(Yaoi) ใต้ม่านรัตติกาล 167-174
ตอนที่ 167 ให้เจ้าสูญพันธุ์
หลานเยี่ยนั่งอยู่ภายในห้องลับชั้นใต้ดินวังอวี้หลิง ดูคนที่ถูกคลุมหัวปิดตาเบื้องหน้าที่ก่นด่าสาปแช่งไม่หยุด
“เป็นใครกันแน่ที่ลักพาตัวข้ามา รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นคุณชายข้าจะทำให้เจ้าแต่งงานออกไปไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว ตบแต่งเมียไม่ได้ ให้เจ้าสูญพันธุ์”
“ไม่พูดใช่หรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ข้าเป็นใคร ข้าเป็นประมุขหอต้วนอวิ๋น หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพ่อสื่อที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง หากเจ้ายังไม่ปล่อยข้า รอข้าออกไปได้ ข้าจะให้ทุกคนรู้ชื่อเสียงเรียงนามเจ้า ให้เจ้าอยู่เหงาไปคนเดียวหงอยไปจนตาย”
“อยู่เหงาไปคนเดียวหงอยไปจนตายได้ยินหรือไม่ รีบปล่อยข้าโดยเร็ว”
คนที่อยู่เบื้องหน้าก็คืออวี่มั่ว หลานเยี่ยให้หลานเฟิงไปจับตัวเขามา เพื่อที่จะให้เขารับปากเรื่องสืบทอดบัลลังก์ แต่เดิมคิดจะให้เขามาแบบปกติ แต่ผลที่ออกมาไม่รู้ว่าทำไมหลานเฟิงถึงได้มัดจับตัวเขามา
อวี่มั่วก่นด่าคนที่จับตัวเขามาไม่หยุด น่าจะครึ่งชั่วยามแล้วกระมัง แต่เดิมหอต้วนอวิ๋นมีคนคอยลอบปกป้องอยู่ แต่เพราะเห็นว่าหลานเฟิงเป็นคนมาลักพาตัวไป ได้รับคำสั่ง จึงไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยว
ในที่สุดหลานเยี่ยก็ทนไม่ไหว หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ท่านประมุขหอ ข้าแต่งงานไม่ออกแล้วจริงๆ ตบแต่งสู่ขอภรรยาไม่ได้ แล้วยังสูญพันธุ์ไร้ผู้สืบทอดด้วย” หลานเยี่ยกลั้นไม่ไหว พิงร่างหลานเฟิงหัวเราะไม่หยุด หลานเฟิงก็ลูบศีรษะหลานเยี่ยไม่หยุด
ฟังออกว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเป็นใคร อวี่มั่วก็ยิ่งด่ารุนแรงมากขึ้น
“ดีจริง หลานเยี่ย เป็นเจ้านี่เอง รีบปล่อยข้าโดยไว เจ้ายังไม่ได้กินยากระมัง ไม่มีอะไรทำแล้วมาจับตัวข้าสนุกอย่างนั้นหรือ รีบปล่อยข้า เสี่ยวซีร้อนใจแย่แล้ว” อวี่มั่วด่าเสียงดังประหนึ่งกินดินปืนเข้าไป
หลานเยี่ยปล่อยเขาออก หลังจากอวี่มั่วได้รับอิสระ ก็ก้าวขึ้นไปสู้กับหลานเยี่ยยกหนึ่ง แต่หลานเยี่ยเขาสู้ไม่ได้ หลานเฟิงก็ยิ่งสู้ไม่ได้ ทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็ทำได้เพียงถูกหลานเยี่ยกดไว้บนพื้น
“เจ้าปล่อยข้า เสี่ยวซีร้อนใจแย่แล้ว เจ้าพาข้ามาราชสำนักด้วยเหตุใด”
“ทางด้านเทียนซีเจ้าไม่ต้องร้อนใจไป ข้าให้คนพาเขาไปยังที่ปลอดภัยแล้ว สำหรับเจ้า นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง วันนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่นิ่งๆ เงียบๆ เถิด”
“เจ้าอาศัยสิทธิ์อะไรให้ข้าอยู่ที่นี่ ที่นี่คือที่ไหนกันเจ้าจะให้ข้ามาอยู่ หากว่าเจ้าขายข้าออกไปอีกครั้งจะทำเช่นไร” อวี่มั่วดิ้นรนไม่หยุด แต่เพราะหลานเยี่ยส่งเขาให้หลานเฟิง เขายิ่งอับจนหนทางไปกันใหญ่
“บังเอิญเสียจริง ข้ากำลังจะขายเจ้า องค์ชายสอง” ได้ยินสรรพนามของหลานเยี่ย อวี่มั่วหยุดการขัดขืนในทันใด
“เจ้ารู้ทั้งหมด”
“แน่นอน”
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ข้าอยากให้เจ้าสืบทอดบัลลังก์ เป็นอย่างไร เจ้าจะรับปากหรือไม่”
“สืบทอดบ้านเจ้าซิ ข้าไม่สืบทอดบัลลังก์ ข้าจะใช้ชีวิตอย่างอิสระไปกับเสี่ยวซี ปล่อยข้าโดยเร็ว”
“นี่ไม่ขึ้นอยู่กับเจ้า เสด็จแม่ของเจ้ารับปากแล้ว”
“เสด็จแม่คือเสด็จแม่ ข้าคือข้า เสด็จแม่เป็นเส้นสายตระกูลหลานของเจ้า ข้าไม่ใช่ ใครก็เป็นตัวแทนข้าไม่ได้ทั้งสิ้น รีบปล่อยข้าไป”
“ใครสนเจ้า วันนี้มีละครฉากใหญ่ แสดงให้ดี ได้ยินหรือไม่ มิเช่นนั้นข้าจะให้คนไปรื้อหอต้วนอวิ๋นของเจ้า” หลานเยี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้พูดข่มขู่อวี่มั่วอย่างสงบเยือกเย็น
“หลานเยี่ย มารดาเจ้าซิ เจ้าลองแตะต้องหอต้วนอวิ๋นของข้าดู”
“ข้าได้พูดกับคนตระกูลหลานเอาไว้ก่อนแล้ว หากก่อนคืนวันพรุ่งนี้ข้ายังกลับไปหอต้วนอวิ๋นไม่ได้ ก็ให้รื้อหอต้วนอวิ๋นซะ”
“ถือว่าโหด ได้ เจ้าพูดมา จะให้ข้าทำอะไร”
“ไม่ใช่บอกเจ้าไปแล้วหรือ จากนั้นก็สืบทอดบัลลังก์”
“…”
ดูท่าจะเข้าใจแล้ว หลานเยี่ยให้หลานเฟิงปล่อยเขา ต่อจากนั้นหลานเฟิงก็นั่งลงข้างหลานเยี่ย หลานเยี่ยนั่งพิงเอนกายบนร่างเขา
ตอนที่ 168 อย่าได้สงสัย
อวี่มั่วลุกขึ้น เห็นหลานเยี่ยและหลานเฟิงสนิทชิดใกล้ถึงเพียงนี้ เรื่องเมื่อครู่ก็ลืมไปกว่าครึ่ง
“ดูท่าพวกเจ้าสองคนจะทำตามที่เสี่ยวซีพูดแล้วกระมัง เป็นอย่างไร ความทรงจำกลับมาแล้วใช่หรือไม่” อวี่มั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งมองพวกเขาสองคนอวด
“พลังกระแสวิญญาณฟื้นฟูแล้ว แต่ความทรงจำฟื้นกลับมาเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น”
“ไม่เป็นอะไร ทำให้หลายครั้งหน่อยก็จะดีเอง เจ้าบอกว่าจัดการกับเสี่ยวซีอย่างดีแล้ว เขาอยู่ที่ไหน”
“อยู่กับเสด็จแม่ของเจ้า”
“…” จู่ๆ อวี่มั่วก็หยุดพูดบ่น ท่าทางอยากพูดแต่ก็พูดไม่ออก
“ทำไมหรือ จะช้าหรือเร็วล้วนต้องพบหน้า จะกลัวอะไร” หลานเยี่ยมองเขาด้วยความดูถูกทีหนึ่ง ในใจคิดว่าพระชายาหลิ่วเห็นด้วยกับเรื่องของพวกเจ้าแล้วแท้ๆ ยังจะกลัวนกตัวนี้อีก
“เช่นนั้นขอถามอีกว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด”
“ด้านล่างวังอวี้หลิง ทำไมหรือ”
“…” อวี่มั่วสีหน้าไร้ซึ่งความสุข ทำให้หลานเยี่ยแสดงสีหน้าสับสนมึนงง
“เสี่ยวซีเจ้าไม่รักข้าแล้ว เจ้าไม่ลงมาดูมาข้าเลยด้วยซ้ำไป เมื่อคืนนี้เจ้ายังพูดว่ารักข้าอยู่เลย วันนี้กลับเปลี่ยนไปแล้ว” อวี่มั่วแสร้งทำท่าปาดน้ำตาอยู่อีกข้าง ทำให้น้ำชาอึกหนึ่งในปากของหลานเยี่ยเกือบโดนพ่นออกมา ดูท่าละครฉากนี้น่าจะเป็นงานฝีมือ มีเวลาจะต้องฝึกให้เก่งเสียแล้ว
“พอได้แล้ว แค่เพียงไม่ได้พบหน้าหนึ่งชั่วยามเท่านั้นเอง ต้องทำเช่นนี้เลยหรือ” คราวนี้กลายเป็นหลานเยี่ยที่หมดคำพูด
“หลานเยี่ย เจ้าตามข้ามา”
จู่ๆ อวี่มั่วก็ลุกขึ้น ดึงหลานเยี่ยไปอีกฝั่ง แล้วยังหันไปมองดูหลานเฟิงว่าตามมาหรือไม่
“มีอะไรหรือ”
อวี่มั่วมั่นใจแล้วว่าหลานเฟิงไม่ได้ตามมา ถึงได้เอ่ยปากพูด
“หลานเยี่ย ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่ง เจ้าต้องตอบข้าตามตรง” อวี่มั่วพูดกับหลานเยี่ยด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ทำให้หลานเยี่ยยิ่งรู้สึกมึนงง
“คำถามอะไร”
“ก็ตอนที่เจ้าอยู่กับหลานเฟิงมีความรู้สึกเช่นไร มีความรู้สึกตื้นตันใจ สงบใจไว้ไม่อยู่หรือไม่ ตอนที่เห็นเขารู้สึกคิดถึงเขา ตอนนี้ไม่เห็นเขาก็ยิ่งคิดถึง” อวี่มั่วพูดไปพลางเหลือบมองข้างหลังไปพลาง
ได้ฟังคำพูดของอวี่มั่ว ใบหน้าของหลานเยี่ยก็ดำคล้ำจนแทบจะมีน้ำมันหยดออกมา
“เจ้ารู้สึกแปลกใจกับเรื่องส่วนตัวของครอบครัวคนอื่นเช่นนี้เชียวหรือ”
“เจ้าไม่ตอบข้าไม่เป็นไร ข้าไปถามหลานเฟิงได้”
“หวังว่าเขาจะไม่ตีเจ้าให้ตาย”
“เจ้าพูดซิ แท้จริงแล้วรู้สึกอย่างไรกันแน่”
“ข้าตีเจ้าจนตายได้ใช่หรือไม่”
“หลานเยี่ย เป็นเจ้าที่เข้าใจที่สุดแล้ว เจ้าบอกข้าเถิด เช่นนี้ข้าจะได้สามารถมั่นใจความรู้สึกของเสี่ยวซีเสียหน่อย ข้าจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเขารักข้ามากเพียงใด”
“เจ้าไม่มั่นใจตัวเองเช่นนี้เชียวหรือ”
“อืมๆ ฉะนั้นเจ้าบอกข้าเถิด” อวี่มั่วหันกลับมามองหลานเฟิงทีหนึ่ง หลานเยี่ยแสดงออกว่าดูถูกเขา
“เอาเถิด เรื่องนี้แตกต่างไปตามบุคคล ระหว่างทางที่เจ้าและเทียนซีเดินมาด้วยกันข้าไม่รู้ว่าในตอนนั้นเจ้าประสบเรื่องอะไรมาบ้าง แต่ระหว่างทางของข้าและหลานเฟิงเจ้าเองก็ถือว่าเป็นพยาน ตอนนี้สิ่งที่ข้ารู้สึกได้มากที่สุดก็คือสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสงบเงียบ เท่านี้ก็พอแล้ว สำหรับเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพิจารณามากขนาดนั้น”
“เช่นนี้เอง แต่เสี่ยวซีเขามักจะไม่ยอมเอ่ยปากแสดงความรักที่เขามีต่อข้า ทำให้ข้าไม่มีความเชื่อมั่นเลยแม้แต่น้อย นี่จะทำเช่นไรดี”
“…” ใบหน้าของหลานเยี่ยไถจนดำ ไม่สนใจอวี่มั่ว หลานเยี่ยหนีไปที่อื่นพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง
เห็นหลานเยี่ยจากไป อวี่มั่วรีบเดินเข้ามาพูดคุยกับหลานเฟิง สีหน้าท่าทางลับๆ ล่อๆ
“เมื่อครู่นี้คำพูดของหลานเยี่ยเจ้าได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่ ฉะนั้นเจ้าต้องสู้เข้านะ ฉะนั้นเจ้าช่วยข้าถามเช่นนี้กับเสี่ยวซีให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”
หลานเฟิงดื่มชาอึกหนึ่ง เหลือบมองเขาทีหนึ่ง
“ข้ามีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก ไม่มั่นใจถึงได้ไปถามคนอื่น สุดท้ายแนะนำเจ้าประโยคหนึ่ง อย่าได้สงสัยความรักที่เทียนซีมีต่อเจ้า มิเช่นนั้นได้ไม่คุ้มเสีย”
“…”
ตอนที่ 169 องค์ชายสอง
ตอนออกว่าราชการในเช้าวันรุ่งขึ้น จู่ๆ หลานอวี่ก็คุกเข่าลงไปอย่างจริงจัง ให้ฮ่องเต้อุทธรณ์เพื่อแก้ไขความผิดแทนองค์ชายสอง
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะต้องช่วยคืนความยุติธรรมให้องค์ชายสองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น องค์ชายสองไม่ใช่ว่าพอเกิดมาก็เสียชีวิตไปแต่เด็กแล้วมิใช่หรือ” ฮ่องเต้ไม่เข้าใจ
“หลายวันมานี้หม่อมฉันได้ยินเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นที่พระชายาหลิ่วให้กำเนิดองค์ชายสอง ที่จริงยังไม่สิ้นพระชนม์พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ตาย แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฮ่องเต้มีความตื่นเต้นเล็กน้อย
“ตอนนั้นพระองค์โปรดปรานรักใคร่พระชายาหลิ่ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงกลัวว่าองค์ชายสองจะมีผลคุกคามต่อตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท จึงให้คนใช้วิธีแมวดาวแลกองค์รัชทายาท[1] อุ้มองค์ชายสองออกไป โดยมีศพเด็กแลกกลับมา
อีกทั้งยังให้คนบีบคอองค์ชายสองจนสิ้นพระชนม์ แต่เพราะแม่นมผู้นั้นเห็นองค์ชายสองน่ารักทำให้คนเอ็นดู จึงไม่อาจทำใจลงมือได้ ส่งองค์ชายสองไปยังหน้าประตูจวนตระกูลอวี่
หลายปีมานี้ องค์ชายสองเติบโตขึ้นมาในตระกูลอวี่อย่างปลอดภัย หม่อมฉันเองก็เพิ่งได้ทราบข่าวเมื่อไม่นานมานี้ ขอให้ฮ่องเต้ได้โปรดให้ความยุติธรรมแก่องค์ชายสองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่มั่วพูดอย่างจริงจังเปี่ยมไปด้วยบารมี ทำให้ฮ่องเต้ต้องเชื่ออย่างเลือกไม่ได้ การตายขององค์ชายสองในตอนนั้นทำให้เขารู้สึกละอายใจต่อพระชายาหลิ่ว เรื่องมาถึงตอนนี้ยังสามารถชดเชยได้ ถือว่าดีเป็นอย่างมาก เขาย่อมต้องเชื่อด้วยแท้
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” แต่ฮ่องเต้ยังคงถามรายละเอียดกับหลานอวี่อีกครั้ง
“หม่อมฉันบังเอิญพบหญิงชราที่เป็นขอทานระหว่างทาง จึงนำนางกลับมาที่จวน ดูแลอย่างเอาใจใส่ จากนั้นหญิงชราผู้นั้นก็เล่าเรื่องในตอนนั้นให้ฟังพ่ะย่ะค่ะ
บอกว่าตอนนั้นฮองเฮาเพื่อที่จะฆ่าคนปิดปาก จึงคิดจะบีบคอนางให้ตาย นางพยายามหนีออกมาอย่างสุดชีวิต ถึงได้รักษาชีวิตเอาไว้ได้ หลังจากนั้นก็หลบหนีจนมาถึงที่ดินแห่งนี้ หญิงชราผู้นั้นหม่อมฉันได้พานางมารออยู่ข้างนอก หากฮ่องเต้ไม่เชื่อ ได้โปรดอนุญาตให้หม่อมฉันเรียกนางเข้ามาถามพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา”
หญิงชราผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าลงบนพื้น พูดว่าทรงพระเจริญ ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจนางเท่าไรนัก เพียงแค่ให้นางเล่าเรื่องในตอนนั้นออกมาตามความเป็นจริง
หญิงชราผู้นั้นพูดออกมาเหมือนกับที่หลานอวี่พูดอย่างไม่มีผิดแผก ฮ่องเต้เชื่ออย่างถึงที่สุดแล้ว
“อ้ายชิง[2] เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน” อารมณ์ของฮ่องเต้ร้อนรนเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้ว อยากพบเด็กคนนั้นอย่างกระวีกระวาดร้อนใจ
“องค์ชายสองรออยู่ที่ด้านนอกวังพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบเรียกเข้ามา” เสียงของฮ่องเต้เพิ่งจบลง อวี่มั่วก็เดินเข้ามาจากด้านนอก ที่จริงแล้วได้พบบิดาของตนเองยังรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก แม้คนอื่นจะไม่ได้ประเมินบิดาของตนเองดีเท่าไรนัก
อวี่มั่วใส่ชุดสีขาวปลอด สง่างามดูดีมีระดับ และสะท้อนความเป็นผู้นำออกมาให้เห็นอยู่บ้าง ฮ่องเต้เห็นอวี่มั่วก็ตื่นเต้นจนทนต่อไปไม่ไหว
“ลูก อวี่มั่ว เข้าเฝ้าเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” อวี่มั่วทำความเคารพขนานใหญ่ ทำให้ฮ่องเต้ตื่นเต้นจนลุกเดินลงมาจากด้านบน ประคองอวี่มั่วให้ลุกขึ้น ฮ่องเต้พูดอย่างตื้นตันใจ
“รีบลุกขึ้น เหมือนเสียเหลือเกิน เหมือนพระชายาหลิ่วเหลือเกิน เด็กน้อย หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
“ลูกอกตัญญู หลายปีมานี้ไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเสด็จพ่อ ลูกมีความผิดสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของอวี่มั่วแดงชื้น ทำให้คนมองไม่เห็นอารมณ์อื่น
“กลับมาก็ดีแล้วๆ”
“ยินดีกับฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ยินดีกับองค์ชายสองพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางบุ๊นบู๋ทั้งราชสำนักคุกเข่าลงแสดงความยินดีแก่คนสองคน
“นับแต่วันนี้ไป องค์ชายสองพระนามว่าฉีมั่ว กลับเข้าตระกูลบรรพบุรุษ สิ่งที่สมควรจะมีตั้งแต่เกิดมิอาจขาดไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว ฮองเฮาสกุลชิว ส่งเข้าตำหนักเย็น ลดขั้นเหลือคนธรรมดา”
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ มิอาจกระทำเช่นนี้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ หากฮองเฮาถูกลดขั้นเป็นคนทั่วไป ทางตระกูลเยี่ยไม่มีทางยิมจบเรื่องนี้เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ เพื่อชาวประชาราษฎร ขอให้พระองค์ช่วยตรึกตรองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
มีขุนนางใหญ่ออกมาพูดกล่อมฮ่องเต้ ฮ่องเต้ครุ่นคิดพิจารณา สุดท้ายก็ประกาศกักบริเวณฮองเฮา ซักถามด้วยตัวเขาเอง
หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็พาอวี่มั่วไปยังวังอวี้หลิง พระชายาหลิ่วแสร้งทำท่าไม่รู้จัก
——
[1] แมวดาวแลกองค์รัชทายาท (狸猫换太子) เป็นนิทานพื้นบ้านของประเทศจีน โดยหมายถึงในช่วงรัชสมัยซ่ง มีองค์ชายองค์หนึ่งถือประสูติขึ้น ถูกกุ้ยเฟยในตอนนั้นใช้แมวดาวมาสลับตัวไป
[2] อ้ายชิง (爱卿) แปลตรงตัวว่าขุนนางที่รัก เป็นคำสรรพนามที่ฮ่องเต้ใช้เรียกขุนนางที่โปรดปราน
ตอนที่ 170 ลูกของข้า
หลังจากมาถึงวังอวี้หลิงแล้ว ฮ่องเต้ไม่ได้ให้คนรายงาน เขาพาอวี่มั่วเข้าไปเงียบๆ ก่อนที่จะก้าวผ่านประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงพูดคุยจากภายใน
“เหนียงเหนียงเพคะ เหตุใดพระองค์ถึงทรงพระกันแสงขึ้นมาเล่าเพคะ”
“เฮ้อ เห็นองค์ชายองค์หญิงเหล่านั้นภายในวังหลวง ก็คิดถึงลูกที่มีชีวิตรันทดของข้า เจ้าว่าตอนนั้นเหตุใดลูกข้าถึงได้มีชีวิตที่น่ารันทดเช่นนั้น เพิ่งเกิดมายังไม่ได้เรียกเสด็จแม่สักคำก็จากไปเสียแล้ว”
“หากว่าองค์ชายยังมีพระชนม์ชีพ เกรงว่าคงแต่งพระชายาแล้ว ไม่แน่ว่าพระองค์คงได้อุ้มพระนัดดาแล้วด้วยเพคะ”
“เฮ้อออ” พระชายาหลิ่วถอนหายใจยาง ฮ่องเต้พาอวี่มั่วบุกเข้าไปข้างใน
“หลิงเอ๋อร์ มาดูซิว่าใครมา”
“ฮ่องเต้!” พระชายาหลิ่วรีบเช็ดน้ำตาตรงหางตา
“ฮ่องเต้ทรงพระเจริญ” ฮ่องเต้ไม่สนใจข้ารับใช้ข้างกายพระชายาหลิ่ว ข้ารับใช้ย่อมถอยออกไปเอง
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าดูเร็ว นี่คือลูกของเราใช่หรือไม่ เขายังไม่ตาย”
“นี่เกิดอะไรขึ้นเพคะ” พระชายาหลิ่วตอบออกมาด้วยความตกใจ
ฮ่องเต้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนออกว่าราชการเช้าวันนี้ให้นางฟัง พระชายาหลิ่วมองอวี่มั่วอย่างไม่คิดเชื่อ
“เจ้าเป็นลูกข้าจริงหรือ” พระชายาหลิ่วลูบใบหน้าอวี่มั่วด้วยอาการสั่นสะท้าน
“ลูกเข้าเฝ้าเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ” อวี่มั่วคุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้น ก้มหัวต่ำ น้ำตาคลอ
“ลูก ลูกของข้า แม่คิดถึงเจ้าเหลือหลาย ทำไมเจ้าถึงเพิ่งกลับมา มาให้แม่ดูเจ้าดีๆ เสียหน่อย” พระชายาหลิ่วคุกเข่าลงกอดอวี่มั่วร้องไห้เสียงดัง
“เสด็จแม่ ลูกมาช้าเกินไป” รอจนทั้งสองคนสงบลงแล้ว ฮ่องเต้ พระชายาหลิ่ว และอวี่มั่วจึงนั่งลงอย่างพร้อมหน้า พระชายาหลิ่วถามคำถามอวี่มั่วไม่หยุด อวี่มั่วเองก็ตีสีใส่ไข่ตอบนาง
“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้กับลูกข้า หลายปีมานี้กลับต้องมาเจอกับความลำบากมากมายเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะตอนนั้นแม่ไม่ดีเอง ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้”
“ต้องโทษข้าด้วย หากไม่ใช่เพราะข้าใจกว้างต่อฮองเฮามากเกินไป นางเองคงไม่กล้าทำเรื่องเลวทรามอย่างอาจหาญเหิมเกริมเช่นนี้”
“ฮ่องเต้คิดจะจัดการกับฮองเฮาอย่างไรเพคะ”
“แต่เดิมข้าคิดจะลดชั้นนางเหลือเป็นชาวบ้าน แต่อย่างไรนางก็เป็นคนตระกูลเยี่ย ข้าจัดการกับหัวหน้าแม่ทัพไปแล้ว หากว่าไปยุ่งกับนางอีก ตระกูลเยี่ยจะต้องไม่ยอมให้เรื่องจบเป็นแน่” ฮ่องเต้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ฮ่องเต้เพคะ หรือพระองค์อยากโดนตระกูลเยี่ยควบคุมเช่นนี้อยู่ไปตลอดเพคะ หลายปีมานี้หม่อมฉันเห็นพระองค์วุ่นวายเพราะเรื่องตระกูลเยี่ยอยู่ทุกวัน หม่อมฉันทนเห็นไม่ไหวเพคะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ เหตุใดจึงไม่ฉวยโอกาสนี้จัดการขับไล่คนตระกูลเยี่ยทั้งหมดลงไปเล่าเพคะ เช่นนี้ก็จะไม่ถูกตระกูลเยี่ยควบคุมอีก” อวี่มั่วที่นั่งอยู่อีกฝั่งพูดสมทบ
“ข้าจะเอาไปคิด” พระชายาหลิ่วเห็นฮ่องเต้มีท่าทีเช่นนี้ ก็ส่ายหน้าออกมาด้วยความผิดหวัง ฮ่องเต้ประเภทนี้ ตระกูลเยี่ยช่างเลือกคนเป็นเสียจริง ตอนนี้มีโอกาสอันดี ก็ยังไม่กล้าลงมือง่ายๆ ดูท่าทางคงเหมือนกับที่ท่านประมุขตระกูลพูด คนในวังจินหลวนแห่งราชสำนักจำต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้ว
พระชายาหลิ่วมองฮ่องเต้ แล้วมองอวี่มั่ว ยิ่งรู้สึกได้ว่าอวี่มั่วมีท่าทางเป็นผู้นำมากกว่า แต่ตอนแรกที่ส่งเขาออกไปก็เพื่อที่จะไม่ให้เขาเข้ามายุ่งกับเรื่องในราชสำนัก ตอนนี้เมื่อดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องหรือไม่
เวลากลางวันได้คุยกับเทียนซีไปแล้ว เด็กคนนั้นเข้าใจเรื่องราว และสนับสนุนอวี่มั่วเป็นอย่างมาก เป็นเด็กที่ดีจริง หากไม่ใช่เพศชายก็คงจะสมบูรณ์มากกว่านี้ ตอนนี้มาพูดเรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ดูท่าทางคงจะไม่ได้อุ้มหลานแล้ว
“หลิงเอ๋อร์ เหนื่อยมาแล้วทั้งวัน มั่วเอ๋อร์เองก็เหนื่อย ให้เขาไปพักก่อนดีกว่า” ฮ่องเต้เอ่ยปาก
“ฮ่องเต้ตรัสถูกต้องแล้วเพคะ ฮ่องเต้เองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว หม่อมฉันปรนนิบัติพระองค์พักผ่อนก็แล้วกันเพคะ”
“ลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากรอจนอวี่มั่วจากไป หลานเยี่ยที่อยู่ชั้นใต้วังอวี้หลิงก็เริ่มลงมือ
ตอนที่ 171 ตั้งทัพก่อกบฏ
ตกดึก ด้านนอกวังอวี้หลิงมีผู้คนขวักไขว่เดินผ่านไปมาคับคั่ง พระชายาหลิ่วและฮ่องเต้บรรทมแล้ว ขันทีผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนลนลาน
“ฮ่องเต้ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยผู้นั้นตะโกนออกมาจากนอกประตู ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมาด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
“ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ฮ่องเต้ไม่ได้ลุกขึ้น หันหลังไปมองพระชายาหลิ่วทีหนึ่ง พระชายาหลิ่วแสร้งหลับ
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ท่านที่ปรึกษาแคว้นพาทัพทหารมายังวังอวี้หลิง อยากให้พระองค์ออกไป ดูท่าจะตั้งทัพก่อกบฏพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยผู้นั้นพูดจาวกวนไปมา พูดออกมาด้วยความเร็วอย่างมาก ฮ่องเต้จากไปในทันที รีบสวมใส่เสื้อผ้าในฉับพลัน
หลังจากออกประตูไปแล้ว ขันทีน้อยประคองเขา เตรียมไปหลบอยู่สักที่หนึ่ง
“ข้าเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้ เขากลับกล้าตั้งทัพก่อกบฏ ดูซิว่าข้าจะฆ่าเขาไม่ได้” ฮ่องเต้พูดพลางเดินออกไป ขันทีน้อยรีบไปดึงเขาไว้
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือท่านจำต้องไปหาที่หลบก่อนสักพักพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้อำนาจทหารอยู่ในกำมือท่านที่ปรึกษา พระองค์ไม่มีทหารไม่มีกำลัง จะไปฆ่าเขาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไปหาที่หลบก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ รอจนเหล่าองค์ชายมาช่วยเหลือทัพ ต่อยฆ่าเขาก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ฟังคำพูดของขันทีน้อย ฮ่องเต้สะบัดเสื้อผ้าด้วยความร้อนรน เดินเข้าไปข้างใน
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ วังอวี้หลิงแห่งนี้น่าจะมีทางเดินลับสายหนึ่งมุ่งไปด้านนอก แล้วก็เป็นเส้นทางเดียวกันกับที่ตอนแรกพระองค์แอบไทเฮาลอบพบกับพระชายาหลิ่ว พระองค์ออกไปจากทางนั้น ก็จะเป็นวังบรรทมของพระองค์ พวกเขาล้วนรู้ว่าพระองค์อยู่ที่วังอวี้หลิงพ่ะย่ะค่ะ
วังบรรทมย่อมไม่มีคนเฝ้าดูแล พวกเราออกไปทางนั้นไปยังจวนองค์ชายสองเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์เพิ่งจะรับองค์ชายสองผู้นี้ เขาน่าจะช่วยพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้ พระชายาหลิ่วยังอยู่ข้างใน จับข้าไม่ได้ พวกเขาจะต้องจับพระชายาหลิ่วเป็นแน่ ข้าจะต้องไปพร้อมกับพระชายาหลิ่ว”
“ฮ่องเต้ หนีเอาชีวิตรอดถึงจะสำคัญที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์อย่าเพิ่งสนใจพระชายาหลิ่วเลยพ่ะย่ะค่ะ พระชายาหลิ่วเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง มีคนเพิ่มขึ้นเป้าหมายก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง ความอันตรายก็เพิ่มขึ้นพ่ะย่ะค่ะฮ่องเต้” ฮ่องเต้เหลือบมองด้านใน ครุ่นคิดพิจารณาสุดท้ายก็ไม่ได้เรียกให้พระชายาหลิ่วไปด้วยกัน
พระชายาหลิ่วนอนอยู่ข้างใน ลืมตาทั้งสองข้าง ใบหน้าไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ ออกมา
“ผู้ชายที่ไหนก็สู้เจ้าไม่ได้จริงด้วย!” พระชายาหลิ่วทอดถอนออกมา ไม่รู้ว่ากำลังพูดกับใคร
“เหนียงเหนียง ฮ่องเต้เสด็จไปแล้วเพคะ” มีคนยืนพูดกับพระชายาหลิ่วอยู่นอกประตู
“รู้แล้ว ออกไปเถิด” นางรู้แล้ว เขาไม่มีทางรอดไปได้
“ฮ่องเต้ พระองค์เร็วหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยยังคงดึงฮ่องเต้ให้รีบเดิน ตอนที่เดินมาถึงหน้าประตูอุโมงค์ลับ ขันทีน้อยก็เปิดประตูอุโมงค์ลับออก
เมื่อประตูถูกเปิดออก ข้างในมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งคืออวี่มั่ว
“ลูก รีบช่วยพ่อเร็ว ด้านนอกมีคนตั้งทัพก่อกลุ่มแล้ว” ฮ่องเต้ก็รีบร้อนขอความช่วยเหลือไปมั่ว และไม่คิดว่าเหตุใดอวี่มั่วถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลาเช่นนี้
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่เล่า” อวี่มั่วพูดออกมาเรียบๆ ประโยคหนึ่ง หลายปีมานี้แม้เขาจะรู้ว่าฮ่องเต้เหมาะสมกับคนประเภทใด แต่จากท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อพระชายาหลิ่ว เขาคิดว่าฮ่องเต้จะปฏิบัติต่อพระชายาหลิ่วไม่เหมือนกับคนอื่น แต่ตอนนี้ดูแล้วคงมิใช่เช่นนั้น พระชายาหลิ่วก็เป็นเพียงพระชายาคนหนึ่งในบรรดาพระชายามากมายเท่านั้นเอง
เมื่อถูกถามถึงพระชายาหลิ่ว ฮ่องเต้ก็ชะงักไป ไม่รู้จะตอบเช่นไร
“เสด็จแม่เป็นแค่เพียงหนึ่งในพระชายาของพระองค์เท่านั้น ทั้งๆ ที่นางยังพอมีความหวัง หวังว่านางจะสามารถหาคนที่ดีดั่งคนผู้นั้นพบอีกครั้ง ดูท่าเสด็จแม่ผิดไปแล้ว อย่างไรก็เป็นฮ่องเต้”
“ข้า แต่เดิมข้าคิดจะออกไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมารับเสด็จแม่ของเจ้า ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นก็ไปรับเสด็จแม่ของเจ้าออกไปพร้อมกับพ่อเถิด”
“พระองค์กลับไปเถิด ไม่ต้องหนีแล้ว พวกเขาไม่อาจทำอะไรท่าน”
ตอนที่ 172 บีบบังคับให้สละราชบัลลังก์
“เจ้าพูดว่าอะไร กลับไป ข้าจะกลับไปที่ใด ที่นั่นมีคนต้องการชีวิตพ่ออยู่นะ” ฮ่องเต้ลนลาน ด้านหน้ามีอวี่มั่วขวางทางไว้ ด้านหลังมีทัพทหารกบฏไล่ตาม
“เสด็จพ่อ ข้าเรียกท่านว่าเสด็จพ่อ หรือท่านยังไม่เข้าใจอีก ทั้งหมดนี้ถูกวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว ท่านไร้ประโยชน์เฉกเช่นเรื่องที่กล่าวขานกันข้างนอกเลย” อวี่มั่วพูดด้วยความโกรธแค้น
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังไล่มา ฮ่องเต้หันกลับไปมอง ที่ปรึกษาแคว้นหลานอวี่นำคนมาถึงแล้ว
“ฮ่องเต้ พวกเราไม่มีความคิดเป็นอื่น เพียงอยากให้พระองค์สละราชบัลลังก์ ในเมื่อพระองค์ไม่ยอมตั้งตนเป็นศัตรูต่อตระกูลเยี่ย ย่อมมีคนยอม ท่านยอมเป็นไท่ช่างหวังอย่างเชื่อฟัง เสพสุขชีวิตช่วงสุดท้ายเถิด”
“ไท่ช่างหวัง?” ฮ่องเต้มองหลานอวี่ เข้าใจอะไรบางอย่าง
“ไม่ ข้าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับตระกูลเยี่ย ข้าจะกำจัดคนตระกูลเยี่ยทุกคนตอนนี้ พวกเจ้าอย่าให้ข้าเป็นไท่ช่างหวัง ข้าคือฮ่องเต้”
“ไม่มีประโยชน์แล้ว ฮ่องเต้ สายเกินไปแล้ว พรุ่งนี้เช้า พระองค์สละตำแหน่งให้กับองค์ชายสอง นับแต่จากนี้ไป พระองค์อยู่ที่จวนของพระองค์ใช้ชีวิตบั้นปลายให้มีความสุขเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเลื่อนขั้นเพิ่มยศให้เจ้า เจ้าอยากได้อะไรข้าให้เจ้าทั้งสิ้น อย่าให้ข้าไปเป็นไท่ช่างหวัง ข้าให้เจ้าได้ทั้งหมด เงินทอง สตรีงามอะไรก็ได้”
“ต่ำช้า” หลังจากอวี่มั่วพูดออกมาสองคำ ก็เดินออกจากอุโมงค์ลับไปด้วยความโกรธ ไปยังพระชายาหลิ่ว
ฮ่องเต้ถูกคนนำตัวไป แล้วยังติดสินบนหลานอวี่ไปตลอดทาง
“เสด็จแม่” อวี่มั่วมาถึงหน้าห้องพระชายาหลิ่ว ตะโกนเรียก
“เข้ามาเถิด” อวี่มั่วเข้าไปข้างใน เห็นพระชายาหลิ่วนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งส่องกระจกมองตัวเอง
“จัดการทุกอย่างสำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี่มั่วรายงานต่อพระชายาหลิ่ว
“มั่วเอ๋อร์ เจ้ายินยอมเป็นฮ่องเต้จริงหรือ” พระชายาหลิ่วเอ่ยปากถามอวี่มั่ว
“ลูกยินยอมทำตามความคิดของเสด็จแม่”
“เฮ้อออ เจ้าลูกคนนี้ยังคงเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เด็กจนโต นอกจากเรื่องเทียนซี ไม่เคยมีเรื่องใดที่อกตัญญูต่อข้ามาก่อน เจ้ารู้หรือไม่ การบีบบังคับให้สละราชบัลลังก์ครั้งนี้ คนในตระกูลเทียนอาจจะต่อต้าน และอาจเกิดศึกการต่อสู้อีกสนามหนึ่ง
“เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเหล่านี้ หลานเยี่ยจะจัดการให้เรียบร้อย”
“ตระกูลเทียนมีใจฝักใฝ่ตระกูลเยี่ย และแม่เป็นคนตระกูลหลาน ท่านยังเป็นคนในราชสำนัก หากตระกูลเยี่ยฉีกหน้าทำความสัมพันธ์แตกร้าวนั่นก็จะเป็นศึกสงครามแห่งใต้หล้า ถึงเวลานั้นหากเป็นเช่นนี้ กับเทียนซีเจ้าคิดจะทำเช่นไร”
“ตอนนี้เกรงว่าคงฉีกหน้าทำความสัมพันธ์แตกร้าวไปแล้ว เทียนซีข้าจะปกป้องความปลอดภัยของเขา สำหรับตระกูลเทียน เทียนซีออกจากตระกูลเทียนแล้ว แต่อย่างไรตระกูลเทียนก็ยังเป็นบ้านของเทียนซี หากเป็นไปได้ ข้าเองก็คิดจะปกป้องตระกูลเทียนให้ปลอดภัยเช่นกัน”
“ลำบากเจ้าแล้ว”
“เสด็จแม่อย่าได้ตรัสเช่นนี้ หลายปีมานี้เป็นเสด็จแม่ที่ต้องลำบากแล้วพ่ะย่ะค่ะ รอวันพรุ่งนี้จบลง พระองค์ก็พักผ่อนเสียเถิด เรื่องในใต้หล้า หลังจากนี้ข้าจะเล่าให้พระองค์ฟัง”
“ตอนแรก เขาเองก็พูดเช่นนี้กับข้า บอกว่า ‘เรื่องในใต้หล้าข้าจะมาเล่าให้เจ้าฟัง เจ้าพักผ่อนก็พอ’ แต่หลังจากนั้น เขากลับจากไปแม่น้ำเหลือง ไม่กลับมาอีกตลอดไป
ตอนแรกที่แม่รับปากเรื่องเจ้าและเทียนซี ก็เพราะจะไม่ให้เจ้าต้องมาถลำเข้าไปในความผิดพลาดเดิมเช่นแม่อีก ในเมื่อครองรักกัน ก็ครองคู่หนึ่งคนไปตลอดชีวิต อย่าได้ก้าวพลาด อย่าได้เป็นเหมือนแม่ โดดเดี่ยวจนแก่ชรา”
“ไม่มีทางเสด็จแม่ พระองค์ยังมีลูก ลูกจะอยู่กับพระองค์ตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ”
“พรุ่งนี้เป็นต้นไป อย่าเรียกว่าเสด็จแม่อีก ผ่านค่ำคืนนี้ไป ความรับผิดชอบของเจ้าจะหนักขึ้น องค์ชายรัชทายาทไปไม่กลับ องค์ชายอื่นก็ไม่เอาความ เรื่องทั้งหมดต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว ไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องสนใจข้า”
“ลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” อวี่มั่วถอยออกจากห้อง พระชายาหลิ่วถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง
ในตอนนี้เองภายในพระราชวัง การศึกสงครามสนามหนึ่งกำลังดำเนินขึ้น
ตอนที่ 173 อำนาจของฮองเฮา
“เสี่ยวเยี่ย เจ้าไม่ต้องไป รอดูอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว” หลานเฟิงและหลานเยี่ยนั่งอยู่บนหลังคาห้อง มองดูสถานการณ์ที่วุ่นวายเละเทะด้านล่าง
หลานอวี่พาคนเข้าล้อมรอบและกำจัดกองกำลังของฮองเฮา ความเคลื่อนไหวเสียงดังเช่นนี้ คนของฮองเฮาย่อมรู้สึกได้นานแล้ว ตอนนี้กำลังต่อสู้กับพวกเขาอยู่ ฮองเฮาเป็นคนตระกูลเยี่ย และข้างกายฮองเฮาทุกยุคทุกสมัยล้วนมีกองทัพที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้อยู่ข้างกาย
คืนนี้จะต้องเป็นการศึกสนามใหญ่ และสามารถพูดได้ว่าเป็นละครฉากใหญ่
ฮองเฮาสวมใส่ชุดเต็มยศอย่างเป็นทางการยืนอยู่ด้านหลังของกองกำลัง แม้จะมาอยู่ในสนามรบแต่ก็ไม่กลัว ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความทรงอำนาจ
“ขุนนางกบฏ ลูกทรยศ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังสู้อยู่กับใคร” ฮองเฮาเอ่ยปาก พลังอำนาจกระแสหนึ่งพัดพาพุ่งเข้ามา แต่หลานอวี่กลับไม่กลัวแม้แต่น้อย
“คนตระกูลเยี่ย” หลานอวี่ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
“ในเมื่อรู้ว่าเป็นคนตระกูลเยี่ย ยังไม่รีบยอมแพ้บัดเดี๋ยวนี้ รอข้ากำจัดราชสำนักนี่ ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าได้เสียใจภายหลัง”
“วันนี้ข้าน้อยมาก็เพียงเพื่อจะให้พระองค์ละทิ้งสถานะตระกูลเยี่ยของพระองค์ลง อยู่กับฮ่องเต้ ไม่ ไท่ช่างหวังด้วยกันอย่างสงบสุขในชีวิตบั้นปลาย หวังว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงจะไม่ทำการขัดขืนที่ไร้ประโยชน์อีก ตอนนี้ทัพทหารทั่วทั้งวังหลวงล้วนอยู่ในมือของข้า การขัดขืนของพระองค์ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการเหนื่อยเปล่าเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮามองหลานอวี่ ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่ท่าทางหยิ่งทะนงของตนกลับลดลงไม่น้อย
“เช่นนั้นข้าก็อยากดูนักว่าสุดท้ายแล้วอะไรคือการขัดขืนที่เหนื่อยเปล่า วันนี้ผู้ที่ปลิดศีรษะหลานอวี่ได้มีเงินรางวัลพันชั่ง” ฮองเฮาออกคำสั่ง กองทัพข้างกายพุ่งตรงไปข้างหน้าในทันใด ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
แม้คนตระกูลเยี่ยจะน้อย แต่กำลังการต่อสู้กลับแข็งแกร่งกว่าคนของราชสำนักมากนัก แต่ราชสำนักคนมากพลังก็มากตาม ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งสองฝ่ายไม่อาจรู้ได้ว่าใครจะแพ้หรือชนะ
“หลานเฟิง เจ้าดูซิว่าด้านล่างสู้กันเป็นอย่างไรบ้าง จะชนะได้หรือไม่”
“ทำร้ายคนหนึ่งพันเจ็บเองแปดร้อย บอบช้ำทั้งสองฝ่าย” หลานเฟิงพูดออกมาเรียบๆ
“เช่นนั้นเมื่อวอี่มั่วต้องจัดการบริหารราชสำนักจะยิ่งเสียเวลามากใช่หรือไม่” หลานเยี่ยพิงอิงแอบอ้อมกอดของหลานเฟิง หลานเฟิงถอดเสื้อบนร่างออก คลุมเอาไว้บนตัวหลานเยี่ย
“เจ้าอยากช่วยพวกเขาหรือ”
“นี่ก็เป็ดจุดเริ่มต้นของการโจมตีตระกูลเยี่ยของพวกเรากระมัง ฉะนั้นพวกเราช่วยพวกเขาเสียหน่อยเถิด”
“เจ้าว่าอย่างไรก็ตามนั้น” หลานเฟิงก้มหน้าจุมพิตหน้าผากหลานเยี่ยทีหนึ่ง แต่กลับพลิกมือรับลูกธนูที่ยิงเข้ามา หลานเฟิงเบนหน้าหาคนที่ยิงธนูพบ
ออกแรงที่ข้อมือเล็กน้อย ลูกธนูถูกเขวี้ยงกลับไป อีกทั้งครั้งเดียวยิงตายไปสองคน หลานเยี่ยยกมือขึ้น กระแสวิญญาณสีฟ้าถูกปล่อยออกไป คนตระกูลเยี่ยจำนวนหนึ่งล้มลงในทันใด
เพราะคนในราชสำนักล้วนไม่มีพลังกระแสวิญญาณ ฉะนั้นตอนแรกตระกูลเยี่ยจึงไม่ได้ส่งคนที่เก่งกาจมา แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีโอกาสได้เปรียบอยู่มาก
หลานเยี่ยลงมือก็ทำคนล้มไปจำนวนมาก จู่ๆ ลูกธนูอีกดอกก็พุ่งไปยังหลานอวี่ หลานอวี่หลบไม่ทัน ลอบคิดในใจว่าแย่แล้ว
หลานเฟิงลงมือ ปัดลูกธนูออกไป หลานอวี่ก้มหัวลงน้อยๆ ให้กับหลานเฟิงที่นั่งอยู่บนหลังคาห้อง แสดงถึงความขอบคุณ
ด้วยการช่วยเหลือของหลานเฟิงและหลานเยี่ย ราชสำนักเริ่มค่อยๆ ได้รับชัยชนะ ท้องฟ้าเองก็เริ่มสว่างขึ้น อวี่มั่วนั่งอยู่ในห้อง คิดเรื่องราวต่างๆ เทียนซีนั่งอยู่ข้างเขา นอนพิงบนร่างเขากลับไป
อวี่มั่วลูบผมเทียนซีด้วยจิตใจเหม่อลอย ในใจนั้นสับสนวุ่นวาย
“ทำเช่นนี้ สุดท้ายก็ไม่ดีต่อเจ้า แต่ข้าจะต้องปกป้องเจ้าให้รอดปลอดภัย”
ฟ้าสว่างแล้ว มีคนมาปรนนิบัติอวี่มั่วเปลี่ยนชุด เตรียมพร้อมครองบัลลังก์ อวี่มั่วไม่มีปฏิกิริยา เทียนซีตื่นแล้ว แต่ยังคงนอนพิงกายอวี่มั่ว กอดเขาไว้แน่น
“เจ้าเป็นฮ่องเต้แล้ว จะมีภรรยาสามอนุสี่หรือไม่”
“ไม่”
“จะเบื่อหน่ายข้าหรือไม่”
“ไม่”
“ยังจะรักข้าไปทั้งชีวิตหรือไม่”
“ใช่”
“เจ้าไปเถิด”
“เสี่ยวซี รอข้ามาหาเจ้า”
“ได้”
ตอนที่ 174 ขึ้นครอง
คนที่เข้ามาปรนนิบัติสวมใส่ชุดคลุมมังกรแสนทรงอำนาจให้อวี่มั่ว ชุดคลุมมังกรอยู่บนร่าง ทันใดนั้นก็แผ่แสดงความทรงอำนาจออกมากระแสหนึ่ง
เทียนซีมองเห็นอย่างชัดเจนจากอีกฝั่ง อวี่มั่วมีอำนาจของการเป็นเจ้าแผ่นดินอยู่จริง หลังจากนี้ไม่รู้จะเป็นเช่นไร แต่เมื่อดูจากตอนนี้คือช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรือง ทรงอำนาจมากที่สุด
สุดท้ายอวี่มั่วมองเทียนซีทีหนึ่ง จากนั้นเดินออกไป หลานเยี่ยและหลานเฟิงยืนดูพวกเขาถ่ายทอดตำแหน่งจากที่ไกลๆ
ฮ่องเต้องค์ก่อนสีหน้าไม่พอใจ หลังจากรู้ว่าตนเองชักศึกเข้าบ้าน แม้เคยคิดจะจัดการเอาชีวิตแล้วกลับมารุ่งเรืองใหม่ แต่เพราะไม่มีทหารไม่มีกำลัง ไม่อาจก่อให้เกิดการคุกคาม
ขันทีชราผู้หนึ่งอ่านประกาศราชโองการลงจากบัลลังก์ของฮ่องเต้องค์ก่อน พร้อมมอบตำแหน่งให้อวี่มั่ว ฮ่องเต้องค์ก่อนอยู่ด้านบน อวี่มั่วอยู่ด้านล่าง
อวี่มั่วคุกเข่าลงทำเรื่องต่างๆ นานาตามที่ผู้ที่มีกำหนดเป็นการพิเศษ ฮ่องเต้องค์ก่อนถือตราหยกรอพิธีการดำเนินการต่อไป
ท้องฟ้าแจ่มใสเป็นอย่างมาก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็จะเห็นนกห้าสีจำนวนหนึ่งบินผ่าน ก้อนเมฆบนท้องฟ้าก่อรวมกันเป็นรูปร่างมังกร
“อำนาจแห่งผู้นำ อวี่มั่วเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมแล้วจริง” หลานเยี่ยอิงแอบอยู่บนร่างหลานเฟิง มองดูหมู่เมฆบนท้องฟ้า
“เขาเกิดมาก็เพื่อจะเป็นผู้นำ ราชสำนักอยู่ภายใต้การจัดการของเขาน่าจะดีเป็นอย่างมาก” หลานเฟิงกอดหลานเยี่ย มือม่ายปัดป่ายไปทั่วร่างกายเขา หลานเยี่ยปล่อยตามใจเขา ไม่สนใจ
“เจ้าว่ารอจนเขาสวมพระมหามงกุฎเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อไป” หลานเยี่ยถามขึ้น พิธีการด้านบนกำลังเนิน ลำดับขั้นตอนทั้งหมดล้วนไม่ถูกลดทอน
“น่าจะจัดการพรรคพวกที่เหลือของตระกูลเยี่ยกระมัง” หลานเฟิงตอบเขา
“ข้าว่าไม่ใช่ พวกเรามาพนันกันดีหรือไม่ ดูว่าพวกเราใครจะทายถูก” หลานเยี่ยเกิดนึกสนุก ท้าพนันกับหลานเฟิง
“พนันอะไร พนันว่าอีกฝ่ายจำต้องเชื่อฟังคำพูดอีกฝ่ายหนึ่งวันเป็นอย่างไร” หลานเยี่ยยิ้มมองหลานเฟิง หลานเฟิงรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร
“ได้ เช่นนั้นข้าพูดก่อน ข้าพนันว่าสิ่งแรกที่อวี่มั่วจะทำหลังจากนี้คือแต่งตั้งเทียนซีเป็นฮองเฮา ถือครองตราพญาหงส์
“เจ้าเล่นลูกไม้ เมื่อครู่เจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้ ไม่ได้ เอาใหม่ ข้าพูดก่อน” หลานเยี่ยยื่นมือไปปิดปากหลานเฟิง แต่กลับถูกหลานเฟิงจับไว้
“ตอนนี้ตาเจ้าพูดแล้ว” ในดวงตาหลานเฟิงเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ แม้สีหน้าจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“ข้า ข้า ข้าพนันว่าหลังจากอวี่มั่วขึ้นครองราชย์แล้ว เรื่องแรกที่จะทำคือแต่งตั้งพระชายาหลิ่วเป็นไทเฮา หึ!”หลานเยี่ยเห็นว่าคำพูดของตนโดนขโมยไปแล้ว ก็พูดการคาดเดาอีกอย่างออกมา
“พนันหนึ่งวัน”
“อืม หนึ่งวัน”
“หากแพ้ อย่าร้องไห้ก็แล้วกัน” หลานเฟิงกลั้นขำ หลานเยี่ยเหมือนเผชิญหน้ากับศึกใหญ่ คิดถึงชีวิตอันน่าอนาถในกลางดึกทุกวันหลังจากที่เปิดประสบการณ์ครั้งแรกแล้ว ทันใดนั้นแผ่นหลังก็เย็นเฉียบ
“รอก่อน ข้าขอคิดก่อน” หลานเยี่ยห้ามไม่ให้หลานเฟิงพูดต่อ
“ตกลงกันแล้วว่าหนึ่งวัน ห้ามคืนคำนะ”หลานเฟิงกลั่นแกล้งกดตัวลงไป ปิดปากหลานเยี่ยเอาไว้ จุมพิตที่เพิ่มความดูดดื่ม
พิธีการด้านบนดำเนินมาสักพักหนึ่ง ฮ่องเต้องค์ก่อนลงมาแล้ว บนเวทีเหลือเพียงอวี่มั่วยืนอยู่เพียงลำพัง ผู้คนด้านล่างทั้งหมดล้วนคุกเข่าลง เสียงฮ่องเต้อายุยืนนาน นับหมื่นปีดังขึ้นไปทั่วฟากฟ้า
หลานเฟิงปล่อยหลานเยี่ย รอเรื่องต่อไปที่อวี่มั่วจะทำพร้อมกับหลานเยี่ย
“ขุนนางทุกท่านลุกขึ้น” อวี่มั่วยกมือขึ้น แสดงให้เห็นว่าพิธีการเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
“ขอบพระทัยฮ่องเต้”
“วันนี้ข้าขึ้นครองราชย์ ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องประกาศหนึ่งเรื่อง วันนี้ข้าแต่งตั้งฮองเฮา ซื่อจือตระกูลเทียน เทียนซี ไม่อาจเห็นเป็นอื่น” อวี่มั่วเอ่ยปาก ใช้น้ำเสียงที่ไม่อนุญาตให้สงสัยในการพูด ทำให้คนที่แต่เดิมมีความสงสัยนั้นไม่กล้าเปล่งเสียง
“ประกาศฮองเฮา เทียนซี”
หลานเยี่ยที่อยู่ข้างล่างไม่คิดเชื่อ
“ที่รัก เจ้าลืมไปแล้วหรือ เมื่อใดที่อวี่มั่วขึ้นครองราชย์ พระชายาหลิ่วก็คือไทเฮา ไม่จำเป็นต้องประกาศ และไม่ต้องเพิ่มยศ”
“ข้าผิดไปแล้ว ฮือออ” หลานเฟิงไม่ปล่อยให้หลานเยี่ยพูดต่อ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น