(Yaoi) ใต้ม่านรัตติกาล 143-150

 ตอนที่ 143 ขี่ม้าพุ่งทะยาน


 


 


หลานเฟิงคิดถึงอดีตก่อนหน้านี้นานแสนนาน เหมือนว่าหลานเยี่ยก็เคยบีบหน้าของเขาเช่นนี้ ในตอนนั้นเขายังคงหลบหนี ในตอนนั้นยังไม่มีอะไรเริ่มขึ้น ในตอนนั้นทุกอย่างยังคงงดงาม


 


 


จู่ๆ หลานเฟิงก็ลากหลานเยี่ยให้เดินออกไปข้างนอก หลานเยี่ยตกใจไม่น้อย


 


 


“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”


 


 


“ตามข้ามา”


 


 


หลานเยี่ยโดนหลานเฟิงลากออกไปอย่างแข็งขืนมาจนถึงเขาหลานวั่ง ระหว่างทางก็ไม่ลืมจูงม้ามาตัวหนึ่ง หลานเยี่ยไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร มองเขาอย่างหวาดกลัวอยู่อีกข้าว


 


 


หลานเฟิงหยุดฝีเท้ามองหลานเยี่ย หลานเยี่ยไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้มองตนเองเช่นนี้จึงพยายามออกแรงหลบอยู่ด้านหลัง ออกให้ห่างจากหลานเฟิง คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลานเฟิงดึงเอาไว้


 


 


“ขึ้นไป


 


 


“หา?”


 


 


“ขึ้นม้า”


 


 


หลานเยี่ยถึงได้เข้าใจว่าหลานเฟิงสั่งให้คนเองขึ้นหลังม้า ตัวเองยืนบ่นงึมงำอยู่ตรงนั้น ขึ้นหลังม้าก็ขึ้นหลังม้าเหตุใดต้องดึงข้า


 


 


เมื่อเห็นว่าหลานเยี่ยขึ้นหลังม้าแล้ว หลานเฟิงจึงตามขึ้นไป นั่งอยู่ข้างหลังหลานเยี่ย หน้าอกติดชิดแนบแน่นอยู่กับหลังของหลานเยี่ย หัวใจทั้งสองดวงเต้นตึกตักเสียงดัง เต้นจนหลานเยี่ยรู้สึกไม่สบายตัว


 


 


“เจ้าทำอะไร ตระกูลหลานขาดแคลนม้าขนาดนี้เชียวหรือ คนสองคนทีเพียงม้าตัวเดียว อ๋าาา” จู่ๆ หลานเฟิงก็ตีสะโพกม้า ม้าได้รับคำสั่งก็พุ่งทะยานออกไป ทำให้หลานเยี่ยที่ไม่ทันได้เตรียมตัวตกใจไม่เบา


 


 


ในที่สุดก็สงบลง ข้างหูไม่มีเสียงโวยวายรบกวนของหลานเยี่ยอีกต่อไป ด้านหน้ามีกระต่ายน้อยสองตัววิ่งออกมา หลานเยี่ยมองเพียงแค่สองสามที อดกลั้นอาการอยากพุ่งเข้าไปจับเอาไว้


 


 


หลานเฟิงกระชับบังเ**ยนม้าในทันใด


 


 


“ทำไมถึงเงียบเช่นนี้”


 


 


“…”


 


 


“อย่าอดกลั้นตนเอง อยากทำอะไรก็ทำ เหมือนกับแต่ก่อน”


 


 


“…”


 


 


กระต่ายข้างหน้าวิ่งออกไปไกลแล้ว แต่หลานเฟิงยังไม่มีทีท่าจะขยับไปไหน จนทำให้หลานเยี่ยร้อนใจจนแทบจะเต้นแร้งเต้นกา


 


 


“เจ้าก็ขยับเสียซิ กระต่ายจะวิ่งไปหมดแล้ว” หลานเยี่ยไม่ได้มอง ในบริเวณที่เขามองไม่เห็นนั้นหลานเฟิงหัวเราะออกมา ยังคงซุกซนอยู่เช่นนั้น


 


 


บังคับม้าไล่ตามไป หลานเยี่ยร้องเรียกด้วยความดีใจ


 


 


“เร็วๆๆ หลานเฟิง เร็ว อีกนิดเดียวเท่านั้น อีกนิดเดียว เจ้าเร็วหน่อยซิ” หลานเยี่ยร้อนรนจนทนไม่ไหว ร้องเร่งหลานเฟิงไม่หยุด ตอนนั้นหลานเฟิงเพียงจูงม้ามาตัวหนึ่งโดยมิได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าฝีเท้าจะแย่ถึงเพียงนี้ ยังดีที่เร่งไล่อย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายก็ไล่ตามทัน


 


 


“หลานเฟิงจับข้าไว้” หลานเยี่ยยื่นมือข้างหนึ่งให้เขา หลานเฟิงจับเอาไว้ หลานเยี่ยค้อมเอวจับกระต่ายตัวหนึ่งขึ้นมา หลานเยี่ยหันกลับไปคิดจะพูดโอ้อวดกับหลานเฟิง แต่กลับพบท่าทางอันน่าดึงดูดนี้ เขาอยู่ข้างล่างมองดูหลานเฟิง ทั้งสองคนสบตากัน หลานเยี่ยรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเป็นประกายปรากฏขึ้นในหัว


 


 


“จะเป็นตัวในตอนนั้นหรือไม่นะ ข้ารู้สึกว่าบนร่างกายของมันมีร่องรอยพลังกระแสวิญญาณของข้าหลงเหลืออยู่”


 


 


“อายุของกระต่ายไม่น่าจะยาวถึงเพียงนั้น อีกทั้งมาถึงตระกูลหลานแล้ว บนร่างกระต่ายทั่วทั้งเขาน่าจะมีกระแสวิญญาณของนายน้อยท่านหลงเหลืออยู่”


 


 


‘เป็นใครที่กำลังพูด และเป็นคำพูดของใครกัน เหตุใดในหัวถึงปรากฏภาพนี้ขึ้นมา คำพูดเหล่านี้ข้าพูดอย่างนั้นหรือ’


 


 


หลานเฟิงเห็นสายตาเหม่อลอยของหลานเยี่ยก็รีบดึงเขาขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าหลานเยี่ยที่ขึ้นมาแล้วก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ


 


 


“ทำไมหรือ”


 


 


“ข้าเหมือนคิดถึงเรื่องบางเรื่องได้ ภาพเหตุการณ์นี้ ในอดีตเคยเกิดขึ้นมาก่อนใช่หรือไม่ ทำไมเจ้าถึงพาข้ามาที่นี่ แล้วทำไมถึงได้พาข้ามาขี่ม้า จับกระต่าย เพราะว่าในอดีตเจ้าเคยทำเรื่องเหล่านี้กับหลานเยี่ยใช่หรือไม่”


 


 


“ใช่” หลานเฟิงตอบอย่างไม่ลังเล


 


 


“ตอนนี้เจ้ายังมีอะไรสงสัยอีกหรือไม่”


 


 


“ใครจะไปรู้เล่า! ต่อจากนี้พวกเราจะไปที่ใด”


 


 


“เจ้าอยากไปที่ใด” มองดูทิศทางที่ม้าวิ่งไป หลานเยี่ยลอบถอนหายใจ


 


 


“กำหนดทิศทางไว้แล้ว ยังจะต้องถามข้าอีกทำไม”


 


 


“พูดถูก”


 


 


“…”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 144 แรกรู้จักเขาเทียนปี้


 


 


ทิศทางเบื้องหน้าคือเขาเทียนปี้ แม้หลานเฟิงไม่อยากให้หลานเยี่ยได้พบหน้ากับอวิ๋นหรู แต่เพราะความทรงจำของหลานเยี่ย เขาก็ยังพาหลานเยี่ยไปยังเขาเทียนปี้


 


 


เขาเทียนปี้อยู่ในช่วงการก่อสร้างใหม่ เพราะตอนที่หลานเยี่ยถูกจับไปก่อนนี้เขาเทียนปี้เพิ่งถูกวางเพลิงไม่นาน ดังนั้นความทรงจำจึงไม่ได้ลึกล้ำเท่าไรนัก


 


 


“ที่นี่คือเขาเทียนปี้หรือ”


 


 


“อืม”


 


 


“ไม่ค่อยเหมือนกับที่คิดไว้เท่าไรนัก”


 


 


“ที่เจ้าคิดไว้เป็นเช่นไร”


 


 


“เป็นสถานที่สวยงามเหมือนเขาหลานวั่ง ควรต้องมีผลหมากรากไม้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ลูกท้อผลใหญ่ห้อยอยู่บนต้น ทำให้คนน้ำลายสอ ผลมะกอกสีแดงสดทำให้คนไม่อยากละมือทิ้ง” หลานเยี่ยพูดสิ่งที่ตนเองคิดออกมาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย


 


 


“ช่างเป็นแมวจอมตะกละเสียจริง ที่นี่ในอดีตสวยงามเหมือนกับเขาหลานวั่งจริง และมีผลหมากรากไม้นานาชนิดจริง เป็นความผิดของข้าที่ชักนำคนตระกูลเยี่ยเข้ามา ให้พวกเขาเผาไหม้เขาเทียนปี้”


 


 


หลานเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เมื่อมาถึงประตูใหญ่เขาเทียนปี้ ทหารยามทำความเคารพหลานเยี่ยอย่างนอบน้อมเกรงกลัว จากนั้นก็ให้พวกเขาเข้าไป เสมือนสิ่งที่หลานเยี่ยคิดเอาไว้


 


 


หลังจากเข้าไปแล้วทั่วทุกบริเวณเป็นกลิ่นของไม้ใหม่ และมีลมหายใจของป่าไม้หญ้าเขียวแอบแฝง กลิ่นหอมเป็นอย่างมาก มีคนกำลังประดับตกแต่งบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างหลากหลายรูปแบบที่ทำให้หลานเยี่ยทั้งรู้สึกแปลกแยกและมีความคุ้นเคยแอบแฝงนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นตรงหน้า


 


 


“ที่นี่สร้างเหมือนกับในอดีตเลยใช่หรือไม่”


 


 


“อืม น่าจะทำเพื่อระลึกถึงประมุขวังคนก่อนกระมัง”


 


 


เมื่อเดินตรงไปข้างหน้าอีก มีคนสังเกตเห็นหลานเยี่ยก็เดินเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม หลานเยี่ยส่งยิ้มน้อยๆ เป็นการตอบกลับ เดินไปอีกไม่ไกลก็ปรากฏสิ่งปลูกสร้างที่โดดเด่นต่างจากที่อื่นขึ้นมา


 


 


“นี่คือโถงบรรพชนแห่งเขาเทียนปี้ ตอนที่เขาเทียนปี้โดนเผาวอด ประมุขวังได้ปกป้องโถงบรรพชนและเรือนอี้หรงเอาไว้


 


 


“เรือนอี้หรง?”


 


 


“อืม ต้องเดินไปข้างหน้าอีกถึงจะเห็น จะเข้าไปดูในโถงบรรพชนหรือไม่ ป้ายวิญญาณของฮูหยินยังคงอยู่ในนั้น”


 


 


“ฮูหยิน? มารดาของข้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ใช่”


 


 


หลานเยี่ยได้ยินคำตอบก็รีบเข้าไปข้างใน ภายในไม่มีคน มีเพียงป้ายวิญญาณวางเรียงไว้ หลานเยี่ยก้าวขึ้นไปข้างหน้า มองเพียงปราดเดียวก็เห็นป้ายวิญญาณของอวิ๋นหรง


 


 


“นี่คือมารดาข้าอย่างนั้นหรือ” หลานเยี่ยหันกลับไปพลางชี้ป้ายวิญญาณของอวิ๋นหรงแล้วถามขึ้น


 


 


“ใช่แล้ว”


 


 


หลานเยี่ยก้าวขึ้นไป แต่เดิมเขายังมีความคาดหวังคิดว่ามารดาที่ตนจะได้เจอนั้นอย่างแย่สุดก็คือสภาพเช่นหลานชิง แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นเพียงป้ายวิญญาณที่เย็นเยียบแผ่นหนึ่ง


 


 


“ท่านแม่? ท่านคือท่านแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ” หลานเยี่ยไม่รู้ว่าตนเป็นอะไร จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา เขาไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย มองดูป้ายวิญญาณอย่างนิ่งงันอยู่เช่นนั้น


 


 


“หากท่านคือท่านแม่ของข้า ข้าก็ไม่ควรมาพบท่าน สภาพของข้าเช่นนี้คงทำให้ท่านเป็นกังวลกระมัง ข้าขอโทษ ท่านแม่ ข้าจดจำท่าทางของท่านไม่ได้แล้ว ข้าหวังมากเพียงใดว่าตนเองยังมีท่านแม่ที่มีชีวิตอยู่ เหตุใดไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหลอกลวง หรือความทรงจำที่แท้จริงล้วนไม่มีท่านแม่ ในชีวิตของข้ามักจะขาดท่านไป”


 


 


หลานเฟิงก้าวขึ้นไปข้างหน้า เช็ดน้ำตาให้หลานเยี่ยจนแห้ง หลานเยี่ยมองเขาแต่กลับเกิดความรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา เกิดขึ้นอย่างไร้ซึ่งที่มาที่ไป


 


 


“เหตุใดจู่ๆ ข้าก็นึกแค้นเจ้า เหตุใดข้าจึงคิดเช่นนี้ เจ้าทำผิดอะไร เหตุใดข้าถึงแค้นเจ้า เหตุใด ผู้ใดบอกข้าได้หรือไม่ แท้จริงแล้วข้าคือใคร เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ต่อข้า” หลานเยี่ยร้องไห้ส่งเสียงออกมา ความอัดอั้นที่เก็บเอาไว้มาเป็นเวลานานระเบิดออกมาในทันใด หลานเฟิงก้าวขึ้นไปกอดเขาเอาไว้ ไม่นานกลับถูกผลักออกมา


 


 


หลานเฟิงไม่พูดจา มือที่คิดจะยกขึ้นมาสุดท้ายก็ตกแนบลำตัวอีกครั้ง จากนั้นด้านหลังของหลานเยี่ย หลานเฟิงก็ค่อยๆ ผลักกำแพงฝั่งนั้นออก


 


 


“เสี่ยวเยี่ย หันกลับมา”


ตอนที่ 145 ไฟอมตะของข้าดับแล้ว


 


 


หลานเยี่ยหันกลับไป มองดูไฟที่แขวนอยู่เต็มกำแพง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก


 


 


“นี่คือไฟอมตะ เป็นสิ่งที่ทำมาจากวิธีการพิเศษของเขาเทียนปี้ สามารถบันทึกความเป็นความตายของคนผู้หนึ่งได้ ไฟสว่างคนอยู่ ไฟดับคนตาย” หลานเยี่ยมองไฟอมตะบนกำแพง มีสองดวงที่ดับลงไปแล้ว ดวงหนึ่งด้านล่างเขียนไว้ว่าอวิ๋นอี้ อีกดวงหนึ่งด้านล่างเขียนไว้ว่าหลานเยี่ย


 


 


“ไฟอมตะของข้า…ดับแล้ว”


 


 


“นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้ข้าเชื่อในตอนนั้น สิ่งที่สามารถแสดงถึงความเป็นความตายของคนผู้หนึ่งได้อย่างดีที่สุดก็คือไฟอมตะ ระยะเวลาพันปีร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมาก่อน”


 


 


“แล้วข้าเล่า ดังนั้นเจ้าถึงพาข้ามาที่นี่ อยากจะบอกข้าว่าข้าไม่ใช่หลานเยี่ย ทั้งๆ ที่ข้ามีความคิดอยากจะเชื่อแล้วว่าข้าคือหลานเยี่ย”


 


 


“ไม่ เจ้าเป็นคนแรก เจ้ายังไม่ตาย เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ไฟอมตะเกิดปัญหา”


 


 


“ทั้งๆ ที่เจ้าสามารถทำให้ข้าไม่ต้องเห็นของสิ่งนี้ เหตุใดจึงให้ข้าพบเห็นเล่า นี่มีประโยชน์อะไรต่อข้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


“บางทีสิ่งที่ข้าพาเจ้ามาดูอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งหมด แต่ของเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่หลอมรวมเป็นความทรงจำของเจ้า ข้าเคยพูดแล้ว ค่อยๆ ตามหาความทรงจำไปกับเจ้าอย่างช้าๆ อีกอย่างคือสร้างความทรงจำไปพร้อมกับข้า”


 


 


“ตอนนี้ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าสิ่งทั้งหมดที่ข้าทำนั้นมีความหมายหรือไม่ ข้าเชื่อเรื่องราวของเจ้า ข้าละทิ้งมู่หลี ปล่อยวางสถานะของตนเอง ข้าเดินทางมาหลายพันลี้เพื่อที่จะตามหาคำถามที่เหมือนไร้ซึ่งคำตอบ ข้าคงบ้าไปแล้วจริงๆ”


 


 


“เจ้าไม่ได้บ้า คนที่บ้าคือข้า ข้ารักเจ้า รักจนบ้าคลั่ง คิดอยากครอบครองเจ้าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ต่อให้โลกใบนี้หักหลังข้า ข้าก็ยังคงอยากได้เจ้าเหมือนเดิม ทุ่มเทสุดกำลัง”


 


 


“มาพูดสิ่งเหล่านี้ตอนนี้ยังมีความหมายอะไร”


 


 


“ต่อให้ไม่มีความหมาย รอจนในอนาคตตอนที่พวกเราใกล้ตายก็ถือว่าเป็นการหล่อหลอมความทรงจำอันสวยงามในชีวิตนี้ของพวกเรา เจ้ามากับข้า ยังมีอีกที่ ไปกับข้า ไปแล้ว เจ้าจะเข้าใจ”


 


 


หลานเฟิงลากหลานเยี่ยออกไปข้างนอกอีกครั้ง หลานเยี่ยอารมณ์ไม่ดีความคิดสับสน ปล่อยให้เขาลากออกไป มาจนถึงอุโมงค์ลับ อุโมงค์ลับมีทหารพลังเขาเทียนปี้คอยเฝ้าดูแล เมื่อเห็นว่าหลานเยี่ยมาก็ไม่ได้ขัดขวาง


 


 


หลังจากเข้าไปแล้ว หลานเยี่ยสังเกตเห็นตัวอักษรบนกำแพง นี่เป็นตัวหนังสือที่แปลกตาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตอนก่อนหน้านี้ที่ยังไม่สูญเสียความทรงจำ หรือตอนนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นแรงโจมตีที่มีต่อเขาจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่อาจมองข้ามได้


 


 


เขาเริ่มอ่านทีละตัวอักษร ทีละประโยค ตัวหนังสือที่ถูกสลักบนกำแพงนั้นยังสะท้อนแสงประกาย แลแสบตาอยู่เล็กน้อย


 


 


 


 


กงล้อพันปีหมุนเวียนมาบรรจบ วิบากกรรมกาลหนึ่ง เหตุเพียงเพราะสกุลทั้งสองที่ต่างกัน เหตุเพียงเพราะสองคนที่รักกัน สิ่งทั้งหมดทั้งมวลในวันนี้ล้วนเป็นผลที่เกิดขึ้นจากเหตุนั้น มีผู้ใดมาเด็ดดม แล้วจะมีผู้ใดมาจบเรื่อง กำหนดแล้วซึ่งตอนจบที่ต่างกัน จะดีจะเวง จะสุขจะทุกข์ ล้วนเป็นเพียงเสี้ยวความคิดเดียว


 


 


หากในอดีตพวกเราครองรักซึ่งกัน หลังจากนั้นมาก็จะไม่เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ขึ้นใช่หรือไม่ จะไม่มีผู้คนที่ต้องมาแบกรับความเจ็บปวดอันไม่สมควรอย่างมากมายเช่นนี้ใช่หรือไม่ จะไม่มีคนตายไปอย่างมากมายเช่นนั้นใช่หรือไม่ เรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าและเจ้า หากในตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่บนโลกแท้จริงแล้วยังมีประโยชน์อะไร


 


 


 


 


หลานเยี่ยอ่านจบก็ขับนำมุกหลิวออกมา ทดลองหาวิญญาณของหลานเซียวที่อยู่ในนั้น


 


 


“หลานเซียวและชิวจือเว่ยล้วนจากไปแล้ว เจ้าใช้แหล่งกระแสวิญญาณดั้งเดิมช่วยพวกเขาเลือก พวกเขามีเรื่องราวของตนเองต้องไปทำให้จบสิ้น พวกเราก็เช่นกัน บางทีสถานีต่อไปอาจเป็นปลายทาง แต่ข้าหวังว่านั่นจะไม่เป็นปลายทางของพวกเรา”


 


 


“ดังนั้นเจ้าคิดอยากไปที่ใด”


 


 


“ดังนั้น เจ้ายังคิดรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งหรือไม่” หลานเยี่ยถามหลานเฟิงด้วยคำถามนี้ หลานเฟิงกลับไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย


 


 


“ขอแค่เพียงครอบครองเจ้า ไม่สนใจสิ่งตอบแทนใดทั้งนั้น”


 


 


หลานเยี่ยไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ร่องรอยหยาดน้ำตาบนใบหน้านั้นถูกเช็ดจนแห้งไปนานแล้ว ที่เหลือเป็นเพียงความเย็นชา


 


 


“ท่านพี่ ท่านยังไม่ตาย” เสียงสตรีดังขึ้น หลานเยี่ยกันกลับไป


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 146 ร้อนแรงดั่งไฟเผา


 


 


หลานเยี่ยหันกลับไป เผชิญหน้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่คิดเชื่อ น้ำตาอวิ๋นหรูไหลลงมาเต็มหน้า ไม่อาจควบคุม


 


 


“ท่านพี่ เป็นท่านจริงด้วย ท่านยังไม่เสียชีวิต ดีเหลือเกิน ข้าได้ยินคนในตระกูลพูดว่าท่านกลับมาแล้วข้ายังไม่เชื่อด้วยซ้ำไป เป็นท่านจริงด้วย ท่านกลับมาแล้ว ข้าคิดว่าท่านเสียชีวิตไปแล้ว ไฟอมตะดับลง ข้าไม่มีซึ่งญาติพี่น้องอีกต่อไป ท่านแม่เสียแล้ว ท่านพ่อก็เสียไปแล้วเพราะข้า ท่านป้าเสียชีวิตไปแล้ว ท่านลุงก็ไม่มี หากท่านเสียไปอีกข้าก็จะไม่มีแม้แต่ญาติเพียงคนเดียว ยังดีที่ท่านมีชีวิตอยู่”


 


 


อวิ๋นหรูกอดหลานเยี่ยพลางร้องไห้ออกมาอย่างหนัก พลางพูดจาสับสนวกวนไปมา ตอนแรกเริ่มหลานเยี่ยก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร พอฟังมาจนถึงตอนสุดท้ายก็ตาแดงขึ้นมา ยื่นมือออกไปกอดอวิ๋นหรูเอาไว้


 


 


“พอแล้วๆ อย่าร้องไห้อีกเลย ข้าก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ” หลานเยี่ยใช้มือตบหลังอวิ๋นหรูเบาๆ


 


 


อวิ๋นหรูปล่อยหลานเยี่ย แต่น้ำตายังไม่หยุดไหล หลานเยี่ยเช็ดน้ำตาให้นาง


 


 


“ร้องไห้อีกจะกลายเป็นแมวลายแล้วนะ”


 


 


ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งก้าวขึ้นมา หลานเยี่ยถึงได้สังเกตว่ามีคนอื่น


 


 


“ท่านประมุขหลาน” คนผู้นั้นค้อมตัวลงเล็กน้อย แสดงถึงความเคารพ


 


 


“นี่คืออวิ๋นไหวแม่ทัพกำลังทหารแห่งเขาเทียนปี้ ในช่วงเวลานี้เป็นเขาที่คอยช่วยข้าดูแลเขาเทียนปี้มาตลอด” อวิ๋นหรูพูดอธิบาย


 


 


“ช่วงเวลานี้ต้องลำบากเจ้าดูแลอวิ๋นหรูแล้ว” หลานเยี่ยซึมซับบรรยากาศของพวกเขา พูดแสดงความขอบคุณต่ออวิ๋นไหว


 


 


“เป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำขอรับ ท่านประมุขหลานมาครั้งนี้มีแผนการอย่างไรบ้างขอรับ” อวิ๋นไหวและอวิ๋นหรูไม่รู้เรื่องที่หลานเยี่ยถูกเปลี่ยนความทรงจำ พอถามออกมาเช่นนี้หลานเยี่ยก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร รู้สึกน้ำท่วมปากขึ้นมาในทันใด


 


 


ครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย หลานเยี่ยถึงได้เอ่ยปาก


 


 


“ดูตามสถานการณ์ก็แล้วกัน” ไม่ได้พูดอะไรอื่นอีก อวิ๋นไหวเพียงพูดรับทราบ หลานเยี่ยไม่รู้ว่าเขารู้อะไร เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป อวิ๋นไหวหมายความว่าอย่างไรกัน


 


 


“ท่านพี่ งานฝังศพท่านพ่อเมื่อวันก่อนท่านไม่ได้มา จะไปหาท่านพ่อหน่อยหรือไม่”


 


 


“เมื่อครู่ไปมาแล้ว”


 


 


“เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นพวกเราไปเรือนอี้หรงกันเถิด มาถึงเขาเทียนปี้จะต้องเหนื่อยเป็นแน่ ข้าพาท่านไปพักผ่อนก็แล้วกัน”


 


 


เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น อารมณ์ส่วนใหญ่ของหลานเยี่ยก่อนนี้ก็ถูกอวิ๋นหรูตีจนเละไปหมด ภายในหัวสมองเหลือเพียงคำพูดสองสามประโยคของอวิ๋นหรู ไม่มีญาติพี่น้อง มีเพียงท่านแล้ว…


 


 


เรือนอี้หรงแบ่งออกเป็นสองส่วน เรือนหรงและเรือนอี้ หลานเยี่ยและหลานเฟิงเดินตามอยู่ข้างหลัง อวิ๋นหรูนำทางอยู่ด้านหน้า อวิ๋นไหวไปยุ่งธุระอย่างอื่นต่อ


 


 


“คืนนี้พักที่เขาเทียนปี้เถิด พวกท่านไปพักที่เรือนหรง นั่นเป็นที่อาศัยของท่านป้าตอนมีชีวิต ท่านพี่ไม่ได้มานานแล้ว ไปที่เรือนอี้ก่อน พวกเราไปทานอาหารก่อนเถิด” อวิ๋นหรูเดินนำอยู่ข้างหน้าพูดไม่หยุด ดูท่าทางอารมณ์ดีไม่น้อย


 


 


“ได้” หลานเยี่ยตอบรับ ทำให้อวิ๋นหรูอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นมาคล้องแขนหลานเยี่ยเอาไว้ หลานเยี่ยไม่ได้สนใจ แต่หลานเฟิงนั้นกลับดึงหน้าเย็นชา


 


 


อวิ๋นหรูพาพวกเขาไปทานอาหาร ในระหว่างนั้นมีผู้คนมาหาอวิ๋นหรูอยู่หลายครั้ง สุดท้ายด้วยความจนปัญญาอวิ๋นหรูยังไม่ทันได้รับรองแขกจนพอใจก็ทำได้แค่จากไป


 


 


“เรื่องหลักถือเป็นสิ่งสำคัญ เจ้าไปก่อนเถิด” หลานเยี่ยยิ้มพลางพูดออกมา


 


 


“แต่ข้ายังไม่ทันได้รับรองท่านจนพอใจเลย”


 


 


“เวลายังอีกยาวไกล ไม่ต้องกังวล”


 


 


“เอาเถิด อีกครู่ข้าจะกลับมา”


 


 


หลังจากอวิ๋นหรูจากไปแล้ว หลานเยี่ยเองก็กินข้าวใกล้เสร็จ จึงหันไปพูดกับหลานเฟิง


 


 


“เรือนหรงคือสถานที่ที่ท่านแม่เคยอาศัยอยู่อย่างนั้นหรือ”


 


 


“ใช่”


 


 


“พวกเราไปดูกันเถิด”


 


 


“ได้”


 


 


ทั้งสองคนลุกขึ้นไปเรือนหรง ฝีเท้าของหลานเยี่ยแลดูแผ่วบาง เซไปเล็กน้อย หลานเฟิงประคองเขาเอาไว้


 


 


“เป็นอะไรไป”


 


 


“ไม่เป็นอะไร แค่เพียงมึนหัวเล็กน้อยเท่านั้น อาจจะเหนื่อยเกินไปกระมัง พักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”


ตอนที่ 147 เรือนหรง


 


 


ทั้งสองคนมาถึงเรือนหรง หลานเยี่ยพบว่าที่นี่ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเรือนอี้ มีเพียงเครื่องตกแต่งเท่านั้นที่ต่างออกไป


 


 


การตกแต่งประดับจัดวางของเรือนอี้หรงสะดวกสบายอย่างมาก และเหมาะสมงดงามอย่างมากเช่นกัน ดูท่าประมุขคนก่อนรักลูกทั้งสองคนมาก


 


 


หลังจากเข้าไปในเรือนหรงแล้ว สิ่งที่เข้ามาในคลองสายตาก่อนคือชิงช้าอันหนึ่ง ชิงช้านั้นถูกตั้งอยู่ในสวนดอกไม้ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ดูท่านิสัยชื่นชอบดอกไม้นั้นน่าจะถ่ายทอดมาจากที่นี่กระมัง!


 


 


บนชิงช้ายังมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง มองดูแล้วเหมือนมีคนอาศัยอยู่ หลานเยี่ยก้าวขึ้นไปหยิบดู เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องมหัศจรรย์พันลึก


 


 


“ที่นี่ถูกคงสภาพเอาไว้ให้เหมือนช่วงเวลาก่อนที่ฮูหยินจะแต่งงานออกไปอยู่เสมอ” หลานเฟิงเอ่ยปากอธิบาย หลานเยี่ยวางหนังสือลงที่เดิม


 


 


หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว หลานเยี่ยก็ได้เห็นห้องส่วนในของหญิงสาวที่แตกต่างจากธรรมดาทั่วไป ในห้องไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดวาง ทั้งห้องนั้นให้ความรู้สึกโอ่อ่าอย่างมาก ไม่ยุ่งยากและยังสวยงาม ทั้งห้องให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก


 


 


หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีกระจกบานหนึ่งวางไว้ หน้ากระจกยังมีกล่องชาดอยู่อีกกล่อง สิ่งของที่ใช้หวีแต่งผมยังมีอยู่ครบ ดูท่าคงถูกใช้ตอนที่แต่งงานออกไปกระมัง ภายในห้องมีโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะก็มีหนังสือวางอยู่เช่นกัน หลานเยี่ยอดคิดจินตนาการไม่ได้ว่าท่านแม่ก่อนออกเรือนนั้นจะต้องรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก จึงอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลา


 


 


แต่ท่านแม่ช่างชอบหนังสือเสียจริง


 


 


ทันใดนั้นหลานเยี่ยก็สังเกตเห็นบนกำแพง มีขลุ่ยลำหนึ่ง กระบี่เล่มหนึ่ง หลานเยี่ยหยิบขลุ่ยลำนั้นลงมา ดูแล้วเหมือนถูกทำขึ้นมาจากวัสดุเดียวกันกับลำที่อยู่ในมือของหลานเยี่ย พู่ห้อยที่อยู่บนกระบี่ดูแล้วเหมือนถูกถักทอด้วยฝีมือตนเอง


 


 


หลานเยี่ยออกจากห้องนี้ ไปยังที่อื่น ซึ่งก็คือห้องถัดจากห้องส่วนในของอวิ๋นหรง หลานเยี่ยตะลึงตาค้างเมื่อพบว่านี่คือห้องหนังสือ หนังสือที่มีอยู่เต็มกำแพง นานาประเภทหลากหลาย


 


 


หลานเยี่ยหยิบขึ้นมาดูอย่างง่ายๆ งานฝีมือสตรี ตำรากระบี่ ตำรากหมาก ตำราอาหาร เรื่องมหัศจรรย์พันลึกต่างๆ ล้วนมีทั้งนั้น หลานเยี่ยคิดไปว่ามารดาของตนเหมาะสมกับคนเช่นไร จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความภาคภูมิใจที่ตนเองมีมารดาเช่นนี้


 


 


“ฮูหยินชำนาญทั้งวิชาพิณ หมาก พู่กันและวาดรูป พลังกระแสวิญญาณและฝีมือกระบี่ก็แซงหน้าท่านประมุขวังอยู่ชั้นหนึ่ง ถือเป็นสตรีมากความสามารถในตอนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในระยะเวลาพันปีมานี้ของเขาเทียนปี้”


 


 


“เหตุใดท่านพ่อถึงโชคดีเพียงนี้ ได้ตบแต่งกับสตรีที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้” จู่ๆ หลานเยี่ยก็นึกอิจฉาหลานชิงขึ้นมา


 


 


เมื่อมาถึงอีกห้องหนึ่ง บนโต๊ะยังคงมีหมากล้อมที่ยังแก้ไม่ได้ค้างไว้ หลานเยี่ยมองที่หนึ่งก็ต้องส่ายหน้าหนี


 


 


หลานเฟิงก้าวขึ้นไปข้างหน้ามองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือไปหยิบหมากขาวขึ้นมา วางลงไปบนบริเวณที่มองดูแล้วไม่สมควรวางมากที่สุด แล้วหยิบหมากดำขึ้นมาอีกเม็ด กินหมากขาวไปเป็นบริเวณกว้าง ทันใดนั้นหลานเยี่ยก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


หลังจากที่หมากขาวโดนกินไปเยอะแล้วนั้น จู่ๆ ก็แหวกเกิดเป็นทางเดินขึ้นมาแถวหนึ่ง หลานเฟิงขยับหมากอีกครั้ง จนถึงตอนสุดท้าย หลานเยี่ยลองนับดูก็ต้องพบว่าสถานการณ์ของหมากขาวที่แต่เดิมต้องแพ้ถูกทำลายลง หมากดำแพ้แล้ว


 


 


หลานเยี่ยมองหลานเฟิงด้วยแววตาเลื่อมใส หลานเฟิงกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย หลานเยี่ยเตรียมออกไป แต่ไม่รู้ว่าไปเหยียบโดนอะไร จู่ๆ ประตูลับบานหนึ่งก็เปิดออก หลานเยี่ยเข้าไปมองทีหนึ่งพบว่าเป็นลานฝึกวิทยายุทธ์ หลังจากเดินเข้าไปแล้วหลานเยี่ยก็แทบทรุดลงไป แรงดึงดูดรุนแรงเป็นอย่างมาก ทำให้หลานเยี่ยยิ่งเลื่อมใสอวิ๋นหรงมากขึ้น


 


 


ไม่กล้ารั้งตัวอยู่นาน หลังจากหลานเยี่ยเดินวนครบรอบแล้วก็ไปยังห้องรับแขก


 


 


“ห้องส่วนในของท่านแม่สวยเหินไป ไม่อาจทำใจเข้าไปรบกวน เลือกที่นี่ก็แล้วกัน”​ภายในห้องมีเตียงเพียงหลังเดียว และมีเพียงห้องรับแขกห้องเดียวเท่านั้น หลานเฟิงยืนอยู่นอกประตู


 


 


“เข้ามานอนด้วยกันเถิด พรุ่งนี้ยังต้องพาข้าไปที่อื่นอีกแน่” หลานเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไป


 


 


หลานเฟิงหมุนตัวเล็กน้อย กอดหลานเยี่ยจากด้านหลัง หลานเยี่ยกลับไม่กล้าขยับ


 


 


อวิ๋นหรูกลับมาพบทั้งสองคนที่อยู่ในห้องรับแขก หลังจากเห็นแล้วก็ถอยออกไปเงียบๆ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 148 ผู้คนหลากหลาย


 


 


วันรุ่งขึ้นหลานเยี่ยไปบอกลาอวิ๋นหรู อวิ๋นหรูไม่ได้รั้งท่าให้อยู่มากเกินไป แค่เพียงขอให้เขากลับมาหากันบ้าง หลานเยี่ยก็ให้นางไปเที่ยวเล่นที่ตระกูลหลานบ้าง


 


 


หลานเฟิงพาหลานเยี่ยมายังเมืองหลวง ครั้งที่แล้วที่มาเมืองหลวงนั้นยังมาพร้อมกับชิวอวี้ ครานี้กลับสมใจดั่งที่หวัง ได้พาหลานเยี่ยกลับมาอีกครั้ง


 


 


“ที่เมืองหลวงข้ามาความทรงจำอะไรหรือ”


 


 


“มีมากมาย ผู้คนหลากหลาย เรื่องราวแตกต่าง ไม่ซ้ำสถานที่”


 


 


“ครั้งที่แล้วยังมาพร้อมกับมู่หลีอยู่เลย! เขาชอบเหล้าของโรงจุ้ยเซียนอย่างมาก ก็เลยมาพร้อมกับเขา” ทันใดนั้นหลานเฟิงก็หวนคิดถึงเรื่องครั้งที่แล้วในโรงจุ้ยเซียนที่เขาเห็นชิวอวี้เป็นหลานเยี่ย ตอนนั้นน่าจะเป็นเพราะว่าฉีฮวนวางยาเขา


 


 


แต่ก็ต้องขอบคุณครั้งนั้นที่ทำให้เขาพบว่าหลานเยี่ยยังคงมีชีวิต


 


 


“คิดขึ้นมาตอนนั้นข้าเหมือนจะเห็นคนที่คล้ายคลึงกับเจ้า คนผู้นั้นสวมชุดสีดำ ด้านบนมีลวดลายสีแดง แล้วก็วิ่งออกจากโรงจุ้ยเซียนไปอย่างลนลานเร่งรีบ”


 


 


ฟังถึงตรงนี้จู่ๆ หลานเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นกลับคลาดกับหลานเยี่ยเพียงนิดเดียว


 


 


 “คนผู้นั้นก็คือข้า ข้าถูกคนวางยา เกือบจะเห็นคนอื่นเป็นเจ้า”


 


 


หลานเยี่ยฟังเขาพูดด้วยความตกใจ ความรู้สึกในใจตอนนั้นไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งเหตุผล พอดีกับที่ตอนนี้เดินผ่านโรงจุ้ยเซียน ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรนัก เขาเดินตรงเข้าไปข้างใน


 


 


“คุณชายหลาน ท่านมาอีกแล้ว คราวนี้คุณชายมู่หลีไม่มาหรือ”


 


 


“ไม่”


 


 


ดูท่าจะเป็นแขกประจำของที่นี่ เจ้าของร้านเดินเข้ามาทักทายหลานเยี่ยด้วยความกระตือรือร้น หลานเยี่ยเองตอบรับกลับไปด้วยรอยยิ้มเหมือนปกติ ไม่ว่าในความทรงจำจะเป็นเช่นไร นิสัยรักการยิ้มแย้มของเจ้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


 


 


“ยังเหมือนเดิมหรือไม่ขอรับ” เจ้าของร้านมองหลานเฟิงพลางถามขึ้น


 


 


“เหมือนเดิม”


 


 


“ขอรับ ท่านนั่งรอที่ห้องชุดเพียงชั่วครู่ ไม่นานอาหารก็เสร็จขอรับ”


 


 


หลานเฟิงเดินตามหลานเยี่ยเข้าไปนั่งข้างใน ห้องชุดส่วนใหญ่ล้วนเหมือนกัน เข้าไปในห้องจะเป็นม่านกั้นแผ่นหนึ่ง หลังม่านคือห้องชุดที่แท้จริง โต๊ะสองตัว ตัวหนึ่งตั้งทางเหนือ อีกตัวตั้งทางใต้ โต๊ะสามารถเคลื่อนย้ายได้ตามใจ พื้นที่ระหว่างโต๊ะสองตัวกว้างขวางมากพอ มากพอที่จะให้คนสองสามคนเต้นด้วยกัน


 


 


ภาพวาดบนกำแพงรอบด้านไม่รู้ว่าเป็นภาพภูเขาลำธารที่ใด ในจุดที่ต่างกันมีไฟอยู่สี่ดวง ปรับเปลี่ยนสีไปตามความชอบของแขก หลานเฟิงมองการตกแต่งภายในห้องชุด ทุกอย่างล้วนเข้ากับความนิยมชมชอบของหลานเยี่ย ดูท่าคงเหมาที่นี่เอาไว้ด้วย


 


 


รอจนอาหารตั้งโต๊ะ ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ สิ่งแรกคือขนมอบสับปะรด แต่หลานเยี่ยกินไปเพียงเล็กร้อยก็ไม่หยิบขึ้นมากินอีก


 


 


“ทำไมไม่กินอีกเล่า เจ้าไม่ใช่ว่าชอบกินที่สุดเช่นนั้นหรือ”


 


 


ขนมอบสับปะรดที่ไหนก็มิอาจสู้ที่ตระกูลหลานได้ ขนมอบสับปะรดที่ข้ากินเจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่”


 


 


“ข้าก็ทำเป็นเพียงของว่างชนิดนี้อย่างเดียวเท่านั้น หากเจ้ายังชอบกินอย่างอื่นอีก บางทีข้าอาจทำอย่างที่สองได้ อาหารของข้าทำไว้เพื่อเจ้าเท่านั้น” ฟังคำพูดเลี่ยนเข้ากระดูกของหลานเฟิง หลานเยี่ยเพียงแค่ยิ้มออกมา


 


 


“คำพูดเหล่านี้ในอดีตเจ้าเคยพูดหรือไม่”


 


 


หลานเฟิงไม่พูดจา หลานเยี่ยเองก็พอเดาได้ หลานเฟิงในอดีตก็คือมู่หลีที่อยู่ในความทรงจำของตน คนที่เย็นชาเรียบนิ่ง ไม่ค่อยพูดจา


 


 


“เจ้าไม่กินหรือ” อาการบนโต๊ะถูกนำมาวางครบถ้วน หลานเฟิงเหลือบมองทีหนึ่ง ล้วนเป็นสิ่งที่หลานเยี่ยชอบกินทั้งนั้น แต่อาหารทุกจานหลานเยี่ยเพียงแค่คีบไม่กี่ครั้งก็วางลง


 


 


“กินอาหารของตระกูลหลานแล้ว อาหารที่ไหนก็ไม่ถูกปากทั้งสิ้น”


 


 


“อาหารของตระกูลหลานเป็นเพียงอาหารทั่วไปทุกครัวเรือนเท่านั้นเอง”


 


 


“แบบนั้นถึงจะมีรสชาติของครอบครัว อาหารที่นี่แม้รสชาติจะดี แต่ไม่มีความใส่ใจอยู่ข้างใน ก่อนนี้ข้ามักรู้สึกว่าขาดอะไรไปอยู่ตลอด สุดท้ายตอนนี้ก็ได้รู้”


 


 


วันเวลาเช่นนี้สงบสุขเรียบง่าย วันเวลาในการตามหาความทรงจำ ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี ไม่มีความเศร้าเกินจะรับ มีเพียงการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายให้จบไปวันๆ เดินทางผ่านที่แต่ละที่อย่างเรียบง่าย จัดการเรื่องราวทีละเรื่องอย่างเรียบง่าย


ตอนที่ 149 คนกวนประสาท


 


 


หลานเยี่ยอยู่ในห้องชุดรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก เลยออกมายืนอยู่ข้างราวกั้นชั้นสองมองดูสถานการณ์เบียดเสียดเบื้องล่าง ชั้นหนึ่งนั้นเป็นพื้นที่เปิดโล่ง มีลูกค้านั่งทานอาหารอยู่สิบกว่าโต๊ะ ต่อให้เป็นเช่นนี้อาหารก็ยังถูกวางขึ้นโต๊ะอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง


 


 


โรงจุ้ยเซียนไม่เพียงอาหารรสชาติดี เหล้าหอม ตั้งโต๊ะรวดเร็ว ชนะใจลูกค้าให้กลับมาเยี่ยมเยียนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นทุกครั้งที่มาล้วนเต็มทุกที


 


 


“ไอยา ทั้งสองท่าน รีบเข้ามาเร็วเข้าขอรับ” หน้าประตูมีเสียงของเจ้าของร้านดังขึ้น หลานเยี่ยหันไปมองก็เห็นคนสองคน แม้จะรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก แต่กลับคิดไม่ออก มองดูอยู่ครู่หนึ่งเกิดรู้สึกหมดซึ่งความสนใจจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง


 


 


ทั้งสองข้างที่อยู่ด้านล่างเหลือบมองขึ้นมา เห็นแผ่นหลังของหลานเยี่ย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคนผู้นี้แล้งน้ำใจ ไม่แม้แต่จะทักทายพวกเขา


 


 


“คนที่อยู่ในห้องชุดชั้นสอง มาตั้งแต่เมื่อไร”


 


 


“ท่านพูดถึงใครขอรับ”


 


 


“คนที่สวมเสื้อสีฟ้า ถือขลุ่ยอยู่ลำหนึ่ง”


 


 


“ท่านหมายถึงคุณชายผู้นั้นหรือ แม้จะบอกว่าท่านเป็นแขกประจำ แต่ข้าก็มิอาจเปิดเผยความลับของลูกค้าได้ไม่ใช่หรือ หากท่านอยากรู้ก็ขึ้นไปทักทาย ครั้งแรกแปลกหน้า ครั้งสองคุ้นเคย ครั้งสามย่อมเป็นเพื่อน นี่ดีมากเพียงใด ท่านอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลยขอรับ ท่านไปนั่งในห้องชุดก่อนเถิด อีกครู่จะเอาอาหารไปตั้งโต๊ะขอรับ”


 


 


“ฉลาดเฉลียวเสียจริง”


 


 


“ท่านชมเกินจริงแล้วขอรับ” เจ้าของร้านหัวเราะร่วนเดินจากไป ทั้งสองคนเดินตรงไปชั้นสอง


 


 


ได้ยินเสียงคนเคาะประตู หลานเยี่ยจึงเดินออกไปเปิด เห็นทั้งสองคนที่อยู่ชั้นล่างเมื่อครู่นี้เข้ามาข้างใน


 


 


“คุณชายทั้งสองมีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ” หลานเยี่ยถามออกมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่กลับถูกอวี่มั่วเขกมะเหงกเข้าอย่างจัง หลานเยี่ยหันกลับไปมองหลานเฟิง เห็นเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรก็พอจะรู้ได้ว่าทั้งสองคนนี้สนิทสนมอย่างมาก


 


 


“ข้า…” หลานเยี่ยไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร


 


 


“ทั้งสองท่านในเมื่อมาแล้ว ก็เข้ามานั่งเถิด” หลานเฟิงเอ่ยขึ้น


 


 


 “……”


 


 


“ข้าว่าเจ้าสองคนช่างแล้งน้ำใจเสียจริง ข้าตามหาพวกเจ้าไปทั่วโลก พวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้วก็ไม่ไปทักทายข้าเลยสักนิด กลับมานั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นี่”


 


 


เทียนซีเห็นสีหน้าของหลานเยี่ยไม่ถูกต้องเท่าไรนัก ทั้งเหตุการณ์นั้นนั่งมึนงงอยู่ตลอด ดังนั้นจึงหยุดอวี่มั่วไว้ เดินเข้าไปหาหลานเยี่ย จับชีพจรให้เขาท่ามกลางแววตาตื่นตะลึงของหลานเยี่ย คราวนี้กลายเป็นเทียนซีที่ต้องตกใจ


 


 


“หลานเยี่ย พลังกระแสวิญญาณเจ้าเล่า”


 


 


“พลังกระแสวิญญาณของเขาถูกผนึกไว้ รวมไปถึงความทรงจำ ฉะนั้นตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าพวกเจ้าคือใคร”


 


 


“…”


 


 


“…”


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่อวี่มั่วถึงตั้งสติขึ้นมา เจ้านี่ช่างน่าเศร้าเสียจริง ทำความทรงจำของตนเองสูญหายไปตั้งสองครั้งสองครา


 


 


“เอาเถิด เช่นนั้นข้าก็จะแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการต่อคุณชายหลานเยี่ย ข้านามว่าอวี่มั่ว เป็นประมุขของหอต้วนอวิ๋น เป็นเพื่อนของเจ้าหลานเยี่ยตอนที่มาเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อนนี้ สำหรับความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของพวกเรา ตอนนี้ข้าช่วยเจ้าดูแลหล่านเย่ว์ ตอนที่เจ้าหายตัวไป หลานเม่ยมาหาข้า จากนั้นข้าก็ตามหาเจ้าทั่วแผ่นดิน จากนั้นก็มาเห็นเจ้านั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นี่


 


 


นี่คือฮูหยินของข้า เทียนซี ซื่อจื่อแห่งตระกูลหมอเทวดา และเป็นหมอเทวดาผู้หนึ่งเช่นกัน สำหรับความทรงจำที่ถูกผนึก พลังกระแสวิญญาณที่ถูกผนึกของเจ้า ก่อนอื่นข้าต้องแสดงถึงความเสียดาย ต่อจากนั้นข้าแสดงถึงความเห็นใจ สุดท้ายข้าแสดงถึงความสุดซึ้งของเจ้า แนะนำเสร็จสิ้น”


 


 


อวี่มั่วใช้น้ำเสียงหาเรื่องพูดคุย ทำให้หลานเยี่ยยิ่งรู้สึกอยากอัดคนผู้นี้มากขึ้น แต่หลานเยี่ยเองก็จริงใจพอ


 


 


“ข้าสามารถอัดเจ้าได้หรือไม่”


 


 


“หา?” ยังไม่ทันให้อวี่มั่วมีปฏิกิริยาอะไร หลานเยี่ยก็อัดเข้าไปหมัดหนึ่งตรงท้องของอวี้มั่ว เทียนซีนั่งดูละครอยู่ข้างๆ ใครใช้ให้เจ้าปากหาเรื่อง


 


 


“เจ้าทำเช่นนี้กับข้า อย่าลืมว่าหล่านเย่ว์ของเจ้ายังอยู่ในมือข้านะ วันนี้ข้าไม่พอใจจะสลายให้เจ้าได้ดูเลย”


 


 


“เจ้าเป็นเพื่อนของข้า เช่นนั้นข้าต่อยเจ้าคงจะไม่มีปัญหาอะไรกระมัง” หลานเยี่ยเองก็กลายเป็นหาเรื่องเช่นเดียวกัน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 150 กลับไปยังหอต้วนอวิ๋นอีกครั้ง


 


 


ไม่ได้พูดไร้สาระกับอวี่มั่วมากมาย หลานเยี่ยคิดถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ นั่นคือหอต้วนอวิ๋น


 


 


“หอต้วนอวิ๋นเป็นของเจ้าหรือ”


 


 


“แน่นอน” อวี่มั่วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบนโลกใบนี้ไม่มีข้าสู้ข้าได้ แต่กลับถูกเทียนซีบิดเนื้อขาจนต้องสูดปากด้วยความเจ็บ อวี่มั่วส่งสายตาน้อมรับความผิดให้กับเทียนซีอยู่ตลอด


 


 


“หอนางโลม?”


 


 


“แน่…” อวี่มั่วกำลังจะพูด แต่ก็ถูกเทียนซีบิดเนื้ออีกครั้ง


 


 


“เป็นหอนางโลมหรือไม่ ไปดูก็รู้เองไม่ใช่หรือ มาสองครั้งล้วนพอดีกับวันที่ครึกครื้น เจ้าช่างโชคดีเสียจริง”


 


 


“ยุ่งขนาดนี้ พวกเจ้าออกมาจะดีหรือ” จู่ๆ หลานเฟิงที่ดื่มเหล้าอยู่ข้างๆ มาตลอดเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง นับตั้งแต่ติดนิสัยการดื่มเหล้าจากตอนอยู่ตระกูลเยี่ยมาแล้วนั้น หลานเฟิงก็เริ่มเรียนรู้วิธีละเลียดเหล้า แต่หลังจากที่หาหลานเยี่ยพบก็ไม่ได้เสพติดถึงเพียงนั้นแล้ว


 


 


“มีอวี่ซีอยู่ ไม่จำเป็นต้องกังวล” พูดจบอวี้มั่วก็หยิบขนมอบสับปะรดชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน


 


 


“เจ้าสั่งอาหารหรือยัง”


 


 


“ข้ากินขนมสับปะรดเจ้าชิ้นหนึ่งเจ้ายังเจ็บใจ แม้ความทรงจำจะถูกผนึกไว้ แต่เจ้าก็ไม่อาจกลายเป็นคนขี้งกเช่นนี้ได้กระมัง”


 


 


“คนข้างนอกตามหาเจ้ากันจนเป็นบ้าแล้ว”


 


 


“?” อวี่มั่วเดินออกไป เห็นผู้คนสองสามคนกำลังตามหาเขาจริง


 


 


“คุณชาย ท่านไปที่ใดมา เมื่อครู่นี้แม่นางอวี่ซีบอกว่าทางนั้นเริ่มแล้ว มีสองคนทะเลาะเบาะแว้งกัน”


 


 


“…”


 


 


อวี่มั่วกลับไปยังห้องชุดของหลานเยี่ย หน้าดำคล้ำ เรียกพวกหลานเฟิงให้ไปพร้อมกัน


 


 


“เจ้าไม่ได้ทานอาหารหรอกหรือ ไม่ทานแล้วหรือ”


 


 


“…” อวี่มั่วหน้าดำคล้ำ


 


 


ในที่สุดก่อนที่อวี่มั่วจะลงมือ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง


 


 


สำหรับหลานเยี่ยแล้ว ครั้งนี้ที่มาหอต้วนอวิ๋นที่จริงสามารถนับว่าเป็นครั้งแรกได้ ไม่มีความทรงจำใดหลงเหลือ จากสายตาแล้วรู้สึกว่านี่คือหอนางโลมแห่งหนึ่ง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่


 


 


“จัดการดีเสียจริง หน้าประตูยังไม่มีการส่งคนมาคอยดึงแขกด้วย”


 


 


“…”


 


 


“เสี่ยวซี ข้าจัดการอัดเขาจนตายได้หรือไม่” อวี่มั่วมองหลานเยี่ยด้วยท่าทีเ**้ยมโหด


 


 


“ขอแค่เจ้าสู้ชนะหลานเฟิง ข้าเองก็ไร้ซึ่งความเห็น”


 


 


“…”


 


 


หลังจากเข้าไปแล้ว สถานการณ์นั้นไม่อาจควบคุม ทั้งสองคนแทบจะลงไม้ลงมือกันแล้ว


 


 


“เกิดอะไรขึ้น” อวี่มั่วถามอวี้ซีที่อยู่อีกฝั่ง


 


 


“พวกเขาสองคนทะเลาะกันเพราะสตรีผู้หนึ่งเจ้าค่ะ”​ อวี่ซีชี้ไปยังพวกเขาสามคน อวี่มั่วเดินเข้าไป แยกทั้งสองคนออกจากกัน แต่เดิมเขาก็มีน้ำโหอยู่แล้ว มาถึงตอนนี้ยิ่งมากกว่าเดิม


 


 


“เจ้าสองคนเงียบปาก ให้แม่นางผู้นี้พูด นางอยากได้ใคร แม่นาง เจ้าพูดมา เจ้าเลือกผู้ใด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการไม่ได้”


 


 


“ข้า…ข้า…” สตรีผู้นั้นพูดจาติดขัดพูดไม่ออก ทำให้อวี่มั่วร้อนใจนัก


 


 


“แม่นางเจ้าพูดออกมาซิ เจ้าเป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไรจะจัดการปัญหา​ได้” อวี่มั่วใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว เทียนซีรีบเข้าไปไกล่เกลี่ยสถานการณ์


 


 


“แม่นางผู้นี้อย่าได้ลำบากใจไป พูดถึงความลำบากของเจ้าได้หรือไม่”


 


 


“ข้า…ข้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ก่อนนี้เพราะข้าตกหลังม้าไปครั้งหนึ่ง ทำให้สูญเสียความทรงจำ คุณชายด้านซ้ายผู้นั้นเป็นคนรักของข้าในอดีต ปฏิเสธเขาให้อยู่ห่างก็หลายครั้ง แต่ข้าก็ยังลืมเขา คุณชายด้านขวาผู้นั้นดูแลข้ามาโดยตลอด ตอนที่พวกเราใกล้จะหมั้นหมายกันนั้น ความทรงจำของข้าก็กลับมา ข้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรจริงๆ ข้าไม่รู้” สตรีผู้นั้นพูดไปพูดมาก็ร้องไห้ออกมา ทำให้หลานเยี่ยที่ดูอยู่รู้สึกหนักใจนัก


 


 


ตนเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนไม่ใช่หรือ หากตนเองสูญเสียความทรงจำจริง หากตนเองฟื้นฟูความทรงจำกลับมาได้ มู่หลีและหลานเฟิง เขาจะเลือกอย่างไร แล้วเขาควรทำเช่นไร


 


 


หลานเฟิงมองดูเหตุการณ์นี้ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของหลานเยี่ย จึงจับมือของเขาเอาไว้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ถ่ายทอดความรู้สึกปลอดภัยให้กับเขา หลานเยี่ยเหมือนกับฉวยฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ จับมือของหลานเฟิงแน่น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม