(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 190-197

 ตอนที่ 190 ไป๋จิ่งไม่ใช่คนดี


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายมันกากเดนไม่กากเดน ในใจนายเองไม่รู้หรือไง ยังให้ฉันต้องบอกย้ำชัดออกมาอีกเหรอ”


 


 


           “ไม่ใช่นะ ทำไมฉันถึงเป็นกากเดนไปแล้วล่ะ” ไป๋จิ่งรู้สึกลำบากใจจะตายจริงๆ อยู่แล้ว ต่อหน้ามั่วไป๋มาพูดว่าเขาเป็นกากเดน เขาจะทนได้อย่างไร


 


 


           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “มั่วไป๋ไม่ใช่คนที่นายจะมาปั่นหัวยังไงก็ได้ ถึงยังไงขอเพียงแต่มีคุณชายอย่างฉันอยู่ ฉันไม่มีทางจะเห็นดีเห็นงามให้พวกนายคบกันเด็ดขาด…


 


 


           …มั่วไป๋บริสุทธิ์ไม่เหมือนนาย ตอนนี้ใจมันคันๆ นึกสนุกก็พากันเข้ามา เวลาผ่านไป เกิดไม่ชอบขึ้นมาก็ทิ้งได้อย่างไม่ลังเล ถึงตอนนั้นนายเดินออกมาสบายๆ ตามใจนายได้ แต่มั่วไป๋ไม่ได้ เขาเผชิญหน้ากับมันอีกครั้งหนึ่งไม่ไหวแล้ว…”


 


 


           “พอได้แล้ว!” มั่วไป๋พูดตัดบทอย่างเยือกเย็น


 


 


           “เจียงมู่เฉิน นายเข้ามากับฉัน” มั่วไป๋เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา


 


 


           คาดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยเจียงผู้หยิ่งยโสโอหังจะไม่ปริปากสักคำ แล้วเดินตามมั่วไป๋เข้าไป ไป๋จิ่งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อกี้ที่เจียงมู่เฉินพูดมาหมายความว่าไง


 


 


           ‘อะไรคืออีกครั้งหนึ่ง’


 


 


           หรือว่า ในอดีตมั่วไป๋จะเคยประสบกับความเจ็บปวดอะไรสักอย่าง…


 


 


           ……


 


 


           หลังจากเจียงมู่เฉินตามมั่วไป๋เข้าไป มั่วไป๋ก็เอาแต่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างไม่พูดจา เจียงมู่เฉินร้อนใจจนไม่ไหวแล้ว “นายพูดมาสิ หมายความว่ายังไงกันแน่”


 


 


           “ตกลงนายจะเอายังไงกับไป๋จิ่งกันแน่ คิดจะคบหาศึกษาดูใจกับเขาจริงๆ เหรอ…


 


 


           …ฉันจะบอกนายให้นะมั่วไป๋ ไม่ว่ายังไงนายก็อยู่กับไป๋จิ่งไม่ได้ เจ้าผู้ชายกากเดนนั่นต่อไปจะทำให้นายเจ็บปวดได้แน่ๆ นายใช้เวลามาตั้งหลายปีขนาดนี้ กว่าจะเดินออกมาจากเรื่องเมื่อตอนนั้นได้ไม่ใช่ง่ายๆ ทำไมกัน ยังอยากจะเริ่มใหม่อีกครั้งหรือไง”


 


 


           มั่วไป๋หลับตาลง “เฉินเฉิน นายเชื่อฉัน ฉันมีแผนของฉันเอง”


 


 


           “นายมีแผนกับผีน่ะสิ นายจะมีแผนอะไรได้ แผนของนายคือเอาชีวิตของนายมาเล่นอีกครั้งเหรอ” เขารู้สึกจริงๆ ว่ามั่วไป๋กำลังเล่นกับไฟอยู่


 


 


           อีกอย่างไฟนี้ลุกโชนขึ้นมาเพียงนิด เขาก็หนีออกมาไม่ได้อยู่แล้ว


 


 


           “ไม่มีทางหรอก นายเชื่อฉัน ครั้งนี้ฉันมีการเตรียมพร้อม จะไม่เกิดเรื่องเหมือนครั้งก่อนนั้นได้อีก”


 


 


           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “มั่วไป๋ เรื่องในอดีต ฉันไม่อยากจะพูดถึงมันกับนาย แต่ว่าฉันก็หวังว่านายจะจำได้ ว่าตอนนั้นนายโดนเจ้าคนนั้นทำระยำตำบอนใส่จนสุดท้ายนายเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด นายลืมไปแล้วเหรอ”


 


 


           เขาพยายามที่จะกดไฟโมโหของตัวเองไว้ “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะให้นายมีความรัก ฉันก็อยากให้ข้างกาย นอกจากฉันแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่เคียงข้างนายได้ แต่ไป๋จิ่งไม่ใช่คนที่เหมาะสมคนนั้น นายควรจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”


 


 


           “เฉินเฉิน นายเชื่อฉันสักครั้งจะได้ไหม ครั้งนี้ฉันปกป้องตัวเองได้”


 


 


           เขารู้แน่นอนอยู่แล้วว่าไป๋จิ่งไม่ใช่คนดีอะไร ได้รับรู้รสชาติไปครั้งหนึ่ง ก็ขาดทุนไปครั้งหนึ่ง เขาต้องได้บทเรียนแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขามีแผนอย่างอื่น


 


 


           อย่างน้อยที่สุดเขาต้องทำให้ไป๋จิ่งจ่ายส่วนที่ควรจะจ่ายคืนเขามา


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นเขาเป็นแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างจนหนทาง เขายืนตรงหน้าหน้าต่างเงียบไม่พูดจาอยู่นานสองนาน พยายามค่อยๆ เก็บกดไฟเดือดในใจลงอย่างช้าๆ


 


 


           เขายืนเผชิญหน้ากับหน้าต่าง ใช้เวลาอยู่หลายนาทีถึงได้ทำให้อารมณ์สงบลงได้


 


 


           สุดท้ายเจียงมู่เฉินก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถอะ ในเมื่อนายอยากทำก็ทำเถอะ ฉันไม่รู้ว่าเหตุผลที่นายจะต้องคบกับไป๋จิ่งให้ได้คืออะไร แต่นายตัดสินใจเอง คิดทบทวนดีๆ แล้วก็โอเค อย่างมากฉันก็แค่ช่วยนายอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง”


 


 


           ถ้าปรากฏฉากเดิมเหมือนในอดีตอีก อย่างมากเขาก็แค่ทำเหมือนตอนนั้น ช่วยมั่วไป๋อีกครั้งหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ยังมีเขาอยู่ ไม่มีทางจะให้มั่วไป๋เกิดเรื่องเด็ดขาด


 


 


           มั่วไป๋คือเพื่อนแท้ตลอดทั้งชีวิตนี้ของเขา นอกจากจะให้เกียรติอีกฝ่าย แล้วเขาจะทำอะไรได้อีก


 


 


           มั่วไป๋มองดูใบหน้าของเจียงมู่เฉิน แล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาจับมือเจียงมู่เฉินไว้ “เฉินเฉิน นายวางใจได้ ฉันจะไม่กลับไปเดินทางเดิมอีก”


 


 


           เขาเอ่ยปฏิญาณ “จริงๆ นะ ฉันมีแผนของฉัน ถ้าพลาดไปจริงๆ ฉันก็ยังมีนายไม่ใช่เหรอ”


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “นายจะอยู่เคียงข้างฉันตลอดไปได้ใช่ไหมล่ะ”


 


 


            


 


 


ตอนที่ 191 คุณเสียใจทีหลังแล้วใช่หรือเปล่า


 


 


           เจียงมู่เฉินพลิกมือมาจับเขาไว้ “โอเค เขาอยู่ที่นี่ ฉันก็ขอตัวไปก่อนแล้วกัน ไว้เขาไปแล้วฉันจะมาใหม่”


 


 


           ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่อยากจะเจอหน้าไป๋จิ่งเลยสักนิด


 


 


           เจียงมู่เฉินหันกลับออกมาจากห้องนอน ไม่บอกลาไป๋จิ่งสักคำ เดินพุ่งตรงออกจากคอนโดมีเนียมไปทันที เขายืนสูบบุหรี่อยู่ใต้ตึก ถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้ารู้ก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ วันนั้นเขาไม่ควรจะเรียกมั่วไป๋ให้มาด้วยกันเลย แบบนี้ไป๋จิ่งจะได้หามั่วไป๋ไม่เจอ


 


 


           เจียงมู่เฉินเดือดดาลจนทุบรถ สูบบุหรี่หมดมวนแล้วถึงขับรถออกไป


 


 


           หลังจากที่เขาไป มั่วไป๋ก็ออกจากห้องนอนมาเช่นกัน ไป๋จิ่งเห็นเขาก็เป็นห่วงไม่เบา “ไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่เป็นไร จะทำอาหารเช้าไม่ใช่เหรอ”


 


 


           ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะ ลังเลใจอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยปากถาม “คุณเสียใจทีหลังแล้วใช่หรือเปล่า”


 


 


           มั่วไป๋ชายตามองเขา ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ “เสียใจทีหลังที่ยอมตกลงคบกับผม”


 


 


           เขายังไม่ลืมเรื่องที่เมื่อครู่นี้ที่เจียงมู่เฉินบอกว่าเขาเป็นผู้ชายกากเดน ต่อหน้าเขายังกล้าพูดขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงตอนเข้าไปในห้องเลย


 


 


           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “เปล่าๆ อย่าคิดมากเลย”


 


 


           เขาเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ ไป๋จิ่ง “ฉันหิวมากเลย นายต้องใช้เวลาอีกนานไหม”


 


 


           เมื่อไป๋จิ่งได้ยินว่าเขาหิว ก็รีบพูดขึ้นทันที “คุณรอผมที่ห้องนั่งเล่นก่อนนะ เดี๋ยวผมจะเสร็จแล้ว”


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ ไม่ได้ค้างอยู่ตรงนั้น เขาหมุนตัวเดินเข้าห้องรับแขกไป ไป๋จิ่งรีบเอาของที่ตัวเองเตรียมไว้มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ผ่านไปสิบกว่านาทีถึงทำของในหม้อเสร็จ


 


 


           เขาจัดโต๊ะเก็บกวาดอะไรเรียบร้อย ถึงค่อยเรียกมั่วไป๋ออกมากินอาหารเช้า


 


 


           มั่วไป๋นั่งลงหน้าโต๊ะ ไป๋จิ่งทำหน้าราวกับกำลังมอบของล้ำค่า ให้มั่วไป๋นั่งรอเขาสักครู่หนึ่ง มั่วไป๋มองดูการแสดงของเขาเงียบๆ ให้ความร่วมมือเต็มที่


 


 


           ไป๋จิ่งหมุนตัวหันกลับเข้าห้องครัวไป หยิบชามมา แล้วตักของที่อยู่ในหม้อใส่ลงไป ก่อนจะยกมาวางต่อหน้ามั่วไป๋


 


 


           มั่วไป๋เห็นของในชามชัดๆ ก็ตะลึงค้างไป แววตาทอประกายขึ้นมาวาบหนึ่ง


 


 


           “เมื่อวานคุณบอกว่าอยากกินเกี๊ยวน้ำไม่ใช่เหรอ เมื่อวานไม่ได้ซื้อเครื่องปรุงมาทำ วันนี้เลยตั้งใจไปซื้อล่วงหน้ามาก่อน แล้วก็รีบมาที่นี่ คุณลองชิมดูว่าอร่อยไหม”


 


 


           รอบดวงตามั่วไป๋ร้อนๆ ขึ้นมาเล็กน้อย เขาจ้องมองเกี๊ยวน้ำในชาม มือที่จับตะเกียบสั่นเบาๆ เขากลัวไป๋จิ่งจะดูออก จะระแคะระคาย จึงรีบยื่นมือไปจับนิ้วมือไว้แน่น


 


 


           เขาก้มหัวลงชิมไปหนึ่งคำ ก่อนจะยิ้มออกมา “อร่อย”


 


 


           ไป๋จิ่งได้ยินเขาพูดแบบนี้ ถึงได้วางใจลง “งั้นคุณก็กินเยอะๆ หน่อยนะ”


 


 


           มั่วไป๋กินเกี๊ยวน้ำที่อยู่ในปากไป ในใจอารมณ์ก็ซับซ้อน มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปครู่หนึ่ง


 


 


           หลังจากกินเกี๊ยวน้ำชามนี้อย่างเงียบจนเสร็จ มั่วไป๋ถึงได้วางชามลง ไป๋จิ่งเห็นก็รีบพูด “อยากจะกินอีกไหม ผมต้มไว้เยอะเลย”


 


 


           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่ต้องแล้ว ฉันเองก็กินต่อไม่ไหวแล้ว”


 


 


           อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะติดลบนิดหน่อย หลังจากไป๋จิ่งเก็บกวาดของในครัวเสร็จ ออกมาก็เห็นมั่วไป๋ยืนอยู่ตรงระเบียง


 


 


           ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างหลัง มองดูแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวของมั่วไป๋ เขายืนอยู่คนเดียวตรงนั้นราวกับโลกทั้งใบมีแค่เขาอยู่คนเดียวอย่างไรอย่างนั้น ตัวเองไม่เดินออกมา คนอื่นก็ทลายกำแพงเข้าไปไม่ได้ ความรู้สึกเดียวดายที่ซัดสาดดั่งคลื่นกระทบฝั่งแบบนั้นทำให้ไป๋จิ่งทุกข์ระทมไม่เบา


 


 


           เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาปรารถนาแค่จะเข้าไปโอบกอดคนตรงหน้าไว้โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น  


 


 


           ไป๋จิ่งกำมือแน่น สุดท้ายค่อยๆ เดินไปเข้าไปยืนข้างๆ มั่วไป๋ เขาหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “สูบบุหรี่ไหม”


 


 


           มั่วไป๋ก้มหน้ามองบุหรี่ในมือเขา แล้วหัวเราะ “ได้สิ”


 


 


           ไป๋จิ่งหยิบบุหรี่ออกมาจากซองใส่บุหรี่ ยื่นให้ต่อหน้ามั่วไป๋ มั่วไป๋ยิ้มเบาๆ ก่อนส่งมือไปรับ สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่บุหรี่มวนนั้น กรอกตาไปมาอยู่อย่างนั้น


 


 


           “เป็นไรไป” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


           มั่วไป๋หัวเราะ “ไม่มีอะไร ก็แค่คิดถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมา”


 


 


           “คำพูดที่เจียงมู่เฉินพูดไปเมื่อกี้นี้ ผมได้ยินหมดแล้ว” เขาหยุดลงสักพัก “เมื่อก่อนคุณ…”


ตอนที่ 192 เหยียบย่ำจนแหลกโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น


 


 


           มั่วไป๋ถือบุหรี่เข้าไปใกล้ๆ “ช่วยฉันจุดไฟหน่อยสิ”


 


 


           ไป๋จิ่งกดเปิดไฟแช็กช่วยจุดบุหรี่ให้เขา


 


 


           นานแล้วที่เขาไม่ได้สูบบุหรี่ รู้สึกได้ถึงกลิ่นบุหรี่ที่คุ้นเคยค่อยๆ อบอวลอยู่ในปาก คิ้วมั่วไป๋คลายออกจากกันเล็กน้อย


 


 


           มั่วไป๋ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง ความเย็นชาปกคลุมไปทั่วร่าง ปลายนิ้วคีบบุหรี่อย่างถนัดมือ ภาพที่ปรากฏพาให้รู้สึกอ้างว้างทีละนิดๆ


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นท่าทางแบบนี้ของมั่วไป๋ ดูใจลอยอยู่ในที


 


 


           “นายอยากถามเรื่องแฟนเก่าของฉันใช่ไหม”


 


 


           จู่ๆ เสียงของมั่วไป๋ก็ดังขึ้นทำให้สายตาของไป๋จิ่งหยุดชะงักลง เขากะพริบตาพยักหน้า “ใช่ ถ้าไม่สะดวกจะพูด คุณไม่พูดก็ได้นะ”


 


 


           “ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรไม่สะดวกหรอก” มั่วไป๋หลับตาลงเล็กน้อย “เพียงแต่ว่าไปรักผิดคน เลยต้องจ่ายค่าเสียเวลาไปเท่านั้นเอง”


 


 


           “เพราะเรื่องนี้ เจียงมู่เฉินเลยกลัวว่าผมจะเป็นเขาคนต่อไปใช่ไหม”


 


 


           ‘มิน่าล่ะทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินเขาพูดแบบนั้นถึงได้เปลี่ยนไปในพริบตา’


 


 


           “เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ได้ เขาแค่เป็นห่วงฉัน”


 


 


           ไป๋จิ่งทำเสียงกระดกลิ้น “ผมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาดีมากจริงๆ”


 


 


           ที่ไปกินอาหารด้วยกันครั้งนั้น เขาคิดแค่เพียงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจียงมู่เฉินกับมั่วไป๋สนิทสนมกับระดับหนึ่ง เจอกันวันนี้ถึงได้พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนสนิทสนมกันมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้เยอะมาก


 


 


           “ดีมากๆ เลยล่ะ” มั่วไป๋ตอบแค่นั้น ไม่ยอมพูดมากกว่านี้


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นท่าทางเขาแบบนี้ ก็ไม่ตามถามต่ออยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ถามมากเกินไปก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก


 


 


           “ครั้งนี้ผมจริงจัง” ไป๋จิ่งเอียงหัวมองมั่วไป๋ “บอกตามตรง ผมรู้สึกว่าเหมือนว่าผมจะชอบคุณขึ้นมาบ้างแล้ว”


 


 


           อย่างน้อยเมื่อครู่นี้ยามที่เขาเห็นมั่วไป๋ยืนโดดเดี่ยวคนเดียวอยู่ตรงระเบียง เขาก็อยากจะอยู่เคียงข้างมั่วไป๋แล้ว


 


 


            ถ้าพูดว่าสิ่งที่เขากำลังรู้สึกนี้คือ ‘ชอบ’ เขาก็ควรจะชอบมั่วไป๋ขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


           มั่วไป๋ได้ยินคำพูดของเขาก็ไม่ได้มีท่าทีตอบสนองอะไรมากมาย เพียงแค่ยิ้มหัวเราะ “ไป๋จิ่ง นี่นายเคยชอบใครมากี่คนแล้ว”


 


 


           ไป๋จิ่งพูดไม่ออกไปสักพัก เขาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมา “น่าจะมีคนหนึ่ง” เพียงแต่ว่าเขายังไม่ทันได้จัดความคิดของตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอย คนคนนั้นก็ไปเสียแล้ว


 


 


           นัยน์ตามั่วไป๋ดำดิ่งลงลึกเรื่อยๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะเยาะไป๋จิ่ง หรือว่ากำลังหัวเราะเยาะตัวเองอยู่กันแน่


 


 


           “เอาล่ะ สายแล้ว นายไม่ต้องไปบริษัทเหรอ”


 


 


           ไป๋จิ่งมองดูเวลา “งั้นผมไปบริษัทก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้มาหาคุณอีก?”


 


 


           “พรุ่งนี้นายไม่ต้องมาแล้ว”


 


 


           ไป๋จิ่งสะดุ้งตกใจ “หมายความว่าไง”


 


 


           “พรุ่งนี้ฉันต้องไปดูงานต่างเมือง อีกหลายวันถึงจะกลับมาได้” มั่วไป๋เอ่ยชี้แจงเสียงต่ำ


 


 


           ไป๋จิ่งโล่งใจ “ผมคิดว่าคุณจะริดรอนสิทธิ์ในการเจอกันของคุณกับผมซะอีก”


 


 


           “เรื่องที่ฉันมั่วไป๋รับปากตกลงแล้ว ไม่มีทางจะเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ข้อนี้นายวางใจเถอะ” เกมของเขาเพิ่งจะเริ่มเอง มีหรือจะเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้น


 


 


           ‘ริดรอนสิทธิ์เหรอ’


 


 


           ‘ต้องมีวันนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้’


 


 


           “ได้ งั้นผมไปก่อนนะ”


 


 


           หลังจากเห็นไป๋จิ่งออกจากคอนโดมิเนียมไปแล้ว มั่วไป๋ถึงได้ยกมุมปากขึ้น ชอบเขาขึ้นมาบ้างแล้วงั้นเหรอ


 


 


           แต่น่าเสียดาย ที่เขาต้องการไม่ใช่ความชอบนิดๆ หน่อยๆ อะไรทั้งนั้น


 


 


           เป้าหมายของเขานั้นง่ายมาก แค่ต้องการให้ไป๋จิ่งตกหลุมรักเขา เหมือนกับตัวเองในตอนนั้น เขาจะทำเหมือนกับที่ไป๋จิ่งทำในตอนนั้น ให้ไป๋จิ่งมอบหัวใจทั้งดวงวางไว้ในมือของเขา จากนั้นเขาจะเขวี้ยงมันทิ้งลงพื้น แล้วค่อยๆ เหยียบย่ำจนแหลกโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น


 


 


           คนเราส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือหัวใจ ถ้าแม้แต่หัวใจก็ไม่มีแล้ว คนคนนี้ก็แทบจะไม่ต่างอะไรกันแล้ว


 


 


           ……


 


 


           นัดเวลาย้ายบ้านกับซือเหยี่ยนเรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินตั้งใจไปบริษัทซือเหยี่ยนก่อนเวลา เวลาที่เขานัดกันกับซือเหยี่ยนคือบ่ายสองโมง ไม่ถึงบ่ายโมงเจียงมู่เฉินก็ถึงใต้ตึกของซือกรุ๊ปแล้ว


 


 


           เขาขึ้นลิฟต์ไป ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นสู่ชั้นบน ออกมาจากลิฟต์แล้ว เดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของซือเหยี่ยนด้วยความเคยชิน


 


 


           เพิ่งจะเดินถึงประตู ก็พบว่าประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยนปิดอยู่ เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เวลาเข้างานมีเรื่องลับอะไรถึงขนาดต้องปิดห้องแบบนี้กัน


 


 


           


 


 


ตอนที่ 193 ลมเพชรหึง


 


 


           เขาถอนหายใจยื่นมือออกไปเตรียมจะเปิดประตู แต่ประตูก็ถูกดึงเปิดออกมาจากข้างใน


 


 


           ผู้ชายผมสีทองตาสีฟ้าน้ำทะเลคนหนึ่ง ดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าตัวเองสักปีสองปี เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วเลิกคิ้วเงียบๆ


 


 


           “เหยี่ยน คนนี้คือใครน่ะ”


 


 


           ‘เหยี่ยนเหรอ’


 


 


           ‘ชื่อนี่เรียกกันสนิทสนมเชียวนะ เขายังไม่เคยเรียกซือเหยี่ยนแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ’


 


 


           เขายิ้มหัวเราะเล็กน้อย มองไปทางซือเหยี่ยน “ใช่สิ คนนี้คือ?”


 


 


           นัยน์ตาซือเหยี่ยนฉายแววซับซ้อน “เพื่อนผมตอนอยู่ที่อเมริกา ซูเตอร์”


 


 


           เจียงมู่เฉินเชิดริมฝีปากขึ้นทันที เขายิ้มหัวเราะ “อ้อ เพื่อนจากอเมริกานี่เอง”


 


 


           ซูเตอร์มองเจียงมู่เฉิน “เหยี่ยน นายไม่คิดจะแนะนำเขาให้ฉันรู้จักหน่อยเหรอ”


 


 


           ตอนที่เขาพูดอยู่ สายตาเจียงมู่เฉินกวาดมองทั้งสองคนอย่างด้วยท่าทีสงบนิ่ง และก็เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้มองข้ามนัยน์ตาซือเยี่ยนที่ฉายแววซับซ้อนขึ้นมาวาบหนึ่ง


 


 


           เจียงมู่เฉินมองพวกเขาทั้งสองคนอย่างขำๆ ดูท่าว่าเขาจะมาได้จังหวะพอดี รบกวนพวกเขาแล้ว


 


 


           “เพื่อนของผมเอง คุณชายเจียง” ซือเหยี่ยนพูดแบบแบ่งรับแบ่งสู้


 


 


           เจียงมู่เฉินอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ดูท่าว่าประธานซือจะไม่ค่อยสะดวก งั้นฉันก็ไม่อยู่รบกวนต่อแล้ว”


 


 


           ไม่ได้เวลาซือเหยี่ยนและซูเตอร์พูดสักนิด เจียงมู่เฉินพูดจบก็หมุนตัวหันกลับไปทั้งอย่างนั้น


 


 


           ‘เพื่อนเหรอ’


 


 


           คำตอบนี้ของซือเหยี่ยนทำให้เขาฟังไม่รื่นหูจริงๆ


 


 


           เจียงมู่เฉินเดินเข้าลิฟต์ไป หยิบมือถือออกมาโทรหาซังจิ่ง “สถานที่ที่นายบอกอยู่ที่ไหน ฉันจะเข้าไปตอนนี้”


 


 


           ซังจิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย “ไม่ใช่วันจันทร์หน้าเหรอ”


 


 


           “ทำไม ฉันอยากไปสำรวจสถานที่ก่อน ประธานซังกลัวเหรอ”


 


 


           ซังจิ่งหัวเราะ “ไม่อยู่แล้ว เอางี้คุณมาบริษัทผม พวกเราไปด้วยกัน”


 


 


           “ทำไม ประธานซังอยากไปส่งฉันด้วยตัวเอง?”


 


 


           “ไม่ใช่ไปส่งคุณด้วยตัวเอง ไปกับคุณด้วยตัวเองต่างหาก”


 


 


           ……


 


 


           กว่าซือเหยี่ยนจะส่งซูเตอร์ออกไปได้ไม่ใช่ง่ายๆ ซือเหยี่ยนกดสายโทรหาเจียงมู่เฉิน แต่ทางนั้นปิดมือถือแล้ว ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วออกจากห้องทำงานไป


 


 


           เขารู้ว่าคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้ทำให้เจียงมู่เฉินเข้าใจผิดแล้ว แต่ซูเตอร์อยู่ตรงนั้นด้วย เขาไม่มีวิธีอื่น จะให้ซูเตอร์รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเจียงมู่เฉินกับตัวเองไม่ได้ ไม่เช่นนั้นถึงเวลา เขาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง


 


 


           ซือเหยี่ยนขับรถปราดเดียวถึงบ้านตระกูลเจียง หลังจากเข้าคฤหาสน์ไปแล้วถึงได้พบว่าเจียงมู่เฉินไม่ได้กลับมาตั้งแต่แรกแล้ว เขาขมวดคิ้ว เวลานี้นอกจากกลับบ้านตระกูลเจียงแล้วเขายังจะไปไหนได้อีก


 


 


           กลับมานั่งในรถอีกครั้งหนึ่ง ซือเหยี่ยนครุ่นคิด โทรหาไป๋จิ่งดีกว่า ถึงอย่างไรตอนนี้คนที่ติดต่อมั่วไป๋ได้ก็มีแค่ไป๋จิ่งเท่านั้น


 


 


           “อะไรนะ คุณชายน้อยของนายหายไป”


 


 


           ไป๋จิ่งนั่งอยู่ในห้องทำงาน สีหน้าแปลกใจ สองวันก่อนยังตัวติดกันอยู่แท้ๆ ทำไมวันนี้คนถึงหายไปได้


 


 


           “นายบอกวิธีติดต่อมั่วไป๋มาให้ฉัน ฉันจะถามเขาว่าเจียงมู่เฉินอยู่บ้านเขาหรือเปล่า”


 


 


           ไป๋จิ่งหยุดชะงักไป “นายอยู่ที่ไหน ฉันจะเข้าไปด้วยกันกับนาย ถ้าเจียงมู่เฉินไปหามั่วไป๋ก็ควรจะอยู่ที่บ้านเขา เพียงแต่ว่าเขาบอกว่าสองวันนี้ต้องไปดูงานต่างเมือง ไม่รู้ว่าตอนนี้ออกไปหรือยัง”


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ฉันเพิ่งออกมาจากบ้านเขา นายส่งที่อยู่มาให้ฉัน ฉันจะเข้าไปตอนนี้”


 


 


           ไป๋จิ่งคว้าเสื้อสูท แล้วเดินออกมา “ได้ ฉันก็จะไปตอนนี้เหมือนกัน ถึงแล้วเจอกันนะ”


 


 


           ทั้งสองคนรีบมุ่งหน้าไปที่บ้านของมั่วไป๋ แต่กลับไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินไม่ได้ไปหามั่วไป๋เลยด้วยซ้ำ แต่อยู่ที่สนามบินกับซังจิ่ง เตรียมพร้อมจะขึ้นบินแล้ว


 


 


           ……


 


 


           “เจียงมู่เฉินหายตัวไปเหรอ” มั่วไป๋มองทั้งสองคนด้วยสีหน้าเย็นชา


 


 


           “เขาไม่ได้มาหาคุณที่นี่เหรอ” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


           “เปล่า ฉันไม่ได้ข่าวเขาเลย”


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เขาลุกขึ้นมาทันที “รบกวนคุณแล้ว ผมขอตัวก่อน”


 


 


           มั่วไป๋มองตามซือเหยี่ยนไป ก่อนจะเบนสายตามามองไป๋จิ่งที่ข้างๆ ตัว “เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ เจียงมู่เฉินถึงหายไปได้ล่ะ”


ตอนที่ 194 นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ


 


 


           ไป๋จิ่งลูบจมูกป้อยๆ หน้าซื่อตาใส “ที่จริงผมเองก็ยังงงๆ ซือเหยี่ยนโทรหาผมบอกว่าต้องการจะติดต่อคุณ หลังจากนั้นผมก็มาเป็นเพื่อนเขามาที่นี่”


 


 


           มั่วไป๋ครุ่นคิด เขาหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหามั่วไป๋ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้อความของเขา เจียงมู่เฉินต้องตอบกลับมาอยู่แล้ว


 


 


           เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่ถึงนาที เจียงมู่เฉินก็ตอบกลับข้อความเขามา


 


 


           มั่วไป๋เห็นข้อความก็วางใจลงได้สักที


 


 


           “คุณไม่สบายหรือเปล่า ทำไมถึงรู้สึกว่าสีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลย” ตอนไป๋จิ่งเข้ามาก็รู้สึกว่ามั่วไป๋ดูท่าทางจะเหนื่อยเอามากๆ


 


 


           มั่วไป๋กุมขมับ “ไม่มีอะไร ก็แค่ไข้ขึ้นนิดหน่อย”


 


 


           ไป๋จิ่งได้ยินว่าเขาไข้ขึ้นก็รีบมานั่งข้างเขาทันที “กลับไปนอนพักที่ห้องสักหน่อยเถอะ”


 


 


           มั่วไป๋พยักหน้าลุกขึ้นยืนจากโซฟา เพราะลุกขึ้นเร็วเกินไปทำให้ร่างกายผอมบางที่อ่อนแออยู่แล้วเสียหลักเซไปนิดหน่อย


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นก็หวั่นวิตกจนสอดแขนอุ้มอีกคนขึ้นมา


 


 


           มั่วไป๋ตกใจจนสะดุ้งโหยง เสียงต่ำเอ่ยทันใด “จู่ๆ มาอุ้มฉันทำไม”


 


 


           “แบบนี้เบาแรงกว่า”


 


 


           ไป๋จิ่งอุ้มเจ้าตัวเข้ามาข้างในห้อง วางร่างลงบนเตียงอย่างเบามือและนุ่มนวล ทั้งยังห่มผ้าให้ ทั้งยังเอาใจใส่ดูแล มั่วไป๋มองเขาอย่างน่าเอ็นดูผิดปกติ


 


 


           จนกระทั่งทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ไป๋จิ่งถึงได้ถามด้วยรอยยิ้ม “จ้องผมซะขนาดนี้ มีอะไรหรือเปล่า”


 


 


           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น “ไม่มีอะไร จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแบบนี้นายหล่อมาก”


 


 


           “ผมหล่อแค่ตอนนี้หรือไง” ไป๋จิ่งพูดไปก็เอามือสัมผัสหน้าผากมั่วไป๋ไปด้วย อุณหภูมิร้อนผ่าวที่ฝ่ามือทำเอาเขารีบลุกขึ้นมาทันที “คุณนอนไปก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรินน้ำมาให้”


 


 


           มั่วไป๋นอนอยู่ตรงนั้น เห็นเขารีบร้อนเดินออกไป เสียงฝีเท้าดังที่ข้างหูตลอดเวลา มั่วไป๋กะพริบตาพริบๆ รู้สึกว่าทุกอย่างนี้เหมือนกำลังฝันอยู่ไม่มีผิด


 


 


           คิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาจะวิ่งวุ่นทำโน่นทำนี่ไปทั่วเพื่อตัวเองได้


 


 


           มั่วไป๋หลับตาลงยิ้มออกมาอย่างจนใจ ถ้าทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน จะดีมากแค่ไหนกันเชียว?


 


 


           บางทีเขาอาจจะซึ้งใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำในวันนี้ จนควักหัวใจทุ่มรักเขาต่อไปก็ได้


 


 


           ไป๋จิ่งรีบถือแก้วน้ำเข้ามา ในมือยังถือยามาด้วย เขานั่งลงข้างเตียง เอ่ยเสียงต่ำ “มา กินยาก่อน แล้วค่อยไปนอนพักผ่อนดีๆ”


 


 


           มั่วไป๋มองยาลดไข้ในมือเขา แล้วยกมุมปากขึ้นเบาๆ “ฉันไม่มีแรง ไม่อยากกิน”


 


 


           ไป๋จิ่งร้อนใจแล้ว “คุณยังไข้ขึ้นอยู่ จะไม่กินยาได้ยังไง”


 


 


           มั่วไป๋มองเขา “งั้นนายป้อนฉัน?”


 


 


           พอไป๋จิ่งได้ยินก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ เขาวางแก้วน้ำไว้บนตู้ข้างเตียง นั่งลงข้างมั่วไป๋ แล้วค่อยๆ ประคองขึ้นมาอย่างระมัดระวัง


 


 


           เขาพยายามให้มั่วไป๋ได้เอนพิงอย่างสบายตัวแล้วถึงได้หันมาหยิบยาและแก้วน้ำ เขาส่งยาต่อให้มั่วไป๋ ครั้งนี้เขาเปิดปากกินยาเข้าไปอย่างว่าง่าย ดื่มน้ำตามแล้วถึงได้กลืนยาลงไป


 


 


           ไป๋จิ่งเอ่ยถาม “ยังอยากดื่มน้ำอีกไหม”


 


 


           มั่วไป๋ส่ายหัว


 


 


           ไป๋จิ่งเอาแก้วน้ำกลับมาวางบนโต๊ะ เพิ่งจะหมุนตัวเตรียมจะคลายมือออกให้มั่วไป๋ได้นอนลงดีๆ จู่ๆ มั่วไป๋ก็ประชิดตัวเข้ามาจูบ


 


 


           เขาจูบตามอำเภอใจ แต่ท่าทางกลับไร้เรี่ยวแรงลงทีละนิด เพราะอาการป่วยเป็นสาเหตุ


 


 


           จนกระทั่งมั่วไป๋จูบเสร็จแล้ว ถึงได้ผละตัวออกนิดหนึ่ง


 


 


           “ยาขมมาก” มั่วไป๋เอ่ยเสียงต่ำอธิบาย


 


 


           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะเบาๆ “ยังขมอยู่ไหม ยังขมอีกก็จูบอีกได้นะ”


 


 


           “ไม่ขมแล้ว”


 


 


           “โอเค งั้นคุณก็นอนพักผ่อนดีๆ แล้วกัน” ไป๋จิ่งค่อยๆ วางอีกคนให้นอนลง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาให้ ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็คว้ามือเขาไว้แน่น


 


 


           ไป๋จิ่งมองเขาอย่างประหลาดใจ “เป็นไรไป หรือว่ายังรู้สึกไม่สบายอยู่”


 


 


           “อืม” มั่วไป๋รับคำ “นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ ฉันคนเดียวนอนไม่หลับ”


 


 


 


 


ตอนที่ 195 เอียนมาก


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นใบหน้าขาวซีดของมั่วไป๋ ก็พยักหน้ารับ “ได้ งั้นผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ” เขาถอดเสื้อสูทออก แล้วทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้างหามั่วไป๋ เขาจ้องมองดวงตาสีดำขลับของมั่วไป๋แล้วยิ้ม “เอาล่ะ รีบนอนเถอะ ผมจะอยู่ตรงนี้เคียงข้างคุณเอง”


 


 


           อาจเพราะเสียงของไป๋จิ่งอ่อนโยนเกินไป มั่วไป๋ที่อยู่ข้างๆ กายเขาค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ เพียงครู่เดียวก็เข้าสู่นิทราไปในที่สุด


 


 


           หลังจากไป๋จิ่งได้ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอที่ข้างกายแล้ว ถึงเพิ่งเอามือเกลี่ยผมที่ปกหน้าผากเขาออก


 


 


           เขาจ้องมองใบหน้าของมั่วไป๋ พลางถอนหายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เห็นเขาแบบนี้ ก็อดจะทั้งรักทั้งสงสารไม่ได้


 


 


           ไป๋จิ่งคว้ามือของมั่วไป๋ที่วางข้างตัวเอาไว้ เขากุมมือนั้นเบาๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเขา แล้วค่อยๆ หลับลงไปอย่างช้าๆ


 


 


           ……


 


 


           ตลอดทั้งบ่ายซือเหยี่ยนวิ่งวุ่นไปทุกที่ที่เจียงมู่เฉินจะสามารถไปได้ ไม่มีการตอบรับใดใดทั้งสิ้น ซือเหยี่ยนเพิ่งจะเข้าใจ ดูท่าว่าครั้งนี้เจียงมู่เฉินโกรธเขาแล้วจริงๆ


 


 


           เขาไม่อยากเจอหน้าตัวเอง เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่มีทางจะได้เจอเขา


 


 


           ซือเหยี่ยนกุมขมับ ตอนนี้ซูเตอร์กลับประเทศมาแล้ว เจียงมู่เฉินยังมาหลบหน้าเขาในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้อีก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าเวลานี้ซูเตอร์เกิดนึกสงสัยขึ้นมา แล้วต้องการจะลงมือกับเจียงมู่เฉิน เขาจะต้องทำอย่างไร


 


 


           “ช่วยฉันสืบหาร่องรอยตำแหน่งที่เจียงมู่เฉินไปมาวันนี้ที”


 


 


           “ได้ ฉันจะตรวจสอบให้ทันที”


 


 


           ซือเหยี่ยนวางมือถือลง ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้อยู่ต่อหน้าหน้าต่าง หวังว่าเจ้าหมอนั่นอย่าไปไกลเกินไป ให้เขายังตามไปทันได้อยู่


 


 


           ……


 


 


           ลงจากเครื่องมาแล้ว เจียงมู่เฉินกับซังจิ่งก็นั่งรถที่ซังจิ่งเตรียมเอาไว้ มุ่งหน้าไปยังเขตภูเขา


 


 


           ระหว่างทาง ซังจิ่งมองดูเจียงมู่เฉินที่กำลังมองออกนอกหน้าต่างไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความใคร่อยากรู้ “ตลอดทางมาที่นี่ คุณไม่บอกผมเลยว่าทำไมถึงอยากมาล่วงหน้ากะทันหันแบบนี้ จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่คิดจะพูดอีกเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นขำๆ “ประธานซังพูดแบบนี้ตลกจริงๆ ก่อนขึ้นเครื่อง นายก็ถามไม่ได้อะไร นายยังคิดว่าลงเครื่องแล้ว นายยังจะถามได้คำตอบอยู่อีกเหรอ”


 


 


           “ให้ผมเดา…คุณคงจะไม่ทะเลาะกันกับซือเหยี่ยนหรอกใช่ไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ทำไม นี่นายหวังอยากจะให้ฉันทะเลาะกับซือเหยี่ยนมากเลยใช่ไหม”


 


 


           “ใช่สิ” ซังจิ่งพยักหน้ารับอย่างหน้าไม่อาย “พวกคุณทะเลาะกัน ผมก็จะได้เป็นตาอยู่เอาพุงปลาไปกิน[1]ซะเลย”


 


 


           “นายตื่นตาสว่างสักหน่อยเถอะ ซีอีโอซัง เรื่องเพ้อฝันขนาดนี้ นายยังกล้าคิดได้เหรอ”


 


 


           ซังจิ่งมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ผมยังแปลกใจมากอยู่จริงๆ คุณว่าคุณคบกับซือเหยี่ยนมีอะไรน่าสนุกกัน หน้าตายังกับก้อนน้ำแข็งแบบนั้น เห็นแล้วไม่รู้สึกเอียนบ้างเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วกะพริบตาปริบๆ “ที่จริง ฉันรู้สึกว่าเห็นนายแล้วเอียนมากกว่าอีกนะ”


 


 


           พูดจบเจียงมู่เฉินก็หลับตาลงนอนทันที ทำท่าทางเหมือนซังจิ่งน่าเอียนมากจริงๆ


 


 


           ซังจิ่งทำไขสือลูบจมูกปอยๆ คิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง นี่เขาดูเอียนมากขนาดนั้นเลยเหรอ


 


 


           ‘ที่จริงเขายังรู้สึกว่าตัวเองหล่อเอาเรื่องอยู่นะ’


 


 


           จากสนามบินมาก็ขึ้นทางด่วนไป หลังจากเดินทางได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เป็นทางขึ้นเขาทั้งหมด เจียงมู่เฉินนั่งโคลงเคลงไปมาจนเวียนหัว สีหน้าดูไม่ค่อยจะไหวเท่าไหร่


 


 


           ซังจิ่งส่งน้ำขวดหนึ่งจากด้านข้างมาให้ “ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย”


 


 


           เจียงมู่เฉินกุมขมับที่ปวดตุบๆ ขึ้นมา “ไม่เป็นไร น่าจะเพราะเป็นครั้งแรกที่ใช้ถนนบนเขา เลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่”


 


 


           “ผมไม่ได้พิจารณาถึงเรื่องนี้ไว้ ไม่ควรจะชวนคุณมาเลย ถ้ารู้แต่แรกว่าคุณไม่ชินกับถนนบนเขาแบบนี้”


 


 


           “ช่างเถอะ ไหนๆ ฉันก็มาแล้ว ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” เจียงมู่เฉินรับขวดน้ำต่อจากมือซังจิ่งมาเปิดฝาดื่มเข้าไปหนึ่งคำ


 


 


           “ข้างหน้ายังอีกไกลเท่าไหร่”


 


 


           “ประมาณอีกหนึ่งชั่วโมง”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่างดูเส้นทางบนเขา แล้วกุมขมับ “งั้นฉันจะนอนสักพักหนึ่ง ใกล้ถึงแล้วเรียกฉันด้วย”


 


 


           ซังจิ่งพยักหน้า “ได้ คุณพักผ่อนดีๆ เถอะ” ระหว่างพูดอยู่ จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว คุณต้องการจะบอกครอบครัวคุณหน่อยไหม เดี๋ยวเข้าในภูเขาแล้วสัญญาณจะแย่มาก”  


 


 


   


 


 


 


 


[1] เป็นตาอยู่เอาพุงปลาไปกิน เป็นสำนวนมาจากเรื่องราวของตาอิน กับ ตานา หาปลามากินกัน ได้ปลาทุกวันรักกันก็ปันกันไป แล้ววันหนึ่งได้ปลามาตัวเดียว ตาอินกับตานาเริ่มทะเลาะกัน ตาอยู่มาเดี๋ยวเดียวคว้า พุงเพียวๆ ไปกิน มักใช้เพื่อตักเตือนว่า ยามที่ต้องทะเลาะ หรือมีปากเสียงกับผู้อื่น ควรใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาแทนที่จะใช้อารมณ์ มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย ปล่อยให้มือที่ 3 ได้รับประโยชน์ไปฟรีๆ 


ตอนที่ 196 สะอิดสะเอียนน่าดู


 


 


           “สัญญาณแย่?”


 


 


           “เพราะว่าภูเขาตรงนั้นยังไม่มีใครมาบุกเบิก ดังนั้นสัญญาณยังเข้าไปไม่ถึง รอให้บุกเบิกทำโครงการเสร็จ ก็ไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณแล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า ส่งข้อความหาคุณแม่เจียงบอกว่าเขามีธุระต้องออกไปทำ อีกไม่กี่วันจะกลับมา


 


 


           พูดจบก็ปิดมือถือ นอนหลับต่อ


 


 


           โคลงเคลงไปมาตลอดทางจนฟ้ามืดแล้ว ถึงเพิ่งมาถึงตีนเขา ซังจิ่งเรียกปลุกคนข้างๆ ให้ตื่น “ตื่นเถอะ ถึงแล้ว“


 


 


           เจียงมู่เฉินขยี้ตา นอกหน้าต่างรถมืดค่ำลงแล้ว “นี่คือที่ไหน”


 


 


           “ดึกแล้ว พักที่โรงแรมนี้ก่อน แล้วพรุ่งนี้พวกเราค่อยไปสำรวจกัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ได้ ก็ไม่ได้รีบอะไรด้วย ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปแล้วกัน”


 


 


           ทั้งสองคนแบกสัมภาระลงจากรถ แล้วเดินตรงเข้าในโรงแรมไป ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นโรงแรม แต่ปัจจัยสภาพแวดล้อมไม่ถือว่าดีมากนัก ช่างแตกต่างกับเคหสถานที่เจียงมู่เฉินอาศัยอยู่ทุกวันลิบลับราวฟ้ากับเหว


 


 


           ยังดีที่เจียงมู่เฉินคนนี้ ถึงแม้จะถูกโอ๋ถูกเลี้ยงประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ทำตัวหัวสูง เขาไม่พูดไม่จา ลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปข้างใน


 


 


           ได้ห้องพักมาสองห้อง ทั้งสองคนอยู่กันคนละห้อง เจียงมู่เฉินลาซังจิ่งแล้วก็ลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในห้องทันที


 


 


           ภายในห้องไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเพียบพร้อม มีแค่เตียงหลังหนึ่งกับโต๊ะหนึ่งตัว นอกนั้นไม่มีอะไรสักอย่าง เจียงมู่เฉินนั่งลงบนเตียงหยิบมือถือออกมา หลังจากเปิดเครื่อง ไม่มีสัญญาณอย่างที่คิดไว้จริงๆ กดสไลด์หน้าจอไปมาอยู่ตั้งนานก็ไม่มีสัญญาณอะไรขึ้นมา


 


 


           คิดไปคิดมาเขาไม่เล่นมือถือแล้วดีกว่า ก่อนจะเอนกายนอนบนเตียงครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา


 


 


           เรื่องที่เจอที่บริษัทซือเหยี่ยนวันนี้ เขาไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นแล้ว ถึงแม้ตอนที่ได้ยินซือเหยี่ยนพูดแนะนำตัวเขา จะดูห่างเหินเหมือนไม่สนิทกัน ทำให้เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก แต่พอตอนนี้อารมณ์เย็นลง มาคิดดูอีกที ก็รู้สึกว่าที่ซือเหยี่ยนทำไปแบบนั้นต้องมีเหตุผลของซือเหยี่ยนเอง


 


 


           ถึงแม้จะรู้ว่าซือเหยี่ยนมีความคิดของตัวเอง แต่เวลาได้ยินซือเหยี่ยนพูดแบบนั้น ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี


 


 


           เจียงมู่เฉินใจร้อนไม่เป็นสุขจนปิดตาลงไป เวลานี้ไม่อยากจะคิดเรื่องนี้ต่อไปอีกแล้วจริงๆ สงบสติอารมณ์กันสักสองวันก็ดี


 


 


           มีเรื่องอะไรก็รอให้สงบสติอารมณ์ใจเย็นลงได้ก่อน จะยิ่งทำให้ได้คำตอบได้ง่ายขึ้น อีกอย่างเดิมทีเขาก็ต้องมากับซังจิ่งอยู่แล้ว ได้จังหวะฉวยโอกาสใช้เวลานี้จัดการธุระให้เรียบร้อยพอดี


 


 


           ประตูถูกเคาะทีสองที เสียงไป๋จิ่งดังเข้ามาจากข้างนอก “คุณชายเจียง ออกมากินอะไรกันเถอะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินยันกายขึ้นมาจากเตียง เดินไปเปิดประตู “อืม ไปกัน”


 


 


           ทั้งสองคนไปข้างนอกด้วยกัน ซังจิ่งได้ให้คนเตรียมอาหารเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดเป็นอาหารป่ากลางเขา เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองดูอาหารที่วางเรียงรายบนโต๊ะ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอาหารป่าแบบนี้


 


 


           “เป็นไรไป ไม่ถูกปากเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “นายเป็นคนแรกที่พาฉันกินอาหารป่า แปลกจริงๆ”


 


 


           “ได้เป็นคนแรกที่พาคุณกินอาหารป่า ดีสุดๆ ไปเลย ไม่ว่ายังไงก็ได้เป็นคนแรกเชียวนะ” ซังจิ่งรู้สึกว่า ‘คนแรก’ คำนี้มีความหมายอยู่ไม่เบา


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าซังจิ่งเกินเยียวยาแล้วจริงๆ เรื่องอะไรก็เอามาโยงกับเขาได้ตลอด


 


 


           เขาหยิบตะเกียบคีบอาหารขึ้นมา ดูจากภาพนอกไม่ค่อยเท่าไหร่จริงๆ แต่พอเอาเข้าปากกลับแปลกไม่เหมือนใคร ชินกับอาหารเลิศรสชั้นดีมากมายก็จริง แต่บางทีได้มาสั่งอาหารแบบนี้กินก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยจริงๆ


 


 


           ซังจิ่งสังเกตดูเจียงมู่เฉินอยู่ตลอด เห็นเขากินได้ไม่ติดขัดก็วางใจแล้ว เขาเอาแต่กังวลว่าคุณชายน้อยผู้นี้คนที่ถูกประคบประหงมเลี้ยงมาพร้อมมาดคุณชายอันใหญ่โต จะไม่คุ้นชินกับการอาศัยอยู่ที่นี่


 


 


           เพียงแต่ว่าตอนนี้ดูท่าว่าคุณชายน้อยจะปรับตัวได้เร็วกว่าเขาอีก


 


 


           ซังจิ่งลูบคางไปมา ไม่ต้องพูดถึงเลย ว่าเขานั้นยิ่งชอบคุณชายน้อยผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองไป๋จิ่งผู้ต่ำตม “กินข้าวสิ นายจะมองฉันทำไม หน้าฉันมีดอกไม้หรือไง”


 


 


           ไป๋จิ่งพยักหน้าเงียบๆ “บนหน้าคุณดูดีๆ มีอะไรติดอยู่จริงๆ นะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว


 


 


           “หล่อน่าดู!” ซังจิ่งตอบอย่างหน้าไม่อาย


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าอาหารไม่กี่คำที่เพิ่งจะกินเข้าไปเมื่อครู่นี้ อีกนิดจะอาเจียนออกมาทั้งหมดแล้ว เพราะโดนอีกคนทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียน เขามองไป๋จิง แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “บนหน้านายดูดีๆ ก็มีอะไรติดอยู่เหมือนกัน”


 


 


           ซังจิ่งเอ่ยถาม “อะไรเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเผยอปากขึ้นเอ่ยอย่างไม่ใยดี “สะอิดสะเอียนน่าดู”


 


 


              


 


 


ตอนที่ 197 ไปง้อด้วยตัวเอง


 


 


           ซังจิ่งทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ เขา…ดูน่าสะอิดสะเอียนมากเลยเหรอ


 


 


           ซังจิ่งผู้โดนด่าไปเต็มๆ ทำได้เพียงนั่งกินข้าวอย่างว่าง่าย ถึงอย่างไรคุณชายน้อยผู้นี้ด่าคนขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่ไว้หน้าใครเลยจริงๆ


 


 


           ที่สำคัญคือท่าทางที่เจียงมู่เฉินเอ่ยต่อว่าคนอย่างไม่ไยดีแล้วยักคิ้วขึ้นเล็กน้อยช่างดูมีเสน่ห์ เขายังชอบอยู่ไม่เบาจริงๆ


 


 


           เจียงมู่เฉินคร้านจะพูดจากับซังจิ่งต่อ จึงรีบกินยัดๆ เข้าไป แล้วยังดื่มน้ำแกงต่ออีกหน่อย ถึงได้เอนพิงพนักเก้าอี้ นั่งพักครู่หนึ่ง


 


 


           เขาเอียงหัวมองไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกฟ้าสีดำ มีเพียงดวงไฟสองสามดวงที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด ฉายความอ่อนแอบางอย่างออกมา


 


 


           เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินได้มาในสถานที่แบบนี้ ทั้งสงบเงียบทั้งวังเวง ให้ความรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบเงียบงันลงไปหมด


 


 


           เขาลุกยืนขึ้นเดินออกไปทางประตูที่อยู่ด้านข้าง เขายืนใต้แสงไฟมองสิ่งต่างๆ รอบนอก พอมองไปก็เห็นท้องฟ้าที่เหมือนกับใช้ตาข่ายสีดำปกคลุมเอาไว้ทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง


 


 


           เขาดูต่ออีกสักพักก็เงยหน้าสูงขึ้นไปอีก บนท้องฟ้าทั้งหมดคือดวงดาว ประดับประดาอยู่เติมเต็มทั่วผืนฟ้า


 


 


           ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซังจิ่งเองก็เดินออกมาข้างนอกด้วย เขายืนอยู่ข้างเจียงมู่เฉิน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “รู้สึกว่าที่นี่เงียบเกินไปแล้วใช่ไหม”


 


 


           “ทำไม ประธานซังไม่ชินกับความเงียบสงบขนาดนี้เหรอ”


 


 


           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “บอกตามตรง ก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินจริงๆ” เขาเอียงหัวมองเจียงมู่เฉิน “คุณล่ะ? คุณชินไหม”


 


 


           “เมื่อกี้ยังไม่ค่อยชิน แต่ตอนนี้ก็ยังพอได้ ตามธรรมชาติที่เป็นไปก็เท่านั้นเอง”


 


 


           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองอีกแวบหนึ่ง “โอเค ฉันจะกลับไปก่อนแล้ว นายค่อยๆ ปรับตัวไปแล้วกัน”


 


 


           ซังจิ่งเอียงหัวมองเจียงมู่เฉินที่เตรียมจะออกไป “บอกตามตรง ผมยังรู้สึกคิดไม่ถึงอยู่บ้างนะ”


 


 


           “หืม?”


 


 


           “คิดไม่ถึงว่าคุณจะพอใจกับสิ่งที่มีอยู่แบบนี้”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ทำไม คิดว่าปกติฉันดื้อรั้นหัวแข็งเกินจะทนหรือไง”


 


 


           “ตอนนี้ผมชอบคุณมากๆ จริงๆ นะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “น่าเสียดาย ฉันเกรงว่าฉันจะชอบนายไม่ลง”


 


 


           “จะชอบหรือไม่ชอบเรื่องแบบนี้ ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง ถ้าหากว่าลองดูแล้ว คุณรู้สึกว่าผมคนนี้เหมาะสมเป็นพิเศษ ดีเป็นพิเศษล่ะ?”


 


 


           “ลองดู? เกรงว่าจะยากหน่อยนะ”


 


 


           “คุณว่าผมเทียบกับซือเหยี่ยนแล้ว ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ใช่ไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินเตะหินที่อยู่ใต้เท้า “อืม”


 


 


           “ถ้างั้นทำไมคุณถึงไม่เห็นผมในสายตาบ้าง” เขาไม่รู้จริงๆ ว่าสรุปแล้วตัวเองเทียบกับซือเหยี่ยนไม่ได้ตรงไหน


 


 


           “ไม่รู้”


 


 


           ซังจิ่งเลิกคิ้ว “ไม่รู้?”


 


 


           “อืม”


 


 


           “ไม่รู้หมายความว่าไง”


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วเงียบๆ “อะไรกัน ฉันไม่เห็นนายในสายตา นายยังจะโทษฉันหรือไง”


 


 


           ซังจิ่ง “…”


 


 


           ‘ดังนั้นที่เจียงมู่เฉินไม่เห็นเขาในสายตา ผิดที่เขางั้นสิ’ ซังจิ่งรู้สึกว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่ได้มีความผิดอะไรขนาดนั้น


 


 


           ……


 


 


           หลังจากเจียงมู่เฉินกลับเข้าห้องพัก เอนกายนอนบนเตียงแล้วกลับนอนไม่ค่อยจะหลับ เขามองดูภาพสีดำขลับที่นอกหน้าต่าง พลางหยิบมือถือออกมา แต่พอเห็นว่าสัญญาณสักขีดเดียวก็ไม่มีก็เอาเก็บเข้าไปอย่างเงียบๆ


 


 


           เขาหลับตาลง ไม่มีสัญญาณก็ดี จะได้ไม่ให้ตัวเองคิดอยากจะติดต่อกับซือเหยี่ยน


 


 


           ไม่รู้ว่าหลับตาไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็เข้าสู่นิทราไปเรียบร้อย ไม่มีซือเหยี่ยน พอมานอนคนเดียว ก็รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่


 


 


           “ประธานซือครับ หาตำแหน่งของคุณชายเจียงเจอแล้วครับ”


 


 


           “จองตั๋วเครื่องบิน ฉันจะเข้าไปเดี๋ยวนี้” ซือเหยี่ยนไม่เอ่ยต่อ มุ่งหน้าไปสนามบินทันที


 


 


           “ได้ครับ”


 


 


           “ช่วงนี้บอกกับข้างนอกให้หมดว่าฉันไปดูงานต่างเมือง ติดต่อไม่ได้ ถ้าซูเตอร์มาหาฉัน บอกว่าฉันมีธุรกิจสำคัญมากที่ต้องไปเจรจา ช่วยฉันปฏิเสธให้หมด”


 


 


           “แล้วประธานไป๋ล่ะครับ? จะให้แจ้งข่าวชั่วคราวไหมครับ”


 


 


           ซือเหยี่ยนคิดอยู่พักหนึ่ง “พรุ่งนี้เช้าโทรหาไป๋จิ่ง บอกความจริงกับเขา ให้เขาต้องช่วยฉันปกปิดที่ๆ ฉันจะไป”


 


 


           “ได้ครับ ประธานซือ”


 


 


            กลางดึกซือเหยี่ยนนั่งเครื่องบินมุ่งตรงไปตามเจียงมู่เฉิน เขากุมขมับด้วยความเหนื่อยล้า รอเขาไปง้อด้วยตัวเอง ไปตามคนที่หนีไปให้กลับมาได้ก่อนนะ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม