(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 198-203

 ตอนที่ 198 ความรักราคาถูกมาก


 


 


           มั่วไป๋หลับยาวจนถึงกลางดึกถึงเพิ่งจะตื่นขึ้นมา เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แล้วพบว่าทั้งห้องเป็นสีดำมืดไปหมด จังหวะที่เขาเอียงคอก็เห็นใบหน้ายามหลับใหลของไป๋จิ่งเข้าพอดี


 


 


           มั่วไป๋มองดูใบหน้านั้นในระยะประชิด ใจก็ลอยไปนิดหน่อย


 


 


           นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้นอนกันอย่างสงบนิ่งขนาดนี้


 


 


           ครุ่นคิดเรื่องราวอยู่หลายนาที มั่วไป๋ถึงได้ดึงมือของไป๋จิ่งที่วางอยู่บนเอวของตัวเองออก เขาลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง แล้วเดินออกจากห้องนอนไป


 


 


           ยืนที่ห้องรับแขก มั่วไป๋เทน้ำรินใส่แก้วให้ตัวเอง เพิ่งจะตื่นนอนมาก็มีชีวิตชีวาขึ้นบ้างแล้ว เขาเดินไปยืนอยู่ที่ระเบียง ลมพัดโชยให้เสื้อเชิ้ตบนตัวเขาปลิวไสว เผยให้เห็นไหล่ผอมบาง มั่วไป๋กำแก้วในมือไว้แน่น


 


 


           เขาถอนหายใจเงียบๆ โน้มตัวพิงระเบียง ทันใดนั้นก็มีมือๆ หนึ่งจากด้านหลังเข้ามาโอบกอดเขาไว้ในอ้อมอก มั่วไป๋ตะลึงงันไปสักพัก เขากลับไม่ดิ้น แต่เอนซบอกแกร่งไปทั้งแบบนี้


 


 


           “ทำไมลุกมาแล้วล่ะ” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


           “นอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยอยากออกมายืนสักหน่อย” มั่วไป๋ดื่มน้ำเข้าไป แล้วถามต่อ “นายล่ะ ฉันเสียงดังจนทำให้นายตื่นหรือเปล่า”


 


 


           ไป๋จิ่งเกยคางไว้บนไหล่ของมั่วไป๋ “ไข้คุณลดหรือยัง”


 


 


           มั่วไป๋พยักหน้าเล็กน้อย “ลดแล้ว ดีขึ้นเยอะแล้ว”


 


 


           ข้างนอกระเบียงถึงจะเป็นเวลากลางดึกแล้ว แต่แสงไฟทั้งเมืองกลับสว่างแพรวพราว ภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง ใบหน้ามุมข้างของมั่วไป๋ยิ่งสะท้อนความอ้างว้างอย่างชัดเจน


 


 


           มือไป๋จิ่งที่โอบกอดเขาไว้อดไม่ได้ที่จะกระชับแน่นขึ้น เขากอดแนบกายชิด เอ่ยที่ข้างๆ หูคนในอ้อมกอด “พูดเรื่องในอดีตของคุณกับผมได้หรือเปล่า”


 


 


           มั่วไป๋ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “นายอยากจะถามเรื่องแฟนเก่าคนนั้นของฉันสินะ”


 


 


           “ขอโทษ ผมก็แค่รู้สึกว่าคุณดูเหมือนจะได้รับความเจ็บปวดครั้งใหญ่ เพราะเขา”


 


 


           ครั้งแรกที่ได้เข้าหามั่วไป๋ ก็แค่รู้สึกว่าคนคนนี้หน้าตาดี บุคลิกดูเย็นชา ดึงดูดใจตัวเองอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ต่อมาพอค่อยๆ ได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดกัน ถึงได้รู้ตัวว่านับวันยิ่งใกล้ชิดกันยิ่งรู้สึกทั้งรักทั้งสงสารเขา


 


 


           โดยเฉพาะยามที่ได้เห็นสีหน้าแสนเย็นชาของเขา ไป๋จิ่งรู้สึกราวกับมีมือๆ หนึ่งเข้าไปจับกุมหัวใจของเขาไว้แน่นอย่างไร้ความปราณี


 


 


           นั่นเป็นความรู้สึกอีกมุมหนึ่งที่ไป๋จิ่งไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน


 


 


           ท่ามกลางความเงียบงัน ไป๋จิ่งคิดว่ามั่วไป๋จะเหมือนกับคราวก่อน จะไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น


 


 


           แต่เวลานี้ จู่ๆ มั่วไป๋ก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา “ฉันเคยชอบเขา แต่น่าเสียดาย เขาไม่ชอบฉัน”


 


 


           “ถ้าจะบอกว่านายคิดว่าฉันได้รับความเจ็บปวดอะไรเพราะเขา มันก็ไม่เชิง แต่เป็นฉันเองที่เข้าไปหาเอง”


 


 


           ตอนนั้นเขารู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่กำลังจะทำไม่ต่างจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่เขากลับบินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งโดนไฟแผดเผา เขาถึงได้เข้าใจว่าตัวเองนั้นโง่งมงายสิ้นดี


 


 


           “ไป๋จิ่ง นายคงจะไม่รู้ว่าฉันเคยชอบเขามากแค่ไหน”


 


 


           ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ร่างกายเกิดสั่นเทาขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ไป๋จิ่งที่กอดเขาอยู่เพียงชั่วพริบตาก็รู้สึกได้ มือที่โอบกอดกระชับแน่น เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่านิดหน่อย “แล้วต่อมาล่ะ”


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “ต่อมาเหรอ…”


 


 


           “ต่อมาฉันก็เกือบจะตาย หลังจากถูกช่วยชีวิตมาแล้ว ฉันก็ไม่รักเขาแล้ว”


 


 


           จู่ๆ มั่วไป๋ก็หมุนตัวหันกลับมามองไป๋จิ่ง “ดังนั้น ฉันที่นายเห็นในตอนนี้ที่จริงได้ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ฉันที่เป็นแบบนี้ นายยังคิดอยากจะเล่นเกมกับฉันอยู่อีกเหรอ”


 


 


           ไป๋จิ่งสบสายตาแสนเย็นชาของเขา ข้างในนั้นไม่มีความหวังแม้เพียงนิด สงบนิ่งราวกับบึงน้ำตายที่ไร้เส้นคลื่น


 


 


           เขาไม่เข้าใจว่าต้องชอบมากสักแค่ไหน ถึงได้เปลี่ยนคนที่มีชีวิตชีวากลายเป็นแบบนี้ในวันนี้ไปได้


 


 


           “ผมไม่ได้คิดจะเล่นเกมกับคุณ” ไป๋จิ่งมองเขาตรงๆ “มั่วไป๋ ผมชอบคุณ ให้ผมดูแลคุณได้ไหม”


 


 


           มั่วไป๋เงียบไปไม่กี่นาที จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา เขาค่อยๆ ดึงมือไป๋จิ่งที่จับแขนเขาอยู่ “ชอบเหรอ”


 


 


           “ชอบคือสิ่งของประเภทที่ราคาถูกมาก เสี้ยวเวลาที่พูดออกจากปากก็ไม่มีราคาแม้แต่สักนิดแล้ว”


 


 


           ไป๋จิ่งมองเขาด้วยความตระหนก “ผมพูดจริงๆ ไม่ได้กำลังล้อเล่น”


 


 


           “นายชอบฉันที่ตรงไหนเหรอ” มั่วไป๋มองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “ใบหน้านี้? ร่างกายนี้? หรือว่าเพราะนายไม่เคยเจอคนอย่างฉัน คนแบบที่นายไม่ได้มาง่ายๆ เลยรู้สึกอยากรู้อยากลองเพียงเท่านั้นเอง?จ”


 


 


 


 


ตอนที่ 199 เรื่องราวในอดีตของไป๋จิ่ง


 


 


           “เพราะเป็นคุณคนนี้ไม่ได้เหรอ”


 


 


           มั่วไป๋ชะงักนิดหนึ่ง “คนเหรอ”


 


 


           “เพราะว่าเป็นคุณ ผมถึงได้ชอบคุณไง” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำอีกครั้ง


 


 


           ราวกับมั่วไป๋รู้สึกน่าขันจนยกมุมปากขึ้นเบาๆ ถ้าไป๋จิ่งรู้ว่าเขาก็คือ ‘หลินฝาน’ ในตอนนั้น คงจะไม่พูดประโยคในวันนี้ออกมาแน่


 


 


           “นายเองก็ใช้วิธีแบบนี้ง้อคนบ่อยๆ ใช่ไหม” มั่วไป๋หัวเราะเบาๆ ค่อนข้างจะมองเขาด้วยความใคร่รู้


 


 


           “คุณเป็นคนแรก” ไป๋จิ่งบอกไปตามตรง


 


 


           “นายไม่ต้องคิดมาบอกฉันหรอก เพราะคนอื่นเห็นนายก็วิ่งแจ้นใส่นายแล้ว”


 


 


           ไป๋จิ่งลูบจมูกปอยๆ “ถึงจะเขินบ้างที่จะยอมรับ แต่ก็เป็นจริงตามนี้”


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “สุดยอดไปเลย ไม่ปฏิเสธใครที่เข้ามาได้พอดีด้วย”


 


 


           ไป๋จิ่งถอนหายใจ “คุณเห็นว่าผมว่างงานมากหรือไง ยังจะมาไม่ปฏิเสธใครที่เข้ามาอีก”


 


 


           หลายปีมานี้เขาโดนซือเหยี่ยนโขกสับมาตลอด เวลาพักสักนิดก็ไม่มี แล้วจะมีเวลาไปมีความรักกับคนอื่นเมื่อไหร่กัน ตลอดหลายปีมานี้ มั่วไป๋ถือเป็นคนแรกที่เขาตามจีบ


 


 


           “อะไรกัน นายอย่าบอกฉันนะว่า หลายปีมานี้นายจิตใจขาวสะอาดใช้ชีวิตอย่างสันโดษมาตลอด”


 


 


           “นี่คุณเริ่มจะสอบประวัติเรื่องความรักของผมแล้วใช่ไหม” ไป๋จิ่งจงใจเอ่ยหยอกล้อ


 


 


           “นายจะให้ฉันสอบประวัตินายเหรอ” มั่วไป๋ยกมุมปากด้วยท่าทีเย็นชา


 


 


           “ถึงแม้ว่าภายนอกผมจะดูเป็นคนหลายใจไปหน่อย แต่ที่จริงแล้วยังถือว่ารักเดียวใจเดียวมากอยู่” ไป๋จิ่งถอนหายใจ


 


 


           “รักเดียวใจเดียว? นายอย่าบอกฉันนะ ว่านายไม่มีสักคน”


 


 


           “เคยมีอยู่คนหนึ่ง” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


           มั่วไป๋เลิกคิ้วไม่ค่อยอยากจะถามอีกต่อไป เขารู้สึกว่าตัวเองหาเรื่องให้ตัวเองลำบากใจแล้ว ฉวยโอกาสสอบประวัติชีวิตส่วนตัวของไป๋จิ่ง อยากจะพิสูจน์อะไรเหรอ


 


 


           ‘พิสูจน์ว่าเขาในตอนที่ตัวเองใกล้จะตาย ข้างกายยังมีคนอื่นอีกเหรอ’


 


 


           เขาเอามือผลักไป๋จิ่งออก “ตอนนี้ฉันง่วงแล้ว ขอตัวไปพักก่อนนะ” เขาพูดจบก็เดินเข้าห้องนอนไป


 


 


           ไป๋จิ่งยืนอยู่ตรงระเบียงเห็นด้างข้างมีบุหรี่วางไว้พอดี จึงหยิบออกมาจุดไฟมวนหนึ่ง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เหม่อมองออกไปข้างนอก


 


 


           ถ้าคืนนี้มั่วไป๋ไม่ถามเขา เขาคงใกล้จะลืมว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มอบความอบอุ่นให้เขามากมาย


 


 


           แวบแรกที่เจอมั่วไป๋ ก็รู้สึกว่าเขาเหมือนคนคนนั้นในตอนนั้นมากๆ ถึงแม้ว่าบุคลิกเฉพาะตัวจะแตกต่างกันมาก คนคนนั้นอบอุ่นมาก แต่มั่วไป๋กลับเย็นชาจนยากจะเข้าใกล้ได้ เสี้ยวนาทีนั้นที่ได้พบกับมั่วไป๋ ไม่รู้ว่าทำไมเงาสะท้อนของพวกเขากลับทับซ้อนกันได้พอดิบพอดีแบบนี้


 


 


           ถ้าบอกว่าเขาไป๋จิ่งใช้ชีวิตมาตั้งนานขนาดนี้ เคยมีคนที่ทรมานใจจากความละอายอะไรบ้างไหม ก็คงจะมีแค่เขาคนนั้นคนเดียวแล้ว  


 


 


           เขาหลับตาลงเบาๆ ในหัวก็ห้ามเสียงดังก้องของเขาคนนั้นไม่ได้ “ฉันชื่อหลินฝาน ฉันชอบนาย นายจะคบกับฉันไหม”


 


 


           “ชอบผม?”


 


 


           “ใช่สิ ฉันชอบนายมานานมากแล้ว”


 


 


           ไป๋จิ่งมองดูเด็กหนุ่มวัยละอ่อนตรงหน้าตัวเองอย่างขำๆ ผิวขาวเกลี้ยงเกลา หน้าตาดีดูจิ้มลิ้ม ดูเหมือนจะไร้เดียงสาเกินไปจนจะถูกหลอกเอาง่ายๆ ทีเดียว


 


 


           “เจ้าหนู ดึกแล้วรีบกลับบ้านไปนอนเถอะ ไม่งั้นคนที่บ้านจะเป็นกังวลได้”


 


 


           หลินฝานชักจะเดือดดาลหน่อยๆ แล้ว เขาอายุยี่สิบแล้วนะ ยังเด็กอยู่ที่ไหนกัน


 


 


           “ฉันจริงจังนะ ไม่ได้ล้อเล่นกับนายสักหน่อย” เขาคิดอยู่ตั้งนานกว่าจะรวบรวมความกล้ามาสารภาพรักกับไป๋จิ่งได้


 


 


           “อะไรกัน นี่ชอบผมจริงๆ เหรอ” ไป๋จิ่งยกมุมปากขึ้น “งั้นคุณรู้ไหม ผมไป๋จิ่ง ต้องการร่างกายไม่ต้องการหัวใจ ถ้าคุณอยากจะคบกับผมจริงๆ ความสัมพันธ์ของพวกเรามีแค่บนเตียงเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว พวกเราไม่มีความสัมพันธ์ใดใดทั้งสิ้น”


 


 


           เขาเห็นเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสาก็จงใจจะทำให้เขาหวาดกลัว อยากให้เขารับรู้ถึงความลำบาก แล้วถอยหนีห่างไป “ดังนั้นถ้าคุณไม่ยอมรับ หนีไปตอนนี้ยังจะดีกว่านะ”


 


 


           หลินฝ่านกัดริมฝีปาก แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังคิดไตร่ตรองข้อเสนอเมื่อครู่นี้ของเขาอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าเปลี่ยนกลับไปกลับมา


 


 


           ไป๋จิ่งมองดูเขาอยู่หลายนาที คิดว่าตัวเองพูดแบบนี้ไป คงจะทำให้เด็กน้อยตกใจกลัวแล้ว “เอาล่ะ ผมยังยุ่งมากอยู่ อยู่ต่อกับคุณที่นี่ไม่ได้แล้ว คุณรีบกลับบ้านแต่หัวค่ำเถอะ อย่ามาสถานที่แบบนี้อีก”


 


 


           เขาพูดจบก็หมุนตัวคิดจะเดินออกไป แต่กลับโดนหลินฝานจับตัวไว้ก่อน


 


 


           “ฉันคิดดีแล้ว”


 


 


           ไป๋จิ่งเลิกคิ้วเงียบๆ


 


 


           “ที่นายพูดมา ฉันตกลงทุกอย่าง” เหมือนหลินฝานนึกถึงอะไรน่าอายขึ้นมาได้ แก้มแดงจัด “ฉันควรจะเป็นคู่…นอนของนาย”


ตอนที่ 200 เขาพังถล่ม 


 


 


           ไป๋จิ่งลืมตาขึ้นมาในทันใด เขามองท้องฟ้ามืดมิดยามราตรี แล้วถอนหายใจเบาๆ อดจะคิดไม่ได้ว่าในตอนนั้นที่รับปากยอมให้หลินฝานอยู่ข้างกายตัวเอง เขาทำผิดไปแล้วหรือเปล่า 


 


 


           เดิมทีหลินฝานเป็นเด็กดีที่สดใสร่าเริง บางทีอาจมีสักวันที่ได้เจอคนที่ดีกับเด็กคนนั้นจริงๆ และคนนั้นไม่ใช่เขาแน่นอน 


 


 


           เพียงแต่น่าเสียดาย พวกเขาเจอกันผิดเวลา สุดท้ายเด็กคนนั้นก็จากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนถึงวันนี้เขาก็ยังหาร่องรอยของเด็กคนนั้นไม่เจอ 


 


 


           ไป๋จิ่งฝืนยิ้ม หลินฝานคงไม่อยากจะเจอเขาไปตลอดชีวิตเลยสินะ 


 


 


           ไป๋จิ่งสูบบุหรี่เข้าไปอีกสองครั้ง แล้วถึงกดบุหรี่ลงที่เขี่ยบุหรี่เพื่อดับไฟ หลังจากกลิ่นบุหรี่จางลงแล้ว ถึงได้กลับเข้าห้องไป 


 


 


           …… 


 


 


           กว่าซือเหยี่ยนจะลงจากเครื่องบินมา ฟ้าก็ใกล้จะสว่างแล้ว รถที่เตรียมไว้ล่วงหน้าจอดรอเขาที่สนามบินเรียบร้อยแล้ว ซือเหยี่ยนขึ้นรถมาก็ไม่ได้ให้พวกเขาไปส่งที่โรงแรม แต่ให้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เจียงมู่เฉินอยู่ทันที 


 


 


           ซือเหยี่ยนผู้ไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งพิงพนักที่นั่งหลับตาพักผ่อนร่างกายสักพักหนึ่ง รถที่ขับมานิ่งๆ จู่ๆ ก็เบรกกะทันหัน 


 


 


           “ประธานซือครับ ทางข้างหน้าพังถล่ม ผ่านเข้าไปตอนนี้ไม่ได้ครับ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนลืมตามองข้างนอก แนวเขาด้านข้างพังถล่มลงมา เศษหินกระจัดจายปิดทางเอาไว้ ไม่มีทางจะผ่านเข้าไปได้ 


 


 


           “ที่นี่ห่างจากที่นั่นอีกเท่าไหร่” 


 


 


           “ยังอีกประมาณเก้าสิบกว่ากิโลเมตรครับ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนคำนวณเวลาเดินเท้า แล้วรีบเอ่ย “รีบหาคนมาเคลียร์เส้นทาง” 


 


 


           ถนนทางเข้าภูเขาถูกปิดช่องทางด้วยหินที่ถล่มลงมา ซือเหยี่ยนถูกปิดกั้นให้อยู่รอบนอกชั่วคราว เขามองดูเวลา ต้องเสียเวลาอีกกี่ชั่วโมงกัน 


 


 


           เขาก้มหน้าลงกลุ้มใจอยู่ไม่เบา ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินเจ้าหมอนั่นตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง 


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียงมู่เฉินที่เขาเป็นห่วงนักเป็นห่วงหนา ตอนนี้กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง ไม่รู้เลยสักนิดว่าเขาถูกปิดกั้นอยู่ข้างนอกห่างไกลออกไปอีกกี่สิบกิโลเมตร เข้ามาหาไม่ได้ 


 


 


           ตอนที่ซังจิ่งมาเคาะประตูหา เจียงมู่เฉินยังไม่ตื่นนอน 


 


 


           เคาะไปตั้งนานก็ไม่มีใครมาเปิดประตู ซังจิ่งถอนหายใจเบาๆ คิดว่า คุณชายน้อยคนนี้คงจะไม่ได้นอนหมดสติไปหรอกใช่ไหม เขาเคาะต่ออีกสองที “คุณชายเจียง ตื่นหรือยัง” 


 


 


           ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็มีปฏิกิริยากลับมาบ้างแล้ว เขาขยับขาเรียวยาว ลืมตาขึ้นมาอย่างเฉื่อยชา กำลังจะเตรียมพุ่งตัวจากข้างเตียงไปตามความเคยชิน ถึงได้พบว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง  


 


 


           “เจียงมู่เฉิน” 


 


 


           ข้างนอก ซังจิ่งยังเคาะประตูต่ออีก เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงต่ำ “ตื่นแล้ว จะออกไปเดี๋ยวนี้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูห้องนอนที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเพียบพร้อม แล้วถอนหายใจเบาๆ เขาลงจากเตียงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วถึงออกไป 


 


 


           วันนี้ซังจิ่งใส่ชุดลำลองออกมา ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีพิษมีภัยอะไร เป็นมาดคนดีทีเดียว 


 


 


           “มากินอาหารเช้าก่อน กินเสร็จผมจะพาคุณเข้าไปในเขา” 


 


 


           ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก เขายังรู้สึกแปลกที่แปลกทางอยู่จริงๆ เจียงมู่เฉินนั่งกินอาหารเช้าไป พลางพินิจมองรอบๆ ไปด้วย สุดท้ายสายตาก็มาหยุดลงที่ใบหน้าของซังจิ่ง 


 


 


           ซังจิ่งโดนเขาจ้องขนาดนี้ก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ “จู่ๆ คุณมาจ้องผมขนาดนี้ทำไม” 


 


 


           ในแววตาเจียงมู่เฉินแฝงความอยากหยั่งเชิงอยู่ในที “รู้สึกแปลกๆ นิดนึง” 


 


 


           “แปลกตรงไหน” จู่ๆ ซังจิ่งก็นึกถึงคำพูดเมื่อวานของเขาขึ้นมาได้ รีบเอ่ยเสริม “อย่าบอกผมนะว่า เพราะผมน่าสะอิดสะเอียน เลยรู้สึกแปลกๆ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินบันเทิงแล้ว เมื่อก่อนทำไมถึงไม่ค้นพบว่าซังจิ่งยังพกพรสวรรค์ทางตลกมาด้วยนิดนึงนะ 


 


 


           ซังจิ่งจ้องมองใบหน้าของเขา รู้สึกแปลกใจอยู่ในที “เห็นไม่ได้บ่อยจริงๆ ไม่คาดคิดว่าคุณชายน้อยเจียงจะยิ้มให้ผมแบบนี้เป็นครั้งแรก แถมยังไม่ใช่ยิ้มเยาะด้วย” 


 


 


           เมื่อก่อนครั้งนั้นที่เจอหน้าเขา ทั้งเหน็บแหนม ทั้งเย้ยหยัน สีหน้าท่าทางราวกับรังเกียจเขาเต็มประดา 


 


 


           คิดไม่ถึงว่าคนสองคนที่เพิ่งจะอยู่ร่วมกันวันหนึ่ง จะเริ่มให้ใบหน้าที่มีรอยยิ้มกันแล้ว ซังจิ่งคิดว่า ถ้าอยู่ร่วมกันต่ออีกหลายๆ วัน จะพัฒนาความสัมพันธ์ได้เร็วยิ่งขึ้นใช่ไหมล่ะ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 201 ห้าปีก่อน ณ อเมริกา 


 


 


           “นายอย่าคิดมากไปเลย ฉันไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นหรอก” ถึงแม้จะอยู่ในช่วงทำสงครามเย็นกับซือเหยี่ยนอยู่ แต่เขาก็ไม่คิดจะปีนกำแพงไปหาคนอื่น 


 


 


           “ที่จริงผมก็ใช้ได้อยู่ไม่เบา คุณไม่คิดจะลองกับผมจริงๆ เหรอ” ซังจิ่งเอ่ยแนะนำอีกครั้ง 


 


 


           เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมาด้วยท่าทีเฉื่อยชา “รีบกินเถอะ ฉันจะรอนายอยู่ข้างนอก”  


 


 


           ซังจิ่งมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินที่ค่อยๆ เดินลับไปไกล แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น จู่ๆ เขาไม่อยากรับภารกิจนี้ต่อแล้ว คุณชายน้อยคนนี้ช่างโดนใจถูกรสนิยมของเขาจริงๆ อยากจะลักพาเจ้าตัวไปเก็บไว้ครอบครองโดยไม่สนใจอะไรเสียจริงๆ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเดินออกมาจากห้องอาหารแล้ว ถึงได้พบว่าภูเขาลูกนี้ถือว่าทิวทัศน์งดงามจับตาจริงๆ เมื่อวานมาถึงค่ำเกินไป ฟ้ามืดอะไรก็มองไม่เห็น 


 


 


           ตอนนี้ตื่นมาตอนเช้าถึงได้ค้นพบว่า ถ้าสถานที่แห่งนี้ได้ทำเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจคงจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลว แค่เห็นวิวทิวทัศน์ก็ทำให้คนเบิกบานใจแล้ว 


 


 


           “เป็นยังไงบ้าง สถานที่แห่งนี้ไม่เลวเลยใช่ไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ไม่เลวจริงๆ” 


 


 


           “ผมจะพาคุณขึ้นไปข้างบน มองลงมาจากข้างบน จะยิ่งสวยกว่านี้อีก” ซังจิ่งพูดไปก็เดินไปเปิดประตูรถ “ไปกันเถอะ เข้าเขากัน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินนั่งข้างที่นั่งคนขับ เขารัดเข็มขัดนิรภัยไป พลางหัวเราะเยาะไปด้วย “ทักษะการขับรถนายโอเคไหม ฉันยังไม่อยากตายนะ” 


 


 


           ซังจิ่งยกมุมปากขึ้น “วางใจเถอะคุณชายน้อย ผมก็ทำใจเห็นคุณตายไม่ได้หรอก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินหัวเราะ ในเมื่อเขากล้าขึ้นไปนั่งในรถ ก็ต้องเชื่อมือของซังจิ่งอยู่แล้ว ไม่ว่าเป้าหมายของซังจิ่งคืออะไร เวลานี้ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ตัวเองเกิดเรื่องได้ 


 


 


           ระหว่างที่ขึ้นเขาไป เจียงมู่เฉินมองไปนอกหน้าต่าง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “นายไม่ได้มาครั้งแรกสินะ” 


 


 


           “เคยมาสองครั้ง ในเมื่ออยากจะลงทุน จะเลือกอะไรก็ได้ไม่ได้อยู่แล้ว” 


 


 


           “แล้วทำไมครั้งนี้ถึงคิดให้ฉันมาด้วย ฉันเข้าร่วมแบ่งน้ำแกง[1]กับนายได้เท่านั้นเองนะ” 


 


 


           ซังจิ่งเลิกคิ้ว “ถ้าผมบอกว่าผมเสนอเรื่องนี้มาคืออยากให้คุณเข้าร่วม เพื่อให้ผมได้ใกล้ชิดคุณ คุณจะเชื่อไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเหยียดยืดขาอย่างเอื่อยๆ “เชื่อ ตั้งแต่ตอนหลินไห่ นายก็ทำแบบนี้แล้วไม่ใช่เหรอ” 


 


 


           เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ที่จริงเป็นนายที่แนะนำพ่อฉันให้ฉันควบคุมโครงการหลินไห่นี้ด้วยล่ะสิ เพื่อให้ฉันต้องติดต่อกับนาย ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธได้ 


 


 


“คุณชายเจียงฉลาดอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ ผมได้ดินก้อนนี้มา ก็จงใจไปหาเจียงเฉินกรุ๊ปบอกว่าต้องการร่วมทำโครงด้วย โครงการหลินไห่นั่นไม่ได้กำไรเพิ่ม ประธานเจียงก็รู้อยู่แก่ใจ” 


 


 


           พูดถึงตรงนี้แล้ว ซังจิ่งก็ถือโอกาสพูดทุกอย่างออกมาหมดเสียเลย ถึงอย่างไรเขาจะสารภาพหรือไม่ เจียงมู่เฉินเองก็ทายได้เกือบครึ่งแล้ว 


 


 


           “หลังจากผมกับประธานเจียงเจรจาเรื่องโครงการร่วมกันเสร็จ ก็ระบุให้เขามาร่วมโครงการนี้ด้วย เพียงแต่ว่าผมคิดไม่ถึงว่าประธานเจียงจะให้คุณรับผิดชอบโครงการนี้โดยตรง” ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ถึงแม้ว่าจะเกินที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเหนือความคาดหมายที่น่ายินดี” 


 


 


           “ดังนั้นเป้าหมายของนายก็เป็นฉันมาตั้งแต่แรกเหรอ” 


 


 


           “จะว่าอย่างนี้ก็ได้” 


 


 


           “พวกเราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน ทำไมนายต้องตามหาฉันให้ได้ เพราะว่าหน้าตาฉันตรงรสนิยมนายเหรอ” 


 


 


           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “เมื่อก่อนผมเคยเจอคุณ แต่คุณคงจะลืมไปแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “หมายความว่าไง” 


 


 


           “ห้าปีก่อนที่อเมริกา พวกเราเคยเจอกัน” 


 


 


           ‘ห้าปีก่อนที่อเมริกา?’ 


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว เรื่องเมื่อห้าปีก่อน เขาลืมไปตั้งนานแล้ว อะไรก็ไม่จำแล้ว ตอนนี้มานั่งนึกกลับไป อะไรก็นึกขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


           ถ้าไป๋จิ่งพูดออกมาขนาดนี้จริงๆ เขาเองก็ไม่มีวิธีใดจะพิสูจน์ได้ 


 


 


           “คุณชายเจียงช่างเป็นคนรวยที่มักจะขี้ลืม[2]จริงๆ จำไม่ขึ้นใจแล้ว” 


 


 


           ได้ยินซังจิ่งพูดมาแบบนี้ จู่ๆ เขาก็ชักจะอยากรู้แล้วว่าเขาเมื่อห้าปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมหลังจากที่ตื่นมา ความทรงจำทั้งหมดทุกอย่างถึงไม่มีอยู่เลย 


 


 


 


 


 


[1] แบ่งน้ำแกง มาจากฉากหนึ่งในนิทานเรื่องเสียงเพลงเมืองฉู่ก้องสี่ทิศ เป็นเรื่องราวการสู้รบระหว่างเซี่ยงอวี่กับหลิวปังที่ดำเนินไปหลายปี ในประวัติศาสตร์ขนานว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างฉู่กับฮั่น มีอยู่ครั้งหนึ่งเซี่ยง อวี่ได้ตีหลิวปังพ่ายแพ้หนัก อีกทั้งจับกุมบิดาและภรรยาของหลิวปัง เซี่ยงอวี่ใช้บิดาของหลิวปังเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้หลิวปังยอมแพ้ ขู่หลิวปังว่าถ้าไม่ยอมแพ้ ก็จะสังหารบิดาของเขา แล้วต้มเป็นน้ำแกงกิน คาดไม่ถึงว่า หลิวปังกลับกล่าวต่อเซี่ยงอวี่ว่า”ตอนที่เราร่วมต่อต้านฉินนั้น เราเป็นพี่น้องกัน บิดาข้าพเจ้าก็คือบิดาของท่าน ถ้าเอาบิดาของพวกเราต้มเป็นน้ำแกง ก็อย่าลืมแบ่งให้ข้าพเจ้าสักถ้วย” เซี่ยงอวี่จนปัญญา ได้แต่ส่งตัวบิดาและภรรยาของหลิวปังกลับไป  


 


 


[2] คนรวยมักจะขี้ลืม เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่า คนขี้ลืมจะถูกเสียดสีว่าเป็นคนมั่งมี อะไรก็ไม่ใส่ใจจำ 


ตอนที่ 202 ขึ้นเขาหาคน 


 


 


           ตอนนั้นเขาเคยถามคุณแม่เจียง คุณแม่เจียงบอกเขาว่าเขาเกิดอุบัติเหตุสมองได้รับการกระทบกระเทือน ดังนั้นจึงจำอะไรไม่ได้สักอย่าง หลายปีมานี้เรื่องสูญเสียความทรงจำสำหรับเขาแล้วไม่ได้มีผลกระทบอะไรจริงๆ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก็เลยไม่ได้คิดจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น 


 


 


           แต่ตอนนี้โดนซังจิ่งว่ามาขนาดนี้ จู่ๆ เขาก็ชักจะอยากรู้ขึ้นมาว่าเขาเมื่อห้าปีก่อนประสบกับอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้บาดเจ็บจนเสียความทรงจำได้ 


 


 


           “ขอโทษ ฉันไม่มีภาพจำอะไรจริงๆ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่อยากจะบอกซังจิ่งเรื่องที่ตัวเองสูญเสียความทรงจำ ทำได้เพียงแกล้งนึกไม่ออก ลืมๆ ไปแล้ว 


 


 


           ซังจิ่งเองก็ไม่ได้ซักไซ้ถามเอาความต่อ เขายิ้มหัวเราะ “ไม่เป็นไร ถึงยังไงผมเองก็ไม่ได้หวังว่าคุณจะนึกออกอยู่แล้ว” 


 


 


           รถขับขึ้นไปตามเส้นทางบนภูเขา หลังจากผ่านถนนที่ราบเรียบแล้ว ทางต่อมาก็เริ่มจะทำให้รถโคลงเคลงนิดหน่อย เจียงมู่เฉินนั่งตัวตรงปรับพนักที่นั่งขึ้นมา 


 


 


           “ทางข้างบนเป็นแบบนี้ทั้งหมด ผมพยายามจะขับช้าที่สุดแล้ว” 


 


 


           “ไม่เป็นไร นายขับปกติเถอะ” 


 


 


           …… 


 


 


           ซือเหยี่ยนรอกว่าสามชั่วโมง คนถึงเพิ่งจะมาถึง แล้วใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ในการเคลียร์ทางขนย้ายก้อนหินที่กระจัดกระจายไปทั่ว รถถึงเพิ่งได้ขับมุ่งหน้าไปต่อ 


 


 


           หนึ่งชั่วโมงให้หลัง รถก็มาจอดที่หน้าทางเข้าโรงแรมที่เจียงมู่เฉินพวกเขาเข้าพักกันเมื่อวานนี้ ซือเหยี่ยนเปิดประตูรถลงไปตามหาคนทันที 


 


 


           หลังจากเข้าไปแล้ว ถึงได้พบว่าเจียงมู่เฉินไม่อยู่ที่โรงแรม แต่ขึ้นเขาไปแล้ว 


 


 


           ซือเหยี่ยนเงยหน้ามองภูเขาที่บุกเบิกไปเพียงครึ่งหนึ่ง แล้วกุมขมับ แฟนของเขาไล่ตามหาที แต่ละด่านยุ่งยากลำบากเกินไปแล้วจริงๆ 


 


 


           กลับขึ้นรถอีกครั้ง ซือเหยี่ยนออกเดินทางมุ่งขึ้นเขาไป 


 


 


           ซือเหยี่ยนนั่งหลับตาอยู่ในรถ ขบกรามอยู่เงียบๆ รอให้หาเจียงมู่เฉินไอ้หมอนั่นเจอได้เมื่อไหร่ จะต้องมัดเขาไว้กับเตียง ‘ทำ’ ทั้งสามวันสามคืนแน่ๆ 


 


 


           ไม่เอ่ยปากพูดสักคำก็หนีเตลิดมาที่ๆ รกร้างว่างเปล่า ไร้ผู้คนแบบนี้ จะติดต่อกันก็ยากลำบากยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังจะคิดวิ่งวุ่นไปทั่วอีก 


 


 


           เขากุมขมับอย่างจนใจ ถึงอย่างไรก็เป็นแฟนของเขาเอง จะยากลำบากอีกแค่ไหนก็ต้องตามหา 


 


 


           ซังจิ่งขับรถมาจอดที่จุดชมวิวข้างทางทั้งสองคนลงจากรถมายืนอยู่ข้างๆ เขาชี้มือไป “มองจากตรงนี้ลงไป” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองตามตำแหน่งที่ซังจิ่งชี้ไป ข้างล่างเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกต รูปลักษณ์คล้ายหงส์ สีเขียวของอัญมณีเฉิดฉาย มองจากมุมนี้งดงามจนเกินน่าขนลุกจริงๆ 


 


 


           ไม่เพียงเท่านี้ นอกจากทะเลสาบผืนใหญ่ ยังมีทะเลสาบเล็กๆ เชื่อมอยู่ด้านข้าง ดูจากมุมไกลๆ ราวกับมีเม็ดอัญมณีทีละเม็ดประดับประดาเรียงต่อกัน 


 


 


           “พวกเราสื่อสารกับส่วนท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ไม่เพียงแค่บุกเบิกทำเป็นรีสอร์ทยังทำเป็นจุดชมวิวได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นส่วนท้องถิ่นกับพวกเราจะทำโฆษณาด้วยกัน ส่งเสริมผลักดันที่นี่ออกไป ใช้ประโยชน์จากทัศนียภาพเป็นตัวขับเคลื่อนให้ที่นี่เป็นเขตท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ วินวินกันทั้งสองฝ่าย” 


 


 


           ซังจิ่งยืนอธิบายอยู่ข้างๆ 


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า สถานที่แห่งนี้ไม่เลวจริงๆ รอให้มีการบุกเบิกอะไรเสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้นหาคนมาผลักดันส่งเสริมออกไป เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่มากจริงๆ บวกกับแรงสนับสนุนจากส่วนท้องถิ่น ก็ยิ่งสะดวกมากขึ้นไปอีก 


 


 


           “นอกจากตรงนี้ ยังมีที่อื่นอีกไหม” 


 


 


           ซังจิ่งพยักหน้า “มีอยู่แล้ว แต่มีเพียงตรงนี้ ผมยังทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าทางข้างบนรถยังขึ้นไปไม่ได้ พวกเราต้องเดินขึ้นไปเองเท่านั้น” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยักไหล่ “ได้สิ ไปกันเถอะ” 


 


 


           ทั้งสองคนเอารถมาจอดยังจุดชมวิว เดินย่ำเท้าขึ้นไป ยิ่งขึ้นไปยิ่งเดินลำบาก เจียงมู่เฉินเดินไปสักพักก็รู้สึกกำลังของร่างกายยืนหยัดไม่ค่อยจะไหวแล้ว 


 


 


           เขาเอามือยันต้นไม้ข้างทางไว้ พักหายใจหายคอสักพัก 


 


 


           ซังจิ่งมองดูเขา “ยังไหวไหม อยากจะพักสักหน่อยหรือเปล่า” 


 


 


           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่ต้อง ไปต่อเถอะ” 


 


 


           ทั้งสองคนปีนขึ้นข้างบนไป ซังจิ่งพาเขามาดูสถานที่ที่เขาคิดจะสร้างเขตท่องเที่ยวพักผ่อน แค่ก้มหัวลงก็เห็นทะเลสาบข้างล่างได้พอดี 


 


 


           ข้างหลังยังมีที่ดินผืนใหญ่เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ถึงตอนนั้นลองปูพื้นเป็นสนามหญ้า สร้างเครื่องเล่นทำสวนสนุกก็ไม่เลว เจียงมู่เฉินยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าที่ดินผืนนี้ไม่เลว 


 


 


            


 


 


ตอนที่ 203 แฟนหนุ่มอยากปีนกำแพง 


 


 


           “ถึงตอนนั้นทำเป็นเขตท่องเที่ยวพักผ่อนแล้ว ยังจากหาที่สงบๆ สร้างคฤหาสน์ไว้เป็นบ้านพักตากอากาศสักหลัง ต่อไปพอแก่ตัวมาอาศัยอยู่ที่นี่ก็เหมาะสมดีเหมือนกัน” 


 


 


           ซังจิ่งเผลอยิ้มออกมา “คุณชายเจียงในฐานะผู้ร่วมก่อสร้างโครงการ ความปรารถนาแค่นี้ทำให้ได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นหลังจากเริ่มการก่อสร้างแล้ว ก็หาสถานที่ที่เงียบสงบให้คุณชายเจียงออกแบบคฤหาสน์ส่วนตัว” 


 


 


           สถานที่แห่งนี้เงียบสงบ ท้องฟ้าคราม ต้นไม้เขียว ก้มหน้าก็เห็นทะเลสาบ เงยหน้ายื่นมือไปก็สัมผัสก้อนเมฆได้ ถ้าวันหลังมีเวลามาที่นี่กับซือเหยี่ยนอยู่สักสามสี่วันก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวทีเดียว 


 


 


           รถของซือเหยี่ยนขับขึ้นมาบนเขา ก็เห็นรถออฟโรดคันหนึ่งจอดอยู่ที่จุดชมวิว นัยน์ตาสะท้อนแววความซับซ้อน ดูว่าเจียงมู่เฉินจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่เอ่ยปากพูดสักคำ จู่ๆ ก็ขาดการติดต่อไป ซือเหยี่ยนขบกรามแน่น รอให้พบตัวเจียงมู่เฉินให้ได้เมื่อไหร่ จะคิดบัญชีกับเขาอย่างสาสมให้ดู 


 


 


           พื้นที่ในภูเขาใหญ่เกินไป ทำให้ตอนนี้เขาไม่สามารถประมาณการตำแหน่งที่เจียงมู่เฉินอยู่คร่าวๆ ได้ ซือเหยี่ยนทำได้เพียงนั่งรออยู่ในรถ ขอเพียงแต่รถของพวกเจียงมู่เฉินอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ต้องกลับมาที่นี่เป็นธรรมดา 


 


 


           นั่งซุ่มรอแบบนี้เหมาะที่สุด 


 


 


           เจียงมู่เฉินกับซังจิ่งดูสถานที่ข้างบนเสร็จเรียบร้อย ก็พักเอาแรงกันสักหน่อย ก่อนจะเดินกลับทางเดิม ตอนขึ้นไปยังไม่รู้สึก ตอนลงมาเจียงมู่เฉินรู้สึกว่าขาของตัวเองอ่อนแรงไปหมด 


 


 


           เดินลงเขาด้วยความยากลำบากตลอดทาง กว่าจะเดินให้ถึงจุดชมวิวที่จอดรถเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาที่ยืนทรงตัวไม่อยู่เกือบจะลื่นล้มลงไปแล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินสะดุ้งตกใจ เขารีบเอามือคว้าต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ แต่กลับคว้าได้แต่อากาศ คนทั้งคนร่วงลงไป 


 


 


           ซังจิ่งรีบส่งมือไปดึงตัวคนกลับมากอดประคองไว้ 


 


 


           “ไม่เป็นไรใช่ไหม” ซังจิ่งรีบตั้งหลักให้ทั้งสองคนทรงตัวได้ แล้วถึงเอ่ยถามเสียงต่ำ 


 


 


           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่เป็นไร ขอบใจ” 


 


 


           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ไม่เป็นไรก็ดี ถ้าเกิดเรื่อง ผมต้องรับผิดชอบแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูมือเขาที่ยังวางพาดอยู่บนเอวของตัวเอง แล้วเลิกคิ้ว “คือว่า มือปล่อยได้หรือยัง” 


 


 


           ซังจิ่งเองก็ไม่ได้รู้สึกเกรงใจอะไร จงใจอาศัยเรื่องช่วยคน กอดเขาไว้ในอ้อมอกตัวเอง ตักตวงผลประโยชน์ตั้งนานสองนาน เขาคลายมือออกอย่างเงียบๆ แล้วหัวเราะเบาๆ “บอกตามตรง สัมผัสที่มือไม่เลวจริง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันกอดนาย สัมผัสที่มือยิ่งไม่เลว” 


 


 


           ซังจิ่งยิ้มอย่างหน้าไม่อาย “ถ้าคุณยอมกอดผม ผมก็ยอม อย่างมากผมก็แค่กินทุนตัวเองนิดหน่อย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินตบมืออย่างไม่แยแส “นายอยากกินทุนตัวเอง แต่ฉันยังไม่อยากให้นายกิน” 


 


 


           ทั้งสองคนพูดไปเดินไปจนลงจากเขามา เพิ่งเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ เจียงมู่เฉินก็เห็นซือเหยี่ยนที่ใบหน้าเคร่งขรึมอยู่ไม่ไกลนัก เพียงพริบตาเดียวก็ตะลึงค้างไป 


 


 


           เขามองดูตัวเอง แล้วยังมองดูซังจิ่ง 


 


 


           ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนั่นอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว เมื่อกี้ที่ซังจิ่งกอดเขา ซือเหยี่ยนเห็นหมดแล้ว? 


 


 


           ซือเหยี่ยนสีหน้าคร่ำเคร่งยิ้มเยาะ เขาอกสั่นขวัญแขวนรีบออกมาตามทั้งคืน จนถึงตอนนี้ตาค้างมาตลอดทางที่ตามเข้ามาหา 


 


 


           ใครจะไปคิดได้ ว่าแฟนของเขาจะหน้าตาชื่นบาน มีคนเคียงข้าง เพลิดเพลินบนภูเขาไม่ลืมหูลืมตา มีหรือจะยังจำได้ว่าเขายังมี ‘ผู้ชาย’ ของตัวเองเป็นตัวเป็นตนคอยอยู่ที่บ้าน  


 


 


           ‘สุดยอดไปเลยจริงๆ!’ 


 


 


           “ซือเหยี่ยน นายมาได้ยังไง” เจียงมู่เฉินตกใจจนฉี่เกือบราด เขาก็แค่ขึ้นไปสำรวจดูงานบนเขา แล้วไม่ระวังเสียหลักทรงตัวไม่อยู่ โดนซังจิ่งจงใจโอบเอวเท่านั้นเอง ผลสุดท้ายกลับโดนซือเหยี่ยนจับได้คาหนังคาเขา 


 


 


           เขาคิดอย่างจริงจัง ถ้าบอกซือเหยี่ยนว่านี่คือเรื่องบังเอิญพอดี จะมีความน่าเชื่อถืออยู่ไหม 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “อะไรกัน คุณไม่ยินดีต้อนรับผมเหรอ” 


 


 


           ‘แฟนใกล้จะกระโดดกำแพงหนีแล้ว ยังถามเขาว่ามาได้ยังไงอีก ถ้ายังไม่มาดูแฟน แล้วจะให้เตรียมรอโดนบอกเลิกหรือไง’ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นเขายิ้มเยาะแบบนั้น เพียงแป๊บเดียวเหงื่อก็ไหลออกมาแล้ว 


 


 


           “คือว่า ก็ฉันเป็นห่วงไม่ใช่หรือไง” 


 


 


           “ประธานซือ ไม่ได้เจอกันนาน คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอคุณได้ที่นี่” ซังจิ่งไม่เพียงแต่เข้าไปยุ่ง ยังคิดสุมไฟเข้าไปอีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่แอบเตือนเขา อย่าพูดอะไรมั่วๆ จะดีที่สุด 


 


 


           ซังจิ่งทำไขสือลูบจมูกปอยๆ เขาเป็นคนพูดไปเรื่อยแบบนั้นเหรอ มากที่สุดเขาก็แค่เติมเชื่อไฟนิดหน่อยให้ไฟเผาเร็วขึ้นนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม