(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 174-181

 ตอนที่ 174 ซื้อแล้วไม่รับคืนทุกกรณี 


 


 


           ยามที่เขากำลังจะเสียการควบคุมของหัวใจเข้าไปจูบมั่วไป๋ จู่ๆ พนักงานขับรถแทนที่อยู่ข้างหน้าก็เอ่ยปากขึ้นมา “คุณครับ ถึงแล้วครับ” 


 


 


           ไป๋จิ่งตกใจจนหยุดการกระทำนั้นทันที มั่วไป๋เองก็ลืมตาขึ้นมาขณะนั้นพอดี เขาเห็นใบหน้าของไป๋จิ่งที่เข้ามาใกล้ตัวเองในระยะประชิด ก็ไม่ขยับตัวไปไหน ราวกับมองทะลุถึงอะไรบางอย่าง ไป๋จิ่งรู้สึกใจแป่ว อดจะลูบจมูกป้อยๆ ไม่ได้ “คือว่า…เมื่อกี้ผมคิดจะเรียกคุณให้ตื่น” 


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ เหมือนจะยอมรับคำอธิบายของเขาอย่างไรอย่างนั้น พลิกตัวกลับมาเปิดประตูออกไป “ขอบใจความหวังดีของนายนะ รถก็ค่อยมาส่งให้ฉันพรุ่งนี้แล้วกัน” 


 


 


           ไป๋จิ่งชะงักไป มั่วไป๋กลับถือโอกาสนี้ลงจากรถปิดประตู เขามองเงาร่างเพรียวอยู่นอกประตู ใจในก็ประกายความดีใจแทบจะบ้าขึ้นมาแวบหนึ่ง 


 


 


           ‘นี่มั่วไป๋กำลังให้โอกาสให้เขามาเจอหน้าพรุ่งนี้ใช่ไหม’ 


 


 


           ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาต้องรักษาโอกาสนี้ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับความคิดเดิมที่เขาเตรียมจะหาข้ออ้างเพื่อใกล้ชิดมั่วไป๋พอดี จะได้รีบทำตามแผน 


 


 


           หลังจากมั่วไป๋เข้าคอนโดมิเนียมไปแล้ว ถึงได้เห็นรถของตัวเองขับออกไปอย่างช้าๆ เขามองดูรถที่ค่อยๆ แล่นไปไกลลับตา ก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ 


 


 


           ในเมื่อเขาตัดสินใจจะเล่นกับไป๋จิ่งอีกครั้ง เขาเองก็จะไม่ใจอ่อนยอมแพ้ให้เด็ดขาด 


 


 


           ‘หวังว่าไป๋จิ่งจะยืนหยัดให้นานกว่านี้สักหน่อย ไม่อย่างนั้นน่าเบื่อตายเลย’ 


 


 


           อีกด้านหนึ่ง เจียงมู่เฉินออกจากห้องน้ำมาก็เช็ดผมไป พลางครุ่นคิดว่ามั่วไป๋กับไป๋จิ่งรู้จักกันได้อย่างไร 


 


 


           ตามนิสัยชอบอยู่กับบ้านของมั่วไป๋แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้จักไป๋จิ่งได้ 


 


 


           อีกอย่างความใส่ใจที่มั่วไป๋มีต่อไป๋จิ่ง ดูเหมือนจะเกินกว่าคนที่เพิ่งจะรู้จักกันเสียอีก 


 


 


           เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่แล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนเรื่องที่กินข้าวด้วยกันเมื่อตอนหัวค่ำอย่างจริงจัง คิดว่าตัวเองตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า ยังไม่ทันได้รู้ตัว 


 


 


           จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งมาโอบเอวของเขาเอาไว้ ร่างกายของซือเหยี่ยนอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่จางๆ เจียงมู่เฉินดมกลิ่นเบาๆ “ทำไมช่วงนี้ถึงได้สูบหรี่บ่อยจัง” 


 


 


           รู้จักซือเหยี่ยนมาตั้งหลายปี เห็นเขาสูบบุหรี่ก็ยังไม่ได้เยอะอะไร คบกันแล้วก็ยังไม่ได้สูบบ่อยครั้งเท่าช่วงนี้ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเกยคางไว้บนไหล่ของเจียงมู่เฉิน “หลังจากได้ลองรสจูบครั้งก่อนไป ก็ตกหลุมรักความรู้สึกที่ได้สูบบุหรี่แล้ว” 


 


 


           เส้นเลือดบนหน้าผากของเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก แทบอยากจะสะบัดมือของซือเหยี่ยนออกไป 


 


 


           “วันๆ สมองนายนี่มีแต่ของเสียอยู่ใช่ไหม เมื่อก่อนไม่เห็นจะรู้สึกว่านายจะโรคจิตขนาดนี้เลย” 


 


 


           เสียแรงที่เมื่อก่อนเขาคิดว่าซือเหยี่ยนเป็นคนที่ทำตัวดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง แล้วดูพฤติกรรมการกระทำที่เขาทำตอนนี้ ความเป็นคนดีนั่นหายไปไหนแล้ว 


 


 


           ดูแล้วเหมือนคนถ่อยมากกว่า ยังเป็นพวกหน้าไม่อายสุดๆ อีกด้วย 


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองซือเหยี่ยนแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง “นายว่าตอนนี้ฉันสลัดนายทิ้งยังทันอยู่ไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ มองดูเขา “คุณชายเจียง สินค้าก็ใช้ไปแล้ว คุณยังคิดจะคืนของอีกเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น อยากพุ่งตัวขึ้นไปกัดเขาระบายความโมโหแรงๆ สักที 


 


 


           “ของล่ะ?” 


 


 


           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง “ของอะไร” 


 


 


           “ของขวัญ ของขวัญผมล่ะ” ซือเหยี่ยนมองดูเขา “คุณคงจะไม่คิด จะไม่ให้ของขวัญวันเกิดผมหรอกใช่ไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินโมโหจนกระอักเลือด ทำเป็นคนไม่รู้จักกันแล้ว “ไม่มี ผีเท่านั้นแหละที่จะเตรียมของขวัญให้นาย” 


 


 


           “อ่อ” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับคำหนึ่ง ก่อนถามกลับไป “ไม่มีจริงๆ เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินนึกถึงของชิ้นนั้น เขายังวางไว้อยู่ในลิ้นชัก เขาไม่เชื่อว่าซือเหยี่ยนจะทายได้ถูก เจ้าตัวเอ่ยเสียงแข็ง “ไม่มี” 


 


 


           “เฉินเฉิน ผมให้เวลาคุณอีกสามนาที คิดทบทวนให้ดีอีกครั้ง ว่าอยากจะเปลี่ยนคำตอบของคุณไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “คิดกับน้องสาวนายสิ ฉันก็ไม่ใช่ผีด้วย จะมาเตรียมของขวัญอะไรให้นาย” 


 


 


           เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินไปนอนที่เตียง แล้วปิดไฟนอน 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่ไม่พูดจานอนอยู่บนเตียง นัยน์ตาก็ลุกวาวขึ้นมาแวบหนึ่ง 


 


 


           เขายืนอยู่ด้านข้าง รออีกไม่กี่นาทีก็กดเสียงต่ำถอนหายใจออกมา หลังจากช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เจียงมู่เฉินแล้ว ยังปิดไฟจากโคมไฟที่อยู่ๆ ข้าง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปที่ระเบียง  


 


 


              


 


 


ตอนที่ 175 ซือเหยี่ยนโกรธแล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินหลับตาลง รออีกไม่กี่นาที ก็เห็นซือเหยี่ยนถอนหายใจ ห่มผ้าห่มให้เขา แล้วเดินออกจากห้องไป 


 


 


           เขาคิดว่าซือเหยี่ยนกำลังวางกับดักเขาอยู่ จึงตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง ไม่เป็นฝ่ายไปหาซือเหยี่ยนเอง 


 


 


           รออยู่นานสองนาน ซือเหยี่ยนก็ยังไม่มา เจียงมู่เฉินชักจะร้อนใจ รู้สึกถึงความไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่แล้ว 


 


 


           ‘นี่ซือเหยี่ยนคงจะไม่โกรธเขาจริงๆ หรอกใช่ไหม’ 


 


 


           ‘ไม่ควรจะใช่เลย ซือเหยี่ยนจะขี้น้อยใจขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะเขาไม่ได้ให้ของขวัญวันเกิดเขาเลยโกรธเหรอ’ 


 


 


           เจียงมู่แอบลืมตาขึ้นมา ไม่มีใครสักคนในห้อง เขามองไปทางระเบียง ก็เห็นซือเหยี่ยนยืนอยู่คนเดียวตรงระเบียง แผ่นหลังกว้างดูวังเวงเหงาหงอยอยู่ในที 


 


 


           เพียงไม่นานเจียงมู่เฉินก็รู้สึกผิดในใจ ของขวัญก็ซื้อมาแล้วแท้ๆ ทำไมถึงไม่ให้ซือเหยี่ยนไป 


 


 


           ‘แต่ว่ามันจะใช่เหรอ’ เมื่อก่อนซือเหยี่ยนไม่เคยโกรธเขาแบบนี้มาก่อน ยังมาทำสงครามเย็นกับเขาอีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูประตูระเบียงที่ปิดสนิท เมื่อแน่ใจว่าซือเหยี่ยนจะไม่หันกลับมาแล้ว เขาก็หยิบมือถือไว้ใต้ผ้าห่มกดโทรหามั่วไป๋ 


 


 


           ขณะที่เขาโทรไป มั่วไป๋เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี 


 


 


           ทันทีที่เห็นสายโทรเข้าจากเจียงมู่เฉิน เขายังคิดว่าเจียงมู่เฉินคิดจะถามเรื่องของเขากับไป๋จิ่ง จึงคิดอยู่สักพักหนึ่งถึงค่อยกดรับสาย 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นมั่วไป๋รับสายก็รีบเอ่ยถามทันที “ไป๋ไป๋ ถามนายเรื่องหนึ่งสื นายว่าคู่รักคู่หนึ่ง ในวันเกิดของคนหนึ่ง อีกคนไม่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดให้ เขาจะโกรธได้หรือเปล่า” 


 


 


           มั่วไป๋เลิกคิ้ว “คู่รักคู่หนึ่งอะไร นี่มันนายกับซือเหยี่ยนเหอะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “ต่อให้นายรู้ ก็ไม่ต้องเปิดโปงกันจะได้ไหม ไม่รู้จักไว้หน้าฉันบ้างหรือไง” เขาเสียหน้านะ 


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มเยาะ “นายอยู่กับฉัน ยังมีหน้าอยู่เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเดือดแล้ว “ทำไมฉันจะไม่มีหน้า ฉันคุณชายน้อยแห่งตระกูลเจียงผู้สง่าผ่าเผยนะ จะไม่มีหน้าได้ยังไง” 


 


 


           “ได้ๆๆ คุณชายน้อย นายมีหน้า มีหน้าเป็นพิเศษเลย” 


 


 


           “พอเถอะ นายอย่าพล่ามต่อเลย นายว่าซือเหยี่ยนจะโกรธจริงๆ ไหม” เขายังร้อนใจเรื่องนี้อยู่ 


 


 


           มั่วไป๋หรี่ตานั่งเอนพิงกับโซฟา “เขาเป็นไรไป” 


 


 


           “เขายืนคนเดียวอยู่ตรงระเบียงมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว” ยึดตามเวลาตั้งแต่เขาแกล้งหลับเป็นต้นไป ก็น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงที่ยังคงอยู่ที่เดิมตรงนั้น 


 


 


           “ยืนอย่างเดียว?” 


 


 


           “ยืนอย่างเดียว มือถือก็ไม่หยิบ เหล้าก็ไม่ดื่ม บุหรี่ก็ไม่สูบ แบบนี้ไม่ค่อยปกติใช่หรือเปล่า” เจียงมู่เฉินพูดไป พลางถือโอกาสเปิดผ้าห่มออกไป มองที่ระเบียงแวบหนึ่ง เห็นซือเหยี่ยนก้มหน้าเล็กน้อย พร้อมเอามือปิดหน้า 


 


 


           เขาร้อนใจแล้ว “เขายังเอามือปิดหน้าด้วย นายว่าซือเหยี่ยนคงจะไม่ร้องไห้หรอกใช่ไหม” 


 


 


           มั่วไป๋อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ ซือเหยี่ยนร้องไห้? เพราะเจียงมู่เฉินไม่ได้ให้ของขวัญเหรอ ไม่น่าจะอ่อนแอขนาดนั้นมั้ง 


 


 


           “ทำไงดี นายว่าถ้าเขาร้องไห้แล้ว ฉันต้องทำยังไง ไปง้อเขาเหรอ” 


 


 


           ถึงเวลานี้ ในที่สุดมั่วไป๋ก็มองออก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ซือเหยี่ยนเลยสักนิด แต่อยู่ที่เจียงมู่เฉินเองต่างหาก 


 


 


           เขาอยากไปง้อ แต่กลับกลัวเสียหน้า ดังนั้นถึงได้โทรมาหาเขา 


 


 


           มั่วไป๋ถอนหายใจ ตัดสินจะผลักดันให้เขาทำตามความต้องการของตัวเอง “งั้นนายก็ไปง้อเขาสิ” 


 


 


           “ต้องง้อจริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินเริ่มลังเลใจ 


 


 


           “อืม ง้อจริงๆ” 


 


 


           “จะดีเหรอ” เขายังพยายามดึงดัน 


 


 


           “เจียงมู่เฉินสมองนายเพี้ยนใช่ไหม เป็นลูกผู้ชายทั้งทียังจะมาลังเลอยู่ได้ อยากไปง้อก็ไปง้อสิ ระวังให้ดีเถอะ ถ้าไม่ไปง้อ แล้วซือเหยี่ยนเกิดอยากจะเลิกกับนายขึ้นมา ถึงตอนนั้นอย่ามาหาฉันนะ!” มั่วไป๋พูดจบประโยคเพียงอึดใจเดียว แล้วกดวางสายหนักๆ ใส่ทันที โดยไม่ลังเลสักนิด 


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนด่าจนตะลึงค้าง เขาถือมือถือไว้ด้วยสีหน้างุนงง มั่วไป๋เปิดปากมาก็ด่าเขาว่าเพี้ยนหรือเปล่า ตอนนี้เขาไม่เพี้ยน แต่ต่อไปโดนเขาด่าทอต่อว่าขนาดนี้อีก จากนี้ตัวเองคงจะเพี้ยนแล้วจริงๆ 


 


 


           แต่ว่ายังมีอยู่จุดหนึ่ง ถือว่ามั่วไป๋พูดตรงจุดแล้ว ในเมื่อตัวเองเป็นห่วงซือเหยี่ยน ก็เข้าไปถามสิ ถามสักหน่อยคงไม่เสียหน้าเท่าไหร่  


ตอนที่ 176 เริ่มง้อ 


 


 


           คิดถึงตรงนี้ เจียงมู่เฉินก็เปิดผ้าห่มออก กระโดดลงจากเตียงเดินเท้าเปล่าไปถึงหน้าระเบียง แล้วเปิดประตูมา ยืนอยู่ข้างหลังของซือเหยี่ยน 


 


 


           “เพราะฉันไม่ได้ให้ของขวัญนาย นายเลยไม่สบายใจใช่ไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ตอบเขา 


 


 


           เดิมทีเจียงมู่เฉินคิดจะจุดไฟในใจ สุดท้ายไฟยังไม่ทันได้ลุกโชน ก็ถูกซือเหยี่ยนดับมอดไปหมดแล้ว 


 


 


           “นี่ นายโกรธแล้วจริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินเริ่มจะใจคอไม่ดีแล้ว 


 


 


           ซือเหยี่ยนยังหันหลังให้เขาเหมือนเดิม ดูแล้วน่าสงสารทีเดียว 


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองแผ่นหลังของเขา เพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจอ่อนแล้ว เขาเดินเข้าไปดึงเสื้อของซือเหยี่ยนไว้ “นายพูดอะไรบ้างสิ อย่าอมทุกข์อยู่ที่นี่เลย” 


 


 


           ซือเหยี่ยนดึงมือของเขาให้ออกห่าง แล้วยังไม่พูดอะไรสักคำ 


 


 


           เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว กระชากอีกคนอัดเข้าผนัง แล้วล็อคตัวเอาไว้ เขาจ้องมองใบหน้าแสนเย็นชาของซือเหยี่ยน เสียงต่ำเอ่ยตวาดใส่ “นายแม่งหาเรื่อง ก็แค่ไม่ได้ให้ของขวัญนายไม่ใช่หรือไง ถึงขนาดต้องทำเย็นชาใส่ฉัน ทำสงครามเย็นกันเลยเหรอ” 


 


 


           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็เบนสายตามามองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ดวงตาสีดำขลับแฝงความเจ็บปวดจางๆ 


 


 


           เขามองเจียงมู่เฉิน ยิ้มอย่างจนใจ เปลือกตาปิดลงมา “คุณไม่ใช่ผม ต้องไม่เข้าใจอยู่แล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว “ไม่ใช่ ถ้านายไม่สบายใจจริงๆ นายก็พูดกับฉันสิ นายมายืนคนเดียวอยู่ตรงนี้หมายความว่าไง” 


 


 


           “ผมไม่อยากให้เรื่องนี้กระทบคุณ” 


 


 


           เขาทำให้เจียงมู่เฉินไปต่อไม่เป็นแล้ว ใช้ไม้แข็งกับซือเหยี่ยนไม่ได้ผลเลยสักนิด เขาคิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์การง้อที่เหมาะสมกว่านี้ใหม่ 


 


 


           เขาดึงชายเสื้อของซือเหยี่ยนด้วยท่าทางอ่อนแอ ดูเหมือนว่าจะน่าสงสารกว่าซือเหยี่ยนอีก “ถ้านายไม่สบายใจ เพราะฉันไม่ได้ให้ของขวัญนาย ฉันชดเชยให้นายดีไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “เฉินเฉิน ไม่ใช่เพื่อของขวัญชิ้นหนึ่ง ผมแค่รู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ฉลองวันเกิดด้วยกัน” เขาหยุดสักพัก “คุณรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้ผมรอคอยมากแค่ไหน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนเขาพูดมาแบบนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกผิดบ้างแล้ว 


 


 


           “เมื่อก่อนโลกของคุณสนุกสนานหลากสีสัน ไม่เหมือนตอนนี้ที่น่าเบื่อไร้สีสันหลังจากที่คบกับผม ผมอดที่จะคิดไม่ได้ว่าสำหรับคุณแล้ว ผมซือเหยี่ยนสุดท้ายแล้วเป็นอะไร สุดท้ายแล้วสำคัญแค่ไหน……” 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกผิดจนจะร้องไห้แล้ว เขารู้สึกหงุดหงิดตัวเองทันที ให้ของขวัญซือเหยี่ยนไปตั้งแต่แรกก็จบแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ทำให้คนเขาโกรธขึ้นมา จะง้อก็ง้อลำบากแล้วทีนี้ 


 


 


           “งั้นฉันให้ของขวัญชดเชยนายเป็นไง” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสนอเสียงอ่อน    


 


 


           ซือเหยี่ยนส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องเอาของขวัญ” 


 


 


           “เอาสิ จะไม่เอาได้ไง” เจียงมู่เฉินจ้องมองซือเหยี่ยน “ฉันบอกให้นายเอาของขวัญ นายก็ต้องเอา วันนี้คุณชายกำหนดมาให้นายแล้ว” 


 


 


           เขาหันกลับพุ่งตัวเข้าไปข้างใน หยิบนาฬิกาข้อมือที่เขาซื้อมาให้ซือเหยี่ยน แล้ววิ่งกลับออกไป 


 


 


           “ฉันซื้อไว้ให้นายล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่เขินเวลาจะให้นาย” เดิมทีเขารู้สึกว่าตัวเองกับซือเหยี่ยนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ จะมาให้ของขวัญกันก็รู้สึกเขินทีเดียว 


 


 


           แต่ใครจะรู้ว่าซือเหยี่ยนจะแคร์เรื่องนี้ขนาดนี้ ถ้ารู้มาก่อนถึงจะอายก็จะให้เขาอยู่ดี 


 


 


           ซือเหยี่ยนจ้องมองกล่องในมือของเขา ไร้การเคลื่อนไหวใดใดไปพักหนึ่ง 


 


 


           เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว รีบดึงมือซือเหยี่ยนมา แล้วยัดกล่องใส่มือซือเหยี่ยนไว้ 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูกล่องใบนั้น ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร เหมือนกับไม่ได้ดีใจอะไรมากแบบนั้นเลย เจียงมู่เฉินกระวนกระวายใจ ของขวัญก็ให้แล้ว ทำไมยังไม่โอเคอีก 


 


 


           “ฉันตั้งใจซื้อให้นายเป็นพิเศษเลยนะ นายไม่คิดจะเปิดดูหน่อยเหรอ” เจียงมู่เฉินถามอย่างระมัดระวัง 


 


 


           ซือเหยี่ยนเพิ่งจะลงมือเปิดกล่องออก เห็นเป็นนาฬิกาข้อมือ เผยอปากขึ้นเอ่ย “อืม ชอบ” พูดจบก็ปิดฝาลงทันที 


 


 


           ‘ท่าทีของเขาทำแบบขอไปทีเกินไปไหม ยังว่าชอบอีก ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าชอบตรงไหน’ เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยน เพียงพริบตาเดียวก็อยากจะระเบิดลงแล้ว 


 


 


           เขาลำบากลำบนอ้อมไปอ้อมมากว่าจะให้ของขวัญซือเหยี่ยนได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะมองแค่ผ่านๆ ตาไปแบบนี้ 


 


 


           ยังดีที่ยังพอมีสตินึกคิด เจียงมู่เฉินถึงเบรกรถไม่ให้ระเบิดทันทีได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินบีบนิ้วมือแน่น พยายามเตือนตัวเองให้ควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเอง ยังง้อเขากลับมาไม่ได้ เดี๋ยวโกรธหนีไปอีก 


 


 


           เขากัดฟันถาม “ของขวัญก็ให้แล้ว อย่าโกรธเลยนะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 177 สัญญาไม่เท่าเทียม 


 


 


           ซือเหยี่ยนจ้องมองเขา ไม่พูดจา 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาไม่ทะลุปรุโปร่งว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขารู้แค่เพียงซือเหยี่ยนแสดงออกแบบนี้ อารมณ์โกรธยังไม่หายไปแน่นอน 


 


 


           “ไม่อย่างนั้นนายก็พูดมา นอกจากของขวัญแล้ว นายยังอยากได้อะไร” 


 


 


           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็มีท่าทีตอบกลับ “คุณพูดเอง” 


 


 


           “อืม ฉันพูดเอง” 


 


 


           “อยากได้อะไรก็รับปากหมดเลยเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกัดฟัน เพื่อจะง้อซือเหยี่ยนให้ได้ เขาเทหมดหน้าตักจริงๆ แล้ว “อืม อะไรฉันก็รับปาก ต่อให้นายอยากป๊าบๆๆ กับฉัน ฉันก็ยอม” 


 


 


           ขณะเขาพูดประโยคนี้ออกมา แววตาซือเหยี่ยนก็ลุกวาวขึ้นมา เขามองเจียงมู่เฉิน “เอาจริงเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าตัวเองได้กระโดดเข้าหลุมที่ซือเหยี่ยนขุดไว้เรียบร้อยแล้ว ยังพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “จริงจังๆๆ จริงจังเป็นพิเศษเลย” เขาชี้มาที่ใบหน้าตัวเอง “นายดูใบหน้าเล็กๆ นี้ อีกนิดก็เขียนคำว่า ‘จริงจัง’ สองคำนี้ลงไปได้แล้ว” 


 


 


           “มีแค่นี้เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินงุนงง เขาสละตัวเองขนาดนี้แล้ว ยังไม่ได้ 


 


 


           ‘ยังต้องการอย่างอื่นอีก’ 


 


 


           “งั้นนายยังต้องการอะไรอีก” 


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบคางไปมา “ผมทำอะไร คุณจะโกรธไม่ได้ ห้ามขัดขืน ยังต้องร่วมมือด้วย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินก็พยักหน้าทันที “ได้ๆๆ ฉันรับปากทุกอย่าง นายเป็นโคตรเหง้าศักราช[1]ฉันจริงๆ” 


 


 


           ‘ไม่ใช่แค่ขายตัวเอง แต่ยังเป็นฝ่ายห่อตัวเองส่งถึงมือซือเหยี่ยนด้วย’ 


 


 


           ‘เป็นโคตรเหง้าศักราชจริงๆ นะ’ 


 


 


           นัยน์ตาซือเหยี่ยนซ่อนรอยยิ้มไว้ เป็นอย่างคิดไม่มีผิด เฉินเฉินของเขาต่อให้สูญเสียความทรงจำไปแล้ว ก็ยังเหมือนเมื่อก่อนทั้งใจอ่อนทั้งซื่อบื้อทั้งน่ารักอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


           แกล้งทำเป็นน่าสงสาร อะไรก็ยอมรับปาก 


 


 


           ซือเหยี่ยนถูนิ้วมือไปมา คิดทบทวนอย่างจริงจังว่าจะกินจากตรงไหนดี 


 


 


           “ฉันยอมให้แบบนี้แล้ว ยังโกรธอยู่อีกเหรอ” เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาตั้งนานสองนาน เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว 


 


 


           ซือเหยี่ยนหยิบนาฬิกาขึ้นมาวางไว้ในมือ พินิจดูอย่างจริงจัง ก่อนจะส่งต่อให้เจียงมู่เฉินทันทีหลังจากนั้น “ในเมื่อเป็นของขวัญที่คุณให้ผม คุณช่วยสวมให้ผมหน่อยแล้วกัน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้ ก็รู้สึกว่าควรจะถือว่าตัวเองง้อซือเหยี่ยนได้แล้ว รีบรับใช้เอานาฬิกามาสวมให้เขา 


 


 


           นาฬิกาสวมอยู่บนข้อมือของซือเหยี่ยน ดูเข้ากันเหมือนที่เขาคิดไว้ เจียงมู่เฉินพยักหน้าอย่างพอใจ รู้สึกว่าสายตาของตัวเองยังดีเหมือนเดิม 


 


 


           ดีเหมือนสายตาในการมองผู้ชายของเขาไม่มีผิด 


 


 


           “ของขวัญก็สวมให้แล้ว ยังไม่กลับเข้าไปอีกเหรอ” เจียงมู่เฉินกะพริบตาแกล้งทำซื่อตาใส 


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ดึกมากแล้ว ต้องเข้านอนเร็วหน่อย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินก็ดีใจในพริบตา “ไปเถอะ ไปเถอะ พวกเรากลับไปนอนกันเถอะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คุณดูรีบร้อนมากเลย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบร้อนมากที่ไหนกัน เขาใกล้จะรีบร้อนจนตายแล้วต่างหาก เพิ่งจะง้อได้ ถ้ายังทำให้โกรธอีก ไม่คุ้มค่าเอามากๆ 


 


 


           เขาดึงมือของซือเหยี่ยนมา “รีบร้อน รีบร้อนเป็นพิเศษ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “ได้ งั้นกลับไปนอนกันเถอะ” 


 


 


           พอได้ยินซือเหยี่ยนพูดมาขนาดนี้ เจียงมู่เฉินร่าเริงขึ้นทันตา ไม่มีอะไรเทียบได้กับการที่ซือเหยี่ยนไม่โกรธ ยังคุ้มค่าที่เขาจะสุขใจด้วย 


 


 


           เขาดึงมือซือเหยี่ยนฉุดตัวเข้าไปข้างใน “เร็วเข้า นอนได้แล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนก็ไม่ขยับเอง ปล่อยให้เขาลากดึงไป มองดูท่าทางรีบร้อนของเขาอย่างขำๆ แทบจะอยากจับเขายัดใส่เตียง 


 


 


           กว่าเจียงมู่เฉินจะลากคนตัวโตเข้ามาถึงเตียงไม่ใช่ง่ายๆ เขาใช้มือกดอีกคนให้นั่งลงบนเตียง “มา ดึกแล้ว รีบนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปบริษัทอีก” 


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้าดูเวลาก็ดึกแล้วจริงๆ มีเรื่องสำคัญที่ต้องคว้าโอกาสรีบจัดการจริงๆ 


 


 


           คิดแบบนี้แล้ว ซือเหยี่ยนก็ให้ความร่วมมือกับเจียงมู่เฉิน มานอนอยู่ข้างๆ บนเตียง เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนที่จู่ๆ ก็ทำตัวน่าเอ็นดูด้วยความพอใจ 


 


 


           ดูท่าว่าเขาเองก็มีประสบการณ์ง้อคนมากอยู่มากทีเดียว เจียงมู่เฉินอดจะกดไลค์ให้ตัวเองไม่ได้ 


 


 


           จัดการซือเหยี่ยนเรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินก็เดินอ้อมมาอีกฝั่งแล้วขึ้นเตียง เอนกายลงเตรียมจะนอนหลับสบายๆ 


 


 


           คนยังนอนไม่ถึงสองนาที ซือเหยี่ยนก็พลิกตัวมาคร่อมเขาไว้……        


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] นายเป็นโคตรเหง้าศักราช เป็นการเปรียบเปรย รู้สึกจนปัญญากับอีกฝ่าย 


ตอนที่ 178 ฉวยโอกาสเอาเปรียบ


 


 


           เขาทำให้เจียงมู่เฉินตกใจกลัว รีบเอามายันซือเหยี่ยนไว้


 


 


           “ไม่นอนดีๆ นายปีนขึ้นมาทำอะไร” เจียงมู่เฉินระเบิดลง นี่มันอะไรกัน เมื่อกี้ก็ยังดีกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมขึ้นมานอนแล้วยังมาโกรธกันอีก


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่ตอบ ใจจดจ่ออยู่กับการกระทำในมือ


 


 


           เจียงมู่เฉินดึงผ้าห่มสุดชีวิต ยกเท้าเตะเขา “ดูท่าว่าคำพูดเมื่อกี้นี้ของเฉินเฉินจะแค่พูดไปงั้นๆ เอง หลอกผมมาตั้งแต่แรกแล้วสินะ”


 


 


           เขาถอนหายใจเงียบๆ “ช่างเถอะ ผมน่าจะรู้มาตั้งนานแล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง เมื่อครู่นี้เขารับปากอะไรซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง ภาพในหัวค่อยๆ ย้อนระลึกปรากฏขึ้นมา…จากนั้นก็ตะลึงค้างไป


 


 


           ‘เขาบอกเองว่าต่อให้จะป๊าบๆๆ ก็โอเค’


 


 


           ‘ห้ามขัดขืน แล้วต้องให้ความร่วมมือด้วย แบบนั้นน่ะเหรอ’ เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ ตอนนี้เขาเอาคำพูดพวกนั้นเก็บกลับคืนมายังจะทันอยู่ไหม


 


 


           สีหน้าท่าทางของซือเหยี่ยนดูแล้วน่าสงสารอยู่ในที พูดไปก็คิดจะเปิดผ้าห่มลงจากเตียง ท่าทีแบบนั่นก็แปลว่า ‘ถ้าคุณยังไม่ยอมตกลง ผมจะกลับไปที่ระเบียง’


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าชาติที่แล้วตัวเองต้องทำกรรมกับเขาไว้จริงๆ ชาติถึงได้โดนซือเหยี่ยนจัดการตลอด


 


 


           ‘แม่งเอ๊ย!’ ประเด็นสำคัญคือเขายังเป็นฝ่ายเต็มใจยอมส่งตัวเองถึงที่ให้ซือเหยี่ยนกิน


 


 


           เขากดมือซือเหยี่ยนที่อยากจะลงจากเตียงไว้ ขบกรามสุดชีวิตภายใต้ความมืดมิด ก็แค่โดนจับกดไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำ มีอะไรต้องกลัว


 


 


           อย่างมากก็แค่ออกกำลังกายกันก่อนนอนเท่านั้นเอง


 


 


           “นายอย่าไปไหน อยากเอาก็เอา คุณชายอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้น” เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างหนักแน่น แทบอยากจะพุ่งตัวไปจับซือเหยี่ยนกดลงเตียงแทน


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “จริงเหรอ คุณอย่าฝืนใจเลย”


 


 


           เขายังมาทำหน้าเหมือนไม่อยากทำให้เขาลำบากใจอีก เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “ฝืนใจกะน้องสาวนายสิ ให้นายทำนายก็ทำ จะมาพล่ามอะไรมากมาย”


 


 


           ท่ามกลางราตรีอันมืดมืด แววตาของซือเหยี่ยนทอประกาย จ้องเหยื่อที่ส่งตัวเองมาให้เขาถึงที่ตาไม่กะพริบ ยังวางลงตรงปากเข้าอีก เมื่อคิดถึงว่าเจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายออกปากเองก็อดจะแอบยิ้มไม่ยิ้ม


 


 


           “เร็วเข้าสิ ยังอืดอาดอยู่ ฟ้าจะสว่างแล้วนะ” เจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนไม่ทำอะไรสักที ชักจะร้อนใจแล้ว


 


 


           “โอ้…” แผนการเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นในแววตา “ผมก็ไม่ได้ไม่อยากจะเร็ว ประเด็นคือมือผมค่อนข้างชา”


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด “งั้นนายจะให้ทำยังไง”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “เฉินเฉิน ไม่งั้นคุณช่วยผมปลดกระดุมสิ”


 


 


           “!” ปลดกระดุม? เขาช่วยซือเหยี่ยน?


 


 


           เจียงมู่เฉินไปต่อไม่ถูก นี่มันเร้าใจไปไหม พวกเขาอยู่กันมาตั้งนาน เป็นซือเหยี่ยนคนเดียวที่ปลดเสื้อผ้าเขาออก ตัวเองยังไม่เคยช่วยซือเหยี่ยนปลดเสื้อผ้าเลย


 


 


           จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็รู้สึกจักจี้ที่มือ


 


 


           “ได้ ฉันเองๆ” เจียงมู่เฉินลุกขึ้นนั่งบนเตียงประจันหน้าซือเหยี่ยน


 


 


           ท่ามกลางความมืด เขามองกระดุมบนเสื้อของซือเหยี่ยนไม่ชัด ทำได้แค่เพียงลูบๆ คลำๆ หาไปตามร่างกายของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินคลำอยู่ตั้งนานก็ยังหากระดุมบนเสื้อของซือเหยี่ยนไม่เจอ


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจเงียบๆ “เฉินเฉิน คุณคงจะไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบผมหรอกใช่ไหม”


 


 


           “ใครจะเบื่อจนเอาเปรียบนายกัน อีกอย่างร่างกายของนายจะส่วนไหนก็เป็นของฉัน ฉันลูบสักหน่อยจะเป็นไรไป นายไม่พอใจหรือไง” เวลานี้แล้วเจียงมู่เฉินยังลำพองตัวกว่าคนข้างๆ เสียอีก


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นหัวเราะ เขากางมือออก แสดงลีลาท่าทางว่า ‘ให้คุณทำได้ตามใจ’


 


 


           “อืม คุณพูดถูก ลูบได้ ลูบตามใจเลย”


 


 


           ปลายนิ้วเจียงมู่เฉินสั่นสะท้าน อดจะลูบจมูกปอยๆ ไม่ได้ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคำพูดของซือเหยี่ยนดูน่าอับอายอย่างไรชอบกล


 


 


           ตั้งสติได้ ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็หากระดุมเสื้อเจอ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงค่อนข้างจะตื่นเต้น เขาค่อยๆ ใช้มือปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดๆ ตั้งแต่ปลดเม็ดแรก เม็ดที่เหลือก็ราบรื่นขึ้นเยอะ


 


 


           จนกระทั่งกระดุมทุกเม็ดถูกปลดออกแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้โล่งใจ เขาถอนหายใจเล็กน้อย ทำไมแค่ช่วยซือเหยี่ยนปลดกระดุมถึงเหนื่อยเหมือนไปวิ่งแปดร้อยเมตรมา


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่กำลังถอนหายใจเบาๆ เขายกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีใจเย็น “เฉินเฉิน ยังมีกางเกงอีกนะ”


 


 


             


 


 


ตอนที่ 179 โดนปั่นหัวเล่นอีกแล้ว


 


 


           “!” เจียงมู่เฉินอยากจะร้องไห้ ทำไมแค่ถอดเสื้อผ้าทำไมถึงยากขนาดนี้ ชีวิตใกล้จะไม่เหลือแล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนพิงกายเอ้อระเหยอยู่ตรงนั้น “อะไรกัน เฉินเฉินคิดจะฉีกสัญญาเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกัดฟัน อยากจะสบถคำหยาบคายใส่ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นขุดหลุมเอาไว้ แล้วตัวเองยังไม่ทันได้ค้นพบ ก็กระโดดลงไปอย่างโง่ๆ แล้ว


 


 


           “ฉันว่า นายกำลังปั่นหัวฉันเล่นอยู่ใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเอ่ยถามอย่างคนรู้ตัวช้า


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูก เอ่ยอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “โดนคุณจับได้แล้วหรือนี่”


 


 


           เจียงมู่เฉินโกรธจนกัดฟัน “โคตร! พ่อง! สิ! ฉันอยากจะเล่นงานนายให้ตายจริงๆ” เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังมีหน้ามายอมรับอีก


 


 


           ซือเหยี่ยนยังคงพิงอยู่ตรงนั้น หรี่ตาลงเล็กน้อย “มาเถอะ อย่าอ่อนโยนกับผมมากเกินไปอีกนะ”


 


 


           เจียงมู่เฉิน “……”


 


 


           ‘อยากจะคืนสินค้าทำไงดี’


 


 


           “นายวางแผนหลอกฉันมาแม้แต่เรื่องที่อยู่ตรงระเบียงใช่ไหม” ดวงตาดอกท้อของเจียงมู่เฉินหรี่ลงเล็กน้อย “ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แค่ตรงระเบียง นายวางแผนหลอกฉันตั้งแต่ที่ถามหาของขวัญกับฉันใช่ไหม”


 


 


           จงใจถามหาของขวัญกับตัวเอง แล้วจงใจยั่วโมโหตัวเอง จงใจให้ตัวเองโกรธจนด่าเขา จากนั้นตัวเขาเองก็ไปทำเป็นยืนน้อยใจอยู่ตรงระเบียง คิดไว้อยู่แล้วตัวเองทนเห็นเขาน้อยใจอยู่ตรงระเบียงคนเดียวไม่ได้ ต้องไปหาเขาแน่นอน


 


 


           ถึงเวลาก็ฉวยโอกาสเอาของขวัญ ไหนจะให้ตัวเองยอมตกลงรับสัญญาที่ไม่เท่าเทียมกันของเขา


 


 


           จากนั้นเขาก็ฉวยโอกาสทำตามอำเภอใจได้


 


 


           ‘แม่งเอ๊ย!’


 


 


           การโดนตลบหลังครั้งนี้ พาตัวเองผ่านไปทีละขั้นอย่างแม่นยำ ค่อยๆ ดึงดูดตัวเองให้มาลงหลุมที่เขาขุดไว้ล่วงหน้าแล้ว


 


 


           ที่สำคัญคือตัวเองเหมือนกับคนโง่ไม่มีผิด กระโดดลงไปอย่างโง่ๆ แล้วยังทุ่มเทใจกระตือรือร้นคิดอยากจะง้อเขา ไม่ว่าเขาพูดอะไร ตัวเองก็ยอมรับปากทุกอย่าง


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมูอย่างไรอย่างนั้น หมูก็ไม่ได้โง่เท่ากับเขาขนาดนี้ ชำระล้างให้สะอาดแล้วก็ยังเต็มใจส่งตัวเองถึงปาก ให้เขากินอีก


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบปลายจมูกป้อยๆ “เฉินเฉิน ผมดูเป็นจอมวางแผนขนาดนั้นเลยเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น “เหมือน โคตรจะเหมือน เป็นสิ่งที่กำหนดใส่มาในตัวนายอยู่แล้วจริงๆ” เขาโกรธจนยื่นมือไปกดเปิดโคมไฟ แล้วจ้องมองซือเหยี่ยนด้วยความเดือดดาล “นายว่านายทำขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนทำเหมือนกับว่าคำพูดนี้กำลังอวยตัวเองอยู่ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เพราะว่าผมคือผู้ชายของคุณ”


 


 


           “…” ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าในคำตอบของซือเหยี่ยนที่ยังมีความภูมิใจอยู่ด้วย มันหมายความว่าไงกัน


 


 


            “ตอนนี้นายกำลังรู้สึกภูมิใจใช่ไหม รู้สึกว่าการได้แกล้งฉันจนหัวหมุนมีความสุขมากใช่ไหม”


 


 


           “ภูมิใจมากจริงๆ” ซือเหยี่ยนตอบอย่างซื่อสัตย์


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินคำตอบนี้ก็ระเบิดลงชั่วพริบตา ซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นยังรู้สึกว่าการปั่นหัวเขาเล่นน่าภูมิใจมากเลยเหรอ


 


 


           เขาจะโมโหจนระเบิดจริงๆ แล้ว ถ้าเวลานี้เขาพุ่งขึ้นไปเด็ดหัวซือเหยี่ยนออก คงจะไม่ต้องโดนปรับทางกฎหมายหรอกใช่ไหม


 


 


           “คิดไม่ถึงว่านายยังจะกล้ายอมรับ แม่งเอ๊ย นายยังจะกล้ายอมรับอีกเหรอ” เจียงมู่เฉินพุ่งเข้าใส่ ต้องการจะสู้กับซือเหยี่ยน “คุณชายเป็นคนที่นายจะปั่นหัวเล่นยังไงก็ได้เหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาโกรธจริงๆ ก็รีบง้อเขา เขาก็แค่หยอกล้อเจียงมู่เฉินเท่านั้น คิดจะทำให้เขาโกรธจริงๆ ที่ไหนกัน


 


 


           “เฉินเฉิน ที่ผมภูมิใจไม่ใช่เพราะผมหยอกคุณ”


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “เรียกว่าปั่นหัว ไม่เรียกว่าหยอก”


 


 


           “ผมภูมิใจ เพราะผมมีแฟนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ แล้วยังเป็นห่วง ใส่ใจผมมากๆ อีกด้วย”


 


 


           “น้ำผึ้งอาบยาพิษ นายคิดว่าฉันจะเชื่อนายได้เหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาแล้วหัวเราะ “ใช่ ผมยอมรับว่าทั้งหมดเป็นแผนของผม แต่มันก็เดิมพันด้วยความห่วงใยที่คุณมีต่อผม ถ้าคุณไม่ห่วงใยผม แผนของผมก็จะไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น”


 


 


           เขาคว้ามือเจียงมู่เฉินเอาไว้ “ดังนั้น ผมภูมิใจ ก็เพราะแฟนของผม…คือคุณไง”


 


 


           ……


 


 


           เงียบไม่พูดจากันอยู่หลายนาที เจียงมู่เฉินถึงได้กะพริบตา หัวใจเขาเต้นตึกตักตึกตักตึกตัก ราวกับหัวใจจะทะลุออกไป


 


 


           จู่ๆ เขาก็เริ่มกลัวตัวเองแล้ว รู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเองเหมือนกับผู้หญิง คิดไม่ถึงว่าเมื่อได้ยินคำหวานแบบนี้จากปากซือเหยี่ยน หัวใจก็ตื่นเต้นจนจะระเบิดออกมา


 


 


           ‘หรือว่าเพราะว่าเขารักซือเหยี่ยนเข้าแล้ว ถึงได้เปลี่ยนไป กลัวการได้มาและการสูญเสียไม่ต่างจากผู้หญิงคนหนึ่งเลยแบบนี้’


ตอนที่ 180 จะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตั้งแต่นิ่งอึ้งไปจนตื่นตระหนก แล้วมาหวาดกลัว ไม่พูดไม่จาสักคำอยู่อย่างนี้


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทีตอบสนองเขาแบบนี้ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยปกติเท่าไหร่


 


 


           เขาคำนวณได้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ของเจียงมู่เฉินได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกหวาดกลัวได้ เขาอดจะกุมมือเจียงมู่เฉินไว้แน่นๆ ไม่ได้


 


 


           “เฉินเฉิน คุณเป็นไรไป”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนอย่างไปต่อไม่เป็น “จบกันๆ ฉันจะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว”


 


 


           เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มหัวซือเหยี่ยน


 


 


           พวกเขารู้จักกันมาตั้งนาน จะไม่รู้โครงสร้างร่างกายเจียงมู่เฉินได้อย่างไร ตั้งแต่หัวจรดเท้า จากข้างในมาข้างนอก เขาคือผู้ชายตัวจริง


 


 


           ถ้าเจียงมู่เฉินกลายเป็นผู้หญิงจริงๆ เกรงว่าโลกจะถล่ม เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น


 


 


           “จริงๆ ฉันกลายเป็นผู้หญิงไปแล้วใช่ไหม” เจียงมู่เฉินตกใจจนจะฉี่ราดจริงๆ แล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปลูบสักหน่อย “ไม่นะ ก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินหน้าชา ปัดมือซุกซนของเขาทิ้ง “นายมันน่าไม่อาย เอามือไปวางตรงไหนกัน”


 


 


           ซือเหยี่ยนทำไขสือ “คุณบอกว่าคุณกลายเป็นผู้หญิงแล้วไม่ใช่เหรอ ผมก็เลยลองลูบดูว่ายังอยู่ไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกขัดใจ โกรธจนไม่โต้แย้งเขาแล้ว


 


 


           “ฉันหมายถึงใจ หัวใจ นายเข้าใจไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนส่ายหัวอย่างจริงจัง “บอกตามตรง ยังไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ”


 


 


           “ไสหัวไปซะ ไม่อยากจะคุยกับนายแล้ว” เจียงมู่เฉินยกเท้าถีบเข้าให้ทีหนึ่ง นอนห่อตัวซุกตัวในผ้าห่มหดหู่ใจ


 


 


           ซือเหยี่ยนงงค้าง มองดูเจียงมู่เฉินที่ห่อพันตัวเองราวกับรังไหม แล้วยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่ เรื่องมันดำเนินมาไม่ค่อยจะถูกทิศถูกทางหรือเปล่า


 


 


           ตามแผนที่เขาวางไว้ ตอนนี้ควรจะได้ฉลองบทรักกันอย่างมีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอ


 


 


           ‘ทำไมเจียงมู่เฉินถึงได้ห่อตัวเองใต้ผ้าห่ม แล้วนอนไปเลย’


 


 


           ซือเหยี่ยนก้มลงมองน้องชายตัวเอง แล้วมองเจียงมู่เฉิน…ไปต่อไม่ค่อยถูก…


 


 


           “คือว่า เฉินเฉิน…ไม่ออกกำลังกายก่อนนอนสักหน่อยเหรอ” ซือเหยี่ยนตัดสินใจสู้เพื่อน้องชายตัวเองสักหน่อย


 


 


           เจียงมู่เฉินผู้ม้วนตัวใต้ผ้าห่ม ด่ายกใหญ่ “ออกกำลังกายกับน้องสาวนายสิ จะนอน!”


 


 


           ซือเหยี่ยนผู้โดนตวาดใส่ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ


 


 


           ดีที่เขาไม่มีน้องสาว ไม่อย่างนั้นน้องสาวต้องมาเอาชีวิตเขาแน่


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่คิดจะโปรดปรานเขาแล้ว ทำได้เพียงน้อยใจกันสองคนพี่น้อง ซือเหยี่ยนนอนหงายลงบนเตียง พูดคุยเรื่องความรู้สึกกับน้องชายของตัวเองแบบเงียบๆ ให้เขาไม่ดื้อ สงบลงแล้วนอนหลับแต่โดยดี


 


 


           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่า…เป็นตัวเขานี่ยากลำบากเอาเรื่องจริงๆ


 


 


           ……


 


 


           รุ่งสางวันต่อมา ซือเหยี่ยนโดนเจียงมู่เฉินใช้เท้าถีบปลุก ซือเหยี่ยนสับสนงุนงงมองเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ ไม่ค่อยจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


 


           เขากะพริบตาปริบๆ “นี่……เกิดอะไรขึ้นเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขาอย่างเอาจริงเอาจัง “ฉันจะบอกนายไว้ ต่อให้ฉันกลายเป็นผู้หญิง นายก็เลิกกับฉันไม่ได้”


 


 


           ซือเหยี่ยนกุมขมับ เขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจียงมู่เฉินเป็นผู้หญิงตรงไหน แต่สายตาด้านข้างนี้ก็เอาแต่ถลึงตาใส่เขา ซือเหยี่ยนทำได้เพียงพยักหน้า “ได้ ไม่เลิก”


 


 


           เจียงมู่เฉินถึงได้พอใจแล้วเอนกายนอนลงไป “โอเค นอนกันเถอะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนจ้องมองเขา “เฉินเฉิน คงไม่ใช่ว่าไม่ได้นอนทั้งคืนหรอกใช่ไหม” เขาเห็นแววตาเจียงมู่เฉินใสวาว ไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาสักนิด


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ใช่สิ ฉันคิดเรื่องของฉันอยู่”


 


 


           เขาคิดมาทั้งคืน ต่อให้ความคิดตัวเองกลายเป็นผู้หญิงในจุดนี้ เขาก็ยอมรับแล้ว ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็อย่าคิดจะหนีรอดจากอุ้งมือเขา


 


 


           ‘ในเมื่อขึ้นเตียงของเขาเจียงมู่เฉินแล้ว คิดจะลงไปอีก ไม่มีทาง!’


 


 


           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “คุณคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนเลยเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินทำหน้าจริงจัง “ก็ใช่น่ะสิ”


 


 


           ซือเหยี่ยนแทบจะคุกเข่าให้แล้วจริงๆ เพราะเรื่องนี้ถึงได้คิดทั้งคืน สู้มาออกกำลังกายกับเขาสักหน่อยยังจะดีกว่า


 


 


           ‘เลิกเหรอ’


 


 


           ‘ชาตินี้ตีให้ตายก็ไม่มีทางเลิกเด็ดขาด’


 


 


           “เฉินเฉิน ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ไม่อย่างนั้น…” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสนออย่างจริงจัง


 


 


           เจียงมู่เฉินเอาหมอนตบหน้าเขา “ไม่มีไม่อย่างนั้น นอน!”


 


 


           เปลวไฟดวงน้อยๆ ที่ซือเหยี่ยนหวังไว้ถูกดับมอดอย่างไร้เยื่อใย เขาถอนหายใจอย่างจนใจ กลับไปนอนตะแคงยื่นมือไปโอบกอดเจียงมู่เฉินเอาไว้


 


 


           ‘กินไม่ได้ แล้วยังจะกอดสักหน่อยไม่ได้เหรอ’


 


 


           ความต้องการของซือเหยี่ยนคงไม่ได้รับการเติมเต็มแล้วจริงๆ


 


 


 


 


ตอนที่ 181 เป็นฝ่ายมาถึงที่


 


 


           เช้าวันต่อมา มือถือที่มั่วไป๋วางลงข้างเตียงร้องไม่หยุด อึกทึกจนเขานอนหลับดีๆ ไม่ได้ มั่วไป๋ขมวดคิ้ว เอามือออกจากใต้ผ้าห่มควานหาอยู่ด้านข้างอย่างทุลักทุเล


 


 


           กว่าคว้าเอามือถือมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาไม่ดูสักนิด กดรับสายทันที จิตใต้สำนึกของมั่วไป๋บอกเขาว่าคนที่โทรมาหาเขาเช้าขนาดนี้ก็มีเพียงเจียงมู่เฉินคนเดียว


 


 


           “ฮัลโหล โทรหาฉันมีอะไรอีก เมื่อคืนยังง้อกันไม่ได้เหรอ” มั่วไป๋ย่นคิ้ว เอ่ยถาม


 


 


           “ผมเอง ไป๋จิ่ง”


 


 


           ได้ยินเสียงดังมาจากปลายสาย มั่วไป๋ชะงักงันสักพักหนึ่ง เขาลืมตาดูเวลาในมือถือ เพิ่งจะเก้าโมง ทำไมเช้าขนาดนี้ไป๋จิ่งถึงโทรหาเขาได้


 


 


           ‘เป็นบ้าหรือไง เจ้าคนนี้’


 


 


           “มีอะไรเหรอ” น้ำเสียงมั่วไป๋ดีขึ้นมานิดหนึ่ง


 


 


           “ผมมาคืนรถให้คุณ”


 


 


           “อ้อ งั้นนายก็จอดไว้ตรงนั้น แล้วไปเลยก็ได้” มั่วไป๋พูดไปส่งๆ


 


 


           เส้นเลือดบนหน้าผากไป๋จิ่งกระตุกแล้วกระตุกอีก เมื่อคืนเขาตื่นเต้นจนนอนหลับไม่สนิททั้งคืน กว่าจะหอบร่างตัวเองให้มาลุกเวลาเจ็ดโมงเช้าได้ กว่าจะลงจากเตียงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหล่อๆ ไหนจะยังพรมน้ำหอมอีกไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งหมดก็เพื่ออยากให้มั่วไป๋มีภาพจำที่ดีเกี่ยวกับเขา


 


 


           ‘สุดท้ายเขายังไม่ทันได้เจอมั่วไป๋ ก็จะให้เขากลับไปแล้วเหรอ’


 


 


           ‘ที่ตื่นเต้นมาก็เสียเปล่าเลยใช่ไหม’


 


 


           ไป๋จิ่งกลอกตาไปมา “ผมอยากกินข้าวเช้าด้วยกันกับคุณ”


 


 


           มั่วไป๋เงียบไม่พูดจาครู่หนึ่ง ทันทีหลังจากนั้นคิดไม่ถึงว่าจะเอ่ยตอบรับไป “อ่อ งั้นนายขึ้นมาแล้วกัน ฉันยังไม่ลุกจากเตียง”


 


 


           ไป๋จิ่งตาลุกวาว นึกไม่ถึงว่าจะให้เขาขึ้นไป เดิมทีเขาแค่คิดจะชวนมั่วไป๋ลงมากินข้าวเช้าด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าจะให้เขาขึ้นไปบ้านด้วย การพัฒนาความสัมพันธ์คืบหน้าอย่างราบรื่นเกินไปนิดหน่อยมั้ง


 


 


            หัวใจไป๋จิ่งอดจะเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาไม่ได้ มั่วไป๋ที่เพิ่งตื่นนอน……คิดแล้วก็เร้าใจไม่เบา


 


 


           เดินทางมาตามเลขห้องที่มั่วไป๋บอก จนขึ้นลิฟต์ขึ้นไป มายืนอยู่หน้าประตูห้องของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งสูดหายใจลึกๆ เช็คดูการแต่งตัวของตัวเอง คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงได้เคาะประตู


 


 


           เขาเคาะเสร็จรออีกไม่กี่นาที ประตูก็ถูกเปิดออก


 


 


           มั่วไป๋ใส่เสื้อทีเชิ้ตตัวโคร่งๆ สบายๆ ท่าทางเพิ่งตื่นนอนมา


 


 


           “ฉันไปล้างหน้าแปรงฟัน นายนั่งรอสักพักก่อนแล้วกัน” มั่วไป๋เอามือกุมผมที่ยุ่งเล็กน้อย แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปห้องน้ำที่อยู่ข้างๆ


 


 


           ที่นี่ไม่ถือว่าใหญ่เกินไป แบ่งเป็นสองห้องอยู่อาศัยใหญ่ๆ เป็นสัดส่วน เขาอยู่คนเดียวก็ไม่ได้มีสิ่งของอะไรมากมาย ดูค่อนข้างว่างโล่งทีเดียว


 


 


           ไป๋จิ่งยืนอยู่ในห้องรับแขก เห็นมั่วไป๋ยืนแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำได้พอดี ภายใต้เสื้อผ้าที่หลวมโคร่งยิ่งดูบอบบาง


 


 


           ไม่รู้ทำไมเพียงชั่วครู่เดียวนั้น หัวใจของไป๋จิ่งถูกจับกุมเอาไว้แน่น ราวกับใจจะลอยไป คิดถึงอะไรสักอย่าง


 


 


           เขาหมุนตัวเดินเข้าห้องครัว ในห้องครัวดูสะอาดเรียบร้อยราวกับไม่มีคนเคยใช้มาก่อน


 


 


           “มั่วไป๋ ผมใช้ห้องครัวของคุณได้ไหม”


 


 


           มั่วไป๋ที่กำลังแปรงฟันอยู่ชะงักไป เอาแปรงสีฟันลง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ในตู้เย็นไม่มีอะไรสักอย่างนะ”


 


 


           ไป๋จิ่งเดินไปด้านหลัง เปิดตู้เย็นออกมาดู ถึงพบว่าข้างในไม่มีอะไรสักอย่าง มีเพียงแค่ขวดเบียร์และน้ำแร่อยู่ไม่กี่ขวด ว่างเปล่าราวกับไม่มีใครอยู่ข้างใน


 


 


           “ผมจะลงไปสักหน่อย คุณรอผมอยู่นี่แป๊บนึงนะ”


 


 


           เขาหมุนตัวเดินออกประตูไป ตอนที่มาถึงเห็นแถวทางเข้ามีตลาดใหญ่พอดี ห้องของมั่วไป๋ว่างเปล่า ไม่เหมือนกับที่ที่ มีคนอยู่อาศัย ไม่ใช่แค่ตู้เย็น แม้แต่ในทั้งคอนโดมิเนียมนี้สังเกตไม่เห็นหรือได้กลิ่นคนทำอาหารเลยสักนิด


 


 


           ไป๋จิ่งใช้เวลาประมาณหนึ่ง ซื้อของมาเต็มสองถุง กลับมาถึงที่คอนโดมิเนียมอีกครั้ง ไป๋จิ่งเคาะประตูเรียก


 


 


           หลังจากมั่วไป๋เปิดประตูให้ มองถุงที่อยู่ในมือของไป๋จิ่ง แล้วเลิกคิ้ว “อะไรกัน”


 


 


           “ทำข้าวเช้าไง เห็นตู้เย็นของคุณไม่มีอะไรสักอย่าง เลยถือโอกาสซื้อมาด้วยนิดหน่อย” ไป๋จิ่งหิ้วของเข้ามาในห้อง คุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตัวเองไม่มีผิด


 


 


           เขาเอาของไปวางบนเคาน์เตอร์ในห้องครัว ค่อยๆ แบ่งของใส่ในตู้เย็นเป็นสัดส่วน


 


 


           ขณะที่ไป๋จิ่งกำลังจัดการของพวกนี้อยู่ มั่วไป๋ก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย สีหน้าสงบนิ่งดูไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับจดจ่อมาที่ไป๋จิ่งตลอดเวลา บางครั้งความรู้สึกซับซ้อนก็ฉายขึ้นมาในแววตา   


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม