(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 140-157
ตอนที่ 140 โดนวางยาแล้ว
เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก เขาไม่ไปก็ไม่อะไรหรอก แต่มั่วไป๋ไปด้วยไง เห็นสีหน้าของพ่อเขาแล้ว เจียงมู่เฉินเองก็ไม่กล้าจะพูดกับพ่อ ว่าขอเวลาให้เขาได้โทรศัพท์เพียงไม่กี่นาที
ตอนนี้เขากำลังรอคอย หวังว่ามั่วไป๋จะไม่คิดบัญชีกับเขาโหดร้ายเกินไป อย่างน้อยเหลือชีวิตให้เขาสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี
อีกฝั่งหนึ่ง มั่วไป๋หลังจากวางสายจากเจียงมู่เฉิน ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งตรงไปหลานเยี่ยทันที
หลังจากถึงแล้ว เจียงมู่เฉินยังไม่มา มั่วไป๋จึงหามุมสงบๆ นั่งรอเจียงมู่เฉิน
เขาถือโอกาสสั่งเหล้าขวดหนึ่งที่เจียงมู่เฉินชอบที่สุดมารินไว้รอเขา
มั่วไป๋ผู้นั่งรออยู่หลานเยี่ยไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงแน่นอน ว่าเจียงมู่เฉินคนที่เร่งตัวเองให้ออกมาเที่ยวด้วยจะถูกพ่อเขากักตัวไว้ มาไม่ไหวไปโดยปริยาย
เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที วินาทีต่อวินาที มั่วไป๋รอมาครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นเจียงมู่เฉินเข้ามา เขาหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะโทรหาเจียงมู่เฉินถามว่าเขาถึงไหนแล้ว
เพิ่งจะหยิบมือถือออกมาก็พบว่าเครื่องปิดไปเรียบร้อย มั่วไป๋กุมขมับ ลืมชาร์จแบบมือถืออีกครั้งจนได้
ไร้หนทางจะติดต่อเจียงมู่เฉินแล้ว มั่วไป๋เองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร นั่งพิงจิบเหล้าอย่างช้าๆ อยู่ตรงนั้น
หลังจากที่ครั้งก่อนได้เจอไป๋จิ่งที่หลานเยี่ย มั่วไป๋ก็ไม่ได้มาที่นี่อีก คงเพราะจิตใต้สำนึกไม่อยากให้โอกาสตัวเองได้เจอกับไป๋จิ่งอีก
มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะตัวเอง เขาคงจะไม่แย่ขนาดที่มาสองครั้งก็เจอไป๋จิ่งทั้งสองครั้งหรอก
เขาเงยหน้ากระดกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มจนหมด
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงมู่เฉินก็ยังไม่มา มั่วไป๋ถอนหายใจ ไอ้หมอนี่คนที่อยากมาก็มาไม่ได้แล้ว เขาดูเวลาเตรียมจะกลับออกไป
จากมุมมืดมุมๆ หนึ่งไม่ไกล มีใครสักคนเอาแต่จ้องมองมายังตำแหน่งที่มั่วไป๋อยู่ตลอด ตั้งแต่นาทีนั้นที่เขาผ่านประตูเข้ามาก็กลายเป็นเหยื่อในสายตาของผู้อื่นไปแล้ว
เมื่อเห็นว่ามั่วไป๋กำลังจะเตรียมตัวออกจากที่นี่ ฝั่งนั้นก็มีความเคลื่อนไหวด้วย
คนในมุมมืดส่งสายตาเป็นสัญญาณให้คนข้างๆ ทั้งสองคนยืนขึ้นเดินเข้าประชิดตำแหน่งของมั่วไป๋
มั่วไป๋เช็กบิลเสร็จเตรียมจะเดินออกประตูไป เพิ่งจะเดินถึงประตูก็โดนคนสองคนเดินชนเข้าให้ มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นแค่ด้านข้างมีผู้ชายร่างกายกำยำสูงใหญ่ยืนอยู่
“ขออภัย” มั่วไป๋พูดจบก็เตรียมจะเดินจากไป
ยังไม่ขยับตัว ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขนขึ้นมากะทันหัน เหมือนกับมีอะไรโดนฉีดเข้ามา จิตใต้สำนึกบอกให้เขาก้มลงมอง แต่กลับไม่พบอะไรสักอย่าง
“เจ้านี่ แกชนพวกเราแล้วคิดจะไปเลย” จู่ๆ คนร่างสูงใหญ่กำยำสองคนก็เริ่มโจมตี
มั่วไป๋ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยอย่างอดทน “งั้นพวกแกจะให้ทำยังไง ให้พวกแกชนกลับเหรอ”
“แกนี่มันดูขาวสะอาด แต่พอพูดจากลับอวดดี วันนี้ฉันจะทำให้แกรับรู้ลิ้มรสผลของการอวดดี” พูดจบก็มองคนข้างๆ แวบเดียว ก่อนจะเริ่มลงไม้ลงมือ
คนร่างสูงใหญ่กำยำสองคนปิดล้อมมั่วไป๋เอาไว้ ดูจากรูปร่างแล้ว มั่วไป๋เสียเปรียบอยู่มาก ไม่เป็นผลดีต่อเขาเลยสักนิด
รอบข้างมีคนจำนวนไม่น้อยมองดูพวกเขา ในใจอดจะห่วงมั่วไป๋ไม่ได้
แต่มั่วไป๋สีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวแม้เพียงเสี้ยวเดียว เขามองทั้งสองคนแล้วยกมุมปากขึ้น กลับมาตั้งนานยังไม่ได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ มีคนส่งมาให้ถึงที่พอดี ไม่ใช้ก็เสียของอยู่
“ดีเลย งั้นพวกแกก็มาลองดู”
เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ทั้งสองคนก็เริ่มลงมือ กำปั้นที่ซัดเข้ามา มั่วไป๋เอามือรับไว้ ฉวยโอกาสโจมตีช่วงท้องของเขา ท่าทางเด็ดขาดว่องไว ไหนเลยจะมีมาดสุภาพเรียบร้อยเมื่อครู่นี้ได้
การโจมตีในทุกครั้งรวดเร็วฉับไวคล่องแคล่วเป็นพิเศษ คนร่างสูงใหญ่กำยำสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาอยู่แล้ว ไม่กี่นาทีก็จัดการราบคาบ
คนในมุมนั้นคงจะคาดไม่ถึงว่าเหยื่อที่เหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยนี้จะจับยากขนาดนี้ เขามองคนรอบข้างอีกไม่กี่คน คนพวกนั้นก็รีบเข้ามา
ในหลานเยี่ยอลหม่านขึ้นมาพริบตา รับมือกับคนพวกนี้ไม่คณามือเขา ท่าทางออกหมัดเตะต่อยของมั่วไป๋รวดเร็วดุดันและสวยงาม เขากวาดสายมองคนพวกนี้เล็กน้อยด้วยแววตาแฝงความเย็นชา
ทันใดนั้นจู่ๆ ภายในร่างกายก็ร้อนผ่าวขึ้นมา มือเท้าอ่อนแรงกะทันหัน กำลังที่ใช้ต่อสู้ก็ลดทอนลงครึ่งหนึ่ง
ตอนที่ 141 ฉันคิดถึงนายมาตลอด
ดูท่าว่า ยาที่ถูกฉีดเข้าไปจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
ภายในร่างกายร้อนวาบดั่งระลอกคลื่นที่ซัดสาดเข้ามา มือเท้าอ่อนแรง ทำให้มั่วไป๋ค่อยๆ สูญเสียพละกำลัง เขาจิกฝ่ามือตัวเองหนักๆ ทำให้ตัวเองตื่นมีสติอยู่
ความทรมานจากฤทธิ์ยาดูเหมือนจะทำให้เห็นความใจสู้แต่แรงไม่ยอมเป็นใจ ภาพข้างหน้าเริ่มมืดสลับไปมา มั่วไป๋สะบัดหัว คิดจะทำให้ตัวเองตาสว่างขึ้นมาหน่อย
เวลานี้เองมีเก้าอี้ตัวหนึ่งฟาดเข้ามา มั่วไป๋เห็นเก้าอี้ตัวนั้นก็คิดจะเบี่ยงตัวไปข้างหลัง แต่เท้าเหมือนมีรากยึดเอาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้แค่เบิกตาค้างทำอะไรไม่ถูกจ้องมองเก้าอี้ที่กำลังจะฟาดลงมา
โครม! เสียงของหนักหล่นกระทบพื้นดังขึ้น เก้าอี้ฟาดลงมาข้างตัวมั่วไป๋ เกิดเสียงดังสนั่นลั่นไปทั้งหลานเยี่ย
มั่วไป๋ตะลึงงัน เมื่อครู่นี้เขากะระยะของเก้าอี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่โดนเขา เขางุนงงเงยหน้าขึ้น ปะทะเข้ากับดวงตาสีดำขลับคู่หนึ่งพอดี
ไป๋จิ่งส่งมือมาทางเขา “ยังโอเคไหม”
มั่วไป๋ส่ายหัว คิดว่าฤทธิ์ของยาทำให้เขาเห็นภาพหลอน
“แกเป็นใคร ไม่นึกว่าจะกล้าเข้ามาสอดเรื่องของพวกเรา” ข้างๆ มีคนร้องโวยวายขึ้นมา
ไป๋จิ่งมองพวกเขาแวบหนึ่ง ยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ “ช่วยฉันฝากไปบอกคุณชายสี่ของพวกแกด้วยนะ ว่าไม่มีอะไรทำก็อย่ามาหาเรื่องก่อความวุ่นวายที่นี่ ถึงเวลาเก็บกวาดไม่ไหวจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
อู๋หมิงที่อยู่ไม่ไกลนักกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์ดุร้าย กว่าเขาจะเจอเหยื่อถูกใจไม่ใช่ง่ายๆ นึกไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะมาขัดคอกันได้
ไม่กี่คนสบตามองกันไปมา จนกระทั่งได้ยินเสียงอู๋หมิงดังเข้ามาจากในหูฟัง ถึงได้ถอยกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เอาแต่นิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใดใดตอบสนองกลับมา จึงรีบส่งมือไปประคองเขาไว้ มือที่จับแขนเขาอยู่รับความรู้สึกของอุณหภูมิที่ร้อนจนลวกคนได้แม้เพียงสัมผัสเบาๆ
สภาพเขาตอนนี้ดูเหมือนจะแย่มากทีเดียว
“ยังเดินไหวไหม” ไป๋จิ่งเข้าใกล้ เสียงต่ำเอ่ยลงข้างหูมั่วไป๋
ฤทธิ์ยาได้ออกฤทธิ์กำเริบเต็มที่ไปเป็นที่เรียบร้อย มั่วไป๋ฟังไม่ได้ยินอยู่แล้วว่าไป๋จิ่งกำลังพูดอะไร เขารับรู้ได้แค่ว่ายามที่ไป๋จิ่งพูด เวลาที่ลมหายใจกำลังรดรินลงข้างๆ ลำคอ ขนลุกสั่นระรัวโดยไม่ตั้งใจไปทั้งตัว
ไป๋จิ่งเห็นเขากัดริมฝีปากด้วยท่าทางสั่นเทา จึงช้อนอุ้มเขาขึ้นมา
โดนอุ้มกะทันหันแบบนี้ จิตใต้สำนึกบอกมั่วไป๋ให้โอบคอไป๋จิ่งเอาไว้ ร่างทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงอิงแอบแนบชิดกายไป๋จิ่ง หัวเขาซบบนไหล่ของไป๋จิ่งด้วยเช่นกัน
ท่าทางที่สบายขั้นสุด ทำเอามั่วไป๋เอนพิงอยู่ตรงนั้นโดยที่ความรู้สึกนึกคิดค่อยๆ กระจายหายไป
หลังจากไป๋จิ่งอุ้มเขาออกมาแล้วเอาเข้าในรถเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เข้าใกล้ไปเอ่ยเรียกมั่วไป๋ ตบหน้าเขาเบาๆ “มั่วไป๋ ตื่นๆ”
ถึงเวลานี้แล้ว มีหรือที่จะฟังได้ชัดว่าไป๋จิ่งกำลังพูดอะไร เขาพยายามดิ้นรนต่อสู้ให้ตัวเองได้ลืมตามองไป๋จิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเองมากๆ
มั่วไป๋จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำขลับคู่นี้ ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรอยู่ จู่ๆ ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา
“นายรู้ไหม…ฉันคิดถึงนายมาตลอดเลย…”
เสียงเขาเล็กมาก ไป๋จิ่งต้องไม่ได้ยินอยู่แล้วว่าตกลงแล้วเขาพูดอะไรออกมา เขาประชิดเข้าไปเรียกมั่วไป๋อีกครั้ง “คุณพักที่ไหน ผมจะไปส่งคุณ”
มั่วไป๋ส่ายหัว เขาไม่อยากกลับบ้าน
ไป๋จิ่งเริ่มร้อนใจแล้ว กลายเป็นแบบนี้แล้วไม่กลับบ้านอีก แล้วนี่จะเอาแบบไหน อีกอย่างดูท่าว่าจะไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ร่างกายอุณหภูมิสูงมาก ใบหน้ายังแดงระเรื่ออีก
แม้แต่ในดวงตาที่ดูดีคู่นั้นยังมีน้ำเอ่อขึ้นมา ดูแล้วช่างน่าสงสารจริงๆ
ไป๋จิ่งเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็กัดฟันทันที “งั้นผมส่งคุณไปบ้านผมก่อนแล้วกัน”
‘จะมาทิ้งคนลงข้างทางกลางดึกแบบนี้ไม่ได้หรอก แล้วยังเป็นคนที่เขาชื่นชมแบบสุดๆ อีก’ จะปล่อยมั่วไป๋ลงถนนไปตามยถากรรม เขาทำไม่ลงอยู่แล้ว
ตลอดทางที่มุ่งหน้าไปคอนโดของตัวเอง มั่วไป๋นอนนิ่งๆ อยู่บนที่นั่งข้างคนขับไม่กระดุกกระดิก ไป๋จิ่งเอียงหน้ามองเขา คิดว่าเขาหลับไปแล้ว
จนมาถึงที่คอนโด ตอนจะให้เขาลงจากรถ ไป๋จิ่งถึงได้ค้นพบความผิดปกติ
ร่างกายเขาเกร็งไปหมด ทั้งยังสั่นระริกอีกด้วย ทั้งเนื้อทั้งตัวร้อนจัดจนน่าตกใจ ราวกับคนทั้งคนถูกงมขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างทางที่นั่งรถมา ในร่างกายเหมือนมีใครมาจุดไฟไว้ อยากจะฝ่าทะลุจากเนื้อข้างในออกมา เพราะข้างกายมีไป๋จิ่งอยู่ มั่วไป๋จึงพยายามอย่างสุดกำลังในการควบคุมตัวเองไม่ให้ลืมตัวเสียท่าทีไป
ร่างกายเขาเกร็งสู้ต่อต้านฤทธิ์ยาอย่างหนักหน่วง แต่ฤทธิ์ยารุนแรงเกินไป สุดท้ายดูเหมือนว่าจะเสียเปล่าทีเดียว
ไป๋จิ่งเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่คิดอะไรมากให้เสียเวลา รีบอุ้มเขาขึ้นคอนโด แล้วว่างร่างเขาลงบนเตียงในห้องนอน
ตอนที่ 142 ประธานซือกระโดดข้ามกำแพงกลางดึก
“มั่วไป๋ ตอนนี้คุณยังโอเคไหม อยากให้ไปตามหมอมาให้คุณไหม”
เขาลืมตาที่แดงก่ำจ้องมองไป๋จิ่ง มั่วไป๋อดจะฝืนยิ้มไม่ได้ เขาใกล้จะลืมไป๋จิ่งแล้ว ทำไมไป๋จิ่งถึงยังต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก
ไป๋จิ่งเห็นเขาไม่มีท่าทีตอบสนอง จึงคิดจะไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อบนหน้าเขา เจ้าตัวยังไม่ทันหันไปก็ถูกมั่วไป๋ดึงรั้งให้หยุด
เขากุมมือไป๋จิ่งแน่นสนิท ดึงอีกฝ่ายมาอยู่ข้างหน้าตัวเอง ไป๋จิ่งตะลึงงัน นาทีต่อมาก็ถูกมั่วไป๋โอบรัดต้นคอเอาไว้
มั่วไป๋เงยหน้าฉวยโอกาสนี้ประทับรอยจูบที่ริมฝีปากปากของไป๋จิ่ง เขายอมแพ้แล้ว แทนที่จะต่อสู้ดิ้นรนเก็บกดความรู้สึกด้วยความเจ็บปวดทรมาน สู้ใช้ไป๋จิ่งไปเลยดีกว่า
‘ถึงยังไงเมื่อก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยทำ มีอะไรต้องเสแสร้งอีก’
ท่ามกลางความเจ็บปวด น้ำตาหลั่งไหลรดรินจากหางตาลงไปซ่อนในเรือนผมสั้นสีดำของมั่วไป๋ เขาหลับตาลงรองรับความรุ่มร้อนของไป๋จิ่ง
‘ครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นตัวเองในตอนนั้นที่เคยยอมให้เขาจับกดมาได้ตั้งนาน เป็นการเก็บดอกเบี้ยเดิมมาใช้ใหม่แล้วกัน’
……
กว่าซือเหยี่ยนจะบินจากอเมริกามาถึงสนามบินที่ถานโจว เวลาก็ปาไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ร่างกายเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด แต่เมื่อคิดถึงเจียงมู่เฉิน เพียงเสี้ยววินาทีก็ตาสว่างขึ้นมาจนได้
เขาค่อยๆ ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากสนามบิน จนกระทั่งขึ้นนั่งในรถเก๋งคันสีดำที่จอดรอข้างนอกมาเป็นระยะเวลานาน
“ประธานซือครับ กลับคฤหาสน์หรือเปล่าครับ”
ซือเหยี่ยนครุ่นคิด “ไปบ้านตระกูลเจียง”
เทียบกับการกลับบ้านไปนอน เขาอยากเจอเจียงมู่เฉินมากกว่า ไม่รู้ว่าไม่กี่วันมานี้อีกฝ่ายจะโกรธจนระเบิดลงเลยใช่หรือเปล่า
รถเก๋งคันสีดำแล่นไปตามถนนโล่งไร้รถ ซือเหยี่ยนเอนพิงอยู่เบาะหลัง หลับตาลงเบาๆ สามวันมานี้ เขาเอาแต่ตามไมเคิลอยู่ข้างหลัง ไปตรวจสอบเรื่องราวของซังจิ่ง แทบจะไม่ได้ปิดตานอน
กลับมาแวบแรกคือมุ่งตรงไปหาเจียงมู่เฉิน เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย อดจะยิ้มไม่ได้ ไม่รู้ว่าเข้าไปดึกขนาดนี้ เจียงมู่เฉินจะโกรธจนคว้ามีดมาไล่ฆ่าเขาไหม
รถมาจอดตรงหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเจียง ซือเหยี่ยนเปิดประตูรถออกมา ก็ไม่ลืมจะสั่งกำชับ “พรุ่งนี้ไม่ต้องมารับฉัน”
หลังจากพูดจบ รถถึงได้แล่นออกไป
ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเจียง ดูลาดเลาตำแหน่งห้องของเจียงมู่เฉินสักหน่อย ข้างในดับไฟเรียบร้อย ซือเหยี่ยนอดจะเลิกคิ้วไม่ได้ คืนนี้ยังไม่ดึกก็นอนแล้วเหรอ
เขาหยิบมือถือออกมาคิดว่า จะโทรหาเจียงมู่เฉินให้เขาลงมารับตัวเองดีไหม
แต่พอคิดถึงความเจ้าอารมณ์ของเจียงมู่เฉิน เกรงว่าเห็นสายของเขาโทรมาก็โกรธจนปิดเครื่องไปดื้อๆ ได้ ซือเหยี่ยนจึงเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วปีนรั้วเข้าไป
ถ้าอาจารย์ของโรงเรียนฝึกตำรวจรู้เข้า ว่าเขาต่อยอดวิชาฝึกตอนนั้นมาใช้กระโดดข้ามกำแพง ปีนขึ้นเตียงเจียงมู่เฉิน จะโกรธเขาจนอยากจะตีเขาให้ตายได้หรือเปล่า
ในกลางดึก ท่าทางซือเหยี่ยนคล่องแคล่วว่องไว หลบหลีกกล้องวงจรปิดจนกระทั่งปีนขึ้นระเบียงชั้นสองห้องทางซ้ายไป
เขาผลักเปิดประตูตรงระเบียงออก ที่แท้ก็ไม่ได้ล็อกไว้ เขาเงียบสักพัก เพื่อฟังเสียงข้างใน จนแน่ใจว่าเจียงมู่เฉินนอนหลับแล้วถึงผลักประตูเดินเข้าไป
เจียงมู่เฉินโดนพ่อเขาอบรมจนง่วงอยู่ชั้นหนึ่ง กว่าจะรอให้พ่อยอมปล่อยเขากลับห้องไม่ใช่ง่ายๆ เมื่ออาบน้ำเสร็จ แม้แต่เล่นเกมยังไม่ได้เล่น เขาเข้านอนไปเลย
สายตาซือเหยี่ยนจับจ้องมายังเจียงมู่เฉินที่นอนฟุบอยู่บนเตียง แววตาทอประกายความอ่อนโยน เขาย่องเบาเดินเข้าไป
ท่านอนเจียงมู่เฉินทำตัวโตลำพองตัวไม่ต่างจากเจ้าตัวเท่าไหร่ เหมือนเมื่อก่อนที่นอนอยู่คฤหาสน์ซือเหยี่ยนไม่มีผิด คนเดียวนอนแผ่หลาเต็มเตียง
ซือเหยี่ยนเข้าไปใกล้พินิจมองใบหน้ายามหลับใหลของเขา พลางยื่นมือไปบีบจมูกเจียงมู่เฉิน
จู่ๆ ก็มีความรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา ทำเอาคิ้วเจียงมู่เฉินขมวดเข้าหากันเพียงพริบตา เขาย่นคิ้วลืมตาด้วยสีหน้าหงุดหงิด เพิ่งจะเตรียมเปิดปากต่อว่าก็ถูกซือเหยี่ยนใช้ปากอุดกลับไปก่อน
ซือเหยี่ยนกดร่างเขาไว้กับเตียง มอบจุมพิตเร่าร้อนให้ ราวกับจะกลืนกินคนลงท้องอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่ 143 ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นคนรัก
ในห้องมืดสนิท เจียงมู่เฉินโดนกดร่างไว้กับเตียงขยับเขยื้อนไม่ได้ ยังมีซือเหยี่ยนไอ้คนระยำหน้าไม่อายกดทับอยู่บนร่างเขาอีก
เพียงไม่นานเขาก็ตื่นเต็มตาแล้ว เคลื่อนไหวร่างกายไม่ไหว โมโหจนอยากจะกัดเขา แต่ดันไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนไปบีบส่วนไหนของหน้าเขาแล้ว ทำได้แค่เปิดปากปล่อยให้ซือเหยี่ยนฉกชิงจากตัวเองไป
จนเขาจูบจนพอใจ ถึงได้หยุดการกระทำลง
เจียงมู่เฉินโกรธจนตาสว่างแล้ว ฉวยโอกาสที่ตัวเองเคลื่อนตัวได้ ใช้เท้าถีบซือเหยี่ยนอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขากดเสียงต่ำเอ่ยด้วยความโมโห “นายแม่งเป็นโรคจิตหรือไง มาโผล่บ้านฉันทำไมดึกๆ ดื่นๆ”
ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินโกรธแล้ว ก็นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างเตียง ทำไขสือพูดซื่อๆ “ผมคิดถึงคุณ”
‘แม่งเอ๊ย!’ หายไปสามวัน ไม่โทรหาเขาเลยสักสาย ตอนนี้ดึกๆ ดื่นๆ วิ่นแจ้นมาหาบอกว่าคิดถึงตัวเอง นายคิดว่าคุณชายเป็นเด็กอายุสามขวบที่นายจะหลอกยังไงก็ได้หรือไง!
“ไสหัวไปซะ อยู่ห่างๆ ฉันเลย” เจียงมู่เฉินโมโหจนไม่ไหว แทบอยากจะบีบคอเขาตายคามือ
“เฉินเฉิน……” ซือเหยี่ยนเริ่มจะทำตัวออดอ้อน ขอความเห็นใจจากเจียงมู่เฉิน
“อย่าเรียกชื่อฉัน” เจียงมู่เฉินด่าทอกลับโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เมื่อคิดถึงสามวันที่ผ่านมานี้ เขาคิดถึงซือเหยี่ยนทุกวัน แล้วเขาล่ะ ไม่รู้ว่าไปลอยหน้าลอยตาที่ไหน พอสบายแล้วมาคิดถึงเขาได้ ยังหน้าไม่อายมาที่นี่อีก
“คุณโกรธเหรอ” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ
“ฉันโกรธเหรอ ฉันโกรธจนจะอกแตกตายแล้ว” เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “ฉันเป็นสัตว์เลี้ยงของนายหรือไง อยากได้ก็มาดู ไม่อยากได้ก็ทิ้งขว้าง”
ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ มองเขา “ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง”
เฮือก…เจียงมู่เฉินยิ่งของขึ้นกว่าเดิม นี่ในใจซือเหยี่ยน แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ยังเป็นไม่ได้เหรอ
“ไปๆๆๆ อย่ามาอยู่ในห้องฉัน รีบออกไปเลย ไม่งั้นฉันจะแจ้งความจับนายข้อหาบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลในยามวิกาลนะ”
ซือเหยี่ยนขำๆ มองดูเจียงมู่เฉินระเบิดลง ก่อนเอ่ยเน้นคำต่อคำ “ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นคนรัก”
“ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยง……เดี๋ยวๆ เมื่อกี้นายพูดอะไร”
ซือเหยี่ยนไม่สมัครใจจะเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ผมพูดไปแล้ว ไม่ได้ยินก็เป็นปัญหาของคุณ”
เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง เมื่อครู่นี้เขาได้ยินคำว่า ‘คนรัก’ สองคำนี้ เขามองซือเหยี่ยน กำลังจะเตรียมบังคับให้อีกฝ่ายพูดอีกรอบ ก็เห็นซือเหยี่ยนยืนพรวดพราดขึ้นมา
“นายจะไปไหน” เจียงมู่เฉินรีบร้องเรียก
ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ “คุณบอกให้ผมรีบออกไป ไม่งั้นจะแจ้งตำรวจจับผมไม่ใช่เหรอ”
เจียงมู่เฉินโมโหจนจะกระอักเลือด เมื่อก่อนพูดปากเปียกปากแฉะ ก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนจะฟังกัน ทีตอนนี้มาเปลี่ยนไป ทำเป็นเชื่อฟังจะออกไปจริงๆ
“นายกลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้” เจียงมู่เฉินถลึงตามองเขา “ถ้านายกล้าออกไป คุณชายรับประกันว่าจะตีขานายให้หักแน่!”
ซือเหยี่ยนได้ยินก็หันกลับมานั่งลงข้างเตียงทันที “ในเมื่อเฉินเฉินพูดมาแบบนี้แล้ว ผมยังจะกล้าไปที่ไหนได้อีก”
เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก เมื่อก่อนทำไมถึงไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนจะทำไขสือได้เก่งขนาดนี้
‘แม่งเอ๊ย! มาดหัวสูงขี้เก๊กของนายล่ะ?’
‘โดนหมากินไปแล้วเหรอ’
“กลางดึกแบบนี้ นายวิ่งแจ้นมานี่ทำไม”
“ผมคิดถึงคุณ เพิ่งจะลงเครื่องมาก็รีบมาหาคุณเลย” เสียงอ่อนโยนของซือเหยี่ยนเอ่ยชี้แจง
เจียงมู่เฉินหางตากระตุกมองข้ามคำว่า ‘หน้าไม่อาย’ ก่อนหน้านี้ไป เขาถีบซือเหยียบไปที “สามวันนี้นายไปไหนมา”
“ไปดูงานนอกมา บริษัทมีเรื่องนิดหน่อย” ซือเหยี่ยนอธิบายอย่างตรงไปตรงมา
เจียงมู่เฉินสังเกตมองเขาอย่างละเอียด “แน่ใจนะว่าแค่ออกไปดูงาน”
ความตรงไปตรงมาและจริงใจของซือเหยี่ยนโดนเขามองดูอยู่ “อืม แค่ออกไปดูงาน”
“ถ้างั้นที่นายให้แม่ฉันพาตัวฉันกลับมา เพราะกลัวว่าฉันจะทำให้นายเสียเวลาไปดูงานใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเริ่มรอจังหวะคิดบัญชีแค้น
“ขอโทษ เรื่องนี้ผมไม่รอบคอบเอง เลยไม่ได้บอกคุณล่วงหน้า”
เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของเขา รู้สึกมาตลอดว่าจู่ๆ ซือเหยี่ยนมาทำตัวว่าง่ายขนาดนี้ ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่
ตอนที่ 144 แค่หนุ่มบาร์โฮสต์เป็นคนคุ้นหน้ากัน
ความรู้สึกทำนองนั้นก็คือเหมือนเสือชีตาร์แสนดุร้ายที่จู่ๆ กลายร่างเป็นแกะน้อยแสนเชื่อง ดูไม่ชอบมาพากลเหมือนมีความลับรั่วไหลออกมาจากทุกทาง
แต่กลับดูไม่ออกว่าสุดท้ายแล้วไม่ชอบมาพากลตรงไหน
“โอเค ฉันรู้แล้ว ไสหัวไปได้แล้ว” เจียงมู่เฉินเอนกายไปข้างหลังเตรียมตัวจะนอน
ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ นี่คือใช้เสร็จแล้วทิ้งเลย เขายังคิดว่าเจียงมู่เฉินจะให้เขานอนด้วยคืนหนึ่งแล้วค่อยไปเสียอีก
“ผมจะไปแล้วนะ……” ซือเหยี่ยนแค่พูดแต่ไม่ขยับ “ผมจะไปจริงๆ แล้วนะ……”
เจียงมู่เฉินอยู่บนเตียง ปฏิกิริยาตอบสนองสักนิดก็ไม่มี
ซือเหยี่ยนทำหน้าน้อยใจ “เฮ้อ ดูท่าว่าคุณไม่อยากจะให้ผมอยู่ต่อจริงๆ งั้นผมไปก็ได้ จะได้ไม่ทำให้คุณไม่สบายใจอีก”
“เพียงแต่ว่า ลงจากเครื่องมา ก็ให้คนขับรถมาส่งผมที่นี่เลย เดิมทีผมคิดว่าคุณจะเห็นใจผม ผมเลยให้คนขับออกไปก่อนแล้ว……”
“แต่ก็ช่างเถอะ ดึกขนาดนี้ไม่มีรถ ผมเดินกลับเองก็ได้ พรุ่งนี้เช้าคงจะถึงได้พอดี” เขาพูดไปพลางลุกยืนขึ้นเตรียมจะเดินออกไป “งั้นผมไปแล้วนะ เฉินเฉินคุณก็พักผ่อนดีๆ แล้วกัน”
ซือเหยี่ยนยังไม่ทันได้ก้าวเท้าถึงสองก้าว ก็โดนฉุดดึงกลับมา เจียงมู่เฉินกดเขาลงไปกับเตียงไป “จะพล่ามอะไรมากมาย นอน”
ยามราตรีมืดมิด ซือเหยี่ยนยกยิ้มเจ้าเล่ห์ สมหวังดั่งใจได้นอนข้างเจียงมู่เฉินบนที่ครึ่งหนึ่งของเตียง เขาผ่อนลมหายใจออกอย่างสบายอารมณ์
ด้านเจียงมู่เฉินลืมตาค้างนอนไม่ค่อยจะหลับ เขานอนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ซือเหยี่ยนรั้งเขาเข้ามากอดด้วยความเคยชิน เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินไม่ดิ้นรนขัดขืน ปล่อยให้เขาโอบเอวอยู่อย่างนั้น
“คิดอะไรอยู่เหรอ” ซือเหยี่ยนงับใบหูเขาไว้
เจียงมู่เฉินรำคาญไม่อยากจะสนใจเขา “ไม่มีอะไร นอนเถอะ”
เขาหาท่านอนที่ทำให้สบายตัวได้แล้ว ดวงตาคู่นี้ปิดลงจนหลับไป ครั้งนี้ไม่ถึงห้านาที เจียงมู่เฉินก็เข้าสู่นิทราไปเป็นที่เรียบร้อย
ซือเหยี่ยนกอดกุมหลังมือของเจียงมู่เฉินไว้แน่น แล้วปล่อยกายนอนหลับ เป็นการนอนที่ดีครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้เจอเจียงมู่เฉินมา
เช้าวันต่อมา แสงแดดสาดส่องทะลุผ่านผ้าม่านมาตกกระทบบนพื้น มั่วไป๋ขยับร่างกายที่ปวดเมื่อย ร่างกายที่ไม่เหมือนปกติทำให้เขาตกใจกลัวเล็กน้อย เมื่อคืนความทรงจำอันบ้าคลั่งถาโถมกลับเข้ามาในหัวทั้งหมด
เขาหลับตาลง ในหัวฉายภาพความทรงจำบางอย่างขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ เขากอดไป๋จิ่งไว้ประทับรอยจูบตามอำเภอใจอยู่อย่างนั้น
ใช้เวลากว่าสองนาทีถึงทำให้ใจสงบลงได้ เขาหันมามองไป๋จิ่งที่ยังนอนหลับอยู่ข้างกาย มั่วไป๋ค่อยๆ ลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง สวมเสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆ แล้วหยิบเงินสดปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงวางไว้ข้างเตียง จากนั้นถึงค่อยเดินออกไป
เขาคิดเสียว่าเมื่อคืนตัวเองแค่หาหนุ่มบาร์โฮสต์มาช่วยตัวเองที่โดนวางยา ให้คลายฤทธิ์ยาออก แต่บังเอิญว่าหนุ่มบาร์โฮสต์เป็นคนคุ้นหน้ากันพอดีเท่านั้นเอง
มั่วไป๋สีหน้าเย็นชา เดินออกจากคอนโดมิเนียมของไป๋จิ่งไป ราวกับว่าเมื่อคืนนี้เรื่องราวทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
……
อีกด้านหนึ่ง เจียงมู่เฉินนอนอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน ทั้งสองคนกอดรัดพันเกี่ยวกันอยู่ใต้ผ้าห่ม
ในห้องเงียบสงัด เหลือแค่เพียงเสียงลมหายใจที่เป็นจังหวะมั่นคง
ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา “เฉินเฉิน ใกล้จะเที่ยงแล้ว รีบลงมากินข้าวเร็วลูก”
เจียงมู่เฉินตกใจตื่น ตอบกลับอย่างเอื่อยเฉื่อย “รู้แล้วครับแม่ เดี๋ยวจะรีบลงไปครับ”
“อืม เร็วเข้าล่ะ แม่จะรอลูกอยู่ข้างล่าง”
เจียงมู่เฉินบิดขี้เกียจตามความเคยชิน มือไปโดนเรือนผิวกายอุ่นร้อนพอดี เขาชะงักไปหันมองด้านข้าง ซือเหยี่ยนนอนเอ้อระเหยอยู่ข้างกาย เพิ่งจะลืมตาง่วงๆ ตื่นขึ้นมาได้ไม่นานนี้เอง
“อรุณสวัสดิ์” ซือเหยี่ยนคว้ามือเจียงมู่เฉินที่สัมผัสโดนแผ่นอกของตัวเองขึ้นมาจูบ
‘แม่งเอ๊ย ใจหายหมด’ เจียงมู่เฉินรีบชักมือกลับ เขาลืมไปได้ยังไงว่าบนเตียงยังมีซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นนอนอยู่
“นาย นายทำไมยังอยู่ที่นี่อีก” เจียงมู่เฉินนึกขึ้นมาได้กะทันหันว่าเมื่อครู่นี้ยังดีที่แม่เขายังเคารพความเป็นส่วนตัวของเขา ไม่เปิดประตูเข้ามาเอง
ไม่เช่นนั้นมาเห็นเขากับซือเหยี่ยนนอนกันแบบนี้บนเตียง กลัวว่ามีแปดปากก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน
ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่กำลังลุกลี้ลุกลนแล้วหัวเราะ “คุณถามผมแบบนี้เหรอ เมื่อคืนคุณให้ผมนอนที่นี่ ผมไม่อยู่ที่นี่แล้วจะให้ผมไปไหน”
ตอนที่ 145 พะเน้าพะนอคลอเคลียยามเช้า
ขมับเจียงมู่เฉินอดจะกระตุกสั่นไม่ได้ เมื่อคืนเขาไม่ควรใจอ่อนให้ซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นอยู่ต่อเลย ตอนนี้คนตัวโตขนาดนี้อยู่บนเตียงของตัวเอง จะให้ปีนออกจากหน้าต่างไปก็ไม่ได้
เจียงมู่เฉินเริ่มปวดหัว หรือว่าจะต้องพาไอ้หมอนี่ลงไปข้างล่างด้วย?
‘แล้วถ้าแม่เขาถามขึ้นมาจะอธิบายยังไง’
คิดถึงตรงนี้ เจียงมู่เฉินก็อดจะถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนไม่ได้
คนโดนจ้องเขม็งลูบจมูกป้อยๆ ทำไขสือมองเขา เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ไม่ช้าก็เร็วคงมีสักวันที่ตัวเองจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของซือเหยี่ยน
“งั้นตอนนี้จะทำยังไง” เจียงมู่เฉินลนลานขึ้นมาแล้ว เขากลัวว่าแม่เขารู้จะไล่ฆ่าเขา
แต่ซือเหยี่ยนกลับทำหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาไม่มีผิด เจียงมู่เฉินโมโหจนขบกรามแน่น ยกเท้าถีบเขาแรงๆ ไปที
“ทำไมนายไม่ร้อนใจบ้าง ถ้าโดนแม่ฉันจับได้ขึ้นมา พวกเราสองคนจบกันเลยนะ”
ถึงแม้ว่าเรื่องที่เขาคบกับซือเหยี่ยน ไม่ช้าก็เร็วสักวันพ่อแม่เขาจะต้องจับได้ เขาเองก็ไม่คิดจะปิดเรื่องซือเหยี่ยน แต่ว่าเรื่องราวระหว่างเขากับซือเหยี่ยนในตอนนี้ยังไม่ได้ทำให้ชัดเจน มันยังไม่ใช่โอกาสที่ดีในการเปิดเผยเรื่องนี้
ซือเหยี่ยนคืนสภาพกลับมาเป็นคนหัวสูงขี้เก๊กเหมือนปกติเช่นเดิมแล้ว เขากวาดสายตามองเจียงมู่เฉินที่อยู่บนเตียง “หยิบเสื้อผ้าให้ผมหน่อย คุณจะให้ผมแต่งตัวสภาพแบบนี้เหรอ”
เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น อยากพุ่งเข้าไปกัดเขาสักที นี่มันใช่เวลามาห่วงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองไหม
แต่ว่าสุดท้ายก็ยังใจอ่อนอยู่ดี เจียงมู่เฉินหาเสื้อผ้าใหม่ที่ตัวเองไม่เคยใส่จากในตู้เสื้อผ้ามาให้เขา
“นี่ ยังไม่เคยใส่”
ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองแวบหนึ่งก่อนจะโยนกลับไป
เส้นเลือดบนหัวเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก ตอนนี้เขาฆ่าซือเหยี่ยนจับหมกยัดตู้จะเป็นไรไหม แบบนี้แก้ไขสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานได้ไม่พอ ยังไม่ทำให้เขาอกแตกตายด้วย
ซือเหยี่ยนเดินอ้อมเตียงมา ปลดกระดุมบนเสื้อเชิ้ตไป พลางมุ่งหน้าไปยังตู้เสื้อผ้าด้วย
เจียงมู่เฉินมองดูเขาค่อยๆ ปลดกระดุมออกจนหมด จากนั้นถอดเสื้อเชิ้ตออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นร่างกายกำยำกล้ามเนื้อกระชับแน่นวาบไปวาบมาต่อหน้าต่อตาเขา
ซือเหยี่ยนควานหาเสื้อเชิ้ตที่เจียงมู่เฉินเคยใส่ออกมาจากตู้เสื้อผ้า ค่อยๆ ปลดกระดุมออก เอามาสวมคลุมตัว
เขายืนอยู่ตรงนั้นตั้งนานก็ยังไม่แต่งตัวให้เสร็จสักที
เจียงมู่เฉินโมโหจนถลึงตาใส่เขา “นายใส่ให้มันเร็วขึ้นหน่อยจะได้ไหม”
ซือเหยี่ยนเอียงตัวหันมามองเขา “โทษที เพิ่งจะตื่นนอนเวียนหัวนิดหน่อย” จากนั้นถึงได้ค่อยๆ สวมเสื้อเชิ้ตบนตัวเข้าไปดีๆ
เสื้อเชิ้ตของเจียงมู่เฉินเมื่อมาอยู่ในร่างของซือเหยี่ยนก็จะคับนิดหน่อย แต่พอใส่เสื้อสูทเข้าไปก็มองไม่ออกแล้ว
สวมเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็เดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน ท่าทางคล่องแคล่วดูคุ้นเคยราวกับอยู่บ้านตัวเองไม่มีผิด
เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าหางตาจะดำๆ คล้ำๆ แล้ว เขาเดินตามเข้าไป
คนสองคนอยู่ในห้องน้ำ กระจกสะท้อนภาพคนสองคนที่ทำอะไรๆ เหมือนๆ กัน เจียงมู่เฉินก้มตัวลงไปล้างหน้า กำลังจะเตรียมดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดหน้า ก็โดนซือเหยี่ยนโอบเอวไว้แน่นแล้วประทับรอยจูบลงไป
เขาเบิกตากว้างมองซือเหยี่ยน ไม่นึกถึงน้ำที่ยังไม่ได้เช็ดให้แห้งบนใบหน้าเลย
ซือเหยี่ยนจูบจนพอใจถึงได้ปล่อยมือ เจียงมู่เฉินยึดไหล่เขาไว้ หายใจหอบ “แม่ฉันยังอยู่ข้างล่าง สนใจระวังหน่อยจะได้ไหม”
แววตาซือเหยี่ยนทอประกายความเจ้าเล่ห์ ตั้งแต่ตอนที่เจียงมู่เฉินตื่นนอน เขาก็อยากทำแล้ว ตัวเองพะเน้าพะนอคลอเคลียมาตั้งเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักนิด
รอให้เจียงมู่เฉินโผเข้ามาจูบเขา เกรงว่ารอถึงพรุ่งนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพึ่งลำแข้งของตัวเอง
ซือเหยี่ยนผู้ได้ลิ้มชิมความหวานสมใจรับกระดาษทิชชูเช็ดหน้าต่อจากมือเจียงมู่เฉิน หลังจากช่วยเขาเช็ดหน้าอย่างเบามือแล้ว ถึงได้เอ่ยปาก “ไปกันเถอะ คุณชายน้อยเจียงของผม”
โดนซือเหยี่ยนพาลงไปชั้นล่างแบบงงๆ เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งรู้ตัว เขายังไม่ได้คิดดีๆ เลยว่าจะอธิบายเรื่องของซือเหยี่ยนกับแม่เขาแบบไหน
เจียงมู่เฉินเอามือกุมหัว ต้องเป็นเพราะเขาโดนจูบจนขาดอากาศหายใจแน่ๆ สมองถึงได้ประมวลผลไม่ได้แบบนี้
แต่ซือเหยี่ยนกลับสุขุมนิ่งสงบ ค่อยๆ เดินลงบันไดช้าๆ ราวกับเดินเล่นอยู่ไม่มีผิด เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น รอดูอีกสักพัก ว่าซือเหยี่ยนไอ้หมอนี่จะอธิบายเรื่องเมื่อคืนที่ลอบขึ้นมาที่เตียงเขายังไง
คุณแม่เจียงอยู่ชั้นล่างรอเจียงมู่เฉินเรียบร้อยแล้ว เธอได้ยินการเคลื่อนไหวจากชั้นบนจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน สีหน้าตกตะลึงมึนงง……
ตอนที่ 146 หน้าเนื้อใจเสือ
เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าของคุณแม่เจียงจากตะลึงงันจนไปถึง……ดีใจแทบบ้า?
เสียงใสจิ๊จ๊ะเบาๆ ไม่ใช่สิ คนปกติเวลาเห็นคนในบ้านเพิ่มมาหนึ่งคนก็ควรจะรู้สึกแปลกใจมากไม่ใช่เหรอ ท่าทีตอบสนองของแม่เขาไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่เลยนะ
“เสี่ยวเหยี่ยน มาอยู่ด้วยกันกับเฉินเฉินได้ยังไง” คุณแม่เจียงมองซือเหยี่ยนด้วยสีหน้าดีใจ ขาดแค่ไม่ได้พุ่งตัวไปดึงมือเขามาเท่านั้น
“สวัสดีครับน้าเจียง พอดีเมื่อคืนผมเพิ่งกลับจากไปดูงานด่วนนอกสถานที่ครับ แล้วบ้านผมกำลังตกแต่งปรับปรุงอยู่ เห็นว่าดึกมากแล้วเลยมาที่นี่ ขอบคุณคุณน้าที่ให้การตอบรับนะครับ”
เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว ตกแต่งปรับปรุง? ข้ออ้างแถสีข้างถลอกขนาดนี้ แม่เขาจะเชื่อได้ลงเหรอ
“น่าจะบอกกันก่อน ถ้ารู้ว่าเสี่ยวเหยี่ยนกลับมาเมื่อคืน น้าจะได้ให้เฉินเฉินรออยู่ข้างล่าง อ่อใช่ ระหว่างที่นั่นยังตกแต่งปรับปรุงอยู่ ก็มาพักที่บ้านน้าก่อนเถอะ ห้องเฉินเฉินก็ใหญ่พอดี พวกลูกเบียดกันนิดนึงก็อยู่ได้แล้ว”
???
เครื่องหมายคำถามเต็มหัวเจียงมู่เฉินไปหมด……นี่แม่เขาเจอซือเหยี่ยนที จิตใต้สำนึกไม่ต้องใช้ไอคิวแล้ว?
‘ยังให้เขาเบียดกันกับซือเหยี่ยนอีก?’
นี่มันเป็นการผลักเขาให้ไปอยู่ใต้ร่างซือเหยี่ยนไม่ใช่หรือไง เป็นแม่เขาเองจริงๆ คัดค้าน!
ซือเหยี่ยนยิ้มเบาๆ พยักหน้ารับ “งั้นช่วงนี้รบกวนน้าเจียงด้วยนะครับ”
คุณแม่เจียงรีบเอ่ยยิ้มรับ “ไม่รบกวนๆ เจ้าเด็กแสบของพวกเราควรจะเรียนรู้จากเสี่ยวเหยี่ยนเยอะๆ ไม่ดื้อได้สักครึ่งหนึ่งของเสี่ยวเหยี่ยนก็โอเคแล้ว”
เจียงมู่เฉินโดนอัดจนจะกระอักเลือดจริงๆ แล้ว เขาเกือบจะไม่ทน อีกนิดจะเด้งตัวขึ้นมาชี้หน้าซือเหยี่ยนพูดกับแม่เขาแล้ว ไอ้หมอนี่ไม่ดื้อกับผีน่ะสิ ตอนอยู่บนเตียง ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าไม่ดื้อตรงไหน
สัตว์……ที่รู้หน้าไม่รู้ใจ!
เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคำว่า ‘สัตว์’ น่าฟังกว่าคำว่า ‘เดรัจฉาน’ มาก เปรียบเทียบได้เหมาะสมกับซือเหยี่ยนคนหน้าเนื้อใจเสือ
เจียงมู่เฉินผู้กำลังกินข้าวอยู่อย่างกล้ำกลืนฝืนทน ถ้าไม่เห็นแก่หน้าแม่เขา เขาเผาซือเหยี่ยนไปนานแล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จ ซือเหยี่ยนเช็ดปากอย่างมีมาดสุภาพ ก่อนเอ่ยขึ้น “น้าเจียงครับ พอดีที่บริษัทมีเรื่องนิดหน่อย ผมจะกลับบริษัทไปก่อน จัดเก็บของลงกระเป๋าแล้ว จะมาอีกนะครับ”
คุณแม่เจียงได้ยินก็รีบเอ่ย “เสี่ยวเหยี่ยนจัดการงานที่บริษัทเถอะจะ เรื่องจัดเก็บของลงกระเป๋าเดี๋ยวให้เฉินเฉินจัดการก็แล้วกัน ถึงยังไงเขาก็อยู่ที่นั่นมาพักหนึ่งแล้ว คุ้นเคยดีอยู่จะ”
เจียงมู่เฉิน “……” ผมเป็นลูกชายแท้ๆ ของแม่จริงๆ มือที่ขุดหลุมฝังตัวเองไม่อ่อนโยนเลย
แววตาซือเหยี่ยนฉายรอยยิ้ม เขาเอียงหน้ายกมุมปากขึ้นมองไปทางเจียงมู่เฉิน “งั้นก็รบกวนคุณแล้ว เฉินเฉิน~”
เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ไม่! รบ! กวน! มาก! เลย!”
คุณแม่เจียงส่งสายตามองตามพวกเขาไป เจียงมู่เฉินขับรถไปส่งซือเหยี่ยนที่บริษัท จากนั้นไปบ้านเขาเพื่อจัดกระเป๋าเดินทางให้เขา
เจียงมู่เฉินขับรถไป พลางยิ้มเยาะ เขาอดจะสงสัยไม่ได้ ซือเหยี่ยนถึงจะเป็นลูกชายของพ่อแม่เขาที่แท้จริงใช่ไหม ตอนนั้นตัวเองโดนอุ้มไปผิดหรือเปล่า
ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่เอาแต่ยิ้มเยาะตลอดทาง แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นหัวเราะ “เป็นไรไป หึงเหรอ”
เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เปล่า ฉันจะไปหึงอะไร”
“ไม่ดื้อนะ ในใจผมคุณยังเป็นที่หนึ่งอยู่” ซือเหยี่ยนเอ่ยโอ๋
“ไม่ดื้อน้องสาวนายสิ ฉันไม่เอาที่หนึ่งของนายหรอก” เจียงมู่เฉินระเบิดลงเพียงพริบตา
“อ่อ งั้นผมเป็นที่หนึ่งของคุณแล้วกัน” เขามองเจียงมู่เฉินผู้กำลังระเบิดลง แล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ
“……” เขาจอดรถทิ้งคนลงกลางทางตอนนี้ทันไหม
……
หลังจากส่งซือเหยี่ยนถึงบริษัทแล้ว ถึงได้ขับรถด้วยความเร็วสูงมาถึงที่คฤหาสน์ของซือเหยี่ยน รถเพิ่งจะจอดถึงประตูทางเข้า ก็เห็นว่าข้างในมีคนอยู่ไม่น้อยจริงๆ
เจียงมู่เฉินลงจากรถ เห็นพวกเขาขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ออกมาข้างนอก เจียงมู่เฉินชะงักไป บ้านไอ้หมอนี่ตกแต่งปรับปรุงจริงๆ แฮะ
เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เข้าไปข้างในขึ้นชั้นสองหยิบเสื้อผ้าให้ซือเหยี่ยนแล้ว ถึงได้ออกมา
หลังจากออกจากบ้านซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน แต่มุ่งตรงไปบ้านมั่วไป๋ เมื่อคืนเขาขอให้มั่วไป๋ออกไปด้วย แต่ตัวเองดันไม่ได้ไป เพราะฉะนั้นเขาต้องไปแสดงการขอโทษมั่วไป๋ด้วยตัวเอง
ตอนที่ 147 ไป๋จิ่งผู้หมดอาลัยตายอยาก
ณ ซือกรุ๊ป ซือเหยี่ยนเข้าบริษัทมา เมื่อเดินผ่านห้องทำงานของไป๋จิ่ง ก็พบว่าประตูปิดสนิท ราวกับว่าไม่มีคนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เขาคว้าตัวเสี่ยวหลิวที่เดินผ่านมาข้างๆ พอดี “ประธานไป๋ของพวกคุณล่ะ”
“ประธานไป๋ยังไม่มาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วค่ะ”
ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไป เขาหยิบมือถือออกมาโทรหาไป๋จิ่ง เมื่อก่อนก็ตกลงกันแล้ว ว่าวันนี้จะมาเจอกัน ทำไมถึงตอนนี้แล้วยังไม่มาอีก
ไป๋จิ่งนั่งตะลึงค้างอยู่บนเตียง ค่ำคืนอันเร่าร้อนผ่านไป เช้าวันต่อมา ไป๋จิ่งยังอยากจะกอดมั่วไป๋นอนอุ่นเครื่องอีกอยู่เลย
ปรากฏว่าไม่มีใครให้กอด ลืมตามาก็เห็นแค่เงินปึกหนึ่งวางไว้บนหมอน……
เขาชะงักงันมองเงินหยวน สมองอดจะกระตุกไม่ได้ นี่มั่วไป๋เห็นเขาเป็นหนุ่มบาร์โฮสต์ไปแล้วเหรอ
ไป๋จิ่งผู้ไม่เคยรับเงินบนเตียง รู้สึกงุนงงไม่เบา
เขานั่งขัดสมาธินิ่งเงียบอยู่บนเตียงตั้งนานสองนาน ยังรับความจริงเรื่องนี้ไม่ไหว ไม่นึกว่าสักวันจะมีคนมาทำให้เขากลายเป็นผู้ชายขายตัวไปแล้ว
‘ที่สำคัญคือ……คนๆ นั้นใช้เขาเสร็จ ทิ้งเงินไว้ แล้วก็หนีไปเลย’
มือถือที่วางข้างเตียงสั่นไม่หยุด ไป๋จิ่งหยิบมือถือขึ้นมากดรับสายด้วยความสิ้นหวังในชีวิต ทางซือเหยี่ยนยังไม่ทันได้พูดอะไร ไป๋จิ่งร้องโหยหวนอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ฉันไป๋จิ่ง ไม่นึกว่าสักวันจะมีคนมาทำให้ฉันกลายเป็นผู้ชายขายตัวไปแล้ว”
ซือเหยี่ยนผู้นั่งอยู่ในห้องทำงานมุมปากกระตุกแล้ว เขาตัดสายทิ้งอย่างไม่ลังเล
ไป๋จิ่งมองดูมือถือที่ถูกตัดสายไป ยังตอบสนองกลับไปไม่ได้ ซือเหยี่ยนไอ้หมอนี่กำลังสาดเกลือใส่บาดแผลเขาเหรอ
เขากอดตัวเองไว้ด้วยความรู้สึกอ่อนแอ ชักอยากจะร้องไห้แล้ว
ความเป็นจริงมันโหดร้ายเกินไป เขาไม่อยากเผชิญความจริงนี้เลยสักนิด
รถเจียงมู่เฉินแล่นมาจอดใต้ตึกคอนโดมิเนียมของมั่วไป๋ เขาถือเค้กที่ตั้งใจอ้อมชานเมืองไปซื้อมา เป็นของที่มั่วไป๋ชอบที่สุด ใช้ของชิ้นนี้เป็นของขวัญเอาใจ หวังว่ามั่วไป๋จะเห็นความซื่อตรงจริงใจจากเขาได้บ้าง ลงมือกับเขาเบาๆ หน่อย
เขายืนอยู่หน้าประตูบ้านของมั่วไป๋ กดกริ่งประตู
ตั้งนานก็ไม่มีใครเปิดประตู
เจียงมู่เฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด เวลานี้มั่วไป๋ไม่ควรจะไม่อยู่ แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนที่ไม่ถึงตอนบ่ายไม่ตื่นนอนนี่หน่า
เขากดกริ่งอีก ราวกับว่าไม่เปิดประตูก็จะกดอยู่อย่างนี้ไม่หยุด
มั่วไป๋นอนฟุบอยู่บนเตียง โดนเสียงหนวกหูรบกวนก็หมดหนทาง เขาดึงผ้าห่มออก ปีนลงจากเตียง กุมขมับที่กำลังปวดอยู่ เดินออกจากห้องไป
ดึงประตูเปิดออก เจียงมู่เฉินยืนยิ้มอ่อนอยู่หน้าทางเข้า
มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ปัง เสียงประตูกระแทกปิด เจียงมู่เฉินตะลึงงัน จิตใต้สำนึกบอกให้เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
อันตรายๆ อีกนิดประตูบานนี้จะสะบัดหน้าเขาแล้ว
ผ่านไปอีกห้านาที มั่วไป๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ถึงได้เปิดประตูอีกครั้ง สีหน้ายังไม่คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อครู่นี้เยอะแล้ว
“ไป๋ไป๋ เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ทำไมสีหน้าดูแย่ขนาดนี้ล่ะ”
เจียงมู่เฉินเอ่ยถามไถ่เอาใจด้วยความเป็นห่วง ยังไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องโดนเขาปิดประตูใส่ให้รออยู่ข้างนอกอีก
มั่วไป๋กุมขมับ “อืม เมื่อวานหลับไม่ค่อยสนิท”
เจียงมู่เฉินได้ยินก็มองเขาด้วยความสงสัยทันที “เมื่อคืนนายไม่นอนแล้วไปทำไม”
มั่วไป๋ขบกรามแน่น “ถ้าฉันเป็นนายฉันจะไม่เป็นฝ่ายถามปัญหานี้นะ” เขายังมีหน้ามาถามว่าเขาไปไหนอีกเหรอ
ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงมู่เฉิน เขาคงไม่ต้องถึงขนาดไปหลานเยี่ยกลางดึก แล้วโดนคนทำร้าย แถมยังไม่ระวังถูกวางยาอีก
‘สุดท้ายก็โดนไป๋จิ่งไอ้คนระยำ ‘ทำ’ จนเอวยืดตรงไม่ได้’
เจียงมู่เฉินรู้ตัวว่าถามผิดก็รีบเอามือกุมปากตัวเองไว้ “คือว่า โทษฉันเลย โทษฉัน เป็นปัญหาของฉันเอง”
“ทำไมจู่ๆ นายมาโผล่ที่นี่”
เจียงมู่เฉินเอาเค้กที่ตัวเองตั้งใจซื้อมาเป็นพิเศษวางลงต่อหน้ามั่วไป๋ “ฉันมาแสดงการขอโทษ เมื่อคืนฉันถูกพ่อฉันจับตัวไว้ เขาลากฉันไปคุยด้วยสามชั่วโมง”
มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น เขาเองก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเจียงมู่เฉิน
ตอนที่ 148 ใครทำ
เรื่องพวกนี้จริงๆ ก็โทษเจียงมู่เฉินเสียทีเดียวไม่ได้ บางอย่างโชคชะตาก็กำหนดไว้แล้ว คงเพราะตอนนั้นเขายังไม่ตาย พระเจ้าเห็นขัดหูขัดตา จึงทำให้ไป๋จิ่งปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก
แต่ว่าเขาเองก็ไม่สนใจ ในเมื่อเขาเป็นคนที่เคยผ่านความตายมาครั้งหนึ่งแล้ว เรื่องความเป็นความตายจึงไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย
“โอเค ของขวัญเอาใจก็ส่งมาแล้ว ยังมีธุระอย่างอื่นอีกไหม” เมื่อคืนมีเรื่องชกต่อยไม่พอ ยังโดนไป๋จิ่งทรมานทั้งคืน เพิ่งจะนอนหลับไปก็โดนเจียงมู่เฉินทำเสียงดังจนตื่นมาอีก เขาแบกรับไม่ค่อยจะไหวแล้วจริงๆ
“ทำไมวันนี้ถึงแปลกคนขนาดนี้นะ บอกมา นายไปติดหนุ่มคนใหม่ที่ไหนมา”
มั่วไป๋มองบนใส่ คร้านจะสนใจอีกฝ่ายแล้ว เขาหมุนตัวเตรียมจะเดินไป จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็คว้ามือเขา แล้วกักตัวเขาเอาไว้ด้วยท่าทีประหลาดใจ
“เดี๋ยวก่อน บนตัวนายใครทำ”
มั่วไป๋ใส่เสื้อเชิ้ตปกปิดอำพรางไว้ได้อยู่ไม่น้อย เมื่อครู่ตอนที่ลุกขึ้นยืน เนื้อส่วนนั้นโผล่ออกมาให้เห็นนิดหน่อย หลังจากเจียงมู่เฉินเห็นก็กดเขาลงโซฟา จับปกเสื้อที่กำบังอยู่เปิดออก
แผ่นอกเรือนผิวขาวผ่องมีรอยช้ำกระจายไปทั่ว มีบางรอยที่มีเส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้น เพราะใช้แรงมากเกินไป
มั่วไป๋เอนพิงโซฟาปล่อยให้เขาดู
“ไม่มีอะไร ก็แค่เรื่องที่สมยอมกันทั้งคู่เท่านั้นเอง” มั่วไป๋เอ่ยเสียงเรียบ
เจียงมู่เฉินเดือดแล้ว ร้อนใจจนเดินวุ่นไปมา “นายเป็นคนแบบไหน ฉันไม่รู้หรือไง นายแม่งไปสมยอมกับใครที่ไหนกัน”
มั่วไป๋ไม่อยากเอ่ยชื่อ ‘ไป๋จิ่ง’ ชื่อนี้ออกมา เจียงมู่เฉินออกจะฉลาดขนาดนี้ ต้องเข้าใจได้ปรุโปร่งอยู่แล้ว
เขาสามารถโยงเรื่องของคนๆ นั้นเมื่อก่อนนี้กับไป๋จิ่งเข้าด้วยกันได้ ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว เขาต้องตามไปคิดบัญชีกับไป๋จิ่งแน่นอน ถึงตอนนั้นเรื่องของเขาก็ปิดบังไว้ไม่อยู่แล้ว
มั่วไป๋ถอนหายใจ เขายังไม่อยากเดินไปถึงขั้นนี้ ระหว่างที่เขายังคิดไม่ตกว่าจะเดินต่อไปอย่างไร เขาก็ยังไม่อยากเปิดเผยสถานะของตัวเอง
“มู่เฉิน ฉันเป็นผู้ใหญ่คนนึง ก็มีความต้องการทางร่างกายของตัวเอง หลับนอนด้วยกันแค่ครั้งเดียวก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ”
เจียงมู่เฉินไม่ฟังอยู่แล้ว “ถ้าคนอื่นมาทำแบบที่นายพูด มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่นี่เป็นนายไง มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” เขาเงียบลงสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “นายไม่อยากบอกฉันใช่ไหมล่ะ”
มั่วไป๋พยักหน้า “นายเชื่อฉัน ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่”
เจียงมู่เฉินได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็พูดอะไรไม่ออก เขาถอนหายใจเบาๆ “เอาเถอะ ฉันไม่ถามต่อแล้ว ข้าวเที่ยงกินหรือยัง”
“ยัง เพิ่งจะนอนหลับก็โดนนายทำเสียงดังจนตื่นแล้ว”
“ฉันจะสั่งของกินมาให้ นายกินเค้กก่อน รอนายกินเสร็จ ฉันถึงจะไป แล้วนายไปนอน ฉันจะไม่รบกวนนายอีก”
เจียงมู่เฉินถอนหายใจ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนเป็นแม่ไม่มีผิด แต่ก็ช่วยไม่ได้ มั่วไป๋ยังดูแลได้ไม่เท่าเขา ไม่เฝ้าดูไม่ได้
มั่วไป๋พิงโซฟา หัวเราะมองเจียงมู่เฉิน “ฉันว่า นายมีเวลา ทำไมไม่ไปเป็นห่วงเป็นใยซือเหยี่ยนของนาย มาเฝ้าดูฉันเพื่ออะไร”
เอ่ยถึงซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็อดจะทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจไม่ได้ “หึ เขาไม่ต้องให้ฉันมาเป็นห่วงเป็นใยเขาหรอก”
มั่วไป๋เลิกคิ้วมองเจียงมู่เฉิน
“มีแม่ฉันอยู่ มาไม่ถึงฉันหรอก” นึกถึงแม่เขาขึ้นมา เจียงมู่เฉินกลัวว่าแม่เขาจะลืมไปแล้วว่ายังมีลูกชายชื่อเจียงมู่เฉินอยู่
“คืบหน้าไปเร็วมาก ถึงขั้นไปเจอหน้าผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว”
เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุก ของเขามากสุดก็แค่ถือว่าถูกผู้ใหญ่มาพบเท่านั้นเอง
เฝ้าดูมั่วไป๋กินเค้กจนหมด รอกินของที่สั่งจากข้างนอกมาเสร็จ เจียงมู่เฉินถึงได้ออกไป ถึงอย่างไรเขายังมีภาระไปรับซือเหยี่ยนต่อ
เขาหาแฟนเป็นผู้ชายที่ไหนกัน เขาหาบรรพบุรุษมาต่างหาก
เมื่อเจียงมู่เฉินเดินเข้าไปในซือกรุ๊ป มีคนอยู่ไม่น้อยมองดูเขาแวบหนึ่ง ครั้งก่อนที่คุณชายน้อยผู้นี้มาบริษัท แต่พังของบริเวณนี้ไปเกือบทั้งหมด ใครจะรู้ว่าครั้งนี้จะมีหายนะอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
เจียงมู่เฉินเดินเข้าลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนด้วยท่าทีสุขุมเรียบเฉยประจักษ์แก่ทุกสายตา
เขามุ่งตรงเดินไปยังประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยน ผลักเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล ซือเหยี่ยนนั่งหน้าโต๊ะทำงาน เห็นเจียงมู่เฉินแล้วก็อดจะหัวเราะเยาะไม่ได้ “ไง กลัวว่าผมจะซ่อนใครไว้ในห้องทำงานเหรอ”
ตอนที่ 149 หน้าตาหล่อ รูปร่างดี ชีวิตยังดีอีกด้วย
เจียงมู่เฉินนั่งกางแขนกางขาอยู่ต่อหน้าเขา “นายมีประวัติต้องโทษ ฉันจะคิดขนาดนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร”
“ถ้างั้น คุณคิดจะตรวจสอบผมอีกนานเท่าไหร่”
เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง “รอคุณชายอารมณ์ดีเมื่อไหร่ ค่อยหยุดตรวจสอบ”
ซือเหยี่ยนวางปากกาในมือลง มองมาทางเขา “งั้นครั้งนี้ตรวจสอบพอใจไหม”
ซือเหยี่ยนยักไหล่อย่างตามใจ “ธรรมดามั้ง ใครจะรู้ว่ามีคนแอบรายงานอะไรให้นายหรือเปล่า”
“รอผมดูเคสนี้เสร็จ ก็ไปได้แล้ว”
“ไม่เป็นไร นายดูต่อเถอะ ฉันจะไปเดินเล่นดูรอบๆ”
เจียงมู่เฉินว่างจนเบื่อ เดินวนดูรอบห้องทำงานของซือเหยี่ยนรอบหนึ่งก็ออกไปดูข้างนอกต่อ ชั้นนี้มีแค่ห้องทำงานของซือเหยี่ยนกับไป๋จิ่ง บวกผู้ช่วยสองคนเข้าไปอีก
เจียงมู่เฉินเตร่ไปเตร่มาก็เจอไป๋จิ่งเข้าโดยบังเอิญ สีหน้าหม่นหมองราวกับโดนอะไรกระทบกระเทือนมา เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าความบันเทิงมาแล้ว
เจียงมู่เฉินมองดูไป๋จิ่งผู้ซึมเซา แล้วเดินเข้าไปใกล้อย่างร่าเริง เขานั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของไป๋จิ่ง เลิกคิ้วเอ่ยถาม “โดนคนแย่งแฟนสาวไปเหรอ”
ไป๋จิ่งขุ่นเคืองใจมองดูเจียงมู่เฉินที่จงใจเข้ามาดูฉากเด็ดกันจะจะ เขาโกรธจนหมุนตัวหนีไม่อยากพูดกับคนตรงหน้า คราวก่อนที่ขุดหลุมฝังศพเขา เขายังจำได้ไม่ลืม
ถึงอย่างไรคนที่มากเล่ห์กลอย่างเขา เจอทีต้องไม่มีเรื่องอะไรดีอยู่แล้ว
“พี่ชาย นี่ฉันกำลังเป็นห่วงนายอยู่นะ”
ไป๋จิ่งมองบนใส่เขา “ฉันขอบใจความเป็นห่วงของนายจริงๆ”
“บอกมาเถอะ สีหน้าเหมือนโดนคนสวมเขาของนายนี่มันอะไรกัน” เจียงมู่เฉินอยากรู้อยากเห็นจนไม่ไหว รู้สึกว่าไป๋จิ่งต้องมีเรื่องอะไรบันเทิงมากแน่ๆ
ไป๋จิ่งช้ำใจจนจะกระอักเลือด อะไรคือโดนสวมเขา เขาโดนสวมเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาค่อยๆ ถอยหลังพินิจมองเจียงมู่เฉิน “พวกเราสองคนก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นมั้ง”
เจียงมู่เฉินนั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่ตรงนั้น “ไม่สนิทกันขนาดนั้น แต่ในฐานะที่นายเป็นเพื่อนของแฟนฉัน แสดงน้ำใจเป็นห่วงนายสักหน่อย ถึงยังไงนอกจากฉันก็ไม่มีใครถามนายได้แล้วนะ”
คำพูดของเจียงมู่เฉินจี้จุดตายไป๋จิ่งเข้าอย่างจัง เขาโทรหาซือเหยี่ยน ไอ้หมอนั่นเมินเฉยไม่พอ ตัดสายเขาทิ้งอีก
ความทุกข์อยู่เต็มอก ไม่มีแม้ใครสักคนมาช่วยแบ่งเบา
“ต้องการความห่วงใยจากฉันไหม ถ้าไม่ต้องการ ฉันจะไปแล้ว” เจียงมู่เฉินพูดจบก็จะลุกยืนขึ้น
ไป๋จิ่งรีบดึงเสื้อเขาไว้ “อย่าๆๆ พี่ชาย นายเป็นห่วงฉันหน่อยเถอะ”
เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เอ๊ะ เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่สนิทกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มาเป็นพี่น้องกันแล้วเหรอ”
ไป๋จิ่งยอมขาดทุนเพราะความทุกข์ใจ “นายเป็นแฟนของพี่น้องฉัน ก็ต้องเป็นพี่น้องฉันด้วยอยู่ด้วย”
คำพูดนี้ฟังรื่นหูเจียงมู่เฉินไม่เบา เขาจึงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง “ก็ได้ เชิญเริ่มการแสดงของนายเถอะ”
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องทำงาน ไป๋จิ่งเอาเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนรุ่งสาง เล่าให้เจียงมู่เฉินฟังทั้งหมด
เจียงมู่เฉินฟังจบ สีหน้าพังทลาย ไป๋จิ่งเพิ่งจะเตรียมถอนหายใจด้วยความเศร้าใจ จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังออกมา
เขาหัวเราะไป ตบโต๊ะไป “เฮ้ย ไป๋จิ่ง ทำไมนายถึงเจ๋งขนาดนี้ มีคนมาหลับนอนด้วย เขายังให้เงินนายอีก ได้ทั้งคน ได้ทั้งเงิน นายได้กำไรเห็นๆ เลย”
เจียงมู่เฉินยิ่งคิดยิ่งขำ เหมือนโดนคนมองเป็นท่อนไม้ไปแล้ว
เขากุมท้อง หัวเราะจนน้ำตาจะไหลออกมาแล้ว
น่าเสียดาย ทำไมเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย ไม่เช่นนั้นตอนที่ไป๋จิ่งเห็นเงินที่อยู่บนเตียง สีหน้าต้องตลกมากแน่ๆ
สีหน้าไป๋จิ่งดำคร่ำเคร่ง เขากัดฟันเอ่ยเน้นคำต่อคำ “เจียงมู่เฉิน น่าขำขนาดนั้นเลยเหรอ”
เจียงมู่เฉินเอามือถูตา “ไม่ใช่น่าขำขนาดนั้น โคตรขำเลยต่างหาก ตลกจะตายแล้ว”
ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นบ้าแน่ๆ ที่ไปเล่าเรื่องนี้ให้เจียงมู่เฉินฟัง เขาเชื่อไปได้ยังไงว่าเจียงมู่เฉินไอ้หมอนี่จะอยากปลอบใจตัวเองจริงๆ
“เย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่รู้จริงๆ ว่าซือเหยี่ยนชอบอะไรในตัวนาย”
กว่าเจียงมู่เฉินจะหยุดน้ำตาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขายักคิ้วมองไป๋จิ่งด้วยความเย่อหยิ่ง “คุณชายอย่างฉันหน้าตาหล่อ รูปร่างดี ชีวิตยังดีอีกด้วย” เขาถอนหายใจเบาๆ “ใครจะไปเหมือนนาย ไร้น้ำยาจนคนเขาเอาเงินฟาดหัวนายแล้ว”
“…” ไป๋จิ่งรู้สึกว่าถ้ายังอยู่กับเจียงมู่เฉินต่อไป เกรงว่าเขาต้องช้ำใจจนกระอักเลือดแน่
คงจะเพราะได้ยินการเคลื่อนไหวของไป๋จิ่ง ซือเหยี่ยนเดินเข้ามาจากข้างนอก เขาพิงประตูตามสบาย “นี่กำลังจะทะเลาะกันเหรอ”
ตอนที่ 150 เฉินเฉิน น้ำยาผมดีหรือไม่ดี
“วางใจเถอะ ฉันเป็นคนดีพอ ไม่รังแกคนไร้น้ำยาหรอก” เจียงมู่เฉินเหมือนยังขยี้จุดไม่จบ
ไป๋จิ่งเดือดจนดวงตาดำคร่ำเคร่ง ถ้าซือเหยี่ยนไม่อยู่ด้วย เขาคิดว่าตัวเองคงจะอดใจพูดกับเจียงมู่เฉินไม่ได้ ให้ไอ้หมอนี่มาลองน้ำยาเขาดูสักหน่อย
ยังดี ที่ยังไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมา ไม่เช่นนั้นเจียงมู่เฉินไม่เป็นฝ่ายเผาเขา ก็เป็นซือเหยี่ยนที่จะฆ่าเขาแทน
“รีบพาคุณชายเจียงของนายออกไปที ไม่งั้นฉันกลัวว่าฉันจะคุมตัวเองไม่อยู่” ไป๋จิ่งแอบตักเตือน
เจียงมู่เฉินก็เดือดเช่นกัน เขาเป็นคนที่ต้องให้ซือเหยี่ยนปกป้องเหรอ
“ผู้ชายกากไร้น้ำยา” คำพูดเดียวหลายความหมายของเจียงมู่เฉิน
ซือเหยี่ยนเห็นสองคนนี้ใกล้จะทะเลาะกันจริงจังแล้ว ก็กุมขมับอย่างจนใจ เขาเดินเข้าไปดึงแขนลากตัวเจียงมู่เฉินมา “ไปได้แล้ว ควรจะกลับสักที”
ไป๋จิ่งเห็นซือเหยี่ยนเข้ามาจัดการ ก็ยักคิ้วอย่างลำพองใจทันที
เจียงมู่เฉินเห็นเขายั่วยุกันจะจะก็อยากจะสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออกจากมือของซือเหยี่ยน แต่ซือเหยี่ยนล็อกไว้แน่นหนาจึงสะบัดไม่ออก
ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองไป๋จิ่งผู้ลำพองใจตรงหน้า “ที่จริงฉันกลัวเฉินเฉินของฉันจะปล่อยหมัดหนักใส่นายรุนแรงเกินไป ฉันเห็นใจสงสารนาย”
ไป๋จิ่ง “……” เขายังเป็นไก่อ่อนมากกว่าเจียงมู่เฉินอีกเหรอ
ไฟโมโหลุกโชนเต็มอก เจียงมู่เฉินผู้เล็งหัวไป๋จิ่งแบบต้องเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเพียงพริบตาก็สบายใจสบายอารมณ์แล้ว เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าบนตัวอย่างมีมาด
“เห็นแก่หน้าซือเหยี่ยน ฉันก็จะไม่รังแกนายแล้ว” เจียงมู่เฉินเสยผม “ถึงยังไง ฉันก็สาดเกลือใส่แผลนายต่อไม่ได้หรอก”
พูดไปยังกวาดสายตามองช่วงขาของไป๋จิ่งด้วย
ไป๋จิ่งโมโหจนดวงตาคู่นี้ดำคล้ำ รู้สึกว่าซือเหยี่ยนหาปีศาจแสนร้ายกาจขนาดนี้มาทำให้เขาโมโห
โดนเจียงมู่เฉิน ‘ปลอบใจ’ ขนาดนี้ ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งบาดเจ็บหนักกว่าเดิม
ทันใดนั้นในหัวไป๋จิ่งก็มีความคิดหนึ่งวาบขึ้นมา เขารีบหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาซือเหยี่ยน หัวเราะเยาะเขาเหรอ
‘เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะลงจากเตียงไม่ไหว’
……
หลังจากออกจากบริษัทไป ทั้งสองคนเพิ่งจะนั่งในรถ มือถือของซือเหยี่ยนก็ดังขึ้นมา เขาหยิบมือถือขึ้นมาดู เลิกคิ้วขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วผลัดไปมองเจียงมู่เฉินที่กำลังรัดเข็มขัดนิรภัยอยู่
นัยน์ตาฉาบความรู้สึกที่ยากจะหยั่งถึงได้ ซือเหยี่ยนไม่พูดอะไรสักคำ ขับรถออกไปทันที
เจียงมู่เฉินเห็นทางที่เขาขับรถมา ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไหร่ จึงรีบเอ่ยถาม “นายขับไปผิดทางแล้ว”
ซือเหยี่ยนเบนรถเลี้ยวไปทางซ้าย “ไม่ผิดหรอก”
เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง เขาไม่ได้โง่จนไม่รู้แม้กระทั่งว่าบ้านตัวเองไปทางไหน อีกอย่างเส้นทางนี้ก็ไม่ใช่ทางไปบ้านซือเหยี่ยน
ไม่กี่นาทีต่อมา เจียงมู่เฉินโดนเขาจับกดลงเตียงหลังใหญ่อยู่ในโรงแรมเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตัวยังตอบสนองกลับไปไม่ค่อยได้
“อะไรกัน……พูดจากันดีๆ ก็ได้ อย่าลงไม้ลงมือกันสิ” เจียงมู่เฉินลุกลี้ลุกลนจับเสื้อผ้าตัวเองไว้ ปกป้องข้างบนไม่ได้ ก็ป้องกันข้างล่างไม่ได้แล้ว จนสุดท้าย บนตัวก็จะไม่เหลือเสื้อผ้าสักชิ้น
ซือเหยี่ยนมองดูใบหน้าของเขา ออกแรงงับเขาไปคำหนึ่ง “รู้สึกว่าผมไร้น้ำยา อยู่ดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม”
เจียงมู่เฉินไม่เข้าใจ เขาไปพูดแบบนี้ตอนไหน
ซือเหยี่ยนไม่ให้โอกาสเขาได้โต้แย้งอะไร ลงมือประกบปาก มอบจูบแนบสนิทไร้อากาศใดจะผ่านได้
เจียงมู่เฉินโดนซือเหยี่ยนจับกดที่เตียงเล่นลวดลายหลากลีลาซึ่งเขาก็ขัดขืนไม่ไหวอยู่แล้ว เจียงมู่เฉินโกรธจนอยากจะขบกราม ต้องเป็นแผนที่ไป๋จิ่งไอ้หมอนั่นจงใจเล่นงานเขาแน่ๆ
ถ้ามีครั้งหน้า เขารับรองว่าจะต้องเอาคืนไป๋จิ่งไอ้คนระยำนั่นเป็นสองเท่าให้ได้
ซือเหยี่ยนมองคนใต้ร่างที่กำลังใจลอย โน้มตัวเข้าไปกัดหูเขาแรงๆ “ซี๊ด…” เจียงมู่เฉินร้องขึ้นมา รีบเอามือกุมหูที่โดนกัดเอาไว้
“นายเป็นหมาหรือไง”
เสียงซือเหยี่ยนแหบพร่า เซ็กซี่บาดใจ “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากให้คุณรับความรู้สึกให้ดี ว่าน้ำยาผมดีหรือเปล่า”
โดนเล่นบท ‘รัก’ ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปหลายชั่วโมง เจียงมู่เฉินยกมือไม่ขึ้นแล้ว สุดท้ายซือเหยี่ยนค้ำเอวที่ยืดตรงไม่ได้ของเขา แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เฉินเฉิน น้ำยาผมดีหรือไม่ดี”
‘แม่งเอ๊ย’
เจียงมู่เฉินพังครืนลมแทบจับแล้ว “ดีๆๆ นายแม่งดีที่สุดในโลกเลย”
เขาอยากร้องไห้ อยากเลิก
เหตุผลเพราะน้ำยาดีเกินไป
ตอนที่ 151 คุณชายปวดขา เดินไม่ไหว
กว่าทั้งสองคนจะออกจากโรงแรมได้ เจียงมู่เฉินก็ขี้เกียจถึงขั้นแม้แต่เดินก็ไม่อยากจะเดินแล้ว ถ้าไม่ติดว่าคนในโรงแรมเยอะเกินไป เขาต้องให้ซือเหยี่ยนอุ้มออกไปแน่ๆ
‘ได้สมใจแล้วก็ไม่สนใจเขาแล้ว มีเรื่องที่ดีขนาดนั้นที่ไหนกัน’
ก้อนเนื้ออย่างคุณชายนี้ ซือเหยี่ยนกล้ากินเข้าไป เขาก็ควรจะทำใจเตรียมพร้อมเรื่องกลืนยากด้วย
ยามเข้าโรงแรมไป ข้างนอกสว่างไสว กว่าจะออกมาอีกที ข้างนอกก็เปิดไฟประดับแต่หัวค่ำแล้ว
‘สามชั่วโมงเต็มๆ เลยนะ นี่มันเป็นสัตว์แล้ว’
เขามองซือเหยี่ยนที่สุขสมใจอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง อดจะกัดฟันกรอดๆ ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนออกกำลังกายมาสามชั่วโมงเต็มๆ ทำไมเขาถึงเหมือนคนที่ถูกตีมาหลายวัน เจ็บปวดเมื่อยไปทั้งตัว
เจียงมู่เฉินเห็นเขาทำหน้าสุขสมก็ไม่ค่อยปลื้มแล้ว เขายืนขึ้นก็ไม่อยากเดินทันที
ซือเหยี่ยนหันกลับมามองเขา “เป็นไรไป”
“คุณชายปวดขา เดินไม่ไหว”
ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นหัวเราะ พูดโดยไม่คิดอะไร “ให้ผมอุ้มคุณไหม”
เดิมทีเจียงมู่เฉินจงใจอยากให้ซือเหยี่ยนลำบาก แต่เห็นอีกฝ่ายเสนอตัวอยากอุ้มตัวเอง ความไม่สบายไม่สดชื่นแม้แต่นิดเดียวในใจก็สลายหายไปในพริบตา
เขาเปลี่ยนไปโหมดเล่นแง่ใส่แทน “คุณชายไม่ได้พิการขนาดนั้น ต้องให้นายอุ้มด้วยเหรอ”
ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเล่นแง่ระเบิดลงของเขาน่าขำอยู่ไม่เบา นัยน์ตาฉาบรอยยิ้ม พร้อมพยักหน้า “อืม เฉินเฉินของผมเก่งที่สุดอยู่แล้ว”
เจียงมู่เฉินที่เอียงคออยู่ รู้สึกว่าหูตัวเองเริ่มร้อนขึ้นมา โดนเขาปากหวานใส่กะทันหัน ยังรู้สึกอายๆ อยู่ด้วย
“ไปแล้วๆ”
เจียงมู่เฉินไม่กล้ามองซือเหยี่ยน หมุนตัวเดินไปข้างหน้า แสงไฟสีสันแพรวพราวตกกระทบเรือนกายของเจียงมู่เฉิน ร่างเพรียวสูงโฉบเฉี่ยวเปล่งประกายวิบวับ
“เจียงมู่เฉิน…” จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็เอ่ยเรียก
เจียงมู่เฉินที่เดินอยู่ข้างหน้าได้ยินเสียงซือเหยี่ยนเรียก จิตใต้สำนึกบอกให้เขาหันกลับไป ยังไม่ทันได้มองซือเหยี่ยน แขนของอีกฝ่ายก็โอบกอดเอวเขาไว้ ริมฝีปากแสนอบอุ่น
เจียงมู่เฉินเบิกตากว้างมองซือเหยี่ยนที่จูบตัวเองกะทันหัน รีบเอามือผลักเขาออก “ซือเหยี่ยน นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง กลางถนนแบบนี้ จู่ๆ นายมาจูบฉันทำไม”
ซือเหยี่ยนผู้ไม่เข้าตามตรอก ไม่ออกตามประตู จะทำเขาตกใจจนจะตายจริงๆ
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะไม่มีใครเดินผ่านมา แต่ก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้คนไม่เห็นได้ ถ้ามีคนมาเห็นตัวเองกับซือเหยี่ยนจูบกัน…
เจียงมู่เฉินครุ่นคิดสักพัก เหมือนว่า…มาเห็นก็ไม่มีอะไร
‘ก็แค่ก่อนที่ยังไม่ได้เตรียมตัวดีๆ จะยุ่งยากกว่าเดิมเท่านั้นเอง’
“จู่ๆ ผมก็อยากจูบคุณ” ซือเหยี่ยนทำหน้าทำตาน้อยใจ
เจียงมู่เฉินโกรธจนขบกรามแน่น แต่พอได้สบสายตาซื่อๆ ของเขา เพียงชั่วครู่ไฟโกรธในใจก็ดับมอดไปจนหมด
เขาถอนหายใจลึกๆ “ครั้งหน้าถ้านายไม่บอกกันก่อน ระวังคุณชายจะลงโทษนาย”
ซือเหยี่ยนกะพริบตาปริบๆ ตลกๆ “รับบัญชา นายท่านแฟนผู้ยิ่งใหญ่”
กลับมานั่งที่รถ เจียงมู่เฉินมองดูเวลา ตอนนี้หนึ่งทุ่มกว่าๆ แล้ว “จะกลับบ้านหรือว่าจะไปกินข้าวก่อน”
เวลานี้พ่อแม่เขาคงจะเตรียมกินข้าวกันแล้ว
“กลับบ้านเถอะ” ยามซือเหยี่ยนกำลังพูดคำว่า ‘กลับบ้าน’ สองคำนี้ ในใจก็ห้ามความรู้สึกอบอุ่นนี้ไม่ได้
ถึงแม้ว่าอยากจะพาเขาเลี้ยวกลับไปบ้านของพวกเขาสองคนแค่ไหน แต่เมื่อคิดว่ายังมีเรื่องอย่างอื่นอีก ซือเหยี่ยนก็อดทนไว้ ขับรถพากันกลับบ้านตระกูลเจียงไป
เป็นครั้งแรกที่เขาจงใจตกแต่งปรับปรุงบ้านใหม่เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการไปอยู่บ้านตระกูลเจียง พ่อแม่เจียงมู่เฉินดีกับเขามากมาตลอด ตั้งแต่เด็กๆ ก็ถือว่ามองเขาเป็นเหมือนลูกชายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
แต่ว่าถ้ามีวันหนึ่ง เขาเผชิญหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองคน แล้วบอกว่า ‘ผมต้องการชิงตัวลูกชายสุดที่รักคนเดียวของพวกท่านหนีไป’
เกรงว่า คุณพ่อเจียงจะอดหยิบไม้ตะบองมาไล่ตามฆ่าเขาไม่ได้
ถึงอย่างไรคนที่เขาอยากชิงตัวไปก็เป็นถึงก้อนเนื้ออันล้ำค่าในใจของพวกเขา
ดังนั้น วิธีที่เขาอยากจะทำให้สองสามีภรรยาตระกูลเจียงชินกับการที่ตัวเองอยู่ด้วยกันกับเจียงมู่เฉินได้เร็วที่สุด ไหนเลยจะเท่ากับการเข้ามาในฐานะเพื่อนสนิท
เขาเอียงคอมองเจียงมู่เฉินที่หรี่ตาเล่นเกมอย่างเอื่อยเฉื่อย เขาทุ่มเทหมดใจเพื่อเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขาในอนาคต แต่ไอ้หมอนั่นยังมีกะจิตกะใจเล่นเกมอยู่ได้
ตอนที่ 152 นี่เขาไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วใช่ไหม
สายตามาหยุดลงที่ริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนคันยิบๆ ที่หัวใจ ข่มใจจะโถมเข้าไปกินสักคำไม่ได้ แต่พอคิดว่าวันนี้ตัวเองจัดบท ‘รัก’ ให้เขาหนักพอแล้ว ถ้ามาครั้งนี้อีก จะเป็นการยั่วโทสะเจียงมู่เฉินจริงๆ แล้ว
นิสัยหยิ่งผยองนี้ของเฉินเฉินของเขา เวลาฉุนเฉียวขึ้นมา เขาหาข้อดีไม่เจอเลยสักนิด
คิดได้แบบนี้ ซือเหยี่ยนถอนหายใจเงียบๆ ทำได้แค่เพียงกล้ำกลืนฝืนทนกับน้องชายตัวเองไปก่อน
สิ่งที่คิดในหัวเขาตอนนี้ ถ้าให้เจียงมู่เฉินรู้ ต้องด่าเขาว่าเป็นสัตว์แน่ ในหัวมีแต่เรื่องทะลึ่งๆ เต็มไปหมด
รถจอดสนิทหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเจียง ทั้งสองคนลงจากรถแล้วเดินเข้าไปด้วยกัน
คุณแม่เจียงเห็นพวกเขากลับมาแล้ว ก็รีบถามด้วยความเป็นห่วงทันที “ทำไมกลับมาค่ำจัง กินข้าวมาหรือยังลูก”
เจียงมู่เฉินโดนไอ้หมอนั่นจับกดอยู่บนเตียงจัดหนักจัดเต็มกว่าสามชั่วโมง หิวจนไม่ไหวมาตั้งแต่แรกแล้ว เขารีบพยักหน้า “ใกล้จะหิวตายแล้วครับ”
“มาๆๆ นั่งลงก่อน แม่จะไปอุ่นอาหารให้แป๊บนึง”
ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เจียงมู่เฉินมองคุณแม่เจียง แล้วหันไปยักคิ้วให้ซือเหยี่ยน “แม่ฉันดีสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ”
ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “อืม แม่ดีมากจริงๆ”
เจียงมู่เฉิน “……” ไอ้หมอนี่หนังหน้าหนาจริงๆ “แม่ฉันกลายเป็นแม่นายตั้งแต่เมื่อไหร่ ซือเหยี่ยนหน้านายหนาขนาดนี้ เวลาจะบูรณะกำแพงเมืองจีนไม่ได้หยิบเอาไปใช้ น่าเสียดายน่าดู”
ซือเหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ หัวเราะเบาๆ “ต่อให้ตอนนี้ไม่ใช่ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็ใช่เอง”
“ฉันไม่คิดจะยกแม่ฉันให้นายหรอกนะ”
ซือเหยี่ยนเชิดมุมปากขึ้น “งั้นผมจะยกแม่ผมให้คุณ แม่ผมชอบคุณมากเป็นพิเศษมาตลอดเลย”
เจียงมู่เฉินใช้เท้าเตะซือเหยี่ยนอยู่ใต้โต๊ะ “นายมีเหตุผลหน่อยจะได้ไหม”
ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ทำไมผมไม่มีเหตุผลไปได้ล่ะ”
‘พวกเขาคบกัน แม่ทั้งสองคนก็เป็นแม่พวกเขา ไม่มีเหตุผลเหรอ’
เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น กำลังอยากจะซัดกลับไป คุณแม่เจียงก็ยกอาหารออกมาแล้ว “รีบกินซะนะจ๊ะ จะได้ไม่หิว”
เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง นี่เขาเห็นแก่หน้าแม่ตัวเองหรอกนะ ถึงได้ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับซือเหยี่ยน
“เสี่ยวเหยี่ยนกินเยอะๆ หน่อย ดูสิผอมหมดแล้ว” คุณแม่เจียงนั่งลงข้างๆ ดวงตาคู่นี้จดจ้องมาที่ซือเหยี่ยน
นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ของเจียงมู่เฉินแอบจ้องเขม็งใส่ซือเหยี่ยน บทบาทของเขากับซือเหยี่ยนไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นะ เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ เหรอ
‘แม่เขาควรจะเป็นห่วงว่าเขาผอมหรือไม่ผอม ไม่ใช่หรือไง ให้เขากินเยอะขึ้นหน่อยไหม’
‘ทำไมพอมาถึงแม่เขา ทุกอย่างกลับกันหมดเลย’
“แม่ครับ ผมเป็นลูกชายแม่นะ แม่ควรเป็นห่วงเป็นใยผมไม่ใช่เหรอ”
คุณแม่เจียงกวาดสายตามองเจียงมู่เฉินอย่างเย็นชา แล้วกลับไปมองซือเหยี่ยนอย่างเบิกบานใจ “ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่เจอเสี่ยวเหยี่ยนจะรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษเลย แม่สงสัยมาตลอดเลย ว่าตอนเล็กๆ อุ้มผิดมาหรือเปล่า”
“……” เพราะฉะนั้น ตอนนี้เขาไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วใช่ไหม
ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินถูกหักหลังแบบนี้ก็ดูน่าขำไม่เบาทีเดียว เขาอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้
เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเห็นเขาแอบยิ้มพอดี ฉวยโอกาสตอนที่คุณแม่เจียงไม่เห็น แอบถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง รอกลับไปห้องก่อน ดูว่าเขาจะลงโทษซือเหยี่ยนยังไง
อาหารมื้อนี้ภายใต้การจับตาดูของคุณแม่เจียง ในที่สุดก็กินด้วยกันเสร็จแล้ว หลังมื้ออาหารผ่านไป ซือเหยี่ยนอยู่ชั้นล่างคุยอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่เจียงต่อ เจียงมู่เฉินก็ถือโอกาสนี้เผ่นขึ้นข้างบนไป
‘ถึงยังไงก็มีลูกชายคนใหม่อยู่ด้วยแล้ว แม่เขากำลังมีความสุข ยังจะมานึกถึงเขาได้อยู่เหรอ’
เจียงมู่เฉินนอนฟุบถอนหายใจอยู่บนเตียง จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเขากำลังแย่งชิงเป็นลูกรักกับซือเหยี่ยนอยู่
นอนฟุบเล่นเกมอยู่บนเตียง เจียงมู่เฉินมองดูเวลาก็ล่วงเลยใกล้จะสามทุ่มแล้ว เขาได้ยินเสียงหัวเราะของซือเหยี่ยนกับคุณแม่เจียงดังขึ้นมาลางๆ จากชั้นล่าง
เขาถอนหายใจ ปีนลงจากเตียงไปอาบน้ำ
เจียงมู่เฉินเอนกายฟุบอยู่ในอ่างอาบน้ำ ครุ่นคิดอย่างจริงจัง ไม่แน่ว่าต่อไปตอนที่พวกเขาสองคนสารภาพความจริง แม่เขาคงอยากฟาดเขามากกว่า ทำใจฟาดซือเหยี่ยนไม่ลง
หมอกไอน้ำแผ่ปกคลุมไปทั่วห้องน้ำ เขาแช่น้ำอุ่นๆ เปลือกตาหนักแทบยกจะไม่ขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานผลข้างเคียงจากการโดนซือเหยี่ยน ‘ทำ’ แบบนั้น ทุกอย่างปรากฏออกมาหมด
เขานอนฟุบอยู่ข้างใน ทั้งร่างกายอ่อนเพลียอยากจะนอนหลับบ้างแล้ว
หลังจากพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่เจียงแล้ว ถึงได้ขึ้นชั้นบนมา เขาเดาไว้ว่าเจียงมู่เฉินควรจะกำลังเล่นเกมอยู่ ทันทีหลังจากผลักประตูเปิดเข้ามาก็ไม่เห็นใคร รู้สึกแปลกใจหน่อยๆ แล้ว
เขาเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ ยื่นมือผลักประตูเปิดเข้าไปก็เห็นทั้งห้องเต็มไปด้วยไอร้อน เจียงมู่เฉินนอนฟุบสัปหงกอยู่ในอ่างอาบน้ำ
ตอนที่ 153 จูบผมที
ซือเหยี่ยนกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะยามที่สายตาจดจ่อถูกจุดสำคัญ รอยช้ำบนแผ่นหลังเจียงมู่เฉิน แววตาคมเข้มดำดิ่งหยั่งลึกลงไปในความรู้สึก
ขณะเจียงมู่เฉินกำลังง่วงๆ มึนๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เขาเอียงหัวเล็กน้อยปรือตามองไปข้างหลัง เมื่อเห็นซือเหยี่ยน ก็ยกมุมปากขึ้นโดยจิตใต้สำนึก “นายเข้ามาทำไม”
เดิมทีเจียงมู่เฉินคิดว่าซือเหยี่ยนจะปิดประตูเดินออกไป ผลคือคิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือปิดประตูแล้วเดินตรงมาทางเขา
เขาทำทุกอย่างตรงๆ และชัดเจน เริ่มจากการยืนตรงนั้นถอดเสื้อผ้าบนตัวออก ตั้งแต่เสื้อเชิ้ตยันกางเกงสูท ไม่มีเหลือสักชิ้น ซือเหยี่ยนเอาเสื้อผ้าวางบนชั้นวาง แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาเจียงมู่เฉิน
เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง รู้สึกว่าไอ้หมอนี่ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ถึงแม้จะว่าหยามอีกฝ่าย แต่ก็ไม่คิดจะละสายตาไปเช่นกัน
ถึงอย่างไร รูปร่างของซือเหยี่ยนไม่ต้องพูดถึงจริงๆ ขายาวสูงแข็งแรง เอวคอดเพรียว ที่สำคัญคือใบหน้าของซือเหยี่ยนที่ดูดีถึงขั้นคนกับเทพต้องมาแย่งชิงกัน
แม้แต่เจียงมู่เฉินคนที่หลงตัวเองขนาดนี้ยังรู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาของซือเหยี่ยนช่างไร้ที่ติ เขาเลือกส่วนที่ไม่ดีออกมาไม่ได้อยู่แล้ว
เขาเห็นซือเหยี่ยนเดินเข้ามาทีละก้าวทีละก้าว จนมายืนอยู่ต่อหน้าเขา
เจียงมู่เฉินกลืนน้ำลายเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ “นาย นายมาทำอะไร”
ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อาบน้ำไง”
“นายไม่เห็นว่าฉันอาบน้ำอยู่หรือไง”
“อย่าสิ้นเปลืองเลย พวกเราประหยัดทรัพยากรน้ำกันหน่อยดีกว่า อาบน้ำด้วยกันก็ได้แล้ว”
“……” ปั้นน้ำเป็นตัว ปั้นน้ำเป็นตัวเกินไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้าง
เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินก็ยืนขึ้น เตรียมจะออกไปทันที “ฉันอาบเสร็จแล้ว นายค่อยๆ อาบเถอะ”
ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว กดมือเจียงมู่เฉินไว้แล้วพลิกมือ จับคนกดลงไป
เจียงมู่เฉินยกเท้าขึ้นถีบเขา “โคตรพ่อง ปล่อยมือฉันนะ”
ซือเหยี่ยนยิ้มเล็กน้อยไม่ปล่อยมือแน่นอน เจียงมู่เฉินดิ้นต่อสู้ แต่ดึงมือตัวเองออกมาไม่ได้ เขาขบกรามถลึงตาใส่ซือเหยี่ยน “นี่นายกินอะไรโตมากันแน่ ถึงได้แรงเยอะขนาดนี้”
เขาแปลกใจแล้ว ตัวเองเป็นผู้ชายอกสามศอก พละกำลังก็ไม่ได้ถือว่าน้อยอะไร แต่ทำไมจะขยับทีก็ถูกซือเหยี่ยนกดเอาไว้ ยังกระดุกกระดิกไม่ได้เลย
ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางหัวร้อนของเขา ก็ขำจนยกมุมปากขึ้น “อยากรู้มากเลย?”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ก็อยากรู้นิดหน่อย”
“อยากรู้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้” เขากะพริบตาปริบๆ “จูบผมที แล้วผมจะบอกคุณ”
“” เจียงมู่เฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าซือเหยี่ยนกำลังใช้มุขที่ใช้กับผู้หญิงมาใช้กับเขา
“อยากบอกไม่บอก ใจที่อยากรู้อยากเห็นของคุณชายก็ไม่ได้หนักขนาดนั้น” เรื่องเอาอกเอาใจ เขาทำไม่ถนัดหรอก
ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “งั้นก็ได้ ในเมื่อเฉินเฉินไม่ยอม ผมก็บังคับไม่ได้อยู่แล้ว” เขาคลายมือออกเล็กน้อย “อยากออกไปก็ไปเถอะ”
เจียงมู่เฉินเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง “ยอมให้ฉันออกไปจริงๆ เหรอ นายจะไม่เล่นลูกไม้กันใช่ไหม”
ซือเหยี่ยนยักไหล่ “เชิญตามสบายเถอะ”
เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยความสงสัย รู้สึกมาเสมอว่าเขาไม่น่าจะมีเจตนาดีอะไร เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกจากอ่างอาบน้ำ ไหนเลยจะรู้ว่าด้านหลังตัวเอง ซือเหยี่ยนกำลังใช้มือเท้าคางชื่นชมเพลิดเพลินกับภาพสวยงามประจักษ์สายตาตรงหน้า
ถึงรูปร่างของเจียงมู่เฉินไม่ได้แข็งแรงกำยำเท่าซือเหยี่ยน แต่แขนขาเพรียวยาวได้สัดส่วน ผิวกายขาวผ่องราวกับผู้หญิง ตากแดดอย่างไรก็ไม่คล้ำลง อะไรทำนองนี้ ดูๆ ไปแล้วช่างถูกตาต้องใจเหลือเกิน
เจียงมู่เฉินเช็ดตัวให้แห้ง แล้วหยิบเสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆ มาสวมใส่ ตอนใส่กางเกงขาสั้น ขาก็ค่อยๆ ยกขึ้น…
ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนมืดลง ถ้าไม่คิดว่าเมื่อตอนบ่ายจัดบท ‘รัก’ ให้เขาหนักพอแล้ว เจียงมู่เฉินไม่มีทางจะออกจากห้องน้ำนี้อย่างปลอดภัยได้แน่
เขาใส่เสื้อผ้าเสร็จก็หันมาสบสายตาคมเข้มที่กำลังดำดิ่งของซือเหยี่ยน หัวใจก็อดจะสั่นระรัวรุนแรงไม่ได้ เขารีบกำหมัดราวกับจะยับยั้งอารมณ์ของตัวเองที่ถาโถมดั่งระลอกคลื่นซัดฝั่ง กดเสียงต่ำเอ่ยด่าทออีกฝ่าย “สัตว์”
ตอนที่ 154 จะถือครองโฉนดที่ดินร่วมกันก็ดีทีเดียว
ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางรีบร้อนเดินออกจากห้องน้ำของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นเบาๆ
เขาไม่โต้แย้งคำเปรียบเปรยตัวเองที่เจียงมู่เฉินมอบให้ ถึงอย่างไรเมื่อพบเจียงมู่เฉิน ทั้งร่างกายของเขาเอาแต่ร้องเรียกอยากครอบครองเจียงมู่เฉินเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว แม้เส้นผมเส้นเดียวก็ไม่อยากจะปล่อยไป
ไม่มีเจียงมู่เฉินอยู่อาบน้ำด้วย ซือเหยี่ยนก็รีบอาบน้ำให้เสร็จไวไวแล้วออกจากห้องน้ำมา ผมเจียงมู่เฉินเปียกชื้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เช็ดอะไร เขานอนฟุบบนเตียงไปเสียแล้ว
“กำลังดูอะไรอยู่”
เจียงมู่เฉินยกถือแท็บเล็ตไว้ในมือ “เอกสารที่ซังจิ่งเพิ่งจะส่งมาเมื่อกี้ ฉันกำลังอ่านอยู่”
ได้ยิน ‘ซังจิ่ง’ สองคนนี้ ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เขาได้พูดอะไรหรือเปล่า” ซือเหยี่ยนเผลอถามขึ้น
เจียงมู่เฉินจดจ่ออยู่ที่หน้าจอแท็บเล็ต ไม่ได้เห็นความแปลกจากเดิมของซือเหยี่ยน เขาถอนหายใจ “บอกว่าหลินไห่ทางนั้นเริ่มก่อสร้างใหม่ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านความบันเทิงระแวกใกล้เคียงที่สำเร็จรูปเรียบร้อย ให้ฉันเข้าไปร่วมพิธีตัดริบบิ้นด้วย”
“เคสของหลินไห่ตอนนี้คุณรับช่วงต่อใช่ไหม”
เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “พ่อฉันมอบงานนี้ให้ฉัน ทำได้ไม่ดีเมื่อไหร่ พ่อจะไล่ฉันออกจากบ้าน ไม่ให้ฉันกลับบ้านแล้ว”
ซือเหยี่ยนขยี้ผมเจียงมู่เฉินที่เริ่มยาวขึ้นแล้ว “วางใจได้ ผมต้อนรับคุณเสมอ”
จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็นึกถึงคฤหาสน์ของซือเหยี่ยนขึ้นมาได้ “ใช่สิ วันนี้ฉันไปหยิบเสื้อผ้าให้นายที่บ้าน นายอยากจะตกแต่งปรับปรุงคฤหาสน์ใหม่จริงๆ เหรอ”
ซือเหยี่ยนพยักหน้า “อยากเปลี่ยนสไตล์ใหม่”
เจียงมู่เฉินก้มหน้าคิดใคร่ครวญ มีความลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี เขารู้สึกมาตลอดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ ถ้าพูดออกมา คงจะน่าอายทีเดียว
“ซือเหยี่ยน……”
เขาไตร่ตรอง ก่อนจะเอ่ยปาก
ซือเหยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเขา “เป็นไรไป”
“ถ้าไม่งั้นพวกเราเปลี่ยนไปอยู่ที่อื่นกันเถอะ” วันนี้เมื่อตอนที่เขาไปเห็นบ้านซือเหยี่ยนกำลังตกแต่งปรับปรุงอยู่ ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน
ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว พิงอยู่ข้างๆ “หมายความว่าไง”
เจียงมู่เฉินวางแท็บเล็ตในมือลงข้างๆ แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “พวกเราซื้อบ้านใหม่ ออกเงินกันคนละครึ่ง ซื้อคอนโดมีเนียมที่อยู่ชั้นสูงๆ หน่อย แล้วมีผนังเป็นกระจกหน้าต่างด้วย”
เขาเป็นผู้ชาย ไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของซือเหยี่ยนเป็นระยะเวลานาน ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็มีความรู้สึกอยู่เรื่อยๆ ว่าเป็นที่ๆ ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่
ถึงเขาจะไม่ได้เก่งอะไรมากมายเหมือนซือเหยี่ยน แต่เขาเจียงมู่เฉินก็ไม่ได้แย่ ไม่จำเป็นต้องให้ซือเหยี่ยนมาเลี้ยงเขา
เขาคือแฟนของซือเหยี่ยน เป็นคนที่ร่วมยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เขาได้ ไม่ใช่คนที่คอยพึ่งซือเหยี่ยน เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเขา
ซือเหยี่ยนครุ่นคิดสักพัก ก่อนพยักหน้ารับ “ได้ งั้นพรุ่งนี้พวกเราไปดูกันไหม”
“นายเห็นด้วยเหรอ”
ซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้าไปงับเขาทีหนึ่ง “ต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว”
มีบ้านที่เป็นของเขาและเจียงมู่เฉินเองได้ สำหรับซือเหยี่ยนแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีก
เจียงมู่เฉิยเห็นเขายอมตกลงเร็วขนาดนี้ ก็ยังตะลึงค้างอยู่อย่างนั้น เขายังคิดว่าซือเหยี่ยนจะไม่เห็นด้วยเสียอีก
“ทำไมนายถึงเห็นด้วยกันตรงๆ แบบนี้ล่ะ”
แววตาซือเหยี่ยนฉายสะท้อนรอยยิ้มบางๆ “ตอนนี้พวกเรายังถือครองใบทะเบียนสมรสไม่ได้ จะถือครองโฉนดที่ดินร่วมกันก็ดีทีเดียว”
เจียงมู่เฉิน “……” ถึงจะพูดแบบนี้มา แต่ฟังแล้วทำไมรู้สึก……อายจังนะ
เขาดึงผ้าห่มข้างๆ มา “นอนๆๆๆ”
‘อืม~คุณชายเจียงเขินอีกแล้ว’
……
วันต่อมา ช่วงเช้าทั้งสองคนไปดูบ้านด้วยกัน คอนโดมีเนียมสุดหรูใจกลางเมือง พื้นที่ใช้สอยสองร้อยกว่าตารางเมตร ผนังเป็นกระจกหน้าต่างแบบที่เจียงมู่เฉินชอบที่สุด ข้างในตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เป็นสไตล์ที่เจียงมู่เฉินชอบด้วย
เจียงมู่เฉินพอใจถึงที่สุด ไม่พูดอะไรให้มากความ จ่ายเงินซื้อทันที
ที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินทำเลทอง ราคาแพงที่สุดในถานโจว อยู่ที่นี่มีบางคนที่ทั้งชีวิตแม้แต่ห้องน้ำก็ยังซื้อไม่ได้
แต่เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนทำเหมือนกับซื้อของเล่นกันไม่มีผิด ท่าทางการจ่ายเงินคล่องแคล่วไม่ติดขัดเลยแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรทั้งสองคนนี้ก็รวยด้วยกันทั้งคู่ ขนหน้าแข้งไม่ร่วง
รูดบัตรจ่ายเงินกันคนละครึ่ง เจียงมู่เฉินพยักหน้าอย่างพอใจ “นี่ก็ใช้ได้แล้ว”
ในที่สุดก็ไม่มีความรู้สึกถูกซื่อเหยี่ยนเลี้ยงอีกแล้ว
ต่อไปเวลาเอ่ยขึ้นมา ก็ไม่ต้องพูดว่าบ้านซือเหยี่ยนแล้ว แต่เป็นบ้านของพวกเขาแทน บ้านของกันและกัน
ตอนที่ 155 คุณชายเจียงเหวี่ยงวีน
ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินขำๆ หัวเราะเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม “คุณเจ้าของห้อง ดูเสร็จยังครับ”
เจียงมู่เฉินพยักหน้าเชิดๆ “ก็พอได้”
ทั้งสองคนเดินออกไป เจียงมู่เฉินเอ่ยถาม “นายคิดจะย้ายเข้ามาเมื่อไหร่”
“สัปดาห์หน้าเป็นไง”
เจียงมู่เฉินคำนวณเวลาดู จะซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ที่นี่ก็ต้องใช้เวลาสองวัน เวลาสัปดาห์หน้าก็พอได้ เขาพยักหน้ารับตกลง
“ได้ งั้นสัปดาห์หน้าก็มาเลย”
ออกจากคอนโดมิเนียม เจียงมู่เฉินรีบไปงานตัดริบบิ้นที่หลินไห่ทันที เขาไม่ได้มากับซือเหยี่ยน แต่ขับรถมุ่งหน้าไปหลินไห่เลย
เจียงมู่เฉินไปเขตก่อสร้างที่เริ่มทำการก่อสร้างก่อน เข้าควบคุมตรวจดูพื้นที่ทั้งหมดที่จำเป็นต้องซ่อมแซมให้เรียบร้อยใหม่อีกครั้งก่อนหน้านี้ เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าการดำเนินการก่อสร้างครั้งนี้ไม่มีปัญหาอะไร ถึงค่อยไปถึงสถานที่จัดงานตัดริบบิ้น
เมื่อเจียงมู่เฉินมาถึงสถานที่จัดงาน ก็รายล้อมไปด้วยผู้คนไม่น้อยทีเดียว สื่อมวลชนกลุ่มใหญ่เฝ้ารออยู่ด้านข้าง เจียงมู่เฉินตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าพิธีตัดริบบิ้นนี้จะมีสื่อเยอะขนาดนี้
เขาไม่ได้รู้สึกว่าพิธีตัดริบบิ้นนี้จำเป็นต้องประกาศกันใหญ่โตเกินจริงด้วยซ้ำ
เจียงมู่เฉินหาช่องทางที่คนอยู่กันไม่มากนัก แทรกตัวเข้าไปในโรงแรม ซังจิ่งถือแก้วไวน์ยืนอยู่โถงใหญ่ข้างใน เห็นเจียงมู่เฉินก็เดินตรงเข้ามาหาทันที
“ผมคิดว่าคุณจะไม่มาแล้วซะอีก”
“โครงการนี้ก็เป็นของตระกูลเจียงของฉัน ในฐานะผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลเจียง ก็ควรจะมาร่วมงานเป็นธรรมดา”
ซังจิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องมองเจียงมู่เฉินอยู่นานสองนาน “ผมรู้สึกมาตลอดว่าคุณมีตรงไหนที่ไม่ค่อยเหมือนเดิม”
เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ตรงไหน?”
“คุณในตอนนี้ดึงดูดคนได้มากกว่าเมื่อก่อนอีก”
หลังจากตั้งแต่คราวก่อน เขาเองก็ไม่ได้มากวนใจคุณชายน้อยคนนี้ไปพักใหญ่ วันนี้ได้มีโอกาสเจอกันอีก ซังจิ่งรู้สึกตัวจริงๆ แล้วว่าตัวเองก็คิดถึงคุณชายน้อยคนนี้ไม่เบา
เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาฉายสะท้อนความเย็นชา ในรอยยิ้มรู้สึกไม่ได้ถึงความอบอุ่นแม้เพียงครึ่ง ราวกับน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก “ประธานซังจะพูดจาอะไร ช่วยคิดไตร่ตรองสักนิดจะดีที่สุด ไม่อย่างงั้นฉันไม่รับประกันนะว่าวันไหนจะมีคนไปสร้างความเดือนร้อนให้ประธานซัง”
คำขู่ในคำพูดของเขา ซังจิ่งได้ยินไม่ตกหล่นแม้สักคำ เขาหัวเราะไม่ได้เก็บมาใส่ใจ “ถ้าคนที่มาสร้างความเดือดร้อนให้ผมเป็นคุณ ผมยินดีต้อนรับครับ”
เจียงมู่เฉินเห็นใบหน้ายิ้มๆ ของซังจิ่งนี้ แล้วรู้สึกว่าเมื่อก่อนที่เรียกไป๋จิ่งว่า ‘เดนคน’ เรียกผิดจริงๆ แล้ว พอมาเทียบกับไป๋จิ่งแล้ว ซังจิ่งถึงจะเป็น ‘เดนคน’ ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ฉันอยากจะไปห้องน้ำ นายจะมาไหม” จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ยกมุมปากขึ้น
ซังจิ่งเลิกคิ้ว “แน่นอน”
ทั้งสองคนเดินตามกันไปเข้าห้องน้ำ ซังจิ่งมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินที่เดินอยู่ข้างหน้า รูปร่างดี เอวก็บางมาก ถ้าจับกดลงกับเตียง แล้วแยกขาเรียวตรงสวยคู่นี้ออกจากกัน……
ซังจิ่งลูบจมูกปอยๆ อย่าว่างั้นงี้เลย เขายังรอคอยอยู่จริงๆ
……
เจียงมู่เฉินเข้าห้องน้ำแล้วหันหลังให้ซังจิ่ง ยืนอยู่ข้างใน จนได้ยินเสียงซังจิ่งเดินเข้ามาใกล้ ความโมโหในแววตาเพียงพริบตาเดียวก็แผ่กระจายออกมา
เขารีบหมุนตัวกลับไป ดันซังจิ่งกดเข้าผนังแผ่นกระเบื้องสีเหลืองโทนอุ่นอย่างว่องไว
“นายแม่งคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่” เจียงมู่เฉินกดตัวซังจิ่งไว้กระแทกเสียงถาม
โดนคนจับอัดกับผนังแบบนี้ ซังจิ่งก็ไม่ได้โมโหร้ายอะไร จนกระทั่งจะขัดขืนสักนิดก็ไม่มี ปล่อยให้เจียงมู่เฉินกดเขาแบบนี้ต่อไป
“ผมมีเป้าหมายของผมเองจริงๆ” ซังจิ่งหัวเราะเบาๆ
นัยน์ตาดอกท้อของเจียงมู่เฉินไม่เคยฉายสะท้อนความโมโหที่คุกรุ่นอัดแน่นแบบนี้มาก่อน “ก่อนหน้านี้ฉันเคยเตือนนายแล้วใช่ไหม ไม่ว่านายคิดจะเอาอะไรไปจากฉัน ฉันก็ให้นายไม่ได้ ถ้านายอยากเล่นจริงๆ ฉันก็เล่นเป็นเพื่อนนายได้ ถึงยังไงตอนสุดท้าย คนที่แพ้ก็ไม่ใช่ฉันเสมอไป”
“เป้าหมายของผมเป็นคุณมาตลอดนั่นแหละ” ซังจิ่งเอ่ยอย่างช้าๆ เนิบๆ “คุณฉลาดออกจะขนาดนี้ จะไม่รู้จริงๆ เลยเหรอ ว่าผมชอบคุณตั้งแต่แรกเห็น”
แววตาของเจียงมู่เฉินเปลี่ยนมาดุดันอย่างรวดเร็ว “นายคิด ว่าฉันจะเชื่อคำแก้ต่างของนายจริงๆ งั้นเหรอ”
ตอนที่ 156 คุณชายเจียงถูกลอบยิง
“มู่เฉิน จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ ถึงยังไงเป้าหมายของผมมีแต่คุณมาโดยตลอด”
“ซังจิ่ง ฉันจะเตือนนายเป็นครั้งสุดท้ายนะ อย่าคิดมาเล่นลิ้นอะไรกับฉัน ฉันเจียงมู่เฉินตลอดชีวิตนี้ไม่เคยกลัวใครหน้าไหน ในฐานะคนที่ต้องทำงานร่วมกัน ก่อนหน้านี้ฉันไว้หน้านายแค่ไหนแล้ว แต่ถ้านายยังมาล้ำเส้นตายฉันไม่เลิกรา ฉันจะไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ เด็ดขาด”
“เส้นตาย” ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ไม่ทราบว่าเส้นตายของคุณชายเจียงคืออะไร”
“เจียงเฉินกรุ๊ป หรือว่าพ่อแม่คุณ หรือจะเป็น…ซือเหยี่ยน”
ยามที่ได้ยิน ‘ซือเหยี่ยน’ สองคำนี้ นัยน์ตาเจียงมู่เฉินฉายความอันตรายขึ้นมาแวบหนึ่ง มือที่กักตัวซังจิ่งไว้กระชับแน่นขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นใคร นายอย่าแตะต้องจะดีที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นฉันไม่รับรองว่านายจะกลับจิงโจวได้อย่างปลอดภัย”
เขากดหน้าลงกล่าวเตือน “ในเมื่อเป้าหมายของนายคือฉัน นายก็ควรจะรู้ไว้ ว่าฉันเจียงมู่เฉินพูดคำไหนคำนั้น ไม่เคยไม่เป็นจริง”
เขาพูดจบก็สะบัดมือออก แฉลบผ่านข้างกายซังจิ่ง พาลมระลอกหนึ่งพัดผ่านเข้ามา
ซังจิ่งยืนอยู่ในห้องน้ำ เขาจ้องมองกระจกตรงหน้า จัดระเบียบเสื้อผ้าที่เจียงมู่เฉินทำยับยุ่งเหยิงเอาไว้
“มีเรื่องอะไรกับคุณชายน้อยเจียงเหรอ ฉันเห็นเขาฉุนเฉียวเดินออกไป” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เซวียยางมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ซังจิ่ง เขายืนกอดอกพิงประตูมองซังจิ่ง
“คงเพราะเป้าหมายฉันแสดงออกชัดเจนเกินไป เขาเลยพาลโกรธเอาดื้อๆ” ซังจิ่งจัดระเบียบเสื้อผ้าเรียบร้อย จึงหมุนตัวเดินออกไปจากห้องน้ำ
รู้ว่าเจียงมู่เฉินนิสัยเย่อหยิ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าตอนโกรธขึ้นมา จะเดือดดาลขนาดนี้
ซังจิ่งลูบจมูกปอยๆ โดนคนตักเตือนขนาดนี้แล้ว เขาต้องคิดทบทวนใหม่แล้วใช่ไหมว่าตอนนี้ควรจะเก็บอาการสำรวมสักหน่อย เพื่อกันไม่ให้บีบคนจนร้อนตัวจริงๆ ถึงตอนนั้นปลาตายตาข่ายขาด[1]กันพอดี
เวลาสี่โมงเย็น ในที่สุดพิธีตัดริบบิ้นก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
เจียงมู่เฉินและซังจิ่งยืนอยู่ตรงกลาง ใบหน้าฉาบรอยยิ้ม ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเมื่อก่อนนี้ไปมีเรื่องในห้องน้ำกันมา
หญิงสาวผู้อัญเชิญในพิธีส่งกรรไกรขึ้นมาให้ เจียงมู่เฉินและซังจิ่งหยิบกรรไกรขึ้นมาพร้อมกัน แล้วตัดสายริบบิ้นที่อยู่ตรงหน้าทันที คนในงานต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี
เจียงมู่เฉินตัดริบบิ้นเสร็จ กำลังจะเตรียมเอากรรไกรวางกลับบนถาด ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น คนทั้งคนถูกแรงมหาศาลตะครุบให้ล้มลงไป วุ่นวายสับสนอลหม่านกันทั้งงาน
เจียงมู่เฉินโดนชนจนล้มลงไปกองกับพื้น หัวลงกระแทกพื้นทำให้ค่อนข้างเวียนหัว เขาไม่มีเวลาจะมารอให้หายเวียนหัว จึงพลิกตัวให้กลับมา ประคองซังจิ่งที่เป็นคนผลักตัวเองล้มลงขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ซังจิ่งโดนกระสุนปืนถากที่ไหล่ เลือดไหลซึมออกมา
เขาเจ็บจนย่นคิ้ว หลังจากฟังคำพูดของเจียงมู่เฉิน ก็ส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่เป็นไร บาดเจ็บเล็กน้อยเอง”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ในงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หาคนยิงปืนไม่เจอ เจียงมู่เฉินมองดูไปรอบๆ กระสุนปืนลูกนั้นมาทางเขาชัดเจน
ถ้าซังจิ่งไม่ผลักเขาลงกับพื้น คนที่ตายตอนนี้ก็คือเขา
นอกจากซังจิ่งแล้ว ในที่เกิดเหตุยังมีหญิงสาวผู้อัญเชิญในพิธีที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาก็ได้รับบาดเจ็บไปด้วย
เจียงมู่เฉินรีบหาคนมารักษาความเรียบร้อยในที่เกิดเหตุ ทันที ก่อนที่จะตามคนบาดเจ็บสองคนไปโรงพยาบาลด้วย
หญิงสาวผู้อัญเชิญในพิธีอาการค่อนข้างสาหัส จึงเสียชีวิตระหว่างทางที่ไปโรงพยาบาลแล้ว ส่วนซังจิ่งก็ถูกส่งตัวด่วนเข้าห้องฉุกเฉินไปเรียบร้อย
เจียงมู่เฉินยืนพิงอยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน ใครกันกล้าจะมาลอบฆ่าเขาต่อหน้าสื่อมวลชนเยอะขนาดนี้
เขาอยู่ถานโจวมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย อีกอย่างหลายปีมานี้เขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไรกับใคร ถึงขั้นต้องทำลายเอาชีวิตกันถึงเพียงนี้
เจียงมู่เฉินคิดไม่ตก สรุปแล้วใครกันที่อยากจะฆ่าเขา
อาการบาดเจ็บของซังจิ่งไม่ถือว่าสาหัสเท่าไหร่ ทำแผลอะไรเรียบร้อยก็เดินออกมา เจียงมู่เฉินมองผ้าพันแผลที่พันอยู่บนแขนเขา “เป็นยังไงบ้าง อาการบาดเจ็บสาหัสไหม”
ซังจิ่งเห็นสีหน้าวิตกกังวลของเขา ก็ยกมุมปากขึ้น “นี่คุณชายเจียงกำลังเป็นห่วงผมเหรอ”
[1] ปลาตายตาข่ายขาด คือสำนวนหมายถึง ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ตอนที่ 157 ดูมีลับลมคมใน
เจียงมู่เฉินหน้าตาบูดบึ้ง “นายบาดเจ็บเพราะช่วยชีวิตฉัน ฉันก็ควรจะต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา”
“ผมยังคิดว่าเพราะตอนบ่ายคุณชายเจียงโมโหแบบนั้น จะไม่เป็นห่วงผมซะแล้ว เกินความคาดหมายผมไปเยอะเลย”
“จะให้ส่งนายกลับหรือว่า” เจียงมู่เฉินคร้านจะเยิ่นเย้อกับเขาอีกต่อไป
“ที่ช่วยคุณไว้ได้ก็แค่เป็นสัญชาตญาณของผมเท่านั้นเอง คุณชายเจียงไม่ต้องมาลำบากใจหรอก” เขามองดูเวลา “เซวียยางก็น่าจะมาถึงแล้ว”
“ไม่ต้องแล้ว” ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “วันนี้ตอนบ่ายพิธีตัดริบบิ้นของพวกเราเป็นงานถ่ายถอดสด ถ้าผมเดาไม่ผิด ตอนนี้ควรจะมีคนกำลังรีบเดินทางมาแล้ว”
เขาพูดจบ โบกมือลาเจียงมู่เฉิน “เซวียยางมาแล้ว ผมไปก่อนนะ”
เซวียยางยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลนัก เจียงมู่เฉินเห็นซังจิ่งเดินไปถึงตัวเซวียยาง แล้วทั้งสองคนก็ออกไปทันทีหลังจากนั้น
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายวันนี้ คนที่จัดการซังจิ่งในตอนนั้นอย่างเขายังไม่ค่อยเข้าใจ ยังอ่านซังจิ่งไม่ออก
ทั้งที่ซังจิ่งมีจุดประสงค์แอบแฝงกับเขาอยู่ทนโท่ แต่ทำไมตอนที่มีคนจะยิงปืนมาใส่เขา ยังผลักเขาหลบกระสุนอีก
ดวงตาเรียวยาวฉายแววความสับสน หรือว่าการลอบยิงครั้งนี้จะเป็นแผนของซังจิ่ง ดังนั้นตอนที่มีคนเล่งปืนมาใส่เขาถึงได้ผลักเขาหลบกระสุนได้พอดี
ถ้าเป็นแผนของซังจิ่ง แล้วจุดประสงค์ของเขาคืออะไรอีก ถึงอย่างไรก็คือปืนจริง ถ้าซังจิ่งเป็นคนเล่นเองกำกับเองจริงๆ เขาก็ถือว่าเอาชีวิตมาเสี่ยงเหมือนกัน
ถ้าเขากะจังหวะพลาด หรือว่าคนที่ยิงปืนดันยิงมาก่อนเวลา ถ้าแบบนั้นซังจิ่งที่เอาตัวเข้ามาผลักเขาหลบกระสุนก็มีสิทธิ์จะรับกระสุนแทนเขาเต็มๆ เวลานั้นไม่ใช่แค่โดนกระสุนถากไหล่ง่ายๆ ขนาดนี้แน่
เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว ยังคิดไม่ตกเท่าไหร่
เขาหยุดสักพักหนึ่ง เตรียมจะโทรหามั่วไป๋ ให้มั่วไป๋ช่วยเขาตรวจสอบเรื่องการลอบยิงในครั้งนี้ ดูว่าคนเบื้องหลังแผนทั้งหมดจะใช่ซังจิ่งหรือเปล่า
เขาเพิ่งจะหยิบมือถือออกมาก็เห็นซือเหยี่ยนที่รีบเร่งฝีเท้ามาทางเขาจากที่ไม่ไกลนัก สีหน้าคร่ำเคร่งของเขาคือความน่าเกรงขามเอาจริงเอาจังแบบที่เจียงมู่เฉินไม่เคยเห็นมาก่อน
นาทีนั้นที่ได้เห็นเจียงมู่เฉิน เขารู้สึกโล่งอกไปจริงๆ
เขารีบเดินถึงตัวเจียงมู่เฉินสำรวจดูรอบๆ จนแน่ใจว่าเขาไม่เป็นไร ถึงได้วางใจลงได้
“นายตามมาที่นี่ทันได้ยังไง” เจียงมู่เฉินงงงันไม่เบา ซือเหยี่ยนรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล
สีหน้าซือเหยี่ยนดูตื่นตระหนกทีเดียว “ผมเห็นในถ่ายทอดสดแล้ว ก็เลยรีบตามเข้าไป คนในที่เกิดเหตุบอกว่าคุณมาโรงพยาบาลแล้ว”
“วางใจได้ ฉันไม่ได้บาดเจ็บ เอ่อใช่สิ ตอนนายมาจากที่เกิดเหตุ ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”
ตอนที่เขาออกมา ทางนั้นอลหม่านไปหมด ไม่รู้ว่าตอนนี้ปลอบขวัญกันดีหรือเปล่า ครั้งนี้มีสื่อมวลชนมามากมาย แล้วยังเกิดเหตุลอบยิงอีก…
‘เดี๋ยวๆ…’
เจียงมู่เฉินนึกอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน ตอนที่เขามาก็รู้สึกว่าคนของสื่อมวลชนมาเยอะเกินไป
ตอนนี้ยังเกิดคดีลอบสังหารโดยอาวุธปืนอีก
ถ้ามีคนจัดฉากการลอบยิงนี้ล่วงหน้า แล้วระดมนักข่าวให้มาเยอะขนาดนี้ เป้าหมายก็เพื่อผลักดันให้คดีนี้มาอยู่ต่อหน้ามวลชนใช่ไหม
ยืมมือสื่อมวลชนแพร่กระจายข่าวกันตามสบาย…
เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “ขับรถมาใช่ไหม ไปส่งฉันกลับที่เกิดเหตุได้หรือเปล่า”
“ไปกัน ผมจะไปส่งคุณเอง”
ตลอดทาง เจียงมู่เฉินเอาแต่ครุ่นคิด ตกลงใครกันที่แอบวางแผนเรื่องนี้ทั้งหมด แม้แต่นักข่าวก็เตรียมมาพร้อม วางแผนได้ครอบคลุมเชื่อมกันเป็นวงจรได้ขนาดนี้ ทำให้เขาคิดสาวไปถึงคนๆ นี้โดยไม่รู้ตัว
‘ซังจิ่ง…’
ถ้าคนๆ นี้คือซังจิ่ง แล้วข้อดีของการทำแบบนี้คืออะไร โครงการนี้เขาเป็นผู้ร่วมลงทุนครึ่งหนึ่ง ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป สำหรับซังจิ่งแล้ว ไม่ได้เป็นผลกับเขาเลย
เจียงมู่เฉินย่นคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าทุกอย่างนี้ดูลับลมคมในเกินขอบเขตไปแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น