(Yaoi) ใต้ม่านรัตติกาล 159-166
ตอนที่ 159 หลังจากนั้น ก็ไม่มีคำว่า ‘หลังจากนั้น’ อีกแล้ว
หวนคิดถึงความบ้าคลั่งเมื่อวานนี้ หลานเยี่ยยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคาดไม่ถึง ไม่อาจนึกจินตนาการถึงมากเกินไปแล้ว ครั้งแรกก็บ้าคลั่งขนาดนี้ ช่างสุดยอดเสียจริง
เห็นหลานเยี่ยเอามือขึ้นมาปิดตา หลานเฟิงก็เอาออกให้เขาในทันใด หลานเยี่ยลืมตามองเขา ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร หรือยังต้องการอีก เมื่อคืนนี้ทำให้เขาทรมานจนสลบไปเลยทีเดียว
“เมื่อคืนร้องดังเช่นนั้น ทำไมวันนี้ถึงไม่พูดเล่า”
“…เจ้าต่างหากที่ร้องเสียงดัง ครอบครัวเจ้าร้องเสียงดังทั้งนั้น”
“ใช่ ทั้งครอบครัว เจ้าเองก็เป็นครอบครัวข้า”
“…” หลานเยี่ยไร้คำพูด แต่หลังจากหลานเฟิงเห็นปฏิกิริยาของหลานเยี่ยแล้วนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นถึงเอ่ยปากพูดช้าๆ
“เสี่ยวเยี่ย เจ้า…จำอะไรได้แล้วหรือไม่” หลานเฟิงค่อยๆ ถามหลานเยี่ย หลานเยี่ยยังคิดอยู่ว่าเหมือนลืมเรื่องสำคัญอะไรบางอย่างไป แท้จริงแล้วก็เรื่องนี้นี่เอง แต่น่าเสียดาย ดูเหมือนว่าจะไม่มี
“จำได้แค่เพียงบางส่วน ที่เหลือยังคิดไม่ออก”
“เรื่องตอนเป็นเด็ก เรื่องตอนยังไม่พบกับหลานเฟิง อาจเป็นเพราะนั่นคือช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดกระมัง”
“เรื่องอื่นจำไม่ได้เลยสักนิดหรือ”
“ไม่ จำได้แค่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น”
“เป็นเพราะทำน้อยเกินไปหรือไม่ พวกเราทำกันให้มากครั้งเสียหน่อยดีหรือไม่”
“เจ้าออกไปให้ไกลข้า ตอนนี้ข้าเจ็บไปทั้งตัว ยังคิดจะทำอีก” หลานเยี่ยป้องกันเสื้อผ้าของตนเองไว้อย่างแน่นหนา
“จำได้ว่าตัวเองเป็นใครก็ดีแล้ว”
“แม้จะมีเพียงเรื่องเท่านี้ แต่ข้ากลับเข้าใจว่าความรู้สึกที่ตนมีต่อท่านพ่อท่านแม่เป็นเช่นไรกันแน่ นั่นคือสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด อบอุ่นมากที่สุด และเป็นความรู้สึกที่ได้พบแต่ไม่อาจได้ครอบครอง หลานเฟิง ข้าอยากให้ท่านพ่อตื่นขึ้น เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่”
“ได้ แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าใช้พลังกระแสวิญญาณดั้งเดิมอีก ข้าจะอยู่กับเจ้า เดินทางไปทุกที่เสาะหาวิธีการ”
“แต่พวกเราเข้าใจน้อยเกินไป ไม่รู้ต้องลงมือจากที่ใด ใต้หล้าใหญ่โตถึงเพียงนี้ ควรทำเช่นไร”
“เสี่ยวเยี่ย มีเพียงยืนอยู่บนจุดที่สูงมากพอถึงจะรู้ได้มากกว่าเดิม ขอแค่เจ้าอยากรู้ ต่อให้ต้องครอบครองใต้หล้าก็ต้องเสาะหามาให้เจ้า”
“ครั้งนี้ข้าจะอยู่กับเจ้า ต่อให้ถูกคนทั้งโลกละทิ้ง ข้าเองก็ยังคงไม่ละไม่ทิ้งห่างจากเจ้าไปไหน สัญญากันไว้แล้วนะ พวกเรา…ไม่แยกจากกันตลอดไป”
“เสี่ยวเยี่ย ขอบใจเจ้า จะลองกระแสวิญญาณของตนเองหน่อยหรือไม่” หลานเยี่ยลองสัมผัสกระแสวิญญาณที่อยู่ทั่วร่างกาย ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างออกจากแต่ก่อน ในจุดตันเถียนนั้นเต็มไปด้วยกระแสวิญญาณอุดมสมบูรณ์ หลานเยี่ยทดลองขับพลังออกมา สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือสามารถขับพลังให้ออกมาได้อย่างง่ายดาย หลานเยี่ยยิ้มกว้างในทันใด
“กระแสวิญญาณของข้าเก่งกาจกว่าเจ้าใช่หรือไม่” หลานเฟิงไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหลานเยี่ยกำลังคิดอะไร แต่เขาจะปล่อยให้หลานเยี่ยได้ใจได้อย่างไร
“เป็นเช่นนั้นจริง แย่กว่าฮูหยินของตนเองก็ไม่เสียหน้า ขอเพียงแค่อยู่บนเตียงไม่มีปัญหาก็พอแล้ว”
“เจ้า…” หลานเฟิงไม่สนใจหลานเยี่ย อีกทั้งยังอุ้มเขาขึ้นมา ตอนนี้พวกเขายังอยู่บนเรือลำเล็ก หลานเฟิงอุ้มเขาเข้ามาในห้อง ห่มผ้าให้เขาเรียบร้อย
“นอนอีกหน่อยเถิด เมื่อคืนนี้เหนื่อยมากกระมัง” หลานเฟิงลุกเตรียมจะเดินออกไป หลานเยี่ยจับมือหลานเฟิงไว้
“เจ้าจะไปที่ใด” ในน้ำเสียงสะท้อนความไม่สบายใจเอาไว้ หลานเฟิงตบหลังมือหลานเยี่ย
“ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าจะไปอาหาร รอเจ้าตื่นมาก็กินข้าวได้เลย” หลานเยี่ยถึงได้ปล่อยมือลง นอนหลับอย่างสบายใจ
ตอนที่ตื่นขึ้นมา เห็นว่าข้างเตียงมีกระต่ายอยู่สองสามตัว หลานเยี่ยหยอกล้อกับพวกมัน รู้สึกว่าวันนี้อากาศดีเสียจริง
ตอนที่ 160 นกพิราบที่คุ้นเคย
หลานเฟิงเห็นหลานเยี่ยตื่นแล้ว จึงยกของทานเล่นรสอ่อนสองสามอย่างมาข้างเตียง มองดูอาหารที่อยู่ในถาดและโจ๊กสีขาวสะอาด หลานเยี่ยแสดงความไม่อยากกิน
“จืดเกินไป ข้าไม่อยากกิน” หลานเยี่ยพูดออกมาด้วยความน้อยใจ ไม่หันไปมองท่าทางของหลานเฟิง นั่งหยอกล้อกระต่ายน้อยอยู่อย่างนั้น
“ตอนนี้เจ้าไม่สามารถกินของเลี่ยนน้ำมันมากได้ มิเช่นนั้นข้างหลังจะรับไม่ไหว” หลานเฟิงอธิบาย หลานเยี่ยขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บปวดถูกส่งมาจากบริเวณด้านหลัง เหมือนกับมีอะไรบางอย่างอยู่ภายใน
“หึ เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น” หลานเยี่ยพูดจบก็ยกโจ๊กเปล่าขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าทั้งร่างจะไร้เรี่ยวแรง เกือบทำชามแตก หลานเฟิงประคองหลานเยี่ยเอาไว้ทัน ยกถ้วยโจ๊กออก จัดการปูผ้าปูเตียงให้เรียบ แล้วให้หลานเยี่ยนั่งลงไปบนนั้น
หลานเฟิงค่อยๆ ป้อนให้หลานเยี่ยกินทีละน้อย หลานเยี่ยเองก็ค่อยๆ กินทีละคำ สังเกตเห็นรอยจูบบนคอของหลานเยี่ยโดยมิได้ตั้งใจ หลานเฟิงใช้มือลูบไล้เบาๆ
“ยังเจ็บอยู่หรือไม่” หลานเยี่ยมองไม่เห็นสภาพน่าอนาถบนคอของตนเอง ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร หลานเฟิงหากระจกทองแดงมาให้เขาบานหนึ่ง หลานเยี่ยเหลือบมอง ตาโตแทบถลนมองในทันใด
รีบปลดเสื้อผ้าของตนเองออกอย่างรวดเร็ว เหลือบมองร่างกายของตน เขียวเป็นจ้ำ ม่วงเป็นดวง น่าอนาถจนไม่ทนมอง หลานเยี่ยส่งยิ้มเปี่ยมไปด้วยไมตรีจิตให้หลานเฟิง
“เจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!” หลานเยี่ยแทบจะพูดออกมาด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ขอบคุณที่กล่าวชม”
“เจ้า…เอาเถิด ข้าเถียงไม่ชนะเจ้า”
“เป็นคนของข้าแล้ว ก็ไม่ต้องเขินอายไป ใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่”
ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดจาหยอกเย้าต่อว่ากันอยู่นั้นด้านนอกมีเสียงนกพิราบร้องดัง กรู้ กรู้ อยู่ช่วงหนึ่ง หลานเฟิงไม่สนใจ รอจนป้อนหลานเยี่ยกินจนอิ่มแล้วถึงเดินออกไป
หลานเฟิงนำนกพิราบตัวหนึ่งเข้ามา หลานเยี่ยมองแล้วรู้สึกคุ้นตา
“นกพิราบตัวนี้ช่างคุ้นตานัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“อืม มันเคยเป็นนกพิราบส่งสารของเจ้ามาก่อน เจ้าเคยคิดเตรียมกินมันมาก่อน”
“…”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะขอแค่มันบินมามักจะมีเรื่องเกิดขึ้น เจ้าเองก็จะไม่ได้พัก”
“ข้ากินมันได้หรือไม่”
“สองวันนี้เจ้าไม่ควรกินอาหารเลี่ยนน้ำมัน”
“ผ่านสองวันไปแล้วก็สามารถกินได้ใช้หรือไม่”
“ได้ เจ้าคิดอยากกินเช่นไร? นึ่ง ผัดน้ำแดง หรือผัดผัก”
“เจ้าคิดอย่างไรเล่า!” หลานเยี่ยพยายามอดกลั้นความต้องการพุ่งออกไปถอนขนทั้งหมดของนกพิราบออก พูดกับหลานเฟิงด้วยท่าทีจริงจัง
“ข้าไปจับเพิ่มให้เจ้าอีกสองสามตัว เจ้าคิดอยากกินอย่างไรก็ได้กินเช่นนั้น”
“…”
“ครั้งนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกเล่า”
“ทางด้านราชสำนัก ส่งข่าวมา บอกว่าเตรียมพร้อมไว้พอประมาณแล้ว”
“เตรียมพร้อมอะไร”
“เจ้าเคยให้มู่หลีเริ่มใช้เส้นสายภายในราชสำนัก เตรียมเดินทางออกจากราชสำนัก กำจัดตระกูลเยี่ย ในวันที่เจ้าไปตระกูลหลานนั้น ชิวลั่วมาหาข้า มอบแหล่งข่าวราชสำนักในมือมู่หลีให้แก่ข้า บอกว่าเขาจะหลบไปอยู่อย่างสันโดษกับมู่หลีสักพัก รอจนถึงเวลาที่ต้องการพวกเขา พวกเขาจะออกมาอีกครั้ง”
“แหล่งข่าวอย่างอื่นเล่า”
“ไม่ได้ให้ข้า แต่กลุ่มสืบข่าวของหล่านเย่ว์สามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้
“ในจดหมายเขียนไว้เช่นไร”
“พูดถึงวิธีการทั้งหมด อีกทั้งยังถามถึงแผนการต่อไปของเจ้า อีกอย่าง เส้นสายภายในคนหนึ่งพูดความลับเรื่องหนึ่งออกมา”
“อะไร”
“อวี่มั่วเป็นลูกชายของพระชายาหลิ่ว ซึ่งก็คือองค์ชายสองในปัจจุบัน ตอนที่เพิ่งคลอดออกมานั้นถูกพระชายาหลิ่วส่งออกมานอกวัง”
“คนส่งจดหมายหมายความว่าเช่นไร”
“อาจเพราะไม่อยากให้การกระทำของพวกเราทำร้ายอวี่มั่วกระมัง” หลานเฟิงคิดถึงคำพูดของอวี่มั่วที่คุยกับเขา สมแล้วที่เป็นแม่ลูกกัน
“เจ้าอยากฟังเรื่องราชสำนักและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นหรือไม่”
“ดีเลย”
ตอนที่ 161 พระชายาหลิ่ว
ยี่สิบปีก่อนนี้พระชายาหลิ่วยังคงเป็นคนตระกูลหลานนามว่า หลานหลิง ผ่านมาให้หลังเสนอนางตัวขอเป็นเส้นสายภายในราชสำนัก นับตั้งแต่นั้นมาตระกูลหลานก็ขาดคนชื่อหลานหลิงไปหนึ่งคน ในราชสำนักมีพระชายาผู้หนึ่งนามว่าหลิ่วหลิงเอ๋อร์เพิ่มขึ้นมา
ผู้ที่ไปเป็นเส้นสายภายในราชสำนักพร้อมกันยังมีบุรุษผู้หนึ่งนามว่า หลานอวี่ เขาไม่ได้เปลี่ยนชื่อ เพราะไม่ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เคยทิ้งร่องรอยของตนเองเอาไว้ และไม่เคยเปิดเผย อีกทั้งไม่ใช่แค่คนตระกูลหลานเท่านั้นที่จะใช้สกุลหลาน
เขาอาศัยอำนาจตระกูลหลาน และเส้นสายภายในราชสำนักก่อนนี้ปีนป่ายไปถึงตำแหน่งผู้ปรึกษาแคว้นได้โดยสำเร็จราบรื่น เขาและพระชายาหลิ่วช่วยเหลือตอบสนองตอบรับทั้งภายนอกและภายใน หลานหลิงเองก็ปีนมาถึงตำแหน่งพระชายาหลิ่วได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
ผ่านไปหนึ่งปีพระชายาหลิ่วตั้งครรภ์ ให้กำเนิดทารกชายผู้หนึ่ง พระชายาหลิ่วไม่อาจทนเห็นเขากลายเป็นเครื่องสังเวยของราชวงศ์ จึงส่งเขาออกไปข้างนอก มอบให้กับตระกูลอวี่ที่อยู่ในเมืองหลวง ตั้งชื่อว่าอวี่มั่ว บอกกล่าวกับราชสำนักว่าเด็กเสียชีวิตแต่เยาว์วัย หลังจากนั้นด้วยการสนับสนุนของพระชายาหลิ่ว ตระกูลอวี่ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตระกูลค้าขายที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง
หลานเฟิงพูดถึงตรงนี้ หลานเยี่ยกลับนิ่งอึ้งไป บิดาในความทรงจำปลอมของตนก็คือหลานอวี่ แท้จริงแล้วที่มู่หลีจัดการให้ตนเองไปอยู่จวนผู้ปรึกษาแคว้นเป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง แต่ทำไมหลานอวี่ที่ตนเองเห็นนั้นถึงมีทีท่าจงรักภักดีต่อราชสำนัก หรือว่าปิดบังต่อหน้าตนเอง
ไม่ ตนไม่เคยพบหลานอวี่มาก่อน ความทรงจำทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโกหก นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้เติมเต็มความทรงจำของตนเองก็เท่านั้น ความทรงจำของตนน่าจะเริ่มจากจิ่วหลิว
ระหว่างช่วงที่อวี่มั่วเติบโตขึ้นมานั้นก็พอจะเริ่มรู้สถานะของตนเอง พระชายาหลิ่วเองก็ไปพบเขาบ่อยครั้ง แม้จะรู้สึกโกรธบางเล็กน้อยที่พระชายาหลิ่วส่งตัวเองออกไป แต่เพราะหลังจากนั้นก็เข้าใจถึงความหวังดีที่แอบแฝงไว้ของพระชายาหลิ่ว
ด้วยเวลาที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ พระชายาหลิ่วเองก็ไม่เยาว์วัยอีกต่อไป พระชายาที่เข้ามาใหม่เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่พระชายาหลิ่วอาศัยวิธีของตนเอง ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่อาจล้มในวังหลังได้ตลอดไป
เพราะฮองเฮาของราชวงศ์ล้วนเป็นคนตระกูลเยี่ย ดังนั้นพระชายาหลิ่วจึงไม่อาจได้รับตราประทับพญาหงส์มาโดยตลอด แต่นางกลับให้ฮ่องเต้แย่งสิทธิ์อำนาจของฮองเฮามาแล้วมอบให้กับนาง
ฮ่องเต้ในปัจจุบันเป็นคนที่เลอะเลือนและบื้อใบ้ ฮ่องเต้ที่เป็นเช่นนี้สามารถยึดกุมได้ดีที่สุด ดังนั้นทุกครั้งที่คนตระกูลเยี่ยคัดเลือกคนล้วนเลือกคนประเภทนี้ขึ้นมาครองตำแหน่งต่อทั้งสิ้น
วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขเช่นนี้ นอกจากการแก่งแย่งชิงดีในวังหลังแล้วก็คืออวี่มั่ว หลังจากนั้นมาอวี่มั่วก็ได้พบกับเทียนซี ทั้งสองคนประสบพบเรื่องราวมามากมาย เพราะตระกูลเทียนเป็นคนเก่าแก่ของราชสำนัก มีความสัมพันธ์เชิงศัตรูกับตระกูลหลาน ตอนแรกพระชายาหลิ่วไม่เห็นด้วย อีกทั้งทางครอบครัวของเทียนซีเองก็ไม่เห็นด้วยกับการที่เทียนซีหาผู้ชายมา เพราะตระกูลเทียนมีเพียงเทียนซีเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทั้งสองคนฝ่าฟันความลำบากมากมายถึงได้อยู่ด้วยกัน เทียนซีไม่ได้กลับไปตระกูลเทียนอีก พระชายาหลิ่วเองก็ยอมรับ อวี่มั่วเปิดหอต้วนอวิ๋นที่เมืองหลวง เพราะประสบการณ์ความสัมพันธ์ของตน ดังนั้นเขาจึงคิดอยากช่วยเหลือคนให้มากขึ้น
วันเวลาที่สงบสุขถูกทำลายลงด้วยคำสั่งของมู่หลี พระชายาหลิ่วเคยได้ติดต่อกับเชียนจื๋อซือคนใหม่นี้มานานแล้ว สำหรับการเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันของมู่หลีกับรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่เล็กน้อย
มู่หลีถ่ายทอดความหมายของหลานเยี่ยให้นางทราบ หลังจากที่นางนิ่งสงบอยู่สิบกว่าปีก็เริ่มลงมืออีกครั้ง กาลเวลาแย่งชิงรูปลักษณ์ไปจากนาง แต่ไม่ละทิ้งนาง มอบลูกคนหนึ่งให้กับนาง
ในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ดีที่สุดของนางล้วนมอบให้กับตระกูลหลาน แต่นางก็ไม่เคยเกิดความเสียดายหรือตัดไม่ขาดใดๆ เลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่เสียใจภายหลัง เพราะช่วงเวลาที่ดีที่สุด คนที่รักที่สุดได้ไปอยู่ในโลกอีกใบแล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีคนที่นางรำลึกถึงอีกต่อไป
ตอนที่ 162 สถานการณ์
ราชสำนักในปัจจุบันแบ่งออกเป็นสองส่วน ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์ชายรัชทายาท อีกฝ่ายสนับสนุนองค์ชายเก้า องค์ชายเก้าฉีจิ่งมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอันดีกับหัวหน้าทัพฝ่ายกำลังทหาร นามหลิวฉี หัวหน้าทัพฝ่ายกำลังทหารถืออำนาจทหารอยู่ในมือ มีกำลังคุกคามต่อองค์ชายรัชทายาทอย่างมาก
แต่ฉีเย่ว์กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ว่า ราชสำนักอย่างไรก็เป็นของคนอื่น ดังนั้นเวลาที่เขาอยู่ในราชสำนักจึงไม่ได้นานมากนัก เวลาส่วนใหญ่มักจะอยู่ข้างนอก
วันนี้ก็ออกว่าราชการเหมือนกับทุกวัน แต่กลับเกิดเรื่องที่ไม่เหมือนเดิมขึ้น
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรัชทายาทเป็นถึงผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งราชสำนัก แต่วันๆ ไม่ออกว่าราชการ ไม่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ทุกวันล้วนไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ช่างไม่เหมาะเป็นอย่างยิ่ง” หลิวฉีส่งฎีการ้องเรียนฉีเย่ว์ฉบับนหนึ่งในเวลาออกราชการ
“ข้าเองก็ไม่ได้พบองค์ชายรัชทายาทมาหลายวันแล้ว ไม่เหมาะสมจริงด้วย” ฮ่องเต้ทรงตรัส
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้องค์ชายรัชทายาทไม่เพียงเข้าใจวิชาการเป็นผู้นำจนคล่องแคล่ว อีกทั้งยังชำนาญวิชาการแพทย์ ช่วยเหลือประชาชนราษฎรที่อยู่ในความทรมานและลำบาก ช่วงเวลาหลายวันก่อนนี้ในเมืองหลวงเกิดโรคระบาด องค์ชายรัชทายาทขยันมุมานะ ศึกษาเทียบยาทั้งวันพ่ะย่ะค่ะ ปัจจุบันนี้โรคระบาดลดไปแล้ว องค์ชายรัชทายาทกลับเหนื่อยจนล้มลง ทั้งรักและเป็นห่วงประชาชนราษฎรเช่นนี้ ต่อให้พักผ่อนหลายวันเสียหน่อยก็ไม่มากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ท่านหัวหน้าแม่ทัพพูดถึงองค์ชายรัชทายาทเช่นนี้ หรือคิดจะแอบแผนชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ” ที่ปรึกษาแคว้นอวี่มั่วเอ่ยปากพูดโต้หลิวฉี
“การเป็นองค์ชายรัชทายาท ก็ควรจะทำหน้าที่ให้สมกับตำแหน่งที่เป็น ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร น่าจะรู้จักแบ่งแยกหนักเบา”
“เช่นนั้นขอถามท่านหัวหน้าแม่ทัพ มีเรื่องใดที่องค์ชายรัชทายาททำไม่ดีอย่างนั้นหรือ”
อวี่มั่วและหลิวฉีเปิดโต้วาทีขึ้นมาในโถงราชวัง
“ทิศเหนือของเมืองหลวงเกิดอุทกภัย แต่เดิมองค์ชายรัชทายาทควรออกหน้าไปจัดการด้วยตนเอง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาองค์ชายรัชทายาท เหมาะสมเสียที่ไหน”
“เกรงว่าท่านหัวหน้าแม่ทัพคงลืมไปแล้วกระมัง ตอนที่ทิศเหนือของเมืองหลวงอุทกภัย องค์ชายรัชทายาทเกิดประชวรหนัก นอนพักอยู่บนเตียง หรือท่านหัวหน้าแม่ทัพอยากให้องค์ชายรัชทายาทที่เป็นเช่นนี้ไปจัดการอุทกภัย มีความตั้งใจแอบแฝงเช่นไรกัน อีกทั้งอุทกภัยในเมืองหลวงองค์ชายเก้าเองก็ขออาสาจัดการ แต่กลับเกิดเหตุหักเก็บเงินทองบรรเทาภัยพิบัติ จนทำให้ราษฎรจำนวนมากตาย นี่ควรจะคิดเช่นไรดีหรือ”
“เจ้า…”
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพวันนี้พูดกล่าวว่าองค์ชายรัชทายาทหลายครั้ง ไม่ใช่เพราะคิดจะเปลี่ยนแปลงผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งราชสำนักหรือ”
“ท่านที่ปรึกษาอย่าพูดคำบ้าคลั่งออกมา สิ่งที่ข้าทำทั้งหมดก็เพราะฮ่องเต้ เพราะราชสำนัก จะมีจิตใจเป็นอื่นได้อย่างไร”
“มีความคิดเช่นนี้หรือไม่ใจของเจ้ารู้ดี เมื่อวานซืนมีคนเห็นท่านหัวหน้าแม่ทัพแอบลอบพบองค์ชายเก้า เห็นพูดว่าจะส่งหนังสือฎีการ้องเรียนองค์ชายรัชทายาทเล่มหนึ่ง ให้ฮ่องเต้ปลดองค์ชายรัชทายาท เจ้ายังพูดว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก”
“เจ้าส่งคนติดตามข้า” หลิวฉีพูดจาโจมตีหลานอวี่ด้วยความร้อนรน
“สิ่งที่ข้าทำทั้งหมดล้วนเพื่อฮ่องเต้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนของข้าเห็นภาพเช่นนี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าจะหลอกลวงฮ่องเต้เช่นไร” หลานอวี่อย่างเต็มไปด้วยความชอบธรรม หันไปทางฮ่องเต้พูดด้วยความเคารพนบนอบ
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ท่านหัวหน้าทัพฝ่ายกำลังทหารหลิวฉีมีความคิดต่อต้าน สมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายเก้า คิดจะให้พระองค์ปลดองค์ชายรัชทายาท แต่งตั้งองค์ชายเก้าเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งราชสำนักใหม่ วันนี้เขาสามารถปลดองค์ชายรัชทายาทได้ วันพรุ่งนี้ก็สามารถก่อกบฏได้ ฮ่องเต้ได้โปรดพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลานอวี่คุกเข่าอยู่บนพื้น คิดพิจารณาเพื่อฮ่องเต้อย่างเคารพ
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่ได้คิดเช่นนั้น ล้วนเป็นหลานอวี่พูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ” หลิวฉีตกใจจนรีบคุกเข่าลง ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยปากถ่ายทอดราชโองการ
“หัวหน้าทัพฝ่ายกำลังทหารหลิวฉี วางแผนกระทำมิดีมิร้าย ถอดถอนออกจากตำแหน่งปัจจุบัน เก็บอำนาจทหาร มอบให้ที่ปรึกษาแห่งแคว้นดูแล องค์ชายเก้าฉีจิ่งมีเจตนาร้ายแอบแฝง กักบริเวณหนึ่งเดือน ไม่อนุญาตให้ออกจากจวน เลิกราชการ”
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” หลิวฉีพยายามพูดอธิบายเพื่อตนเอง หลานอวี่มองดูอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา
“หลานอวี่ จะต้องมีสักวัน ข้าจะต้องทำให้เจ้าตายอย่างไร้แผ่นดินกลบหน้า”
หลานอวี่ไม่สนใจเขา เดินตรงออกไป
ตอนที่ 163 วังหลัง
ตกดึก ฮ่องเต้ไปยังวังอวี้หลิงของพระชายาหลิ่ว สีหน้ากลัดกลุ้ม
“ฮ่องเต้มีเรื่องใดกังวลใจหรือเพคะ เหตุใดถึงไม่มีความสุขเช่นนี้” พระชายาหลิ่วเข้ามาปรนนิบัติฮ่องเต้ ยี่สิบกว่าปีแล้ว ขอเพียงมีเรื่องไม่สบายใจฮ่องเต้ก็จะมายังวังอวี้หลิง พระชายาหลิ่วรู้ข่าวตอนออกว่าราชการเมื่อเช้านี้ จึงรอการมาเยือนของฮ่องเต้นานแล้ว
“วันนี้หัวหน้าทัพฝ่ายกำลังทหารหลิวฉี วางแผนกระทำมิดีมิร้าย คิดจะให้ข้าปลดองค์ชายรัชทายาท แต่งตั้งองค์ชายเก้าเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ โชคดีที่ท่านที่ปรึกษาออกหน้า ถึงจัดการเรื่องราวได้”
“เช่นนั้นฮ่องเต้จัดการอย่างไรหรือเพคะ”
“ข้าถอดถอนหลิวฉีออกจากตำแหน่งปัจจุบันแล้ว”
“เช่นนั้นเหตุใดต้องกลัดกลุ้มเช่นนี้เพคะ”
“องค์ชายเก้าฉีจิ่งเย่อหยิ่งลำพองตนเกินไป อีกทั้งยังริอ่านหวังครองตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท แม้ข้าจะกักบริเวณเขาแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไร”
“องค์ชายเก้าแม้จะเย่อหยิ่งลำพองตน แต่ก็ยังมีข้อที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง องค์ชายเก้าเฉลียวฉลาดเป็นทุนเดิม เรื่องหนังสือเพลงกลอนก็มีการตีความที่โดนเด่นไม่เหมือนใคร สมกับเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง” พระชายาหลิ่วพูดอธิบายแทนฉีจิ่ง
“ลำบากเจ้าต้องมาปกป้องเขา มารดาเขาจากไปเร็ว หลายปีมานี้ก็เป็นเจ้าที่ดูแลเขา” ฮ่องเต้แสดงความซาบซึ้งใจต่อพระชายาหลิ่วที่เข้าใจเรื่องเช่นนี้
“ก็เพราะเป็นเด็กที่ชีวิตน่าสงสารเพคะ หม่อมฉันดูเขามาตั้งแต่เด็ก เขาเองก็เชื่อฟัง หวังให้เขาโตขึ้นเป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อราชสำนักเพคะ แต่น่าเสียดายที่ช่วงนี้ยิ่งไม่ได้ความขึ้นเรื่อยๆ” พระชายาหลิ่วเสียใจ พลางรู้สึกเสียดาย
“เกิดอะไรขึ้น เขาทำอะไรอีก”
“ที่จริงก็ไม่มีอะไรเพคะ เพียงได้ยินนางกำนัลบางคนพูดว่าจวนองค์ชายเก้าร่ำดนตรีทุกคืน อีกทั้งยังรับอนุอีกหลายคน นี่ยังไม่เท่าไร มีบางครั้งยังออกมาโดยใช้ข้ออ้างพบปะมิตรสหาย ไปหาความสุขใส่ตัวกับชายหนุ่ม ได้ยินว่าภายในจวนก็ยังเลี้ยงดูแลชายผู้เป็นที่โปรดปรานเอาไว้ด้วยเพคะ”
“ช่างไม่เหมาะสมเสียจริง เป็นถึงองค์ชายกับมั่วสุมกับบุรุษ ลองดูว่าข้าจะไม่ไปจับให้เห็นกับตา” ฮ่องเต้พูดจบก็เดินออกไปข้างนอก พระชายาหลิ่วรีบขวางไว้
“ฮ่องเต้เพคะ พระองค์อย่าได้บุ่มบ่าม นี่เพียงได้ยินบรรดานางกำนัลพูดกันเท่านั้นเพคะ อาจจะไม่เป็นเรื่องจริงก็ได้นะเพคะ”
“** กระจายมาถึงหูนางกำนัลแล้ว ยังจะต้องพูดอะไรอีก อย่าขวางข้า”
“กลางคืนลมแรง พระองค์ต้องดูแลพระพลานามัย ให้หม่อมฉันไปกับพระองค์เถิดเพคะ” พระชายาหลิ่วคลุมเสื้อตัวหนึ่งให้ฮ่องเต้ ออกไปพร้อมเขา
ทั้งสองคนนั่งเกี้ยวไปจนถึงจวนองค์ชายเก้า ฮ่องเต้ไม่ได้ให้คนรายงาน ตรงเข้าไปในห้องนอนฉีจิ่ง
เมื่อยืนอยู่หน้าประตูก็สามารถได้ยินเสียงรื่นรมย์จากภายใน อีกทั้งเป็นผู้ชาย ฮ่องเต้โมโหถีบประตูเดินเข้าไป เห็นสภาพไม่น่ามองบนเตียง
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ฉีจิ่งพ่นคำด่าออกมาประโยคหนึ่ง เมื่อหันกลับไปมองก็ต้องตกใจจนปีนขึ้นมาจากเตียงในทันใด เสื้อผ้าก็ถูกสวมใส่ด้วยความลนลาน
“เสด็จพ่อ พระองค์เสด็จมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! ดูท่าบทลงโทษที่ให้เจ้าวันนี้คงยังไม่พอกระมัง ยังจะมาหาความสุขใส่ตัว ไม่รู้จักสำนึก”
“เสด็จพ่อ มิใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ ล้วนเป็นเขาที่ยั่วยวนหม่อมฉัน เสด็จพ่อ ขอให้พระองค์เชื่อลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกรู้ผิดแล้ว”
“นับแต่วันนี้ไป องค์ชายเก้าฉีจิ่งลดศักดิ์เป็นคนธรรมดา ไม่อาจย้อนกลับมาในราชสำนักได้ตลอดชีวิต” ฮ่องเต้ประกาศราชโองการที่สำหรับฉีจิ่งแล้วไม่ต่างอะไรกับโทษประหารชีวิต จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ฉีจิ่งพูดอ้อนวอนขอร้องอย่างสุดชีวิตอยู่ข้างหลัง
ภายในห้องนอนของฉีจิ่ง พระชายาหลิ่วยืนอยู่ตรงนั้น ชายผู้เป็นที่โปรดปรานที่แต่เดิมอยู่บนเตียงก็แต่งกายเรียบร้อย ยืนอยู่เบื้องหน้าพระชายาหลิ่ว
“เจ้าทำได้ดีมาก พ่อและน้องสาวของเจ้า ข้าได้รับพวกเขาออกมาจากคุกและจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
“ขอบพระทัยพระชายาหลิ่วพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มผู้นั้นไม่รู้ว่าเอาขวดยาหยิบออกมาจากที่ใด ดื่มหมดในรวดเดียว จากนั้นก็ตายไปเพราะพิษยา
ตอนที่ 164 พร้อมที่จะจบ
ด้านราชสำนักได้รับสิทธิ์ทางการทหาร เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ขาดเพียงคำสั่งของเจ้าเท่านั้น หลานเฟิงเล่าให้หลานเยี่ยฟังจนจบ ความคิดของหลานเยี่ยกลับหยุดอยู่ที่คนผู้นั้น
“สุดท้ายแล้วบุรุษผู้นั้นเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้”
“ทั้งครอบครัวของชายผู้นั้นถูกฉีจิ่งทำลาย ทุกคนถูกส่งเข้าคุกทั้งหมด มีเพียงเขาคนเดียวที่หนีมาได้ พระชายาหลิ่วตามหาเขาพบ ให้เขาจัดการเรื่องแทนตนเอง พระชายาหลิ่วช่วยครอบครัวของเขาให้ออกมา”
“ฉะนั้นเขาจึงส่งตัวเองไปบนเตียงฉีจิ่ง ช่วยให้พระชายาหลิ่วสำเร็จแผนการ”
“ใช่”
“เช่นนั้นสุดท้ายเขาก็ไม่จำเป็นต้องตายก็ได้นี่”
“นี่คือวิธีการจัดการเรื่องของพระชายาหลิ่ว สามารถอยู่ในวังหลังมาได้นานหลายปีนี้กลับไม่ล้มลง นางมีจุดเ**้ยมโหดของนางเอง ล้วนโหดเ**้ยมต่อคนอื่นและรวมถึงคนของตนเอง”
“ลำบากนางแล้วที่ไม่บีบคออวี่มั่วให้ตายเสียแต่ตอนนั้น” หลานเยี่ยทอดถอนใจ หลานเฟิงไม่พูดอะไร เพียงแค่หัวเราะออกมา
“ฉะนั้นท่านประมุขตระกูล ออกคำสั่งเถิด ขั้นต่อไปควรทำเช่นไร”
หลานเยี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ก่อนอื่น ข้าอยากจุมพิต” หลานเยี่ยผงกหัวขึ้น หลับตาลง หันไปทางหลานเฟิง หลานเฟิงเห็นหลานเยี่ยมีท่าทีเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา จุมพิตลงไปบนริมฝีปากหลานเยี่ยทีหนึ่ง หลานเยี่ยถึงได้พูดต่อไปด้วยความพอใจ
“แหล่งข่าวที่ชิวอวี้ถือครองเอาไว้มีเต็มไปทั่วใต้หล้านี้ คิดจะทำเรื่องภายใต้ลมหายใจเขาไม่ง่ายนัก” หลานเยี่ยพูดไปมอง เล่นผมหลานเฟิงไปพลาง เล่นไปเล่นมาผมของหลานเฟิงก็พันกัน หลานเยี่ยคิดจะปลดออกอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ดึงจนหลานเฟิงขมวดคิ้วมุ่น
“ทางด้านชิวอวี้ไม่ต้องเป็นกังวล ก่อนหน้านี้สายสืบในจิ่วหลิวพูดว่า เส้นสายของตระกูลเยี่ยภายในจิ่วหลิวล้วนนิ่งเงียบแล้ว ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีกทั้งตอนที่หลานอวี่แย่งชิงสิทธิ์ทหารมานั้นก็ไม่ได้มีแรงขัดขวางใดทั้งสิ้น ดูท่าชิวอวี้คงจะปล่อยวางเป็นการชั่วคราว หรือบางทีอาจจะปล่อยวางแหล่งข่าวที่เขาถือครองไปตลอดกาล” หลานเฟิงจับมือหลานเยี่ย ตนเองค่อยๆ คลายผมออก
“เหตุใดต้องทำเช่นนี้”
“เพราะจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่ใต้หล้า ฉะนั้นเมื่อบรรลุถึงเป้าหมายหรือไร้ซึ่งความหวังก็จะยอมแพ้”
“ตอนนี้ภายในตระกูลเยี่ยยังคงมีข่าวคราวของชิวอวี้หรือไม่”
“ไม่มีแล้ว แม้ก่อนหน้านี้ชิวอวี้จะไม่ปรากฏหน้าออกมาให้เห็น แต่ยังคงมีข่าวอยู่บ้าง ตอนนี้ทางด้านราชสำนักบอกว่าฉีเย่ว์ก็หายตัวไปเช่นเดียวกัน ฉะนั้นข้าจึงเดาว่าพวกเขาน่าจะออกจากตระกูลเยี่ยแล้ว”
“ดูท่านายน้อยผู้นั้นจะปล่อยวางใครบางคนเสียแล้ว” หลานเยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงหึงหวง “เจ้าเป็นที่นิยมเช่นนี้ ข้าจะทำเช่นไร ดูท่าต้องคอยจับตาดูเจ้าแล้ว” หลานเยี่ยเอียงหัวมองหลานเฟิง ทั่วร่างระเบิดความหึงหวงออกมา
“ไม่ต้องกังวล ข้ารักเจ้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจ หากเจ้าพูดเช่นนี้ข้าเองก็ต้องพูดเช่นนี้กับเจ้าเหมือนกันใช่หรือไม่” หลานเฟิงมองหลานเยี่ยด้วยอาการเย้าหยอก
“ข้าทำไมหรือ ข้าไม่มีคนอื่นมาชอบเสียหน่อย”
“เช่นนั้นหรือ” หลานเฟิงหยิบถุงหอมถุงหนึ่งออกมาจากชั้นเสื้อผ้าที่อยู่ด้านข้าง นำเศษกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ภายในส่งให้หลานเยี่ย บนนั้นเขียนเอาไว้อย่างหนักแน่น พี่เยี่ย ใจข้าชื่นชอบท่าน หรูเอ๋อร์
หลานเยี่ยมองด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าจำไม่ได้ก็ไม่แปลก ตอนแรกถ้าไม่ใช่เพราะข้าหยิบถุงหอมใบนี้ไป เจ้าคิดจะทำเช่นไร”
“ยังจะทำเช่นไรได้เล่า ในอดีตข้าคงเห็นหรูเอ๋อร์เป็นน้องสาว อีกอย่างตอนนี้ข้าก็มีเจ้าแล้วมิใช่หรือ ยิ่งไม่มีทางไปตอบรับนางได้”
“ตอนนี้เจ้าคิดจะรับปากก็ไม่อาจสำเร็จแล้ว ตอนนี้นางผูกสมัครสานสัมพันธ์กับหลานเม่ยแล้ว” หลานเฟิงพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับเรียกความแปลกใจจากหลานเยี่ย หลานเฟิงกลับไม่บอกเขา
“ฉะนั้น พูดเข้าเรื่องกันเถิด ท่านประมุขตระกูล”
“ไม่มีแหล่งข่าวของชิวอวี้ นี่ยังไม่ง่ายที่จะทำ พวกเราไปราชสำนักรอดูละครฉากสนุก ดึงอวี่มั่วไปด้วย ทำเช่นนี้”
“ได้”
ตอนที่ 165 จวนที่ปรึกษา
หลานเฟิงติดต่อกับคนในราชสำนักไว้ก่อนแล้ว ฉะนั้นเมื่อหลานเฟิงและหลานเยี่ยไปราชสำนักจึงไม่โดนขัดขวางแม้แต่อย่างใด และยิ่งตอนนี้หลานเยี่ยก็เป็นลูกชายในนามของหลานอวี่ ในเมื่อบิดาในความทรงจำของหลานเยี่ยคือหลานอวี่ เช่นนั้นมู่หลีก็ต้องมีการบอกกล่าวหลานอวี่ไว้ก่อน
ในราชสำนักแบ่งออกเป็นที่พักอาศัยของขุนนางอาวุโส ที่พักขององค์ชาย และพระราชวัง ครั้งนี้พวกเขามีเพียงป้ายคำสั่งขั้นแรกของราชสำนักเท่านั้น ฉะนั้นยังต้องไปจวนที่ปรึกษาหาหลานอวี่ก่อน เพื่อให้เขาจัดการให้พวกเขาได้เข้าไปข้างใน แม้พวกเขาจะมีวิธีเข้าไปเป็นร้อยเป็นพันวิธี แต่ปลอดภัยเสียหน่อยก็ดีกว่า ไม่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
ตอนที่พวกเขาไปนั้นตรงไปที่จวนที่ปรึกษา หลานอวี่เสร็จจากว่าราชการก็รีบกลับมาในทันใด
ตอนที่หลานเยี่ยมาถึงหน้าประตูจวนที่ปรึกษายังไม่ทันได้รู้สึกว่ามีอะไรสวยงามวิจิตรอลังการ แต่รอจนเข้ามาข้างในแล้วก็ต้องอึ้งตะลึงไป
เมื่อเทียบกันแล้ว จวน หอ โรงเรือน ศาลาในตระกูลหลานนั้นแลดูธรรมดาจนเกินไป หลังจากผ่านเข้าประตูมาแล้วเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ภายในทะเลสาบเต็มไปด้วยดอกบัว กำลังออกดอกสวยงามน่ายล รอบข้างทะเลสาบเป็นต้นหลิ่วห้อยย้อย เขียวชอุ่มหนาแน่นแลดูมีพลังชีวิตมากนัก
ด้านข้างมีหินก้อนใหญ่ บนนั้นเขียนคำว่าทะเลสาบจิ้งซินไว้ จากนั้นตรงบริเวณมุมขอบของทะเลสาบมีศาลาอยู่หลังหนึ่ง ลักษณะไม่เหมือนกับศาลาทั่วไป ศาลานี้ใหญ่เป็นอย่างมาก อีกทั้งข้างในก็ยังมีชิงช้าที่ทำมาจากการร้อยเถาวัลย์ มีสมาชิกสตรีกำลังนั่งเล่นอยู่ตรงนั้น
รอจนเดินเข้ามาข้างใน หลานเยี่ยก็ได้เห็นภูเขาปลอม ภูเขาปลอมหลากหลายรูปแบบ หินทรงแปลกประหลาด ถูกจัดวางเอาไว้ตรงนั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเดินต่อไปข้างในถึงจะเห็นว่ามีสิ่งปลูกสร้าง
เนื่องด้วยภาพแวดล้อมที่สวยงาม สิ่งปลูกสร้างไม่ได้สร้างออกมาใหญ่โตมากมาย แต่งดงามประณีตกลับดูทรงสง่าเป็นอย่างมาก สีสันสดใสแต่ไม่แสบตา ทำให้คนเดินดูเพลินจนลืมทางกลับ
ต่อมาเป็นสวนดอกไม้ที่ล้อมรอบสิ่งปลูกสร้างไว้ หรือจะพูดว่าห้องถูกสร้างอยู่บนสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ทางเดินเล็กที่เงียบสงบและเขียวชอุ่มตัดผ่านสวนดอกไม้ มายังหน้าประตูห้องแห่งนี้
รอจนหลานเยี่ยเดินตามหลานอวี่มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เวลาก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว เห็นได้ว่าจวนที่ปรึกษาใหญ่โตมากเพียงใด
สถานที่หลานเยี่ยมาเยือนไม่ใช่เรือนหลัก แต่เป็นห้องลับของจวนที่ปรึกษา ห้องหลักนั้นเดินผ่านทะเลสาบมาไม่นานก็ถึงแล้ว
เมื่อมาถึงห้องลับ หลานอวี่ทำความเคารพหลานเยี่ยอย่างนอบน้อม หลานเยี่ยรีบประคองเขาขึ้นมา
“หลานอวี่แห่งตระกูลหลานเข้าพบท่านประมุข”
“รีบลุกขึ้นเถิด ตามเหตุผลแล้วท่านเป็นรุ่นพี่ข้าอีก! ตอนที่ท่านมาถึงราชสำนัก ข้าคงยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป! รีบลุกขึ้นเถิด”
“ข้านิ่งสงบอยู่ที่นี่เป็นเวลากว่ายี่สิบปี ในช่วงเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนระมัดระวังรอบคอบ ต่อให้เป็นเช่นนี้กลับยังไม่ทำเรื่องอะไรที่มีประโยชน์ต่อตระกูลหลาน ช่างสมควรตายยิ่งนัก!
“อย่าพูดเช่นนี้เลย หลายปีมานี้ที่ท่านอยู่ในราชสำนัก ถือว่าลำบากท่านแล้ว ครั้งนี้ที่ข้ามา จัดการเรื่องทั้งหลายจบท่านก็สามารถกลับไปยังตระกูลหลานได้ แน่นอนว่าอยากอยู่ที่นี่ต่อไปหรือกลับไปตระกูลหลาน ท่านเลือกได้เอง”
“ข้าขอเพียงสามารถจบชีวิตที่วุ่นวายนี้ ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุขกับครอบครัวก็พอแล้ว ไม่ปิดบังท่านประมุข ในเรือนหญิงชายทั้งหมดทั้งมวลบนล่างรวมกันมีกว่าสองร้อยชีวิต แม้จะมีเพียงภรรยาเดียวลูกเดียว แต่หลายปีที่ข้าอยู่ในราชสำนักก็รับเลี้ยงเด็กมากมาย ตอนนี้หลายปีผ่านไป พวกเขามีบางคนที่ออกเรือนทำธุรกิจก่อร่างสร้างตัว เพียงหวังว่าเรื่องหลังจากนี้อย่าได้ทำให้พวกเขาเป็นอะไรไปก็พอแล้ว”
“ท่านโปรดวางใจ ไม่ว่าจะเป็นคนตระกูลหลานหรือไม่ ขอแค่ท่านเอ่ยปาก จะต้องปกป้องพวกเขาอย่างรอบคอบเป็นแน่”
“มีประโยคนี้ของท่านก็พอแล้ว ขอแค่ท่านออกคำสั่ง จะให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น”
“เช่นนั้นต้องลำบากท่านแล้ว ข้าอยากไปวังอวี้หลิง พรุ่งนี้เช้าจะมีละครฉากใหญ่ ข้าอยากไปดูที่นั่น”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปจัดการ”
ตอนที่ 166 วังอวี้หลิง
พระชายาหลิ่วส่งคนออกมารับพาหลานเฟิงและหลานเยี่ยเข้าไป กลับลดความยุ่งยากให้หลานอวี่ไม่น้อย หลานเยี่ยที่ไม่เคยเข้าวังหลังมาก่อนแสดงออกถึงความแปลกใจ
หลังจากเข้าไปแล้ว พระชายาหลิ่วออกมารับพวกเขาด้วยตนเอง เพราะการมาเยือนค่อนข้างเป็นความลับ ฉะนั้นตกดึกพระชายาหลิ่วจึงส่งคนข้างกายที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปทั้งหมด อีกทั้งให้พวกเขาเข้ามาจากประตูหลัง
หลังจากเข้าไปในวังหลังแล้ว หลานเยี่ยแอบมองออกมาจากเกี้ยวทีหนึ่ง กลับไม่ได้มีอะไรที่น่าตกใจมากนัก บางครั้งจะมีขันทีสองสามคนเดินถือโคมไฟผ่านเกี้ยวไป แต่กลับเดินจากไปอย่างเร่งรีบ ไม่กล้ามองแม้แต่นิดเดียว เกี้ยวที่พวกเขานั่งมีสัญลักษณ์ของพระชายาหลิ่ว ฉะนั้นถึงได้เป็นเช่นนี้
ล้วนพูดกันว่าวังหลังมีคนมากมาย แต่ก็เป็นเช่นนั้นจริง ระหว่างทางที่หลานเยี่ยเดินทางผ่านล้วนสัมผัสได้ถึงสายตาหลากหลายคู่ อีกทั้งยังมาจากคนที่แตกต่างกัน สถานะที่แตกต่างกัน แม้จะบอกว่ามีบางสายตาที่หยุดทอดมองไม่อาจนับได้ แต่ที่สำคัญคือคนเขาเหล่านี้ล้วนมากฝีมือ
ภายในเกี้ยวหลานเฟิงเห็นหลานเยี่ยที่นั่งไม่นิ่งขยับไปมา แต่กลับไม่รบกวน ให้เขาขยับตัวต่อไป หลานเฟิงใช้พลังกระแสวิญญาณตัดขาดสถานการณ์ทั้งหมดภายในเกี้ยว ให้คนนอกไม่สามารถลอบมองสถานการณ์ข้างใน
เกี้ยวหยุดลง พระชายาหลิ่วออกมาต้อนรับพวกเขาให้ลงมา
“ท่านประมุข ถึงแล้ว” หลานเยี่ยลงมา เห็นว่าพวกเขาไม่ได้อยู่บนพื้น แต่อยู่ชั้นใต้ดิน
“ที่นี่คือที่ใด”
“ที่นี่คือชั้นใต้ดินของวังอวี้หลิง สายตาตระกูลเยี่ยมากเกินไป เกรงว่าท่านประมุขออกไปจะถูกเปิดเผยและได้รับบาดเจ็บ ฉะนั้นจึงให้ท่านประมุขมารอที่นี่ก่อน สำหรับเรื่องอื่นขอเพียงท่านประมุขสั่งการ หลานหลิงย่อมต้องจัดการ”
หลานเยี่ยมองสตรีที่อายุเกือบสี่สิบปีคนนี้ แต่ความสวยงามในตอนนั้นกลับไม่ลดลง อีกทั้งยังมีความเฉียบคมและคล่องแคล่ว
“หากข้าอยากให้ทหารขึ้นปฏิวัติ เจ้ามีตัวเลือกที่เหมาะสมมาจัดการราชสำนักหรือไม่”
“ข้ายังคงคิดว่าหลานอวี่น่าจะดีกว่า อย่างไรเขาก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับราชสำนักที่สุด”
“หากข้าให้อวี่มั่วเข้ามาสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ต่อเล่า” หลานเยี่ยเอ่ยปากสอบถามคำถามนี้ต่อพระชายาหลิ่ว พระชายาหลิ่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอมจำนน จุดอ่อนของพระชายาหลิ่วก็คืออวี่มั่ว
“ที่ท่านประมุขเอ่ยปากเช่นนี้ หรือท่านที่ปรึกษาแคว้นจะไม่ดีเช่นนั้นหรือ เหตุใดต้องให้อวี่มั่วมารับมือ”
“ข้าคุยกับหลานอวี่แล้ว แต่คำพูดของข้ายังไม่ทันออกจากปากก็ถูกเขาปฏิเสธ อีกทั้งหลายปีมานี้อวี่มั่วช่วยข้าดูแลหล่านเย่ว์ แล้วจะไม่ใช่คนมากความสามารถ ฉลาดเฉลียวได้อย่างไร”
“แน่นอน หากท่านไม่ยอมก็ไม่เป็นอะไร”
“หลานหลิงยินยอมเพื่อตระกูลหลาน ขอเพียงท่านประมุขพูด ข้าย่อมต้องแจ้งให้อวี่มั่วสืบทอดตำแหน่ง”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง เจ้าเพียงจัดการเรื่องเดียวก็พอแล้ว หลังจากจัดการเสร็จ เจ้าสามารถเป็นไทเฮา จากนั้นก็เสพสุขไปกับเกียรติยศเงินทองได้ต่อไป สำหรับจะทำเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”
“หลานหลิงน้อมรับ”
รอจนพระชายาหลิ่วจากไป หลานเฟิงถามหลานเยี่ยว่าทำไมให้อวี่มั่วสืบทอดตำแหน่ง
“เพราะจุดประสงค์ของพวกเราไม่ใช่การครอบครองใต้หล้า แต่เพราะทำเรื่องหนึ่งให้ชัดเจน หาคำตอบบางอย่าง เช่นนั้นหลังจากนี้ใต้หล้าจะจัดการดูแลอย่างไรก็ถือว่าเป็นปัญหา ดังนั้นจำเป็นต้องหาคนที่เหมาะสมมาผู้หนึ่ง คนที่มีเสน่ห์และความสามารถนี้จำต้องเป็นอวี่มั่วอย่างไม่ต้องสงสัย”
“แม้พระชายาหลิ่วจะรับปาก แต่ไม่แน่ว่าอวี่มั่วจะรับปาก”
“เขาจะรับปากหรือไม่ไม่สำคัญ พระชายาหลิ่วรับปากก็พอแล้ว คงต้องรีบร้อนจนต้องเชิญเขาเข้ามาตั้งแต่ก่อนพรุ่งนี้มาเยือน” หลานเยี่ยหัวเราะร้าย
หลานเฟิงกลับยิ่งไม่เข้าใจว่าหลานเยี่ยคิดทำอะไร อยู่ในจวนที่ปรึกษาไม่ดีเช่นนั้นหรือ จำต้องเข้ามายุ่ง เรื่องที่ให้อวี่มั่วสืบทอดตำแหน่งก็เช่นกัน แต่ขอแค่เขามีความสุขจะทำเช่นไรก็ดีทั้งสิ้น
หลังจากนั้นผ่านมาหลานเฟิงถึงได้เข้าใจและเอ่ยชื่นชมการกระทำอันชาญฉลาดของหลานเยี่ย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น