(Yaoi) ใต้ม่านรัตติกาล 187-194

 ตอนที่ 187 ส่วนในตระกูลลึกลับ 


 


 


หลังจากฟังสิ่งที่เจียงหลิงบรรยายออกมา หลานเยี่ยและหลานเฟิงลงมาจากต้นไม้ จากนั้นตามเจียงหลิงไป เมื่อมาถึงบริเวณพื้นที่ต่ำที่ถูกกำหนดไว้ หลานเยี่ยมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองก้าว ลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นไม่ใช่ผืนหญ้าเขียว ยังคงเป็นป่าไผ่ผืนหนึ่งเช่นเดิม 


 


 


เมื่อหันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้งกลับไม่เห็นคนอื่นแล้ว หลานเฟิงก็ไม่ได้เข้ามา หลานเฟิงไม่เคยอยู่ห่างข้างกายตนเองมาก่อน ตอนนี้ไม่ได้ตามเข้ามา นั่นหมายความว่าหลานเฟิงเข้ามาไม่ได้ แล้วเหตุใดตนสามารถเข้ามาได้เล่า 


 


 


เพื่อที่จะไม่ทำให้หลานเฟิงเป็นกังวล หลานเยี่ยเดินออกไป ตามที่คิดไว้เขาเห็นหลานเฟิงสีหน้าร้อนรนลองทดสอบกับเขตม่านพลังไม่หยุด เมื่อเห็นหลานเฟิงเดินออกมาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง 


 


 


“ข้างในมีสภาพเช่นไร” 


 


 


“ข้างในยังคงเป็นป่าไผ่ ไม่เหมือนว่ามีอันตรายอะไร เจียงหลิงเจ้าพาคนไปเสาะหาต่อ พวกข้าสองคนก็พอแล้ว” 


 


 


“ขอรับ” เจียงหลิงนำคนออกไป ตอนนี้เหลือเพียงเขาและหลานเฟิงสองคน หลานเยี่ยพิจารณาทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรแตกต่างกัน หลังจากการค้นหาไม่มีผลลัพธ์ หลานเยี่ยจับมือหลานเฟิงเอาไว้ พาเขาเข้าไปในเขตม่านพลังพร้อมกัน 


 


 


เข้าไปในเขตม่านพลังยังคงเป็นป่าไผ่ผืนหนึ่ง สภาพแวดล้อมสีเขียวชอุ่มทำให้คนจิตใจเบิกบานแจ่มใส เมื่อก้าวเดินไปข้างหน้าสองก้าว ทางเดินก็เริ่มกลายเป็นทางลาดชัน หลานเยี่ยจับมือหลานเฟิงวิ่งลงไปช้าๆ ความรู้สึกที่ถูกลมตีหน้าช่างดีเสียเหลือเกิน 


 


 


เมื่อมาถึงปลายทางซึ่งคือทะเลสาบแห่งหนึ่ง ทะเลสาบมีขนาดเล็กมาก มีระยะห่างเพียงหนึ่งร้อยก้าวเท่านั้น เส้นทางเดินเล็กเมื่อมาถึงทะเลสาบก็แบ่งออกเป็นสองสายโดยทันใด เมื่อผ่านทะเลสาบไปแล้วก็กลับมารวมกันใหม่ 


 


 


ข้างทะเลสาบมีต้นหลิ่วคล้อยอยู่เต็มไปหมด น้ำภายในทะเลสาบใสเป็นอย่างมาก ดอกบัวหลายดอกลอยอยู่ในทะเลสาบ ส่งกลิ่นหอมลอยออกมา แล้วยังสามารถมองเห็นเหล่าปลาที่แหวกว่ายไปมาอยู่ภายใน 


 


 


หลานเฟิงและหลานเยี่ยเดินตรงต่อไป ทางเดินเล็กคดเคี้ยวมาทางซ้าย หลานเยี่ยเห็นที่นามากมายมีข้าวปลูกอยู่เต็ม มีคนสองคนคอยดูแลรวงข้าว เมื่อเห็นว่าพวกเขามาก็ตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก หนึ่งในนั้นรีบวิ่งออกมาจากนาข้า ไม่รู้ว่าไปที่ใด 


 


 


หลานเยี่ยและหลานเฟิงเดินตรงไปข้างหน้าต่อ แล้วถึงค่อยๆ ปรากฏบ้านคนขึ้นมาให้เห็น แต่จำนวนบ้านก็ดูน้อยนิดอย่างมาก มีเพียงสามสี่หลังเท่านั้นเอง ทำให้หลานเยี่ยเกิดรู้สึกอยู่ในดินแดนสุขาวดี 


 


 


สังเกตเห็นด้านข้างมีป้ายหินสลักอยู่อันหนึ่ง ข้างบนมีตัวหนังสือถูกสลักไว้ แต่หลานเยี่ยอ่านไม่ออก แต่เมื่อดูลายเส้นตัวหนังสือ กลับแลดูเหมือนเกิดจากฝีมือคนเดียวกันกับที่เขียนตัวหนังสือในอุโมงค์ลับเขาเทียนปี้ 


 


 


ท้องฟ้าที่นี่สีฟ้าแจ่มใสอย่างมาก ไม่ได้มีความแตกต่างมากมายจากโลกภายนอก เสียงน้ำไหล เสียงนกร้อง กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ล้วนมีครบสมบูรณ์ ธรรมชาติไม่เคยตระหนี่ ดอกไม้ ใบหญ้ามาเติมเต็มโลกใบนี้ ที่นี่ยิ่งแสดงออกมาอย่างชัดเจน 


 


 


หลานเยี่ยคิดจะไปยังสอบถามคนทางนั้นว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด เหตุใดจึงมีสถานที่เช่นนี้ แต่เมื่อหลานเยี่ยลองเคาะประตูบ้านสองสามหลังดูล้วนไม่มีใครเปิดประตูออกมา ดูท่าเหมือนไม่มีใครอยู่ 


 


 


เมื่อมาถึงหลังสุดท้าย หลานเยี่ยพบว่าภายในมีผู้คนรวมตัวกันมากมาย คนที่เจอในนาข้าวเมื่อครู่นี้ก็อยู่ที่นี่ ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กล้วนมีความคล้ายคลึงกัน หลานเยี่ยแปลกใจอย่างมาก 


 


 


ประตูไม่ได้ปิด หลานเยี่ยเคาะประตูสองสามที ผู้ใหญ่ไม่ได้ตอบรับเขา กลับเป็นเด็กๆ ที่แอบชำเลืองมองเขาทีหนึ่ง แต่ก็หันหน้าหนีกลับในทันใด 


 


 


หลานเยี่ยเหลือบมองร่างกายตนเองทีหนึ่ง ไม่พบว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม มองร่างกายของหลานเฟิงทีหนึ่ง ก็ไม่มีอะไร 


 


 


ตรงกลางห้องมีผู้เฒ่าผมขาวโพลนถูกล้อมรอบไว้ ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาขุ่นมัวภายในเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่โชกโชน มองหลานเยี่ยและหลานเฟิง 


 


 


“ท่านประมุขตระกูลหลาน ท่านมาแล้ว” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 188 เกี่ยวข้องกับเจ้า  


 


 


ได้ยินผู้เฒ่าเอ่ยปาก หลานเยี่ยก้าวข้ามคานประตู เดินก้าวใหญ่ตรงไปข้างใน หลานเฟิงตามไปข้างหลั งเมื่อมาถึงภายในห้อง หลานเยี่ยทำท่าแสดงความเคารพต่อผู้เฒ่าผู้นั้น 


 


 


“ท่านรู้ตัวตนของข้าได้อย่างไร” หลานเยี่ยเอ่ยปากสอบถาม สายตาของผู้เฒ่าผู้นั้นทอดมองอยู่บนตราหยกตรงเอวของหลานเยี่ย 


 


 


“ตราหยกประมุขตระกูลนี้หลายปีมาแล้วที่ไม่ได้พบ” ​หลานเยี่ยมองช่วงเอวของตนเองก็เข้าใจในทันที 


 


 


“ตามปกติแล้ว ข้าควรต้องทำความเคารพท่านถึงจะถูก ข้าถือเป็นคนตระกูลหลาน แต่เพราะไม่สะดวกขยับเคลื่อนกาย ขอให้ท่านประมุขให้อภัยด้วยเถิด” 


 


 


“ท่านเป็นคนตระกูลหลานอย่างนั้นหรือ” หลานเยี่ยยังคงใช้คำสุภาพ เช่นนี้ทำให้คนเกิดความรู้สึกชื่นชมขึ้นมา ให้คนข้างๆ หาเก้าอี้มาให้หลานเยี่ย คนข้างๆ ไปย้ายเก้าอี้มาสองตัว หลานเยี่ยนั่งลง หลานเฟิงนั่งอยู่ข้างหลานเยี่ย 


 


 


“ท่านผู้นี้คือคนตระกูลเยี่ยกระมัง หากพ่อเฒ่าเดาไม่ผิด ตอนนี้น่าจะเป็นประมุขตระกูลเยี่ย” ผู้เฒ่าพูดออกมาเช่นนี้ 


 


 


“เพราะเหตุบางประการ ตอนนี้ข้าเป็นองครักษ์ของท่านประมุขตระกูลหลาน” หลานเฟิงตั้งแต่เข้ามาไม่ได้ดลความหวาดระแวงลง แต่ประโยคเดียวของผู้เฒ่าทำให้เขาสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


“ถึงแก่เวลาแล้วจริงด้วย ใต้หล้าวุ่นวาย หากเจ้าและประมุขตระกูลหลานไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน ก็หมายความว่ายังไม่ถึงแก่เวลา ตอนนี้ดูแล้วคงจะถึงแล้ว” ผู้เฒ่าพูดบางอย่างออกมา ทำให้หลานเยี่ยไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก 


 


 


“ท่านอาวุโสหมายถึงอะไรหรือ” 


 


 


“พวกเราครอบครัวนี้ เมื่อพันปีก่อนได้ย้ายจากตระกูลหลานมาอยู่ที่นี่ นายท่านหลานเจ๋อตั้งเขตม่านพลังด้วยตนเอง” 


 


 


“ท่านพูดถึงหลานเจ๋อหรือ ประมุขตระกูลหลานเมื่อพันปีก่อน” 


 


 


“ใช่ ในเมื่อพวกเจ้าหาที่นี่พบ เรื่องบางอย่างข้าจะบอกพวกเจ้าก็แล้วกัน” ผู้เฒ่าหลับตาลง เหมือนกำลังหวนคิดเรื่องอะไรบางอย่าง  


 


 


“บรรพชนของครอบครัวนี้คือคนสนิทของท่านประมุขหลานเจ๋อ ตอนนั้นมุกหลิววั่งสะกดผนึกชิวจือเว่ยและหลานเซียวไว้ ท่านประมุขและนายท่านชังหลานจึงไม่อาจครองคู่กันไปกันตลอด 


 


 


แต่ท่านประมุขก็ปล่อยวางนายท่านชังหลานไม่ได้ ตอนนั้นจึงเดินทางไปทั่วใต้หล้า ค้นหาวิธีให้ตกทอดกันมาถึงอนาคต ในที่สุดท่านประมุขก็หาจนพบ 


 


 


ท่านประมุขนำวิญญาณของตนเองสะกดอยู่ภายในของสิ่งนั้น จากนั้นก็เพิ่มเขตม่านพลัง ให้นายท่านชังหลานไม่อาจสัมผัสการดำรงอยู่ของเขาได้ เพราะพันปีก่อนหน้านี้มีเรื่องมากมายที่ยังไม่มีจุดจบถูกทิ้งเอาไว้ จำต้องจัดการ 


 


 


เขาถือตนเองให้เป็นจุดเปลี่ยน ดึงดูดให้คนในอนาคตวาดจุดจบให้กับเรื่องเมื่อพันปีก่อน หลังจากท่านประมุขผนึกตนเองเอาไว้ในของชิ้นนั้นแล้ว คนตระกูลหลายจึงมีพลังวิญญาณอีกหนึ่งชนิดเพิ่มขึ้น ซึ่งคือ แหล่งพลังวิญญาณเดิม 


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเลว พลังวิญญาณเดิมสามารถเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง แต่หลังจากใช้หมดแล้วกลับกลายเป็นฆาตกรที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตชนิดหนึ่ง” พูดถึงตรงนี้ผู้เฒ่าเหลือบมองหลานเยี่ยทีหนึ่ง 


 


 


หลานเยี่ยรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้เฒ่า เขาขับเอาพลังวิญญาณดั้งเดิมของตนเองออกมา พลังวิญญาณสีฟ้าเข้มเหลือเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น หากใช้อีกครั้งหนึ่งก็อยู่ห่างจากความตายไม่มากแล้ว 


 


 


“เมื่อถึงยามที่อายุขัยของท่านประมุขใกล้หมดลง ท่านประมุขสั่งให้ข้ารอ นำเอาความลับนี้รักษาไว้ต่อไป ฉะนั้นข้าจึงมารอที่นี่ เมื่อรอก็คือเวลาหนึ่งพันปี 


 


 


ท่านประมุขได้ให้วิชาลับประเภทหนึ่งกับพวกเราเอาไว้ ทำให้ความทรงจำของพวกเราถ่ายทอดจากรุ่นไปสู่รุ่น ฉะนั้นที่จริงแล้วตอนนี้ข้าจึงมีความทรงจำเกือบหนึ่งพันปี ช่วงเวลาหนึ่งพันปียาวนานเกินไป ทำให้ข้ารอไม่ไหวอีกต่อไป โชคดี พวกเจ้ามาแล้ว” 


 


 


“เพียงแค่หาของชิ้นนั้นพบก็สามารถเรียกท่านประมุขหลานเจ๋อกลับมาได้แล้วใช่หรือไม่ สามารถกำจัดขีดจำกัดของพลังวิญญาณเดิมได้ใช่หรือไม่” ผู้เฒ่าพูดจบ หลานเยี่ยก็ถามออกมาด้วยความร้อนรน 


 


 


“โปรดบอกข้า ของสิ่งนั้นคืออะไร” 


ตอนที่ 189 ไม่อาจพูดได้


 


 


หลานเยี่ยถามด้วยความร้อนใจ ผู้เฒ่ากลับไม่ยอมพูดออกมา


 


 


“ท่านประมุขหลานถือว่าบังเอิญมาพบที่นี่เข้า ฉะนั้นข้าถึงได้บอกเรื่องราวเหล่านี้กับท่าน แต่เดิมเวลายังไม่ถือว่าสมบูรณ์โดยที่สุด รอจนถึงแก่เวลาอันสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ข้าจะไปปรากฏตัวต่อหน้าท่านประมุขหลานเอง ตอนนี้ ไม่อาจพูดได้” ​ผู้เฒ่าตอบปฏิเสธคำถามของหลานเยี่ย


 


 


“เพราะเหตุใด”


 


 


“เวลาไม่ได้ถึงแก่กาลเหมาะสม”


 


 


“ท่านประมุขหลานไม่จำเป็นต้องถามอีก ตอนแรกคนที่ชื่อชิวอวี้ก็เคยมาที่นี่ แต่เพราะยังไม่ถึงแก่เวลา จึงไม่อาจพูดได้ ท่านประมุขหลานกลับไปเถิด ยังคงมีเคราะห์กรรมด่านสุดท้าย ถึงเวลานั้น คนแก่เช่นข้าจะออกหน้าเอง”


 


 


ได้ยินผู้เฒ่าพูดถึงชิวอวี้ หลานเฟิงเกิดสงสัย ตนเองยังเข้ามาไม่ได้ เหตุใดชิวอวี้ถึงเข้ามาได้ มองตราหยกบนกายหลานเยี่ยอีกทีหนึ่ง หลานเฟิงก็เข้าใจขึ้นมาในทันใด


 


 


ตอนแรกตนเองพกตราหยกของหลานเยี่ยอยู่ตลอด ในช่วงเวลาหมดสภาพนั้นชิวอวี้อาจจะเอาไป เช่นนี้ก็สามารถอธิบายผ่านไปได้


 


 


หลานเยี่ยยังคิดจะถามต่อ หลานเฟิงห้ามเขาเอาไว้


 


 


“เสี่ยวเยี่ย ไปเถิด ในเมื่อท่านผู้อาวุโสพูดเช่นนี้แล้ว จะช้าจะเร็วพวกเราก็รู้อยู่ดี ข้าจะมอบตอนจบที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า เชื่อข้า” หลานเฟิงเอ่ยกล่อมหลานเยี่ย


 


 


หลานเยี่ยมองหลานเฟิงทีหนึ่ง พลางมองผู้เฒ่าอีกทีหนึ่ง สุดท้ายหลังจากทำความเคารพแล้วก็ตามหลานเฟิงออกไป


 


 


“ท่านประมุขหลาน โปรดจำเอาไว้ ในเมื่อเตรียมพร้อมจะรับมือโลกใบนี้ ก็จะต้องใจสู้ต่อไปให้ได้ ยืดได้หดได้ ทั้งเคร่งทั้งผ่อน เช่นนี้ถึงจะเพียบพร้อมเป็นผู้นำ มิเช่นนั้นไม่ต้องครองใต้หล้าก็ย่อมได้” ตอนที่หลานเยี่ยหมุนตัวออกไป ผู้เฒ่าพูดคำพูดเหล่านี้กับเขา


 


 


หลานเยี่ยหันมา ทำความเคารพอีกครั้ง


 


 


“ข้าน้อยรับรู้แล้ว”


 


 


สำหรับคำพูดของผู้เฒ่า หลานเยี่ยกลับไม่ได้ฟังเข้าไปเท่าไรนัก สิ่งที่เขาอยากได้แต่เดิมก็ไม่ใช่ใต้กล้า การโจมตีตระกูลเยี่ยอาจเป็นเพราะทำให้เรื่องความหวังบางอย่างในโลกใบนี้สำเร็จลุล่วง ยืนอยู่ในจุดที่สูงสุด จากนั้นได้ครอบครองสิ่งที่ตนเองต้องการจริงๆ เท่านั้นก็พอแล้ว


 


 


หลานเยี่ยดึงหลานเฟิงออกไป ตอนที่ออกมานั้นจู่ๆ หลานเยี่ยก็หมุนตัวกอดหลานเฟิงไว้ ไม่ได้พูดอะไรเพียงต้องการการปลอบโยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


 


หลานเฟิงก็กอดเขาเอาไว้ ทำให้เขาสบายใจ พวกเขายังมีด่านเคราะห์กรรมอีกหนึ่งด่าน ด่านเคราะห์สุดท้าย และเป็นด่านเคราะห์ที่ทรมานที่สุด จะเป็นหรือตายก็ไม่เป็นไร เกิดไม่พร้อมกันตายพร้อมกัน จะเป็นหรือตายล้วนอยู่ข้างกายเจ้า


 


 


รอจนพวกเขากลับไป เจียงหลิงก็กลับมาแล้ว


 


 


“เหวินเย่ว์ทำการสืบเสาะหมดแล้ว ไม่มีทหารพลังอื่นขอรับ หลังจากนี้พวกเราควรทำเช่นไรขอรับ”


 


 


“ด้านราชสำนักและจิ่วหลิวล้วนหยุดชั่วคราวแล้ว พวกเราก็พักจัดระเบียบกันเสียหน่อย ตระกูลเยี่ยตอนนี้แตกซ่านกระจัดกระจาย ระวังพวกเขาจะโจมตีกลับ”


 


 


“ขอรับ”


 


 


เจียงหลิงรับคำสั่ง จากนั้นก็ออกไป หลานเยี่ยกลับขยี้ตาอยู่ตลอด หลานเฟิงลากเขาให้เข้ามา


 


 


“เสี่ยวเยี่ย เจ้าเป็นอะไรหรือ”


 


 


“หนังตาข้ากระตุกอยู่ตลอด มักรู้สึกว่าจะมีเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น”


 


 


หลานเยี่ยพูดไปพลาง เขียนจดหมายไปพลาง หลังจากเขียนเสร็จแล้วก็ให้คนนำจดหมายไปที่ตระกูลหลานมอบให้หลานเม่ย จากนั้นให้หลานเม่ยมอบจดหมายให้แก่ชังหลาน บอกเขาเรื่องที่เกิดในวันนี้ เรื่องคนสนิทของหลานเจ๋อ ชังหลานน่าจะไม่รู้เรื่อง หลังจากที่ส่งจดหมายออกไปแล้ว หลานเยี่ยนั่งลงครุ่นคิดเรื่องราวต่อไป หลานเฟิงคอยนวดศีรษะให้เขาอยู่ข้างๆ ให้เขาพักผ่อนเสียหน่อย


 


 


จู่ๆ หลานเยี่ยก็เหมือนคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้


 


 


“หลานเฟิง ครั้งนี้ส่งทหารออกศึกสามทางพร้อมกัน ตระกูลเยี่ยกลับใช้กลุ่มจิ้งจอกราตรีในกลุ่มทหารพลังจิ่วหลิวเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มาก เช่นนั้นจิ้งจอกราตรีคนอื่นไปที่ใด”​ หลานเยี่ยพูดออกมาด้วยความลนลาน


 


 


“ที่ตระกูลหลานพวกเขาเข้าไปไม่ได้ เช่นนั้นถ้าไม่ใช่เขาเทียนปี้ ก็เป็นราชสำนักอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ท่านประมุข” เจียงหลิววิ่งเข้ามาจากด้านนอกด้วยความเร่งรีบ


 


 


“ราชสำนักเกิดเรื่องแล้ว”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 190 รอดตายหวุดหวิด


 


 


“เกิดอะไรขึ้น”​หลานเยี่ยตกใจ


 


 


“ตระกูลเยี่ยส่งจิ้งจอกราตรีจำนวนมากโจมตีเขาเทียนปี้และราชสำนัก ทางด้านเขาเทียนปีมีจู่จื๋อซืออยู่พอดี ฉะนั้นจึงไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาสมหวังขอรับ


 


 


แต่ทางด้านราชสำนัก ตอนแรกนั้นโจมตีวังหลวง แต่พวกเขาใช้แผนการล่อเสือออกจากถ้ำ โจมตีบุกวังหลวง อีกทางก็ลอบโจมตีตระกูลเทียน ตระกูลเทียน…สิ้นหมดแล้วขอรับ”


 


 


“ตระกูลเทียนสิ้นหมดแล้ว! เทียนซีเล่า?”


 


 


“ทางวังหลวงยังไม่มีข่าว อาจถูกปิดข่าวเอาไว้ขอรับ” เจียงหลิงวิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้


 


 


“เจียงหลิง เจ้าพาคนไปป้องกันซีเชวียและเหวินเย่ว์ รอจนทางจิ่วหลิวโจมตีสำเร็จแล้ว ค่อยร่วมมือกับจิ่วหลิวและราชสำนักโจมตีกลับตระกูลเยี่ยครั้งสุดท้าย หลานเฟิง พวกเราไปราชสำนักกันครั้งหนึ่ง”


 


 


หลานเยี่ยลากหลานเฟิงพุ่งไปยังเขาเทียนปี้


 


 


เมื่อมาถึงราชสำนัก ราชสำนักไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากตอนที่พวกเขาออกมามากนัก ข้ารับใช้หญิงจำนวนหนึ่งเดินอยู่ตามทางเดินก็แลดูสบายใจอย่างมาก


 


 


รอบวังซีมั่วกลับมีทหารพลังล้อมรอบอยู่กลุ่มหนึ่ง คนด้านนอกมองไม่เห็นข้างใน และไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทั้งสิ้น หลานเยี่ยคิดจะเข้าไป แต่ทหารพลังหน้าประตูกลับห้ามเขาเอาไว้


 


 


“ฮ่องเต้มีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป” หลานเยี่ยนำตราหยกประมุขตระกูลออกมา คนผู้นั้นเหลือบมองทีหนึ่ง แล้วจึงปล่อยให้พวกเขาเข้าไป อวี่มั่วเคยบอกกับทุกคนไว้ว่า ขอเพียงเห็นตราหยกนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดขวาง


 


 


หลังจากหลานเยี่ยเข้าไปแล้วก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใด แต่หน้าประตูห้องกลับมีเขตม่านพลังถูกตั้งไว้ หลานเยี่ยเจาะทำลายเขตม่านพลัง หลังจากเข้าไปหลานเฟิงก็เพิ่มเขตม่านพลังให้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้เสียงข้างในไม่อาจทะลุไปได้


 


 


เพราะเขตม่านพลังเมื่อครู่นี้ตอนที่ถูกหลานเยี่ยทำลายลงเสียงข้างในที่ดังมากลอยดังออกมา


 


 


เมื่อเปิดประตูห้องก็เห็นเทียนซีที่กำลังบ้าคลั่งและอวี่มั่วที่สำรอกออกมาเป็นเลือด


 


 


“เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ตระกูลเทียนสิ้นหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แท้จริงแล้วข้าทำอะไรผิดกันแน่” รอบข้างเทียนซีคือพลังวิญญาณสีฟ้าอ่อน หลานเยี่ยตื่นตกใจ พลังวิญญาณของเทียนซีถือเป็นของตระกูลหลาน


 


 


“เสี่ยวซี ขอโทษ เป็นความผิดของข้า” อวี่มั่วจับโต๊ะประคองตัวเอาไว้แล้วพูดออกมา ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นเทียนซีที่ทำให้อวี่มั่วกลายเป็นเช่นนี้


 


 


“เพราะเหตุใด เหตุใดตอนแรกข้าจึงร่วมเดินไปกับเจ้า เพราะเหตุใดข้าต้องออกจากตระกูลเทียนเพื่อเจ้า หากข้าไม่ออกมา หากข้าไม่เข้ามายุ่งเรื่องใต้หล้านี้ ตระกูลเทียนจะไม่สูญเสียจนไม่เหลือใครเช่นนี้ใช่หรือไม่” ได้ยินคำพูดของเทียนซี หลานเยี่ยตะลึงไป


 


 


เทียนซีคลุ้มคลั่งไปแล้ว สิ่งของทั้งหมดภายในห้องล้มลง พลังวิญญาณในมือเทียนซีพุ่งตรงไปที่อวี่มั่วไม่หยุด อวี่มั่วไม่ต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น หลานเยี่ยคิดจะลงมือหยุดยั้งเขา กลับถูกหลานเฟิงห้ามไว้


 


 


หลานเยี่ยมองหลานเฟิง หลานเฟิงส่ายหน้า แสดงออกเป็นนัยว่าเรื่องนี้ต้องให้พวกเขาจัดการเอง


 


 


เทียนซีในตอนนี้ร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้แทบจะขาดใจ อวี่มั่วน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้พลังวิญญาณของเทียนซีจะไม่สูง แต่ก็ไม่อาจทนรับการที่เขาโจมตีอวี่มั่วอยู่ตลอดอย่างไม่ยั้งมือ


 


 


เทียนซีใช้พลังวิญญาณไปพอสมควรแล้ว ล้มลงนั่งกองกับพื้น พลังวิญญาณไม่เหลือ อวี่มั่วคิดจะไปประคองเขา แต่ก็จนปัญญาด้วยเลือดที่สำรอกออกมาตลอด ร่างกายรับไม่ไหว


 


 


“เสี่ยวซีๆ ข้าผิดเอง ข้าไม่ปกป้องตระกูลเทียนให้ดี ข้าขอโทษ เจ้าจะโทษอะไร เจ้ามีความแค้นอะไรก็มาลงที่ข้าเถิด ข้าขอเพียงเจ้าอย่าจากข้าไป เสี่ยวซี” อวี่มั่วยิ่งพูดยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลานเยี่ยรับไม่ได้


 


 


เขาผลักหลานเฟิงออก หลานเยี่ยวิ่งไปรักษาบาดแผลให้อวี่มั่ว อวี่มั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาทีหนึ่ง พยายามส่งยิ้มให้


 


 


“ขอบคุณ ช่วยข้า ดู เสี่ยวซี”


ตอนที่ 191 ชาตินี้ไม่เปลี่ยนไป


 


 


หลังจากหลานเยี่ยรักษาอาการบาดเจ็บให้อวี่มั่วไปกว่าครึ่ง ก็ไปดูเทียนซี ตอนนี้เทียนซีไม่มีปฏิกิริยาแล้ว นั่งนิ่งๆ อยู่บนพื้นเช่นนี้


 


 


หลานเยี่ยจับข้อมือของเขา พบว่าพลังวิญญาณของเทียนซีไม่มีอีกเหลืออีกแล้ว ลมหายใจวุ่นวายปนเป เหตุเพราะได้รับส่วนผสมยาตั้งแต่เด็ก ชีพจรของเทียนซีจึงไม่เหมือนกับคนทั่วไป


 


 


เลือดร้อนปะทะหัวใจ ลมหายใจไม่เป็นระเบียบ นอกจากสิ่งเหล่านี้อย่างอื่นก็ไม่ได้เป็นปัญหามาก เทียนซียังพอมีสติอยู่เล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองหลานเยี่ยที่อยู่หน้าเขา


 


 


“เจ้ามาทำไม ล้วนเป็นความผิดของเจ้า ตระกูลเทียนถูกขจัด ล้วนเป็นความผิดของเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเราก็คงอยู่ที่หอต้วนอวิ๋นอย่างมีความสุข เหตุใดเจ้าต้องปรากฏตัวขึ้น” หลานเยี่ยไม่เคยพบเทียนซีที่เป็นเช่นนี้มาก่อน เทียนซีในความทรงจำนั้นอ่อนโยน ไม่ได้เป็นเช่นนี้


 


 


หลานเยี่ยครุ่นคิด ตอนแรกที่หลานชิงเกิดเรื่อง ตนเองมีปฏิกิริยาเช่นไร ช่วงที่นิ่งค้างไปนั้น หลานเฟิงเดินเข้ามาอุ้มหลานเยี่ยออกไป เดินออกไปพลางหันไปรับมือกับเทียนซีที่ซัดพลังวิญญาณมาทางหลานเยี่ย


 


 


หลานเฟิงปกป้องร่างกายของหลานเยี่ยเอาไว้ เทียนซีเริ่มพุ่งเป้าโจมตีหลานเยี่ย จู่ๆ อวี่มั่วก็ใช้แรงทั้งหมดเข้ามากอดเทียนซีเอาไว้จากข้างหน้า พลังวิญญาณของเทียนซีที่เพิ่งซัดออกมาปะทะเข้าร่างอวี่มั่วพอดิบพอดี อวี่มั่วครางออกมาทีหนึ่ง


 


 


เทียนซีเห็นอวี่มั่วกอดเขาเอาไว้ จึงบอกให้เขาออกไป อวี่มั่วกอดเทียนซีเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ เทียนซีเห็นอวี่มั่วไม่ยอมถอยออก ใบหน้าบิดเบี้ยวตีลงบนหลังอวี่มั่วอย่างแรงไม่หยุด อวี่มั่วเพียงแค่ทนรับไว้


 


 


“เสี่ยวซี ไม่ว่าเจ้าจะฟังหรือไม่ ข้าก็จะพูด” อวี่มั่วพูดไปพลาง รับการโจมตีของเทียนซีไปพลาง


 


 


“ตระกูลเทียนเกิดเรื่อง เป็นความผิดของข้า หากเจ้าคิดว่าข้าสมควรตาย เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเถิด ข้าจะไม่มีคำกล่าวโทษแม้แต่ประโยคเดียว


 


 


แต่เทียนซี เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้ อย่าจากข้าไป อย่าไม่สนใจข้า ต่อให้เจ้าตีข้าก็ดี ด่าข้าก็ดี จะฆ่าข้าก็ดี ข้าล้วนไม่พูดอะไรทั้งนั้น


 


 


เสี่ยวซี ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพูดมาก่อนไม่ใช่หรือ พวกเราอยู่ด้วยกัน พ่อแม่ของข้าก็คือพ่อแม่ของเจ้า ตระกูลเทียนถูกกำจัด ความแค้นนี้ข้าจะช่วยเจ้าเรียกร้องกลับมา แต่เจ้าอย่าได้กลัว เจ้าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเท่านั้น


 


 


บนโลกใบนี้ไม่ได้เหลือเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น เจ้ายังมีข้า ยังมีเสด็จแม่ เจ้ายังมีผองเพื่อนมากมายจากหอต้วนอวิ๋น เจ้ายังพูดไม่ใช่หรือว่าจะทำให้วังหลังกลายเป็นลักษณะเช่นหอต้วนอวิ๋น


 


 


ข้ากำลังแก้ไขแล้ว รออีกสองวัน พวกเราก็จะเป็นเหมือนหอต้วนอวิ๋น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สนุก ครึกครื้น เรื่องที่ไม่มีความสุขทั้งหลายล้วนลืมเลือนไป” ตอนที่อวี่มั่วพูดถึงหอต้วนอวิ๋นนั้น เทียนซีก็หยุดการโจมตีที่มีต่อเขาลง แต่น้ำตากลับไหลลงมาไม่หยุด


 


 


“หอต้วนอวิ๋น…” เทียนซีพูดพึมพำ


 


 


“ใช่ หอต้วนอวิ๋น หอต้วนอวิ๋นเองก็เป็นบ้านของเจ้า หลังจากนี้วังหลวงก็เป็นบ้านของเจ้า หากเจ้าอยากไปที่ใด ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น เสี่ยวซี ข้าคือบ้านของเจ้า เจ้าไม่ได้สูญเสียบ้านไป


 


 


คนตระกูลเทียนย่อมไม่คาดหวังให้เจ้าเสียใจ ย่อมต้องคิดให้เจ้าสบายดี แม้ตอนแรกพวกเขาจะยังไม่ยอม แต่กลับไม่ได้ทำเรื่องอะไร เพื่อคนตระกูลเทียน เจ้าจะต้องมีชีวิตที่ดีต่อไป


 


 


เจ้ารู้หรือไม่ พวกเรายังไม่เคยหมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการเลย! ข้ายังไม่ได้ชดเชยของหมั้นร้อยลี้ให้เจ้า ยังไม่ได้อุ้มเจ้าลงมาจากเกี้ยวดอกไม้ ยังไม่ได้กินเหล้าคล้องแขน ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ไม่ได้ทำ ฉะนั้นเสี่ยวซี ลืมเรื่องราวทุกข์ใจเหล่านั้นลงเถิด ข้าจะจัดการแทนเจ้าทั้งหมด เชื่อข้าดีหรือไม่”


 


 


ตอนที่พูดมาครึ่งหนึ่ง เทียนซีก็ได้สติขึ้นมาแล้ว มองดูอวี่มั่วที่บาดเจ็บเพราะตน เทียนซีก็กอดเขาไว้แน่น


 


 


“ขอโทษ อวี่มั่ว ข้าขอโทษ ตระกูลเทียนสำหรับข้าสำคัญมากเกินไป ข้ารับไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่คิดจะจากเจ้าไป ข้อขอโทษ ข้าไม่มีตระกูลเทียนแล้ว ไม่อาจไม่มีเจ้าได้อีก” ตอนนี้เทียนซีร้องไห้เหมือนเด็กน้อยขึ้นมา


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าอย่าร้องไห้ ไม่น่ามองแล้ว” อวี่มั่วเช็ดน้ำตาให้เขา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 192 สภาพจิตใจ


 


 


หลานเยี่ยเห็นทั้งสองคนสงบลงแล้ว เทียนซีไม่เป็นอะไรแล้ว ฉะนั้นจึงจากออกไปพร้อมหลานเฟิง


 


 


ตอนที่ออกไปนั้นหลานเยี่ยบอกทหารพลังหน้าประตูว่าหลังจากนี้ครึ่งชั่วยามให้เขาเรียกหมอหลวงมา แม้วิชาการแพทย์ของเทียนซีจะดีเป็นอย่างมาก แต่เทียนซีในตอนนี้คาดว่าไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลืออะไรได้


 


 


หลานเยี่ยเดินนำอยู่ข้างหน้าช้าๆ หลานเฟิงเดินตามหลังช้าๆ หลานเฟิงมองออก เรื่องเมื่อครู่นี้ส่งผลกระทบต่อหลานเยี่ยมากเหลือเกิน


 


 


คำพูดเหล่านั้นที่เทียนซีพูด แม้จะพูดออกมาเพราะความโมโห แต่อย่างไรตระกูลเทียนทั้งตระกูลก็ถูกทำลาย ความเจ็บปวดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะรับไหว ปฏิกิริยาของเทียนซีก็ถือเป็นสิ่งที่สมเหตุผล


 


 


“หลานเฟิง” จู่ๆ หลานเยี่ยก็หยุดลง หมุนตัวหันกลับมามองหลานเฟิง หลานเฟิงก็มองเขา


 


 


“หลานเฟิง ข้าจะกำจัดตระกูลเยี่ย เดี๋ยวนี้” หลานเยี่ยพูดประโยคหนึ่งออกมาด้วยความเด็ดเดี่ยว


 


 


“ได้”


 


 


ทั้งสองคนมาถึงพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างจิ่วหลิวและตระกูลเยี่ย ทหารพลังตระกูลหลานในพื้นที่จิ่วหลิวมีการพักปรับระเบียบกันชั่วคราว หลังจากพวกเขาสองคนพบคนเหล่านั้นแล้ว ก็พบว่ามู่หลีและชิวลั่วก็อยู่ด้วย


 


 


“มู่หลี เหตุใดเจ้าจึงกลับมาแล้วเล่า”


 


 


“มาช่วย เจ้าลำบากเช่นนี้ การที่เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลาน ข้าจะอยู่เฉยดูเรื่องวุ่นได้อย่างไร”


 


 


“ขอบใจ”​ หลานเยี่ยพูดขอบคุณ


 


 


วันนี้วิ่งไปวิ่งมาทั้งวัน จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว ทหารพลังตื่นตัวเฝ้าสังเกตการณ์ด้านนอกอยู่ตลอดเวลา ป้องกันการลอบโจมตีจากตระกูลเยี่ยกลุ่มจิ้งจอกราตรีที่ไปเขาเทียนปี้เพราะมีหลานเม่ยอยู่ฉะนั้นส่วนใหญ่จึงกลับมาแล้ว จิ้งจอกราตรีที่ไปราชสำนักหลังจากทำภารกิจสำเร็จก็กลับมาแล้วเช่นกัน


 


 


ตอนนี้กลุ่มจิ้งจอกราตรีของตระกูลเยี่ยกลับมาประจำที่ หลังจากนี้จะต้องเป็นศึกหนักอีกสนามอย่างแน่นอน


 


 


“มู่หลี ครั้งนี้พวกเจ้ากลับมาทำอะไร” หลานเยี่ยถามพวกเขา


 


 


“ข้าตั้งใจจะรวบรวมแหล่งข่าวในพื้นที่จิ่วหลิว กำจัดสายสืบจิ้งจอกราตรีในพื้นที่จิ่วหลิวออกไปให้สิ้นซาก


 


 


สถานการณ์ในพื้นที่จิ่วหลิวซับซ้อนเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถกำจัดได้หมดสิ้น ครั้งนี้ข้าและชิวลั่วไปมาหลายพื้นที่ เข้าใจเรื่องบางอย่างมากขึ้น และครอบครองข่าวสารของทุกคน


 


 


สถานการณ์ทางด้านตระกูลเยี่ยข้าเองก็รู้ ตระกูลเยี่ยตอนนี้แตกซ่านกระจัดกระจาย แต่ลาที่ผอมแห้งตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า หากสายลับในพื้นที่จิ่วหลิวทั้งหมดเริ่มลงมือพร้อมกันแล้วละก็


 


 


การทำลายล้างจะยิ่งใหญ่อย่างมาก พวกเขากระจายกันไปในหลากหลายอาชีพที่ต่างกัน อาจจะกระทบต่อราชสำนัก เขาเทียนปี้ และตระกูลหลานในเวลาเดียวกัน ก่อนกลางวันพรุ่งนี้ ข้าจะจัดการเรื่องในพื้นที่จิ่วหลิวให้เสร็จ


 


 


ขอแค่ก่อนหน้านั้นเจ้าสามารถรับมือการโจมตีของตระกูลเยี่ยได้ก็พอ”


 


 


“ไม่มีปัญหา ลำบากเจ้าแล้ว” หลานเยี่ยพูดไปพลางมองชิวลั่วที่อยู่ข้างกายมู่หลีไปพลาง หลานเยี่ยพอจำได้ว่าตอนแรกที่ความทรงจำของตนยังไม่กลับมานั้น คนผู้นี้น่าจะอาศัยอยู่ที่หอไป๋ฮวามาโดยตลอด


 


 


มู่หลีเห็นหลานเยี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทีหนึ่ง กลับพบว่าเขากำลังจ้องเขม็งมองชิวลั่ว


 


 


“ทำอะไรน่ะ” มู่หลีเอ่ยปากถาม หลานเยี่ยได้สติกลับมา


 


 


“ไม่มีอะไร” หลานเยี่ยยิ้มแห้ง บอกปัดลวกๆ


 


 


“ความทรงจำของเจ้าไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาทั้งหมดใช่หรือไม่” แม้ชิวลั่วจะเคยบอกมู่หลีวว่าหลานเยี่ยจำหลานเฟิงได้แล้ว แต่กลับไม่ได้พูดถึงอย่างอื่น บทสนทนาคราวนี้และสายตาที่เขามองชิวลั่วทำให้เขาสงสัยว่าหลานเยี่ยยังไม่ได้ฟื้นความทรงจำทั้งหมด


 


 


“ฟื้นกลับมากว่าครึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบเจ้าที่หอไป๋ฮวามาก่อนใช่หรือไม่” ได้ยินคำว่าหอไป๋ฮวาสามคำนี้ หลานเฟิงหันมองหลานเยี่ยในทันที หลานเยี่ยรีบปิดปากในทันใด


 


 


“ท่านไม่ได้จำผิด ข้าเคยอยู่ที่หอไป๋ฮวามาก่อน แล้วยังเคยรับท่านผู้นี้อยู่หลายครั้งด้วย” ชิวลั่วยิ้มหลงชี้ไปที่หลานเฟิง


 


 


คราวนี้ถึงตาหลานเยี่ยจ้องเขาแล้ว หลานเฟิงกลับสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงแค่ถลึงตามองชิวลั่วเท่านั้น


 


 


“พวกเราควรไปแล้ว ทางนี้มีพวกเขาคอยดูอยู่ ไม่ต้องเป็นกังวล” หลานเฟิงเปลี่ยนเรื่องสนทนา


 


 


“ได้” หลานเยี่ยกลับจ้องเขาเขม็ง เหมือนจะมองทะลุผ่านเขาไปเสียอย่างนั้น


ตอนที่ 193 อุ้มอีกแล้ว


 


 


ระหว่างทางกลับซีเชวีย หลานเยี่ยหาเรื่องวุ่นหลานเฟิงไม่หยุด


 


 


“หลานเฟิงเจ้ารักข้าหรือไม่”


 


 


“รัก”


 


 


“จริงหรือ”


 


 


“จริง”


 


 


“รักมากเพียงใด”


 


 


“ในใจมีเพียงเจ้า”


 


 


หลานเยี่ยถามอยู่นาน ทุกคำถามนั้นถามซ้ำกลับไปมา หลานเฟิงก็ไม่รำคาญ ทุกคำถามล้วนตอบเขา ในที่สุดหลานเยี่ยก็เหนื่อย หยุดหอบหายใจ จากนั้นก็เดินต่อ


 


 


“หลานเฟิง ถามเจ้าคำถามหนึ่งได้หรือไม่”​ จู่ๆ หลานเยี่ยก็กลายเป็นลังเล ไม่รู้ว่าสมควรถามหรือไม่


 


 


“ได้”


 


 


“ตอนแรกที่เจ้าผนึกความทรงจำของข้าเจ้ามีความรู้สึกเช่นไร ตอนแรกที่เจ้าปลดผนึกความทรงจำของข้าเจ้ารู้สึกเช่นไร ตอนแรกที่เจ้าได้ยินข่าวการตายของข้าเจ้ารู้สึกเช่นไร ตอนที่พวกเราเจอหน้ากันครั้งแรกพบว่าข้าไม่รู้จักเจ้า เจ้ารู้สึกเช่นไร”


 


 


พูดไว้อย่างดีว่าหนึ่งคำถาม หลานเยี่ยกลับถามออกมาสี่คำถาม หลังจากถามเสร็จแล้วหลานเฟิงไม่พูด หลานเยี่ยเองก็ไม่ถามต่อ เดินต่อไปเงียบเชียบเช่นนี้


 


 


เส้นทางกลับซีเชวียจากจิ่วหลิวนั้นราบเรียบ ผ่านลำธารเล็กสายหนึ่ง หลานเยี่ยเงยหน้าขึ้นมอง ไม่พบว่ามีปลา มีเพียงหญ้าน้ำสองสามดอกลอยอยู่บนผิวน้ำ ลอยไปลอยมา ลอยไปแล้วก็ลอยมา ลอยจนทำให้จิตใจของหลานเยี่ยวุ่นวาย เพราะไม่มีความน่าสนใจ จากนั้นก็เดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร้ซึ่งคำพูด


 


 


“เจ็บปวดมาก” จู่ๆ หลานเฟิงก็พูดออกมาสามคำ หลานเยี่ยกำหมัดแน่น หลานเฟิงไม่เคยเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกของตนเองให้เห็น ต่อหน้าเขาบางครั้งที่มีอารมณ์ก็มักจะเป็นความยินดี


 


 


หลานเฟิงพูดสามคำนี้ออกมาได้ อธิบายได้ว่าเจ็บปวดอย่างมาก เฉกเช่นใกล้ตาย หลานเยี่ยคิดในใจ ตนเองสูญเสียความทรงจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนที่เจ็บปวดที่สุดไม่มีใครเกินหลานเยี่ย แล้วตนเองยังมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยืนหยัดอีกเล่า! ตนเองก็สามารถทำให้หลานเฟิงไม่เจ็บปวดอีกต่อไป


 


 


“เพราะว่าเจ็บปวดมาก ฉะนั้นหลังจากนี้จะไม่ให้เจ้าได้รับความเจ็บปวดเหล่านั้นอีก” หลานเฟิงพูดเสริมอีกประโยค


 


 


หลานเยี่ยฟัง ไม่ได้พูดอะไร ในดวงตานั้นเป็นประกาย แต่ไม่มีน้ำตา ตอนที่ควรจะเอาแต่ใจได้ผ่านไปแล้ว ตนเองไม่อาจมีน้ำตาได้อีก จะยินดีก็ดี เจ็บปวดก็ย่อมได้


 


 


จู่ๆ หลานเฟิงก็หยุดฝีเท้า มองหลานเยี่ย หลานเยี่ยเห็นหลานเฟิงหยุดลง จึงหันไปมองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย


 


 


“เสี่ยวเยี่ย ต่อหน้าข้าไม่จำเป็นต้องปิดบังตนเอง และไม่จำเป็นต้องกดดันตนเอง ยิ่งไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อข้า ขอแค่เป็นตัวเจ้าที่ดีที่สุดก็พอแล้ว”


 


 


ทันใดนั้นลมกระแสหนึ่งก็พัดผ่านมา หลานเยี่ยมองหลานเฟิงด้วยความตื่นตกใจ ลมแรงเกินไป หลานเยี่ยโดนพัดจนลืมตาไม่ขึ้น แต่น้ำตากลับไหลลงมาไม่หยุด หลานเฟิงก้าวขึ้นไปช่วยเช็ดให้เขาเบาๆ


 


 


วันนี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะแยะมากมายเกินไป และเหนื่อยเกินไป หลานเยี่ยลืมตาขึ้นจู่ๆ ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยมากจริงๆ วันนี้ฝืนอยู่ทั้งวัน


 


 


“หลานเฟิง ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ขอนอนสักหน่อย”


 


 


“ได้”


 


 


หลานเฟิงโน้มตัวอุ้มเขาขึ้นมา เดินตรงต่อไปข้างหน้า ตอนที่ท้องฟ้ารุ่งสาง หลานเฟิงและหลานเยี่ยกลับไปแล้ว ตอนที่เจียงหลิงเห็นพวกหลานเฟิงกลับมาริมฝีปากก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย


 


 


‘เหตุใดทุกครั้งต้องอุ้มไว้ ช่วยเห็นใจคนที่ยังไม่แต่งงานบ้างได้หรือไม่’


 


 


“รอทางจิ่วหลิวส่งข่าวมาค่อยไปปลุกพวกเราให้ตื่น” หลังจากหลานเฟิงพูดกับเจียงหลิงเช่นนี้ก็จากไป เหลือเพียงเจียงหลิงยืนอยู่ท่ามกลางลมกระโชกแรงเพียงลำพัง


 


 


ปลุกพวกเราให้ตื่น…


 


 


ปลุกพวกเราให้ตื่น…


 


 


ปลุกพวกเราให้ตื่น…


 


 


คำสี่ตำลอยอยู่ในหัววนไปมา เจียงหลิงหัวแทบระเบิด หากเข้าไปแล้วเห็นสิ่งที่ไม่สมควรเห็นจะทำเช่นไรเล่า คงจะไม่กระมัง เคาะประตูจากข้างนอกก็พอแล้ว อ๊ากกก เจียงหลิงหัวแทบจะระเบิดออกแล้วจริงๆ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 194 รู้สึกใหม่อีกครั้ง


 


 


ยังไม่ถึงเวลากลางวันหลานเยี่ยก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ตาทั้งสองข้างลืมขึ้นเห็นหลานเฟิงนอนลงอยู่ข้างตนเอง นอนหลับยังไม่มีทีท่าจะตื่น


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจของหลานเยี่ยนั้นมีเสียงน้ำไหลตลอดเวลา เหมือนใบไม้แดง เหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ ยิ่งมองหลานเฟิงก็ยิ่งลึกล้ำขึ้น


 


 


หลานเฟิงขยับจับขนตาของหลานเฟิงเล็กน้อย ยาวมาก สวยงามมาก จากนั้นหลานเยี่ยก็ค่อยๆ ไล่นิ่วลงไปด้านล่าง ดวงตาก็สวย เหตุใดถึงได้เกิดมาน่ามองเช่นนี้ จากนั้นก็จมูก ดั้งโด่งตรง ลองจับบิดแล้วยังรู้สึกสบายด้วย


 


 


จากนั้นก็เป็นริมฝีปาก ริมฝีปากนุ่มมาก สบายมาก หลานเยี่ยจับพลัดจับผลูเอาริมฝีปากตนเองแนบลงไป ยังไม่ลืมแลบลิ้นเลียเล็กน้อย จากนั้นหลานเยี่ยก็เข้าใจว่าในใจรู้สึกอย่างไร


 


 


หลานเฟิงกำลังหลับสนิท ฝันไปอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว ในความฝันเขาและหลานเยี่ยขี่ม้าด้วยกันที่เขาหลานวั่ง จู่ๆ หลานเยี่ยก็หยุดลง หันมาจุมพิตดวงตาของตน จมูกของตน ตอนที่ยังไม่ทันถึงริมฝีปาก หลานเฟิงก็ตื่นขึ้นมาเสียก่อน


 


 


ตอนแรกยังรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อตื่นแล้วก็ต้องพบว่าหลานเยี่ยกำลังประกบอยู่บนริมฝีปากของตน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน จู่ๆ ดวงตาทั้งสองคู่ก็สบมองกัน หลานเยี่ยตกใจรีบลุกขึ้นมา คิดเคยคิดว่าหลานเฟิงกลับพลิกกดเขาเอาไว้ลงบนเตียง


 


 


สิ่งที่ทำให้หลานเฟิงตกใจมากที่สุดคือหลานเยี่ยไม่ขัดขืน แต่กลับยิ้มแย้มหัวเราะน้อยๆ มองเขา ผ่านไปครู่หนึ่ง หลานเฟิงรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ลูบแผ่นอกของตนเองดู เหมือนว่ามีอะไรบางอย่าง ความรู้สึกที่เงียบสงบอย่างมากลึกล้ำอย่างมาก


 


 


หลานเฟิงเลิกลูบแผ่นอกของตนเอง ผ่านไปไม่นานก็ต้องถลึงตาโตในทันใด


 


 


“เสี่ยวเยี่ย ข้า…” หลานเยี่ยดึงเขาลงมา กอดเขาไว้


 


 


“ข้าจำได้หมดแล้ว จำขึ้นมาได้หมดแล้ว อีกทั้งยังสามารถรับรู้ความรู้สึกของเจ้าจากมุกหลิววั่งได้แล้ว เหมือนน้ำพุใส เหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ ลึกล้ำอย่างมากสบายอย่างมาก หลานเฟิง จริงๆ แล้วเจ้ารักข้าถึงเพียงนี้”


 


 


หลานเฟิงเอนตัวนอนลงบนร่างหลานเยี่ย ถูกหลานเยี่ยกอดเอาไว้ ตื้นตันใจอย่างมาก เมื่อครู่สิ่งที่ส่งถ่ายมาจากหลานเยี่ยล้วนเป็นความรักที่ล้นเหลือ ความรักที่ทำให้เขายินดีบ้าคลั่ง ความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน


 


 


หลานเยี่ยสามารถสัมผัสได้ถึงอาการสั่นสะท้านของเขา ตบหลังเขาเบาๆ หลานเฟิงลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น จุมพิตเขาลงไป จุมพิตที่อ้อยอิ่งและสงบใจช่างสบายเช่นนี้เอง


 


 


เจียงหลิงเดินวนเวียนอยู่หน้าประตู จะเคาะประตูก็ไม่ใช่ ไม่เคาะก็ไม่ใช่ สุดท้ายจึงตัดสินใจเคาะประตู ครั้งที่หนึ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหว ครั้งที่สอง ไม่มีความเคลื่อนไหว ครั้งที่สามยัง ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว


 


 


เจียงหลิงลนลานแล้ว คราวนี้จะทำเช่นไร เจียงหลิงร้อนใจ ข่าวทางจิ่วหลิวได้กระจายออกไปแล้วต้องรีบฉวยโอกาส


 


 


เจียงหลิงฮึดตัดสินใจ ตอนนี้เป็นช่วงกลางวันน่าจะไม่มีอะไรกระมัง อีกทั้งคำสั่งของท่านหัวหน้าแม่ทัพคือหากจิ่วหลิวมีข่าวให้บอกเขา เขาจำเป็นต้องเชื่อฟังทำตามคำสั่ง คิดอย่างถูกต้องมีเหตุผลเช่นนี้เจียงหลิงจึงผลักประตูเข้าไป


 


 


แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ต้องยืนซื่อไป ทั้งสองคนกำลังจุมพิตกันอยู่บนเตียงอย่างดูดดื่ม เสื้อผ้าของหลานเยี่ยนั้นไหลลงมาถึงไหล่ พอเจียงหลิงเห็นแล้วก็รีบถอยออกจากห้องไป พลางปิดงับประตูลง


 


 


“ข้า ข้า ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ท่านหัวหน้าแม่ทัพ ทางด้านจิ่วหลิวส่งข่าวมาแล้วทางทิศตะวันออกของตระกูลเยี่ยถูกครอบครองแล้ว ข้าบอกท่านแล้ว ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้าขอตัวขอรับ” เจียงหลิงรีบหนีไปด้วยความร้อนรน


 


 


ตอนที่ประตูถูกปิดลงเสียงดังทำให้ทั้งสองคนได้สติ หลานเยี่ยตั้งสติได้รีบผลักหลานเฟิงออก ใส่เสื้อผ้าของตนให้ดีจากนั้นก็ได้ยินเสียงเจียงหลิงพูดจากด้านนอก


 


 


ฟังคำพูดของเจีงหลิงแล้ว หลานเฟิงหันหน้ามามองหลานเยี่ยทีหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา ใบหน้าของหลานเยี่ยแดงก่ำ


 


 


“หัวเราะอะไร เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น” หลานเยี่ยพูดออกมาด้วยความโกรธ


 


 


“โทษข้าทั้งนั้น แต่ไฟถูกจุดขึ้นมาแล้ว เอาลงไม่ได้จะทำเช่นไร” หลานเยี่ยเหลือบมองลงไปด้านล่างทีหนึ่ง รีบสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย วิ่งออกนอกห้องไป หลานเฟิงหัวเราะพลางมองตามเขา ไม่นานก็ออกไปเช่นเดียวกัน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม