(Yaoi) ใต้ม่านรัตติกาล 151-158

 ตอนที่ 151 เลือก


 


 


ได้ยินเช่นนี้เทียนซีเองก็ลำบากใจ จัดการไม่ง่ายเลยจริงๆ


 


 


ตอนนี้หลานเยี่ยหาที่ว่างบริเวณหนึ่งพบแล้วนั่งลง เขาอยากดูว่า ปัญหานี้จะมีคำตอบหรือไม่ เขาอยากดูว่าจะมีคนให้คำตอบแก่เขาหรือไม่


 


 


สตรีผู้นั้นร้องไห้อยู่ตลอด คนทั้งห้องหลังจากได้ยินสตรีผู้นั้นพูดก็นิ่งงันไป ล้วนครุ่นคิดอยู่ทั้งสิ้น หากเป็นตนเอง จะทำเช่นไร


 


 


“เสี่ยวซี ทำเช่นไรดี ทำการทดสอบความเหมาะสมให้พวกเขาดีหรือไม่ หรือว่า…”


 


 


“ไม่ได้ ต่อให้เหมาะสมกันแล้วจะทำไม ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือหัวใจของพวกเขา ปัญหานี้พวกเขาต้องจัดการด้วยตนเองเท่านั้น สายตาของคนอื่นไม่อาจแทนที่พวกเขา ต่อให้ตอนนี้ทำการทดสอบความเหมาะสม ในอนาคตก็อาจใช้ชีวิตอย่างไร้ความสุข


 


 


พวกเขาอาจรู้สึกว่าตนเองเหมาะสมจึงไม่ติดค้างอะไรในใจ แต่บ่อยครั้งที่เหตุผลเช่นนี้ทำให้พวกเขาละอายต่ออีกฝ่าย จากนั้นความสัมพันธ์ก็จะเกิดปัญหา”


 


 


“เช่นนั้นต้องรอไปถึงเมื่อใด”


 


 


“ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ รอ” อวี่มั่วและเทียนซีจัดการแยกย้ายผู้คนที่มองรุมดูรอบข้าง ตั้งเขตม่านพลังคนละวงให้พวกเขาสามคน ให้พวกเขาได้ใจเย็นลง ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ


 


 


เวลาล่วงผ่านไปเรื่อย เป็นครั้งแรกที่ภายในหอต้วนอวิ๋นไร้เสียงเป็นเวลานานเช่นนี้ ในที่สุดอวี่มั่วก็สลายเขตม่านพลังของทั้งสามคนออก


 


 


บนใบหน้าของหญิงสาวไม่มีร่องรอยน้ำตาแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองคนก็สงบลงแล้ว


 


 


จู่ๆ หญิงสาวผู้นั้นก็คุกเข่าให้กับชายหนุ่มฝั่งขวา หลานเยี่ยเหมือนสุดท้ายก็ได้ปล่อยวางเรื่องในใจลง


 


 


“ขอโทษด้วย ข้าน้อยขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมากที่คอยอยู่เป็นเพื่อนข้าในช่วงเวลาที่ข้าเจ็บป่วย แต่สิ่งที่ข้ารู้สึกกับเจ้าไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงความซาบซึ้ง คือการตอบแทนบุญคุณ คนที่ข้ารักยังคงเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้า


 


 


หากข้าเลือกเจ้า จะถือเป็นการไม่รับผิดชอบต่อเจ้า ในอนาคตพวกเราต้องไร้ซึ่งความสุขเป็นแน่ ฉะนั้นขอโทษ ข้าไม่อาจเลือกเจ้าได้”


 


 


ชายหนุ่มผู้นั้นเหมือนคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าช้าๆ แล้วเอ่ยปากพูด


 


 


“ขอโทษ เป็นข้าที่ขัดขวางเจ้ามาตลอด เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว ข้าไปก่อน” ชายหนุ่มผู้นั้นเดินออกจากประตูใหญ่หอต้วนอวิ๋น ชายหนุ่มอีกคนประคองหญิงสาวขึ้นมา เอ่ยขอบคุณอวี่มั่วและเทียนซี


 


 


มองดูชายหนุ่มผู้นั้นวิ่งออกไป อวี่มั่วสั่งคนให้คนแอบตามไป


 


 


“เจ้าให้คนตามเขาไปทำไม” เทียนซีถามเขา


 


 


“หอต้วนอวิ๋นคงไม่อาจทำลายโอกาสทางการค้า คนนี้ไม่ได้ ก็จะต้องมีหญิงสาวผู้อื่นที่ดีกว่านี้อีกเป็นแน่ แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา แล้วทำไมจะต้องรักดอกไม้อยู่ข้างเดียวใช่หรือไม่”


 


 


หลานเยี่ยมองดูละครฉากนี้อยู่อีกข้าง ท่าทางไม่ได้สับสนมากเหมือนเดิมอีกต่อไป รอจนอวี่มั่วและเทียนซีจัดการธุระเสร็จแล้ว หลานเยี่ยถึงได้รำลึกความหลังกับพวกเขาสองคน จะพูดว่ารำลึกความหลัง ส่วนใหญ่แล้วเป็นอวี่มั่วที่พูด หลานเยี่ยไม่รู้อะไรทั้งนั้น เหมือนกำลังฟังเรื่องราวของผู้อื่นอยู่


 


 


อวี่มั่วพูดจบแล้ว แต่หลานเยี่ยยังคงเงียบนิ่ง เหมือนกับเหม่อลอย


 


 


“ข้าพูดจบแล้ว แสดงปฏิกิริยาเสียหน่อยซิ”


 


 


“ข้อมูลมากเกินไป ให้ข้าได้ย่อยเสียหน่อย”


 


 


“ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ย่อยไป ข้าจะไปเอาของบางอย่าง” อวี่มั่วขึ้นไปชั้นสอง เทียนซีอยู่กับหลานเยี่ยที่ชั้นหนึ่ง หลานเฟิงนั่งดูอยู่ข้างๆ


 


 


การไล่ล่าครั้งนี้เขาไม่รู้จุดจบ แต่เขาพยายามควบคุมสถานการณ์ ทำให้ตนเองเป็นคนกำหนดจุดจบ


 


 


“หลานเยี่ย ยื่นมือมา ข้าดูให้เจ้าอีกครั้ง” เทียนซีเอ่ยปาก ฉายาหมอเทวดาของเขานั้นไม่ใช่เรื่องโกหก หลานเยี่ยยื่นมือออกไป เทียนซีจับชีพจรให้ ผ่านไปครู่หนึ่ง เทียนซีก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด


 


 


“เจ้าเป็นอะไร เหตุใดหน้าแดงเช่นนี้”


 


 


“เอ่อ หลานเยี่ย เจ้าอยากรู้วิธีฟื้นฟูกระแสวิญญาณหรือไม่”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 152 พูดไม่ออก


 


 


ความทรงจำจะรื้อฟื้นหรือไม่ หลานเยี่ยยังคงสับสน แต่การฟื้นฟูพลังกระแสวิญญาณ หลานเยี่ยนั้นดีใจเป็นอย่างมาก เท่าที่รู้กระแสวิญญาณของเขาเก่งกาจเลยทีเดียว


 


 


“อยากซิ ย่อมอยาก”


 


 


“เอ่อ พลังกระแสวิญญาณฟื้นฟูแล้ว ความทรงจำก็อาจได้รับการฟื้นฟูด้วย หรืออาจจะไม่ สถานการณ์เช่นเจ้าข้าเคยเห็นมาในตำราการแพทย์ ส่วนเรื่องความทรงจำจะกลับมาหรือไม่นั้นแตกต่างไปในแต่ละบุคคล ไม่แน่นอน” เทียนซีพูดออกมาอย่างติดขัด ทำให้หลานเยี่ยร้อนใจเป็นอย่างมาก


 


 


“เจ้าก็พูดมาซิว่าวิธีเช่นไร”


 


 


 “ข้า…พูดไม่ออก…” เขาพูดไม่ออกจริงๆ คนหน้าบางเช่นเทียนซี


 


 


“ถือว่าข้าขอร้องเจ้า พูดออกมาเถิด” หลานเยี่ยพุ่งเข้าไป จับมือเทียนซีเอาไว้ พูดขอร้องเขาไม่หยุด ไม่นานอวี่มั่วลงมา เห็นหลานเยี่ยจับมือเทียนซีไว้น้ำโหก็พุ่งขึ้นมาในทันใด


 


 


“เจ้าทำอะไร ปล่อยมือเดี๋ยวนี้” หลานเยี่ยชักมือกลับ มองไปยังเทียนซีด้วยความขัดใจอย่างมาก เทียนซีผ่อนลมหายใจยาว ถามหลานเยี่ยคำถามหนึ่ง


 


 


“หลานเยี่ย เจ้ายังบริสุทธิ์อยู่ใช่หรือไม่” คราวนี้เป็นหลานเยี่ยที่หน้าแดงขึ้นมา


 


 


“ถ้ายึดตามความทรงจำตอนนี้แล้วก็ใช่”


 


 


“ใช่” หลานเฟิงที่อยู่ข้างๆ พูดออกมาในทันใด ทำให้อวี่มั่วยิ่งออกอาการหยอกเย้ามากขึ้น


 


 


“เจ้าใช่ไม่ได้เลย หลานเยี่ยโตเท่าไรแล้ว อีกสองวันก็จะยี่สิบแล้วกระมัง ยังคงบริสุทธิ์อยู่ ไม่ได้ๆ หลานเฟิงเจ้าต้องสู้เข้า” อวี่มั่วพูดว่ากล่าวหลานเยี่ยและหลานเฟิงด้วยน้ำเสียงของคนที่เคยประสบมาแล้ว


 


 


“นี่เกี่ยวข้องอะไรกับการรื้อฟื้นความทรงจำของข้าหรือ” หลานเยี่ยรับอวี่มั่วไม่ไหว รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันใด


 


 


“จุดของกระแสวิญญาณเจ้าก็คือ…ก็คือ สิ่งนั้นเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่ ก็คือ…เจ้าเข้าใจ” จนถึงสุดท้ายเทียนซีก็ไม่พูดออกมา


 


 


“ก็คือทำกับหลานเฟิง ก็เท่านั้น”


 


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นหลานเฟิง” เทียนซีมองเขาอย่างตื่นตกใจ


 


 


“ต้องเป็นคนที่ใจรักเท่านั้น หรือจะบอกว่าอิงแอบในอ้อมอกของผู้อื่น จำได้ว่านายน้อยนั่นชอบหลานเฟิงมาก การที่ผนึกพลังกระแสวิญญาณและความทรงจำของหลานเยี่ยเช่นนี้ ต้องพูดเลยว่าโหดเ**้ยมเสียจริง”


 


 


ได้ยินอวี่มั่วพูดเช่นนี้ ในใจของหลานเยี่ยกลับรู้สึกไม่สบายใจ อะไรที่เรียกว่าชอบมาก อะไรที่เรียกว่าคนที่ใจรัก เขาไม่มีเสียหน่อย!


 


 


ที่จริงแล้วหลังจากได้ยินเทียนซีและอวี่มั่วพูดจบ หลานเฟิงก็ตกใจไปอยู่ครู่ใหญ่ จำต้องยอมรับว่าเขายังมีความคาดหวังอยู่เล็กน้อย


 


 


“ตอนนี้ปัญหาคือ หลานเยี่ยเจ้าคิดดีแล้วหรือไม่ หรือพูดให้ถูกก็คือเชื่อหรือไม่ หากยอมรับความทรงจำช่วงนั้นเจ้าก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบและหน้าที่เหล่านั้นขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนว่าบางทีความทรงจำเจ้าอาจไม่รื้อฟื้นกลับมา”


 


 


แม้อวี่มั่วจะพูดเช่นนี้ หลานเยี่ยก็ยังสับสน เขากำลังสงสัย ก่อนนี้ตนเองรักหลานเฟิงมากเช่นนั้นเชียวหรือ หากว่าใช่ การที่ตนเองยังสับสนต่อการรื้อฟื้นความทรงจำเป็นเพราะเหตุใด หรือว่ามีอะไรที่ยังไม่อาจยอมรับได้เช่นนั้นหรือ


 


 


ก่อนนี้ภายในเรื่องเล่าของหลานเฟิง หลานเฟิงบอกว่าตนเองเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ตนเองก็เคยพูดว่าไม่อาจให้อภัยเขา แต่เวลาผ่านมานานเช่นนี้สุดท้ายก็สั่นคลอน บางทีอาจเป็นเพราะว่าความผูกพันที่ตนเองมีต่อทุกคนในตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นที่ลึกซึ้งที่สุดกระมัง


 


 


หลานเยี่ยคนเดิมแท้จริงแล้วมีความรู้สึกต่อคนเหล่านี้เช่นไรกันแน่


 


 


หลานเยี่ยครุ่นคิดอยู่ตลอด แต่จู่ๆ ก็ถูกอวี่มั่วขัดจังหวะ


 


 


“นี่คือป้ายคำสั่งของหล่านเย่ว์ เจ้ามีเวลาก็ไปดูเสียหน่อย ไม่ได้ไปนานแล้ว คงจะคิดถึงเจ้ากันหมดแล้ว”


 


 


หลานเยี่ยรับป้ายคำสั่งมา เหลือบมองหลานเฟิงทีหนึ่ง หลังจากที่มาถึงเมืองหลวงหลานเฟิงน้อยครั้งที่จะพูด ดูท่าอยากให้ตนเองตัดสินใจเรื่องทั้งหมด ค้นหาความทรงจำที่เป็นของตนด้วยตนเอง


ตอนที่ 153 หัวหน้า


 


 


 “หล่านเย่ว์…” หลานเยี่ยพึมพำขึ้นมาสองคำ


 


 


“หลานเฟิง พวกเราไปตอนนี้เลย อวี่มั่ว พวกเจ้าไปหรือไม่”


 


 


“พวกข้าไม่ไปก็แล้วกัน จนถึงตอนนี้พวกจ้ายังไม่ได้ทานข้าเลย หิวจะตายแล้ว พวกเจ้าไปกันเองเถิด”


 


 


หลานเยี่ยเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา ไม่ได้ไล่ถามต่อ ออกเดินทางไปหล่านเย่ว์พร้อมหลานเฟิง แต่เดินไปได้ครึ่งทางหลานเยี่ยก็หาทางต่อไม่พบ หันกลับมามองดูหลานเฟิง


 


 


มองท่าทีของหลานเยี่ยพลันคิดถึงคำพูดของอวี่มั่วขึ้นมาในทันใด หลานเฟิงกระแอมออกมาสองทีด้วยความขัดเขิน ไม่ได้มองใบหน้าของหลานเยี่ยต่อ


 


 


“ตามข้ามาเถิด” ได้ยินหลานเฟิงพูดเช่นนี้ หลานเยี่ยก็เดินตามไปติดๆ


 


 


คนที่นิสัยโอหังก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับน่ารักถึงเพียงนี้ หลานเฟิงคิดอยู่ในใจ กิริยาการกระทำเมื่อครู่นี้ช่างเติมเต็มความอยากปกป้องของเขามากนัก เมื่อทั้งสองคนมาถึงหล่านเย่ว์ ยังไม่ทันให้หลานเยี่ยได้ชูป้ายคำสั่งออกมา ทหารเฝ้ายามหน้าประตูก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป


 


 


 “ยินดีต้อนรับท่านหัวหน้ากลับสู่หล่านเย่ว์” ทุกกิริยาการกระทำส่งผลให้หลานเยี่ยตกใจเป็นอย่างมาก เกิดอะไรขึ้น ข้าควรพูดอะไร หลานเยี่ยคิดอยู่สามวินาทีถึงจะได้สติกลับมา


 


 


เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เชิดหน้าแสร้งสงบนิ่งเดินเข้าไป พอเข้าไปในหล่านเย่ว์ หลานเยี่ยก็เดินไปยังห้องที่เหมือนโถงประชุมอย่างไม่รู้ตัว เดินไปถึงหน้าประตูหลานเยี่ยถึงรู้สึกตัว


 


 


“พวกเราควรไปที่ใด” หลานเยี่ยหันกลับมาถามหลานเฟิง


 


 


“ถึงแล้ว” หลานเยี่ยมองโถงประชุม ใช่แล้ว เพิ่งกลับมาก็ควรต้องฟังสถานการณ์ของหล่านเย่ว์เสียหน่อย เปิดประตูโถงประชุมออก หลังจากคนที่เฝ้ายามเห็นหลานเยี่ยกลับมาก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม แล้วจึงไปเรียกคนมา


 


 


ไม่นานบุคคลชั้นสูงของหล่านเย่ว์ทั้งหมดก็มาถึง หลานเยี่ยนั่งอยู่ด้านบน ผู้คนด้านล่างนั่งอยู่สองฝั่ง หลานเฟิงนั่งอยู่ตรงมุมห้องมุมหนึ่ง


 


 


 “ท่านหัวหน้า ท่านกลับมาแล้ว”


 


 


“ท่านหัวหน้าก่อนหน้านี้ไปที่ใดหรือ หาท่านไม่พบเลย”


 


 


“ท่านหัวหน้าระยะนี้สบายดีหรือไม่” ผู้คนด้านล่างต่างคนต่างพูด แย่งกันถามหลานเยี่ย หลานเยี่ยหัวแทบจะระเบิดออกมา


 


 


“เงียบก่อนๆ ข้าไม่ใช่ว่ากลับมาดีๆ แล้วหรือ ไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น อย่าได้เป็นห่วง ข้าสบายดี ข้าอยากฟังทุกคนพูดว่าช่วงสองสามเดือนมานี้หล่านเย่ว์เป็นเช่นไร อ้อไม่ พูดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ก่อตั้งหล่านเย่ว์ ไม่เจอกันนาน รู้สึกรำลึกถึงอยู่บ้าง”


 


 


หลานเยี่ยใช้วิธีที่ค่อนข้างรวดเร็วในการทำความเข้าใจเรื่องหล่านเย่ว์ หลานเฟิงมองดูเขานิ่งๆ อยู่มุมหนึ่ง ยังคงฉลาดเฉลียว เขาอดคิดถึงคำพูดของอวี่มั่วไม่ได้


 


 


 “ตอนนั้นข้าน้อยร่อนเร่ตามถนน ถ้าไม่ใช่ท่านหัวหน้า เกรงว่าตอนนี่คงสิ้นชีวิตไปแล้ว ในตอนนั้นท่านหัวหน้าเห็นว่าเมืองหลวงมีผู้คนร่อนเร่อยู่ตามถนนมากมาย รู้สึกอดคิดสงสารไม่ได้ถึงได้ก่อตั้งหล่านเย่ว์ขึ้น หลังจากหล่านเย่ว์ก่อตั้งแล้ว ท่านหัวหน้าก็มาช่วยเหลือคนเหล่านี้ด้วยตนเองทุกวัน บุญคุณของท่านหัวหน้าไม่อาจตอบแทน ทำได้เพียงแค่ถ่ายทอดต่อไปเป็นรุ่นๆ ทำให้ผู้คนที่มาเพิ่มมากขึ้นได้มีชีวิตกินข้าว มีชีวิตทำเรื่องต่างๆ” ผู้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพูดด้วยสภาพน้ำตานองหน้า นี่ต้องน่าเวทนามากเพียงใดถึงทำให้ลูกผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้หนักเช่นนี้


 


 


หลานเยี่ยฟังแล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ นี่ทำไมถึงกลายเป็นสรรเสริญเทิดทูนเขาไปได้ เหมือนกับเขาอยากฟังความซาบซึ้งใจที่ผู้อื่นมีต่อตนเองไปเสียอย่างนั้น


 


 


 “หลังจากนั้นคุณชายอวี่มั่วก็ตั้งร้านค้าจำนวนหนึ่งให้พวกเรา นี่ถึงทำให้พวกเราได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้น ภายในหล่านเย่ว์ก็มีก่อนจัดการกับผืนดิน ทำให้พวกเราพอใจในสิ่งที่ตนเองต้องการได้ด้วยตนเอง คนที่วิทยายุทธ์ดีก็ไปข้างนอกรับใช้ผู้อื่น เป็นเช่นนี้ วันเวลาที่ล่วงผ่านไปแต่ละวันหล่านเย่ว์ถึงได้ค่อยๆ พัฒนาให้เห็นเป็นภาพที่เจริญเช่นนี้ คิดถึงช่วงเวลาเหล่านี้ก็รู้สึกซึ้งใจนัก”


 


 


หลานเยี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป คิ้วขมวดมุ่น เขาพอจะรู้แล้วว่าเรื่องที่ตนทำในอดีตดีมากเพียงใด


 


 


“หยุดๆๆ พูดเรื่องช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่ว่าหล่านเย่ว์เป็นเช่นไรเถิด”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 154 แคว้นแดนอิสระ


 


 


“นับตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ท่านหัวหน้าแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างส่วนในหล่านเย่ว์ ผ่านการพัฒนาอีกหลายเดือนจากนั้น หล่านเย่ว์ก็กลายเป็นองค์กรอิสระแห่งหนึ่ง หากมองตามประเภทแล้วสามารถเรียกได้ว่าเป็นแคว้นแดนขนาดเล็ก


 


 


แม้จะเล็ก แต่ในความหมายบางประการ ก็ถือเป็นกองกำลังทหารที่หาญกล้าแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยกำลังสังหารที่แน่นอน” ผู้เฒ่าผู้หนึ่งพูดมาถึงตรงนี้ เห็นชัดว่ามีความนัยที่ต่างออกไป


 


 


“ท่านอื่นมีความเห็นเช่นไร หรือมีคำแนะนำหรือไม่” หลานเยี่ยเอ่ยปากถาม


 


 


“แม้หล่านเย่ว์ทำเช่นนี้ก็เพื่อคนภายในหล่านเย่ว์เอง แต่หล่านเย่ว์ก็ทำเพื่อคนที่ยากจนข้นแค้นเช่นกัน ขอแค่กำลังที่ถือเป็นฝั่งเลวร้ายยังดำรงอยู่ คนยากจนข้นแค้นก็จะมีไม่หยุด ดังนั้น…”


 


 


“ดังนั้นจึงคิดจะปฏิวัติตระกูลเยี่ยใช่หรือไม่”


 


 


“ท่านหัวหน้าเป็นประมุขตระกูลหลาน อำนาจของตระกูลหลานทัดเทียมกับตระกูลเยี่ย ดังนั้นจึงมีความสามารถมากพอที่จะทำให้โลกดีมากขึ้น”


 


 


หลานเยี่ยไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้เขารู้สึกสับสนไปหมด ตอนแรกเพื่อไม่ให้บิดาที่อยู่ในเมืองหลวงถูกกดดันอีก เขาร่วมมือกับมู่หลีปรึกษาหารือเรื่องปฏิวัติตระกูลเยี่ยด้วยกัน ในตอนนั้นเองหลานเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้น ทำให้เขามีเรื่องสับสนเพิ่ม ซึ่งก็คือสถานะของเขา สับสนอยู่ทั้งวัน เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเมื่อไรคือจุดจบ


 


 


ตอนนี้ เขาจะปล่อยวางความคิดนี้แล้ว แต่หล่านเย่ว์กลับเสนอความเห็นนี้ออกมา ที่สำคัญไปกว่านั้นคือขอแค่เขาฟื้นฟูความทรงจำ ไม่แน่ว่าเขายังต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้อีกด้วย


 


 


ความทรงจำของเขาสูญหายมากเกินไป อาศัยเพียงคนอื่นพูดย่อมไม่ได้เป็นแน่ เขามีเรื่องที่ไม่รู้มากเกินไป หลังจากฟื้นฟูความทรงจำแล้วจะต้องเผชิญกับเรื่องอะไรก็มิอาจทราบได้ จะให้เขาทำเช่นไร


 


 


หลานเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เขาเงยหน้ามองฟ้า อยากค้นหาคำตอบให้เจอ แต่ก็พบเพียงเพดานห้อง


 


 


“คนอื่นเล่า”


 


 


“ถ้าไม่มีอะไรพูดอีกก็พอเท่านี้แล้วกัน แยกย้ายเถิด ข้าขอนั่งคิดเสียหน่อย”


 


 


มีคนจำพวกหนึ่งที่เห็นชัดว่ายังไม่อยากจบเท่านี้ คิดอยากพูดอะไรอีก แต่ในเมื่อหลานเยี่ยพูดออกมาเช่นนี้แล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป พากันแยกย้าย


 


 


หลานเยี่ยกำลังครุ่นคิดคาดเดาว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการก่อตั้งหล่านเย่ว์ตอนแรกคืออะไร เพียงแค่อยากช่วยเหลือคนจนข้นแค้นเหล่านั้นอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้นหรือ เช่นนั้นเหตุใดต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในด้วย หรือจะไม่ใช่อยากก่อตั้งดินแดนในอุดมคติขึ้นมาเช่นนั้นหรือ นับแต่นี้ตัดขาดจากโลกภายนอก ใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์สวยงาม ไร้ซึ่งความเจ็บปวด ตอนแรกตนเองคิดเช่นไรกันแน่


 


 


ภายในโถงประชุมเหลือเพียงหลานเยี่ยและหลานเฟิงสองคน หลานเยี่ยนั่งพิจารณาเรื่องราวอยู่ด้านบน เพราะดื่มด่ำมากเกินไป แม้แต่หลานเฟิงเดินเข้ามาใกล้ก็ยังไม่รู้สึกตัว หลานฟิงนวดคิ้วที่ขมวดมุ่นของหลานเยี่ย หลานเยี่ยถึงได้สติกลับมา


 


 


“ตอนแรกเหตุใดข้าถึงปรับโครงสร้างหล่านเย่ว์” หลานเยี่ยเอ่ยปากถามเขา


 


 


“ตอนแรกที่เจ้ามาเมืองหลวง ความทรงจำถูกฟื้นฟูกลับมาเพราะเหตุบางประการ และรู้ข่าวท่านประมุขถูกลอบทำร้าย จึงคิดอยากกำจัดตระกูลเยี่ย หากหล่านเย่ว์ถูกพัฒนาขึ้นในอนาคตย่อมต้องเป็นกองกำลังที่ไม่เลวเลยทีเดียว ฉะนั้นด้วยความร้อนใจเจ้าจึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างหลานเย่ว์” หลานเยี่ยฟังหลานเฟิงพูด รู้สึกไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรนัก


 


 


“เอ๊ะ แต่ก่อนเจ้าเรียกข้าว่าอะไร”


 


 


“นายน้อย”


 


 


“เหตุใดตอนนี้ถึงไม่เรียก”


 


 


“เพราะตอนนี้ข้าเห็นเจ้าเป็นคนรัก” มือที่แต่เดิมนวดหว่างคิ้วของหลานเยี่ย ก็ลากลงมาบนใบหน้าของหลานเยี่ย หลานเฟิงลูบใบหน้าของหลานเยี่ย ผ่านไปนานก็ยังไม่ปล่อย


 


 


คอขอหลานเยี่ยขยับอย่างไม่รู้ตัว มองตาหลานเฟิง นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหอต้วนอวิ๋น ต่อให้สูญเสียความทรงจำ แต่ความรู้สึกที่มีต่อเจ้ายังคงเหมือนเดิม


ตอนที่ 155 จี้ฮวาฮวาไม่เงียบเหงา 


 


 


“ไม่ใช่ว่ามีสถานที่สุดท้ายหรือ พวกเราไปเถิด” หลานเยี่ยทำลายความเงียบ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตัวเขาคงแดงไปทั้งตัวเป็นแน่แท้ หลานเฟิงไม่พูดอะไร ยังคงมองความด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเช่นเดิม 


 


 


“หลานเฟิง?” จู่ๆ หลานเฟิงก็ชักมือออก แต่เอามาปิดตาหลานเยี่ยแทน ค้อมตัวลงมา หลานเฟิงลิ้มชิมรสริมฝีปากที่คาดหวังมาแสนนาน 


 


 


นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่หลานเฟิงจูบหลานเยี่ย นานแล้วที่อยากได้ครอบครองริมฝีปากของหลานเยี่ย ในที่สุดวันนี้ก็ได้ทดสอบรสชาติสิ่งที่คาดหวังมาแสนนาน นุ่มนิ่ม สบายเป็นอย่างมาก 


 


 


กลับเป็นหลานเยี่ยที่ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร มือทั้งสองข้างจับที่รองแขน หลานเฟิงไม่อาจทำใจปล่อยเขาได้ สอดลิ้นแนบแน่น หลานเยี่ยรับไม่ไหว ล้มลงไปข้างหลัง ถูกหลานเยี่ยใช้มือป้องกันศีรษะเอาไว้ถึงไม่กระแทกเข้ากับเก้าอี้ 


 


 


ไล่ระไปบนฟันของหลานเยี่ยให้แยกออก หลานเฟิงแย่งลมหายใจภายในปากของหลานเยี่ย หลานเยี่ยไม่คุ้นกับสัมผัสของหลานเฟิง พาลคิดไปว่าในอดีตเขาคงไม่เคยทำอะไรกับตนเองมาก่อน หลานเยี่ยไม่รู้ว่าวันนี้หลานเฟิงเป็นอะไรไป จู่ๆ ก็มาทำเช่นนี้ หรือว่าพอได้ยินคำพูดของอวี่มั่วในวันนี้แล้วไม่อาจทนต่อแรงยั่วยุได้อีก 


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งเลอะเลือน ตราบจนสุดท้ายตอนที่สติสัมปชัญญะใกล้ล่องลอย หรือวันนี้จะรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ไม่ได้แล้ว ยังไม่ทันได้เตรียมพร้อมเลย 


 


 


หลานเยี่ยคิดเช่นนี้ แต่ไม่นานหลานเฟิงก็ปล่อยเขา ก่อนที่จะห่างออกไปยังไม่ลืมที่จะใช้ปลายลิ้นดูดดุนริมฝีปากของหลานเยี่ย หลานเยี่ยอ้าปากหอบหายใจ ใบหน้าแดงก่ำมองหลานเฟิง ริมฝีปากนั้นกลายเป็นสีแดงสด 


 


 


หน้าผากของหลานเฟิงจรดสัมผัสหน้าผากของหลานเยี่ย มือทั้งสองข้างจับต้องใบหน้าของเขาเอาไว้ ไม่ยินยอมให้ห่างออกไปแม้แต่นาทีเดียว 


 


 


“ไปหอเย่ว์เยี่ยกับข้าดีหรือไม่” 


 


 


“ดี” 


 


 


“เปลี่ยนชื่อเป็นหอเฟิงเยี่ยดีหรือไม่” 


 


 


“ดี” 


 


 


“เชื่อฟังเสียหน่อย ไม่ต้องไปคิดถึงอะไรทั้งสิ้นดีหรือไม่” 


 


 


“ดี” 


 


 


“เป็นฮูหยินของข้าดีหรือไม่” 


 


 


“ดี” 


 


 


ตอนนี้หลานเยี่ยยังคงมึนงง ฉะนั้นหลานเฟิงพูดอะไรล้วนรับปากทั้งสิ้น เห็นรอยยิ้มได้ใจของหลานเฟิง ในที่สุดหลานเยี่ยก็ได้สติกลับมา 


 


 


“ที่เจ้าจูบข้าเพราะอยากให้ข้ามึนงงจนไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้นจะได้รับปากท่านเช่นนั้นหรือ” หลานเยี่ยตีแขนของหลานเฟิงอย่างแรง 


 


 


“โอ๊ย” หลานเฟิงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา ทำให้หลานเยี่ยตกใจไม่น้อย 


 


 


“เจ้าผู้นี้ เล่นต่อไปซิ” หลานเยี่ยเงื้อมือขึ้น แต่ถูกหลานเฟิงจับไว้ 


 


 


“ฮูหยิน เจ้ารับปากข้าแล้วนะ พวกเราไปเถิด ไปหอเฟิงเยี่ย จากนั้นก็กลับตระกูลหลาน พวกเราไปกราบไหว้ฟ้าดินแต่งงาน” 


 


 


“…” ขายตนเองออกไปอย่างงงๆ เช่นนั้นหรือ เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงด้วย 


 


 


ทั้งสองคนไม่สนใจหล่านเย่ว์ กลับไปหอต้วนอวิ๋นโยนป้ายคำสั่งให้อวี่มั่วแล้วจึงจากมา ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมสักประโยค สิ่งที่เหลือให้อวี่มั่วเห็นคือแผ่นหลังสง่า ร้อนจนทำให้อวี่มั่วด่าออกมาอย่างไม่ไว้หน้า 


 


 


ส่วนใหญ่แล้วก็พูดว่าเห็นเขาเป็นแรงงานไร้ค่าแรง กดขี่รังแกประชาชน หลอกลวงกรรมกร ลืมบุญคุณ เห็นคนรักดีกว่าสหาย 


 


 


หลานเยี่ยอารมณ์ดีอย่างมาก ที่รังแกนั้นคือเจ้า วันๆ จู๋จี๋เย้าหยอกกับเทียนซี ในที่สุดครานี้ก็สามารถแก้แค้นได้แล้ว 


 


 


ทั้งสองคนกลับมายังหอเย่ว์เยี่ย ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าหอเฟิงเยี่ย มองดูกระต่ายน้อยสองสามตัวที่วิ่งออกมา หลานเยี่ยก็วิ่งไปกอดพวกเขาเอาไว้อย่างอารมณ์ดี 


 


 


“ข้ากลับมาแล้ว คิดถึงข้าหรือไม่” 


 


 


“อืม คิดถึง” 


 


 


“ไม่ได้ถามเจ้าเสียหน่อย” หลานเยี่ยถึงพบว่าหลานเฟิงเหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ตอนนี้หน้ายิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางเย็นชาก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่มีแล้วเล่า หรือจะบอกว่าก่อนนี้อดกลั้นเอาไว้ตลอด ไม่ได้แสดงออกมา  


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 156 การสารภาพรักที่ลึกซึ้ง  


 


 


“จำได้ว่าครั้งที่แล้วตอนมาพร้อมมู่หลี เห็นร่องรอยว่ามีคนมา น่าจะเป็นเจ้ากระมัง” หลานเยี่ยยังคงลูบเจ้ากระต่ายน้อยเล่น  


 


 


“ใช่ ตอนนั้นเกิดเหตุบางอย่างขึ้น มาที่นี่โดยมิได้ตั้งใจ และเป็นตอนนั้นที่ข้าพบว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่” 


 


 


“พูดเรื่องในอดีตตอนที่พวกเรามาว่าเป็นภาพเช่นใดได้หรือไม่” 


 


 


“ในอดีตหรือ ก็เป็นเช่นนั้นกระมัง” หลานเฟิงมองหลานเยี่ยแล้วพูดประโยคเช่นนี้ออกมา  


 


 


“เจ้าคิดจะพูดหรือไม่” 


 


 


“รอเจ้ารื้อฟื้นความทรงจำแล้วก็รู้เอง” 


 


 


“รื้อฟื้นความทรงจำ…จู่ๆ ข้าก็คิดอยากฟื้นความทรงจำเสียแล้ว” 


 


 


“จะไม่เสียใจภายหลังหรือ” หลานเฟิงถามขึ้น  


 


 


“ไม่รู้เช่นกัน” 


 


 


“จะฆ่าข้าหรือไม่” 


 


 


“ไม่” 


 


 


“จะเกลียดข้าหรือไม่” 


 


 


“อาจจะกระมัง” 


 


 


หลังจากถามคำถามสองสามข้อ หลานเฟิงก็ไม่พูดอะไรอีก จู่ๆ หลานเยี่ยกลับยื่นมือไปหาเขา ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างจริงใจ หลานเฟิงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก  


 


 


“หลานเฟิง เจ้ายินยอมสละสถานะองครักษ์ของข้าหรือไม่ ต่อให้รื้อฟื้นความทรงจำกลับมา ต่อให้หลังจากนี้ข้าอาจเกลียดเจ้า แต่ในตอนนี้ ในเวลานี้ ไม่สนใจอนาคต” 


 


 


“เหตุใดเล่า” 


 


 


“เพราะใจข้าชื่นชอบเจ้า” มือของหลานเยี่ยยังยื่นออกไป การสารภาพรักที่ตรงไปตรงมาทำให้หลานเฟิงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่หลานเยี่ยสารภาพรักเขาก่อน  


 


 


สายลมกระแสหนึ่งพัดผ่าน หลานเฟิงจับมือหลานเยี่ยช้าๆ มือทั้งสองคู่กุมเข้าหากันแน่น หัวใจทั้งสองดวงก็ถูกลากให้มาเจ้ามาใกล้อย่างลึกซึ้ง ใบหน้าของหลานเยี่ยมีรอยยิ้มประดับ  


 


 


หลานเฟิงออกแรงดึงหลานเยี่ยเข้าหาตัว หลานเยี่ยยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือข้างหนึ่งยังจับมือของหลานเฟิงอยู่ มืออีกข้างจับคอเสื้อที่อยู่ตรงแผ่นอกของหลานเฟิง เงยหน้าสบตาขึ้นมองหลานเฟิง ลมหายใจของหลานเยี่ยเริ่มไม่สงบ 


 


 


หลานเฟิงเขยิบหน้าเข้าใกล้ช้าๆ หลานเยี่ยหลับตาลง ทั้งสองคนกอดกันแน่น หัวใจทั้งสองดวงก็แนบชิดสนิทกันอย่างใกล้ชิด หลังจากจุมพิตหนึ่งผ่านไป หลานเฟิงปล่อยหลานเยี่ยออก แต่ยังคงหอมใบหน้าของหลานเยี่ยอย่างยังไม่หายอยาก  


 


 


“พรุ่งนี้เจ้าก็จะอายุยี่สิบปีแล้ว อยู่กับข้าตลอดไปได้หรือไม่ ปล่อยวางตนเองมอบให้ข้าได้หรือไม่ รักข้าตลอดไปได้หรือไม่ ต่อให้ความทรงจำกลับมาก็ดี หรือจะเกลียดข้าก็ดี อย่าได้ลืมข้าอีก” 


 


 


หลานเฟิงกอดหลานเยี่ย หลานเยี่ยวางศีรษะลงบนไหล่หลานเฟิง สัมผัสได้ว่าหลานเฟิงตัวสั่น หลานเยี่ยกอดเขาไว้แน่น 


 


 


“ไม่มีทาง ข้าไม่มีทางจากเจ้าไปไหนอีก ไม่มีทาง อย่าเป็นกังวลเลย ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป” หลานเยี่ยพูดปลอบประโลมหลานเฟิง 


 


 


ทั้งสองคนเข้ามาภายในหอเฟิงเยี่ย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากแต่ก่อน แม้หลานเยี่ยจะมาพร้อมกับมู่หลีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยไปยุ่งกับภายใน 


 


 


เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะน้ำชาหนึ่งตัว เตาไฟหนึ่งอัน หนังสือจำนวนหนึว่า ข้าวของเครื่องใช้ขนาดเล็กน้อยชิ้น รวมกันกลายเป็นทั้งหมดของหอเฟิงเยี่ย แม้จะเล็กแต่ข้าวของล้วนครบถ้วนอย่างมาก  


 


 


“ดูท่าหากในอนาคตพวกเราอาศัยอยู่ที่นี่ ข้าจะต้องหัดเรียนทำอาหารบ้างแล้ว” หลานเฟิงพูดกับหลานเยี่ย เขาคิดถึงเรื่องกลางดึกคืนนั้นที่หลานเยี่ยและมู่หลีกินปลาด้วยกัน  


 


 


“ขอแค่ขนมอบสับปะรดก็พอแล้ว” 


 


 


“ยังคงเลือกกินเหมือนเดิม หลังจากนี้จะทำให้เจ้ากินทุกวัน” 


 


 


“ดี” 


 


 


“พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเจ้าแล้ว อยากได้อะไรหรือไม่” 


 


 


“อยากได้ ความทรงจำของข้า” จู่ๆ หลานเฟิงก็เดินเข้าไปใกล้หลานเยี่ย ค้อมตัวลง บังคับให้หลานเยี่ยเดินไปประชิดผนัง 


 


 


“เจ้าทำอะไร” 


 


 


“รอคืนวันพรุ่งนี้ ข้าจะพยายามทำให้เจ้าฟื้นฟูความทรงจำ” หลานเยี่ยหน้าแดงก่ำในฉับพลัน แต่จู่ๆ ก็มีท่าทีต้องทำให้ถึงที่สุด หลับตาลง ก้าวขึ้นไปจูบหลานเฟิงไว้ ความพยายามอะไรนั่นพรุ่งนี้ค่อยว่ากันก็แล้วกัน  


ตอนที่ 157 วันเกิด


 


 


วันรุ่งขึ้นหลานเฟิงตื่นแต่เช้า หลานเยี่ยยังคงหลับอยู่ รอจนหลานเยี่ยตื่นขึ้นมานั้น บนโต๊ะมีอาหารสองสามอย่างเพิ่มขึ้น


 


 


เมื่อเห็นหลานเยี่ยตื่นแล้ว หลานเฟิงก็เดินเข้าไปเรียกให้เขาลุกมากินข้าว


 


 


“ลุกขึ้นมาเถิด ทำขนมอบสับปะรดที่เจ้าชอบเอาไว้” หลานเฟิงเดินมาถึงข้างเตียงยิ้มพลางมองหลานเยี่ย


 


 


“เจ้าดึงข้าขึ้นซิ”


 


 


หลานเยี่ยนอนราบอยู่อย่างนั้นมองหลานเฟิง ในดวงตาสะท้อนประกายขบขัน หลานเยี่ยยื่นมือข้างหนึ่งออกมา จับแขนเสื้อของหลานเฟิง อาศัยแรงของหลานเฟิงในการลุกขึ้น


 


 


หลานเยี่ยหาวหวอดใหญ่ พลางดึงจัดการเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็สบสายตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นของหลานเฟิงที่แฝงไปด้วยความนัย จากนั้นคนบางคนก็กุมท้องหัวเราะออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก


 


 


หลานเฟิงเดินไปจัดการเอาโต๊ะน้ำชาตัวเล็กตัวหนึ่งมาวางไว้บนเตียง จากนั้นก็ยกกับข้าวมา เทน้ำชา จัดวางตะเกียบเรียบร้อยแล้วนั้นหลานเฟิงก็เดินออกไปยกน้ำอุ่นกะละมังหนึ่งให้หลานเยี่ยได้ล้างหน้าบ้วนปาก


 


 


หลานเยี่ยเพลิดเพลินไปกับการบริการที่หลานเฟิงทำให้เขา หลังจากเช็ดหน้าเช็ดมือ บ้วนปากเสร็จแล้ว ในที่สุดก็สามารถกินข้าวได้


 


 


“เอาล่ะ กินข้าวเถิด ต้องให้ข้าป้อนเจ้าหรือไม่” หลานเฟิงพูดกับหลานเยี่ยด้วยความเอ็นดู


 


 


“ไม่ต้องๆ ข้าทำเองก็ได้” เขาหิวจะตายอยู่แล้ว หากว่าหลานเฟิงค่อยๆ ป้อนเขาทีละหน่อย นั่นจะทนได้อย่างไร หลานเยี่ยหยิบตะเกียบขึ้นกินข้าวคำใหญ่อย่างไร้ซึ่งอุปสรรค


 


 


“กินช้าเสียหน่อย ยังมีอีก”


 


 


“ที่นี่ไม่มีวัตถุดิบเสียหน่อย เจ้าไปหามาจากที่ไหน”


 


 


“เมื่อเช้าข้าไปบริเวณใกล้เคียงหอต้วนอวิ๋น ซื้อวัตถุดิบกลับมาบางส่วน มากพอให้พวกเราได้กินสองสามวัน”


 


 


“ลำบากเจ้าแล้ว” หลานเยี่ยยื่นหน้ามาจูบหลานเฟิงทีหนึ่ง เห็นใบหน้าของหลานเฟิงเปื้อนขนมอบสับปะรด หลานเยี่ยก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้


 


 


หลานเฟิงใช้ลิ้นเลียเบาๆ ยังรู้สึกไม่หายอยาก เห็นหลานเฟิงมีท่าทีเช่นนี้ หลานเยี่ยก็เบือนหน้าไปกินขนมอบสับปะรดเงียบๆ


 


 


“กินอิ่มแล้ว อยากไปที่ไหน”


 


 


“ไม่อยากไปไหนทั้งสิ้น แค่อยากอยู่ในเรือน นั่งอยู่บนเก้าอี้ อาบแดด พูดคุย”


 


 


“ได้”


 


 


หลานเยี่ยนั่งกินข้าวอยู่ในห้อง หลานเฟิงออกไปจัดการด้านนอก รอจนหลานเยี่ยกินอิ่มแล้ว เดินออกมา ชูมือบิดขี้เกียจ เดินไปถึงข้างแม่น้ำก็หยุดแวะหยอกล้อกับปลาตัวน้อย หลานเยี่ยเดินมาถึงภายในสวน นั่งลงบนเก้าอี้ที่หลานเฟิงจัดเตรียมไว้ให้ ลูบท้องเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ


 


 


หลานเฟิงย้ายเก้าอี้มาอีกตัวหนึ่ง ตั้งไว้ข้างเขา แล้วยังอุ้มกระต่ายขึ้นมาตัวหนึ่งวงไว้บนขาของหลานเยี่ย จากนั้นตนเองก็นั่งลงบนเก้าอี้ แหงนมองไปด้านหลัง มือข้างหนึ่งกุมมือของหลานเยี่ยเอาไว้


 


 


แค่เท่านี้ นั่งอาบแดด พูดคุยกันไปเรื่อยๆ


 


 


ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดน่าจะเป็นเช่นนี้กระมัง วันเวลาที่ยังไม่มาถึงอาจจะมีเจ้าอยู่ตลอด ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ได้เสพสุขกับเวลาที่สบายใจทุกวัน


 


 


ประสบพบเจอเรื่องมากมายเช่นนี้ ความเจ็บปวดมีมากพอแล้ว จะเหมือนกับที่อวิ๋นอี้พูดหรือไม่ วันที่ยังมาไม่ถึงเต็มไปด้วยขวากหนาม เต็มไปความขมขื่น แต่ตอนนี้ไม่ได้กลัววันที่ยังมาไม่ถึงอีกต่อไป เพราะในอนาคตมีเจ้า เพราะเจ้าอยู่ข้างกาย


 


 


“เสี่ยวเยี่ย สุขสันต์วันเกิด”


 


 


“อืม”


 


 


“เสี่ยวเยี่ย ใจข้าชื่นชมเจ้า”


 


 


“อืม”


 


 


หลานเยี่ยตอบรับเสียงเบา หลานเฟิงหันหน้าไปมองเขา พบว่าหลานเยี่ยนั้นน้ำตาเต็มใบหน้าอยู่นานแล้ว วันเวลามีความสุขมากเกินไป จนเกิดความกลัวขึ้นเล็กน้อย หวังมากเพียงใดว่าเวลาที่ยังมาไม่ถึงจะได้ใช้ชีวิตสงบเรียบง่าย หวังมากเพียงใดให้เวลาหยุดลง หวังมากเพียงใดให้ใจของเจ้ามีเพียงข้า หวังมากเพียงใด…


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 158 อารมณ์พลุ่งพล่าน


 


 


หลานเยี่ยคีบกับข้าวมือสั่น แม้จะเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเขา แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เขาไม่อาจทำใจให้สงบลงได้


 


 


มือยังคงสั่นอยู่อย่างต่อเนื่อง หลานเยี่ยคีบกับข้าวขึ้นมาคำหนึ่ง ยังไม่ทันได้เข้าปาก ก็ตกลงบนโต๊ะเสียก่อน หลานเยี่ยที่จนปัญญาทำได้เพียงคีบใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็ตกอีก ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ทำให้หลานเยี่ยเกิดรู้สึกไร้ซึ่งสติความคิด


 


 


หลานเฟิงนั่งดื่มเหล้าอยู่อีกฝั่ง พลางมองท่าทีซุ่มซ่ามของหลานเยี่ย ตราบจนหลานเยี่ยทำกับข้าวหนึ่งจานหกไปหมด หลานเฟิงก็จับตะเกียบที่อยู่ในมือหลานเยี่ยเอาไว้อย่างจนปัญญา


 


 


“เจ้ากำลังตื่นเต้น”


 


 


“ที่…ที่ไหนกันเล่า” หลานเยี่ยยังคงปากแข็ง หลานเฟิงถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง เริ่มคีบอาหารให้หลานเยี่ยกิน


 


 


“กินให้มากเสียหน่อย อีกครู่ถึงจะมีแรง ใช่หรือไม่” หลานเฟิงมองหลานเยี่ยอย่างหยอกเย้า เห็นว่ากำลังจะโต้ตอบเขา กลับถูกหลานเฟิงยัดตะเกียบเข้าปากไป


 


 


“เชื่อฟัง กินข้าว อย่าพูด” หลานเยี่ยทำได้เพียงกินข้าวอย่างเชื่อฟัง หลานเฟิงคีบให้หลานเยี่ยทีละคำ หลานเยี่ยก็ค่อยๆ กินทีละคำ


 


 


ในที่สุดก็กินอิ่ม หลานเยี่ยบิดขี้เกียจ ยังไม่ทันได้ลดมือลงก็ถูกหลานเฟิงอุ้มขึ้น


 


 


“เจ้าทำอะไร ให้ข้าได้ย่อยอาหารก่อนไม่ได้หรือ”


 


 


หลานเฟิงยิ้มมองหลานเยี่ย แม้ทุกครั้งจะเป็นเพียงการยกริมฝีปากขึ้นน้อยๆ แต่ก็ยังทำให้หลานเยี่ยนิ่งอึ้งไป ทำไมถึงได้หน้าตาดีเช่นนี้


 


 


“พาเจ้าไปย่อยอาหารอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไร หรือจะบอกว่าเจ้าอยากให้ข้าทำตอนนี้เลยหรือ”


 


 


“แล้วแต่เจ้า” หลานเยี่ยแสร้งทำเป็นโมโหเบือนหน้าหนี


 


 


หลานเฟิงอุ้มหลานเยี่ยออกมาข้างนอก บนแม่น้ำสายเล็กมีเรือลำหนึ่งจอดนิ่งอยู่ ไม่มีหลังคา หลานเฟิงพาหลานเยี่ยก้าวขึ้นไป


 


 


ยืนอยู่บนเรือ หลานเฟิงชี้พระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะ หลานเยี่ยเกิดวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด ซึ่งเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เมื่อมองจากตรงนี้พระจันทร์ใหญ่เป็นพิเศษ กลมเป็นพิเศษ อีกทั้งวันนี้ก็อากาศปลอดโปร่ง แสงจันทร์ส่องลงมาอย่างชัดเจน ทอประกายครอบคลุมทั่วผืนทะเลสาบ


 


 


กระแสลมบางเบาพัดพา หลานเยี่ยนั่งอยู่ในเรืออย่างสบายใจ


 


 


“สบายจังเลย คืนนี้แสงจันทร์ช่างสวยเหลือเกิน”


 


 


“ประกอบกับคนงาม ก็ยิ่งสวยมากขึ้น” หลานเฟิงเอ่ยปากสมทบหลานเยี่ย


 


 


“เช่นนั้นคุณชายผู้นี้เป่าบรรเลงบทเพลงหนึ่งให้ฟังเพื่อเสริมบรรยากาศดีหรือไม่” หลานเยี่ยส่งขลุ่ยให้หลานเฟิง หลานเฟิงรับไป เสียงขลุ่ยดังขึ้น เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก หลงใหลใฝ่เพ้อ


 


 


หลานเยี่ยมัวเมาอยู่ในแสงจันทร์ ในลมบาง ในเสียงขลุ่ย ในอารมณ์อันลึกล้ำของหลานเฟิง ศีรษะแหงนขึ้นน้อยๆ มองดูหลานเฟิง สายตาหลงใหลของหลานเยี่ยทำให้หลานเฟิงค่อยๆ วางขลุ่ยลงช้าๆ


 


 


นั่งอยู่ข้างหลานเยี่ย อารมณ์ของทั้งสองเกิดกระตุ้น หลานเฟิงอุ้มหลานเยี่ย นอนลงบนภายในเรือ เสื้อผ้าค่อยๆ ไหลตก มือทั้งสองข้างประสานแนบสิบนิ้ว กอดกันอย่างแนบแน่น หลานเยี่ยมีความรู้สึกเกินจริงอยู่เล็กน้อย คิดถึงเรื่องเมื่อเช้านี้ หลานเยี่ยกลับรู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝันในฉับพลัน


 


 


สัมผัสได้ถึงการกระทำที่หยุดลงของหลานเยี่ย หลานเฟิงเงยหน้ามองเขา กลับพบว่าหลานเยี่ยจ้องมองเขาเขม็ง


 


 


“เจ้ารักข้าหรือไม่”


 


 


“รัก” หลานเฟิงพยายามควบคุมตนเองอย่างสุดความสามารถ ตอบสนองพูดกับหลานเยี่ย


 


 


“เช่นนั้นข้าอยากอยู่ข้างบน”


 


 


“…”


 


 


หลานเฟิงคิดอยู่เสี้ยววินาที ก็ปิดปากของหลานเยี่ยเอาไว้ คิดว่าเขาจะพูดเรื่องอะไรเสียอื่น อยากอยู่ข้างบน จะให้เจ้าได้ใจได้อย่างไร


 


 


“หลานเฟิง อ่าอากอู่อั้งอน (ข้าอยากอยู่ข้างบน) อ่าาา” หลานเยี่ยพยายามจะพูด แต่กลับถูกหลานเฟิงปิดปากไว้อย่างแรง


 


 


เรือแบนลำน้อยแกว่งไปมาไม่หยุด สองคนที่มีความรู้สึกต่อกันในที่สุดก็ได้ครอบครองอีกฝ่าย หลานเยี่ย ในที่สุดเจ้าก็เป็นคนของข้า หลานเฟิง ในที่สุดเจ้าก็เป็นคนของข้า


 


 


เพิ่งตื่นจากความฝันครั้งใหญ่ แสงอาทิตย์สะท้อนส่องเข้ามา หลานเยี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลานเฟิงช้อนศีรษะมองเขาอยู่ข้างๆ


 


 


“ตื่นแล้วหรือ”


 


 


“ซี้ด…เจ็บ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม