(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 182-189

 ตอนที่ 182 กินอาหารเช้าด้วยกัน 


 


 


           หลังจากไป๋จิ่งวางของทั้งหมดใส่เข้าที่เรียบร้อย ก็เอ่ยถามมั่วไป๋ “ตอนเช้าอยากกินอะไร” 


 


 


           มั่วไป๋ครุ่นคิดสักพัก “เกี๊ยวน้ำ” 


 


 


           เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่กับไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งเคยพูดถึง เพียงแต่ตอนนั้นเขายังไม่มีค่าพอจะได้ชิมเกี๊ยวน้ำฝีมือของไป๋จิ่ง 


 


 


           ไป๋จิ่งได้ยินคำว่า ‘เกี๊ยวน้ำ’ สองคำนี้ ก็ชะงักไปสักพัก “กินอย่างอื่นได้หรือเปล่า” 


 


 


           แววตามั่วไป๋หม่นมัวลง “งั้นก็แล้วแต่นายเถอะ” กินอะไรสำหรับเขาก็เหมือนกันหมด 


 


 


           เพียงแต่ว่าคิดๆ ดูแล้วก็ช่างน่าขันทีเดียว ตัวเองในตอนนั้นไม่มีค่าพอ ตัวเองในตอนนี้ก็ยังไม่มีค่าพอเหมือนเดิม 


 


 


           เขาพูดจบประโยคนี้ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องครัวไป ไป๋จิ่งเห็นท่าทางนิ่งๆ ของมั่วไป๋ ทั้งที่สีหน้าท่าทางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ไป๋จิ่งยังคงรู้สึกได้ ว่าดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมีความสุข 


 


 


           ไป๋จิ่งถอนหายใจ หยิบขนมปังมาทำแซนด์วิช พร้อมทอดไข่ดาว อุ่นนมเสร็จถึงได้ตะโกนเรียกมั่วไป๋ “มากินข้าวเถอะ” 


 


 


           มั่วไป๋เดินออกมาจากห้องนอน ยังคงอยู่ในชุดนอนเดิม คอเสื้อแหวกกว้าง เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่อง 


 


 


           โดยเฉพาะตอนที่เขานั่งลง เสื้อไหล่ตกพอดี เผยให้เห็นไหล่นวลเนียน บวกกับท่าทางกรีดกรายเฉพาะตัวของเขา ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็แทบจะอยากโผตัวเข้าใส่แล้วจับกดสักที 


 


 


           ‘แน่นอน นี่เป็นแค่ความคิด ไม่กล้าลงมือทำจริงๆ หรอก’ 


 


 


           ไป๋จิ่งวางจานลงต่อหน้ามั่วไป๋ แล้วเอ่ยอย่างยิ้มๆ “มาลองชิมดู ผมไม่ได้ทำอาหารนานมากแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือทำอาหารจะคืนครูหรือเปล่า” 


 


 


           มั่วไป๋มองดูจานตรงหน้า อารมณ์ซับซ้อนอยู่ในที เขาเผยอปากขึ้นเอ่ยอย่างเผลอตัว “คิดไม่ถึงว่านายจะทำกับข้าวเป็นด้วย ดูไม่ค่อยเหมือนเลย” 


 


 


           “เมื่อก่อนตอนที่ไปเรียนเมืองนอก รู้สึกว่าอาหารฟาสต์ฟูดที่นั่นไม่ค่อยอร่อย กินยากเกินไป ก็เลยฝึกทำกินเอง” 


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นเขาตัดแบ่งแซนด์วิช จนเอาเข้าปากไป ก็อดจะจ้องมองอีกฝ่านไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม” 


 


 


           มั่วไป๋เคี้ยวแซนด์วิชอยู่ ก็พยักหน้ารับ “อร่อย” 


 


 


           ได้ยินคำพูดของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ ยังดีที่ไม่ได้เสียหน้าต่อหน้ามั่วไป๋ 


 


 


           หลังจากกินเสร็จเรียบร้อย เดิมทีไป๋จิ่งอยากนัดมั่วไป๋ออกไปข้างนอกด้วยกัน แต่มั่วไป๋บอกว่ามีธุระต้องจัดการนิดหน่อย ให้ไป๋จิ่งกลับไปก่อน 


 


 


           ถึงอย่างไรเพิ่งจะเริ่มจีบกัน ถ้ารุกอีกฝ่ายชัดเจนมากเกินไปก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงทำได้เพียงกลับไปเสียโดยดี 


 


 


           หลังจากไป๋จิ่งออกไป มั่วไป๋ก็กลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า บริษัทที่ช่วยเรื่องวาดภาพเมื่อก่อนตอนที่อยู่อเมริกา รู้ว่าเขากลับประเทศมาแล้ว จึงให้เขาเข้าไปหาสักหน่อย เพื่อพูดคุยเรื่องการทำงานร่วมกัน 


 


 


           เดิมทีมั่วไป๋ไม่คิดจะรับปาก แต่ตอนนี้มาคิดดู รู้สึกว่าจะรับปากไปก็ไม่ดีข้อเสียอะไร ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้เขาจะไม่ได้ขาดเงินใช้จริงๆ แต่จะมาหมกตัวอยู่แต่ที่บ้านอย่างเดียว ไม่ทำอะไรสักอย่างก็ไม่ได้ 


 


 


           อีกอย่างเขาจำเป็นต้องใช้เรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนความรู้สึกของเขา 


 


 


           ถ้าไม่อย่างนั้น เวลาได้ใกล้ชิดไป่จิ๋ง อารมณ์พังๆ ของเขาจะปรากฏออกมาได้ง่ายๆ 


 


 


           …… 


 


 


           กลับไปนอนต่ออีกรอบ ก็หลับไปถึงบ่ายสองโมงครึ่ง ซือเหยี่ยนไปบริษัทก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อคิดว่าเจียงมู่เฉินยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่ได้เรียก แค่จูบเขาแล้วก็ออกไป 


 


 


           เจียงมู่เฉินลงมาชั้นล่าง คุณแม่เจียงอาบแสงแดดอยู่ในสวนดอกไม้ เจียงมู่เฉินเห็นห้องรับแขกไม่มีใครสักคน จึงเปลี่ยนทางไปมุ่งตรงไปยังสวนดอกไม้ พอเห็นคุณแม่เจียงนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้พับ ก็เดินเข้าไปหา 


 


 


           “แม่ครับ แม่มาทำอะไรอยู่ที่นี่ อาบแดดเหรอครับ” เจียงมู่เฉินทิ้งตัวลงเอนกายไปกับเก้าอี้พับที่อยู่ข้างๆ หรี่ตาลงเล็กน้อย สบายจริงๆ สบายจนอย่าบอกใคร 


 


 


           คุณแม่เจียงมองเขาแวบหนึ่ง “เป็นยังไงบ้าง หลับสบายดีไหม” 


 


 


           “ค่อยยังชั่วครับ เพียงแต่ว่าทำไมวันนี้แม่ไม่เรียกผมกินข้าวเลยล่ะ” ปกติถึงตอนเที่ยงต้องเรียกเขากินข้าวแล้ว 


 


 


           คุณแม่เจียงหรี่ตาลงเล็กน้อย “เป็นเพราะเสี่ยวเหยี่ยนเด็กคนนั้นเอาใจใส่ลูก บอกแม่ว่าเมื่อคืนลูกนอนไม่หลับ เพิ่งจะได้นอนตอนเช้า ให้แม่อย่าไปเรียกปลุกลูก ให้ลูกนอนพักต่อสักหน่อยดีกว่า”   


 


 


        


 


 


ตอนที่ 183 ตัดสินใจแล้วว่าจะสู้ตายให้ถึงที่สุด 


 


 


           พอคิดถึงตรงนี้ คุณแม่เจียงก็ถอนหายใจเล็กน้อย “ลูกว่าไหม ถ้าเสี่ยวเหยี่ยนเป็นผู้หญิง คงจะดีมากทีเดียว แบบนี้ลูกแต่งเขาเข้าบ้านเราเป็นลูกสะใภ้แม่ได้ หน้าตาดี ยังกตัญญูมีความสามารถ เปิดไฟก็หาแบบนี้ไม่เจอนะลูก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินพูดทำนองล้อเล่น “อะไรกัน นี่แม่หมายความว่าเป็นผู้ชายก็ไม่ได้แล้วเหรอครับ” 


 


 


           คุณแม่เจียงถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “เป็นผู้ชายจะได้ยังไงกัน แม่ยังหวังให้ลูกรีบแต่งงาน มีหลานให้แม่อุ้มสักที” 


 


 


           “อยากได้หลานขนาดนี้เชียวเหรอแม่” 


 


 


           “แม่เฝ้าคอยมาหลายปีแล้ว แต่ลูกล่ะ เมื่อไหร่จะให้แม่กลับมาสักที” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูสีหน้าท่าทางแบบนั้นของแม่เขาแล้ว ก็ถอนหายใจอยู่ในใจอย่างจนใจ เห็นแม่เขามีทีท่าแบบนี้ คงไม่ต่างกับพ่อแม่ของซือเหยี่ยนเท่าไหร่ ดูท่าว่าจะเสียใจแล้ว  


 


 


           คุณแม่เจียงพูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ ก็นึกอยากจะคว้าตัวเจียงมู่เฉินมาพูดอะไรด้วยต่อ เจียงมู่เฉินเห็นเข้าก็รีบเอ่ยตัดบททันที “แม่ครับ มีอะไรกินไหม ผมหิวจะตายอยู่แล้ว” 


 


 


           พอคุณแม่เจียงได้ยินว่าลูกชายสุดที่รักบอกว่าหิวแล้ว ก็รีบลุกขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น “ลูกรอก่อนนะ แม่จะไปอุ่นอาหารให้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองตามแผ่นหลังของคุณแม่เจียงที่ห่างไกลออกไป เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ต่อให้ยึดเมืองยากแค่ไหนก็ต้องยึดให้ได้ อย่างมากก็แค่กลายเป็นต้องรบในสงครามที่ยืดเยื้อเท่านั้นเอง 


 


 


           ถึงอย่างไรเขาก็พร้อมจะรออย่างอดทน ใครใช้ให้เขาไปชอบซือเหยี่ยนเจ้าคนระยำหน้าไม่อายนั่นเข้าให้ล่ะ 


 


 


           อีกอย่างคุณชายเจียงอย่างเขาเคยจะกลัวเมื่อไหร่กัน ต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องเดินไปข้างหน้า เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะเดินผ่านไปไม่ได้ 


 


 


           ความมั่นใจในตัวเองข้อนี้ เขายังมีอยู่พอตัว 


 


 


           เจียงมู่เฉินพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม หยิบมือถือออกมาส่งข้อความหาซือเหยี่ยน เขาพิมพ์ลงไปอย่างเน้นหนักและตั้งใจ ก่อนจะทำใจใหญ่ส่งออกไป 


 


 


           [ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะสู้ตายให้ถึงที่สุด ถ้านายหนีไปกลางคัน ทิ้งฉันไว้กลางทาง ฉันรับรองว่าจะฆ่านายทิ้งซะ!] 


 


 


           ซือเหยี่ยนที่กำลังประชุมงานอยู่ในห้องประชุม อ่านข้อความของเจียงมู่เฉินแล้ว ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาพิมพ์ตอบกลับไป  


 


 


[ได้ ผมจะยืนหยัดไม่ถอยทัพแน่นอน] 


 


 


           เจียงมู่เฉินอ่านข้อความที่ซือเหยี่ยนส่งกลับมา ก็พยักหน้ารับอย่างพอใจ 


 


 


           มาขึ้นเรือบาปลำนี้ของคุณชายแล้ว ไม่มีทางจะลงจากเรือลำนี้ไปได้ ถึงอย่างไรเขาก็มีเวลาพอที่จะผูกมัดซือเหยี่ยนให้อยู่บนเรือลำนี้กับเขาตลอดชีวิต 


 


 


           ถึงเวลานั้นต่อให้มีแฟนเก่าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นมาแย่งชิง เขาก็ไม่มีทางจะยอมให้ง่ายๆ 


 


 


           ‘แฟนเก่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็เป็นได้แค่เส้นขนเท่านั้นแหละ เขาเจียงมู่เฉินก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน โอเคไหม’ 


 


 


           ‘ไม่ถอย ยังไงก็ไม่ถอยให้หรอก’ 


 


 


           …… 


 


 


           กินข้าวเสร็จ เจียงมู่เฉินถือโอกาสตอนที่ฟ้ายังไม่ค่ำลงมากนัก ตัดสินใจไปดูซังจิ่ง ถึงอย่างไรคราวก่อนเขาก็ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ ตามหลักมนุษยธรรมแล้ว ก็ต้องไปเยี่ยมเยือนบ้าง 


 


 


           หลังจากเจียงมู่เฉินขับรถออกมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่รู้ว่าซังจิ่งพักอยู่ที่ไหน เขาหยิบมือถือขึ้นมา กดโทรหาซังจิ่ง เตรียมจะถามเอาที่อยู่กับเขา 


 


 


           “นายอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหานายตอนนี้” 


 


 


           ซังจิ่งได้ยิน ก็รีบเอ่ย “ตอนนี้ผมทำธุระอยู่ข้างนอก ไม่งั้นคุณมาหาผม แล้วคืนนี้กินข้าวด้วยกัน?” 


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดไปคิดมาก็ได้อยู่ ไปร้านอาหารก็ดีกว่าไปบ้านเขา เมื่อคิดถึงว่าตัวเองไปอยู่กันสองต่อสองกับเขาในบ้านเขา หัวเจียงมู่เฉินชักจะเริ่มชาๆ 


 


 


           คิดได้แบบนี้ เขาตกลงทันที “ส่งที่อยู่มาให้ฉัน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” 


 


 


           ไป๋จิ่งรีบส่งที่อยู่ให้เขา เจียงมู่เฉินขับรถมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่ซังจิ่งปักหมุดไว้ เมื่อเขาไปถึงซังจิ่งกำลังถูกสัมภาษณ์อยู่ในห้องประชุมชั้นสอง 


 


 


           เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูมองดูแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวไปอยู่ด้านข้าง สถานการณ์ตอนนี้เขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยจะดีกว่า 


 


 


           ไม่อย่างนั้นถึงเวลาก็ไม่รู้แล้วว่าบนหน้าหนังสือพิมพ์จะเขียนอย่างไรบ้าง 


 


 


           เจียงมู่เฉินอยู่ชั้นสามสั่งกาแฟมาแก้วหนึ่ง รอซังจิ่งไปด้วย ชมวิวไปด้วย จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าถานโจวมีร้านอาหารลอยฟ้าชื่อดังอยู่ร้านหนึ่ง เหมือนว่าจะอยู่แถวๆ นี้ด้วย 


 


 


           ถ้าได้มากับซือเหยี่ยนก็คงจะไม่เลวทีเดียว ถึงพวกเขาสองคนจะไม่ได้เน้นหนักเรื่องความโรแมนติกอะไร แต่ว่าบางทีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีไม่เบา 


 


 


           มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมากะทันหัน เจียงมู่เฉินหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นเป็นสายของซือเหยี่ยนโทรเข้ามา 


 


 


           เขากดรับสาย “มีอะไร” 


 


 


           เสียงทุ้มต่ำจากปลายสายของซือเหยี่ยนเอ่ยขึ้น “ขอโทษด้วย คืนนี้ผมมีธุระ กลับไปกับคุณไม่ได้แล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ธุระอะไร” 


 


 


           “ขอโทษด้วย ตอนนี้ไม่สะดวกพูด เดี๋ยวกลับไป ผมจะบอกอีกทีนะ” 


 


 


           พูดจบซือเหยี่ยนก็วางสายไป เจียงมู่เฉินมองดูมือถือแล้วก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ ธุระอะไรต้องมาทำตอนกลางคืน ยังไม่สะดวกจะบอกเขาอีก 


ตอนที่ 184 ตรวจดูสำรวจงานโครงการ 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าซือเหยี่ยนมีท่าทีแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน คิดแล้วคิดอีกก็ตัดสินใจไม่ถามซักไซ้ต่อแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็มีธุระพอดี จะได้ไม่คิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียวแล้วไม่ฟังซือเหยี่ยน 


 


 


           นั่งรออยู่ครึ่งชั่วโมงที่ชั้นสาม ในที่สุดซังจิ่งก็จบการสัมภาษณ์ เขารอให้ทีมงานออกไปหมดเรียบร้อยก่อน ถึงเพิ่งได้ลุกขึ้นแล้วไปที่ชั้นสาม 


 


 


           ในโซนที่นั่งส่วนตัว ซังจิ่งมองแวบเดียวก็เห็นเจียงมู่เฉิน 


 


 


           เจียงมู่เฉินคนนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ดึงดูดสายตาคนในแวบแรกที่มองจริงๆ 


 


 


           เขาค่อยๆ เดินเข้าไปอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน “ให้คุณรอนานเลย” 


 


 


           “ประธานซังยุ่งขนาดนี้ ต้องรอก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” 


 


 


           “ทำไมวันนี้คุณถึงนึกมาหาผมได้ล่ะ” ตอนที่เขาได้รับสายจากเจียงมู่เฉินก็ยังว่าแปลกๆ ชอบกล ตามนิสัยของเจียงมู่เฉิน ไม่มีทางจะมานึกถึงเขาได้อยู่แล้ว 


 


 


           ‘หรือว่ามาเพราะแผลถูกยิงบนตัวของเขา?’ 


 


 


           “นายช่วยฉันไว้ ฉันก็ควรจะมาขอบใจนาย” เป็นอย่างที่คิดเจียงมู่เฉินหลุดปากเผยออกมาจนได้ 


 


 


           ซังจิ่งหรี่ตาลง “คิดไม่ถึงว่าคุณชายเจียงมีน้ำใจให้กันขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผมไปโรงพยาบาล ตอนนี้ยังตั้งใจมาหาผมเป็นพิเศษอีก” 


 


 


           “ไม่ต้องมาลองทดสอบหยั่งเชิงฉันเลย ครั้งนี้ที่ฉันมาก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่จะมาพูดขอบใจนาย” เจียงมู่เฉินยกมุมขึ้น “ถึงแม้ว่าที่จริงฉันจะไม่ค่อยชอบขี้หน้านายเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ครั้งนี้นายมีบุญคุณกับฉัน ต้องตอบแทนเป็นธรรมดา” 


 


 


           ซังจิ่งพินิจมองเจียงมู่เฉินอย่างจริงจัง “ถ้าผมบอกว่า ผมอยากได้คืบจะเอาศอกนิดหน่อยล่ะ คุณจะเห็นด้วยไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นายอยากได้คืบจะเอาศอกยังไง” 


 


 


           “วันจันทร์หน้า ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง จะให้ผมไปตรวจดูงานในหุบเขาห่างออกไปจากตัวเมือง คุณอยากไปด้วยกันไหม คงจะประมาณสองสามวันเท่านั้นเอง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “ตรวจดูงาน? ตรวจดูงานอะไร?” 


 


 


           “ปัจจุบันนี้สังคมเราเร่งรีบ ยิ่งอยู่ในธรรมชาติยิ่งดึงดูดคนให้ชอบ เพื่อนผมคนนี้ถูกใจเขาลูกหนึ่งอยู่ที่ซีหนาน วางแผนจะซื้อมาทำโครงการตามธรรมชาติ แล้วก็จะสร้างโรงแรมน้ำพุร้อนอีกแห่งหนึ่งด้วย” เขามองเจียงมู่เฉิน “ไม่รู้ว่าคุณชายเจียงสนใจหรือเปล่า” 


 


 


           “ทำไม นายอยากให้ฉันร่วมหุ้นด้วยงั้นสิ” 


 


 


           ซังจิ่งหัวเราะ “ถ้าคุณชายเจียงอยากจะร่วมหุ้นด้วย ผมก็ไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดไตร่ตรองดูสักพัก รู้สึกว่าก็เป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว อีกอย่างไปดูงานกับซังจิ่งก็ไม่มีอะไร เขาไปได้อยู่แล้ว 


 


 


           เขาพยักหน้ารับ “ได้ ได้ไปเปิดหูเปิดตากับประธานซังมากขึ้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” 


 


 


           “งั้นก็ตกลงตามนี้ วันจันทร์เจอกันที่สนามบิน” 


 


 


           พอได้มาอยู่กินอาหารเย็นเป็นเพื่อนซังจิ่ง พูดคุยเรื่องรายละเอียดต่างๆ เจียงมู่เฉินถึงได้รู้สึกว่าคนคนนี้หัวการค้าใช้ได้จริงๆ ถ้าตัดเรื่องไม่ถูกชะตากับตัวเองไป ก็ยังเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีกันได้ 


 


 


           เพียงแต่เสียดาย ระหว่างเขากับซังจิ่งลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีทางจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีกันได้ 


 


 


           หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จ ซังจิ่งก็เอ่ยเสนอ “อยากจะไปนั่งเล่นกันต่อที่หลานเยี่ยไหม คุณชายเจียงคงจะไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่ใช่หรือเปล่า” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว หลังจากอยู่ด้วยกันกับซือเหยี่ยน ก็ไม่เคยได้เข้าไปหลานเยี่ยอีกเลย จะว่าไปก็เป็นเวลานานแล้วจริงๆ 


 


 


           ซือเหยี่ยนน่าจะยังไม่กลับมาพอดี เจียงมู่เฉินคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ งั้นไปนั่งเล่นที่หลานเยี่ยกัน” 


 


 


           ทั้งสองคนต่างขับรถของตัวเองมุ่งตรงไปยังหลานเยี่ย รถสปอร์ตคันสีแดงของเจียงมู่เฉินกับรถปอร์เชคันสีเงินจอดตระหง่านอยู่หน้าทางเข้าหลานเยี่ย เย่อหยิ่งไม่ต่างจากเจ้าของรถทีเดียว 


 


 


           ทันทีที่เจียงมู่เฉินก้าวเข้าไปหลานเยี่ยก็ดึงดูดสายตาคนอยู่ไม่น้อย เขาไม่ได้ปรากฏตัวนานขนาดนี้ ยังคิดกันเลยว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้นี้จะกลับเนื้อกลับตัวไม่มาสถานที่แบบนี้อีกแล้ว 


 


 


           เฉิงฉีอยู่ชั้นสอง ตอนที่ผู้จัดการเข้ามารายงาน เขาเองก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขาเดินออกจากห้องรับรองยืนอยู่มุมมุมหนึ่งบนชั้นสอง มองตามที่ผู้จัดการชี้ให้ดู 


 


 


           ‘คนที่นั่งตรงข้ามเจียงมู่เฉินไม่ใช่ซือเหยี่ยน’ 


 


 


           เฉิงฉีเลิกคิ้ว คงจะไม่ได้เปลี่ยนศัตรูคู่แค้นอีกคนหรอกใช่ไหม 


 


 


           “ส่งเหล้าให้พวกเขา บอกว่าฉันส่งมาให้” 


 


 


           ผู้จัดการพยักหน้า “ได้ครับ ผมรับทราบแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองดูเหล้าบนโต๊ะที่ถูกส่งมาให้  


 


 


 


 


 


 ตอนที่ 185 ดึกๆ ดื่นๆ ไม่กลับบ้านมานอน 


 


 


           “ประธานเฉิงให้ผมนำมาส่งให้คุณครับ บอกว่าเป็นเหล้าที่คุณโปรดปรานที่สุด” ผู้จัดการไนต์คลับเอ่ยเสียงต่ำ 


 


 


           เจียงมู่เฉินหัวเราะ “รู้แล้ว ลงบิลฉันด้วยแล้วกัน” 


 


 


           “ประธานเฉิงบอกว่ามอบให้คุณครับ ให้คุณ ‘เล่น’ อย่างมีความสุขครับ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว คิดว่าเฉิงฉีคงจะเข้าใจผิดแล้ว แต่คิดๆ ไป ไม่ได้พูดอะไร ก็พยักหน้ารับ “ได้ งั้นก็ฝากไปขอบใจประธานเฉิงของนายด้วยแล้วกัน” 


 


 


           “เชิญคุณชายเจียงดื่มกันตามสบายเลยครับ” 


 


 


           หลังจากผู้จัดการร้านออกไปแล้ว ซังจิ่งมองดูเหล้าสองขวดบนโต๊ะ “เหล้านี้เป็นถึงเหล้าชั้นเยี่ยม ราคาก็ไม่เบา เพราะได้หน้าของคุณชายเจียงแท้ๆ ถึงได้มีของฟรีมาให้ดื่มแบบนี้” 


 


 


           “ประธานซังอยากดื่ม ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้หรือไง” 


 


 


           ซังจิ่งหัวเราะ “แต่ให้ฟรีแบบนี้ จะยิ่งดีไม่ใช่เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ก็แค่ ของฟรีก็ใช่จะดีเลิศเสมอไป” เขามองซังจิ่ง คำพูดแฝงความนัย 


 


 


           ซังจิ่งยื่นมือไปเปิดขวดเหล้า แล้วรินใส่แก้วสองใบ แก้วหนึ่งวางต่อหน้าเจียงมู่เฉิน อีกแก้วถือไว้ในมือของตัวเอง “บอกตามตรง ได้มาดื่มเหล้ากับคุณชายเจียงแบบนี้ได้ ถือเป็นเกียรติของผมจริงๆ” 


 


 


           “ถึงยังไงผมก็คิดว่าด้วยความเกลียดชังของคุณชายเจียงที่มีต่อผมแล้ว เกรงว่าทั้งชีวิตจะไม่มีวันได้มีโอกาสนี้เลย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ถ้านายไม่บาดเจ็บ ก็จริงตามนั้น” 


 


 


           “ดูท่าว่า ผมต้องช่วยคุณชายเจียงหลายๆ ครั้งซะแล้ว แบบนี้ไม่แน่ว่าคุณชายเจียงจะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผมได้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินหัวเราะเสียงเย็น ก่อนเอ่ยต่อ “งั้นก็ล้างตารอดูได้เลย” 


 


 


           หลังจากดื่มเหล้ากันที่หลานเยี่ยเสร็จ ทั้งสองคนก็ต่างกลับบ้านของตัวเอง 


 


 


           ยามที่เจียงมู่เฉินกลับไป ซือเหยี่ยนก็ยังไม่กลับมา เขาขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก นี่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ทำไมซือเหยี่ยนเจ้าหมอนั่นยังไม่กลับมาอีก 


 


 


           เขาหยิบมือถือออกมาโทรหาซือเหยี่ยน ถามไถ่ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ 


 


 


           โทรออกไปตั้งนานก็ไม่มีใครรับสาย เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว ตอนนี้ไม่ใช่แค่ดึกๆ ดื่นๆ ไม่กลับบ้านมานอน ยังไม่รับสายเขาอีกเหรอ 


 


 


           เขากดมือถือโทรออกอีกครั้ง 


 


 


           ครั้งนี้โดนตัดสายไปเลย 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูมือถือที่ถูกตัดสายทิ้งในมือ เขาโมโหในพริบตา นึกไม่ถึงว่าจะกล้าตัดสายใส่เขา! 


 


 


           ‘ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไปกินใจหมีไส้เสือ[1]มาหรือไง’ 


 


 


           เขาโยนมือถือลงบนโต๊ะ ปิดประตูใส่กลอน มานอนบนเตียง ส่วนซือเหยี่ยนใครจะสนกัน 


 


 


           หนึ่งชั่วโมงให้หลัง ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าประตู ยื่นมือไปจับลูกบิดประตูไว้ ยิ้มเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้ ดูท่าว่าคุณชายเจียงของเขาจะโกรธจริงๆ แล้ว 


 


 


           ซือเหยี่ยนลงไปชั้นล่างเดินอ้อมจากสวนดอกไม้ ปีนระเบียงเข้ามา 


 


 


           เขามองดูใบหน้ายามหลับใหลของเจียงมู่เฉิน แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น ไม่อยากให้เขาเข้ามา แต่ทำไมกลับล็อกแค่ประตูห้อง ไม่ล็อกประตูระเบียง 


 


 


           ‘ทำไมเฉินเฉินของเขาถึงไม่ระวังตัวแบบนี้นะ…’ 


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่ได้ส่งเสียงปลุกเจียงมู่เฉินให้ตื่น เขาตรงเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำถึงค่อยได้ออกมา เขาเดินไปที่ข้างเตียงอย่างระมัดระวัง พินิจมองเจียงมู่เฉินที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ 


 


 


           เขาทนไม่ได้แล้วจริงๆ จึงขึ้นคร่อมอีกคน แล้วกดจูบลงไปให้ถึงที่สุด 


 


 


           เจียงมู่เฉินถูกความอึดอัดปลุกให้ตื่น หายใจเข้าไม่ทันเกือบจะกลั้นใจตาย ลืมตาขึ้นมาก็ซือเหยี่ยนกดตัวเองไว้ แล้วจูบไปจูบมา 


 


 


           โกรธจนยกเท้าถีบใส่ 


 


 


           “นางแม่งเป็นบ้าหรือไง ดึกป่านี้จะมาจูบอะไร!” อารมณ์โมโหยามตื่นนอนของเจียงมู่เฉินเดิมทีก็ใหญ่มากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่เขายังจำเรื่องที่เจ้าหมอนี่วางสายใส่เขา 


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ “ผมคิดถึงคุณนี่” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเคืองแล้ว ยกเท้าถีบใส่อีกครั้ง “ไสหัวไปซะ ฉันไม่คิดถึงนายเลยสักนิด” 


 


 


           ‘ตอนตัดสายเขาทำไมไม่คิดถึงเขา ตอนนี้มาจูบเขาก็คิดถึงเขาแล้ว? เขาเจียงมู่เฉินไม่ใช่คนที่จะยอมขาดทุนไปเรื่อยๆ แบบนั้นหรอกนะ’ 


 


 


           “คุณโกรธเหรอ” ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนจ้องมองเขา “เพราะว่าผมกลับมาดึกเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันจะโกรธอะไร นายไม่กลับมา ฉันก็ไม่ได้สนใจหรอก” เขาโกรธที่ซือเหยี่ยนกลับมาดึกเหรอ ที่เขาโกรธคือไม่คิดว่าจะกล้าตัดสายตัวเองทิ้งได้ต่างหาก 


 


 


           “พูดมา ทำไมถึงตัดสายฉัน!” 


 


 


         ซือเหยี่ยนชะงักงัน มึนงงไปพักหนึ่ง เพิ่งจะเตรียมจะโต้แย้ง แต่กลับเหมือนจะคิดถึงอะไรได้ แล้วหยุดไป เขาไม่ได้ตัดสายเจียงมู่เฉิน ถ้าไม่ใช่เขา งั้นก็มีแค่… 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ใจหมีไส้เสือ เป็นสำนวนจีนเปรียบเปรยว่ามีความกล้าหาญมาก 


ตอนที่ 186 การโดนตลบหลังครั้งใหญ่ 


 


 


           เขาหยุดไปพักหนึ่ง ถึงเอ่ยตอบ “ขอโทษ ครั้งนี้ผมไม่ดีเอง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “พอเถอะ นายอย่ามามุขนี้ตลอดเลย ใช้กับฉันที่นี่ไม่ได้หรอก” 


 


 


           ‘เขาเป็นคนที่นึกจะง้อยังไงก็ง้อได้หรือไง’ 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ พร้อมโน้มตัวเข้าไปใกล้ “คืนนี้คุณออกไปดื่มเหล้ามาใช่ไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินดมกลิ่นบนตัวทันที ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง เดิมทีก็ไม่ได้ดื่มเยอะอะไร อีกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ทำไมเขายังดมกลิ่นออกมาได้อยู่ 


 


 


           “ฉันไม่ได้ดื่ม นายดมผิดแล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเชิดริมฝีปาก “ไม่ได้ดื่มจริงเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเจ้าเป็ดปากแข็ง ไม่ยอมรับเด็ดขาด “ไม่ได้ดื่มไง” 


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ดี ได้ดื่มหรือไม่ดื่ม ผมชิมดูก็รู้แล้ว” 


 


 


           เขามองซือเหยี่ยนอย่างไม่เข้าใจ ชิมดู? ชิมยังไง เขายังไม่ทันได้ถามออกมาก็โดนซือเหยี่ยนลงมือประกบปากไปทั้งอย่างนั้น 


 


 


           ‘แม่งเอ๊ย ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนั่นชิมยังไง การโดนตลบหลังครั้งนี้เกินไปแล้ว’ 


 


 


           เรื่องของเขายังไม่ได้อธิบายให้ตัวเองฟังอย่างชัดเจน คิดไม่ถึงว่าจะยังกล้าจู่โจมบังคับจูบกันอีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินต่อสู้ดิ้นรนในทันที แต่แรงอันน้อยนิดของตัวเองมีหรือจะสู้ซือเหยี่ยนคนตรงหน้านี้ได้ โดนเขากดทับร่างจนกระดุกกระดิกไม่ได้ขนาดนี้ เจียงมู่เฉินโมโหจนอยากจะขบกราม แต่ทำไม่ได้เลย 


 


 


           ทำได้แค่เปิดปากยอมให้เขาเข้ามารุกรานรุกล้ำอย่างตามใจ 


 


 


           โดนซือเหยี่ยนลิ้มชิมรสเข้มข้นตั้งแต่หัวจรดหางอย่างสบายใจเฉิบ เจียงมู่เฉินอยากจะร้องไห้จริงๆ แล้ว มีคนที่ชิมเหล้าแบบนี้ด้วยเหรอ 


 


 


           ตัวเองยังไม่ได้คิดบัญชีกับซือเหยี่ยน กลับถูกซือเหยี่ยนกินจนเกลี้ยง การซื้อขายนี้ขาดทุนขั้นสุดแล้วโอเคไหม 


 


 


           …… 


 


 


           เช้าวันต่อมาเจียงมู่เฉินพยายามดิ้นรนลืมตาขึ้นมา กำลังจะเตรียมยืดเอวบิดขี้เกียจก็พบว่าตัวเองถูกโอบกอดไว้อยู่ในอ้อมอก 


 


 


           เจียงมู่เฉินเอียงหัวมองใบหน้ายามหลับใหลของซือเหยี่ยน เพียงพริบตาเดียวก็รู้สึกหมั้นเขี้ยว อยากจะโถมตัวเข้าไปกัดเขาสักสองคำ 


 


 


           เดิมทีอยากจะถีบเขาลงเตียง แต่พอเห็นใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของซือเหยี่ยน ก็ทำไม่ค่อยลงเท่าไหร่ ขบกรามอยู่ตั้งนานสองนาน สุดท้ายเจียงมู่เฉินก็นอนนิ่งๆ อยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่าย 


 


 


           ผ่านไปไม่กี่นาที เจียงมู่เฉินนอนไม่ค่อยจะหลับ เขาค่อยๆ ดึงมือของซือเหยี่ยนออก แล้วปีนลงจากเตียงไป 


 


 


           ที่ชั้นล่างคุณแม่เจียงกำลังเตรียมอาหารเช้าพอดี เจียงมู่เฉินดูท่าว่าจะแปลกใจอยู่ไม่เบา “แม่ครับ ทำไมวันนี้ถึงได้เตรียมอาหารเองแล้ว” 


 


 


           คุณแม่เจียงอารมณ์ดีมาก “อยากทำอาหารเช้าให้พวกลูกกับมือตัวเองนี่หน่า” 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกแปลกใจ เขามาเกาะติดสถานการณ์ในห้องครัว ดูแม่เขาทำอาหารไป พลางแอบกินไปด้วย คุณแม่เจียงมองเขา แล้วยิ้มอย่างเสียไม่ได้ “ทำไมวันนี้ลูกตื่นเช้าจัง” 


 


 


           “แม่บอกเองไม่ใช่เหรอครับว่า ตอนเช้าอากาศดี ต้องตื่นเช้ามาสูดเอาอากาศสดชื่น” 


 


 


           “เสี่ยวเหยี่ยนล่ะลูก” 


 


 


           “เขาเหรอครับ ยังนอนอยู่เลย” 


 


 


           จู่ๆ คุณแม่เจียงก็จ้องมองเจียงมู่เฉิน “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับเสี่ยวเหยี่ยนจะดีได้ขนาดนี้ นึกถึงสมัยก่อนพวกลูกสองคนเจอหน้าทีไร ก็ขัดหูขัดตากันเองตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นแบบนี้” 


 


 


           คุณแม่เจียงถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกลูกสองคนจะไม่ดีมาตลอด แต่เรื่องบางอย่างก็เลือกได้ใกล้เคียงกันมาก ทันทีที่เสี่ยวเหยี่ยนไปเรียนต่อเมืองนอก ลูกก็ไปเมืองนอกเหมือนกัน แม่คิดมาตลอด ถ้าตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกลูกดีแบบนี้ ดูแลกันและกันได้ ก็คงจะไม่…” 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘เรียนต่อเมืองนอก’ สี่คำนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หมายความว่าไงครับ ผมกับซือเหยี่ยนต่างก็ไปเรียนต่อเมืองนอกกันเหรอ” 


 


 


           “ใช่สิ เขาไปอเมริกา อยู่ที่นั่นตั้งหลายปี ไม่กลับมาเลย จนไม่กี่ปีมานี้ถึงได้กลับมารับช่วงต่อบริษัท” 


 


 


           เจียงมู่เฉินสงสัยนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติ ครอบครัวซือเหยี่ยนไปเรียนต่อเมืองนอกแบบนี้ถือว่าปกติมาก 


 


 


           “อ้อ งั้นก็มีวาสนาต่อกันอยู่บ้างจริงๆ” 


 


 


           คุณแม่เจียงหัวเราะ “ไม่ใช่แค่พวกลูกจะมีวาสนาต่อกันอยู่บ้างแค่นั้นนะ แม่กับเหวินฮุ่ยครอบครัวเราก็สนิทสนมกัน ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกลูกก็ยังดีอีก ต่อไปแต่งงาน มีลูกแล้ว จะยิ่งดียิ่งขึ้นไปอีก” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 187 จับได้คาหนังคาเขา 


 


 


           เจียงมู่เฉินทำเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในใจ เขากับซือเหยี่ยนไม่ใช่แค่เพียงจะมีวาสนาต่อกันอยู่บ้างจริงๆ แต่ว่าเรื่องแต่งงานมีลูกแล้วจะยิ่งดีขึ้นไปอีก เรื่องทำนองนี้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว 


 


 


           “แม่ ผมยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ แม่จะเป็นกังวลเรื่องนี้ไปทำไมครับ” 


 


 


           คุณแม่เจียงถอนหายใจ “ลูกยังไม่แก่ แต่แม่กับพ่อของลูกแก่แล้ว ลูกยังไม่แต่งงานอยู่แบบนี้ พ่อกับแม่คงจะไม่ได้เห็นลูกแต่งงานแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นแม่เขาท่าทางเศร้าใจ ก็รีบเข้าไปสวมกอดเธอเอาไว้ “แม่ครับ แม่พูดอะไรกัน แม่กับพ่อผมยังไม่แก่เลย ต่อจากนี้ต้องอยู่ไปอีกนานๆ แน่นอน” 


 


 


           คุณแม่เจียงยีหัวเจ้าลูกชายของเธอ “ลูกชายของแม่ทำไมวันนี้ถึงว่าง่าย ยังรู้จักปลอบใจแม่อีก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกขัดๆ นิดหน่อย เขาหัวเราะอย่างเลิ่กลั่ก “คือว่า…ก็แม่เป็นแม่ผมไง” 


 


 


           ยกอาหารไปวางบนโต๊ะเสร็จ เจียงมู่เฉินกำลังจะเตรียมขึ้นไปเรียกซือเหยี่ยนลงมากินข้าวเช้า ก็เห็นเขาลงมาชั้นล่างแล้ว 


 


 


           เขากวักมือเรียกซือเหยี่ยน “มาเร็ว มากินข้าวได้แล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว ทำไมท่าทางของเขาถึงให้ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับการกวักมือเรียกหมาอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


           คุณแม่เจียงรินนมเสร็จ เข้ามาเห็นท่าทางกวักมือเรียกนั้นของเจียงมู่เฉินพอดี ก็ถอนหายใจอย่างจนใจ “เฉินเฉิน ลูกดีกับเสี่ยวเหยี่ยนนิดนึงบ้างจะได้ไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ เขายังไม่ดีกับซือเหยี่ยนเหรอ 


 


 


           ‘นี่เขาเหลือแค่ไม่ได้เป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้านอนแผ่หลาให้ซือเหยี่ยนมาปล้ำเท่านั้นเอง’ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขายิ้มเยาะแบบนี้ก็รีบเอ่ย “น้าเจียง เฉินเฉินดีกับผมมากเลยครับ” 


 


 


           “เสี่ยวเหยี่ยน ตามใจเขาอีกแล้วนะ นิสัยนี้ของเฉินเฉินต้องโทษน้ากับพ่อของเขาด้วยที่รักเขาจนตามใจมากเกินไป ถึงได้กำเริบเสิบสานเหมือนตอนนี้ได้” 


 


 


           “เอ๊ะ ผมฟังไม่ค่อยถนัดเลย อะไรเรียกว่ากำเริบเสิบสานเหรอครับ” เจียงมู่เฉินอดจะคัดค้านไม่ได้ เขาจะไม่รับข้อหานี้เด็ดขาด 


 


 


           คุณแม่เจียงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “อะไรกัน ลูกยังคิดว่าแม่พูดผิดเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนแม่เขามองแบบนี้ เพียงครู่เดียวก็อกสั่นขวัญแขวน ตัดสินใจไม่คิดเล็กคิดน้อยกับแม่เขาแล้ว ถึงอย่างไรเป็นลูกชายก็ต้องยอมให้แม่เขาอยู่แล้ว 


 


 


           “ที่จริงเฉินเฉินเชื่อฟังมากนะครับ” ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา ก็รู้สึกขัดใจ จึงเหยียบเท้าอีกคนใต้โต๊ะไปเต็มๆ แรง ซือเหยี่ยนไม่ได้ทันระวัง เจ็บจนขมวดคิ้วเข้าหากัน 


 


 


           คุณแม่เจียงเห็นเข้า “เป็นไรไปจ๊ะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนคลายคิ้วที่ผูกเป็นปมเบาๆ “ไม่มีอะไรครับ ไม่ระวังเลยกัดไปโดนลิ้นเข้า” 


 


 


           คุณแม่เจียงมองเขาขำๆ “ค่อยๆ กิน อย่ารีบร้อนนะจ๊ะ แม่จะไปตักน้ำแกงมาให้พวกลูกก่อน” 


 


 


           ลับหลังเธอไปแล้ว เจียงมู่เฉินลุกขึ้นยืนพุ่งตรงมาหาเขา “ฉันเชื่อฟังมาก? เชื่อฟังกับน้องสาวนายสิ คุณชายอยากจะฆ่านายเต็มทนแล้ว” 


 


 


           เรื่องเมื่อคืนยังไม่ทันได้สะสาง บัญชีแค้นใหม่และเก่ามาพร้อมกันพอดีจนได้ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเอามือจับเขาไว้ “แม่คุณยังอยู่ด้วย ควบคุมตัวเองสักหน่อยจะดีกับตัวคุณที่สุดนะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “แหม ตอนนี้นายเจ๋งมากเลยใช่ไหม ยังกล้าเอาเรื่องแม่ฉันมาอ้างอีก ฉันจะบอกนายให้นะ ต่อให้แม่ฉันเห็นว่าฉันตีนาย ท่านก็ไม่มีทางจะว่าฉัน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางอวดดีของเขาก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “คุณจริงจังเหรอ” 


 


 


           “แน่นอน จุดนี้ฉันยังมั่นใจมากอยู่” 


 


 


           ซือเหยี่ยนปล่อยมือไปเสียดื้อๆ เจียงมู่เฉินที่ไม่ได้ทรงตัวดีๆ ก็เสียหลักปะทะร่างของซือเหยี่ยน นิ้วมือจิกเข้าที่ไหล่ของซือเหยี่ยนพอดี ท่าทางราวกับจะตีซือเหยี่ยน 


 


 


           คุณแม่เจียงตักน้ำแกงเสร็จออกมา ก็เห็นตำตาพอดี เล่นเอาใจเกือบร่วงหล่นลงตาตุ่ม 


 


 


           “เฉินเฉิน ลูกจะทำอะไร รีบปล่อยมือออกเลยนะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินชะงักงัน ไม่ใช่หรอกมั้ง นี่เขาซวยขนาดนี้เลยหรือไง ตัวเองยังไม่ทันได้ทำอะไรก็โดนแม่เขาจับได้คาหนังคาเขาแล้วเหรอ 


 


 


           “แม่พูดกับลูกอยู่นะ ไม่ได้ยินเหรอ” คุณแม่เจียงวางน้ำแกงลงบนโต๊ะ แล้วรีบเข้ามาดึงตัวเจียงมู่เฉินออก “ทำไมกินข้าวอยู่ดีๆ ถึงยังลงไม้ลงมือกันได้”  


ตอนที่ 188 ง้อทุกวิถีทางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 


 


 


           “เสี่ยวเหยี่ยนไม่เป็นไรใช่ไหมจ๊ะ” คุณแม่เจียงมองซือเหยี่ยนด้วยความเป็นห่วง ทั้งรักทั้งสงสาร 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่เข้าใจงงไปหมดแล้ว นี่เป็นห่วงผิดคนหรือเปล่า เขาต่างหากที่เป็นลูกชายของแม่เขานะ 


 


 


           “คือว่า…แม่ครับ…” เจียงมู่เฉินกำลังคิดจะเอ่ยปาก 


 


 


           “เงียบปากซะ กินข้าวของลูกไปเลย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน นี่เขาโดนด่าเหรอ 


 


 


           ซือเหยี่ยนอยากหัวเราะ แต่โดนเจียงมู่เฉินถลึงตาใส่ในนาทีนั้น ก็รีบกลั้นเอาไว้ทันที 


 


 


           คุณแม่เจียงเพิ่งจะเตรียมปลอบขวัญซือเหยี่ยน ก็ไปเห็นลูกชายตัวเองถลึงตาใส่คนอื่นเขา เธอถลึงตาโตใส่เสียเดี๋ยวนั้น “อะไรกัน นี่แม่พูดก็ไม่ฟังกันแล้วใช่ไหม ในเมื่อลูกไม่อยากกิน ก็ออกไปยืนซะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉิน “…”  


 


 


           ตอนนี้เขาไม่เพียงแค่ถูกลิดรอนสิทธิ์ในการกินข้าว ยังต้องไปยืนข้างนอกอีกเหรอ 


 


 


           ‘ยืนก็ยืน ใครกลัวใคร!’ 


 


 


           เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้นทันที แล้วเดินออกไปข้างนอก ยืนตัวตรงอยู่นอกประตู 


 


 


           “เสี่ยวเหยี่ยน ขอโทษด้วยนะจ๊ะ เฉินเฉินไม่รู้จักความเลยสักนิด เขาไม่ได้ตั้งใจ เสี่ยวเหยี่ยนอย่าถือโทษโกรธเขาเลยนะจ๊ะ” 


 


 


           พอซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินยืนน่าสงสารอยู่นอกประตู ก็รู้สึกเห็นใจในทันใด “น้าเจียง ผมกับเฉินเฉินแค่หยอกล้อเล่นกันครับ ให้เขากลับเข้ามากินข้าวเถอะครับ เดี๋ยวจะหนาวเอาได้” 


 


 


           คุณแม่เจียงก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง มีหรือจะลงโทษให้ลูกชายไปยืนอยู่ข้างนอกได้ลงคอ เธอจึงรีบเรียกเขากลับมา 


 


 


           “เห็นไหมว่าเสี่ยวเหยี่ยนใจกว้างแค่ไหน ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินโกรธจนกระอักเลือด คิดว่าแม่ของเขาต้องโดนรูปลักษณ์ภายนอกหน้าซื่อตาใสของซือเหยี่ยนหลอกเอาแน่ๆ ทั้งที่ข้างในนั้นแสนร้ายกาจ 


 


 


           “ยังไม่มาอีกเหรอ” คุณแม่เจียงเห็นเจียงมู่เฉินไม่ขยับไปไหน ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ก็ตะโกนเรียกอีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “วิวตรงนี้สวยดีครับ ยืนตรงนี้เห็นวิวพอดีด้วย” 


 


 


           ‘ล้อเล่นอะไรกัน ให้เขาเข้าไปก็เข้าไป ให้เขาออกไปก็ออกไป เขาเป็นลูกบอลเหรอ นึกจะเตะยังไงก็เตะ’ 


 


 


           คุณแม่เจียงจนปัญญาจะให้เขากลับมา ยังโดนเขาโกรธ จนกลับห้องไป ตาไม่เห็นจะได้ไม่ช้ำใจ 


 


 


           ซือเหยี่ยนรอให้เธอไปก่อน ถึงมองมายังเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างนอกประตู แล้วยกมุมปากขึ้น ยื่นมือไปหยิบน้ำแกงที่คุณแม่เจียงตักมา 


 


 


           ตัวเองทำให้เขาโกรธจนออกไป ก็ต้องเป็นตัวเองที่ไปง้อเขากลับมา 


 


 


           ประธานซือไปง้อสะใภ้ที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างว่าง่าย 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นอีกฝ่ายมาก็รีบหันหน้าหนีทันที ไม่มองชายตามองเลยแม้แต่น้อย เมื่อกี้รังแกเขา แกล้งเขาจนสะใจ แล้วตอนนี้จะมาง้อเขาทำไม มีความสามารถก็เชิญต่อเลย 


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ เขาไม่มีความสามารถยังไม่ได้อีกเหรอ 


 


 


           อะไรก็ได้ แต่ทนเห็นแฟนของตัวเองน้อยใจไม่ได้ ประธานซือมองเจียงมู่เฉินอย่างเอาใจ “เฉินเฉินยังโกรธอยู่เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเบือนหน้าหนีไม่มองเขา 


 


 


           ซือเหยี่ยนข่มใจเขาไปง้อต่อ “เฉินเฉิน น้ำแกงที่แม่คุณตักมาให้คุณ ดื่มสักหน่อยสิ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นั่นตักให้นายต่างหาก นายดื่มเองเถอะ” 


 


 


           “อย่าสิ เป็นที่แม่คุณตักให้คุณต่างหาก” 


 


 


           “ยังเป็นแม่ฉันอยู่เหรอ ฉันเห็นว่ากลายเป็นแม่นายแล้วเหอะ” เจียงมู่เฉินโกรธจนเจ็บท้อง 


 


 


           “แม่ผมก็แม่คุณ แม่คุณก็แม่ผม ต่างก็เป็นแม่กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ” ซือเหยี่ยนเริ่มควักพลังการแสดงของตัวเองออกมาบดขยี้อยู่ข้างหลังเจียงมู่เฉิน 


 


 


           “ไสหัวไป นายไม่ต้องมาพูดกับฉัน เมื่อกี้ให้ร้ายฉันยังไง ฉันยังจำได้นะ” เขาโกรธจนจะตายแล้วจริงๆ โดนเจ้าหมอนี่ให้ร้ายทุกวัน ยังจะมาเป็นคู่รักอะไร คู่รักกับน้องสาวนายสิ จะมาให้ร้ายเขาอะไรหนักหนา 


 


 


           ซือเหยี่ยนจะเลิกคิ้วก็ไม่เลิกคิ้ว “ไม่งั้นก็ให้คุณให้ร้ายผมคืน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองบนใส่ “สำหรับฉัน นายไม่มีอะไรจะเชื่อถือได้อีกแล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นแบบนี้ เขาเล่นเกินขอบเขตไปแล้วจริงๆ ทำให้เจียงมู่เฉินโกรธแล้วจริงๆ เขาวางชามแกงลงที่โต๊ะข้างๆ แล้วส่งมือไปลากตัวเจียงมู่เฉินมา “อย่าโกรธเลยนะ พวกเราสร้างความเชื่อใจกันใหม่อีกครั้งไม่ได้เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ตอนนี้คิดจะมาสร้างใหม่อีกครั้งเหรอ สายไปแล้ว คุณชายไม่มีอารมณ์จะมาสร้างใหม่อีกครั้งกับนายหรอก” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยเสียงต่ำ “งั้นผมนอนหงายเป็นไง” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 189 ผู้ชายกากเดน 


 


 


           เจียงมู่เฉินตาลุกวาว “นายพูดจริงๆ เหรอ” 


 


 


           “จริงเป็นพิเศษ” ซือเหยี่ยนแสดงสีหน้าจริงใจ 


 


 


           “ได้ งั้นฉันจะสร้างกับนายใหม่อีกครั้งหนึ่งก็ได้ ถ้านายหลอกฉันอีก ฉันจะเด็ดหัวนาย” 


 


 


           “รับประกันว่าไม่หลอกคุณ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นเขาพูดแบบนี้ถึงจะคลายอารมณ์โกรธลงไปบ้าง ซือเหยี่ยนรีบยกชามแกงมา “งั้นก็ดื่มน้ำแกงเลยไหม” 


 


 


           “เอามาเถอะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ซดน้ำแกงทีละคำๆ เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง “พวกเราจะย้ายบ้านกันเมื่อไหร่” 


 


 


           “สัปดาห์หน้า?” 


 


 


           “สัปดาห์นี้เถอะ สัปดาห์หน้าฉันมีธุระ” จันทร์หน้าเขายังต้องออกไปกับซังจิ่งอยู่ 


 


 


           “ได้ งั้นพรุ่งนี้แล้วกัน ตอนบ่ายคุณมาที่บริษัท พวกเราเข้าไปด้วยกัน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินคำนวณเวลาดู แล้วพยักหน้า “ได้ งั้นพรุ่งนี้ตอนบ่าย ฉันจะไปหานาย” 


 


 


           รอเขาดื่มน้ำแกงจนหมด ซือเหยี่ยนถึงได้เอ่ยถาม “ไม่โกรธแล้วใช่ไหม” 


 


 


           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ เขาไม่พูดตัวเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เขาวางชามแกง แล้วลุกยืนขึ้น “ฉันยังมีธุระต่อ ขอตัวไปก่อนแล้ว” 


 


 


           ‘ไม่โกรธ?’ 


 


 


           ‘เหอะๆ มีหรือจะง่ายขนาดนั้น เขาคุณชายน้อยตระกูลเจียงไม่ได้ง้อได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกนะ คิดจะเล่นแง่กับเขาก็ควรจะคิดถึงเรื่องนี้ด้วย’ 


 


 


           เจียงมู่เฉินขับรถสปอร์ตคันฉูดฉาดผ่านประตูออกไป ซือเหยี่ยนมองตามรถสปอร์ตคันสีแดงที่ขับไปไกลลับตา ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ 


 


 


           ดูท่าว่าต่อไปนี้จะเล่นแง่กันโต้งๆ ขนาดนี้ไม่ได้แล้ว คราวหน้าต้องจัดการเงียบๆ กว่านี้ 


 


 


           …… 


 


 


           เจียงมู่เฉินขับรถไปถึงบ้านของมั่วไป๋ราวกับหายวับไปกับตาได้ เขายืนอยู่หน้าห้องเคาะประตู ผ่านไปสองนาที มั่วไป๋ถึงได้มาเปิดประตู 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความแปลกใจ “ทำไมวันนี้ถึงลุกมาแต่เช้าจัง” 


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มเยาะ ดึงประตูเปิดออก “นายเข้ามาดูเองเถอะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินทำหน้างงงวย เข้าประตูมาก็เห็นคอนโดมีเนียมที่ว่างเปล่าของมั่วไป๋ มีของกองหนึ่งวางอยู่ เขาเลิกคิ้วเงียบๆ “อะไรกัน นายเตรียมจะระเบิดบ้านหรือไง” 


 


 


           มั่วไป๋กุมขมับ “นายเดินเข้าไปข้างในอีกสิ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปข้างในถึงได้เห็นไป๋จิ่งที่เดินออกมาจากในครัว เขาหันมามองมั่วไป๋ทันที “ทำไมเจ้าหมอนั่นถึงอยู่ที่นี่ได้” 


 


 


           ‘เหอะๆ เขาเองก็อยากรู้…’ 


 


 


           พุ่งตัวเข้ามาตั้งแต่เช้า หิ้วถุงของมาเต็มมือ ไม่พูดพร่ำทำเพลงมุ่งตรงเข้าห้องครัว ไปตอกๆ ตีๆ ราวกับจะรื้อคอนโดมีเนียมเขาอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


           “ผีรู้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูไป๋จิ่งที่มีผ้ากันเปื้อนผูกอยู่ที่เอว “นายมาทำอะไรที่นี่” 


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นเจียงมู่เฉินก็ชะงักงันไปพักหนึ่ง “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินบันเทิงแล้ว ตอนที่เขามาที่นี่ ไป๋จิ่งยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ตอนนี้กลับมาถามเขาว่าทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้? 


 


 


           “นายไม่รู้สึกเหรอว่าที่นายถามฉันมันออกจะตลกไปหน่อย มั่วไป๋เป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันอยู่ที่นี่ไม่ถูกตรงไหนเหรอ” 


 


 


           ไป๋จิ่งรีบแย้งทันควัน “งั้นฉันอยู่ที่นี่มีอะไรไม่ถูกต้องเหรอ” 


 


 


           “เอ๊ะ ฉันว่านายนี่โง่จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่ นายมันคนแปลกหน้ามาปรากฏตัวอยู่ที่บ้านเพื่อนฉัน นายยังมีหน้ามาถามฉันได้เต็มปากเต็มคำว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง” เจียงมู่เฉินเอ่ยถากถาง “นายว่ามา ทำไมหน้านายถึงได้ใหญ่ถึงขนาดนี้” 


 


 


           ไป๋จิ่งวางจานในมือลง “ตอนนี้สถานะพวกเราคือคบหาศึกษาดูใจกันก่อน ดังนั้นการที่ฉันจะเข้ามาบ้านเขา จะไม่ถูกต้องได้ยังไงล่ะ” 


 


 


           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘คบหาศึกษาดูใจ’ สองคำนี้ก็ระเบิดลงขึ้นมาในพริบตา “นายจะมาดูใจอะไรกับเขา เขาเป็นผู้ชายกากเดน นายคบกับเขาจะมีอะไรดี” 


 


 


           เขายังคิดว่าระหว่างพวกเขาเป็นแค่ผู้ใหญ่ที่เคยมาป๊าบๆๆๆ กันเฉยๆ ใครจะรู้ว่าตอนนี้จะมาทำเรื่องคบกันอะไรอีก 


 


 


           มั่วไป๋กุมขมับ เขาปวดหัวจริงๆ แล้วนะ เจ้าพวกสองคนนี้นี่ 


 


 


           “นายอย่าเงียบสิ รีบบอกฉันมา” เจียงมู่เฉินจับตัวมั่วไป๋ไว้ 


 


 


           ไป๋จิ่งเองก็เดือดแล้ว “เอ๊ะ ทำไมฉันถึงเป็นผู้ชายกากไปได้ พวกเราสองคนต่างก็โสดด้วยกันทั้งคู่ ทำไมจะจีบกันไม่ได้” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม