(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 102-139

 ตอนที่ 102 จู่ๆ ก็ประทับใจขึ้นมานิดหน่อย


 


 


           ซังจิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ถือแก้วสบายๆ ตามใจตัวเอง ก้มหน้าเอ่ย “แจ่มแจ้งชัดเจน”


 


 


           “ซังจิ่ง เจียงมู่เฉินคนนี้จัดการยากกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้เยอะทีเดียวนะ” เซวียยางเอ่ยเตือน ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึก แต่ตอนนี้ได้มาใกล้ชิดพูดคุยด้วยแบบนี้ เขาคิดว่าเจียงมู่เฉินนั้นจัดการยากทีเดียว


 


 


           “เป็นภารกิจ ยากมากๆ สิ ถึงจะท้าทาย” ซังจิ่งกลับไม่ได้ถือสาอะไรมากมาย


 


 


           “ถึงยังไงฉันก็เตือนนายจากใจนะ ที่เหลือนายดูเองแล้วกันว่าจะจัดการยังไง”


 


 


           “วางใจเถอะ ฉันมีแผนของฉันอยู่”


 


 


           หลังจากเซวียยางวางสายไป เขาก็เอนพิงกายไปกับพนักพิง นิ้วมือลูบแก้วเหล้าเบาๆ ในหัวอดคิดถึงท่าทีของเจียงมู่เฉินเมื่อครู่นี้ไม่ได้


 


 


           ตามนิสัยของเจียงมู่เฉิน คนที่จะทำให้เจียงมู่เฉินวางความเย่อหยิ่งนี้ลงได้ ในใจเขาควรจะแคร์คนคนนั้นมากพอ


 


 


           …


 


 


           กลับมาถึงคฤหาสน์ ซือเหยี่ยนนั่งอยู่กับโน้ตบุ๊กหน้าโต๊ะอาหาร ข้างๆ วางอาหารที่ไม่รู้ว่าทำเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ เจียงมู่เฉินคิดว่าเขายังอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่น่ากลับมาเร็วขนาดนี้


 


 


           “กลับมาแล้วเหรอ” หลังจากซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินก็ยื่นมือไปปิดโน้ตบุ๊กลง


 


 


           “นายมาอยู่นี่ได้ไง” เจียงมู่เฉินไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมาย


 


 


           “ทำไมกลิ่นเหล้าหึ่งทั้งตัวเลย”


 


 


           เมื่อเจียงมู่เฉินเดินเข้าไป เพียงชั่วครู่เดียวกลิ่นเหล้าก็โชยออกมา


 


 


           เห็นซือเหยี่ยนที่ทำอาหารรอเขาอยู่ที่บ้าน เจียงมู่เฉินก็เริ่มรู้สึกผิดบ้างแล้ว เขาลูบจมูกตัวเองป้อยๆ “ไปหลานเยี่ยหาเฉิงฉี เลยถือโอกาสดื่มเหล้าไปสองแก้วด้วยน่ะ”


 


 


           สายตาซือเหยี่ยนกวาดผ่านตั้งแต่ใบหน้าของเขาขึ้นไป เจียงมู่เฉินรีบพูดต่อ “ไม่ได้ไปเต้น”


 


 


           ได้ยินเขาพูดมาแบบนี้ ซือเหยี่ยนอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ “อืม ผมรู้”


 


 


           เจียงมู่เฉินยังสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้ ผลคือตอนเห็นว่าสายตาของซือเหยี่ยนมาหยุดที่บนหัวของเขา เพียงพริบตาเดียวก็ระเบิดลงทันที


 


 


           “นายคิดว่าตอนนี้ฉันน่าเกลียดซะจนถึงไปเต้นก็ไม่มีคนมาดูแล้วใช่ไหม”


 


 


           เขายังเสียขวัญเรื่องทรงผมของตัวเองไม่ทันหายก็โดนซือเหยี่ยนโจมตีมาแบบนี้ โกรธจนปวดตับปวดใจไปหมด


 


 


           ทันทีที่ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินระเบิดลงก็รีบเริ่มเอาน้ำเย็นเขาลูบ เขาเอามือยีหัวเจียงมู่เฉิน ผมสั้นตั้งตรงทิ่มอยู่บนฝ่ามือ รู้สึกคันยุบยิบนิดหน่อย แต่เพียงครู่เดียวก็ติดใจเสียแล้ว


 


 


           “ดูดีกว่าปกติ” ซือเหยี่ยนเข้าใกล้เข้าไปจูบเขา “จะแบบไหนคุณก็ดูดีไปหมดนั่นแหละ”  


 


 


           เจียงมู่เฉินเคืองใจจนขมวดคิ้ว ท่าทีที่ซือเหยี่ยนปลอบใจเขา ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนกำลังปลอบใจผู้หญิงไม่มีผิด


 


 


           “นายไปให้พ้นเลย” เจียงมู่เฉินผลักเขาออก


 


 


           “กินข้าวแล้วหรือยัง”


 


 


           เจียงมู่เฉินดื่มเหล้าที่หลานเยี่ยจนอิ่ม ยังไม่รู้สึกหิว “ไม่อยากกิน”


 


 


           “กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย”


 


 


           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินว่าเขายังไม่กินข้าว เพียงเสี้ยวเวลาก็ใจอ่อนลงแล้ว “ทำไมจนป่านนี้ยังไม่กินข้าวอีก”


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มเบาๆ “รอคุณ ผมอยากกินข้าวด้วยกันกับคุณ” เขาจูงมือเจียงมู่เฉินมา “อยากกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินนั่งตรงข้ามซือเหยี่ยนยอย่างว่าง่าย อยู่เป็นเพื่อนเขากินข้าว ไม่ว่าจะมองซือเหยี่ยนอย่างไร เพียงเพื่อรอเขามาจนถึงตอนนี้ แม้แต่ข้าวก็ยังไม่กิน เจียงมู่เฉินหมดหนทางจะปฏิเสธจริงๆ


 


 


           อาหารบนโต๊ะเย็นไปหมดแล้ว เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเตรียมหยิบตะเกียบกินข้าวก็ถูกซือเหยี่ยนห้ามเอาไว้ก่อน


 


 


           “เดี๋ยวก่อน อาหารเย็นหมดแล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนหยิบเอาอาหารเข้าไปอุ่นในครัว เจียงมู่เฉินนั่งบนเก้าอี้มองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ในครัว ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


           หลายปีมานี้ เขายังไม่เคยได้รับความรู้สึกอบอุ่นนี้จากคนอื่นมาก่อน


 


 


           รอบดวงตาเขารู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ ขึ้นมา เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้าห้องครัวไป สวมกอดซือเหยี่ยนเอาไว้


 


 


           มือซือเหยี่ยนที่อุ่นอาหารอยู่ หยุดชะงักลง “เป็นไรไป”


 


 


           เจียงมู่เฉินแนบใบหน้าคลอเคลียไปกับแผ่นหลังของซือเหยี่ยน “ไม่มีอะไร จู่ๆ อยากกอดนายขึ้นมาน่ะ”


 


 


           เงียบไม่พูดไม่จากันไม่กี่นาที เจียงมู่เฉินถึงคลายมือออก แล้วเคาะโต๊ะ “เร็วหน่อยสิ ถ้ายังไม่เสร็จ คุณชายจะไม่กินข้าวเป็นเพื่อนนายแล้วนะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “รู้แล้ว เดี๋ยวก็ได้แล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินนั่งหน้าโต๊ะอาหาร กินคำไม่หมดคำ มองดูซือเหยี่ยนนั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ จึงเอ่ยถาม “ทำไมวันนี้นายถึงกลับมาเร็วได้ ไม่ไปดูน้องเหวินฮุ่ยของนายแล้วหรือไง”


 


 


 


 


ตอนที่ 103 หึงแล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนที่กินอาหารค่ำอยู่หยุดชะงักไป เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง


 


 


           เจียงมู่เฉินยักคิ้วใส่เขาโดยไม่หวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางยั่วโมโหของเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา ท่ามกลางคนที่เขารู้จักมีเพียงเจียงมู่เฉินที่ถามคำถามแบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉยขนาดนี้


 


 


           “ผมไม่ได้ไปโรงพยาบาล” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


           “วันนี้ทั้งวันนายไม่ได้ไปโรงพยาบาลเลยเหรอ” งั้นตั้งแต่เช้าตรู่เขาไปไหนกัน


 


 


           “ที่บริษัทมีประชุมด่วน ตอนจะออกไปคุณยังไม่ตื่น ผมก็เลยไม่ได้เรียกคุณ” ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง “ดังนั้นคุณก็เลยคิดว่าที่ผมไม่บอกคุณก็เพื่อจะไปโรงพยาบาลเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินลูบจมูกไปมา “ฉันจะสนใจนายมากมายขนาดนั้นไปทำไม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย”


 


 


           ซือเหยี่ยนวางตะเกียบที่กินข้าวลง แล้วมองเขาอย่างจริงจัง “เจียงมู่เฉิน”


 


 


           “มีอะไร” จู่ๆ ก็มาเสียงแข็งเรียกเขา ทำเอาเขาสะดุ้งตกใจทีเดียว


 


 


           “คุณหึงแล้วใช่ไหม” แววตาซือเหยี่ยนแฝงรอยยิ้ม


 


 


           “หึง หึงเหรอ นายบ้าไปแล้ว ฉันเจียงมู่เฉินเป็นคนที่จะนึกจะหึงก็หึงหรือไง”


 


 


           “อ๋อ?” ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ไม่ได้เพราะว่าหึงจริงๆ เหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินชักจะระเบิดลงแล้ว เขาถลึงตามองซือเหยี่ยน “นายจะกินไม่กิน ไม่กินฉันจะไปแล้วนะ”


 


 


           สำหรับคนรักที่หึงกันชัดๆ แต่กลับค้านหัวชนฝาไม่ยอมรับแบบนี้ ซือเหยี่ยนหยิบตะเกียบกลับมาอย่างขำๆ ตัดสินใจอย่าถามต่อไปเลยดีกว่า ทำให้คนโกรธขึ้นมาจริงๆ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก


 


 


           หลังกินอาหารค่ำเสร็จ ซือเหยี่ยนตรงเข้าห้องหนังสือทันที สิบนาทีให้หลังก็มีประชุมกันผ่านทางวิดีโอ


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่ได้ไปรบกวนอีกฝ่าย เขาพุ่งตัวเข้าห้องนอนไปอาบน้ำ ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เจียงมู่เฉินจ้องมองหัวตัวเองแล้วปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


           แค่คิดว่าต้องแบกทรงผมนี้ไปก็ร้อนใจไม่เป็นสุขแล้ว ไม่รู้ว่าผมเขาจะขึ้นเร็วหรือช้า แล้วเมื่อไหร่ถึงจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้


 


 


           อาบน้ำอย่างรวดเร็วเสร็จสรรพ เจียงมู่เฉินดูเวลา พบว่ายังห่างจากเวลาเข้านอนอยู่มาก เขาเบื่อจึงไปหยิบมือถือมานอนคว่ำเล่นเกมบนเตียง


 


 


           รบราฆ่าฟันจนถึงด่านสุดท้าย ดวงตาจดจ่อจนแดงก่ำ แม้แต่ซือเหยี่ยนเดินเข้ามาก็ยังไม่รู้ตัว


 


 


เจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง หัวเกรียนๆ ประจักษ์ตาชัดเจน ทันทีที่ซือเหยี่ยนเห็นหัวทุยๆ ของเขาก็อดที่จะอยากหัวเราะไม่ได้


 


 


           ปิดประตูแล้วเดินเข้าไป เขาโอบกอดอีกคนจากด้านหลัง


 


 


           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเล่นถึงด่านสุดท้าย มาโดนซือเหยี่ยนกอดเข้าให้แบบนี้ เขาสะดุ้งตกใจจนมือสั่น โดนคนอื่นฆ่าในเกมเรียบร้อย


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูตัวเองที่นอนอยู่กับพื้นในเกม อนาถใจตัวเองเหลือเกิน


 


 


           “ซือ! เหยี่ยน!”


 


 


         เขาโยนมือถือลงข้างตัว แล้วพลิกตัวหันมากดไหล่ของซือเหยี่ยนไว้ อยากจะซัดเขาฟาดสักป๊าบใหญ่ๆ


 


 


           “เวลาไหนไม่มา ดันมาเวลานี้” เจียงมู่เฉินโมโหจนเข็ดฟัน “โอ๊ย…อยากจะกัดนายให้ตายจริงๆ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยืดตัวขึ้น ไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิด เขายักคิ้วขึ้นอย่างเรียบเฉย “กัดเถอะ คุณลองดูว่าตรงไหนน่ากัดแล้วกัดได้เลยตามสบาย”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูลำคอเพรียวยาวของเขา แล้วกัดเข้าไปเต็มๆ ทันที


 


 


           “โอ๊ย…คุณเป็นหมาเหรอ” ซือเหยี่ยนเจ็บจนคิ้วขมวด


 


 


           “คราวหน้าถ้านายกล้ามากอดฉันกะทันหันแบบนี้อีก ฉันฟาดนายตายแน่” เจียงมู่เฉินขบกรามอย่างโหดเ**้ยม


 


 


           ใบหน้าซือเหยี่ยนแต้มรอยยิ้ม “งั้นคุณกอดผมก็ได้ เวลาไหนผมก็ให้คุณกอดได้หมด ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ”


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของเขา รู้สึกว่ารอยยิ้มเขาช่างอวดดีไม่เบา


 


 


           เขาเขยิบตัวมาด้านข้าง วางขาพาดไว้บนขาของซือเหยี่ยนเสียเลย “นายจะไม่ไปดูหลินเหวินฮุ่ยจริงๆ เหรอ เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่เหมาะไม่ควรหรอกมั้ง”


 


 


           “ทำไม เป็นห่วงเธอเหรอ”


 


 


           “ฉันจะไปห่วงเธอทำไม หาเหตุผลที่จะห่วงเธอไม่เจอเลย”


 


 


           “แล้วที่คุณให้ผมไปดูเธอ”


 


 


           “ฉันแค่พูดถึงความมีมนุษยธรรมต่างหาก แค่รู้สึกว่าเธอไม่มีคนดูแลเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความรู้สึกส่วนตัวใดๆ ปนไปด้วย”


 


 


           ซือเหยี่ยนขยับตัวเอียงข้างมามองเขา “วางใจเถอะ ผมหาคนดูแลเธอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผมไป”


 


 


           “แต่ว่า เธอต้องอยากให้นายไปแน่เลย”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นทรงผมสั้นเกรียนของเขาก็อดจะยื่นมือไปลูบไม่ได้ ทิ่มแทงเหมือนนิสัยของเจียงมู่เฉินไม่มีผิด


 


 


           “คุณอยากให้ผมไปเหรอ”


ตอนที่ 104 ผู้ชายต่างเป็นพวกหลอกลวงกัน 


 


 


           เจียงมู่เฉินชักจะหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว “ซือเหยี่ยน พวกเราผู้ชายโตๆ กันแล้วทั้งคู่อย่าพูดต่อล้อต่อเถียงกันไม่หยุดเหมือนผู้หญิงกันจะได้ไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนฟังเขาพูดไป พลางเล่นผมเขาไป 


 


 


           “นายอย่าเพิ่งเล่นก่อนได้ไหม” เจียงมู่เฉินปัดมือเขาลง 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง “เธอก็คือน้องสาว ส่วนคุณคือแฟนของผม ระหว่างเธอกับคุณ ผมเลือกคุณ” 


 


 


           สีหน้าเจียงมู่เฉินตกตะลึง เบนสายตาหนีทันทีหลังจากนั้น “ฉัน…ฉันต้องให้นายเลือกหรือไง” 


 


 


           ยามเขาพูดจา ใบหูก็ปรากฏสีแดงระเรื่อโดยไม่ได้ตั้งใจ 


 


 


           ท่าทางเล่นแง่ไม่ยอมรับของอีกฝ่ายอยู่ในสายตาของซือเหยี่ยนทั้งหมด เขาเข้าใกล้เข้าไปงับใบหูที่กำลังแดงขึ้นเรื่อยๆ  


 


 


           “นายกัดฉันทำไม” 


 


 


           เสียงพูดของเจียงมู่เฉินเพิ่งจะหยุดลง ทั้งตัวก็โดนกกกอดไว้เต็มอก 


 


 


         ทั้งคืนราวกับกำลังจี่ขนมเปี๊ยะไปกับกระทะ ถูกเขาจับพลิกไปพลิกมา สุดท้ายขาท่อนล่างเจียงมู่เฉินเป็นตะคริวกันไปหมด 


 


 


           อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก… 


 


 


           เพราะคำพูดที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรของซือเหยี่ยน ทำใจตัวเองอ่อนยวบ จึงโดนเขาจับกดไปทั้งแบบนี้ 


 


 


           … 


 


 


           เช้าวันรุ่งขึ้น ร่างกายเจียงมู่เฉินปวดระบมไปทั้งตัว แทบอยากจะใช้กำลังจับกดอีกฝ่ายแทน  


 


 


           ‘ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่มีประสบการณ์’ 


 


 


           ‘แล้วก็ไม่รู้จักจะอ่อนโยนบ้างเลย ผู้ชายต่างเป็นพวกหลอกลวงกันจริงๆ’ 


 


 


           นอนตัวแข็งทื่อราวกับศพอยู่บนเตียงต่อไป เจียงมู่เฉินไม่อยากขยับตัว รู้สึกเหมือนร่างกายถูกฉีกออกแล้วถูกประกอบเข้าไปใหม่ซ้ำใหม่อีกครั้ง 


 


 


           เขานอนไป ก่นด่าสาปแช่งซือเหยี่ยนไป ให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งเพราะทำเกินกว่าเหตุจะดีที่สุดเลย 


 


 


         ถึงอย่างไรของตัวเองยังดี ไอ้หมอนั่นแค่นอนหงายก็ได้แล้ว เขารับประกันว่าเขาจะปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างสบายๆ 


 


 


           นอนต่ออีกสักพัก เจียงมู่เฉินถึงได้ยันกายขึ้นลุกไปอาบน้ำ วันนี้มั่วไป๋กลับมา เขายังต้องรีบไปสนามบินไปรับมั่วไป๋อยู่ 


 


 


           หลังจากเตรียมตัวทุกอย่างเสร็จสรรพ ยามคิดว่าจะออกไปแล้ว เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ารถของเขาไม่ได้อยู่ที่บ้านของซือเหยี่ยน คงจะให้เขาเรียกรถไปรับมั่วไป๋ไม่ได้หรอก 


 


 


           เจียงมู่เฉินล้วงหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างเนือยๆ ก่อนต่อสายหาซือเหยี่ยน 


 


 


           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ในห้องประชุม มือถือที่วางไว้อยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมากะทันหัน ซือเหยี่ยนเห็นชื่อบนหน้าจอก็ยื่นมือหยิบมือถือขึ้นมาทันที 


 


 


           เขาไม่ได้เดินออกไปข้างนอก แต่รับสายโทรศัพท์ในห้องประชุมทั้งแบบนี้เลย 


 


 


           “ซือเหยี่ยน บ้านนายมีรถอะไรสำรองสักคันไหม ฉันต้องไปรับมั่วไป๋” 


 


 


           “ในโรงรถยังมีอยู่อีกคันหนึ่ง” 


 


 


           “อ่อ รู้แล้ว ให้ฉันยืมใช้หน่อยนะ กลับมาแล้วฉันจะคืนนาย” เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินว่ามีรถ เขาก็หาทางได้แล้ว 


 


 


           “ต้องการให้ผมกลับมา แล้วไปเป็นเพื่อนคุณไหม” เสียงซือเหยี่ยนอ่อนโยนเป็นพิเศษ 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาเอ่ยอย่างอ่อนโยนกะทันหันแบบนี้ ก็เริ่มรู้สึกเกรงใจ รีบเอ่ยตอบ “นายจะมาประสมโรงอะไรล่ะ ฉันไปเองก็ได้แล้ว นายทำงานต่อเถอะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “ได้ งั้นก็เดินทางปลอดภัย ระมัดระวังด้วย” 


 


 


           หลังจากวางสายไป คนทั้งห้องประชุมมองซือเหยี่ยนแบบไม่กล้าจะเชื่อหูตัวเอง ค่อนข้างตกใจพอควร 


 


 


           ได้ยินได้ฟังเสียงพูดนี้ น้ำเสียงช่างดูสนิทสนมกันเสียจริง 


 


 


           ‘มีปัญหา ต้องมีปัญหาแน่ๆ’ 


 


 


           ไป๋จิ่งจ้องซือเหยี่ยนเขม็ง อยากจะเห็นร่องรอยเบาะแสอะไรออกมาจากใบหน้าของเขา 


 


 


           ก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “ประชุมกันต่อ” 


 


 


           คางไป๋จิ่งใกล้จะโดนเขาแช่แข็งจนหักหลุดออกมาแล้ว เปลี่ยนหน้าเร็วเกินไปไหมเพื่อน  


 


 


           เจียงมู่เฉินเข้าไปในโรงรถ ที่แท้ข้างในก็มีรถจากัวร์คันสีดำจอดไว้อยู่คันหนึ่ง เจียงมู่เฉินยืนถอนหายใจอยู่หน้ารถ นี่มันความสง่าอะไรกัน ไม่เหมาะกับเขาเลย 


 


 


           เจียงมู่เฉินส่งข้อความหาซือเหยี่ยนเงียบๆ 


 


 


           มือถือบนโต๊ะสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ซือเหยี่ยนหยิบมือถือขึ้นมาดู [มีตาหามีแววไม่ เชยจริง] 


 


 


           ซือเหยี่ยนขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น แล้วพิมพ์ตอบ [ผมว่าแววตาของผู้ชายยังใช้ได้นะ] 


 


 


           ในห้องประชุมมีกลิ่นอายประหลาด ประธานซือผู้ไร้สีหน้าอารมณ์ไม่เพียงแต่จะประชุดไป เล่นมือถือไป ยังปรากฏรอยยิ้มหวานละมุนอีก… 


 


 


           โลกใบนี้ช่างเข้าใจยากและเหลือเชื่อเกินไปแล้ว… 


 


 


            เจียงมู่เฉินเห็นข้อความที่ซือเหยี่ยนส่งกลับมา มุมปากกระตุกจนอดเชิดขึ้นไม่ได้ 


 


 


           เห็นเขาว่ามาแบบนี้ เขาก็ไม่แยแสเรื่องรถเชยๆ ของซือเหยี่ยนแล้ว เจียงมู่เฉินเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าออกไปสนามบิน        


 


 


 


 


 


ตอนที่ 105 เป็นฝ่ายสารภาพเอง 


 


 


           ในสนามบินเจียงมู่เฉินยืนรออยู่หน้าทางออก ตั้งแต่มั่วไป๋ไปอเมริกา พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันมาปีกว่าๆ แล้ว 


 


 


           เขานั่งบนเก้าอี้มองไปที่ทางออกตลอดเวลา กลัวจะตกหล่นไม่ทันเจอมั่วไป๋ 


 


 


           ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอด เจียงมู่เฉินเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ ยืนรออยู่ตรงนั้น ผ่านไปประมาณสิบนาทีกว่าๆ ยามเจียงมู่เฉินเงยขึ้นมองด้วยความหวัง ในที่สุดก็เห็นมั่วไป๋เดินออกมาจากด้านใน 


 


 


           มั่วไป๋ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาใบเดียว ทั้งเนื้อทั้งตัวดูรัศมีเปล่งประกายดีกว่าตอนแรกๆ ที่จากไปมากทีเดียว 


 


 


           “เจียงมู่เฉิน นายกลายเป็นสภาพแบบนี้ได้ยังไง อกหักแล้วเหรอ” มั่วไป๋เห็นทรงผมเจียงมู่เฉิน ก็ชักจะงุนงงบ้างแล้ว ปลงไม่ตกถึงขนาดทำตัวเองเป็นแบบนี้เลยเหรอ 


 


 


           รอยยิ้มบนริมฝีปากของเจียงมู่เฉินชะงักงันไป เขาหมุนตัวแล้วเดินหน้าไป 


 


 


           มั่วไป๋เองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ถึงยังไงไม่ถึงสามวินาทีไอ้หมอนี่ก็ต้องกลับมา 


 


 


           เป็นไปตามคาด เขายังไม่ทันได้หยุดหัวเราะ เจียงมู่เฉินก็เดินกลับมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ทรงผมฉันทรงนี้ดูไม่ได้จริงๆ เหรอ” 


 


 


           มั่วไป๋คิดพิจารณาอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ดูไม่ได้ ขี้เหร่จริงๆ ต่างหาก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินห่อเ**่ยวลงชั่วพริบตา เมื่อคืนซือเหยี่ยนยังพูดกับเขาอยู่เลยว่าดูดี ที่แท้กำลังหลอกเขาอยู่นี่เอง 


 


 


           เขาเชิดดวงตาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “ไม่งั้นนายเรียกรถกลับไปเองแล้วกัน ฉันมีความรู้สึกไม่ค่อยอยากจะรับนายขึ้นมากะทันหันพอดี” 


 


 


           มั่วไป๋กะพริบดวงตากลมโตของเขาปริบๆ ทำหน้าทำตาน่าสงสารมองไปยังเจียงมู่เฉิน “นายทิ้งฉันลงเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ส่งมือไปลากกระเป๋าเดินทางของเขามา “ช่างเถอะ ถือว่าคุณชายใจบุญสุนทานช่วยนายครั้งหนึ่งแล้วกัน” 


 


 


           สองคนเดินไปลานจอดรถของสนามบิน มั่วไป๋เห็นรถของเจียงมู่เฉิน แล้วมุมปากอดจะกระตุกไม่ได้ “แค่ปีกว่าๆ ปีเดียวเองที่ฉันไม่ได้เจอนาย รสนิยมนายก็ไม่น่าจะอะไรก็ได้ถึงขนาดนี้ไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยกกระเป๋าเดินทางยัดใส่ท้ายรถ “จะมากเรื่องอะไรขนาดนั้น” 


 


 


           “นายคงจะไม่อกหัก ได้รับการกระทบกระเทือน จนทำให้รสนิยมมองอะไรสวยๆ งามๆ ของนายเปลี่ยนไปหรอกใช่ไหม” 


 


 


           “มองฉันดีๆ หน่อยได้ไหม รถของซือเหยี่ยน ส่วนทรงผมนี่เป็นอุบัติเหตุ” 


 


 


           ระหว่างเดินทางไป มั่วไป๋สังเกตมองเจียงมู่เฉินพิจารณาอย่างจริงจัง “นายคบกับซือเหยี่ยนแล้วจริงๆ เหรอ” 


 


 


           “อืม จะปลอมได้อีกเหรอ” 


 


 


           “นายเป็นฝ่ายเริ่ม หรือว่าเขา” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเอ่ยไป พลางลูบจมูกตัวเองป้อยๆ “ครึ่งครึ่งแหละ” 


 


 


           มั่วไป๋จ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อ “จริงเหรอ” 


 


 


           “ก็ได้ ฉันสารภาพเอง ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน” เจียงมู่เฉินคิดถึงเรื่องในคืนนั้น “แต่ว่าซือเหยี่ยนก็ตอบรับตกลงทันทีเลย” 


 


 


           เขารู้สึกว่าต้องไว้หน้าตัวเองบ้างอะไรบ้าง 


 


 


           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น สีหน้าท่าทางมองอีกฝ่ายทะลุปรุโปร่ง 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋เหมือนกับว่าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอยู่อย่างไรอย่างนั้น ในดวงตากลมโตของเขาไม่ต่างจากการเข้าเครื่องเอกซเรย์ มองผ่านอะไรก็มองเห็นชัดเจนละเอียดจนหมด 


 


 


           “ครั้งนี้นายกลับมายังจะกลับไปอีกไหม” 


 


 


           “อยู่ที่นี่สักพักก่อนมั้ง ถ้าอาการดีขึ้นอาจจะไม่ต้องกลับไปแล้ว” 


 


 


           “อาการป่วยยังหนักมากอยู่เหรอ” เจียงมู่เฉินค่อนข้างจะเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ของเขาอยู่ไม่เบา 


 


 


           “ไม่เป็นไร ฉันระวังเองได้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองมั่วไป๋ด้วยความกังวล เห็นเขาเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ในใจยิ่งจมดิ่งลง 


 


 


           ถานโจว สำหรับมั่วไป๋แล้ว ไม่ได้มีความทรงจำอะไรดีเท่าไหร่นัก 


 


 


           ตอนแรกที่เขาส่งตัวมั่วไป๋ไปอเมริกา สถานการณ์ของมั่วไป๋แย่ถึงขั้นที่จะทรุดลงเมื่อไหร่ก็ได้ ดีที่หนึ่งปีกว่าๆ มานี้ ได้ผ่านการรักษา จึงดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก 


 


 


           ขับรถมาส่งมั่วไป๋ที่คอนโดมิเนียมเดิมที่เขาอาศัยอยู่ เพราะว่าข้างในไม่ได้มีคนมาอาศัยอยู่เป็นเวลานาน ทำให้ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด 


 


 


           เขาไม่ชอบให้ใครมาเคลื่อนย้ายสิ่งของของเขา เจียงมู่เฉินครุ่นคิดตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ทำความสะอาดคอนโดมิเนียม 


 


 


           ใช้เวลากว่าสองชั่วโมง ห้องในคอนโดมิเนียมถึงได้กลับคืนสภาพเดิม เขานอนหมดแรงเป็นอัมพาตอยู่บนโซฟา พร้อมก่นด่าซือเหยี่ยนขึ้นมาจนได้ 


 


 


           มั่วไป๋เทน้ำใส่แก้วสองใบ ส่งให้เจียงมู่เฉินใบหนึ่ง เจียงมู่เฉินนอนเอื่อยๆ บนโซฟา ไม่ค่อยอยากจะขยับตัวเท่าไหร่นัก 


 


 


           “นี่นายเป็นอะไรไป แค่ทำความสะอาดเองไม่น่าจะถึงเหนื่อยถึงขนาดนี้ไหม” มั่วไป๋มองดูท่าทางของเพื่อนที่เหมือนใกล้จะขาดใจแล้ว 


 


 


           “ฉันปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความต้องการมากเกินไป พอใจยัง” เจียงมู่เฉินฝากความคิดถึงไปหาซือเหยี่ยนด้วยความโมโห  


 


 


           “นี่พวกนายรวดเร็วกันปานนั่งจรวดขนาดนี้แล้วเหรอ” มั่วไป๋เลิกคิ้ว 


 


 


           “มีความรักก็ได้มีกันแล้ว ไม่จับกดกันเลย เสียของเสียหุ่นดีๆ ของซือเหยี่ยนไปเปล่าๆ” 


ตอนที่ 106 ถือไพ่เหนือกว่าซือเหยี่ยน


 


 


           มั่วไป๋มองเขาแล้วหัวเราะเยาะใส่ “ใครจับกดใครยังไม่แน่นอนล่ะสิ แต่รูปร่างเล็กแบบนี้ของนายอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยนยังไงก็ดูไม่พอหรอก”


 


 


           เจียงมู่เฉินของขึ้นแล้ว เขาดูขวัญอ่อนขนาดนั้นเชียวเหรอ


 


 


           ‘แม้แต่ความเป็นไปได้จะกลับมาเป็นรุกก็ไม่มีเลย?’


 


 


           มั่วไป๋เอ่ยเน้นคำต่อคำ “เจียงมู่เฉิน คนเราต้องยอมรับความเป็นจริง”


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง ห่อมั่วไป๋ส่งกลับอเมริกาดีไหม จะได้ไม่กลับมาทิ่มแทงบาดแผลเขาอีก


 


 


           ยิ่งมั่วไป๋พูดมาแบบนี้ ในใจเจียงมู่เฉินยิ่งมีไฟคิดแผนการใหญ่แผนกลับมาเป็นรุก


 


 


           เมื่อคืนเป็นเขาเองที่พลาดไม่ระวังจนเสียเมือง


 


 


           แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหลังจากนี้ต้องเสียเมืองทุกครั้ง ไม่ช้าก็เร็วสักวันเขาจะถือไพ่เหนือกว่าซือเหยี่ยนได้


 


 


           …


 


 


           หลังจากที่กลับมาจากบ้านของมั่วไป๋ ซือเหยี่ยนก็กลับมาถึงแล้ว เจียงมู่เฉินปวดเอวจนไม่อยากสนใจเขา พาร่างตัวเองปะทะโซฟาแล้วนอนแน่นิ่ง


 


 


           ซือเหยี่ยนวางโน้ตบุ๊กลง เดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ “เป็นไง ยังไม่สบายเหรอ”


 


 


           ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ดีอยู่แล้ว เอ่ยถึงมาที เพียงพริบตาเดียวไฟแห่งอารมณ์โกรธของเจียงมู่เฉินก็ลุกโชนขึ้น “นายยังมีหน้ามาถามฉัน เมื่อคืนตอนที่ฉันบอกให้หยุด ทำไมนายยังไปต่ออีก”


 


 


           ซือเหยี่ยนทำไขสือลูบปลายจมูกไปมา “เวลาแบบนั้น หยุดไม่ได้หรอก”


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น กัดแขนเขาเข้าไปเต็มๆ เสียเลย ทิ้งรอยฟันใหญ่ๆ ไว้ดูต่างหน้า


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูคนขี้งอนจอมเย่อหยิ่งอย่างขำๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ กลับส่งแขนไปให้อีก “คลายโมโหได้หรือยัง ถ้ายังกัดอีกไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นแขนที่เกือบจะถูกกัดจนเลือดจะไหลออกมา จู่ๆ ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมานิดๆ เอามือผลักแขนของเขาออก “ฉันเป็นหมาเหรอ ถึงได้ชอบกัดคนขนาดนั้น”


 


 


           มือใหญ่คลึงเคล้าอยู่บนเอวของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนช่วยเขานวดคลายอย่างเบามือ


 


 


           เจียงมู่เฉินสบายตัวจนทำเสียงฮัมในลำคอไปเรื่อยๆ ตาปรือปรอยเสพสุขอย่างพอใจ


 


 


           ซือเหยี่ยนหวนนึกถึงกฎเหล็กในการเลี้ยงแมวที่ตัวเองตั้งใจอ่านเป็นพิเศษอย่างเงียบๆ ที่แท้ก็เอามาใช้รับมือกับเจียงมู่เฉินได้แบบเดียวกันเลยจริงๆ


 


 


           นวดจนต่อมา เจียงมู่เฉินเริ่มจะง่วงแล้ว เขาพลิกตัวเอาหัวซบอิงแอบร่างกายของซือเหยี่ยน “คุณชายง่วงแล้ว ปรนนิบัติคุณชาย พาคุณชายไปนอนเถอะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่เอ่ยเป็นคำที่สอง เขาอุ้มร่างของเจียงมู่เฉินพาไปยังห้องทันที


 


 


           พาเขาไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำ เดิมทีก็อาบกันดีๆ ปรากฏว่าอาบไปอาบมา บรรยากาศในห้องน้ำก็อ่านไป


 


 


           เจียงมู่เฉินสบายอกสบายใจอยู่ข้างล่าง ซือเหยี่ยนนวดให้เขาทั้งตัว อยู่ในห้องน้ำที่มีไอน้ำอุ่นขนาดนี้ เพียงรู้สึกไร้เรี่ยวแรง


 


 


           ยามซือเหยี่ยนเห็นเขากำลังปรือตาสบายอารมณ์อยู่นั้น ก็ฉวยโอกาสจับกด กินฟาดราบเรียบไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย


 


 


           เมื่อเจียงมู่เฉินถูกซือเหยี่ยนอุ้มออกมาจากห้องน้ำ แม้กระทั่งนิ้วมือก็ไม่มีแรงแล้ว เจียงมู่เฉินผู้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้นอนบนเตียงแล้วก็ยังอดจะด่าทอต่อว่าซือเหยี่ยนไม่ได้


 


 


           ซือเหยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้มองเขา “คุณบอกว่าให้ผมปรนนิบัติคุณเรื่องหลับนอนไม่ใช่เหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินแค้นเคืองใจ อยากจะกระโดดเข้าไปกัดเขาให้ตายไปข้าง


 


 


           เขาบอกว่า ‘ปรนนิบัติ’ ใช้กับซือเหยี่ยนแล้วคือการปรนนิบัติกันทางร่างกายถึงขนาดนี้ใช่ไหม


 


 


           …


 


 


           เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นครั้งแรกที่ซือเหยี่ยนไม่ลุกออกไปก่อน เจียงมู่เฉินได้ตื่นเช้าเห็นซือเหยี่ยนที่นอนหลับอยู่ข้างกาย ทันใดนั้นก็รู้สึกเข็ดฟันขึ้นมาหน่อยๆ


 


 


           เขามองดูใบหน้าของคนรู้หน้าไม่รู้ใจอย่างซือเหยี่ยน แล้วอารมณ์ก็ขึ้นกะทันหัน


 


 


           ยกเท้าขึ้นถีบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด…


 


 


           เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง เจียงมู่เฉินประคองเอวนอนฟุบอยู่บนเตียง


 


 


           ซือเหยี่ยนลืมตาขึ้นมองเจียงมู่เฉินแล้วถอนหายใจ เมื่อครู่ที่โดนถีบไป เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บรู้สึกจั๊กจี้อะไร สุดท้ายเจียงมู่เฉินร้องระงมอยู่ข้างๆ ตัวเอง


 


 


           “ยังเจ็บอยู่เหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินหายใจเจ็บ “โคตรพ่อง นายมาโดนฉันจับกดสองคืนต่อกันดูบ้างสิ นายจะเจ็บไหม!”


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูก ตัดสินใจไม่รับเอาหัวข้อนี้


 


 


           ถึงอย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตกมาเป็นฝ่ายถูกเจียงมู่เฉินจับกดแทนอยู่แล้ว


 


 


           ใช้เวลาอยู่สักพัก เจียงมู่เฉินถึงดิ้นรนตะเกียกตะกายขึ้นมาจากเตียงได้ ซือเหยี่ยนก็อุ้มเขาเข้าห้องน้ำไปนวดอีกครั้ง


 


 


           ทั้งห้องเต็มไปด้วยไอน้ำ เจียงมู่เฉินเอนตัวฟุบหันหลังอยู่ในอ่างอาบน้ำ


 


 


           ซือเหยี่ยนอยู่ข้างหลังช่วยบีบนวดเอวให้เขา เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงเอ่ยถาม “เมื่อไหร่นายจะให้ฉันจับนายกดสักที”


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ทำไม คุณไม่เจ็บเอวแล้วเหรอ”


 


 


           ‘จับซือเหยี่ยนกดได้ เอวเจ็บก็ช่างปะไร อย่างมากก็แค่ให้ซือเหยี่ยนขยับเองไป’


 


 


           เขารีบพูด “นายตอบฉันก่อน”


 


 


           ซือเหยี่ยนคิดทบทวนสักพัก “คืนนี้เหรอ”


 


 


           


 


 


 ตอนที่ 107 คุณชายเจียงของขึ้น


 


 


           เจียงมู่เฉินกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีทันใด “ได้ งั้นคืนนี้ ถ้านายเล่นลิ้น ฉันเอานายตายแน่”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้น “อืม ไม่เล่นลิ้น”


 


 


           เมื่อคิดว่าคืนนี้จะเปลี่ยนเป็นรุกได้ เจียงมู่เฉินก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา แม้กระทั่งรู้สึกว่าซือเหยี่ยนดูหล่อขึ้นกว่าปกตินิดหนึ่ง


 


 


           กินอาหารเช้าแล้ว เจียงมู่เฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมย่องออกไปข้างนอก ซือเหยี่ยนั่งพิงอยู่ตรงนั้นมองเขา เจียงมู่เฉินโดนเขาจ้องแบบนี้ก็เริ่มจะหวั่นไหวบ้างแล้ว


 


 


           “นายเอาแต่จ้องฉันทำไม”


 


 


           “วันนี้ผมหยุดพัก ตั้งใจหยุดพักเป็นพิเศษ” ซือเหยี่ยนเน้นหนักคำว่า ‘ตั้งใจ’ สองคำนี้เป็นพิเศษ


 


 


           มุมปากเจียงมู่เฉินกระตุกขึ้นมา “ฉันทำให้นายตั้งใจเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ มีแฟนไม่รู้จักความโรแมนติกจะทำยังไงดี…


 


 


         “คุณไม่คิดจะอยู่กับผมเหรอ” ซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายพูดเอง


 


 


           เจียงมู่เฉินเงียบลงไปครู่หนึ่ง คิดว่า ในเมื่อซือเหยี่ยนพูดมาแบบนี้แล้ว ถ้าเขาไม่อยู่ด้วย ก็จะไม่ค่อยมีเหตุมีผลเท่าไหร่ใช่ไหมล่ะ


 


 


           “งั้นนายกับฉันด้วยกัน?” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสนอเสียงอ่อน


 


 


           “ได้” ซือเหยี่ยนรีบรับคำทันที


 


 


           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน รู้สึกว่า ซือเหยี่ยนตอบรับเร็วเกินไปไหม ไม่ลังเลสักหน่อยเหรอ


 


 


           ช่วงเช้าเจียงมู่เฉินต้องไปโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลโทรมาให้เขาไปตรวจดูอาการซ้ำอีกรอบ เดิมเขาคิดว่าหัวตัวเองอาการดีขึ้นมากพอควรแล้ว เหมือนว่าไม่จำเป็นต้องไปด้วยซ้ำ


 


 


           แต่ภายหลังคิดไปคิดมาก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร จึงตกลงรับปากไป


 


 


           เมื่อขึ้นนั่งอยู่บนรถแล้ว เจียงมู่เฉินเอ่ยถามซือเหยี่ยน “นายรู้ไหมว่าฉันจะไปไหน ถึงมากับฉันแบบนี้”


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “แล้วไงล่ะ ผมยังกลัวว่าคุณจะขายผมไปแล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ “ไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้งหรอก”


 


 


           “วางใจได้ ไม่มีความเป็นไปได้นี้”


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “นายไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน” เขาใกล้จะโดนความมั่นหน้ามั่นโหนกของซือเหยี่ยนโจมตีจนแพ้แล้ว


 


 


           “คุณทำไม่ลง” ซือเหยี่ยนออกปากมาก็เป็นสี่คำนี้เลย


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าเจ็ดนิ้ว[1]ของตัวเองโดนซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นบีบไว้แน่น หนีไม่รอดมาตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


           เขาหันหน้าหนีตัดสินใจไม่ตอบปัญหาหน้าไม่อายนี้ของซือเหยี่ยน


 


 


           ทั้งสองคนมาถึงโรงพยาบาลแล้ว หลังจากตรวจดูอาการเสร็จสรรพ เจียงมู่เฉินอดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “นายรู้หรือเปล่าว่าวันนี้ฉันต้องมาโรงพยาบาล”


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูก “ก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เอง”


 


 


           เจียงมู่เฉินกดซือเหยี่ยนติดผนัง “นายแม่งวางแผนไว้ล่วงหน้าใช่ไหม รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันต้องไปโรงพยาบาล เลยจงใจไม่ไปบริษัท”


 


 


           เขารู้สึกมาตลอดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ปกติวันธรรมดาซือเหยี่ยนเวลานี้ต้องไปที่บริษัทแล้ว จู่ๆ ก็มารอเขาอยู่บ้าน ยังอยากอยู่ด้วยกันกับเขาอีก


 


 


           ที่ทำมาตั้งนานคือมีแผนนี่เอง เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “ทำไม อยากจะมาโรงพยาบาลถือโอกาสมาดูแฟนสาวน้อยของนายใช่ไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนขยี้ปลายจมูก “ผมไม่ได้คิดจะมาหาเธอ”


 


 


           เสียงพูดเพิ่งจะหยุดลง มือถือของซือเหยี่ยนก็ดังขึ้นมา


 


 


           เจียงมู่เฉินคลายมือลงแล้วเลิกคิ้ว “รับสิ”


 


 


           ซือเหยี่ยนหยิบมือถือออกมา เป็นสายของหลินเหวินฮุ่ยโทรมา เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะอยู่ตรงนั้นมองดูเขาเล่นละคร


 


 


           “พี่ซือเหยี่ยน พี่ถึงโรงพยาบาลแล้วหรือยังคะ” เสียงของหลินเหวินฮุ่ยดังออกมาจากปลายสาย ขมับซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระตุกอีก


 


 


           เจียงมู่เฉินเชิดสายตามองเขา เมื่อก่อนเขาไม่ได้ค้นพบเลยว่าซือเหยี่ยนจะแสดงละครได้ขนาดนี้


 


 


           “ฉันรอมาสักพักก็เห็นว่าพี่ยังไม่มา ก็เลยเป็นห่วงพี่ อยากจะโทรถามพี่หน่อยน่ะค่ะ” หลินเหวินฮุ่ยไม่ได้ให้เวลาซือเหยี่ยนพักหายใจ เธอพูดต่อ


 


 


           ซือเหยี่ยนถือมือถือไว้แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ฉันไม่ได้มาโรงพยาบาล เธอพักผ่อนดีๆ นะ”


 


 


           พูดจบก็วางสายไปทั้งอย่างนั้น


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะมองท่าทางของซือเหยี่ยน “ไม่ได้มาโรงพยาบาลเหรอ แล้วที่นายยืนอยู่คือที่ไหนกัน”


 


 


           “ตรวจเสร็จแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ฉันไปก็ได้แล้ว นายอยู่ต่อซะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย


 


 


           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้เหวี่ยงเขา “ลงทุนทำมาตั้งขนาดนี้ จะไปกันซะดื้อๆ ไม่เหมาะเท่าไหร่หรอก ฉันใจกว้างพอ ให้อิสระนายนิดหน่อยได้”


 


 


           เขาหันกลับเดินออกไป ไม่ให้ซือเหยี่ยนเลยสักนิด


 


 


 


 


[1] เจ็ดนิ้ว มาจากสำนวนจีนว่า ตีงูต้องตีใหม่แม่นในตำแหน่งที่หลังหัว 7 นิ้วจีน งูถึงจะสยบทันที คนตีงูก็ย่อมพ้นอันตรายอย่างสำเร็จ 


ตอนที่ 108 เนรเทศไปแอฟริกา


 


 


           หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล เจียงมู่เฉินก็เรียกรถนั่งไปหามั่วไป๋ ไฟโกรธที่ลุกโชนยังหาที่ปลดปล่อยไม่ได้ ไปหามั่วไป๋จะได้ระบายอารมณ์พอดี


 


 


           มุ่งหน้ามาจนถึงคอนโดมีเนียมของมั่วไป๋ เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูเคาะประตูอยู่นานสองนานก็ไม่มีใครมาเปิด เขาจ้องมองประตูอย่างงงๆ กลางวันนี้มั่วไป๋ไม่อยู่บ้านไปไหนแล้ว


 


 


           เจียงมู่เฉินเคาะประตูอีกครั้งก็ยังไม่มีใคร


 


 


           เขาจ้องมองประตูพร้อมจะถอนหายใจอย่างหัวเสีย คราวซวยเคราะห์หามยามร้ายเช่นนี้ โดนซือเหยี่ยนเล่นไม่ซื่อก็ช่างเถอะ ตอนนี้แม้แต่ประตูของมั่วไป๋ยังรังแกเขาอีก


 


 


           เจียงมู่เฉินสลดใจคุกเข่าอยู่หน้าประตู ราวกับเด็กที่ถูกทอดทิ้งไม่มีผิด เห็นแบบนี้แล้วช่างน่าเวทนาทีเดียว


 


 


           ซือเหยี่ยนผู้ถูกเจียงมู่เฉินทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลโดยไม่ยอมให้ชี้แจงแก้ตัวใด ทั้งสิ้น มือประสานบีบเข้ากันแน่น ก่อนกดมือถือโทรหาไป๋จิ่ง


 


 


           ไป๋จิ่งกำลังอยู่ในห้องทำงาน รับสายซือเหยี่ยนแล้วรีบเอ่ยถามทันที “ทำไมถึงมีเวลาโทรหาฉันได้ล่ะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนขบกรามแน่น “เรื่องที่ฉันไปโรงพยาบาล นายเป็นคนบอกเหวินฮุ่ยไปใช่ไหม”


 


 


           ไป๋จิ่งหยุดการกระทำในมือลง พยักหน้ารับ “เหวินฮุ่ยโทรหาฉันถามเรื่องนายพอดี ฉันก็เลยบอกเธอไป” เขาได้ยินความเงียบผิดปกติจากปลายสาย รู้สึกมีอะไรไม่ค่อยชอบมาพากล “มีอะไรหรือเปล่า นายไม่ได้ไปโรงพยาบาลดูเธอเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนสีหน้าดำคร่ำเคร่งจนไม่ไหว เขาได้ยินโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาล รู้ว่าวันนี้เจียงมู่เฉินต้องมาโรงพยาบาลตรวจดูอาการอีกรอบ ตั้งใจเลื่อนงานหนึ่งวันเพื่อมาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเจียงมู่เฉิน สุดท้ายโดนไป๋จิ่งยื่นมือเข้ามายุ่งขนาดนี้ ทำเอาเจียงมู่เฉินโกรธจนไม่ให้เขาพูดอะไรสักคำ แล้วเดินหนีจากไปเลย


 


 


           “โครงการที่แอฟริกานั้น ฉันยังหาคนที่เหมาะสมไปไม่ได้มาตลอด” ซือเหยี่ยนกุมขมับ พูดต่อ


 


 


           “จะกำหนดกันจันทร์หน้าไม่ใช่เหรอ จะพูดเรื่องนี้ตอนนี้ทำไม”


 


 


           “ไม่ต้องถึงจันทร์หน้าหรอก ฉันกำหนดเรียบร้อยแล้ว”


 


 


           “กำหนดเรียบร้อยแล้วเหรอ ใครไป” ไป๋จิ่งยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับไป ทำไมซือเหยี่ยนกำหนดว่าเป็นใครแล้ว เขาถึงยังไม่รู้ล่ะ


 


 


         ซือเหยี่ยนทำหน้าเย็นชา เอ่ยเน้นคำต่อคำ “นายไป!”


 


 


           ไป๋จิ่งตะลึงงันไปสักพัก รีบร้องออกไป “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเป็นฉันไปได้”


 


 


           “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก จันทร์หน้าไปตรงเวลานะ ฉันจะให้คนช่วยนายจัดการ” พูดจบ ซือเหยี่ยนก็ตัดสายทิ้งทันที


 


 


           ในห้องทำงาน ไป๋จิ่งผู้ถือมือถือค้างไว้ด้วยความงุนงงครุ่นคิดทบทวนอย่างจริงจังว่ามีปัญหาตรงไหนกันแน่


 


 


           เขาฟุบลงกับโต๊ะท่าทางช่างน่าเวทนานัก ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไรกับซือเหยี่ยนเลยนะ ก็แค่บอกหลินเหวินฮุ่ยว่าวันนี้เขาจะมาโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ


 


 


           ‘…เดี๋ยวก่อน เขาทำอะไรผิดพลาดไปใช่ไหม’


 


 


           วันนี้ซือเหยี่ยนไปโรงพยาบาล คงจะไม่ได้ไปหาหลินเหวินฮุ่ยจริงๆ


 


 


           ‘งั้นวันนี้เขาไปโรงพยาบาลทำไม’


 


 


           คำว่า ‘ตามเมีย’ สองคำนี้วาบขึ้นมาในหัวของไป๋จิ่ง เขาอดจะอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาไม่ได้ คงจะไม่ใช่ว่าวันนี้ที่ซือเหยี่ยนไปโรงพยาบาลก็คือไปกับเมียคนนั้นที่เอ่ยออกมาจากปากเขาหรอกใช่ไหม ผลคือเขาบอกหลินเหวินฮุ่ยว่าซือเหยี่ยนไปเยี่ยมเธอ


 


 


           ‘แล้วหลินเหวินฮุ่ยก็โทรหาซือเหยี่ยนแล้ว?’


 


 


           ‘ผลคือทำให้คนคนนั้นในบ้านของซือเหยี่ยนโมโหงั้นเหรอ’


 


 


           ‘ดังนั้น เมื่อไม่ได้ดั่งใจซือเหยี่ยน จึงระบายความแค้นเคืองเอามันมาลงที่เขา? แล้วใช้อำนาจส่วนตัว จัดการส่งเขาไปแอฟริกาเลย?’


 


 


           คำถามวาบขึ้นมาเรียงต่อกันในหัวไป๋จิ่งไม่หยุด เขาฟุบลงกับโต๊ะอยากจะร้องไห้เสียจริง ไม่มีอะไรทำแล้วไปปากมากกับหลินเหวินฮุ่ยทำไม


 


 


           ‘ตอนนี้โดนเนรเทศไปแอฟริกาแล้วสินะ’


 


 


           ‘เขาไม่ชอบจีบหนุ่มน้อยชาวแอฟริกาเท่าไหร่นี่สิ’ …ไป๋จิ่งช้ำใจบ้างแล้ว


 


 


           …


 


 


           มั่วไป๋กลับมาจากข้างนอกก็เห็นหน้าประตูบ้านมีของก้อนหนึ่งวางอยู่ เขาชะงักงันไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าของชิ้นนี้ดูคุ้นตาไม่เบา


 


 


           เขาเดินเข้าไปตีสะกิดเรียกอีกฝ่าย “เจียงมู่เฉิน กลางวันแสกๆ นายมาหาฉันมีอะไร”


 


 


           เจียงมู่เฉินนั่งชันเข่ากอดขาเอาหัวซบลงบนขา มั่วไป๋เห็นท่าทางแบบนั้นของเขาช่างเชิดชูความอ่อนนิ่มของร่างกายเขาได้ทีเดียว


 


 


           เขาเงยหน้ามองมั่วไป๋ด้วยหน้าตาน่าสงสาร “นายไปตายไหนมา ฉันรอนายมาครึ่งชั่วโมงแล้ว”


 


 


           ถ้าไม่ใช่มั่วไป๋ เขาคงจะไม่มาทำตัวเป็นคนโง่รอที่หน้าประตูนานขนาดนี้


 


 


           “ทำไมไม่โทรหาฉัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขาอย่าง “นายรับอยู่เหรอ พี่ชาย”


 


 


           ‘มือถือเขาใกล้จะโทรจนระเบิดแล้วโอเคไหม’


 


 


           มั่วไป๋หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ลูบจมูกเงียบๆ “เหมือนว่าฉันจะลืมเปิดเครื่องเลย”


 


 


           


 


 


       ตอนที่ 109 คุณชายเจียงคนหยุมหยิม


 


 


           เจียงมู่เฉินคร้านจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับอีกฝ่าย เขาเป็นอัมพาตอยู่ตรงนั้น จ้องมองคนตรงหน้า “อย่ามากความเลย เปิดประตูสิ คุณชายรอนายมาค่อนวันแล้ว”


 


 


           มั่วไป๋รีบเปิดประตู เห็นเจียงมู่เฉินคุกเข่าอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน จึงเลิกคิ้วขึ้น “เข้าไปสิ ยังจะอยู่ที่หน้าประตูทำไม”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองบน “เท้าฉันเหน็บกินชาไม่ไหวนี่หน่า”


 


 


           มั่วไป๋ถอนหายใจ ส่งมือไปช่วยประคองพยุงเขาขึ้นมา รอให้มานั่งที่โซฟาแล้ว มั่วไป๋ถึงเพิ่งเอ่ยถาม “พูดมาเถอะ เป็นอะไรไปอีก”


 


 


           เจียงมู่เฉินเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้มั่วไป๋ฟังครบถ้วนทุกประเด็น ไม่ตกหล่นสักคำ แม้กระทั่งเรื่องที่กดซือเหยี่ยนเข้าผนังซักไซ้ไล่เลียงก็เล่าอีกครั้ง


 


 


           หลังจากมั่วไป๋ฟังจนจบ แล้วมองเจียงมู่เฉินอย่างเงียบๆ “ฉันว่านาย คุณชายเจียงเคยจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนคนหนึ่งถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


 


           เจียงมู่เฉินเมื่อก่อนเป็นคนไม่คิดอะไรมากจนเคยตัว ต่อให้ใครมาทุบหัวต่อหน้า ก็จะไม่กะพริบตาดู ตอนนี้กลับคิดเล็กคิดน้อยมากมาย เพราะซือเหยี่ยน มั่วไป๋ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้เลยว่าดีหรือว่าไม่ดี


 


 


           มั่วไป๋พูดจบ เจียงมู่เฉินตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


           จู่ๆ เขาก็รู้ตัว คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะจุกจิกคิดเล็กคิดน้อยกับซือเหยี่ยนไม่ต่างจากผู้หญิงแบบนี้ ไม่ชอบให้ซือเหยี่ยนมองข้ามตัวเอง ไม่ชอบให้ซือเหยี่ยนใกล้ชิดกับหลินเหวินฮุ่ยเกินไป…


 


 


           เพียงชั่วครู่เดียวเจียงมู่เฉินค่อนข้างจะสับสนวุ่นวายในใจแล้ว


 


 


           “อีกอย่าง นายรู้ได้ยังไงว่าซือเหยี่ยนมาโรงพยาบาลก็เพื่อมาหาหลินเหวินฮุ่ย” มั่วไป๋ถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าเขารู้ว่าวันนี้นายจะไปโรงพยาบาล เลยตั้งใจจะอยู่ด้วยกันกับนาย”


 


 


           เจียงมู่เฉินกลอกตาไปมา ไม่หรอกมั้ง ซือเหยี่ยนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะไปโรงพยาบาลเวลาไหน


 


 


         เดี๋ยวก่อน เขานึกขึ้นมาได้กะทันหัน เมื่อคืนตอนรับสายโทรศัพท์จากโรงพยาบาล ซือเหยี่ยนอยู่ในห้องน้ำ เสียงพูดเขาก็ไม่ได้เบาๆ หรือว่าซือเหยี่ยนจะบังเอิญได้ยินเข้า?


 


 


           เจียงมู่เฉินยะเยือกจนเสียวสันหลังวาบ เหงื่อแตกตะลึงค้าง ถ้าซือเหยี่ยนตั้งใจจะอยู่ด้วยกันกับเขาจริงๆ สุดท้ายยังโดนเขาเขวี้ยงทิ้งอยู่โรงพยาบาล…


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่ค่อยกล้าจะคิดต่ออีก ยิ่งคิดยิ่งปวดไข่


 


 


           เขาลุกยืนขึ้นจากโซฟากะทันหัน มั่วไป๋ที่มองอยู่ตกใจไปด้วย “เป็นอะไรไปอีก”


 


 


           เจียงมู่เฉินเอ่ยต่อ “ฉันยังมีธุระอีก ไปก่อนนะ” เสียงพูดเพิ่งจะหยุดลง ตัวคงก็วิ่งออกไปไกลแล้ว


 


 


           มั่วไป๋มองตามแผ่นหลังเขาไป กุมขมับอย่างเสียไม่ได้ เจียงมู่เฉินไปแล้ว เขาถือโอกาสนอนชดเชยเพิ่มเสียเลย กลับมาไม่กี่วัน เขายังเจ็ตแล็กอยู่


 


 


           เจียงมู่เฉินกลับไปที่คฤหาสน์ ซือเหยี่ยนยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะถือแก้วน้ำยกดื่มพอดี เจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนอยู่กับบ้านแบบนี้ จู่ๆ ก็ใจแป้วขึ้นมา


 


 


           เขายิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก เอ่ยถาม “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


 


           ซือเหยี่ยนวางแก้วลง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “หลังจากที่คุณไป”


 


 


           รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงมู่เฉินชะงักไป ยามนึกถึงตอนที่ตัวเองเดินจากไป ด้วยท่าทางอวดดี ทำเอาใจฝ่อแทบจะเดี๋ยวนั้น


 


 


           “ฉันแวะไปบ้านมั่วไป๋มา” เจียงมู่เฉินบอกอย่างกระอักกระอ่วน


 


 


           “อืม” ซือเหยี่ยนรับคำนิ่งๆ ฟังอารมณ์เขาไม่ออกเลย


 


 


           “คือว่า…นายได้กินหรือยัง”


 


 


           ยังคง “อืม” รับคำอยู่แค่นี้


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกของซือเหยี่ยน ชักจะกระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว เขาเป็นแบบนี้ตกลงโกรธหรือไม่โกรธกันแน่


 


 


            เจียงมู่เฉินจนปัญญา เขาทายไม่ถูกอยู่แล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่มีอะไรจะพูด ก็หมุนตัวเดินขึ้นไปห้องหนังสือ


 


 


           เจียงมู่เฉินร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่กลับละอายใจที่จะพุ่งตัวขึ้นไปกะทันหัน ทำได้เพียงเบิกตามองซือเหยี่ยนที่เดินขึ้นข้างบนไป


 


 


           เจียงมู่เฉินคลุ้มคลั่งอยู่ข้างล่าง อยากจะข่วนผนัง


 


 


           ผ่านไปสิบนาที เจียงมู่เฉินผู้ข่วนผนังหยุดการกระทำของมือลง เขาพ่ายแพ้ต่อนิสัยหยุมหยิมของตัวเองแล้วจริงๆ  


 


 


           สับสนว้าวุ่นใจไปมีอะไรดี ในเมื่อซือเหยี่ยนโกรธแล้ว เขาขึ้นไปทำให้ซือเหยี่ยนหายโกรธอารมณ์ดีขึ้น ก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ


 


 


           เขาคุณชายเจียงใช้ชีวิตมานานหลายปี จะเคยมาสับสนว้าวุ่นใจขนาดนี้เมื่อไหร่กัน


 


 


           คิดถึงตอนแรกๆ เจียงมู่เฉินคนที่ให้คำมั่นหนักแน่นจริงใจว่าจะจีบซือเหยี่ยนคนนั้นไปไหนแล้ว


 


 


           ตัดสินใจดีแล้ว เจียงมู่เฉินมุ่งหน้าขึ้นชั้นสองไป ผลักเปิดประตูห้องหนังสือออก ประตูกระแทกกับผนัง แล้วเด้งคืนกลับมา


 


 


           เจียงมู่เฉินหน้านิ่งผลักประตูกลับไปอีก


 


 


           ซือเหยี่ยนกุมมือมองดูเขาก่อความวุ่นวายอย่างสงบเงียบ


 


 


           “คือว่า…นายยังโกรธฉันอยู่ใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยนเอ่ยถามเขาตรงๆ


ตอนที่ 110 นายเป็นคนของคุณชาย


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “หมายความว่าไง”


 


 


           “นายอย่ามาทำไขสือ เมื่อกี้นายทำสงครามเย็นกับฉันใช่ไหม ฉันจะบอกนายนะซือเหยี่ยน มีอะไรไม่ชอบใจก็บอกกับฉันตรงๆ นายอย่าเก็บเอาไว้ซ่อนเอาไว้เลย”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขา แล้วยกมุมปากขึ้น “คุณอยากให้ผมพูดอะไร”


 


 


           “นายอยากพูดอะไรก็พูดอันนั้นแหละ”


 


 


           “งั้นก็คือ ตอนนี้คุณอยากจะทะเลาะกับผมเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “ใครแม่งไม่มีอะไรทำแล้วอยากทะเลาะกับนาย” เขามาหาเรื่องทะเลาะหรือไง เขามาแก้ปัญหาเคลียร์ใจต่างหาก!


 


 


         “อ่อ” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับ เอนพิงโต๊ะมองดูเขา “งั้นคุณก็มาขอโทษเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินผู้ถูกพูดความในใจออกมา หูแดงขึ้นทันที รีบโต้แย้งกลับไป “ฉันจะมาขอโทษอะไรนาย ฉันมีอะไรต้องมาขอโทษนายหรือไง”


 


 


           “งั้นผมก็ไม่มีอะไรอยากจะพูด” ซือเหยี่ยนหันหลังใส่เขา


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องมองแผ่นหลังของเขา ไฟในใจลุกโชนขึ้นมาในทันใด เขาคุมตัวซือเหยี่ยนไว้ “นายไม่มีอะไรจะพูด แต่ฉันมี”


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วมองเขา


 


 


           เจียงมู่เฉินรั้นจะถลึงตาใส่เขาอย่างเอาแต่ใจ “ซือเหยี่ยน แม่งเอ๊ย นายฟังฉันดีๆ นะ นายเป็นคนของคุณชาย คนของฉัน คนของฉันสนใจใส่ใจได้แค่ฉันเท่านั้น ต่อไปถ้ายังจะให้ฉันรู้อีก หลินเหวินฮุ่ยอะไรนั่น จางเหวินฮุ่ยอะไรนั่น คุณชายอย่างฉันจะลงทัณฑ์นายเดี๋ยวนั้นเลย”


 


 


           ‘แม่งเอ๊ย จะเป็นแฟนผู้แสนดีอ่อนโยนอะไร เขาเจียงมู่เฉินไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย’


 


 


           แต่เล็กจนโต เขาก็ไม่รู้ว่าคำว่า ‘อ่อนโยน’ สองคำนี้เขียนอย่างไร


 


 


           ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น แล้วมองดูเขา ไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “คำที่ฉันพูดไป นายได้ยินไหม”


 


 


           “อืม ได้ยินแจ่มแจ้งชัดเจน”


 


 


           “นายไม่รู้จักแสดงท่าทีอะไรตอบกลับหรือไง”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกยิ้มเบาๆ “ต้องการท่าทีตอบสนอง? ได้แน่นอนอยู่แล้ว”


 


 


           เสียงพูดของเขาเพิ่งจะหยุดลง เจียงมู่เฉินรู้สึกแค่ว่าโดนจับพลิกไปทั้งตัว กว่าจะรู้ตัวเห็นอะไรชัดเจน ตัวเองก็โดนซือเหยี่ยน พลิกจับมากดไว้แล้ว


 


 


           หัวเจียงมู่เฉินชักจะเริ่มชาๆ นี่ซือเหยี่ยนคงจะไม่ได้ยินอะไรไม่เข้าหูจนเตรียมจะใช้ความรุนแรงในครอบครัวหรอกใช่ไหม


 


 


           เขารีบเอามือยันซือเหยี่ยนเอาไว้ “นี่ พูดจากันดีๆ สิ นายอย่าลงไม้ลงมือนะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้าใกล้เขา “เพื่อจะไม่ให้คุณลงทัณฑ์ผม แน่นอนว่าต้องฝากความคิดไว้ที่คุณ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้างมองเขา คำตอบนี้ต่างกับไม่ตอบอยู่เหรอ


 


 


         “เมื่อเช้าคำที่ผมพูดไปยังรักษาไว้อยู่นะ” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว คิดทบทวนอย่างจริงจัง ว่าเมื่อเช้าพูดอะไรไป ในหัวขีดเส้นคำพูดที่ซือเหยี่ยนพูดอยู่ในห้องน้ำเมื่อเช้านี้


 


 


           แววตาเจียงมู่เฉินเปล่งประกายขึ้นมาชั่วพริบตา เขายกมือขึ้นโอบคอซือเหยี่ยน “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าฉันควรจะทำตามสัญญาสักหน่อย”


 


 


           ซือเหยี่ยนคลายมือลง เพิ่มระยะห่างเอนพิงโต๊ะครึ่งตัวเล็กน้อย


 


 


           “อืม ผมเตรียมพร้อมแล้ว คุณเริ่มได้เลย”


 


 


           เจียงมู่เฉินพินิจมองใบหน้าของซือเหยี่ยน ไล่ตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงกล้ามท้องกระชับแน่นของเขา ทันทีที่คิดว่าคืนนี้ตัวเองจะเปลี่ยนมาเป็นรุกได้ เพียงเสี้ยวเวลาอารมณ์ก็มาเป็นระลอกคลื่น


 


 


           เขายื่นมือกดซือเหยี่ยนเอาไว้ “วางใจเถอะ คุณชายจะทำให้นายได้สบายแน่นอน”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น รู้สึกว่าเจียงมู่เฉินในตอนนี้ เหมือนเติ้งถูจื่อ[1]ในสมัยโบราณที่ฉุดหญิงสาวมาขืนใจจริงๆ


 


 


           “ไม่ไปห้องนอน?” ซือเหยี่ยนเอนพิงอยู่ตรงนั้น ยอมให้เขาเล่นลวดลาย


 


 


           ‘ในห้องหนังสือเร้าใจจะตาย จะไปห้องนอนทำไม เปลี่ยนกลับเป็นรุกครั้งแรกต้องหาสถานที่เร้าใจหน่อยไม่ใช่เหรอ’


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบส่ายหัว “อย่าเลย ไปห้องนอนอะไร ฉันว่าห้องหนังสือก็ดีมากนะ”


 


 


           เมื่อคิดภาพซือเหยี่ยนนอนอยู่บนโต๊ะในห้องหนังสือ…เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเตรียมพร้อมที่จะลงมือบุกแล้ว


 


 


           เขาจ้องมองซือเหยี่ยน หน้าผากร้อนผ่าว มือไม้สะเปะสะปะไม่หมด


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ผมว่า ไม่งั้นผมเองดีกว่า”


 


 


           เจียงมู่เฉินจ้องเขม็ง “นายนอนลงดีๆ อย่าขยับสะเปะสะปะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางดื้อรั้นเอาแต่ใจของเขา แล้วรู้สึกได้ใจขึ้นชั่ววูบ เอนกายนอนไม่สนใจเขา


 


 


           ครึ่งชั่วโมงผ่านไป…


 


 


           เจียงมู่เฉินร้องไห้แล้ว…


 


 


           “แม่งเอ๊ย นายบอกว่าให้ฉันเป็นฝ่ายทำไม่ใช่เหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ผมตกลงจะโดนคุณกดทับไง นี่ไม่ใช่การกดทับในแนวตั้งหรอกเหรอ”


 


 


           …เจียงมู่เฉินในใจขื่นขม ที่เขาบอกว่ากดไม่ใช่กดแบบนี้โอเคไหม


 


 


           ‘แม่งเอ๊ย คุยกันแล้วว่าจะให้ซือเหยี่ยนขยับเอง ตอนนี้กลายเป็นตัวเองขยับเองจนได้ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าการซื้อขายครั้งนี้ไม่คุ้มค่าเป็นที่สุด’


 


 


           ‘แล้วก็นะ ในห้องหนังสือไม่ดีเลยสักนิด’


 


 


 


 


[1] เติ้งถูจื่อ ขุนนางจอมกังฉินที่จักรพรรดิฉู่ตัดสินว่าเป็นคนที่มักมากในกาม ต่อมาในภายหลังเติ้งถู่จื่อจึงกลายเป็นคำสรรพนามใช้เรียกผู้ที่มักมากในกาม


 


 


 


 


ตอนที่ 111 มุขชวนคุยเก่าไปแล้ว


 


 


           เวลาสองทุ่ม ในหลานเยี่ยกำลังเป็นเวลาช่วงคึกคัก ไป๋จิ่งเอนกายพิงพนัก  ดื่มเหล้าฆ่าเวลาไปพลางๆ เขาอยากจะฉวยโอกาสหาความบันเทิงเริงใจสักหน่อยก่อนจะโดนเนรเทศไปแอฟริกา


 


 


           ไม่เช่นนั้นครึ่งเดือนที่เหลือ เขาจะเบื่อจนตายเอาได้


 


 


           ไป๋จิ่งใช้สายตาชอบจับผิดสังเกตมองไปรอบๆ รสนิยมเขาช่างเลือก คนเข้าตาจึงมีน้อยมาก


 


 


           มีเงาสะท้อนจากร่างร่างหนึ่งเดินผ่านเข้ามาในหลานเยี่ย แววตาไป๋จิ่งเปล่งประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ผิวกายขาวผ่อง เรือนร่างเพรียวบาง ดวงตากลมโต ที่สำคัญไปกว่านั้นทั้งร่างเขายังแฝงด้วยความถือตัว เหินห่าง ไม่ไยดีอีกด้วย


 


 


           กระต่ายน้อยหล่นลงมาโลกมนุษย์ ทั้งยังเป็นกระต่ายตัวหนึ่งที่เข้าใกล้ได้ยากเสียด้วย


 


 


           ในใจไป๋จิ่งมีความรู้สึกอยากเอาชนะกระต่ายน้อยเพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด


 


 


           กระต่ายน้อยเดินเข้ามาหลานเยี่ยก็ตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์บาร์สั่งเหล้ามาแก้วหนึ่ง เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าด้านข้างดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความเหงาและอ้างว้าง


 


 


           ความคิดของไป๋จิ่งหมุนวนอย่างรวดเร็วในหัว ตัดสินใจคว้าโอกาส ให้ตัวเองและกระต่ายน้อยได้โอกาสบังเอิญพบกัน


 


 


           มั่วไป๋อยู่ที่คอนโดมินียมสักพักหนึ่ง ก็รู้สึกว่าคอนโดมินียมใหญ่โตเช่นนี้เงียบจนน่าตกใจ เขาอยู่ต่อไม่ได้แล้วจึงมาที่หลานเยี่ย


 


 


           เมื่อก่อนเวลาอยู่กับเจียงมู่เฉิน บางครั้งเขาก็จะลากตนมาหลานเยี่ยด้วย แต่เขาชอบความเงียบสงบ น้อยครั้งมากที่เขาจะมาด้วยกันกับเจียงมู่เฉิน


 


 


           ตอนนี้ความเคยชินกลับเปลี่ยนไป เงียบงันเกินไปกลับทำให้เขารู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย


 


 


           มั่วไป๋อยากได้เหล้าแก้วหนึ่ง นั่งอยู่เคาน์เตอร์บาร์ดื่มเหล้าตามสบายตามใจของตัวเอง คิดจะดื่มสักแก้วสองแก้วแล้วค่อยกลับบ้าน


 


 


           เขาตัวคนเดียว นอกจากทำแบบนี้ก็ไม่มีวิธีฆ่าเวลาอย่างอื่นแล้ว


 


 


           ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ด้านหลังเขามีเสียงโต้เถียงกันดังออกมา เสียงนั้นยิ่งเข้าใกล้เขามาเรื่อยๆ มั่วไป๋เพิ่งจะเตรียมตัวหันกลับไปมอง ก็เห็นขวดเหล้าลอยพุ่งมาใส่ตัวเอง


 


 


           จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาเตรียมหลบ แต่ร่างกายกลับถูกฉุดรั้งให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกอบอุ่น


 


 


           มั่วไป๋ตะลึงงัน อยากต่อต้านอยู่เต็มอก ยื่นมือเตรียมจะผลักอีกคนออกไป


 


 


           “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” เสียงทุ้มต่ำตกกระทบลงข้างหูของมั่วไป๋


 


 


           “ไม่เป็นไร ขอบใจ…” เขาพูดไป พลางเงยหน้าขึ้น ยามเห็นใบหน้าของคนที่กอดเขาไว้แล้วกลับเมินเฉยเสียอย่างนั้น


 


 


           สีหน้าดูถือตัวเหินห่าง เพียงพริบตาเดียวก็ฉายความสับสน เขาใช้มือผลักคนคนนั้นออกห่าง เอ่ยอย่างเย็นชา “ขอบใจ”


 


 


           ไป๋จิ่งจ้องมองดูคนตรงหน้า กว่าจะเป็นวีรบุรุษช่วยคนงามได้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่ดูเหมือนจะทำให้อีกคนเกลียดแทนเสียแล้ว


 


 


           ไป๋จิ่งลูบจมูกป้อยๆ หน้าตาท่าทางเขาดูเป็นคนเลวร้ายมากเลยใช่ไหม


 


 


         “ไม่เป็นไร ผมเองก็เห็นพอดี อ้อใช่ คุณเป็นไรไหม”


 


 


           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับ ปกติดีมาก”


 


 


           “ผมชื่อไป๋จิ่ง คุณล่ะ” ไป๋จิ่งเป็นพวกหนังหน้าหนา ถึงแม้จะดูออกว่ามั่วไป๋มีท่าทีค่อนข้างจะต่อต้านเขา แต่ก็ยังแนะนำตัวเองให้เขารู้จักได้อย่างหน้าไม่อาย


 


 


           ‘ไป๋จิ่ง’ สองคำนี้ทำให้สีหน้าของมั่วไป๋ขาวซีดลง ใต้แสงมืดสลัวไม่ค่อยปรากฏให้เห็นชัดเจนเท่าไหร่


 


 


           ข้างหลังยังคงมีเสียงโต้เถียงกันอยู่ เหมือนว่าจะเป็นคู่รักคู่หนึ่งกำลังทะเลาะกัน ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายนั้นมีเสียงพนักงานของหลานเยี่ยปะปนเข้าไปด้วย


 


 


           “มั่วไป๋” เขาเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


           ไป๋จิ่งนึกทวนชื่อเขารอบหนึ่ง รู้สึกค่อนข้างคุ้นหู เหมือนกับว่าเคยได้ยินจากที่ไหนสักที่อย่างไรอย่างนั้น


 


 


           “เมื่อก่อนพวกเราเคยเจอกันหรือเปล่า” ไป๋จิ่งเอ่ยถามไปอย่างไม่ตั้งใจ


 


 


           แววตามั่วไป๋แฝงความตื่นตระหนก แต่ครู่เดียวเขาก็สะกดมันลงไป ยังรักษามาดถือตัวดูห่างเหินไว้เช่นเดิม “เพิ่งเจอกันครั้งแรก”


 


 


           “เหรอครับ” ไป๋จิ่งยกมุมปากขึ้น โปรยเสน่ห์ของตัวเองเล็กน้อย


 


 


           “อืม นายหน้าตาหล่อขนาดนี้ ถ้าฉันเคยเห็นนาย ต้องไม่ลืมนายอยู่แล้ว” มั่วไป๋ตอบแบบขอไปที


 


 


           “ผมช่วยคุณ คุณไม่คิดจะชวนผมดื่มสักแก้วเหรอ” ไป๋จิ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย


 


 


           มั่วไป๋หัวเราะ ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุม “คุณไป๋ วิธีชวนคุยของนายแบบนี้ ออกจะโบราณไปหน่อยนะ”


 


 


            รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋จิ่งแข็งค้างขึ้นมา


 


 


           “อีกอย่าง นายแก่ไปหน่อย ไม่เหมาะกับรสนิยมความงามของฉันหรอก”


 


 


           หลังจากมั่วไป๋พูดทิ้งทวนอย่างเย็นชาจบประโยคก็หันหลังเดินออกจากหลานเยี่ยทันที


 


 


           ไป๋จิ่งมองตามแผ่นหลังของเขาไป มุมปากอดกระตุกขึ้นมาไม่ได้ หลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่เขาโดนคนว่าแก่!


 


 


           ไป๋จิ่งมองตัวเองที่อยู่ตรงข้ามในกระจก เขาดูแก่มากเลย?


ตอนที่ 112 จำไม่ได้


 


 


           หลังจากมั่วไป๋เดินออกจากหลานเยี่ยไปได้สักพักถึงหยุดเดิน เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง ทิ้งตัวลงกับกำแพง สั่นเทาไปทั้งตัว


 


 


           เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอไป๋จิ่งที่นี่


 


 


           ที่น่าตลกก็คือ อีกฝ่ายจำเขาไม่ได้เลยสักนิด


 


 


           มั่วไป๋พิงกำแพงยิ้มเยาะ ตอนที่ไป๋จิ่งออกปากถามชื่อของเขา รู้สึกว่าเขาดูคุ้นตา คาดไม่ถึงว่าเขาจะรอคอยว่าไป๋จิ่งจะจำเขาได้หรือเปล่า


 


 


           เขาอดอยากเห็นไม่ได้ ถ้าไป๋จิ่งรู้ว่าเขายังไม่ตาย รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จะทำสีหน้าแบบไหนออกมานะ


 


 


           แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่คิดมากไป ไป๋จิ่งไม่มีภาพจำอะไรเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย ราวกับเขามั่วไป๋ไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้เลยด้วยซ้ำ


 


 


           เขาหยุดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ เสียงหัวเราะที่เก็บกดเอาไว้ดังออกมาล่องลอยอยู่ในตรอกอันไร้ผู้คน ชวนให้รู้สึกอ้างว้างวังเวงอย่างบอกไม่ถูก


 


 


           เขานึกถึงไป๋จิ่งทั้งเช้าค่ำ แต่ไป๋จิ่งกลับลืมเขาไปตั้งนานแล้ว


 


 


           คุณว่าน่าขำไหมล่ะ…


 


 


           …


 


 


           “ฉันว่านะ นายเลิกเดินไปเดินมาตรงหน้าฉันจะได้ไหม ทำแบบนี้ฉันเวียนหัวหมดแล้ว” มั่วไป๋มองเจียงมู่เฉินผู้สาวเท้าอย่างไวเดินกลับไปกลับมาจนจะครบชั่วโมงอยู่ตรงหน้าเขา เล่นเอาปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


           เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนเช้าเพิ่งจะได้นอนก็ถูกเจียงมู่เฉินปลุกให้ตื่นขึ้นมา


 


 


           เจียงมู่เฉินจับเอวตัวเองไว้ กัดฟันกรอดด้วยความโมโห “นายว่า ทำยังไงฉันถึงจะจับกดซือเหยี่ยนได้บ้าง”


 


 


           เมื่อคืนคิดว่าแผนการใหญ่ในการเปลี่ยนกลับเป็นรุกจะมีความหวัง สุดท้ายไม่คิดเลยว่าเขาจะยังโดนซือเหยี่ยนจับกดอยู่ เขาคิดมาค่อนวันก็ยังนึกหนทางที่ตัวเองจะรุกซือเหยี่ยนไม่ออกเหมือนเดิม


 


 


           ดังนั้นจึงวิ่งแจ้นมาหามั่วไป๋ที่นี่ ดูว่ามีวิธีอะไรดีๆ หรือเปล่า


 


 


           “ฉันว่า นายก็อย่าคิดมากขนาดนี้เลย” มั่วไป๋กุมขมับ “นายจับกดซือเหยี่ยนไป ขนาดไม่เหมาะหรอก”


 


 


           …เขาอยากจะกระโดดกัดมั่วไป๋ให้ตาย ตัวเองจะจับซือเหยี่ยนกดแล้วทำไมถึงขนาดไม่เหมาะได้


 


 


           “ในฐานะเพื่อนของนาย ฉันต้องให้นายเผชิญหน้ากับความจริง”


 


 


           เจียงมู่เฉินเส้นเลือดปูดขึ้นมา จ้องมองมั่วไป๋พร้อมเดินเข้าประชิดทีละก้าวทีละก้าว


 


 


           มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉันแนะนำนายว่าใจเย็นสงบเสงี่ยมจะดีที่สุด อย่าทำเรื่องอะไรที่ตัวเองจะมานั่งเสียใจทีหลัง”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เรื่องที่คุณชายอย่างฉันมานั่งเสียใจทีหลังที่สุดก็คือสมองกลวงวิ่งออกมาให้นายด่าเนี่ยแหละ”


 


 


           มั่วไป๋พยักหน้าเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาทันที เดินไปถึงข้างประตูแล้วดึงประตูเปิดออก “เรื่องนี้นายอย่าเสียใจเกินไป ตอนนี้หันหลังแล้วเดินตรงออกจากประตูไป ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้นะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น “วันนี้ฉันไม่ไปแล้ว”


 


 


           มั่วไป๋ยื่นมือไปปิดประตูแล้วยืนพิงอยู่ตรงนั้น “อยากจะจับซือเหยี่ยนกดไม่ใช่เหรอ ง่ายๆ ฉันจะบอกแผนให้”


 


 


           “แผนอะไร”


 


 


           “ซื้อยามา ทำให้เขาหมดสติ ที่เหลือนายก็ทำตามอำเภอใจได้ไม่ใช่เหรอ”


 


 


           “ว้าว นายนี่มันจริงๆ เลย…” เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความประหลาดใจ “นายนี่มันฉลาดเกินไปแล้วจริงๆ ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงเลย”


 


 


           ‘ซือเหยี่ยนเวอร์ชันเป็นๆ อยู่จับกดไม่ได้ ซือเหยี่ยนเวอร์ชันไม่ได้สตินี่แหละ เขาจับกดได้แน่’


 


 


           ‘ถึงแม้ว่าซือเหยี่ยนจะขยับเองไม่ได้ก็เถอะ… ’


 


 


           ‘แต่ว่า จับกดได้ก็ดีกว่าจับกดไม่ได้ เนื้อชิ้นหนึ่งก็คือเนื้ออยู่วันยังค่ำ’ ตัดสินใจได้แล้ว เจียงมู่เฉินไม่เอ่ยคำลาอะไรก็พุ่งทะยานตัวออกจากบ้านมั่วไป๋ทันที


 


 


           มั่วไป๋ปิดประตูลงเงียบๆ เขาพูดไปส่งๆ เท่านั้นเอง ไม่คิดว่าเจียงมู่เฉินจะเชื่อจริงๆ


 


 


           เฮ้อ…


 


 


           มั่วไป๋ถอนหายใจ รู้สึกว่าสมองใหญ่ๆ อันชาญฉลาดของเจียงมู่เฉินเหมือนโดนปลูกถ่ายไวรัสชนิดร้ายแรงลงไปไม่มีผิด มาเจอกับซือเหยี่ยน เครื่องจึงรวนไปทั้งหมด


 


 


           ที่แท้ ความรักอะไรพวกนี้ ไม่พบเจอง่ายๆ ยังจะดีกว่า


 


 


           …


 


 


           ไป๋จิ่งยืนก้มหน้ารับกรรมมองซือเหยี่ยนอยู่ที่หน้าประตู “เที่ยวบินวันนี้ของฉัน นายไม่คิดจะไปส่งฉันเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขารอบหนึ่ง “ขอโทษด้วย ไม่มีเวลาน่ะ”


 


 


           “ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็รู้จักกันมาตั้งหลายปี เยื่อใยสักนิดก็ไม่มีให้กันเลยเหรอ”


 


 


           “ขออภัย คนคนนั้นของฉันต้องไม่หวังให้ฉันมีเยื่อใยกับคนอื่นแน่ๆ” ซือเหยี่ยนไม่ลังเลที่จะเอาเจียงมู่เฉินออกมาเป็นข้ออ้าง


 


 


           ได้ยินซือเหยี่ยนเอ่ยถึงคนคนนั้น ไป๋จิ่งก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมากะทันหัน “นายถึงขั้นพูดแบบนี้ ตกลงแล้วคนคนนั้นของนายเป็นใครกันแน่ ต้องลึกลับขนาดนี้เชียวเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขากำลังจะเตรียมเอ่ยปาก


 


 


           เสียงเจียงมู่เฉินดังขึ้นมาจากข้างหลัง เขาค่อยๆ เชิดริมฝีปากขึ้นอย่าเกียจคร้าน “ฉันเอง ฉันเอง”


 


 


           เขาเดินช้าๆ ไปจนถึงตรงหน้าไป๋จิ่งผู้แข็งเป็นหินไปแล้ว เขายักคิ้วแล้วพูดต่อ “ลึกลับไหม” 


 


 


 


 


ตอนที่ 113 ตกใจจนเกือบฉี่ราด


 


 


           ไป๋จิ่งตะลึงงัน อยากร้องตะโกนดังๆ จริงๆ แม่งลึกลับขั้นสุดแล้ว


 


 


         ‘เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนถึงขั้นมาคบกันได้แบบนี้ ยังจะถามเขาว่าลึกลับไหมอีกเหรอ’


 


 


            ‘เขาตกใจจนเกือบฉี่ราดแล้วโอเคไหม’


 


 


           “นาย…เขา…พวกนาย…เชี่ย!” มือไป๋จิ่งชี้ไปที่พวกเขาสองคนสลับกันไปมายังสั่นน้อยๆ อีกด้วย แม้แต่จะพูดให้เต็มประโยคยังพูดไม่ออกเลย


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางของเขาก็ใจดีอธิบายให้เขาฟัง “นายอยากเจอฉันไม่ใช่เหรอ ฉันก็อยู่นี่แล้วไง”


 


 


           สายตาหวาดกลัวของไป๋จิ่งไล่มองจากใบหน้าของเจียงมู่เฉินย้ายไปยังใบหน้าของซือเหยี่ยน จากนั้นก็วนเวียนกลับไปกลับมา “พวกนาย…ล้อเล่นกันใช่ไหม”


 


 


           ‘บุคลิกเฉพาะตัวของเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนดูยังไงก็ไม่เข้ากันเลย’


 


 


           ‘อีกอย่าง สองคนนี้เป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ จะมามีความสัมพันธ์แบบนั้นเป็นไปได้ยังไง ทำให้คนตกใจเกินไปแล้วโอเคไหม’


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว นัยน์ตาดอกท้อฉายแววหยอกล้อ เขาเดินไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน โน้มตัวลงมาหอมแก้มซือเหยี่ยน “ซือเหยี่ยน นายบอกเขาทีว่าจริงไม่จริง”


 


 


           ไป๋จิ่งมองซือเหยี่ยนเงียบๆ


 


 


           เห็นแค่ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “อืม แฟนฉันเอง”


 


 


           ไป๋จิ่งสั่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เขาพินิจมองทั้งสองคนอย่างละเอียด รู้สึกว่าทัศนคติที่มีต่อชีวิตของตัวเองได้รับความกระทบกระเทือนแล้ว


 


 


           เขาเองก็ไม่อยากให้ซือเหยี่ยนไปส่งแล้ว หันหลังวิ่งออกไปทันที


 


 


           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็รู้สึกตัวขึ้นมา ว่าซือเหยี่ยนให้เขาแอฟริกาเป็นเรื่องที่ดีสุดๆ ไปเลย แอฟริกาออกจะสวยขนาดนั้น เขาอยากไปดูของสวยๆ งามๆ จะได้ชำระล้างจิตวิญญาณที่ได้รับความตื่นตกใจให้บริสุทธิ์ขึ้น


 


 


           ‘ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินถึงขั้นมาคบกันได้แบบนี้ ยังห่างจากวันสิ้นโลกอีกไกลไหม’


 


 


           เจียงมู่เฉินมองตามแผ่นหลังหนีเตลิดเปิดเปิงของเขาไป แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ฉันดูป่าเถื่อนมากเลยเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนส่ายหัวขำๆ “ไม่ป่าเถื่อนหรอก”


 


 


           “แล้วเขาทำหน้าเหมือนเห็นผีไปทำไมล่ะ วิ่งเร็วขนาดนี้ กลัวฉันจะกินเขาเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนชะงักกับคำเปรียบเปรยของเจียงมู่เฉิน พลางคิดถึงท่าทางเมื่อครู่นี้ของไป๋จิ่ง แล้วอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ เขาพบว่าเจียงมู่เฉินเปรียบเปรยได้ถูกต้องอย่างเหลือเชื่อ


 


 


           ซือเหยี่ยนทำท่าใสซื่อพลางลูบจมูกป้อยๆ “คงจะรีบไปขึ้นเครื่องมั้ง”


 


 


           เจียงมู่เฉินเดินไปนั่งต่อหน้าเขา “เออใช่ ฉันพูดกับเขาแบบนี้ ไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “คุณกลัวเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบเอ่ย “คุณชายอย่างฉันมีอะไรต้องกลัวหรือไง”


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้ม “งั้นคุณเป็นห่วงอะไรล่ะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “นี่ฉันเป็นห่วงแทนนายไม่ใช่หรือไงเล่า”


 


 


           “ทำไมคุณถึงมาหาผมที่บริษัทได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนี้ก็นึกถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมาวันนี้ขึ้นมาได้กะทันหัน เขารีบยิ้มเชิงอยากเอาใจอีกฝ่าย “อยากมากินข้าวกับนายไง”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างสงสัย “อยากมากินข้าวกับผมเนี่ยนะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “อืม มากินข้าวกับนาย”


 


 


           “นอกจากกินข้าว ไม่มีเรื่องอย่างอื่นแล้วเหรอ” ซือเหยี่ยนถามต่ออีก


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนเขาถามแบบนี้ก็ชักจะใจเสีย ถลึงตามองเขา “ตกลงนายจะกินไม่กิน ไม่กินฉันจะไปแล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนหัวเราะ “คุณมาเชิญชวนด้วยตัวเอง ต้องไปอยู่แล้ว”


 


 


           “โอเค งั้นฉันจะรอนายที่นี่ เลิกงานแล้วจะได้ไปด้วยกัน”


 


 


           ซือเหยี่ยนนั่งรอที่บริษัทของซือเหยี่ยนตลอดทั้งบ่าย รอจนซือเหยี่ยนทำงานเสร็จ ทั้งสองคนถึงได้ออกไปกินข้าวด้วยกัน


 


 


           เจียงมู่เฉินกินข้าวไปคิดไป จะทำอย่างไรให้ซือเหยี่ยนหมดสติอย่างแนบเนียน


 


 


           จนกระทั่งกินข้าวกันเสร็จ เจียงมู่เฉินถึงได้ออกปาก “ตอนนี้ยังไม่ค่ำเท่าไหร่ ไปนั่งกับฉันที่หลานเยี่ยไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนวางแก้วลง เลิกคิ้วมองเจียงมู่เฉินด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง


 


 


           “ทำไม ไม่เต็มใจเหรอ” เจียงมู่เฉินมองจดจ่อ ถ้าซือเหยี่ยนไม่ยอม แล้วเขาจะยังทำให้ซือเหยี่ยนหมดสติได้อย่างไร


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นแววตาที่ฉายถึงแผนการจึงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ “จู่ๆ ผมเองก็อยากไปนั่งเล่นที่หลานเยี่ยขึ้นมาเหมือนกัน”


 


 


           เมื่อได้ยินเขาว่ามาเช่นนี้ เพียงชั่วครู่เดียวเจียงมู่เฉินก็กระตือรือร้นขึ้นมา “ไปกันเถอะ คุณชายจะพานายไปเที่ยวหลานเยี่ย”


 


 


           ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปหลานเยี่ย แล้วยังนั่งที่เดิมเมื่อก่อนนี้ด้วย ซือเหยี่ยนนั่งลงไม่ทันไรก็ลุกขึ้นมา “ผมจะไปห้องน้ำสักหน่อย”


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า มองดูเขาเดินจากไป


 


 


           ทันทีที่ซือเหยี่ยนไป นัยน์ตาดอกท้อของเจียงมู่เฉินก็ลุกวาวเปล่งประกายเสียเดี๋ยวนั้น ซือเหยี่ยนเลือกเวลาออกไปได้เป็นงานจริงๆ ให้เวลาเขาก่อเหตุพอดี 


ตอนที่ 114 โดนซือเหยี่ยนหลอกอีกแล้ว


 


 


           ทำเรื่องอะไรทำนองนี้เป็นครั้งแรก ในใจยังค่อนข้างจะหวาดหวั่นอยู่ทีเดียว


 


 


           ไม่กี่นาทีต่อมา ซือเหยี่ยนกลับมานั่งยังที่เดิม เจียงมู่เฉินพยายามไม่กระโตกกระตากจ้องมองซือเหยี่ยน ไหนจะแก้วเหล้าในมือเขาอีก


 


 


           ทำเรื่องไม่บริสุทธิ์ใจไม่ได้จริงๆ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นจนจะตายแล้ว


 


 


           เขาจดจ้องแก้วเหล้าในมือซือเหยี่ยนอย่างเอาเป็นเอาตาย เบิกตาค้างมองคนตรงหน้าเขาที่ไม่มีทีท่าว่าจะดื่มเสียที


 


 


           เจียงมู่เฉินร้อนรน ถ้าซือเหยี่ยนยังไม่ดื่มอีก เขาคงร้อนใจจนเป็นบ้าแน่ อยากจะแย่งมาดื่มเองแล้ว


 


 


           ในที่สุดภายใต้แววตารอคอยของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนก็เอาแก้วมาจรดที่ริมฝีปาก เหมือนกำลังจะดื่มเข้าไปแล้ว…


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นเหล้าบนริมฝีปากของซือเหยี่ยน ลมหายใจก็แทบจะหยุดลงแล้ว…


 


 


           …


 


 


           “ข้างหลังมีคนเรียกคุณน่ะ” ซือเหยี่ยนวางแก้วลงกะทันหันพลางเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


           เจียงมู่เฉินสำลักน้ำลายตัวเอง ตกใจจนไอออกมา เขาไออยู่ตั้งนานกว่าจะหันไปมองข้างหลัง


 


 


           ไม่มีใครสักคน


 


 


           “ไม่มีใครนี่ ใครเรียกฉันเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกยิ้มบางๆ “ขอโทษ เมื่อกี้ดูผิดไปน่ะ” เขาพูดไปพลางยกแก้วเหล้าขึ้น


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่ได้กังวลใจเรื่องเมื่อครู่นี้ หัวใจถูกซือเหยี่ยนสะกดไว้อีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องที่ซือเหยี่ยนจะดื่มเหล้าเข้าไปอีกแล้ว


 


 


            ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าซือเหยี่ยนจะไม่ลังเลใจอีก ยกแก้วขึ้นมากระดกเหล้าเข้าไปทันที


 


 


           น้ำเมาชุ่มฉ่ำเต็มริมฝีปากบางของซือเหยี่ยนค่อยๆ ไหลลงไปตามลำคอ เจียงมู่เฉินเห็นว่าเป้าหมายของตัวเองสำเร็จแล้ว ในใจก็อดจะเริงร่าขึ้นมาไม่ได้


 


 


           เขายิ้ม ยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นมาดื่มสักสองสามอึก


 


 


           รออีกไม่กี่นาที รับรองว่าจะจัดการซือเหยี่ยนให้ราบคาบ ให้เขาลองลิ้มรสความรู้สึกของการโดนจับกดบ้าง ไม่แน่ว่าต่อจากนี้สุดท้ายอาจจะตกหลุมรักในสายนี้ก็ได้


 


 


           ทันทีที่เจียงมู่เฉินคิดว่าซือเหยี่ยนดึงรั้งตัวเขาร้องขอให้เขาจับกด อารมณ์ก็อดจะแปรปรวนขึ้นมาไม่ได้


 


 


            ผ่านไปสิบนาที ซือเหยี่ยนยังคงมีท่าทางเหมือนก่อนหน้านี้ ความแตกต่างสักนิดก็ไม่มี


 


 


           ในใจเจียงมู่เฉินกระวนกระวาย นี่ก็สิบนาทีแล้ว ทำไมยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรอีก ฤทธิ์ยาตัวนี้คงไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง


 


 


           “ซือเหยี่ยน” เจียงมู่เฉินอดเรียกเขาไม่ได้


 


 


           “หืม” ซือเหยี่ยนเงยหน้ามองเจียงมู่เฉิน


 


 


           “นายไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เจียงมู่เฉินไตร่ตรอง ก่อนเอ่ยต่อ “เช่นว่า ร่างกายอ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรงน่ะ”


 


 


           สายตาซือเหยี่ยนจับจ้องมาที่เจียงมู่เฉิน เขายกมุมปากขึ้นน้อยๆ “ผมสบายดี”


 


 


           เขาหยุดไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อ “แต่ว่า แล้วคุณล่ะ ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียไหม แขนขาไม่มีแรงไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว เขาถามซือเหยี่ยนอยู่ แล้วซือเหยี่ยนมาถามเขากลับทำไมเนี่ย


 


 


           ‘คนที่ดื่มยาเข้าไปเป็นซือเหยี่ยนไม่ใช่เขาสักหน่อย แขนขาเขาจะไม่มีแรง ร่างกายจะอ่อนเพลียได้ไงกัน…’


 


 


‘เดี๋ยวนะ…’


 


 


‘เหมือนจะมีตรงไหนไม่ค่อยถูกต้อง…’


 


 


เจียงมู่เฉินนั่งพิงพนักอย่างหมดแรง ทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด เขาเอามือยันโต๊ะอยากจะพยุงตัวเองขึ้นมา แต่ไม่เป็นผลแม้แต่น้อย


 


 


ร่างกายเหมือนฟองน้ำไม่มีผิด ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น


 


 


เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายของซือเหยี่ยน ทันใดนั้นก็เข้าใจโดยพลัน


 


 


เหล้าของเขาโดนซือเหยี่ยนไอ้คนระยำสลับสับเปลี่ยนเรียบร้อย มิน่าล่ะเขาถึงได้มาย้อนถามตนแบบนี้


 


 


‘ไม่สิ ซือเหยี่ยนรู้ได้ยังไงว่าในเหล้ามียาอยู่…’


 


 


“นาย…นายจงใจ!” เจียงมู่เฉินโมโห


 


 


ซือเหยี่ยนเดินมาจากฝั่งตรงข้ามมาอยู่ต่อหน้าเจียงมู่เฉิน แล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ “เฉินเฉิน ยานี้คุณเป็นคนใส่เข้าไปเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลยนะ”


 


 


‘แม่งเอ๊ย โดนซือเหยี่ยนหลอกอีกแล้ว’   


 


 


           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก กว่าจะคิดวิธีจับกดซือเหยี่ยนได้ไม่ใช่ง่ายๆ สุดท้ายตอนนี้เป็นไงล่ะ เขาไม่พลาด ตัวเองพังแทน…


 


 


         “นายไปไกลๆ ฉันเลย อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” ถ้าไม่ห่างกันสักหน่อย เขาอาจจะอยากจะพุ่งตัวขึ้นไปกัดซือเหยี่ยนสักสองคำ


 


 


           ซือเหยี่ยนส่งมือไปพยุงเขาขึ้นมา “อย่าดื้อเลย ผมเป็นคนของคุณนะ จะมาเห็นคุณทำน้อยใจอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น เขายอมนอนอยู่ที่นี่ทั้งคืนดีกว่ากลับไปกับซือเหยี่ยน


 


 


           ใครจะรู้ว่าหลังจากซือเหยี่ยนไอ้คนระยำกลับไป ยังจะอยากทรมานเขาอย่างไรอีกบ้าง


 


 


           ซือเหยี่ยนกอดเจียงมู่เฉินไว้อย่างอ่อนโยน “เฉินเฉิน ผมจะพาคุณกลับบ้านเอง”


 


 


           ทั้งร่างกายเจียงมู่เฉินไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงโดนซื่อเหยี่ยนกอดประคองออกไป เขาเดินไปร้องโวยวายในใจไป คุณชายไม่ได้อยากกลับบ้านอะไรกับนายทั้งนั้นแหละ


 


 


                  


 


 


ตอนที่ 115 บทบัญญัติการแกล้งหลับ


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่อยากกลับบ้านแต่ก็ยังโดนซือเหยี่ยนอุ้มขึ้นรถไปอยู่ดี ระหว่างเดินทางกลับ เจียงมู่เฉินโกรธจนท้องไส้ร้อนระอุไปหมด เดิมทีเขาเตรียมจะหลอกซือเหยี่ยน ใครจะไปรู้ว่ามันจะวกกลับมาเข้าตัวเขาจนได้


 


 


           ซือเหยี่ยนขับรถอย่างใจเย็น ดวงตาสีดำดั่งน้ำหมึกทอประกายรอยยิ้ม ดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น เขาต้องอารมณ์ดีอยู่แล้วสิ


 


 


           ‘แม่งเอ๊ย ก็ตอนนี้คนที่หมดแรงไปทั้งตัวคือเขานี่ไง’


 


 


           ถ้าเปลี่ยนสลับกัน ตอนนี้เขากำลังขับรถ ซือเหยี่ยนหมดแรงนอนอยู่ข้างๆ รับรองว่าเขาต้องมีความสุขมากแน่ๆ


 


 


           “เฉินเฉิน อย่ามองผมด้วยสายตาเร่าร้อนขนาดนี้บ่อยๆ สิ ผมกลัวว่าจะคุมสติไม่ได้ จนอยู่ในรถก็จะ…” ซือเหยี่ยนขู่เสียงนิ่ง


 


 


           เจียงมู่เฉินแข็งทื่อไปทั้งใบหน้า เบนสายตาหนีเงียบๆ


 


 


           พยายามท่องในใจว่าตัวเขาอยู่ในรถจะไม่ยอมก็ไม่ได้ เขาท่องจนต่อมาหลับตาไม่มองซือเหยี่ยนอีก อกจะได้ไม่ร้อนไปมากกว่านี้


 


 


           ระหว่างรอไฟเขียวไฟแดง ซือเหยี่ยนเอียงหัวเหลือบมองเจียงมู่เฉินผู้กำลังคับแค้นใจอยู่ข้างๆ เขาอดจะยกมุมปากขึ้นมาไม่ได้


 


 


           รถคันสีดำแล่นมาด้วยความเร็วสูง เพียงไม่นานก็มาจอดที่หน้าทางเข้าคฤหาสน์


 


 


           ซือเหยี่ยนปลดเข็มขัดนิรภัยออก เอียงหน้ามองดูเจียงมู่เฉินที่ยังคงไม่ลืมตาขึ้นมา “ตื่นเถอะ ถึงบ้านแล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินไร้การเคลื่อนไหว ยังคงอิงแอบอยู่ตรงนั้น


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเปิดประตูลงจากรถไป เจียงมู่เฉินผู้แกล้งหลับได้ยินเสียงก็ชะงักไป นี่เขาจะทิ้งตัวเองไว้ที่นี่ไม่สนใจกันแล้วเหรอ


 


 


           กำลังจะเตรียมลืมตาขึ้นพึ่งลำแข้งตัวเอง ประตูข้างตัวก็ถูกเปิดออก


 


 


           ซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้าไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้เจียงมู่เฉิน ในรถพื้นที่คับแคบเช่นนี้ ใบหน้ายามหลับใหลของเจียงมู่เฉินเผยให้ซือเหยี่ยนเห็นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว


 


 


           เขาหลับตาพริ้ม ดูไปแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน ซือเหยี่ยนยิ้ม ชั่วพริบตาที่ยื่นมือเข้าไปกดปลดเข็มขัดนิรภัย รอยจูบแผ่วเบาก็ประทับลงที่ริมฝีปากเจียงมู่เฉิน


 


 


           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน ร่างกายเริ่มแข็งทื่อ


 


 


           นาทีต่อมา เจียงมู่เฉินก็ถูกช้อนตัวขึ้น ซือเหยี่ยนอุ้มเขาแล้วจึงปิดประตูรถ ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างใน


 


 


           เจียงมู่เฉินยังตกอยู่ในภวังค์ของจุมพิตเมื่อครู่นี้ เขาคิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะฉวยโอกาสขโมยจูบเขา เขาคงจะชอบตัวเองมากๆ ถึงได้แอบขโมยจูบตัวเองตอนหลับอยู่แบบนี้


 


 


           คิดได้อย่างนี้ เจียงมู่เฉินก็อดจะเชิดมุมปาก แอบยิ้มขึ้นมาไม่ได้


 


 


           ซือเหยี่ยนเดินถึงหน้าทางเข้าคฤหาสน์ เปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน วางเจียงมู่เฉินลงบนโซฟา แล้วเดินจากไปทันทีหลังจากนั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อยู่พักใหญ่


 


 


           เจียงมู่เฉินนอนหลับบนโซฟาตั้งนาน ซือเหยี่ยนกลับไม่สนใจเขาเลย เจียงมู่เฉินที่แกล้งหลับรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ ต่อให้เขาหลับอยู่แล้วซือเหยี่ยนไม่แยแสเรื่องที่เขาไม่ยอมมีอะไรด้วยแต่ก็คงไม่ถึงขั้นที่เอามาโยนทิ้งบนโซฟาแล้วไม่สนใจกันขนาดนี้มั้ง


 


 


         เขาหลับตารอได้อีกไม่กี่นาที ใจก็เริ่มร้อนรนแล้ว


 


 


           ในห้องเงียบเป็นพิเศษ ไม่ได้ยินเสียงใดใดทั้งสิ้นราวกับมีเขาอยู่แค่คนเดียว


 


 


           เจียงมู่เฉินแอบลืมตา อยากรู้ว่าตกลงซือเหยี่ยนทำอะไรอยู่


 


 


           เปลือกตาเพิ่งจะเปิดได้เพียงนิดเดียว เจียงมู่เฉินก็ตกใจจนตัวสั่น


 


 


           “ไม่แกล้งหลับต่อแล้วเหรอ” ซือเหยี่ยนถือแก้วน้ำยืนอยู่ตรงหน้าเขา จ้องเขาเขม็ง


 


 


           เจียงมู่เฉินตกใจจนเกือบฉี่ราด อยู่มาตั้งนาน จะมาทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปเพื่ออะไร


 


 


           “นาย…นายนั่นแหละที่แกล้งหลับ!”  


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “อ้อ งั้นตอนนี้คุณก็เพิ่งจะตื่นสินะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินทำปากแข็ง “ใช่ ถึงแม้ว่าฉันจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ แต่ว่าความคิดฉันยังไงก็ควบคุมได้อยู่แล้ว ทำไม นอนสักหน่อยก็ไม่ได้เหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ถือแก้วน้ำไว้ในมือแล้วเคาะไปเรื่อยๆ


 


 


           การที่เขามองเจียงมู่เฉินแบบนี้เพราะในใจรู้สึกหงุดหงิด คิดอยู่ว่าถ้าราดน้ำมันลงบนกองไฟอีกแค่นิดเดียวก็จะจับเจียงมู่เฉินมาทรมานเพื่อให้รับสารภาพซะ


 


 


           “นายจะมามองฉันแบบนี้ทำไม มันทำให้คนอื่นกลัวนะ” เจียงมู่เฉินโดนมองแบบนี้ก็ชักจะรับไม่ไหวแล้ว


ตอนที่ 116 เขาอยากเป็นรุกบ้าง


 


 


           ซือเหยี่ยนวางแก้วน้ำลง ลากเก้าอี้มานั่งต่อหน้าเจียงมู่เฉิน เขาเอนพิงพนักเก้าอี้พาดขายาวๆ ด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย


 


 


           “ทำไมถึงวางยาผม”


 


 


           เจียงมู่เฉินหนังหัวชาไปหมด นี่มันคำถามปลิดชีพนี่หว่า


 


 


           “หรือว่า หลังจากคุณวางยาผมแล้ว คุณคิดจะทำอะไรกับผม หืม” ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย


 


 


           เจียงมู่เฉินสบสายตาซือเหยี่ยน ชักอยากจะร้องไห้


 


 


           ‘เขาก็อยากเป็นรุกบ้างไง เขาจะอยากทำอะไรได้เล่า’ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางน่าสงสารของเขาก็โน้มตัวลงไปจูบคนตรงหน้า ราวกับมอบรางวัลให้อย่างไรอย่างนั้น เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วอดจะขบกรามไม่ได้


 


 


           “เฉินเฉิน ของพวกนี้มันอันตรายมาก ครั้งต่อไปอย่าใช้มั่วๆ แบบนี้อีก” ครั้งนี้ใช้กับเขา แต่ถ้าหากว่าต่อไปเจอคนอื่นแล้วย้อนเขาตัวเองแบบนี้อีกคงจะโดนแทะโลมจนไม่เหลือชิ้นดีแน่


 


 


           “วันหลังฉันก็ไม่ได้คิดจะใช้อีกหรอก” ตัวเองกลายเป็นแบบนี้แล้ว ต่อไปยังใช้อีกเขาก็ไม่ใช่คนแล้ว ถ้าหากว่าบังเอิญเจอคนระยำแบบซือเหยี่ยนอีก เขายังจะอยากมีชีวิตอยู่อีกไหม


 


 


           “ต่อไปยังจะทำอีกไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ “ถ้าทำอีกฉันก็เป็นหลานชายของนายแล้ว”


 


 


           สำหรับซือเหยี่ยนคำว่า ‘หลานชาย’ ที่เปรียบเปรยมานี้ ทำให้เขาคิ้วขมวดเบาๆ ทีเดียว ทันทีที่คิดถึงว่าต่อไปเจียงมู่เฉินต้องเรียกเขาว่า ‘คุณปู่’ ก็รู้สึกขนลุกแปลกๆ แล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนคิดทบทวนอย่างจริงจัง “เปลี่ยนวิธีลงโทษกันดีกว่า ถ้าโดนผมจับได้อีก คุณจะลงจากเตียงไม่ได้สามวัน เป็นไง”


 


 


           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้างขึ้นในทันใด “เชี่ยเอ๊ย นายมันหน้าเลือดเกินไปมั้ย”


 


 


           ‘สามวันเหรอ นี่จะพรากชีวิตน้อยๆ ของเขาไปเลยใช่ไหม’ เจียงมู่เฉินรีบส่ายหัว ตีให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ


 


 


           “ไม่เห็นด้วยเหรอ” ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “งั้นก็ห้าวันแล้วกัน”


 


 


           “อย่าๆๆ พี่ชาย สามวันเหมือนเดิมเถอะ” เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองรู้งานจริงๆ ลดไปสองวันก็ยังดีวะ


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ได้ งั้นสามวัน”


 


 


           เขาพูดจบก็เข้าช้อนตัวเจียงมู่เฉินอุ้มขึ้นมา เดินมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นสอง เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสีหน้างุนงง “นาย นายจะอุ้มฉันไปไหนน่ะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเขา “เฉินเฉิน ความจำคุณดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้าง


 


 


           “ตกลงกันแล้วว่าสามวันนี่” ซือเหยี่ยนยกยิ้มเบาๆ ช่างดูอ่อนโยนเหลือเกิน เผยท่าทางสุภาพบุรษจอมปลอมออกมา


 


 


           ‘บัด! ซบ! อ่อนโยนตรงไหน นี่มันหมาป่าห่มหนังแกะชัดๆ ไหนจะปากนี้ที่แทะกระดูกฉันได้แบบไม่มีเหลืออีก’


 


 


           “พี่ชาย หารือกันสักหน่อยสิ ลดจำนวนหน่อยเป็นไง” ต่อให้วันนี้จะหนีการโดนป๊าบๆๆ ไม่พ้น แต่ก็ต้องช่วงชิงเวลามาให้ชีวิตตัวเองสักวันสองวัน


 


 


           “ไม่เยอะๆ ลดลงครึ่งหนึ่งสิ นายว่าเป็นไง”


 


 


           จังหวะก้าวเดินของซือเหยี่ยนที่กำลังอุ้มเขาขึ้นไปไม่มีหยุด ยังคงเดินขึ้นบันไดต่อไป เจียงมู่เฉินเห็นเขาไม่โต้ตอบอะไรก็เริ่มร้อนใจจนรีบพูดต่อ “สองวัน สองวันก็ได้นะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยังคงไม่ตอบสนอง เจียงมู่เฉินเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ไม่งั้น สองวันครึ่งล่ะ”


 


 


           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็มีปฏิกิริยาตอบกลับเสียที เขาก้มหน้าใช้ดวงตาสีดำขลับจ้องมองเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินอยากมองเห็นอะไรในแววตาของเขาบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็เห็นไม่ชัดว่าตกลงแล้วเขาคิดอย่างไร


 


 


           เจียงมู่เฉินออกแรงดึงแขนเสื้อของซือเหยี่ยน ทำหน้าทำตาน่าสงสาร “ลดลงให้หน่อยสิ ฉันเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอ ทนรับขนาดนั้นไม่ไหวหรอก”


 


 


            ซือเหยี่ยนอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ นึกขึ้นมาได้แล้วว่าตัวเองเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดเหรอ


 


 


           ตอนอยากจะเปลี่ยนเป็นรุก ทำไมไม่นึกถึงว่าตัวเองเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ใช้แรงงานเกินขีดจำกัดไม่ได้บ้างล่ะ


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นเขายิ้มออกมาแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา เขารีบกะพริบตาปริบๆ ทำหน้าทำตาน่าสงสาร


 


 


           ซือเหยี่ยนเดินมาถึงเตียงพอดี เขาวางคนในอ้อมอกลง ปลายนิ้วจับบนเสื้อเชิ้ตและกระดุมของคนที่นอนอยู่บนเตียง


 


 


           “บังเอิญว่าผมเป็นพ่อค้า ไม่ทำธุรกิจที่ขาดทุน”


 


 


           เจียงมู่เฉินผู้โดนจับพลิกร่างอีกครั้ง นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้แดงก่ำไปแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องถามว่าทำไมถึงแดงก่ำ


 


 


           โดนจับพลิกมาคว่ำไปตลอดทั้งคืน เขาจะไม่ร้องไห้ได้เหรอ   


 


 


             


 


 


ตอนที่ 117 ชีวิตข้าน้อยสำคัญ


 


 


           ซือเหยี่ยนทำตามดั่งคำที่ให้ไว้ไม่มีผิด เจียงมู่เฉินลงจากเตียงไม่ได้มาสามวันเต็มๆ จนสุดท้าย เขายืนตัวตรงเดินเองไม่ได้แล้ว


 


 


           จะเดินเหินไปไหนก็ต้องพึ่งซือเหยี่ยนทุกอย่าง ให้อุ้มเขาในท่าเจ้าหญิง


 


 


           เช้าวันที่สี่ ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเจียงมู่เฉินผู้นอนฟุบตาลืมไม่ขึ้นอยู่บนเตียง “คราวหน้าคราวหลังยังคิดอยากจะลองอีกไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินที่กำลังมึนๆ เบลอๆ ตกใจจนรู้สึกตัวตื่นในพริบตาเดียว รีบส่ายหัวทันควัน “ไม่แล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ชีวิตข้าน้อยสำคัญนัก”


 


 


           ซือเหยี่ยนหัวเราะ ก่อนจะบรรจงจูบเขา “คุณนอนต่อเถอะ ผมจะไปบริษัทแล้ว”


 


 


           ทันทีที่ได้ยินว่าเขาจะไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเจียงมู่เฉินแข้งขาอ่อนแรง อีกนิดเดียวเขาจะดีใจจนคุกเข่าลงกับพื้นไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่อยากจะเห็นใบหน้าที่ดูเหมือนไร้พิษภัย แต่แฝงความโรคจิตเอาไว้ของซือเหยี่ยนเลยสักนิด


 


 


           ‘แม่งเอ๊ย’ เขารู้สึกว่าขาของตัวเองในตอนนี้ ถ้าให้เขาฉีกขา เขาฉีกได้สุดขาเลย


 


 


           ได้ยินเสียงปิดประตูดังมาจากชั้นล่าง เจียงมู่เฉินคว้าหมอนของซือเหยี่ยนมา อยากจะปาลงพื้นระบายไฟที่กำลังคุกรุ่นในใจ แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าของซือเหยี่ยนก็ปาไม่ลงในทันที


 


 


           เจียงมู่เฉินหาเหตุผลให้ตัวเองว่าที่ไม่ปาหมอนของซือเหยี่ยนลงพื้นเพราะว่าหมอนของพวกเขาทั้งสองใบเหมือนกัน ถ้าหากตอนกลางคืนนอนผิดใบไปจะทำอย่างไรเล่า


 


 


           ถึงแม้ว่าข้ออ้างจะดูห่วยไปหน่อย แต่เจียงมู่เฉินก็กลับไปนอนฟุบลงบนเตียงหลับชดเชยต่อไป ใบหน้ายังซุกไซ้ไปกับหมอนของซือเหยี่ยนโดยไม่ตั้งใจอีก


 


 


           นอนอยู่บ้านหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ สลบไสลราวกับเป็นเจ้าชายนิทรา เปิดเปลือกตาขึ้นมาไม่ได้เลยสักนิด


 


 


           เวลาพลบค่ำซือเหยี่ยนกลับมาจากบริษัทก็ตรงเข้าห้องนอนทันที เห็นแค่บนเตียงหลังใหญ่มีเจียงมู่เฉินนอนหลับแบบหัวไปทางหางไปทาง ผ้าห่มเกือบจะหล่นลงพื้น แขนขาเพรียวยาวยื่นออกมาข้างนอก 


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินเข้าไปกอดเจียงมู่เฉิน แล้วประทับจูบเขา


 


 


           เจียงมู่เฉินผู้หลับใหลในความฝันจู่ๆ ก็รู้สึกหายใจหอบหายใจติดขัด เขาลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก็เห็นใบหน้าเวอร์ชันขยายใหญ่ของซือเหยี่ยนเข้า


 


 


           เจียงมู่เฉินผู้มีอารมณ์เหวี่ยงยามเพิ่งตื่นนอน สีหน้าบูดบึ้ง ยกเท้าถีบใส่ทันที


 


 


           “นายเป็นบ้าหรือไง จู่ๆ มาจูบฉันทำไม”


 


 


           ซือเหยี่ยนนั่งลงข้างๆ ใบหน้าเรียบเฉยทำไขสือ เขาคลึงสันจมูกไปมา “ขอโทษ อดใจไม่ไหวขึ้นมากะทันหันน่ะ”


 


 


           ‘เชี่ย!’ เจียงมู่เฉินเกือบจะหลุดปากด่าใส่ชุดใหญ่แล้ว


 


 


           ‘ขอโทษเรอะ’


 


 


           ท่าทางรู้สึกผิดน่ะมีอยู่ตรงไหนบ้าง เจียงมู่เฉินนึกเสียใจ ตอนเช้าไม่ควรใจอ่อนเลย ควรจะปาหมอนอีกฝ่ายลงพื้นแล้วกระทืบๆ เสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป


 


 


            ยามเจียงมู่เฉินระเบิดลง ซือเหยี่ยนก็นั่งอยู่ข้างๆ ตลอด ดวงตาสีดำขลับจดจ้องมาที่เจียงมู่เฉิน


 


 


           ผ่านไปครู่ใหญ่ เจียงมู่เฉินก็ฟื้นคืนจากอาการหายใจไม่ออกแล้ว เขาเชิดหางตาขึ้นเอ่ยปากออกคำสั่ง “อุ้มฉันไปห้องน้ำอาบน้ำที”


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่เอ่ยเป็นคำที่สอง จัดการอุ้มเขาขึ้นมาตรงเข้าห้องน้ำทันที ทั้งเปิดน้ำให้ ทั้งนวดผ่อนคลายให้


 


 


           ต้องยอมรับเลยว่าถึงแม้เวลาซือเหยี่ยน ‘ทำ’ จะป่าเถื่อนไม่เหมือนคน แต่เวลาไม่ ‘ทำ’ กลับเป็นเหมือนแฟนที่เอาใจใส่ดูแลกันมากเลยทีเดียว


 


 


           ไอน้ำแผ่ปกคลุมไปทั่ว เจียงมู่เฉินฟุบหันหลังอยู่ในอ่างอาบน้ำ สีหน้าสุขสมสบายใจ


 


 


           อาบน้ำด้วยกันกับซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินผู้ได้รับการนวดอย่างสบายไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกาย ให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขาออกไป


 


 


           ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนซือเหยี่ยนอุ้ม ไม่มีอะไรต้องเสแสร้งแกล้งทำ


 


 


           ‘อีกอย่าง ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เป็นฝีมือของซือเหยี่ยนไม่ใช่หรือไง’


 


 


             ‘เขาเป็นคนอุ้มตัวเองออกไปก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว คุณชายน้อยตระกูลเจียงไม่ใช่คนประเภทที่ยอมให้เขากินแล้วเช็ดปากจากไปหรอกนะ’


 


 


           พอออกมาจากห้องน้ำ ซือเหยี่ยนก็อุ้มเขามุ่งหน้าลงไปชั้นหนึ่ง “มีอะไรอยากกินไหม”


 


 


           เจียงมู่เฉินชักจะหิวขึ้นมาจริงๆ แล้ว นอนสลบไสลมาทั้งวัน จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้กินอะไรสักอย่าง แต่เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว ถ้าทำกับข้าวตอนนี้ คงอีกนานกว่าจะได้กิน


 


 


           เขาเอนกายพิงกายอย่างอิดโรย “อยากกินบะหมี่”


 


 


           “กินแค่บะหมี่เหรอ”  


 


 


           “เพิ่มไข่ด้วยแล้วกัน”


 


 


           หลังจากพูดจบ ซือเหยี่ยนก็เข้าครัวไป เจียงมู่เฉินพาดร่างตัวไปกับเก้าอี้ไม่กระดุกกระดิก ร่างกายที่เพิ่งจะผ่านการอาบน้ำมายังอ่อนแรง ไม่อยากขยับเขยื้อนเลยสักนิด


 


 


           ถึงอย่างไรก็มีซือเหยี่ยนอยู่ ใช้ได้ไม่เสียเปล่า


ตอนที่ 118 เป็นรับชัดเจนมากเลยเหรอ 


 


 


           ในห้องครัวซือเหยี่ยนต้มบะหมี่อยู่อย่างเงียบๆ ระหว่างสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เจียงมู่เฉินเอนกายกับพนักพิงมองดูซือเหยี่ยนแล้วอดคิดไม่ได้ นิสัยก่อความวุ่นวายขนาดนั้นของตัวเองพอมาอยู่กับซือเหยี่ยนคาดไม่ถึงว่าจะไม่รู้สึกน่าเบื่อเลย 


 


 


           สำหรับเจียงมู่เฉิน เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตเมื่อก่อนหน้านี้ เขายิ่งชอบชีวิตที่อยู่กับซือเหยี่ยนแบบนี้มากกว่า 


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเบาๆ เขาคงจะปลูกต้นรักกับซือเหยี่ยนจริงๆ แล้ว 


 


 


           ซือเหยี่ยนเอาบะหมี่ที่ต้มเสร็จแล้วมาวางไว้ตรงหน้าเจียงมู่เฉิน ไม่เพียงเท่านั้นยังใส่ไข่ตามที่เจียงมู่เฉินบอกไว้ แถมยังมีผักกาดกวางตุ้งและกุ้งอีกด้วย 


 


 


           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้เรื่องมากอะไร หยิบตะเกียบขึ้นมา เป่าทีสองทีแล้วจึงกินคำใหญ่เข้าไป 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินกิน ในใจก็ปรากฏความรู้สึกรักทะนุถนอมขึ้นไม่หยุด 


 


 


           บะหมี่หนึ่งชามถูกจัดการเรียบอย่างรวดเร็ว เจียงมู่เฉินนั่งเกียจคร้านเป็นอัมพาตอยู่บนเก้าอี้ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเอาชามบะหมี่ใส่เข้าไปในเครื่องล้างจาน แล้วออกมาดูเจียงมู่เฉิน “นอนไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ฉันเพิ่งกินข้าวเสร็จจะให้นอนเลย นายเห็นฉันเป็นหมูหรือไง”  


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางอ่อนปวกเปียกของเขาอยู่บนเก้าอี้ก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเตะเขาไปทีหนึ่ง “อุ้มฉันไปโซฟาที ฉันอยากดูทีวี” 


 


 


           ในฐานะแฟนหนุ่มยี่สิบสี่ยอดกตัญญู[1] ซือเหยี่ยนรับคำสั่งอุ้มเจียงมู่เฉินไปวางบนโซฟา ทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดทีวีให้เจียงมู่เฉินเลือกหาดูเองอีกด้วย 


 


 


           เจียงมู่เฉินหาดูอยู่ตั้งนานก็หาหนังเรื่องหนึ่งเจอ 


 


 


           ซือเหยี่ยนปิดไฟในห้องรับแขก ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ แล้วดึงเจียงมู่เฉินมาอยู่ในอ้อมกอด 


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนกอดแบบนี้ก็รู้สึกแปลกๆ เขาตีมือซือเหยี่ยน “นายปล่อยมือออกก่อน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนละมือออก 


 


 


           เจียงมู่เฉินเคลื่อนตัวถอยหลังไป เอามือกอดซือเหยี่ยนเอาไว้ เขาคลอเคลียอีกฝ่ายอย่างพอใจ ที่แท้ทำแบบนี้ก็สบายตัวกว่ามากทีเดียว 


 


 


           ‘เปลี่ยนเป็นรุกบนเตียงไม่ได้ แล้วจะเป็นรุกบนโซฟาหน่อยไม่ได้เหรอ’ 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูท่าท่างการกระทำเล็กๆ ของเจียงมู่เฉินอย่างขำๆ ขยับร่างกายให้เจียงมู่เฉินได้กอดเขาสบายๆ ขึ้นมาหน่อย 


 


 


           ‘ความรู้สึกครั้งแรกที่โดนคนกอดไว้ในอ้อมอกแบบนี้…’ 


 


 


           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วเงียบๆ รู้สึกแปลกๆ แต่ว่าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร 


 


 


           ความมืดปกคลุมทั่วห้อง เหลือแค่เพียงแสงสลัวๆ สะท้อนจากทีวีเท่านั้น แสงฉายสลับตัดไปมากระทบใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนเอียงหน้าก็มองเห็นสีหน้าดูทีวีอย่างจริงจังของเขา 


 


 


           แววตาซือเหยี่ยนทอประกายฉายอารมณ์อันซับซ้อน เขาใช้เวลาเนิ่นนานตั้งเท่าไหร่ถึงพาตัวคนคนนี้กลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้งได้ 


 


 


           ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ อีกแล้ว 


 


 


           … 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นมั่วไป๋เอาแต่คลุกตัวอยู่ในคอนโดมิเนียมทั้งวัน ไม่วาดรูปก็นอนหลับ เขาทนดูไม่ได้แล้วจริงๆ จึงวิ่งแจ้นมาหาคว้าตัวอีกคนออกมา 


 


 


           แสงแดดข้างนอกค่อนข้างจ้า มั่วไป๋หรี่ตาลงพิงหน้าต่างอย่างเอื่อยเฉื่อย  


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางปล่อยเนื้อปล่อยตัวเหมือนหมดอาลัยตายอยากของเขาแล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ฉันว่านะ โลกมนุษย์สวยงามขนาดนี้ บางครั้งนายก็ต้องออกมาชื่นชมของพวกนี้บ้าง” 


 


 


           มั่วไป๋นึกอนาถใจในตัวเอง “ชื่นชมของพวกนั้นไปทำไม ชื่นชมนายก็โอเคแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าต้องชื่นชมก็ให้ฉันชื่นชมนายด้วยไง” 


 


 


           มั่วไป๋กวาดสายตามองหยามเขา “แผนเป็นรุกล้มเหลวอีกแล้วล่ะสิ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินระเบิดลง “นายรู้ได้ยังไง” 


 


 


           “ไม่กี่วันมานี้ไม่ได้ออกจากบ้านเลยล่ะสิ ไม่ใช่ว่าโดนจับกดจนลงจากเตียงไม่ได้หรอกเหรอ” มั่วไป๋เลิกคิ้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย 


 


 


           ‘…เขาเป็นรับชัดเจนขนาดนั้นเลยเรอะ’ 


 


 


           “ถ้าไม่ใช่ว่าคุณชายเห็นว่าใบหน้าของนายเป็นใบหน้าที่คุณชายชอบ คงจะฟาดนายจนตายไปแล้วแน่ๆ” เจียงมู่เฉินโกรธจนต้องขบกราม 


 


 


           มั่วไป๋หัวเราะเยาะ “งั้นฉันจะต้องขอบคุณใบหน้านี้ของฉันจริงๆ สินะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นแววตาเยาะเย้ยตัวเองของเขาก็ชะงักไปจึงรีบเอ่ยปากทันที “มั่วไป๋ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ” 


 


 


           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น “ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดที่พูดประโยคเดียวแล้วจะทิ่มแทงบาดแผลของฉันได้” 


 


 


           “นายยังลืมไม่ลงใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเงียบลงอยู่พักใหญ่ๆ ถึงได้พูดต่อ 


 


 


           “คงจะใกล้แล้วมั้ง” ถ้าคืนนั้นเขาไม่ได้เจอกับไป๋จิ่งอีก เขาคงใกล้จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไปแล้ว 


 


 


           เลือดแดงฉานนองพื้น เขานอนดิ้นรนทุรนทุราย โฉมหน้าเปลี่ยนไปหมด… 


 


 


               


 


 


[1] ยี่สิบสี่ยอดกตัญญู เป็นนิทานพื้นบ้านที่นำเสนอถึงความกตัญญูตามปรัชญาขงจื้อ 7 ประการ ได้แก่ การเลี้ยงดูบุพการี การปรนนิบัติรับใช้บุพการีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย การให้ความสุขแก่บุพการี การให้อภัยต่อความผิดพลาดของบุพการี การปกป้องบุพการี การรำลึกถึงบุพการี จัดงานศพและเซ่นไหว้บุพการี 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 119 ไม่อยากเอ่ยถึงอีก 


 


 


           “ตกลงว่าคนคนนั้นเป็นใคร ตั้งหลายปีแล้ว นายยังไม่คิดจะบอกฉันอีกเหรอ” ปีนั้นตอนที่เขาไปถึง มั่วไป๋ก็นอนหมดสติเลือดท่วมตัวอยู่บนพื้นแล้ว 


 


 


           ถ้าตอนนั้นไปช้าอีกนิด เกรงว่ามั่วไป๋คนที่มานั่งอยู่ต่อหน้าเขาวันนี้คงจะไม่มีอีกแล้ว 


 


 


           ด้วยเหตุนี้จึงถูกส่งตัวไปอเมริกา ใช้เวลากว่าครึ่งปีถึงทำให้อาการของเขาค่อยๆ ดีขึ้น รอจนเกือบจะสองปีเต็มๆ มั่วไป๋ถึงได้กลับมาถานโจวอีกครั้ง 


 


 


           ความอ้างว้างแฝงในแววตาของมั่วไป๋ เขาส่ายหัวด้วยท่าทีสงบนิ่ง หยิบแก้วที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง “มู่เฉิน มีบางเรื่องที่ฉันไม่อยากเอ่ยถึงอีก ฉะนั้นนายก็อย่าเอ่ยถึงอีกเลย” 


 


 


           เขาหยุดสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “อีกอย่าง ฉันเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว หน้าตาก็ไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อน คนที่รู้จักฉันก็มีไม่กี่คน” แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดสนิทกันตลอดเวลาในตอนนั้นอย่างไป๋จิ่งมาเจอเขาอีกครั้งก็ยังจำเขาไม่ได้แล้ว 


 


 


           ‘เขาที่เป็นแบบนี้ มีอะไรต้องกลัวอีก’ 


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ถึงอย่างไรเรื่องบางเรื่องก็ได้แต่พึ่งตัวเองให้ข้ามผ่านไปได้เท่านั้น คนอื่นจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ 


 


 


           ทั้งสองคนนั่งอยู่กันสักพัก จากนั้นก็ไปร้านอาหารระแวกใกล้ๆ แถวนั้น เพิ่งจะสั่งอาหารกันเสร็จ เจียงมู่เฉินเห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังเดินมาทางตัวเอง แล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย 


 


 


           “คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอคุณที่นี่” ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินก็อมยิ้มเบาๆ 


 


 


           เจียงมู่เฉินฉีกมุมปากขึ้น “ฉันเองก็คิดไม่ถึง” ไม่ได้เจอหน้าเขาหลายวัน ตัวเองใกล้จะลืมซังจิ่งคนนี้ไปแล้ว 


 


 


           “มากินข้าวกับเพื่อนเหรอ” ซังจิ่งมองมั่วไป๋ที่นั่งตรงข้ามเจียงมู่เฉินอยู่แวบหนึ่ง 


 


 


           “อืม” เขาเอ่ยรับคำเดียวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย 


 


 


           ซังจิ่งมองเจียงมู่เฉินอย่างขำๆ เมื่อครู่นี้ยังเห็นรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้า แต่พอเห็นหน้าเขา สีหน้าเป็นมิตรสักนิดก็ไม่มีให้ 


 


 


           เขายังแสดงออกว่าเกลียดตัวเอง ไม่เหลือทางให้ถอยจริงๆ 


 


 


           “ผมเองก็มากินข้าว เพียงแต่ว่าบังเอิญไม่มีที่นั่งแล้ว ไม่รู้ว่าจะขอแชร์โต๊ะกับประธานเจียงได้หรือเปล่า” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยมองไปข้างๆ ไม่มีโต๊ะว่างเหลือเลยสักโต๊ะ เขามองหน้ามั่วไป๋ราวกับจะขอความเห็นของมั่วไปอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


           หลังจากมั่วไป๋พยักหน้าให้เล็กน้อย เจียงมู่เฉินถึงได้ตกปากรับคำ 


 


 


           “งั้นแชร์กันก็ได้” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงนิ่ง 


 


 


           ซังจิ่งนั่งลงข้างๆ เจียงมู่เฉิน ส่วนฝั่งของมั่วไป๋ก็ว่างลง แบบนี้ทำให้เจียงมู่เฉินโล่งใจไปส่วนหนึ่งเพราะมั่วไป๋ไม่ชอบให้มาเข้าใกล้แตะเนื้อต้องตัว 


 


 


           ซังจิ่งถือใบรายการอาหารขึ้นมาสั่ง มองดูเจียงมู่เฉินที่นั่งข้างๆ คุยกันกับมั่วไป๋ ดูท่าว่าจะทำให้เขาเป็นแค่คนแปลกหน้าที่แค่มาแชร์นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันเท่านั้นจริงๆ ไม่มีทีท่าจะสนใจเขาแม้แต่น้อย 


 


 


           เขานวดถูคางตัวเองเบาๆ ถึงแม้ว่าคืนนั้นคำพูดที่เจียงมู่เฉินพูดกับเซวียยางเขาจะได้ยินชัดทุกถ้อยคำ 


 


 


           ทุกทุกคำล้วนพาความเย็นชามาสู่เขา 


 


 


           เพียงแต่ว่าถ้าเอาความอบอุ่นของเขาตั้งรับความเย็นชาของเจียงมู่เฉิน ก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่น่าลำบากใจขนาดนั้น ถึงอย่างไรใบหน้าของเจียงมู่เฉินนี้ก็โดนใจ ถูกรสนิยมของเขามากอยู่ดี 


 


 


           ซังจิ่งพิจารณาสังเกตดูเจียงมู่เฉิน แม้ตัดทรงผมสั้นแล้วจะดูแมนๆ ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่กระทบใบหน้านั้นเลยสักนิด 


 


 


           ยังดูดีเหมือนเดิม 


 


 


           เขายกมุมปากขึ้น เอ่ยเสียงต่ำ “แบบแปลนก่อสร้างของทางหลินไห่เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย ไม่ทราบว่าคุณชายเจียงรู้เรื่องหรือยัง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินที่เดิมทีไม่อยากจะสนใจเขา แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหลินไห่ก็ยังต้องเบนสายตามาหาซังจิ่งอยู่ดี 


 


 


           “หมายความว่ายังไง” 


 


 


           “ฝ่ายงานวิศวกรพบว่า แบบแปลนก่อสร้างของหลินไห่กับที่ส่งรายงานไปตอนแรกเทียบกับการก่อสร้างห้องใต้ดินมีบางจุดไม่ค่อยเหมือนกัน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แล้ว?” 


 


 


           “ต้องส่งแบบแปลนไปใหม่ รอพิจารณาสั่งการ หลังจากผ่านแล้วจะสร้างซ้ำใหม่อีกรอบ” ซังจิ่งถอนหายใจเบาๆ “หรือว่า ตั้งนานขนาดนี้แล้วคุณชายเจียงไม่เคยสนใจโครงการหลินไห่เลยใช่ไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “แล้วไง ตอนนี้ประธานซังกำลังตำหนิฉันอยู่เหรอ” 


ตอนที่ 120 โดนตีจนสลบ


 


 


           ซังจิ่งหัวเราะ “ไม่ใช่อยู่แล้ว ผมก็แค่รู้สึกว่าคุณชายเจียงควรจะไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น เจียดเวลาว่างมาสนใจสักหน่อยควรจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากมาย ถึงยังไงโครงการนี้ประธานเจียงก็ตั้งใจส่งให้คุณดูแลเป็นพิเศษเลยไม่ใช่เหรอ”


 


 


           เขาอ้างเอาคุณพ่อเจียงมากดดันเขาแบบเนียนๆ เจียงมู่เฉินหัวเราะเสียงเย็น เขาโตมาขนาดนี้แล้ว เต็มใจจะทำอะไร ไม่เต็มใจจะทำอะไร เขากำหนดเองทั้งนั้น ไม่เคยมีใครกล้ามาจูงจมูกเขา


 


 


           “เรื่องไหนที่ควรจะสนใจ ฉันก็จะสนใจเอง เรื่องไหนที่ไม่ควรจะสนใจ ฉันก็จะไม่ยุ่งเป็นธรรมดา คนเรามีดีที่รู้จักประมาณตนไม่ใช่เหรอ” เขาหัวเราะ “มีบางเรื่องล้ำเส้นเข้าไปแล้วดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”


 


 


           ซังจิ่งหัวเราะ “นั่นแน่นอน”


 


 


           มั่วไป๋เห็นทั้งสองคนปะทะฝีปากกัน เขาก้มหน้าลงกินข้าว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จัก ต่อให้ตีกันขึ้นมาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา


 


 


           อีกอย่าง ด้วยนิสัยของเจียงมู่เฉิน ต่อให้ตีกันขึ้นมาก็ไม่ยอมเสียเปรียบหรอก แล้วถ้าเกิดไม่โอเคขึ้นมา ก็ยังมีเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ


 


 


           ดีที่ทั้งสองคนไม่พูดอะไรต่อ หลังจากกินข้าวเสร็จ ซังจิ่งก็รับโทรศัพท์รีบเดินออกไป


 


 


           มั่วไป๋มองตามแผ่นหลังเขาไป พร้อมเลิกคิ้ว “เรื่องอะไรกัน”


 


 


           เจียงมู่เฉินเอนพิงพนักที่นั่ง แล้วถอนหายใจ “พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจน่ะ เคยเจอกันสองครั้ง ไม่สนิทหรอก”


 


 


           “เขามีจุดประสงค์แอบแฝงกับนายสินะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันมีจุดประสงค์แอบแฝงกับซือเหยี่ยนเท่านั้นแหละ”


 


 


           มั่วไป๋ลูบคาง “ฉันแปลกใจชักอยากรู้จริงๆ แล้วสิ นายกับซือเหยี่ยนก็ถือว่าโตมาด้วยกัน หลายปีมานี้ต่างฝ่ายต่างขัดหูขัดตากัน ทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงอยากมาคบกันได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง ก็เป็นแบบนี้จริงๆ เขากับซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นรู้จักกันมายี่สิบกว่าปี เมื่อก่อนเห็นหน้าเขาก็อยากถีบ ตอนนี้เห็นหน้าเขาก็อยากจูบ


 


 


           การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่มากทีเดียว


 


 


           “พอเถอะ เก็บสีหน้าฟินๆ ของนายไปได้แล้ว” มั่วไป๋ไม่อยากจะมองแล้ว


 


 


           เจียงมู่เฉินลูบใบหน้าตัวเอง เขาแสดงออกว่าฟินมากเลยเหรอ


 


 


           มั่วไป๋ลุกยืนขึ้น “ฉันไปก่อนนะ อย่าลืมเช็คบิลด้วย”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความงุนงง “เรื่องอะไรกัน นายกลับไปก็ไม่มีอะไรทำ จะกลับไปตอนนี้ทำไม”


 


 


           “ไปออกกำลังกาย”


 


 


           ทิ้งทวนด้วยประโยคนี้ มั่วไป๋ก็เดินออกจากร้านอาหารไปทันที


 


 


           เจียงมู่เฉินยังคงนั่งทำหน้างงๆ อยู่บนโซฟา ไอ้หมอนี่เชื่อเรื่องพลังของการอยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือไง นึกยังไงถึงมาออกกำลังกายได้


 


 


           …


 


 


           หลังจากออกจากร้านอาหารแล้ว เจียงมู่เฉินก็มุ่งหน้าไปหลินไห่สอบถามความคืบหน้าแผนการทำงานของฝ่ายวิศวกรรม ถึงจะว่าเขาดูเชื่อถือไม่ได้ แต่เรื่องกำไรขาดทุน เขาก็ยังเข้าใจอยู่


 


 


           ถึงอย่างไรที่ดินฝืนนี้ พวกเขาก็ลงทุนไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นจะพัวพันกันยุ่งเหยิงเกินไปได้


 


 


           เจียงมู่เฉินเรียกตัวผู้รับผิดชอบฝ่ายวิศวกรรมมาพบ ทำความเข้าใจสถานการณ์โดยสังเขป แล้วให้พวกเขารีบเสนอวิธีแก้ปัญหาโดยเร่งด่วนทันทีหลังจากนั้น


 


 


           กว่าจะจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ เวลาได้ล่วงเลยมาถึงสี่โมงเย็นแล้ว


 


 


           ยามที่เขาออกมาจากห้องทำงาน ถือโอกาสไปดูสถานที่ก่อสร้างด้วย ครั้งก่อนที่หัวแตกไปยังจำได้ไม่ลืม


 


 


           ระหว่างทาง เจียงมู่เฉินระวังตัวรอบทิศทาง กลัวจะมีคนไม่ระวังทำของตกใส่เขาอีก


 


 


           เขาเหลือแค่ผมทรงนี้แล้ว ถ้ามาอีกจะกลายเป็นนักบวชจริงๆ แล้ว


 


 


           เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปข้างใน มองดูรอบๆ คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โตเกินไป เตรียมตัวจะออกจากที่นี่ ยามหมุนตัวหันกลับไปก็เห็นคนสองคนกำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่


 


 


           เจียงมู่เฉินแววตาครุ่นคิด แอบตามไปเงียบๆ


 


 


           ตลอดทางที่เดินตามอยู่ข้างหลัง จนพวกเขาเดินผ่านประตูบานเล็กด้านหลังเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้ว ก็เดินออกไปยืนหน้าประตูตรงนั้น เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย


 


 


           เขารู้สึกมาตลอดทางว่าสองคนนี้มีอะไรไม่ค่อยปกติ


 


 


           แต่ตลอดทางที่เดินตามไปก็ไม่ได้เห็นว่าพวกเขาจะทำพฤติกรรมอะไรไม่เหมาะสมออกมา


 


 


           เจียงมู่เฉินก้าวออกจากประตูบานเล็ก เดินตามทางที่พวกเขาเดินออกไป ด้านหลังเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่มีอาคาร บ้าน สถานที่สำหรับคนอาศัยอยู่เลยสักหลัง


 


 


           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เดินลึกเข้าไป สังเกตดูรอบๆ อย่างละเอียด


 


 


           จนกระทั่งตอนเลี้ยวเข้าซอยไป รู้สึกเพียงแค่ต้นคอด้านหลังเจ็บขึ้นมาอย่างรุนแรง หมดสติล้มลงไปกองกับพื้น


 


 


 


 


ตอนที่ 121 เตรียมช่วยเหลือตัวเอง


 


 


           ในโกดังอันมืดมัว เจียงมู่เฉินถูกโยนไปตรงมุม ร่างกายเพรียวยาวขดตัวเข้าหากันดูแล้วช่างน่าสงสารไม่น้อย รอบกายไม่มีใครสักคน มีเพียงแค่โกดังว่างเปล่ากับเจียงมู่เฉินผู้สลบไสลไม่ได้สติอยู่เท่านั้น


 


 


           ผ่านไปประมาณยี่สิบกว่านาที เจียงมู่เฉินที่นอนกองอยู่กับพื้นก็ค่อยๆ รู้สึกตัวกลับคืนมา เขาต่อสู้ดิ้นรนอยากจะยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น


 


 


           โดยรอบบริเวณนี้คือโกดังร้าง ขาดการซ่อมแซมมาเป็นแรมปี เหนือศีรษะยังมีรอยแยก แสงสลัวๆ จากแสงสีในยามราตรีทะลุเข้ามา


 


 


           เจียงมู่เฉินขยับตัวก็พบว่าตัวเองถูกมัดไม่ต่างจากขนมบ๊ะจ่าง ดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่ได้ เจียงมู่เฉินคิดหาวิธีช่วยเหลือตัวเองไปพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนจะหมดสติไปด้วย


 


 


           เขาไม่ค่อยเข้าใจ ตัวเองไม่ได้ทำอะไร ทำไมถึงโดนตีจนสลบแล้วถูกโยนทิ้งมาอยู่ที่นี่ได้


 


 


           ข้อมือถูกมัดแน่นนานเกินไป ทำให้เลือดไม่ไหลไปเลี้ยงบริเวณข้อมือเกิดอาการเหน็บชาจนเจ็บเหมือนมีเข็มทิ่ม เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย การกระทำในมือยังคงไม่หยุดนิ่ง


 


 


           ถึงเขาจะดื้อรั้นหัวแข็งไปบ้าง แต่ว่าความรู้ทั่วไปที่ควรรู้ก็มีหมด ไม่เพียงเท่านี้เมื่อก่อนเขายังเคยตั้งใจไปหาเรียนวิธีการเอาตัวรอดช่วยเหลือตัวเองมาเป็นพิเศษด้วย


 


 


           บังเอิญว่าเรื่องแก้มัดเชือก เขายังพอทำได้แบบผิวเผิน


 


 


           ‘รู้ไว้ใช่ว่า ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย’


 


 


           เขาฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครเร่งการกระทำในมือ รีบดึงแก้เงื่อนตาย เชือกค่อยๆ ถูกเขาดึงแยกออกจากกัน เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเตรียมลงมือแก้เชือกที่มัดอยู่ที่เท้าก็ได้ยินเสียงฝีย่ำเท้าดังมาจากด้านนอก


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบหลับตาลงแกล้งทำเป็นว่ายังหมดสติอยู่


 


 


           คนสองคนเดินเข้ามา เจียงมู่เฉินฟังเสียงฝีเท้าแล้วคาดการณ์ไปด้วย ทั้งสองคนน่าจะเดินมาถึงบริเวณทางเข้าแล้ว ยังมีระยะห่างจากเขาอยู่ประมาณหนึ่ง


 


 


           ทันทีหลังจากนั้นก็ค่อยๆ เดินมุ่งหน้าเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ


 


 


           “ยังไม่ฟื้นอีกเหรอ ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนะ” เสียงผู้ชายใหญ่ๆ หยาบๆ เอ่ยขึ้น


 


 


           “ใครจะไปรู้ คงจะถูกเลี้ยงสุขสบายจนเคยตัว รูปร่างบอบบาง รออีกสักหน่อยเดี๋ยวยังไงก็ตื่นอยู่ดี” อีกคนที่เสียงค่อนข้างเล็กเอ่ยปาก


 


 


           “นายว่า ที่ให้พวกเราจับคนมัดไว้แต่ไม่ให้พวกเราลงมือทำอะไรเขา หมายความว่าไง”


 


 


           “จะสนใจมากมายไปทำอะไร พวกเราทำงานได้เงิน ที่เหลือต่อจากนี้ พวกเราอย่ายุ่งจะดีที่สุด”


 


 


             ทั้งสองคนพูดพึมพำกันไม่กี่ประโยค เสียงก้าวเดินก็ค่อยๆ ไกลออกไป จนไม่ได้ยินเสียงแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ลืมตาขึ้น


 


 


           เดิมที่เขาคิดว่าเพราะตัวเองสะกดรอยตามพวกเขาจึงโดนตีจนสลบแล้วถูกมัดจับกลับมา


 


 


           ตอนนี้ดูท่าว่าจะเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า พวกนั้นรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร เพราะว่าต้องการจับเขามัดเอาไว้ ถึงได้ตีเขาจนสลบแล้วมัดจับกลับมา


 


 


           บางที ทุกอย่างที่เขาเห็นในเขตก่อสร้างนี้คือสิ่งที่พวกเขาจงใจแสดงละครตบตา ทำให้เขานึกสงสัยแล้วเดินตามออกไป


 


 


           เจียงมู่เฉินฉวยโอกาสตอนที่พวกเขายังไม่กลับมา รีบแก้เชือกที่เท้า หาทางออกอย่างระมัดระวัง โกดังนี้ทั้งเก่าทั้งชำรุด อีกอย่างพื้นที่ก็ไม่ใหญ่ มีเพียงแค่ประตูใหญ่บานเดียว


 


 


           สองคนนั้นเมื่อครู่นี้ควรจะอยู่ใกล้ๆ แถวทางออกประตูใหญ่ เขาจะออกจากประตูใหญ่ไปโต้งๆ ไม่ได้


 


 


           ถึงอย่างไรแม้แต่ซือเหยี่ยน เขายังสู้ไม่ชนะ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกโจรลักพาตัวสองคนนี้เลย ข้อนี้เขายังรู้ตัวเองดี


 


 


           เขาพิจารณาสถานการณ์รอบข้างไป พลางรีบหาทางหนีไป ยามนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้มองหาไปรอบทิศทางจนไปเจอหน้าต่างข้างๆ ก็รู้สึกใจหวิวๆ


 


 


           ความสูงของหน้าต่างสูงราวๆ สองเมตรห้าสิบ ด้านข้างมีของวางให้เขาปีนขึ้นไปได้พอดี เพียงแต่ว่าหลังจากปีนออกไปไม่มีที่กำบังเลยค่อนข้างจะลำบากอยู่บ้างเล็กน้อย


 


 


           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดสักพัก ไม่ได้คิดอะไรมากต่อ เลือกหน้าต่างบานนั้น เขารีบสาวเท้าให้ถึงหน้าต่าง แล้วปีนขึ้นสินค้าที่ตั้งไว้นานมากแล้ว ตะกายขึ้นไปที่หน้าต่าง


 


 


           กระจกหน้าต่างไม่ได้ถูกทุบออกทั้งหมด ตอนที่เจียงมู่เฉินปีนออกไปก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขนขึ้นมา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกขีดเป็นรอยเลือด


 


 


           “ซี๊ด…” เจียงมู่เฉินรู้สึกเจ็บจนขมวดคิ้ว สำรวจดูแขนลวกๆ ไม่ได้มองอะไรมากมาย ปีนข้ามออกไป


ตอนที่ 122 วิ่งหนีเข้าภูเขารกร้าง


 


 


           เขากระโดดลงมาจากหน้าต่าง เจียงมู่เฉินพยายามป้องกันตัวเองไม่ให้บาดเจ็บ แต่ตอนกระโดดลงมากลับพลาดท่าล้มลงไปกับพื้น แขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้กระแทกลงพื้นพอดี


 


 


           เจียงมู่เฉินเจ็บอย่างรุนแรงจน คิ้วแสนองอาจขมวดเข้าหากัน เขากัดฟันไม่เปล่งเสียงเล็ดลอดออกมา กลัวว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้คนที่อยู่ไม่ไกลรู้ตัว


 


 


           ออกมาจากโกดังเขาถึงพบว่า บริเวณรอบๆ นี้รกร้างไม่มีคนดูแล ข้างหลังเป็นภูเขารกร้าง เขามองดูอย่างละเอียด ถ้าวิ่งหนีออกจากตรงนี้ เป้าหมายชัดเจนเตะตาเกินไป แป๊บเดียวพวกเขาก็เห็นได้แล้ว


 


 


           บริเวณรอบๆ นี้ที่กำบังสักนิดก็ไม่มี เปอร์เซ็นต์จะถูกจับได้มีมากเกินไป


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดทบทวน เมื่อจะทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุดไปเลย เขาวางเป้าหมายไว้บนภูเขารกร้างที่อยู่เบื้องหลังของตัวเอง


 


 


           ถือโอกาสยามท้องฟ้ามืดสนิทวิ่งไปข้างหลัง ภูเขารกร้างไม่เคยผ่านการถูกบุกเบิก ลักษณะทางกายภาพค่อนข้างซับซ้อน ถึงแม้พวกเขาจะมาพบว่าตัวเองวิ่งหนีไปแล้ว อยากจะตามหาเขายังต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว


 


 


เวลานี้เขาคิดวิธีช่วยเหลือเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้พอดี


 


 


เจียงมู่เฉินวิ่งเร็วสุดชีวิต ดีที่โกดังได้บดบังพรางการมองเห็นให้บางส่วน อีกอย่างพวกเขาคงจะคิดไม่ถึงว่า คุณชายน้อยที่ถูกเลี้ยงให้สบายจนเคยตัวจะรู้สึกตัวตื่นแล้วยังแอบวิ่งหนีออกไปอีก


 


 



 


 


หลังจากซือเหยี่ยนกลับมาที่คฤหาสน์ ถึงได้พบว่าข้างในมืดสนิท เขาชะงักไปพักหนึ่ง ในใจมีความรู้สึกบางอย่างแปลกๆ ขึ้นมา


 


 


ตั้งแต่หลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ดึกป่านนี้เจียงมู่เฉินปกติจะต้องกลับมาแล้ว เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน


 


 


ซือเหยี่ยนคิ้วขมวด ในใจรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่าง


 


 


เขารีบโทรศัพท์หา ให้คนไปตามร่องรอยของเจียงมู่เฉินตามที่ต่างๆ ระหว่างรอข่าวคราว ซือเหยี่ยนก็ไม่ลังเลใจที่จะมุ่งหน้าไปหลานเยี่ย


 


 


สถานที่ที่เจียงมู่เฉินจะไปได้ เขาไปตามหามาหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แวว ไม่มีเงาของเจียงมู่เฉินเลยสักที่


 


 


ซือเหยี่ยนสีหน้าคร่ำเคร่ง คิ้วขมวดกันแน่น


 


 


“ประธานซือครับ หาร่องรอยตำแหน่งของคุณชายเจียงได้แล้วครับ”


 


 


“เขาอยู่ไหน”


 


 


“เขตเขาชิงผิงซานครับ”


 


 


ซือเหยี่ยนย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย “รีบเข้าไปตอนนี้ทันที”


 


 


รถคันสีดำแล่นเร็วปานลมกรดไปตามถนน ซือเหยี่ยนนั่งในรถด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เป็นครั้งแรกที่เห็นซือเหยี่ยนเป็นเอามากขนาดนี้


 


 


“ตอนบ่ายคุณชายเจียงไปดูงานโครงการหลินไห่ หลังจากที่ถึงเขตก่อสร้างแล้วก็ไม่ได้ออกมา พวกเราตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่มีการบันทึกตามเวลาของคุณชายเจียง จุดหมายสุดท้ายล็อกเป้าอยู่บนรถตู้เก่าๆ คันหนึ่งครับ”


 


 


“รถตู้คันนั้นขับมุ่งหน้าไปถึงบริเวณละแวกใกล้ๆ เขตเขาชิงผิงซาน หลังจากนั้นก็ทิ้งรถไว้ครับ”


 


 


ขณะนี้พวกเขาได้รับข้อมูลมาเต็มที่ แถมยังระบุพิกัดอยู่ในพื้นที่จำกัดไม่ใหญ่แล้วก็จริง แต่ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ใครจะรู้ว่าจะเกิดการย้ายสถานที่กันบ้างหรือเปล่า


 


 


“ประธานซือครับ จะแจ้งความหรือเปล่าครับ”


 


 


ซือเหยี่ยนหลับตาลง หยิบมือถือออกมา “ฉันเอง ช่วยฉันตามหาคนคนหนึ่งให้ที เขาหายตัวไปจากหลินไห่ตั้งแต่บ่ายสี่โมง ประมาณห้าโมงเย็นเจอรถทิ้งไว้ที่เขตชิงผิงซาน”


 


 


“ได้ แล้วเจอกัน”


 


 



 


 


เจียงมู่เฉินวิ่งเข้าไปในภูเขารกร้าง หลังจากที่วิ่งเข้าไปถึงได้พบว่า ข้างในยุ่งยากลำบากกว่าที่จินตนาการไว้มาก ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดเกินไป มองทางก็ได้ไม่ค่อยชัด อีกทั้งเขาเองไม่เข้าใจสภาพความเป็นไปของที่นี่แม้แต่น้อย ไม่มีความรู้สึกบอกทางว่าจะไปที่ไหนได้เลย


 


 


ระหว่างที่วิ่งอย่างสุดกำลังอยู่นั้น พุ่มไม้เตี้ยมีหนามและกิ่งไม้ขูดบาดไปตามเสื้อผ้าบนตัวเจียงมู่เฉิน แม้แต่แก้มยังมีบาดแผลไม่เล็กไม่ใหญ่แทรกเพิ่มเข้าไปอีก


 


 


วิ่งมานานระยะหนึ่ง ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็หยุดฝีเท้าลง เขาตั้งใจฟังเสียงรอบๆ อย่างละเอียดก็ไม่ได้ยินเสียงอย่างอย่างอื่น โจรลักพาตัวที่เขานึกถึงยังตามเขามาไม่ทัน


 


 


เขาหาที่มั่นและปลอดภัยหยุดพักลงสักครู่ เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามองดูบริเวณบาดแผลที่โดนกระจกบาด อยากเห็นว่าสภาพบาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง


 


 


แต่ท้องฟ้าเป็นสีดำมืดเกินไป เขามองไม่เห็นอยู่แล้ว แค่รู้สึกได้ถึงความเจ็บราวโดนทิ่มแทงไปทั้งร่างกาย


 


 


เจียงมู่เฉินจนใจ ฝืนยิ้มมองฟ้า คุณชายเจียงอย่างเขาหลายปีมานี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ตกทุกข์ได้ยากถึงเพียงนี้ ถ้าแม่เขาเห็น ต้องร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาจะร้องออกมาแน่ๆ


 


 


เจียงมู่เฉินทรุดตัวนั่งลงกับพื้น เขาอดจะหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้ ถ้าซือเหยี่ยนมาเห็นเขาในสภาพไก่อ่อนแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะโดนเขาหัวเราะเยาะใส่หรือเปล่า


 


 


ถึงอย่างไรคุณชายเจียงก็เป็นคนมีมาดสง่างาม ใครเห็นใครรักแบบนั้นมาตลอด


 


 


           


 


 


ตอนที่ 123 เริ่มการค้นหา


 


 


ใบหน้ายังรู้สึกเจ็บราวโดนทิ่มแทงอยู่เงียบๆ เจียงมู่เฉินอดทนไม่กล้าจะใช้มือสัมผัส ไม่รู้ว่าแผลบนใบหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้เสียโฉมได้หรือเปล่า


 


 


เมื่อซือเหยี่ยนรีบมาถึงที่โกดัง โกดังก็ร้างไร้ผู้คนแล้ว ไม่มีใครสักคน ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าตำแหน่งเดียวกันกับที่เจียงมู่เฉินถูกจับมัดเอาไว้ เขาจ้องมองเชือกป่านที่พันกันยุ่งเหยิงอยู่บนพื้น ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น


 


 


เมื่อคิดถึงภาพที่เจียงมู่เฉินถูกจับมัดไว้ที่นี่ ร่างกายขดตัวงออย่างน่าสงสาร อารมณ์เกรี้ยวกราดก็เดือดพล่านขึ้นมา


 


 


“ซือเหยี่ยน ที่นี่ไม่มีคนมาสักพักแล้ว เจียงมู่เฉินน่าจะวิ่งหนีออกไปแล้ว ข้างหลังเป็นภูเขารกร้าง ฉันเดาว่าคงจะวิ่งหนีเข้าภูเขารกร้างไปแล้ว”


 


 


“รีบตามหาเดี๋ยวนี้ ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องเอาตัวคนออกมาให้ได้” ซือเหยี่ยนสีหน้าราวกับท้องฟ้ามืดครึ้ม ดูแล้วทำเอาคนตกใจกลัวทีเดียว


 


 


หลินเยี่ยผู้เป็นหัวหน้าตำรวจชุดค้นหามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจ ก่อนจะหันไปพูดกับลูกน้องด้านหลัง “ทุกคนกระจายกำลังตามหาในภูเขารกร้างข้างหลังนี้ ได้ข่าวอะไรรีบรายงานฉันทันที”


 


 


“รับทราบครับ หัวหน้าหลิน”


 


 


“คนของฉันเข้าไปแล้ว อย่ากังวลไปเลย ต้องไม่เป็นไรแน่นอน” หลินเยี่ยเห็นซือเหยี่ยนที่เอาแต่เงียบปากไม่พูดจา เสียงต่ำจึงเอ่ยปลอบใจ


 


 


“หลินเยี่ย นายอยู่ที่นี่ช่วยฉันดูไว้ ฉันจะไปหาข้างหลัง”


 


 


“เดี๋ยว ซือเหยี่ยน ดึกขนาดนี้แล้ว นายไหวเหรอ”


 


 


ซือเหยี่ยนไม่ได้ตอบกลับเขาไป คว้าไฟฉายส่องไฟนำทางเดินไปด้านหลัง ไม่ว่าจะไหวไม่ไหว เจียงมู่เฉินอาจจะยังอยู่ในภูเขา แค่มีความคิดแบบนี้ขึ้นมาก็เพียงพอแล้วจะทำให้เขาไม่ต้องคิดอะไรอย่างอื่นอีก


 


 


ซือเหยี่ยนจงใจแยกกับตำรวจชุดค้นหา เดินไปอีกทาง ด้านในเดินเข้าไปได้ยากมาก เพราะว่าไม่เคยผ่านการบุกเบิก ไหนจะมีเขาอีกหลายลูกซ้อนกันอยู่ด้านข้าง ถ้าไม่มีเซ้นส์เรื่องทิศทาง แล้วเดินไปสะเปะสะปะ มีโอกาสจะหลงทางสูงมาก เดินออกมาไม่ได้


 


 


ซือเหยี่ยนตามหาไป หัวใจจะบีบรัดตัวแน่นไปด้วย เมื่อคิดถึงภาพเจียงมู่เฉินเดินไปไร้จุดหมายค้นหาไปทุกทิศทาง หัวใจก็อดจะบีบรัดตัวแน่นไม่ได้


 


 


ราวกับมีคนมากำหัวใจเขาแล้วบิดหมุนไปรอบๆ อย่างป่าเถื่อน หายใจไม่ออกอย่างไรอย่างนั้น


 


 


สีหน้าบึ้งตึง รีบค้นหาอย่างรวดเร็ว


 


 


……


 


 


เจียงมู่เฉินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หลังจากรอเรี่ยวแรงกลับมาสักพัก ก็จับต้นไม้ข้างๆ พยุงตัวลุกขึ้นมา เริ่มรู้สึกเวียนหัวบ้างแล้ว เจียงมู่เฉินกัดริมฝีปากให้ตัวเองตื่นตัวมีสติขึ้นมาหน่อย


 


 


‘เขาหายตัวไปตั้งนานขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นจะรู้หรือเปล่า’


 


 


‘ถ้ารู้ว่าไม่เจอเขาแล้ว จะมาตามหาเขาหรือเปล่านะ’


 


 


ถึงเวลาแบบนี้แล้ว ในหัวของเจียงมู่เฉินมีแต่ซือเหยี่ยนไปหมด เขาอดจะเดาไม่ได้ ถ้าซือเหยี่ยนรู้ว่าเขาโดนคนจับตัวมัดเอาไว้ ใบหน้าแสนเย็นชานั่นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้บ้างไหม


 


 


เจียงมู่เฉินขำตัวเองไปพลางเดินไปข้างหน้า ตอนบ่ายโดนตีจนสลบจนมาโดนทิ้งอยู่ที่นี่ ไหนจะบาดเจ็บจนเลือดไหลออกไม่น้อย ร่างกายทำท่าจะไม่ไหวมาตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


เจียงมู่เฉินใช้แค่แรงใจเท่านั้นประคับประคอง​ตัวเองไว้ ในสถานที่เปลี่ยวห่างไกลผู้คนขนาดนี้ ถ้าตัวเองไม่เป็นฝ่ายออกไปขอความช่วยเหลือ​ กลัวว่าตัวเองอยู่ที่นี่จะกี่วันก็ไม่มีใครรู้


 


 


เขาเจียงมู่เฉินตั้งแต่​เล็กจนโต ไปที่ไหนก็เป็นจุดสนใจ จะมาตายในเขาหัวโล้นนี้ไม่ได้ ยามล้มตายผ่านไปไม่กี่วัน ร่างกายเน่าขึ้นมา ใบหน้าสมบูรณ์​แบบไร้ที่ติดของเขาก็ไม่เหลือแล้ว ไม่สมควรเอามากๆ


 


 


เขารู้สึก​จะตายแต่ไม่ยอมตาย เขาคลำเอามือถือออกมา หน้าจอมืดสนิท ไม่รู้​ว่าตอนวิ่งหนีออกมา หล่นกระแทกจนเสียหรือเปล่า


 


 


เขากดปุ่มเปิดปิดเครื่อง คาดไม่ถึงว่าหน้าจอจะสว่างขึ้นมา


 


 


ในใจเจียงมู่เฉินดีใจสุดขีด มือถือยังใช้ได้เยี่ยมไปเลย เขารีบเปิดเครื่อง ไม่รู้ว่าที่ภูเขารกร้างนี้มีสัญญาณ​อะไรไหม


 


 


เขารีบเปิดมือถือ แต่แบตมือถือ​เหลือเปอร์เซ็นต์​สุดท้ายแล้ว เจียงมู่เฉิน​เห็นแถบข้างบนหน้าจอยังพอมีสัญญาณ​โทรศัพท์​ เขาจึงรีบกดสายหาซือเหยี่ยน


 


 


ถึงแม้จะไม่รู้​ว่าโทรหาซือเหยี่ยนแล้วจะมีประโยชน์​อะไรไหม แต่ปฏิกิริยา​แรกของสมองบอกให้เขาโทรหาซือเหยี่ยน


 


 


เจียง​มู่เฉินมองดูสายโทรออกบนหน้าจอมือถือ ในใจภาวนาให้ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นรับสายได้ เจียงมู่เฉินกลัว​ว่ามือถือ​ของตัวเองจะอดทนอยู่ต่อจนโทรหาซือเหยี่ยนเป็นครั้งที่สองไม่ได้


 


 


ภายใต้สถานการณ์​คับขัน ตื่นตระหนก​เป็นพิเศษ​แบบนี้ เวลาเปลี่ยนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เจียงมู่เฉินจ้องมองมือถือ พลางหายใจด้วยความตื่นตระหนกจนแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ


 


 


“เจียง… มู่เฉิน…” จู่ๆ ในมือถือ​ก็มีเสียงซือเหยี่ยนขาดๆ หายๆ ดังออกมาจากปลายสาย


ตอนที่ 124 ซือเหยี่ยนหายตัวไป


 


 


นาทีที่ได้ยินเสียงซือเหยี่ยนเพียงชั่วพริบตาเดียว ในใจของ​เจียงมู่เฉินก็มีความรู้สึก​บางอย่าง​ที่พูดไม่ออกพรั่งพรูออกมา มือที่จับมือ​ถือไว้แน่น​ ปลาย​นิ้วที่ประสานกันสั่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ


 


 


“ซือเหยี่ยน…ฉันเอง…” เสียงเขาขาดๆ หายๆ


 


 


“คุณเป็นไรไหม” เสียงซือเหยี่ยนแฝงความร้อนใจ


 


 


“ฉัน…” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค จู่ๆ มือถือ​ก็ดับไป เจียงมู่เฉินมองดูมือถือด้วยความงุนงง เขาเพิ่งจะเอ่ยได้ไม่กี่คำ แบตมือถือ​ที่เหลือเพียงแค่นี้ก็ทนอยู่ต่อไม่ไหว ปิดเครื่อง​เองโดยอัตโนมัติ​


 


 


เขามองดูมือถือ​แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ สักประโยคยังไม่ทันได้พูดก็หายตัวไปเสียดื้อๆ ยังโทรหาซือเหยี่ยนด้วยสายแปลกๆ อีก ไม่รู้ว่าแบบนี้อีกฝ่ายจะยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิมไหม


 


 


เจียงมู่เฉินเก็บมือถือ​เข้ากระเป๋ากางเกง​ ถอนหายใจ​แบบปลงๆ


 


 


‘ดูท่าว่าวันนี้สวรรค์​ต้องการจะตัดขาดกับเขาสินะ’ ในหุบเขาลึกป่าดงดิบ ท้องฟ้ามืดมิด มองทิศทางก็ไม่ชัด แล้วยังติดต่อซือเหยี่ยนไม่ได้อีก ยิ่งไม่ต้อง​พูดถึง​ว่าจะมีคนสองคนนั้นที่พบว่าเขาหนีไปแล้วจะตามจับเขาอีกได้


 


 


เขาพักอยู่ไม่กี่นาที พอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงพอกลับมานิดหนึ่ง​แล้วก็เดินมุ่งออกข้างนอกต่อไป ถึงอย่างไรสถานการณ์​ในขณะนี้ ค้นหาเขาให้เจอ เกรงว่าจะยากมากไป ทำได้แค่พึ่งตัวเองเอาตัวรอดเอง


 


 


ภูเขารกร้างในยามราตรีมืดมิด​เกินไปแล้วจริงๆ เดิมทีก็ไม่มีแสงอะไรอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต้นไม้สูงใหญ่สองข้างทางนี้ด้วยซ้ำ


 


 


เจียงมู่เฉินค่อยๆ ใช้มือคลำทีละนิดไปเรื่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เดินไปช่วงหนึ่ง เจียงมู่เฉินก็แยกตำแหน่ง​ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้ได้ไม่ชัดเจน ทำได้แค่พึ่งเซนส์เรื่องทิศทางที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ​เท่านั้น​


 


 


จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็รู้สึกหงุดหงิด​ขึ้นมาบ้างแล้ว ตัวเองไม่มีอะไรทำแล้ววิ่งเข้ามาในภูเขาทำไม ถ้ารู้​ตั้งแต่​เนิ่นๆ อยู่ในโกดังไม่ไปไหน ไม่แน่ว่าอาจจะยังสบายขึ้นมาหน่อยก็ได้


 


 


เวลานี้วิ่งเข้าภูเขา หาก็หาไม่เจอ ดูท่าว่าจะยิ่งยุ่งยาก​ลำบากไปกว่าเดิมเสียอีก


 


 



 


 


ซือเหยี่ยนมองดูมือถือ​ในมือ ดวงตาสีดำขลับฉายแววความกดดัน​อันหนักหน่วง​ กว่าจะได้รับสายจากเจียงมู่เฉินไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่พูดไม่ถึงสองคำ สายก็ตัดไปกะทันหัน​


 


 


ไม่รู้​ว่าเขาเจอเรื่องอะไรกะทันหัน​หรือเปล่า สายถึงได้ตัดไปแบบนี้


 


 


เมื่อคิดถึง​ภาพเจียงมู่เฉินอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้​ หัวใจ​ของซือเหยี่ยนก็บีบรัดตัวแน่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เขาต้องเร่งทำเวลารีบหาเจียงมู่เฉินให้เจอ


 


 


ทันทีที่คิดถึงภาพเจียงมู่เฉินตกอยู่ในอันตรายในสถานที่ที่ตัวเองมองไม่เห็น


 


 


ซือเหยี่ยนก็รู้สึกว่าหัวใจค่อยๆ เจ็บปวดไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนั้น


 


 


เขาเร่งฝีเท้า ตามหาอย่างบ้าคลั่ง กิ่งไม้ขูดบาดเสื้อผ้าบนตัวของซือเหยี่ยน แต่เขาไม่มาดูเลยสักแวบเดียว ราวกับคนที่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ซือเหยี่ยนผู้เย็นชา สุขุม มาโดยตลอด กลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเพื่อคนคนหนึ่งเป็นครั้งแรก


 


 


เจียงมู่เฉินเหนื่อยจนหายใจหอบเก็บอากาศเข้าแทบจะไม่ทัน เขารู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คาดว่าตัวเองต้องขาดอากาศหายใจอยู่ในภูเขานี้แน่


 


 


เขายื่นมือออกไปคิดจะจับต้นไม้ข้างๆ เพื่อพยุงตัวเองหยุดพักผ่อนสักหน่อย ปรากฏว่าไม่ได้จับไว้มั่นคงพอ ตัวคนทั้งคนจึงหงายหลังล้มลงไป


 


 


ร่างทั้งร่างหมุนกลิ้งลงไป เจียงมู่เฉินปกป้องได้ทันแค่ใบหน้าตัวเองที่บาดเจ็บนั้น


 


 


ก่อนจะหมดสติไป เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นอย่างเสียดาย เขาเพิ่งจะได้อยู่ด้วยกันกับซือเหยี่ยนเอง ต้องมาตายแบบนี้ ซือเหยี่ยนจะเสียใจเพื่อเขาได้บ้างไหม…


 


 


เสียงฝีเท้าดังปนเปกันในภูเขา ซือเหยี่ยนเห็นมือถือเครื่องหนึ่งตกอยู่บนพื้น เขารีบหยิบขึ้นมาดู


 


 


นั่นคือมือถือของเจียงมู่เฉิน


 


 


มือถือตกอยู่ตรงนี้ เจ้าตัวก็ควรจะอยู่ไม่ไกลจากนี้


 


 


ซือเหยี่ยนพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นสงบสติอารมณ์ อย่าลุกลี้ลุกลนจนสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจอย่างถูกต้องขั้นพื้นฐานไป


 


 


เขาถือไฟฉายส่องไปรอบๆ เดินตามทางรกๆ ที่อยู่ด้านข้าง


 


 


เวลาค่อยๆ หายไปทีละนิดทีละนิด เจียงมู่เฉินหายตัวไปเป็นเวลาเจ็ดชั่วโมงแล้ว ฝั่งตำรวจยังคงไม่ได้อะไรสักอย่าง พวกเขาไปตามหากันหลายๆ ที่ ก็หาแม้แต่เงาของเจียงมู่เฉินไม่เจอ


 


 


ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดเกินไป ทำให้การค้นหายิ่งยากขึ้นไปอีก มีคนหายเข้าไปอย่างไรก็หาได้ไม่เจออยู่แล้ว


 


 


“หัวหน้าหลิน แบบนี้รอฟ้าสว่างกันดีไหมครับ รอฟ้าสว่างมองเห็นได้ชัดแล้ว จะทำให้การค้นหาของเราสะดวกขึ้นนะครับ”    


 


 


หลินเยี่ยมองดูเวลา กว่าจะฟ้าสว่างก็มีเวลาอีกสี่ชั่วโมง


 


 


“ซือเหยี่ยนล่ะ ทำไมเขาไม่ได้กลับมาด้วยกันกับพวกนาย” 


 


 


 


 


ตอนที่ 125 ขอโทษที่ผมมาช้า


 


 


           “ประธานซือเหรอ พวกเราไม่ได้เห็นเขาเลยครับ”


 


 


           หลินเยี่ยขมวดคิ้ว “เขาไม่ได้อยู่กับพวกนายเหรอ”


 


 


           “พวกเราไม่เคยเห็นประธานซือเลยครับ”


 


 


           หลินเยี่ยมองดูเวลาแวบหนึ่ง ซือเหยี่ยนเข้าไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว ถ้าไม่ได้ไปกับคนของเขา แล้วจะไปไหนได้


 


 


         “ตามหากันต่อ นานขนาดนี้แล้วซือเหยี่ยนยังไม่กลับมา ถ้าไม่เกิดเรื่อง ก็มีเงื่อนงำ”


 


 


           “ตามกันต่อเหรอครับ”


 


 


           หลินเยี่ยเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ค้นหากันต่อไป”


 


 


           ดวงตาสีดำขลับโถมเข้าหาภูเขารกร้างอันมืดสนิท แววตาแฝงความเป็นห่วง ถ้าซือเหยี่ยนเกิดปัญหา ลำบากแน่ๆ


 


 


           ซือเหยี่ยนเดินลงไปเรื่อยๆ มานานมากแล้ว ไฟฉายในมือส่องไปรอบทิศทาง จนมาหยุดลงตรงมุมมุมหนึ่ง


 


 


           เสื้อเชิ้ตสีขาวใต้แสงไฟ ชัดเจนเต็มตา ซือเหยี่ยนแข็งทื่อไปทั้งตัวพุ่งตัวเข้าหาราวกับคนเสียสติ


 


 


           เจียงมู่เฉินนอนกองอยู่กับพื้น มีบาดแผลไปทั้งตัว เสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดคราบดวงใหญ่ ดวงตาซือเหยี่ยนหยุดลงตรงร่างของเจียงมู่เฉิน เพียงชั่วพริบตาก็แดงก่ำขึ้นมา


 


 


           เขารีบประคองร่างเจียงมู่เฉินมากอดไว้แนบกายเขา


 


 


           “เฉินเฉิน…ผมมาแล้ว” ซือเหยี่ยนเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนครั้งแล้วครั้งเล่า


 


 


           แต่เจียงมู่เฉินผู้สลบไสลไปแล้วไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของเขา ร่างกายอ่อนปวกเปียกนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับใดๆ ทั้งสิ้น


 


 


           “ขอโทษที่ผมมาช้า” นิ้วมือซือเหยี่ยนสั่นเทาเล็กน้อย แขนสอดช้อนอุ้มเขาขึ้นมา


 


 


           ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ต้องเดินได้ไม่ค่อยสะดวกเป็นธรรมดา ยิ่งซือเหยี่ยนมาอุ้มเจียงมู่เฉินอยู่แบบนี้ยิ่งเดินยากขึ้นไปอีก แต่ทุกย่างก้าวของเขากลับมั่นคง ราวกับกลัวว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุทำให้เจียงมู่เฉินบาดเจ็บอีก


 


 


           ดูๆ ไปแล้วซือเหยี่ยนยังถือว่าสงบจิตใจได้อยู่ แต่ก็มีเพียงเขาเองที่รู้ ว่านาทีที่เขาอุ้มเจียงมู่เฉินไว้ในอ้อมอก เขาหวาดกลัวมากแค่ไหน


 


 


           เขากลัวว่าเรื่องเมื่อหลายปีก่อนจะฉายซ้ำอีกครั้ง


 


 


           เขากลัวว่าเจียงมู่เฉินจะตายอีกครั้ง…


 


 


           …


 


 


           ซือเหยี่ยนหาพื้นที่ว่าง บรรจงกอดร่างเจียงมู่เฉินไว้ในอ้อมอก ท่าทางระมัดระวังราวกับบรรจงกอดของล้ำค่าที่ตัวเองรักและถนอมที่สุดไม่มีผิด


 


 


           เขาโน้มตัวลงประทับรอยจูบบนใบหน้าที่มีรอยแผลของเจียงมู่เฉิน “ครั้งนี้ผมสายไม่ได้ใช่ไหม”


 


 


           ห้าปีก่อน เขาช้าไปเพียงก้าวเดียว กลับต้องเบิกตาค้างจ้องมองเจียงมู่เฉินหายสาบสูญไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง เขาคิดว่าตลอดชีวิตของตัวเองคงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว


 


 


           คนมีชีวิตที่ไร้ชีวิต เจ็บปวดกับความรักและความสูญเสีย


 


 


           ยังดีที่พระเจ้ายังเมตตาปรานีเขาอยู่บ้าง คืนเจียงมู่เฉินกลับมาให้ เขาถือโอกาสตอนที่เจียงมู่เฉินยังไม่ได้สติ ไปหาคนมาลบความทรงจำของเจียงมู่เฉินที่เคยมีร่วมกันกับตัวเองทิ้งไป


 


 


           ส่งตัวคนกลับไปบ้านตระกูลเจียง แสร้งทำเป็นไม่ลงรอยกันกับเจียงมู่เฉิน คอยปกป้องอยู่ข้างกายเขา


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูคนในอ้อมกอด แล้วยกมุมปากขึ้นฝืนยิ้มอย่างจนใจ เดิมทีเขาอยากจะปกป้องดูแลเจียงมู่เฉินให้มั่นคงปลอดภัยไปตลอดชีวิตนี้ แต่ทุกครั้งเขาก็ปกป้องไว้ไม่ได้เลย


 


 


           ริมฝีปากเย็นเฉียบกดลงบนริมฝีปากซีดเซียวไร้สีเลือด ซือเหยี่ยนจุมพิตเขาอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ


 


 


           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินผู้ยังไม่ได้สติเริ่มขยับตัวค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น


 


 


           ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา ก็รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว ราวกับมีคนถือมีดมาค่อยๆ กรีดเนื้อเขาออกทีละนิด แล้วเย็บกลับเขาไปใหม่อย่างไรอย่างนั้น


 


 


           เขาอยากจะขยับเขยื้อนร่างกายที่เจ็บสาหัส แต่กลับถูกคนคว้าตัวไว้อย่างนุ่มนวลและเบามือ


 


 


            “ไม่ดื้อนะ อยู่นิ่งๆ” เสียงอ่อนโยนของซือเหยี่ยนดังขึ้นอยู่ข้างหู


 


 


           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน คิดว่าตัวเองฟังผิด เขากะพริบตาปริบๆ จ้องมองซือเหยี่ยนท่ามกลางความมืดมิด “ซือเหยี่ยน”


 


 


           “ผมเอง”


 


 


           “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เจียงมู่เฉินค่อนข้างสงสัย เขาวิ่งจนมาถึงข้างในขนาดนี้แล้ว ซือเหยี่ยนตามหาตัวเขาเจอได้ยังไง หรือบนตัวเขามีจีพีเอสติดไว้อยู่


 


 


           “ไม่อยากเจอผมเหรอ”


 


 


           เจียงมู่เฉินอยากจะหัวเราะ แต่ดันฉีกโดนบาดแผล เจ็บจนหน้าตาบิดเบี้ยวไปหมด “นายนี่แม่งมาช้าเกินไปไหม ทำไมไม่รอให้คุณชายขาดใจตายก่อนแล้วถึงค่อยมาล่ะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางมีชีวิตชีวาของเขา ก็อดจะจุ๊บเขาสักฟอดไม่ได้ “ทำใจเห็นคุณตายไม่ได้ เลยรีบเข้ามาตามหา”


 


 


           “สายไปแล้วล่ะ อีกครึ่งชีวิตฉันใกล้จะไม่เหลือแล้ว” เจียงมู่เฉินเจ็บจนไปถึงลมหายใจ


 


 


           ซือเหยี่ยนช้อนอุ้มเขาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะไปโดนบาดแผลของเจียงมู่เฉินโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


 


           เขาก้าวเท้าเดินอย่างมั่นคง ทุกย่างก้าวไปอย่างเชื่องช้า


ตอนที่ 126 จะไม่เสียโฉมใช่ไหม 


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนอีกฝ่ายอุ้มอยู่เช่นนี้ เขาซบไหล่ซือเหยี่ยนอย่างว่าง่าย เขาขมวดคิ้วไป พลางเอ่ยปากไปด้วย “ทำไมฉันรู้สึกว่าหลังจากที่อยู่ด้วยกันกับนาย ก็โดนนายอุ้มไปอุ้มมาตลอด อุ้มจนต่อไปฉันเกิดไม่อยากจะเดินขึ้นมาแล้วจะทำไง” 


 


 


           “งั้นผมจะอุ้มคุณไว้ตลอดเลย” 


 


 


           “ไม่ได้หรอก ขาทั้งสองข้างของคุณชายดูดีออกขนาดนี้ ไม่ได้เอามาไว้ประดับสักหน่อย จะไม่ให้เดินได้ยังไงกัน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนดูเหมือนจะหลุดขำออกมา เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น “มีประโยชน์อย่างอื่นอยู่” 


 


 


           เจียงมู่เฉินชะงักงัน ขาไม่ได้ใช้ไว้เดิน แล้วยังจะมีประโยชน์อะไรอย่างอื่นอีก 


 


 


           “ผมให้คุณยืมเอวผมได้” 


 


 


           …เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง ร่างกายที่บาดเจ็บไปทั้งตัวเหมือนคนป่วยขนาดนี้ยังโดนซือเหยี่ยนไอ้คนชั่วยั่วประสาทกันอีกเหรอ 


 


 


           ‘ให้เขายืมเอว?’ 


 


 


           ‘ไม่ได้อยากจะยืมเอวเขาเลยเหอะ’ 


 


 


           … 


 


 


           “นายแน่ใจนะว่านายเดินออกไปได้” เดินตัดทางแบบนี้ เจียงมู่เฉินอดจะถามขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


           “เจียงมู่เฉิน” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงนิ่ง “คุณต้องเชื่อแฟนของคุณนะ” 


 


 


           “แต่ว่านายเดินมาได้สักพักแล้ว” เจียงมู่เฉินพูดพึมพำ “ไม่งั้นนายวางฉันลง ให้ฉันเดินเอง?” 


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่คิดเลยสักนิดก็เอ่ยปฏิเสธเขาแล้ว “ร่างกายคุณบาดเจ็บอยู่ ให้ผมอุ้มคุณดีกว่า” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยความประทับใจ “นายทำแบบนี้ ฉันรู้สึกประทับใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วตอนนี้” 


 


 


           “ผมไม่ถือสาคุณจดเอาไว้ก่อนเลย ว่ากลับไปจะให้ผมจับคุณกดกี่ครั้ง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินระเบิดลง “เชี่ยแม่ง! นายมันไอ้คนระยำ ฉันเป็นขนาดนี้แล้ว ในหัวนายยังคิดเรื่องจะจับฉันกดอยู่ได้อีก” 


 


 


           ซือเหยี่ยนทำไขสือพูดออกไป “งั้นคุณจับผมกด?” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมีแรงฮึดขึ้นมาแล้ว “จริงเหรอ นายยอมจะให้ฉันจับกด?” 


 


 


           “รอออกจากไปที่นี่แล้ว ผมจะลองคิดทบทวนดู” 


 


 


           “วางใจได้ อาศัยดวงดีของคุณชาย รับรองว่าต้องออกไปได้แน่” ซือเหยี่ยนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ เรื่องที่จะออกไป เขาไม่เคยต้องเป็นกังวลอยู่แล้ว 


 


 


           ถึงแม้จะดูเหมือนว่าไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ไม่รู้ทำไม เพียงพริบตาเดียวที่เห็นซือเหยี่ยน ในใจก็สงบลงแทบจะเดี๋ยวนั้น 


 


 


           เจียงมู่เฉินเงยหน้าขึ้นจูบซือเหยี่ยน ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าฉันตายขึ้นมาจริงๆ นายคิดจะเปลี่ยนไปรักคนอื่นบ้างไหม” 


 


 


           มือซือเหยี่ยนที่โอบอุ้มเจียงมู่เฉินไว้กระชับแน่นขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินคำตอบนี้ก็โกรธจนเข็ดฟัน โอบคอซือเหยี่ยนไว้แล้วกัดเข้าไปแรงๆ คำหนึ่ง “นายเป็นคนของคุณชายแล้ว ต่อให้คุณชายตายไป นายก็ยังเป็นของคุณชาย อยากจะหนีไปรักคนอื่น ตลอดชีวิตนี้ไม่มีทางจะมีวันนั้นหรอก” 


 


 


           ท่ามกลางความมืดมิดซือเหยี่ยนอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ ดวงตาสีดำขลับเอ่อล้นไปด้วยประกายรอยยิ้มบางๆ “งั้นก็เหลือบ่ากว่าแรงผมสักหน่อยแล้วกัน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “เหลือบ่ากว่าแรง?” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มขำ “ตามใจปรารถนา” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น ได้ยินคำตอบนี้ยังพอได้อยู่ 


 


 


           เดินต่อไปอีกสักพักหนึ่ง เจียงมู่เฉินเริ่มจะประคองสติตัวเองไม่ได้แล้ว คนที่เสียเลือดมากอย่างเขาแทบจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวมาตั้งแต่แรกๆ ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะอยู่เป็นเพื่อนซือเหยี่ยน เขาคงเป็นลมไปตั้งนานแล้ว 


 


 


           มือเขาที่โอบกอดซือเหยี่ยนคลายลง เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น แต่ใบหน้ากลับอ่อนล้าอย่างชัดเจน เขาพยายามยิ้มออกมา “ฉันง่วงแล้ว ขอตัวพักก่อนนะ”  


 


 


           “อืม” 


 


 


           “ฉันหลับไปแล้ว นายจะไม่กลัวหรอกใช่ไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนบรรจงจูบเขา “ไม่หรอก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า อิงแอบแนบกายในอ้อมอกของซือเหยี่ยน เขาค่อยๆ หมดสติไปอย่างช้าๆ… 


 


 


           …… 


 


 


           ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่ในห้องผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว เขาโดนซือเหยี่ยนกอดไว้ในอ้อมอก 


 


 


           เจียงมู่เฉินเงยหน้าขึ้นมา มองเห็นใบหน้ายามหลับใหลของซือเหยี่ยน ใบหน้าได้รูปที่มีรอยแผลเพิ่มขึ้นมา ไม่ถือว่าอาการหนักเท่าไหร่ ไม่กี่วันก็หายดีได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูเขาไม่ทันไรก็อดจะเข้าใกล้มอบจูบนี้ให้เขาสักหน่อย 


 


 


           ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นาทีนี้ที่ได้เห็นซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายเขา ในใจก็มีความรู้สึกประทับใจจนพูดไม่ออก 


 


 


           เขาขยับร่างกายแค่เพียงนิดก็เจ็บราวกับโดนเข็มทิ่มแทง เจียงมู่เฉินชะงักไป เมื่อครู่เขาเห็นแค่บาดแผลของซือเหยี่ยน ไม่ได้รู้สภาพอาการของตัวเองเลย 


 


 


           เขาค่อนข้างรู้สึกปวดตุบๆ บนใบหน้า คงจะไม่เสียโฉมหรอกใช่ไหม 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 127 เจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่ง 


 


 


           ‘เสียโฉม’ สองคำนี้วนเวียนอยู่ในสมอง เจียงมู่เฉินตกใจจนเด้งตัวขึ้นมา พลาดไปโดนแผลที่แขนตัวเองพอดี เจ็บจนหน้าตาเหยเก 


 


 


           ซือเหยี่ยนตื่นมาก็เห็นเจียงมู่เฉินเจ็บจนหน้าย่นรวมกันเป็นก้อน 


 


 


           เขาไม่ง่วงนอนอะไรอีก รีบลุกขึ้นมานั่ง “เป็นไรไป” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนตื่นมาแล้วก็รีบร้องเรียก “รีบไปหากระจกมาให้ฉันที คุณชายอย่างฉันจะไม่เสียโฉมหรอกใช่ไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าทำตาหวาดกลัว ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “เสียโฉมไปบ้างนิดหน่อย แต่วางใจได้ ผมไม่ทิ้งคุณหรอก” 


 


 


           เดิมทีเจียงมู่เฉินแค่รู้สึกกลัวนิดหน่อย แต่ซือเหยี่ยนดันพูดมาขนาดนี้ ยิ่งทำให้เขาตกใจจนไม่ไหว 


 


 


           ยกเท้าขึ้นถีบใส่ซือเหยี่ยน “รีบไปหากระจกมาให้ฉันเลย” 


 


 


           ในห้องผู้ป่วยจะไปหากระจกมาจากไหน ซือเหยี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างขำๆ เขาช้อนอุ้มอีกคนขึ้นมา แล้วเดินพาเข้าไปในห้องน้ำ 


 


 


           ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากับกระจก เจียงมู่เฉินเบิกตาโตพินิจมองใบหน้าของตัวเอง โล่งใจไปได้เสียที “โชคดีๆ ไม่กระทบความหน้าตาดีของคุณชาย” 


 


 


           พูดไปด้วย ลูบใบหน้าไปด้วย “แม่งเอ๊ย ทำฉันตกใจจนคิดว่าเสียโฉมจริงๆ ไปแล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางของเขาก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ “เฉินเฉิน คุณเป็นผู้ชายคุณต้องห่วงใบหน้าขนาดนี้เลยเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินลูบไล้ใบหน้า พร้อมพูดแก้ต่าง “นี่มันไม่เกี่ยวว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงสักหน่อย หน้าตานี้อยู่บนใบหน้าของฉัน ฉันต้องรับผิดมัน” 


 


 


           มุมปากซือเหยี่ยนอดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ เขายังคิดว่าเจียงมู่เฉินตื่นมา เรื่องแรกที่นึกถึงคือร้องหาเขา ที่ไหนได้มาจนป่านนี้เรื่องแรกที่เขานึกถึงคือห่วงแต่ใบหน้าของตัวเอง 


 


 


           “อีกอย่าง ถ้าฉันเกิดเสียโฉมขึ้นมา นายต้องเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นแน่” เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้า พลางถอนหายใจอย่างทะนงตัว “ฉันจะไม่ให้นายมีโอกาสนั้นหรอก” 


 


 


           “ดูจนพอใจหรือยัง” ซือเหยี่ยนเอ่ยถาม 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองบาดแผลบนใบหน้าตัวเองอย่างจริงจัง “ถ้าแผลฉันหายดี จะไม่เหลือแผลเป็นหรอกใช่ไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินผู้เอาแต่หมกมุ่นเรื่องใบหน้าของตัวเอง แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เขาอุ้มอีกคนขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ในห้องน้ำ 


 


 


           ก้นเจียงมู่เฉินเย็นขึ้นมาทันที “เดี๋ยว จู่ๆ นายยกฉันขึ้นมาวางข้างบนนี้ทำไมกัน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนชักมือออกมาวางและกดไว้ที่เอวของคนตรงหน้า พร้อมโน้มตัวเข้าใกล้ ใช้ฟันงับเขาไปทีสองที “อดทนมานานพอแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง เขาอดทนอะไรมาตั้งนานเหรอ 


 


 


         ซือเหยี่ยนไม่คิดจะใช้วาจาใดๆ บอกเจียงมู่เฉิน ชายหนุ่มเข้าไปใกล้แล้วลงมือจูบเจียงมู่เฉินทันที รวบตัวเขาไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง ให้เป็นฝ่ายรองรับรสสัมผัสนี้ 


 


 


           ตั้งแต่พาเขากลับมาเมื่อคืนก็อยากจะทำขนาดนี้แล้ว 


 


 


           ถ้าไม่ติดว่าเห็นเจียงมู่เฉินนอนหมดสติ แล้วสงสารจนทำไม่ลง คงจะจับเขากดลงเตียง แล้วจัดหนักจัดเต็มจนลงจากเตียงไม่ได้ไปตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


           ทุกๆ วันเขาจะได้ไม่วิ่งวุ่นไปไหนต่อไหน ทำให้ตัวเองกังวลใจอีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนเขาจูบจนหายใจจะไม่ทันแล้ว มือที่ไร้เรี่ยวแรงกำแขนเสื้อซือเหยี่ยนเอาไว้ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายรับจูบของเขา 


 


 


           ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดซือเหยี่ยนก็ถอยห่างจากเจียงมู่เฉินออกมา เจียงมู่เฉินฉวยโอกาสนี้รีบสูดหายใจเข้าไปเต็มๆ ปอด 


 


 


           เขาลูบหน้าอกตัวเองไป พลางเอ่ยอย่างทุลักทุเลจนน่าสงสาร “ฉันยังเป็นคนไข้อยู่นะ ต้องรุนแรงกันขนาดนี้เลยเหรอ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนโน้มเข้าใกล้ไปกัดเขาสักคำ “อยากรวบตัวคุณมาอยู่ข้างกายผม ไม่ให้ไปไหนซะจริงๆ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “เจียงมู่เฉินแบบนั้น นายจะไม่ชอบเอาได้นะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมือกระชับแน่น ออกแรงจับเจียงมู่เฉินไว้ เจียงมู่เฉินที่โดนเด็ดปีกออกก็ไม่ใช่เจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งที่เขารู้จักคนนั้นแล้ว 


 


 


           ซือเหยี่ยนจ้องมองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ในหัวอดจะคิดถึงเจียงมู่เฉินที่เจ้าอารมณ์แต่กลับเย่อหยิ่งในตอนนั้นไม่ได้ 


 


 


           เขายืนอยู่ต่อหน้าถือปืนจ่อตัวเองแล้วยกยิ้มบางๆ อย่างตามใจ 


 


 


           ซือเหยี่ยนคว้าเขามากอด เจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งถึงจะเป็นเจียงมู่เฉินที่แท้จริง 


 


 


           เขาถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงเจือความยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย “ช่างเถอะ ผมก็เด็ดปีกคุณไม่ลงหรอก” 


 


 


           อย่างมากก็แค่ เขาต้องพยายามขึ้นอีก ปกป้องอีกฝ่ายให้รอบด้านก็โอเคแล้ว  


ตอนที่ 128 แอบหนีจากโรงพยาบาล 


 


 


           เมื่อเจียงมู่เฉินตื่นมาแต่เช้าแล้วโดนจูบไปจูบมาก็ชักจะรำคาญบ้างแล้ว เขายกเท้าถีบใส่อีกคน “ฉันยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่” 


 


 


           “ทำไม อยากออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “อยู่โรงพยาบาลเกลียดที่สุดแล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูคนย่นคิ้วในอ้อมกอดตัวเอง แล้วยิ้มเบาๆ ก่อนเอ่ย “ไม่งั้นผมพาคุณกลับบ้านดีไหม” 


 


 


           “นายแน่ใจเหรอว่าจะพาฉันกลับไปได้” เจียงมู่เฉินไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ 


 


 


           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็ยกมุมปากขึ้น “หมอไม่ให้คุณออก ผมจะพาคุณแอบออกไปเป็นไง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยความตะลึงตกใจ “นายเอาจริงเหรอ จะแอบหนีจริงๆ เหรอ” 


 


 


           “ทำไมล่ะ หรือคุณไม่อยากออกจากโรงพยาบาลแล้ว?” 


 


 


           “อยากออกไปอยู่แล้วสิ” เจียงมู่เฉินทำหน้าบูดบึ้ง “แต่แอบหนีไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั้ง” 


 


 


           ซือเหยี่ยนช้อนตัวอุ้มเขาออกไป “แอบหนีออกไปสักครั้งก็ตื่นเต้นเร้าใจดีไม่ใช่เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด แววตาก็ทอประกายขึ้นมา จะว่าไปเขาก็ยังไม่เคยแอบหนีจริงๆ คิดไปคิดมาก็ใจเต้นไม่เบาเลย 


 


 


           “จะเอายังไง เฉินเฉิน จะหนีหรือไม่หนี” ซือเหยี่ยนยิ้มรอ ดูเหมือนจะสอบถามความคิดเห็น แต่ที่จริงในใจก็มั่นใจอยู่พอตัว 


 


 


            ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ยอมตกลง 


 


 


           เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เจียงมู่เฉินรีบพยักหน้า “หนีๆๆ รีบหนีเร็วเข้า” 


 


 


           เขาพูดจบก็รีบให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขาออกไป ซือเหยี่ยนอุ้มเขากลับห้องผู้ป่วย พวกเขาไม่มีสัมภาระอะไร เสื้อผ้าสองชิ้นบนตัวเจียงมู่เฉินที่เปื้อนเลือด ซือเหยี่ยนก็เอาไปจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว 


 


 


           ตอนนี้จะอุ้มคนออกไปก็ได้แล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินสวมชุดคนไข้ ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของซือเหยี่ยน จะว่าไปครั้งแรกที่จะหนีออกจากโรงพยาบาลแบบนี้ ยังค่อนข้างจะตื่นตระหนกจริงๆ 


 


 


           เขาเงยหน้ามองดูซือเหยี่ยนสีหน้านิ่งเฉยอุ้มเขาอยู่ แล้วเลิกคิ้ว “นายไม่ได้อยากจะแอบหนีหรือไง” 


 


 


           “อืม” ซือเหยี่ยนรับคำหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “นี่กำลังหนีอยู่ไม่ใช่เหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น อุ้มเขาเดินไปช้ากว่าปกติอีก นี่เรียกว่าหนี? ไปเดินเล่นสาธารณะก็ยังไม่เอ้อระเหยขนาดนี้เหอะ 


 


 


           ซือเหยี่ยนก้มลงใบหน้าของเขา “เฉินเฉิน อย่าใจร้อนสิ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกัดฟันกรอด เขาไม่ได้ใจร้อนสักหน่อยเลยเหอะ! 


 


 


           … 


 


 


           ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซือเหยี่ยนวางเขาลงข้างที่นั่งคนขับอย่างอ่อนโยน ยังกลัวว่าเขาจะรู้สึกไม่สบายตัว ตั้งใจวางเบาะรองนิ่มๆ เป็นพิเศษ แล้วยังปรับที่นั่งเอนไปข้างหลังนิดหน่อยให้อีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินเอนกายนอนบนเบาะที่นั่ง มองดูซือเหยี่ยนที่กำลังช่วยเขารัดเข็มขัดนิรภัย แล้วถอนหายใจอย่างปลงๆ “ตอนนี้ฉันเหมือนคนพิการมากเลยใช่ไหม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้าไปใกล้ ใช้ปากงับมุมปากของเจียงมู่เฉิน “ไม่เหมือน” 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่ค่อยสบายใจ “ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันทำอะไรก็ไม่ได้ดีสักอย่าง” 


 


 


           ซือเหยี่ยนกัดเขาซ้ำอีก “ไม่ใช่หรอก คุณยังมีอย่างอื่นที่ทำได้อีก” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองเขา 


 


 


           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ ก่อนพูดต่อ “นอนคราง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่ทนแล้ว ชกเขาเข้าไปเต็มๆ 


 


 


           ‘แม่งเอ๊ย ทำไมนายไม่ไปนอนครางเองล่ะ!’ 


 


 


           …… 


 


 


           แอบหนีจากโรงพยาบาลกลับบ้านมา รถเพิ่งจะมาจอดที่หน้าทางเข้าคฤหาสน์ก็เห็นหลินเหวินฮุ่ยยืนอยู่ตรงนั้น เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองซือเหยี่ยน 


 


 


           “แฟนสาวน้อยของนายมาหานายแล้ว” เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ 


 


 


           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ผมไม่มีแฟนสาวน้อย ถ้ามีก็เป็นคุณ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินขบกราม “ฉันเป็นแฟนหนุ่มของนายต่างหาก” 


 


 


           ซือเหยี่ยนขำ ยื่นมือไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้เขา แล้วก็ไม่ลืมจะจูบเขาด้วย “อืมๆ คุณเป็นแฟนหนุ่มของผม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเปิดประตูรถออกไป หลินเหวินฮุ่ยเห็นเขาก็รีบเดินเข้ามาหา “พี่ซือเหยี่ยน ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว ฉันรอพี่มาตั้งนานเลย” 


 


 


           “เหวินฮุ่ย มีธุระอะไรหรือเปล่า” 


 


 


           “ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่อยากบอกพี่ว่าฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว” หลังจากที่ซือเหยี่ยนพาตัวเธอไปส่งโรงพยาบาลก็ไม่เคยได้ปรากฏตัวอีกเลย เธอโทรศัพท์หาก็โอนสายไปหาผู้ช่วยตลอด ไม่มีวิธีการอื่นจะติดต่อซือเหยี่ยนจริงๆ ทำได้แค่มาบ้านเขาเท่านั้น 


 


 


           “อืม งั้นเธอก็พักผ่อนดีๆ แล้วกัน” 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยมองดูซือเหยี่ยน กัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกน้อยใจ “พี่ซือเหยี่ยน พี่ไม่ห่วงใยไม่สนใจฉันเลยนะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 129 คุณชายคือผู้ชายของเขา 


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่อยากพูดก็ต้องพูด “เหวิยฮุ่ย เพิ่งออกจากโรงพยาบาลยังอยู่ในช่วงที่ต้องพักฟื้นดีๆ ออกมาแบบนี้จะไม่ดีต่อสุขภาพได้” 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยกะพริบตาปริบๆ ดูน่าสงสารไม่น้อย เธอคว้าแขนของซือเหยี่ยนไว้ “พี่ซือเหยี่ยน ฉันเศร้ามาก พี่อยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหมคะ” 


 


 


           “ประธานซือ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร นายอุ้มฉันเข้าไปข้างในก่อน แล้วค่อยออกมาจู๋จี๋กับน้องหลินเหวินฮุ่ยจะได้ไหม” เจียงมู่เฉินมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา ถ้าไม่ติดว่าเขาเดินเหินไม่สะดวก เขาเดินเข้าไปเองแล้ว 


 


 


           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองหลินเหวินฮุ่ยแวบหนึ่ง “เหวินฮุ่ย คุณชายเจียงยังไม่ค่อยสบาย ฉันอุ้มเขาเข้าไปก่อนนะ” 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยตะลึงงันมองซือเหยี่ยนเดินอ้อมรถไปอยู่อีกฝั่ง แล้วช้อนอุ้มเจียงมู่เฉินออกมา 


 


 


           นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นพวกเขาแบบนี้ ไหนจะยังมีครั้งก่อนในห้องทำงานของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินยังบอกว่าพวกเขานอนด้วยกัน… 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยไม่กล้าคิดต่อไป เธอปากสั่นมองทั้งสองคนด้วยความหวาดกลัว “พวกพี่…ตกลงว่าความสัมพันธ์ของพวกพี่คือแบบไหนกันแน่คะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนหยุดฝีเท้าลง มองหน้าหลินเหวินฮุ่ย กำลังจะเตรียมตอบเธอก็ถูกเจียงมู่เฉินคว้าคอลงมาประกบริมฝีปาก 


 


 


           เจียงมู่เฉินยักคิ้วมองดูหลินเหวินฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ “คุณชายคือผู้ชายของเขา เธอว่าฉันกับเขาเป็นอะไรกันล่ะ” 


 


 


           พูดจบก็ไม่มองหลินเหวินฮุ่ยอีก แล้วหันมาสั่งซือเหยี่ยนต่อ “ยังไม่รีบอุ้มคุณชายเข้าไปอีก” 


 


 


           ซือเหยี่ยนขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น เห็นเจียงมู่เฉินมีแนวโน้มว่าจะระเบิดลงในอีกไม่ช้าจึงรีบอุ้มเขาเข้าไปข้างใน 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยผู้น่าสงสารมองพวกเขาสองคนเดินเข้าคฤหาสน์ไปด้วยสีหน้างุนงง เหลือแค่เธอคนเดียวยืนสับสนวุ่นวายใจค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ 


 


 


           ‘พี่ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉิน…’ 


 


 


           ‘จะเป็นไปได้ยังไง นี่เป็นไปไม่ได้หรอก พวกเขาจะมาคบกันได้ยังไง’ เธอชอบพี่ซือเหยี่ยนมาตลอด เธออยากจะเป็นเจ้าสาวของพี่ซือเหยี่ยน 


 


 


           หลินเหวินฮุ่ยกำหมัดแน่นยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ พวกเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่จะมาคบกันได้ยังไง คนที่คบกับพี่ซือเหยี่ยนได้มีแค่เธอเท่านั้น       


 


 


         เธอกับพี่ซือเหยี่ยนครอบครัวพวกเขาจะรู้จักกันมารุ่นสู่รุ่น พ่อของเธอเป็นอาจารย์ของพี่ซือเหยี่ยน หลายปีมานี้พี่ซือเหยี่ยนดูแลเธอดีมาเสมอ 


 


 


           มีเพียงเธอเท่านั้นที่ยืนเชิดหน้าชูตาอยู่ข้างพี่ซือเหยี่ยนได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเป็นผู้ชาย ไม่มีทางเด็ดขาด 


 


 


           เธอจะไม่ยอมให้เจียงมู่เฉินมาแย่งพี่ซือเหยี่ยนจากเธอไปเด็ดขาด 


 


 


           …… 


 


 


           เมื่อเข้าคฤหาสน์มาแล้ว เจียงมู่เฉินให้ซือเหยี่ยนวางเขาลงบนโซฟา ซือเหยี่ยนเพิ่งจะวางเขาลง เจียงมู่เฉินก็ทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจใส่ “ไสหัวไปเลย ฉันอยู่ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว นายไปโอ๋แฟนสาวน้อยของนายเถอะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนได้ยินก็ยักคิ้วทันที “ได้ งั้นคุณนั่งตรงนี้สักพักนะ” พูดจบก็หมุนตัวจะเดินออกไป 


 


 


           เจียงมู่เฉินโกรธจนระเบิดลง มือคว้าเอาหมอนข้างๆ เขวี้ยงใส่ไหล่กว้างของซือเหยี่ยน 


 


 


           “แม่งเอ๊ย นายกล้าเดินออกไป ก็ลองดู” 


 


 


           ซือเหยี่ยนหมุนตัวกลับมา แววตาแฝงรอยยิ้ม แต่กลับทำหน้าตาจริงจังใส่อีกฝ่าย 


 


 


           “คุณให้ผมไปไม่ใช่เหรอ” 


 


 


           “ฉันให้นายไปตาย นายก็จะไปใช่ไหม” ปกติก็ไม่ได้เห็นว่าเขาจะเชื่อฟังกันเท่าไหร่ ตอนนี้ยังมาเสแสร้งทำตัวเป็นเจ้ากระต่ายน้อยสีขาว[1]ต่อหน้าเขาอีก 


 


 


           “ไป” ซือเหยี่ยนขานรับทันที 


 


 


           เจียงมู่เฉินยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ ยังเพลิดเพลินตกอยู่ในภวังค์การก่นด่าซือเหยี่ยนอยู่ จู่ๆ มาได้ยินคำๆ หนึ่ง ก็อดจะเอ่ยถามไม่ได้ “นายว่าอะไรนะ” 


 


 


           “ถ้าคุณอยากให้ผมไปตาย ผมก็จะไป” 


 


 


           เจียงมู่เฉินอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง เขาก็แค่พูดไปส่งๆ แต่ซือเหยี่ยนกลับมาตอบเขาจริงจังแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกประทับใจเกินจะบรรยายออกมาได้ 


 


 


           เขาแกล้งทำเป็นไม่เชื่อหูตัวเอง กวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “ปากหวานแบบนี้ใครจะไปเชื่อ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนไม่ได้ชี้แจงอะไรต่อ เขาโผเข้าหาแล้วจับตัวคนกดลงไป 


 


 


           เจียงมู่เฉินตกใจจนสะดุ้งโหยง “นายมันบ้าไปแล้ว พูดจาดีๆ กันก็ได้จะลงไม้ลงมือกันทำไม” 


 


 


           ซือเหยี่ยนก้มหัวลงไปกัดคอระหงขาวผ่องของเขา “ใช้คำพูดกับคุณไม่ได้หรอก ใช้ได้แค่การกระทำแสดงออกเท่านั้น” 


 


 


            


 


 


 


 


 


[1] เจ้ากระต่ายน้อยสีขาว เป็นการเปรียบเปรยกับคนที่ไม่รู้จักสิ่งชั่วร้าย บริสุทธิ์สีขาวเหมือนกระต่ายขาว   


ตอนที่ 130 แค่อยากเล่นกับแฟนผมเท่านั้น 


 


 


           “คือว่า พี่ใหญ่ พี่ชาย ฉันยังเป็นคนป่วยอยู่นะ อดรนทำกับนายไม่ได้หรอก” เมื่อเห็นว่าซือเหยี่ยนจะเล่นทีจริง เจียงมู่เฉินก็หวาดหวั่นขึ้นมาทันที เขาเพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาล ถ้ามาโดนซือเหยี่ยนเล่นกันแบบนี้ ต้องเล่นจนเขาขาดใจตายแน่ 


 


 


           ซือเหยี่ยนแววตาดำทะมึน “ตอนนี้มารู้ตัวว่าเป็นคนป่วยเหรอ สายไปแล้ว” 


 


 


           มือข้างหนึ่งเจียงมู่เฉินบาดเจ็บขยับไม่ได้ มืออีกข้างหนึ่งโดนซือเหยี่ยนกดเอาไว้ ความสามารถในการต่อต้านขัดขืนเป็นศูนย์ 


 


 


           “อย่าเลยนะ พี่ชาย” เจียงมู่เฉินยังคงต่อสู้ดิ้นรนอยู่อย่างนั้น “แฟนสาวน้อยของนายยังอยู่ข้างนอก นายไปอยู่เป็นเพื่อนเธอก่อนสิ ระวังเธอจะโกรธเอาได้แล้วจะไม่เล่นกับนายอีกนะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ตอนนี้ผมแค่อยากเล่นกับแฟนผมเท่านั้น” 


 


 


           เจียงมู่เฉินถลึงตาโต (。ì _ í。)  เขาไม่อยากโดนเล่นจะได้ไหม… 


 


 


         ยังดีที่ซือเหยี่ยนไม่ได้โรคจิตขนาดนั้น ก็แค่จูบเขาจนขาเขาอ่อนปวกเปียก สภาพแขนขาไร้เรี่ยวแรง ไม่ถึงขึ้นเล่นเขาจนตาย 


 


 


           เจียงมู่เฉินผู้ฝ่ามรสุมรอดมาได้ กำลังนอนเป็นอัมพาตหายใจหอบชุดใหญ่อยู่ 


 


 


           เขารู้สึกว่าตัวเองซวยสุดๆ แล้วจริงๆ จะขยับตัวหรืออยู่กับที่ก็มีแต่เรื่องให้เจ็บตัว เดิมทีหนทางการเปลี่ยนเป็นรุกก็ห่างไกลกันมากอยู่แล้ว ยังมาบาดเจ็บแบบนี้อีก ยิ่งทำให้ไม่รู้ปีลิงเดือนม้าไปเลย 


 


 


           ‘หรือว่าเขาต้องนอนแผ่ให้ซือเหยี่ยนเล่นจริงๆ?’ 


 


 


           เมื่อเจียงมู่เฉินคิดถึงตรงนี้ ก็อดจะอยากร้องไห้ไม่ได้ 


 


 


           กว่าเจียงมู่เฉินจะยอมเข้าที่เข้าทางมาเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของซือเหยี่ยนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยนที่กำลังดูโน้ตบุ๊กอยู่ “นายว่าใครคิดอยากลักพาตัวฉันเหรอ คงจะไม่ใช่ว่าพ่อฉันไปทำผิดอะไรกับใครไว้ แล้วคนๆ นั้นเห็นว่าพ่อฉันขวางหูขวางตา เลยมาจับฉันเอาไว้หรอกใช่ไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดไปคิดมาก็รู้สึกถึงอะไรไม่ค่อยชอบมาพากลบางอย่าง “แต่ว่า ก็ไม่น่าจะใช่ทีเดียว ถ้าต้องการจับตัวฉันเพื่อข่มขู่พ่อฉัน ก็ควรจะบอกพ่อฉันไปแต่แรกแล้ว ไม่ต้องมารอจนถึงป่านนี้หรอก” 


 


 


           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เรื่องนี้มีอะไรลับลมคมในจริงๆ เขาโดนลักพาตัวจากแถวหลินไห่ไป แล้วถูกจับตัวไปนานขนาดนั้นกลับไม่มีการโทรศัพท์แจ้งใคร ถ้าบอกว่าเพื่อทรัพย์สินก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ 


 


 


           เจียงมู่เฉินคิดถึงคำพูดของสองคนนั้นขึ้นมาได้กะทันหัน เขายื่นมือสะกิดซือเหยี่ยน “นายว่าตกลงแล้วใครต้องการจะจับฉันไว้ แล้วยังสั่งการมาว่าไม่ให้ลงไม้ลงมือกับฉันอีก งั้นที่เขาจับฉันไว้หมายความว่ายังไงกัน” 


 


 


           เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก รู้สึกว่าเรื่องนี้เกินกว่าที่สมองเขาจะประมาณการได้พอควรทีเดียว 


 


 


           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ ยื่นมือไปปิดโน้ตบุ๊กลง แล้วอุ้มคนในอ้อมอกขึ้นมา “พอเถอะ อย่าคิดอีกเลย ไปนอนกับผมนะ” 


 


 


           “กลางวันแสกๆ ขนาดนี้ จะนอนอะไร” 


 


 


           “คุณไม่สบายอยู่ต้องพักผ่อนเยอะๆ” ซือเหยี่ยนไม่ยอมให้ขัดขืน เขาวางอีกฝ่ายลงบนเตียง 


 


 


           “ฉันยังไม่ง่วง” เจียงมู่เฉินระเบิดลง ไม่ง่วงแล้วจะนอนหลับยังไง   


 


 


           “ไม่ง่วง งั้นผมจะเสียสละออกกำลังกายเป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยขู่เสียงต่ำ 


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบนอนตัวตรง “อย่าเลย ดูเหมือนฉันจะง่วงขึ้นมากะทันหันแล้วจริงๆ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนนอนอยู่ข้างกายเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อง่วงแล้ว ก็นอนหลับดีๆ นะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินหลับตาไปด้วย พลางด่าซือเหยี่ยนไปด้วย ถ้าไม่ติดว่าร่างกายฉันไม่พร้อม นายจะกินฉันจนขาดใจตายให้ได้เลยใช่ไหม 


 


 


         ‘รอร่างกายฉันหายดีก่อนเถอะ ฉันจะดูว่านายจะทำอะไรฉันได้’ 


 


 


           ไม่รู้ว่าการด่าซือเหยี่ยนเป็นการสะกดจิตให้นอนหลับได้ดีหรือเปล่า เพียงแป๊บเดียวเจียงมู่เฉินผู้ไม่ง่วงก็เข้าสู่นิทรา หลังจากได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนข้างกาย ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง ถึงได้เปิดผ้าห่มออก แล้วลงจากเตียงไป 


 


 


           หลังจากเดินเข้าห้องหนังสือไป ก็โทรศัพท์ทันที “ช่วยฉันสืบเรื่องที่เจียงมู่เฉินโดนลักพาตัวไปที” 


 


 


           “ต้องการเร็วที่สุด ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก” 


 


 


           ไม่รู้ว่าปลายสายทางนั้นพูดว่าอะไร เสียงทุ้มต่ำของซือเหยี่ยนตอบรับ “ได้ ฉันรู้แล้ว” 


 


 


           หลังจากวางสายไป ซือเหยี่ยนยืนอยู่ต่อหน้าหน้าต่าง มองออกข้างนอกไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ใบไม้นอกหน้าต่างเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนแล้ว 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูใบไม้ที่ขึ้นสีเหลือง ความคิดถึงก็ปลิดปลิวออกไปไกล 


 


 


           นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเจียงมู่เฉินที่อเมริกา ในวัยไม่เกินยี่สิบปี เป็นคนนิสัยตรงๆ มั่นใจตัวเอง แต่กลับดึงดูดสายตาคนเป็นพิเศษ   


 


 


   


 


 


ตอนที่ 131 คิดถึงเรื่องในอดีต 


 


 


           เขากับเจียงมู่เฉินรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะครอบครัวพวกเขารู้จักกันมาหลายชั่วอายุคน ต้องมีเจอหน้ากันบ้างเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันจนเป็นเรื่องปกติ 


 


 


           ต่างฝ่ายต่างหมายหัวกัน หลังจากเรียนมัธยมปลายแล้ว ก็ไม่เคยได้เจอกันอีก 


 


 


           ภายหลังเรียนจบมัธยมปลาย เขาได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา จากนั้นก็ยิ่งไม่ได้มาข้องเกี่ยวกันอีก 


 


 


           จนกระทั่ง เขาเจอเจียงมู่เฉินที่โรงเรียนฝึกตำรวจ เจียงมู่เฉินในวัยยี่สิบปี คิ้วโก่งสวย ดวงตาสุกใสเป็นประกาย แวววับดั่งอัญมณีที่ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ 


 


 


           ครั้งแรกที่เจอกันที่โรงเรียนฝึกตำรวจ เจียงมู่เฉินยืนอยู่ต่อหน้าเขา ยักคิ้วมองเขาด้วยท่าทางองอาจและเป็นตัวของตัวเองสูง “คุณชายอย่างฉันจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เพียงเพราะเรารู้จักกันหรอกนะ” 


 


 


           พวกเขาในวัยยี่สิบต้นๆ คือวัยหนุ่มที่กำลังเลือดร้อน ซือเหยี่ยนเองก็ไม่มีทางจะยอมให้อยู่แล้ว 


 


 


           ในกลุ่มคนต่างชาติ เจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนถูกแบ่งไปอยู่กลุ่มฝึกอบรมกลุ่มหนึ่ง เขามักจะเชิดมุมปากขึ้น ทำท่าทางไม่สนใจเสมอ แต่เวลาฝึกซ้อมกลับเก่งกว่าใคร เพราะหน้าตาที่โดดเด่นและผลการฝึกที่ยอดเยี่ยม เพียงไม่นานจึงกลายเป็นคนดังของโรงเรียน 


 


 


           อีกอย่างซือเหยี่ยนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางจะยอมแพ้เจียงมู่เฉินเป็นธรรมดา 


 


 


           ในไม่ช้า ทั้งคู่มีชื่อเสียงในโรงเรียนนี้พอๆ กัน ไม่ว่าจะเอ่ยถึงใคร ก็จะเอ่ยถึงชื่ออีกคนพ่วงท้ายตามตลอด 


 


 


           เจียงมู่เฉินราวกับเจอมวยถูกคู่ไม่มีผิด มักจะนัดเขาออกไปด้วยกันเสมอ เจียงมู่เฉินชอบความตื่นเต้นเร้าใจ มีเพียงซือเหยี่ยนที่อดทนไม่มองว่าเป็นปัญหาและอยู่เคียงข้างเขาได้ 


 


 


           นานวันเข้า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับแน่นแฟ้นสนิทใจกันมากยิ่งขึ้น 


 


 


           เจียงมู่เฉินชอบไปเล่นที่สนามฝึกซ้อมยิงปืน เวลาไม่เข้าฝึกอบรม ซือเหยี่ยนก็ไปด้วยกันกับเขา จนกระทั่งมีครั้งหนึ่ง เจียงมู่เฉินยักคิ้วเอ่ยท้าเขา “อยากแข่งกันไหม คนที่ชนะจะขออะไรก็ได้ข้อหนึ่งโดยที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้” 


 


 


           พูดถึงเรื่องแข่งขัน ซือเหยี่ยนไม่เคยกลัวเขาที่ไหนกัน ไม่ต้องเอ่ยคำที่สอง เขาก็รับปากไปโดยปริยาย 


 


 


           ทั้งสองคนแข่งกันแบบสามเกมชนะสองเกม ทั้งสองรอบแรกทั้งคู่ผลัดกันแพ้ชนะจนตีเสมอกันได้ จนถึงรอบที่สามเจียงมู่เฉินยักคิ้วแสดงคำมั่นอันหนักแน่น 


 


 


           รอบที่สาม เจียงมู่เฉินชนะ 


 


 


           เขายืนอย่างทะนงตัวถือปืนหันหน้ากลับมายิ้มเบาๆ สายลมพัดผ่านทรงผมสั้นหลังหูของเจียงมู่เฉินให้ไหวติง เขาเอ่ยใส่ซือเหยี่ยนด้วยมาดยิ้มย่องในชัยชนะ “บังเอิญจริงๆ ฉันชนะแล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ตรงนั้นมองเขา “อืม คุณอยากได้อะไร” 


 


 


           “มาเป็นแฟนคุณชาย!”  


 


 


           …… 


 


 


           ซือเหยี่ยนที่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เจียงมู่เฉินคงจะไม่รู้เลย ว่านัดสุดท้ายเขาจงใจพลาด 


 


 


           เพราะว่าเขาอยากให้เจียงมู่เฉินชนะ 


 


 


           ถึงแม้ว่าคนที่สารภาพรักจะเป็นเจียงมู่เฉิน แต่ในความเป็นจริง คนที่หวั่นไหวในหัวใจก่อนกลับเป็นซือเหยี่ยน เป็นเขาที่ค่อยๆ ชักจูงเจียงมู่เฉินเข้ามาอยู่ในโลกของเขา 


 


 


           เริ่มทีละนิดทีละนิดจนทำให้เขาพูดประโยคนี้ออกมาได้ 


 


 


           วันแรกที่พวกเขาคบกัน อยู่ในสนามฝึกซ้อมยิงปืน แข่งกันจนไม่อาจจะพรากจากกันได้ 


 


 


           หลังจากนั้นหลายปีผ่านไป เจียงมู่เฉินผู้สูญเสียความทรงจำมายืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ทะนงตัวยักคิ้วให้ซือเหยี่ยน “เป็นไงบ้าง คุณชายอย่างฉันยิงปืนได้ไม่เลวอยู่ใช่ไหม ถือว่ามีพรสวรรค์หรือเปล่า”  


 


 


           เจียงมู่เฉินหลายปีหลังจากนั้น ยังมีท่าทางองอาจและเป็นตัวของตัวเองสูงเหมือนในตอนนั้นไม่มีผิด เย่อหยิ่งจนทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้ 


 


 


           ซือเหยี่ยนหลับตาลงเบาๆ ใช้เวลาตั้งหลายปี ในที่สุดเจียงมู่เฉินของเขาก็ยังได้กลับมาอยู่เคียงกายเขา 


 


 


           เจียงมู่เฉินผู้หลับใหลในความฝันกำลังซุกหน้าคลอเคลียหมอนของซือเหยี่ยนอย่างสบายๆ เข้าสู่นิทราสนิทอีกครา 


 


 


           …… 


 


 


           ตื่นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เจียงมู่เฉินลืมตาสองข้างที่ยังคงง่วงนอนอยู่ ในห้องนอนมืดสนิท 


 


 


           เขานอนบนเตียงร้องเรียกซือเหยี่ยน ก็ไม่เห็นมีคนตอบกลับมา 


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ พยายามดิ้นรนลุกขึ้นมานั่ง ยังเจ็บไปทั้งตัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่พอจะทนได้ เขาค่อยเคลื่อนตัวลงจากเตียง แล้วเดินไปข้างนอก 


 


 


           ทั้งร่างกายส่วนที่เจ็บที่สุดคือบริเวณแขน ส่วนขาอ่อนแรงนิดหน่อย แต่ยังพอพยุงตัวเองเดินลงไปชั้นหนึ่งได้อยู่ 


 


 


           เฉื่อยชาราวกับคนแก่อายุแปดสิบปีอย่างไรอย่างนั้น เจียงมู่เฉินเดินลงบันไดด้วยความยากลำบาก เพิ่งจะเตรียมไปนั่งโซฟาสักหน่อย ก็เห็นมีของกองอยู่บนโซฟา เขาชะงักไป 


 


 


           เขาเดินเข้าไปยกเท้าถีบใส่ 


 


 


           ของก้อนนั้นบนโซฟาขยับเขยื้อน ยันกายขึ้นมานั่ง แล้วมองเขาด้วยความงุนงง “นายมาถีบฉันทำไม”  


ตอนที่ 132 เหมือนเดนคนจริงๆ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นไป๋จิ่งหัวยุ่งๆ แล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ซือเหยี่ยนล่ะ?” 


 


 


           “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เพิ่งจะลงจากเครื่องมาก็โดนซือเหยี่ยนจับตัวมาไว้ที่นี่แล้ว” ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ เขาก็เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกันโอเคไหม 


 


 


         เจียงมู่เฉินมองไป๋จิ่งอย่างไม่ไยดี ก่อนจะหันหน้าเดินหนีไป 


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นเขาเดินกะโผลกกะเผลกก็รีบเอ่ยถาม “จะทำอะไร นี่นายจะไปไหน” 


 


 


           “กลับห้องไปนอน” มาตาใหญ่จ้องตาเล็ก[1]กับไป๋จิ่งอยู่ตรงนี้ สู้กลับห้องไปนอนยังจะดีกว่า 


 


 


           “อย่าเลย มาคุยเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” เขาไม่เห็นผู้ชายรูปงามมานานแล้ว ต้องการมองเจียงมู่เฉินชดเชยให้หัวใจที่บอบช้ำของเขาเป็นการด่วน 


 


 


           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองบันไดที่กว่าจะเดินลงมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้วถอนหายใจอย่างจนใจ ช่างเถอะ มาตาใหญ่จ้องตาเล็กกับไป๋จิ่งก็ได้ 


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นเจียงมู่เฉินหันหลังกลับมา ก็รีบเขยิบตัวเหลือที่ว่างใหญ่ๆ ให้เจียงมู่เฉิน 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูเขา ก่อนรีบคว้าเอาหมอนมาปัดๆ แล้วถึงนั่งลงไป 


 


 


           ไป๋จิ่งทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ เขาทำให้เจียงมู่เฉินรังเกียจขนาดนี้เลยเหรอ เขาคิดว่าตัวเองก็หล่อมากอยู่นะ ไป๋จิ่งชักจะปวดใจหน่อยๆ แล้ว 


 


 


           เจียงมู่เฉินเอนพิงโซฟา เปิดทีวีขึ้นมาหาว่าจะดูหนังเรื่องอะไร 


 


 


           ไป๋จิ่งพินิจมองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ ใบหน้าของคุณชายน้อยตระกูลเจียงช่างตรงใจตรงรสนิยมเขาเหลือเกิน ถึงจะหักคะแนนทรงผมไปนิดหน่อย แต่คะแนนความงดงามที่เหลือก็ยังสูง หักออกไปได้แค่นิดเดียวเอง 


 


 


           เจียงมู่เฉินเอียงคอ กวาดสายตามองเขา “นายมองฉันจนน้ำลายจะไหลแล้ว มองแบบนี้ไปทำไม” 


 


 


           ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ “ชอบไง” 


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายรอให้ซือเหยี่ยนกลับมา แล้วลองพูดอีกทีดูได้นะ” 


 


 


           ไป๋จิ่งหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด “อย่าเลย คำว่า ‘ชอบ’ คำนี้ของฉันก็แค่การชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ ‘ชอบ’ แบบที่ต้องรับผิดชอบ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “พูดแบบนี้เหมือนเดนคนจริงๆ” 


 


 


           ไป๋จิ่งผู้โดนด่าว่า ‘เดนคน’ ทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ คนเราก็ชอบของสวยๆ งามๆ กันทั้งนั้น เขาแค่ชื่นชมใบหน้าของเจียงมู่เฉินเองไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง 


 


 


           จู่ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้าอีกใบหน้าหนึ่งที่เขาเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ ใบหน้างามได้รูป หน้าตาดูจิ้มลิ้มกว่าเจียงมู่เฉินเสียอีก 


 


 


           ไป๋จิ่งคิดใคร่ครวญอยู่ในหัว ในที่สุดก็คิดถึงสองคำนี้ขึ้นมาได้ 


 


 


           คนๆ นั้นชื่อ ‘มั่วไป๋’ 


 


 


           เจียงมู่เฉินเป็นสไตล์แบบที่เขาชอบมากทีเดียว เพียงแต่ว่าเจียงมู่เฉินมีเจ้าของหัวใจแล้ว ถ้าเป็นคนอื่น เขาก็ยังพองัดข้อได้ แต่เจ้าของคนนี้เป็นซือเหยี่ยน เขาปล่อยผ่าน อยู่เฉยๆ ไม่ไปกระตุกหนวดเสือจะดีกว่า 


 


 


           อีกอย่างต่อให้ไม่มีซือเหยี่ยน แค่เจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งไม่ยอมเสียเปรียบแบบนี้ ต่อให้เขากินถึงปากก็กลืนได้ไม่ลงคออยู่ดี 


 


 


           คิดได้แบบนี้ เลือกกระต่ายขาวตัวน้อยผู้น่ารักคนนั้นดีกว่า 


 


 


           อย่างน้อยก็อร่อยแล้วยังย่อยง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะมาแว้งกัดเมื่อไหร่อีก  


 


 


           “นายนี่แม่งกำลังคิดเรื่องชั่วอะไรอยู่ ทำหน้ายิ้มลามกอยู่ได้” 


 


 


           ไป๋จิ่งเลิกคิ้ว “เมื่อกี้หน้าฉันดูลามกมากเลยเหรอ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองบน “โคตรๆ ไม่ใช่มาก” 


 


 


           ไป๋จิ่งยกมุมปากขึ้น ยิ้มเหม่อเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


           “นายจะอยู่ที่นี่ถึงเมื่อไหร่” เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างขัดหูขัดตา 


 


 


           “เรื่องนี้ต้องดูซือเหยี่ยนของนายจะกลับมาเมื่อไหร่” 


 


 


           เจียงมู่เฉินถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ 


 


 


           ไป๋จิ่งทำหน้าไม่เข้าใจ “ฉันว่าฉันไม่ดึงดูดให้นายชอบได้ขนาดนี้เลยเหรอ หน้าตาฉันออกจะหล่อเหลา ถึงแม้จะเทียบซือเหยี่ยนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่กว่าซือเหยี่ยนสักหน่อย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “เขาไม่เหมือนนายหรอก บนใบหน้าขาดแค่เขียนคำว่า ‘เดนคน’ สองคำนี้เอง” 


 


 


           ไป๋จิ่งผู้โดนด่าว่า ‘เดนคน’ ทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ ดูท่าว่าเจียงมู่เฉินจะไม่ค่อยชอบเขาจริงๆ 


 


 


           “ว่าแต่ นายชอบอะไรในตัวซือเหยี่ยนเหรอ” ไป๋จิ่งค่อนข้างอยากรู้ทีเดียว เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนถึงขั้นมาคบกันได้มันเป็นเพราะอะไร 


 


 


           “เรื่องนี้ฉันบอกนายได้เหรอ” 


 


 


           “เอาหน่า บอกฉันเถอะนะ พวกนายสองคนเป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ แค่หันหลังแป๊บเดียวเอง พวกนายก็เป็นคู่รักกันไปแล้ว” 


 


 


           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายนี่มันชอบเผือกจริงๆ” 


 


 


           “จะเผือกก็เป็นเรื่องปกตินี่หน่า สมัยนี้แล้วใครจะไม่ชอบเผือกบ้าง” ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ “พวกนายสองคนใครจับกดใครเหรอ” 


 


 


           เห็นซือเหยี่ยนแค่แวบแรกก็ไม่รู้สึกว่าจะเหมือนคนโดนจับกดแบบนั้นเลย 


 


 


           ส่วนเจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งและทะนงตัว ถ้าโดนจับกด…ร่างเสือร้ายของไป๋จิ่งสั่นสะท้าน ไม่กล้าคิดต่อไป 


 


 


           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองไป๋จิ่ง “อยากรู้จริงๆ เหรอ” 


 


 


           ไป๋จิ่งรีบพยักหน้า “อยากรู้โคตรๆ เลย” 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงดังมาจากประตูทางเข้า แล้วจึงยกนิ้วชี้ไปที่เขา “มา นายเข้ามาใกล้หน่อย ฉันจะบอกนาย” 


 


 


           ไป๋จิ่งไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าอันตรายจะมาใกล้ตัวแล้ว การสอดรู้สอดเห็นเป็นอันตรายแค่ไหน ในใจไป๋จิ่งก็เอาแต่คิดอยากจะสืบเรื่องการแบ่งบนล่างของพวกเขา 


 


 


           เสียงประตูถูกเปิดออก เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้น ก่อนเอ่ยเน้นคำต่อคำ “นายอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ อยากไปถามซือเหยี่ยนตรงๆ ไหม” 


 


 


    


 


 


[1] ตาใหญ่จ้องตาเล็ก คือสำนวนที่หมายถึง ต่างฝ่ายต่างมองตากัน เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 133 แย่งเมียเขา 


 


 


           ไป๋จิ่งรู้สึกเพียงว่าเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เขาหันหน้าไปมองเงียบๆ ก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าทางเข้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก 


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ตัวเองก็แค่พูดคุยกับเจียงมู่เฉินไม่กี่ประโยคเอง ทำยังกับว่าไปแย่งเมียเขามาไม่มีผิด 


 


 


           เสียงหัวเราะเบาๆ ของเจียงมู่เฉินดังอยู่ข้างหู ไป๋จิ่งหันหน้ากลับมาอีกทีก็เห็นใบหน้างามละออของเจียงมู่เฉินพอดี 


 


 


           ไป๋จิ่งถลึงตาโต (。ì _ í。) อิริยาบถนี้ของตัวเองค่อนข้างจะให้ความรู้สึกเหมือนไปแย่งเมียเขามาจริงๆ  


 


 


           “นายยังอยากไปแอฟริกาอีกใช่ไหม” เสียงซือเหยี่ยนเจือความเลือดเย็น ทำเอาไป๋จิ่งตกใจจนรีบลุกขึ้นยืน 


 


 


           “อย่าๆๆ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขา พลางยิ้มเยาะ “ยังไงกัน นายยังอยากทำอะไรอีก” 


 


 


           ไป๋จิ่งชะงักงัน เขากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระได้ไม่สะอาด[1]แล้วจริงๆ ก็แค่อยากรู้เรื่องใครจับกดใครเท่านั้นเอง ทำไมถึงกลายเป็นโดนจับชู้ไปได้ 


 


 


           การสอดรู้สอดเห็นเป็นอันตรายจริงๆ เขาไม่มีอะไรทำแล้วอยากรู้อยากเห็นไปเพื่ออะไร 


 


 


           เรื่องบนเตียงของคนอื่นจะเข้ากันหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับเขา 


 


 


           “ที่ไหนกันล่ะ ไม่ได้อยากทำอะไรเลยสักนิด ตีท้ายครัวเมียเพื่อนไม่ได้ ฉันยังเข้าใจกฎข้อนี้ดี” ไป๋จิ่งเหงื่อแตกพลั่กท่วมหัว แทบอยากจะเอาแขนเสื้อขึ้นมาเช็ด 


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘เมียเพื่อน’ ก็อดจะทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจไม่ได้ “นายนั่นแหละเป็นเมีย” 


 


 


           ไป๋จิ่งเห็นสองคนกำลังปิดล้อมโจมตีเขา จึงวิ่งไปยังประตูทางออก “คือว่า จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องสำคัญมากต้องรีบไปทำ ไม่ต้องให้ฉันอยู่ต่อกินข้าวเย็นแล้วนะ” 


 


 


           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคนคนนี้ช่างหน้าหนาจริงๆ ไม่มีใครอยากให้เขาอยู่ต่อกินข้าวเย็นด้วยกันเลยด้วยซ้ำ 


 


 


           ไป๋จิ่งปิดประตูลงก็เผ่นแน่บทันที กลัวจะมีใครจับเขากลับมา 


 


 


           ซือเหยี่ยนมองดูประตูที่ถูกปิดลง ก่อนจะเดินมาอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน “เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” 


 


 


           ตอนเจียงมู่เฉินแก้เผ็ดไป๋จิ่ง เขามีกำลังล้นเหลือ พอตอนนี้แก้เผ็ดเสร็จแล้ว กลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโคลนตม อ่อนปวกเปียกเป็นก้อนจับกัน กำลังสักนิดก็ไม่มี 


 


 


           เขาส่ายหัวอย่างน่าเวทนา “ฉันเกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว” 


 


 


           ซือเหยี่ยนดึงเขาเข้ามาใกล้ให้พิงตัวเองไว้ นวดให้เขาโดยระวังไม่ให้โดนแผล 


 


 


           เจียงมู่เฉินสบายตัวจนหลับตาทำเสียงฮัมในลำคอไปด้วย ซือเหยี่ยนเองก็ไม่หยุดมือ นวดให้เขาเรื่อยๆ 


 


 


           ทันใดนั้นก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นท่ามกลางห้องรับแขกอันเงียบสงบ 


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบเอามือกุมท้อง มองซือเหยี่ยน “นายไม่ได้กินข้าวเย็นมาเหรอ” 


 


 


           ซือเหยี่ยนเกือบจะหลุดขำออกมาแล้ว ตัวเองท้องร้องหิวเอง ยังจะโยนมาให้เขาอีก เฉินเฉินของเขาน่ารักจริงๆ 


 


 


           เพียงแต่ซือเหยี่ยนผู้กำลังตกอยู่ในห้วงความรักนั้น ต่อให้เจียงมู่เฉินมาแคะเท้าต่อหน้าเขา เขาก็ยังมองว่าน่ารักอยู่ดี 


 


 


           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ เล่นตามน้ำคำพูดเขาไป “ผมก็ชักจะหิวขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว” เขาก้มลงมองเจียงมู่เฉิน “คุณอยากถือโอกาสนี้กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยไหม” 


 


 


           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองซือเหยี่ยนตีมึนทำท่าทางเหมือนคิดหนัก สุดท้ายก็พยักหน้า “ได้สิ กลัวว่านายคนเดียวจะร้อนใจ ฉันก็อยู่เป็นเพื่อนนายกินอะไรสักหน่อยแล้วกัน” 


 


 


           ซือเหยี่ยนขำจนกัดมุมปากเขาเข้าให้ จากนั้นถึงได้ปล่อยเขาแล้วเตรียมไปทำอาหารอยู่ในครัว 


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นเขาจะไป ก็รีบร้องเรียกเขาไว้ก่อน “เดี๋ยว นายก็อุ้มฉันไปด้วยเลยสิ” ไม่งั้นเหลือเขาคนเดียวนั่งอยู่ห้องรับแขกน่าเบื่อจะตาย  


 


 


            ซือเหยี่ยนหวนกลับมาอีกครั้ง ช้อนอุ้มร่างเขาขึ้นจากโซฟาไปวางบนเคาน์เตอร์ในห้องครัวไม่พอ ยังกลัวว่าเขาจะหนาวจึงไปหยิบเบาะรองนั่งมาวางให้อีก 


 


 


           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนคนอ่อนโยนแสนใส่ใจ แล้วหรี่ตาลง เขาถือโอกาสตอนซือเหยี่ยนทำอาหารเอ่ยถามขึ้น “นายนี่ดีกับทุกคนขนาดนี้เลยไหม” 


 


 


           เขารู้สึกมาตลอดว่าการกระทำของซือเหยี่ยนดูคล่องมือไปหมด ราวกับว่าเคยฝึกเคยทำหลายๆ ครั้งมาก่อนเมื่อนานมากๆ มาแล้ว เมื่อคิดว่าซือเหยี่ยนเคยทำอะไรทำนองนี้กับคนอื่น ในใจเจียงมู่เฉินก็อดจะรู้สึกหึงไม่ได้ 


 


 


           เขาเจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่ง ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบมากเป็นพิเศษ เป็นไปไม่ได้ที่จะมาทำแบบนี้ต่อหน้าเขา 


 


 


           ‘เขาชอบซือเหยี่ยนมากๆ แล้วซือเหยี่ยนล่ะ?’ 


 


 


           ‘ซือเหยี่ยนชอบเขามากแค่ไหน?’ 


 


 


 


 


 


[1] เขากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระได้ไม่สะอาด เปรียบเปรย มลทินที่ไม่อาจลบล้างให้หายไปได้ 


ตอนที่ 134 คิดเล็กคิดน้อย


 


 


           ถึงแม้ว่าการที่ผู้ชายสองคนจะมาอลวนเรื่องว่าชอบหรือไม่ชอบจะดูน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่ว่าซือเหยี่ยนไม่เคยพูดว่าชอบเขาเลย


 


 


           เหมือนว่าตั้งแต่เริ่มเป็นเขาคนเดียวที่ร้อนใจ คอยเซ้าซี้มายุ่งพัวพันกับซือเหยี่ยน ต่อมาก็ชอบเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุดท้ายยังขอให้คบกันอีก


 


 


           ทุกย่างก้าวทั้งหมดนี้มีเขาเดินไปอยู่คนเดียว


 


 


           ตอนนี้เขาตกลงไปในห้วงความรักแล้ว แต่เขากลับไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าซือเหยี่ยนแค่รู้สึกสนุก หรือว่าเพราะคนรักคนนั้นที่ซือเหยี่ยนเอ่ยถึงไม่ได้อยู่ข้างกาย เลยมาหาเขาคั่นเวลา


 


 


           เป็นแบบนี้ใช่ไหม คนรักคนนั้นของซือเหยี่ยนกลับมาแล้ว เขาก็จะยืดอกเดินจากไปได้ทุกเมื่อ


 


 


           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองซือเหยี่ยนผู้อยู่ใต้แสงไฟ หน้าตาหล่อเหลา มีความสามารถ ยังมีเงินอีก คนแบบนี้ชอบอะไรในตัวเขาเจียงมู่เฉินเหรอ


 


 


           เรื่องในอดีตเขาลืมไปแล้ว หลังจากตื่นมาหลายปีมานี้ เขาไม่เคยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาทั้งวันทั้งคืน


 


 


           เอาคำพูดของพ่อเขามาใช้ เขาก็แค่ลูกผู้ดีมีเงินแค่นั้น


 


 


           แค่ลูกผู้ดีที่มีแต่เงินคนหนึ่งกับอัจฉริยะแห่งโลกธุรกิจคนหนึ่ง ซือเหยี่ยนทำไมถึงมาคบกับเขาได้


 


 


           “ซือเหยี่ยน” เจียงมู่เฉินเอ่ยปากด้วยอารมณ์อันซับซ้อนอยู่ในใจ


 


 


           “อืม” ซือเหยี่ยนที่กำลังหั่นผักอยู่ขานรับคำหนึ่ง


 


 


           “นายชอบอะไรในตัวฉันเหรอ” เป็นครั้งแรกที่เขาถามอะไรแบบนี้


 


 


           มือซือเหยี่ยนที่หั่นผักอยู่ชะงักไป ไม่ได้ตอบกลับในทันที ดวงตาเจียงมู่เฉินทอประกาย เขารู้สึกว่าตัวเองโคตรเหลวแหลก หาข้อดีของการถูกชอบไม่เจอหรือไง


 


 


           ผ่านไปครู่ใหญ่ซือเหยี่ยนถึงเอ่ยปาก “เพราะว่าคุณคือเจียงมู่เฉิน”


 


 


           “แล้วแฟนหนุ่มคนก่อนของนายล่ะ? ทำไมพวกนายถึงเลิกกัน” แฟนเก่าคือคันดินในใจที่เขายังข้ามไม่ไป เขาอยากรู้เหลือเกิน ว่าคนคนนั้นเลิศเลอขนาดไหนกันถึงทำให้ซือเหยี่ยนยังคิดถึงยังโหยหามาจนถึงทุกวันนี้ได้


 


 


           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่าวันนี้เจียงมู่เฉินดูแปลกๆ ไปไม่เบา เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ แววตาแฝงความอยากรู้ความจริง


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มดูเลือนรางล่องลอย


 


 


           ซือเหยี่ยนเบนสายตากลับมาที่เดิม เสียงต่ำเอ่ยต่อ “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินแสร้งทำท่างสบายๆ พูดแบบไม่เครียดอะไร “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สงสัยอยากรู้ขึ้นมา เลยถามไปงั้น ทำไม พูดไม่ได้เหรอ”


 


 


           “อุบัติเหตุ เขาเกิดเรื่อง”


 


 


           แววตาเจียงมู่เฉินประกายวาบขึ้นมาแวบหนึ่ง สีหน้าอารมณ์เปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกขุ่นมัว


 


 


           ‘ถ้าอย่างนั้น เพราะว่าแฟนเก่าประสบอุบัติเหตุ ซือเหยี่ยนเลยหาเขาเป็นตัวแทนใช่ไหม’ สำหรับคำตอบนี้ ในใจเจียงมู่เฉินไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่


 


 


           เจียงมู่เฉินเงียบไม่พูดจา ไม่พูดต่อเลยสักคำ เขาไม่ถามซือเหยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไร ห้องครัวที่อบอุ่นแต่เดิมได้ตกเข้าสู่ความเงียบสงัดที่ทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว


 


 


           ทั้งสองคนต่างมีเรื่องติดค้างในใจ แต่กลับไม่มีใครสักคนเปิดปากพูด


 


 


           หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เจียงมู่เฉินให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขากลับห้องไป แผลบนตัวเขาลงชั้นล่างไปก็เหลือจะทนแล้ว ส่วนขึ้นชั้นบนมา เขารู้แก่ใจดีว่ามีแผลตรงไหน


 


 


           หลังจากซือเหยี่ยนอุ้มเขาถึงห้องนอนแล้ว ก็เข้าห้องหนังสือไป บอกว่ามีประชุมกันผ่านทางวิดีโอ


 


 


           เจียงมู่เฉินมีเรื่องติดค้างในใจ ก็ไม่ได้ยั้งเอาไว้ เขาดมกลิ่นยาทั้งตัวไม่ค่อยจะไหวเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินพยายามดิ้นรนยันกายลุกขึ้นมา หยิบเสื้อผ้าที่เปลี่ยนซักใหม่ออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วค่อยๆ เดินเข้าห้องน้ำไป


 


 


           การอาบน้ำครั้งนี้เป็นครั้งที่เสียแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเจียงมู่เฉินที่โตมาจนป่านนี้แล้ว กว่าจะอาบน้ำเสร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหงื่อเขาออกทั้งตัว


 


 


           เขายืนต่อหน้ากระจกที่ปกคลุมไปด้วยไอน้ำ เจียงมู่เฉินมองใบหน้านั้นที่อยู่ในกระจก บนใบหน้ามีบาดแผลอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไร


 


 


           เขายังดูดีไม่ต่างจากเมื่อก่อน


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเอง ถ้าบอกว่าซือเหยี่ยนยอมคบกับเขาก็เป็นเพราะใบหน้านี้ของเขางั้นเหรอ


 


 


           เพราะคิดว่าเขาเจียงมู่เฉินไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่ยังหน้าตาดีใช้ได้ อย่างน้อยที่สุดแค่เห็นหน้าก็กินลงไปได้ ไม่รู้สึกแย่เกินไปด้วย


 


 


           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นฝืนยิ้มอย่างจนใจ เขากลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยไปตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


           ไม่เหมือนเจียงมู่เฉินคนเดิมที่ใจกว้างไม่หวาดกลัวสิ่งใดคนนั้นเลยสักนิด


 


 


            


 


 


ตอนที่ 135 คุณแม่เจียงรู้ว่าบาดเจ็บ


 


 


           กว่าซือเหยี่ยนจะกลับมาจากห้องหนังสือ เจียงมู่เฉินก็หลับไปเรียบร้อย เขานอนหลับแบบหัวไปทางหางไปทางอยู่บนเตียง ลักษณะการนอนคงเส้นคงวา ชนิดที่ว่าจะมีกี่เตียงก็ดูเหมือนจะไม่เหลือที่ว่างตรงไหนให้เขาเลย


 


 


           ราวกับซือเหยี่ยนจะคุ้นชินแล้วอย่างไรอย่างนั้น นั่งลงข้างๆ แล้วค่อยๆ จับมือเขาที่พาดขวางอยู่ดึงออกอย่างระมัดระวัง เอนกายนอนลงข้างกายเขาอย่างรู้ตำแหน่ง


 


 


           เหมือนกับรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่คุ้นเคย เจียงมู่เฉินจะบดเบียดร่างกายเข้าหาร่างกายของซือเหยี่ยนด้วยความเคยชิน


 


 


           ซือเหยี่ยนมือไวตาไวพอที่จะจับเขาทัน ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่นี้จะพลิกตัวมาแบบนั้นก็จะกดทับแผลที่แขนพอดี


 


 


           มือๆ เดียวของเขาคว้ามือเจียงมู่เฉินเอาไว้ แล้ววางไว้บนตัวเขา ระมัดระวังกลัวเขาจะสัมผัสโดนแผล


 


 


           ท่ามกลางความมืดมิด ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขามีลางสังหรณ์มาตลอด ว่าชีวิตสงบสุขของตัวเองกับเจียงมู่เฉินจะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว


 


 


           เขาถอนหายใจเบาๆ จับกระชับมือเจียงมู่เฉินเข้ามา สอดมือประสานกันอย่างแนบสนิทจนไม่เหลือแม้ช่องว่างเพียงน้อยนิด


 


 


           ……


 


 


           เช้าวันต่อมา เขารู้สึกตัวตื่นโดยไม่มีซือเหยี่ยนอยู่ข้างกาย เจียงมู่เฉินเคลื่อนไหวร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ รู้สึกได้ว่าอาการดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก ขาทั้งสองข้างฟื้นคืนพละกำลังมาบ้างแล้ว ไม่ได้อ่อนแรงเหมือนเมื่อวาน


 


 


           เขาเดินอืดอาดออกจากห้องนอนไป เจียงมู่เฉินได้ยินการเคลื่อนไหวจากชั้นล่าง


 


 


           เขาชะงักไป รู้สึกแปลกไม่เบา ซือเหยี่ยนออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังมีเสียงดังขึ้นมา คงจะไม่ใช่โจรขึ้นบ้านซือเหยี่ยนหรอกใช่ไหม


 


 


           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เคลื่อนย้ายตัวเองลงมา จนมาถึงชั้นหนึ่ง ถึงได้เข้าห้องครัวไป


 


 


           ซือเหยี่ยนยืนทำอาหารเช้าอยู่ในครัว เจียงมู่เฉินตะลึงงัน เขาคิดว่าซือเหยี่ยนออกไปแล้ว


 


 


           “ตื่นแล้วเหรอ” ในขณะเดียวกันซือเหยี่ยนก็เห็นเจียงมู่เฉินพอดี


 


 


           เจียงมู่เฉินพยักหน้า เดินเข้าไปเทน้ำรินใส่แก้ว ถือไว้ในมือ


 


 


           ซือเหยี่ยนหันมามองเขา “วันนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง”


 


 


           “ดีกว่าเมื่อวานมากอยู่”


 


 


           “กินข้าวเช้าเสร็จ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”


 


 


           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘โรงพยาบาล’ ก็รีบเอ่ยถามเดี๋ยวนั้น “จะให้ฉันไปทำอะไรที่โรงพยาบาล” ไม่ใช่ว่าแอบหนีออกมากันเหรอ ยังจะกลับไปอีกทำไม


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาขำๆ “เฉินเฉิน พวกเราก็แค่แอบหนีจากโรงพยาบาลมา ไม่ได้แปลว่าจะไม่ต้องตรวจดูอาการนะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินห่อเ**่ยวแล้ว ต้องกลับไปโรงพยาบาลอีก หลังจากกลับไปยังจะออกมาอีกได้หรือเปล่า ถ้าไม่ให้ออกมา เขาต้องอยู่โรงพยาบาลอย่างเป็นทุกข์แค่ไหน


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาทำหน้าย่น ก็ขำจนไม่ไหว “วางใจได้ ถ้ายังให้คุณอยู่โรงพยาบาล ผมพาคุณแอบหนีออกมาได้”


 


 


           ‘แอบหนี’……พูดถึงคำนี้ เหมือนเจียงมู่เฉินจะถากถางเขาก็ไม่ปาน แบบนั้นเขาเรียกแอบหนีเหรอ ต้องเรียกว่าเดินเล่นกันโอเคไหม


 


 


           หลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จ ซือเหยี่ยนก็พาตัวเขาไปโรงพยาบาล ตรวจดูอาการซ้ำอีกครั้ง


 


 


           “ร่างกายของคุณชายเจียงฟื้นตัวได้เร็วมาก ไม่ถึงสองวันก็กลับมาแข็งแรงเป็นปกติได้แล้วครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนั้นก็รีบถามทันที “งั้นฉันก็ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลแล้วใช่ไหม”


 


 


           หมอมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วมองมาทางเจียงมู่เฉินอีก “ถ้าคุณอยากอยู่ก็อยู่ได้ครับ”


 


 


           เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินว่าไม่ต้องอยู่โรงพยาบาล รีบดึงซือเหยี่ยนไว้ “อย่าๆๆ อย่าเด็ดขาด”


 


 


           เขาไม่อยากอยู่โรงพยาบาลเลยสักนิด


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะมองดูท่าทางของเขา เชิดริมฝีปากขึ้นเอ่ยกับหมอไม่กี่ประโยค ก็เตรียมจะออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว


 


 


           ทั้งสองคนเตรียมจะออกไป ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก


 


 


           จู่ๆ คุณแม่เจียงก็พุ่งตัวเข้ามา


 


 


           เจียงมู่เฉินตกตะลึง เงยหน้ามองซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนเองก็มีท่าทีตกใจนิดหน่อย


 


 


           “เฉินเฉิน ทำไมถึงบาดเจ็บแบบนี้ล่ะลูก” คุณแม่เจียงรีบโผเข้าหาเจียงมู่เฉิน “ทำไมบาดเจ็บแบบนี้ ก็ไม่บอกแม่”


 


 


           เจียงมู่เฉินปวดหัวมองแม่ตัวเอง “แม่รู้ได้ไงว่าผมอยู่โรงพยาบาล”


 


 


           คุณแม่เจียงทั้งรักทั้งสงสารลูกจับใจ “ถ้าไม่ใช่ว่าแม่เห็นลูกเมื่อกี้พอดี ลูกคิดจะปิดบังแม่ไปอีกนานแค่ไหน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่รู้จักบอกแม่”


 


 


           เธอเห็นเจียงมู่เฉินซูบผอมลง ก็สงสารแทบไม่ไหว ลูกชายที่เธอฟูมฟักประคองไว้ในอุ้งมืออย่างดีหลายปีมานี้ จู่ๆ ก็ผอมโซแบบนี้ได้ ยังมีแผลไปทั้งตัวอีก


 


 


           ‘เธอจะไม่ทั้งรักทั้งสงสารลูกได้ยังไงกัน’


ตอนที่ 136 พาเขากลับบ้าน


 


 


           สายตาขอร้องให้ช่วยของเจียงมู่เฉินส่งหาซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนมองคุณแม่เจียง ก่อนเอ่ยปาก “น้าครับ แผลของมู่เฉินไม่เป็นไรแล้ว หมอตรวจดูอาการเรียบร้อย บอกว่าอีกสองวันก็หายแล้วครับ”


 


 


           คุณแม่เจียงเพิ่งจะเห็นซือเหยี่ยนก็ตอนนี้ ตอนเธอเข้ามาเอาแต่เป็นห่วงลูกชายสุดที่รักของเธอ จึงมองข้ามคนรอบข้างไปโดยปริยาย


 


 


           “เสี่ยวเหยี่ยนก็อยู่ด้วยเหรอจ๊ะ”


 


 


           “ผมมาเป็นเพื่อนเจียงมู่เฉินตรวจดูอาการครับ”


 


 


           “งั้นต้องขอบใจเสี่ยวเหยี่ยนด้วยนะ เฉินเฉินของน้าก่อเรื่องวุ่นวายอยู่เรื่อย ทำให้เสี่ยวเหยี่ยนลำบากไม่เบาเลยใช่ไหม”


 


 


           “ไม่หรอกครับ เขา……ไม่ดื้อเลย”


 


 


           เจียงมู่เฉินแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองตายอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนไอ้คนระยำอยู่ต่อหน้าแม่เขาจะบอกว่าเขาไม่ดื้อ


 


 


           เขาถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนทันที ส่งแววตาตักเตือน


 


 


           คุณแม่เจียงหันมาเห็นเจียงมู่เฉินถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนพอดี จึงต่อว่าในทันใด “เฉินเฉิน ลูกเป็นอะไรของลูก ซือเหยี่ยนหวังดีมาส่งลูกหาหมอ ลูกยังถลึงตาใส่เขาอีก”


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่เข้าใจ เขาไม่ใช่ลูกรักของแม่เขาแล้วเหรอ


 


 


           ‘ทำไมตอนนี้ถึงช่วยซือเหยี่ยนแล้วมาต่อว่าเขาได้’


 


 


            “ยังไม่ขอโทษซือเหยี่ยนอีก!”


 


 


           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างจะซับซ้อน เขาไม่เคยขอโทษใครมาก่อน นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ยังต้องมาขอโทษซือเหยี่ยนอีก


 


 


           เขามองซือเหยี่ยนคนต้นเหตุ “นายอยากให้ฉันขอโทษนายเหรอ”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น ใบหน้าสงบเสงี่ยม “ถ้าเฉินเฉินอยากขอโทษ ก็ขัดไม่ได้อยู่แล้ว”


 


 


           เจียงมู่เฉินอยากจะกระอักเลือด ไอ้หมอนี่ ไม่คิดเลยว่าต่อหน้าแม่เขายังจะเอาเปรียบเขาอีก มาเรียกชื่อเล่นเขาต่อหน้าแม่เขาก็ช่างเถอะ แต่ยังจะอยากให้เขาขอโทษอีกเหรอ


 


 


           เจียงมู่เฉินอดจะถลึงตาใส่เขาอีกไม่ได้


 


 


           คุณแม่เจียงรอมาตั้งนานก็ไม่เห็นว่าเจียงมู่เฉินจะขอโทษสักที เธอจึงรีบตีเขาเดี๋ยวนั้น “เกิดอะไรขึ้น ยังไม่ขอโทษอีก”


 


 


           ฝ่ามือเธอโดนเข้าที่แผลของเขาพอดี เจียงมู่เฉินเจ็บจนอีกนิดเดียวก็จะกัดฟันแตกได้แล้ว


 


 


           ซือเหยี่ยนเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด ใจก็กระตุกจนอีกนิดเดียวจะพุ่งตัวไปอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉินและกอดเขาไว้แล้ว


 


 


           ยังดีที่เขายังพอเหลือสติอยู่บ้าง ระงับการกระทำของตัวเองที่คิดเอาไว้ลงก่อน ถ้าต่อหน้าคุณแม่เจียง เขาโผเข้าไปกอดเจียงมู่เฉิน เกรงว่าพวกเขาทั้งสองคนจะอธิบายกันให้ชัดเจนไม่ได้


 


 


           “แม่ครับ นี่แม่จะลอบฆ่าลูกชายตัวเองใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเจ็บจนเหงื่อออกท่วมหัว


 


 


           คุณแม่เจียงมองเจียงมู่เฉินที่เจ็บจนตัวงออย่างช่วยอะไรไม่ได้ “ลูกแม่ ลูกไม่เป็นไรนะ แม่ไม่ได้ตั้งใจ”


 


 


           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ มีแม่ที่ไหนขุดหลุมฝังลูกชายตัวเองแบบนี้ไหม ตกลงแล้วเขายังเป็นลูกแท้ๆ ของแม่เขาหรือเปล่า


 


 


           บาดแผลที่หายสนิทโดนฝ่ามือคุณแม่เจียงฟาดจนฉีกขาด หมอต้องรีบเข้ามาเย็บแผลใหม่ให้


 


 


           เจียงมู่เฉินเจ็บจนหน้าซีด สูดลมหายใจไป ถอนลมหายใจไป “แม่ครับ ปกติแม่อยู่บ้านไม่มีอะไรทำก็เลยฝึกวิชาฝ่ามือเหล็ก[1]ใช่ไหม หรือเกิดอะไรขึ้น มือถึงได้หนักขนาดนี้ครับ”


 


 


           ‘แผลเขาเพิ่งจะหายสนิทเองนะ อยากร้องไห้แล้ว’


 


 


           ตอนเจียงมู่เฉินเย็บแผล ซือเหยี่ยนก็ยืนอยู่ข้างๆ คิ้วขมวดกันแน่น กดเก็บความรู้สึกสงสารจับใจในแววตา


 


 


           หลังจากเย็บแผลเสร็จ คุณแม่เจียงก็เอ่ยเสนอขึ้นมา “เจ้าลูกชาย กลับไปพักที่บ้านไหม แม่จะดูแลลูกเอง รับรองลูกจะหายอย่างไวเลย”


 


 


           เจียงมู่เฉินชะงักไป เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร


 


 


           ตามนิสัยของแม่เขาแล้ว ต้องพาเขากลับบ้านอยู่แล้ว เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง เขาไม่อยากกลับบ้านนี่หน่า


 


 


           หลังจากคุณแม่เจียงเอ่ยปาก แววตาสุขุมของซือเหยี่ยนก็ลุกวาวขึ้นมา เขารีบมองไปทางเจียงมู่เฉินแทบจะเดี๋ยวนั้น เห็นเจียงมู่เฉินกะพริบตาเบาๆ ให้ตัวเอง ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น


 


 


           “เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวกลับกับแม่นะ” คุณแม่เจียงเห็นเจียงมู่เฉินไม่พูดไม่จา จึงพูดสรุปเองเสียเลย


 


 


           เจียงมู่เฉินเห็นแม่ตัวเองพูดเองเออเองแบบนี้ก็ร้อนรนแล้ว “อย่าเลยครับแม่ ผมจะกลับบ้านไปเพิ่มภาระให้แม่ทำไมล่ะ”


 


 


           คุณแม่เจียงถลึงตาใส่เขา “ลูกเป็นลูกชายแม่นะ การที่แม่ดูแลลูกจะเรียกว่าเพิ่มภาระได้ยังไง”


 


 


           เจียงมู่เฉินฉวยโอกาสตอนที่คุณแม่เจียงไม่ทันได้สังเกต เตะเท้าซือเหยี่ยน ส่งสายตาบอกเขา


 


 


 


 


 


 


 


[1] วิชาฝ่ามือเหล็ก ว่าด้วยวรยุทธ์วิชามือเหล็กนั้นเป็นวิชาฝ่ามือสายหยางที่แกร่งกร้าวรุนแรงมาก ผู้ฝึกต้องฝึกโดยการทิ่มแทงฝ่ามือบนทรายเหล็กร้อนที่คั้วบนกระทะ คล้ายๆทรายคั่วลูกเกาลัด และทรายนี้ยังอาบไปด้วยพิษอันร้ายกาจ คนฝึกไม่เพียงต้องโคจรพลังต้านความร้อนเท่านั้น ยังต้องต้านพิษในทรายเหล็กอีกด้วย


 


 


 


 


ตอนที่ 137 ปล่อยเขาไปเลย


 


 


           ‘ไอ้หมอนี่ปกติฉลาดหลักแหลม ทำไมตอนนี้ถึงได้ทื่อเป็นไม้ไปได้ ไม่พูดอะไรสักอย่าง ไม่เห็นหรือไงว่าแฟนตัวเองจะถูกแม่ชิงตัวกลับบ้านไปแล้ว’


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง แล้วก็มองไปทางคุณแม่เจียง เขาเงียบสักพัก ก่อนเอ่ยปาก “เฉินเฉินคุณกลับไปด้วยกันกับน้าเจียงเถอะ”


 


 


           เจียงมู่เฉินไม่กล้าเชื่อหูตัวเองว่าได้ยินอะไร ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำคาดไม่ถึงว่าจะเป็นฝ่ายปล่อยให้เขากลับไปกับแม่เขาได้


 


 


           “นายพูดจริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินกัดฟันถาม


 


 


           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างใจเย็น “มีน้าเจียงดูแลคุณ เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของแผล”


 


 


           เจียงมู่เฉินโกรธจนไม่ไหว เดิมทีเขาคิดว่าซือเหยี่ยนจะออกปากรั้งเขาไว้ แต่กลับตาลปัตร อุตส่าห์รอเขาเต็มใจ เขาดันปล่อยให้แม่เขาพาเขากลับบ้านได้


 


 


           “ใช่ๆ ลูกดูสิ ที่เสี่ยวเหยี่ยนพูดมาใช่มากๆ เลย” คุณแม่เจียงถือโอกาสพูดสนับสนุน


 


 


           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ มองหมอที่อยู่ข้างๆ “ฉันโอเคหรือยัง ไปได้หรือยัง”


 


 


           หมอโดนเขามองแบบนี้ก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมา จึงรีบตอบไป “ได้แน่นอนครับ”


 


 


           เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้น ไม่พูดอะไรสักคำ แล้วมุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอก ซือเหยี่ยนเห็นเขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟก็อดจะรั้งแขนเขาเบาๆ ไม่ได้ “จะไปไหน”


 


 


           เขาสะบัดมืออีกคนออก “คุณชายจะกลับบ้าน!”


 


 


           ซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินไป แล้วขมวดคิ้ว ว่ากันมาตั้งนานกว่าจะกำมือแล้วผ่อนลมหายใจได้


 


 


           “เรื่องของเจียงมู่เฉินทางนี้นายช่วยดูแลด้วย มีเรื่องอะไรรีบบอกฉัน” ซือเหยี่ยนกำชับหมอที่อยู่ข้างๆ


 


 


           “วางใจเถอะครับ บอสซือ ผมรับรองจะติดตามตลอดครับ”


 


 


           “อืม งั้นฉันไปก่อนแล้วกัน”


 


 


           ซือเหยี่ยนออกจากโรงพยาบาลก็พุ่งตรงไปบริษัททันที ไป๋จิ่งเห็นซือเหยี่ยนมาที่บริษัทพอดีก็ชะงักงันไป


 


 


           “นายไปเป็นเพื่อนคุณชายน้อยเจียงหาหมอไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาบริษัทได้”


 


 


           “ฉันต้องไปดูงานนอกสถานที่ ประมาณสามวันถึงจะกลับมา”


 


 


           “ไม่ใช่มั้ง จู่ๆ นายจะไปดูงานอะไรนอกสถานที่ ด่วนขนาดนี้เชียวเหรอ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะได้ยินนายเคยพูดไว้เลย”


 


 


           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ไม่มีอะไร กำหนดการชั่วคราว”


 


 


           เขายกเคสที่ค่อนข้างจะยุ่งยากให้ไป๋จิ่งทั้งหมด ส่งมอบงานอะไรเสร็จแล้วก็ออกไปเลย


 


 


           ไป๋จิ่งจ้องมองตามแผ่นหลังของซือเหยี่ยนที่รีบร้อนเดินออกไป ไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณชายน้อยเจียงไม่พอ ตัวเองยังรีบร้อนไปอเมริกาอีก นี่ซือเหยี่ยนมีเรื่องอะไรกะทันหันนะ


 


 


           อีกฝั่งหนึ่ง เจียงมู่เฉินกลับมาบ้านตระกูลเจียงพร้อมคุณแม่เจียง ตลอดทางในใจเขาเหมือนมีหินก้อนใหญ่อุดตันอยู่ กดทับจนหายใจไม่สะดวก


 


 


           เดิมทีเขาคิดว่าซือเหยี่ยนจะลงเรือลำเดียวกันกับเขา จะช่วยเขาพูดสักคำ แต่เขากลับไม่ช่วยพูดอะไรสักอย่าง ปล่อยเขาไปเลย


 


 


           พวกเขายังไม่ได้อยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่เลย ซือเหยี่ยนก็เริ่มจะรำคาญเขาแล้วเหรอ


 


 


           เจียงมู่เฉินโกรธจนตามืดมัว


 


 


           เข้าข้างในบ้านแล้ว เจียงมู่เฉินกินข้าวเสร็จก็ลากสังขารตัวเองขึ้นชั้นบนไปนอนทันที ตาไม่เห็น ใจไม่หงุดหงิด ซือเหยี่ยนไม่อยู่ เขาก็ไม่มีเรื่องอะไรอย่างอื่นแล้ว


 


 


           กว่าเขาจะตื่นมา ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เจียงมู่เฉินหยิบมือถือมา หน้าจอมืดดำ อย่าพูดถึงสายโทรเข้าเลย แม้แต่ข้อความสั้นๆ ก็ยังไม่มีมาสักข้อความ


 


 


           เจียงมู่เฉินโมโหจนเขวี้ยงมือถือลงข้างตัว ถอนหายใจเงียบๆ ทำได้แค่ใช้ลิขิตแห่งการตกหลุมรักก่อนมายึดพื้นที่ปลอบใจตัวเอง


 


 


           เขาลุ่มหลงงมงายกับซือเหยี่ยน แต่ซือเหยี่ยนกลับเอาแต่ลอยตัวสบายๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว


 


 


           ‘เสียใจนะ……’


 


 


           …………


 


 


           การเดินทางสิบกว่าชั่วโมง ซือเหยี่ยนถึงอเมริกาก็เรียกรถไปร้านกาแฟที่นัดไว้ทันที


 


 


           ไมเคิลรอเขาอยู่ในร้านกาแฟเรียบร้อยแล้ว


 


 


           “ขออภัยที่ฉันมาสาย” ซือเหยี่ยนนั่งลงตรงข้ามไมเคิล


 


 


           “ซือ ทำไมนายถึงบินมาจากถานโจวกะทันหันแบบนี้” ไมเคิลจู่ๆ ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเขา ยังค่อนข้างรู้สึกแปลกใจอยู่


 


 


           หลังจากตอนนั้นที่เขากลับจากอเมริกาไป หลายปีแล้วที่ไม่ได้มาหาเขา


 


 


           “ช่วยฉันตรวจสอบคนคนหนึ่งที”


 


 


           ไมเคิลขมวดคิ้ว “ใคร”


 


 


           “ซังจิ่ง”


ตอนที่ 138 แฟนหนุ่มต่างหาก


 


 


           ครั้งนี้ที่เขามาก็เพื่อตรวจสอบซังจิ่ง ที่ถานโจวเขาใช้เส้นสายตรวจสอบซังจิ่งคนนี้ เพียงแต่ว่าข้อมูลประวัติเขาขาวสะอาดมาก ปัญหาอะไรก็ตรวจสอบไม่พบ


 


 


           แต่ลางสังหรณ์จากการที่เขาเรียนตำรวจมาหลายปีบอกเขา ว่าซังจิ่งคนนี้ต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างแน่ๆ


 


 


           อีกอย่าง ซังจิ่งมีเป้าหมายกับเจียงมู่เฉินชัดเจนมาก


 


 


           เพียงแค่มันโยงใยไปถึงเจียงมู่เฉิน เขาไม่ปกป้องไม่ได้


 


 


           “ซังจิ่ง?” ไมเคิลทวนชื่อนี้ซ้ำ “เขามีอะไรผิดปกติเหรอ”


 


 


           “ตอนนี้ยังไม่มี ฉันเลยคิดจะให้นายช่วยฉันตรวจสอบเขา” ไมเคิลเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เมื่อก่อนช่วยเหลือพวกเขาไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นครั้งนี้คนที่เขานึกถึงแวบแรกก็คือไมเคิล


 


 


           เดิมทีเขาคิดจะรออีกสองวันรอให้เจียงมู่เฉินอาการดีขึ้นมาหน่อย แล้วเขาจะส่งตัวคนกลับบ้านตระกูลเจียงไป จากนั้นค่อยมาที่นี่


 


 


           แต่คุณแม่เจียงก็มาปรากฏตัวกะทันหัน ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผนก่อนหน้านี้ ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ มีแต่เป็นผลดีกับเจียงมู่เฉินทั้งนั้น


 


 


           ดังนั้นถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าเขาจะโกรธได้ ตัวเองก็ยังตัดสินใจแบบนี้ ไม่ได้รั้งให้อยู่ด้วย แต่ยอมให้เจียงมู่เฉินกลับบ้านตระกูลเจียงไป


 


 


           คิดถึงตรงนี้ ซือเหยี่ยนก็กุมขมับอย่างจนใจ คิดถึงตอนกลับไป ด้วยนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว เกรงว่าจะง้อไม่ได้ง่ายขนาดนั้น


 


 


           ไมเคิลเห็นเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “ซือ สีหน้านายค่อนข้างจะมีปัญหานะ” เขามีปฏิกิริยาไวต่อเรื่องไมโครเอ็กซ์เพรสชัน[1]และการสังเกตทางจิตวิทยามาก แค่ผิดปกติเพียงนิดเดียว ก็สังเกตได้ในทันที


 


 


           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ไม่เจอกันมาหลายปี นายก็ยังเหมือนเดิม”


 


 


           เหมือนไมเคิลจะสนใจเรื่องนี้มากอย่างไรอย่างนั้น “พูดสิ ว่าเมื่อกี้นี้นายกำลังคิดถึงใคร” มือข้างหนึ่งของเขาค้ำใต้คางเอาไว้ ทำท่าทำทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ “อืม ให้ฉันเดา…คงจะไม่ใช่แฟนสาวของนายหรอกใช่ไหม”


 


 


           ซือเหยี่ยนยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “แฟนหนุ่มต่างหาก”


 


 


           ไมเคิลแสดงสีหน้าตกใจ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างมองซือเหยี่ยน ไม่กล้าจะเชื่อเลย


 


 


           “ทำไม ไม่เชื่อเหรอ”


 


 


           ไมเคิลส่ายหัว “นายเป็นคนที่ไม่ใช่ใครก็จะมาเข้าใกล้ได้ง่ายๆ ผู้ชายคนไหนที่เก่งกล้าเข้าหานายได้กัน”


 


 


           ซือเหยี่ยนวางแก้วกาแฟลง “นายก็รู้จัก”


 


 


           ไมเคิลงุนงง นิ้วมือชี้เข้าหาตัวเอง “ฉันก็รู้จัก?”


 


 


           ท่ามกลางคนที่เขารู้จัก มีเพียงคนเดียวที่สนิทชิดเชื่อกับซือเหยี่ยนที่สุด แล้วคนนั้นก็คือ……


 


 


           “เจียงมู่เฉิน”


 


 


           แก้วกาแฟบนโต๊ะโดนปัดล้ม ไมเคิลรีบดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ด


 


 


           “ตกใจขนาดนี้เชียว?” ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย


 


 


           ไมเคิลตกใจจริงจัง “นายตัดสินใจว่าจะไม่สร้างเรื่องให้เขาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้มาคบกันอีก”


 


 


           เรื่องของเจียงมู่เฉินในตอนนั้นเขาเองก็รู้ ตอนไปปฏิบัติภารกิจ เจียงมู่เฉินพลัดตกหน้าผา ตอนนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าเจียงมู่เฉินตายไปแล้ว มีแค่ซือเหยี่ยนคนเดียวที่ตามหาเขาเหมือนคนบ้า


 


 


           สุดท้ายก็มาเจอเจียงมู่เฉินอยู่ในบ่อน้ำตื้น แต่เวลานั้นเจียงมู่เฉินบาดเจ็บสาหัสอาการร้ายแรงมาก ใช้เวลาเจ็ดวันเต็มๆ ในการรักษานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้เขาพ้นขีดอันตราย ถึงช่วยชีวิตเขากลับมาได้


 


 


           ไมเคิลยังจำได้ดีวันที่เจียงมู่เฉินพ้นขีดอันตรายแล้ววันนั้น ราวกับซือเหยี่ยนถูกดูดพลังจนเกลี้ยง เขายืนอยู่ข้างเตียงเจียงมู่เฉิน แล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ไมเคิล ฉันอยากจะทำให้เขาลืมทุกอย่างที่นี่”


 


 


           ตอนนั้นไมเคิลตกตะลึงจนพูดไม่ออก มองเห็นแค่ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากเบาๆ แต่กลับน่าเวทนายิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก


 


 


           เขาพูดว่า “ฉันอยากให้เขาใช้ชีวิตดีๆ ได้”


 


 


           ดังนั้น ซือเหยี่ยนจึงไปหาคนมาลบความทรงจำของเจียงมู่เฉิน จากนั้นก่อนที่เขาจะฟื้นขึ้นมาก็ส่งข่าวให้ทางครอบครัวเจียงทราบ แล้วส่งตัวคนกลับไปบ้านตระกูลเจียง


 


 


           หลังจากนั้นไมเคิลก็ไม่ได้ข่าวคราวของพวกเขาอีกเลย


 


 


           เรื่องที่เจียงมู่เฉินยังมีชีวิตอยู่ งานเก็บความลับนี้ซือเหยี่ยนทำได้ดีมาก คนที่รู้มีแค่เขากับซือเหยี่ยนสองคนเท่านั้น


 


 


           เขาเคยแอบสืบหาข่าวคราวที่เกี่ยวกับซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉิน ก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนรับช่วงต่อบริษัท กลายเป็นผู้คุมอำนาจของซือกรุ๊ปไปแล้ว


 


 


           ส่วนเจียงมู่เฉินก็กลับไปเป็นคุณชายน้อยผู้ลอยตัวสบายๆ ไม่มีภาระอะไร หลังจากได้เคยเรื่องนี้มา คนในครอบครัวเจียงยิ่งประคบประหงมเจียงมู่เฉินไว้ในอุ้งมือ ไม่กล้าจะทำให้เขาได้รับอันตรายใดใดแม้เพียงปลายเล็บ


 


 


           เพียงแต่ว่าคนสองคนที่เคยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นสนิทใจกันกลับกลายเป็นศัตรูคู่แค้น ไม่ได้มาข้องเกี่ยวกันอีก


 


 


 


 


[1] ไมโครเอ็กซ์เพรสชัน (Microexpression) คือ การแสดงออกทางใบหน้าอย่างรวดเร็วและโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะอารมณ์ทำให้เกิดการแสดงออกอย่างอัตโนมัติ (involuntary) ทั้งในด้านสีหน้า(facial expression) เสียงพูด ท่าทาง และสายตา และที่สำคัญคือ การโกหกเกี่ยวกับอารมณ์ที่กำลังรู้สึก ณ ขณะนั้นมักเป็นการโกหกที่ยากที่สุด 


 


 


 


 


ตอนที่ 139 อยากเลิก


 


 


           ซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดของไมเคิลก็ยกมุมปากขึ้น แพขนตาหนาสั่นไหว “ความชอบเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่”


 


 


           ดังนั้นเมื่อเจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายมาพัวพันก่อกวนใจเขา เขาจึงพยายามจะควบคุมตัวเองให้อยู่ ทำเย็นชาใส่เจียงมู่เฉิน


 


 


           เขาควบคุมสีหน้าท่าทีของตัวเองได้ แต่กลับควบคุมหัวใจตัวเองไม่อยู่


 


 


           ไมเคิลถอนหายใจ “ตอนแรกฉันก็รู้สึกแปลกใจมาตลอด เจียงมู่เฉินกลับถานโจวไป ทำไมนายต้องตามกลับไปด้วย ยังรับช่วงต่อบริษัทของตัวเองอีก”


 


 


           “ซือเหยี่ยน ฉันเข้าใจนายขนาดนี้ ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเป้าหมายของนาย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยจะเป็นบริษัทอยู่แล้ว”


 


 


           ซือเหยี่ยนหัวเราะ ไม่พูดจา


 


 


           “นายทำก็เพื่อเจียงมู่เฉินใช่ไหม ถึงได้รับช่วงต่อบริษัท อยู่ที่ถานโจวต่อ”


 


 


           ถ้าเป็นแบบนี้ ก็เป็นเหตุเป็นผลกันได้


 


 


           เพราะเจียงมู่เฉิน ถึงได้ทิ้งความฝัน แล้วยินดีที่จะถูกผูกมัด


 


 


           ซือเหยี่ยนดื่มกาแฟจนหมดแก้ว ถึงค่อยได้เอ่ยคำต่อคำออกมา “ไมเคิล เขาคือคนรักของฉัน”


 


 


           “แบบนี้ ฉันถึงต้องคอยอยู่เคียงข้างเขา”


 


 


           ไมเคิลตะลึงค้าง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เขายังคงโดนซือเหยี่ยนตลบหลังเหมือนเคย


 


 


           “ถ้าอย่างนั้น ที่นายมาครั้งนี้ก็คงจะเป็นเพราะเจียงมู่เฉินสินะ”


 


 


           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “จะว่าแบบนี้ก็ได้”


 


 


           ไมเคิลอดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “อิจฉาเจียงมู่เฉินจริงๆ ที่มีคนอย่างนายมาหลงรักขนาดนี้ได้”


 


 


           ซือเหยี่ยนคิดถึงเจียงมู่เฉินขึ้นมาก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ “ที่ฉันดีกับเขา ไม่ถึงครึ่งที่เขาดีกับฉันหรอก”


 


 


           ระหว่างพวกเขา เจียงมู่เฉินถึงจะเป็นคนๆ นั้น คนที่ให้อภัยกันและทุ่มเทให้กันมาตลอด


 


 


           ……


 


 


           สามวันเต็มๆ ที่ซือเหยี่ยนไม่โทรมาหาสักสาย เจียงมู่เฉินอดจะคอยมองดูมือถือไม่ได้ สงสัยว่ามือถือพังหรือเปล่า


 


 


           ‘ไม่งั้นซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นจะกล้าไม่ติดต่อเขาเลยสามวันได้ยังไง’


 


 


           ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาคว้ามือถือที่เคยถูกตัวเองเหวี่ยงลงข้างๆ ขึ้นมา ตัดสินใจเป็นฝ่ายโทรหาซือเหยี่ยน


 


 


           ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นไม่โทรมา เขาโทรไปเองก็ได้


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบโทรหาซือเหยี่ยน แต่หลังจากที่โทรออกไป ก็แสดงให้รู้ทันทีว่าปิดเครื่องอยู่ เจียงมู่เฉินใกล้จะระเบิดลงแล้วจริงๆ


 


 


           ไม่ติดต่อเขาก็ช่างหัวมัน ยังจะมาปิดเครื่องอีก


 


 


           ‘เลิก’


 


 


           ‘เป็นกันแบบนี้แล้ว ถ้ายังไม่เลิก จะให้อยู่ฉลองปีใหม่ต่อหรือไง’


 


 


           เจียงมู่เฉินโทรหามั่วไป๋ต่อ “ไป๋ไป๋ ไปกินเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันเบื่อมากเลย”


 


 


           มั่วไป๋อดจะเอ่ยเหน็บแนมไม่ได้ “ร่างบางๆ ของนาย บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ นายแน่ใจนะว่านายดื่มเหล้าได้”


 


 


           เจียงมู่เฉินโดนหยามกันแบบนี้ ก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที “คุณชายอย่างฉันอาการดีขึ้นเยอะแล้ว จะดื่มเหล้าไม่ได้ ได้ยังไงกัน”


 


 


           “นายระวังซือเหยี่ยนของนายจะจับนายกลับไปขังลืมนะ”


 


 


           “เขาทิ้งฉันไว้กับแม่ฉันแล้วก็หายตัวไปเลย ไม่รู้ว่าไปปรากฏตัวที่ไหนแล้ว จะมีเวลามาสนใจฉันเมื่อไหร่กัน”


 


 


           มั่วไป๋ยิ้มเยาะ “ในที่สุดฉันก็ฟังเข้าใจแล้ว เพราะซือเหยี่ยนไม่สนใจนาย นายถึงได้นึกถึงฉันสินะ”


 


 


           “อะไรเรียกว่าไม่สนใจเหรอ ฉันอ่อนแอขนาดนั้นเชียว? คนที่ชอบฉันแถวยาวจนวนถานโจวได้สองรอบเลย”


 


 


           “พอเถอะ ไปไหน กี่โมง”


 


 


           “อืม” มั่วไป๋รับคำ “ฉันรู้แล้ว” พูดจบก็วางสายมือถือเสียงดัง


 


 


           เจียงมู่เฉินรีบลุกออกจากเตียง เตรียมตัวไปหลานเยี่ย ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นไม่ปรากฏตัวมา เขาจะได้ไปหาความบันเทิงพอดี


 


 


           จะเที่ยวเล่นก็ไปไม่รบกวนกันและกัน ดีสุดๆ ไปเลยจริงๆ


 


 


           เจียงมู่เฉินเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้ายั่วๆ อ่อยๆ หน่อยๆ แล้วเดินลงบันไดอย่างเริงร่า ที่ชั้นล่างคุณพ่อเจียงนั่งอยู่บนโซฟา เขาเงยหน้าเห็นเจียงมู่เฉินลงมา ก็รีบวางหนังสือพิมพ์ในมือลงพอดี


 


 


           “ดึกป่านจะเตรียมออกไปไหน”


 


 


           ‘ซวยแล้ว’ เจียงมู่เฉินแอบร้องในใจ ทำไมพ่อเขากลับมาเร็วขนาดนี้ได้


 


 


           “พ่อ ทำไมจู่ๆ พ่อถึงกลับมาแล้วล่ะ คืนนี้ทำโอทีไม่ใช่เหรอครับ” 


 


 


           คุณพ่อเจียงทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “นี่แกอยากให้ฉันทำโอทีต่อที่บริษัทใช่ไหม”


 


 


           “ที่ไหนกันล่ะครับ ผมเป็นลูกชายแท้ๆ ของพ่อ จะหวังให้คนแก่ทำโอทีตลอดได้ยังไงกันครับ” เจียงมู่เฉินปากหวานก้นเปรี้ยว เขาอยากให้พ่อเขามีเรื่องด่วนต้องไปทำตอนนี้จริงๆ


 


 


           “แกอย่าพล่ามไร้สาระกับฉันขนาดนั้น นั่งลง ฉันมีเรื่องจะถามแก”


 


 


           เจียงมู่เฉินปวดหัว “พ่อ พรุ่งนี้ค่อยถามได้ไหม ผมมีธุระ”


 


 


           “แกจะมีธุระอะไรได้ ธุระของแกไม่มีเรื่องไหนดีๆ หรอก” คุณพ่อเจียงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คืนนี้ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น มานั่งตรงนี้ให้ฉันซะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม