ็ปต์ไม่ต่างอะไรจากการเขียนจดหมายรักให้กับใครคนหนึ่ง เนื้อเพลงที่มีความสดใสและมุ่งมั่นเกี่ยวกับรักมากกว่าเพลงรักทั่วไป ซาวนด์ก็ดูสนุกสนาน มันมีเสน่ห์ที่ทำให้กระทั่งจองอูก็ยังสงสัยว่าเพลงนี้กำลังสารภาพกับใครกันแน่ ด้วยบทเพลงที่ดูคล้ายกับบุคลิกของเซจุน จึงได้คิดว่าอีกคนเป็นคนเขียน แต่แท้จริงแล้วเจ้าของตัวจริงกลับเป็นมินซองฮุนที่เขาไม่มีทางจะคาดคิดถึง


 


 


ซองฮุนที่มีบรรยากาศเย็นชากระจายอยู่รอบตัวแบบนั้น กลับใช้อัลบั้มเป็นสื่อในการบอกความในใจให้กับรักข้างเดียวของตัวเอง และขอให้มาเป็นคนรักกัน ทุกครั้งที่ได้ฟัง จองอูยังคิดว่าเรื่องราวแบบนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเองได้


 


 


แต่ทว่าความรักที่คิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันและไร้ประโยชน์นั่น สุดท้ายแล้วตัวเขาเองเมื่อได้พบซองจู ได้รักกัน แล้วจึงได้พบเจอความสงบ


 


 


คนเราเปลี่ยนไปได้ด้วยคนคนหนึ่ง


 


 


เมื่อได้ตระหนักเรื่องความแน่นอนของชีวิตในวันที่สายไป เด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่จึงยังคงสับสน แต่ทว่ากระทั่งความสับสนนั้นก็ยังเป็นผลดีต่อชีวิตของเขา มันทำให้จองอูได้เจอกับความสนุกสนาน


 


 


“เราน่าจะลุกกันได้แล้ว”


 


 


“นั่นสิ เจ้าเซจุนก็เอาแต่มองมาทางเราตั้งแต่เมื่อกี้แล้วด้วยสิ”

 

 

 

 

ตอนพิเศษ 1-13 สถานที่

 


 


 


ทั้งสองคนค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แล้วเดินเข้าไปทางที่บรรดาสมาชิกทั้งหลายรวมตัวกันอยู่ เพียงแค่สี่วันเท่านั้น จะว่าสั้นมันก็สั้น จะว่ายาวมันก็ยาว แล้วการถ่ายทำยาวนานก็เริ่มต้นขึ้น


 


 


 


 


“เอาล่ะ เริ่มแล้วนะครับ พร้อม เริ่มได้!”


 


 


หลังสิ้นเสียงตะโกนให้สัญญาณ เสียงฝ่ามือสองข้างกระทบกันก็ดังก้องออกมา


 


 


วันนี้ก็นับเป็นการเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง


 


 


 


 


การถ่ายทำนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าที่คิด


 


 


อาจเป็นเพราะว่าได้วางแผนป้องกันตั้งแต่ต้นมาอย่างดี พีดีที่ยังดูเป็นน้องใหม่คนนั้นจึงได้เลือกใช้คำถามอย่างเหมาะสมตามบทที่วางไกด์ไลน์เอาไว้ แน่นอนว่าไม่ใช่ไม่มีคำถามที่ไม่คาดคิดเลย แต่ก็ไม่ได้ล่วงล้ำข้ามเส้นเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของบรรดาสมาชิกวงคราฟท์


 


 


พวกเขาต่างทำออกมาได้อย่างพอดี แล้วก็ตอบคำถามไปทั้งหมด ทำให้จองอูนั้นแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เขาเพียงทำงานของตัวเองอย่างเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วก็คอยตอบคำถามที่นานๆ จะมีมาสักครั้งอย่างไม่ใคร่ใส่ใจอะไรนัก ถ้าเท่านี้ก็คงพอทนได้


 


 


“ว่าแต่ ทำงานแบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ”


 


 


“ครับ?”


 


 


“ปกติแล้วโปรดิวเซอร์ควรเสนอความเห็นเยอะๆ แล้วก็พยายามมีส่วนร่วมอย่างจริงจังไม่ใช่เหรอครับ”


 


 


“ผมแค่โคโปรดิวเซอร์เองนี่ครับ ยังไงก็ต้องฟังความเห็นของสมาชิกก่อน”


 


 


“อย่างนั้นเองเหรอครับ”


 


 


“ครับ แบบนั้นแหละครับ”


 


 


ไม่สิ แน่ละว่า ก่อนหน้านี้ก็พอจะทนไปได้อยู่ หากตอนนี้เพราะจีฮุนที่จู่ๆ ก็ยิงคำถามมาที่เขาอย่างกะทันหัน เลยทำให้ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น คำถามที่ไม่คาดคิดนั้น เมื่อรับรู้ได้ว่าถูกสายตาของคิมจีฮุนมองมายังตัวเขาเองที่ตอบออกไปอย่างฉุกละหุกแบบนั้น จองอูก็ยิ่งตกอยู่ในสภาพที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี


 


 


“หมดคำถามแล้วใช่ไหมครับ”


 


 


จีฮุนไม่ได้ตอบกลับคำถามที่เหมือนคำขอร้องให้พอเท่านี้ ใบหน้าเรียบนิ่งนั่นไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา จีฮุนที่มีบุคลิกดูตรงไปตรงมา หน้าตาเหมือนพวกนักเรียนตัวอย่างเพียงมองมาที่จองอูนิ่งๆ แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อยกลับมา


 


 


“ครับ หมดแล้วครับ”


 


 


จองอูที่แทบไม่อยากยอมรับเลยว่า ตัวเองจะถึงกับพรูลมหายใจอย่างหนักออกมา ทันทีที่คำพูดนั้นถูกกล่าวออกมา ก่อนจะเบนสายตากลับไปยังแผงควบคุมอีกครั้ง ที่ตรงหน้านั่น ซองฮุนกำลังยืนจูนสายเบสอยู่


 


 


“เทคแรกเริ่มเลยนะครับพี่”


 


 


จองอูเปิดไมค์ พร้อมกล่าวกับซองฮุนที่อยู่ในห้องอัดเสียง ซองฮุนที่กำลังหมุนจูนเนอร์ไปมาพร้อมกับซาวน์เช็คอยู่นั่น ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ส่งสัญญาณมือเป็นรูปโอเคกลับมาแค่เพียงเท่านั้น เมื่อจองอูแน่ใจแล้วว่าซองฮุนจัดการจูนเสียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ส่งสัญญาณมือให้ซองฮุนเปิดแทร็กเพลงในส่วนที่จะอัดเสียง แล้วจึงจัดการกดปุ่มบันทึกทันที


 


 


การเล่นดนตรีของซองฮุนนั้นไร้ที่ติ เวลาอัดเสียง บรรดาสมาชิกวงคราฟท์แทบไม่เคยต้องอัดกันทีละหลายๆ รอบ หากเป็นไปได้ก็เลือกที่จะจบมันในเทคเดียว เพราะหากต้องอัดใหม่ในส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว ก็จะต้องมีการตัดต่อซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็เป็นงานที่ไม่ได้คุณภาพ แต่ว่าผลที่ออกมานั้นแทบไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย หากถามว่าทำไม นั่นเพราะจองอูมักทำตามข้อเสนอของสมาชิกคนอื่นๆ อยู่เสมอ


 


 


การได้ทำงานกับวงคราฟท์ มันทำให้เขาได้เปิดมุมมองให้กว้างมากยิ่งขึ้น


 


 


จองอูที่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องดนตรีอย่างจริงจังนั้น ทำให้มีสไตล์การทำเพลงที่ค่อนข้างแคบ ไม่ค่อยมีความเป็นศิลปะนัก แต่ว่าเพราะเขาหาวิธีการพัฒนาที่เหมาะกับตัวเองที่สุดได้ จึงทำให้เป็นคนที่ไม่ค่อยแย้งหรือยึดติดกับอะไรที่ไร้สาระมากนัก ด้วยสาเหตุนั้น การมารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ทำงานร่วมกับวงคราฟท์หรือศิลปินคนอื่น มันจึงทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปบ้าง กับคนที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสที่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงนี้นับเป็นสิ่งสำคัญมาก


 


 


“ทำไมเหรอครับ โอเคนะพี่”


 


 


จองอูตกอยู่ในภวังค์ความคิด ขณะฟังเสียงดนตรีของซองฮุนไปด้วยนั้น เสียงเบสที่หยุดชะงักไปอย่างกะทันหัน ทำให้เจ้าตัวเปิดไมค์ขึ้น พร้อมกับเอ่ยถามซองฮุนที่อยู่ในห้องอัด ซองฮุนขยับเข้ามาใกล้ไมค์พลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด


 


 


“เสียงอะไรน่ะ เสียงแบบเคี้ยวฟัน ฉันคงไม่ได้ทำเสียงแบบนั้นออกไปตอนเล่นหรอกใช่ไหม”


 


 


ซองฮุนที่เอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดนั่น ทำให้จองอูได้แต่ยกยิ้มเจื่อนๆ ให้ ถึงจะบอกว่าเป็นเสียงเคี้ยวฟัน แต่มันก็เบามาก เป็นเพียงเสียงที่ดังเท่าฝุ่นผงก็เท่านั้น มีแค่ไม่กี่คนที่จะฟังแล้วรับรู้ได้ถึงขนาดนี้ แล้วก็ช่วยไม่ได้ที่เขาคนนั้นดันเป็นพวกชอบความสมบูรณ์แบบ ถึงปกติจะเป็นพวกที่ค่อนข้างเย็นชาและนิ่งเฉย หากเกี่ยวกับเรื่องดนตรีแล้ว ยิ่งเพิ่มความจริงจังเข้าไปอีก ไม่ยอมให้มีการผ่อนปรนใดๆ นั่นละมินซองฮุน เท่านี้จองอูก็รู้แล้วว่าต้องเตรียมอัดใหม่อีกครั้ง


 


 


“เข้าใจแล้วครับ รอบนี้อย่าให้ผิดอีกนะครับ”


 


 


จองอูกล่าวสำทับอีกครั้งกับจองฮุนที่คลายนิ้วออกจากเบส แล้วจึงเปิดแทร็กเพลงอีกครั้งหนึ่ง


 


 


“ซองฮุน นายมีอะไรหรือเปล่า”


 


 


สีหน้าของเซจุนที่กำลังเฝ้ามองท่าทางของคนทั้งคู่อยู่ด้านข้างนั้นเคร่งเครียดขึ้นมา พวกเขาทั้งสองคนที่อยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษากับหัวหน้าวงถูกจับคู่กันให้มารับผิดชอบในส่วนเบสไลน์ของวง ตัวเซจุนที่มองออกทั้งในส่วนของข้อดีและข้อเสียระหว่างกันจนทะลุปรุโปร่ง ไม่อาจเมินเฉยกับคำพูดในตอนนี้ได้ จองอูเหลือบมองไปทางซองฮุนที่กำลังเล่นดนตรีอย่างตั้งใจ แล้วจึงได้กล่าวกับเซจุน


 


 


“จบเทคนี้แล้ว ลองไปคุยกันดูหน่อยไหมครับ”


 


 


“เอางั้นก็ได้”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นผมจะออกไปก่อน ระหว่างนี้จะไปพักสักหน่อย คุยกันเสร็จแล้วก็ค่อยเรียกผมนะครับ”


 


 


“จะไปไหนล่ะ”


 


 


“จะขึ้นไปชั้นสามน่ะครับ”


 


 


“โอเค คงประมาณสามสิบนาทีแหละ อาจจะเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ”


 


 


“โอเคครับ”


 


 


จองอูลุกจากที่นั่งก่อนที่จะอัดเสียงเสร็จเสียด้วยซ้ำ ส่งสัญญาณมือให้ซองฮุนที่กำลังอยู่ระหว่างเล่นดนตรีว่าจะออกไปข้างนอกแล้วจะกลับมา จากนั้นจึงรีบร้อนออกจากชั้นสองไป เดินฝ่าบรรดาทีมงานและกล้องที่ติดไว้ทั่วห้องออกจากห้องซ้อมไป เมื่อออกมาหยุดยืนตรงทางเดินด้านนอก เขาก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


 


“เฮ้อ…”


 


 


จองอูนั่งลงตรงบันไดที่เชื่อมขึ้นไปยังชั้นสาม


 


 


ความคิดที่ไม่ยินดีกับการถ่ายทำครั้งนี้ยังคงวนเวียนอยู่ตลอดเวลา เขาเพียงทำตามที่ถูกบีบบังคับมา ยอมปิดตา แล้วถ่ายๆ ให้จบไปเท่านั้น ทั้งที่เรื่องมันก็มีเพียงเท่านั้น แต่ทำไมต้องถามอะไรแบบนั้นออกมา เพื่อทดสอบความอดทนกันอย่างนั้นเหรอ หากคำถามนั้นมันผิดแปลก ก็คงได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาแล้ว แต่เพราะดูเหมือนจะถามออกมาด้วยความสงสัย จึงทำให้ไม่อาจแสดงท่าทีอะไรออกมาได้ คนแบบคิมจีฮุนที่ได้เฝ้าสังเกตมาตลอดทั้งวันนั้น ดูไม่น่าจะทำตัวไร้สาระแบบนั้น ด้วยท่าทางที่ดูเป็นพวกไม่ชอบเซ้าซี้ ก็ไม่น่าจะโยนคำถามแปลกๆ มาให้จองอูซึ่งไม่ใช่คนที่มีส่วนสำคัญในสารคดีนี้เลย


 


 


“พักตรงนี้ดีไหมนะ”


 


 


จองอูพึมพำออกมาเช่นนั้น พร้อมกับยกมือกุมศีรษะ ถึงจะบอกว่าใช้เวลาประมาณสามสิบนาที แต่ว่า เมื่อคิดว่าตัวเขากำลังรออยู่ ทั้งเซจุนและซองฮุนคงจะใช้เวลาคุยกันไม่นานนักหรอก ทว่าก่อนจะได้คิดอะไรต่อไปอีก ประตูห้องซ้อมที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออก


 


 


“อ้าว”


 


 


เงยหน้าขึ้นมาเพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้ ก็เห็นจีฮุนที่ปิดประตูลง พร้อมกับหันมามองเขาซึ่งนั่งอยู่ตรงบันได


 


 


“อยู่นี่เองเหรอครับ”


 


 


จีฮุนกล่าวกับจองอูด้วยสีหน้าที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ จองอูเองจึงเผลอผุดลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งอยู่โดยไม่รู้ตัว


 


 


“อ้า ครับ มีอะไรหรือเปล่า…”


 


 


น่าแปลกที่เขาพูดกับคิมจีฮุนไม่ได้อย่างที่ใจคิด จองอูสบตากับจีฮุนที่มองมายังตัวเขา พร้อมกับใช้สองมือปัดไปบนกางเกงยีนส์ที่สวมอยู่


 


 


“ฮันซองจูสบายดีใช่ไหมครับ”


 


 


“ครับ?”


 


 


แต่ทว่าคำพูดที่ออกมาจากปากจีฮุนนั้น กลับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง จองอูมองไปยังจีฮุนด้วยใบหน้าที่เหวอไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หัวคิ้วนั้นจะย่นเข้าหากัน


 


 


“อยากจะพูดอะไรกันแน่ครับ”


 


 


“เห็นซองฮีบอกว่าคุณสนิทกับฮันซองจูนี่ครับ”


 


 


“คำถามนั้นไปถามกับเจ้าตัวไม่ดีกว่าเหรอครับ”


 


 


จองอูที่ลืมว่าเคยพยายามรักษาระยะห่างระหว่างอีกคนได้เผลอหลุดปากออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องราวระหว่างคนพวกนั้น การถูกทดสอบด้วยวิธีนี้ยิ่งทำให้ไม่พอใจมากขึ้นไปอีก


 


 


“ไม่ใช่ว่าถามแล้วเขาจะยอมตอบออกมาตรงๆ นี่ครับ”


 


 


“ถามจากพี่ซองฮีก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ”


 


 


“ไม่รู้สิครับ มันเหมือนเขาจะไม่ตอบน่ะสิครับ ตอนนี้เหมือนเขาจะไม่ชอบใจผมสักเท่าไร”


 


 


“ยังดีที่รู้ตัวนะครับ”


 


 


เขาเผลอตัวตอบกลับด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟังเท่าไร ทำเอาจีฮุนถึงกับหน้าตึง


 


 


“ไม่ยักรู้ว่าคุณจองอูก็ไม่ชอบใจตัวผมด้วยนะครับเนี่ย”


 


 


จองอูที่ได้ฟังคำตอบรับที่มาพร้อมสีหน้าลำบากใจนั้น ก็ได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา


 


 


“เฮ้อ…มันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะจะคุยกันที่นี่หรอกนะครับ ตามผมมาเถอะ”


 


 


กล่าวออกมาเช่นนั้น พร้อมกับเดินขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานของเขา


 


 


 


 


กริ๊ง


 


 


ผ่านประตูเหล็กเข้าไป จากนั้นจึงเปิดประตูที่ถูกทาด้วยสีดำสนิท เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นในทันที เมื่อห้องทำงานนี้ตกแต่งเรียบร้อย ซองจูก็เอาเจ้ากระดิ่งรูปนกที่กำลังแกว่งไกวไปมาอยู่นี้มาห้อยไว้ที่ประตูเพื่อเป็นของขวัญให้เขาทันที จองอูก้าวเข้าไปภายในห้องทำงานอย่างช้าๆ ก่อนจะหันกลับมามองด้านหลัง


 


 


“ปิดประตูให้ด้วยนะครับ”


 


 


“อ้า ครับ”


 


 


จีฮุนตรวจเช็คว่าประตูนั้นว่าปิดแน่นดีแล้วตามคำพูดของอีกคน ก่อนจะขยับก้าวตามเข้ามาในห้องทำงาน


 


 


บรรยากาศของที่นี่ดูจริงจังกว่าห้องซ้อมของวงคราฟท์อยู่มาก


 


 


ห้องอัดเสียงที่กินพื้นที่กว่าครึ่งของห้องทำงาน แผงควบคุมก็ให้กลิ่นอายของความมืออาชีพกว่าที่ชั้นสองอย่างมาก รอบด้านจัดวางด้วยอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือและคอมพิวเตอร์ไว้อย่างเป็นระเบียบ เครื่องดนตรีที่วางเรียงอยู่ ทำให้รู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย หากว่าบรรยากาศที่ชั้นสองนั้นให้ความรู้สึกที่เป็นอิสระเหมือนภาพลักษณ์ของวงคราฟท์ บรรยากาศของที่นี่ก็สะท้อนตัวตนของศิลปินที่ชื่อว่าเลซี่ออกมาได้เป็นร้อยเท่า


 


 


‘ฮันซองจูเองก็ตกบ่วงภาพลักษณ์นี้สินะ’


 


 


จีฮุนที่รับรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจองอูกับซองจูอยู่แล้วนั้น คิดเช่นนั้นออกมาพร้อมกับกวาดสายมองไปรอบๆ


 


 


“เชิญทางนี้เถอะครับ ถ้าสะดวกจะอยู่ตรงนั้นก็แล้วแต่นะครับ”

 

 


 

ตอนพิเศษ 1-14 สถานที่

 


โดยไม่ทันรู้ตัว จองอูก็ถือเครื่องดื่มที่เอาออกมาจากตู้เย็นซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องทำงานเดินเข้ามาทางจีฮุน มือหนึ่งถือขวดน้ำส้มเย็นเจี๊ยบเอาไว้ แล้วเดินเนิบๆ ไปยังโซฟา มองปราดเดียวก็รับรู้ได้แล้วว่าชุดโซฟาสุดหรูที่ตั้งอยู่นี้ มันช่างแปลกแยกไม่เข้าพวก จองอูนั่งลงที่ตรงนั้นพร้อมกับมองไปทางจีฮุน อย่างไรเขาก็ไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง จึงทำให้เกิดรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง จีฮุนค่อยๆ ก้าวเดินไปทางโซฟา


 


 


“มีอะไรอยากจะพูดเหรอครับ”


 


 


จองอูเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม จีฮุนเผลอขมวดคิ้วให้กับคำถามนั้นโดยไม่รู้ตัว


 


 


“เปล่านี่ครับ ผมไม่ได้มีคำถามอะไรแบบนั้น แค่จะถามความเป็นอยู่ทั่วไปก็เท่านั้น”


 


 


“ถ้างั้นก็ถามกับเจ้าตัวเอาเองสิครับ อย่ามาคาดคั้นกับผมเลย”


 


 


“คุณนี่พูดเก่งกว่าที่คิดนะครับ ปกติถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับดนตรี ก็เอาแต่ถามคำตอบคำอยู่ตลอด”


 


 


จองอูเพียงแสดงสีหน้าเฉยชาให้กับจีฮุนที่ไม่ได้ตอบคำถามที่ถูกถามออกมาโดยตรง แล้วยังเอาแต่พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย


 


 


“ผมก็ไม่ได้พอใจที่ท่านประธานมาทำท่าทางแบบนี้กับผม”


 


 


“นั่นผมเองก็เหมือนกันแหละครับ”


 


 


“ถ้าอย่างนั้น มาถามเรื่องคนนั้นทำไมกันครับ”


 


 


“นั่นมัน เพราะมีคนเขาสงสัยน่ะสิครับ”


 


 


คำพูดนั้นทำให้หัวคิ้วของจองอูยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น


 


 


“คุณคิมจีฮุน ไม่สิ ท่านประธานคิมจีฮุน”


 


 


“เรียกแบบที่สบายใจเถอะครับ”


 


 


“นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้นะครับ”


 


 


จองอูเผลอแสดงอารมณ์ออกมาโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนเขาจะก้าวออกมาไกลเกินกว่าที่จะยอมปล่อยผ่านไปเฉยๆ ได้


 


 


“ผมไม่ชอบใจที่คุณมุนเซจองกับคุณคิมจีฮุนเข้ามาก้าวก่ายในชีวิตผมแบบนี้”


 


 


“พวกเราไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของคุณคิมจองอูเลยนะครับ”


 


 


“ไม่คิดว่าก้าวเข้ามาแล้วบ้างเหรอครับ”


 


 


“ยังไงล่ะครับ”


 


 


“การที่พวกคุณมาข้องเกี่ยวกับคนนั้น มันก็ไม่ต่างจากการเข้ามาก้าวก่ายชีวิตผมหรอกนะครับ”


 


 


จองอูกล่าวเช่นนั้นออกมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง สีหน้าของจีฮุนที่ได้ยินคำตอบนั้นจากจองอูก็ไม่ได้ต่างกันนัก


 


 


“การที่ผมเกี่ยวข้องกับฮันซองจู มันเหมือนเกี่ยวข้องกับคุณด้วยอย่างนั้นเหรอ”


 


 


“ครับ แต่ก็ยังมีที่ไม่ถูกต้องอยู่นะครับ”


 


 


สีหน้าของจองอูที่พยักหน้ารับเช่นนั้น พร้อมกับจ้องมองกลับมาดูเอาเรื่องอย่างมาก แม้จะดูเป็นคนที่ซับซ้อนอยู่บ้าง แต่คงเข้าใจผิดไปที่คิดว่าอีกคนนั้นเย็นชาและอ่อนแอ คิมจองอูน่ะ เป็นคนที่เหมือนโดเบอร์แมนที่หลุดออกจากการควบคุมไปเสียแล้ว


 


 


“เข้มแข็งกว่าที่คิดนะ”


 


 


จีฮุนพึมพำออกมาเช่นนั้น จองอูที่มองมาราวกับถามว่ากำลังพูดบ้าอะไรอยู่นั้น ทำให้เขาเพียงยกยิ้มมุมปาก พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมจำนน


 


 


“เดี๋ยวนะ อย่ามองกันแบบนั้นสิครับ ตอนที่โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นมา ซองฮีบอกเป็นร้อยๆ รอบว่าห้ามแตะต้องคุณ ผมก็เลยคิดว่าคนที่ชื่อคิมจองอูน่ะเป็นพวกอ่อนแอ พอมาถ่ายทำจริงๆ ก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรกันมากนัก ก็เลยทำให้เข้าใจไปแบบนั้น เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นสินะครับ คุณเป็นคนเข้มแข็งมาก”


 


 


จีฮุนพูดออกมาเช่นนั้น พร้อมกับส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย


 


 


“ยังไงก็เถอะ คนที่ฮันซองจูเลือก ไม่มีทางอ่อนแออยู่แล้ว”


 


 


“คุณ…”


 


 


ในตอนที่กำลังจะหลุดคำพูดบางอย่างออกไปให้กับจีฮุนที่กล่าวออกมาแบบนั้น จู่ๆ เสียงกระดิ่งก็ดังกังวานขึ้นมา แล้วเสียงตะโกนก้องก็ดังตามมาให้ได้ยินอย่างไม่รั้งรอ เสียงตะโกนก้องทำให้เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้


 


 


“นี่ ทำอะไรอยู่น่ะ!”


 


 


น้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยทำให้จองอูชะโงกหน้าไปมองทางประตูด้วยความตกใจ แล้วใบหน้าที่ตอนนี้มีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมาบนหน้าผากสวยของซองจูก็ปรากฏสู่สายตาในทันที


 


 


ครืด ครืด


 


 


มิหนำซ้ำโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือตอนนี้ก็เริ่มสั่นครืดคราดอย่างบ้าคลั่ง ดูท่าคงจะโทรมาส่งข่าวบางอย่าง เซจุนกำลังตามตัวจองอูอยู่


 


 


“ไม่เจอกันนานเลยนะ”


 


 


“คิมจีฮุน นายมาทำอะไรที่นี่”


 


 


ท่าทางของจีฮุนที่ทำเป็นตีหน้าซื่อเอ่ยทักทายออกมาแบบนั้นยิ่งทำให้ซองจูก้าวเข้ามาใกล้ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นจนแทบระเบิด ท่าทางเอาเรื่องแบบนั้นทำให้จีฮุนได้แต่ยกยิ้มเจื่อนออกมาด้วยความตระหนก


 


 


“เดี๋ยวสิ ต้องหัวร้อนแบบนั้นเลยหรือไง”


 


 


“นายคิดจะทำอะไรกับเจ้าเด็กนี่”


 


 


จองอูลุกพรวดขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปหาซองจูที่มีท่าทางพร้อมจะเข้าไปปะทะได้ในทันทีแบบนั้น


 


 


“เดี๋ยวก่อน ใจเย็นก่อน นายตื่นตูมเกินไปแล้ว”


 


 


คำพูดนั้นทำให้ซองจูหันไปมองจองอูด้วยสีหน้าขมวดมุ่น


 


 


“ไม่ได้โดนหมอนี่ทำอะไรใช่ไหม”


 


 


“ฉันดูเป็นคนแบบนั้นหรือไง”


 


 


คำตอบนั้นทำให้พอวางใจขึ้นมาได้บ้าง ซองจูหน้างอพร้อมกับบ่นพึมพำออกมา


 


 


“ปากดีจริงนะ…”


 


 


จีฮุนที่มองดูท่าทางเช่นนั้นอยู่ก่อน ได้แต่บ่นออกมาด้วยสีหน้าที่คล้ายกับว่านี่เขากำลังดูอะไรอยู่กันแน่


 


 


“พระเจ้า นี่มันอะไรเนี่ย”


 


 


คำพูดนั้นทำให้ซองจูขมวดคิ้วเข้าหากันอีกรอบ พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่จีฮุน


 


 


“อย่ามาทำเป็นล้อเล่น ไหนว่าจะไม่มาโผล่ที่นี่ แล้วมาที่นี่ได้ยังไงกัน คุณคิมจีฮุน”


 


 


คำพูดนั้นทำให้จีฮุนฉุนเฉียวขึ้นมาบ้าง ไม่สิ เขาไปสร้างเรื่องอะไรให้คู่รักคู่นี้หรืออย่างไรกัน แค่มาถามความเป็นไปก็แค่นั้นแท้ๆ จีฮุนโต้กลับไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม


 


 


“คือว่า เดี๋ยวนะ ฉันแค่มาถามความเป็นไปของนายแค่นั้นเอง คนที่ทำเกินไปน่ะ มันพวกคุณมากกว่าไหม”


 


 


“แล้วมาถามความเป็นไปของฉันทำไม”


 


 


“เพราะเซจองสงสัยน่ะสิ ไม่ใช่แบบนั้นจะไปมีเหตุผลอะไรอีกล่ะ”


 


 


คำพูดของจีฮุนที่ตอบกลับมาเหมือนกับว่าถามอะไรกับเรื่องแบบนี้ ทำเอาห้องทำงานเกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ จบคำนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีกเลย ซองจูที่มีสีหน้านิ่งเฉยกับจองอูที่ก้มมองซองจูซึ่งมีท่าทางเช่นนั้นอยู่ก็ปิดปากเงียบไปเสียอย่างนั้น ภาพของคู่รักตรงหน้าซึ่งมีสีหน้าไม่สบายใจผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวก็ปรากฏสู่สายตาของจีฮุน บรรยากาศอันหนักอึ้งโอบล้อมคนทั้งสามเอาไว้


 


 


 


 


ครืดดด


 


 


ท่ามกลางบรรยากาศนิ่งเงียบจนแทบไม่ได้ยินเสียงหายใจนั้น เกิดมีเสียงของเครื่องมือสื่อสารดังออกมา ในตอนนั้นเองจองอูก็นึกขึ้นได้ว่าเซจุนกำลังตามหาเขาอยู่


 


 


“อ้า อัดเสียง…”


 


 


ซองจูที่มองเห็นท่าทางละล้าละลังอย่างทำอะไรไม่ถูกของจองอู จึงได้กล่าวขึ้น


 


 


“ต้องรีบไปไม่ใช่เหรอ”


 


 


“แต่ว่า”


 


 


“ไปเถอะ ทางนี้ฉันจัดการได้ นายไปทำงานเถอะ”


 


 


ซองจูที่สีหน้ากลับมานิ่งเฉยอีกครั้งแล้ว ดันแขนของจองอูไป แต่ทว่าร่างกายแข็งแรงนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย


 


 


“ถ้านายไม่ไป พวกนั้นก็จะไม่สบายใจเอานะ หายไปทั้งคู่แบบนี้ คงไม่อยู่เฉยกันหรอก อีกอย่างก็กำลังถ่ายอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าตัดต่อไม่ได้ตามแผน มันจะเป็นเรื่องใหญ่เอานะ รีบไปเถอะ”


 


 


ซองจูกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับเร่งรัดจองอู แต่จองอูที่มีสีหน้าไม่สบายใจนั้นกลับไม่ยอมขยับเลยสักก้าว


 


 


“ไม่ต้องห่วง ไม่ก่อเรื่องแน่นอน”


 


 


พูดสำทับไปอีกครั้ง ในตอนนั้นเองจองอูจึงได้กำโทรศัพท์แน่นจนแทบหักคามือ แล้วจึงก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว


 


 


“มีอะไรโทรมานะ”


 


 


“คิดมากน่า…ช่างเถอะรีบไปได้แล้ว ฉันไม่อยากได้ยินฮันซองฮีมาตามบ่นฉันทีหลังหรอกนะ”


 


 


“อื้อ ไปนะ”


 


 


จองอูทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ก่อนจะค่อยๆ ออกไปจากห้องทำงาน ซองจูมองตามแผ่นหลังที่แข็งแกร่งนั้นไป จนกระทั่งลับหายออกไปนอกประตูแล้ว จึงได้หันกลับมาหาจีฮุนซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟา สีหน้าก็เย็นชาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


 


 


“หยุดก่อกวนสักที แล้วก็ไสหัวไปซะ”


 


 


“ฉันยังไม่ได้ไปก่อกวนอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่มาถามความเป็นอยู่ก็เท่านั้น แค่นั้นก็ผิดด้วยหรือไง”


 


 


จีฮุนโพล่งถามออกมาอีกครั้ง


 


 


ไม่ว่าจะคิดอย่างไร สองคนนี้ก็ดูมีอะไรแปลกๆ อยู่ แค่ถามไถ่ทั่วไปเองนะ จะดีจะร้ายอย่างไรก็คือคนที่รู้จักกัน ถามไถ่ความเป็นอยู่ไปตามมารยาทแค่นั้นมันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับสองคนนี้อยู่แล้วแต่กลับบอกว่าจีฮุนไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย


 


 


“ถ้าสงสัยนัก แค่ตามดูเอาจากข่าวก็ได้นี่ อย่ามาก่อกวนคนรอบตัวฉัน หรือไม่ก็ไปถามฮันซองฮีสิ เจ้านั่นก็คงจะตอบคำถามให้อยู่แล้ว ในเมื่อพวกนายก็ยังมีสายสัมพันธ์กันอยู่”


 


 


“ทำไมต้องพูดจาขนาดนี้ด้วย”


 


 


“ถ้ามาพัวพันกับพวกนาย เจ้านั่นก็จะไม่สบายใจ ฉันทนให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”


 


 


ซองจูพูดออกมาเช่นนั้นพร้อมกับค่อยๆ เอนตัวพิงกับผนังตรงหน้าประตู


 


 


จีฮุนตระหนักได้แล้วว่า ฮันซองจูที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้แตกต่างกับฮันซองจูที่เคยรู้จักในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง


 


 


ฮันซองจูที่เขาเคยรู้จักนั้นไม่สนใจใครนอกจากตัวเอง เป็นคนที่เพื่อตัวเองแล้ว แม้กระทั่งคนรักก็สามารถทอดทิ้งได้


 


 


แต่ว่าฮันซองจูที่ยืนอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ไม่ใช่แบบนั้นเลย สายตาของฮันซองจูที่มองไปยังจองอูนั้น มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย แม้จะแผดเสียงตะโกนใส่เขาก็ตาม หากกลับยอมปิดปากเพราะคำพูดเพียงคำเดียวของอีกคน


 


 


แบบนั้นมันไม่ใช่ฮันซองจูเลย ไม่ใช่ ไม่ใช่ฮันซองจูที่เคยกล่าวลา และบอกว่าจะอยู่เพียงลำพังต่อหน้าความปวดร้าวของมุนเซจองนั่น


 


 


อีกคนได้เปลี่ยนไปแล้ว จีฮุนทำได้เพียงยอมรับความจริงนี้


 


 


“แล้วไง จะไม่เจอหน้ากันไปตลอดชีวิตเลยงั้นเหรอ ฉันก็ไม่อะไรหรอก แต่รวมเซจองด้วยเนี่ยนะ”


 


 


“แบบนั้นมันคงยากไป ฉันหรือเจ้านั่นถ้ายังทำงานพวกนี้อยู่ เรารู้ดีว่ามันมีความเป็นได้สูงที่วันใดวันหนึ่งต้องได้เจอหน้ากันกับพวกนาย”


 


 


“แล้วมันเป็นปัญหายังไง ถ้ายังไงก็ต้องเจอหน้ากัน แล้วก็ได้รับรู้ข่าวคราวกันอยู่ดี”


 


 


“ไม่รู้สิ จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”


 


 


ซองจูยกยิ้มพร้อมกับกอดอก


 


 


“ซองฮีเองก็พูดจาประมาณนั้นเหมือนกัน บอกว่าถ้าต้องร่วมงานถ่ายทำอะไรด้วยกันขึ้นมา แล้วฉันเข้าไปพัวพันด้วยเหมือนทุกที อาจจะทำให้เจ็บปวดขึ้นมาได้ ก็เลยสั่งให้ฉันเก็บตัวอยู่ในบ้าน”


 


 


“เขาก็บอกกับฉันแบบนั้นเหมือนกัน”


 


 


“ประคบประหงมกันจริงๆ ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยสักหน่อย”


 


 


“แต่นั่นก็เป็นความจริงใจของซองฮี แล้วนายเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นนี่”


 


 


“อื้อ เห็นด้วย ก็ทำได้แค่นั้นเท่านั้นนี่”

 

 

  

ตอนพิเศษ 1-15 สถานที่

 


 


 


 


คำพูดของซองจูทำให้คิ้วของจีฮุนขมวดเข้าหากัน มีเหตุผลอย่างอื่นอีกเหรอที่ทำให้ต้องเชื่อฟังคำพูดของซองฮี เขาจ้องมองใบหน้าของซองจูอย่างเงียบๆ 


 


 


“เจ้าของห้องทำงานนี้ ถึงจะดูปกติดีและดูเข้มแข็งแค่ไหนก็ตาม แต่ภายในใจกลับไม่ใช่เลย เรื่องไม่เป็นเรื่องสำหรับคนอื่นกลับสร้างบาดแผลให้เขา แล้วยังฟื้นฟูกลับมาได้ยากเย็นจนน่าหงุดหงิด อ่อนแอมากถึงขนาดที่ไม่อาจเดาได้เลยจะวิ่งหนีไปตอนไหน แต่ว่าพวกนายก็ยังคอยรังแกกันอยู่ตลอด โรยเกลือลงมาบนบาดแผลที่ยังไม่ทันหายสนิทนั้น” 


 


 


“พวกเราไม่เคยทำแบบนั้น!” 


 


 


“แน่สิ การมีตัวตนอยู่นั่นแหละคือปัญหา” 


 


 


“อะไรนะ” 


 


 


นี่มันเรื่องบ้าอะไร จีฮุนได้แต่อึ้งจนพูดไม่ออก 


 


 


คิมจองอูที่เขาเคยได้ยินข่าวคราวมาบ้างนั้น นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน ไม่ยุติธรรมเลยที่เหมือนถูกกล่าวหาว่าทำตัวตามติดมาตลอด สถานการณ์ที่ถูกเข้าใจผิดจากคนที่แปลกหน้าแบบนี้ มันน่าหงุดหงิดไปหมด จีฮุนโพล่งถามออกมาด้วยสีหน้าเกินบรรยาย 


 


 


“แล้วยังไง มันเป็นปัญหาอะไร” 


 


 


“ก็หมอนั่นไม่สบายใจไง เหมือนฉันจะกลับไปหาเซจองได้ทุกเมื่อ” 


 


 


“ไม่เชื่อใจนายอย่างนั้นเหรอ” 


 


 


“ไม่ใช่หรอก ก็แค่ไม่เคยมั่นใจกับตัวเอง” 


 


 


ใบหน้าเรียบนิ่งของซองจูที่กล่าวคำนั้นออกมา ปรากฏรอยยิ้มเศร้า 


 


 


“ให้ตายเถอะ ทำไมถึงได้ไปชอบคนแบบนั้นล่ะ แค่ดูท่าทางก็รู้แล้วว่านายจริงใจหรือไม่จริงใจ การกระทำของนายที่มีให้เขามันคือของจริง ทำไมถึงได้ไม่เข้าใจสักที” 


 


 


“เวลาที่ฉันได้อยู่กับคิมจองอู ฉันไม่ต้องแสดงเป็นฮันซองจู สนุกได้เต็มที่ เจ็บปวด และมีความสุขได้ทั้งที่ยังเสียใจอยู่ มันหมายความว่ายังไง จนตายนายก็คงไม่มีทางเข้าใจ” 


 


 


จีฮุนไม่รู้ว่าซองจูกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ 


 


 


ฮันซองจูน่ะ ไม่ใช่คนที่เอาแต่ทำตามใจตัวเองเหรอ ต้องการจะบอกอะไรกันแน่ กับเรื่องที่แสดงความรู้สึกออกมาขนาดนี้น่ะ ซองจูที่มองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายดูราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมา 


 


 


“เป็นไปไม่ได้ ยังไงซะฉันกับเซจองก็จบกันไปนานแล้ว ฉันไม่สามารถทำให้คนสำคัญแบบนั้นต้องเจ็บปวด ด้วยการลากคนในอดีตเข้ามาในปัจจุบัน” 


 


 


“เปลี่ยนไปจริงๆ” 


 


 


เสียงพึมพำแผ่วเบานั้นทำให้ซองจูหัวเราะเสียงดังออกมาทันที 


 


 


“ฮ่าๆ! เปลี่ยนไปเหรอ ไม่หรอก ฉันยังเหมือนเดิม ยังคงเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว ดังนั้นถึงปล่อยคิมจองอูไปไม่ได้” 


 


 


คำพูดที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแบบนั้นทำให้จีฮุนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง อยากจะพูดอะไรออกมากันแน่ จีฮุนได้แต่สงสัยว่าซองจูคงไม่ได้เสียสติไปแล้วหรอกนะ แต่ทว่าก็เพียงแค่ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองไปยังใบหน้าของฮันซองจู 


 


 


“ไม่รู้หรือไง ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคิมจองอู คนที่ทำให้ฉันยังคงเป็นฉันได้อยู่แบบนี้ก็มีแค่เขาเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้เกิดเรื่องที่สร้างความเจ็บปวด จนทำให้เจ้านั่นหนีไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะฉันเองก็ยังต้องอยู่ต่อไป เพราะฉันต้องการเขา” 


 


 


ดวงตาสุกใสของซองจูมีน้ำตาเอ่อคลอออกมาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นฮันซองจูในแบบนี้ คนบ้าคลั่งที่เคยเห็นมาตลอดนั้นหายไปไหนกัน เหลือเพียงชายคนหนึ่งที่ผูกชีวิตเอาไว้กับใครอีกคนเช่นนี้ จีฮุนได้แต่พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่กระท่อนกระแท่น 


 


 


“นาย…เป็นใคร…กันแน่” 


 


 


แต่ทว่ากลับไม่มีคำตอบใดกลับมา ซองจูเพียงหันหน้ามองไปทางประตู สายตาเหมือนจะไล่ตามแผ่นหลังของจองอูที่เดินลงไปยังชั้นสอง ท่าทางของซองจูที่ยืนพิงตัวกับกำแพงอย่างน่าสงสารนั่น ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนซองจูมีชีวิตขึ้นมาบ้าง 


 


 


“นายน่ะ ใช่ฮันซองจูที่ฉันรู้จักจริงๆ น่ะเหรอ” 


 


 


จีฮุนเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง คำถามที่ถูกถามออกมาพร้อมสายตาที่ทอดมองไปตรงท้ายทอยที่ดูหม่นหมองอย่างน่าประหลาดนั่น แต่คราวนี้กลับได้คำตอบกลับมา 


 


 


“ใช่ไม่ใช่ก็ไม่รู้สิ มันสำคัญนักหรือไง” 


 


 


จีฮุนเผลอพยักหน้ารับคำพูดนั้นโดยไม่รู้ตัว 


 


 


กับคนที่ดูไม่มีการวางแผนอะไรนั่น ได้มาเห็นท่าทางยึดติดแบบนั้นแล้ว มันช่างดูแปลกตา แต่ถึงอย่างไรนั่นก็คือฮันซองจู ถึงจะดูเปลี่ยนไปบ้าง แต่ทว่าเนื้อแท้นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เป็นคนที่อยู่ในโลกที่ตัวเองยอมรับแค่เท่านั้น ซึ่งในนั้นไม่มีที่ของจีฮุนและเซจองอีกต่อไป นั่นแหละความจริงในตอนนี้ จีฮุนลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างช้าๆ 


 


 


“เข้าใจแล้ว จะบอกว่าสบายดีก็แล้วกัน แค่นี้คงได้นะ” 


 


 


ซองจูหันกลับไปหาจีฮุนที่กล่าวคำถามนั้นออกมา ในดวงตานั้นเกิดเป็นริ้วสีแดงเมื่อหยาดน้ำตาเลือนหายไป 


 


 


“อื้อ อย่าพูดอะไรไร้สาระก็พอ” 


 


 


“ยังไงก็ส่งข่าวมาบ้างล่ะ จะบอกผ่านซองฮีหรือประธานชินก็ได้” 


 


 


“ไม่จำเป็นหรอก ตอนนี้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว ฉันไม่อยากทำอะไรที่มันชวนให้เข้าใจผิดด้วย ถ้าบังเอิญเจอกันก็แค่ทักทายกันสักสองสามคำก็พอ ถึงจะไม่ได้พูดเล่นได้แบบเจ้าซองฮี แต่นั่นก็ดีแล้ว แค่นั้นคงพอใช่ไหม” 


 


 


“เป็นเอามาก สามารถจัดการกับความรู้สึกที่ยื้อมานานขนาดนั้นได้ในพริบตาเลยหรือไงกัน” 


 


 


คำพูดทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้มขมขื่นนั่นทำให้ซองจูหลุดขำออกมา 


 


 


“ก็เจอที่ของตัวเองแล้วไง” 


 


 


เมื่อจีฮุนที่ได้ฟังคำตอบของซองจู ก็รู้สึกเหมือนความคิดที่เคยสับสนนั้นสลายหายไปในพริบตาเดียว 


 


 


ที่ของตัวเอง 


 


 


คำพูดนั้นไม่ได้ฟังผิดแปลก ก็เพราะเซจองนั่นแหละ เซจองที่หลงทางไปเรื่อยเพื่อตามหาที่ที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นได้จึงได้มาปักหลักที่เขา ซองจูเองก็เหมือนจะเจอที่อยู่ของตัวเองแล้วเหมือนกัน จีฮุนตระหนักได้แล้วว่า เขาไม่มีความจำเป็นต้องมาถกเถียงกับซองจูอีกต่อไปแล้ว 


 


 


“งั้นเหรอ ฉันเข้าใจที่นายอยากจะสื่อนะ ครั้งหน้าถ้าได้เจอกับนายอีก ฉันเองก็คงสบายใจขึ้นเหมือนกัน” 


 


 


“ไม่ได้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเหรอ เห็นเจอฉันทีไรก็เอาแต่พูดจาฉอดๆ ทุกที” 


 


 


“นั่นมันก็ทั้งคู่นั่นแหละ” 


 


 


ทั้งสองสบตากัน จากที่ไม่เคยยิ้มให้กันเลยสักครั้ง ในตอนนี้บนใบหน้าที่ไม่เคยมีรอยยิ้มปรากฏอยู่มาก่อนของทั้งคู่นั้น มันถูกระบายไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง 


 


 


“นายกับฉันน่ะ แค่นี้ก็ดีแล้ว ถ้าเถียงกันทุกครั้งที่เจอหน้า แล้วยังกลับไปรายงานที่บ้านว่าสบายดีแบบนั้น คงได้โดนด่ากลับมาด้วย แบบนี้คงพอใจแล้วแหละ เอาตามเหตุผลแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรที่อึดอัดใจต่อกันอยู่แล้ว มิตรภาพระหว่างแฟนเก่ากับแฟนใหม่ก็คงได้อยู่” 


 


 


“งั้นเหรอ เข้าใจก็ดี” 


 


 


จีฮุนกล่าวออกมาเช่นนั้น พร้อมกับยื่นมือข้างขวาไปทางซองจู ทีนี้ก็เหลือแค่การประกาศบอกลาความไม่ปรองดองอันแสนยาวนาน ที่พวกนั้นคงไม่รู้ 


 


 


“ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็ต้องทำแบบนี้ซะหน่อย” 


 


 


“งั้นเหรอ” 


 


 


ซองจูที่มีสีหน้าอึดอัดใจ จิ๊ปากอย่างหงุดหงิด ก่อนจะยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย 


 


 


“ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ยังไงก็ขอให้ดูแลสุขภาพดีๆ อย่าทะเลาะกันละ” 


 


 


“พูดมากน่า” 


 


 


ท่าทางของซองจูที่ยังคงไร้มนุษยสัมพันธ์นั้นทำให้เขาได้แต่หลุดหัวเราะออกมา แต่ว่าทั้งคู่กลับได้บอกลากันก่อนแยกจากอย่างสมบูรณ์แบบกว่าที่คาดคิด 


 


 


ตึก 


 


 


หลังเสียงตึก ประตูเหล็กก็ถูกปิดลง จีฮุนมองภาพสุดท้ายนั่นแล้วภาพของฮันซองจูก็ผุดวาบขึ้นมา 


 


 


แม้จะยังคงมีท่าทางไม่แยแสใครอย่างเดิม แต่อีกด้านนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ฮันซองจูในตอนนี้พอจะมีกลิ่นอายที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง แล้วมันก็ดูเข้ากับอีกด้านของเจ้าตัว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หากเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว เหมือนจะเติบโตขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว 


 


 


“ที่ของตัวเอง” 


 


 


จีฮุนพึมพำออกมา พร้อมกลับหันหลังให้ประตูเหล็กนั่น 


 


 


หนึ่งก้าว สองก้าว ค่อยๆ ก้าวลงมาตามบันไดไปยังชั้นสอง คำพูดที่ผุดวาบขึ้นมานั้นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นไปมองทางชั้นบน ประตูเหล็กสีเทาที่ปิดสนิทอยู่นั้นก็เหมือนกับหัวใจของซองจู 


 


 


ไม่สิ ตรงข้ามอาจจะเหมือนกับคิมจองอูก็เป็นได้ 


 


 


แต่ทว่าการที่ซองจูเรียกที่นั่นว่าที่ของตัวเอง คงต้องถามหาความแตกต่างระหว่างคิมจองอูกับฮันซองจูออกมาเสียก่อน อย่างไรเสียมันก็เป็นปัญหาที่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ 


 


 


แล้วคำพูดที่ราวกับการถอนหายใจก็ออกมาจากปากของเขาที่มองประตูที่ปิดสนิทอยู่เงียบๆ  


 


 


“เท่านี้ก็คงเรียบร้อยแล้วสินะ” 


 


 


จีฮุนยังคงยืนมองไปยังบานประตูเหล็กอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งคำพูดพึมพำสุดท้ายนั้นสลายไปกับบรรยากาศเยือกเย็นภายนอกจนหมด ทั้งที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมาช้านัก” 


 


 


เย็นวันนั้น พอการถ่ายทำที่รวมกับการอัดเสียงนั้นจบลง จองอูก็พุ่งตรงมาที่ชั้นสี่ในทันที หอบหายใจแฮกๆ ในตอนที่เข้ามาข้างในบ้าน ภาพซองจูที่ฝังตัวไปกับโซฟา ขณะที่อ่านหนังสืออยู่นั้นก็ปรากฏขึ้นในทันที จองอูถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่ออีกคนเหลือบมองมาทางเขาพร้อมกับพึมพำเหมือนพูดกับตัวเองออกมา 


 


 


“เฮ้อ…วันนี้เทคเยอะเลย” 


 


 


“พูดอะไร อธิบายอะไรที่ฟังเข้าใจหน่อยสิ” 


 


 


ซองจูวางหนังสือที่อ่านอยู่ลงกับโต๊ะ 


 


 


“ก็เล่นไม่ได้อย่างที่ต้องการ แล้วต้องอัดใหม่อยู่หลายรอบก็เลยมาช้า” 


 


 


“งั้นเหรอ เจ้าคนไหนล่ะ” 


 


 


“พี่ซองฮุนน่ะ” 


 


 


“เจ้าคนหัวดื้อนั่นเหรอ ไม่ได้เรื่องเลย” 


 


 


พอได้ยินว่าเป็นซองฮุน ซองจูก็เป็นอันต้องสบถออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สึกสาอะไร พร้อมกับยกขาเรียวยาวขึ้นไขว่ห้าง ท่าทางนั้นดูสง่างามอย่างมาก 


 


 


“ทำอะไร ไม่นั่งล่ะ” 


 


 


เขาเงยมองจองอูที่ยังคงยืนเหม่ออยู่ข้างๆ พร้อมกับตบปุๆ ลงตรงที่นั่งด้านข้าง จองอูที่ได้สติจากคำพูดนั้นก็ค่อยๆ นั่งลงอย่างเรียบร้อย 


 


 


“ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม” 


 


 


“อะไรล่ะ” 


 


 


“เมื่อกี้ไง” 


 


 


“ในสายตานาย ฉันดูเหมือนมีเรื่องอะไรมาหรือไง” 


 


 


“ก็ไม่ แต่ว่า…” 


 


 


ซองจูเหลือบมองไปยังจองอูที่พูดงึมงำออกมา ก่อนจะค่อยๆ เอียงศีรษะซบลงบนไหล่ของอีกคน 


 


 


“ถ้าเป็นห่วงก็ส่งข้อความมาสิ” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้ข้างในใจที่แสนอึดอัดของจองอูหายวับไป

 

 

 


 

ตอนพิเศษ 1-16 สถานที่

 


 


 


 


หลังจากที่ทิ้งซองจูไว้ที่ห้องทำงานแบบนั้น จองอูก็นั่งแทบไม่ติดที่ ถึงจะไม่ได้แสดงออกให้คนอื่นเห็น แต่บรรดาสมาชิกวงคราฟท์ที่จับได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปก็คอยจับสังเกตเขา จนบรรยากาศในห้องซ้อมไม่ค่อยสู้ดีนัก 


 


 


ร้ายกว่านั้น เพราะจีฮุนที่ไม่มีท่าทีว่าจะกลับเข้ามาสักที ทำเอากระทั่งทีมงานก็พากันเดินไปมาราวกับหนูติดจั่น ไม่นานเท่าไรนัก จีฮุนจึงกลับเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย บรรยากาศก็กลับมาเป็นเช่นเดิมในทันที แต่ว่าในใจของจองอูก็ยังคงหนักอึ้งอยู่ เพราะก่อนที่เขาจะออกมาบรรยากาศระหว่างซองจูกับจีฮุนก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร 


 


 


“นายล่ะ” 


 


 


“หือ?” 


 


 


“นายเป็นยังไงบ้าง รู้สึกอึดอัดใจอีกหรือเปล่า” 


 


 


คำพูดของซองจูทำให้จองอูเปิดปากออกมาเล็กน้อย 


 


 


“…นิดหน่อย” 


 


 


“งั้นสินะ” 


 


 


คำตอบรับที่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่จองอูก็รู้ว่านั้นไม่ใช่การแสดงความสงสารต่อเขา 


 


 


“แค่คุยเรื่องไม่เป็นเรื่องกัน ไม่เห็นจำเป็นด้วยซ้ำ” 


 


 


คำพูดพึมพำราวกับแก้ตัวของซองจูนั้น ทำให้จองอูยกยิ้มออกมา 


 


 


“แล้วคุยกันจบแล้วเหรอ” 


 


 


“เจ้านั่นไม่ได้พูดอะไรใช่ไหม” 


 


 


“จะมีอะไรให้พูดกับฉันล่ะ” 


 


 


“นั่นสิ มันก็ต้องแบบนั้นแหละ” 


 


 


ซองจูพูดเช่นนั้น ก่อนจะยันร่างกายที่พิงจองอูกลับมานั่งตัวตรง ยื่นแขนออกไป มุดตัวเข้าไปในอ้อมกอดพร้อมกับกอดอีกคนเอาไว้ แล้วจองอูก็เอาแก้มแนบลงบนกระหม่อมของซองจู 


 


 


“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” 


 


 


จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับกอดเอวของซองจูเอาไว้แน่น ร่างกายที่เบียดชิดกันแบบนั้น ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาได้เติมเต็มหัวใจอันว่างเปล่าของจองอู 


 


 


แม้จะอยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ หากข้างในกลับว่างเปล่าอยู่เสมอ ราวกับกกกอดระเบิดเวลาที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่เอาไว้ ความสงบสุขในเวลานี้มันช่างแปลกประหลาด แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคอยปลอบใจเขาอยู่คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขามีความเชื่อว่าซองจูจะไม่ไปจากข้างกายเขา จองอูดูน่าสงสารเพราะแม้กระทั่งความสุขที่คว้าไว้ได้อย่างยากลำบากก็ยังไม่สามารถทำให้เขาเผยความสุขออกมาได้ นั่นทำให้จองอูกอดซองจูแน่นขึ้นไปอีก 


 


 


“คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นซะอีก” 


 


 


“เจ้าทึ่ม สัญญาแล้วนี่ว่าจะไม่ทำเรื่องยุ่งยากน่ะ คนที่ไม่น่าไว้ใจมันคือนายต่างหาก ทำไมกลายเป็นฉันที่ต้องมาได้ยินคำพูดนี้ล่ะ” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้จองอูก้มลงมองไปศีรษะของซองจู เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตานั้น ซองจูจึงได้เงยหน้าขึ้นมาจ้องจองอู 


 


 


“มีอะไร” 


 


 


“ทำไมฉันไม่น่าเชื่อถือล่ะ” 


 


 


“ก็นายเคยหนีไปไม่ใช่หรือไง” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้สายตาจองอูชะงักไป ไม่ว่าอย่างไร เหตุการณ์นั้นก็ทำให้จองอูได้บทเรียนแล้วว่ามันคงจะสร้างความเจ็บปวดให้เขาไปตลอดชีวิต 


 


 


“ลืมไปไม่ได้หรือไง” 


 


 


“พูดอะไรที่เป็นไปได้หน่อย จะให้ลืมได้ยังไงล่ะ จนตายก็ไม่ลืม แล้วเจ็บแบบนี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ” 


 


 


แบบนี้หมายความว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตสินะ ท่าทางของซองจูที่เบียดตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับพึมพำออกมานั้นทำให้จองอูยกยิ้ม พร้อมกับพูดขึ้นมา 


 


 


“ว่าแต่ เมื่อกี้ขึ้นมาทำไมเหรอ” 


 


 


“หือ?” 


 


 


“ก็ไหนว่าจะไม่ไปที่ห้องทำงานตอนที่ถ่ายอยู่ แต่ทำไมถึงมาได้ล่ะ” 


 


 


“อ้า นั่นมัน…” 


 


 


คำถามที่พรวดพราดออกมานั้นทำให้ซองจูมุดหน้าซุกเข้าไปในอกของจองอู 


 


 


“ลืมหนังสือไว้น่ะสิ” 


 


 


“ถ้ามีคนอื่นอยู่จะทำยังไงล่ะ” 


 


 


“ยังไงที่นั่นก็ไม่ใช้ถ่ายอยู่แล้วนี่ แค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไร แล้วก็นะบทสรุปมันก็เป็นไปด้วยดีด้วย” 


 


 


“คืนดีกันแล้ว?” 


 


 


จองอูลูบกลุ่มผมของซองจูที่อยู่ในอ้อมกอดพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


“ดีกันอะไรเล่า ไม่ได้ทะเลาะกันสักหน่อย 


 


 


“สองคนเจอกันทีไร เป็นได้ปะทะกันทุกที” 


 


 


“ใครกัน ใครที่มันมาใส่ความกันแบบนี้ ฮันซองฮี?” 


 


 


“คนที่เห็นก็พูดแบบนี้กันหมด” 


 


 


“ไอ้พวกเฮงซวย” 


 


 


ซองจูบ่นพึมพำ คนรอบตัวเขาไม่ได้เรื่องเลยสักคน 


 


 


“เพราะงั้นก็ช่วยเพลาๆ นิสัยนี้ลงบ้าง ยิ่งอายุมากก็จะยิ่งจุกจิกไปอีกนะ ถ้ามันหนักกว่านี้จะทำยังไงล่ะ” 


 


 


“งั้นนายก็คอยตามใจสิ” 


 


 


ซองจูพูดเช่นนั้นพร้อมกับค่อยๆ หลับตาลง 


 


 


นิสัยที่เกินจะรับได้ของเขา ใครๆ ต่างก็รับรู้กันดีอยู่แล้ว ตอนนี้มันยังเป็นปัญหาอะไรได้อีกล่ะ นอกจากนี้เขาก็มีคนที่คอยตามใจแล้วด้วย จองอูได้แต่ทึ่งกับความคิดของเจ้าตัว ก่อนจะค่อยๆ กระซิบเสียงทุ้มต่ำที่ข้างหูของซองจูซึ่งกำลังเพลิดเพลินกับความอบอุ่นที่มี 


 


 


“ง่วงเหรอ” 


 


 


“นิดนึง เหนื่อยๆ น่ะ” 


 


 


“ทั้งวันทำอะไรล่ะ” 


 


 


“อ่านหนังสือ กินกาแฟ ดูหนังไปเรื่องนึง ออกแรงทะเลาะ แล้วก็รอนาย” 


 


 


“นั่นไง ทะเลาะกันมาจริงๆ” 


 


 


“อย่ามาพูดเว่อร์น่า” 


 


 


พอเถียงกลับด้วยน้ำเสียงที่ติดจะง่วงงุน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วในทันที ซองจูที่คิดจะพ่นคำพูดเกรี้ยวกราดออกไป ก็ได้แต่เผยอปากค้างก่อนจะหุบลงอีกครั้ง อย่างไรเสียแบบนั้นก็เท่ากับทำลายตัวเองชัดๆ 


 


 


“ตอนนี้ไม่ได้ทะเลาะกันแล้วใช่ไหม 


 


 


“อื้อ…คงงั้น” 


 


 


เพราะร่างกายที่รู้สึกอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องฝืนลืมตาที่ค่อยๆ ปรือลง บ่นพึมพำออกมาพร้อมกับที่จองอูก้มหน้าลงมา 


 


 


“ไปนอนดีไหม” 


 


 


“อีกแป๊บ ขออยู่แบบนี้อีกสักพัก” 


 


 


ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย พร้อมกับกำชายเสื้อเชิ้ตสีดำของจองอูเอาไว้ แล้วเรียวนิ้วมืออบอุ่นก็ขยับแทรกเข้ามาในกลุ่มผมซองจู นิ้วมือที่ค่อยๆ ขยับเคลื่อนอย่างอ่อนโยนสางกลุ่มผมอ่อนนุ่มอย่างช้าๆ เส้นผมอ่อนนุ่มที่สัมผัสเรียวนิ้วยาวและความอบอุ่นที่มีค่อยๆ ละลายความรู้สึกไม่สบายใจที่มีในใจของจองอูลงทีละนิด 


 


 


“งั้นเหรอ อีกสักพักนะ” 


 


 


จองอูตอบกลับไปเช่นนั้น แล้วจึงใช้นิ้วมือเชยคางของซองจูขึ้นมา 


 


 


ผิวเรียบลื่นราวกับหินอ่อนของซองจูเป็นประกายงดงามยามที่ต้องกระทบกับแสงไฟที่ส่องมา ถัดจากเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนก็เป็นดวงตาสีน้ำตาลสุกใสที่สะท้อนภาพเขา มันช่างให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ไม่นานก็คงจะคุ้นเคยกับมัน จองอูมองสบตาซองจูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงไปอย่างช้าๆ 


 


 


“อื้อ…” 


 


 


พอแตะปลายลิ้นลงบนริมฝีปากล่างอย่างหยอกล้อก็เกิดเสียงครางแผ่วออกมาทันที จองอูกัดและค่อยๆ ดูดกลืนริมฝีปากของซองจูอยู่ครู่หนึ่ง 


 


 


ร่างกายที่อ่อนปวกเปียกนั้นทำให้เขาใช้แขนข้างหนึ่งเกี่ยวกระชับไว้ แล้วใช้มืออีกข้างประคองที่ท้ายทอย พร้อมกับออกแรงดึงรั้งร่างของซองจูเข้าหาตัว เสียงครางที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่แนบสนิทพร้อมกับเสียงเฉอะแฉะเช่นนั้นก่อให้เกิดวงคลื่นของความปรารถนาที่ลุกโชน โอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ 


 


 


“อื้อ อึก” 


 


 


ท่อนแขนที่โอบล้อมช่วงเอวเอาไว้ขยับราวกับอสรพิษร้ายเลื้อยวนไปมา ราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน ร่างกายของซองจูถูกควบคุมด้วยความต้องการที่ปะทุออกมา ความรู้สึกลุ่มหลงค่อยๆ คืบคลานเข้ายึดครองร่างกายเอาไว้จนสิ้นแรง พังทลายลงด้วยร่างกายของจองอูที่ทาบทับอยู่ด้านบนนั้น และแทรกผ่านเข้ามาตรงหว่างขาอย่างปลุกเร้า นั่นยิ่งทำให้เสียงครางดังขึ้น เรียวลิ้นชื้นจึงได้แทรกผ่านเข้าไป และเริ่มแหวกว่ายภายในนั้น 


 


 


“อึก!” 


 


 


ยิ่งเพิ่มแรงเข้าไป ความรู้สึกร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นในยามที่เรียวลิ้นของจองอูสอดเข้ามายังส่วนลึกในโพรงปากของซองจู มันทำให้เขาเหมือนถูกตีกระแทกเข้าไปในหัว เบื้องหน้ากลายเป็นสีขาวโพลน ส่วนสะโพกของซองจูยกลอยขึ้นอย่างหมดทางขัดขืน หลงลืมว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ได้แต่ยกแขนที่สั่นเทาขึ้นโอบรอบต้นคอของจองอู ร้องขอสิ่งที่มากยิ่งกว่านี้ จองอูหยุดการเข้ายึดครองริมฝีปากของซองจู ก้มลงมองใบหน้าอีกคนทั้งที่ยังเกี่ยวสะโพกอีกคนเอาไว้ 


 


 


“ไหวนะ” 


 


 


สัมผัสผ่านปลายนิ้วหยาบกร้านกอบกุมใบหน้าของซองจูเอาไว้อย่างอ่อนโยน ความร้อนรุ่มที่ปะทุออกมาทำให้สีกุหลาบระบายอยู่ทั่วผิวขาวนั่น ก่อให้เกิดความรู้สึกเย้ายวนขึ้นมาทีละนิด ด้วยร่างกายที่สั่นไหวนั้น เจ้าตัวพยักใบหน้ารับอย่างยากลำบาก จองอูจึงออกแรงดึงรั้งร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของซองจูขึ้นมานั่ง 


 


 


“ไม่ได้การละ ไปห้องนอนไหม” 


 


 


กวาดสายตามองใบหน้าของซองจูที่ดูง่วงงุน พร้อมกับพูดเช่นนั้นออกมา ท่าทางเช่นนั้นทำให้จองอูใจอ่อนยวบ ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวัง 


 


 


“เดินไหวไหม” 


 


 


ซองจูเหลือบมองอีกคนที่พูดแบบนั้น พร้อมยกยิ้ม 


 


 


“แค่นี้เอง ไม่ได้ขาขาดสักหน่อย อย่าห่วงเลย” 


 


 


กล่าวออกมาอย่างโอ้อวด ก่อนจะเดินไปทางห้องนอน จองอูที่มองตามหลังซองจูไปก็ค่อยลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างช้าๆ 


 


 


ห้องนั่งเล่นกว้างกลับดูเวิ้งว้างเมื่อเจ้าของไม่อยู่แล้ว เสียงของสวิตซ์ที่ถูกปิดลงดังก้องไปทั่วบริเวณ ภายในห้องนั่งเล่นจึงเหลือเพียงความมืดมิด มีเพียงแสงไฟถนนที่ส่องผ่านเข้ามาทางระเบียง เกิดเป็นเงาสลัวภายในห้องกว้างนี้ โซฟากว้างและผืนพรมนุ่มนิ่มที่ถูกทิ้งไว้ตรงกลางนั่น บอกให้รู้ถึงบรรยากาศของการพักผ่อน 


 


 


ภาพทิวทัศน์ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากวิลล่าสุดหรูใจกลางย่านคังนัมที่เคยเหยียบย่างเข้าไปครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว หากแต่จองอูกลับชอบบรรยากาศนี้ นั่นเพราะที่นี่เป็นปัจจุบันของเขากับซองจู 


 


 


เหตุผลที่จองอูไม่ชอบที่เก่านั่นมีเพียงข้อเดียว เพราะตั้งแต่แรกที่จองอูย่างเท้าเข้าไปที่นั่น เขารู้สึกเหมือนมันกักขังใครบางคนเอาไว้ และที่นั่นเขาก็ได้พบเจ้าชายที่ถูกขังไว้ในปราสาท แล้วยังสวมใส่ชุดเกราะที่มีหนามแหลมคมเอาไว้ คอยเฝ้าจับผิดคนรอบตัวแบบนั้น ซองจูที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในบรรยากาศอ้างว้างนั้นเพียงลำพังได้ถอดเสื้อเกราะที่มีหนามแหลมคมนั้นออกด้วยตัวเอง พร้อมทั้งมาปักหลักร่วมกับจองอู ณ ที่แห่งนี้ 


 


 


สถานที่นี้มันคือที่สำหรับคิมจองอูและฮันซองจูเพียงสองคนเท่านั้น ความจริงข้อนั้นมันทำให้จองอูพอใจอย่างมาก 


 


 


“นี่! ทำไมนายไม่มาสักที” 


 


 


จองอูที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มหันมองรอบๆ ห้องนั่งเล่นที่มีแสงสีส้มแดงจากไฟถนนด้านนอกส่องประกายอยู่เลือนราง จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของซองจูดังเข้ามา จองอูจึงเร่งฝีเท้าไปทางคนรักที่อยู่ในห้องนอน จินตนาการถึงอีกคนกำลังรอเขาอยู่ พร้อมกับจัดการยึดครองพื้นที่กลางเตียง เอาผ้าห่มมาห่อตัวเองไว้ แล้วยังทำปากยื่นอย่างขัดใจ จองอูที่จินตนาการถึงท่าทางเหล่านั้น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มกว้าง 


 


 


“รอเดี๋ยว ปิดประตูเสร็จจะเข้าไป!” 


 


 


ตอบกลับไปอย่างรีบร้อนด้วยกลัวอีกฝ่ายจะหงุดหงิด แต่ก็ไม่มีคำตอบอื่นใดกลับมา เงาทอดยาวไปด้านหลังสวนทางกับฝีเท้าที่ก้าวอย่างเร่งรีบไปทางห้องนอน และมีเพียงแสงจากไฟถนนที่แต่งแต้มลวดลายให้ห้องนั่งเล่นที่ไร้เงาเจ้าของนั้นดูงดงาม 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม