(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 11

ตอนที่ 11 พู่กันขนเตียว 




วันหนึ่ง ณ ตำหนักฮวังรยง 


 

 


ฝ่าบาทประทับอยู่บนบัลลังก์ ด้านหนึ่งของฎีกากองทับถมถูกแทนที่ด้วยตำราปกสีน้ำตาล และกำลังอ่านมันอย่างจดจ่อ ขันทีโชเองก็คอยเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอด แต่เมื่อเห็นว่าข้ารับใช้จ้ำอ้าวเดินเข้ามาทางด้านหลังเสาอันใหญ่โตของตำหนัก จึงผละตัวออกมาจากฝ่าบาทครู่หนึ่ง 


 


 


“มีเรื่องอันใด” 


 


 


“สิ่งที่ฝ่าบาททรงรับสั่ง เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วขอรับ” 


 


 


“เข้าใจแล้ว ออกไปได้” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


หลังจากจัดการหน้าที่ของตนจนหมดสิ้นแล้ว ข้ารับใช้ผู้นั้นก็หันกลับไปยังทางที่เดินเข้ามา ส่วนขันทีโชก็ค้อมคำนับต่อฝ่าบาทที่ยังคงเพ่งอ่านตำราอยู่เช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยรายงาน 


 


 


“ฝ่าบาท สิ่งที่พระองค์ทรงรับสั่งเมื่อวันก่อน ทั้งหมดเป็นอันเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ รวดเร็วเสียจริง แล้วจะนำมาเมื่อใดกัน” 


 


 


“แม้จะล่าช้า ก็มาถึงก่อนยามเสวยมื้อเย็นพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ทันพอดี” 


 


 


พูดจบ จาฮอนก็วาดยิ้มเจ้าเล่ห์พลางขบคิดอะไรบางอย่าง เมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของฝ่าบาท ขันทีโชพลันคิดในใจทันทีว่า วันนี้องค์จักรพรรดินีจะต้องทรงเหน็ดเหนื่อยมากเป็นแน่ ขณะเดียวกันก็คิดว่าตนจะต้องกำชับหมอหลวงให้นำยาบำรุงกำลังมาถวาย ณ ตำหนักยอฮยังในวันรุ่งขึ้นด้วย 


 


 


จักรพรรดินีผู้นี้ช่างเก่งกาจยิ่งนัก แม้จะผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ก็ยังคงเป็นคู่ครองเพียงหนึ่งเดียวขององค์จักรพรรดิเช่นเดิม กวาดสายตามองผังราชวงศ์ตั้งแต่สมัยก่อร่างอาณาจักรจนถึงเวลานี้ ก็มีเพียงจักรพรรดิ ยังจาฮอนพระองค์เดียวเท่านั้นที่ถูกบันทึกว่ามีจักรพรรดินีคู่กายเพียงหนึ่งเดียว 


 


 


ด้วยเหตุนั้น ส่งผลให้มีข่าวร่ำลือในหมู่ราษฎรเดินดินทั่วไปว่า ความจริงแล้วจักรพรรดินีผู้นี้เป็นลูกหลานของพวกไสยเวทย์บ้าง หรือไม่ก็ใช้เล่ห์เพทุบายทำของใส่ฝ่าบาทบ้าง 


 


 


บุรุษผู้หนึ่งสามารถคว้าความสนใจของผู้อยู่เหนือหัว จนอีกฝ่ายถึงกับไม่ชายตาแลที่อื่นเลยแม้เพียงนิด สามารถทำให้ฝ่าบาทเป็นได้ถึงเพียงนั้นจึงย่อมไม่ใช่บุรุษธรรมดา กระทั่งขันทีโชเองก็ไม่อาจทำอะไรได้แม้จะมีคำกล่าวเช่นนั้นเกิดขึ้นก็ตาม 


 


 


แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะชาติกำเนิดแท้จริงขององค์จักรพรรดินีไม่ได้ถูกเปิดเผยแก่ภายนอก 


 


 


ผู้ที่ทราบเรื่องชาติกำเนิดของอีกฝ่าย รวมถึงเหตุการณ์ขุดรากถอนโคนเหล่าขุนนางทรยศแทบสูญสิ้นไปหมดแล้ว ยามนี้มีเพียงเหล่าองครักษ์ฮวังรยง ตนและเหล่าขุนนางฝ่ายเชที่ยังรักษาชีวิตไว้ได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ทราบว่าแท้จริงแล้วพระมเหสีคือผู้ใดที่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา 


 


 


ฝ่าบาทเองก็ไม่คิดจะเปิดเผย ดังนั้นจึงเกิดเป็นข่าวลือด้วยคำกล่าวเช่นนั้น แต่ก็น่าโล่งใจ เพราะภายในวังหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้ความถึงขนาดหลุดถ้อยคำร่ำลือเช่นนั้นออกมาให้ได้ยิน 


 


 


เมื่อขบคิดมาถึงตรงนี้ก็ได้ยินเสียงเคาะโต๊ะตึกๆ และมีน้ำเสียงของฝ่าบาทดังตามมาหลังจากนั้น 


 


 


“มัวแต่คิดอะไรอยู่ ข้าถามว่าเป็นอย่างไรบ้างตั้งสองหนแล้ว” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ? ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเหม่อลอยไปชั่วครู่” 


 


 


“ข้าถามเจ้าว่าให้ ‘นึง’ เป็นสกุลใหม่สำหรับมอบให้มเหสีเป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้ข้าให้นามว่า ‘โซฮวา’ ดังนั้น เมื่อนำมารวมกันแล้วฟังดูเข้ากันทีเดียว” 


 


 


“กระหม่อมเองก็คิดว่าเหมาะสมกับความสง่างามของมามาเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เจ้าเองก็คิดเช่นนั้นสินะ” 


 


 


จาฮอนจึงยกยิ้มพร้อมเติมนามสกุลใหม่เข้ากับนามที่เคยตั้งให้ พึมพำกับปากครั้งแล้วครั้งเล่า  


 


 


ขันทีโชคิดว่าคำตอบของตนถือเป็นการตัดสินใจที่ดียิ่ง ยามควรทัดทานก็ต้องทำ ทว่ากับเรื่องเหล่านี้การเห็นด้วยก็เป็นหน้าที่ที่ถูกต้องของผู้เป็นขันทีมิใช่หรือ 


 


 


ผู้มีฐานะด้อยกว่ามองฝ่าบาททรงเปิดฎีกาอีกครั้ง โดยที่ภายในยกยิ้มกระหยิ่มใจ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“มามา ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้วเพคะ” 


 


 


ด้วยเสียงนางกำนัลรายงานจากด้านนอก หลังจากทำการโยกย้ายโต๊ะไปยังเตียงฝั่งหนึ่งแล้ว โซกังจึงลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นประตูก็เปิดออกทันทีที่กล่าวว่าให้เชิญเสด็จ จาฮอนก้าวเข้ามาด้านในและวันนี้ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเหลือล้น โซกังค้อมคำนับแสดงความเคารพก่อนจะโอบคล้องคออีกฝ่ายดังเช่นทุกครา 


 


 


“เก่งมากพ่ะย่ะค่ะ ทรงจัดการราชกิจของวันนี้จนเสร็จสิ้น” 


 


 


“เป็นสิ่งข้าสมควรต้องทำ ได้ยินคำชมเช่นนี้ทุกวันจนข้าจะวางตัวไม่ถูกแล้วนะ” 


 


 


“นอกจากกระหม่อมแล้ว จะยังมีใครบังอาจเอ่ยชมฝ่าบาทกันอีกเล่า ทรงทำให้กระหม่อมซาบซึ้ง เพราะอนุญาตให้เรียกขานนามอันสูงส่งของพระองค์ กระหม่อมจึงสมควรจะต้องเอ่ยชื่นชม” 


 


 


“นั่นสิ เช่นนั้นข้าเองก็ต้องมอบรางวัลแก่มเหสีผู้มีจิตใจดีบ้างสินะ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ?” 


 


 


“รางวัลแรกคือสกุลใหม่ ข้ายังลังเลว่ามันอาจจะเป็นการกำจัดเชื้อสายแท้จริงของเจ้า ถึงจะเป็นเพียงการใส่ความ แต่ข้าก็ไม่ชอบใจหากต่อไปนามของเจ้าจะถูกบันทึกว่าเป็นบุตรชายของตระกูลที่เข้าร่วมการก่อกบฏ ดังนั้นข้าจึงพยายามทำเรื่องนี้ตามความต้องการของตน หากเจ้าไม่ชอบ จะไม่รับก็ย่อมได้” 


 


 


ว่าจบก็ยื่นส่งม้วนกระดาษที่ถือมาด้วย โซกังรับมาด้วยสีหน้างุนงง เมื่อแสดงความเคารพแล้วก็เปิดดูอย่างระมัดระวัง ลายเส้นพู่กันของอีกฝ่ายมีพลังและสบายตา ตวัดสร้างตัวอักษรบนกระดาษทองคำ 


 


 


แท้จริงแล้วยังขาดสิ่งใดกันอีก กระทั่งลายพระหัตถ์ก็ยังงดงาม 


 


 


ร่างบางจ้องมองสิ่งนั้นอยู่ครู่หนึ่งและตกอยู่ในห้วงความคิด ยามนี้ตนคงเหลืออยู่เพียงร่างกายเท่านั้น ยังรั้งอยู่ในตำแหน่งของสตรีทั้งๆ ที่ไม่สามารถให้กำเนิดทายาทอีก ทว่าต่อไปทั้งสกุล ทั้งเชื้อสายก็ถูกตัดขาดแล้ว 


 


 


ชื่อสกุลใหม่ จบสิ้นเชื้อสายของตระกูลตน แต่ไม่ว่าจะใช้สกุลใดก็ไม่แตกต่างกัน เช่นนั้นก็ย่อมสมควรรับสกุลที่อีกฝ่ายมอบให้ด้วยความขอบคุณ แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆ คล้ายตัวตนสูญสิ้นก็ตาม โซกังคุกเข่าลงกับพื้นแล้วค้อมคำนับ 


 


 


“กระหม่อมน้อมรับพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ขอบใจที่ยอมรับมัน เอาล่ะ ต่อไปก็มาตรงนี้หน่อยสิ” 


 


 


น้ำเสียงของจาฮอนเหมือนกำลังตื่นเต้นอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังลากดึงแขนของเขาไปทางแท่นบรรทม 


 


 


จาฮอนจับคนรักให้นั่งลงบนแท่นบรรทม เหลือบมองโต๊ะเพิ่งถูกเก็บไว้ด้านหนึ่ง ก่อนจะกางแผ่นหนังที่ม้วนเอาไว้ออกบนนั้น ภายในมีพู่กันอยู่หลายด้าม โซกังถึงกับตาเบิกโตและเมื่อจ้องมองจาฮอน ร่างสูงก็ยกยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้น 


 


 


“ไม่นานมานี้ข้าได้ยินว่าเจ้าเพลิดเพลินกับเขียนพู่กันทั้งวัน จึงสั่งให้ช่างนำพู่กันที่ทำขึ้นเป็นพิเศษเข้ามาในวังหลวง ถูกใจหรือไม่” 


 


 


โซกังจ้องมองจาฮอนด้วยใบหน้าซาบซึ้งเสียยิ่งกว่ายามได้รับสกุลใหม่เมื่อครู่นี้ ปลายพู่กันจัดพุ่มอย่างเรียบร้อยจนไร้ที่ติ ตรงด้ามพู่กันสลักตัวอักษรสามตัวว่า ‘ยูโซกัง’ อย่างประณีตส่งผลให้หัวใจเต้นแรงไม่หยุด 


 


 


ยามอยู่ลำพังสองคนมักจะเรียกขานด้วยนามเดิม ทว่าในที่สาธารณะแล้วตนคือจักรพรรดินีนามว่า ‘โซฮวา’ ยามนี้ถึงกับได้รับชื่อสกุลใหม่ ดังนั้นก็ไม่ต่างจากการสูญสิ้นตัวตนเดิม ทว่าจาฮอานก็แสดงให้รู้ว่าไม่ได้หลงลืมตัวตนนั้นแต่อย่างใดด้วยการกระทำนี้ ด้วยการสั่งให้สลักด้ามพู่กันด้วยตัวอักษรสามตัวอันเป็นนามแท้จริงของเขา 


 


 


โซกังใช้นิ้วมือลูบสัมผัสแผ่วเบาตรงตัวอักษรชื่อสามตัวนั้น ก่อนจะประทับจูบอ่อนโยนลงบนริมฝีปากของจาฮอน ดวงตาคู่คมเบิกกว้างกว่าปกติเมื่อถูกจู่โจมกะทันหัน 


 


 


“ถูกใจอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พูดพร้อมยกยิ้มสดใส หลังจากเอ่ยกับอีกฝ่ายแล้วจึงนำพู่กันออกมาด้ามหนึ่ง ทว่ายามนั้นจาฮอนกลับคว้ามือเรียว พอได้รับสายตาของความสงสัยก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์เฉกเช่นเด็กซุกซน 


 


 


“หากเอาไปใช้กับน้ำหมึกเฉยๆ จะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ เอามาเล่นอะไรน่าสนุกก่อนดีกว่าหรือไม่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ? ทรงพูดถึงการละเล่นอันใดกัน” 


 


 


“เดิมทีแล้วเพียงลองสัมผัสขนพู่กัน นักคัดลายมือก็รู้ว่ามันทำขึ้นจากขนของสัตว์ชนิดใดมิใช่หรือ เจ้าลองทายดูสักครั้งเป็นอย่างไร” 


 


 


“กระหม่อมไม่ใช่นักคัดลายมือเสียหน่อย ไม่สามารถทายได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากทายถูกทั้งหมด ข้าจะรับฟังสิ่งที่เจ้าปรารถนา” 


 


 


“แล้วหากทายไม่ถูก ก็จะไม่รับฟังหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ยังมีสิ่งที่ใดที่ข้าไม่รับฟังอีกหรือ เช่น การอยู่ด้านบนที่เจ้าอยากทำเมื่อไม่กี่วันก่อน หรือการหันหลังที่เมื่อก่อนเคยสงสัยนั่นอย่างไร” 


 


 


โซกังหน้าแดงก่ำพลางหลบเลี่ยงสายตา  


 


 


เมื่อไม่กี่วันก่อน เนื่องจากอีกฝ่ายแสดงความต้องการในตัวเขาอย่างเกินพอดีจนปวดเอวไปหมด จึงตัดสินใจเอ่ยอ้อนวอนว่าขออยู่ด้านบนเอง แน่นอนว่าการขอขึ้นควบอยู่ด้านบนล้วนเป็นความสงสัยที่บริสุทธิ์ใจอย่างยิ่ง โซกังรู้สึกติดใจเล็กน้อยจนถึงกับร้องขอ และถึงไม่ทำเช่นนั้น ด้วยร่างกายไม่แข็งแรงแต่เดิม กระทั่งบั้นเอวก็ยังอ่อนแรงจากการร่วมรักกันโดยอยู่ด้านล่างหลายครั้ง ทว่าวันต่อมาจับยึดสะโพกแน่นและต้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด 


 


 


“ตกลงพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระดาษ….!” 


 


 


ตั้งใจจะหยิบกระดาษที่วางอย่างเรียบร้อยตรงด้านหนึ่งของโต๊ะ แต่กลับถูกจาฮอนผลักจนทรุดเอนตัวลงบนแท่นบรรทม ร่างสูงยิ้มออกมาพร้อมดึงรั้งตัวคนรักลงมาจนผ้าพันรอบช่วงเอวคลายออก ทันใดนั้นอาภรณ์ที่ผูกไว้อย่างดีจึงคลายออกเช่นกันเผยให้เห็นแผ่นอกเปลือยเปล่า 

 

 

 


ตอนที่ 11-2 พู่กันขนเตียว

 

ตอนที่ 11-2 พู่กันขนเตียว

 


“จะทรงทำสิ่งใดกัน” 


 


 


“ข้ามอบมันเป็นของขวัญ หากจะทำให้มันเปื้อนหมึกเสียก่อนก็คงไม่ได้ ข้าจึงจะใช้เจ้าเป็นกระดาษเขียนอักษรแทน เจ้าก็จงทายให้ถูกว่าเป็นพู่กันชนิดใด” 


 


 


ขณะเอ่ยอธิบาย แขนทั้งสองข้างของโซกังก็ถูกรวบยกขึ้นด้านบน จาฮอนมัดแขนสองข้างนั้นด้วยสายรัดเอว ร่างบางได้แต่มองอีกฝ่ายแหวกอาภรณ์ของตนเองออก ก่อนจะหยิบพู่กันด้ามหนึ่งขึ้นมา 


 


 


“ลองทายดูดีๆ ล่ะ” 


 


 


จบคำพูดของจาฮอน พู่กันก็สัมผัสลงมาบนแผ่นอกทันใด ไม่ใช่การทายตัวอักษร แต่เป็นการทายชนิดพู่กัน ดังนั้นโซกังจึงข่มความงุนงงและพยายามสัมผัสความรู้สึกของพู่กันยามถ่ายทอดลงมาบนแผ่นอก ทว่าดวงตากลับคอยขยับติดตามร่องรอย กระทั่งการเคลื่อนไหวของพู่กันพลันชะงักลง 


 


 


“รู้แล้วหรือยังว่าเป็นแบบใด” 


 


 


“ทรงเขียนอักษร ‘ยอ’ พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“มิใช่ให้ทายตัวอักษรเสียหน่อย” 


 


 


เมื่อเผลอตัวทายตัวอักษรออกไป เจ้าตัวจึงกะพริบตาพร้อมวาดยิ้มขวยเขิน จาฮอนกดพู่กันลงบนแผ่นอกบางและเริ่มเขียนตัวอักษรใหม่ คราวนี้โซกังพยายามจดจ่อว่าความรู้สึกเป็นอย่างไร ทว่าเมื่อจดจ่อกลับไม่ได้สัมผัสถึงคุณภาพขนพู่กัน แต่รู้สึกจั๊กจี้เสียมากกว่า 


 


 


“อื้อ” 


 


 


ทันทีที่ปลายพู่กันสัมผัสยอดถัน โซกังก็หลุดร้องคราง ด้วยขนที่ทั้งอ่อนนุ่ม ทั้งมีพลังลากผ่านจึงกลายเป็นเช่นนั้น เนื่องจากเผลอส่งเสียงน่าอายออกมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาจึงกัดปากแน่น ใบหน้าแดงซ่านไปหมด 


 


 


ร่างสูงยกยิ้มพรายและสะกิดเน้นยอดอกด้วยพู่กันด้ามนั้น 


 


 


“มิใช่ให้ทายว่าเป็นสัมผัสของพู่กันชนิดใดหรอกหรือ” 


 


 


“อื้อ พู่กันที่ทรงถืออยู่ตอนนี้ เป็นพู่กันขนหางพังพอนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หลังจากสัมผัสรอบยอดถันและลากผ่านผิวเนื้อจนรับรู้ความโค้งงอของขน เขาเลยเอ่ยคำตอบที่คิดได้จากขนาดของความยืดหยุ่น แม้จะอับอายที่หลุดเสียงคราง แต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้ต่อการพนันในคราแรก 


 


 


“ถูกต้อง เก่งกาจนัก” 


 


 


จาฮอนวางพู่กันในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบพู่กันด้ามใหม่ขึ้นมา 


 


 


ก่อนจะเริ่มเขียนอักษรบนแผ่นอกโซกังอีกรอบ ครานี้ขนพู่กันอ่อนนุ่มกว่าขนหางพังพอนเมื่อครู่ มันขยับเคลื่อนให้รู้สึกจั๊กจี้บนผิว ปลายพู่กันมัดรวบอย่างเรียบร้อย ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของอีกฝ่ายหรือไม่ แต่มันสัมผัสลากผ่านยอดอกจนโซกังเผลอแอ่นหลังขึ้นและครวญคราง 


 


 


“อื้อ” 


 


 


“ไม่ได้การแล้วสินะ” 


 


 


“อา…พ่ะย่ะค่ะ?” 


 


 


“ข้าสั่งให้ทายว่าเป็นพู่กันชนิดใด เจ้ากลับเอาแต่ตอบรับสัมผัสที่มิใช่จากมือข้าโดยอยู่มิใช่หรือ” 


 


 


ยิ่งเห็นจาฮอนกล่าวด้วยสีหน้าหยอกเย้า ใบหน้าหวานก็ยิ่งขึ้นสีแดงจัด แม้จะพยายามอดทน แต่ก็ไม่อาจจัดการกับเสียงครางที่หลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ อีกทั้งยังรู้สึกไวต่อสัมผัสเสียยิ่งกว่าตอนได้พบอีกฝ่ายครั้งแรก ร่วมหอกันมาเสียจนไม่อาจนับได้ว่าล่วงเลยมากี่ปีแล้ว หากไม่รู้สึกไวมากขึ้นก็คงเป็นสตรีตายด้าน ไม่ใช่สิ คงจะเป็นบุรุษตายด้านเสียแล้ว และตัวต้นเหตุก็คืออีกฝ่าย 


 


 


“ทั้งหมดมิใช่เพราะท่านจาฮอนหรอกหรือ เอาแต่หยอกล้อตรงนั้นอยู่ทุกวัน ไม่คิดเบื่อหน่าย ยังจะมีหนทางใดไม่อ่อนไหวได้หรืออย่างไร” 


 


 


คำบ่นน่าเอ็นดูทำให้จาฮอนหลุดหัวเราะ ก่อนจะก้มลงไล้เลียยอดอกตั้งชันด้วยลิ้น แผ่นหลังของโซกังพลันยกแอ่นขึ้นรับสัมผัสทันที ร่างกายสั่นสะท้าน 


 


 


“อ๊ะ ฮื้อ” 


 


 


“เจ้าส่งเสียงน่าเอ็นดูเช่นนี้ ข้าจะเบื่อหน่ายได้หรือ” 


 


 


“ไม่รู้ด้วยแล้ว” 


 


 


“หากเป็นเช่นนี้ข้าคงจะชนะพนันเป็นแน่” 


 


 


“กระหม่อมจะชนะให้ได้ หากชนะจะได้พักสะโพกบ้าง” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ จะลองทำให้อ่อนไหวที่ใดอีกดีนะ หรือข้าจะช่วยให้เจ้าชนะพนันดี” 


 


 


หากเป็นเช่นนั้น แค่กล่าวว่ายอมแพ้เสียก็สิ้นเรื่อง แต่โซกังก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน เพราะชื่นชอบกายหยอกเย้าขณะสัมผัสส่วนนั้นส่วนนี้ของตนไปเรื่อย 


 


 


โซกังลังเลใจกับคำถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้นริมฝีปากของจาฮอนก็ประดับด้วยรอยยิ้มลึกล้ำ 


 


 


ความคิดที่ว่าคงไม่ใช่การตัดสินใจผิดพลาดพาดผ่านสำนึกรู้ ทว่ามันก็สายไปเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายฉีกชายอาภรณ์ออกโดยไม่รั้งรอ แล้วนำมาทาบปิดดวงตาคู่สวย โซกังจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงุนงง 


 


 


“จะทรงทำอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เหตุผลที่คนตาบอดมีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมก็เพราะมองไม่เห็นเบื้องหน้า ดังนั้นหากปิดตาไว้ ก็จะทำให้ประสาทสัมผัสของเจ้ารับรู้ได้ดียิ่งขึ้นมิใช่หรือ เอาล่ะ ข้าจะลองเขียนอีกครา” 


 


 


จากนั้นเสียงกุกกักคล้ายกำลังทำบางสิ่งก็ดังขึ้น ตามด้วยสัมผัสชุ่มชื้นแตะลงบนผิวเนื้อ 


 


 


กายของโซกังสะท้านไหวและสั่นเทา สัมผัสของพู่กันแห้งกับพู่กันเปียกชื้นแตกต่างกันอย่างยิ่ง รู้สึกราวกับถูกไล้เลียด้วยลิ้น ทว่ามันเป็นความรู้สึกที่อ่อนนุ่มยิ่งกว่านั้น อีกทั้งดวงตายังถูกปิดจึงไม่รู้เมื่อใดพู่กันนั้นจะสัมผัสลงมา ร่างกายก็ยิ่งตื่นเต้นจนรู้สึกถึงสัมผัสแจ่มชัดยิ่งขึ้น 


 


 


พู่กันค่อยๆ ขยับวาดเส้น เคลื่อนไหวราวกับจะปัดป่ายไปทุกพื้นที่ วาดเป็นเส้นขวางเส้นขวาง พู่กันอ่อนนุ่มยิ่งขึ้นเมื่อชุ่มน้ำสร้างความจั๊กจี้บริเวณซี่โครง 


 


 


“อ๊ะ!” 


 


 


เสียงอุทานหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัวทำให้โซกังขบริมฝีปาก ไม่รู้ว่าเป็นรูปวาดหรือตัวอักษรที่เขียนลงบนผิวกาย ทว่าความจั๊กจี้ของสัมผัสจากขนพู่กันก็คอยกระตุ้นอยู่เรื่อยๆ 


 


 


หลังจากนั้นพู่กันก็ผละห่างจากกาย โซกังพรูลมหายใจออกมาช้าๆ ด้วยความโล่งอก ทว่าพู่กันชุ่มชื้นก็สัมผัสตรงปลายลิ้นปี่อีกครา ความเย็นชื้นทำให้เรียวคิ้วขมวดมุ่นและหลุดเสียงอุทานออกมาอีกหน 


 


 


“อย่ามัวแต่จมกับสัมผัสแล้วก็ทายมาเสียที ข้ากำลังช่วยให้ชนะอยู่นะ เอาแต่ปล่อยสติล่องลอยไปที่อื่นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” 


 


 


“ทรงช่วยอยู่จริงๆ อึก หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ก็แน่สิ หากเดาสัมผัสไม่ออก ก็ลองจดจ่อกับตัวอักษรที่ข้าเขียนดูสิ ไม่รู้หรือว่าข้าไม่ค่อยชอบถูกควบคุม ถึงยอมช่วยเจ้าเช่นนี้ ก็ต้องทายให้ถูกสิ” 


 


 


เป็นเช่นนั้นเสมอ หากอยู่ในตำแหน่งผู้ควบคุม ไม่ว่าอย่างไรอำนาจการเป็นผู้นำในการเคลื่อนไหวย่อมเป็นของตน ทั้งการขย่มสะโพกขึ้นลง แต่หากอยู่ด้านล่างก็ไม่อาจย้ำไปมาอย่างรวดเร็วตามแต่ใจได้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่ชอบถูกควบคุม 


 


 


จาฮอนไม่ใช่คนพูดไร้สาระ โซกังเลยกัดฟันแน่นและจดจ่อกับตัวอักษรที่เขียนขึ้น ปลายพู่กันลากเส้นแนวขวางเหนือสะดือเล็กน้อย แล้วลากเส้นแนวตั้งผ่านสะดือไปจนถึงใต้สะดือ 


 


 


“อื้อ” 


 


 


รู้สึกจั๊กจี้ตรงสะดือไม่น้อย เสียงครางจึงหลุดออกจากปากอีกครา แต่ก็รู้แล้วว่าจาฮอนเขียนอักษรตัวใด เป็นอักษรคำว่า ‘กวาง’ ไม่ผิดแน่ ร่างบางหอบหายใจแล้วเอ่ยตอบ 


 


 


“เป็นพู่กันขนกวาง[1]พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ถูกต้อง เก่งมาก รู้จากตัวอักษรหรือรู้จากสัมผัสของขนพู่กัน” 


 


 


“เดาจากตัวอักษรพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เช่นนั้นเองสินะ ตอนนี้เหลืออีกสองด้าม รอเดี๋ยวล่ะ” 


 


 


“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จบคำตอบของโซกัง เสียงเสียดสีของอาภรณ์ก็ดังขึ้นทันใด ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ได้ยินเลือนราง ทั้งรู้สึกถึงเสียงสะบัดพลิ้วและสายลม 


 


 


จาฮอนลุกขึ้นปลดเปลื้องอาภรณ์อันเป็นเพียงสิ่งรุ่มร่ามออก ก่อนจะรวบผ้าเช็ดตัวที่มักจะแขวนอยู่ด้านหนึ่งเสมอติดมือมา ถือมันกลับมาแล้วเช็ดถูอย่างนุ่มนวลบนร่างกายบอบบาง เพราะก่อนหน้านี้จุ่มพู่กันกับน้ำสำหรับเติมถ้วยฝนหมึก ตัวของโซกังจึงเปียกชื้นเล็กน้อย 


 


 


จากนั้นร่างสูงก็โยนผ้าเช็ดตัวไปยังด้านหนึ่งของแท่นบรรทมแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา 


 


 


“กางกระดาษใหม่แล้ว ดังนั้นข้าจะเริ่มเขียนอีกครา” 


 


 


ถ้อยคำเช่นนั้นทำเอาโซกังหลุดเสียงหัวเราะแผ่วเบา รู้สึกเหมือนร่างกายของตนเป็นกระดาษเปียกชื้นด้วยน้ำหมึกจากตัวอักษรที่เขียนลงมา ทว่าเสียงหัวเราะนั้นก็เกิดขึ้นเพียงครู่เดียว 


 


 


เพราะจาฮอนขยับปลายพู่กันจนเกือบสัมผัสผิวเนื้อ จนเผยความประหม่าให้เห็นในสายตา อีกฝ่ายหยุดนิ่งเช่นเดิมครู่หนึ่ง ก่อนจะลากพู่กันลงด้านล่างอย่างแผ่วเบา ทว่าไม่ใช่แผ่นอกหรือหน้าท้องดั่งเช่นก่อนหน้าแล้ว ขนพู่กันสัมผัสเหนือแผ่นอกฝั่งหนึ่งแล้วลากไล้ผ่านยอดอกลงไปด้านล่างจนถึงส่วนซี่โครง 


 


 


“อ๊ะ! อื้อ” 


 


 


“รู้หรือไม่ว่าเป็นพู่กันชนิดใด” 


 


 


มองร่างกายบอบบางสั่นสะท้านขณะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือหยอกล้อ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วที่โซกังหลุดเสียงครางออกมาอยู่เรื่อยๆ เขาจึงอยากใช้พู่กันหยอกเย้าด้วยให้มากขึ้นอีกนิด และหากการเย้าแหย่นั้นจะนำพาไปสู่การร่วมรัก ก็นับว่าดียิ่งขึ้นไปอีก 


 


 


ตั้งใจเพียงแค่จะใช้พู่กันเขียนอักษรบนแผ่นอก ยิ่งได้เห็นพู่กันเคลื่อนไปมาบนผิวเนื้อขาวกระจ่างก็ยิ่งดี แต่ทันทีที่เห็นโซกังตอบรับอย่างอ่อนไหว ส่วนล่างก็พลันแข็งขืนต่างกับความตั้งใจในคราแรกโดยสิ้นเชิง 


 


 


 


 


 


[1] พู่กันขนกวาง พู่กันที่ทำจากขนแผงอกด้านหน้าของกวาง

 

 

 


ตอนที่ 11-3 พู่กันขนเตียว

 

ตอนที่ 11-3 พู่กันขนเตียว

 


ถึงโซกังจะไม่ได้ต้องการรู้สึกด้วยตนเอง แต่ยอดถันทั้งสองข้างก็ชูชันขึ้นราวกับร้องขอการรังแก 


 


 


อีกทั้งร่างกายยังขึ้นสีแดงจัด ส่วนหัวของส่วนอ่อนไหวผงกชันขึ้นทีละนิดระหว่างเส้นขนนุ่มลื่นคล้ายกำลังขลาดเขิน สองมือถูกมัดรวบ กระทั่งดวงตาก็ถูกปิด ส่งผลให้ท่าทางยั่วยวนมากเสียจนเหมือนไม่ได้มีอยู่จริงบนโลก 


 


 


“มะ…ไม่รู้…พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เช่นนั้นลองสัมผัสความรู้สึกอีกคราสิ” 


 


 


ทันทีที่ถ้อยคำของจาฮอนจบลง ปลายพู่กันจึงสัมผัสลงบนผิวกายอีกครา ทว่ามันกลับแตะลงบริเวณเหนือยอดอกจนร่างกายบอบบางสะท้านเฮือกโดยไม่ตั้งใจ 


 


 


“ฮื้อ!” 


 


 


ตัวขนให้สัมผัสอ่อนนุ่มคล้ายกับพู่กันด้ามก่อน แต่ว่ามันเป็นคนละด้าม แน่นอนว่าโซกังไม่มีสติมากพอจะรับรู้ถึงความแตกต่างของสัมผัส พู่กันไล้วนรอบฐานอก สัมผัสผ่านเหนือยอดอกซ้ำๆ เพียงแค่อดกลั้นเสียงครางก็เกินกำลังแล้ว 


 


 


ขยับวาดผ่านแผ่นอก เคลื่อนสัมผัสเป็นแนวเส้นขวางไปสู่ด้านตรงข้าม โซกังขบกัดริมฝีปากแน่นขึ้น แต่นิ้วของจาฮอนก็ลูบไล้ลงบนริมฝีปาก 


 


 


“อย่ากัดสิ ประเดี๋ยวเลือดจะออก” 


 


 


“อ๊ะ! อึก พู่กันมัน… อื้อ” 


 


 


“จะไม่บอกว่าจะเขียนที่ใด ทายให้ถูกก็จบแล้ว” 


 


 


“ตะ แต่ตรงไหน…อ๊ะ!” 


 


 


ทันทีที่ปลดปล่อยสิ่งที่พยายามปิดกลั้น เสียงครวญครางก็หลุดออกจากปากโซกังอยู่เรื่อย ส่วนพู่กันก็เริ่มขยับไล้กระดูกซี่โครงทีละส่วน ร่างบางบิดสะโพกเร่าและพยายามหุบเรียวขาที่คอยแต่จะกางออก สุดท้ายส่วนล่างก็ถูกกระตุ้นจนเครียดเกร็ง ช่องทางด้านหลังขมิบถี่ แม้จะเป็นร่างกายของตนเองแต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เลย 


 


 


เมื่อพู่กันเคลื่อนผ่านสีข้าง ศีรษะของโซกังก็พลันสะบัดเชิดขึ้น กระทั่งมันเคลื่อนลงอย่างอ่อนโยน ไล้ผ่านกล้ามเนื้อปรากฏชัดและเริ่มเคลื่อนกลับไปมาที่ท้องน้อย 


 


 


“อา หยุด… อื้อ จาฮอนหยุด…ฮึก!” 


 


 


ปลายแกนกายผงกส่วนหัวแข็งขืนอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้อีกฝ่ายคล้ายไม่มีความคิดจะเขียนตัวอักษรแล้ว และตนก็ไม่หลงเหลือสติจะทายชนิดจากสัมผัสของมันแล้วเช่นกัน โซกังพยายามเค้นสตินึกถึงชนิดของพู่กันอ่อนนุ่มก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหอบหายใจ 


 


 


“เป็นพู่ พู่กันขนแพะพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ช่างมีฝีมือในการคาดเดายิ่งนัก ถูกต้อง คราวนี้เป็นด้ามสุดท้ายแล้ว” 


 


 


เขาสูดหายใจอย่างหนักหน่วงขณะพยายามบังคับร่างกายร้อนรุ่มให้สงบลง ทว่าจาฮอนกลับไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น หลอกล่อให้ตื่นตัวจนถึงส่วนปลายด้วยพู่กัน ส่งผลให้เจ้าของร่างกายกระสับกระส่ายตกสู่ห้วงแห่งความลุ่มหลง 


 


 


นำพู่กันด้ามสุดท้ายทำให้เปียกชุ่มด้วยน้ำ จากนั้นก็กางขาเรียวออกและขยับเคลื่อนตรงระหว่างช่องทางด้านหลัง พู่กันอ่อนนุ่มสัมผัสส่วนผิวเนื้อบาง 


 


 


“จาฮอน อย่าทำ…ฮื้อ!” 


 


 


แม้จาฮอนจะไม่ได้จับอ้ากว้างมากนัก แต่เรียวขาของโซกังอ้ากว้างเองอย่างรู้งาน ทันทีที่ขนอ่อนนุ่มสัมผัสช่องทางด้านหลัง สะโพกอิ่มก็บิดเร่า ร่างสูงขยับปลายพู่กันแตะสัมผัสส่วนถุงน้ำกลมกลึง ความอ่อนนุ่มไล้ผ่านคล้ายกำลังถูกไล้เลีย 


 


 


ในที่สุดความร้อนรุ่มก็ทำให้เสียงครางเกินต้านทานดังออกมาจากปากของโซกังอย่างต่อเนื่อง 


 


 


แกนกายของจาฮอนเองก็ตื่นตัวจนแทบระเบิด แต่กลับขยับพู่กันขึ้นด้านบนไล้ส่วนอ่อนไหวของโซกัง จนของเหลวหนืดข้นเอ่อล้นจากส่วนปลายแปดเปื้อนขนพู่กัน ปลุกปั่นท่อนเนื้อชโลมด้วยของเหลว ก่อนจะขยับขึ้นลงหลายครั้ง ถูไถพู่กันไล้รูดส่วนหัวป้านและเบียดบี้ส่วนปลาย ขณะนั้นแผ่นหลังของโซกังโก่งโค้งขึ้นดั่งคันศร 


 


 


“อ๊า!! อื้อ!” 


 


 


หยาดของเหลวฉีดพ่นจากแกนกายจนเปียกชุ่มพู่กันที่ทาบทับอยู่บนนั้น จาฮอนหัวเราะแผ่วเบาพลางขยับมืออีกข้างสัมผัสช่องทางคับแคบและเอ่ยกระซิบ 


 


 


“เปียกไปหมดแล้ว” 


 


 


“อะไรกัน อา เหตุใด…” 


 


 


“พู่กันน่ะ เปื้อนน้ำของเจ้าหมดแล้ว” 


 


 


“อา” 


 


 


โซกังไม่เพียงหน้าแดง แม้กระทั่งร่างกายก็ยังแดงจัด จาฮอนหัวเราะและขยับพู่กันไปยังช่องทางด้านหลังอีกครั้ง 


 


 


“ไม่มีอันใดน่าอาย ข้าจะช่วยให้เจ้าเปียกทั้งข้างนอกข้างในเลย” 


 


 


“อึก! ไม่ได้นะ! อา อ๊าา!” 


 


 


ทันทีที่พู่กันชุ่มชื้นและอ่อนนุ่มหยอกเย้าช่องทาง โซกังก็บิดสะโพกและเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะหวีดร้องออกมา เขาขยับพู่กันแปดเปื้อนอย่างไม่หยุดพักจนกระทั่งช่องทางรักเปียกชุ่มขมิบถี่ ยามนี้มันบีบรัดและขึ้นสีดอกท้อราวกับกำลังเขินอาย ทั้งยังเปิดอ้าออกเล็กน้อย คล้ายบอกว่าเตรียมพร้อมรองรับตัวตนอีกฝ่ายแล้ว 


 


 


จาฮอนโยนพู่กันทิ้งไปด้านข้าง แล้วส่งแกนกายของตนเองเข้าสู่ช่องทางภายในคราวเดียว 


 


 


“อึก!!” 


 


 


เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกเล็ดลอดออกมาจากปากโซกัง ทันทีที่อีกคนรุกรานเข้ามา ส่วนอ่อนไหวก็กระตุกเกร็งราวกับจะปลดปล่อยหยาดวสันต์ออกมาในทันใด จาฮอนคลายผ้ามัดมือทั้งสองออกให้ รวมถึงกระชากผ้าปิดตาออกด้วย จากนั้นก็เอ่ยถามคนหอบหายใจอย่างหนักด้วยน้ำเสียงกระด้าง 


 


 


“แล้วพู่กันอันสุดท้ายเป็นชนิดใด” 


 


 


“อ๊ะ อา พู่กันขนเตียว…ชะ ฮือ ใช่หรือไม่” 


 


 


“ถูกต้อง” 


 


 


ร่างสูงดึงตัวคนรักเข้ามากอดพร้อมเอ่ยตอบรับ จนตนเองเอนหงายลงทางด้านหลังและร่างบางขึ้นมานั่งทาบทับบนตัว ยามนี้โซกังจึงอยู่ในตำแหน่งผู้ควบคุม จาฮอนดึงรั้งท่อนขาเรียวเมื่อฝ่าเท้าเหยียบบนแท่นบรรทม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเปี่ยมความปรารถนา 


 


 


“เจ้าเป็นฝ่ายชนะ เช่นนี้แล้วก็โปรดเมตตาข้าด้วย ข้ายอมอดทนอยู่นานจนปวดไปหมด” 


 


 


โซกังหอบหายใจแรงพร้อมกับแตะมือลงบนแผ่นอกแกร่ง ก่อนจะพับเรียวขาตั้งชันให้เข่ากลับลงมาแนบสัมผัสแท่นบรรทม จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับโยกสะโพกพลางเอ่ยกระซิบ ด้วยสีหน้าโอหังราวกับตั้งใจยั่วยวนไม่หยุด 


 


 


“แล้วผู้ใดที่เอาแต่กลั่นแกล้งกันเช่นนั้นเล่า กระหม่อมเองก็จะลองแกล้งฝ่าบาทให้นานขึ้นสักหน่อย” 


 


 


“นั่นมัน…อึก!” 


 


 


ก่อนจาฮอนจะทักท้วงจบ ช่องทางรักก็บีบรัดและบีบเคล้นโคนแกนกายภายใน ผนังกระตุกรัดซ้ำและดูดกลืน ความกระสันซ่านทำให้เจ้าตัวต้องคำรามร้องพร้อมขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


โซกังขยับโยกสะโพกอย่างเนิบนาบ ซ้ำยังออกแรงเกร็งบั้นท้ายให้ช่องทางของตนสลับรัดคลาย บีบรัดจนถึงขีดสุดแล้วคลายออก จาฮอนเสียวซ่านจนไม่สามารถจะกล่าวอะไรได้ ทว่าเขาก็ยกสะโพกขึ้นจนโซกังต้องกดแผ่นอกเอาไว้ 


 


 


“ห้ามขยับพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นผู้ชนะพนันมิใช่หรือ วันนี้กระหม่อมจะขอทำตามใจตนเอง” 


 


 


พูดจบก็โอบกอดตัวตนของอีกฝ่าย และขยับสะโพกอย่างนุ่มนวลราวกับบดเบียดช่วงล่างให้ทลาย ช่องทางบีบรัดแล้วผ่อนคลายซ้ำไปเรื่อยๆ หากจาฮอนจะแตะมือบนกายก็จะเหลือบมอง หากคิดจะยกสะโพกสวน ก็จะค่อยๆ กดลงบนแผ่นอกหรือตีเบาๆ เป็นการตักเตือน 


 


 


ภายในอบอุ่นและคับแคบทำให้ส่วนกลางกายของจาฮอนกักตุนความต้องการเต็มเปี่ยม เพียงไม่กี่ครั้ง… อีกเพียงไม่กี่ครั้งก็จะสามารถไปถึงจุดหมายได้แล้ว ทว่าโซกังกลับไม่ยินยอม สุดท้ายจึงไม่อาจไปถึงฝั่ง เมื่อความต้องการไปไม่ถึงก็ส่งผลให้เขาแทบคลั่ง ขณะเดียวกันโซกังก็ชักรูดแกนกายของตนเองจนกระทั่งปลดปล่อยบนหน้าท้องแน่น และนั่นทำให้ผนังด้านในตอดรัดแกนกายอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ในที่สุดจาฮอนก็ต้องยอมยกมือทั้งสองข้าง 


 


 


“โซกัง อย่าทำเช่นนั้นเลย แรงกว่านี้ ขยับแรงๆ” 


 


 


“ไม่เอาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่าเป็นของขวัญ แต่กลับทำเช่นนั้น พู่กันจะไม่พังหมดหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ร่างบางบ่นออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทั้งๆ ที่หน้าขึ้นสีแดงซ่านด้วยความตื่นเต้น จาฮอนยื่นมือไปทางใบหน้าหวาน เจ้าตัวก็ยอมขยับแก้มลงมาให้สัมผัสมือใหญ่ 


 


 


“เพราะเจ้างดงามยิ่ง ข้าจึงเผลอหยอกเย้าแรงเกินอยู่เรื่อย พู่กันนั่นข้าจะสั่งทำให้อีก” 


 


 


เมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทียอมจำนนให้เห็น โซกังจึงยอมขยับกายโยกขึ้นลงอยู่ด้านบนราวกับกำลังควบขี่ม้า และหลังจากภายในกายได้รับหยาดน้ำรักเติมเต็ม เขาก็ทรุดแนบตัวกับคนรักพร้อมหอบหายใจแรง 


 


 


ทั้งสองอิงแอบแนบชิดเช่นนั้นอยู่ชั่วครู่จนสามารถควบคุมการหายใจได้ จึงเปลี่ยนมานอนหนุนแขนของกันและกันดั่งเช่นปกติ 


 


 


จากนั้นจาฮอนก็พึมพำออกมาทั้งๆ ที่ยังกอดโซกัง 


 


 


“ว่าแต่พู่กันนั่นดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เหตุใดเจ้าจึงเสร็จสมเร็วกว่ายามข้าทำให้เล่า” 


 


 


“ทรงว่าอย่างนั้นหรือ หากทรงสงสัย ก็ลองสัมผัสดูสักครั้งสิพ่ะย่ะค่ะ พู่กันขนเตียวก็พอทำให้รู้สึกดี” 


 


 


“เจ้าพูดจริงหรือ ข้าต้องหึงหวงพู่กันขนเตียวจริงๆ อย่างนั้นหรือ” 


 


 


“กระหม่อมหยอกเล่นพ่ะย่ะค่ะ จะให้เปรียบเทียบสิ่งของเช่นพู่กันกับสวามีได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จาฮอนกับโซกังพูดคุยเรื่องราวสนุกสนานเช่นนั้นต่ออีกสักพัก 


 


 


และหลังจากนั้น ขันทีโชก็ต้องไปแจ้งคำสั่งแก่ช่างทำพู่กันว่าให้อีกฝ่ายทำพู่กันขนเตียวมาเพิ่มอีกสิบแท่ง 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม