(Yaoi) รุ่งอรุณเคียงหทัย 10

ตอนที่ 10 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ 



 


จาฮอนอยากจะจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ก่อนที่เหล่าขุนนางฝ่ายเชจะได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง และอย่างน้อยหากไต่สวนแล้วพบว่ายังขาดหลักฐาน ก็ต้องไม่ให้พวกนั้นสามารถนำหลักฐานมาโต้แย้งแก้ตัวได้มากพอ ดังนั้นจึงออกคำสั่งห้ามมิให้คุมขังพรรคพวกของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการและเหล่ามือสังหารยาอึมรวมกัน ทว่าด้วยในเวลานี้กฎหมายเคร่งครัดอย่างยิ่ง แม้ตั้งใจจะกักขังแยกกัน ทว่าคุกหลวงกลับไม่เพียงพอ 


 


 


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จาฮอนเลยสั่งให้เคลื่อนย้ายเหล่ามือสังหารยาอึมมายังตำหนักคอนรยุงในช่วงกลางดึกสงัด และเนื่องจากเป็นแผนการ เขาจึงแสร้งว่ายังหาตัวโซกังไม่พบ แล้วพำนักอยู่แต่ในตำหนักคอนรยุงอย่างเสียไม่ได้ ทว่าเมื่อจับได้ทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีความคิดจะใช้ห้องบรรทมแยกกับโซกังแม้แต่วันเดียว ดังนั้น ก็เลยกำเนิดความคิดที่ไม่ดีนัก กับการใช้ตำหนักร้างผู้คนของตนให้กลายเป็นทั้งคุกและที่อาศัยของเหล่ามือสังหาร 


 


 


แน่นอนว่าขันทีโชดิ้นเร่าๆ ด้วยอย่างไรก็เป็นถึงตำหนักส่วนพระองค์ จะนำเหล่านักโทษเข้ามาอยู่ได้อย่างไร แต่ก็ตระหนักดีว่าไม่มีวิธีใดดีไปกว่านี้แล้ว จึงยอมอ่อนข้อต่อคําอธิบายอันละเอียดถี่ถ้วนของฝ่าบาท 


 


 


เมื่อเหล่ามือสังหารยาอึมถูกย้ายตัวจากคุกหลวงอันหนาวเย็นมายังที่แห่งหนึ่ง จึงเกิดความไม่สบายใจขึ้นทันที เนื่องจากได้ยินว่าองค์จักรพรรดิจะรับฟังด้วยพระองค์เอง พวกเขาถึงทิ้งอาวุธและยอมถูกจับกุม ทว่าเมื่อถูกลากตัวมาเช่นนี้ ก็พลันคิดว่าคงมิใช่ถูกสั่งตัดหัวแล้วทำให้สาบสูญจากโลกนี้หรอกนะ  


 


 


บรรยากาศก็ดูเป็นเช่นนั้น จากการพาตัวไปยังตำหนักคอนรยุง อันเป็นตำหนักส่วนพระองค์ กระทั่งการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ในยามดึกสงัด เท่านั้นไม่พอ ยังถึงขนาดปิดตาขณะเคลื่อนย้าย แม้จะสอบถามแล้วว่าจะพาไปที่ใด เหล่าผู้คุมก็ไม่ยอมให้คำตอบสักคำเดียว 


 


 


เดินอยู่เช่นนั้นชั่วขณะ เหล่าผู้คุมก็ผลักมือสังหารยาอึมทั้งหมดเข้าห้องบรรทมของฝ่าบาท ภายในตำหนักคอนรยุง ก่อนจะลงกลอนประตูทั้งสามชั้นอย่างแน่นหนา เหล่านางกำนัลที่คอยเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูตลอดเวลาก็ถูกสั่งให้ออกไปก่อนแล้ว ดังนั้น ภายในตำหนักคอนรยุงจึงไม่มีแม้แต่มดสักตัวเฉียดผ่าน เมื่อแน่ใจว่าด้านนอกไม่มีผู้ใดแล้ว องครักษ์ฮวังรยงจึงปลดผ้าปิดตาคนพวกนั้นออก 


 


 


เหล่ามือสังหารยาอึมลืมตาขึ้นพลางหันมองโดยรอบ ก่อนจะถูกเลี้ยงดูด้วยการเป็นมือสังหาร พวกเขาส่วนใหญ่ต่างอยู่ในสถานะขอทาน ดังนั้น จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสถานที่อันหรูหราเช่นนี้ 


 


 


“ที่นี่คือที่ใดหรือขอรับ” 


 


 


“ข้าไม่อาจบอกได้ว่าเป็นที่ใด เพียงคิดว่าเป็นคุกก็พอ มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็นจะนำมาให้อย่างเพียงพอกับทุกคน ดังนั้น จงทำใจให้สบายเสียเถอะ” 


 


 


“เป็นเช่นนั้นได้หรือขอรับ” 


 


 


“ฝ่าบาททรงรับสั่งเช่นนั้น รวมถึงให้พาพวกเจ้ามายังที่แห่งนี้” 


 


 


“เหตุ เหตุใดถึงได้…” 


 


 


“พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าพวกเจ้าเป็นเพียงมือและเท้าของคนเหล่านั้น หากทำพลาด จะให้ไถ่ถามความรับผิดชอบจากมือหรืออย่างไร สิ่งที่ฝ่าบาททรงหวังจากพวกเจ้ามีเพียงสิ่งเดียว คือสารภาพทุกสิ่งตามความจริง เพื่อช่วยให้เรื่องราวไร้อุปสรรค และพวกที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อฉลจะได้รับโทษสถานหนัก” 


 


 


เหล่ามือสังหารยาอึมไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่ออีก ทว่าสีหน้าของแต่ละคนดูเหมือนจะขบคิดอะไรมากมาย เหล่าองครักษ์ฮวังรยงจึงไม่ได้คิดรบกวน แม้ตั้งใจจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน แต่ระหว่างนำมาให้ ค่อยทำเช่นนั้นก็ได้ และถ้าหากทราบว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้จัดสำรับเช่นเดียวกับเครื่องเสวยของพระองค์เองแล้ว จิตใจของคนเหล่านี้จะไม่โอนเอียงยิ่งกว่าเดิมหรอกหรือ 


 


 


แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นการตัดสินใจด้วยความรู้สึกส่วนตัวของผู้นำสูงสุดของเหล่าองครักษ์ฮวังรยง 


 


 


พวกเขาไม่คิดขัดขวางอันใด และออกจากตำหนักคอนรยุงไปเงียบๆ โดยบริเวณรอบตำหนักมีเหล่าทหารหลวงยืนเฝ้ายามอยู่อย่างเข้มงวด 


 


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ในเมื่อไม่จำเป็นต้องทำตัวเหินห่างอีกต่อไป จาฮอนจึงเร่งรีบไปยังตำหนักฮงฮวา ตั้งแต่เรื่องต่างๆ ที่ต้องดำเนินการอย่างลับๆ จนถึงฎีกาที่ต้องจัดการ เรื่องราวมากมายกองทับถมเสียจนต้องโต้รุ่งอยู่หลายคืนหลายวัน ทว่าสำหรับเขาแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญกว่าเรื่องพวกนั้นอยู่ 


 


 


แม้จะเริ่มด้วยความตั้งใจ แต่ก็ต้องได้ลองสัมผัส ได้ยินเสียง และได้เห็นกับตาตนเองว่าโซกังไม่ได้บาดเจ็บ หรือได้รับความทุกข์ยากใดๆ จากการลักพาตัว 


 


 


“โซกัง!” 


 


 


จาฮอนเข้ามาถึงด้านหน้าห้องบรรทมของตำหนักฮงฮวา ก่อนจะเปิดประตูพรวดพราดเข้าไปโดยไม่มีการแจ้งไปด้านใน ทั้งยังเรียกชื่อจริงแทนชื่อ ‘โซฮวา’ ที่มักจะใช้เรียกภายนอกอีก เขาไม่สนว่าประตูจะปิดลงแล้วหรือไม่ ก้าวเข้าไปดึงตัวโซกังที่เบิกตาโตและยืนจัดแจงสวมอาภรณ์เข้ามากอดแน่น เมื่อคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไรหลังจากนี้ เหล่านางกำนัลจึงปิดประตูลง 


 


 


“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“มิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่ ให้ข้าดูหน่อย ถูกทำให้ลำบากอันใดหรือเปล่า” 


 


 


มองพินิจใบหน้างดงามตรงนั้นที ตรงนี้ที พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงกังวล โซกังยิ้มร่าและกุมมืออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน 


 


 


“ไม่เป็นอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่บาดเจ็บ ไม่ได้รับความลำบากใดๆ กระหม่อมกลับมาอย่างปลอดภัย” 


 


 


จาฮอนทอดถอนลมหายใจออกมาจากปาก ก่อนจะเชยคางมนขึ้นมาประทับริมฝีปาก หลังสัมผัสแตะกันอย่างกะทันหัน เรียวลิ้นร้อนก็รุกรานเข้าไปภายในโพรงปากอย่างเร่งรีบ 


 


 


“อืม อื้อ” 


 


 


โซกังนึกคิด ราวกับเป็นเวลาเนิ่นนานเหลือเกินที่ไม่ได้รับจุมพิตเช่นนี้ มือที่วุ่นกับการจัดอาภรณ์ขยับเอื้อมเกี่ยวรั้งต้นคอแกร่ง เรียวลิ้นไล้เลียและบดขยี้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คล้ายกำลังตรวจตราอาณาเขตของตน จนร่างบางหลุดเสียงครางหวานและเกาะเกี่ยวมากยิ่งขึ้น 


 


 


ด้วยตนก็หวังให้อีกฝ่ายตรวจตราทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน 


 


 


เสียงครางแว่วหวาน เมื่อกลืนกินน้ำลายของอีกคนแล้วก็ผละริมฝีปากแดงจัดออกทันที แตะสัมผัสตรงต้นคอของโซกัง 


 


 


“อ๊ะ! จาฮอน ฮะ อื้อ…” 


 


 


“โซกัง โซกังอา ข้าคิดถึงเจ้าแทบตาย” 


 


 


“กระหม่อมก็ อา… คิดถึงเช่นกัน แต่ทรงยุ่งอยู่มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ยังจะมีอะไรเร่งด่วนเท่าการได้กอดเจ้าอีกหรือ” 


 


 


“นั่น…อึก อื้อ” 


 


 


ชุดนอนที่ผูกอย่างลวกๆ ถูกปลดออก มือใหญ่สอดเข้าลูบไล้แผ่นอกบาง ยอดอกราบเรียบที่ไม่ได้ถูกมือ หรือริมฝีปากสัมผัสมาสักพัก ทันทีที่จาฮอนสัมผัส ร่างกายของโซกังก็สะท้านพร้อมกับเสียงครางดังจากริมฝีปาก เขาพึงพอใจกับการตอบสนองเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ดูดเม้มต้นคอ พลางขยับเรียวนิ้วหยอกล้อยอดอกอย่างใจเย็น ปลุกเร้าให้ยินยอมพัดพาไปตามความต้องการ 


 


 


“อ๊ะ! อะ อื้อ จาฮอน…ฮึก” 


 


 


ริมฝีปากและมือใหญ่ผละห่างออกไป จากนั้นร่างบอบบางก็ถูกยกขึ้น ชายชุดคลุมร่วงลงสู่เบื้องหน้าปลายเท้าของจาฮอน เขาใช้เท้าเตะมัน ก่อนจะก้าวเดินพาโซกังวางลงบนเตียง และหลังจัดการปลดชุดตนเองออก ก็ทาบทับบดเบียดไปบนร่างกายของอีกคน 


 


 


เมื่อได้เห็นใบหน้าหวานขึ้นสีแดงจัดก็ยกยิ้มพราย ปลดอาภรณ์ตัวในที่พาดบังแผ่นอกออกด้านข้าง ยอดอกนูนเด่นจากการปลุกเร้าชั่วครู่ ช่างน่าเอ็นดูยิ่ง เขาหัวเราะออกมาและก้มหน้าลงไปจุมพิตบนยอดอกจนเกิดเสียงดัง โซกังพลันสะท้านเฮือกในทันที  


 


 


จาฮอนเอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังคงแตะสัมผัสยอดอกสวยไม่ห่าง 


 


 


“เป็นเรื่องจริงที่ข้ายุ่งมาก แต่กลับไม่มีสมาธิจดจ่อเลย คอยแต่คิดถึงใบหน้าของเจ้าอยู่เรื่อยๆ นึกถึงเพียงสัมผัสของเจ้าเท่านั้น… ทั้งยังเอาแต่คิดเรื่องลามกเหมือนถูกบางอย่างเข้าสิง ดังนั้น ให้ข้ากอดเจ้าสักครั้งเถอะโซกัง หากได้กอดเจ้าแล้ว ก็คงจะสามารถจัดการราชกิจได้เร็วขึ้นเป็นสองเท่าเชียวล่ะ” 


 


 


คำกล่าวคล้ายเป็นการออดอ้อน ทำเอาโซกังหลุดหัวเราะออกมา ด้วยจินตนาการถึงบุรุษผู้แสดงท่าทางฝักใฝ่ในกามโลกีย์ขึ้นมาแทนภาพฝ่าบาทผู้เข้มงวดในงานราชกิจ ใบหน้าจึงเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะ เรียวคิ้วจาฮอนก็พลันขมวดมุ่น ก่อนจะดูดเม้มยอดอกที่แนบริมฝีปากอย่างแรงราวกับเป็นการลงโทษ 


 


 


“อ๊า!” 


 


 


“เพราะข้า…หมกมุ่นมากเพียงนี้ เจ้าถึงได้หัวเราะเยาะเช่นนี้ ใช้ไม่ได้เสียจริง” 


 


 


“มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็เป็นเช่นนั้น” 


 


 


“อย่างนั้น…หรือ” 


 


 


“กระหม่อมมิใช่บุรุษหรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่สิ ถึงแม้จะมิใช่บุรุษ แต่การต้องแยกจากคนรักเช่นนี้ จะไม่คิดถึงได้อย่างไร อีกทั้ง…ตรงนั้น… ห่างเพียงวันเดียว ความสัมพันธ์… ที่เชื่อมไว้… ราวกับเป็นหนึ่งเดียว…” 


 


 


โซกังค่อยๆ เอ่ยคำพูดน่าอายออกมาด้วยใบหน้าแดงจัด อีกฝ่ายเอ่ยขอราวกับอ้อนวอนให้เราได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้แล้ว ตัวเขาเองก็อยากบอกให้รู้ว่า สำหรับตน การอดทนนั้นก็ช่างแสนทรมาน 


 


 


“ไม่มีทางที่จะไม่ปรารถนามัน… ดังนั้นช่วยกอดกระหม่อม ท่านจาฮอน” 


 


 


“เจ้าน่าเอ็นดูอีกแล้วนะ” 


 


 


“หากไม่พูดเช่นนี้ ก็จะไม่เอ็นดูกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า จะยามชายตามอง ยามร้องไห้ ยามโกรธ กระทั่งยามร้องครางด้วยความสุขสม ไม่มีคราใดไม่น่าเอ็นดูเลยสักครั้ง” 


 


 


“ไม่ ต้องทรงเปรียบเช่นนั้น… อ๊ะ! อึก!” 


 


 


ปกติแล้วเมื่อได้รับการเลื่อนขั้นแต่งตั้งเป็นสนมของฝ่าบาท ไม่จำเป็นจะต้องร้องขอคำอนุญาตใดๆ ถึงกระนั้นเมื่อโซกังอนุญาต จาฮอนจึงเคลื่อนไหวแต่โดยดี ใช้ฟันขบเม้มอย่างเอาแต่ใจลงบนยอดอกที่ถูกก่อกวนจนชูชัน มือเคลื่อนต่ำลงกำรอบส่วนอ่อนไหวและใช้นิ้วหัวแม่มือบดขยี้ส่วนปลาย ด้วยเป็นเช่นนั้นซ้ำๆ อยู่เรื่อย โซกังจึงไม่อาจพูดต่อจนจบ ทำได้เพียงเชิดหน้าขึ้นส่งเสียงครางเท่านั้น  


 


 


แม้อยากต่อว่าถึงมารยาทว่าควรรับฟังคำพูดของผู้อื่นให้จบก่อน แต่เรียวขากลับกางอ้าอย่างเคยชิน ช่วงสะโพกก็ส่ายไปมา เขาจึงต้องผลักเรื่องนั้นออกไปคราวหลัง 


 


 


และหากว่าถูกจับกระแทกอย่างเต็มแรง ก็คงจะหลงลืมมันไปอย่างแน่นอน… 

 

 

 


ตอนที่ 10-2 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-2 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


“โซกัง ข้าไม่อาจทนได้อีกแล้ว” 


 


 


จาฮอนผละจากการดูดเม้มยอดอก มาประทับจูบลงบนผิวเนื้อราวกับอดอยาก ก่อนจะขบกัดพร้อมกระซิบบอก ร่างกายแนบชิดส่งผลให้ตัวตนแข็งตึงราวกับจะระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนั้น โซกังกางขาออกจนโอบรอบตัวของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหอบกระชั้น 


 


 


“กระหม่อมก็เช่นกัน อ๊ะ ได้โปรด รีบๆ กอดกระหม่อมที” 


 


 


คำกล่าวนั้นทำเอาจาฮอนหลุดเสียงที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงครางหรือขานรับ เขายกตัวขึ้นแล้วกระชากเสื้อออกอย่างแรง ปลดกางเกงทิ้งด้วยแรงอารมณ์ ระหว่างนั้นร่างบางก็ขยับยกหว่างขาอ้ากว้าง เผยช่องทางคับแน่นให้อีกฝ่ายได้เห็น มันกำลังขมิบถี่และเปียกแฉะ 


 


 


จาฮอนเอื้อมมือไปยังบริเวณที่มักจะมีกระปุกน้ำมันหอมวางอยู่เสมอ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงหาไม่พบ เนื่องจากหากทิ้งน้ำมันหอมไว้นาน มันจะส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา ดังนั้น ระหว่างช่วงเวลาที่ทั้งสองแยกกันอยู่ นางกำนัลตำหนักฮงฮวาจึงจัดการทำความสะอาด และนำกระปุกน้ำมันหอมนั้นไปทิ้งเสียแล้ว 


 


 


ร่างสูงจ้องมองช่องทางขมิบถี่ รวมถึงดวงตาหรี่ปรือบนใบหน้าสวยด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจ เมื่อจาฮอนไม่ยอมขยับ โซกังจึงเปิดปากถาม 


 


 


“จาฮอน เหตุใด… เร็วสิ อา…” 


 


 


หากสั่งให้นำน้ำมันหอมเข้ามาก็จะต้องรอคอยอีกเช่นกัน อีกทั้งเขาก็ไม่อยากให้นางกำนัล ขันที หรือผู้ใดก็ตามได้เห็นโซกังในสภาพเช่นนี้ และหากจะหยุดเสียตอนนี้ ตนก็คงไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว เฝ้ารอคอยจะได้ประสานกายและใจอย่างแนบแน่นกับคนรักแสนงดงามไร้ที่ติของตนมากถึงเพียงใด จะยอมหยุดเพียงเพราะน้ำมันหอมอย่างนั้นน่ะหรือ 


 


 


เมื่อขบคิดจนเสร็จสิ้น จาฮอนก็ก้มหน้าลงช้าๆ ขยับริมฝีปากเข้าไปใกล้ช่องทางรักและสุดท้ายก็สัมผัสมัน ทันทีที่ลิ้นร้อนชื้นไล้เลียบริเวณนั้น ดวงตาของโซกังก็เบิกกว้างขึ้น ทั้งยังเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตาจากความกระดากอาย 


 


 


“อึก! ทำ ทรงทำอะไร!” 


 


 


“ไม่มีน้ำมันหอมน่ะ หากข้าเข้าไปทั้งอย่างนี้ ก็จะทำให้เจ้าบาดเจ็บได้มิใช่หรือ” 


 


 


จาฮอนตอบคำถามของอีกคนอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็เริ่มไล้เลียปากช่องทางอีกรอบ กลิ่นสบู่หอมหวนปะปนกับกลิ่นผิวกายอวลกรุ่นอยู่ตรงปลายจมูก ส่วนที่สัมผัสปลายลิ้นก็ขมิบรับอย่างขัดเขิน แม้จาฮอนจะรู้สึกแปลกพิกลเป็นอย่างยิ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกเลวร้ายอะไร 


 


 


“ฝ่าบาท ไม่ อื้อ จาฮอน! อ๊ะ! แค่สั่งให้… อื้อ นำน้ำมันหอมเข้ามา” 


 


 


“ไม่เป็นไร” 


 


 


ขยับเรียวลิ้นหยอกเย้า ทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังแนบชิดใกล้กับช่องทางรัก เมื่อตอบปัดเสร็จแล้วจึงไล้เลียอย่างละเมียดละไมจนชุ่มโชกด้วยน้ำลาย ลิ้นชื้นแฉะกวาดเลียส่วนอ่อนไหว ทุกครั้งที่ขยับเคลื่อนไหว ร่างกายบอบบางก็จะกระตุกเกร็ง ช่องทางเปิดแง้มอย่างขลาดเขิน  


 


 


การเคลื่อนไหวเช่นนั้นทำให้เกิดความปรารถนาอย่างไม่อาจควบคุม จาฮอนขยี้ลิ้นกับบริเวณที่ดูดดึงและเปิดแง้มรับสิ่งแปลกปลอม ก่อนจะเริ่มกดย้ำลงไป 


 


 


“อ๊ะ! จาฮอน หยุด… อื้อ!” 


 


 


ความรู้สึกคล้ายกับมีบางสิ่งสอดแทรกเข้ามาด้านใน ทำเอาโซกังปิดสะโพกเร่าพร้อมหวีดเสียงครางออกมา แม้ความเป็นจริงจะเป็นเพียงแค่ลิ้นก่อกวนช่องทางเพียงเท่านั้น เจ้าตัวก็ยังคงเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงสะอื้น ทว่าร่างกายกลับขมิบเกร็งตอบรับเป็นอย่างดี อีกฝ่ายก็ยิ่งปัดป่ายกับจุดนั้นมากขึ้นไปอีก 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเฉอะแฉะจากช่วงล่างดังขึ้นมา โซกังก็ยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าตนเองทันที ถึงจะอยากมองคนตรงหน้าด้วยตา ทว่าสีหน้าของตนยามเผยให้อีกฝ่ายเห็น มันก็ช่างน่าอายจนแทบหายใจไม่ออก แต่การเคลื่อนไหวที่กวาดต้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้แม้แต่เสียงก็ไม่สามารถอดกลั้นได้ 


 


 


“ฮึก อื้อ ฮือ” 


 


 


หลังจากช่องทางฉ่ำแฉะขยายออกอย่างพอเหมาะ จาฮอนจึงถอนเรียวลิ้นกลับมาและผละริมฝีปากออกด้วยสีหน้าพึงพอใจ จากนั้นก็จ่อตัวตนแข็งขืนเข้ากับปากทาง หยดน้ำกามจากส่วนปลายเปรอะเปื้อนลงบนเตียงหลายหยด เขาบดถูลงบริเวณรอยจีบอย่างเชื่องช้า ช่องทางของโซกังเปียกแฉะด้วยน้ำลายอยู่แล้ว ยิ่งกดถูก็พลันวาววับทันที 


 


 


“ทนไม่ไหวแล้ว ข้าจะใส่เข้าไปแล้วนะ” 


 


 


“อ๊ะ ฮึก! อ๊า!” 


 


 


จาฮอนกระซิบแผ่วเบา ก่อนจะขยับแกนกายผ่านช่องทางเปิดค้างอย่างขัดเขิน เริ่มสอดดันส่วนแข็งขืนเข้าไปในตัวอีกคนช้าๆ ทว่าด้วยไม่มีน้ำมันหอม การโอบรับส่วนหัวของจาฮอนจึงดูจะเป็นเรื่องเกินกำลังสำหรับผู้ถูกกระทำมากกว่าที่คิด โซกังพยายามผ่อนคลายทั้งๆ ที่เรียวคิ้วขมวดมุ่น ผิวเนื้อกับผิวเนื้อเสียดสีกัน ขณะที่ท่อนเนื้อค่อยๆ ถูกกลืนกินหายเข้าสู่ร่างบอบบาง 


 


 


ใบหน้าหวานเชิดขึ้น ช่วงสะโพกยกโค้งตลอดเวลาที่ท่อนเนื้อร้อนผลุบหายเข้าไปในตัว มือขยำชุดเครื่องนอนเอาไว้แน่น ออกแรงมากเสียจนมันสั่นสะท้าน ทันทีที่ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดกลายเป็นซีดเซียว จาฮอนจึงลูบไล้แก้มเนียน แม้จะสอดใส่เข้าไปได้เพียงครึ่งทาง 


 


 


“โซกัง หากเจ็บนักก็บอกแก่ข้า ข้าทนได้ เจ้าอย่าได้เป็นกังวลเลย หื้ม?” 


 


 


“ฮื้อ ไม่เป็น…ไรพ่ะย่ะค่ะ จาฮอน ข้างล่างเหมือนกับจะระเบิดเลย โปรดรีบกอดกระหม่อมที” 


 


 


โซกังหายใจหอบกระชั้นจนคิ้วสวยขมวดมุ่นไปหมด แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามกล่าวออกมาจนจบ แน่นอนว่ามันจะต้องเจ็บ แม้จะใช้ช่องทางนั้นในการร่วมรักตลอด ทว่าเดิมทีมันก็ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการนี้อยู่แล้ว แม้จะน่าแปลกใจ แต่มันก็ไม่ได้มีเพียงความเจ็บปวดอย่างเดียว 


 


 


รู้สึกถึงผิวเนื้อได้รับการเสียดสีอย่างรุนแรง เส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา กระทั่งการสั่นไหวจากการขืนเกร็ง พละกำลังพวยพุ่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด สิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนช่างแปลกใหม่ ขณะเดียวกันความรู้สึกทั้งหมดก็เอ่อล้นออกมาเติมเต็มตัวเอง ความยินดี ความอิ่มอกอิ่มใจ ความสุข ความสงบ ความปลอดภัย ความผ่อนคลาย ความปลาบปลื้ม ความปีติ ความรู้สึกด้านดีงามทั้งมวลของโลกนี้มารวมกันอยู่ที่นี่แล้ว 


 


 


“อา อ๊ะ!! จาฮอน! อีก ข้างใน อ๊าา!” 


 


 


ความรู้สึกที่ไม่มีการปลุกเร้าอันใด โซกังครางร้องด้วยความยินดี ร่างกายบีบรัดอย่างรุนแรงเพื่อโอบรับตัวตนของจาฮอนให้สอดลึกเข้ามา ร่างสูงเองก็กระทั้นจ้วงลึก ปล่อยให้เป็นไปตามการเคลื่อนไหวอันหยาบโลนของผนังด้านใน ทันทีที่ส่งเข้าไปอย่างแรงจนส่วนพวงก้อนกลมกระทบบั้นท้ายอิ่ม ผนังด้านในก็ยิ่งตอดรัด และหยาดน้ำรักก็ปลดปล่อยออกมาจากส่วนอ่อนไหวของโซกัง 


 


 


“อ๊ะ! อ๊า จาฮอน ข้ารัก….ท่าน จากใจจริง ฮึก” 


 


 


ด้วยความรู้สึกบังเกิดเกินกว่าครึ่งหนึ่งของความปรารถนาอันแรงกล้า โซกังจ้องมองจาฮอนด้วยสายตาลึกซึ้งพร้อมกับน้ำตาไหลริน ร่างสูงเองก็ยกยิ้มอ่อนโยน ก้มตัวลงประทับจูบบนดวงตาคู่สวย ไล่เลียเก็บซับน้ำตา 


 


 


“ข้ายังไม่เต็มอิ่มเลยโซกัง ถึงเจ้าจะทำตัวน่าเอ็นดูเช่นนี้ ข้าก็ไม่ยอมปล่อยหรอกนะ” 


 


 


ทันทีที่กล่าวจบก็ดึงรั้งโซกังมากอดแน่นและเริ่มกดย้ำสะโพก ร่างบางสั่นคลอนตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย โดยไม่ปล่อยช่องว่างให้จัดการความรู้สึกที่ล้นทะลักออกมา ทำได้เพียงหวีดครางออกมาพร้อมกับโยกขยับสะโพกให้เข้ารับกับจังหวะ ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเช้าวันใหม่ จาฮอนตั้งใจไม่ถอนตัวตนออกจากกายของโซกัง และระหว่างรองรับอีกฝ่ายคล้ายไม่มีจุดสิ้นสุด โซกังก็หมดสติไปถึงสองครั้งสองครา 


 


 


สุดท้ายยามแกนกายของอีกฝ่ายทอดถอนออกจากกาย หลังจากถูกเติมเต็มมากมายถึงเพียงนั้น ทุกคราที่ช่องทางขมิบรัดก็จะมีของเหลวสีขาวเหนอะหนะไหลเยิ้มออกมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีความสุข ไม่สิ ด้วยเหตุนั้นจึงมีความสุขต่างหาก เพราะการกระทำนี้เป็นหลักฐานว่าอีกฝ่ายถือว่าตนน่าเอ็นดู 


 


 


ทว่าอะไรที่มันมากไปก็คือมากเกินไป โซกังจ้องมองสภาพความเหนื่อยล้าและแทบสิ้นแรงของตนเอง ก่อนจะจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาพร่าเลือนแล้วพึมพำ 


 


 


“ทรงทำเกินไปแล้ว…” 


 


 


พอหลุดกล่าวประโยคนั้นออกมา ก็หลับลึกนิ่งสนิทราวกับหมดสติ 


 


 


 


 


 


ละเลยการรับสำรับอาหารเช่นนั้นแล้วหลับไปตื่นหนึ่ง ยามลืมตาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าจาฮอนจัดการทุกอย่าง ทั้งภายในกายและภายนอกให้จนสะอาดเกลี้ยงเกลา รวมทั้งสวมอาภรณ์ให้อย่างเรียบร้อย โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ข้างกายแล้ว แต่กลับทิ้งจดหมายเขียนว่าจะตั้งใจจัดการราชกิจ ดังนั้น หากตื่นขึ้นมาแล้วร่างกายมิได้เป็นอะไรมาก ก็ขอให้เขานำใบหน้างดงามมาให้เชยชม ณ ตำหนักอุนฮยอน 


 


 


โซกังยกยิ้มกว้าง ทว่าเมื่อขยับลุกก็ต้องล้มตัวลงนอนบนแท่นบรรทมอีกรอบ เพราะช่องทางบวมและกล้ามเนื้อของตนร้องประท้วงออกมา 


 


 


“ขอประทานอภัย กระหม่อมคิดว่าควรจะพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย” 


 


 


แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน แต่โซกังก็โอดครวญพึมพำออกมาอย่างรู้สึกผิดพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว 


 


 


 


 


 


* * *

 

 

 


ตอนที่ 10-3 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-3 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


[ด้วยความซื่อสัตย์กระหม่อมจึงเขียนบันทึกนี้ขึ้นมา ด้วยยามนี้การคลังของวังหลวงเกิดเรื่องไม่ถูกต้องขึ้น ฝ่าบาททรงกระทำการอันไม่สมควร ภายหลังจากองค์รัชทายาทผู้มีพระปรีชาถูกลอบปลงพระชนม์ กระหม่อมผู้ต้อยต่ำจึงตระหนักได้ว่าคนผู้นั้นหมายมั่นจะครอบงำท้องพระโรง จึงตั้งใจจะบอกกล่าวเรื่องนี้ต่อพระองค์ ขอฝ่าบาททรงโปรดขับไล่เหล่าสตรีผู้มีแผนการปั่นป่วนความสงบ ให้หลงเหลือเพียงเหล่าสตรีฉลาดเฉลียวข้างพระวรกายด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมผู้ต้อยต่ำวอนขอจากใจจริง คยองยูล] 


 


 


 


 


 


เมื่อบันทึกปกสีน้ำเงินเปิดออก ก็ปรากฏคำนำเช่นนี้เขียนไว้ด้วยลายมือหนักแน่น มีความรู้สึกแทรกในแต่ละตัวอักษร ซึ่งมองเห็นได้จากน้ำหนักอันสม่ำเสมอและคงที่ของการลากเส้น 


 


 


หากข้ามไปยังย่อหน้าถัดมา ก็เป็นหลักฐานการกระทำของกียอนยอง มันได้รับการบอกเล่าโดยกำกับวันที่ของวันนั้นๆ บันทึกไว้ด้วย กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาคือใคร กลุ่มไหนตระกูลใด ท่ามกลางเนื้อความเหล่านั้น เนื้อความที่ดูจะสำคัญก็คือวันที่มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ แพคมีกังกับกียอนยองติดต่อกัน ลอบมีสัมพันธ์สวาทกันจนเสียงออดอ้อนของนางได้ยินมาถึงด้านนอก เรื่องนั้นถูกบันทึกต่อเนื่องเป็นลำดับ 


 


 


และหลังจากนั้นกียอนยองก็เป็นที่ถูกตาต้องใจฝ่าบาทจนได้ปรนนิบัติพระองค์ และถูกพาเข้าวังในวันรุ่งขึ้น ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งในทันทีทันใด 


 


 


แม้กียอนยองจะอยู่ในวังหลวง ทว่านางกลับละเลยกฎของวังหลัง และลอบติดต่อกับบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการอยู่หลายครา ไม่รู้ว่าตั้งใจจะกระทำการอันใด ทว่าสิ่งที่สำคัญก็คือหลังจากนั้นนางมีบันทึกการรักษาว่ากำลังตั้งครรภ์ 


 


 


เดิมทีบันทึกการรักษาของหมอหลวง ผู้อื่นจะไม่สามารถตรวจดูได้ตามใจชอบ แต่หากวินิจฉัยว่าอาการประชวรของฝ่าบาทเรื้อรังยาวนาน หรือบางทีอาการประชวรอาจถูกแทรกแซงจากภายนอก ก็สามารถร้องขอต่อหมอหลวงเพื่อขอดูบันทึกนั้นได้ มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการบันทึกคำร้องขอจากการตรวจบันทึกการรักษา ด้วยสาเหตุของอาการปวดศีรษะเป็นครั้งคราวของฝ่าบาท หรืออาการฟั่นเฟือนชั่วครู่ เป็นต้น โดยบันทึกว่าปวดศีรษะเมื่อใด อาการฟั่นเฟือนนั้นยาวนานเพียงใด อีกทั้งมีความรุนแรงอย่างไร ทุกอย่างล้วนถูกบันทึกโดยละเอียด 


 


 


มหาเสนาบดีพลาธิการทำการได้เทียบบันทึกนั้นกับวันร่วมหอจากฝ่ายใน ทั้งยังเสริมว่าตนยินดีจะรับโทษเพราะลักลอบสืบหาจากบันทึกการรักษาที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทว่าสิ่งที่น่าสนใจก็คืออาการที่ก่อให้ฝ่าบาทเกิดอาการฟั่นเฟือน เช่น ปวดศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง ทั้งหมดนั้นล้วนเกิดขึ้นในวันถัดจากการร่วมหอกับกียอนยอง กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังบันทึกไว้ไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย 


 


 


นอกจากนั้น มหาเสนาบดีพลาธิการยังระบุเกี่ยวกับเหตุการณ์พยายามวางยาพิษองค์รัชทายาท 


 


 


ด้วยให้กำเนิดองค์ชายและคอยเลี้ยงดูในช่วงเวลาหนึ่ง ระหว่างที่จักรพรรดิองค์ก่อนเอาแต่ซุกอยู่ใต้กระโปรงสตรี กียอนยองก็ดูเหมือนละความสนใจจากการแสดงอำนาจ หลังจากองค์ชายยังจาโฮเติบโตขึ้นพอสมควร นางเริ่มเข้าๆ ออกๆ ห้องเครื่องบ่อยขึ้น จากนั้นก็เข้าๆ ออกๆ ฝ่ายตัดเย็บ 


 


 


 


 


 


“อืม… ยอดเยี่ยมนัก” 


 


 


จาฮอนเลิกอ่านบันทึก ถอนหายใจพลางพึมพำออกมา เขาวางพู่กันในมือลงบนจานฝนหมึก ละมือมากดนวดศีรษะปวดตึง ทั้งยังจ้องมองประตูไร้การเคลื่อนไหวอยู่ชั่วครู่ เนื่องจากทิ้งข้อความขอให้โซกังมาหาที่นี่หากตื่นแล้ว ดังนั้น เขาจึงคอยใส่ใจกับการเคลื่อนไหวด้านนอกประตู และยิ่งคิดถึงอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก 


 


 


ด้วยเนื้อความในบันทึกช่วงนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเอง ยามนั้นโจ๊ก สำรับช่วงเที่ยงวันทำให้ช้อนเงินเปลี่ยนสี รวมถึงเคยเกิดอาการลิ้นเป็นอัมพาตหลังดื่มชาจากห้องเครื่อง แล้วยังพบเข็มจากอาภรณ์ที่ตัดเย็บใหม่จากฝ่ายตัดเย็บอีกด้วย 


 


 


ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นฝีมือของกียอนยองนั่นเอง 


 


 


ทั้งทำผิดกฎของวังหลวง ลอบติดต่อกับมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ หลังจากนั้นตัวตนของแพคมีกังก็เป็นที่ประจักษ์และสลักสำคัญขึ้นมา 


 


 


จาฮอนค่อยๆ ขยับหมุนคอไปมาช้าๆ ช่วงไหล่เครียดตึงบ่งบอกให้รู้ว่าตนจดจ่ออยู่เป็นเวลานานเพียงใด ทว่าทันใดนั้นเขาก็เลื่อนสายตากลับไปยังบันทึกอีกครา 


 


 


หลังจากการวางยาพิษยังจาโฮ ก็เป็นเนื้อหาของความขัดแย้งระหว่างมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการกับกียอนยอง ราวกับว่าเป็นจุดจบของบันทึกเล่มนี้ เพราะต่อจากหน้านั้นเป็นกระดาษเปล่าอยู่หลายแผ่น จาฮอนเองก็เข้าใจว่าจบลงแล้วเช่นกัน ทว่านั่นไม่ใช่จุดจบ 


 


 


เปิดข้ามหน้าเปล่าไปช่วงหนึ่ง ก็เริ่มปรากฏตัวอักษรอีกครั้ง 


 


 


โดยมีการบันทึกอย่างละเอียดเกี่ยวกับวิธีที่มหาเสนาบดีปกครองแพคมีกังขโมยสมบัติล้ำค่าของวังหลวง จัดการความเป็นอยู่ของอาณาจักร ฟื้นคืนความสงบสุขของราษฎรและอาชีพของเหล่าชาวบ้าน การสนับสนุนของเหล่าบัณฑิต ทำวิธีใดมาบ้างถึงจะเติมเต็มยุ้งฉางของตนเองได้เช่นนี้ 


 


 


ด้วยมหาเสนาบดีพลาธิการตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง เขาจึงสัมผัสได้ถึงความยากลำบากอย่างยิ่งในการสืบหาข้อมูลต่างๆ คล้ายจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดแพคมีกังจึงวิ่งเต้นตามหาบันทึกเล่มนี้ 


 


 


เดิมทีผู้ที่มีความผิด ย่อมต้องใช้ชีวิตอย่างมีชนักติดหลัง คอยห่วงกังวลว่ายามใดยามหนึ่งจะมีดาบของใครสักคนมาจ่อหลังตน 


 


 


จาฮอนพลันนึกถึงถ้อยคำของเหล่านักปราชญ์ในอดีตขึ้นมาได้ ก่อนจะเทความสนใจกลับไปยังบันทึกอีกครา 


 


 


ส่วนท้ายสุดบันทึกคำขอโทษเกี่ยวกับการที่โควังยาถูกดึงมาพัวพันในเรื่องราวระหว่างตนกับมหาเสนาบดีฝ่ายปกครอง จนต้องโทษประหารทั้งๆ ที่ไร้ความผิดใดๆ และจบบันทึกด้วยถ้อยคำว่า แล้วพบกันอีกครั้งในโลกหน้า ไม่ว่าจะพบเจอกันในชาติใด ตนก็จะขอชดใช้ความผิดนี้อย่างแน่นอน 


 


 


ก็เป็นการจบได้สมกับเป็นมหาเสนาบดีฝ่าพลาธิการ 


 


 


คนผู้นั้นเคารพต่อหน้าที่ ต่อบ้านเมือง ดังนั้น จึงไม่เคยสนใจความนับถือโดยส่วนตัว ทั้งยังเป็นผู้มีความซื่อตรง ทว่าโดยส่วนตัวแล้ว ก็ถือเป็นแบบอย่างของผู้มีชีวิตเคร่งครัด 


 


 


และด้วยเป็นเช่นนั้น โซกังจึงมีส่วนคล้ายคลึงเล็กน้อยกับความสัตย์ซื่อของท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้สุภาพนอบน้อมนัก แต่ก็ไม่เคยทำให้เขายุ่งยากลำบากใจ ทว่าหากต้องการของกำนัลหรือสิ่งใดบ้าง คงจะดีกว่านี้ แต่โซกังกลับกล่าวว่านอกจากตัวเขาแล้วก็ไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดอีก 


 


 


กล่าวว่าแค่มีตัวเขาก็เพียงพอแล้วด้วยใบหน้าแดงซ่าน ช่างงดงามอย่างบอกไม่ถูก จะผ่านไปสิบปีหรือยี่สิบปี แม้จะถึงยามแย้มยิ้ม แล้วดวงตาจะปรากฏริ้วรอยผุดพราย แน่นอนว่าอีกฝ่ายจะยังคงงดงามอยู่เสมอ 


 


 


“นั่นสินะ ข้าเป็นเอามากจริงๆ” 


 


 


จาฮอนพลันตระหนักได้ว่าความคิดของตนหลุดลอยไปถึงโซกังอีกแล้ว จึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมหลุดหัวเราะ หากเผลอปล่อยความคิดเมื่อใด ก็มักจะหลุดลอยไปถึงอีกคนโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าปลายทางของความคิดล้วนเป็นยูโซกัง 


 


 


ทว่ายามนี้จะทำเช่นนั้น เขายังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับโซกัง ให้โต้รุ่งทั้งคืนพร้อมกอดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังได้ แต่ในความเป็นจริงกลับมีเรื่องมากมายทับถมพอๆ กับช่วงเวลานั้นจนต้องเจียดเวลาให้เพิ่มขึ้น 


 


 


 


 


 


ในบันทึกลับปรากฏคำว่าบุรุษชุดดำอยู่หลายครั้ง และทุกๆ ครั้งก็จะเกิดเหตุการณ์บางอย่างในวังหลวง หลังจากคัดเลือกเนื้อหาส่วนนั้นออกมาทั้งหมดแล้ว เขาก็สั่งให้เรียกเหล่ามือสังหารยาอึมมาไถ่ถามเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นทีละคน ต้องสอบถามว่าสามารถให้การ ณ ลานไต่สวนเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้หรือไม่ รวมถึงซักถามเกี่ยวกับตำแหน่งภายหลังของผู้คนเหล่านั้นด้วย 


 


 


จาฮอนปิดบันทึกลับของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการหลังจากเปิดหน้าสุดท้ายค้างไว้ ก่อนจะดันไปด้านหนึ่งของโต๊ะ จากนั้นก็กางกระดาษสำหรับใช้จดบันทึกลงตรงหน้า หันไปสั่งเอ่ยขันทีโชที่คอยยืนเฝ้าอยู่ข้างกายเสมอ 


 


 


“ส่งคนไปที่ตำหนักฮงฮวา ตรวจดูว่าโซอีตื่นหรือยัง แล้วสภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง สอบถามว่าต้องการหมอหลวงหรือไม่แล้วกลับมารายงานข้า” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“จากนั้นก็ส่งคนไปยังตำหนักคอนรยุง แจ้งว่าข้าจะเข้าไปที่นั่น พาคนมาพบข้าที่ห้องอักษร อือ บางทีอาจจะเป็นที่สะดุดตา จัดการพวกเขาเปลี่ยนมาสวมชุดองครักษ์ฮวังรยงเสีย” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ขันทีโชเดินออกไปตรงทางเข้าแล้วเคาะลงบนบานประตูอย่างไม่แรงนัก เมื่อประตูเปิดออกก็ก้าวออกมาด้านนอกทันที บริเวณด้านนอกไม่ได้มีเพียงแค่เหล่านางกำนัลคอยเปิดปิดประตูเท่านั้น ยังมีเหล่าข้ารับใช้ผู้ทำหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งคอยประจำการอยู่ตลอดเวลา ขันทีโชชี้ไปยังคนผู้หนึ่งแล้วเอ่ยสั่ง 


 


 


“เจ้าจงไปยังตำหนักฮงฮวา ไถ่ถามจากตรงด้านหน้าประตูว่าโซอีมามาทรงตื่นบรรทมหรือยัง หากทรงตื่นบรรทมแล้วก็จงรายงานว่าฝ่าบาทให้มาสอบถามว่าทรงต้องการหมอหลวง หรือเจ็บป่วยที่ใดหรือไม่ แม้ว่าจะได้ยินไม่ชัดเจน แต่ก็ห้ามเข้าไปด้านในอย่างเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่” 


 


 


“ขอรับท่านใต้เท้า” 


 


 


จากนั้นก็เปลี่ยนคนแล้วออกคำสั่งอีกครั้ง 


 


 


“ส่วนเจ้าจงไปยังตำหนักคอนรยุง แจ้งแก่องครักษ์ฮวังรยงที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าว่าฝ่าบาทส่งเจ้ามา และมีรับสั่งให้คนเหล่านั้นผลัดเปลี่ยนเป็นชุดองครักษ์ แล้วฝ่าบาทจะเสด็จไปยังห้องอักษรเพื่อพบปะทีละคน” 


 


 


“ขอรับท่านใต้เท้า” 


 


 


เมื่อสั่งการคนทั้งสองเสร็จสิ้นแล้ว ขันทีโชจึงกลับเข้ามาข้างในอีกครั้ง คอยเฝ้ารับใช้อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท ส่วนจาฮอนก็ยังจดจ่ออยู่ในความคิด ขณะไล่ดูบนกระดาษแต่ละส่วนภายในบันทึกลับครู่หนึ่ง ทันทีที่แสดงความว้าวุ่นออกมา เขาก็ขยำกระดาษเปล่าแล้วจุ่มลงจานฝนหมึก ก่อนจะเทน้ำหมึกที่เหลือลงในถ้วยที่วางอยู่ด้านหนึ่ง จากนั้นก็เทจากถ้วยเติมลงในจานฝนหมึกอีกครั้ง สูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วก็ค่อยๆ เริ่มฝนหมึก โดยปกติแล้วถึงจะไม่ได้ฝนหมึกด้วยตนเอง แต่การฝนหมึกก็มีส่วนช่วยทำให้จิตใจสงบลงได้ 


 


 


เคลื่อนขยับอย่างใจเย็น ทั้งสัมผัสจานฝนหมึก วาดวงกลมที่มีกำหนดตามขนาดกระดาษ พอได้ยินเสียงฝนหมึก จิตใจก็ค่อยๆ สงบลง 


 


 


ภายในบันทึกลับบรรจุความโลภอันไม่สิ้นสุดของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ แม้จะไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ แต่คนผู้นั้นกลับต้องการกุมอำนาจอันยิ่งใหญ่เฉกเช่นจักรพรรดิ การฉ้อฉลทั้งหลายถูกบันทึกเอาไว้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แม้จะมีการกระทำอันชั่วช้าของผู้อื่นรวมอยู่ด้วย แต่ผู้รวบรวมคนเหล่านั้นและทำการเคลื่อนไหวก็คือมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ กล่าวคืออีกฝ่ายละทิ้งซึ่งจรรยาในอำนาจและทรัพย์สมบัติ  


 


 


จาฮอนฝนหมึกอย่างช้าๆ ขณะรอเผชิญหน้ากับเหล่ามือสังหารยาอึม คอยกำชับย้ำแล้วย้ำอีกกับตนเองว่าห้ามทำน้ำเสียงวางอำนาจ พยายามทำจิตใจให้สงบเช่นนั้นอยู่ครู่ จากนั้นจึงออกจากตำหนักอุนฮยอนตรงไปทางตำหนักคอนรยุง ขยับก้าวเดินโดยคงไว้ซึ่งความสง่างามต่างจากยามไปตำหนักฮงฮวา จนเมื่อใกล้ถึงตำหนักคอนรยุงจึงเกือบจะสามารถกลับคืนสู่ความสงบนิ่งได้ 


 


 


เขาเข้าไปภายในห้องอักษร ส่งข้ารับใช้ออกไปแจ้งให้นำตัวมือสังหารยาอึมมาพบตนทีละคน 

 

 

 


ตอนที่ 10-4 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-4 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก 


 


 


“องครักษ์ฮวังรยงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ให้เข้ามาได้” 


 


 


และทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เห็นภาพองครักษ์ฮวังรยงสามคนยืนอยู่ 


 


 


ทว่าบรรดาบุรุษสามคนนั้น มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางผู้เดียวที่เดินเข้ามาด้านใน เนื่องจากจาฮอนดึงดันออกคำสั่งว่าจะพบปะตัวต่อตัว เมื่อประตูปิดลง บุรุษสวมชุดขององครักษ์ฮวังรยงก็คุกเข่าด้านหนึ่งลงกับพื้น 


 


 


“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ลุกขึ้นแล้วขยับมาใกล้ๆ” 


 


 


“ทำเช่นนั้นได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“มีตรงไหนไม่ได้ล่ะ ถึงเจ้าจะได้ยินว่าตัวข้าโปรดปรานสนมชายเช่นนั้น แต่ก็คงจะรู้ใช่หรือไม่ ว่ามิใช่จะเป็นเช่นนั้นกับบุรุษทุกคน” 


 


 


คำถามเย้าแหย่ของฝ่าบาท ทำให้นักฆ่าของยาอึมในคราบองครักษ์ฮวังรยงมีท่าทางหวาดเกรงและตื่นตระหนก มิได้หมายความเช่นนั้น ทว่าสถานะของตนคือนักฆ่า แทนที่จะตอบคำถามว่าถึงเข้าหาก็ไม่เป็นอะไรงั้นหรือ จาฮอนกลับยกยิ้มพรายพร้อมเอ่ยปาก 


 


 


“หากตั้งใจจะเข้ามาสังหาร ทันทีที่เข้ามา เจ้าคงลงมือทำไปแล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก เข้ามาใกล้ๆ” 


 


 


นักฆ่าทำสีหน้าประหลาดพลางก้มหน้างุด และขยับเข้าไปใกล้องค์จักรพรรดิ จาฮอนตรวจดูสิ่งที่เขียนบนกระดาษทีละส่วน แล้วสอบถามว่าในยามนั้นผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบงาน หรือหากเป็นผู้รับผิดชอบเอง ก็ซักถามต่อว่าทำอย่างไรบ้าง ภายในยาอึมส่วนใหญ่ใช้ยาพิษใด นักฆ่าผู้นั้นตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์โดยไม่มีความลังเลสักนิด 


 


 


ทันทีที่ทุกคำถามจบลง จาฮอนก็จ้องมองอีกฝ่ายแล้วตั้งคำถามอีกข้อ 


 


 


“ขอบใจที่ตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์ เรื่องเหล่านี้สามารถประกาศในลานไต่สวนได้หรือไม่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ย่อมสามารถทำได้” 


 


 


“เช่นนั้นก็ขอขอบใจอีกหน เราขอถามเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้เจ้าคิดจะทำอะไรหรือ” 


 


 


“กระหม่อมยังไม่ได้ลองคิดเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เราขอแนะนำสักสองอย่าง อย่างแรก ด้วยเสียดายความสามารถของเจ้า จึงอยากไถ่ถามว่าจะเป็นอย่างไร หากเข้าร่วมหน่วยฮวังรยงโดยยังคงสถานภาพเช่นเดิม ทว่าหากเจ้าไม่ชอบใจสิ่งนั้น เราจะมอบชื่อและสกุลใหม่ให้ เจ้าสามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาได้ ไปยังที่ที่ตนปรารถนา แล้วหากอยากตั้งถิ่นฐานและแต่งงาน ก็ทำเช่นนั้นเสีย” 


 


 


นักฆ่าผละห่างจากจาฮอนเล็กน้อย ก่อนจะหมอบคำนับด้วยสีหน้าเครียดขึงเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


“เป็นพระกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ทรงมอบความเมตตาดุจดั่งแม่น้ำกว้างใหญ่ให้คนชั่วช้าและทำผิดบาปมหันต์อย่างกระหม่อม จนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด ไม่จำเป็นต้องตอบเราในทันที เจ้าลองไตร่ตรองดูจนกว่าการตัดสินโทษทั้งหมดจะเสร็จสิ้น จากนั้นค่อยแจ้งแก้ขันทีโช” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ออกไปได้แล้วล่ะ” 


 


 


นักฆ่าผุดลุกขึ้นยืนและค้อมคำนับนอบน้อมแสดงความเคารพ ก่อนจะกลับออกไปด้านนอก ต่อจากนั้นเหล่ายาอึมคนแล้วคนเล่าต่างก็ผลัดกันมาเข้าเฝ้าเรื่อยๆ กระทั่งจาฮอนเริ่มเมื่อยตัวและมึนเบลอ จึงห้ามผู้ใดเข้าเฝ้าครู่หนึ่ง แล้วออกมาเดินผ่อนคลายด้านนอก 


 


 


ขันทีโชเข้ามารายงานว่าโซกังตื่นแล้ว และไม่จำเป็นต้องเรียกหาหมอหลวง ทว่าไม่สะดวกจะเคลื่อนไหวอยู่บ้าง จึงขอพักผ่อนต่อ 


 


 


“ไปดูสักหน่อยคงจะไม่เป็นไร เพียงครู่เดียว” 


 


 


จาฮอนพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยกับขันทีโชที่ติดตามอยู่ด้านหลังตน 


 


 


“เราจะไปตำหนักฮงฮวาสักครู่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


ขันทีโชนึกอยู่ในใจว่า ถึงอย่างไรก็ทรงอดทนมานานนัก ‘ประสิทธิภาพของโซอีมามา’ ยามแยกจาก แทบจะเรียกได้ว่าสร้างความแตกต่าง เข้าใจว่าทรงรักใคร่เอ็นดูมากเพียงใด พระองค์ถึงสามารถทำเรื่องเช่นนั้น ทว่ายามไม่ได้พบเจอ แม้กระทั่งประสิทธิภาพของการตรวจราชกิจของฝ่าบาทก็ยังลดลง ขันทีโชนึกประหลาดใจอย่างแท้จริง 


 


 


ท่อนขาของจาฮอนหลังเอ่ยถึงการตัดสินใจของตน ขยับก้าวอย่างรีบเร่งเสียจนไม่อาจหาความสง่างามได้ดั่งเช่นก่อนหน้านี้ 


 


 


ฝ่าบาทออกจากตำหนักคอนรยุงอย่างรวดเร็ว และก้าวไปทางประตูด้านหน้าของตำหนักฮงฮวา เดิมทีหากเดินผ่านทางอุทยานของตำหนักคอนรยุงจะใกล้กว่ามาก ทว่ายามนี้ในตำหนักคอนรยุงมีคนเหล่านั้นอยู่ ทำให้เขาไม่อาจใช้ประตูหลังของตำหนักฮงฮวาที่เชื่อมต่อกับตำหนักคอนรยุงสักระยะหนึ่ง จึงทำการขัดดาลและตอกลิ่มเอาไว้ และไม่เพียงเท่านั้น ยังถึงขนาดให้เหล่าทหารหลวงคอยเฝ้าประตูที่ปิดตายเอาไว้ถึงสี่นาย ด้วยเหตุนั้น จาฮอนจึงกลับมาใช้เส้นทางของประตูหน้าตำหนักฮงฮวาที่ไกลกว่าแทน 


 


 


อย่างไรก็ตาม เขาก็มาถึงด้านหน้าตำหนักฮงฮวาแล้ว เงยหน้ามองโคมแดงสองอันที่แขวนใหม่ตามคำสั่งของตนแล้วยกยิ้มอย่างพึงพอใจ มิใช่ความรู้สึกที่แสดงออกอย่างเป็นปกติว่ารักใคร่ผู้เป็นที่รักมากเพียงใดหรอกหรือ 


 


 


ร่างสูงอมยิ้มพลางก้าวเข้าไปด้านใน เหล่านางกำนัลรีบเปิดประตูให้ทันที จนเมื่อมายืนอยู่ด้านหน้าประตูชั้นที่สามจึงเอ่ยกับนางกำนัล 


 


 


“รายงานเสีย” 


 


 


“เพคะฝ่าบาท มามา ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ” 


 


 


“กระหม่อมยังมิได้เตรียมท่าทีให้เรียบร้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


น้ำเสียงที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อใดก็สุขุมและไพเราะดังออกมาจากด้านใน คงจะยังนอนอยู่บนแท่นบรรทมเป็นแน่… จาฮอนนึกจินตนาการถึงท่าทางของอีกฝ่ายอยู่หน้าประตูจนยกยิ้มกว้างกว่าเดิม 


 


 


“ไม่เป็นไร พวกเราหาใช่ต้องรักษาระยะห่างต่อกันเช่นนั้นไม่” 


 


 


“อืม… เชิญด้านในพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทันทีที่ได้รับคำอนุญาต จาฮอนก็เดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะหันมองขันทีโชที่ยืนรออยู่ด้านนอกประตูแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


“หากข้าอยู่ที่นี่ คงไม่อาจยับยั้งชั่งใจแม้เพียงฝุ่นผง ซ้ำยังจะกลายเป็นบุรุษเอาแต่ใจอีกเสีย ดังนั้น หลังผ่านไปสองชั่วยาม ขันทีโชจงมาตามข้า” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


ขันทีโชค้อมคำนับและตอบรับบัญชา ทันทีที่จาฮอนส่งสัญญาณประตูก็ปิดลง จากนั้นเขาก็หมุนกายกลับมาแล้วขยับไปหาร่างบางที่ยังเอนตัวนอนอยู่บนแท่นบรรทม 


 


 


“รับสำรับแล้วหรือ ข้าสั่งให้นำโจ๊กมาให้ก่อนจะออกไป” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ทานไปบ้างแล้ว” 


 


 


โซกังส่งยิ้มสดใส เมื่อจาฮอนก้มหน้ามองกัน จาฮอนนั่งลงข้างๆ พลางสังเกตสีหน้าของโซกังก่อนเป็นอันดับแรก ใบหน้าหวานขาวซีดไร้สีเลือดฝาด เขาจึงรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง 


 


 


เขาสัมผัสหน้าผากมนและสอดนิ้วมือผ่านเส้นผมยาวสลวย สำรวจว่ามีเหงื่อซึมออกมาหรือไม่ ลูบสัมผัสริมฝีปากเพื่อตรวจดูว่าไม่แห้งผาก ก่อนจะโล่งใจ เพราะนอกจากสีหน้าที่ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่มีส่วนอื่นที่บาดเจ็บให้เห็น 


 


 


จาฮอนลูบไล้ปรางแก้มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงกังวล 


 


 


“ข้าดูจะทำเกินไปมากทีเดียว ยามนี้เจ้าถึงได้เคลื่อนไหวลำบากเช่นนี้ เป็นเพราะข้าละโมบนัก ต่อไปเจ้าก็เตะข้าออกเสียเถิด ข้าไม่อาจควบคุมตนเองได้เลย โซกัง ข้าขอโทษ” 


 


 


“ไม่เป็นไรเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็รู้สึกดี จะกล่าวโทษได้อย่างไรกัน” 


 


 


“คิดว่าข้าไม่ได้ยินเจ้าบ่นพึมพำว่าทำเกินไปหรอกหรือ” 


 


 


“ที่ทำเกินไปนั้น ก็เกินไปจริงๆ แต่มิใช่ว่ารังเกียจเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เมื่อกล่าวจบก็ยกยิ้มสดใสอีกหน จาฮอนรู้สึกว่าใบหน้ายิ้มแย้มของโซกังช่างงดงามยิ่ง จนต้องก้มประทับจูบแผ่วเบาบนริมฝีปาก จากนั้นจึงซบศีรษะพิงแผ่นอกบาง โซกังยกแขนขึ้นมาลูบสัมผัสศีรษะของจาฮอน ด้วยสัมผัสของอีกฝ่าย ร่างสูงจึงหลับตาลงตั้งแต่คราแรก เห็นดังนั้น น้ำเสียงสุขุมไพเราะจึงเอ่ยถาม 


 


 


“งานไม่อาจคลี่คลายด้วยดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“มิใช่หรอก เพียงแต่ต้องมีเจ้าอยู่ ข้าถึงรู้สึกสงบได้ ต่อไปหากหนักข้อขึ้นจะทำเช่นไรดี หากอาการรุนแรงขึ้น จนข้าสั่งให้เจ้าตามมานั่งเฝ้าข้างๆ ยามข้าจัดการราชกิจ เช่นนั้นเจ้าจะมาหรือไม่” 


 


 


“ทรงอยากให้กระหม่อมถูกเหล่าขุนนางเขม่นมองจนไหม้เกรียมหรืออย่างไร” 


 


 


“หากข้าให้เจ้ากุมอำนาจยิ่งใหญ่จนคนเหล่านั้นไม่อาจมองเขม่นได้เล่า จะยอมทำให้หรือไม่” 


 


 


“โปรดทรงสงบใจเถิด กระหม่อมไม่หายไปไหนหรอกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โซกังลูบแผ่นหลังปลอบขวัญบุรุษผู้งอแงรบเร้าขอความรักมากยิ่งขึ้นอีกราวกับเด็กน้อย 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ยามดึกสงัด ณ คุกของวังหลวง 


 


 


ถึงแม้ตอนนี้วันเวลาจะเปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆ มาถึงช่วงเวลาของฤดูอันอบอุ่น ทว่าภายในคุกหลวงกลับมีเพียงความหนาวเหน็บ คนผู้หนึ่งคลุมหน้าคลุมตาจนบดบังใบหน้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา 


 


 


“รบกวนด้วย” 


 


 


แม้สวมชุดคลุมทับ ทว่าน้ำเสียงก็แจ้งว่าเป็นบุรุษ ผู้คุมส่งเสียงตอบรับในลำคอพลางกระแอมไอ หันรีหันขวางมองโดยรอบ ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา 


 


 


“แค่พูดคุยเพียงเท่านั้นขอรับ” 


 


 


“จะรีบออกมา” 


 


 


“หากถูกจับได้ ก็หาใช่ความรับผิดชอบของข้านะขอรับ” 


 


 


“เข้าใจแล้ว” 


 


 


ผู้คุมจัดการรับกระเป๋าที่มีน้ำหนัก แล้วส่งคนผู้นั้นเข้าไปในคุกหลวงที่ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม จากนั้นก็ปิดประตูลง เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้นจากทางด้านหลัง บุรุษผู้นั้นก็ปลดชุดคลุมลงและก้าวเดินเข้าไปภายในคุก 

 

 

 


ตอนที่ 10-5 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-5 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


ภายในวังหลวงมีคุกอยู่ไม่กี่แห่ง และในคุกแห่งนี้ก็มีผู้ถูกคุมขังเพียงแค่สองคนเท่านั้น เนื่องจากเหล่านักโทษเดิมที่ได้รับการคุมขังอยู่ในนี้ล้วนถูกโยกย้ายไปยังคุกอื่น เพื่อกักขังสองคนนี้โดยเฉพาะ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้แปลกใจกับความว่างเปล่าของคุกหลวงแห่งนี้ 


 


 


บุรุษผู้นั้นเดินตรงไปยังกรงขังด้านในสุด เมื่อมองไปทางด้านซ้ายก็เอ่ยขึ้น 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดีตุลาการ สบายดีหรือไม่ขอรับ” 


 


 


“ในสายตาเจ้าเห็นข้าดูสบายดีหรืออย่างไร ยังจะย้ำทำไม แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน เหล่าขุนนางฝ่ายเชเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


ชายชราผู้สวมใส่ชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ แทนอาภรณ์ผ้าแพรอันหรูหราเฉกเช่นปกติ นั่งอยู่ในสภาพผมเผ้าปล่อยกระเซอะกระเซิงคือแพคมีกัง ทว่าท่าทางวางอำนาจยังคงเดิม เอ่ยตำหนิบุรุษผู้นั้นยามถามคำถามที่เห็นคำตอบอยู่กับตา แต่สุดท้ายก็ต้องเพิกเฉยแล้วถามถึงกลุ่มของตนว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรแทน ผู้มาเยือนจึงตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้าสลดลง 


 


 


“ด้วยเพราะท่านมหาเสนาบดีอยู่ในสภาพเช่นนี้ กำลังทั้งหมดจึงลดทอนลงตามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ขอรับ” 


 


 


“ถวายฎีกาไปเยอะแล้วหรือ” 


 


 


“ตั้งแต่ผู้อาวุโสจนถึงขุนนางระดับล่างต่างกำลังถวายขึ้นไปตามลำดับ ทั้งมีแผนจะรวบรวมหาแนวร่วมจากการประชุมขุนนางครั้งหน้า เพื่อช่วยงานด้วยขอรับ” 


 


 


“ไปที่ห้องตำราในจวนของข้า มีบันทึกการไต่สวนและธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับการลงโทษขุนนางสามฝ่ายอยู่ เดิมทีนั่นเป็นสิ่งที่ห้ามคัดลอกอยู่แล้ว ดังนั้น จงทำให้ฝ่าบาทไม่อาจใช้มันอ้างอิงบทลงโทษเสีย เข้าใจหรือไม่” 


 


 


“ทราบแล้วขอรับท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


อีกฝ่ายค้อมคำนับแสดงความเคารพต่อแพคมีกัง หลังจากนั้นจึงคลุมกายด้วยชุดคลุมเช่นเดิมและเดินออกจากคุก พรางตัวภายในความมืดมิดของกำแพงวังหลวง เมื่อปลดชุดคลุมออก คนผู้นั้นในเครื่องแบบเต็มยศก็ปรากฏกายในวังหลวงด้วยฐานะของขุนนางผู้หนึ่ง ก้าวผ่านประตูวังหลวงออกไปด้านนอกอย่างผ่าเผย 


 


 


เมื่อออกมาถึงด้านนอกแล้ว เขาก็เข้าไปยังกรมที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เพื่อขอยืมม้า จากนั้นก็ขึ้นขี่แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังจวนของมหาเสนาบดีตุลาการทันที ทว่าจวนของแพคมีกังกลายเป็นเขตที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บุคคลภายนอกจึงไม่สามารถเข้าไปได้ แม้จะไม่ใช่การจับกุมในฐานะกบฏ แต่ฝ่าบาททรงตัดสินแล้วว่าจำเป็นต้องสืบค้น จึงส่งทหารหลวงมาขับไล่ผู้คนในตระกูลทั้งหมดออกจากจวนแห่งนี้และห้ามให้ผู้ใดเข้าออก 


 


 


ชายผู้นี้พยายามครุ่งคิดว่าจะไม่มีช่องว่างให้แอบเข้าไปได้เลยหรือ จึงกวาดมองโดยรอบอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้และเลี้ยวกลับไปทางจวนของตนแทน 


 


 


ยามนี้ภายในจวนของเขา มีการรวมตัวของผู้มีตำแหน่งสำคัญของบรรดาขุนนางฝ่ายเช ทุกคนกำลังรอคอยเพื่อสอบถามถึงเรื่องลักลอบเข้าไปในคุกหลวงวันนี้ เมื่อเจ้าของจวนก้าวเข้ามาด้านใน ทันทีที่ทักทายด้วยการแสดงความเคารพต่อกัน เหล่าขุนนางฝ่ายเชก็ถามถึงมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ รวมถึงคำสั่งว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป เขาจึงเริ่มต้นจากการเล่าเรื่องที่ไปยังจวนของมหาเสนาบดี แล้วจบด้วยเรื่องการหาแนวร่วม 


 


 


“เวลานี้ทุกคนต่างรู้ว่าในวังหลวงกำลังวุ่นวายเพราะต้องเตรียมการไต่สวน แต่หากการไต่สวนเริ่มต้นแล้ว การหาแนวร่วม หรือฎีกาใดก็ล้วนไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าเราต้องรวบรวมแนวร่วมให้ได้ภายในวันเดียว” 


 


 


“เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเพราะไอ้เด็กเร่ร่อนของร้านผ้าไหมนั่นมิใช่หรือ! ข้าบอกว่าแล้วอย่าปล่อยมันไป ให้ใช้แต่พวกที่เหลืออยู่” 


 


 


ขุนนางผู้หนึ่งระบายความโกรธแค้นด้วยเสียงดัง คนผู้นั้นคือหนึ่งในบรรดาขุนนางที่เคยคัดค้านเมื่อครั้นมหาเสนาบดีตุลาการสร้างกลุ่มยาอึมขึ้นมา กล่าวว่าสัตว์หัวดำล้วนไม่รู้จักบุญคุณไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ทั้งยังคอยปรามมหาเสนาบดีตุลาการตลอด 


 


 


ความจริงแล้ว ทุกคนในที่นี้รู้เพียงเรื่องการทรยศของทันยองเท่านั้น แต่ยังไม่รู้ความจริงว่าคำให้การของเหล่ามือสังหารยาอึม จะทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวออกจากลานไต่สวนได้ หากรู้ความจริงว่าเหล่านักฆ่ายาอึมทั้งหมดหันหลังให้ฝ่ายเช คนผู้นี้คงอกแตกตายและโกรธแค้นยิ่งกว่าตอนนี้ ขุนนางผู้อื่นล้วนคัดค้านคำกล่าวของผู้ทำเสียงดัง 


 


 


“เช่นนั้นก็เชิญกล่าวมาว่าเราควรทำสิ่งใด เวลานี้มิใช่ว่าเราต้องรวบรวมเจตนารมณ์ให้มากขึ้นเพื่อช่วยชีวิตท่านมหาเสนาบดีหรือ ถึงแม้จะมีเพียงคนเดียวก็ตาม หน้าที่ของพวกเราก็คือทำให้ท่านมหาเสนาบดี ผู้อาวุโสที่สุดของฝ่ายเรา ไม่ต้องยืนอยู่ในลานไต่สวนมิใช่หรือ!” 


 


 


คำกล่าวเช่นนั้นทำให้ขุนนางที่เหลือสนับสนุนว่าถูกต้องชอบธรรม ด้วยเหตุนั้นภายในจวนจึงเกิดความอึกทึกอยู่ครู่หนึ่ง จนต้องมีการเอ่ยตักเตือนห้ามปรามถึงสงบลง จากนั้นก็เริ่มการหารือเกี่ยวกับวิธีการว่าควรทำอย่างไรต่อไปอย่างจริงจัง 


 


 


 


 


 


ขุนนางฝ่ายเชยังคงทำการหารือและถวายฎีกาควบคู่กันอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้จาฮอนหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด ยังมีฎีกาอื่นที่ต้องตรวจทานอีกมากมาย ทว่าฎีกาของเหล่าขุนนางกลุ่มเชกลับมีมากเกินควร ด้วยเหตุนั้น เพียงแค่คัดแยกพวกมันก็นับเป็นเรื่องใหญ่แล้ว อีกทั้งเหล่าคนเจ้าเล่ห์เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ตอนต้นก็พร่ำพูดเรื่องอื่นออกมายาวเหยียด และเมื่อถึงช่วงกลางเรื่องก็เป็นอันต้องเอ่ยถึงมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ 


 


 


จาฮอนพยายามอดทนอดกลั้น รวมถึงให้เหล่าบัณฑิตแห่งตำหนักอุนฮยอนได้ดื่มยาบำรุงกำลังรักษาอาการอ่อนล้าด้วย 


 


 


แต่อารมณ์ก็ต้องแปรปรวนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะในการประชุมขุนนางทุกๆ เช้า เหล่าขุนนางสังกัดกลุ่มเชมักจะผลัดเปลี่ยนกันสอบถามเกี่ยวกับมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ พร้อมทราบทูลว่าเวลานี้ไม่เหมาะจะทำการไต่สวน แน่นอนว่าจาฮอนเองก็ปฏิเสธอย่างเฉียบขาดทุกครั้ง แต่มันก็ทำให้อารมณ์ไม่ดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 


 


 


ทุกวันนี้กว่าจะกลับถึงตำหนักฮงฮวาก็ล่วงเลยยามแฮไปแล้ว ความรู้สึกสุดท้ายอันเลือนรางก็คืออยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่าย จาฮอนซุกซบใบหน้าลงกับอ้อมกอดของโซกัง สูดกลิ่นกายหอมแล้วผล็อยหลับไปจนเป็นเรื่องปกติ 


 


 


หากทวงถามว่าเป็นเพราะมัวแต่จัดการราชกิจเพื่อราษฎร ถึงได้เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้จักรพรรดิพยายามจัดการราชกิจอันยุ่งยากอย่างสุดความสามารถเพื่อราษฎรทั้งหลาย ทว่าจาฮอนก็ทำได้เพียงเท่านั้น 


 


 


ราชสำนักเกือบถูกเหล่าขุนนางฝ่ายเชยึดครองก็จริง ทว่าเหล่าบัณฑิตแห่งตำหนักอุนฮยอนและหน่วยฮวังรยง เขาก็เลือกสรรผู้ที่นับว่าสามารถเชื่อใจเข้ามาด้วยตนเอง และหลังจากขึ้นครองราชย์ก็ทำการจัดตั้งเหล่าทหารหลวงขึ้นใหม่ด้วย จำกัดเพราะผู้ที่ตนคุ้นเคย 


 


 


ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มสั่งการเตรียมการไต่สวน จนถึงการจัดการหลักฐานต่างๆ ทุกอย่างล้วนเป็นหน้าที่ของจาฮอนเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนการโอดครวญและความหงุดหงิดของร่างสูง โซกังก็ช่วยรับมือทั้งหมด 


 


 


ค่ำคืนที่ผ่านมาก็เช่นกัน จาฮอนพร่ำบ่นจนเกือบใกล้เคียงอาการงอแงของเด็กน้อย ก่อนจะผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของโซกัง คล้ายจะหลับตาลงเพียงครู่ ทว่ากลับสัมผัสถึงความชุ่มชื้นและอบอุ่นบนใบหน้า 


 


 


“อืม…” 


 


 


ร่างสูงส่งเสียงครางแผ่วเบาพร้อมกับพลิกตัวหนี แต่ความอบอุ่นและความชุ่มชื้นนั่นก็ยังตามมาถึงใบหูและต้นคอ หลังจากสัมผัสทั่วหน้าแล้ว แม้จะอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น จาฮอนก็รู้ดีว่าความชุ่มชื่นนี้คือสิ่งใด เพราะมันสัมผัสใบหน้าของตนทุกเช้า 


 


 


“โซกัง ข้าต้องการสิ่งอื่นนอกจากผ้าซับหน้า” 


 


 


เขาไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีเลศนัยอย่างยิ่ง แต่น้ำเสียงที่ดังออกมากลับแหบแห้งกว่าปกติ แว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบามากระทบหูขณะหลับตานิ่ง จากนั้นสิ่งอ่อนนุ่มก็ประทับลงบนแก้ม 


 


 


ทันทีที่จาฮอนเปิดเปลือกตาอันหนักขึ้น ภาพโซกังเฝ้ามองตนอย่างใกล้ชิดก็พลันปรากฏในครรลองสายตา เขาจึงรั้งตัวคนน่ารักเข้ามากอดและมอบจูบจนอีกฝ่ายล้มลงมาสู่อ้อมอก ก่อนจะขยับกายพลิกวางร่างบางลงบนแท่นบรรทมและจัดการปลดสายรัดอาภรณ์ออก 


 


 


“ท่านจาฮอน เดี๋ยวก่อน ทำเช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เพราะเหตุใดเล่า” 


 


 


จาฮอนถอดอาภรณ์ของตนออก แนบริมฝีปากลงกับแผ่นอกบางแล้วพึมพำ ทันทีที่ได้ยินเสียงลมหายใจอ่อนแรงของโซกัง ส่วนด้านล่างที่อึดอัดเป็นปกติยามเช้าก็ยิ่งตื่นตัวขึ้นไปอีก 


 


 


“อีกไม่นานจะถึงเวลาประชุมขุนนางแล้ว ต้องลุกขึ้นมาผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เฮ้อ… จะบ้าตาย” 


 


 


บ่นออกมาด้วยความขัดใจ ขณะบดเบียดหน้ากับแผ่นอกอีกฝ่าย เข้าใจดีว่าตนเป็นผู้เริ่มต้นเรื่องนี้จึงควรแก้ไขมัน ทว่าด้วยความเป็นยามเช้าจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ต้องปล่อยคนน่ารักตรงหน้าเพราะไม่มีเวลากกกอด อีกทั้งต้องไปสถานที่ที่มีเหล่าขุนนางคอยยั่วโมโหตลอดเวลา เลยไม่อาจข่มความขัดเคืองใจได้ 


 


 


“หากตัวตนของข้าได้เข้าไปมอบความรักให้เจ้าก็ดีสิ” 


 


 


“กระหม่อมรู้ดีว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงทำเช่นนั้น” 


 


 


“ข้าคิดเช่นนั้นแล้วจะอย่างไร ข้าจะดูเป็นพวกหมกมุ่นในกามหรือ” 


 


 


“ทรงทราบดีมิใช่หรือว่าต้องจัดการเรื่องนั้นให้เสร็จสิ้นก่อน ชีวิตของกระหม่อมถึงจะไม่ตกอยู่ในอันตราย” 


 


 


การตอบโต้อย่างนอบน้อมของอีกฝ่าย ทำให้จาฮอนไม่กล่าวแย้งอะไรได้อีก เพราะนั่นคือความจริง 


 


 


ด้วยชีวิตโซกังเกี่ยวพันกับมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ หากไม่บดขยี้ฝ่ายเชให้สิ้นซาก ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าภายภาคหน้าจะไม่มีการพยายามลอบสังหารเพื่อแก้แค้น ไม่สิ ต้องมีคนพยายานทำเช่นนั้นแน่ โซกังร่วมมือกับทันยองสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา แม้เรื่องจะจบแล้ว เจ้าตัวก็ยังมีบทบาทในการตัดสินใจ ทั้งยังรู้ที่ซ่อนของบันทึกลับ และนำมันส่งมาถึงมือเขา 


 


 


ดังนั้นย่อมมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าจะมีการลอบสังหารเพื่อแก้แค้นโซกังและทันยอง ทว่าตัวตนของทันยองนั้นเป็นมือสังหาร สุดท้ายโซกังจึงน่าเป็นห่วงที่สุด จาฮอนรู้แก่ใจดีจึงกำลังอดทนอยู่เช่นนี้ 


 


 


“จริงสินะ ไม่มีทางหลงลืมหรอก ทว่าเช่นนี้ ข้ามิกลายเป็นสวามีผู้ละเลยอย่างนั้นหรือ” 


 


 


มือเรียวลูบไล้กลุ่มผมดำขลับอย่างอ่อนโยน จาฮอนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ รับกลิ่นกายของโซกังจนเต็มปอดแล้ว ก่อนจะกลิ้งตัวลงนอนด้านข้าง โซกังเปลี่ยนมาลูบปลอบแผ่นอกแกร่งของคนทอดถอนใจช้าๆ 


 


 


“ท่านก็ถนอมตัวด้วย ข้าจะคอยอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน ฉะนั้นอย่าได้ใจร้อนเชียว” 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด หากได้ยินถ้อยคำสามัญอันเสนาะหู จิตใจก็จะสงบลงได้อีกครั้ง จากนั้นถึงยันตัวลุกขึ้น  


 


 


โซกังเองก็ลุกขึ้นตามมาช่วยตระเตรียมฉลองพระองค์ เมื่ออีกฝ่ายเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ร่างบางจึงเรียกนางกำนัลให้นำอ่างน้ำมาวาง และหลังจากชำระกายและสีฟันด้วยกิ่งไม้ทุบปลายอย่างประณีต แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินทางออกจากตำหนักฮงฮวา  

 

 

 


ตอนที่ 10-6 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-6 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


ด้านหน้าตำหนักฮงฮวา มีขันทีโชและเหล่าขันทีรับใช้ยืนรอรับเสด็จอยู่ 


 


 


“ตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


จาฮอนพยักหน้ารับเล็กน้อยแล้วตรงไปยังตำหนักฮวังรยงเพื่อร่วงประชุมขุนนาง ทว่าเมื่อมาถึงหน้าตำหนักกลับพบว่ามีเสื่อฟางกางปูเอาไว้จนมองไม่เห็นพื้นหิน โดยเหล่าขุนนางสวมชุดผ้าป่านสีขาวนั่งคุกเข่าอยู่ บรรดาขุนนางเหล่านั้นล้วนขุนนางสังกัดฝ่ายเช อีกทั้งยังมีจำนวนเกินครึ่งของขุนนางในท้องพระโรง ความดื้อดึงของคนเหล่านั้นทำให้ในใจของจาฮอนเดือดพล่าน 


 


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” 


 


 


“ฝ่าบาท! ขอทรงโปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยท่านผู้เฒ่ามหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการในคุกหลวงอันหนาวเหน็บเช่นนี้มิได้ โปรดทรงทบทวนการกระทำอันหมายเอาชีวิตขุนนางผู้ภักดีด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“โปรดทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


เหล่าขุนนางฝ่ายเชพากันค้อมศีรษะแนบติดพื้น เสียงเอ่ยขอให้ฝ่าบาทปล่อยมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการออกจากคุกหลวงดังก้องเสียจนตำหนักฮวังรยงสั่นสะเทือน 


 


 


ร่างสูงเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นมาหยุดยืนตรงทางเข้าตำหนักฮวังรยง หลังจากกำหนดลมหายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับมาจ้องมอง ความไม่สบอารมณ์ที่โซกังพยายามช่วยอย่างสุดกำลังให้มันบรรเทาลง ถูกก่อกวนจนกลับเป็นขุ่นมัวเช่นเดิม มิหนำซ้ำยังเพิ่มทวีคูณยิ่งขึ้น 


 


 


ดวงตานับสิบคู่ที่จดจ้องมาทำให้รู้สึกเช่นนั้น ทันทีที่หันหลังกลับมา ผู้คนตรงหน้าก็เหลือบสายตาขึ้นมามองเพื่อสังเกตสีหน้าของตน และเมื่อหันกายกลับมาเต็มตัว ทุกคนจึงยิ่งค้อมต่ำจนหน้าผากสัมผัสเสื่อ 


 


 


จากนั้นขุนนางวัยล่วงเลยห้าสิบปีและมีตำแหน่งต่ำกว่ามหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการเล็กน้อย ก็เริ่มต้นออกหน้า 


 


 


“ใยถึงทรงกลั่นแกล้งขุนนางผู้ภักดีของจักรพรรดิองค์ก่อน มิใช่เรื่องที่เหมาะควรเลยพ่ะย่ะค่ะ  


 


 


“ฝ่าบาท! โปรดทรงเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“โปรดทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จาฮอนถอดถอนใจเฮือกใหญ่และพยายามผ่อนคลายจิตใจ ทว่าถึงจะอย่างไรสุดท้ายก็ไม่อาจอดกลั้นโทสะได้ ขณะตัดสินใจจะแสดงโทสะก็พลันนึกถึงคำพูดของโซกัง 


 


 


ความจริงแล้วจนถึงเวลานี้ แม้ทุกคนจะเคยได้ยินคำกล่าวเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งและไร้ความเมตตาอย่างร้ายกาจแล้ว แต่กลับไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแสดงโทสะดั่งเพลิงอัคคีเลยสักครั้ง ทว่าเรื่องราวในครั้งนี้ ไม่เพียงก่อให้เกิดความขุ่นเคืองมหาศาลเท่านั้น กระทั่งโทสะก็ยังเพิ่มขึ้นตามด้วย ทั้งความรุนแรง ทั้งจำนวนครั้งก็เพิ่มขึ้นจนสังเกตเห็นชัด ภายในตำหนักฮงฮวาขณะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตำหนักฮวังรยงให้โซกังฟัง เขาก็ขว้างปาถ้วยชาลงพื้นจนมันแตกกระจายไม่รู้ตั้งกี่ใบ 


 


 


อีกทั้งในวันหนึ่ง ไม่ใช่แค่เพียงถ้วยชา ยังขว้างปากระทั่งถาดขนมยักกวาทิ้งด้วย หากไม่ใช่โซกังมาช่วยเกลี้ยกล่อมปลอบโยนแล้ว จนถึงตอนนี้เขาคงไม่อาจจะตระหนักว่าเหตุใดตนถึงไม่อาจผ่อนคลายและมีโทสะปะทุล้นเช่นนี้ 


 


 


‘กระหม่อมไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านจาฮอนโกรธเพราะคนเหล่านั้นตั้งใจทำร้ายกระหม่อม เรื่องนั้นก็ทำให้กระหม่อมดีใจอย่างยิ่ง แต่กระหม่อมก็ไม่ปรารถนาให้โทสะมากัดกินและทำลายสวามีผู้เป็นที่รักเช่นกัน กระหม่อมมีร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด กระทั่งอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังกลายเป็นหนักหนาได้ ดั่งเช่นที่หมอหลวงกราบทูลอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้ยามถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง สตรีอย่างโซยงยังมิป่วยไข้ ทว่ากระหม่อมกลับป่วยเสียอย่างนั้น ดังนั้น นี่ก็คือเป็นความรับผิดชอบของกระหม่อม ต้องคอยใส่ใจสุขภาพของสวามี หากเอาแต่มีโทสะไม่รู้จบเช่นนี้ เกิดเป็นโรคร้ายแรงขึ้น กระหม่อมจะทำเช่นไรได้เล่า’ 


 


 


‘โซกังอา…’ 


 


 


‘ท่านจาฮอน หรือทรงรังเกียจที่จะให้กระหม่อมรับผิดชอบหรือ’ 


 


 


‘ไม่มีทาง แน่นอนว่าเจ้าต้องรับผิดชอบข้า ดังนั้นอย่าได้ถามคำถามไร้สาระเช่นนี้เลย’ 


 


 


หลังจากฟังคำพูดยาวเหยียดของร่างบาง จาฮอนก็ตระหนักแล้วว่าตนแสดงโทสะต่อคนเหล่านั้นด้วยเรื่องส่วนตัว พลันเข้าใจว่าเป็นความโกรธเพราะตั้งใจทำให้คนรักของเขาบาดเจ็บและผลักลงในหลุมลึกของความทรมาน 


 


 


มันย่อมดีกว่าการสั่งสมความโกรธแค้นไปเรื่อยๆ ก็จริง ทว่าถึงจะปลดปล่อยโทสะออกมามากมายเพียงใด สุดท้ายมันก็เพียงย้อนคืนสู่ตัวเองเท่านั้น อีกทั้งพอปลดปล่อยอย่างไร้จุดหมาย ก็ไม่ได้ทำให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ กลับกลายเป็นว่าอาจทำให้สูญเสียคนของตนด้วยซ้ำ ดังนั้นควรคำนึงถึงผลได้ผลเสียก่อน ถึงแสดงโทสะออกมาก็ย่อมเป็นเรื่องดี 


 


 


จาฮอนขบคิดเรื่องเหล่านั้นตามคำกล่าวของโซกัง เขาจึงแสดงสีหน้าโกรธเคืองอย่างชัดแจ้ง ทว่าไม่ได้ระเบิดโทสะ เพียงแสดงมันออกมาให้เห็นพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่ 


 


 


“เมตตาหรือ! ตอนนี้พวกเจ้ากำลังบอกให้เราเมตตานักโทษผู้โหดเ**้ยมเช่นนั้น! ทั้งๆ ที่ความผิดของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการมากมายเสียจนอัดแน่นเต็มบันทึกเล่มหนึ่ง ทว่าพวกเจ้ากลับมาขอความเมตตาจากเรา ด้วยเหตุผลเพียงแค่เขาเป็นขุนนางในจักรพรรดิองค์ก่อน!” 


 


 


“จักรพรรดิองค์ก่อนทรงเอาใจใส่และเชื่อใจท่านมหาเสนาบดีตุลาการมากเพียงใด ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบดีที่สุดมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“รู้สิ เรารู้ดีเลยล่ะ มหาเสนาบดีตุลาการทำอะไรจักรพรรดิองค์ก่อนบ้างกันเล่า! ส่งสตรีผู้นั้นเข้ามาปลุกปั่น ไหนจะลักลอบพบกับสนมของจักรพรรดิ ไหนจะส่งนักฆ่าเข้ามาในวังหลวง พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือ!” 


 


 


“ฝ่าบาท ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว เมื่อครั้งเป็นรัชทายาท พระองค์ทรงสนิทสนมกับคยองยูล มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการเป็นอย่างมาก เรื่องนั้นทุกคนต่างทราบดี เข้าใจว่าฝ่าบาทคงจะเชื่อว่าคนสนิทอย่างคยองยูลเป็นผู้ซื่อสัตย์ ทว่าหากจะทรงใช้ความรู้สึกส่วนพระองค์มาข่มเหงฝ่ายเชและผู้นำของฝ่ายเช เห็นทีคงจะมิได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ถ้อยคำของขุนนางผู้หนึ่งทำให้สีหน้าของจาฮอนยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก ก่อนหน้านี้เขาก็แสดงสีหน้ากรุ่นโกรธแจ่มชัดแล้ว แต่ครานี้กลับสัมผัสได้ถึงรังสีแห่งการฆ่าฟัน หากเขาเป็นนักรบเถื่อนและถือดาบอยู่ในมือเวลานี้ ศีรษะของขุนนางที่พ่นถ้อยคำเช่นนั้นออกมาก็คงจะลอยขึ้นกลางอากาศทันใด  


 


 


ความป่าเถื่อนถึงเพียงนั้นเข้าครอบคลุมความรู้สึกของจาฮอน เพราะคำว่าข่มเหงกระตุ้นโทสะเขา 


 


 


คนเหล่านี้ไม่สมควรเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นเลย ทำให้คนกลุ่มหนึ่งต้องโดนขับไล่ด้วยข้อหากบฏ ผู้คนมากมายถูกจองจำในคุกด้วยเหตุผลแค่ว่ามีสายเลือดของกบฏโดยไม่ทราบสาเหตุ ประกาศให้คนผู้หนึ่งตายแล้วโยนสู่ฐานะทาส ทว่าโซกังยังกัดฟันอดทน เลือกจะมีชีวิตต่อเพื่อผู้คนเหล่านั้น แม้ตนจะถูกทำร้ายอย่างไร้เมตตา 


 


 


ฝ่ายเชทำให้โซกังต้องมีชีวิตเช่นนั้น พวกมันไม่มีสิทธิ์เอ่ยคำว่าข่มเหงออกมาด้วยซ้ำ เพราะต้องเปลี่ยนแปลงราชสำนักเพื่อกุมอำนาจ ฝ่ายเชและมหาเสนาบดีตุลาการกลับเหยียบย่ำชีวิตของผู้คนมากมาย ไม่ควรเปิดปากพูดคำนี้ออกมาขอความเมตตาของผู้ใด 


 


 


เหล่าขุนนางฝ่ายเชช่างไร้ความละอาย 


 


 


“ใช้ความรู้สึกส่วนตัวข่มเหงฝ่ายเชอย่างนั้นหรือ ช่างน่าขัน ขันทีโชเร่งเท้าไปยังตำหนักอุนฮยอน แล้วนำม้วนกระดาษห่อด้วยผ้าแพรสีเหลืองมาให้ข้าที” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ขันทีโชตอบรับรับสั่งของฝ่าบาททันควันและขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปกติแล้วย่อมต้องเรียกข้ารับใช้ไปจัดการ แต่ตนก็ทราบดีว่านั่นเป็นหนึ่งในหลักฐานที่พระองค์จะทรงใช้ยามไต่สวน ดังนั้น ขันทีโชจึงเลือกจะจัดการด้วยตนเอง  


 


 


ทันทีที่ขันทีโชขยับก้าวรวดเร็วจนลับตาจากตำหนักฮวังรยง ฝ่าบาทก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก แต่ขยับก้าวอย่างเชื่องช้า เดินทอดน่องผ่านกลุ่มคนที่หมอบอยู่บนเสื่อฟางแล้วสำรวจเหล่าขุนนางของราชสำนัก ไม่ใช่การสำรวจตรวจสอบว่าเป็นตำแหน่งใด แต่ตรวจสอบว่าไม่มีผู้ใดอยู่บ้างต่างหาก นั่นเป็นการประเมินอย่างรวดเร็วแม้จะมีขุนนางจำนวนมากหมอบอยู่ มันเผยให้เห็นว่าราชสำนักถูกขุนนางฝ่ายเชครอบครองมากเพียงใดแล้ว 


 


 


ร่างสูงขยับก้าวย่างพลางสำรวจว่า ณ ที่แห่งนี้มีผู้ใดอยู่และมีผู้ใดไม่อยู่บ้าง ก่อนจะกลับมายืนด้านหน้าตำหนักฮวังรยงอีกครั้ง 


 


 


“เราได้เห็นแล้วว่ามีใครอยู่และไม่มีใครอยู่บ้าง พวกเจ้าเลือกพวกพ้องแทนความถูกต้อง แทนกฎหมายบ้านเมือง เราไม่เคยข่มเหงฝ่ายเช ฝ่ายเชต่างหากที่ขัดขวางการประชุมขุนนางของเรา อีกทั้งยังสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจ เช่นนั้น เห็นทีเราก็คงจะต้องลงโทษฝ่ายเชด้วยความรู้สึกส่วนตัวเสียบ้าง!” 


 


 


“ฝ่าบาท! เรื่องนั้น…!” 


 


 


“องครักษ์ฮวังรยงเข้ามา ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ต้องสนฐานะใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ใดกล้าเปิดปากจงตัดหัวมันเสีย เราอนุญาต” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แม้จะเป็นรับสั่งอย่างกะทันหัน แต่เหล่าองครักษ์ฮวังรยงก็ตอบรับทันทีโดยไม่มีความลังเล กระทั่งทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ขุนนางหลุดปากอุทาน หน่วยฮวังรยงก็ถึงกับเล็งดาบไปทางคนผู้นั้น จาฮอนยกยิ้มเย็นเยียบพร้อมกับกล่าวต่อ 


 


 


“ตั้งแต่ตอนนี้ เราไม่อยากได้ยินคำพูดสักคำจากพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดปาก” 


 


 


หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว ยังจาฮอนคือจักรพรรดิผู้แสดงท่าทีเผด็จการอย่างเฉียบขาด ด้วยการปลดเสนาบดีทั้งสามฝ่ายสู่ตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์แทน 


 


 


ยามนั้นมีการลากขุนนางกว่าสิบคนออกไปด้านนอกตำหนักฮวังรยง มีสองคนถูกคมดาบจ่ออยู่ ทว่าไม่มีผู้ใดถูกประหารทั้งสิ้นเพราะฝ่าบาทไม่มีรับสั่ง ทว่าเวลานี้กลับเอื้อนเอ่ยรับสั่งว่าอนุญาตให้ ‘ตัดหัว’ ได้ทันที 


 


 


แต่อย่างไรก็ตามด้วยความรักตัวกลัวตาย ทำให้เหล่าขุนนางไม่กล้าเปล่งเสียงและได้แต่คอยลอบสังเกตเท่านั้น รวมถึงบางส่วนก็คิดว่าอาจจะต้องถูกประหารจริงๆ และพวกตนก็มีเพียงชีวิตเดียวจึงไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ชีวิตก็ย่อมเป็นสิ่งสำคัญมิใช่หรือ ทว่าจะมาเสียใจกับคำตรัสว่าหากเปิดปากจะถูกประหาร มันก็สายไปเสียแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 10-7 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-7 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


ความเงียบสงบของเหล่าขุนนางและบรรยากาศแห่งความกดดันดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งขันทีโชนำม้วนกระดาษมา


 


 


ขันทีโชจ้ำอ้าวมาหยุดตรงหน้าองค์จักรพรรดิ ค้อมคำนับแล้วส่งม้วนกระดาษให้ จากนั้นก็ถอยไปยืนด้านหลัง


 


 


จาฮอนคลายผ้าแพรสีเหลืองลงบนพื้นและกางม้วนกระดาษออก ก่อนจะเริ่มอ่านมัน เนื้อความเกี่ยวกับเสนาบดีกรมขุนนาง วังด็อกซึง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ การปลดจากตำแหน่ง รางวัลและโทษ เป็นต้น อันเป็นหน้าที่รับผิดชอบของกรมขุนนาง วันหนึ่งมีการรับทองคำมาจากใครสักคน จากนั้นก็ทำการแต่งตั้งตำแหน่งให้คนผู้นั้น หรือจะเป็นการลอบเป็นชู้กับคนผู้หนึ่ง ก่อนฝ่ายนั้นจะถูกปลดจากตำแหน่ง เรื่องเหล่านั้นล้วนออกมาจากปากจาฮอนไม่จบไม่สิ้น


 


 


โดยไม่คาดคิด เสนาบดีกรมขุนนาง วังด็อกซึงก็อยู่ ณ ที่แห่งนั้นด้วย ตัวตนเน่าเฟะพร้อมกับชื่อของตน บันทึกนั่นคราแรกเหมือนจะมีเพียงแค่เหล่าขุนนางแห่งราชสำนักฝ่ายเชเท่านั้น ถึงกระนั้นทันทีที่คำกล่าวต่อๆ มากลับสาวมาถึงตน ก็ถึงกับไหล่ลู่ตก มือเท้าเย็นเฉียบ


 


 


เมื่อบันทึกการคดโกงไม่จบไม่สิ้นของเสนาบดีกรมขุนนางจบลง ต่อมาชื่อของเสนาบดีกรมคลัง ฮวังมูฮักก็ถูกเรียกขาน ฮวังมูฮัก รับผิดชอบกรมคลังอันมีหน้าที่ดูแลการคลังของราชสำนัก จัดทำบัญชีว่าใช้จัดงานราชวงศ์ทั้งๆ ที่ไม่ได้จัด ทั้งเนื้อความการยักยอกก็เปิดเผยจากปากจาฮอนอย่างละเอียด ฮวังมูฮักเองก็อยู่ตรงนั้น ไหล่ลู่ตกเช่นเดียวกับวังด็อกซึง และพยายามทำให้กายสั่นเทาสงบลง


 


 


หลังจากอ่านบันทึกพฤติกรรมของฮวังมูฮัก ร่างสูงก็ละสายตาจากม้วนกระดาษ ก่อนนะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็ง


 


 


“มานี่ที ลากเสนาบดีกรมคลังกับเสนาบดีกรมขุนนางไปที่คุกหลวงเสีย ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตนี้ เราจะทำการไต่สวนในยามตัดสินคดี”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


 


 


“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ขอโอกาสกระหม่อมได้ชี้แจงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ฝ่าบาท! เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นท่านมหาเสนาบดีตุลาการเป็นผู้สั่งการพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น!”


 


 


ทั้งสองคนร้องท้วงด้วยเสียงดังก้อง ทว่าเขาก็แสร้งทำไม่ได้ยิน ใช้พลังเฮือกสุดท้ายตะโกนร้องขณะถูกทหารหลวงลากตัวไป จาฮอนไม่แม้แต่จะชายตามอง ยื่นม้วนกระดาษส่งให้ขันทีโช ขันทีโชจึงรับม้วนกระดาษสําคัญมาและม้วนเก็บอย่างดี จากนั้นก็ห่อด้วยผ้าแพรสีเหลืองมัดให้เรียบร้อย


 


 


นายเหนือหัวของทุกคนในที่นี้อมยิ้มน่าขนลุก กวาดสายตามองเหล่าขุนนางผู้บังอาจเพ่งจ้องตน จนหลงลืมความนอบน้อมเพราะประสบความยุ่งยากใจ


 


 


“เราอ่านรายงานความผิดมากมายจนเจ็บคอแล้วสิ เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าลองเดาดูสักครั้งสิ ว่าในม้วนกระดาษนั่น จะบันทึกชื่อเอาไว้สักกี่คนกัน”


 


 


นํ้าเสียงของจาฮอนดังก้องอยู่ด้านหน้าตำหนักฮวังรยง ก่อนหน้านี้บริเวณนี้ล้วนเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย ทว่าเวลานี้เหลือเพียงแค่เสียงเย็นเฉียบของจาฮอนเท่าน้้น ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ เขาเค้นเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น


 


 


“เป็นการตัดสินคดีที่สำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่อาจกล่าวอะไรมาก ทั้งบรรยากาศก็ไม่น่าอภิรมย์ ดังนั้น การประชุมของวันนี้ก็เว้นไปเสีย อากาศเย็นถึงเพียงนี้ก็ยังจะดึงดันสวมเพียงผ้าป่าน พวกเจ้าจงกลับไปดูแลร่างกายและค่อยออกมายามบ่ายเถิด เราเกริ่นเรื่องการตัดสินคดีไปแล้ว เมื่อยามบ่ายมาถึง พวกเจ้าก็คงต้องแสดงความคิดเห็นบ้าง”


 


 


คำตรัสของฝ่าบาททำให้เหล่าขุนนางค้อมคำนับโดยไร้คำพูดใดๆ ความจริงประโยคก่อนหน้าเหมือนเป็นการยกเลิกคำสั่งห้ามส่งเสียงกลายๆ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเปิดปากเลยสักคน น้ำเสียงร้องขอความเมตตาเมื่อครู่ราวกับเป็นเรื่องโกหก


 


 


เหล่าขุนนางนิ่งอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขออภัยทีละคนสองคนและออกจากตำหนักฮวังรยง เมื่อคนสุดท้ายก้าวพ้นหน้าตำหนัก จาฮอนจึงยกยิ้มพราย เห็นแน่ชัดว่ามหาเสนาบดีตุลาการขอให้เหล่าขุนนางฝ่ายเชช่วยชีวิต เพราะหากไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว ขุนนางตำแหน่งราวกับฝุ่นผงหยิบมือหนึ่งในสังกัด ก็คงจะไม่มีทางกล้าออกมารวมตัวกันจนหมดหรอก ทว่านั่นก็พาพวกมันมาสู่จุดจบเช่นนี้ ในโลกนี้จะมีสักกี่คน ที่กล้ายืนยันว่าตนจะไม่กลบฝังกระทั่งฝุ่นผงเพียงหนึ่งเม็ดนั้น


 


 


เมื่อจัดการเรื่องราวเช่นนี้แล้ว จิตใจที่พยายามระงับโทสะคล้ายจะถูกทะลวงผ่านเล็กน้อย ด้วยถ้อยคำแนะนำให้แสดงความโกรธเพื่อได้บางสิ่งของโซกัง ทำให้เขาภาคภูมิใจเล็กน้อย


 


 


“ว่างแล้วสินะ ถึงจะรู้สึกผิดที่อุตส่าห์พยายามปลุกให้ข้าตื่น คอยช่วยเตรียมตัว แต่หากได้กลับไปยังอ้อมกอดนั้น ข้าย่อมภูมิใจที่ได้ชัยชนะเล็กๆ นี้ เขาจะต้อนรับอย่างยินดีใช่หรือไม่”


 


 


“แน่นอนว่าโซอีมามาย่อมยินดีที่ได้รับฟังเรื่องราวจากพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ถ้อยคำสนับสนุนของขันทีโชทำให้จาฮอนยิ้มออกมา ก่อนจะขยับสาวเท้ากลับไปทางตำหนักฮงฮวาอีกครา


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


พอเกิดเรื่องหน้าตำหนักฮวังรยง เหล่าขุนนางฝ่ายเชก็ไม่มีเรื่องให้ลักลอบเข้าคุกหลวงอีก ดั่งคำสอนของปราชญ์ในอดีต ขุนนางไม่คำนึงถึงความเป็นอยู่ของราษฎร ยามนั้นไม่เพียงแค่ขุนนาง ราชสำนักก็กลายเป็นมัวหมองด้วยการกระทำนั้นเช่นกัน ไม่มีขุนนางฝ่ายเชสักคนที่สะบัดแล้วไม่พบฝุ่นผงเพียงสักเม็ด


 


 


หลังจากยังจาฮอนขึ้นครองราชย์ พวกนั้นก็โยนความผิดในสิ่งที่เคยกระทำ ครั้งนี้เองก็เช่นกัน คิดว่าจะจัดการค้นหาหลักฐานว่าคนผู้นั้นทำการทุจริตอย่างมุ่งมั่น ความผิดของเสนาบดีกรมขุนนางกับเสนาบดีกรมคลังที่ถูกเปิดโปงยามอยู่ด้านหน้าตำหนักฮวังรยง ยิ่งที่ทำให้พวกนั้นคิดหนัก ด้านในม้วนกระดาษนั้นบันทึกความผิดของทั้งหมดห้าคนเพียงเท่านั้น รวมถึงเสนาบดีกรมขุนนางและกรมคลัง


 


 


จาฮอนข่มขู่และใช้กำลังอย่างพอเหมาะ เผยความจริงเพียงเล็กน้อยกลับสั่นคลอนจิตใจของเหล่าขุนนาง ผู้อยากรักษาตำแหน่งและชีวิตได้เป็นอย่างดี คนเหล่านั้นรีบร้อนปกปิดความผิดของตนและทำตัวเล็กลีบ


 


 


มีใครในโลกอยากถูกขังคุกล่ะ คนเหล่านั้นก็เช่นเดียวกัน ด้วยอยู่ข้างมหาเสนาบดีตุลาการ กลายเป็นว่าจะต้องถูกขังให้ใช้ชีวิตในคุก เพราะถึงอย่างไร มหาเสนาบดีตุลาการก็เป็นผู้อาวุโส ครอบครองอำนาจสูงสุดของฝ่ายเช ทั้งดูแลและนำพาทุกคน ทว่าคนที่คิดว่าจะร่วมชะตากรรมกับคนผู้นั้นจริงๆ หามีสักคน แพคมีกังย่อมโกรธแค้น ทว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่เหล่าขุนนางฝ่ายเชถูกตัดแขนขา ทั้งหมดจึงหันหลังให้ ชายชราจึงไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้เลย


 


 


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทุกคนเร่งปกปิดความผิดของตนและอยากรักษาตำแหน่งไว้เช่นเดิม จึงสามารถกำหนดวันตัดสินคดีได้ทันที


 


 


ทั้งยังช่วยหนุนหลังจาฮอน ยามประชุมขุนนางพวกเขากล่าวว่าอยากเร่งตัดสินคดีโดยเร็วและอยากทำให้จบสิ้น หากขับไล่เหล่าขุนนางฝ่ายเชจำนวนมากด้วยอำนาจทหาร อาจจะทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงในราชสำนักตามมา ดังนั้นหากการตัดสินคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว ก็จะเผาทำลายม้วนกระดาษนั้นในลานไต่สวน


 


 


นั่นได้รับการตอบรับอย่างยินดีจากคนเหล่านั้น และไม่มีใครคัดค้านวันที่ฝ่าบาททรงเสนอ


 


 


ทุกสิ่งเป็นไปในทิศทางที่ต้องการเช่นนี้ ไม่กี่วันก่อนการตัดสินคดี จาฮอนไปเยือนตำหนักของสนมออมฮยอนบี หลังจากบุกมาตำหนักฮงฮวาพร้อมกับสนมฮยอนควีบีและสนมยุนซุกบีวันนั้น นางก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้ก้าวออกจากตำหนักตนเองสักก้าวเดียว นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า แต่เดิมเป็นฝ่ายาทไม่เคยไปเยือนตำหนักของผู้ใด จึงแปลกนักที่ทรงเหยียบย่างมาถึงตำหนักของสนมออมฮยอนบี


 


 


จาฮอนสั่งให้นางกำนัลด้านหน้าประตูตำหนักรายงาน พวกนางจึงค้อมคำนับและเอ่ยปาก


 


 


“มามา ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”


 


 


“เชิญเสด็จเข้ามา”


 


 


“เพคะ”


 


 


เหล่านางกำนัลค้อมคำนับอีกครั้งและเปิดประตูของห้องบรรทม ทันทีที่จาฮอนก้าวเข้าไปด้านใน เสียงประตูก็ปิดตามหลัง สนมออมฮยอนบีคุกเข่าค้อมคำนับอยู่บนพื้น


 


 


“ถวายพระพรเพคะ ฝ่าบาท”


 


 


“ลุกขึ้นเถิด”


 


 


“เพคะ”


 


 


นางลุกขึ้นยืน ไม่เคยมีสักครั้งที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จาฮอนจ้องมองสตรีที่ก้มหัวเล็กน้อย ทั้งยังรวบมือไว้ด้านหน้าอย่างนอบน้อมครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น


 


 


“เงยหน้าขึ้นมา”


 


 


“เพคะฝ่าบาท”


 


 


ออมฮยอนบีเงยหน้าขึ้นจ้องมองฝ่าบาท พระองค์เอาแต่มองเพียงแค่โซอีมามาตลอด รูปร่างอีกฝ่ายเพรียวระหงและอ้อนแอ้นกว่าสตรีมากเพียงใด ใบหน้าไม่ประโคมเครื่องประทินโฉม เผยความอ่อนเยาว์ เรือนร่างสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์กลับดูบอบบางยิ่งกว่ายามสวมอาภรณ์หรูหรา อีกทั้งเส้นผมก็ยาวสลวย


 


 


“ฮยอนบี วันนี้เจ้าดูเรียบร้อยยิ่ง”


 


 


“ฝ่าบาทรับสั่งให้รับการไต่สวนเช่นนั้น หม่อมฉันจะแต่งตัว ประทินโฉมได้อย่างไรกันเพคะ”


 


 


“นั่นสินะ”


 


 


ออมฮยอนบีก้มหน้าลงอีกครั้ง นางยืนประสานมือราวกับนักโทษรอรับโทษอยู่ จาฮอนเชื้อเชิญให้นั่งลงบนเก้าอี้ แม้นางจะนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว แต่ยังคงก้มหน้าจดร้องเพียงแค่ปลายเท้าของตน


 


 


ร่างสูงนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง การช่วยชีวิตหญิงผู้หนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็บอกกล่าวเพื่อค้นหาหนทางเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทว่าสำหรับสนมของจักรพรรดิแล้ว การกล่าวเช่นนั้นไม่ค่อยจะดีนัก จาฮอนเปิดปากที่ไม่อาจขยับได้อย่างง่ายดายนักด้วยการถอนหายใจ

 

 

 


ตอนที่ 10-8 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-8 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


เป็นสตรีอย่าได้กล่าวถึงหัวใจ แม้เพียงสายตาก็ไม่เคยเหลือบแลสักครั้ง ด้วยเป็นบุตรีของหนึ่งในเสนาบดีฝ่ายเช เขาจึงปิดกั้นความรู้สึกตั้งแต่พิธีแต่งตั้งแล้ว เพราะไม่อาจเห็นถึงความคิดแง่ดีได้ตั้งแต่ต้น อีกทั้งด้วยจักรพรรดิองค์ก่อนหลงใหลในสตรีจนลุ่มหลงมัวเมา ดังนั้น เพียงเป็นหญิงก็พานให้ตนขยะแขยง 


 


 


แม้ว่าจิตใจของยังจาฮอนในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่งจะเป็นเช่นนั้น ทว่าด้วยฐานะจักรพรรดิแล้ว เขาก็ได้แต่รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


อุตส่าห์ได้รับคัดเลือกเข้าพิธีแต่งตั้งเป็นสตรีของจักรพรรดิและก้าวเข้าวัง ทว่าแม้กระทั่งการโอบกอดอย่างที่ควร หรือเพียงแค่สายตาอันอบอุ่น นางกลับไม่เคยได้รับเลยสักครั้ง ด้วยเหตุนั้น ยามนี้จึงตั้งใจจะเรียกร้องมากขึ้น 


 


 


แต่มันเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจทำให้ได้ ทั้งเวลานี้ ทั้งภายภาคหน้า ก็ไม่คิดจะโอบกอดใครอื่นนอกเหนือจากโซกังอีก รวมถึงเรื่องทายาทก็ไม่คิดจะใส่ใจ 


 


 


จาฮอนถอนหายใจต่ออีกหลายครา ก่อนจะเปิดปากกล่าว 


 


 


“เจ้าคงจะทุกข์ใจมากสินะ” 


 


 


“หามิได้เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงตระหนักได้แล้วว่าการกระทำที่ตนแสดงออกไป มันช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน” 


 


 


“การกระทำอันน่ารังเกียจ…..” 


 


 


“หม่อมฉันโหยหาความโปรดปรานจากฝ่าบาท จนลงมือใช้วิธีการอันชั่วร้ายเพียงเพราะความริษยาเพคะ” 


 


 


“นั่นย่อมเป็นเพราะเรา ผู้เป็นจักรพรรดิไม่ได้ให้ความสนใจเจ้า” 


 


 


“หามิได้เพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันที่โง่เขลาเอง” 


 


 


ออมฮยอนบียังคงก้มหน้า มือเล็กที่วางซ้อนทับบนหัวเข่ากำแน่น 


 


 


ยามเข้ามายังวังหลวงด้วยคำสั่งของบิดา ตนพกพาสิ่งที่เป็นดั่งความเพ้อฝันชนิดหนึ่งมาด้วย ฝ่าบาทผู้องอาจและสง่างามมากพอให้เป็นที่ใฝ่ฝันสำหรับสตรีเยาว์แรกแย้ม ภายหลังการแต่งตั้งประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็เฝ้าเพ้อฝันว่าฝ่าบาททรงรักใคร่ตน 


 


 


ทว่ามันก็เป็นเพียงความเพ้อฝันที่ไม่อาจเป็นไปได้ ไม่นานมานี้ก็ได้ตระหนักกับความเป็นจริงแล้วว่ามันคือสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้น 


 


 


ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จมาเยือนตำหนักจน หรือคัดเลือกวันเข้าหอเลยสักครั้ง กระทั่งสายตาที่มองสบมาจากที่ไกล ๆ ก็ยังเย็นชาอย่างยิ่ง มีเพียงวิธีเดียวคือการพูดคุยกับสนมอีกสองคนที่ได้รับแต่งตั้งในขั้นบีเช่นเดียวกัน จนพอช่วยเยียวยาความอ้างว้างได้ 


 


 


ทราบดีถึงข่าวลือที่ว่าพระองค์ไม่สนใจต่อสตรีและบุรุษใดๆ ทั้งยังได้ยินข่าวลือว่าทรงหลีกเลี่ยงการเข้าหอเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับพระวรกาย หากเป็นเช่นนั้นจริง ฝ่าบาทจะทรงเสียพระทัยมากเพียงใด คิดเช่นนั้นแล้ว นางก็อยากจะมอบอ้อมกอดให้ ทว่าด้วยสายตาเย็นชาอยู่เสมอ ทำให้นางไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกนั้นได้ 


 


 


ก็ทำได้เพียงอดทนต่อความว้าเหว่เท่านั้น ด้วยเพราะเป็นสตรีของฝ่าบาท ไม่ใช่จะยอมแพ้ความเหนื่อยยากเช่นนั้นง่ายๆ 


 


 


ทว่าวันหนึ่งก็ได้ยินว่าฝ่าบาทนำบุรุษผู้หนึ่งเข้ามาอยู่ในตำหนักคอนรยุง มิใช่เพียงได้ยินลมปากผู้อื่นบอกเล่ามาเฉยๆ แต่ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนราวกับจะหมดลมหายใจของบุรุษผู้นั้นดังออกมาถึงด้านนอกตำหนักคอนรยุง ความริษยาก็พลันเดือดพล่านขึ้นมา บรรดาสนมทั้งสามคน ไม่มีผู้ใดเคยเข้าตำหนักคอนรยุงเลย 


 


 


ฝ่าบาทไม่เคยชายตาแลสตรีทั้งสามเลยสักครั้ง แต่กลับร่วมหอกับบุรุษอย่างเร่าร้อน อีกทั้งยังเป็นบุตรชายของกบฏผู้ต้องโทษประหาร เป็นบุรุษโสโครกที่มีสัมพันธ์กับเหล่าทาสหลวงจำนวนนับไม่ถ้วน ณ เรือนทาสของเมืองชูจัก 


 


 


เพราะนางล่วงรู้สถานะคนผู้นั้นจึงยิ่งไม่อาจอดรนทนได้ อย่างไรก็ไม่อาจยอมรับได้ หากพระองค์จะรักใคร่บุรุษเช่นนั้น แต่ฝ่าบาทก็ถึงกับมีปากเสียงกับเหล่าขุนนาง เพื่อบุรุษโสมมเสียยิ่งกว่าพวกชายบำเรอนั่น 


 


 


ทรงรับสั่งว่าจะแต่งตั้งยศแก่ฝ่ายนั้น ประทานตำหนักฮงฮวาให้ และยังให้แขวนโคมแดงตลอดเวลา ไม่เพียงเท่านี้ พระองค์ยังถึงกับละทิ้งตำหนักคอนรยุง เสด็จไปบรรทม ณ ตำหนักฮงฮวาทุกวัน 


 


 


เช่นนั้นนางจึงยิ่งรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมและคับแค้นใจหนักขึ้น หากว่าไม่มีบุรุษผู้นั้น ความโปรดปรานย่อมจะหวนคืนมาสู่ตน คับแค้นดั่งความโปรดปรานนั้นเป็นของตนมาแต่เดิม ทว่าในวันที่ได้เห็นท่าทีเช่นนั้นของฝ่าบาท จึงตระหนักชัดแจ้งว่ามันไม่มีทางกลายเป็นของตนได้เลย 


 


 


แม้ว่าบุรุษผู้นั้นจะมีชีวิตที่ต่ำต้อยยิ่งกว่านี้ ฝ่าบาทก็หาใส่ใจไม่ และคิดเพียงว่ามันคือความรัก ยามมองอีกฝ่าย ทรงแสดงสายตาอบอุ่นและอ่อนโยน ส่งผลให้นางเข้าใจเสียที 


 


 


จนกลายเป็นสนมออมฮยอนบีในตอนนี้ จิตใจล้วนสงบนิ่งขึ้น นางแสดงท่าทางเชื้อเชิญให้ฝ่าบาทกล่าวออกมาตามสบาย 


 


 


“ฮยอนบี วันนี้เรามาเพื่อยื่นข้อเสนอเป็นการไถ่โทษต่อเจ้า” 


 


 


“ตรัสมาเถิดเพคะ” 


 


 


“เราจะขับไล่แล้วส่งเจ้าไปอยู่ที่วัด ไม่เพียงฮยอนบี แต่สนมอีกสองนางก็จะถูกส่งตัวไปเช่นกัน” 


 


 


“…ทรงคิดจะรับสนมใหม่หรือเพคะ” 


 


 


นํ้าเสียงที่เอ่ยถามออกมาสั่นเทาเล็กน้อย นางไม่เคยได้รับความโปรดปรานสักครั้ง และหากถูกขับไล่ไปอยู่ที่วัดก็ไม่อาจแต่งงานใหม่ได้ เมื่อคิดว่าต้องผ่านวันคืนเช่นนั้น น้ำตาก็พานจะรินไหล แม้ว่าจะปล่อยวางซึ่งทุกสิ่งแล้วก็ตาม ทว่าด้วยเกิดเป็นสตรี แต่กลับต้องใช้ชีวิตโดยไม่เคยได้รับความรักสักครั้งตราบสิ้นลมหายใจ ช่างน่ารันทดใจนัก 


 


 


“ไม่มีสนมอื่นใดอีก เพราะต่อให้ห่างไกลกัน นอกจากโซอีแล้ว เราก็มองไม่เห็นใครอื่นอีก” 


 


 


“เช่นนั้น…หรือเพคะ…” 


 


 


“แต่ก็มิใช่ว่าตั้งใจจะส่งเจ้าไปอยู่วัดเพราะเรื่องนั้นหรอก แต่อีกไม่นานมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกเปิดโปง เราคิดจะขุดรากถอนโคนฝ่ายเชให้สิ้นซาก ภายภาคหน้าไม่ว่าฝ่ายใดก็จะไม่อาจสั่นคลอนอำนาจได้อีก แต่อย่างไรเวลานี้ เสียงของฝ่ายอื่นก็จะเพิ่มมากขึ้น” 


 


 


“อา….เช่นนั้น!” 


 


 


“บิดาของเจ้าถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง เราอาจจะเนรเทศบิดาของเจ้าหรือไม่ก็คงต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน ทว่าถึงจะเป็นสนมชั้นบี แต่ในเมื่อไม่มีทาบยาท การเอาชีวิตรอดก็ไม่ง่ายเลย” 


 


 


“เช่น… เช่นนั้นโปรดโอบกอดหม่อมฉันเถิดเพคะ ถึงจะเพียงครั้งเดียวก็ตาม แต่ด้วยเป็นกฎ ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นสนมไม่อาจแต่งงานใหม่ได้ หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเช่นกัน น่าอนาถใจนักที่ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยได้รับความรัก ซ้ำยังตรัสรับสั่งให้ใช้ชีวิตเช่นคนตายอยู่ในวัดอีก” 


 


 


แม้รู้ดีว่าเป็นการดันทุรัง ทว่าสนมออมฮยอนบีก็ไม่สามารถหยุดคำพูดของตนได้ หากอยู่ในวังหลวงต่อ อาจจะมีฎีกาขอฝ่าบาทให้เนรเทศตนอยู่เรื่อยๆ และรู้แก่ใจดีว่าวังหลวงเป็นสถานที่ที่ไม่รู้ว่าจะพลาดพลั้งตกหลุมพรางในวันใด แต่ถ้าหากยังอยู่ใกล้ๆ ฝ่าบาท บางทีในยามที่ทรงโปรดปรานโซอีน้อยลง นางก็อาจจะถูกเหลียวมองขึ้นมาก็เป็นได้ 


 


 


เยื่อใยเพียงน้อยนิด นั่นทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอ้อนวอน 


 


 


จาฮอนเข้าใจถึงสิ่งที่สนมออมฮยอนบีเป็นกังวลดี หากเป็นสตรีของฝ่าบาท เพียงให้กำเนิดทายาท หรือเป็นสตรีที่เคยได้ร่วมหอกับฝ่าบาทแม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม ถ้าไม่ใช่ถึงขั้นร่วมแผนก่อกบฏ ก็จะไม่ต้องรับโทษ  


 


 


นั่นหมายถึงว่าตามกฎแล้ว เวลานี้สนมชั้นบีทั้งสามคนนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นสตรีของฝ่าบาทเต็มตัว 


 


 


ดังนั้นหากตระกูลของนางมีความผิด นางก็จะถูกขับออกจากวังกลับไปยังบ้านเดิมและต้องได้รับโทษร่วมกันเพราะนับเป็นคนของตระกูลนั้น บิดาของสนมออมฮยอนบีมาจากฝ่ายเช ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งสำคัญ ดังนั้น หากต้องโทษไปด้วย นางก็จะกลายเป็นสามัญชน หรือหากต้องโทษหนักก็อาจจะกลายเป็นทาส ทว่าหากก่อนหน้ายอมไปอยู่วัดแล้วออกบวชเสีย ก็จะไม่ต้องรับโทษใดๆ 


 


 


แน่นอนว่าทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาสั่งการ ดังนั้น หากเป็นไปตามความต้องการของเขาก็ถือเป็นอันยอมรับได้ และการเสนอให้สนมออมฮยอนบีไปอยู่วัดแต่โดยดี ก็ถือเป็นการแสดงความต้องการของตนออกมาทั้งหมดแล้ว 


 


 


มีคำกล่าวว่า ‘การเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชา ย่อมต้องวางตัวอยู่ภายใต้กฎหมาย’ 


 


 


“ฮยอนบี นอกจากโซอีแล้ว เราก็ไม่คิดจะสนใจผู้ใดอีก” 


 


 


“เช่นนั้นไม่ต้องทรงเข้าหอก็ได้ เพียงสร้างข่าวลือว่าเสด็จมาที่ตำหนักคยองซาอย่างลับๆ ก็พอเพคะ!” 


 


 


“ขอโทษด้วย ข้าไม่อยากทำเรื่องที่อาจทำให้โซอีเข้าใจผิด ถึงยามหึงหวงจะน่าเอ็นดูเพียงใด แต่หากโกรธเขาถึงกับไม่ยอมอภัยให้ข้า เช่นนั้นมันน่าปวดหัวนัก” 


 


 


“เข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะไปอยู่ที่วัด” 


 


 


คำตอบของฝ่าบาททำให้สนมออมฮยอนบินหลุบสายตาลงต่ำอย่างสิ้นหวังพร้อมตอบรับ แม้จะอยู่ต่อหน้าตน หรือต่อหน้าใครก็ตาม อีกฝ่ายคือจักรพรรดิ ทว่ากลับเพิ่งได้รู้จากคำพูดเมื่อครู่ว่าต่อหน้าโซอีแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้เป็นจักรพรรดิ ต่อหน้าโซอีฝ่าบาทไม่ใช้สรรพนามว่า ‘เรา’ แต่เป็น ‘ข้า’ 


 


 


ถึงจะผ่านเลยไปจนชั่วชีวิต สนมออมฮยอนบีก็เข้าใจแล้วว่าไม่มีทางที่พระองค์จะทรงเหลียวมองตน สุดท้ายก็ยอมปล่อยวางซึ่งเศษเสี้ยวของเยื่อใยสุดท้าย 


 


 


“ขอโทษเจ้า เป็นเพราะเราไม่ได้คัดค้านจนถึงที่สุด” 


 


 


“หามิได้เพคะ แค่ทรงนึกถึงหม่อมฉันเช่นนี้ ก็ถือเป็นพระกรุณาแล้วเพคะฝ่าบาท” 


 


 


สนมออมฮยอนบีคุกเข่าลงและก้มศีรษะคำนับแนบหน้ากับพื้น แสดงความเคารพต่อฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้าย 


 


 


เมื่อฝ่าบาทก้าวออกจากตำหนักไปแล้วก็จะมีราชโองการลงมา จากนั้นก็ต้องจัดการเก็บสัมภาระเตรียมตัวย้ายไปยังวัดตามรับสั่ง ดังนั้น เวลานี้จึงถือเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบพระพักตร์ จาฮอนจ้องมองเส้นผมแผ่สยายของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเศร้าหมองคราหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวผละจากไปเช่นนั้น 


 


 


เขาตรงไปยังตำหนักของสนมของยุนซุกบีและสนมฮยอนควีบีเพื่อประกาศถ้อยคำเดียวกัน 


 


 


สนมยุนซุกบีเอาแต่ร่ำไห้จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมา ส่วนสนมฮยอนควีบีกล่าวแก่เขาว่าหากทำเช่นนั้น ก็จะได้รับฎีกาคัดค้านจากขุนนางฝ่ายเชอย่างมากมาย และขณะแสดงท่าทีร้ายกาจต่อหน้าฝ่าบาท นางก็ถูกเหล่าองครักษ์ฮวังรยงที่เฝ้าอยู่ในตำหนักจับตัวไปขังเอาไว้ 

 

 

 


ตอนที่ 10-9 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-9 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


ภายหลังจากสตรีผู้นั้นถูกพาตัวไป จาฮอนก็ดึงโซกังเข้ามากอดและกล่าวออกมาด้วยสีหน้าหนักใจ 


 


 


“ข้าทำผิดใหญ่หลวงนัก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ยอมรับสนมเข้ามาตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายก็ไม่อาจคัดค้าน แล้วทำให้สตรีถึงสามนางต้องกลายเป็นม่าย” 


 


 


“ให้พวกนางอยู่ในวังต่อก็ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เป็นอะไร…” 


 


 


“แต่ข้าไม่ชอบ และเมื่อเป็นเช่นนี้ จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเห็นฎีกาเกี่ยวกับเรื่องทายาทอีก…” 


 


 


ร่างสูงทำสีหน้าราวกับน้อยใจพลางซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกบาง แนบประทับจูบตรงนั้นทีตรงนี้ที และหากยังคิดจะกล่าวไร้สาระอีก จาฮอนก็ข่มขู่ว่าจะรังแกเสียจนร้องไห้โยเย 


 


 


โซกังจึงลูบเส้นผมของอีกฝ่าย และเมื่อมือใหญ่สัมผัสช่วงเอวของตนก็หัวเราะด้วยความสุข เข้าใจคำว่าถ้อยคำไร้สาระอย่างดีจนรู้สึกเอ็นดูปนประหลาดใจ เดิมทีเขาเพียงแค่จินตนาการว่าได้มองดูผู้อื่น ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีอย่างเอ็นดูเท่านั้น 


 


 


“สายตาของข้าเต็มเปี่ยมและเอ่อล้นด้วยเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ฉะนั้นอย่าได้คิดอะไรไร้สาระ” 


 


 


ถ้อยคำราวกับล่วงเข้ามารู้ความคิด ทำให้โซกังเลิกคิดไร้สาระตามเนื้อความและจดจ่อกับความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้ 


 


 


จาฮอนมองร่างบางเอนกายมาทางตนแล้วยกยิ้มมีความสุข ความรู้สึกผิดต่อพวกสตรีเหล่านั้นก็เป็นความรู้สึกผิด ทว่าก็อย่างไรก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ด้วยกายและใจทั้งหมดถูกครอบครองด้วยคนเพียงผู้เดียว 


 


 


คิดเช่นนั้นขณะสัมผัสทั่วกายบอบบาง พอได้เห็นท่าทางเร่าร้อน ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ยินดีอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทว่าเจ้าของความร้อนรุ่มกลับปฏิเสธการร่วมรัก ด้วยเหตุนั้นจาฮอนจึงรู้สึกไม่สบายใจนัก 


 


 


และเขาไม่คิดจะเก็บซ่อนมันเอาไว้ เพราะส่วนล่างตนแข็งเกร็งขึ้นมาแล้ว กลิ่นกายเย้ายวนฟุ้งจากกายของโซกัง ไม่ต่างอะไรจากการทรมานเขาทั้งเป็น 


 


 


ดังนั้นจึงเอ่ยถามตรงๆ ว่าเหตุใดถึงปฏิเสธ อีกฝ่ายจึงตอบอย่างจริงจังมาก 


 


 


“พรุ่งนี้เป็นวันตัดสินคดีมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ควรต้องเก็บแรงไว้ก่อน ไม่ควรใช้พละกำลังเช่นนี้ อีกทั้งยังต้องทำกายและใจให้สะอาดบริสุทธิ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“การตัดสินคดีกับการร่วมหอมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร” 


 


 


“หากใช้พละกำลังมาก ความสามารถในการจดจำก็จะลดลงมิใช่หรือ” 


 


 


“หากความจำลดลงด้วยเรื่องนั้น ข้าก็คงจดจำมิได้แม้แต่ชื่อตนแล้วล่ะ ลองคิดดูสิโซกัง มิใช่ว่าข้าเติมเต็มภายในตัวเจ้าเสียจนล้นทุกคราหรอกหรือ แล้วสองสามวันที่ปล่อยให้ความใกล้ชิดห่างหายเช่นนั้น ยังจะเหลือความจำอันใดอีกเล่า” 


 


 


จาฮอนก่อกวนยอดถันของโซกังด้วยปากพร้อมเอ่ยออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยการหยอกเย้า 


 


 


หากเป็นยามปกติ อีกฝ่ายคงจะหัวเราะให้ถ้อยคำหยอกล้อนั่น ทว่าวันนี้โซกังกลับแตกต่างออกไปเล็กน้อย เจ้าตัวทำหน้ามุ่ย ทั้งยังสะบัดหน้าหนีไปด้านข้าง แต่ก็ต้องเชิดหน้าพร้อมครางร้อง เพราะจาฮอนครอบครองยอดอกและเย้าแหย่ด้วยลิ้น 


 


 


ร่างบางตั้งใจจะใช้มือผลักศีรษะของคนตรงหน้าออก แต่จาฮอนก็กำรวบมือทั้งสองข้างอย่างง่ายดายด้วยมือเดียว ร่างกายตอบสนองอย่างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่ได้รับ ขยับโยกและทรยศต่อจิตใจ สะโพกบิดเร่า ช่องทางขมิบรับอย่างเป็นธรรมชาติเพราะปรารถนาในตัวตนของอีกฝ่าย 


 


 


“ฮือ อึก จาฮอน ได้โปรด อื้อ! อย่าทำ” 


 


 


วันนี้เขาไม่อยากทำจริงๆ แม้ร่างกายร้อนรุ่มจะตะโกนร้องว่าอยากโอบกอดตัวตนของจาฮอนและขึ้นไปสู่จุดสุดยอดของห้วงปรารถนา แต่จิตใจกลับไม่เห็นด้วย 


 


 


พรุ่งนี้ต้องไต่สวนคดีมิใช่หรือ เป็นวันแรกของการไต่สวนมหาเสนาบดีตุลาการผู้ใส่ร้ายคนมากมาย ทั้งท่านพ่อ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ นายหญิงอิลฮวา มูฮยอน โซยง และนอกเหนือจากนั้นอีกมากที่โดนคนผู้นั้นใส่ร้ายจนถูกผลักไสสู่ความตาย บัดนี้อีกฝ่ายจะถูกลากออกมายังลานไต่สวนในฐานะนักโทษ และการเปิดเผยความผิดทั้งหมดก็เป็นเหมือนการช่วยล้างมลทินของพวกเขาเหล่านั้น มลทินใหญ่หลวงที่ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มกบฏ แม้จะสามารถลบล้างมันได้หลังความตายก็ตาม 


 


 


และหากเป็นเช่นนั้น ก็รู้สึกเหมือนตนจะสลัดความรู้สึกผิดที่ฝังอยู่ในจิตใจมาตลอดชีวิตออกไปได้ แม้จะมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง แต่อย่างน้อยก็สามารถปล่อยนางและไขว่คว้าความสุขของตนได้เสียที ดังนั้น เขาจึงรู้สึกละอายใจ ก่อนวันตัดสินคดีสำคัญเช่นนั้น เขาไม่อยากมัวเมาในห้วงปรารถนาจนสว่าง ทว่าร่างกายกลับไม่สนใจความรู้สึกเช่นนั้น มันเอาแต่ร่ำร้อง โซกังไม่ชอบใจร่างกายของตนเลย สุดท้ายจึงต้องเผยหยาดน้ำตาออกมา 


 


 


“อย่าทำ… ฮึก” 


 


 


ถ้อยคำปฏิเสธหนที่สองทำให้จาฮอนต้องละสายตาจากด้านล่างแล้วเลื่อนขึ้นมามองหน้าอีกฝ่าย จนได้เห็นน้ำตาจากดวงตาคู่สวยบนใบหน้าบูดบึ้ง 


 


 


จาฮอนรู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็น แน่ชัดว่ากายของโซกังกำลังตื่นตัวอยู่ ทั้งยอดอกชูชัน ทั้งส่วนล่างเครียดเกร็ง ทั้งร่างกายสะท้านไหว แต่ถึงกระนั้น การปฏิเสธก็เป็นเรื่องจริง เขาจึงผละปากออกจากยอดอกและละมือจากการหยอกเย้ายอดอกอีกข้าง ทั้งปล่อยข้อมือที่กำรวบเอาไว้ด้วย 


 


 


จากนั้นก็ลงมานอนตะแคงบนแท่นบรรทม แล้วโอบกอดคนที่หันหลังให้ในขณะนั้น  


 


 


โซกังไม่ได้หันมากอดตอบเช่นปกติ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ผลักออก จาฮอนสอดแขนของตนเข้าไปใต้ศีรษะโซกังและดึงเข้ามากอดแนบชิด ได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดแผ่วเบา คงกำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่ 


 


 


เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และพลันนึกถึงบิดาของอีกฝ่ายขึ้นมา ทั้งบุตรสาวของมหาเสนาบดีพลาธิการที่เคยผูกพัน ทั้งบุตรชายของมหาเสนาบดีพลาธิการที่เคยร่วมเรียน รวมถึงทุกคนที่ต้องสูญเสียชีวิตด้วยเกี่ยวพันกับเรื่องที่มหาเสนาบดีตุลาการก่อขึ้น 


 


 


จึงตระหนักได้ว่าเป็นเพราะยิ่งใกล้วันตัดสินคดี โซกังก็คงจะยิ่งไม่สบายใจ ยามนอนก็ละเมอบ่อยครั้งขึ้นเช่นกัน จนได้แต่ตำหนิตนเองที่ความรู้สึกช้าเกินไป 


 


 


“ขอโทษ” 


 


 


ศีรษะเล็กขยับขึ้นลงในอ้อมกอด 


 


 


ไม่คิดจะไถ่ถามว่าเหตุใดถึงรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว และสามีผู้โง่เขลาอย่างเขาก็คิดว่าปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นคงจะดีเสียกว่า ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของคนสำคัญว่าเป็นอย่างไร บุรุษไม่ได้เรื่องได้ราวเช่นนี้เป็นถึงจักรพรรดิหรอกหรือ 


 


 


จาฮอนพยายามจะเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างยากลำบาก อีกทั้งความอึดอัดในอกก็ส่งผลให้เขาไม่อาจทำอันใด ได้แต่ทอดถอนใจเท่านั้น ขณะนั้นพลันรู้สึกว่ามือเรียวค่อยๆ ทาบทับบนมือของเขาที่วางอยู่บนหน้าท้องของเจ้าตัว 


 


 


“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“โซกัง ขอโทษที่ข้าความรู้สึกช้าเช่นนี้ ไม่ทันคิดว่าพรุ่งนี้เจ้าจะต้องยุ่งยากใจ” 


 


 


“กระหม่อมไม่เป็นไรจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ยังคงมีเสียงสะอื้นไห้ในลำคอ แต่โซกังก็กล่าวว่าไม่เป็นอะไรออกมาเพราะรู้สึกดีขึ้นแล้วจริงๆ เพียงแค่อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกของตนก็เพียงพอแล้ว จาฮอนลูบสัมผัสหน้าท้องแบนราบช้าๆ ทั้งที่มือของโซกังก็ยังวางอยู่บนมือตน 


 


 


“หากขบคิดดูแล้วที่เจ้าขออ่านตำราพวกนั้น… ย่อมต้องรับรู้ความรู้สึก แต่ข้าก็ยังตั้งใจยัดเยียดเพียงแต่ความต้องการของตนเช่นนี้ ต้องขอโทษเจ้าจริงๆ” 


 


 


“นั่น… รู้ได้อย่างไรกัน…” 


 


 


ใบหูโซกังขึ้นสีแดงจัดพลางเอ่ยพึมพำ 


 


 


ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาประหลาดใจที่หัวใจของตนเอาแต่เต้นแรงจนอึดอัด อีกทั้งลมหายใจก็คอยแต่จะตีตื้นขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทว่าไม่มีสิ่งใดหลุดออกมาทั้งสิ้น หากความรู้สึกยังประหลาดจึงขอร้องนางกำนัลให้ช่วยหาตำราเหล่านั้นมาให้ จำพวก ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดผลร้าย หากทำเช่นนี้จะโชคดี เป็นต้น ล้วนเป็นตำราที่มีความเชื่อเรื่องโชคลางอยู่เต็มเปี่ยม 


 


 


อ่านเขียนและสั่งสมความรู้จนได้เป็นบัณฑิตแล้ว การสนใจในตำราพวกนี้จึงนับเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นบุรุษด้วยแล้ว การพึ่งพาสิ่งนั้นก็นับว่าน่าอายกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงร้องขอให้ทุกอย่างเป็นความลับ ทว่าอีกฝ่ายกลับรู้เสียแล้ว 


 


 


จาฮอนจึงเอ่ยถามคนหน้าแดงพูดไม่ออกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง 


 


 


“เป็นอะไรไปหรือ” 


 


 


“ทรงรู้ได้อย่างไรว่ากระหม่อมขออ่านตำราเหล่านั้น” 


 


 


“สิ่งที่นำเข้ามาในตำหนักฮงฮวาต้องผ่านมือข้าทุกสิ่ง แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ? ทรงตรวจสอบด้วยพระองค์เองอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“แน่สิ ยาที่เจ้ากิน ชั้นในที่ถูกข้าปลดเปลื้อง อาภรณ์ที่ตัดขึ้นใหม่ ทั้งหมดล้วนผ่านมือข้าทั้งนั้น” 


 


 


ตอบรับราวกับว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว สุดท้ายร่างบางจึงพลิกตัวหันมาพร้อมจ้องมองจาฮอน เวลาผันเปลี่ยนจนแน่ชัดว่าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเรียบร้อยแล้ว โซกังจ้องมองใบหน้าอ่อนล้าพร้อมกับขมวดคิ้ว เอาเวลาคอยตรวจดูสิ่งของแต่ละอย่างที่ส่งเข้าตำหนักฮงฮวา มาล้มตัวลงนอนบนแท่นบรรทมอีกสักหน่อยยังจะดีกว่า 


 


 


ทันใดนั้นใบหน้าหวานเครียดขึงก็พลันมีความเศร้าสลดพาดผ่าน 


 


 


“เรื่องอื่นก็ทำให้ยุ่งยากพระทัยอยู่แล้ว เหตุใดถึงยังทรงทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นอีกเล่า ก่อนนำเข้ามาให้กระหม่อม ก็มีเหล่านางกำนัลและขันทีคอยตรวจสอบ อย่าทรงทำเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เอาเวลานั้นไปพักผ่อนเถิด” 


 


 


“ไม่ได้หรอก ต่อไปข้าก็จะคอยตรวจสอบด้วยตนเองเช่นเดิม อย่าได้ห้ามข้าเลย” 


 


 


“เหตุผลคืออะไรกันพ่ะย่ะค่ะ มิใช่ว่าทุกวันนี้ก็ทรงเหนื่อยล้ามากพอแล้วหรอกหรือ” 


 


 


“…หากปล่อยให้คนอื่นทำ แล้วเกิดเรื่องขึ้นมา จะโทษผู้ใดได้เล่า” 


 


 


น้ำเสียงของจาฮอนสั่นไหวเล็กน้อย ทั้งแขนที่โอบกอด ทั้งร่างกายที่สัมผัสกันก็สั่นไหว โซกังรู้สึกได้ว่าแขนของอีกฝ่ายออกแรงกระชับแน่นยิ่งขึ้น และยังได้ยินเสียงทอดถอนใจด้วย หลังจากถอนหายใจอยู่หลายครา เขาก็เอ่ยขึ้น 


 


 


“หากเกิดเรื่องเช่นนั้นอีกครา ข้าคงจะไม่อาจฝืนทนได้อีก” 


 


 


“ตอนนี้ฝ่าบาทก็ทรงช่วยหยุดยั้งทั้งหมดแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โซกังยื่นมือสัมผัสใบหน้าหล่อเหลา ลูบแก้มอย่างอ่อนโยน จาฮอนหลับตาลงซึมซับสัมผัสนั้น ก่อนจะกล่าวชักชวนทั้งๆ ที่หลับตาอยู่ และแน่นอนว่าคำกล่าวนั้นทำให้โซกังร้องไห้ออกมาอีกหน 


 


 


“หากจบการตัดสินคดีแล้ว เราไปเยือนสุสานด้วยกันเถิด” 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


ตอนที่ 10-10 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-10 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


เจ้าหน้าที่ไต่สวนถือตะบองขณะทำการสอบสวน หากไม่ยอมรับสารภาพก็จะถูกลงทัณฑ์โดยไม้ตะบองนั่นทันที การสอบสวนนี้ดำเนินโดยมีฝ่าบาทเข้าร่วมสังเกตการณ์ และเจ้าหน้าที่ผู้ไต่สวนทั้งสิบคน ฝ่าบาทก็ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง 


 


 


คนเหล่านี้ทำการสอบสวนนักโทษตามลำดับ หากนักโทษสารภาพความผิดหรือไม่ยอมรับ ก็จะดำเนินการสั่งลงโทษด้วยไม้ตะบอง 


 


 


ทว่าในกรณีที่นักโทษไม่ยอมรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ไต่สวนก็จะแสดงหลักฐานความผิดของนักโทษผู้นั้น หรือเรียกพยานมาให้การ ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่จะให้โอกาสนักโทษกล่าวออกมาก่อน 


 


 


หากตัวนักโทษมีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตน ก็สามารถให้ตัวแทนนำหลักฐานนั้นมาแสดงต่อฝ่าบาทกับเจ้าหน้าที่ได้ อีกทั้งยังสามารถเรียกพยานมาให้การเพิ่มได้เช่นกัน การตัดสินคดีเริ่มต้นประมาณช่วงเย็นและดำเนินต่อไปสองสามวันจนกระทั่งการไต่สวนของเจ้าหน้าที่ทั้งสิบคนเสร็จสิ้นลงทั้งหมด 


 


 


กฎหมายส่วนหนึ่งก็เป็นเช่นนี้ แม้นั่นจะไม่ได้ดำเนินถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอนก็ตาม 


 


 


ลานไต่สวนอยู่ด้านหน้าประตูอุนจอง ด้านนอกเขตตำหนักฮวังรยง ที่เดียวกับเมื่อครั้นไต่สวนมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ จาฮอนทำเช่นนี้เพื่อปลอบประโลมความโกรธแค้นของผู้คนที่ต้องถูกประหารพร้อมมหาเสนาบดีพลาธิการ คยองยูล เขาจึงสั่งให้จัดเตรียมทุกอย่างให้เหมือนครานั้น 


 


 


เหล็กนาบลงทัณฑ์หลายอันถูกเสียบเตรียมเอาไว้ในเตาไฟด้านหน้าประตูอุนจอง รวมถึงเครื่องลงทัณฑ์ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ล้วนถูกจัดเตรียมไว้ด้านหนึ่งของพื้นที่ 


 


 


ทันทีที่ถึงเวลา เหล่าเจ้าหน้าที่ก็มายืนเรียงแถวในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ห่างออกไปเล็กน้อยก็เป็นเหล่าทหารหลวงกับองครักษ์ฮวังรยงเรียงแถวยาว ส่วนเจ้าหน้าที่บันทึกการไต่สวนที่เรียกว่ามุนซานังช็อง[1] ทั้งแปดคนก็นั่งลงทั้งซ้ายขวาฝั่งละสี่คน บนโต๊ะข้างหน้ามีกระดาษ พู่กันและแท่นหมึกวางอยู่ 


 


 


เหล่าเสนาบดีทั้งหกกรมก็เข้าร่วมด้วย มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการและมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการคนปัจจุบันก็เข้าร่วมเช่นกัน นั่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างที่ประทับ แต่สูงกว่าเหล่าขุนนางทั้งหลาย และด้านข้างของที่ประทับเป็นเหล่านางกำนัลและเหล่าขันที ต่อแถวยืนอยู่ด้านข้างมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการและฝ่ายตุลาการ 


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จ!” 


 


 


ขันทีที่ยืนอยู่ท้ายแถวตะโกนรายงานเสียงดัง เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขันทีที่อยู่ตรงกลางก็ตะโกนขึ้นตาม และขันทีที่ยืนอยู่ใกล้ลานไต่สวนที่สุดก็ทำการตะโกนรายงานซ้ำอีกหน 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง องค์จักรพรรดิในฉลองพระองค์เต็มยศและขันทีโชที่มักจะคอยติดตามอยู่ข้างพระวรกายก็ปรากฏตัวออกมาจากด้านในของตำหนักฮวังรยง ฝ่าบาทก้าวย่างไปทางที่ประทับของตนอย่างไม่ลังเล โดยเหล่าขันทีกับนางกำนัลเองก็ติดตามมาด้านหลัง ขึ้นไปยืนเรียงแถวทั้งสองฝากของที่ประทับจนกลายเป็นกำแพงมนุษย์ 


 


 


“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” 


 


 


ทันทีที่จาฮอนมายืนอยู่ด้านหน้าที่ประทับ ผู้คนทั้งหมด ณ ลานไต่สวนล้วนคุกเข่ากับพื้นเพื่อค้อมคำนับและตะโกนออกมา เขากวาดสายตามองคนเหล่านั้นช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม 


 


 


“ลุกขึ้น เริ่มการไต่สวนได้ ไปนำตัวนักโทษมา” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทหารหลวงหลายคนค้อมคำนับแสดงความเคารพแล้วเคลื่อนกายไปทางคุกหลวง ฝ่าบาทนั่งลงบนที่ประทับพลางสังเกตโดยรอบลานไต่สวนอย่างช้าๆ อีกคราหนึ่ง 


 


 


ที่แห่งนี้เป็นที่ที่มหาเสนาบดีพลาธิการ คยองยูลคุกเข่าและร้องขอความเป็นธรรม ส่วนยูจินมยอง บิดาของโซกัง ต้องการช่วยชีวิตบุตรชายจึงหักหลังผู้ที่ตนเชื่อถือใกล้ชิดและเคยติดตาม จากนั้นผู้คนมากมายก็ถูกลากตัวออกมาตามลำดับ ต่างโต้แย้งว่าทุกอย่างไม่เป็นความจริง 


 


 


ทั้งการสร้างความชอบธรรมและเติมเต็มความละโมบของตนจึงใส่ร้ายผู้คนมากมาย ดังนั้น การลงทัณฑ์มหาเสนาบดีตุลาการ แพคมีกัง ก็นับว่าเป็นเรื่องถูกต้อง 


 


 


ทว่ามีเรื่องสำคัญอีกเรื่องอยู่ในใจของจาฮอน เพราะเรื่องนั้นจะทำให้โซกังไม่ได้รับอันตรายต่อชีวิต หรือความเจ็บปวดใดๆ อีกต่อไป อีกทั้งยังช่วยปล่อยวางภาระอันหนักอึ้งที่ต้องแบกรับภายในจิตใจตลอดมา ต้องจัดการโดยมิให้ผู้ใดสามารถตำหนิได้ว่าทำด้วยความรู้สึกส่วนตัว ต้องให้จิตใจของโซกังเป็นสุข จิตใจเขาจึงจะเป็นสุขได้เช่นกัน 


 


 


จาฮอนจ้องมองด้วยแววตาซุกซ่อนความมาดร้ายไปทางมหาเสนาบดีตุลาการ อีกฝ่ายกำลังเดินมาจากที่ไกลๆ โดยสวมมงดู[2] 


 


 


ครู่หนึ่งหลังจากนั้น แพคมีกังก็คุกเข่าลงกลางลานไต่สวน โดยมีเจ้าหน้าที่ไต่สวนเอ่ยถามชื่อและอายุด้วยน้ำเสียงดุดัน มงดูทำให้คนผู้นั้นตอบกลับเสียงดัง ทันทีที่ตอบคำถามครบถ้วน มงดูก็ถูกถอดออกจากศีรษะของอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก 


 


 


เขาจ้องมองชายชรา ผมเผ้าปล่อยกระเซอะกระเซิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างแข็งกระด้าง 


 


 


“เจ้าหน้าที่จงบอกกล่าวความผิดของนักโทษผู้นี้” 


 


 


ทันทีที่ฝ่าบาทมีรับสั่งคำสั่ง ผู้รั้งตำแหน่งสูงสุดของเจ้าหน้าที่ไต่สวนทั้งสิบคนก็ก้าวออกมาด้านหน้า กางม้วนกระดาษที่ถือออกและเริ่มต้นอ่านเนื้อความในนั้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม 


 


 


“ความผิดฐานส่งเสริมการลอบปลงพระชนม์ขององค์จักรพรรดิขณะทรงดำรงตำแหน่งรัชทายาท ความผิดฐานยักยอกฉ้อฉลทรัพย์สมบัติของราชวงศ์ ความผิดฐานส่งเสริมการปลงพระชนม์ของอดีตจักรพรรดินี ความผิดฐานลอบคบชู้กับสตรีของจักรพรรดิพระองค์ก่อน ความผิดฐานใส่ร้ายป้ายความว่าผู้อื่นก่อกบฏ ความผิดฐานฝึกฝนนักฆ่าและก่อตั้งกลุ่มนักฆ่าอันเป็นเรื่องต้องห้ามภายในอาณาจักร ความผิดฐานสั่งหารให้นักฆ่าบุกรุกวังหลวง ความผิดฐานสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วยหมายจะปลุกปั่นความขัดแย้งในกลุ่ม นักโทษแพคมีกัง หากมีคำโต้แย้งเกี่ยวกับความผิดทั้งหมดนี้ จงกล่าวออกมา” 


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงต้องการสนับสนุนความมั่นคงของราชสำนักด้วยอำนาจของฝ่ายเชเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ การก่อตั้งกลุ่มนักฆ่าอย่างที่กล่าวหานั้น ไม่เป็นความจริง นั่นเป็นเพียงการเก็บเหล่าเด็กๆ ผู้อดอยากทั้งในและนอกเขตเมืองหลวงมา และสอนวิธีการใช้ชีวิตให้พวกเขาเท่านั้น อีกทั้งอำนาจของราชวงศ์ก็ระส่ำระสาย เพื่อปกป้องจักรพรรดิองค์ก่อน นั่นจึงเป็นวิธีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ส่วนการฉ้อฉลทรัพย์สมบัติราชวงศ์ ก็หาใช่กระหม่อม การลอบปลงพระชนม์อดีตจักรพรรดินีและพระองค์เองก็หาใช่กระหม่อมอีกเช่นกัน ล้วนเป็นสนมที่ไม่ได้รับความสนใจจึงลงมือด้วยความริษยา กระหม่อมไม่อาจเอาชนะการข่มขู่จนนำมาซึ่งความผิด และท้ายที่สุด การกล่าวหาว่ากระหม่อมป้ายสีให้มหาเสนาบดีพลาธิการ คยองยูลเป็นกบฏ คนผู้นั้นเป็นกบฏจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เมื่อจบถ้อยคำกล่าวขานความผิดของเจ้าหน้าที่ไต่สวน แพคมีกังก็โต้แย้งอย่างละเอียดทันทีโดยไร้ความละอาย แม้ว่าหลักฐานและพยานทั้งหมดจะอยู่ในมือของเขาแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับยังกล้ากล่าววาจาเช่นนั้น จนอยากตะโกนสั่งให้ลงทัณฑ์แยกร่างเสียเดี๋ยวนี้ดั่งใจคิด ทว่าเพียงแค่ทัณฑ์แยกร่างคล้ายจะไม่สามารถปลอบโยนวิญญาณอาฆาตของคนเหล่านั้นได้ แต่หากเปิดโปงจนถึงที่สุด เหล่าผู้สูญเสียชีวิตด้วยการกระทำของคนผู้นี้ก็จะได้รับความเป็นธรรม 


 


 


เพื่อทำลายมหาเสนาบดีพลาธิการและฝ่ายซอน แพคมีกังถึงกับลากโควังยามาเกี่ยวข้องจนต้องโทษประหาร และใช้อำนาจการตัดสินคดีที่ได้รับจากจักรพรรดิองค์ก่อนมาทำลายตระกูลของมหาเสนาบดีพลาธิการจนสิ้น นอกเหนือจากนั้นยังทำให้ขุนนางสังกัดฝ่ายซอนและคนในตระกูลของพวกเขาเหล่านั้นถูกประหารมากมาย 


 


 


ทั้งยังสั่งให้เหล่านักฆ่ายาอึมเคลื่อนไหว ข่มขู่ผู้เกี่ยวข้องที่มีชีวิตรอดและมีอำนาจเพียงน้อยนิดให้อยู่อย่างสงบ ถึงฝ่ายเชจะยึดครองราชสำนักแล้ว แต่ระหว่างนั้นหากมีผู้ใดคิดต่อต้านก็จะส่งนักฆ่ายาอึมไปจัดการ 


 


 


คำให้การจากนักฆ่าเหล่านั้น กล่าวว่าถูกเรียกให้ไปทำภารกิจนั้นโดยมอบหมายผ่านเถ้าแก่เจ้าของร้านผ้าไหม แล้วจะกล้ากล่าวโต้แย้งอันใดอีก 


 


 


จาฮอนสูดหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่เพื่อทำให้จิตใจตนสงบลง จากนั้นจึงเอ่ยสั่งการต่อเจ้าหน้าที่ไต่สวน 


 


 


“เริ่มได้ ลงโทษจนกว่าไร้ข้อโต้แย้งแม้แต่น้อย” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


เจ้าหน้าที่ไต่สวนผู้อ่านม้วนกระดาษเมื่อครู่ ม้วนมันกลับคืนเป็นอย่างดีก่อนจะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ไต่สวนอีกคน เมื่อได้รับสัญญาณก็ขยับเข้าไปใกล้แพคมีกังและส่งสัญญาณต่อให้เจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ คนผู้นั้นจึงขยับเข้ามาใกล้ทั้งๆ ที่ถือไม้ตะบองขนาดใหญ่อยู่ เจ้าหน้าที่ไต่สวนก้มมองชายชราและเอ่ยย้ำถาม 


 


 


“นักโทษแพคมีกังก่อตั้งกลุ่มฝึกฝนนักฆ่า และสั่งให้นักฆ่าเหล่านั้นบุกรุกวังหลวง เจ้ายอมรับความผิดนี้หรือไม่” 


 


 


“กระหม่อมกราบทูลไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องผิดจากความเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“มีหลักฐานหรือพยานพิสูจน์ว่านั่นมิใช่ความจริงหรือไม่ หากมี จงแสดงออกมาเสีย” 


 


 


คำกล่าวของเจ้าหน้าที่ไต่สวนทำให้แพคมีกังทอดถอนใจอย่างแผ่วเบา หัวหน้าของกลุ่มยาอึม ฝ่ายเดียวกับตนกำลังรอการไต่สวนอยู่ในคุกหลวงเช่นกัน ส่วนสามผู้ดูแลของฝ่ายเชที่ออกค้นหาพวกเด็กๆ ก็ปรากฏตัวในลานไต่สวน ทว่าทันทีที่ตนขอร้องให้ช่วยแก้ต่าง บ้างก็กล่าวว่านึกอะไรไม่ออก บ้างก็กล่าวว่าตนไม่ได้ไป หลีกเลี่ยงการออกมาเป็นพยาน 


 


 


หลังจากเหตุการณ์หน้าตำหนักฮวังรยง ก็ไม่มีผู้ใดมาพบเขาสักคน ดังนั้น แพคมีกังจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างด้านหน้าตำหนักฮวังรยง ด้วยเหตุนั้นจึงไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นหวาดกลัวฝ่าบาท เนื่องจากพระองค์ทรงกำจุดอ่อนของแต่ละคนเอาไว้ และเพื่อรักษาตำแหน่งของตนจึงต้องหันหลังให้เช่นนี้  


 


 


มิใช่เพียงคนเหล่านั้น กระทั่งเหล่าขุนนางที่ยามปกติมักจะคัดค้านองค์จักรพรรดิ เคยแบ่งปันความลับและฉ้อฉลร่วมกันต่างก็หันหลังให้กับแพคมีกังเช่นกัน ดังนั้น ชายชราจึงไม่อาจหาใครสักคนมาช่วยยืนยันให้ตน ณ ลานไต่สวนแห่งนี้ 


 


 


แม้ว่าหลังจากยังจาฮอน จักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ บุรุษผู้นี้จะกลายเป็นพยัคฆ์แห่งราชสำนัก ทว่าสำหรับเขาผู้อยู่เหนือใครๆ เมื่อครั้งจักรพรรดิองค์ก่อน การกระทำเช่นนี้จึงนับเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวง การประกาศความจริงว่าตนถูกเหล่าขุนนางฝ่ายเชทอดทิ้งโดยสมบูรณ์ต่อหน้าผู้คนมากมาย จึงได้แต่โกรธแค้นและขุ่นเคืองอย่างไม่อาจฝืนทน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว กระทั่งความโกรธแค้นก็ยังแสดงออกมาไม่ได้ สุดท้ายแล้วแพคมีกังจึงต้องทอดถอนใจเฮือกใหญ่อีกหนและกล่าวออกมาอย่างเนิบนาบ 


 


 


“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากไม่มีพยานหรือหลักฐานยืนยัน แล้วจะโต้แย้งว่าผิดจากความเป็นจริงได้อย่างไร” 


 


 


“กระหม่อมรู้สึกไม่เป็นธรรม จึงจำเป็นต้องโต้แย้งพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเพียงแค่เก็บพวกเด็กๆ มาเลี้ยงดูเท่านั้น มันไม่ยุติธรรมเลย!” 


 


 


การยอมรับผิดและเลือกรับโทษทัณฑ์อย่างสง่าผ่าเผย ย่อมเป็นหนทางสุดท้ายที่จะรักษาเกียรติยศเอาไว้ แม้ชีวิตของแพคมีกังจะมีเรื่องค้างคาใจอยู่มากมาย แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว ดังนั้น แม้จะมีความหวังเพียงริบหรี่ ก็อยากดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตของตนก่อน 


 


 


 


 


 


[1] มุนซานังช็อง ตำแหน่งพิเศษที่รับผิดชอบการจดบันทึกรายละเอียดการตัดสินคดีของนักโทษ 


 


 


[2] มงดู เครื่องลงทัณฑ์ที่สวมครอบที่ศีรษะยามนักโทษอาญาถูกจับกุม 

 

 

 


ตอนที่ 10-11 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-11 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


เมื่อจบสิ้นถ้อยคำของแพคมีกัง เจ้าหน้าที่ไต่สวนจึงหันกลับทางฝ่าบาทก่อนจะค้อมคำนับแล้วเอ่ยขออนุญาต 


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมขอประทานอนุญาตเบิกตัวผู้ให้การเพื่อยืนยันความผิดของนักโทษแพคมีกังพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อนุญาตตามนั้น” 


 


 


ทันทีที่ได้รับคำอนุญาต อีกฝ่ายจึงออกคำสั่งแก่ทหารหลวงด้านหนึ่งให้นำตัวพยานมา ทหารหลวงเดินหายไปทางตำหนักคอนรยุง หลังจากนั้นก็มีบุรุษสองคนสวมอาภรณ์เฉกเช่นบัณฑิตก็ถูกพาตัวเข้ามา ทั้งคู่หยุดยืนห่างจากเจ้าหน้าที่ไต่สวนเล็กน้อย จากนั้นก็คุกเข่าคำนับแสดงความเคารพต่อองค์จักรพรรดิ 


 


 


“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“ลุกขึ้นแล้วทำเรื่องที่ต้องทำเสีย” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทั้งสองลุกขึ้นและหันกลับมาทางแพคมีกัง ชายชราพึมพำในใจว่าจะให้คนที่เพิ่งเจอกันเป็นคราแรกมายืนยันสิ่งใดกัน แต่เมื่อมองหน้าอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เผลอส่งเสียงสบถออกมาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“พวกเจ้า! ไอ้พวกอกตัญญู!” 


 


 


ด้วยเพราะเดิมทีมักจะสวมอาภรณ์สีดำอยู่เสมอ อีกทั้งยังพบเจอกันในภายใต้ความมืดมิด แพคมีกังจึงไม่อาจจดจำได้ในทันทีเมื่อคนเหล่านี้สวมอาภรณ์สีขาว ทั้งสองคนตรงหน้า ตนเป็นผู้นำพามาด้วยตนเอง ส่งให้ไปลอบฆ่าผู้อื่นมากมายเพื่อข่มขู่ให้หวาดกลัว 


 


 


น้ำเสียงตวาดของแพคมีกังทำให้เจ้าหน้าที่ไต่สวนกระดิกนิ้ว ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ก็ขยับเข้ามาฟาดไม้ตะบองสั้นลงบนหลังนักโทษ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของเจ้าตัวทันที 


 


 


“นักโทษห้ามเปิดปากโดยไม่ได้รับอนุญาต” 


 


 


“…รับทราบขอรับ” 


 


 


“พยานจงกล่าวตามตรง ใช้ชีวิตทำอะไรอยู่ที่ใด เกี่ยวข้องอย่างไรกับแพคมีกัง จงกล่าวออกมาอย่าได้มีตกหล่น” 


 


 


สิ้นคำสั่งของเจ้าหน้าที่ไต่สวน บุรุษผู้หนึ่งจึงเอ่ยปากขึ้น 


 


 


“ผู้น้อยคือหนึ่งในนักฆ่าสังกัดยาอึม ตอนเจ็ดขวบถูกจับมาอยู่หมู่บ้านในหุบเขาใกล้เขตชายแดนขอรับ เนื่องจากบิดามารดาไม่อาจใช้หนี้ได้ พวกท่านจึงถูกทุบตีจนเจ็บป่วยและจากโลกไปในที่สุด นายท่านกล่าวว่าจะทำให้ข้าน้อยไม่ต้องอดอยาก ไม่ต้องนอนข้างถนน ผู้น้อยจึงได้ติดตามกลับมา ทว่านายท่านก็แจ้งว่าต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการมอบชีวิตเพื่อนายท่าน ดังนั้น ผู้น้อยจึงต้องร่ำเรียนการฟันดาบ ยิงธนู การใช้อาวุธลับ การต่อสู้มือเปล่า ร่วมกับเด็กคนอื่นๆ รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้พิษด้วยขอรับ เมื่ออายุสิบหกปีก็ได้รับคำสั่งให้ลอบสังหารโดยไม่อาจทราบเหตุผล และหลังจากนั้นก็มีคำสั่งให้ลอบสังหารผู้อื่นอีกหลายคราขอรับ” 


 


 


ส่วนเรื่องราวของบุรุษอีกคนก็คล้ายคลึงกัน แตกต่างเพียงแค่ว่าคนผู้นี้ได้รับการช่วยเหลือยามถูกพวกขอทานรุมทำร้าย และด้วยมีมารดาป่วยเป็นโรคที่มีน้ำหนองไหลจากช่วงล่าง จึงทำการฆ่าผู้เป็นมารดาด้วยมือตนเองตามการโน้มน้าวจากมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ แพคมีกัง 


 


 


“ตอนนั้นผู้น้อยอายุสิบขวบขอรับ นายท่านบอกว่าโรคนั้นไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นการทำให้ตายอย่างสงบ จึงนับเป็นการแสดงความกตัญญูอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดขอรับ” 


 


 


เล่ากล่าวพร้อมปล่อยน้ำตาที่ไม่อาจหลั่งเมื่อครั้นนั้นออกมา เสียงสะอื้นในลำคอของอีกฝ่ายทำให้แพคมีกังขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


ขุนนางฝ่ายเชผู้หนึ่งเคยกล่าวว่าสัตว์หัวดำไม่รู้คุณคน ไม่ควรนำมาเลี้ยงดู ความโกรธของชายชราปะทุขึ้นทันทีเพราะหลักฐานของคำกล่าวนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้า อุตส่าห์ให้ความช่วยเหลือยามพวกมันร้องขอชีวิต แต่สุดท้ายกลับก่อให้เกิดโทษแก่ตนเองเช่นนี้ แม้จะรู้สึกเสียใจก็สายไปเสียแล้ว 


 


 


เจ้าหน้าที่ไต่สวนสั่งให้พยานเล่าความเกี่ยวกับการลอบสังหารอย่างละเอียด เจาะจงถึงเป้าหมายที่ ‘นายท่าน’ สั่งการให้ลอบสังหาร พวกเขาล้วนจดจำได้ไม่มีตกหล่นสักคน หลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็เอ่ยถามย้ำกับแพคมีกังอีกครั้ง 


 


 


“พยานให้การเช่นนี้ ยังจะกล่าวว่าได้รับความไม่ชอบธรรมอีกหรือ” 


 


 


“เจ้าพวกอกตัญญู” 


 


 


“ข้าถามว่ามีความไม่ชอบธรรมอีกหรือไม่” 


 


 


“ลืมบุญคุณที่ข้าช่วยเลี้ยงดูพวกเจ้า แล้วยังบังอาจ…” 


 


 


“อย่าได้เอ่ยตามใจชอบโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าถามว่ายังมีความไม่ชอบธรรมอยู่หรือไม่ หากไม่มี จะยอมรับความผิดหรือไม่! จงตอบเพียงเท่านั้น” 


 


 


มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ได้แต่ยอมรับความผิดเท่านั้น ช่วยชีวิตพวกมันด้วยตนเอง แต่พวกมันกลับกล่าวเรื่องที่ตนสั่งอย่างละเอียด แต่อย่างไรก็ไม่อาจเอ่ยปากยอมรับออกมาง่ายๆ เพราะไม่คิดว่าตนทำความผิดเลยสักนิด เกิดมาเป็นบุรุษ ไหนเลยจะไม่อยากลองต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่ของตนดูสักหน 


 


 


เขาเพียงแค่ยื่นมือเข้าไปในการต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่และได้รับชัยชนะจากที่นั่นมาก็เท่านั้น แม้จะผิดพลาดไปบ้างก็ตาม ปล่อยมือที่คว้าสตรีผู้โง่เขลาช้าไป วางยาพิษบุตรชายของนางแทนการยืนหยัดในฐานะบิดาหุ่นเชิด  


 


 


แพคมีกังปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยยอมรับความผิดของตน เจ้าหน้าที่ไต่สวนรอคอยท่ามกลางความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกทหารหลวงมาจัดการมัดรวบแขนนักโทษไพล่หลังพนักเก้าอี้ 


 


 


“ลงทัณฑ์ได้” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


เจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ ก้าวมายืนด้านหน้าแพคมีกัง ก่อนจะฟาดต้นขาด้วยตะบอง ความเจ็บปวดทำให้ลมหายใจหยุดชะงัก ชายชราร้องออกมาอย่างเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเสียงของเจ้าหน้าที่ไต่สวนก็ดังขึ้นอีกหน 


 


 


“จะยอมรับความผิดหรือไม่” 


 


 


เนื่องจากเคยได้รับอำนาจในการไต่สวนคดีของมหาเสนาบดีพลาธิการมาจากจักรพรรดิองค์ก่อน เขาจึงทราบเกี่ยวกับการลงทัณฑ์เป็นอย่างดี 


 


 


หากถูกลงทัณฑ์ด้วยตะบองนี้แค่เพียงสองครา เนื้อก็จะแตก กล้ามเนื้อฉีกขาดจนไม่สามารถเดินได้ แน่นอนว่าสำหรับนักโทษแล้ว ย่อมไม่มีการเรียกหมอมารักษาอาการให้ และต้องดำเนินการไต่สวนต่อไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ผิวเนื้อแตกฉีกเน่าเปื่อย 


 


 


และชายสูงวัยอย่างตนคงไม่อาจทนทานได้ สุดท้ายก็ต้องยอมรับความผิด  


 


 


พลันนึกถึงมหาเสนาบดีพลาธิการขึ้นมา คนผผู้นั้นอดทนร้องขอความเป็นธรรมจนกระทั่งจบการไต่สวน นึกถึงท่าทางที่พยายามกัดฟันอดทน นึกถึงท่าทางเย้ยหยันของตน สุดท้ายรอยยิ้มฝืดเฝื่อนก็ประดับบนริมฝีปากของแพคมีกัง 


 


 


ดังนั้น ก่อนตะบองจะฟาดลงมาอีกหน ชายชราจึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ 


 


 


“ข้าน้อย….ยอมรับความผิดขอรับ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ทั้งท้องฟ้า ทั้งพื้นดิน โดยรอบล้วนไร้สุ้มเสียงใดๆ เสียจนน่าประหลาด อีกทั้งยังขาวโพลนไปหมด ดั่งเป็นเขตอาราม และทันใดนั้นภายในอารามเงียบสงบก็พลันเกิดเสียงอะไรบางอย่างกระทบพื้น 


 


 


ฝนตกลงมาหรืออย่างไร พื้นดินถึงดูชุ่มชื้นต่างกับเสียงกรอบแกรบและแตกออก ภายในครรลองสายตาของเขาพลันปรากฏภาพรองเท้าสะอาดสะอ้าน ประดับลวดลายสีขาว เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าลมหายใจพรูออกมาเป็นไอสีขาวกระจายตัวในอากาศ อีกทั้งเมื่อลองยกมือขึ้นก็ปรากฏเป็นเสื้อนวมหนาปกคลุมร่างกายอยู่ 


 


 


“ฤดูหนาวแล้วหรือ” 


 


 


เสียงแห้งผากดังแหบแห้งออกจากลำคอ แม้จะไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวเย็น ทว่ายามนี้เป็นฤดูหนาวอย่างแน่นอน ถึงแพคมีกังจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็กวาดสายตามองสถานที่คุ้นตาอย่างช้าๆ จากนั้นคิ้วก็พลันขมวดมุ่นทันใด 


 


 


จากอาภรณ์ที่สวมใส่ ปลายรองเท้าสีขาวที่ยื่นออกมา กระทั่งพื้นดินปกคลุมด้วยน้ำแข็งจนดังกรอบแกรบยามพื้นรองเท้าเหยียบ ล้วนบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นฤดูหนาว ทว่าทิวทัศน์โดยรอบกลับไม่เหมาะสมกับอากาศเลยแม้แต่น้อย ทุกที่ที่สายตามองผ่าน ดอกไม้หลากสีสันผลิบานเต็มพื้นที่ กระทั่งบนพื้นหิมะขาวโพลนก็ยังมีดอกไม้ฤดูร้อนผลิบานอยู่ 


 


 


“นี่มันดอกไม้ใดกัน” 


 


 


แพคมีกังกวาดมองโดยรอบอีกคราพร้อมพึมพำลำพัง ขยับก้าวเดินช้าๆ อย่างไม่อาจทราบเหตุผล เพียงรู้สึกว่าจะต้องเดินเข้าไปยังตัวอาคารเบื้องหน้าเท่านั้น 


 


 


รอยเท้าขยับก้าวหลายสิบก้าวจนมายืนตรงทางเข้าตัวอาคาร จากนั้นก็ดึงประตูเปิดออก กระทั่งประตูบานนี้ก็ยังคุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก แพคมีกังเข้าไปด้านใน ก่อนจะตระหนักว่าที่แห่งนี้มีเรือนแยกออกมาสำหรับต้อนรับแขก และเป็นจวนของใครบางคน 


 


 


“เชิญเข้ามาเถิด” 


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำและหนักแน่นของบุรุษดังขึ้น เป็นน้ำเสียงที่สัมผัสได้ถึงความอาวุโส แพคมีกังทอดถอนใจเฮือกหนึ่งพร้อมขยับก้าวอย่างช้าๆ และนั่งลงบนเก้าอี้ที่มองเห็นคล้ายตระเตรียมไว้เพื่อตัวเขา เมื่อนั่งลงแล้ว ผู้ที่นั่งตรงข้ามจึงส่งถ้วยชาที่มีกลุ่มควันลอยคลุ้งมาทางด้านหน้าตน 


 


 


“สบายดีหรือไม่” 


 


 


“คำถามนั้นออกจะน่าขัน ท่านมหาเสนาบดีพลาธิการ” 


 


 


“เช่นนั้นหรือ ข้าทิ้งบันทึกนั่นไว้ แล้วยังจะถามเช่นนี้อีก ก็คงจะเป็นอย่างนั้นสินะ” 


 


 


“ก็ประมาณนั้นกระมัง” 


 


 


แพคมีกังตอบโต้ด้วยเสียงแผ่วเบาจนเกือบจะเป็นเพียงการพึมพำ คยองยูลอายุห่างจากตนไม่กี่ปี แต่กลับหัวเราะราวกับเป็นผู้เฒ่าอายุมากแล้ว เขาจ้องมองสีหน้าเหมือนได้ฟังคำบ่นจากหลานวัยเยาว์ของอีกฝ่าย ก่อนจะทำสีหน้าไม่สู้ดีนักแล้วยกถ้วยชาอุ่นๆ ขึ้นมาดื่ม 


 


 


ทันทีที่เสียงกึกดังขึ้นจากการวางถ้วยชาลง คยองยูลก็ทอดถอนใจแล้วเปิดปากกล่าว 


 


 


“เมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็มิได้เลวร้ายเช่นนี้มิใช่หรือ” 


 


 


“เคยเป็นเช่นนั้นเมื่อใดกัน” 


 


 


“เมื่อครั้นโซยงยังเล็ก เราไม่ได้ปรองดองกันหรอกหรือ” 


 


 


“นั่นเป็นความคิดท่านมหาเสนาบดีพลาธิการเพียงผู้เดียวมิใช่หรือ” 


 


 


แพคมีกังพึมพำออกมา แม้จะรู้สึกประหลาด ทว่าจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูมีอายุขึ้น แต่ก็ไม่มีทางเข้าใจเรื่องราวได้เลย หลังจากจมอยู่ในความคิดครู่หนึ่ง จนกระทั่งมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าก่อนหน้า เขาเลยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่มีพลังมากขึ้น 


 


 


“ไม่คิดจะกล่าวโทษฝ่ายเชสักคำเลยหรือ” 


 


 


“หากข้าทำเช่นนั้น พวกเจ้าจะหยุดหรืออย่างไร” 


 


 


“ก็คงจะรับฟังบ้าง” 


 


 


น้ำเสียงของแพคมีกังอ่อนวัยลงเล็กน้อย ทว่าคนตรงหน้ายังคงเดิม ราวกับมีเพียงเวลาของเขาเท่านั้นที่กำลังถอยหลัง  


 


 


คยองยูลยกถ้วยชาขึ้นขยับเข้าใกล้ริมฝีปากพลางยกยิ้มบาง 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงไม่ป่าวร้อง แต่กลับเก็บซ่อนเรื่องบันทึกนั่นไว้กับตัว จนกระทั่งยามเห็นร่างของข้าล้มลง ข้าไม่อาจเข้าใจได้เลย” 


 


 


“หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


“คนเราย่อมแก่เฒ่า จึงต้องใจกว้างและมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ แต่คล้ายสิ่งนั้นจะไม่ได้ขัดเกลาคุณธรรมของเจ้า” 


 


 


“เช่นนั้น ข้าถึงถามว่าหมายความว่าอย่างไรกัน” 


 


 


“หนทางนี้ช่างยืดยาว โดดเดี่ยวและเหน็บหนาว ข้าถึงไม่ไปเสียก่อน ยังรอคอยจนถึงตอนนี้ รอร่วมเดินทางกับเจ้าดั่งมิตรสหาย ถึงแม้จะเพิ่งมาพูดเอาเวลานี้ แต่ข้าไม่คิดอาฆาตริษยาใดๆ ไม่คิดซักไซ้เหตุผล หรือบอกกล่าวถึงความดีความเลว” 


 


 


“ท่าน….” 


 


 


ยามนี้น้ำเสียงของเด็กน้อยดังออกมาจากปาก อาภรณ์ตัวหนาที่ผูกไว้อย่างดีหลุดตกจากไหล่ ยามนี้แพคมีกังกลายเป็นเด็กน้อยผู้มีรอยยิ้มประดับอยู่ จ้องมองคยองยูลด้วยสายตางุนงง คยองยูลจึงยกยิ้มเอ็นดูก่อนจะขยับปากเอ่ย 


 


 


“จุดจบสุดท้ายก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น” 


 


 


คำกล่าวนั้นดังก้องในโสตประสาท และท่ามกลางสิ่งนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงดุดันและเสียง พลั่ก! ความเจ็บปวดแล่นปราดตั้งแต่แผ่นหลัง กระจายไปทั่วร่างกาย 

 

 

 


ตอนที่ 10-12 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 

ตอนที่ 10-12 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ

 


แพคมีกังส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและลืมตาขึ้น ที่แห่งนี้คือลานไต่สวน 


 


 


รสชาติโลหิตคลุ้งในปาก นิ้วมือก็เจ็บแปลบอย่างยิ่ง รู้สึกเจ็บและแสบคันบริเวณต้นขาในเวลาเดียวกันหลังถูกตะบองฟาด ลาดไหล่เหมือนลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ หน้าผากก็คล้ายถูกทิ่มแทงด้วยเป็นนับพันเล่ม 


 


 


การพูดคุยสนทนากับคยองยูลก่อนหน้านี้คล้ายเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่ หากไม่ใช่เรื่องโกหก ก็เป็นเพียงจินตนาการของตน หรือบางทีอาจจะเป็นความฝัน… 


 


 


การพิพากษาคนผู้นั้น เขาเป็นผู้ตัดสิน คำสั่งลงโทษก็เป็นเขาอีก ศีรษะของอีกฝ่ายร่วงตกลงต่อหน้าและถูกเสียบประจาน ก็เพราะเขาออกคำสั่งเอง 


 


 


“ยอมรับใช่หรือไม่” 


 


 


ความเจ็บปวดก็คือความเจ็บปวด ทว่าถึงแม้จะเป็นเพียงจินตนาการ แต่ความจริงที่ว่าได้พบคยองยูลในยามที่ตนตกอยู่ในสภาพตกต่ำอย่างถึงที่สุดเช่นนั้น มันช่างน่าอับอายและน่าอัปยศ เขาจึงไม่ได้ยินสุ้มเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนั้นจึงพลาดโอกาสฟังคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ไต่สวน 


 


 


แม้จะพลาดคำถาม แต่ก็จดจำได้ว่าวันนี้เป็นการตัดสินคดีครั้งสุดท้ายแล้ว โดยปกติโทษหนักหนาที่สุดจะทำการสอบสวนในวันสุดท้าย ดังนั้น เรื่องที่สั่งให้ยอมรับในเวลานี้ ก็อาจจะเป็นโทษฐานโยนความผิดการก่อกบฏให้ผู้อื่น หรือโทษฐานสั่งให้ลอบสังหารเชื้อพระวงศ์ ต้องเป็นข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนี้เป็นแน่ 


 


 


“เฮ้อ…” 


 


 


แพคมีกังทอดถอนใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


ความผิดนี้ ต้องทำเช่นไร แล้วความผิดนั้น ต้องทำเช่นไร สุดท้ายก็ต้องยอมรับความผิดทั้งหมด มีความผิดเพิ่มขึ้นอีกสักอย่างสองอย่างจะมีต่างอะไรกันเล่า โทษทัณฑ์เพิ่มขึ้นจะมีผลอันใด 


 


 


“ยอมรับขอรับ” 


 


 


ชายชราตะโกนยอมรับความผิดด้วยน้ำเสียงไม่ปกตินัก จากนั้นบนหน้าผากก็ปรากฏร่องรอยตัวอักษรสีแดงแจ่มชัดว่ากบฏ เจ้าหน้าที่ไต่จึงสวนหมุนตัวกลับ ก่อนจะค้อมคำนับต่อองค์จักรพรรดิแล้วกล่าวรายงาน 


 


 


ทันทีที่ฝ่าบาทยกพระหัตถ์ข้างหนึ่งขึ้นมา ภายในลานพลันเงียบสงัดในชั่วพริบตา แพคมีกังจ้องมองด้วยแววตาพร่าเลือนทั้งๆ ที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ฝ่าบาทเองก็จ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วขยับปากกล่าวอย่างเนิบช้า 


 


 


“นักโทษแพคมีกังจงฟัง ความผิดฐานลอบสังหารเชื้อพระวงศ์ ความผิดฐานฉ้อฉลทรัพย์สินของราชวงศ์ ความผิดฐานลอบคบชู้กับสนมของจักรพรรดิองค์ก่อน ความผิดฐานกุเรื่องป้าสีว่าผู้อื่นเป็นกบฏ ความผิดฐานก่อตั้งกลุ่มนักฆ่า เลี้ยงดูนักฆ่าและข่มขู่ผู้อื่นมากมาย ความผิดฐานปลุกปั่นราชสำนักด้วยความขัดแย้งการสร้างภายในกลุ่ม เพื่อชดใช้ความผิดทั้งหมดนี้ หลังจากต้องโทษประหารและรับทัณฑ์แยกร่างแล้ว ก็ให้นำหัวไปเสียบประจานเสีย จงดำเนินการลงทัณฑ์โดยเร็วที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอจนกระทั่งจบการไต่สวนของผู้อื่น” 


 


 


“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


เจ้าหน้าที่ไต่สวน เจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ รวมถึงทุกคนในลานต่างหมอบคำนับรับสั่งขององค์จักรพรรดิอย่างพร้อมเพรียง จาฮอนลุกจากที่ประทับ จ้องมองสีหน้าว่างเปล่าราวกับสูญสิ้นทุกสิ่งของแพคมีกังสักพัก  


 


 


“ค่อยนำชูอันกเว[1] มารายงานที่ตำหนักอุนฮยอนภายหลัง” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จากนั้นฝ่าบาทก็เสด็จออกจากลานไต่สวน ดังนั้น การพิพากษาอดีตมหาเสนาบดีตุลาการจึงจบลงเพียงเท่านี้ แพคมีกังถูกลากกลับไปยังคุกหลวงและดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด 


 


 


 


 


 


ไม่นานนักการรับโทษทัณฑ์ของแพคมีกังก็เริ่มขึ้น เดิมทีหลังจากถูกตัดสินว่ารับโทษประหารย่อมต้องได้รับทัณฑ์แยกร่างและถูกตัดศีรษะเสียบประจาน ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดฝ่าบาทถึงทรงเปลี่ยนแปลงการลงโทษ ภายหลังจากประหารก็ให้ตัดหัวเสียบประจานเลย มิต้องได้รับทัณฑ์แยกร่าง ให้ผู้สูงวัย อดีตขุนนางผู้ภักดีของจักรพรรดิองค์ก่อนแบกรับโทษทัณฑ์มากมายเช่นนั้น นับเรื่องโหดร้ายและมิใช่วิธีอันเป็นธรรม พระองค์ทรงอธิบายเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงออกมาเล็กน้อย ทว่าแท้จริงสาเหตุเป็นเพราะโซกัง 


 


 


หลังจากผ่านการพิพากษาไต่สวนคดีไปสองวัน โซกังก็ฝันถึงลานประหารที่ไม่อาจพบเห็น มีโลหิตเจิ่งนองบนพื้น รวมถึงร่างไร้ศีรษะของผู้คน โลหิตทะลักทลายออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ คยองยูล จะปรากฏตัวขึ้น 


 


 


“มิแสดงความเมตตาสุดท้ายหน่อยหรือ” 


 


 


ตลอดห้วงความฝันนั้น โซกังไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือเจ็บปวดใดๆ เลย เพียงได้พบอีกฝ่ายก็เปี่ยมปีติยินดี ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับแตกต่างอยู่บ้าง เนื่องจากเจ้าตัวไม่อาจตื่นจากการหลับใหล ร่างบอบบางชื้นด้วยเหงื่อกาฬไหลซึมพลางเพ้อละเมอ อีกทั้งยามตื่นขึ้นมาก็เอาแต่นั่งเหม่อไม่หยุดหย่อน สตินึกคิดไม่ได้กลับสู่สภาพปกติ เอาแต่เอ่ยชื่อผู้คนที่จากไปแล้วพร้อมกับร้องไห้ออกมา 


 


 


ไม่เพียงแค่เท่านั้น โซกังยังเป็นไข้จนหมดสติ ร่างกายสั่นสะท้านด้วยอาการหนาวสั่น แม้จะเสริมเตาอุ่นใต้เตียงเพิ่งเป็นสองเตาและห่มผ้าทับอีกหลายชั้น แต่เจ้าตัวก็ยังบอกว่าหนาว 


 


 


ระหว่างสติเลือนรางด้วยพิษไข้ โซกังจึงเอ่ยร้องขอความเมตตาแก่นักโทษเหล่านั้นจากคนรัก เดิมทีจาฮอนไม่มีจิตคิดเมตตาแม้เพียงเศษขี้ตา ทว่าเมื่อคนรักเอ่ยปากขึ้นมาเช่นนี้ทั้งๆ ที่ป่วยไข้ เขาก็ไม่มีทางจะไม่รับฟัง 


 


 


ด้วยเหตุนั้น โทษทัณฑ์ของแพคมีกังจึงเหลือเพียงตัดหัวเสียบประจานเท่านั้น และโทษทัณฑ์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายก็ลดหลั่นเบาลงโดยทั่วกัน 


 


 


 


 


 


หลังจากเสร็จสิ้นการไต่สวนและการลงโทษนักโทษจนครบทั้งหมดแล้ว สภาพอากาศก็อบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


เหล่าขุนนางกลับสู่ความสงบและก่อนจะส่งเสียงตอบรับอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ทว่าองค์จักรพรรดิกลับตัดสินใจกระทำการบางอย่างอย่างเด็ดเดี่ยว ด้วยการแต่งตั้งบุรุษซึ่งไม่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทได้ขึ้นนั่งตำแหน่งจักรพรรดินี แม้จะไม่มีกฎข้อห้าม แต่ก็ไม่เคยมีแบบอย่างหรือปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทว่าไม่มีผู้ใดหรือกลุ่มใดเอ่ยคัดค้านพระประสงค์ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ตรัสออกมาเพียงแค่ประโยคเดียว 


 


 


‘อย่าได้ลืมว่าเพราะเหตุใดมหาเสนาบดีตุลาการ แพคมีกังจึงกลายเป็นเช่นนั้น’ 


 


 


เหมือนเป็นการข่มขู่ว่าหากกล้าแตะต้องยูโซอี ตนก็จะไม่อยู่เฉยเป็นแน่ แม้จะช่วยจุดไฟเผาม้วนกระดาษตามสัญญา ทว่าเหล่าขุนนางฝ่ายเชที่เหลือก็ไม่คิดว่าพระองค์จะทรงหลงลืมเนื้อความในนั้น จึงไม่ได้กล้าส่งเสียงคัดค้านใดๆ ทว่าความจริงแล้วภายในม้วนกระดาษนั้นหาได้มีสิ่งใดพิเศษ แต่คนเหล่านั้นหวาดกลัวกันไปก่อนเอง จาฮอนจึงสามารถแต่งตั้งให้โซกังขึ้นเป็นจักรพรรดินีได้อย่างง่ายดายยิ่ง 


 


 


จากนั้น วังหลวงจึงกลับคืนสู่ความสงบสุข 


 


 


 


 


 


ยามบ่ายวันหนึ่งที่มีแสงแดดสดใส จาฮอนกับโซกังจับมือกันเดินเล่นอย่างเนิบนาบเอื่อยๆ อยู่ภายในตำหนักฮงฮวา ในมือของขันทีและนางกำนัลที่ยืนทิ้งระยะห่างล้วนถือผ้าไหมผืนใหญ่สำหรับใช้ปูรองนั่งและตะกร้าใส่อาหารเอาไว้ 


 


 


โดยบริเวณด้านหลังมีคนสองคนกำลังพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จนจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง 


 


 


“พรุ่งนี้ข้าตั้งใจจะบอกเช่นนั้น” 


 


 


“เหล่าขุนนางต้องตำหนิข้าเป็นแน่ ต้องถูกกล่าวว่าทำให้ฝ่าบาทหลงใหลจนกระทำเช่นนี้” 


 


 


“นั่นก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดอันใด” 


 


 


“ใยถึงกล่าวว่ามิใช่คำพูดที่ผิดเล่า” 


 


 


“ก็เจ้าทำให้ข้าหลงใหลจริงๆ มิใช่หรือ ด้วยเรือนร่างเย้ายวน ไร้ซึ่งอาภรณ์” 


 


 


จาฮอนขบคิดบางสิ่งพลางกวาดสายตามองเรือนร่างของโซกังก่อนจะยกยิ้ม เมื่อเข้าใจว่าอีกฝ่ายกล่าวถึงเรือนร่างยามใดแล้ว ใบหน้าของเจ้าตัวก็พลันแดงซ่าน ทุบตีลงบนต้นแขนแกร่ง เขาเลยหลุดหัวเราะและคว้าแขนโซกังเอาไว้ ก่อนจะโอบกอดรอบเอวคอดอย่างรวดเร็ว 


 


 


เหล่านางกำนัลกับขันทีผู้ติดตามต่างรู้ว่าทั้งสองคนจะทำอะไร ทุกคนต่างหยุดฝีเท้าและหันหลังให้โดยพร้อมเพรียง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นวันละหลายๆ ครั้ง ตอนนี้พวกเขาจึงไม่รู้สึกตื่นตกใจอีกต่อไปแล้ว 


 


 


จาฮอนแนบประทับริมฝีปากอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ส่งเรียวลิ้นออกมาไล้เลียกลีบปากอ่อนนุ่ม 


 


 


“แม้จะมาพูดเอาเวลานี้ ทว่าเมื่อคราแรกนั้น ข้านึกไปว่าเจ้าเป็นเทพธิดาฮังอาลงมาจากฟากฟ้าเสียอีก” 


 


 


“กล่าวเทียบบุรุษว่าเป็นเทพธิดาฮังอาอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ถึงจะได้เห็นอยู่ทุกวัน แต่เจ้าก็ยังงดงามอยู่ทุกวัน แม้ได้โอบกอดอยู่ทุกวัน ก็รู้สึกไม่เพียงพอเสมอ ดูท่าคงจะไม่ใช่การเข้าใจผิดเสียแล้วสิ” 


 


 


โซกังซุกซ่อนใบหน้าแดงก่ำลงกับอกของอีกฝ่าย จาฮอนหัวเราะพร้อมลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลม 


 


 


ช่วงล่างพลันยกชันคล้ายกล่าวว่าอยากโอบกอดคนตรงหน้าอีกแล้ว จนเขาได้แต่กร่นด่าส่วนล่างของตนให้รู้จักสำรวมบ้างในใจ 


 


 


ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าขึ้นสีแดงจัดเช่นนี้ ก็เกิดความคิดว่าหากแนบชิดภายใต้แสงจันทราส่องสว่างน่าจะดีไม่น้อย ยามโซกังจมดิ่งสู่ความขลาดเขิน จาฮอนก็กำลังขบคิดด้วยความเจ้าเล่ห์และทำให้อีกฝ่ายเขินอายมากยิ่งขึ้น 


 


 


ระหว่างครุ่นคิดเพราะอยากลิ้มลองแนบชิดด้วยภาษากายในยามค่ำคืน เขาก็สั่งให้ขันทีปูผ้าตรงมุมหนึ่งของตำหนัก 


 


 


และเพลิดเพลินกับของว่างยามบ่ายอย่างเงียบๆ ร่วมกับโซกัง 


 


 


พร้อมภาวนาให้ทุกอย่างสงบสุขเช่นนี้ไปเรื่อยๆ 


 


 


 


 


 


[1] ชูอันกเว **บใส่บันทึกเนี้อหาคำให้การขอนักโทษ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม