(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 158-173

 ตอนที่ 158 ใครคิดจะฆ่าฉันได้ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างๆ เห็นเขาขมวดคิ้วไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะว่าเมื่อคืนได้ยินเจียงมู่เฉินบอกว่าวันนี้มีตัดริบบิ้น ดังนั้นเขาจึงเบนมาสนใจเรื่องนี้ด้วยเป็นพิเศษ 


 


 


           เขาอยู่ที่บริษัทก็ดูถ่ายทอดสดตามไปด้วยตลอด จนกระทั่งหลังจากเจียงมู่เฉินโดนซังจิ่งผลักล้มกะหันทัน ภาพในจอก็มั่วยุ่งเหยิงกันไปหมด จากนั้นก็ไม่เห็นเงาของเจียงมู่เฉินอีก 


 


 


           ในใจเขาเป็นห่วงจนรีบวิ่งบุ่มบ่ามไปที่งานตัดริบบิ้น ที่นั่นเกิดจลาจลขึ้นฉับพลัน แล้วเจียงมู่เฉินก็ไม่อยู่ด้วย 


 


 


           ระหว่างเดินทางไป ซือเหยี่ยนไม่รู้ว่าตัวเองใช้อะไรหล่อเลี้ยงสภาพจิตใจให้พุ่งตรงไปโรงพยาบาลได้ เขากลัวมาก……ว่าเจียงมู่เฉินจะหลบไม่ทัน กลัวมากว่าคนที่บาดเจ็บจะเป็นเจียงมู่เฉิน 


 


 


           เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด แม้แต่โอกาสจะช่วยเขาก็ไม่มีให้ตัวเอง 


 


 


           ยังดีที่ไอ้หมอนี่ปลอดภัย ไม่อย่างนั้นซือเหยี่ยนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะทำเรื่องอะไรออกมาได้บ้าง 


 


 


           เขาเข้าไปดูที่เกิดเหตุพร้อมกับเจียงมู่เฉิน ดูกันไปรอบหนึ่ง มีคนจัดการเคลียร์เคลียร์พื้นที่ในทุกบริเวณเรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินมองดูโดยละเอียด ก็หาเบาะแสที่ประโยชน์ไม่เจอ สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วเอ่ย “ไปกันเถอะ กลับกันไปก่อน พ่อแม่ฉันคงจะรอฉันอยู่ที่บ้านแล้ว” 


 


 


           จนมาถึงที่บ้านตระกูลเจียง คุณพ่อเจียง คุณแม่เจียงนั่งรอที่ห้องรับแขกแล้ว เมื่อเห็นเจียงมู่เฉินเดินเข้ามา ก็โผตัวเข้าหาอย่างตื่นตระหนก 


 


 


           “เฉินเฉิน ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม” ดวงตาคู่นี้ของคุณแม่เจียงเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา จับเจียงมู่เฉินไว้แน่น 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้ว่าเรื่องของตัวเองทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแล้ว แต่หลังจากที่เข้ามาข้างในถึงได้พบว่าตัวเองคิดง่ายเกินไปแล้ว 


 


 


           ท่าทางราวกับว่าจะล้มหายตายจากกันไปตลอดของแม่เขาทำเขาตกใจกลัวแล้ว 


 


 


           “ผมไม่เป็นไรครับ ซังจิ่งช่วยผมเอาไว้” 


 


 


           คุณแม่เจียงไม่ฟัง ดึงตัวเขามาดูอยู่นานสองนาน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียวแล้ว ถึงได้หยุดลง 


 


 


           “เคราะห์ดีๆ ถ้าลูกเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แม่จะอยู่ยังไงลูก” 


 


 


           สีหน้าที่คร่ำเคร่งของคุณพ่อเจียงค่อยๆ ผ่อนคลายลงแล้ว เขายื่นมือไปตบไหล่เจียงมู่เฉินเบาๆ “แกไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” 


 


 


           “ขอโทษครับที่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง” 


 


 


           คุณพ่อเจียงส่ายหัว “ฉันกับแม่แกก็มีแค่แกเป็นลูกชายคนเดียว ไม่ห่วงแก แล้วจะห่วงใคร โอเค ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็รีบไปกินข้าวกันเถอะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ ตอนนี้เองถึงได้เดินเข้าห้องอาหารด้วยกันกับซือเหยี่ยนสักที 


 


 


           ขณะกินข้าวกันอยู่ คุณแม่เจียงมองเจียงมู่เฉินอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าจู่ๆ เขาจะหายไปต่อหน้าต่อตัวเอง 


 


 


           เจียงมู่เฉินตามองแล้วรู้สึกใจหายทีหลัง ถ้าตอนนั้นซังจิ่งไม่ช่วยเขาไว้ เขาก็คงจะไม่มีหนทางได้มานั่งอยู่ที่นี่กินข้าวกันแล้ว 


 


 


           “ฉันได้ยินว่าในที่เกิดเหตุมีทีมงานคนหนึ่งเสียชีวิตคาที่ใช่ไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “ใช่ครับพ่อ ระหว่างทางไปโรงพยาบาลช่วยชีวิตนั้น ก็มีประกาศว่าเสียชีวิตแล้ว” 


 


 


           คุณพ่อเจียงเอ่ยอย่างไตร่ตรอง “เรื่องนี้แกจัดการด้วยตัวเองแกเองเลย ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นในพิธีตัดริบบิ้นของตระกูลเจียงเรา จึงจำเป็นต้องมีการชี้แจง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “เดิมทีผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” 


 


 


           “แล้วก็ซังจิ่งทางนั้น เจียดเวลาไปขอบใจเขาสักหน่อยนะ ถ้าไม่ได้เขาเป็นคนช่วยแก เกรงว่าจะเลวร้ายกันไปยิ่งกว่านี้” 


 


 


           ถึงแม้ว่าเจียงมู่เฉินจะไม่เต็มใจจะพบซังจิ่งอีก แต่ครั้งนี้ซังจิ่งมีบุญคุณกับเขาจริงๆ เรื่องนี้เขาทำเป็นไขสือไม่ได้ 


 


 


           “พ่อ พ่อวางใจเถอะ ผมจัดการเองได้” 


 


 


           ซือเหยี่ยนก็เอ่ยปากด้วย “ถ้ามีอะไรต้องการให้ผมช่วย บอกผมได้ตลอดเลยนะครับ” 


 


 


           คุณพ่อเจียงพยักหน้าด้วยความพอใจ “งั้นก็รบกวนเสี่ยวเหยี่ยนด้วยแล้วกัน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มรับ “ไม่รบกวนหรอกครับ สมควรอยู่แล้ว” 


 


 


           ‘ช่วยแฟนตัวเอง เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ต่อให้เจียงมู่เฉินไม่พูด เขาก็สามารถช่วยได้ทั้งนั้น’ 


 


 


           อาบน้ำเสร็จออกมา เจียงมู่เฉินยืนอยู่ที่ระเบียงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ซือเหยี่ยนเช็ดหยดน้ำบนผมอย่างลวกๆ แล้วเดินตามเข้าไป 


 


 


           เขายืนพิงอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน เอียงคอมองเจียงมู่เฉินด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นไรไป กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ หมุนตัวหันกลับมาพิงระเบียง “นายว่าใครคิดจะฆ่าฉัน” 


 


 


            


 


 


  ตอนที่ 159 ใช้ปากป้อนดีกว่า 


 


 


           “ไม่กี่ปีมานี้ถึงคุณจะก่อเรื่องไม่น้อย แต่ไม่น่าจะถึงขั้นที่ทำให้คนมีใจอยากจะฆ่าคุณได้” 


 


 


           “นายว่าใครก่อเรื่องไม่น้อย” เดิมทีเจียงมู่เฉินคิดว่าอีกฝ่ายจะคิดอวยเขาสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่จะเปลี่ยนมาเหน็บแนมเขาแทน 


 


 


           “วีรกรรมของคุณชายน้อยเจียงไม่กี่ปีมานี้ คงไม่ต้องให้ผมพูดหรอก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเสียหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนไม่ยี่หระอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ร้ายแรงไร้มนุษยธรรมนี่   


 


 


           เส้นตายของเขายังสูงมากอยู่ 


 


 


           “สูบบุหรี่ไหม” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซือเหยี่ยนหยิบบุหรี่ออกมา 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองแวบหนึ่ง ยังอยากสูบอยู่บ้างจริงๆ 


 


 


           “เอา แต่ว่า นายช่วยฉันหน่อย” เขายังจำเรื่องที่ซือเหยี่ยนบอกว่าเขาเป็น ‘ตัวก่อปัญหา’ ได้อยู่ 


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งมาใส่ไว้ในปาก เขากัดบุหรี่เล็กน้อยมองเจียงมู่เฉิน แค่เพียงเวลาสั้นๆ ยังดูน่าดึงดูดใจไม่เบา 


 


 


            แสงไฟฉายกระทบใบหน้าคมเข้มของซือเหยี่ยน เขาสูบเข้าเบาๆ แล้วปล่อยควันจางๆ ออกมา 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว นี่คือตัวเองจะสูบเองไม่คิดจะให้เขาเหรอ 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้ม กวักมือเรียกเขา 


 


 


           เจียงมู่เฉินขยับเคลื่อนตัว เข้าใกล้ซือเหยี่ยนอีกนิด เขาคิดว่าซือเหยี่ยนจะเอาบุหรี่ที่เพิ่งจะจุดไฟแล้วเมื่อครู่นี้ให้เขา แต่เจียงมู่เฉินคิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะสูบเข้าลึกๆ หลังจากนั้นเอาบุหรี่ลง ล็อกเอวเขาไว้ แล้วประกบปากเขาในทันใด 


 


 


           ควันบุหรี่เข้มข้นตลบอบอวนอยู่ในโพรงปากของคนทั้งคู่ แนบแน่นไม่อาจแยก 


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนเขาผลักติดผนังด้านหลังแล้วกดจูบลงไป 


 


 


           จนกระทั่งรสของใบยาสูบในปากเจือจางลง ซือเหยี่ยนถึงได้ปล่อยคนตรงหน้า เขาแนบชิดริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน ก้มหน้าหายใจหอบ “ผมคิดแล้วคิดอีก ว่าใช้ปากป้อนดีกว่า” 


 


 


           เจียงมู่เฉิน “…” นายนี่มันใช้ปากป้อนได้สมชื่อเสียงจริงๆ 


 


 


           ริมฝีปากก็โดนเขาค่อยๆ เคี้ยวจนชา ไอ้หมอนี่เป็นหมาเหรอ กัดเป็นขนาดนี้เชียว         


 


 


           “จู่ๆ นายมาจูบฉันทำไม” เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งอย่างเชิดๆ 


 


 


           ซือเหยี่ยนออกแรงกดริมฝีปากเขาเล็กน้อย แล้วงับเข้าไปหนักๆ “ตอนอยู่โรงพยาบาลก็อยากจะ ‘ทำ’ แบบนี้แล้ว” 


 


 


           ตอนที่เขาลุกลี้ลุกลนพุ่งตัวเข้าโรงพยาบาล พอเห็นเจียงมู่เฉินยืนอยู่คนเดียวหน้าห้องฉุกเฉิน เขาก็อยากจะกดกอดอีกคนไว้ในอ้อมอก แล้วมอบจูบอันร้อนแรงให้อีกฝ่าย 


 


 


           มีเพียงแค่เก็บคนๆ นี้ไว้ในอ้อมอกตัวเองเท่านั้น ถึงจะวางใจได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นเกี่ยวคอของเขา เอ่ยเสียงเล็ก “นายกลัวฉันตายเหรอ” 


 


 


           ได้ยินคำว่า ‘ตาย’ นัยน์ตาซือเหยี่ยนก็ดำดิ่งมืดมิดลง กัดปากเขาแรงๆ คำหนึ่ง “ต่อหน้าผม อย่าพูดคำว่า ‘ตาย’ ส่งเดช”  


 


 


           ครั้งนี้ที่ถูกเขากัด เจียงมู่เฉินรู้สึกเจ็บไม่เบา เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ คิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยเจียงจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วยังเอามาโอบรอบคอของซือเหยี่ยนอีก “แฟนของนายจู่ๆ ก็อยาก ‘ทำ’ นายอยากจะเติมเต็มความต้องการให้เขาไหม” 


 


 


           แววตาบาดลึกของซือเหยี่ยนกระทบลงใบหน้าของคนตรงหน้า เขาถอนหายใจเบาๆ ช้อนอุ้มคุณชายน้อยขึ้นมา “แฟนผมออกปากมาแล้ว จะไม่เติมเต็มให้ได้ยังไง” 


 


 


           พูดจบก็อุ้มเขาเข้าห้องไปวางลงบนเตียง เจียงมู่เฉินเห็นก็เรียนห้ามไว้ทันที “จู่ๆ ฉันก็อยากไปห้องน้ำ” 


 


 


           นัยน์ตาซือเหยี่ยนทอประกาย รู้สึกว่าข้อเสนอของเจียงมู่เฉินช่างเยี่ยมเหลือเกิน 


 


 


           เขางับอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง “คุณพูดเองนะ อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยกยิ้มยั่วเสน่ห์ นัยน์ตาดอกท้อภายใต้แสงไฟเปล่งแสงแวววับราวกับเม็ดอัญมณีอันเจิดจ้าแสนดึงดูดสายตาคน 


 


 


           “วางใจเถอะ คุณชายไม่เคยทำเรื่องที่ต้องมาเสียใจทีหลังอยู่แล้ว” 


 


 


           หลังจากซือเหยี่ยนได้รับการตอบกลับ ก็อุ้มเขาเข้าห้องน้ำไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขา ‘ทำ’ กันในห้องน้ำ ท่าทางของซือเหยี่ยนดูเร่งรีบอยู่ไม่เบา 


 


 


           เจียงมู่เฉินในคืนนี้ใจกล้าเป็นพิเศษ โอบรัดซือเหยี่ยนพันกายซือเหยี่ยนไม่ยอมปล่อย 


 


 


           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงงับลูกกระเดือกของซือเหยี่ยนเบาๆ เงยหน้าขึ้นไปก็คือใบหน้าหล่อเหลาได้รูปของซือเหยี่ยน อะไรเขาก็จำไม่ขึ้นใจแล้ว รู้แค่เพียงว่านาทีที่โดนซังจิ่งผลักล้มลงไป ในหัวเขาก็ฉายแต่ภาพใบหน้าของซือเหยี่ยน 


 


 


           เพียงชั่วพริบตานั้น เขามีอยู่แค่ความคิดเดียว ถ้าเขาตายไป ซือเหยี่ยนจะทำยังไง 


 


 


           ดังนั้นไม่ใช่ว่าซือเหยี่ยนเห็นเขาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วอยาก ‘ทำ’ แบบนี้ แต่เป็นเขาที่นาทีนั้นเห็นซือเหยี่ยนรีบเดินเข้ามาหาตัวเอง เขาก็อยากโผตัวเจ้าหาผลักซือเหยี่ยนล้มลงไปแล้ว 


 


 


           ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีพอสตินึกคิดอยู่บ้าง เขาเกรงว่าคงจะพุ่งตัวเข้าไปจูบเขาที่โรงพยาบาลไปแล้ว 



ตอนที่ 160 โดนกวนประสาทแต่เช้า 


 


 


           หลังเที่ยงคืน ซือเหยี่ยนถึงเพิ่งได้อุ้มเจียงมู่เฉินออกจากห้องน้ำ เจียงมู่เฉินเอ้อระเหยพิงกายอยู่บนเตียง คิดอย่างจริงจัง “ซือเหยี่ยน นายเหนื่อยทุกวันแบบนี้ ต่อไปแก่ตัวมาจะขาดทุนเอาง่ายๆ ใช่ไหมล่ะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนหน้าดำคร่ำเคร่ง “คุณนี่ชอบเป็นเดือดเป็นร้อนจริงๆ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินพลิกมานอนตะแคงข้างเลิกคิ้วใส่ซือเหยี่ยน “ที่จริงฉันคิดเพื่อนายแล้ว ที่จริงพวกเราสองคนมาสลับกันสักหน่อยก็ได้ ครั้งหน้านายนอนลง ฉันจัดการเองก็โอเคแล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “รอคุณจับผมกดลงได้เมื่อไหร่ ค่อยมาว่ากันเถอะ” 


 


 


           ตั้งหลายปีมาแล้ว หนทางการอยากผลัดเป็นรุกของเจียงมู่เฉินไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด สมัยนั้นที่คบกับเขาก็อยากจะผลัดเป็นรุกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม 


 


 


           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็นึกถึงเมื่อก่อน เพื่อแผนการใหญ่แผนกลับมาเป็นรุกแล้ว เจียงมู่เฉินจะขยับไม่ขยับก็แอบจู่โจมเขาตลอด แต่สุดท้ายทุกครั้งก็จะกลับมาโดนเขาจับกดอยู่ดี 


 


 


           นึกไม่ถึงว่าผ่านไปตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว จะยังไม่เข็ดอยู่อีก 


 


 


           ตอนนั้นเป็นรุกไม่ได้เลย ตอนนี้ยิ่งไม่มีหวังแล้ว นอกจากวันไหนสมองเขาเกิดช็อตแล้วยินดีที่จะนอนให้เจียงมู่เฉินวาดลวดลาย 


 


 


           ‘เพียงแต่ว่าสมองเขายังดีเยี่ยมอยู่เสมอ ดูท่าจะช็อตไม่ไหวเสียด้วย’ 


 


 


           …… 


 


 


           รุ่งเช้าวันต่อมา เจียงมู่เฉินก็ตื่นแล้ว เขาเห็นซือเหยี่ยนยังนอนหลับตาอยู่ข้างกาย ดูๆ ไปแล้วยังพออ่อนโยนกับเขาบ้าง 


 


 


           ‘แท้จริงแล้วมีเพียงแค่ซือเหยี่ยนยามนอนเท่านั้นถึงจะเป็นคน ยามไม่นอนก็เป็นสัตว์ดีๆ นี่เอง’ 


 


 


           เขากลัวเสียงอึกทึกจะทำให้ซือเหยี่ยนตื่น จึงลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง แต่ยังไม่ทันได้ลงไป มือโดนจับไว้เสียก่อน เจียงมู่เฉินหันกลับมาก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนลืมตามองเขา จะมีความง่วงสักนิดที่ไหนกัน 


 


 


           “นายตื่นก่อนอยู่แล้วใช่ไหม” เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว เสียแรงที่เขาอุตส่าห์ระมัดระวัง 


 


 


           ซือเหยี่ยนค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น “เดิมทียังอยากจะนอนอุ่นเครื่องต่อ แต่พอเห็นเฉินเฉินปีนลงจากเตียง อดใจไม่ได้เลยตื่นดีกว่า” 


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าทำไขสือของเขา รู้สึกมาตลอดว่าไอ้หมอนี่มักจะมีเจตนาไม่ดีแอบแฝง 


 


 


           “เอามือนายออกไป ฉันจะลงจากเตียง” 


 


 


           “ไม่ปล่อย นอกจากคุณจะจูบผม” 


 


 


           ‘เชี่ย! แม่ง!’ 


 


 


           ‘นี่เขาโดนกวนประสาทแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย’ 


 


 


           “จูบน้องสาวนายสิ ไสหัวไป” เจียงมู่เฉินระเบิดลง 


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างซื่อๆ “น่าเสียดายนิดนึงจริงๆ ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีน้องสาวให้คุณจูบเลย” 


 


 


           “นาย..” เจียงมู่เฉินขัดใจ “นายรู้ไหมว่านายนี่เรียกว่าอะไร” 


 


 


           “อะไร” 


 


 


           “นายนี่แม่งเรียกว่าจอมแถ จอมแถไง!” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูคนไม่ให้ความร่วมมือแล้วถอนหายใจเล็กน้อย นิ้วมือออกแรงดึงตัวคนนอนลงกับเตียง ไม่พูดไม่จาคร่อมทับอีกคนไว้ แล้วกดจูบลงไปหนักๆ 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่รู้ว่าถูกทำให้โมโหหรือถูกทำให้นิ่งเงียบ น้ำใสเอ่อล้นปริ่มเต็มนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ ช่างดูไร้เดียงสาไม่เบา 


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ปล่อยมือออก เจียงมู่เฉินรีบลงจากเตียง ยกเท้าถีบซือเหยี่ยนไปที “วันนี้นายอย่าพูดกับคุณชายจะดีที่สุด คุณชายกลัวว่าไม่ระวังพลั้งมือฆ่านาย” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่เดินเข้าห้องน้ำไป แล้วลูบจมูกเล็กน้อย โอ้…เฉินเฉินของเขาวันนี้โหดแต่เช้าเลย  


 


 


           ทั้งสองคนล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เดินตามกันลงบันไดมา เจียงมู่เฉินหน้าตาบูดบึ้งเหมือนกับไฟโกรธยังพลุ่งพล่านอยู่ ส่วนซือเหยี่ยนเชิดมุมปากขึ้น ราวกับแมวที่ได้ขโมยกินปลาเรียบร้อยแล้ว 


 


 


           คุณแม่เจียงจ้องมองคนสองคนที่สีหน้าอารมณ์ไม่สามัคคีกัน แล้วพิจารณาไตร่ตรองดูสักพัก ร้อยเรียงคำ ก่อนเอ่ยถามเสียงเล็ก “พวกลูกทะเลาะกันเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “หึ” อดกลั้นทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจไม่ได้ ไม่ใช่แค่ทะเลาะกันหรอก ใกล้จะตีกันอยู่แล้วโอเคไหม 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มเบาๆ มองคุณแม่เจียง “เมื่อกี้พูดผิดไปประโยคหนึ่งครับ เหมือนจะทำให้เฉินเฉินไม่พอใจแล้ว” 


 


 


           “เฉินเฉิน ลูกขี้น้อยใจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่พูดผิดไปประโยคเดียวแล้วจะเป็นไรไป ถึงขนาดต้องโกรธเสี่ยวเหยี่ยนเลยเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินโกรธแล้ว ชูนิ้วกลางใส่ซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างล่าง 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 161 นึกไม่ถึงว่าคิดจะแอบออกไปกิน 


 


 


           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ แอบกำนิ้วกลางที่ยื่นออกมาของเจียงมู่เฉิน สีหน้าไม่เปลี่ยน “ปัญหาอยู่ที่ผมเองครับ เฉินเฉินควรจะโกรธอยู่แล้ว” 


 


 


           คุณแม่เจียงถอนหายใจ “ถ้าเสี่ยวเหยี่ยนมาเป็นลูกชายน้าคงจะดีมากเลย รู้จักความขนาดนี้ เหวินฮุ่ยนี่โชคดีจริงๆ” 


 


 


           “น้าเจียงครับ เฉินเฉินก็รู้จักความมาก แม่ผมเองก็ชอบเขามาก” 


 


 


           คุณแม่เจียงเอามือค้ำคาง ไม่รู้ว่ากำลังนึกถึงอะไรอยู่ จู่ๆ ก็ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมา “แม่ว่าตอนนี้พวกลูกสองคนความสัมพันธ์ดีขนาดนี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองบ้านก็ยังดีมากด้วย แบบนี้ก็ให้พวกลูกสาบานเป็นพี่น้องกันซะเลย ตอนนี้ฮิตกันมากอยู่ไม่ใช่เหรอ” 


 


 


           เมื่อซือเหยี่ยนได้ยินคำว่า ‘พี่น้อง’ สองคำนี้ สมองก็อดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนี้ก็ชอบใจทันที เขายักคิ้วอย่างดีอกดีใจ “ใช่ๆๆ ผมคิดว่าความคิดนี้ดีมากเป็นพิเศษเลยครับ แม่มีลูกชายเพิ่มอีกคน ผมก็มีแม่เพิ่มอีกคน เพอร์เฟกต์” 


 


 


           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสตอนที่คุณแม่เจียงไม่ทันได้สังเกตถลึงตาใส่เจียงมู่เฉิน ให้เขาอย่าใส่ไฟอะไรเพิ่มเข้าไปอีกหลังจากนี้ พวกเขาสองคนเป็นคนรักกัน จะมาเปลี่ยนเป็นพี่น้องกันได้ยังไง 


 


 


           “จริงเหรอลูก งั้นวันหลังแม่จะพูดกับเหวินฮุ่ย ให้พวกลูกได้เป็นพี่น้องกัน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นคุณแม่เจียงที่แทบอยากจะพุ่งตัวไปบอกแม่เขาเรื่องให้พวกเขาสาบานเป็นพี่น้องกัน ก็อดจะยกมือขึ้นมากุมขมับไม่ได้  


 


 


           เจียงมู่เฉินลำพองใจ ใครใช้ให้นายแกล้งฉันทุกวัน ตอนนี้มีแม่ฉันจัดการลงโทษนายแล้ว 


 


 


           “น้าเจียงครับ ผมรู้สึกว่าไม่เหมาะเอามากๆ เลยครับ” ซือเหยี่ยนรีบใช้ความคิดจะหาเหตุผลอะไรดีมาใช้ข้ามผ่านด่านที่ผ่านได้ยากนี้ 


 


 


           คุณแม่เจียงมองซือเหยี่ยนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม “ไม่เหมาะสมตรงไหนเหรอจ๊ะ เสี่ยวเหยี่ยน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกัดฟัน ตัดสินใจขายพ่อตัวเองสักหน่อยแล้วกัน ให้พ่อออกหน้ารับแทนเขาไป 


 


 


           เขามองคุณแม่เจียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พ่อผมอยากอยู่สองต่อสองกับแม่ผมครับ ถ้าให้เฉินเฉินกลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่ผม ถึงตอนนั้นพ่อผมก็จะโดนแย่งความรักครับ” 


 


 


           คุณแม่เจียงแปลกใจ “ไม่หรอกมั้งจ๊ะ เขาขี้หึงขนาดนี้เชียว แต่จะว่าไปก็ใช่ ตั้งหลายปีมาแล้วยังขี้หึงมากๆ อยู่เลย” 


 


 


           เธอมองเจียงมู่เฉินทันที “ช่างเถอะๆ ลูกแม่อย่าไปรบกวนจะดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทกันแบบนี้ดีแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินโกรธจนกระอักเลือด ใช้พ่อตัวเองมาอ้าง ซือเหยี่ยนไอ้หมอนั้นช่างคิดได้ 


 


 


           แม้แต่เรื่องที่อาซือขี้หึงก็เอามาโพนทะนาข้างนอก เจียงมู่เฉินถอนหายใจ เลี้ยงลูกชายอย่างซือเหยี่ยน ซวยไม่เบาทีเดียว 


 


 


           คุณพ่อซือที่กำลังเที่ยวพักผ่อนอยู่บนเกาะเล็กๆ กับเหวินฮุ่ยจามขึ้นมาโดยฉับพลัน 


 


 


           เหวินฮุ่ยมองเขาแวบหนึ่ง “เป็นหวัดแล้วเหรอคะ” 


 


 


           คุณพ่อซือมองพระอาทิตย์ดวงใหญ่บนหัว ในใจคิด ไม่หรอกมั้ง อุณหภูมิที่นี่สูงถึงขนาดจะทำให้เขาเป็นหวัดแดดเลยเหรอ 


 


 


           “ไม่ควรจะใช่หวัดหรอก” เขาลูบคอที่เย็นขึ้นมา “หรือว่ามีคนพูดจาให้ร้ายผมลับหลังผมอยู่” 


 


 


           คุณพ่อซือไม่รู้ ว่ามีคนกำลังพูดจาให้ร้ายเขาแล้วจริงๆ คนที่เป็นตัวหลักในการพูดคือลูกชายแท้ๆ ของเขาเอง 


 


 


           …… 


 


 


           “นายนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ เอาพ่อนายมาอ้างออกมา เพื่อจะไม่ต้องมาเป็นพี่น้องกับฉัน” เจียงมู่เฉินถากถาง 


 


 


           “แล้วไง คุณอยากเป็นพี่น้องกับผมมากนักเหรอ” ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าอยากมาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ ตอนนี้ผมขับรถกลับไปบอกน้าเจียงก็ได้นะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “นายเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ถ้าคุณอยากเป็นพี่น้องกับผม ก็ฆ่าผมก่อนเถอะ ผมไม่มีธรรมเนียม ‘ทำ’ กับพี่น้อง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น รู้สึกว่าไอ้หมอนี่หน้าซื่อใจเ**้ยมเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเอาเรื่องออกกำลังกายกันบนเตียงกับเรื่องชีวิตมาข่มขู่เขา 


 


 


           “ไม่มีนาย ฉันหาคนอื่น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “คนอื่นทำให้คุณสบายได้อย่างที่ผมทำเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกัดฟัน “ลองดูเดี๋ยวก็รู้ คนที่ชอบคุณชายมีอยู่เยอะแยะ อย่างมากก็แค่ลองสักไม่กี่คนดู” 


 


 


           เขาทำให้ซือเหยี่ยนโกรธจนดวงตาดำคล้ำแล้ว ยังอยากจะไปลองกับคนอื่นอีก ยังอยากจะลองกับสักกี่คนกัน 


 


 


           เขากวาดสายตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง “คุณตัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไปเถอะ มีผมอยู่ ยังคิดจะแอบออกไปกินอีกเหรอ” 



ตอนที่ 162 แจ้งความไปเลย


 


 


           เขาไม่มีทางเหลือประตูไว้ให้เจียงมู่เฉินแอบออกไปกิน อย่าว่าแต่ประตูเลย แม้แต่หน้าต่างก็จะไม่มีให้


 


 


           เรื่องทำนองนี้ควรจะบีบคอให้ตายตั้งแต่อยู่ในเปลเด็กด้วยซ้ำ


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนเขาถลึงตาใส่ ก็ยักไหล่อย่างจนใจ กลัวแล้ว กลัวแล้ว แอบกินไม่ได้ ยังคิดไม่ได้อีกใช่ไหม


 


 


           เจียงมู่เฉินให้ซือเหยี่ยนมาส่งเขาที่สถานที่จัดงานตัดริบบิ้นเมื่อวาน เขาจะรีบไปจัดการเรื่องเมื่อวานนี้ก่อน กำลังจะลงจากรถ ซือเหยี่ยนก็เอ่ยถาม “ไม่ต้องการให้ผมช่วยเหลืออะไรจริงๆ เหรอ”


 


 


           “ถึงแม้ว่าฉันจะด้อยกว่านายแค่นิดเดียว แต่ก็ยังเก่งมากโอเคไหม ต้องให้นายมาช่วยทุกเรื่องหรือไง”


 


 


           เขายื่นมือไปปิดประตูรถ “โอเค นายรีบไปเถอะ ฉันยังมีธุระอยู่ ทำเสร็จแล้ว ฉันจะกลับไปเองนะ ไม่ต้องมารับฉัน”


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้ากำชับเตือนประโยคสองประโยค แล้วถึงได้ออกไป


 


 


           เจียงมู่เฉินไปสถานที่จัดงานตัดริบบิ้นเมื่อวานเพื่อหารถตัวเองก่อน จากนั้นถึงขับรถไปหลินไห่


 


 


           ทางด้านหลินไห่นั้น เพราะอุบัติเหตุเมื่อวานทำให้คนหวาดผวา มีคนอยู่ไม่น้อยกำลังวิพากษ์วิจารณ์ มีบางคนใจอยู่ไม่นิ่งแล้ว


 


 


           เจียงมู่เฉินเรียกคนที่อยู่จัดการที่เกิดเหตุเมื่อวานมาสอบถามสถานการณ์ตอนนี้ทั้งหมด


 


 


           “คุณชายเจียงครับ เรื่องเมื่อวานนี้การจัดการขั้นพื้นฐานดำเนินการไปพอประมาณแล้วครับ จะมีแค่เพียงเรื่องยุ่งยากอยู่สองเรื่องเท่านั้นครับ” ผู้จัดการผู้รับผิดชอบสถานที่เกิดเหตุ “เรื่องแรกคือทีมงานที่ได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิตเมื่อวาน เมื่อเช้าครอบครัวของเธอมาร้องเรียนครั้งหนึ่งแล้ว บอกว่าต้องการให้พวกเราให้คำตอบที่สมเหตุสมผลพอครับ”


 


 


           “เรื่องที่สองก็คือคนที่ก่อเหตุยิงปืนเมื่อวาน พวกเราตรวจสอบไม่เจอเลยครับว่าใครเป็นคนทำ”


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย “เรื่องครอบครัวของผู้เสียชีวิต ฉันจะจัดการเอง เรื่องนี้ยังไม่ต้องยุ่ง ส่วนเรื่องคนที่ยิงปืน…แจ้งความไปเลย”


 


 


           “แจ้งความเหรอครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองแวบหนึ่ง “ไม่ทำแบบนี้ แล้วนายว่าไง ตอนนี้ถูกสื่อตีข่าวไปแล้ว ไม่แจ้งตำรวจแล้วจะกดเรื่องนี้ไม่ให้แดงได้เหรอ”


 


 


           แววตาแฝงความเฉียบคม ผู้จัดการโดนมองแบบนี้ใจก็สั่นๆ ขึ้นมา บอกกันว่าคุณชายน้อยผู้นี้หัวแข็งเหวี่ยงวีนมากไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ค่อยจะเหมือนที่ได้ยินมาเลย


 


 


           “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงเย็น


 


 


           “ตอนนี้ยังไม่มีครับ มีแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จัดการต่อเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรต้องจัดการอีกครับ”


 


 


           “นายเอาที่อยู่ของครอบครัวของผู้เสียชีวิตมาให้ ฉันจะไปหาด้วยตัวเอง”


 


 


           ผู้จัดการเบิกตากว้าง “คุณคนเดียวเหรอ ไม่เหมาะหรอกมั้งครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว


 


 


           “ตอนนี้ท่าทีของครอบครัวของผู้เสียชีวิตรุนแรงมาก คุณไปคนเดียวจะไม่เป็นอันตรายเหรอครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ลูกสาวเสียชีวิตทั้งคน ท่าทีรุนแรงก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ เอาที่อยู่มาให้ฉันเถอะ ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง”


 


 


           ผู้จัดการได้ยินเจียงมู่เฉินพูดมาขนาดนี้ก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าตกลง ส่งที่อยู่ให้เจียงมู่เฉิน


 


 


           “งั้นฉันไปก่อน ทางนี้ก็รบกวนนายด้วยแล้วกัน”


 


 


           ผู้จัดการรีบส่งเจียงมู่เฉินออกไป หลังจากคุณชายเจียงพ้นจากที่นั่นแล้ว เขาถึงได้ปาดเหงื่อบนหน้าผาก คุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้นี้ทำให้เขาเปลี่ยนทัศนคติจริงๆ


 


 


           ออกจากหลินไห่แล้ว เจียงมู่เฉินนั่งในรถโทรหามั่วไป๋ทันที เดิมทีเขาควรจะได้ติดต่อมั่วไป๋ตั้งแต่เมื่อวาน สุดท้ายเพราะซือเหยี่ยนที่รีบตามมาหาที่โรงพยาบาล ทำเอาเขาลืมไปเสียสนิท


 


 


           “มีเรื่องอะไร”


 


 


           “ไป๋ไป๋ ถ่ายทอดสดเมื่อวาน นายดูแล้วใช่ไหม”


 


 


           “ดูแล้ว พิธีตัดริบบิ้นมีคนยิงปืน ตายหนึ่งเจ็บหนึ่ง” มั่วไป๋กุมขมับเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ที่นายพูดมาฟังดูแล้วเหมือนนายไม่ค่อยเป็นห่วงฉันยังไงไม่รู้ ฉันเกือบจะโดนคนฆ่าตาย นายก็ไม่รู้จักจะโทรมาปลอบใจฉันสักหน่อยเลย”


 


 


           “เมื่อวานยุ่งตลอด เลยไม่มีเวลาจะมาสนใจนาย”


 


 


           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง “นายนี่ตรงเกินไปไหม แค่เล่นละครสักหน่อยก็ไม่ยอมเลย?”


 


 


           “พอเถอะ เลิกพล่ามได้แล้ว ตอนนี้มีเวลาไหม มาหาฉันที่นี่หน่อย”


 


 


           เดิมทีเจียงมู่เฉินก็เตรียมจะไปหาเขาอยู่แล้ว ต้องมีเวลาเป็นธรรมดา “งั้นนายรอฉันนะ สักพักถึง”


 


 


           


 


 


ตอนที่ 163 ไม่ได้นอนทั้งคืน


 


 


           “ใช่แล้ว ช่วยฉันซื้ออะไรมากินหน่อยสิ แล้วซื้อยาแก้ปวดหัวมากล่องหนึ่งนะ”


 


 


           “หมายความว่าไง นายกินยาแก้ปวดทำไม”


 


 


           มั่วไป๋กุมขมับแล้ว “อย่าเพิ่งถามเลย รีบซื้อเข้ามาเถอะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินวางสายแล้วก็ขับรถไปซื้อของกินให้มั่วไป๋ ระหว่างรออาหารก็เข้าร้านขายยาไปซื้อยาแก้ปวด


 


 


           เจียงมู่เฉินถือยานั้นแล้วถอนหายใจ มั่วไป๋ไอ้หมอนี่ วันๆ จะกินยาแทนข้าวแล้ว จะโอเคได้ยังไง


 


 


           รอต่ออีกพักหนึ่ง ถึงได้ถือน้ำแกงและข้าวที่ห่อเรียบร้อยรีบรุดไปหามั่วไป๋


 


 


           “ทำไมสีหน้านายแย่ขนาดนี้ เมื่อคืนนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอ ไม่ได้นอนทั้งคืนเลย?” ทันทีที่เข้ามาในห้อง เจียงมู่เฉินก็ตกใจกับสีหน้าขาวซีดของมั่วไป๋เลย


 


 


           “ข้าวกับยาล่ะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินวางของลงบนโต๊ะ “กินก่อนเถอะ กินเสร็จค่อยคุยกัน”


 


 


           เขาวางของลงบนโต๊ะอาหาร ดันชามแกงต้มไก่ดำที่ตั้งใจให้คนเตรียมเป็นพิเศษไปอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ “อย่าเพิ่งกินข้าว ซดน้ำแกงก่อน”


 


 


           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ตรงข้าม กินข้าวไป พลางถอนหายใจไป “ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นเพื่อนนายตรงไหน จริงๆ แล้วเป็นแม่นมนายต่างหาก”


 


 


           ฟ้าสว่างจนฟ้ามืดต้องคอยเป็นห่วงว่าเขาได้นอนหลับดีๆ ไหม ได้กินข้าวดีๆ หรือเปล่า


 


 


           มั่วไป๋นั่งซดน้ำแกงอยู่ตรงนั้น หลังจากกินน้ำแกงหมดแล้ว ภายใต้การควบคุมดูแลของเจียงมู่เฉิน ก็กินข้าวต่อไม่น้อย เจียงมู่เฉินถึงได้พอใจ “บอกมา เมื่อก่อนตอนที่นายอยู่อเมริกา ไม่ได้อยู่ในสายตาฉัน นายก็ไม่กินข้าวใช่ไหม”


 


 


           มั่วไป๋ถอนหายใจ “ที่ไหนกัน นายไปแล้วก็จริง แต่นายก็หาคนมาดูฉันแล้วไม่ใช่เหรอ เขาเทียบกับนายติดเลย”


 


 


           เขาเก็บถ้วยลงไป “มาสิ ฉันมีอะไรให้นายดู”


 


 


           มั๋วไป๋ย้ายไปนั่งที่โซฟา ยื่นมือเปิดโน้ตบุ๊กที่เพิ่งปิดลงเมื่อครู่ “เมื่อวานฉันเห็นรายงานข่าวในทีวีแล้ว ก็รีบตรวจสอบวิดีโอจากกล้องวงจรปิดทั้งหมด ยังมีอีก สื่อมวลชนที่เชิญมาวันนั้นทั้งหมด ฉันเองก็คัดเลือกดูมาทั้งหมดแล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน “ที่นายไม่ได้นอนทั้งคืน ก็เพราะทำเรื่องพวกนี้เหรอ”


 


 


           “ฉันกลัวว่าช้าไปจะหาหลักฐานยาก” มั่วไป๋เปิดให้เขาดูต่อ “ฉันเข้าไปดูเว็บไซต์ของสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่มาในวันนั้น ยังมีอีเมลด้วย พบว่าวันก่อนเวลาตีสี่ ทั้งหมดได้รับอีเมลกันหนึ่งฉบับ”


 


 


           “แล้วอีเมลฉบับนั้นก็มีไวรัส หลังจากเปิดอ่านแล้วจะทำลายตัวเองทันที” พูดถึงตรงนี้ มั่วไป๋ก็ยกมุมปากขึ้น “แต่ว่า หลายปีมานี้ฉันเองก็ไม่ได้ทำเสียเปล่า สามนาทีก็กู้กลับคืนมาหมดแล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินทำเสียงกระดกลิ้น เขารู้ว่าเรื่องแฮกเกอร์ มั่วไป๋เก่งขั้นเทพ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเก่งกาจสามารถขนาดนี้


 


 


           “ดังนั้น เรื่องเมื่อวานนี้มีคนจงใจวางแผนมา ยิ่งกว่านั้นยังเตรียมการไว้ล่วงหน้าด้วย”


 


 


           สิ่งที่มั่วไป๋คาดคะเนไว้กับสิ่งเขาคิดเมื่อวานตรงกันโดยบังเอิญ ทั้งที่ไม่ได้พูดคุยกันมาก่อน เรื่องนี้ยิ่งเป็นการยืนยันเพิ่มน้ำหนักให้สิ่งที่เขาคิดเมื่อวานนั้นถูกต้องแล้วจริงๆ


 


 


           “แล้วอย่างอื่นล่ะ”


 


 


           “อีเมลแอคเคาท์นี้ถูกทำลายไปแล้ว” มั่วไป๋หยุดสักพัก “เพียงแต่ว่าฉันก็ลงไวรัสไว้แล้ว แค่คนนั้นที่ส่งอีเมลมาใช้อีเมลนั้นอีก ฉันก็จะรู้ถึงตำแหน่งของเขาได้ทันที”


 


 


           “แล้วถ้าเขาไม่ใช้อีเมลที่ถูกทิ้งไปแล้วนี่ล่ะ”


 


 


           ในเมื่อถูกทิ้งแล้ว ก็เป็นไปได้ที่จะไม่ใช้อีกเป็นธรรมดา ถ้าว่าจะมารอแบบนี้ จะไม่ได้อะไรหรือเปล่า


 


 


           “ตอนนี้นอกจากจะหาเบาะแสที่นี่เจอได้นิดหน่อยแล้ว นายยังมีวิธีที่ดีกว่านี้เหรอ” มั่วไป๋ย้อนถาม


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “ไม่มี”


 


 


           “ยังมีอีก ฉันตรวจสอบกล้องวงจรปิดโดยรอบบริเวณทั้งหมดแล้ว ดูภาพทั้งที่เกิดก่อนเกิดหลังทั้งหมดรอบหนึ่งไปแล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ตอนกลางคืนทำอะไรตั้งมากมายขนาดนี้ มิน่าล่ะนายถึงไม่ได้นอนทั้งคืน”


 


 


           เขาทั้งโกรธทั้งซึ้งใจ ถึงแม้จะรู้ว่ามั่วไป๋กำลังช่วยเขาอยู่ แต่พอคิดถึงว่าไอ้หมอนี่ยังไม่ได้นอนจนถึงตอนนี้ เพราะเอาแต่จ้องโน้ตบุ๊กจนถึงตอนนี้ ก็อดจะเห็นใจไม่ได้


 


 


           “นายไม่อยากรู้ผลที่ฉันได้จากการดูกล้องวงจรปิดเหรอ”


 


 


           “หมายความว่าไง”


 


 


           “ก่อนจะเกิดเหตุไม่มีใครน่าสงสัย” มั่วไป๋มองเขาแล้วเอ่ยเน้นทีละคำ “จะให้พูดกันก็คือคนที่ต้องการจะฆ่านาย อยู่ปะปนข้างในก่อนหน้านั้นแล้ว หรือจะว่าอยู่ข้างในตลอดก็ได้”



ตอนที่ 164 ผู้ต้องสงสัย


 


 


           เจียงมู่เฉินกุมขมับ รู้สึกว่าเรื่องนี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นทุกที ใครกันที่อยากจะลงมือสังหารเขาท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้ได้


 


 


           “นายมีผู้ต้องสงสัยอะไรไหม”


 


 


           มั่วไป๋หยิบแก้วน้ำด้านข้างขึ้นมาดื่มตามด้วยยาแก้ปวด หัวเขาปวดจนใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว


 


 


           “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ ที่ฉันตรวจสอบได้ก็มีแค่ข้อมูลพวกนี้”


 


 


           “โอเค นายรีบไปนอนเถอะ เรื่องนี้เองก็รีบร้อนไม่ได้ ก็เอาแบบนี้ชั่วคราวไปก่อนแล้วกัน”


 


 


           มั่วไป๋ยื้อตัวเองต่อไปไม่ค่อยจะไหวจริงๆ แล้ว เขาส่งต่อโน้ตบุ๊กให้เจียงมู่เฉิน “ข้างในนี้มีข้อมูลที่ฉันหามาทั้งหมด นายดูเองแล้วกัน ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ”


 


 


           “ได้ๆๆ รีบไปนอนเลยไป”


 


 


           หลังจากมั่วไป๋เข้าห้องนอนไป เจียงมู่เฉินก็ดูหลักฐานที่มั่วไป๋ค้นหาดูอย่างจริงจัง


 


 


           เพียงแต่ว่าถ้าอยากจะยืนยันว่าคนเบื้องหลังเรื่องนี้เป็นใครยังค่อนข้างยากมากทีเดียว เจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิเอนพิงบนโซฟา ตอนนี้เบื้องต้นจำกัดขอบเขตให้เล็กลงได้แล้ว คนที่อยากฆ่าเขาก็คือคนที่อยู่ในหลินไห่


 


 


           เพราะว่าหลินไห่คือโครงการที่เจียงเฉินกรุ๊ปและทางซังจิ่งทั้งสองฝ่ายร่วมลงทุนด้วยกัน คนในเจียงเฉินกรุ๊ปที่อยากจะฆ่าเขาควรจะไม่นับ ถ้าอย่างนั้นที่เหลือก็ควรจะมีแค่ซังจิ่งแล้ว


 


 


           ถึงเขาจะเคยสงสัยซังจิ่ง แล้วตอนนี้หลักฐานที่มีชี้นำไปทางซังจิ่ง แต่เจียงมู่เฉินกลับรู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากล


 


 


           เขารู้สึกมาตลอดว่าข้อมูลพวกนี้ถูกตรวจสอบพบค่อนข้างจะเร็วเกินไป เหมือนกับมีคนต้องการให้เขารู้ไม่มีผิด


 


 


           อีกอย่างซังจิ่งออกจะฉลาดขนาดนั้น ถ้าเขาเป็นคนทำจริงๆ ไม่มีทางที่จะทิ้งช่องโหว่ให้เห็นชัดเจนขนาดนี้ได้


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ดูท่าว่าเรื่องนี้ต้องสืบสวนดูบ้างแล้ว


 


 


           ยังมีเรื่องที่เขาโดนลักพาตัวไปก่อนหน้านี้อีก จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มีคนอยากจะฆ่าเขาด้วยหรือเปล่า


 


 


           แต่ว่าก็ไม่ค่อยจะถูกเสียทีเดียว ถ้าอยากจะฆ่าเขา ตอนที่จับเขามัดเอาไว้ ทำไมถึงไม่ลงมือไปเสียเลยตั้งแต่ตอนนั้น


 


 


           เขากุมขมับแล้ว ดูท่าว่าตัวเองจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับซังจิ่งตัวต่อตัวแล้ว บางทีเขาอาจจะให้กุญแจสำคัญกับเขาบ้างนิดหนึ่งก็ได้


 


 


           คอนโดมิเนียมของไป๋จิ่งเงียบสงบมาก ประตูห้องนอนบานใหญ่ปิดสนิท ดูเหมือนว่าเขาควรจะนอนหลับไปแล้ว เจียงมู่เฉินมองเวลาแล้วก็ย่องเงียบๆ ออกจากคอนโดมิเนียมไป


 


 


           ณ ซือกรุ๊ป สองวันติดกันมานี้ไป๋จิ่งดูค่อนข้างจะเบลออยู่ไม่เบา ซือเหยี่ยนเดินผ่านห้องทำงานของเขาก็กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาเอามือเท้าคาง ไม่รู้ว่าใจลอยอะไรอยู่


 


 


           ซือเหยี่ยนเคาะประตู “คิดอะไรอยู่”


 


 


           ไป๋จิ่งถอนหายใจ “คุณชายเจียงของนายไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


           เมื่อวานซือเหยี่ยนรีบเร่งออกไป แม้แต่ประชุมที่เหลือก็ไม่ประชุมกันแล้ว


 


 


           “ไม่เป็นไร ยังอยู่ดี”


 


 


           “คุณชายเจียงของนายไม่เป็นไร แต่ฉันเป็น”


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ยังคิดเรื่องที่นายกลายเป็นผู้ชายขายตัวอยู่เหรอ”


 


 


           ไป๋จิ่งโมโหแล้ว “นายนั่นแหละเป็นผู้ชายขายตัว ของฉันเขาเรียกว่าสมยอมกันทั้งคู่ โอเคไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “อืม ก็แค่หลังเสร็จกิจกัน กลายเป็นคนไม่รู้จักกัน แล้วเขายังให้เงินค่าลำบากนายอีกเท่านั้นเอง”


 


 


           อีกนิดไป๋จิ่งจะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว เป็นอย่างที่คิดจริงๆ สองคนนี้พูดจามาแต่ละที คนหนึ่งยิ่งทำให้คนอื่นอกแตกตายได้มากกว่าอีกคนหนึ่ง ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก


 


 


           “นายมาหาฉันมีธุระเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยักไหล่ “ไม่มีธุระอะไร”


 


 


           ไป๋จิ่งมองบนใส่ “ไม่มีธุระอะไรก็ใสหัวไปซะ ฉันไม่อยากให้นายมาสาดเกลือใส่แผลฉันต่อไปเลยสักนิด”


 


 


           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง แล้วออกจากห้องทำงานเขาไปทันที


 


 


           ไป๋จิ่งเอนพิงเก้าอี้คิดทบทวนอย่างจริงจัง นอนเสร็จเขาก็หนีไป จะง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน จู่ๆ ดวงตาก็ลุกวาวเป็นประกายขึ้นมา ในเมื่อมั่วไป๋ไม่เป็นฝ่ายมาหาเขาเอง เขาก็เป็นฝ่ายไปหาก็ได้ไม่ใช่เหรอ


 


 


           จะได้ไม่นั่งรอคอยโชคชะตาอย่างไร้เป้าหมายแบบนี้ ตามความคืบหน้าในตอนนี้ คาดว่ารอถึงปีหน้าก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นฝ่ายปรากฏตัวมาแน่


 


 


           ถานโจวใหญ่ขนาดนี้ เขายังไม่เชื่อหรอกว่าแม้แต่มั่วไป๋คนเดียว เขาจะหาไม่เจอ


 


 


           มั่วไป๋ที่ไป๋จิ่งกำลังโหยหาอยู่นั้น กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะไม่ได้นอนหลับมาทั้งคืน ไหนเลยจะรู้ว่าจะมีคนที่คิดจะพลิกแผ่นดินถานโจว เพื่อตามหาเขาให้พบ  


 


 


 


 


ตอนที่ 165 ครอบครัวของผู้เสียชีวิต


 


 


           เจียงมู่เฉินเดินทางไปตามที่อยู่ที่ได้รับมา จนไปเจอตำแหน่งที่อยู่ของครอบครัวของผู้เสียชีวิต เป็นอาคารชุดค่อนข้างจะดูเก่าแก่ ใกล้กับบริเวณเมืองเก่า


 


 


           เขาจอดรถอยู่ใต้ตึก หยิบมือถือขึ้นมาดูอีกที ตรวจสอบที่อยู่ให้แน่ใจอีกครั้งว่าถูกต้องแล้ว ถึงได้เปิดประตูลงจากรถเดินเข้าไป


 


 


           บ้านครอบครัวของผู้เสียชีวิตอยู่ชั้นสามของตึกนี้ เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตู ยื่นมือไปเคาะประตู เพียงไม่นานประตูก็ถูกเปิด


 


 


           “แกเป็นใคร!” ดูจากอายุแล้วควรจะเป็นพ่อแม่ของผู้เสียชีวิต ยืนอยู่ตรงทางเข้า มองเขาด้วยสายตาเย็นชา


 


 


           “สวัสดีครับ ผมเจียงมู่เฉินเป็นผู้รับผิดชอบโครงการหลินไห่” เขาเพิ่งพูดประโยคนี้ออกมา คนข้างในก็พุ่งตัวออกมา


 


 


           “โครงการหลินไห่…พวกแกนี่เอง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกแก ลูกสาวจะตายได้ยังไง” แม่ของผู้เสียชีวิตผมยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนว่าคงจะร้องไห้มานานมากแล้ว “พวกแกคืนลูกสาวฉันมา! เอาลูกสาวฉันคืนมาให้ฉัน!”


 


 


           “แกมาที่นี่ทำไม พวกเราไม่ต้อนรับแก” พ่อของเธอกลับแสดงออกอย่างเรียบเฉย เพียงแต่ว่าท่าทีไม่ค่อยดีเท่าไหร่


 


 


           “เรื่องของลูกสาวคุณ ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ ทางเราเองก็คาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้” เจียงมู่เฉินหยุดสักพัก “เนื่องจากคุณหวังเกิดอุบัติเหตุจากกิจกรรมงานตัดริบบิ้นของหลินไห่ ทางเราจะแสดงความรับผิดชอบอยู่แล้วครับ ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้ครับ”


 


 


           “ความรับผิดชอบ? แกพูดมาก็น่าฟัง แกคิดจะรับผิดชอบยังไง ลูกสาวฉันมีแค่ชีวิตเดียวนะ”


 


 


           “สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหวัง ผมตลอดจนเจียงเฉินกรุ๊ปต่างก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง คนตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงทำได้แค่มอบเงินชดเชยให้ก้อนใหญ่ นอกจากนี้หากต้องการการชดเชยอย่างอื่น พวกเราจะนำไปพิจารณาชดเชยให้ได้ครับ”


 


 


           คุณแม่หวังได้ยิน อารมณ์ก็เดือดขึ้นมาทันที เธอรีบผลักเจียงมู่เฉินออกไป “แกคิดว่าแค่พวกแกมีเงินเน่าๆ นั่นแล้วจะน่าสรรเสริญเหรอ จะชดเชยอะไร ฉันก็ไม่เอาทั้งนั้น ขอเพียงแต่แกทำให้ลูกสาวฉันมีชีวิตกลับมาได้”


 


 


           “ขอโทษครับ เรื่องนี้ผมทำไม่ได้จริงๆ”


 


 


           “ทำไม่ได้แล้วแกมาพูดอะไรอยู่ที่นี่ ฉันจะบอกแกไว้ ไม่มีอะไรจะพูดกันได้แล้ว วันนี้พวกแกไม่ได้ให้คำตอบที่น่าพอใจกับพวกเราก็ไม่ปล่อยบริษัทพวกแกไป ฉันจะต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้ลูกฉันให้ได้”


 


 


           พูดประโยคนี้จบ ประตูก็ถูกปิดลงด้วยแรงมหาศาลจนวงกบประตูสั่นคลอน


 


 


           เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินไปบ้านคนอื่นแล้วโดนตอกหน้าหงาย ก่อนหน้านี้เขาเองก็คาดการณ์มาแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าอารมณ์ของพวกเขาจะเดือดดาลกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก


 


 


           เขามองประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดสนิท แล้วหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถ


 


 


           การสัญจรไปมาวันนี้ได้ฆ่าเวลาไปไม่น้อย ท้องฟ้ามืดลงแล้ว เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ในรถถอนหายใจ รออีกไม่กี่นาทีถึงได้ขับรถแล่นออกไป


 


 


           มีรถคันหนึ่งจอดหลบมุมข้างๆ อยู่ไม่ไกลนัก เซวียยางนั่งอยู่ที่นั่งคนขับมองดูเจียงมู่เฉินขับรถออกไป ก็อดจะเอ่ยแซวไม่ได้ “ดูท่าว่านายจะเดาได้แม่นจริงๆ แม่นว่าวันนี้เขาจะมาได้”


 


 


           ซังจิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาจับจ้องรถของเจียงมู่เฉินอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาแล่นรถออกไปไกลลิบตาแล้วถึงเบนสายตากลับมา


 


 


           “แค่คาดคะเนเท่านั้นเอง” แค่ที่ตัวเองเดาแม่นนิดหน่อยเฉยๆ ก็เท่านั้นเอง


 


 


           “นายไม่กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดว่าเรื่องนี้นายเป็นคนทำเหรอ”


 


 


           “กลัวว่าเขาจะคิดไม่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ” นัยน์ตาซังจิ่งฉายแววความรู้สึกซับซ้อน “ถึงจะไม่มีอะไรที่เชื่อถือได้ แต่ว่าเจียงมู่เฉินไม่สงสัยฉันได้แน่นอน”


 


 


           “ทำไมเหรอ ภาพจำของเขาที่มีต่อนายไม่ดีมาตลอดเลยนะ”


 


 


           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ลางสังหรณ์ อีกอย่างเจียงมู่เฉินฉลาดกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก”


 


 


           “คนที่ลงมือครั้งนี้ นายตรวจสอบออกมาได้หรือยัง” เซวียยางค่อนข้างจะให้ความสนใจเรื่องนี้อยู่


 


 


           “ยัง แต่ว่าควรจะหนีความรับผิดชอบจากเขาไม่พ้นหรอก”


 


 


           “เขาเหรอ” เซวียยางเลิกคิ้ว “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง เรื่องของเจียงมู่เฉิน เบื้องบนส่งให้นายแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาต้องเข้ามาร่วมอีก”


ตอนที่ 166 กุญแจสำคัญดอกใหม่


 


 


           ซังจิ่งถอนหายใจ “ใครจะรู้ล่ะ เขาคงจะเบื่อไม่มีอะไรทำมั้ง”


 


 


           “แต่ว่า ถ้าเป็นเขาทำจริงๆ เกรงว่าเรื่องนี้พวกเจียงมู่เฉิน ต่อให้จะสืบจะตรวจสอบยังไง ก็หาอะไรออกมาไม่ได้หรอก”


 


 


           เหมือนซังจิ่งจู่ๆ ก็คิดถึงอะไรขึ้นมาได้ เขาเอ่ยปากขึ้น “ช่วยฉันนัดเขาหน่อย ฉันจำเป็นต้องเจอเขา”


 


 


           “นายแน่ใจ”


 


 


           “แน่ใจ”


 


 


           เซวียยางเห็นเขาพูดแบบนี้ก็พยักหน้ารับ “ได้ ฉันจะลองช่วยนายนัดดู เพียงแต่ว่าเขาคนนี้นิสัยใจคอแปลกพิลึกคน ไม่แน่นอนว่าเขาจะมาเจอนายได้”


 


 


           “ลองนัดดูเถอะ”


 


 


           ……


 


 


           กว่าเจียงมู่เฉินจะกลับมาบ้านตระเจียง ซือเหยี่ยนก็กลับมาแล้ว เขาขึ้นชั้นบนไปก็เห็นซือเหยี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เจียงมู่เฉินเหวี่ยงตัวเองลงเตียง หลับตาพักกายพักใจ


 


 


           “เป็นไรไป เกิดเรื่องอะไรเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”


 


 


           ซือเหยี่ยนปิดเอกสารในมือลง แล้วเดินเข้าไป เขานั่งลงข้างเตียง มองเจียงมู่เฉินที่นอนหลับตาอยู่ “โดนครอบครัวของผู้เสียชีวิตปฏิเสธมาใช่หรือเปล่า”


 


 


           “อืม ฉันไปมาแล้วรอบหนึ่ง แต่อารมณ์พวกเขาเดือดดาลเกินไป ไม่ยอมรับวิธีชดเชยที่ฉันบอกเลยสักนิด”


 


 


           ระหว่างทางที่เขากลับมา ก็ครุ่นคิดอยู่ตลอด ว่าจะทำอย่างไรถึงจะแก้ไขปัญหานี้ได้ ถึงอย่างไรเหตุสุดวิสัยครั้งนี้ที่ถานโจว มีคนให้ความสนใจไม่น้อย ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้จัดการอย่างถูกต้องเหมาะสม ต้องเป็นที่โพนทะนาไปทั่วเป็นธรรดา


 


 


           “ผมมีคำแนะนำอันหนึ่ง นายอยากฟังไหม” ซือเหยี่ยนลองถามหยั่งเชิง


 


 


           เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้นทันที ก่อนจะยันตัวขึ้นมานั่ง “คำแนะนำอะไร”


 


 


           “คุณไปตรวจดูครอบครัวของผู้เสียชีวิต ระยะนี้มีอะไรผิดปกติไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้าง “หมายความว่าไง”


 


 


           “คุณไปตรวจดูก็จะรู้เอง” ซือเหยี่ยนไม่ยอมจะบอกไปมากกว่า ถึงแม้ว่าเจียงมู่เฉินกับเขาจะเป็นคนรักกัน แต่เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็เกี่ยวโยงไปถึงกรุ๊ปของสองตระกูล เขาพูดออกไปตรงๆ ไม่ค่อยได้ มันชัดเจนเกินไป


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินซือเหยี่ยนพูดมาแบบนี้ รู้สึกว่าลงมือสืบจากฝั่งนี้ดูอาจจะเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งก็ได้ อีกอย่างยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกเขามองข้ามตลอด


 


 


           ถ้าไม่ใช่เพราะซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา บางทีเขาก็ยังคงคิดไม่ออก


 


 


           เมื่อตอนบ่าย อารมณ์คุณแม่เจียงเดือดดาลขนาดนั้น เป็นแม่ที่เสียลูกสาวคนหนึ่งไปจริงๆ แต่ท่าทีของคุณพ่อหวังไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าผู้ชายคนหนึ่งจะไม่ค่อยเผยสีหน้าอารมณ์ออกมา แต่ไม่ถึงขนาดว่าจะว่างเปล่าขนาดนั้น


 


 


           เขายังจำได้ตอนที่เขาบอกว่าตัวเองมาจากโครงการหลินไห่ ความเกลียดชังในแววตาของคุณพ่อหวังที่ควรมีก็ไม่มีเลยสักนิด


 


 


           นี่มันไม่ควรเป็นปฏิกิริยาของคนเป็นพ่อคนหนึ่ง


 


 


           “คิดถึงอะไรอยู่” ซือเหยี่ยนเอนกายพิงด้านข้างมองดูเจียงมู่เฉินที่เปลี่ยนสีหน้ากลับไปกลับมา


 


 


           เจียงมู่เฉินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายให้ซือเหยี่ยนฟังรอบหนึ่งโดยละเอียดครบถ้วน รวมถึงการคาดคะเนของตัวเองด้วย “ดังนั้นตอนที่นายพูดมาเมื่อกี้ ให้ฉันตรวจดูว่าครอบครัวของเขาช่วงนี้มีสถานการณ์อะไรพิเศษหรือเปล่า จู่ๆ ฉันก็มีความคิดทำนองนี้ขึ้นมา”


 


 


           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลง เขาคิดทบทวนดูสักพัก “งั้นคุณก็เน้นตรวจสอบพ่อของเธอดู”


 


 


           ซือเหยี่ยนจุดประกายให้เจียงมู่เฉินขนาดนี้ ในใจเขาผ่อนคลายลงทันที เขาเงยหน้าไปทางซือเหยี่ยน ใช้นิ้วกวักเรียกเขา


 


 


           ซือเหยี่ยนเข้าไปใกล้ เจียงมู่เฉินเข้าถึงตัวแล้วกัดเขาไปคำหนึ่ง “ให้รางวัลนาย”


 


 


           ยื่นมือมาลูบมุมปากที่ถูกกัด ซือเหยี่ยนรวบตัวเจียงมู่เฉินมาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง เขาเชยคางเจียงมู่เฉินขึ้น แล้วเข้าไปมอบจุมพิตแสนลึกล้ำให้เขา สักพักหนึ่งถึงได้คลายมือออก


 


 


           “นี่สิ ถึงจะเป็นรางวัล”


 


 


           เจียงมู่เฉินหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาค้นพบแล้วว่าเรื่องแบบนี้ เขาไม่มีทางเทียบเท่าซือเหยี่ยนในเรื่องความหน้าไม่อายได้ตลอดไป


 


 


           เขายกมือเกี่ยวคอซือเหยี่ยนไว้ หรี่ตาลง เอ่ยถาม “สรุปแล้วนายเคยติดผู้ชายมากี่คน”


 


 


           “คุณอยากรู้จริงๆ เหรอ”


 


 


           “นายวางใจได้ คุณชายใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนายหรอก”


 


 


           ซือเหยี่ยนคิดอย่างจริงจัง “เพิ่มคุณอีกคน น่าจะนับไม่ได้ชัดเจนแล้วมั้ง ถึงยังไงคนที่ชอบผมก็มีมากมาย”


 


 


           เจียงมู่เฉินกัดเขาคำหนึ่งโดยไม่ลังเลสักนิด “ฉันถามจริงจังนะ”


 


 


           “คุณคนเดียว”


 


 


           เจียงมู่เฉินเบ้ปากหยิ่งๆ ไม่คิดเชื่อคำพูดไอ้หมอนี่เลยสักนิด เขายกเท้าถีบคนตรงหน้า “แล้วคนก่อนคนนั้น ที่อยู่อเมริกาคนนั้นล่ะ”


 


 


 


 


ตอนที่ 167 แฟนเก่าผู้ยิ่งใหญ่


 


 


           เขายังไม่ลืมคนรักคนนั้นที่ซือเหยี่ยนเอ่ยถึง พอคิดถึงใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขของซือเหยี่ยนเวลาที่เอ่ยถึงคนนั้น เจียงมู่เฉินก็มีวิกฤตแล้ว


 


 


           ตอนนี้ซือเหยี่ยนคบอยู่กับเขา แต่ถ้าหากว่ามีวันหนึ่งวันนั้น แฟนเก่าที่เขายังลืมไม่ลงคนนี้กลับมา ซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นจะบังคับตัวเองให้ยอมสละตำแหน่งเปิดทางให้หรือเปล่า


 


 


           ถึงแม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่ว่าเกราะป้องกันทางใจก็ยังต้องมีอยู่


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูกไปมา “อ่อ คุณหมายถึงคนนั้นเหรอ”


 


 


           “นายสารภาพมาตรงๆ อย่าคิดจะพูดอ้อมค้อมกับฉัน” เจียงมู่เฉินหรี่ตาใช้สายตาข่มขู่เขา


 


 


           “ก็ได้ สารภาพ” ซือเหยี่ยนสีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับกลัวการสารภาพเพียงนิดเดียวเท่านั้น “พูดมาเถอะ คุณอยากรู้อะไร”


 


 


           “พวกนายคบกันมานานเท่าไหร่”


 


 


           “รู้จักกันมายี่สิบกว่าปี คบกันสี่ปี” รู้จักกันตั้งแต่เด็ก จนอายุยี่สิบปีไปเจอกันที่อเมริกา ต่อมาสองคนได้คบกัน จนจบการศึกษาปีนั้น ภารกิจของเจียงมู่เฉินล้มเหลวจนเกือบตาย


 


 


           เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยิน ก็รู้สึกอิจฉาไม่เบา เขาเพิ่งจะคบกับซือเหยี่ยนแค่ครึ่งปีเอง แต่กับแฟนเก่าคนนั้นคบกันมาตั้งสี่ปีเต็มๆ


 


 


           ถึงเขามีความเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้ง ก็ไม่มีทางจะว่าครึ่งปีของตัวเองจะล้มเวลาสี่ปีของพวกเขาได้


 


 


           ข้อนี้เขารู้ตัวเองดี เจียงมู่เฉินยังมีความรู้ตัวเองอยู่


 


 


           “ก่อนหน้านี้นายบอกฉันว่า เขาเกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิตแล้วหรือว่า?”


 


 


           ซือเหยี่ยนหลับตาลง “เกือบจะเสียชีวิต แต่ช่วยกลับมาได้แล้ว”


 


 


           “งั้นทำไมนายถึงยังต้องเลิกกับเขาล่ะ” เจียงมู่เฉินไม่เข้าใจ ซือเหยี่ยนดูเหมือนจะไม่ใช่คนประเภทที่ว่าตอนคนเขากำลังบาดเจ็บอยู่ แล้วจะขอเลิกไม่รับผิดชอบอะไรแบบนั้น


 


 


           ซือเหยี่ยนเบือนหน้าหนี แสดงออกว่าไม่ยอมให้คำถามนี้ไปต่อชัดเจน เจียงมู่เฉินมองดูมุมหน้าด้านข้างของเขา ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม “นายยังรักเขาอยู่ไหม”


 


 


           สายตาซือเหยี่ยนจอจ่ออยู่ที่เจียงมู่เฉิน เขาแทบจะไม่มีความลังเลอะไร ก่อนจะพยักหน้า “ชอบ”


 


 


           เจียงมู่เฉินกำหมัดแน่น เขายังชอบแฟนเก่าคนนั้นอยู่ แล้วตัวเองล่ะ เป็นอะไรสำหรับเขา       


 


 


           “ถ้ามีวันหนึ่ง เขาอยากจะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์กับนาย นายจะตกลงปลงใจกับเขาไหม”


 


 


           ยามที่เอ่ยถามประโยคนี้ไป หัวใจของเจียงมู่เฉินราวกับมีคนมากำเอาไว้แน่น แทบจะหยุดหายใจ เป็นครั้งแรกที่คุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้เย่อหยิ่งเสียความมั่นใจขนาดนี้


 


 


           ซือเหยี่ยนมองใบหน้าของเขา แล้วถอนหายใจเบาๆ “ผมชอบเขา ลืมเขาไม่ลง แต่ว่าครั้งนี้ผมเลือกคุณ”


 


 


           อีกอย่าง แฟนคนก่อนกับแฟนคนปัจจุบันก็คือเจียงมู่เฉินแค่คนเดียว เพียงแต่ว่าเจียงมู่เฉินไม่รู้ก็เท่านั้นเอง


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะพูดอะไร


 


 


           เขาลุกขึ้นยืน “นอนแต่หัวค่ำเถอะ ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว”


 


 


           ‘ชอบแฟนเก่าไปด้วย เลือกเขาไปด้วย เขาควรจะรู้สึกมีความสุขเหรอ’


 


 


           สำหรับแฟนเก่าผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินรู้สึกสั่นคลอน


 


 


           ……


 


 


           ตามคำแนะนำของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินเริ่มลงสืบเรื่องราวจากคุณพ่อหวัง เขาฟุบบนโซฟามองมั่วไป๋เอานั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ขตลอด ไม่รู้กำลังหาข้อมูลอะไรอยู่


 


 


           เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ จู่ๆ มั่วไป๋ก็ส่งเสียงร้องเรียกเขา เจียงมู่เฉินเข้าไปใกล้ มั่วไป๋ให้เขาดูใบโอนเงินใบหนึ่ง


 


 


           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “นี่คือ?”


 


 


           “ในนามของเขามีบัตรธนาคารใบหนึ่ง ที่ไม่นานมานี้มีเงินก้อนใหญ่โอนเข้ามา แต่วันนั้นก็ถูกโอนย้ายไปเข้าบัตรธนาคารอีกใบ”


 


 


           “คิดไม่ถึงว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ” เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าพ่อคนหนึ่งจะทำเรื่องแบบนี้กับลูกสาวของตัวเองได้


 


 


           “ฉันตามตรวจสอบบัญชีที่โอนเข้ามานี้ แต่ไม่มีข่าวอะไรเลย” มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ซ่อนทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเองไว้มิดชิด ถ้าต้องการจะสืบเรื่องนี้ต่อจริงๆ ค่อนข้างยากเอาเรื่องเลย”


 


 


           เจียงมู่เฉินกุมขมับ ชักจะปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว เดิมทีคิดว่าถ้าตามทางนี้ได้จะหาอะไรเจอบ้าง แต่ตอนนี้เห็นเบาะแสถึงแค่ตรงนี้ก็โดนตัดทางอีกแล้ว


 


 


           “โอเค แค่นี้ก่อนเถอะ สุดแล้วแต่จะเป็นไปดีกว่า”


 


 


           มั่วไป๋พยักหน้า “ได้ ทางนี้ฉันมีข่าวอะไร จะรีบบอกนายทันที”


 


 


           “ใช่สิ คืนนี้วันเกิดซือเหยี่ยน ไปกินข้าวด้วยกันสิ”



ตอนที่ 168 แล้วฉันสู้เขาไม่ได้ตรงไหน 


 


 


           “วันเกิดเขาจะให้ฉันไปทำไม ฉันเองก็ไม่ได้สนิทกับเขา” มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยเลยสักนิด 


 


 


           “ไป๋ไป๋ นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลยนะ นายไม่คิดจะเจอแฟนของฉันหน่อยเหรอ” มั่วไป๋ผู้โดนเจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ ใส่ อารมณ์ขัดใจสักนิดก็ไม่มีแล้ว ทำได้แค่กุมขมับพยักหน้า “ได้ๆๆ ไปๆๆ โอเคแล้วใช่ไหม” 


 


 


           ได้ยินเขายอมตกลงแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้พยักหน้าอย่างพอใจ “สองทุ่มคืนนี้ รอนายที่ฉินจี้นะ” 


 


 


           “ได้ ฉันจะไปถึงให้ตรงเวลา” 


 


 


           เดินทางออกจากบ้านมั่วไป๋ไป เจียงมู่เฉินก็ขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลนัก เขากำลังคิดว่าจะส่งของขวัญอะไรให้ซือเหยี่ยนดี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวันเกิดครั้งแรกที่พวกเขาได้จัดด้วยกัน ที่สุดแล้วมันก็มีความหมายที่พิเศษอยู่ดี 


 


 


           ถึงพวกเขาจะเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ กับเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการอะไรเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่คนอื่นทำได้ เขาเองก็อยากจะทำด้วย 


 


 


           เรื่องนี้จะไม่ยุติธรรมกับซือเหยี่ยนได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเดินวนไปทั่วห้างสรรพสินค้า ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรให้ซือเหยี่ยนเป็นของขวัญดี สุดท้ายมาหยุดต่อหน้านาฬิกาข้อมือ 


 


 


           นาฬิกาข้อมือเรือนนี้ถึงจะไม่ใช่รุ่นลิมิเต็ด แต่ไม่รู้ว่าทำไมเจียงมู่เฉินถึงรู้สึกว่าถ้ามันสวมอยู่บนข้อมือของซือเหยี่ยน ต้องเข้ากันมากเป็นพิเศษแน่ๆ 


 


 


           เขายักคิ้ว ไม่ลังเลที่จะให้ทางร้านห่อของขวัญชิ้นนี้ให้ 


 


 


           ของขวัญก็ซื้อเรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ขับรถไปรับซือเหยี่ยนที่ซือกรุ๊ป 


 


 


           ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจียงมู่เฉินได้กลายเป็นแขกประจำของซือกรุ๊ปไปแล้ว จำนวนครั้งที่มาแค่ช่วงสั้นๆ ในหนึ่งเดือนนี้ก็มากกว่าแต่ก่อนที่คบกันอีก 


 


 


           มีคนอยู่จำนวนไม่น้อยที่ต่างก็เดากันว่าคุณชายเจียงผู้นี้กลายเป็นเพื่อนของประธานซือหรือเปล่า ถึงได้เข้ามาอยู่ใกล้กันแบบนี้ 


 


 


            หลังจากเดินไปถึงห้องทำงาน ถึงได้พบว่าซือเหยี่ยนออกไปประชุมแล้ว เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ยืนพิงหน้าต่างข้างๆ รอซือเหยี่ยน 


 


 


           รอมาสิบกว่านาที ซือเหยี่ยนก็ยังไม่กลับมา เจียงมู่เฉินล้วงมือถือออกมาเริ่มเล่นเกม เล่นไปได้สองเกม จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นมาจากข้างนอก 


 


 


           เขาเดินมุ่งหน้าไปยังทางข้างนอกสองก้าว ยังไม่ทันได้ออกไปก็ได้ยินเสียงหลินเหวินฮุ่ย เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วเงียบๆ 


 


 


           เขาพิงประตูยืนตระหง่านฟังพวกเขาสองคนพูดคุยกัน 


 


 


           “พี่ซือเหยี่ยน สุขสันต์วันเกิดนะคะ นี่คือของขวัญที่ฉันตั้งใจเลือกมาให้พี่โดยเฉพาะเลย ถ้าพี่ใส่แล้วต้องดูดีมากเป็นพิเศษแน่ๆ ค่ะ”    


 


 


           ‘ให้เสื้อผ้าเป็นของขวัญวันเกิด?’ 


 


 


           คุณหนูหลินคนนี้ความคิดความอ่านล้ำเลิศกว่าคนทั่วไปจริงๆ นี่เธอยังคิดรอซือเหยี่ยนใส่มันเข้าไป แล้วถือโอกาสช่วยเขาถอดออกมาใช่ไหม 


 


 


           “ขอบใจ” ซือเหยี่ยนยื่นมือไปรับ “ครั้งหน้าไม่ต้องซื้อมาพิเศษให้ฉันอีก” 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยหัวเราะอย่างเริงร่า “ได้ยังไงล่ะคะ ของขวัญที่พี่ให้ฉันคราวก่อน ฉันชอบมากสุดๆ เลย แล้วจะให้พี่ให้ของขวัญฉันฝ่ายเดียว แล้วฉันไม่ให้พี่ได้ยังไงกันคะ” 


 


 


           จู่ๆ เธอก็รู้สึกเขินๆ ขึ้นมา “อีกอย่าง ฉันเองก็ชอบช่วยพี่ซือเหยี่ยนเลือกของขวัญด้วย” 


 


 


           ‘มีคนมาจีบแฟนของคุณต่อหน้าคุณ จะเข้าไปจัดการหรือไม่เข้าไปดี นี่คือปัญหาจริงจังปัญหาหนึ่งทีเดียว’ 


 


 


           เจียงมู่เฉินยืนพิงอยู่ตรงนั้นค่อยๆ ไตร่ตรอง ถ้าตัวเองออกไปประกาศสงคราม คุณหนูหลินผู้บอบบางจะรองรับไหวไหม 


 


 


           ยังไม่ทันรอให้เจียงมู่เฉินคิดทบทวนเสร็จ ซือเหยี่ยนก็กดเสียงต่ำ เอ่ยปากขึ้น “ฉันยังมีธุระต่อ เธอกลับไปก่อนเถอะ” 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็ผิดหวังไม่น้อย ร้องอย่างเศร้าใจ “พี่ซือเหยี่ยน ฉันมาตั้งไกลขนาดนี้ พี่ไม่คิดจะชวนฉันกินข้าวหน่อยเหรอคะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูเวลา ใจก็คิดว่าเจียงมู่เฉินใกล้จะเข้ามาแล้ว “ขอโทษนะ คืนนี้ฉันมีนัดแล้ว ไม่งั้นเธอดูว่าเธออยากกินอะไร ตัวเองไปกินเอง ฉันจะออกเงินให้ไหม” 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยโกรธจนถลึงตาโต “ฉันอยากกินข้าวด้วยกันกับพี่ ไม่ใช่อยากกินข้าวเฉยๆ ค่ะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างจนใจ “เหวินฮุ่ย ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดกับเธอแล้ว ว่าฉันกับเจียงมู่เฉินเราคบกัน ข้างนอกมีคนดีๆ เก่งๆ ตั้งมากมาย เธอไม่ต้องมาผูกติดกับฉันคนเดียว” 


 


 


           “เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉิน แล้วฉันสู้เขาไม่ได้ตรงไหน เขาเป็นผู้ชายจะแต่งงานมีลูกกับพี่ได้เหรอคะ” หลินเหวินฮุ่ยจะคลุ้มคลั่งจริงๆ แล้ว คิดไม่ถึงว่าสักวันเธอจะต้องมาแย่งชิงกับผู้ชายคนหนึ่ง  


 


 


 


 


 


ตอนที่ 169 แกล้งหลับโดนเปิดโปง 


 


 


           ‘ผู้ชายสองคนคบกัน นี่มันไม่ปกติแล้ว’ 


 


 


           “พวกพี่สองคนคบกัน ไม่ต้องพูดถึงว่าสังคมจะยอมรับได้หรือไม่ได้เลย คุณอาคุณน้าพวกท่านจะยอมรับได้ไหม พี่ซือเหยี่ยน ที่พวกพี่ทำมันไม่ถูกต้องนะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม “เห็นแก่อาจารย์ ครั้งนี้ฉันจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเธอ เจียงมู่เฉินไม่ต้องมาเปรียบกับใครที่ไหน ขอเพียงแต่เขาคือเจียงมู่เฉินก็ชนะแล้ว ส่วนฉันจะชอบผู้ชายหรือว่าชอบผู้หญิง จะยอมรับได้หรือไม่ได้ก็เป็นเรื่องของฉัน ไม่ต้องให้เธอมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทน” 


 


 


           “ไม่มีธุระอะไรก็กลับไปก่อนเถอะ ฉันยังมีธุระต่อ ขอบใจสำหรับของขวัญของเธอนะ” ซือเหยี่ยนสีหน้าเย็นชาไล่ส่งแขก 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยโดนซือเหยี่ยนซัดกลับแบบนี้ ใบหน้าก็ซีดเซียวแล้ว เธอทั้งโกรธทั้งเสียใจ อีกนิดจะร้องไห้ออกมาแล้ว 


 


 


           “รีบกลับไปเถอะ เย็นมากแล้ว” 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยมองซือเหยี่ยนอย่างไม่เต็มใจ เธอโกรธจนหมุนตัวเดินออกไป 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเธอจนลับตาไป แล้วกุมขมับ เขาก้มลงมองชุดในมือสักพัก พอเดินไปถึงห้องทำงานของผู้ช่วย ก็ส่งชุดให้ผู้ช่วยเขา 


 


 


           หลังจากซือเหยี่ยนออกจากห้องทำงานของผู้ช่วย ก็ตรงกลับเข้าห้องทำงานของตัวเองทันที เขาเดินไป พลางมองเวลาไปด้วย 


 


 


           เขาผลักประตูที่ปิดอยู่ เจียงมู่เฉินนอนอยู่บนโซฟา ซือเหยี่ยนแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าเขามาถึงแล้ว 


 


 


           เมื่อปิดประตูลงแล้ว ซือเหยี่ยนก็เดินไปหาเจียงมู่เฉิน เห็นเขากำลังหลับสนิทอยู่ ก็ลังเลว่าจะปลุกเขาดีไหม 


 


 


           เขายังไม่ทันได้ลงมือ จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็รู้สึกตัวขึ้นมา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นอนตะแคงข้าง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา 


 


 


           ราวกับว่าเพิ่งตื่นอย่างไรอย่างนั้น เขาขยี้ตา เสียงต่ำเอ่ยถาม “นายกลับมาแล้วเหรอ” 


 


 


           “อืม” ซือเหยี่ยนรับคำ 


 


 


           เจียงมู่เฉินพูดต่อ “กี่โมงแล้ว” 


 


 


           “หกโมงครึ่งแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินก็ลุกขึ้นมานั่งทันที “หกโมงครึ่งแล้ว นี่ฉันหลับนานขนาดนี้เลย” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาขำๆ แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “เฉินเฉิน คุณไม่ได้หลับมาแต่แรกแล้วสินะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินหันมาถลึงตาใส่เขา 


 


 


           “คำที่ผมเพิ่งพูดข้างนอกเมื่อกี้นี้ คุณได้ยินหมดแล้วใช่ไหมล่ะ” ซือเหยี่ยนพูดต่ออีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินในใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เขารู้ได้ยังไงว่าตัวเองแกล้งหลับ หรือว่าฝีมือการแสดงการดูเกินจริงมากไป แวบเดียวก็ดูออกเลย 


 


 


           “ถ้าคุณหลับจริงๆ จะไม่เป็นแบบนั้น” ตอนเขาเดินเข้ามาก็รู้ทันทีว่าเจียงมู่เฉินกำลังแกล้งหลับ เดิมทีก็ไม่คิดจะเปิดโปง แต่พอเห็นยังเล่นละครต่อไป ก็อดใจไม่ได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นตัวเองโดนเปิดโปงแล้ว ยิ่งทำยิ่งแย่ไปกันใหญ่ 


 


 


           “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันแกล้งหลับ” เขารู้สึกว่าการแสดงของตัวเองควรจะสมจริงมากอยู่นะ 


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “เวลาคุณตื่นตระหนกก็จะกำมือไว้ ถ้าคุณหลับไปแล้วจริงๆ จะไม่เป็นแบบนี้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินบื้อแล้ว นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมาพลาดเพราะมือคู่นี้ 


 


 


           เขาเอียงมองซือเหยี่ยน “ของขวัญที่ให้นายล่ะ เลือกให้นายเองกับมือเลยไม่ใช่เหรอ นายอยากลองใส่ดูสักหน่อยไหมว่าพอดีกับหุ่นนายหรือเปล่า” 


 


 


           “ให้คนอื่นแล้ว” ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “ใครใช้ให้แฟนผมแรงหึงเยอะเกินไป ผมกลัวว่าไม่ช้าก็เร็วสักจะหึงจนฆ่าตัวเองได้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกัดคอเขาไปหนึ่งคำ “นายต่างจากจะหึงตาย” 


 


 


           “ได้ฟังเยอะขนาดนี้ ยังพอใจไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยักคิ้ว “ก็งั้นๆ แหละ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเย่อหยิ่งเชิดๆ ของเขาก็อดจะขบกรามไม่ได้ อยากจะโผตัวเข้าไปกัดเขาสักคำ ยังไม่ได้ปฏิบัติตามความคิดให้เป็นจริง กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มก็โดนเสียงเคาะประตูขัดจังหวะพอดี 


 


 


           ไป๋จิ่งโผล่แค่หัวออกมาจากประตู “พี่ชาย น้องชาย นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ยังจะมาจู๋จี๋กันอยู่นี่อีก ถ้ายังไม่ไป คนใกล้จะเลิกงานกันแล้วนะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินฉวยโอกาสถลึงตาใส่ไป๋จิ่ง มาได้จังหวะจริงๆ  



ตอนที่ 170 งานกินเลี้ยงที่เลิ่กลั่กผิดปกติ 


 


 


ทั้งสามคนออกจากบริษัท เจียงมู่เฉินขับรถ ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ข้างเขา ส่วนไป๋จิ่งก็นั่งน่าสงสารอยู่เบาะหลัง โดดเดี่ยวเดียวดายเหงาเหน็บหนาวอยู่คนเดียว ยังต้องมาทนรับคู่อื่นเขาโชว์หวานไม่สิ้นสุดอีก 


 


 


ไป๋จิ่งกอดตัวเองอย่างจนใจ รอเขาตามหามั่วไป๋ให้เจอ คว้าเจ้าตัวมาอยู่ในมือให้ได้ก่อน ถึงตอนนั้นเขาจะจู๋จี๋กันต่อหน้าพวกเขาทุกวันเลย 


 


 


‘จู๋จี๋ใครจะทำไม่ได้ แค่เขายังไม่มีแฟนแค่นั้นเองไม่ใช่หรือไง’ 


 


 


ขับรถพากันมาถึงที่ฉินจี้แล้ว เขาจองที่ล่วงหน้าไว้เรียบร้อย ใกล้จะสองทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่ามั่วไป๋มาถึงหรือยัง 


 


 


หลังจากทั้งสามคนเข้าห้องรับรองไป มั่วไป๋ก็ยังไม่ถึง 


 


 


ไป๋จิ่งเห็นชุดอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารมีสี่ชุดก็เลิกคิ้ว “อะไรกัน ยังมีคนอื่นอีกเหรอ” 


 


 


“เพื่อนสนิทฉันเอง ควรจะใกล้ถึงแล้วล่ะ” 


 


 


เพิ่งจะสิ้นเสียงลง ประตูด้านหลังก็ถูกคนผลักเข้ามา เจียงมู่เฉินเห็นมั่วไป๋ก็รีบตะโกนเรียกทันที “มั่วไป๋ ทางนี้” 


 


 


……เสียงเรียกชื่อ ‘มั่วไป๋’ ทำไป๋จิ่งตัวแข็งทื่อ แก้วในมือพลิกคว่ำ น้ำหกกระจายออกมา 


 


 


เขาหันไปมองข้างหลังเงียบๆ ทั้งตัวตะลึงค้างไปแล้ว 


 


 


คนที่ตัวเองตามหามาตั้งนานขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพื่อนของเจียงมู่เฉิน ยังมีเรื่องอะไรพลิกผันกว่านี้อีกไหม 


 


 


ไม่ใช่แค่ไป๋จิ่งที่ตะลึงค้าง มั่วไป๋ที่ยืนอยู่ตรงประตูเองก็ตะลึงค้างเช่นกัน 


 


 


 ‘ทำไมไป๋จิ่งก็มาปรากฏตัวที่นี่ด้วย’ 


 


 


พอเขาเห็นซือเหยี่ยนที่นั่งข้างเจียงมู่เฉินก็เข้าใจได้ในทันที ซือเหยี่ยนกับไป๋จิ่งเป็นเพื่อนกัน ปรากฏตัวที่นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก 


 


 


มั่วไป๋ไม่ได้เสียอาการเท่าไป๋จิ่งขนาดนั้น นอกจากตอนเข้ามาจะตกใจงงๆ นิดหน่อยแล้ว ก็ดูไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย 


 


 


           เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ไป๋จิ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วล้วงหยิบเอาของขวัญออกมา “ได้ยินเฉินเฉินบอกว่าเป็นวันเกิดของนาย นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่านายจะไม่ถือสา” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปรับ “ขอบคุณ” 


 


 


           มั่วไป๋นั่งลงข้างๆ ไป๋จิ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย ราวกับว่าทั้งสองคนนี้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น ไป๋จิ่งอยู่ไม่สุขเท่าไหร่แล้ว ไอ้หมอนี่คงจะไม่ลืมเขาไปแล้วใช่ไหม 


 


 


           สายตาเจียงมู่เฉินมองทั้งสองคนสลับไปมาตลอด เขาเห็นน้ำในแก้วที่วางอยู่หน้าไป๋จิ่งใกล้ไหลออกหมดแล้ว 


 


 


           เขาอดจะเลิกคิ้วมองไป๋จิ่งไม่ได้ “นายคิดจะถือโอกาสนี้ซักเสื้อผ้าใช่ไหม” 


 


 


           ไป๋จิ่งถึงได้ก้มลงมอง น้ำบนโต๊ะใกล้จะไหลไปถึงตัวเขาแล้ว เขารีบจับแก้วตั้งวางใหม่ ดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ด 


 


 


           เจียงมู่เฉินเบนสายตามาหยุดที่ใบหน้าของมั่วไป๋ ก็เห็นแค่เขาเลิกคิ้ว ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


           “นี่คือเพื่อนของซือเหยี่ยน ไป๋จิ่ง นี่คือเพื่อนสนิทของฉัน มั่วไป๋” 


 


 


           มั่วไป๋มองไป๋จิ่งแวบหนึ่งด้วยสายตาสงบนิ่ง “บังเอิญจัง เมื่อก่อนเคยเจอกันสองครั้ง คุ้นเคยกันบ้างแล้ว” 


 


 


           “เอ๊ะ?” ไป๋จิ่งอุทานเสียงหลงด้วยความงงงวย เขายังคิดว่าไป๋จิ่งคิดจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา คิดไม่ถึงว่าจะพูดเรื่องที่พวกเขาเคยเจอกันก่อนหน้านี้ออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน 


 


 


           “อะไรกัน นายอยากบอกว่าพวกเราไม่คุ้นเคยกันเหรอ” 


 


 


           ไป๋จิ่งโดนเขามองแบบนี้ เหงื่อก็ออกท่วมหัว ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามั่วไป๋คนงามแผ่รังสีออกมาได้จัดเต็มขนาดนี้ 


 


 


           ระเบิดพลังออกมาชนิดที่ดูไปแวบเดียวก็เทียบชั้นกับเจียงมู่เฉินได้จริงๆ 


 


 


           “คุ้นเคยๆ คุ้นเคยเป็นพิเศษ” ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่สื่อสารกันอย่างใกล้ชิดแนบสนิทกันบนเตียงมา 


 


 


           เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนสบสายตากัน แววตาทั้งคู่ก็ลุกวาวเป็นประกายขึ้นมา 


 


 


           ซือเหยี่ยนดูละคร ส่วนเจียงมู่เฉินดูเป็นห่วงนิดหน่อย 


 


 


           ตอนที่กินอาหารกัน ไป๋จิ่งเอาแต่แอบมองมั่วไป๋ รู้สึกว่าเขาเย็นชาแบบนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ตามหลักการแล้วพวกเขาก็สนิทชิดใกล้กันขนาดนี้แล้ว เจอกันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้นี่หน่า 


 


 


           ตั้งแต่เข้ามาในห้องจนถึงตอนนี้ มั่วไป๋ก็ไม่เคยมองเขาเลย ไป๋จิ่งเริ่มร้อนใจแล้ว นี่คือต้องการมองข้ามเขาหรือไง 


 


 


           “คือว่า…” ไป๋จิ่งอยากจะเอ่ยปาก มั่วไป๋ก็กวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา ทำเอาไป๋จิ่งลืมไปเสียสนิทว่าที่เหลือต้องการจะพูดอะไร 


 


 


           ในมื้ออาหารนี้ ไป๋จิ่งอยากจะร้องไห้ มันอึดอัด อึดอัดเกินไปแล้ว 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 171 ไป๋จิ่งผู้ถูกกลั่นแกล้ง 


 


 


           มองในมุมกลับกัน เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยน ไหนจะมั่วไป๋อีก พวกเขากลับผสมกลมกลืนกันได้ มั่วไป๋ถึงจะพูดน้อย แต่เวลาพูดจากลับดูมีทิฐิบางอย่างที่บอกไม่ถูก บวกกับบุคลิกเย็นชาเฉพาะตัว ยิ่งดูน่าดึงดูดเป็นพิเศษ 


 


 


           อีกอย่างระหว่างเขาและเจียงมู่เฉินมีบรรยากาศบางอย่างที่พูดไม่ออก ดูเหมือนจะพร้อมปะทะ ในความเป็นจริงพร้อมจะช่วยกันโดยไม่ห้ามปรามใดใด 


 


 


           ไป๋จิ่งถอนหายใจ ดังนั้นงานกินเลี้ยงคืนนี้มีแค่เขาคนเดียวที่ถูกบีบให้ออกมาแล้วใช่ไหม 


 


 


           ตลอดมื้ออาหารนี้ ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะอึดอัดจนป่วยจริงๆ แล้ว เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าเหมือนกำลังถูกบีบคั้นของเขา ก็เอ่ยถามขำๆ “ไป๋จิ่ง ทำไมวันนี้นายดูมีอะไรติดค้างอยู่ในใจนะ” 


 


 


           มุมปากซือเหยี่ยนกระตุกขึ้นมา ในใจของเขาตอนนี้อยู่กับมั่วไป๋ไปทั้งใจ จะมีเรื่องติดค้างอะไรในใจเรื่องอื่นที่ไหนอีก 


 


 


           “เปล่า นายดูผิดแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองมั่วไป๋ที่กินข้าวนิ่งๆ อยู่ตรงข้าม “นายคงจะไม่ใช่ว่าไม่ชอบมั่วไป๋หรอกใช่ไหม ฉันเห็นตั้งแต่เขาเข้ามา สีหน้านายก็ไม่ค่อยดีแล้ว” 


 


 


           มั่วไป๋เตะเท้าเจียงมู่เฉินอยู่ใต้โต๊ะ บอกให้เขาอย่าแสดงออกมากเกินไป เจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ บอกให้อีกฝ่ายวางใจได้  


 


 


           มั่วไป๋ถอนหายใจ เพราะเจียงมู่เฉินไอ้หมอนี่อยากจะสร้างเรื่องนี่แหละ เขาถึงได้วางใจไม่ได้ 


 


 


           “จะเป็นไปได้ยังไง ฉันจะเกลียดมั่วไป๋ทำไมล่ะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างไม่สนใจ “อ่อ งั้นก็ดี ฉันยังคิดว่านายจะเจ็บแค้นไป๋ไป๋ของฉัน เพราะวีรกรรมอันเลื่องชื่อของนายครั้งก่อนซะอีก” 


 


 


           ไป๋จิ่งอกแตกแล้ว เขารู้ได้ยังไงว่ามั่วไป๋คือคนที่โยนเงินให้แล้วหนีไปคนนั้น 


 


 


           เขามองไปทางมั่วไป๋อย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเอง หรือว่ามั่วไป๋เองก็พูดเรื่องนี้กับเจียงมู่เฉิน แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นนั้นได้ มั่วไป่คนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่พูดเรื่องทำนองนี้กับเจียงมู่เฉินได้ 


 


 


           มั่วไป๋สบตาไป๋จิ่งอย่างไม่หวาดหวั่น ไป๋จิ่งเห็นสีหน้าท่าทางตรงไปตรงมาและจริงใจของเขา เหมือนจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียงมู่เฉินกำลังพูดอะไรอยู่ 


 


 


           ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ คุณชายน้อยเจียงคนนี้อยากจะสร้างเรื่องต่อหน้าพวกเขาใช่ไหม 


 


 


           ซือเหยี่ยนฟังคำพูดของเจียงมู่เฉินก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองมั่วไป๋แวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เพียงพริบตาในใจก็เข้าใจได้ในทันที 


 


 


           ที่แท้ก็เป็นเพื่อนของเจียงมู่เฉิน ออกตัวทีไม่เหมือนกับคนทั่วไปจริงๆ 


 


 


           ไป๋จิ่งทำหน้าขมขื่น ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากซือเหยี่ยน ไอ้หมอนี่ถ้ายังไม่ยื่นมือมาช่วย ตัวเองต้องโดนแฟนเขาเล่นงานตายแน่ 


 


 


           ซือเหยี่ยนรับสัญญาณขอความช่วยเหลือนี้มา เขาเอียงหัวมองเจียงมู่เฉินสักพัก ก็เห็นแค่เจียงมู่เฉินใช้มือจิกต้นขาเขาอยู่ โดนข่มขู่เงียบๆ แบบนี้ ซือเหยี่ยนทำได้แค่เลิกคิ้วอย่างจนใจไปทางไป๋จิ่ง 


 


 


           ไป๋จิ่งโกรธจนกระอักเลือด เพื่อนคนนี้เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ปกติแกล้งเขายังกะอะไรดี พอมาเจอเจียงมู่เฉินกลายเป็นกลัวหัวหดไปได้ 


 


 


           ‘เหยียดหยาม เหยียดหยามกันเกินไปแล้ว!’ 


 


 


           “ฮ่าๆ จะเป็นไปได้ยังไง” ไป๋จิ่งเลิ่กลั่ก 


 


 


           มั่วไป๋มองเจียงมู่เฉินอีกแวบหนึ่ง ครั้งนี้เจียงมู่เฉินถึงได้ตัดสินใจไม่แกล้งไป๋จิ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นบีบมั่วไป๋ให้ร้อนใจไปด้วยจะไม่คุ้มค่ากันแล้ว 


 


 


           กว่าจะกินอาหารกันเสร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซือเหยี่ยนได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากไป๋จิ่งนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็ออกตัวพาเจียงมู่เฉินกลับไป 


 


 


           หลังจากพวกเขาสองคนออกไป มั่วไป๋ก็หันกลับเตรียมจะออกไป กว่าไป๋จิ่งจะเจอตัวเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีหรือจะยอมปล่อยเขาไปได้ง่ายๆ จริงๆ 


 


 


           ไป๋จิ่งรีบตะโกนตามหลังไป “ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย ไม่คิดจะไปดื่มกันสักแก้วหน่อยเหรอ?” 


 


 


           มั่วไป๋มองไป๋จิ่ง นัยน์ตาฉายแววสับสน เขาครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้า “ได้ ไปด้วยกัน?” 


 


 


           ไป๋จิ่งรอประโยคนี้มาตลอด กว่าจะได้ยินคำชวนของมั่วไป๋ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะปฏิเสธได้อย่างไร เขารีบรับปากทันที “ได้สิ ไปด้วยกัน” 


 


 


           ไป๋จิ่งมากับพวกซือเหยี่ยน ไม่ได้ขับรถมา มั่วไป๋ขับรถมาเองพอดี เขาพาไป๋จิ่งไปขึ้นรถตัวเอง แล้วทั้งสองคนก็ขับรถไปหลานเยี่ยกัน 


 


 


           มั่วไป๋นั่งบนเบาะที่นั่ง ในมือถือแก้วเหล้าค่อยๆ หมุนอย่างช้า “บอกมาเถอะ หาฉันมีธุระอะไร รู้สึกว่าเงินที่ฉันให้วันนั้นมันน้อยไป เลยตั้งใจจะมาทวงกับฉัน” 



ตอนที่ 172 เล่นเกมความรัก 


 


 


           อีกนิดไป๋จิ่งจะกระอักเลือดออกมาแล้ว คนๆ นี้พูดจาอะไรก็ตรงไปตรงมาขนาดนี้เชียว อีกอย่างระหว่างพวกเขา จะเริ่มต้นกันด้วยคำถามพวกนี้ มันจะดีจริงๆ เหรอ 


 


 


           “คือว่า..ผมคิดว่าระหว่างพวกเรา นอกจากเรื่องนี้ ควรจะมีเรื่องอื่นคุยกันได้ใช่ไหม” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงอ่อน 


 


 


           เขาอยากจะรู้จริงๆ แล้ว ว่าคนที่เป็นเพื่อนกับเจียงมู่เฉินนี่แปลกไม่ธรรมดาขนาดนี้กันหมดเลยไหม ความคิดความอ่านแปลกกว่าคนทั่วไปเยอะทีเดียว 


 


 


            มั่วไป๋วางแก้วเหล้าในมือลง มองเขา “นายคิดว่าระหว่างเรายังมีเรื่องอื่นที่คุยได้อีกเหรอ” 


 


 


           ไป๋จิ่งโดนถามแบบนี้ก็พูดไม่ออกไปสักพัก 


 


 


           เขาลูบจมูกไปมาคิดอย่างจริงจัง ว่าตัวเองควรจะหาเรื่องอะไรมาคุยกับอีกฝ่ายดีจะได้เหมาะสม 


 


 


           เขายังหาไม่เจอ มั่วไป๋ก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “เป็นไร นายชอบฉันเข้าแล้วเหรอ” 


 


 


           ไป๋จิงเงียบงันพูดไม่ออก 


 


 


           “หรือว่านายอยากจะจีบฉัน” มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น ภายใต้แสงไฟสลัวๆ ชวนให้หลงเสน่ห์ที่ยั่วใจถึงชีวิต 


 


 


           “ทำไมคุณถึงคิดขนาดนี้ได้” ไป๋จิ่งอดจะถามกลับไม่ได้ 


 


 


           “พวกเราเจอกันสองครั้ง หลับนอนกับครั้งหนึ่ง ฉันยังไม่ได้ถึงขนาดจะถือดี คิดว่านายมานอนกับฉันคืนเดียว แล้วจะตัดใจไม่ลง มารักฉันเข้าแล้วหรอกนะ” นัยน์ตามั่วไป๋แฝงความยั่วเย้า 


 


 


           ในเมื่อไป๋จิ่งเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ แล้วเขาจะหลบอะไรได้อีก 


 


 


           ตอนนั้นเขาติดหนี้ตัวเอง ก็ควรจะเป็นเวลาที่ต้องส่งคืนกลับมาแล้ว 


 


 


           “ถ้าผมจะบอกว่า ผมยังชอบคุณมากๆ อยู่ล่ะ” ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าโดนมั่วไป๋ดึงดูดใจไปแล้ว เขาก็จะไม่ทำถึงขั้นลงทุนลงแรงมากขนาดนี้เพื่อตามหามั่วไป๋ทั่วถานโจวหรอก 


 


 


           เพียงแต่ว่ามันเป็นการดึงดูดในแบบที่ยังไม่ถึงขั้น ‘รัก’ จริงๆ 


 


 


           “แล้วไงต่อ นายอยากจะพูดอะไร” มั่วไป๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นายอยากจะดูใจกันก่อนแล้วค่อยคบกัน หรือว่าอยากจะเป็นเพื่อนทำกิจกรรมบนเตียงอย่างเดียวล่ะ?” 


 


 


           “…” เขาทำให้ไป๋จิ่งตกใจจริงๆ แล้ว 


 


 


           ตั้งแต่ที่ได้เจอกับมั่วไป๋ เริ่มแรกก็รู้สึกได้ทันทีถึงความคุ้นเคยที่ยากจะอธิบาย ต่อมายังรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์ยั่วใจบางอย่างที่ถึงขั้นเอาชีวิตกันได้ 


 


 


           ความรู้สึกไปเรื่อยๆ แบบนั้น แต่กลับค่อยๆ เข้าหากัน แทรกซึมเข้าร่างกายอย่างช้าๆ ตามกาลเวลา 


 


 


           หลังจากนั้นก็เอาออกไปไม่ได้แล้ว 


 


 


           “หืม สนใจฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ให้นายเลือก นายถึงตัดสินใจไม่ได้” 


 


 


           ไป๋จิ่งมองใบหน้างามได้รูปของเขา ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย “ถ้าผมเลือกแบบที่สอง คุณจะเห็นด้วยไหม” 


 


 


           สายตามั่วไป๋ฉายสะท้อนความเย้ยหยัน เป็นอย่างที่คิด…ตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว เขายังไม่เปลี่ยนไป 


 


 


           “ถ้านายเลือกแล้ว ฉันก็เห็นด้วยอยู่แล้ว” เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆ “ฉันเคย ‘ทำ’ กับนายครั้งนึง เทคนิคถือว่าใช้ได้ ดูท่าว่าเมื่อก่อนจะผ่านการฝึกมาไม่น้อย” 


 


 


            ไป๋จิ่งลูบจมูกป้อยๆ นี่เขาโดนมั่วไป๋ชมเรื่องแบบนี้เหรอ 


 


 


           “ดังนั้นถ้านายเลือกแบบที่สอง ฉันก็ไม่ถือสาอะไร ยังไงซะโตๆ กันแล้วจะสุขสมกัน ก็โอเคดี จะแคร์อะไรมากมายไปทำไม” 


 


 


           ทัศนคติอะไรก็ได้ของเขา คำที่พูดออกมายิ่งตามใจตัวเอง ราวกับว่าไม่ค่อยจะสนใจอะไรกับเรื่องนี้เลย อีกอย่างการที่ไม่ใส่ใจแบบนั้นดูเหมือนออกจากเนื้อแท้ข้างในอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


           ไป๋จิ่งครุ่นคิดสักพัก “แล้วถ้าผมเลือกแบบแรกล่ะ คุณจะยังยินยอมไหม” 


 


 


           มั่วไป๋กะพริบตามองดูใบหน้าของเขา “ทำไมอยากจะมาเล่นเกมความรักกับฉันเหรอ” 


 


 


           “อืม แบบแลกใจกัน คุณอยากจะเล่นไหม” 


 


 


           เขายกขวดเหล้าขึ้นมารินให้ตัวเองและไป๋จิ่งคนละแก้ว เขาส่งแก้วถึงต่อหน้าของไป๋จิ่ง 


 


 


           ไป๋จิ่งมองดูใบหน้าและดวงตาแสนเย็นชาของคนตรงหน้า ขณะที่เขายักคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วส่งมือไปหยิบแก้วมา นิ้วมือเหมือนไม่ตั้งใจ แต่ก็เหมือนจงใจจะเฉียดนิ้วมือของมั่วไป๋ 


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ ส่งแก้วให้เขา 


 


 


           “บังเอิญจัง ฉันคนนี้ก็ชอบเล่นเกมด้วยสิ เล่นเกมกับนายสักตาหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่กลัวว่าสุดท้ายแล้ว คนที่แพ้จะเป็นนาย” 


 


 


            


 


 


    ตอนที่ 173 ไม่ใช่ว่าจะแพ้ไม่เป็น 


 


 


           ไป๋จิ่งหัวเราะ “เรื่องนี้ไม่ต้องให้คุณมาเป็นห่วงหรอก อีกอย่างคนที่ชนะด่านสุดท้ายได้ จะเป็นใครก็ยังไม่แน่” 


 


 


           มั่วไป๋กระดกเหล้าเข้าไป น้ำเมาค่อยๆ ไหลจากลำคอลงไปอบอวลอยู่ท้อง พาไฟร้อนแผดเผาขึ้นมา 


 


 


           เขาหรี่ตาลง “ถ้าเกมๆ นี้ ฉันแพ้ขึ้นมา…” เขาเงยหน้าขึ้นมองไป๋จิ่ง “บางที ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะแพ้ไม่เป็น” 


 


 


           “โอเค งั้นผมเลือกแบบแรก” ไป๋จิ่งจ้องมองมั่วไป๋ สายตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มุ่งจะเอาชนะให้ได้ 


 


 


           คนที่เขาพึงพอใจ จะวิ่งหนีไปไหนไม่ได้ 


 


 


           เขาไม่เชื่อว่ามั่วไป๋จะเป็นเหตุบังเอิญนั่นได้ 


 


 


           “โอเค ในเมื่อนายเลือกแล้ว ฉันก็จะสู้กับนายไปให้ถึงที่สุด” 


 


 


           มั่วไป๋เห็นความลำพองใจในแววตาของไป๋จิ่ง ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ ไป๋จิ่งจะยังยิ้มออกมาเหมือนตอนนี้ได้หรือเปล่า 


 


 


           เมื่อนึกถึงว่าหลายปีมานี้ เพื่อไป๋จิ่งแล้ว แม้แต่ชีวิต เขาแทบจะไม่เหลือ แต่ไป๋จิ่ง เขากลับลืมเขาไปหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง 


 


 


           จนกระทั่งสองปีให้หลัง ได้พบเขาอีกครั้ง ก็เอาแต่พูดไม่หยุดว่าอยากจะเล่นเกมแลกหัวใจกับเขา 


 


 


           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น รู้สึกว่ามันน่าขำขันไม่เบา 


 


 


           ตอนนั้นที่เขาคบกันอยู่กับไป๋จิ่ง เขาก็ไม่ได้พูดขนาดนี้ เขาหรี่ตาลงคิดภาพย้อนกลับไปอย่างจริงจัง 


 


 


           “ฉันไป๋จิ่ง ต้องการร่างกายไม่ต้องการหัวใจ ความสัมพันธ์ของพวกเรามีแค่บนเตียงเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว พวกเราไม่มีความสัมพันธ์ใดใดทั้งสิ้น” 


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ ตอนนั้นไป๋จิ่งพูดถึงขนาดนี้ แต่ตัวเองกลับโถมตัวขึ้นไปอย่างโง่ๆ คิดแค่ว่าตัวเองชอบไป๋จิ่ง ขอเพียงแต่ดีกับไป๋จิ่ง ไม่ช้าก็เร็วสักวัน เขาจะมองเห็นตัวเองได้ 


 


 


           แต่สุดท้าย ก็ร่วงหล่นลงถึงจุดจบแบบนั้น 


 


 


           สรุปแล้วเป็นตัวเขาเองที่ประเมินตัวเองสูงเกินไป และก็เป็นเขาเองที่ประเมินความไร้หัวใจของไป๋จิ่งที่มีต่อเขาต่ำเกินไป 


 


 


           …… 


 


 


           “ดึกแล้ว ฉันไปก่อนนะ” มั่วไป๋ดูเวลา ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว 


 


 


           ไป๋จิ่งเลิกคิ้ว “ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย จะไปแล้วเหรอ ไม่นั่งต่อสักหน่อย” 


 


 


           “ไม่ไหว ฉันไม่ชอบอยู่ข้างนอกดึกเกินไป” 


 


 


           คำพูดของเขาแบบนี้ ทำเอาไป๋จิ่งแปลกใจไม่เบา เขายังคิดว่าตามความเข้าใจที่เขามีต่อมั่วไป๋ ควรจะเป็นคนที่มีชีวิตกลางคืน แถมยังมากประสบการณ์อีกด้วย 


 


 


           “ให้ผมไปส่งคุณไหม” 


 


 


           ครั้งนี้มั่วไป๋ไม่ได้ขัดขวาง “ฉันก็อยากให้นายไปส่งฉันอยู่ แค่น่าเสียดาย พวกเราสองคนดื่มเหล้ากันแล้ว” 


 


 


           “ไม่เป็นไรๆ ผมจะหาคนขับรถให้เรา ช่วยส่งคุณกลับบ้านก่อน แล้วผมค่อยไป”      


 


 


           ในเมื่อดูใจกันก่อนแล้วค่อยคบกัน เรื่องที่ต้องไปส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน เขาปล่อยไปไม่ได้อยู่แล้ว 


 


 


           เขาไม่เชื่อ ว่าภายใต้การรุกของเขา มั่วไป๋จะคุมได้อยู่ 


 


 


           สุดท้ายไป๋จิ่งก็หาพนักงานขับรถแทนมาได้คนหนึ่ง ให้ส่งอีกคนกลับไปก่อน ตลอดทางมั่วไป๋เอาแต่หลับตาเบาๆ พิงพนักที่นั่ง 


 


 


           ไป๋จิ่งเอียงหัวพินิจมองสังเกตใบหน้างามได้รูป หน้าตาดูจิ้มลิ้มของมั่วไป๋ รู้สึกได้ว่าไม่ว่าจะมองจากมุมไหน มั่วไป๋ก็เข้ากับรสนิยมทางด้านความงามของเขาทุกด้าน ราวกับฟ้าตั้งใจสรรค์สร้างมาเพื่อเขาเป็นพิเศษ 


 


 


           เขาคนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีเซ็กส์กับใครไปทั่ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่จะมีอีกคนมาช่วยปลดปล่อยความต้องการทางร่างกาย แต่ไม่ว่าคนไหนก็ไม่มีใครจะทำให้เขาทึ่งได้เท่ามั่วไป๋ 


 


 


ในความเป็นมั่วไป๋นั้น ถ้าดูจากที่ไกลๆ ก็เหมือนเห็นกุหลาบงามแสนนวลละออ ในความเป็นจริง ก่อนที่กุหลาบจะถูกเด็ดออกมา ก็มีหนามอยู่ก่อนแล้ว 


 


 


มั่วไป๋ก็คือสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างกะทันหันและรวดเร็ว ขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว ยามที่เผลอในแวบแรกที่เห็น สายฟ้านั้นก็จะเข้ามาปะทะตัวไม่หยุด 


 


 


ถึงจะเจ็บ แต่ก็สวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ 


 


 


รถมาจอดใต้คอนโดมีเนียมของมั่วไป๋ เขายังอยู่ท่าเดิมไม่ขยับ ไป๋จิ่งเข้าไปใกล้เตรียมจะปลุกเรียกเขา แต่พอได้มองใบหน้าขาวผ่องก็อดจะคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ 


 


 


เขาก้มหน้าเข้าประชิดใบหน้าของมั่วไป๋ ลมหายใจรดรินกระทบใบหน้าของเขา แค่เพียงไป๋จิ่งก้มหน้าอีกนิดก็จะจูบเขาได้แล้ว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม