(Yaoi) ใต้ม่านรัตติกาล 115-142

 ตอนที่ 115 เสื่อมโทรม


 


 


หลานเฟิงกลับมาถึงตระกูลเยี่ย ก็บังเอิญพบชิวอวี้ที่มาหาเขาพอดี


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านไปไหนมาหรือ อวี้เอ๋อร์ตามหาท่านตั้งนานแต่ก็ไม่พบ”


 


 


ไม่ว่าตอนไหนเมื่อชิวอวี้เห็นหลานเฟิงล้วนมีท่าทางยินดีเป็นอย่างมาก


 


 


“มีเหล้าหรือไม่”


 


 


“เหล้า มี พี่เย่ว์รอครู่หนึ่ง ข้าจะไปเอามาให้ท่าน” ชิวอวี้วิ่งออกไปหาฉีเย่ว์ เหตุเพราะร่างกายของชิวอวี้ทำให้เขาไม่สามารถดื่เหล้าได้ ดังนั้นฉีเย่ว์จึงรวมเอาเหล้าทั้งหมดไปเก็บไว้


 


 


รอจนชิวอวี้กลับมา หลานเฟิงก็นั่งอยู่ในศาลาข้างๆ กระท่อม มองเหม่อไปยังจุดหนึ่ง ชิวอวี้รับไหเหล้ามาจากมือฉีเย่ว์ หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วรินเหล้าให้กับหลานเฟิงด้วยตนเอง


 


 


หลานเฟิงดื่มหมดในอึกเดียว ชิวอวี้รินให้เขาอีกแก้วหนึ่ง เมื่อหลานเฟิงดื่มหมดในอึกเดียวอีกครั้ง ตอนที่ชิวอวี้เตรียมรินเหล้าให้เขาอีกครั้งนั่นเอง หลานเฟิงก็แย่งไหเหล้าจากมือของชิวอวี้ไป แหงนหน้าขึ้นดื่มตรงๆ


 


 


เหล้าไหลลงมาตามมุมปาก หลานเฟิงไม่ได้ใส่ใจอะไรทั้งนั้น เหล้าไหหนึ่งถูกดื่มจนหมด ชิวอวี้เดินเข้าไปช่วยเช็ดหยดเหล้าตรงมุมปากให้หลานเฟิง ฉีเย่ว์ยืนมองอยู่อีกด้านหนึ่ง เหล้าไหหนึ่งถูกดื่มจนหมดฉีเย่ว์ก็นำเหล้าอีกไหมาวางไว้บนโต๊ะ


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านดื่มช้าลงหน่อย ยังมีอีกเยอะ”


 


 


หลานเฟิงไม่ฟังว่าชิวอวี้พูดอะไร แหงนหน้าดื่มต่อไป มุมปากนั้นมีเหล้าจำนวนมากไหลออกมา ตอนที่ชิวอี้จะเข้าไปเช็ดให้เขานั้นกลับถูกผลักออก


 


 


หลานเฟิงหยิบเหล้าครึ่งไหนั้นขึ้นมา หันหน้าไปยังทิศที่ตั้งตระกูลหลาน เทเหล้าลงไปบนพื้น


 


 


ชิวอวี้มองหลานเฟิงที่กระทำเช่นนี้ ชิวอวี้หลุบตาลง ดูแล้วท่าทางน้อยใจเป็นอย่างมาก ฉีเย่ว์เข้าไปปลอบเขา ชิวอวี้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่รอคอยอย่างเงียบๆ เช่นนั้น


 


 


ไหเหล้าถูกเปลี่ยนไปทีละไห พระอาทิตย์ที่ตอนแรกอยู่ตรงหัวก็ค่อยๆ เรียบไปเส้นขอบฟ้า ร่างกายของชิวอวี้เริ่มรับไม่ไหว แต่ก็ยังยืนหยัดไม่ยอมไปไหน ฉีเย่ว์นำเสื้อมาคลุมให้เขา และเอาเบาะรองนั่งที่ค่อนข้างนุ่มใบหนึ่งมาวางไว้บนเก้าอี้


 


 


พระอาทิตย์ใกล้ลับตา หลานเฟิงก็เริ่มไม่ได้สติ ครั้งแรกที่ปลดปล่อยไม่รู้ว่าคนที่ดื่มเหล้าไปแล้วจะมีปฏิกิริยาเช่นไร


 


 


เหล้าค่อยๆ ออกฤทธิ์ ใบหน้าของหลานเฟิงเริ่มออกอาการเมามาย จู่ๆ เขาก็ดึงกระบี่คู่กายออกมา ฉีเย่ว์ก้าวขึ้นไปข้างหน้า ในมือเตรียมเข็มเงินเอาไว้พร้อม ป้องกันไม่ให้หลานเฟิงทำเรื่องอะไรก็ตามแต่ที่จะเป็นการทำร้ายชิวอวี้


 


 


ไม่รู้ว่าทำไมหลานเฟิงถือกระบี่เดินมาถึงในเรือน นิ้วหัวแม่โป้งไล้ไปตามรอยกระบี่ที่อยู่บนเสา ใช้กระบี่เฉือนออกมาทีละชิ้น รอจนเฉือนรอยกระบี่สองสามที่หมดแล้วนั้น หลานเฟิงก็ขับกระแสพลังทั้งหมดในร่างกาย เริ่มฝึกซ้อมขึ้นมา


 


 


กระแสพลังพัดว่อนไปทั่ว ฉีเย่ว์พาชิวอวี้มายังพื้นที่ปลอดภัย บริเวณรอบข้างนั้นถูกลายจนเละเทะ ศาลาที่นั่งดื่มเหล้าเมื่อครู่นี้ก็ถูกทำลายจนถล่มลง เสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวทำให้หลานเฟิงหยุดการกระทำลง


 


 


เขาทิ้งกระบี่ลงบนพื้น หลานเฟิงหยิบขลุ่ยไม้ที่หักเป็นสองท่อนออกมาจากเอว เป่าออกมาเบาๆ เป็นบทเพลงนั้นที่เขาปล่อยให้หลานเยี่ยบ่อยๆ


 


 


วางไม่ลง ตัดไม่ขาด ลืมไม่ได้ หลานเยี่ย ข้าอยู่ในโลกใบนี้จะมีประโยชน์อะไร หลานเยี่ยเจ้าอยู่ตรงนั้นล้วนรู้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่ หลานเยี่ย เจ้าเกลียดข้าหรือไม่ หลานเยี่ยเจ้าแค้นข้าใช่หรือไม่ หลานเยี่ยทำไมเจ้าไม่มาเข้าฝันข้า หลานเยี่ย เจ้าอยู่ที่นั่นสบายดีหรือไม่


 


 


หลานเฟิงขับเคลื่อนกระแสพลังไม่หยุด เพลงที่เป่าออกมาก็ยิ่งอ้างว้าง ยิ่งเศร้าขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกโศกเศร้าเสียใจหัวใจแทบสลาย พลังของคลื่นเสียงนั้นแข็งแกร่งมากที่สุด เพราะมันสามารถส่งผลกระทบไปถึงจิตใจของคนได้โดยตรง ทำให้คนหลอมละลายไปกับมัน ทำให้ลืมตัวตนไป


 


 


ฉีเย่ว์ป้องกันชิวอวี้ไว้ข้างหาย มือทั้งสองข้างปิดหูของชิวอวี้ให้หลีกพ้นจากการโจมตีของกระแสพลัง ต่อให้เป็นเช่นนี้ชิวอวี้ก็ยังน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจคุมได้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 116 จมดิ่ง


 


 


ในที่สุดหลานเฟิงก็ถูกฤทธิ์เหล้าทำให้เป็นอัมพาตอย่างสมบูรณ์ มึนหัวตาลาย ล้มลงไปบนพื้น


 


 


ชิวอวี้รีบวิ่งเข้ามาโดยเร็ว ประคองเขาให้ลุกขึ้น


 


 


“ฉีเย่ว์ ให้พี่เย่ว์ดื่มแกงสร่างเมาหน่อยเถิด”


 


 


ฉีเย่ว์ยัดยาเม็ดหนึ่งลงไปในปากหลานเฟิง


 


 


“อวี้เอ๋อร์กินยานี่เข้าไป หลังจากสร่างเมาแล้วก็จะไม่รู้สึกว่าร่างกายไม่สบาย แต่อวี้เอ๋อร์ปล่อยเขานอนไปเถิด ความจริงมันโหดร้ายเกินไป มีเพียงในความฝันเท่านั้นถึงจะได้พบคนคนนั้น”


 


 


“เป็นเพราะรู้การตายของหลานเยี่ยอย่างนั้นหรือ”


 


 


ฉีเย่ว์นิ่งเงียบแสดงออกถึงการยอมรับ


 


 


“พี่เย่ว์เจ็บปวดเช่นนี้ เป็นเพราะอวี้เอ๋อร์ทำผิดหรือไม่”


 


 


ฉีเย่ว์ไม่พูดอะไร สิ่งที่เขาหวัง สิ่งที่เขาไม่หวัง สิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาไม่ได้ทำ สิ่งที่เขาทำเพื่อตนเอง สิ่งที่เขาทำเพื่อคนอื่น เขารู้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น


 


 


อะไรคือถูก อะไรคือผิด ไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน เรื่องที่อยากจะแบ่งแยกบนโลกใบนี้มีเพียงตอนที่คำว่า “สายสัมพันธ์” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น


 


 


“อวี้เอ๋อร์คิดว่าตนเองทำถูกก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องถามคนอื่น และไม่จำเป็นต้องใส่ใจคนอื่น อยากได้อะไรก็ให้ต่อสู้เอามา ตนเองไม่เสียใจภายหลังก็พอแล้ว


 


 


อวี้เอ๋อร์เจ้าจำเอาไว้ อย่าได้ใจอ่อนต่อเหยื่อของเจ้าตลอดกาล หากเจ้าไม่จับคุมเขาเอาไว้ให้ดี ก็จะถูกเขาหันกลับมาแว้งกัด ถึงเวลาที่ไม่มีทางเลือกก็ฆ่าเขาได้”


 


 


“เหยื่อ…อย่างนั้นหรือ”


 


 


หลังจากจัดการอุ้มหลานเฟิงไปไว้บนเตียง ชิวอวี้ลูบไล้ใบหน้าของหลานเฟิง แล้วจู่ๆ ก็โน้มหน้าเข้าไป จุมพิตริมฝีปากหลานเฟิงอย่างลึกซึ้ง ฉีเย่ว์เบือนหน้าไปอีกทาง ชิวอวี้ลุกขึ้นพลางก้าวถอยหลังลงไปสองก้าว หงายหลังลงไป


 


 


ฉีเย่ว์รีบไปประคองเขาเอาไว้


 


 


“ฉีเย่ว์ วันนี้เหนื่อยจริงเลย ข้าขอนอนเสียหน่อย เจ้าดูพี่เย่ว์เอาไว้ รอเขาฟื้นแล้วจำไว้ว่าให้เขากินนี่” พูดจบก็หลับใหลไปในอ้อมกอดของฉีเย่ว์


 


 


ฉีเย่ว์กอดชิวอวี้เอาไว้ หมัดกำเข้าหากันแน่น จากนั้นก็อุ้มชิวอวี้ขึ้นไปวางไว้บนเตียงหลานเฟิง ห่มผ้าให้ชิวอวี้เรียบร้อยฉีเย่ว์ก็ขับเคลื่อนพลังกรอกยาจำนวนเล็กน้อยให้เข้าไปในร่างกายชิวอวี้


 


 


ใบหน้าแต่เดิมที่ซีดขาวเริ่มมีสีแดงระเรื่อให้เห็น ชิวอวี้นอนหลับสบาย ไม่รู้ว่าฝันเห็นอะไร มองดูริมฝีปากที่ยกขึ้นก็น่าจะฝันดีอยู่กระมัง       


 


 


ฉีเย่ว์ถอยออกไปจากห้อง หยิบเหล้าขึ้นมาจากบนพื้นไหหนึ่ง ดื่มลงไปอึกใหญ่


 


 


“ร้อนเสียจริง หลานเฟิงกลับสามารถดื่มได้เยอะขนาดนี้ แต่ทำให้สติเป็นอัมพาตไปก็ถือเป็นการปลดปล่อยอย่างหนึ่งกระมัง หลานเยี่ยไม่รู้ว่าเจ้าเห็นหลานเฟิงที่เป็นเช่นนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ว่าหลังจากที่เจ้ารู้เรื่องเหล่านั้นที่หลานเฟิงทำแล้วจะมีความคิดเช่นไร”


 


 


เขาสั่งให้คนเข้ามาเก็บกวาดจัดการเรือ ฉีเย่ว์รออยู่ด้านนอกห้องหลานเฟิงทั้งคืน ตราบจนฟ้าสว่าง พระจันทร์ดวงใหญ่เพียงนั้น ช่างแสบตาเสียจริง


 


 


ฉีเย่ว์โยนเข็มเงินเล่มหนึ่งไปยังทิศพระจันทร์ แต่กลับไม่เกิดผลใดๆ


 


 


แต่ละวันผ่านไปเรื่อยๆ หลานเฟิงดื่มเหล้าเมามายทุกวัน ชิวอวี้ก็อยู่เป็นเพื่อนเขาทุกวันเช่นเดียวกัน ดอกไม้ภายในเรือนก็ถูกทำลายลงทุกวัน ศาลาถล่มลงทุกวัน และสิ่งเหล่านี้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมในวันรุ่งขึ้น


 


 


ความทรงจำหลังจากหลานเฟิงเมาเหล้านั้นหายสิ้น เขาทำอะไร ใครเป็นอะไร เขาไม่รู้ทั้งนั้น และเขาเองก็ไม่อยากรู้ เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ทั้งวันเขามัวแต่คิดว่าตนเองมีชีวิตไปเพื่ออะไร ทั้งวันมัวแต่คิดว่าหากตายไปแล้วได้พบหลานเยี่ยควรจะต้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร


 


 


ไม่มีคำตอบ และไม่มีคนบอกเขาว่าหลังจากตายไปต้องกินน้ำแกงลบเลือนหรือไม่ จะลืมหลานเยี่ยหรือไม่ เขาไม่รู้ คนที่รู้ล้วนกลับมาไม่ได้แล้ว


 


 


เป็นความจริงหรือที่หลานชิงหลอกเขา เป็นความจริงหรือที่หลิวและวั่งหลอกเขา เป็นความจริงหรือที่ใต้หล้านี้หลอกเขา เป็นความจริงหรือที่หลานเยี่ยตายแล้ว ใครบอกเขาได้บ้าง



ตอนที่ 117 ลุ่มหลง


 


 


ตอนเช้าวันหนึ่ง หลานเฟิงตื่นขึ้นมาก่อน พบว่าชิวอวี้อยู่บนเตียงของตน ปกติแล้วชิวอวี้จะตื่นเช้ากว่า ดังนั้นจะคอยหลานเฟิงตื่นอยู่ข้างเตียง พอหลานเฟิงตื่นขึ้นมาก็จะเห็นเขา


 


 


หลานเฟิงลุกจากเตียง คิดจะไปหยิบแก้วชา ความรู้สึกเมาค้างนั้นแม้จะคุ้นชินแล้ว แต่เมื่อวานเหมือนจะดื่มหนักมาก ชิวอวี้ได้ยินเสียงขยับตัวก็ตื่นขึ้นมา เห็นหลานเฟิงอยู่ข้างเตียงก็รีบวิ่งเท้าเปล่าไปกอดเอวเขาจากด้านหลัง


 


 


“อรุณสวัสดิ์ พี่เย่ว์ เมื่อคืนนี้อวี้เอ๋อร์ฝันเห็นท่านด้วย พี่เย่ว์ เมื่อวานนี้ฉีเย่ว์ได้ปรึกษากับอวี้เอ๋อร์แล้ว เห็นด้วยที่จะให้อวี้เอ๋อร์ออกไปกับพี่เย่ว์ พี่เย่ว์ พวกเราออกไปดีหรือไม่”


 


 


“อืม”


 


 


หลานเฟิงหยุดชะงัก ส่งเสียงตอบรับออกมา


 


 


ชิวอวี้วิ่งออกไปหาฉีเย่ว์ด้วยท่าทีดีอกดีใจ


 


 


กิจการการค้าภายในตระกูลเยี่ยไม่ได้รุ่งเรืองเท่าไรนัก ส่วนใหญ่แล้วการไหลเวียนของสินค้าล้วนมาจากเมืองหลวง


 


 


ชิวอวี้นั่งอยู่บนหลังม้า เพื่อให้หลานเฟิงนั่งข้างหลัง หลานเฟิงเหลือบมองทีหนึ่งแล้วถึงขึ้นไป หลานเฟิงนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับชิวอวี้ ห่างออกไปไกลนั้นมีฉีเย่ว์ตามมา ไม่ได้พาองครักษ์มาด้วย


 


 


อย่างแรกเพราะเมืองหลวงอยู่ใต้การควบคุมของตระกูลเยี่ย อย่างที่สองสายลับของตระหูลเยี่ยมีอยู่ทั่วทุกที่ ไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์


 


 


เมื่อมาถึงเมืองหลวงชิวอวี้ก็คล้องแขนของหลานเฟิงวิ่งไปวิ่งมาทุกที่ด้วยความดีใจ ร้านรวงและหอสุราต่างๆ นานาภายในเมืองหลวงนั้นมีมากมาย หากจะเดินเล่นทั่วทุกพื้นที่ทั้งทิศเหนือใต้ออกตกนั้นต้องใช้เวลาประมาณสองวัย


 


 


พวกเขาค่อยๆ เดินเล่นทีละร้านๆ ไม่รีบร้อน


 


 


วันแรกหลานเฟิงก็ถูกชิวอวี้ลากเข้าไปในร้านค้าต่างๆ ฉีเย่ว์ทำหน้าที่คนแบกของอยู่ข้างหลัง หลังจากนั้นเพราะมีของเยอะเกินไป ฉีเย่ว์จึงไปจัดการเอารถม้ามาคันหนึ่ง เพื่อที่จะใส่ของที่ชิวอวี้ซื้อ


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านดูตุ๊กตาดินเผานั่นซิน่านักหรือไม่”


 


 


“ไปดู”


 


 


“จริงหรือ ฉีเย่ว์ๆ เจ้ารีบมาเร็วเข้า ข้าจะซื้อตุ๊กตาดินเผาคู่นั้น” ได้ยินชิวอวี้ตะโกนเรียก ฉีเย่ว์จึงเดินไปหาด้วยความจนปัญญา นี่ยังไม่ทันพ้นข้ามวัน ชิวอวี้ก็ตะโกนเรียกเขาจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว รถม้าก็ใกล้จะใส่ของไม่หมดแล้ว


 


 


หลังจากซื้อตุ๊กตาดินเผาคู่นั้นแล้ว ฉีเย่ว์เดินเข้าไปพูดกล่อมชิวอวี้


 


 


“อวี้เอ๋อร์ นี่ก็กลางวันแล้ว พวกเรากลับไปพักก่อนดีกว่า ตอนบ่ายพวกเราค่อยมาเดินต่อดีหรือไม่”


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านว่าอย่างไร”


 


 


“กลับเถิด”


 


 


“ได้ ฟังพี่เย่ว์”


 


 


พวกเขากลับไปยังบ้านพักในเมืองหลวง หอจันทร์แรม ป้ายชื่อในตอนแรกนั้นไม่ได้ถูกเปลี่ยน หลานเฟิงมองตัวหนังสือที่อยู่บนนั้นใจก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม


 


 


หลานเยี่ยหากเจ้ารู้ว่าข้ามองชิวอวี้เป็นเจ้า เจ้าจะเกลียดข้าหรือไม่


 


 


เมื่อถึงตอนบ่ายตอนที่กลุ่มคนออกไปอีกครั้ง ฉีเย่ว์ก็เตรียมรถม้าที่ใหญ่ขึ้นไว้ ป้องกันใส่ของที่ชิวอวี้ซื้อมาไม่หมด


 


 


เป็นไปตามที่คิดไว้ ของกองใหญ่อีกกองหนึ่ง


 


 


ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเล่นว่าวพอดี บรรดาเด็กน้อยถือว่าวที่เพิ่งซื้อมาแข่งกันบนถนน ดูว่าใครจะลอยสูงได้กว่ากัน


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านรีบมาดูเร็ว จะเอาสีฟ้ารูปผีเสื้อนี้ดี หรือว่าสีน้ำตาลรูปเหยี่ยวดี”


 


 


“สีฟ้าก็แล้วกัน สี…ฟ้า”


 


 


“เอาเถิด พวกเราไปที่บริเวณโล่งกว้างสักหน่อยเพื่อปล่อยว่าวดีกว่า”


 


 


ฉีเย่ว์พาพวกเขาไปยังพื้นที่ค่อนขว้างโล่งกว้าง พื้นที่เหลี่ยมกว้างสิบลี้ ไม่มีสิ่งอื่นใด มีเพียงดินเหลืองทั่วทุกที่ และต้นไม้สองต้นที่เงียบเหงา


 


 


ต้นไม้สองต้น คงจะไม่เหงากระมัง แม้ว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาจะค่อนข้างไกล แต่เมื่อทอดมองออกไปก็ยังดีกว่าต่างฝ่ายต่างอยู่คนละฟาก


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 118 ภาพมายา


 


 


ชิวอวี้ชักว่าวอยู่ห่างไกลออกไป วิ่งไปวิ่งมา ว่าวลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า รอยยิ้มบนใบหน้าของชิวอวี้สดใสเป็นอย่างมาก


 


 


มองดูชิวอวี้ที่ชักว่าว หลานเฟิงเหมือนเห็นหลานเยี่ยที่กำลังร่ายรำกระบี่อยู่ต่อหน้าเขา หันกลับมาส่งยิ้มให้เขา เหมือนกำลังเชื้อเชิญ หลานเฟิงค่อยๆ เดินเข้าไปหาชิวอวี้ ฉีเย่ว์ที่อยู่อีกฝั่งมองดูเขาอยู่อย่างนั้น เหมือนกำลังสังเกตการณ์สินค้าทดลองชิ้นหนึ่ง


 


 


หลานเฟิงเดินไปครึ่งทาง จู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมา หยุดยืนอยู่กับที่ เขาส่ายหัวเล็กน้อยทำให้ตนเองได้สติขึ้นมา ฉีเย่ว์เหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย เขาเพิ่มยาให้หลานเฟิง แต่ผลลัพธ์เหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไรนัก


 


 


รอจนชิวอวี้เล่นจนเหนื่อยแล้ว นอนพักผ่อนอยู่ในอ้อมกอดของหลานเฟิง หลานเฟิงเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ผ่านไปสักครู่หนึ่งท้องของชิวอวี้จู่ๆ ก็ร้องออกมา


 


 


ชิวอวี้หันไปหัวเราะกับหลานเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกับเด็กอายุสิบปี


 


 


“พี่เย่ว์ ข้าหิวแล้ว” สองวันมานี้จากเดิมที่เวลาชิวอวี้มีเรื่องอะไรก็เรียกชื่อฉีเย่ว์นั้นก็กลายเป็นมีเรื่องอะไรก็เรียกชื่อหลานเฟิง คำตอบของหลานเฟิงแม้จะมีเพียงไม่กี่คำ แต่ก็ตอบเขาทุกครั้ง


 


 


“ไปกินข้าว”


 


 


“ดี”


 


 


ฉีเย่ว์พาพวกเขาไปที่โรงสุราแห่งหนึ่ง โรงเซียนเมา เปิดห้องแยกหนึ่งห้อง หลานเฟิงนั่งลง ชิวอวี้หยิบแก้วชาบนโต๊ะมาเล่น ฉีเย่ว์ไปสั่งอาหาร


 


 


“คุณชายทั้งหลาย อาหารมาแล้ว” อาหารทั้งหมดค่อยๆ ถูกนำขึ้นมา รวดเร็วอย่างมาก มองดูอาหารที่มีเต็มโต๊ะ ชิวอวี้ก็กินอย่างมีความสุขขึ้นมา แล้วยังไม่ลืมที่จะคีบให้หลานเฟิง ฉีเย่ว์ออกห่างจากพวกเขา นั่งอยู่บนโต๊ะที่อยู่มุมอับ ค่อยๆ ลิ้มรสเหล้า


 


 


ผ่านไปไม่นานเด็กรับใช้ก็เข้ามาพร้อมกับเหล้ากาหนึ่ง ตรงไปวางไว้ที่โต๊ะของฉีเย่ว์ ฉีเย่ว์แอบหยิบเข็มเงินขึ้นมาเล่มหนึ่ง แตะลงไปในแก้วเหล้า จากนั้นก็ส่งไปให้หลานเฟิง


 


 


“ดื่มสักแก้วหนึ่งเถิด เจ้าชอบเหล้าไม่ใช่หรือ” ฉีเย่ว์มองเขาด้วยท่าทีเหมือนจะยิ้ม


 


 


หลานเฟิงรับเหล้ามาจากฉีเย่ว์ ดื่มลงไปทีละอึก มีบางครั้งที่คีบอาหารให้ชิวอวี้ ชิวอวี้กินอย่างมีความสุข มุมปากนั้นยังมีน้ำแกงเปรอะเปื้อน หลานเฟิงช่วยเช็ดให้เขา ชิวอวี้ส่งยิ้มให้หลานเฟิง


 


 


รอจนชิวอวี้กินจนอิ่มแล้ว เด็กรับใช้ก็ยกขนมสับปะรดมาจานหนึ่ง ชิวอวี้หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งส่งให้หลานเฟิง


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านดูซิ ขนมสับปะรด ให้ท่านกิน” สายตาของหลานเฟิงเหมือนจะเบลอเล็กน้อย


 


 


“หลานเฟิง ข้าอยากกินขนมสับปะรด”


 


 


“เสี่ยวเยี่ย” แก้วเหล้าในมือตกลงพื้นเสียงดังลั่น


 


 


หลานเฟิงจับหัวของตัวเองเอาไว้


 


 


“พี่เย่ว์ท่านเป็นอะไรไป” ชิวอวี้เรียกชื่อเขา หลานเฟิงหันไปมองทีหนึ่ง


 


 


“เสี่ยวเยี่ย” หลานเฟิงจับชิวอวี้กดไว้บนเบาะนั่ง จุมพิตลงไป ฉีเย่ว์ลุกขึ้น แล้วถอยออกไป ยืนรออยู่หน้าประตูเงียบๆ


 


 


“พี่เย่ว์?” หลานเฟิงปิดปากที่อยากพูดจาเอาไว้ เปิดริมฝีปากออกเหมือนกำลังเพลิดเพลินกับอาหารชั้นเลิศ


 


 


หลานเฟิงค่อยๆ จูบลงไปบนลำคอของชิวอวี้ช้าๆ ดูดไปพลาง กัดไปพลาง ไม่นานบริเวณไหปลาร้าก็เกิดรอยช้ำขึ้น


 


 


“พี่เย่ว์”


 


 


เสียงของชิวอวี้สะท้อนเสียงร่ำไห้เอาไว้


 


 


“เสี่ยวเยี่ยๆๆ”


 


 


หลานเฟิงพึมพำไม่หยุด


 


 


ฉีเย่ว์อยู่นอกประตู หลับตาลง ร่างกายค่อยๆ ไหลแนบไปกับประตู


 


 


จู่ๆ ด้านในห้องก็เกิดเสียงดังสนั่น ฉีเย่ว์รีบพุ่งเขาไปดู


 


 


เห็นเพียงชิวอวี้ที่เสื้อผ้าด้านบนไม่เรียบร้อย บนร่างนั้นมีรอยจูบทั้งเข้มและจางสลับกันไป หางตายังมีร่องรอยหยดน้ำตาเปรอะเปื้อน หลานเฟิงถอยไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง โต๊ะเพราะว่าโดนแรงกระแทกรุนแรงทำให้ลอยออกไป คาดว่าเสียงดังเมื่อครู่นี้คงจะเป็นเสียงโต๊ะที่ลอยออกไปกระมัง


 


 


“อวี้เอ๋อร์” ฉีเย่ว์ก้าวเข้าไปใส่เสื้อผ้าให้ชิวอวี้


 


 


“เจ้าไม่ใช่หลานเยี่ย เจ้าไม่ใช่” หลานเฟิงวิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไป แล้วยังพูดพึมพำไปพลาง หลานเยี่ย ขอโทษๆ หลานเยี่ยๆ เจ้าอยู่ที่ไหน


 


 


……


 


 


“เสี่ยวเยี่ย เป็นอะไรไป” มู่หลีมองหลานเยี่ยที่เหม่อมองไปที่ถนน ถามออกมา


 


 


“ไม่มีอะไร เหมือนว่าจะเห็นคนคนหนึ่ง คุ้นตานัก ไปเถิด เจ้าหิวไม่ใช่หรือ พวกเราไปกินข้าวกันเถิด โรงเซียนเมาที่เจ้าชอบที่สุด ถึงแล้ว”


 


 


“ดี เสี่ยวเอ้อร์ ห้องชุดหนึ่งห้อง”


 


 


“ขอรับ ห้องชุดสองท่าน”


 


 


คุ้นตาจริงๆ อีกทั้งในใจยังรู้สึกทรมาน




ตอนที่ 119 จี้จี้ฮวาสือ


 


 


หลานเฟิงหกล้มคลุกคลานวิ่งออกไป ไม่สนใจว่าที่ไหน เพียงแต่มุ่งตรงไปข้างหน้าเท่านั้น ตราบจนใช้กระแสพลังหมดแล้วหลานเฟิงถึงหยุดลง      


 


 


นี่คือที่ไหน หลานเฟิงเงยหน้าขึ้นมองภาพทิวทัศน์เบื้องหน้า เหมือนจะไม่รู้จัก แต่ก็คุ้นเคยอย่างไม่มีที่เปรียบ หลานเฟิงพยายามทวนคิด ในที่สุดก็รู้สึกเหมือนเคยเห็นสถานที่แห่งนี้มาก่อนในมุมลึกมุมหนึ่งของความทรงจำ


 


 


ใช่แล้ว ทำไมถึงลืมไปได้เล่า จะลืมที่ไหนก็ได้ มีเพียงที่แห่งนี้ที่ไม่อาจลืม เพราะที่นี่คือหอจันทร์แรมอย่างไรเล่า พันปีก่อนนี้เรียกกันว่าจี้จี้ฮวาสือ ที่นี่คือฐานลับของเขาและหลานเยี่ย


 


 


เมื่อเห็นว่าทุ่งดอกไม้ผืนนั้นยังคงมีสีสันสดใสและมีชีวิตชีวาเหมือนที่เคยเป็นมา บริเวณรอบด้านยังมีร่องรอยการดูแล เป็นมู่หลีอย่างนั้นหรือ คิดไม่ถึงว่าเขายังคิดถึงที่นี่


 


 


หากว่าหลานเยี่ยยังอยู่ เห็นทิวทัศน์บรรยากาศเช่นนี้แล้วจะพูดเช่นไรกัน


 


 


“หลานเฟิง เจ้าดูซิ ที่นี่มีทุ่งดอกไม้ด้วย ข้าตัดสินใจแล้ว หลังจากนี้ที่นี่จะเป็นฐานลับของพวกเรา เมื่อไรที่เหนื่อยที่ล้าก็ให้มาที่นี่ ต่อให้แค่นอนอยู่บนพื้นก็ถือเป็นความสุขเช่นเดียวกัน”


 


 


“หลานเฟิง เจ้ามาเร็วเข้า มู่หลีให้หินเก็บความอุ่นมาให้ ข้าจะเอามันไปฝังไว้มุมหนึ่ง เช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นฤดูอะไร ดอกไม้ก็จะบานออก”


 


 


“หลานเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ ได้ยินว่าที่นี่ยังมีเรื่องเล่าที่สวยงามเรื่องหนึ่ง พันปีก่อนหน้านี้อวิ๋นซูเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาเทียนปี้และฉีอวนองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์รักกัน แต่ตอนนั้นอยู่ในช่วงสงคราม ดังนั้นหลานเซียวบรรพบุรุษของตระกูลหลานจึงสร้างบ้านไม้หลังนี้ให้พวกเขา ให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่นี่”


 


 


“หลานเฟิง เจ้ามาดูเร็ว ในที่สุดดอกอีหมี่ก็บานแล้ว แต่เดิมคิดว่าต้องรอห้าปี แต่สามปีก็บานแล้ว จะต้องเป็นเพราะผลงานของหินเก็บความอุ่นเป็นแน่ ทำให้มันแยกฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้ตกไม่ได้ เจ้าว่าใช่หรือไม่”


 


 


“หลานเฟิง เจ้าฟังอยู่หรือไม่ กระท่อมหลังนี้พวกเรามาตั้งชื่อให้มันดีหรือไม่ ให้ข้าลองคิดดู เรียกว่าหอใบเฟิงดีหรือไม่ เฮ้อ ทำไมได้เล่า เจ้าดูใบเฟิงที่เต็มไปหมดทั่วเขานี่ซิ ข้างหน้ายังมีแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง เรียกว่าหอใบเฟิงไม่ใช่ว่าพอดีหรอกหรือ”    


 


 


“เอาเถิดๆ ไม่เรียกหอใบเฟิงก็ได้ เช่นนั้นก็เรียกว่าหอจันทร์แรม ชื่อเหมือนกับจวนของข้า เจ้าว่าอย่างไร”


 


 


“หลานเฟิง ข้าขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้าถูกท่านพ่อจับกลับมาที่ตระกูลหลาน ดอกไม้ใบหญ้าที่หอจันทร์แรมไม่มีคนดูแลเป็นแน่ เจ้าไปบอกมู่หลี ให้เขาช่วยดูดีหรือไม่ อย่างไรเขาก็ว่างเสียขนาดนั้น”


 


 


“หลานเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ ที่จริงแล้วความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าไม่ใช่ทำเรื่องราวเอิกเกริกใหญ่โต แต่เป็นการหาคนสักคนมาใช้ชีวิตอยู่ที่ด้วยกันตลอดไป”


 


 


ย้อนกลับคิดถึงคำพูดที่หลานเยี่ยเคยพูดไว้ หลานเฟิงก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้


 


 


“เสี่ยวเยี่ย อ๊ากกก” หลานเฟิงเงยหน้าตะโกนก้อง


 


 


หลานเฟิงลุกขึ้นยืนจากพงดอกไม้ มุ่งหน้าตรงไปยังหอจันทร์แรม เขาเหมือนเดินผ่านอะไรบางอย่าง ความรู้สึกคุ้นเคยกระแสหนึ่งปะทะเข้ามา เหมือนมีของอะไรบางอย่างห่อหุ้มเอาไว้


 


 


หลานเฟิงยืนนิ่ง น้ำตาไหลลงมาหนักกว่าเดิม เมื่อหันกลับไปมองเขตม่านพลังสีฟ้าอ่อนก็ทอแสงประกายอยู่ใต้แสงอาทิตย์ เปล่งปลั่งระยิบระยับ


 


 


เป็นไปได้อย่างไร ทำไมม่านพลังของหอจันทร์แรมถึงยังอยู่ ทั้งๆ ที่หลานเยี่ยตายไปแล้ว ทำไมกัน หรือว่าชิวอวี้จะหลอกตนเอง หรือว่าเขตม่านพลังของตระกูลหลานและไฟอมตะของเขาเทียนปี้จะโดนเล่นสกปรก


 


 


หลานเยี่ยยังไม่ตาย เขายังอยู่ ชิวอวี้เอาเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน ครั้งนี้ไม่อาจปล่อยให้เขาได้ใจอีก ตนเองจะต้องหาหลานเยี่ยให้พบ ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะได้รับการให้อภัยหรือไม่ ขอแค่เขายังอยู่ก็พอแล้ว


 


 


หลานเฟิงหมุนตัวจากไป ออกจากหอจันทร์แรม กลับไปยังตระกูลเยี่ย


 


 


……


 


 


“อ๊ะ มู่หลี เหมือนมีคนมาเลย เจ้าดูนี่”


 


 


“อาจจะเป็นสัตว์ตัวเล็กเข้ามากระมัง”


 


 


“นั่นก็ต้องเป็นสัตว์ที่น่ารักเป็นแน่ เจ้าดูกระต่ายขนยาวพวกนั้นดีใจขนาดนี้”


 


 


“เจ้าดูออกว่ามันดีใจได้อย่างไร”


 


 


“ข้าบอกว่าดีใจก็คือดีใจ”


 


 


“ดีๆๆ เจ้าถูกทั้งนั้น”


 


 


“ใช่แล้ว ตอนนั้นทำไมข้าถึงตั้งชื่อว่าหอจันทร์แรมกัน ข้าจำได้เพียงว่าตอนนั้นยังตั้งอีกชื่อหนึ่ง เจ้ายังโต้ข้ากลับมาเลย!”


 


 


“อย่างนั้นหรือ ดูท่าข้าคงลืมไปแล้ว!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 120 ความกล้า


 


 


หลานเฟิงกลับมาถึงตระกูลเยี่ย กลับไปยังจวนที่พักของตนเอง แต่ไม่ได้เข้าไป ยามเมื่อเขาคิดถึงเรื่องที่ตนเองเห็นชิวอวี้เป็นหลานเยี่ย หลานเฟิงก็รู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เขาจะจำหลานเยี่ยผิดไปได้อย่างไร


 


 


เมื่อมาถึงหน้าประตู ภายในห้องก็มีเสียงหัวเราะของชิวอวี้ลอดดังออกมา เหมือนว่าได้ยินเรื่องสนุกอะไรอยู่ หลานเฟิงกำลังจะผลักประตูเข้าไป ประตูก็เปิดออกมาพอดี


 


 


เมื่อเห็นหลานเฟิงกลับมา ใบหน้าของชิวอวี้ยังคงมีแต่ความยินดี


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านไปไหนมา เวลาผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่กลับ อวี้เอ๋อร์เป็นห่วงท่านแทบแย่”


 


 


ไม่มีอารมณ์แปลกประหลาดแม้แต่นิดเดียว เหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น


 


 


“ไม่เป็นอะไร เพียงแค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้น” หลานเฟิงเพิ่งเข้ามาก็สังเกตเห็นฉีเย่ว์ หน้าตาที่เต็มไปด้วยความแค้นฝังลึกทำให้หลานเฟิงแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องอะไร


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะไปเอาเหล้ามารอเมื่อพี่เย่ว์กลับมาจะได้ให้เขาดื่มไม่ใช่หรือ ยังไม่รีบไปอีก”


 


 


“ใช่แล้ว เจ้าดูซิ พี่เย่ว์กลับมาทำให้อวี้เอ๋อร์ก็ดีใจใหญ่แล้ว อวี้เอ๋อร์จะไปเอาเดี๋ยวนี้”


 


 


หลังจากชิวอวี้ออกไปแล้ว หลานเฟิงก็ปิดประตูลง ยืนอยู่เบื้องหน้าฉีเย่ว์


 


 


“ทำไมต้องทำเช่นนี้”


 


 


“ท่านอยากรู้เรื่องอะไร แต่ใช่ว่าข้าจะบอกท่านนะ อีกอย่าง เจ้าเองก็ไม่ได้พูดว่าเรื่องอะไร ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”


 


 


“เจ้ารักชิวอวี้ใช่หรือไม่ แต่ทำไมถึงได้คิดหาวิธีมากมายส่งเขามาถึงเตียงข้า”


 


 


“ล้อเล่นอะไรกัน เจ้าพูดว่าเขาเป็นหนูทดลองของค้าไม่ใช่หรือ ข้าไปจะไปเกิดใจสั่นกับหนูทดลองของตนเองได้อย่างไร!”


 


 


“เช่นนั้นตอนที่ข้าลงมือกับชิวอวี้ทำไมเจ้าถึงออกไปข้างนอกเล่า”


 


 


“ข้าไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่น”


 


 


“อย่าฝืนอีกเลย เจ้าเคยพูดว่าเพื่อเขาเจ้าขยันหมั่นเพียรศึกษาวิชาแพทย์”


 


 


“แล้วทำไมเล่า”


 


 


“มองดูคนที่ตนเองรักพร่ำเรียกชื่อคนอื่นทุกวัน ทรมานมากกระมัง”


 


 


ฉีเย่ว์ไม่ได้ตอบ มือที่จับอยู่ขอบโต๊ะนั้นเกร็งจนเส้นเลือดขึ้น


 


 


“ใช่แล้ว ทรมานมาก ทรมานอย่างมาก ทรมานจนจะตาย แต่ข้าจะทำอะไรได้ ในใจของเขาไม่มีข้า มีแต่เจ้า ตอนนี้หลานเยี่ยตายแล้ว เขาดีใจมาก เขาคิดว่าตัวเองมีโอกาสแล้ว ข้าทำได้เพียงทำให้เขาสมหวัง สมหวังเจ้าเข้าใจหรือไม่


 


 


เจ้ารู้หรือไม่ยามที่ข้าส่งเขาไปบนเตียงเจ้านั้นข้าเจ็บปวดมากเพียงใด เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนที่เจ้าลงมือกับเขาข้าอยากฆ่าเจ้ามากเพียงใด แต่ ข้าอดทนไว้ ทำให้เขาสมหวัง คงจะดีกว่าเจ็บปวดทั้งสองคน


 


 


ทำไมหลานเยี่ยตายแล้วเจ้าถึงยังใช้ชีวิตที่นี่ได้เป็นอย่างดี เจ้าควรจะทรมานไม่ใช่หรือ ทำไมคนที่ทรมานถึงมีแค่ข้าคนเดียว” ฉีเย่ว์ตะโกนใส่หลานเฟิง จนสุดท้ายก็เงียบเฉียบไร้เสียง


 


 


“นั่นก็เพราะเจ้าเกลียดแค้นตัวเอง แม้แต่ความกล้าจะแย่งชิงก็ยังไม่มี”


 


 


“ฮ่าๆ พูดง่ายนัก ความกล้าแย่งชิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากข้าไปแย่งชิงมาสักหน่อยผลที่ตามาคืออะไร คือความตายของชิวอวี้ หลายปีมานี้ที่เขายอมเชื่อฟังข้าก็เพราะเจ้า ข้าเอาเจ้ามากล่อมเขาอยู่ตลอด”


 


 


“บอกข้ามาว่าหลานเยี่ยอยู่ไหน จากนั้นก็พาชิวอวี้ไป ลบความทรงจำของเขา เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”


 


 


ฉีเย่ว์ฟังคำของหลานเฟิง เห็นชัดว่าเกิดคล้อยตามเล็กน้อย


 


 


“ทำไมข้าไม่คิดจะทำเช่นนั้น แต่บีบบังคับให้ได้ความรักมาจะมีความหมายอะไร ร้องขอให้ใจได้รับการปลอบโยนอย่างนั้นหรือ”


 


 


ฉีเย่ว์ไม่ได้พูดคุยกับหลานเฟิงต่อ แต่ผลักประตูออกไป


 


 


ไม่นานชิวอวี้ก็กลับมา ในมืออุ้มไหเหล้ามาด้วยไหหนึ่ง


 


 


“พี่เย่ว์ ข้าเอาเหล้ามาแล้ว ฉีเย่ว์เล่า ทำไมถึงไม่อยู่”


 


 


“เขาออกไปจัดการธุระเล็กน้อย” สำหรับเขาแล้วฉีเย่ว์ไม่อยู่ก็สมกับความปรารถนาของเขาพอดี เอาแต่ใจครั้งเดียวยังพอทนได้ แต่มีบางเรื่องที่ทำเกินเหตุก็จะไม่ดี ใครก็ไม่อาจได้รับการให้อภัย ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปทุกคนล้วนเป็นหมาก 




ตอนที่ 121 สองบุคลิก


 


 


“พี่เย่ว์ สองวันมานี้ท่านไปไหนมาหรือ”


 


 


“ไปหาพวกเมล็ดพันธุ์บางอย่างมา ดอกไม้ในสวนถึงเวลาต้องเพิ่มประเภทแล้ว” หลานเฟิงควักถุงหอมที่บรรจุเมล็ดพันธุ์ออกมา


 


 


“ดีเลย เช่นนี้ภายในสวนก็จะสวยกว่าเดิม พี่เย่ว์ พวกเราเอาเมล็ดไปปลูกกันดีกว่า ตอนนี้อุ่นขนาดนี้ อีกไม่กี่วันก็น่าจะโต”


 


 


ชิวอวี้หยิบถุงหอมที่หลานเฟิงวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาถือดู


 


 


“ชิว…ชิวอี้” หลานเฟิงเรียกชิวอี้ไว้


 


 


“พี่เย่ว์ ทำไมหรือ”


 


 


“เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว อวี้เอ๋อร์ก็ยังไม่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า วันนี้มาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าสักแก้วเถิด” หลานเฟิงหยิบแก้วเหล้าสองใบวางไว้บนโต๊ะ รินเหล้าสองแก้ว


 


 


“ก็ได้” ชิวอวี้ยิ้ม สายตาเป็นประกายขมขื่นขึ้นมาในทันใด สีลูกตาเปลี่ยนไป ปรากฏเพียงชั่วครู่ก็หายไป


 


 


หลานเฟิงหยิบแก้วเหล้าขึ้นมา ยกไปทางชิวอวี้เล็กน้อย จากนั้นก็ดื่มหมดภายในอึกเดียว ชิวอวี้หัวเราะ แต่ไม่ได้ดื่ม


 


 


“ทำไมไม่ดื่มเล่า”


 


 


“อวี้เอ๋อร์อยากคล้องแขนแลกแก้วกับพี่เย่ว์อย่างไรเล่า”


 


 


มือบที่ถือแก้วเหล้าของหลานเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รินเหล้าให้ตัวเองอีกแก้ว ยิ้มเป็นครั้งแรกให้กับอวี้เอ๋อร์


 


 


“ได้”


 


 


คล้องแขนของหลานเฟิง น้ำตาบริเวณหัวตาของชิวอวี้ก็ไหลลงมาเงียบๆ และถูกเช็ดออกไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียงเช่นเดียวกัน


 


 


“ดีเหลือเกินพี่เย่ว์ เหมือนกับแต่งงานเลย พี่เย่ว์ ดีเหลือเกิน”


 


 


“แต่งงาน…” หลานเฟิงครุ่นพิจารณา ชิวอวี้เมาแล้ว ร่างกายที่อ่อนแอทำให้เขาเมาภายในแก้วเดียว พูดเพ้อเจ้อ


 


 


“พี่เย่ว​ ท่านดูซิ อวี้เอ๋อร์น่ามองหรือไม่ ให้อวี้เอ๋อร์เป็นเจ้าสาวของท่านดีหรือไม่”


 


 


“พี่เย่ว์ ท่านพูดซิ ให้อวี้เอ๋อร์เป็นเจ้าสาวของท่านดีหรือไม่ บอกอวี้เอ๋อร์ซิ ต่อให้โกหกอวี้เอ๋อร์ก็ได้ พี่เย่ว์ ท่านพูดซิ”


 


 


“ได้”


 


 


“ดีเหลือเกิน อวี้เอ๋อร์เป็นเจ้าสาวของพี่เย่ว์ได้แล้ว”


 


 


“อวี้เอ๋อร์”


 


 


“หือ?” ชิวอวี้อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นแล้ว


 


 


“หลานเยี่ยอยู่ที่ไหน”


 


 


“ท่านพูดถึงหลานเยี่ยหรือ เขาอยู่ที่จิ่วหลิว อยู่กับมู่หลี เขา…” ยังไม่ทันพูดจบชิวอวี้ก็ทอดตัวนอนลงบนโต๊ะ


 


 


เมื่อได้คำตอบที่อยากได้ หลานเฟิงก็ออกไปในทันที ออกจากตระกูลเยี่ย


 


 


ฉีเย่ว์ที่วิ่งออกไปทำให้ใจเย็นลง เมื่อกลับมาในห้องอีกครั้งก็เห็นชิวอวี้ที่ทอดตัวอยู่บนโต๊ะตัวสั่นไม่หยุด


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป” ฉีเย่ว์ประคองชิวอวี้ขึ้นมา แต่กลับเห็นริมฝีปากของอวี้เอ๋อร์เป็นสีม่วง เหงื่อเย็นไหลท่วมตัว ร่างกายสั่นไม่หยุด


 


 


“ฉีเย่ว์ ข้า…”


 


 


ชิวอวี้หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด


 


 


“อวี้เอ๋อร์ อย่าพูดอีกเลย” ฉีเย่ว์เอามือไปวางไว้บนข้อมือของชิวอวี้ ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นแก้วเหล้าสองใบบนโต๊ะ


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เจ้าดื่มเหล้าหรือ ไม่ใช่ว่าเคยบอกแล้วว่าเจ้าดื่มไม่ได้ไม่ใช่หรือ”


 


 


“ข้า…” จู่ๆ อวี้เอ๋อร์ก็อุดปากไว้ แต่ไม่สามารถอุดเลือดที่สำรอกออกมาได้


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เร็วเข้า อ้าปากกินมันลงไป” ฉีเย่ว์เอายาเม็ดหนึ่งยัดลงไปในปากชิวอวี้ ชิวอวี้กลืนลงไปด้วยความยากลำบาก


 


 


“ฉีเย่ว์ ข้าคล้องแขนแลกแก้วเหล้ากับพี่เย่ว์แล้ว เขายังรับปากว่าจะแต่งข้าด้วย!”


 


 


ชิวอวี้ลืมตาอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นดวงตาของชิวอวี้ ฉีเย่ว์ก็ต้องตกใจไป


 


 


“เจ้า…คือชิวอวี้หรือ”


 


 


“ใช่แล้ว ข้าคือชิวอวี้ ไม่ใช่อวี้เอ๋อร์”


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 122 พาข้าไปด้วย


 


 


“เพราะเป็นชิวอวี้ ดังนั้นเอาแต่ใจครั้งเดียวก็พอแล้ว”


 


 


“ยาของข้าไม่มีผลอย่างนั้นหรือ” ฉีเย่ว์ถามออกมาด้วยความสงสัย


 


 


“ยาของเจ้าดีมาตลอด แต่เพราะพี่เย่ว์มีแรงกระตุ้นต่อข้ามากเกินไป มากเกินกว่าที่ยาของเจ้าจะสู้ได้” ชิวอวี้กลับมามีสภาวะเหมือนเดิมตอนแรก


 


 


“บนร่างของพี่เย่ว์มีกระแสพลังของหลานเยี่ย ดูท่าเขาคงไปที่จี้จี้ฮวาสือมาแล้ว คงรู้หมดแล้ว ดังนั้นข้าจึงบอกตำแหน่งของหลานเยี่ยให้เขารู้ มาถึงขั้นนี้แล้วจะผิดบังอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์”


 


 


“แต่เขาก็ไม่ควรใช้วิธีเช่นนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าดื่มเหล้าไม่ได้”


 


 


“อาจเป็นเพราะข้าโกหก ผิดหวังกับข้าแล้วกระมัง”


 


 


“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ล้วนเป็นความผิดของข้าทั้งนั้น”


 


 


“เจ้าอยากฆ่าสภาพเดิมของข้ามาตลอดไม่ใช่หรือ ให้ข้าหลงอยู่ในโลกที่ข้าจินตนาการขึ้นมา ข้ารู้ว่าทำเช่นนั้นสำหรับข้าแล้วเป็นสภาพที่มีความสุขที่สุด และดีต่อร่างกาย แน่นอนว่า เป็นสภาวะที่รักพี่เย่ว์มากที่สุด แต่…”


 


 


จู่ๆ ชิวอวี้ก็หยุดลง          


 


 


“แต่อะไรหรือ”


 


 


ชิวอวี้เขยิบตัวขึ้นมา ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เคลื่อนตัวไปบนไหล่ของฉีเย่ว์ ประทับริมฝีปากลงไป


 


 


ฉีเย่ว์ถลึงตาโต


 


 


 “แต่เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความรักของเจ้า แม้ตัวตนดั้งเดิมของจ้าจะยังรักพี่เย่ว์อย่างลึกซึ้ง แต่ข้าที่เป็นเช่นนี้สามารถควบคุมตนเองได้ว่าจะละทิ้งอะไร ยอมรับอะไร ละทิ้งใคร รักใคร”


 


 


“อวี้เอ๋อร์”


 


 


ฉีเย่ว์เขยิบตัวเข้าไป จูบชิวอวี้อย่างแรง ลิ้นของทั้งคู่เกี่ยวพันตวัดไปมา ชิวอวี้ถูกจูบจนหายใจไม่ออก มือของฉีเย่ว์ปลดเข็มขัดของชิวอวี้ออก จู่ๆ ก็หยุดลง


 


 


เขาปล่อยชิวอวี้ออก ระหว่างทั้งคนนั้นยังมีใยสีเงินลากออกมาเป็นเส้น


 


 


“ทำไมถึงไม่ทำต่อ” ชิวอวี้หัวเราะ แต่กลับกอดฉีเย่ว์เอาไว้


 


 


ฉีเย่ว์เองก็กอดชิวอวี้แน่น เหมือนคิดจะหลอมรวมกับเขาเป็นร่างเดียว


 


 


“ร่างกายของเจ้า รับไม่ไหว”


 


 


“เช่นนั้นทำไมตอนแรกถึงได้ส่งข้าขึ้นเตียงพี่เย่ว์”


 


 


“ขอโทษ ข้าไม่ดีเอง”


 


 


“ฉีเย่ว์”


 


 


“หืม?”


 


 


“พาข้าไปเถิด พาข้าไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครหาพบ พาข้าลืมพี่เย่ว์ พาข้าไปรักเจ้า พาข้าไป”


 


 


“ข้าขอโทษอวี้เอ๋อร์ ข้าจะไม่บังคับให้เจ้ามารักข้า และไม่บังคับให้เจ้าลืมชิวเย่ว์ หากว่าเจ้ายังลืมเขาไม่ได้ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ให้เขาเป็นของเจ้า”


 


 


“ไม่ต้องแล้ว ก็เหมือนกับที่ชิวฉานปล่อยหลานเซียวไปเงียบๆ ในตอนนั้น ข้าเองก็ควรปล่อยไป หลายปีมานี้ เจ้าอยู่ข้างกายข้า เป็นคนเดินหมากของข้า ควบคุมทั้งใต้หล้า จุดประสงค์ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องอื่น เพียงเพื่อพี่เย่ว์เท่านั้น


 


 


ในเมื่อตัดสินจะปล่อยวาง เช่นนั้นก็ต้องทำให้จบทั้งหมด ตระกูลเยี่ยข้าจะมอบให้เชียนเยี่ยซือชิวฉือ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะร่วมมือกับชิวหลีทำเรื่องที่ไม่ได้ส่งผลดีต่อข้ามามากมาย แต่อย่างไรใจของเขาก็รักตระกูลเยี่ย


 


 


สำหรับพี่เย่ว์ เขาจะไปหาหลานเยี่ย ความทรงจำของหลานเยี่ยก็จะค่อยๆ ฟื้นฟู ถึงเวลานั้นก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้ว


 


 


หากถึงตอนนั้นข้ายังปล่อยวางไม่ลงก็ให้พาข้าออกมา จบสิ้นปัญหาทุกอย่างด้วยตนเอง จากนั้นก็ลบความทรงจำของข้า เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”


 


 


“นี่ไม่ยุติธรรมกับเจ้า”


 


 


ฉีเย่ว์เบือนหน้าหนี


 


 


“แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ยุติธรรมกับเจ้าทั้งนั้น ข้าอยากชดใช้ให้เจ้า ใช้วิธีของข้า”


 


 


“ข้าไม่อยากได้การชดใช้ของเจ้า”


 


 


“เช่นนั้นก็นอนกับข้า” ฉีเย่ว์มองชิวอวี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเช่นนี้ออกมา เห็นชิวอวี้มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ฉีเย่ว์ก็รู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว


 


 


“ไม่เชื่อข้าถึงเพียงนั้นเลยหรือ”


 


 


“ข้าเพียงไม่เชื่อตัวเองเท่านั้น”


 


 


“เช่นนั้นก็เริ่มจากเชื่อตัวเอง”


 


 


“ดี ข้าพาเจ้าไป”



ตอนที่ 123 จิ่วหลิว


 


 


จิ่วหลิวเป็นพื้นที่ที่ติดมากับอวิ๋นหรงจากเขาเทียนปี้เข้าสู่ตระกูลหลานในฐานะของหมั้นแต่งงาน แม้จะถือว่าเป็นของตระกูลหลาน แต่ตระกูลหลานก็ไม่เคยไปจัดการ


 


 


เพราะจิ่วหลิวมีพื้นที่กว้างใหญ่จนกลายเป็นอาณาเขตอิสระ อีกทั้งยังมีผู้คนมากมายหลากหลายประเภท ที่นี่มีสายตาสอดส่องอยู่ทั่วทุกบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลานก็ดี ตระกูลเยี่ยก็ดี


 


 


ที่นี่เป็นพื้นที่ซ่อนตัวที่ดีที่สุด เมื่อหลบหนีมาถึงที่นี่ก็สามารถเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างใหม่ ใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ต่อไป ที่นี่ก็เป็นแหล่งการค้าที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เพราะรองรับการเดินทางหมุนเวียนจากทั้งตระกูลหลาน ตระกูลเยี่ย เขาเทียนปี้และเมืองหลวง ทำธุรกิจการค้าไปมาคึกคักเป็นอย่างมาก


 


 


ที่นี่คิดจะหาใครสักคนนั้นลำบากเป็นอย่างมาก จะซ่อนใครสักคนกลับช่างง่ายดาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการซ่อนคนของหนึ่งในองค์กรสืบข่าวที่ใหญ่ที่สุด


 


 


หลานเฟิงมาถึงจิ่วหลิว ก่อนหน้านี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน และเพราะครั้งนั้นถึงได้บังเอิญรู้จักตัวตนของมู่หลี คิดจะตามหาหลานเยี่ยที่นี่ยังอยากกว่าขึ้นสวรรค์ ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่เขาใช้คนอื่นนอกจากตัวเองมู่หลีจะต้องรู้ในทันทีเป็นแน่ อีกทั้งขอแค่เขาอยู่ก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองหาพบ


 


 


ก่อนที่หลานเฟิงจะมานั้นได้ทำการแปลงโฉมหน้าแล้ว การแต่งกายก็เปลี่ยนด้วย กระบี่คู่กายและขลุ่ยไม้ก็ซ่อนเอาไว้ การที่เดินไปมาบนถนนเช่นนี้ต่อให้มีคนสังเกตเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาก็จะไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะนี่คือเรื่องที่มีให้เห็นเป็นปกติ


 


 


แต่หากเป็นบางคนคงจะต้องเข้ามาอัดให้น่วมเป็นแน่


 


 


“ไอยา คุณชายคนนี้ เพิ่งเคยมาที่นี่ใช่หรือไม่ เข้ามานั่งพักเท้า ดื่มชาสักอึก ฟังเพลงสักบทก่อนดีหรือไม่”


 


 


กลิ่นแป้งคลุ้งกระจายพุ่งปะทะเข้าใบหน้า หลานเฟิงขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าหอนางโลมแห่งหนึ่งอยู่ข้างตน หอบุปผาบาน ชื่อที่ไม่มีความเป็นกวีเลยแม้แต่นิด


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้หลานเฟิงก็ยังเข้าไป ชั้นหนึ่งโหวกเหวกวุ่นวาย มีคนอยู่ทุกประเภท จะเป็นสตรีอย่างไร บุรุษอย่างไรก็มีทั้งนั้น


 


 


“คุณชายท่านนี้ ท่าน?”


 


 


“ห้องชุด” หลานเฟิงโยนของสิ่งหนึ่งให้กับคนที่ปกติแล้วถูกเรียกว่าแม่ แม่คนนั้นดวงตาเป็นประกาย รีบปรี่เข้าไปรับรองในทันใด


 


 


“รีบเตรียมห้องชุดให้คุณชายห้องหนึ่งเร็วเข้า”


 


 


หลานเฟิงเข้ามาในห้องชุด หลังจากนั่งลงแล้วก็มีคนยกเหล้ามาให้กาหนึ่ง พร้อมกับอาหารรสเลิศหลากประเภท หลานเฟิงยกแก้วเหล้าขึ้น แต่ก็วางลงอีกครั้ง เหล้าในที่แบบนี้ไม่สะอาดอย่างที่คิดไว้


 


 


หลานเฟิงคิดถึงหอเมฆาคลายของอวี่มั่วขึ้นมาอีกครั้ง ที่นั่นกลับสะอาดดี


 


 


 “คุณชายท่านนี้ ท่านต้องการหญิงสาวมาอยู่เป็นเพื่อนหรือชายหนุ่ม” แม่คนนั้นขึ้นมาต้อนรับหลานเฟิงด้วยตนเอง หลานเฟิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง


 


 


“ชายหนุ่ม”


 


 


“ได้ ท่านรอเถิด”


 


 


ในเหล้าไม่สะอาด แต่ในอาหารนั้นกลับสะอาดเป็นอย่างมาก หลานเฟิงคีบกินสองสามคำรู้สึกว่าไม่เลว ประตูห้องถูกเคาะดัง หลานเฟิงส่งเสียงตอบรับ คนที่เข้ามาคือชายหนุ่มที่ตบแป้งหนา ท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง


 


 


หลานเฟิงดูแล้วรู้สึกไม่สบายใจ แต่หว่างคิ้วนั้นกลับมีความคล้ายหลานเยี่ย ยังไม่ทันรอให้ชายหนุ่มคนนั้นเปิดปาก หลานเฟิงก็ไล่เขาออกไป


 


 


“เปลี่ยนคน” ชายหนุ่มคนนั้นเดินออกไปด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น แม่ที่อยู่อีกฝั่งกลับร้อนใจขึ้นมา


 


 


“คุณชายท่านนี้ ท่านต้องการแบบไหน ข้าจะไปเรียกมาให้ท่าน”


 


 


“เป็นวิทยายุทธ์”


 


 


“ได้ ท่านรอหน่อยเถิด ข้าจะออกไปเรียกให้ท่าน รับประกันว่าท่านต้องพอใจ”


 


 


ประตูเถิดเคาะดังอีกครั้ง คนที่เข้านั้นเป็นวิชากำลังภายในจริง ท่าทางแสดงให้เห็นอยู่ ลักษณะก็แสดงให้เห็น หลานเฟิงไม่ได้หันไปมองหน้าก็พอใจเป็นอย่างมาก


 


 


เป็นวิชาวิทยายุทธ์ถึงจะรู้เรื่องมากกว่า หลานเฟิงเงยหน้าขึ้นแต่เพียงแค่คนคนนี้ดูคุ้นตามากนัด


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 124 ชิวลั่ว


 


 


หลานเฟิงตกใจอย่างหนัก เกือบจะหลุดพูดชื่อออกมา คนที่เข้ามานั้นก็คือชิวลั่ว


 


 


“คุณชายท่านนี้ ให้ข้าน้อยนั่งลงได้หรือไม่” หลานเฟิงพยักหน้าอนุญาต ชิวลั่วจึงนั่งลงไป หลานเฟิงยังนึกสงสัยว่าทำไมตอนอยู่ตระกูลเยี่ยถึงไม่พบชิวลั่ว ที่แท้ก็อยู่ที่นี่ แต่ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่


 


 


ไมได้เรียกชื่อตนเองเหมือนชายหนุ่มทั่วไป ชิวลั่วแทนตัวเองว่าข้าน้อย ดูท่าทางคงไม่ได้มารับแขกที่นี่จริงๆ หรือจะบอกว่าเพราะเห็นอีกฝ่ายร้องขอคนที่เป็นวิทยายุทธ์เลยตั้งใจพูดเช่นนี้?


 


 


“คุณชายชื่อสกุลอะไรหรือ? ข้าน้อยสกุลชิว นามพยางค์เดียวว่าลั่ว”


 


 


ชื่อที่ใช้นั้นเป็นชื่อจริง หลานเฟิงไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร


 


 


“สกุลเยี่ย นามพยางค์เดียวว่าลั่ว”


 


 


“คุณชายเยี่ยเหลียง ไม่ทราบว่ามาทำอะไรที่หอบุปผาบานหรือ”


 


 


หลานเฟิงมองเขาทีหนึ่ง


 


 


“เช่นนั้นจากที่คุณชายชิวดูแล้ว คนที่มาหอนางโลมจะมาทำอะไรได้หรือ”


 


 


“จะมีอะไรนอกจากหาความสุขใส่ตัวและลอบฟังข่าว คุณชายถือเป็นประเภทไหนหรือ”


 


 


“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”


 


 


“ชิวลั่วไม่กล้าคาดเดาไปเอง”


 


 


ชิวลั่วพูดจาเออออ ตอบรับไปมาไปกับเขา ทำให้เขาอยากหัวเราะออกมาจริงๆ เด็กกำพร้าที่เติบโตมาในตระกูลเยี่ยตั้งแต่เด็กๆ กลายเป็นคนมีอารมณ์ขันขึ้นมาหน่อยแล้ว


 


 


“หอนางโลมยังมาแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่กล้าอีก” จู่ๆ หลานเฟิงก็บีบปลายคางชิวลั่วไว้


 


 


“ไม่ใช่ว่าคุณชายอยากทำเรื่องบนเตียงกับข้าน้อยอย่างนั้นหรือ เรียกคนที่เป็นวิทยายุทธ์มา คุณชายช่างน่าสนใจเสียจริง”


 


 


“ขอแค่มีคนต้องการ เจ้าก็จะรับแขกอย่างนั้นหรือ”


 


 


จู่ๆ หลานเฟิงก็ถามขึ้น


 


 


“ต้องเป็นคนที่ข้าพอใจ”


 


 


“เช่นนั้นก็หมายความว่าข้าน้อยทำให้คุณชายชิวพอใจมากอย่างนั้นหรือ”


 


 


“พอใช้ได้”


 


 


“เช่นนั้นข้าน้อยสามารถทำเรื่องที่ควรทำได้แล้วกระมัง”


 


 


“หากคุณชายอยาก ชิวลั่วย่อมโอนอ่อน แต่ข้าน้อยชอบอยู่ข้างบนมากกว่า” รู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตจากชิวลั่ว หลานเฟิงปล่อยมือที่บีบปลายคางชิวลั่วออก


 


 


“คำพูดเช่นนี้เอาไว้พูดกับมู่หลีเถิด” หลานเฟิงพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้ชิวลั่วต้องตกใจไป มองดูหลานเฟิงที่ค่อยๆ ฉีกหน้าฉากออกมาช้าๆ ชิวลั่วก็ไม่อยู่เฉยอีกต่อไป


 


 


“หลานเฟิง? ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ นายน้อยเล่า”


 


 


“ชิวอวี้มีฉีเย่ว์คอยดูแล เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล กลับเป็นเจ้า ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”


 


 


ชิวลั่วนั่งลงด้วยความเป็นกังวล แต่กลับหลงอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ


 


 


“เพราะมู่หลี ที่เจ้ามาครั้งนี้ก็เพราะหลานเยี่ยกระมัง เขาอยู่กับมู่หลี อยู่ที่จิ่วหลิว ข้าอยู่ที่นี่จับตาดูพวกเขาอยู่ตลอด แม้มู่หลีจะรู้ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรข้า อาจเป็นเพราะรู้ว่าข้าไม่ลงมือทำอะไรเขากระมัง”


 


 


“เจ้ารู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนหรือ”


 


 


“รู้ มู่หลีไม่เคยปิดบังข้ามาก่อน”


 


 


“พาข้าไป”


 


 


“เจ้าอย่าไปเลยดีกว่า” มู่หลียกแก้วเหล้าบนโต๊ะขึ้นมาดื่มหมดในอึกเดียว หลานเฟิงหวังดีไม่เอ่ยเตือนเขาว่าเหล้าไม่สะอาด แต่ผ่านไปไม่นานเห็นว่าเขาไม่เห็นอะไร จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


“ทำไม”


 


 


“เวลาไม่ถูกต้อง ไปแล้วก็ไม่ส่งผลดีอะไรต่อตัวเจ้าและหลานเยี่ย”


 


 


“หากข้ายังจะไปเล่า”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด อย่างไรข้าก็คุมเจ้าไม่ได้ แต่อย่าเสียใจภายหลังก็พอ ข้าอยู่ที่นี่คอยดูมู่หลีอย่างเงียบๆ ทุกวัน วันไหนอารมณ์ดีก็ออกมารับแขก ได้พบคนที่คุยด้วยได้ และเคยพบคนที่ข้าเคยทำให้ตาย แต่ข้าก็ไม่เคยคิดจะไปรบกวนพวกเขามาก่อน หากพวกเขาสามารถมีความสุขได้ตลอดไป เช่นนั้นข้าก็จะเป็นแขกที่คอยดูไปตลอด ทำให้พวกเขาสมหวัง”


 


 


“เจ้าเหมือนกับฉีเย่ว์ยิ่งนัก”


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร คำที่อยากด่าข้าให้อั้นเอาไว้เถิด เรื่องที่ข้าทำเองข้ารู้ดี ให้มู่หลีไปแย่งหลานเยี่ยของเจ้า ข้าขอโทษเป็นอย่างมาก นี่คือที่อยู่ หากไปก็อย่าได้เสียใจภายหลัง” ชิวลั่วใช้นิ้วจุ่มเหล้าแล้วเขียนลงบนโต๊ะ จากนั้นก็จากไป




ตอนที่ 125 สูญเสียแต่ได้กลับมาแล้วเสียไปอีกครั้ง


 


 


ตัวหนังสือสองสามตัวที่ชิวลั่วเขียนบนโต๊ะทำให้หลานเฟิงคิดไม่ถึงนั่นคือจู๋เซียงเฉิน สถานที่ธรรมดาทั่วไป ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาได้มากกว่านั้น ธรรมดาจนไม่ก่อให้คนเกิดความสนใจ


 


 


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจในหน้าที่ ไม่เคยทำเรื่องทำราวอะไรมาก่อน ไม่มีการโฆษณาชวนเชื่อที่มากมาย เป็นร้านขายเครื่องประดับเช่นนี้


 


 


หลานเฟิงมาถึงบนตึกตรงข้ามจู๋เซียงเฉิน ก้มหน้ามองดูจู๋เซียงเฉิน เหมือนกับร้านค้าทั่วไป ด้านหน้าประตูตั้งสิงโตหินท่าทางใหญ่โตสง่างาม ตึกเล็กสองชั้น ส่วนใหญ่ถูกทาเป็นสีแดง โคมแดงสองอันแขวนอยู่บนชายคา เด็กดูแลร้านกำลังกวาดใบไม้ร่วงอยู่หน้าประตู


 


 


ร้านค้าธรรมดาทั่วไป มีคนเดินผ่านไปผ่านมา เดินเข้าไป เดินออกมา มีเครื่องประดับเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง คนที่ไม่เจอสิ่งที่ชอบ คนที่นี่ให้คำประเมินไม่ได้ดีและไม่เลว ระดับกลางๆ นั้นทำให้คนละเลยต่อการดำรงอยู่ที่สุด


 


 


หน้าต่างชั้นสองถูกปิดเอาไว้ ประตูชั้นหนึ่งเปิดอยู่ แต่ก็เห็นเพียงผู้จัดการร้านที่อยู่ข้างใน และเครื่องประดับที่วางอยู่ภายในห้องเท่านั้น แขกไม่มากไม่น้อย ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้


 


 


หลานเฟิงที่สวมใส่หน้ากากขึ้นใหม่อีกครั้งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ไม่เห็นมู่หลีและหลานเยี่ย การที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้แน่นอนว่าต้องถูกเส้นสายของมู่หลีค้นพบ แต่หลานเฟิงก็ยังคงยืนอยู่ที่นี่


 


 


หลานเฟิงเล็งเป้าไปที่หญิงสาวนางหนึ่งข้างล่าง แสดงการกระทำบางอย่างทำให้หญิงสาวคนนั้นสังเกตเห็นเขา จากนั้นก็กระดิกนิ้วเรียกให้นางเข้ามา กลิ่นแป้งชาดของหญิงสาวคนนั้นรุนแรงอย่างมาก เมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มเรียกนาง ก็รีบเดินไปหาในทันที


 


 


หลานเฟิงยัดของสิ่งหนึ่งใส่ในมือของนาง จากนั้นก็กระซิบเสียงเบากับนางสองสามประโยค หญิงสาวคนนั้นยิ้มบางๆ แล้วลงจากตึกไป


 


 


หลังจากนั้นไม่นานในจู๋เซียงเฉินก็มีเสียงทะเลาะกันดังออกมา


 


 


“เครื่องประดับในร้านเจ้าไม่มีดีกว่านี้หน่อยหรือ มีแต่เหล็กผุพัง ยังจะกล้าเอามาตั้งวางไว้ที่นี่”


 


 


“แม่นางท่านนี้ เครื่องประดับของเราที่นี่ล้วนเป็นของชั้นดี ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรไม่พอใจอย่างนั้นหรือ! ท่านพูดมา ข้าจะจัดการให้ท่านเอง” ผู้จัดการร้านออกหน้าเจรจากับหญิงสาวคนนั้น ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนั้นจะเพียงกวาดตามองเขาทีเดียวเท่านั้น


 


 


“นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ให้ผู้จัดการของพวกเจ้าออกมาคุยกับข้า”


 


 


“ข้าเป็นผู้จัดการของที่นี่ ท่านมีอะไรไม่พอใจก็พูดกับข้าเถิด”


 


 


“เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร พูดตั้งนานแล้วว่าเจ้าไม่ใช่ยังจะมาเบ่งกล้ามอะไรที่นี่อีก ถ้าไม่ไปเรียกออกมาข้าจะก่อเรื่องวุ่นวายที่จู๋เซียงเฉินของพวกเจ้าที่นี่ รอดูว่าพวกเจ้าจะจัดการอย่างไร”


 


 


“แม่นางอย่าเพิ่งโมโหไป ผู้จัดการของเราไม่รู้เรื่อง ไม่ทราบว่าเครื่องประดับร้านข้ามีอะไรทำให้แม่นางไม่พอใจอ่างนั้นหรือ” มู่หลีลงมาจากชั้นสอง ข้างๆ มีหลานเยี่ยตามมา


 


 


“ท่านเป็นผู้จัดการหรือ เครื่องประดับที่นี่ไม่ได้มีอะไรแย่ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือข้าจะสามารถแลกของกี่ชิ้นจากร้านของท่านบ้าง” หญิงสาวส่งของที่อยู่ในมือไปวางไว้ในมือมู่หลี หลังจากมู่หลีมองดูแล้วก็หัวเราะออกมา


 


 


“ของที่อยู่ในร้านทั้งหมดแล้วแต่แม่นางจะเลือกสรร”


 


 


“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” หลังจากหญิงสาวคนนั้นเลือกเครื่องประดับชั้นดีไปสองชิ้นก็เดินจากไป


 


 


“ในโลกนี้ยังมีหญิงสาวที่แสบทรวงเช่นนี้อยู่จริงๆ หญิงสาวคนนั้นให้อะไรกับเจ้า” หลานเยี่ยถามขึ้น


 


 


“ไม่มีอะไร แค่ไข่มุกเม็ดหนึ่งเท่านั้น คุณภาพชั้นดี มา ข้าใส่ให้เจ้า” มู่หลียื่นมือไปหาหลานเยี่ยนำของที่หญิงสาวคนนั้นให้เขามาสวมลงไปบนศีรษะหลานเยี่ย


 


 


“ของที่หญิงสาวสวมใส่ กลับเอามาให้ข้าใส่เสียอย่างนั้น ดูท่าทางข้าก็ต้องหาให้เจ้าใส่สักชิ้นสองชิ้นแล้ว” หลานเยี่ยเลือกปิ่นสีแดงสดขึ้นมาอย่างลวกๆ เสียบลงไปบนศีรษะมู่หลี มู่หลีหัวเราะพลางหยอกล้อทะเลาะวิวาทกับเขา แต่ก็ไม่ลืมที่จะเหลือบตาขึ้นไปมองบนตึกฝั่งตรงข้าม


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 126 รื่นเริงคือพวกเขา


 


 


ตั้งแต่วันที่หลานเฟิงได้เห็นหลานเยี่ยที่จู๋เซียงเฉินแล้วนั้นก็วางใจลง แต่ก็ต้องผิดหวังเป็นอย่างมาก ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายคำพูดของชิวลั่วแล้ว รื่นเริงคือพวกเขา


 


 


วันนี้มู่หลีพาหลานเยี่ยไปเดินเล่นรอบนอก หลานเฟิงตามพวกเขาออกไปในบริเวณไม่ห่างนัก มู่หลีสังเกตเห็นนานแล้ว แต่ไม่ได้ขัดขวางเขา หลานวันมานี้เขาได้เห็นชิวลั่วอยู่บ้าง คำนิยามที่มู่หลีมีให้เขาน่าจะคิดว่าเป็นคนที่ชิวลั่วส่งมากระมัง


 


 


มู่หลีและหลานเยี่ยขี่ม้ามาถึงฝั่งเหนือของจิ่วหลิว ตรงนั้นมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง น้ำใสสะอาดเป็นอย่างมาก มีเรือลำหนึ่งจอดรอพวกเขาอยู่นานแล้ว พวกเขาผูกมาไว้ตรงต้นไม้บริเวณใกล้ๆ ม้าเองก็กินหญ้าเขียวบนพื้นอย่างสบายอารมณ์


 


 


พวกเขาขึ้นบนเรือ บนเรือมีหลังคาบัง หลานเฟิงมองไม่เห็นว่าข้างในมีลักษณะอย่างไร พวกเขาเข้าไปครู่หนึ่งก็ออกมา ในมือมีคันเบ็ดตกปลาเพิ่มขึ้นมาสองคัน แล้วยังมีถังไม้อีกหนึ่งใบ


 


 


“นี่ มู่หลี ถามคำถามเจ้าหนึ่งคำถาม เจ้าตอบได้หรือไม่”


 


 


“แน่นอน”


 


 


“เจ้าคิดว่าพวกเราอยู่ที่นี่จะตกปลาขึ้นมาได้หรือ อย่างไรข้าก็คิดว่าไม่ได้ เจ้าดูซิว่าเรือนี่ลอยไปมา ไฉนเลยจะมีปลากล้าว่ายมาอีก”


 


 


“ข้าพูดว่ามีก็ต้องมีอย่างแน่นอน เจ้าไม่เชื่อหรือ”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ลองตกให้ข้าดูซิ”


 


 


“เจ้าดูให้ดีก็แล้วกัน”


 


 


มู่หลีวางคันเบ็ดตกปลาลง รออยู่พักหนึ่ง ตอนที่หลานเยี่ยเริ่มทนไม่ไหวแล้วนั่นเอง ปลาก็ติดเบ็ด


 


 


“เจ้าดูซิ ตกได้แล้ว” มู่หลีกวัดแกว่งปลาคาร์ฟในมือให้หลานเยี่ยดู ปลาไม่อยู่นิ่ง สะบัดน้ำใส่หลานเยี่ยเข้าเต็มๆ


 


 


“พรืด ฮ่าๆๆ”


 


 


“เจ้ายังหัวเราะอีก ปลาตัวเล็กเท่านี้ยังไม่รีบปล่อยไปอีก กินมันเข้าไปปีหน้าก็ไม่มีปลาแล้ว”


 


 


“เอาเถิดๆๆ เชื่อเจ้าทั้งนั้น” มู่หลีปล่อยปลาตัวน้อยในมือลงไป


 


 


“เสี่ยวเยี่ย ชาวบ้านมีบทเพลง ทำนองนั้นสามารถเรียกจัดการปลาใหญ่ มีชาวประมงใช้กันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเจ้าจะลองสักหน่อยหรือไม่”


 


 


“เจ้าาจะสอนข้าหรือ”


 


 


“ข้าจะเป่าครั้งหนึ่ง เจ้าค่อยทำ” หลานเยี่ยส่งขลุ่ยในมือให้มู่หลี มู่หลีเริ่มเป่าขึ้น ไม่นานปลาใหญ่สองสามตัวก็ว่ายมาอยู่ข้างเรือของพวกเขา หลานเยี่ยดีใจเป็นอย่างมาก


 


 


“ให้ข้า ข้าจะลอง”


 


 


หลานเยี่ยที่รับขลุ่ยไปก็เริ่มเป่าขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าปลาที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ ก็ว่ายเข้ามาทั้งหมด ทันใดนั้นก็รวมตัวแน่นขนัด มากมายจนนับไม่ถ้วน จนทำให้หลานเยี่ยตกใจอย่างมาก


 


 


“ทำไมถึงมีปลาเยอะขนดานี้ ทำอย่างไรดี มู่หลี” หลานเยี่ยหันไปขอความช่วยเหลือจากมู่หลี แต่กลับพบว่ามู่หลีหัวเราะอย่างหนัก


 


 


“ฮ่าๆๆ เสี่ยวเยี่ย เจ้าเป่าเร็วเกินไปแล้ว เรียกปลาทั้งหมดมาหมดแล้ว ฮ่าๆๆ”


 


 


“เจ้าหัวเราะอีกซิ” มู่หลีกลั้นหัวเราะเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่กลับกลั้นเอาไว้ไม่ไหว หัวเราะจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาแล้ว


 


 


หลานเยี่ยเป่าขลุ่ยขึ้นมาอีกครั้ว ปลาที่ตัวใหญ่หน่อยจู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมาโจมตีมู่หลีที่อยู่บนเรือ มู่หลีที่ไม่ทันป้องกันก็ถูกปลากระแทกเข้าจนตัวเซเอนเอียง พยายามที่จะป้องกันตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ


 


 


“เสี่ยวเยี่ย ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วเสี่ยวเยี่ย ปล่อยข้าไปเถิด ไม่กล้าอีกแล้ว ท่าคนใหญ่คนโตจิตใจกว้างขวาง ข้าน้อยไม่หัวเราะท่านอีกแล้ว”


 


 


หลานเยี่ยไม่ได้ฟังคำของเขา ยิ่งเป่าเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นปลาตัวเล็กตัวใหญ่ล้วนกระโดดขึ้นมาโจมตีมู่หลี ทั้งร่างมู่หลีถูกปลาล้อมรอบเอาไว้ คราวนี้ถึงตาหลานเยี่ยหัวเราะบ้างแล้ว


 


 


สุดท้ายหลานเยี่ยก็ปล่อยขลุ่ยลง มองดูมู่หลีที่หายไปในกองปลา มองเขาอย่างน่าสงสาร


 


 


หลานเฟิงมองอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าภาพเหตุการณ์เช่นนี้ถึงจะเหมาะสมกับนิสัยของหลานเยี่ยมากที่สุด ภาพตรงหน้าไม่มีความขัดแย้งแม้แต่น้อย ทำให้เขารู้สึกว่าเขาที่เป็นคนนอก


 


 


รื่นเริงคือพวกเขา ไม่เกี่ยวกับข้า


ตอนที่ 127 ไม่เกี่ยวกับข้า


 


 


สุดท้ายมู่หลีและหลานเยี่ยก็เลือกปลาที่ตัวใหญ่ที่สุดสองสามตัว ที่เหลือล้วนโยนกลับไปในแม่น้ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เรือค่อยๆ ลอยเข้ามาใกล้ตลิ่ง หาพื้นที่บริเวณโล่งกว้างเล็กน้อย


 


 


หลานเยี่ยไปเก็บฟืนมากองหนึ่ง วางไว้ตรงกลาง จากนั้นก็จุดไฟ เปลวไฟสีแดงส่องแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้าที่มืดลง


 


 


มู่หลีจัดการกับบรรดาปลาอยู่อีกข้างหนึ่ง จากนั้นก็วางพวกมันลงบนชั้นที่ทำเสร็จแล้วเพื่อปิ้งไฟ หลานเยี่ยมองดูอยู่อีกข้าง รำพึงรำพันว่าเขาทำได้ทุกอย่าง


 


 


“ทำไมเจ้าทำได้ทุกอย่างเลย”


 


 


หลานเยี่ยทำท่าทางเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความสิ้นหวัง มู่หลีเห็นหัวแล้วก็หัวเราะออกมา


 


 


“ถ้าข้าทำอะไรไม่เป็นเลย เจ้าจะกินอะไร”


 


 


“…”


 


 


ปิ้งไปแล้วครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ ได้กลิ่นหอมลอยมา ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง มู่หลีก็หยิบลงมาส่งให้หลานเยี่ย หลานเยี่ยที่อยู่อีกฝั่งน้ำลายไหลนานแล้ว


 


 


หลังจากรับมาก็กัดไปหนึ่งคำในทันที หลานเยี่ยคายออกมาในทันใด


 


 


“โอ้ ร้อนๆ”


 


 


“ใครใช้ให้เจ้ารีบกินขนาดนั้น” มู่หลีเอาปลาที่อยู่ในมือหลานเยี่ยมาเป่าให้ พลางเช็ดเศษอาหารที่อยู่บนริมฝีปากหลานเยี่ย จากนั้นก็ส่งปลาไปให้หลานเยี่ยอีกครั้ง แล้วปิ้งอีกตัวหนึ่ง


 


 


“อร่อยหรือไม่”


 


 


“อืม…เหมือนไม่มีเกลือ”


 


 


“…”


 


 


“ฮ่าๆๆ” มองดูมู่หลีที่มีท่าทางอมทุกข์ของมู่หลี หลานเยี่ยก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างคนไม่คิดอะไร


 


 


“ยังดีที่ข้าเตรียมเอาไว้ ก่อนออกมานั้นติดมาด้วยเล็กน้อย” มู่หลีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่งจากหน้าแก ข้างในนั้นห่อก้อนเกลือเอาไว้สองสามก้อน หลังจากมู่หลีตำจนแหลกแล้วก็สาดลงไปบนปลาตัวที่สอง หลานเยี่ยยังคงกินปลาตัวแรกทีละคำ


 


 


“ยังกินหรือ มิใช่ว่าไม่มีเกลือหรือ”


 


 


“ปลาที่ไม่มีเกลือก็มีรสชาติอีกแบบ”


 


 


“เช่นนั้นหรือ ข้าลองชิม”


 


 


มู่หลียื่นมือออกไปหยิบปลาในมือของหลานเยี่ย แต่กลับถูกหลานเยี่ยหลบ


 


 


หลานเยี่ยมองมู่หลีที่หัวเราะด้วยความคาดไม่ถึง ท้ายสุดก็ฉีกเนื้อปลาชิ้นยาวออกมาจากตัวปลา ฝั่งหนึ่งกัดอยู่ในปาก อีกฝั่งก็ส่งให้กับมู่หลี


 


 


มู่หลีมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ใช้ฟันกัดอย่างเชื่อฟัง เสี้ยววินาทีที่กัดเข้าไปนั้นเองมีดบินเล่มหนึ่งก็ลอยเข้ามา ตัดเนื้อปลาออกเป็นสองส่วน มู่หลีสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตนานแล้ว แต่กลับไม่ได้พูดชี้ช่อง ตอนนี้เองในมือเขาก็มีมีดบินเพิ่มขึ้นมาอีกเล่ม


 


 


หลานเยี่ยที่ลนลานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มู่หลีกลับมองมีดที่ถือเล่นอยู่ในมือด้วยความสนใจ


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง ฝีมือไม่เลวเลยใช่หรือไม่”


 


 


“พอได้แล้ว ข้ากินเอง” มู่หลีบอกว่ามีดบินเมื่อครู่นี้เป็นเขาที่โยนเอง นี่ถึงทำให้หลานเยี่ยโมโหเล็กน้อย


 


 


“โกรธหรือ” หลานเยี่ยไม่พูดจา นั่งกินปลาอย่างเย็นชา


 


 


“รสชาติของปลาเมื่อครู่นี้ไม่เลวเลย ไม่อย่างนั้นตัวต่อไปก็ไม่ทาเกลือดีหรือไม่”


 


 


หลานเยี่ยยังคงไม่สนใจเขา


 


 


“ข้าไม่ดีเอง อย่าโกรธเลย พวกเรากินปลา ดีหรือไม่”


 


 


“มู่หลี ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่ง”


 


 


“ได้ เจ้าถาม”


 


 


“ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ในความทรงจำของข้า เจ้าเป็นคนที่วางตัวเคร่งขรึมสง่างาม ไม่ยอมพูดอะไรมาก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าข้าจะหยอกเจ้าอย่างไร เจ้าก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย


 


 


ต่อให้ข้าแสดงความในใจต่อเจ้าออกไปมากกี่ครั้ง เจ้าก็ไม่เคยสนใจข้า แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่จู่ๆ เจ้าก็เปลี่ยนไป กลายเป็นกระตือรือร้น ทำให้ข้าเริ่มไม่เคยชินขึ้นมา” หลานเยี่ยหัวเราะออกมาเบาๆ สองที


 


 


“ไม่มีใครที่ไม่เปลี่ยนแปลง คนที่ไม่เปลี่ยนก็จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการไปตลอดกาล ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยน และได้เจ้ามา”


 


 


ท่ามกลางแสงไฟ ทั้งสองคนสบตาส่งยิ้มให้กัน


 


 


หลานเฟิงที่อยู่ห่างออกไปนั้นกลับใจหาย คงไม่ใช่เหมือนที่เขาคิดกระมัง เวลาไม่ถูกต้อง หรือที่พูดจะหมายถึงเช่นนี้ ทำไมถึงไม่บอกข้าตรงๆ


 


 


ในโลกของหลานเยี่ย ไม่มีหลานเฟิงโดยสิ้นเชิง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 128 ร่วมมือ


 


 


หลานเฟิงมาถึงหอบุปผาบานอีกครั้ง เมื่อแม่เล้าคนนั้นเห็นเขาทุกครั้งก็จะดีใจเป็นอย่างมาก เพราะทุกครั้งหลานเฟิงจะเอาของที่นางคิดไม่ถึงมาให้ อีกทั้งเมื่อมาก็ต้องการเพียงคนเดียว ไม่มีเรื่องอื่นอีก ดูแลง่าย


 


 


“คุณชายท่านมาแล้ว นี่จะให้ชิวลั่วไปพบท่าน ท่านไปนั่งพักดื่มชาก่อนเถิด”


 


 


แม่เล้าคนนั้นถือผ้าเช็ดหน้าแสดงท่าทีเขินอาย ทำให้หลานเฟิงรู้สึกสะอิดสะเอียน หลายครั้งแล้วก็ยังคงรับไม่ได้


 


 


หลานเฟิงมาที่นี่จนเคยชินแล้ว ชิวลั่วเองก็เคยชินที่หลานเฟิงมาหาเรื่องทำให้เขารำคาญอยู่ทุกวัน


 


 


แน่นอนว่าชิวลั่วเองก็รู้ว่าหลานเฟิงเห็นตนเองเป็นโล่กำบัง ทำให้มู่หลีคิดว่าเขาเป็นคนของตน


 


 


“ท่านช่างมีเงินเสียจริง มาที่นี่อยู่ทุกวันร่ำไป ว่าอย่างไร หลายวันมานี้ท่านก็น่าจะค้นพบแล้วกระมัง จะยอมแพ้หรือไม่” ชิวลั่วพูดเย้ยหยันหลานเฟิง


 


 


“ความทรงจำของหลานเยี่ยถูกเปลี่ยน ความทรงจำที่เกี่ยวกับข้าถูกเปลี่ยนกลายเป็นมู่หลีทั้งหมด เกรงว่าคงไม่ใช่เท่านั้นกระมัง”


 


 


“ชาติกำเนิดต้นตระกูล ชีวิตความเป็นอยู่ คนข้างกาย ล้วนถูกเปลี่ยนทั้งหมด นอกจากมู่หลี”


 


 


“ชิวอวี้ทำหรือ”


 


 


“อืม เขาใช้มุกหลิววั่ง เขาสืบเจอสิ่งมากมายที่แม้แต่คนในสามปีก่อนก็ยังไม่รู้ เจ้าสนใจหรือไม่”


 


 


“ลองพูดให้ฟังซิ”


 


 


“มุกหลิววั่งที่จริงแล้วไม่ใช่ตบะบำเพ็ญทั้งหมดของสองยอดฝีมือ เป็นเพียงก้อนหินพิเศษสองก้อนเท่านั้นเอง แต่เพราะสามารถหลอมบริสุทธิ์และติดตามวิญญาณ สามารถรองรับกระแสพลัง พลังของมุกหลิววั่งเป็นเพียงกระแสพลังของสองยอดฝีมือเท่านั้นเอง”


 


 


“สิ่งเหล่านี้เขาบอกเจ้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


“อือ”


 


 


ชิวลั่วตอบออกมาเรียบๆ ประโยคหนึ่ง


 


 


“เจ้าเชื่อเขาขนาดนั้นเชียวหรือ”


 


 


“เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกข้า”


 


 


“พวกเราร่วมมือกันสักหน่อย เจ้าได้มู่หลี ข้าได้หลานเยี่ย ว่าอย่างไร”


 


 


“ไม่ว่าอย่างไร”


 


 


น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่ง


 


 


“ใจคอกว้างขวางเช่นนี้เชียว ทำให้ความหวังของคนใต้หล้าสำเร็จลุล่วง ละเลยตนเอง”


 


 


“ไม่มีความต้องการ ก็ไม่มีซึ่งความหวัง”


 


 


“หากไม่มีสิ่งต้องการแล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”


 


 


“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายแล้วข้าถึงอยู่ที่นี่ แค่เพียงรู้สึกอยากมาก็เท่านั้นเอง”


 


 


“เจ้ารักมู่หลีหรือไม่”


 


 


“รักคืออะไร แล้วอะไรถือว่ารัก หากข้ารักเขา ข้าจะทำอะไร หากข้าไม่รักเขาแล้วจะเป็นอย่างไร”


 


 


“รักเขากฌจะอยากครอบครองเขาทุกเสี้ยววินาที ไม่อยากให้เขาห่างไกลจากตัวเอง อยากจะกักขังเขาเอาไว้ข้างกายตน อยากจุมพิตเขา กอดเขา”


 


 


“หลานเฟิง เจ้าค้นพบเรื่องหนึ่งหรือไม่”


 


 


ชิงลั่วมองหลานเฟิง แต่หลานเฟิงกลับไม่มองเขา เพียงแค่ดื่มเหล้าเท่านั้น ตั้งแต่มาครั้งที่สองเหล้าที่นี่ชิวลั่วก็เป็นคนนำมาเอง สะอาดเป็นอย่างมาก และวางใจได้ คิดว่าชิวลั่วเองก็คงจะไม่ทำอะไรกับเขาที่ดื่มเหล้ากระมัง


 


 


“เจ้า พังหมดแล้ว!”


 


 


จู่ๆ หลานเฟิงก็นิ่งไป ไม่นานก็ดื่มต่อ


 


 


“หากไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการตลอดไปนี่คือคำพูดที่มู่หลีพูดให้หลานเยี่ยฟังจากปากตนเอง


 


 


“ดังนั้นจึงยอมให้พังลง เช่นนี้ก็จะได้สิ่งที่ตนเองต้องการอย่างนั้นหรือ”


 


 


“นั่นเป็นเพียงความคิดของเจ้าเท่านั้น อีกทั้งทำไมทั้งๆ ที่รักมู่หลีแต่กลับทำเป็นไม่เข้าใจความรัก เจ้ากำลังหลอกข้าหรืออย่างอื่นกัน”


 


 


ชิงลั่วหยิบแก้วเหล้าเล่น เหมือนกำลังย้อนคิดเรื่องบางอย่าง


 


 


“ข้าสัญญากับมู่หลีไว้แล้ว หากมีวันใดที่เขาคิดอยากยอมแพ้จริง ข้าจะไปหาเขาอีกครั้ง เขาในตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด ในช่วงเวลาที่ไม่ถึงครึ่งเดือนนี้”


 


 


“หากข้าให้เขายอมแพ้ เจ้าจะถือว่าผิดสัญญาหรือไม่”


 


 


ชิวลั่วไม่พูด หลานเฟิงรู้สึกว่าเขาเริ่มใจหวั่นไหวแล้ว


 


 


“ดังนั้นช่วยข้าสักอย่าง”


 


 


“ได้”



ตอนที่ 129 พบกันอีกครั้งก็กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว


 


 


มู่หลีถูกชิวลั่วเรียกออกไป เหลือเพียงหลานเยี่ยอยู่ที่จู๋เซียงเฉินเพียงลำพัง หลานเฟิงถึงจะก้าวผ่านประตูจู๋เซียงเฉินเป็นครั้งแรก


 


 


“แขกท่านนี้ ท่านต้องการดูอะไรหรือ”


 


 


ผู้จัดการร้านเห็นมีชายหนุ่มเดินเข้ามา ก็ก้าวขึ้นไปต้อนรับ


 


 


“ดูตามอัธยาศัย เจ้าไปจัดการธุระเจ้าเถิด” ระหว่างที่พูด หลานเยี่ยก็ลงมาจากชั้นสอง อาจเป็นเพราะมู่หลีไม่อยู่จึงรู้สึกเบื่อหน่าย


 


 


“เช่นนั้นท่านก็ค่อยๆ ดูเถิด คุณชายหลาน ท่านลงมาแล้ว” เมื่อเห็นหลานเยี่ยเดินลงมา ผู้จัดการคนนั้นก็เอ่ยทักทาย


 


 


“อืม วันนี้กิจการเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


หลานเยี่ยมองเครื่องประดับที่วางอยู่ตรงนั้นไปเรื่อยเปื่อย


 


 


“เพราะท่าน ไม่เลวเลยทีเดียว”


 


 


“คุณชายท่านนี้ ขลุ่ยหักนี่คือของท่านใช่หรือไม่” หลานเยี่ยเก็บขลุ่ยหักท่อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น เอ่ยถามหลานเฟิง


 


 


“เป็นข้าน้อยเอง ขอบคุณคุณชายมาก”


 


 


หลานเฟิงรับขลุ่ยไม้ไป ขัดเอาไว้ตรงเอว


 


 


“ขลุ่ยหักยังเก็บเอาไว้ข้างกาย คิดว่าต้องเป็นของสำคัญเป็นแน่กระมัง”


 


 


“เป็นของที่คนสำคัญให้”


 


 


“ในเมื่อเป็นของสำคัญอย่างมาก เช่นนั้นก็ต้องเก็บรักษาให้ดี อย่าให้หายอีก”


 


 


“คุณชายสั่งสอนถูกแล้ว” หลานเยี่ยปฏิบัติต่อหลานเฟิงอย่างเต็มไปด้วยมารยาท หลานเฟิงเองก็ปฏิบัติตอบกลับไปเช่นเดียวกัน


 


 


“ขออนุญาตถามคุณชายว่ามาจู๋เซียงเฉินเพื่อซื้อเครื่องประดับให้ใครหรือ”


 


 


จู่ๆ หลานเยี่ยก็ถามหลานเฟินขึ้น หลานเฟิงเกิดประหม่าขึ้นมาในทันใด ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไร


 


 


“เป็นข้าน้อยที่หยาบคายเอง ไม่ควรสอบถามเรื่องส่วนตัวของคุณชาย”


 


 


“ไม่มีอะไร เครื่องประดับนี่ก็จะมอบให้คนที่สำคัญมากคนนั้น คิดว่าคนนั้นใส่แล้วจะต้องน่ามองเป็นอย่างแน่”


 


 


หลานเยี่ยเห็นหลานเฟิงหยิบเครื่องประดับบุรุษแบบหนึ่งขึ้นมา อดคิดสงสัยไม่ได้


 


 


“คนที่สำคัญมากคนนั้นเป็นคุณชายท่านหนึ่งอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ใช่แล้ว”


 


 


“มีท่านมาคัดเลือกเครื่องประดับด้วยตนเองคิดว่าท่าผู้นั้นต้องมีความสุขอย่างมากเป็นแน่”


 


 


“ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น พวกเราตอนนี้ แปลกหน้าห่างเหินกัน ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เชยชมพระจันทร์เต็มดวงด้วยกัน บรรเลงทำนองเพลงด้วยกันอีกหรือไม่” หลานเฟิงมองหลานเยี่ยนิ่ง


 


 


ทั้งสองคนสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ หลานเยี่ยก็ยิ้มพลางพูดว่า “ได้เป็นแน่ ต้องมีความสุขอีกครั้งเป็นแน่”


 


 


“ขอให้เป็นตามคำมงคลของท่าน ข้าน้อยรู้สึกพูดคุยเข้ากันกับคุณชายเป็นอย่างมาก คุณชายจะไปนั่งพักที่ที่พักของข้าหรือไม่ พวกเราจะได้พูดคุยอย่างเต็มที่ได้ต่อ”


 


 


“คุณชายมาถึงจู่เซียงเฉิน แต่เดิมควรเป็นข้าน้อยที่รับรองท่าน แต่กลับไปรบกวนจวนท่าน ไม่สมกับมารยาทเสียจริง”


 


 


“ไม่มีอะไรต้องกังวล ในบ้านมีข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น มีคนไปก็ทำให้ดูไม่เงียบเหงา”


 


 


“เช่นนั้นทำตามมารยาทก็ไม่สู้เชื่อฟังแล้ว”


 


 


หลังจากหลานเยี่ยพูดคุยฝากวานกับผู้จัดการสองสามประโยคแล้วนั้นก็เดินตามหลานเฟิงไป การพบกันที่จู๋เซียงเฉินครั้งนี้ก็เหมือนกับพบกันครั้งแรก แปลกหน้าเหมือนกับคนไม่รู้จักกัน


 


 


ตอนที่หลานเฟิงมาจิ่วหลิวก็ได้สร้างที่พักอยู่หลังหนึ่ง เรื่องเงินแน่นอนว่าชิวลั่วเป็นคนออก พูดให้ดูสวยงามก็คือไม่อยากเห็นสภาพน่าเวทนาของเขาที่ต้องรอนแรมอยู่บนถนน อย่างน้อยตอนเป็นเด็กก็เคยใช้ชีวิตด้วยกันมา


 


 


แน่นอนว่าหลานเฟิงไม่ปฏิเสธ ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงต้องการเงินพอดี


 


 


ตำแหน่งของบ้านพักนั้นอยู่รอบนอกของถนนที่เจริญรุ่งเรือง สภาพแวดล้อมรอบข้างสบายเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเหมือนดินแดนในอุดมคติ


 


 


“อิ้งฮวาเว่ย ชื่อดี พูดขึ้นมาก็ยังไม่ได้ถามชื่อคุณชายเลย! ข้าน้อยนามว่าหลานเยี่ย”


 


 


“เยี่ยเหลียง”


 


 


“จะว่าไปในชื่อของพวกเราก็มีคำว่าเยี่ยทั้งนั้น! ช่างบังเอิญนัก”


 


 


“เช่นนั้นคุณชายก็คงบังเอิญกับคนที่สกุลเยี่ยทั่วใต้หล้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


“เท่าที่ข้าทราบ ในแผ่นดินนี้ยังไม่เคยได้ยินคนสกุลเยี่ยมาก่อน คุณชายเป็นคนแรก” หลานเยี่ยมองหลายเฟิงพลางพูดออกมา หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้เขามองตัวเอง


 


 


“คุณชายเยี่ยไม่ใช่ว่าจะพาข้าเข้ามาคุยอย่างละเอียดหรอกหรือ ทำไมถึงให้ข้าอยู่หน้าประตู ไม่ใช่ว่าเสียใจภายหลังอย่างนั้นหรือ” หลานเยี่ยพูดเย้าหยอก


 


 


“ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว เชิญคุณชาย”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 130 ความรู้สึกของท่านช่างคุ้นเคย


 


 


ที่ทำให้หลานเยี่ยคิดไม่ถึงก็คือภายในอิ้งฮวาเว่ยมีเพียงสามห้อง นอกเหนือจากนั้นล้วนเป็นสวน อีกทั้งภายในสวนล้วนเต็มไปด้วยดอกไม้ แม้แต่บนห้องก็มีดอกที่บานออกของต้นดาวนายร้อยพาดผ่านอยู่เต็มไปหมด ทางเดินเล็กตรงไปยังพื้นที่โล่งตรงกลาง


 


 


“สวยจังเลย นี่คุณชายจัดการดูแลเองอย่างนั้นหรือ”


 


 


“อืม ตอนนั้นก็เพราะถูกใจที่โล่งผืนใหญ่แห่งนี้ถึงได้สร้างรากฐานที่นี่ จัดการดูแลอยู่ทุกวัน สุดท้ายก็เป็นพื้นที่โล่งนี้ เพียงเพราะคนคนนั้นเป็นคนที่รักดอกไม้”


 


 


“ได้ยินคุณชายพูดเช่นนี้ข้าเริ่มอิจฉาคนนั้นเสียแล้ว คนคนนั้นช่างมีความสุขเสียจริง”


 


 


“คุณชายหลานมีคนที่รักหรือไม่”


 


 


จู่ๆ หลานเฟิงก็ถามขึ้น หลานเยี่ยกลับหัวเราะออกมา


 


 


“คนนั่นของข้าหรือ ซุกซนเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงก็ได้ พอพูดถึงแล้วก็มีแต่จะทำให้ข้าปวดหัว”


 


 


“ดูท่าทางคุณชายคนนั้นก็เป็นคนที่มีความสุขเช่นเดียวกัน” หลานเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น แต่การหัวเราะนี้กลับทำให้หลานเฟิงเจ็บปวดหัวใจ


 


 


“คุณชายรออยู่ที่นี่ชั่วครู่ ข้าไปหยิบของ”


 


 


หลานเฟิงเข้าไปในห้อง หยิบพรมผืนใหญ่และเหล้าหนึ่งกากับแก้วสองใบออกมา เดินตามทางเดินเล็กมาจนถึงลานกว้างนั่น นำพรมไปปูเอาไว้จนเสร็จสรรพก็วางกาเหล้าและแก้วเหล้าไว้บนนั้น แล้วจึงเรียกให้หลานเยี่ยเข้ามา


 


 


“นั่งอยู่ตรงกลางนี่จะถูกกลิ่นหอมของดอกไม้รายล้อมไว้ ทำให้เกิดความรู้สึกเมาก่อนจะได้ดื่มขึ้นมา ข้าน้อยเองก็ถือเป็นคนรักดอกไม้ ไม่ทราบว่าคนที่คุณชายพูดถึงตอนนี้อยู่ที่ใด”


 


 


“ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบ ครั้งนี้มาก็เพื่อตามหาเขา”


 


 


“ตามหาพบแล้วหรือยัง”


 


 


“พบแล้ว”


 


 


“เช่นนั้น…”


 


 


หลานเยี่ยอยากถามว่าทำไมเขาถึงไม่ไปหาคนคนนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มพูดจากอะไร


 


 


“แต่เขาลืมข้าไปนานแล้ว”


 


 


“หากเป็นคนที่อยู่ในใจจะลืมเลือนได้อย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน”


 


 


“ไม่ใช่ความผิดของเขา เป็นข้าที่ไม่เคยมีความกล้าในการแสดงความในใจต่อเขา ทำให้เขาที่พบเจอความผิดหวังหลากหลายครั้งต้องผิดหวังอย่างสิ้นเชิงต่อข้า”


 


 


นับตั้งแต่นั้นหลานเยี่ยก็ไม่พูดอะไรอีก หลานเฟิงรินเหล้าให้พวกเขาสองคน ทั้งสองคนนั่งดื่มกันเงียบๆ


 


 


“คุณชายท่าน” หลานเยี่ยทำลายความเงียบก่อน “ท่านให้ความรู้สึกอันคุ้นเคยต่อข้ายิ่งนัก เหมือนกับเป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานหลายปี”


 


 


บางทีชาติที่แล้วของพวกเราอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้!”


 


 


“ฮ่าๆ คุณชายท่านเชื่อเรื่องชาติที่แล้วด้วยหรือ ชาติที่แล้วชีวิตนี้”


 


 


“เทียบกับไม่เชื่อ ข้ายินยอมที่จะเชื่อมากกว่า”


 


 


“ทำไมหรือ”


 


 


“ทำไมคุณชายถึงไม่พูดเรื่องตนเองกับข้าน้อย” หลานเฟิงไม่ได้ตอบเขา แต่ถามอีกคำถามหนึ่งออกมา


 


 


“คุณชายสนใจข้าน้อยเช่นนี้เชียวหรือ”


 


 


“เพียงแค่รู้สึกว่าคุณชายควรค่าแก่การคบเป็นสหายก็เท่านั้น”


 


 


“คุณชายคิดว่าข้าน้อยมีสถานะตัวตนเช่นไร เป็นเพียงเจ้าของร้านเครื่องประดับเท่านั้นหรือ” หลานเยี่ยถามเขา หลานเฟิงไม่ตอบ


 


 


“หากคุณชายสนใจถึงเพียงนั้น เช่นนั้นข้าน้อยก็จะเล่าเรื่องครึ่งชีวิตที่ไม่ได้มีอะไรโลดโผนของข้าให้ท่านฟัง”


 


 


“ข้าเป็นลูกชายของผู้นำราชวงศ์ จากความคิดของข้านี่ไม่ได้เป็นสถานะที่ควรค่าแก่การอวดอ้าง มารดานั้นจากไปตอนให้กำเนิดข้า แม้บิดาจะแต่งงานใหม่แต่ก็ปฏิบัติกับข้าเป็นอย่างดี ในบ้านมีเพียงข้าเท่านั้น พระอาทิตย์ขึ้นลงอยู่ทุกวัน การใช้ชีวิตนั้นสบายใจเป็นอย่างมาก


 


 


มู่หลีเป็นองครักษ์ข้างกายของข้า โตมากับข้าตั้งแต่เด็ก เขาเคยเป็นนายน้อยตระกูลเยี่ยมาก่อน หลังจากถูกลุงหักหลังหนีออกมาก็ถูกพ่อของข้าช่วยไว้ ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านพ่อที่อยู่ในราชวงศ์ที่ถูกตระกูลเยี่ยควบคุมไว้ถึงกล้าช่วยคนเช่นนี้ แต่นับจากนั้นมาเขาก็กลายเป็นองครักษ์ของข้า


 


 


เพราะเขาเป็นคนตระกูลเยี่ย มีกระแสพลังป้องกันตน ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีทางเชื่อมต่อกับกระแสพลัง คุณชายเองก็ทราบกระมัง ในโลกนี้คนตระกูลหลาน ตระกูลเยี่ยและเขาเทียนปี้สามารถฝึกกระแสพลังได้ มีเพียงคนเมืองหลวงเท่านั้นที่ไม่อาจ”


 


 


หลานเยี่ยหยุดไปครู่หนึ่ง หลานเฟิงรินเหล้าให้เขาอีกแก้ว



ตอนที่ 131 ความทรงจำอันลวงตา


 


 


“ในความทรงจำเขาเป็นคนไม่ค่อยยิ้มแย้มพูดจา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหรที่ข้าเริ่มสนใจเขาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสุดท้ายก็ควบคุมตนเองไม่ได้ มาพูดเรื่องเช่นนี้กับเจ้าก็ลำบากใจอยู่เล็กน้อย


 


 


ข้าบอกใบ้เขาอยู่หลายคราแต่เขาก็มักจะมีใบหน้าเย็นชาอยู่เสมอทำให้ข้ามองไม่ออก มีบางครั้งที่ข้ามั่นใจรับรู้อย่างแน่ชัดว่าเขาก็รักข้า แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้เย็นชากับข้าถึงเพียงนี้ หรือว่าพวกเราจะเป็นเพียงนายบ่าวโดยบริสุทธิ์ใจอย่างนั้นหรือ ข้าไม่รู้เลยจริงๆ


 


 


ราชวงศ์ถูกตระกูลเยี่ยควบคุม การกระทำทุกอย่างของฮ่องเต้ก็ได้รับความทรมาน การที่พ่อเป็นผู้นำแคว้นทุกวันหลังจากว่าราชการแล้วก็มีใบหน้าอมทุกข์อยู่เสมอ ข้ากลับไม่สามารถช่วยอะไรได้ ตระกูลเยี่ยยิ่งใหญ่เกินไป ขอแค่เขาเอ่ยปากราชวงศ์ก็ถูกกำจัดได้ทุกเมื่อ


 


 


นายหญิงแห่งวังหลังของราชวงศ์ล้วนเป็นสตรีจากตระกูลเยี่ย หากคิดจะหนีหลุดพ้นจากสถานการณ์ถูกบังคับก็ทำได้เพียงล้มตระกูลเยี่ยเท่านั้น แต่นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลายพันปีมานี้ไม่เคยมีใครทำเช่นนั้นมาก่อน


 


 


แต่ข้ายังอายุน้อยบ้าคลั่ง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง วาดฝันคิดกำจัดตระกูลเยี่ย ข้าถ่ายทอดความคิดนี้ให้มู่หลีรู้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เขาบอกว่าเขาช่วยข้าได้


 


 


จากนั้นเขาก็จากเมืองหลวงไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในช่วงเวลานี้ได้ยินว่าเขาเทียนปี้ถูกตระกูลเยี่ยเผาทำลาย กำลังเพลิงลูกใหญ่เผาเขาเทียนปี้วอดวายจนเปลี่ยนแปลงเป็นอีกโฉมหนึ่ง เขาเทียนปี้เหลือเพียงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนเดียวเท่านั้น


 


 


ข้ารู้ว่านั่นเป็นเพราะเขาเทียนปี้ไร้ความสามารถ มู่หลีกลับบอกเหตุผลที่แฝงอยู่ให้ข้าฟัง ทำให้ข้าเองก็สงสารเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และนายน้อยตระกูลหลานนั่น หลังจากที่มู่หลีกลับมาแล้วก็บอกว่าตัวเองนั้นครอบครองข่าวสารส่วนใหญ่ ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลแล้ว


 


 


แต่ในเวลานี้ตระกูลเยี่ยกลับเพิ่มแรงควบคุมที่มีต่อราชวงศ์ พ่อข้าเผชิญรับความทรมาน ไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจทำได้ ได้ยินว่านายน้อยตระกูลเยี่ยก็ไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งใด ตระกูลเยี่ยถูกมอบให้กับชิวฉือเชียนเยี่ยซือแห่งตระกูลเยี่ยเป็นคนดูแล


 


 


ได้ยินมานานแล้วว่าพื้นที่จิ่วหลิวมีการค้าที่รุ่งเรือง ผู้คนทุกรูปแบบล้วนมีทั้งนั้นข้าจึงให้มู่หลีพาข้ามา มู่หลีเองก็บอกว่าเขามีร้านค้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่รู้ว่าช่วงระยะเวลาที่มู่หลีจากไปนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้


 


 


ระหว่างทางที่มาจิ่วหลิวพวกเราโดนคนไล่ฆ่า ศัตรูมากมายเกินไป ข้าถูกคนเลวลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เพื่อที่จะช่วยข้ามู่หลีนั้นเหมือนบ้าไปแล้ว ครั้งนั้นเขาเกือบจะลุ่มหลงไปในทางมาร


 


 


หลังจากมาถึงจิ่วหลิวแล้วไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มู่หลีก็เหมือนกลายเป็นคนละคน ไม่เพียงยอมรับการเสนอตัวสารภาพของจ้า นิสัยเองก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน เขาที่แต่ไม่ค่อยยิ้มแย้มพูดจาก็กลายเป็นมีชีวิตชีวาอย่างมาก กับข้าก็เริ่มออดอ้อนเอาใจแบบต่างๆ นานา ทุกวันนั้นเหมือนกับข้ากล่อมเขาเสียอย่างนั้น วันเวลาที่มาถึงจิ่วหลิวก็มีความสุขอย่างมาก เขาจะพาข้าไปเดินเที่ยวทุกวัน แม้ว่าจะมีเวลาที่มีคนเข้ามาพูดอะไรกับเขา แต่ข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก และไม่เคยถามมาก่อน


 


 


ตอนนี้ที่จริงข้าคิดว่าชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ก็เหมือนจะไม่เลว ต่อให้ต้องเป็นเช่นนี้ไปตลอดก็ไม่มีอะไรแย่ แต่เพียงลำบากท่านพ่อของข้าที่จิตใจตั้งมั่นจงรักภักดีต่อราชวงศ์ก็เท่านั้น


 


 


ข้าพูดความคิดของตนเองให้เขาฟัง เขาบอกข้าว่าเพียงแค่ข้าคิดทำเช่นนี้ เขาก็จะทำเช่นนี้ เป็นเช่นนี้ต่อไปตราบจนตอนนี้ ข้าพูดหมดแล้ว ไม่ได้มีเรื่องราวซับซ้อนอะไร ชีวิตทที่เรียบง่ายเท่านั้นเอง แต่ก็มีความสุข”


 


 


ประโยคที่ว่าก็มีความสุขนั้นเสียดแทงเข้าไปในใจของหลานเฟิงจนเจ็บปวดอย่างมาก หากนึกถึงเรื่องทุกอย่างได้หลานเยี่ยจะกลายเป็นเจ็บปวดหรือไม่ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปหลานเยี่ยจะมีความสุขไปตลอดอย่างนั้นหรือ มีชีวิตอยู่ในความทรงจำอันลวงตา ใช้ชีวิตเพื่อสิ่งของที่ไม่ได้เป็นของตน คนที่ใส่ใจตนเองกลับเหมือนถูกสลัดทิ้งไปทีละอย่าง


 


 


“หลานเยี่ย…”


 


 


“หืม?” ได้ยินเสียงที่แปลกไปของหลานเฟิง หลานเยี่ยก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 132 บรรเลงทำนองเพื่อเจ้า


 


 


“ข้าสามารถบรรเลงบทเพลงให้เจ้าบทหนึ่งได้หรือไม่ ถือว่าเห็นเจ้าเป็นเขา” หลานเฟิงน้ำเสียงแหบแห้ง ทำให้หลานเยี่ยอึ้งตะลึงไป หลังจากนั้นไม่นานก็ยิ้มพลางส่งขลุ่ยหยกให้เขา


 


 


เจ้ายังคงชอบยิ้มเหมือนเดิม


 


 


หลานเฟิงรับขลุ่ยหยกไป ค่อยๆ เป่าขึ้นมา เสียงขลุ่ยที่คุ้นเคยเริ่มดังขึ้น รอยยิ้มของหลานเยี่ยยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ บทเพลงบทหนึ่งจบลงไปหลานเยี่ยกลับมีสีหน้ามืดคล้ำ


 


 


“บทเพลงนี้นอกจากมู่หลีแล้ว ข้าน่าจะไม่เคยเป่าให้ใครได้ยินมาก่อน เจ้ารู้มาจากที่ใด เส้นสายในจิ่วหลิวมีมากมายนัก เจ้าถือเป็นฝ่ายไหน ทำไมทั้งๆ ที่รู้เรื่องราวของข้าอยู่แล้วยังจะต้องให้ข้าพูดเองอีกครั้งหนึ่ง” หลานเยี่ยจับตามองหลานเฟิงนิ่ง เหมือนกับผิดหวัง เหมือนกับมีความแค้นความอาฆาตที่ลึกล้ำ เหมือนกับไม่เชื่อใจเป็นอย่างมาก


 


 


หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร เป่าขลุ่ยต่อไป เสียงของขลุ่ยเปลี่ยนแปลง แต่ตอนที่กำลังเป่าถึงจุดสำคัญข้างนอกก็มีเสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นมา


 


 


หลานเฟิงลุกขึ้นพลางเดินไปดูข้างนอก หลานเยี่ยตามมาด้านหลัง นอกจากอิ้งฮวาเว่ยแล้ว ตรงกำแพงสวนก็พบคนสองคนนอนอยู่ตรงนั้น


 


 


“จิ่วหลิวมีสายลับอยู่ทั่วพื้นที่ พวกเขาใช่ แต่ข้าไม่ใช่ พวกเขาคนหนึ่งเป็นคนที่มู่หลีส่งมาคุ้มครองเจ้า อีกคนเป็นคนที่ตระกูลเยี่ยส่งมาจับตาดูข้าและเจ้า บทเพลงที่สองเมื่อครู่นี้ก็เพื่อจะทำให้พวกเขาล้มลง”


 


 


“จะให้ข้าเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร”


 


 


“เช่นนั้นหลังจากนี้คุณชายจะทำตามที่ข้าบอกได้หรือไม่”


 


 


“ข้าต้องการเหตุผลที่เชื่อถือได้”


 


 


“ข้าจะให้ท่าน”


 


 


ทั้งสองคนกลับมาที่เดิมที่เคยนั่ง หลานเฟิงให้หลานเยี่ยนั่งลง หลานเยี่ยก็ทำตาม


 


 


“ตอนนี้ให้หลับตาลง รวบรวมสมาธิ ค่อยสัมผัสถึงไข่มุกเม็ดหนึ่งที่อยู่ในหัวใจ รอบข้างมันมีกระแสพลังสีฟ้าล้อมรอบ ตอนนี้เขาเชื่อฟังคำเจ้า ดึงดูดเขาขึ้นมา ค่อยๆ นำกระแสพลังออกมาตามชีพจร คิดจินตนาการว่ามันบำรุงร่างกายของเจ้า ผ่านข้อศอก ค่อยๆ รวบรวมไปที่มือของเจ้า”


 


 


หลานเฟิงพูดช้าๆ หลานเยี่ยทำตาม


 


 


“ลืมตาเถิด ดูบนมือของเจ้า”


 


 


หลานเยี่ยลืมตาขึ้นมา พบว่าบนมือนั้นมีกระแสพลังสีฟ้าอยู่กลุ่มหนึ่ง เขาไม่คิดเชื่อ ตนเองจะมีกระแสพลังได้อย่างไร


 


 


“ทำไมข้าถึงมีกระแสพลัง” หลานเยี่ยมองหลานเฟิงด้วยความสงสัย หลานเฟิงขับพลังเล็กน้อยมาไว้บนมือ


 


 


“พลังของข้าเป็นสีม่วง ดังนั้นจึงไม่ใช่ข้าทำการตุกติก อีกทั้งร่างกายคนเมืองหลวงเองก็ไม่มีทางที่จะรองรับกระแสพลังได้ กระแสพลังนี่สามารถพูดได้ว่าเป็นของตัวเจ้าเอง และพูดได้ว่าเป็นของมุกหลิว”


 


 


“มุกหลิว? มุกหลิววั่งอย่างนั้นหรือ นั่นไม่ได้อยู่ที่นายน้อยตระกูลหลานอย่างนั้นหรือ”


 


 


“เจ้าคือนายน้อยตระกูลหลาน”


 


 


“ล้อเล่นอะไรกัน ข้าเป็นลูกชายของผู้นำเมืองหลวง จะเป็นนายน้อยตระกูลหลานได้อย่างไร”


 


 


“กระแสพลังแต่เดิมของเจ้าถูกกักไว้ ทำให้ร่างกายของเจ้าไม่อาจสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของมุกหลิว ทำให้ข้าสัมผัสไม่ได้ไปด้วย วันนี้ข้าจะสอนเจ้าดึงกระแสพลังใหม่อีกครั้ง กระแสพลังเหล่านี้เป็นของมุกหลิว ไม่ใช่ของตัวเจ้าเอง หากเจ้าไม่เชื่อก็ดูซะ”


 


 


พูดไปพลางหลานเฟิงก็ขับมุกวั่งออกมาจากหัวใจ กระแสพลังสีม่วงที่ล้อมรอบอยู่นั้นรวมตัวเข้าหากัน จากนั้นก็เรียกมุกหลิวออกมาจากหัวใจของหลานเยี่ย ไข่มุกทั้งสองเม็ดประสานสอดแสงเข้าหากันทำให้หลานเยี่ยไม่กล้าเชื่อ


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าจะบอกข้าว่าความทรงจำเกือบยี่สิบปีของข้าเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ หรือว่า…”


 


 


“หากความทรงจำอันแท้จริงของเจ้าพังยับเยิน เจ็บปวดไม่น่ามองเจ้าจะรับได้หรือไม่ หรือจะเป็นเช่นนี้ต่อไป มีชีวิตอยู่ในคำโกหกที่มู่หลีสร้างขึ้นมาเพื่อเจ้า หากแต่เดิมยังมีคนที่คอยเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร” ตอนนี้หลานเยี่ยสับสนอย่างมาก ไม่รู้จะตอบเช่นไร และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองคิดอย่างไรกันแน่


 


 


“หลังจากนี้ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง อย่าพูดขัดข้าขึ้นมาระหว่างที่ข้าเล่าได้หรือไม่” หลานเฟิงพูดขอร้องหลานเยี่ย หลานเยี่ยนิ่งเงียบยอมรับ



ตอนที่ 133 ไม่กล้าหวนหลับไปคิดถึงอดีต


 


 


“เรื่องราวสามารถย้อนกลับไปเมื่อสองพันปีก่อนหน้านี้ มีผู้บำเพ็ญตบะสูงส่งสองคนได้บังเอิญครอบครองก้อนหินที่สามารถเชื่อมต่อวิญญาณได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็พบว่าหินก้อนนี้สามารถกักเก็บกระแสพลังของมนุษย์ แล้วยังสามารถเก็บดวงวิญญาณมนุษย์ได้ด้วย


 


 


พวกเขาคิดจะใช้วิธีนี้ในการเอาวิญญาณของตนเองไปบรรจุไว้ภายใน ดังนั้นจึงทำเป็นไข่มุกสองเม็ด ชื่อว่ามุกหลิววั่ง หากหลังจากนั้นพวกเขาพบว่าการเป็นอมตะช่างน่าเบื่อเกินไป จึงใส่เพียงตบะบำเพ็ญทั้งหมดที่มีลงในมุกหลิววั่ง เก็บไว้ให้คนรุ่นหลัง


 


 


แล้วตนเองกลับลาโลกไปยังแดนสุขาวดี


 


 


หนึ่งพันปีก่อนหน้านี้หลานเซียวประมุขตระกูลหลาน คิดจะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงหลอกใช้ชิวจือเว่ยประมุขตระกูลเยี่ยที่หลงรักเขาอย่างลึกล้ำ ชิวจือเว่ยช่วยเขาบุกราชวงศ์ ช่วยเขาตีเขาเทียนปี้


 


 


ในตอนนั้นเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทำให้หลานเซียวเกิดสั่นคลอน แต่เดิมเขาไม่อยากฆ่าชิวจือเว่ยให้ตายในตอนสุดท้าย แต่เพราะด้วยความไม่ตั้งใจ ไปๆ มาๆ เขาก็ใช้วิชาต้องห้ามหล่อหลอมศพที่มีชีวิตขึ้นมาตนหนึ่ง


 


 


ชิวจือเว่ยเริ่มฆ่าสังหารคนภายในเขาเทียนปี้ แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่ยุ่งคือหลานเซียว เมื่อคนตระกูลหลานเร่งเดินทางมากถึงก็ผนึกพวกเขาเอาไว้ในมุกหลิววั่ง รอจนวิญญาณของชิวจือเว่ยได้รับการขัดเกลาจนสะอาดแล้วถึงจะสามารถปลดผนึกออกมาใหม่อีกครั้งได้


 


 


มุกหลิววั่งร่อนเร่มานานแรมตราบจนวันนี้ในเวลาพันปีให้หลัง ตอนนั้นมีจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางท่านหนึ่งที่คอยดูแลมุกหลิววั่งจนถึงตอนนี้ หลังจากผนึกของชิวจือเว่ยถูกปลดออก นายท่านผู้นั้นก็ปล่อยให้มุกหลิววั่งร่อนเร่อยู่ข้างนอก ให้พวกเขาคลายเคราะห์กรรมเมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ เคราะห์กรรมระหว่างสองตระกูล


 


 


หลังจากนั้นมุกหลิววั่งก็เลือกหลานเยี่ยนายน้อยตระกูลหลานและชิวเย่ว์นายน้อยตระกูลเยี่ยเป็นนาย เหมือนกับสวรรค์ลิขิตไว้ เคราะห์กรรมกลับมาตกอยู่ในคนสองตระกูลอีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นชิวหลีน้องชายประมุขตระกูลเยี่ยเกิดสติเลอะเลือนเสมือนผีเข้าสิง ใจคิดอยากครอบครองมุกหลิววั่งรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง จึงฆ่าท่านประมุข จากนั้นก็จับหลานเยี่ยและชิวเย่ว์เอาไว้ บังคับให้พวกเขามอบมุกหลิววั่งออกมา


 


 


แม้ชิวเย่ว์จะรู้ว่ามุกหลิววั่งคืออะไร แต่กลับใช้งานไม่เป็น อีกทั้งเขายังตกอยู่ในภวังค์ความเจ็บปวดและเคียดแค้นจากการที่บิดามารดาโดนฆ่า ส่วนหลานเยี่ยนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามุกหลิววั่งคืออะไร


 


 


พวกเขาถูกจับอยู่ในคุกห้องเดียวกัน ถูกทรมานเหมือนไม่ใช่มนุษย์อยู่ทุกวัน เวลาผ่านไปนานเข้าชิวหลีก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่เห็นผล จึงคิดจะควักหัวใจของเขานำเอามุกหลิววั่งออกมา ชิวเย่ว์รับคมมีดแทนหลานเยี่ยไปทีหนึ่ง จากนั้นหลานเยี่ยก็ระเบิดออกมา


 


 


หลานเยี่ยนั้นเป็นลูกชายของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เขาเทียนปี้ ในร่างกายนั้นมีพลังวิญญาณของทางมารดาและพลังวิญญาณของมุกหลิววั่งอยู่ด้วยกัน หากระเบิดออกมาย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กเป็นแน่ เขาช่วยชิวเย่ว์เอาไว้ ฆ่าผู้คนมากมาย ในที่สุดก็กลับมายังตระกูลหลาน


 


 


ประมุขตระกูลหลานและฮูหยินใช้ตบะบำเพ็ญไปกว่าครึ่งถึงจะควบคุมหลานเยี่ยไว้ได้ ส่วนชิวเย่ว์ที่ได้สติขึ้นมาหลังจากนั้นก็ไม่มีสติสัมปชัญญะ เหมือนกับร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่ง หลานเยี่ยจึงคอยอยู่พูดคุยกับเขาทุกวันถึงทำให้เขามีความทรงจำและได้สติความคิดขึ้นมา


 


 


ชิวเย่ว์ที่ตื่นขึ้นมาได้พูดขอบคุณกับหลานเยี่ย เพราะถูกกดดันมานานและไร้ซึ่งความหวังทำให้หลานเยี่ยเกิดระเบิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ประมุขตระกูลหลานไม่มีวิธีรับมือเลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงแค่ให้ชิวเย่ว์เปิดทางเชื่อมระหว่างมุกหลิววั่งให้เชื่อมต่อกัน ควบคุมหลานเยี่ยเอาไว้ผ่านความมุ่งมั่นของชิวเย่ว์


 


 


ชิวเย่ว์ทำตาม ต่อให้หลังจากนั้นความเป็นความตายของพวกเขาต้องขึ้นอยู่ด้วยกัน ต่อให้ความทรงจำของหลานเยี่ยจะถูกปิดผนึกไปด้วย ต่อให้ความทรงจำหลังตื่นขึ้นมาของหลานเยี่ยต้องเปลี่ยนไปทั้งหมด ชิวเย่ว์กลายเป็นองครักษ์ของเขา เป็นองครักษ์ที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก


 


 


วันเวลาหลังจากนั้นกลับเงียบสงบเปี่ยมด้วยความสุข เมื่อหลานเยี่ยสบโอกาสก็จะลากชิวเย่ว์แอบหนีจากตระกูลหลานไปเล่นสนุกที่เมืองหลวง มีครั้งหนึ่งจู่ๆ หลานเยี่ยก็เกิดความคิดประหลาด คิดจะสร้างองค์กรของตนเองแห่งหนึ่งเอาไว้ในเมืองหลวง นามว่าหล่านเย่ว์ (จันทร์เสี้ยว) สัญลักษณ์แสดงตัวตนเป็นป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งและจี้คอพระจันทร์เสี้ยว”​ เมื่อหลานเฟิงพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองที่คอของหลานเยี่ยทีหนึ่ง ตรงนั้นยังมีจี้หล่านเย่ว์ห้อยอยู่


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 134 ความละอายใจของข้า


 


 


“แต่หลานเยี่ยก็ถูกประมุขตระกูลหลานจับตัวกลับไป ไม่ได้กินไม่ได้ดื่ม ทั้งยังถูกผนึกพลังขังอยู่เจ็ดวัน ในช่วงเวลานั้นชิวเย่ว์อยู่ข้างเขาตลอด เป่าขลุ่ยให้เขาฟัง พูดคุยกับเขา หลังจากนั้นชิวเย่ว์ก็ค่อยๆ เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เย็นชาจนถึงขั้นที่หลานเยี่ยพูดจาหยอกเย้าเขา


 


 


หลานเยี่ยและชิวเย่ว์หนีออกจากตระกูลหลานอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้เกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้น ทำให้ความทรงจำของหลานเยี่ยที่ถูกผนึกจำต้องปลดออกอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยความสับสนจำนนใจอย่างยวดยิ่งชิวเย่ว์จำต้องปลดผนึกให้หลานเยี่ย ไม่มีการปะทุพลังเกิดขึ้น หลานเยี่ยสามารถยอมรับเรื่องราวในอดีตช่วงนั้นได้แล้ว


 


 


แต่เดิมพวกเขาสามารถใช้ชีวิตปกติธรรมดาต่อไปได้ แต่ตระกูลหลานส่งข่าวมาว่าหลานชิงประมุขตระกูลหลานถูกลอบทำร้าย เหลือชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หลานเยี่ยกลับไปถึงตระกูลหลาน ถ่ายทอดกระแสวิญญาณดั้งเดิมของตนเองให้กับหลานชิง รั้งชีวิตของหลานชิงเอาไว้ แต่กลับทำให้เขาหลับลึกดั่งเจ้าชายนิทรา


 


 


หลานเยี่ยคิดอยากแก้แค้น แต่กลับโดนชิวหลีลอบทำร้ายอีกครั้ง พวกเขาจัดการกับชิวหลี หลานเยี่ยไม่อาจกล้ำกลืนความโกรธแค้นนี้ได้ คิดจะกำราบตระกูลเยี่ย เขาจึงปรึกษาเรื่องนี้กับบุคคลสำคัญตระกูลหลาน


 


 


แต่ก็มีข่าวที่ซีเชวียของตระกูลหลานและเขาเทียนปี้ถูกตระกูลเยี่ยบุกทำลาย เพื่อที่จะปกป้องเขาเทียนปี้เอาไว้หลานเยี่ยจึงจัดกำลังทหารวางแผนการโจมตีกองทัพตระกูลเยี่ยจนพ่ายแพ้ไป ชิวหลีเองก็โดนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายอวิ๋นอี้ประมุขวังเขาเทียนปี้ก็ง้างสายธนูฆ่าชิวหลี


 


 


เขาเทียนปี้ได้รับชัยชนะ แต่ซีเชวียกลับมีข่าวตกอยู่ในสภาวะอันตรายถูกส่งมา หลานเยี่ยกลับมายังตระกูลหลาน ชิวเย่ว์ไปซีเชวีย คิดไม่ถึงว่าตระกูลเยี่ยจะมีคนควบคุมแผ่นดิน บ่าวรับใช้ของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เขาเทียนปี้เป็นสายลับตระกูลเยี่ย เขาปลอมแปลงจดหมายขอความช่วยเหลือจากหลานเยี่ย ให้อวิ๋นหรูเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นำทหารไปซีเชวีย เพื่อที่จะได้ครอบครองสิทธิ์การทหารอวิ๋นหรูวางยาอวิ๋นอี้ ทำให้อวิ๋นอี้ถึงแก่ความตาย


 


 


อวิ๋นหรูนำทหารมาที่ซีเชวีย แต่กลับถูกแจ้งว่าตกหลุมพราง เมื่อชิวเย่ว์ที่อยู่ซีเชวียมาโดยตลอดได้ยินข่าวนี้ก็กลับกลายหลอกใช้นาง” หลานเฟิงพูดมาถึงตรงนี้จู่ๆ ก็หยุดลง หลานเยี่ยเหลือบมองเขาทีหนึ่ง


 


 


“เพื่อที่จะมอบแผ่นดินที่สงบสุขมั่นคงให้แก่หลานเยี่ย ชิวเย่ว์นั้นคิดรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวมาโดยตลอด แม้กระทั่งตอนที่หลานชิงโดนแทง หลานเยี่ยโดนลอบทำลายล้วนเป็นเขาที่ปล่อยข่าวให้ตระกูลเยี่ย เมื่อได้รับโอกาสชิวเย่ว์ลอบส่งข่าวไปให้ตระกูลเยี่ย ให้ตระกูลเยี่ยใช้เส้นทางอุโมงค์ลับที่ถูกสร้างขึ้นพันปีก่อนเข้ามาในเขาเทียนปี้ ยึดพื้นที่เขาเทียนปี้


 


 


แต่เดิมเขาอยากให้ตระกูลเยี่ยเข้าครอบครองเขาเทียนปี้ จากนั้นเขาก็จะใช้คนที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อเขาเข้าครอบครองตระกูลเยี่ย สุดท้ายเข้ายึดครองแผ่นดิน แต่เขาคิดไม่ถึงว่าหลานเยี่ยจะไปเขาเทียนปี้ และคิดไม่ถึงว่าตระกูลเยี่ยจะจุดไฟเผาเขาเทียนปี้จนวอดวาย


 


 


ทางเชื่อมระหว่างมุกหลิววั่งถูกเปิดออกก็หมายความว่าความรู้สึกนึกคิดของคนสองคนเชื่อมต่อกัน ชิวเย่ว์รู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าที่แพร่มาจากหลานเยี่ยหลายครั้ง สุดท้ายยังกลายเป็นการขอความช่วยเหลือ ชิวเย่ว์ลอบกลับไปเขาเทียนปี้ เพราะเขาไม่ได้รู้ข่าวใดๆ ของหลานเยี่ยอีก


 


 


แต่เขากลับถูกจับตัวไประหว่างทางที่ตามหา ถูกจับกลับมายังตระกูลเยี่ย ในตอนนี้ชิวเย่ว์ถึงรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมาโดยตลอดคือชิวอวี้นายน้อยตระกูลเยี่ย หลานเฟิงถูกวางยา กลายเป็นคนไร้ความสามารถที่ไม่อาจจัดการตนเองได้


 


 


ชิวอวี้บอกเขาว่าหลานเยี่ยตายไปแล้ว เขาไม่เชื่อ เขาทำข้อตกลงกับชิวอวี้ ขอเพียงแค่มั่นใจว่าหลานเยี่ยตายแล้ว เขาก็จะกลับมาตระกูลเยี่ย ช่วงเวลาสองสามวันเขาไม่เชื่อนับครั้งไม่ถ้วนแต่กลับได้ข้อสรุปเดียวคือหลานเยี่ยตายแล้ว


 


 


เขาถามชิวอวี้ถึงศพของหลานเยี่ย แต่กลับถูกแจ้งว่าไม่เหลือทั้งร่างและกระดูก เขาเชือดบรรดาคนที่ฆ่าหลานเยี่ย แล้วก็ตกอยู่ในภวังค์นิ่งนับจากนั้น ฉีเย่ว์ที่อยู่ข้างกายชิวอวี้มาโดยตลอดวางยาเขา ส่งชิวอวี้มาไว้บนเตียง


 


 


เขาได้สติขึ้นมาในจังหวะที่สำคัญที่สุด วิ่งออกไป เขาวิ่งออกไปอย่างคลุ้มคลั่ง ตราบจนกระแสวิญญาณแห้งเหือด แต่กลับพบว่าเขามาถึงสถานที่ความลับของเขาและหลานเยี่ย จี้จี้ฮวาสือเมื่อพันปีก่อน หรือหอเย่ว์เยี่ยในตอนนี้ ในที่แห่งนั้นเขาพบว่าม่านกระแสวิญญาณของหลานเยี่ยไม่ได้หายไป หลานเยี่ยยังไม่ตาย”


ตอนที่ 135 เขาและเขา


 


 


“ชิวเย่ว์กลับไปยังตระกูลเยี่ย ปฏิบัติต่อชิวอวี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ให้เขาดื่มเหล้าที่เป็นดั่งยาพิษลงไปอย่างไม่คิดสงสารร่างกายที่อ่อนแอ ถามสถานที่ที่หลานเยี่ยอยู่ หลานเยี่ยอยู่ที่จิ่วหลิว


 


 


ชิวเย่ว์มาถึงจิ่วหลิวด้วยความเร่งรีบ เจอหลานเยี่ย แต่กลับพบว่าความทรงจำทั้งหมดของหลานเยี่ยถูกแก้ไข ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับชิวเย่ว์ทั้งหมดถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอีกคน


 


 


เมื่อทั้งสองคนพบหน้ากันอีกครั้งก็กลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน” สองสามประโยคสุดท้าย หลานเฟิงนั้นแทบจะจ้องสบตากับหลานเยี่ยอยู่ตลอด


 


 


เรื่องราวถูกถ่ายทอดจนจบ เขาและเขาไม่มีใครทำลายความสงบนี้


 


 


สีฟ้าเริ่มมืดลง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ทั้งสองคนลืมการร่ำสุรา เหล้าที่อยู่ในแก้วนั้นไร้ซึ่งคลื่นกระทบ แต่ทั้งสองคนไม่ใช่


 


 


หลานเยี่ยเหม่อลอย กระแทกแก้วเหล้าจนล้มไป เหล้ากระฉอกหกออกมา เปียกชุ่มชายเสื้อหลานเฟิง หลานเยี่ยถึงได้สติขึ้นมา


 


 


“ขอโทษ”


 


 


“ทำไมต้องขอโทษ คนที่ควรขอโทษควรเป็นข้า”


 


 


“หากเจ้าอยากบอกข้าว่าหลานเยี่ยภายในเรื่องที่เจ้าเล่าคือข้า ขอโทษด้วย ข้ารับไม่ได้ ข้าไม่อาจรับได้ว่าความทรงจำกว่ายี่สิบปีของข้าล้วนเป็นเรื่องจอมปลอม ไม่ได้เป็นของข้า”


 


 


“แต่เจ้าไม่อาจปฏิเสธเรื่องกระแสวิญญาณและมุกหลิววั่งไปได้ และไม่อาจปฏิเสธบิดาที่ยังคงสลบไสลอยู่ของเจ้า”


 


 


“บิดาของข้าเป็นผู้นำแคว้น ไม่ใช่ประมุขตระกูลหลาน ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ข้าควรกลับแล้ว ขอบใจเจ้าเรื่องเหล้าในวันนี้ แล้วยังมีเรื่องเล่า” หลานเยี่ยลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ท่าทางดูหดหู่อยู่บ้าง


 


 


“เสี่ยวเยี่ย” หลานเยี่ยหยุดลง


 


 


“แม้ในเรื่องเล่าข้าจะไม่ได้พูดถึงความสัมพันธ์ของหลานเยี่ยที่มีต่อหลานเฟิง แต่เจ้าสัมผัสไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ ทำไมข้าถึงใช้ชื่อว่าชิวเย่ว์แทนที่จะเป็นหลานเฟิงอยู่ตลอด ข้าเพียงแค่อยากให้เจ้าจำขึ้นมาได้ คนคนนั้นชื่อว่าหลานเฟิง ไม่ใช่ชิวเย่ว์ ไม่ใช่มู่หลี และไม่ใช่เยี่ยเหลียง”


 


 


“ไม่” หลานเยี่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด


 


 


“เจ้าหันกลับมา มองข้า มองใบหน้านี้ของข้า เจ้าจะไม่รู้สึกเลยสักนิดอย่างนั้นหรือ” หลานเยี่ยหยุดไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ หมุนตัวหลับมา


 


 


หลานเฟิงฉีกหน้ากากบนใบหน้าออก ใบหน้าอีกหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นมา มอบความรู้สึกคุ้นเคยอย่างรุนแรงต่อหลานเยี่ย เขาไม่กล้าจ้องมองหลานเฟิงโดยตรง


 


 


“ต่อให้เรื่องที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นข้าเองก็ไม่อาจยกโทษให้เจ้า”


 


 


หลานเยี่ยเดินจากไปอย่างไม่หันกลับมามอง เหลือเพียงหลานเฟิงอยู่ผู้เดียว เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่สิ้นหวัง เขาจะต้องจำขึ้นมาได้เป็นแน่ ไม่ว่าชิวอวี้ใช้วิธีอะไรในการเปลี่ยนแปลงความทรงจำของเขา แม้ว่าอาจจะไม่ได้รับการให้อภัย


 


 


ตอนที่หลานเยี่ยกลับไปมู่หลียังคงไม่กลับมา ผ่านไปนานมู่หลีถึงจะกลับมาจากข้างนอก เห็นหลานเยี่ยที่เอนตัวนอนอยู่บนเตียง มองอยู่ครู่หนึ่งก็เตรียมกลับห้องไปพักผ่อน


 


 


“มู่หลี”


 


 


“หือ? ที่จริงแล้วเจ้ายังไม่นอนนี่เอง เมื่อครู่มองเจ้าอยู่นาน ถูกเจ้าจับได้เสียแล้ว” ยังคงเป็นมู่หลีที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส


 


 


“มู่หลี” หลานเยี่ยเรียกเขาอีกครั้ง ได้ยินถึงความผิดปกติ มู่หลีเดินมาข้างเตียง


 


 


“เป็นอะไรไปหรือเสี่ยวเยี่ย” หลานเยี่ยกอดมู่หลีเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทำให้มู่หลีรู้สึกลนลานอย่างมาก จู่ๆ หลานเยี่ยก็จุมพิตเขาอย่างบ้าคลั่ง มู่หลีตกใจเล็กน้อย แต่ก็ฉวยอำนาจการควบคุมมาไว้ได้


 


 


ในช่วงเวลาที่ทั้งสองคนพันพัวกันอยู่นั้น มู่หลีสังเกตเห็นน้ำตาบนหางตาของหลานเยี่ย เขาอยากถามว่าทำไม หลานเยี่ยกลับกุมไหล่ของเขาไว้แน่น ไม่ให้เขาจากไป ตราบจนหลานเยี่ยไม่อาจหายใจได้อีก


 


 


“มู่หลี เจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปใช่หรือไม่ มู่หลี เจ้าเป็นมู่หลีจริงๆ ใช่หรือไม่” หลานเยี่ยไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อีกต่อไป


 


 


“ใช่ ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไป และข้าเองก็เป็นมู่หลีตัวจริง เสี่ยวเยี่ยไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้าก็จะอยู่เสมอ อย่าร้องไห้”


 


 


มู่หลีกล่อมหลานเยี่ยให้เข้านอนถึงได้จากไป อยากไปถามคนที่ส่งไปคุ้มครองหลานเยี่ยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับถูกแจ้งว่าตนเองถูกตีจนสลบไป ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น และอิ้งฮวาเว่ยก็ไม่มีใคร


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้นมู่หลีมาถึงห้องของหลานเยี่ย แต่กลับพบว่าหลานเยี่ยจากไปแล้ว เหลือเพียงจดหมายฉบับเดียว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 136 จากครั้งนี้ห่างหลายปี


 


 


ในจดหมายมีเพียงถ้อยคำไม่กี่คำเท่านั้น หลานเยี่ยบอกมู่หลีว่าเขาทำของบางอย่างหายไป จะต้องไปตามกลับมา รอจนหาเจอแล้ว เขาย่อมกลับมาเอง


 


 


“คนโกหก ทั้งๆ ที่พูดเองว่าไม่ให้ข้าจากเจ้าไป แต่เจ้ากลับจากข้าไปก่อน” มู่หลีถือจดหมายพลางหัวเราะออกมา หัวเราะจนน้ำตาไหล


 


 


จดหมายในมือกลายเป็นเศษฝุ่น มู่หลีตัดสินใจออกไปตามหาหลานเยี่ย ปฏิกิริยาของหลานเยี่ยกลางดึกเมื่อวานนี้ทำให้เขาพอจะเดาได้บ้างว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลานเฟิง ทำไมเจ้ายังปรากฏตัวออกมาอีก เจ้าช่างน่ารำคาญเสียจริง


 


 


มู่หลีเตรียมออกเดินทาง แต่ประตูกลับถูกคนขวางเอาไว้ ต่อให้คนคนนั้นหันหลังให้มู่หลี เพราะแสงอาทิตย์ทำให้ทั้งร่างตกเป็นเงาดำ มู่หลีเองก็มองออกว่าเป็นใคร ต่อให้แหลกสลายกลายเป็นเถ้าที่ถูกโปรยเขาเองก็จำได้


 


 


“จะออกไปข้างนอกหรือ”


 


 


“เจ้าไม่ต้องยุ่ง”


 


 


“เมื่อวานนี้ยังดื่มเหล้ากับข้า วันนี้กลับดึงหน้าไม่รู้จักกันอย่างนั้นหรือ” ชิวลั่วยืนอยู่หน้าประตูขวางทางมู่หลีเอาไว้


 


 


“พวกเจ้าวางแผนไว้อย่างนั้นหรือ”


 


 


“เจ้าก็รู้หมดแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร”


 


 


“เจ้าสมควรตาย” ใช่แล้ว เจ้าสมควรตาย หากไม่ใช่ว่าเจ้าเรียกข้าไป หลานเยี่ยก็จะไม่ไปพบหลานเฟิง ถ้าไม่ใช่เจ้าเรียกข้าไป หลานเยี่ยก็จะไม่รู้ความจริง และยิ่งไม่จากเขาไปไหน


 


 


“หากข้าสมควรตาย ข้าหวังว่าจะตายด้วยน้ำมือเจ้า” มู่หลีฟังจบจู่ๆ ก็หยิบกระบี่ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นค้ำเอาไว้บนคอของชิวลั่ว


 


 


“ข้าออกแรงสักนิดเดียวชีวิตเจ้าก็จะลงไปในนรกแล้ว ดังนั้นถอยออกไป เรื่องก่อนหน้านี้ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า”


 


 


“เรื่องก่อนหน้านี้? เรื่องอะไรก่อนหน้านี้? ที่ข้าให้เจ้าเปลี่ยนแปลงอี่จือชู่ หรือที่ข้าปล่อยให้หลานเยี่ยหนีไป?”


 


 


มู่หลีควบคุมไม่อยู่ มือสั่นทันใดนั้นบนคอของชิวลั่วก็ปรากฏรอยแผลรอยหนึ่งขึ้นมา เลือดค่อยๆ ไหลออกมา แต่ชิวลั่วกลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อย


 


 


“ข้าคิดว่าข้าควรทำตามสัญญา ข้าเลยกลับมาหาเจ้า เพราะข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางไปหาข้า ดังนั้นข้าถึงมา เจ้าไม่คิดว่าพวกเราอยู่ด้วยกันถึงจะเหมาะสมที่สุดอย่างนั้นหรือ”


 


 


มู่หลีมองรอยแผลบนคอของเขา ชักกระบี่เก็บกลับมา


 


 


“ไม่รู้สึกอย่างมาก”


 


 


“ข้ากลับคิดว่าพวกเราเหมาะสมกันดี เพราะหน้าของพวกเราหนาเหมือนกันไม่ใช่อย่างนั้นหรือ สำหรับหลานเยี่ย เขาและหลานเฟิงถึงเป็นคู่กัน คนหนึ่งเย็นชาคนหนึ่งร้อนแรง ไม่ใช่ว่าพอดีกันอย่างนั้นหรือ”


 


 


“…”


 


 


“เจ้าเองก็ไม่ต้องรู้สึกละอายใจ ข้าอยู่ที่หอไป๋ฮวามาตั้งนานขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่สนใจข้า อธิบายได้ว่าเจ้าไม่ได้รังเกียจข้าขนาดนั้น ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ”


 


 


“ข้าเพียงแต่ขี้เกียจยุ่งกับเจ้า”


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดตอนนี้ถึงขี้เกียจยุ่งกับข้าเล่า ประตูนี้แม้จะเป็นบ้านเจ้า แต่เจ้าให้ข้าออกไปไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังยุ่งกับข้าอย่างนั้นหรือ อีกอย่างหากเจ้าอยู่กับข้า นี่ก็เป็นประตูบ้านของเรา ถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องยินยอมยุ่งกับข้าอย่างเป็นแน่”


 


 


ได้ยินเหตุผลมั่วซั่วของชิวลั่ว มู่หลีก็โกรธจนไม่รู้จะระบายที่ใด ยกมือขึ้นมาต่อสู้กับเขา แต่ไม่คิดว่าฝีมือจะสู้ไม่ได้ ไม่นานมู่หลีก็ถูกชิวลั่วจับแขนทั้งสองข้าง กดเอาไว้บนเตียง


 


 


“ปล่อยข้า” มู่หลีดิ้นหนี


 


 


ชิวลั่วนิ่งงันไปอย่างยากจะพบ มู่หลีหันกลับมามองเขา บาดแผลบนคอของชิวลั่วนั้นเลือดไหลน้อยลงแล้ว แต่รอยเลือดยังคงไหลซึมหายลงไปในเสื้อผ้าบริเวณที่มองไม่เห็น


 


 


“อาหลี ข้าเคยพูดไว้ ข้าไม่อยากใช้วิธีของนายน้อยปฏิบัติกับเจ้า ดังนั้นเจ้าจะให้โอกาสกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่” ชิวลั่วน้อยครั้งที่จะจริงจัง แต่กลับจริงจังจนทำให้มู่หลีโมโห


 


 


“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่ทำให้ข้าและหลานเยี่ยสมหวัง ให้หลานเยี่ยใช้ชีวิตอย่างไม่รู้อะไรเช่นนี้ไปตลอด ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ อย่างน้อยก็ไม่เจ็บปวดและเศร้าโศกมากเพียงนั้น”


 


 


“หลานเยี่ยมีหน้าที่ของเขา จะช้าจะเร็วก็ต้องเผชิญหน้า นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าลิขิตสวรรค์ เจ้าอย่าได้ขัดขวางเขา ก่อนที่จะทำผิดครั้งใหญ่ เวลาหนึ่งเดือนนี้สำหรับเจ้าถือว่ามากพอแล้ว ปล่อยวางเถิด ไปกับข้า”


 


 


มู่หลีไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่ดิ้นหนีอีก



ตอนที่ 137 การพบกันที่เขาหลานวั่ง


 


 


หลังจากหลานเยี่ยออกจากจู๋เซียงเฉินก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางเขาหลานวั่ง เขาที่ไร้ซึ่งพลังกระแสวิญญาณจึงทำได้เพียงขี่ม้า เขาลองขับกระแสวิญญาณออกจากมุกหลิววั่ง แต่เพราะไม่มีความทรงจำวิธีการควบคุมพลังกระแสวิญญาณ ดังนั้นจึงล้มเหลวอยู่เสมอ หลังจากทดสอบอยู่หลายครั้ง หลานเยี่ยก็ยอมแพ้ ตรงขึ้นขี่ม้า


 


 


เมื่อมาถึงตีนเขาหลานวั่งวิสัยทัศน์ก็กลายเป็นรางเลือน มีบ้านพักตั้งอยู่เป็นแถวเป็นแนวและคนเป็นพวกเป็นกลุ่ม เมื่อเดินขึ้นไปข้างหน้าอีกก็กลายเป็นไม่สมจริงขึ้นมา หลานเยี่ยมองตรงไปข้างหน้า ย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดของมู่หลีที่พูดกับตนเอง


 


 


เขาหลานวั่งของตระกูลหลานเต็มไปด้วยม่านพลัง หากไม่ใช่คนตระกูลหลานก็ไม่อาจเข้าไปได้ หลานเยี่ยกระชับบังเ**ยนม้า เดินวนไปมาในพื้นที่รางเลือนแถบนั้นอยู่นานถึงจะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปข้างหน้า


 


 


หลานเยี่ยเตรียมใจพร้อมแต่ยังคงหลับตาไม่กล้าลืมขึ้น มู่หลีเคยพูดว่าผู้ที่ไม่ใช่คนตระกูลหลานเมื่อมาถึงขอบเขตม่านพลัง หากเดินขึ้นไปข้างหน้าก็จะเป็นภาพมายา สิ่งที่เห็นอาจเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง หรืออาจเป็นทะเลทรายแห่งหนึ่ง หรืออาจเป็นหน้าผาแห่งหนึ่ง แต่เขาหลานวั่งที่แท้จริงนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มหนาแน่น


 


 


สิ่งที่เต็มไปด้วยเขาหลานวั่งคือพืชพรรณต้นไม้และสัตว์ตัวเล็กๆ นานาชนิด เขาหลานวั่งเป็นสถานที่งดงามอย่างมาก และเป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย ไม่ว่าใครมาถึงเขาหลานวั่งล้วนหลงรักสถานที่แห่งนี้ทั้งนั้น


 


 


หลานเยี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือสายรุ้งที่พาดผ่านท้องฟ้าหลังฝนพรำ ผสานไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นหลังฝนซึมซ่านไปทั่วจิตใจ หลานเยี่ยตกหลุมรักที่แห่งนี้ในทันใด เขารีบขี่ม้าในทันใดเดินเล่นไปทั่วทุกบริเวณ


 


 


นั่นน่าจะจะเป็นต้นอิงฮวา หลานเยี่ยคาดเดา หลังจากบังคับม้าไปดูก็เป็นการยืนยันการคาดเดาของเขาได้ในทันใด เมื่อไปถึงบริเวณใดหลานเยี่ยล้วนรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก เมื่อไปถึงบริเวณใดล้วนทำให้เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจ


 


 


ในป่าไม้แห่งนี้ทำให้หลานเยี่ยลืมไปแล้วว่าตนเองมาทำอะไร ทุกครั้งล้วนจมจ่ออยู่ในภวังค์ความยินดีที่ค้นพบสถานที่ล้ำค่าแห่งใหม่


 


 


ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัวท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง เพราะปัญหาแสงสว่างทำให้มองเห็นทางเริ่มไม่ชัด แต่ความสนใจของหลานเยี่ยยังคงไม่ลดลงไป ท้องที่ร้องโครกครากนั้นเตือนให้เขารู้สึกถึงความเป็นจริง เขาถึงได้รู้สึกว่าตนเองมาทำอะไรกันแน่


 


 


ตนเองกลับคุ้นเคยกับป่าเขาแห่งนี้อย่างมาก แล้วม่านพลังตระกูลหลานก็ยังไม่ขวางตนเอง หลานเยี่ยอดรู้สึกตะลึงพรึงเพริดไม่ได้ เขาไม่เห็นว่าด้านหน้ามีคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น มองเขาอยู่นิ่งๆ


 


 


ตราบจนเดินไปข้างหน้าเขา หลานเยี่ยถึงพบว่า คนคนนั้นคือหลานเฟิง


 


 


“เป็นเจ้า”


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องกลับมา”


 


 


“ทำไม”


 


 


“เพราะข้าเข้าใจเจ้ามากที่สุด”


 


 


“ข้าควรเรียกเจ้าว่าอย่างไร”


 


 


“หลานเฟิง”


 


 


“ได้”


 


 


หนึ่งคำถามหนึ่งคำตอบ สำหรับบทสนทนาที่ไร้ซึ่งคลื่นลมนี้หลานเยี่ยไม่รู้ว่ามีความรู้สึกเช่นไร หลายวันมานี้เขาพอจะคุ้นชินกับความไม่จริงจังของมู่หลีแล้ว แต่สำหรับบทสนทนาอันแสนเย็นชาเช่นนี้หลานเยี่ยก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านแต่อย่างใด


 


 


“ข้าหิวแล้ว หลานเฟิง”


 


 


“อยากกินอะไร”


 


 


“ขนมอบสับปะรด”


 


 


“นานขนาดนี้แล้วยังกินไม่เบื่อหรืออย่างไร”


 


 


“ไม่”


 


 


“ไปเถิด ไปกินข้าว”


 


 


หลานเฟิงเดินอยู่ข้างหน้า หลานเยี่ยขี่ม้าตามอยู่ด้านหลัง ไม่ได้พูดคุยกันอีก หลานเยี่ยสำรวจพิจารณาหลานเฟิงอย่างละเอียด แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปอะไรแม้แต่น้อย


 


 


คนที่หลบซ่อนเงาตัวเอง คนที่หลบซ่อนนิสัยตนเอง ในเนื้อเรื่องเขามักจะหลบหนีความรู้สึกของหลานเยี่ยอยู่เสมอ ทำให้เกิดผลที่ตามมาซึ่งไม่อาจย้อนกลับ ตอนนี้เมื่อมีโอกาสอีกครั้งคนคนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้


 


 


คนคนนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ


 


 


กำลังคิดอยู่เช่นนี้แผ่นหลังของหลานเฟิงจู่ๆ ก็กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เต็มไปด้วยความอบอุ่น เต็มไปด้วยเส้นสายแห่งความหวัง


 


 


 และยังเหมือนว่ามีความโศกเศร้า โทษตัวเองอยู่เล็กน้อย


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 138 ไม่เข้าใจ


 


 


เดินคดเคี้ยววนไปมา หลานเยี่ยก็เดินตามหลานเฟิงมาถึงจวนแห่งหนึ่ง นั่นคือหอเย่ว์เยี่ย หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ถือโคมไฟ เหมือนกำลังส่องทางให้กับลูกที่กลับบ้าน


 


 


เพราะหลานเฟิงได้บอกสถานการณ์ของหลานเยี่ยให้หลานเม่ยรู้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นทั้งสองคนแม้จะเห็นหลานเยี่ยเดินวนไปมาอยู่รอบนอกม่านพลังตระกูลหลาน แต่ไม่ได้ออกไปรับเขา ให้เขาเข้ามาในเขาหลานวั่งคนเดียว หาทางกลับบ้านเพียงลำพัง


 


 


เมื่อเห็นหลานเม่ยที่อยู่หน้าประตู หลานเยี่ยยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร แม้เขาจะจำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ความรู้สึกที่คนผู้นี้มอบให้เขานั้นคุ้นเคยอย่างมาก


 


 


หลานเม่ยก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มให้หลานเยี่ยน้อยๆ จากนั้นก็ค้อมเอวลงเล็กน้อยแสดงถึงความเคารพ มอบโคมไฟให้หลานเฟิงจากนั้นก็เดินออกไป


 


 


หลานเฟิงถือโคมไฟ เปิดประตูใหญ่หอเย่ว์เยี่ย สิ่งที่เข้ามาปะทะใบหน้าคือกลิ่นหอมดอกไม้ คือกลิ่นสดชื่นของน้ำค้าง เมื่อเห็นดอกไม้ใบหญ้าเต็มสนามจู่ๆ ความรู้สึกที่เหมือนจะเข้าใจของหลานเยี่ยก็กลายเป็นสับสนวุ่นวาย


 


 


หลานเฟิงพาหลานเยี่ยเข้าไปข้างใน หลานเยี่ยมองเห็นภาพทิวทัศน์ภายในทั้งหมด นอกจากดอกไม้ ก็ยังคงเป็นดอกไม้ กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้คนลุ่มหลง


 


 


หลังจากเข้าไปก็เห็นว่าฝั่งซ้ายมีห้องอยู่สองสามห้อง หลานเฟิงพาเขาเข้าไปดูทีละห้อง เมื่อเปิดประตูห้องหนึ่งออก ภายในนั้นตกแต่งไปด้วยสีฟ้า


 


 


“นี่เป็นห้องนอนของเจ้า ในห้องข้าเป็นคนตกแต่ง เจ้าไม่เคยพูดอะไรมาก่อน เหมือนว่าไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้” ภายในห้องมีเสื้อผ้าสีฟ้าสองสามชุด ควรต้องพูดว่าเสื้อผ้าทั้งหมดล้วนเป็นสีฟ้า


 


 


และเสื้อผ้าบนตัวของหลานเยี่ยในตอนนี้เป็นสีเหลืองอ่อน


 


 


“เสื้อผ้าทั้งหมดของเข้าล้วนเป็นข้าที่จัดเตรียม เป็นสีฟ้าทั้งสิ้น เพราะข้าคิดว่าสีฟ้านั้นเหมาะสมกับเจ้าที่สุด” หลานเยี่ยมองดูเสื้อผ้าบนร่างของตน ยิ้มแย้มไม่ได้พูดอะไร เสื้อผ้าที่มู่หลีเตรียมไว้ให้เขานั้นหนึ่งวันหนึ่งสี อาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาล้วนสวมใส่สีฟ้า แลดูซ้ำซากไปเสียหน่อย


 


 


พวกเขาเดินมาอีกห้องหนึ่ง ของภายในนั้นมีน้อยนิด นอกจากของที่จำเป็นแล้วก็ไม่มีอะไรอีก


 


 


“นี่คือห้องของข้า อยู่ข้างห้องเจ้า เพราะตอนแรกตกดึกทุกคืนเจ้ามักฝันร้าย พลังกระแสวิญญาณวุ่นคลั่ง อยู่ข้างเจ้าก็ง่ายกับการดูแลเจ้ามากกว่า”


 


 


หลานเยี่ยมองเขาทีหนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก


 


 


สุดท้ายพวกเขาก็เดินมาถึงห้องโถง หลานเยี่ยใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว ไม่มีทางอื่น หิวมาก แล้ว จึงทำได้แค่ถาม


 


 


“ดังนั้นเมื่อไรพวกเราจะได้กินข้าวหรือ”


 


 


พอได้ยินประโยคนี้หลานเฟิงก็หัวเราะออกมา หัวเราะแล้ว ทำให้หลานเยี่ยเห็นแล้วนิ่งค้าง เขาคิดว่าคนคนนี้หัวเราะไม่เป็นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าพอหัวเราะขึ้นมาแล้วดูดีไม่น้อย หลานเยี่ยคิดถึงใบหน้าของมู่หลีที่มักจะมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่เสมออีกครั้ง ครานี้คงจะโมโหจริงกระมัง เป็นตนเองแท้ๆ ที่ไม่ให้เขาออกห่างจากตนเอง แต่ตนเองกลับห่างจากเขามา


 


 


“เดี๋ยวนี้” โต๊ะด้านข้างมีกล่องอาหารอยู่กล่องหนึ่ง หลานเฟิงเปิดออกทีละชั้น ในนั้นมีอาหารหลากหลายประเภท นำออกมาวางไว้บนโต๊ะทีละจาน มีเพียงขนมอบสับปะรดเท่านั้นที่ไม่เห็น หลานเยี่ยมองกล่องอาหารที่แทบจะว่างเปล่าอย่างคาดหวัง สุดท้ายแล้วก็เห็นขนมอบสับปะรดที่อยู่ในใจมานานอยู่ชั้นล่างสุด แต่หลานเฟิงกลับไม่เอาออกมา


 


 


มองดูสีหน้าน้อยใจของหลานเยี่ย หลานเฟิงก็หัวเราะออกมาอย่างใจร้าย


 


 


“แต่ก่อนนี้เจ้าไม่ยอมกินข้าวดีๆ กินแค่ขนมอบสับปะรดเท่านั้น กินมานานขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นเจ้าเบื่อ ข้าไม่เคยเข้าใจเลยว่าแท้จริงแล้วอร่อยอะไรขนาดนั้น หลังจากที่เจ้าจากข้าไปแล้วข้าจึงลอง ก็อร่อยจริง มีรสชาติของความทรงจำแฝงอยู่”


 


 


“ครั้งนี้พวกเรากินข้าวก่อนดีหรือไม่ สำหรับทวนความทรงจำ พวกเราค่อยๆ เริ่มไปช้าๆ เจ้ายินยอมสร้างความทรงจำกับข้าอีกครั้งหรือไม่”


 


 


แต่หลานเยี่ยกลับเพียงนั่งมองขนมอบสับปะรดอย่างเต็มไปด้วยความหวัง ไม่ได้ฟังว่าเขาพูดอะไร


 


 


หลานเฟิงคิดว่าหลานเยี่ยที่เป็นเช่นนี้น่าจะมีความสุขกระมัง แต่ข้ายังคงไม่อาจควบคุมความเห็นแก่ตัวของตนเองได้


 


 


เพียงแค่อยากครอบครองเจ้าเท่านั้น



ตอนที่ 139 ยืนยันผ่านทางสายตา


 


 


หลานเฟิงจนปัญญา ทำได้เพียงหยิบขนมอบสับปะรดขึ้นมาชิ้นหนึ่งส่งให้หลานเยี่ย หลานเยี่ยที่รับขนมอบสับปะรดมาแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด กินอย่างมีความสุข


 


 


“กินได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”


 


 


“อืม”


 


 


พอกินขนมอบสับปะรดเสร็จ หลานเยี่ยที่แต่เดิมหิวจนทนไม่ไหวแล้วก็รีบจับตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปไม่นานกับข้าวสองสามอย่างก็เริ่มเห็นก้นจาน มีกับข้าวบางอย่างที่ไม่ถูกแตะต้อง มองดูกับข้าวบนโต๊ะหลานเฟิงก็หัวเราะออกมา


 


 


“ยังคงเลือกกินเหมือนเดิม กินแค่สองสามอย่างนั้นเท่านั้น”


 


 


“อืม” ไม่ได้ฟังว่าหลานเยี่ยพูดอะไร หลานเยี่ยนั้นเริ่มลงมือกับขนมอบสับปะรดจานนั้นนานแล้ว


 


 


“ไม่มีอะไร หลังจากกินอิ่มแล้วอยากไปดูที่ไหนหรือไม่”


 


 


หลานเยี่ยกินไปพลางตอบไปพลาง


 


 


“อยากไปดูเขาหลานวั่งอีกครั้ง กลางวันยังไม่สำรวจหมด อยากไปเห็นอีกสักครั้ง แต่กลางคืนอาจไม่ชัดสักเท่าไร”


 


 


“ไม่ต้องกังวล กินอิ่มแล้วข้าจะไปกับเจ้า”


 


 


“อืมๆ” แม้ของอร่อยจะอยู่ข้างหน้า แต่สำหรับหลานเยี่ยแล้วแรงดึงดูดของเขาหลานวั่งนั้นเหมือนจะมากกว่าเสียหน่อย ในตอนนั้นจึงหยิบขนมอบสับปะรดสองสามชิ้นขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปด้านนอก


 


 


“ไปเถิด” เห็นท่าทางของหลานเยี่ย หลานเฟิงก็รู้สึกเพลินใจขึ้นมาในทันใด แต่ก็รู้สึกขัดแย้งอย่างมาก


 


 


“ไม่ต้องเร่งรีบเช่นนี้ เจ้ากินให้อิ่มก่อนค่อยไป”


 


 


“ข้ากลัวว่าอีกครู่จะยิ่งเห็นไม่ชัด”


 


 


“ไม่เป็นไร ข้าจะทำให้เจ้าเห็นอย่างชัดเจน” ไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินหลานเฟิงพูดเช่นนี้หลานเยี่ยกลับสงบใจขึ้นมา นั่งอยู่นิ่งๆ เงียบๆ กินขนมอบสับปะรดอยู่ตรงนั้น


 


 


รอจนกินอิ่มแล้วหลานเฟิงถึงจะพาหลานเยี่ยไปยังเขาหลานวั่ง เห็นว่าทั่วทั้งเขานั้นมีโคมไฟแขวนอยู่เต็มไปหมด มองจากที่ไกลๆ แล้วก็ครึกครื้นเหมือนกับเทศกาลโคมไฟ แต่นอกจากพวกเขาสองคนแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก


 


 


“เป็นอะไรไปหรือ” เห็นสีหน้าของหลานเยี่ยไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรนัก หลานเฟิงจึงถามขึ้น


 


 


“ไม่มีอะไร เพียงแค่รู้สึกเงียบเหงาไปเสียหน่อย ได้ยินมู่หลีพูดว่าตระกูลหลานนั้นเป็นสถานที่ครึกครื้นอย่างมาก ตอนนี้กลับมีเพียงพวกเราสองคนเท่านั้น”


 


 


“ยังคงชอบความครึกครื้นเหมือนเดิมนี่เอง” หลานเฟิงปรบมือ ทันใดนั้นทั่วสารทิศรอบด้านก็มีคนถือโคมไฟเดินออกมามากมาย มีทั้งผู้ใหญ่ มีทั้งเด็ก ล้วนหยอกเย้าล้อเล่นอย่างมีความสุข เมื่อเห็นหลานเยี่ยก็มีเด็กวิ่งเข้ามาพูดคุยกับเขา


 


 


“ท่านประมุข ได้ยินว่าท่านจัดเทศกาลโคมไฟในคืนนี้ เสี่ยวอวี๋ขอบคุณท่านประมุข ได้เล่นอย่างมีความสุขแล้ว” เด็กที่ชื่อว่าเสี่ยวอวี๋นั้นวิ่งมาหาแสดงความขอบคุณต่อหลานเยี่ย หลานเยี่ยอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ยังนั่งลงไปพูดคุยกับเขา


 


 


“ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าข้าเป็นท่านประมุขเล่า เจ้ายังเล็กขนาดนี้”


 


 


“เสี่ยวอวี๋โตแล้ว วันที่ท่านประมุขสืบทอดตำแหน่ง เสี่ยวอวี๋ก็ไปดู ท่านประมุขช่างทรงอำนาจเหลือเกิน ในตอนนั้นพี่ชายคนนี้ก็ไปเช่นกัน แล้วยังยืนอยู่ข้างท่าน”


 


 


“เช่นนั้นหรือ” หลานเยี่ยยิ้มพลางพูดออกมา


 


 


“ท่านประมุข ท่านหัวหน้าทัพ ขออภัยด้วย เด็กน้อยยังไม่รู้เรื่อง รบกวนพวกท่านแล้ว” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวขึ้นมา น่าจะเป็นมารดาของเสี่ยวอวี๋ แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้า


 


 


“ไม่เป็นอะไร คืนนี้จะต้องเล่นให้มีความสุขนะ”


 


 


“รีบขอบคุณท่านประมุขเร็วเข้า” หญิงกลางคนผู้นั้นพูดสอนเสี่ยวอวี๋


 


 


“ขอบพระคุณท่านประมุข”


 


 


“น่ารักเสียจริง ไปเล่นเถิด”


 


 


หลังจากพวกเขาเดินจากไป หลานเฟิงและหลานเยี่ยก็เดินเล่นรอบด้าน


 


 


“มู่หลีพูดว่าตระกูลหลานนั้นดีมาก แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าจะสามัคคีเช่นนี้”


 


 


“มู่หลีเองก็เป็นคนตระกูลหลาน เขาเป็นเชียนจื๋อซือของตระกูลหลาน ชื่อเดิมว่าหลานเช่อ นอกจากท่านประมุขและจู่จื๋อซือแล้วก็ไม่มีคนรู้ถึงสถานะของเขาอีก รับผิดชอบเรื่องข่าวสารของโลกภายนอกต่อตระกูลหลาน”


 


 


“เช่นนี้นี่เอง มิน่าเขาถึงได้คุ้นเคยกับตระกูลหลานเช่นนี้” หลานเยี่ยพูดประโยคนี้ออกมา หลานเฟิงมองสีหน้าเขาไม่ชัดเท่าไรนัก หลานเยี่ยหันกลับมา สายตาของทั้งสองคนประสานกัน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 140 เป็นคนเช่นไร


 


 


“ไปเดินเล่นที่อื่นเถิด เจ้านำข้าไป”


 


 


หลานเยี่ยเสนอขึ้น


 


 


“ให้เจ้านำข้าไปดีหรือไม่” หลานเฟิงไม่ได้ตอบเขา ผิดแผกจากที่เคยเป็น


 


 


หลานเยี่ยไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไม่นานก็ได้สติกลับคืนมา


 


 


“ได้ เดินตามข้ามา” หลานเยี่ยสะบัดแขนเสื้ออย่างทรงอำนาจ ทำให้หลานเฟิงกลืนไม่เข้าหายไม่ออก


 


 


“ไปทางนั้น” หลานเยี่ยชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง


 


 


หลานเยี่ยเดินอยู่ข้างหน้า เมื่อมาถึงหน้าต้นไม้ต้นหนึ่งจู่ๆ ก็ทำท่าทางระมัดระวัง แล้วยังไม่ลืมหันกลับไปบอกให้หลานเฟิงเบาเสียง


 


 


ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าตรงฐานมีอุโมงค์ต้นไม้ หลานเยี่ยค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้พบว่ามีกระต่ายสองสามตัวอยู่ในนั้น มองดูกระต่ายที่น่ารักเหล่านี้ หลานเยี่ยก็อดส่งเสียงออกมาไม่ได้


 


 


“เจ้าดูซิ น่ารักจัง”


 


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีกระต่ายน้อย”


 


 


“ใครจะรู้เล่า! เหมือนว่าเคยรู้อยู่แล้ว ตอนกลางวันก็เช่นกัน เดินผ่านที่มากมาย ก็เหมือนรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าตรงนั้นมีอะไร”


 


 


“ยังรู้อะไรอีก คิดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับกระต่ายน้อยของเขาหลานวั่งได้บ้างหรือไม่”


 


 


“เจ้าถามข้าว่ายังรู้อะไรอีกข้ากลับคิดไม่ออกแล้ว เจ้ากระต่ายน้อยยังมีที่หอเย่ว์เยี่ยอยู่อีกหลายตัว พวกเราไปดูที่นั่นกันดีกว่า”


 


 


ทั้งสองคนเดินเล่นไปมา สุดท้ายแล้วก็มาถึงบริเวณผนึกม่านพลังทั้งสี่ของเขาหลานวั่ง หลานเยี่ยรู้สึกประหลาดใจจึงวิ่งเข้าไปดู


 


 


“นี่คืออะไร ด้านบนนั้นให้ความรู้สึกเช่นเจ้า”


 


 


“นี่คือปลายสายของม่านพลัง บนนั้นแต่เดิมเป็นพลังกระแสวิญญาณของเจ้า ตอนแรกที่เจ้าตั้งเขตผนึกนั้นก็เพื่อป้องกันอันตราย ข้าเองก็เพิ่มเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง แต่เดิมหากกระแสวิญญาณของเจ้าเกิดปัญหา ขอแค่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะไม่หายไปไหน แต่เพราะเหตุผลบางประการม่านพลังจึงหายไป นั่นก็เป็นเหตุว่าทำไมตอนแรกข้าถึงมั่นใจว่าเจ้าตายไปแล้ว


 


 


“เจ้าสามารถสอนวิธีควบคุมกระแสวิญญาณให้ข้าได้หรือไม่ วันนี้ข้าลองขับพลังกระแสวิญญาณจากมุกหลิววั่งแต่กลับล้มเหลว ข้าอยากลองอีกเสียหน่อย”


 


 


“ย่อมได้”


 


 


หลานเฟิงและหลานเยี่ยฝึกควบคุมกระแสวิญญาณที่เขาหลานวั่ง ท่ามกลางโคมไฟสึแดงสดกระแสวิญญาณสองสีแตกต่างกันส่องแสงสลับไปมา สีฟ้าหนึ่งสายสีม่วงหนึ่งสาย งดงามอย่างมาก


 


 


“ตอนนี้ลองใช้กระแสวิญญาณกระโดดขึ้นต้นไม้ต้นนั้น” หลานเฟิงชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่แข็งแรงด้านบน หลานเยี่ยขลาดกลัวอยู่เล็กน้อย หลานเฟิงกระโดดขึ้นไปก่อน รอเขาอยู่ด้านบน


 


 


หลานเยี่ยกัดฟัน หลับตาลงแล้วกระโดดขึ้นด้านบน จากนั้นก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น


 


 


หลานเยี่ยลืมตาขึ้นมามองดูใบหน้าที่อยู่ใกล้เพียงคืบด้านหน้า เขากลับเกิดอาการเหม่อลอยขึ้นมาในทันใด คนผู้นี้เป็นคนเช่นใดกันแน่ ตนเองคือหลานเยี่ยอย่างนั้นหรือ คือนายน้อยตระกูลหลาน คือประมุขตระกูลหลานอย่างนั้นหรือ


 


 


“ตอนนี้มองเขาหลานวั่งอีกครั้งซิ”


 


 


หลานเยี่ยทำตาม กลับพบโลกใบใหม่ จากมุมสูงสามารถเห็นเขาหลานวั่งทั้งลูก วิวทิวทัศน์สวยงามน่ามหัศจรรย์ เหตุเพราะเทศกาลโคมไฟแสงสีแดงสดนั้นทำให้หลานเยี่ยรู้สึกว่าภาพแวดล้อมที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในชีวิตนี้ได้หยุดลงที่นี่


 


 


“พวกเราไปเถิด ยังมีอีกแห่งหนึ่งที่ข้าอยากไปดู”


 


 


“ได้” หลานเฟิงโอบประคองเอวของหลานเยี่ยแล้วจึงกระโดดลงมา หลานเยี่ยไม่ได้ดิ้นหนี


 


 


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่หลานเยี่ยเคยชินกับการนำหลานเยี่ยในเรื่องราวของหลานเฟิงมาทับซ้อนกับตนเอง เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเมื่ออยู่ในตระกูลหลาน แต่ก็ยังคงคิดถึงมู่หลีอยู่บ้าง คิดถึงบิดาที่อยู่ในราชสำนัก


 


 


ทุกครั้งที่คิดถึงพวกเขา เขาก็จะสงสัยว่าความทรงจำของตนเป็นเรื่องจอมปลอมหรือไม่ มีบางครั้งที่รู้สึกว่าหากความทรงจำของตนเป็นเรื่องโกหกนั่นก็น่าเศร้าเกินไปแล้ว มีชีวิตมายังไม่ถึงยี่สิบปีความทรงจำกลับถูกเปลี่ยนไปแล้วสองครั้ง ช่างน่าขายหน้าเสียจริง



ตอนที่ 141 ข้าคือใคร แล้วเจ้าเป็นใคร


 


 


สถานที่ที่หลานเยี่ยอยากไปนั่นคือบริเวณที่หลานชิงอาศัยอยู่ เขาไม่รู้ว่าหลานชิงอยู่ที่ใด หลานเฟิงนั้นเดินขนาบข้างไปกับเขา เขาลองคลำหาทิศทางด้วยตนเองอยู่ตลอด ไม่นานเขาก็เดินนำข้างหน้า หลานเฟิงตามอยู่ด้านหลัง ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ใด หลานเฟิงก็ไม่ชี้นำทางให้เขา


 


 


เมื่อเดินมาถึงบริเวณด้านหน้าห้องลับแห่งตระกูลหลาน หลานเยี่ยมองประตูใหญ่ รูปสลักหินจิ้งจอกเก้าหางถูกสลักเอาไว้บนนั้น ไม่รู้ว่าฝีมือของยอดอาจารย์ท่านใดถึงแลดูสมจริงดั่งมีชีวิต


 


 


หลานเยี่ยหันไปมองหลานเฟิง ในมือของหลานเฟิงถือตราหยกประจำประมุขตระกูลเอาไว้ เขาค่อยๆ วางลงไปในมือของหลานเยี่ย หลานเยี่ยถือตราหยกเอาไว้ ลูบไล้รอยสลักด้านบน เหมือนได้พบกับเพื่อนกับที่จากกันมานาน


 


 


นำตราหยกลงไปฝังในช่องเดือยไม้ด้านบน ประตูใหญ่เปิดออก ทางเดินเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาต่อหน้าหลานเยี่ย หลานเยี่ยเดินข้าไป ตรงกลางนั้นมีหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง บนนั้นมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ รอบข้างว่างเปล่า ไม่รู้ว่าหากเยียบลงไปจะตกลงไปที่ใด


 


 


หลานเยี่ยก้าวเท้าเดินตรงไปข้างหน้าเหมือนหวาดกลัวอยู่บ้าง เมื่อเดินไปถึงด้านหน้าพื้นที่ว่างเปล่าลึกล้ำ หลานเยี่ยคิดจะขับกระแสวิญญาณแต่กลับถูกหลานเฟิงห้ามไว้


 


 


บันไดอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ ประกอบขึ้นไปทีละชั้นตราบจนถึงเบื้องหน้าก้อนหินยักษ์นั่น


 


 


หลานเยี่ยค่อยๆ ก้าวตรงไปข้างหน้า ใบหน้าของคนผู้นั้นยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลานเยี่ยเดินไปถึงตรงหน้า มองใบหน้านั้นอย่างชัดเจน นั่นเป็นใบหน้าที่ผ่านลมผ่านฝนมาอย่างโชกโชน หางตาเต็มไปด้วยรอยตีนกาเส้นเล็กๆ


 


 


คนผู้นี้ที่มีใบหน้าคล้ายกับตนเองอยู่เจ็ดแปดส่วนเป็นใครกัน แล้วตนเองเป็นใครกัน เป็นพ่อของตนอย่างนั้นหรือ ตนคือหลานเยี่ยอย่างนั้นหรือ


 


 


หลานเฟิงตามมาข้างหลัง มองดูเขาอยู่เงียบๆ ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา หลานเยี่ยนั่งอยู่ข้างกายหลานชิงเพียงลำพัง และมองดูอยู่นิ่งๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร กำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ กำลังคิดถึงหลานชิง กำลังคิดถึงบิดาที่อยู่ในราชสำนักของตน หรือกำลังคิดถึงตนเองอยู่ นอกจากเขาก็ไม่อาจมีใครทราบได้


 


 


“ท่านเป็นใคร ทำไมถึงได้คุ้นเคยขนาดนี้ ข้าลืมอะไรไปอย่างนั้นหรือ ข้าเป็นบุตรของผู้นำแคว้นจริงหรือไม่ หรือข้าเป็นนายน้อยแห่งตระกูลหลาน บุตรชายของท่าน


 


 


จู่ๆ หลานเยี่ยก็ยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าของหลานชิง รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าอะไร โดยไม่ทันตั้งตัว กระแสวิญญาณสีฟ้าก็เข้าปกคลุมหลานเยี่ย หลานเยี่ยขับพลังกระแสวิญญาณออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


 


 


กระแสวิญญาณทีละสายสะท้อนผ่านนิ้วมือของหลานเยี่ยส่งไปยังหลานชิง หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับหลานชิง แต่สายใยยังคงไม่ขาดออกจากกัน หลานเยี่ยรู้สึกประหลาดใจ มองดูกระแสวิญญาณที่เชื่อมต่อกันอยู่อย่างนั้น


 


 


หลานเฟิงก้าวขึ้นข้างหน้า ชี้ไปยังพลังกระแสวิญญาณสองเส้นที่เข้มเส้นหนึ่งอ่อนเส้นหนึ่งพลางพูดว่า


 


 


“สิ่งที่เจ้าขับนำออกมาจากมุกหลิววั่งเป็นกระแสวิญญาณทั่วไป แต่กระแสวิญญาณที่ออกมาจากร่างท่านประมุขเป็นแหล่งกระแสวิญญาณเดิมที่เป็นสิ่งพิเศษของคนตระกูลหลาน ข้ามารู้ที่หลังว่าขอแค่ผนึกแหล่งกระแสวิญญาณเดิม ทั้งหมดทั้งมวลของคนผู้นี้ก็จะกลายเป็นเหมือนไม่เคยดำรงอยู่”


 


 


“เช่นนั้นทำไมกระแสวิญญาณที่เย่ว์เยี่ยยังคงอยู่เล่า”


 


 


“เพราะในนั้นมีแหล่งกระแสวิญญาณเดิมของเจ้า ตอนแรกข้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าเพิ่มแหล่งกระแสวิญญาณเดิมเข้าไปในพลังกระแสวิญญาณ คิดไม่ถึงว่าเจ้ามีความผูกพันกับที่แห่งนั้นอย่างลึกซึ้งเช่นนี้”


 


 


“หลานเฟิง ข้าเป็นใครกันแน่” จู่ๆ หลานเยี่ยก็เงยหน้าขึ้นถามหลานเฟิง


 


 


“เจ้าคือหลานเยี่ย เป็นนายน้อยตระกูลหลาน เป็นนายใหญ่แห่งหล่านเย่ว์ เป็น…คนที่ข้ารัก”


 


 


“เรื่องราวของเจ้าอ้างว้างเกินไป ทำให้ข้าไม่กล้าเชื่อว่าคนผู้นั้นคือข้า ชีวิตอันแสนธรรมดาเกือบยี่สิบปีของข้ากลับเปราะบางอ่อนแอเช่นนี้ หากที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง หากข้าฟื้นฟูความทรงจำ ข้า…จะให้อภัยเจ้าหรือไม่”


 


 


ลมกระแสหนึ่งพัดโชยมา ทั้งสองคนสบตากันนิ่ง ผมยาวสะบัดปลิวสลวย หัวใจที่สั่นไหวทั้งสองดวง ณ เมืองแห่งหนึ่ง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 142 สิ่งที่เรียกว่าความคิด


 


 


หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร หลานเยี่ยเองก็ไม่ไล่ถามอีก ดังนั้นทั้งสองคนจึงนิ่งเงียบอยู่เช่นนี้ นิ่งเงียบเสมือนเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุด


 


 


“ไม่พูดอะไรหน่อยหรือ” หลานเยี่ยเอ่ยปากขึ้นก่อน ทำลายความเงียบลง


 


 


“บอกข้าได้หรือไม่ นับตั้งแต่เจ้าฟังเรื่องราว นับตั้งแต่เจ้ามาถึงเขาหลานวั่งในใจของเจ้าคิดอย่างไร” หลานเฟิงกลับย้อนถามหลานเยี่ย


 


 


“ไม่ทราบเช่นกัน ข้าเองก็ไม่ทราบว่าตนเองคิดอย่างไร ข้าทราบแค่เพียงข้าล้วนคุ้นเคยอย่างมากกับทั้งหมดนี่ เหมือนกับข้าเคยประสบพบพานมากับตนเอง จากนั้นข้าก็ยังคงสงสัย สำหรับแท้จริงแล้วคิดอย่างไรข้าเองก็ไม่เข้าใจ”


 


 


หลานเยี่ยหมุนตัวเดินออกมาจากทางเดินเส้นนั้น หลานเฟิงตามมาข้างหลัง ทางเดินคับแคบที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศก็หายวับไปกลางอากาศอีกครั้ง


 


 


“สงสัยอะไร จากที่ข้าดูก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้ว เจ้าคือหลานเยี่ย ก็คือหลานเยี่ย ไม่ใช่คนอื่น เหตุใดจึงต้องสงสัย”


 


 


“เจ้าไม่ควรกล่าวเช่นนี้ออกมา หากข้าเป็นหลานเยี่ยเช่นที่เจ้าพูด สองครั้งที่ข้าสูญเสียความทรงจำ เจ้าล้วนเห็นเป็นประจักษ์พยานกับตนเอง เจ้าควรจะเข้าใจความรู้สึกของข้า ความไม่สงบของข้ามากที่สุด แต่เจ้ากลับพูดเช่นนี้”


 


 


“ขอโทษ”


 


 


“ไม่จำเป็นต้องขอโทษ เจ้าเพียงร้อนใจเท่านั้นเอง”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าคิดอยากกลายเป็นหลานเยี่ยผู้นั้นหรือไม่ กลายเป็นคนเดิมของเจ้า หากเจ้ายินยอมข้าจะคิดหาวิธีต่างๆ ฟื้นฟูความทรงจำของเจ้า”


 


 


“ยินยอมหรือไม่อย่างนั้นหรือ ไม่ว่าข้าจะยินยอมหรือไม่แลดูว่าจุดจบก็ถูกกำหนดไว้แล้วกระมัง ในเมื่อสามารถหาวิธีทำให้ข้าฟื้นฟูความทรงจำได้ แล้วทำไมยังต้องให้ข้าเลือกเองด้วย ฟื้นฟูความทรงจำให้ไปเลย ทำให้ข้ากลายเป็นหลานเยี่ยคนที่เจ้าต้องการคนนั้นไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”


 


 


“นั่นก็เพราะว่า…”


 


 


“เพราะว่าอะไร เพราะกลัวว่าหลานเยี่ยจะไม่ให้อภัยเจ้าหรือ พูดตามจริง หากข้าเป็นหลานเยี่ยผู้นั้นข้าเองก็ไม่ยกโทษให้เจ้า เจ้าทำร้ายคนที่หลานเยี่ยรักที่สุด ไม่อาจให้อภัยได้”


 


 


“เพราะเจ้าในตอนนี้มีความสุขเป็นอย่างมาก เพราะเจ้าคนเดิมแบกรับมากเกินไป เพราะการฟื้นฟูความทรงจำจะทำให้เจ้าเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยไป เพราะเจ้าคนเดิมไม่อาจทำตามใจตนเองได้ หากเป็นไปได้ เจ้าสามารถเป็นเช่นนี้ไปได้ตลอด แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าเห็นแก่ตัวมาก ข้าไม่อยากให้เจ้าอยู่กับมู่หลี ข้าอยากครอบครองเจ้า เข้าใจหรือไม่ ครอบครอง”


 


 


“ครอบครองคือความรักที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ” หลานเฟิงพูดออกมามากมายเช่นนี้ทำให้หลานเยี่ยรู้สึกดีใจไม่น้อย แต่เดิมจิตใจที่สับสนอย่างมากเมื่อออกมาจากการไปหาหลานชิง แล้วหลานเฟิงยังมาพูดเช่นนี้ทำให้เขาเคืองใจขึ้นมาในทันใด


 


 


“ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้ามีต่อเจ้านั้นคือรักแท้ รักจนถอนตัวไม่ขึ้น ดังนั้นเหตุใดถึงให้ข้าฟังเสียงหัวใจเจ้าไม่ได้ มุกหลิววั่งขาดการติดต่อ ข้าไม่ได้ยินเสียงหัวใจของเจ้า ทำให้ข้าลนลานอย่างมาก”


 


 


ทั้งสองคนยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนทะเลาะกัน สุดท้ายจู่ๆ หลานเยี่ยกลับหัวเราะออกมา หลานเฟิงไม่เข้าใจว่ามีอะไรน่าขัน


 


 


“มีอะไรน่าขันเช่นนั้นหรือ” มองดูหลานเฟิงร้อนรนตกอยู่ในสภาพพ่ายแพ้ ความโกรธของหลานเยี่ยหายไปกว่าครึ่ง


 


 


“ในอดีตหลานเยี่ยเคยทะเลาะกับเจ้าหรือไม่”


 


 


“ไม่”


 


 


“เป็นเพราะนิสัยของเจ้าหรือไม่ จึงไม่เคยทะเลาะขึ้นมาได้” หลานเฟิงไม่ได้พูดอะไร


 


 


“ตอนนี้เพื่อเขา เจ้ากลับเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อเขาเจ้าทำเรื่องที่ไม่มีทางทำ อธิบายได้ว่าเจ้ารักเขามากจริง มีบางครั้งที่ข้าเอาตนเองไปทับซ้อนกับเขา แต่ข้าไม่รู้ว่าเมื่อข้าฟื้นฟูความทรงจำ ข้าจะเป็นหลานเยี่ยหรือจะบอกว่าข้าเป็นอีกคน”


 


 


“เจ้าคือหลานเยี่ย” หลานเฟิงพูดออกมาอย่างดื้อรั้น ทำให้หลานเยี่ยรู้สึกว่าเขาน่ารักนัก ยื่นมือไปบีบใบหน้าเย็นเยียบของเขา สัมผัสไม่เลวเลยทีเดียว


 


 


“หน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ปราศจากรอยยิ้ม ช่างน่าเสียดายเสียจริง”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม