(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 1
ตอนที่ 1-1 The blues
เวลาล่วงเลยมากว่าสัปดาห์แล้ว แต่ความหนาวเหน็บก็ยังคงทวีความรุนแรงอยู่เรื่อยๆ ลมหนาวหอบเอาความเย็นที่พร้อมแช่แข็งทุกสิ่งมาด้วย ความเย็นเยียบนั่นราวกับคมมีดกรีดลึกลงบนผิวหนังทะลุเข้าไปถึงภายใน แม้ว่าลมหนาวด้านนอกนั่นจะไม่สามารถพัดผ่านแทรกเข้ามาภายในห้องชุดสุดหรูแห่งนี้ได้ก็ตาม แต่ท่ามกลางความอบอุ่นภายในห้อง มันกลับมีบรรยากาศที่ชวนให้หนาวสะท้านกระจายตัวอยู่โดยรอบ
ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบจนเกือบจะวังเวงในห้องชุดแห่งนี้นั้น ฮันซองจูยังคงนั่งนิ่งราวกับหุ่นอยู่บนโซฟาตัวเดิม
“พี่ครับ วันนี้ก็จะไม่ออกไปไหนอีกแล้วเหรอครับ”
“…กลับไปซะ”
เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วละ มินซิกทำได้เพียงถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำออกมา เทน้ำในเหยือกลงไปในแก้วพร้อมทั้งหย่อนน้ำแข็งอีกหนึ่งก้อนตามลงไปด้วย
“น้ำอยู่นี่นะครับ ดื่มน้ำเย็นๆ แล้วก็ผ่อนคลายซะนะครับ”
“วางไว้นั่นแหละ”
เจ้าตัวยังคงกอดอกไว้แน่น และพยักหน้าตอบกลับเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวดูน่าชังเลยสักนิด มินซิกเองจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างเบามือ
‘ไม่รู้จักหนาวบ้างรึไงนะ’
แม้ว่าข้างในจะอบอุ่นแค่ไหน แต่ในฤดูที่มวลความหนาวเย็นมากองรวมกันอยู่แบบนี้ ซองจูก็ยังดื่มน้ำใส่น้ำแข็งได้โดยไม่สะทกสะท้าน เขาไม่เข้าใจอีกฝ่ายเลยจริงๆ
ก็นะ ไม่ใช่ว่าอีกคนเป็นแบบนี้ตลอดเสียเมื่อไหร่ ฮันซองจูน่ะ เป็นพวกชอบทำอะไรตามใจตัวเอง แถมยังเป็นคนที่เข้าใจยากสุดๆ ถึงเขาจะรู้ข้อนั้นดี แต่มันก็ยังเป็นปัญหาสำหรับคนที่ต้องทำงานใกล้ชิดจนแทบจะตัวติดกับอีกฝ่ายแบบเขาอยู่ดี พอถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าแอบบ่นพึมพำ มินซิกก็รีบหลบเลี่ยงสายตาพิฆาตนั่นด้วยการเดินเลี่ยงเข้าไปทางครัวอีกรอบ และในเวลาเดียวกันนั้น ขาที่กำลังก้าวอยู่ถึงกับชะงักเพราะเสียงเรียกจากซองจูที่ดังขึ้น
“นี่! มินซิก”
“ครับ มินซิกมาแล้วครับ”
“ถ้าไม่อยากตายก็อย่าพูดมาก”
“ขอโทษครับ”
เมื่อไหร่ที่ถูกซองจูเรียกชื่อของตัวเองแบบที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ มันทำให้เขาสังหรณ์ได้ถึงเค้าลางแห่งหายนะแปลกๆ และมันก็ไม่เคยจะพลาดด้วยสิ เขาจดจำได้ขึ้นใจเลยละ แล้วไอ้ท่าทางแปลกๆ แบบนั้นของซองจูน่ะ มันก็เกิดขึ้นมากว่าสิบวันแล้วด้วย
“พี่ครับ ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็เถอะ แต่พี่ก็ใจเย็นลงบ้างเถอะครับ แล้วนี่พี่ก็ไม่ได้ติดต่อพี่ซอยอนไปเลยใช่ไหมครับ ผมขอร้องละ พี่ลองติดต่อไปบ้าง สักวันละครั้งก็ยังดีนะครับ โทรศัพท์ผมมีสายเข้าจนเครื่องแทบจะระเบิดแล้ว แล้วเกือบครึ่งก็โทรมาถามเรื่องเกี่ยวกับพี่ทั้งนั้นด้วย…”
“หุบปาก”
“ครับ?”
“ฉันสั่งให้หุบปากซะ ถ้านายพูดชื่อนั้นต่อหน้าฉันอีก เตรียมหางานใหม่ได้เลย”
“…คะ…ครับ”
“เข้าใจแล้วก็กลับไปซะ”
แม้จะเพียงแวบเดียว แต่เขารู้สึกเหมือนมีมีดพุ่งมาจ่อที่คอ ในตอนที่สายตาเอาเรื่องนั่นเหลือบมองมา และนั่นก็ทำให้มินซิกตัดสินใจรีบวิ่งหางจุกตูดออกจากห้องของซองจูไปทันที
กึก
เมื่อเสียงล็อกอัตโนมัติจากประตูหน้าห้องดังขึ้น มินซิกถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ทันทีด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ…เพราะแบบนี้เองสินะ”
มินซิกบ่นพึมพำกับตัวเอง พร้อมกับมองประตูห้องบานใหญ่ของดาราชื่อดัง ฮันซองจู ด้วยแววตาสงสัย
ดาราตัวท็อปของวงการ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจนยากที่จะบรรยายออกมาได้หมด นักแสดงในสังกัดของบริษัทเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นที่มินซิกทำงานอยู่ ทันทีที่เขาได้เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการดาราในบริษัทแห่งนี้ เขาก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลฮันซองจูมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ เขาเองก็รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่เสมอ และยกให้ฮันซองจูเป็นบุคคลที่สำคัญกว่าใครๆ
แม้อีกฝ่ายจะมีข้อเสียเกินที่จะรับไหว ทั้งนิสัยเสียที่ค่อนไปทางเลวร้าย และเจ้าอารมณ์เป็นที่สุด
หลังจากมินซิกกลับไปที่บริษัทแล้ว ซองจูก็ยังคงเอาแต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับขเยื้อนไปไหนทั้งสิ้น เจ้าตัวยังคงเอาแต่กอดอกด้วยสีหน้าขุ่นเคืองใจ ฝังตัวเองเอาไว้กับโซฟาสุดหรูไม่ยอมขยับไปไหนแม้แต่น้อย
“ผ่านมาห้าปีแล้วงั้นเหรอ…”
ซองจูพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะหลับตาลง
เขารู้จักกับซอยอนเมื่อห้าปีก่อน ในงานปาร์ตี้เล็กๆ งานหนึ่ง
เขาเองก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ว่าปาร์ตี้นั้นมันเป็นงานปาร์ตี้อะไร อาจจะเป็นปาร์ตี้ฉลองวันเกิดของบรรดาพวกลูกหลานคนรวยสักคน ที่ต้องการจัดงานขึ้นมาเพื่อเอาเงินทองพวกนั้นมาละลายเล่น แล้วเชื้อเชิญคนอื่นๆ มาร่วมสนุกด้วยกัน ถ้าหากไม่ใช่ในสถานที่แบบนั้นแล้วละก็ คนอย่างฮันซองจูก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายรอยยิ้มเพื่อแลกกับมิตรภาพจอมปลอมพวกนั้นหรอก
ในสถานที่แห่งนั้น เขาได้พบกับซอยอนลูกสาวคนเล็กของตระกูลนักธุรกิจ เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปร่างหน้าตาและประวัติการศึกษาที่โดดเด่น จึงไม่แปลกที่เธอจะเป็นที่ถูกตาต้องใจของใครหลายๆ คนในงานนั้น สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงที่ชื่อว่าคิมซอยอนคนนี้ดูน่าสนใจนั้น สำหรับคนอื่นๆ คงเป็นรูปลักษณ์ภายนอกนั่น แต่สำหรับซองจู เขาคิดว่าที่ตัวเขารู้สึกสนใจเธอไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่ยังรวมไปถึงภูมิหลังของเธอด้วย และปาร์ตี้นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาและซอยอนได้คบหากัน
เหตุการณ์ตอนนั้นผ่านมาห้าปีแล้ว เมื่อเทียบกับตัวเขาในวัยสามสิบห้าปีตอนนี้แล้ว จะว่านานมันก็นาน จะว่าสั้นมันก็สั้น สำหรับความสัมพันธ์ที่สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ด้วยระยะเวลาขนาดนั้น มันก็เป็นเพียงความว่างเปล่า น่าแปลกที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับมันเลย นั่นคงเพราะ…
“ยังไงซะ มันก็ไม่ใช่ความรักอยู่แล้ว”
ซองจูบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาอย่างช้าๆ
ในเวลานี้ ท้องฟ้าที่อีกฝั่งของระเบียงได้เปลี่ยนเป็นภาพยามอัสดงแล้วโดยที่เขาไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด เขาละสายตาจากทัศนียภาพเบื้องหน้า หันหลังเดินกลับเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง ท้องฟ้าเบื้องหลังที่ถูกย้อมให้กลายเป็นสีเลือดกับแสงดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าส่องกระทบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของซองจู ประกอบกับผิวขาวจัดของเจ้าตัวด้วยแล้ว มันช่างดูราวกับเจ้าตัวกำลังเปล่งประกาย
เขาเดินไปทางห้องนอนของตัวเอง ด้วยความที่เป็นคนตัวสูง จึงยิ่งทำให้เรียวขานั้นดูเรียวยาวอย่างเห็นได้ชัด ไหล่กว้างดูผึ่งผาย กล้ามเนื้อพอเหมาะอย่างคนที่คอยดูแลเอาใจใส่รูปร่างของตัวเองเป็นอย่างดี ดวงตาทั้งสองมีประกายความเยือกเย็น แต่ในบางครั้งก็มีร่องรอยของความเจ้าเล่ห์คล้ายแววตาของสุนัขจิ้งจอกปรากฎออกมาด้วย ดวงตาสีน้ำตาลของซองจู ยามเมื่อต้องแสงไฟจะทำให้เกิดประกายแสงสีเขียวอ่อนพาดผ่าน นั่นทำให้ตัวเขามีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างประหลาด จึงไม่น่าแปลกใจนัก หากใครก็ตามที่ได้สบตาคู่นี้ผ่านทางจอโทรทัศน์หรือจอภาพยนตร์แล้วจะเกิดอาการตกตะลึง และยินยอมพร้อมใจพาตัวเองตกลงสู่หลุมเสน่ห์ของคนๆ นี้
ยิ่งถ้าหากได้เห็นซองจูในเวลาที่ยิ้มออกมาทั้งปากและตาแล้วละก็ บรรดาแฟนๆ ของซองจูเป็นต้องกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แทบจะพากันล้มทั้งยืนเลยทีเดียว และถึงจะไม่ใช่แฟนคลับของเจ้าตัว แต่ถ้าเป็นฮันซองจูแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะไม่รู้สึกชื่นชอบในตัวเขา
คนที่รู้ความจริงว่าภาพลักษณ์พวกนั้นมันก็แค่เรื่องลวงโลกก็คือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นที่เจ้าตัวสังกัดอยู่ และน้องชายแท้ๆ ที่ไม่เคยจะญาติดีกันได้เลยอย่างฮันซองฮี คนเหล่านี้คือคนที่ฮันซองจูยินยอมให้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
แม้กระทั่งพ่อแม่ที่เป็นผู้ให้กำเนิดเขาออกมาก็ยังไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงในอีกด้านของเขาเลย ในสายตาของพ่อและแม่ แม้เขาจะดูเป็นคนที่มีความคิดซับซ้อนอยู่สักหน่อย แต่พ่อกับแม่ก็คิดว่าเขาเป็นคนดี ใจดี และเป็นผู้ชายที่อบอุ่นยิ่งกว่าใคร เหมือนว่าตัวเขาจะเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านการแสดง ที่แม้แต่คนใกล้ชิดที่สุดก็ยังถูกเขาแสดงละครตบตาได้อย่างแนบเนียน แม้ว่าผลของมันจะทำให้ตัวเขาต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างก็ตาม
แกร๊ก
ซองจูเปิดประตูห้องนอนออก แล้วจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีละก้าว เสียงบานพับประตูที่ดังขึ้นฟังดูสบายๆ สวนทางกับสีหน้าของซองจูในยามนี้ที่กำลังขมวดมุ่นเสียจนหน้าผากเกิดเป็นรอยยับย่น
“คงต้องสั่งให้มินซิกรีบไปจัดการให้เรียบร้อย”
ไม่ทันไรเขาก็เริ่มความคิดที่จะสร้างความหนักใจให้กับผู้จัดการของตัวเองเสียแล้ว แล้วเจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงตรงกลางเตียงขนาดคิงไซส์นั่น
“เฮ้อ…”
ทันทีที่ตัวสัมผัสกับเตียง ทัศนียภาพตรงหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยเพดานห้องสีขาวสะอาดตาไร้ซึ่งร่องรอยตำหนิหรือลวดลายใดๆ สีขาวเป็นสีที่ง่ายต่อการเปรอะเปื้อนยิ่งกว่าสีไหนๆ มันทำให้เขาไม่ชอบใจนัก แต่ด้วยนิสัยแล้วเขาไม่ชอบให้มีลวดลายที่ดูยุ่งเหยิง เพราะมองแล้วมันขัดหูขัดตา จึงเป็นเหตุให้ห้องของเขาเป็นสีขาวทั้งหมด ทั้งที่ก็ไม่ได้ชอบใจอะไรนัก และด้วยรอบตัวมีแต่สิ่งที่ไม่ชอบเต็มไปหมด ทำให้ซองจูได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหลับตาลง
‘ผมชอบรุ่นพี่ครับ’
น้ำเสียงเล็กๆ แต่แจ่มชัด มันไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของเขา ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่มีทางจะลบเลือนมันออกไปได้
แม้จะหลับตาอยู่ แต่ภาพใบหน้าที่จดจำได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อ แต่ก็มีประกายไหวหวั่น นัยน์ตาลุ่มลึกที่พร้อมจะดูดกลืนทุกสิ่งนั่นโผล่เข้ามาในห้วงความคิด แม้ต้องการจะปิดกั้นแต่ก็ไม่ได้ปิดกั้น ซองจูยินยอมให้ความอ่อนแอเข้ามาจู่โจมด้วยความยินดี
สิ่งนั้นที่เธอคอยทุ่มเทเพื่อเขาด้วยความเต็มใจ ซองจูไม่เคยลืมเลือนมันเลย
‘คุณซองจู ยิ้มหน่อยสิ ปกติก็เห็นยิ้มอยู่ตลอด ทำไมพออยู่ต่อหน้าฉัน คุณถึงได้เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นล่ะ หืม?’
‘คุณซองจู ฉันอยากไปที่นี่ เราไปด้วยกันได้ไหมคะ ทุกวันนี้เราเอาแต่เดตกันในรถบ้างละ ในห้องบ้างละ ฉันเบื่อแล้วนะ’
‘คุณซองจู เราไปเที่ยวกันเถอะค่ะ ทำไมไปไม่ได้ล่ะคะ ฉันเองก็อยากจะอวดให้คนอื่นๆ ได้รู้เหมือนกันนะ ว่าคุณน่ะเป็นแฟนของฉัน’
‘คุณซองจู’
‘คุณซองจู’
‘ที่รัก…’
ตอนที่ 1-2
ตอนที่ 1-2 The blues
“บ้าเอ๊ย หยุดสักที”
เหมือนว่ายิ่งเขาพยายามลบร่องรอยพวกนั้นเท่าไร น้ำเสียงและท่าทางออดอ้อนของซอยอนก็ยิ่งปรากฎออกมาชัดเจนในห้วงความคิด ซองจูผุดลุกขึ้นพร้อมกับเขวี้ยงหมอนทิ้งไปด้วยความโมโห
ปึก!
หมอนขนนกกระแทกเข้ากับผนังอย่างจัง ก่อนจะหล่นตุบลงบนพื้น หลังจากนั้นห้องทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
จากนี้ไปคงไม่ได้เจอกับซอยอนอีกแล้ว
เขาคงต้องพยายามอดทนต่อไปอีกสักหน่อย อย่างไรเสียการแสดงละครตบตาคนอื่นมันก็เป็นพรสวรรค์พิเศษของเขาอยู่แล้ว ทำไมจะต้องเลือกวิธีที่ดูโง่เง่าแบบนั้นด้วย ถ้าลองอดทนต่อไปอีกสักหน่อย เขาก็จะไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป
ซองจูถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้ชั่วครู่ เพื่อปิดกั้นความคิดไร้สาระที่ถาโถมเข้ามา
“รู้สึกผิดงั้นเหรอ ฉันเนี่ยนะ ฮันซองจูเนี่ยนะ”
เจ้าของใบหน้างดงามที่ตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ส่งเสียงบ่นพึมพำออกมาพร้อมเสียงหัวเราะที่ฟังดูเย็นชาเหลือเกิน และแล้วการสั่นจากโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียงก็เรียกสติที่กำลังหลุดลอยไปของซองจูกลับมาอีกครั้ง
ครืด ครืด
ซองจูคว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นครืดๆ อยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาถือด้วยใบหน้าถมึงทึง แต่ทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาปรากฎอยู่บนหน้าจอว่าเป็นสายเรียกเข้าจากผู้เป็นพ่อ ใบหน้าที่เคยถมึงทึงก็ผ่อนคลายลง ก่อนเขาจะรีบกดรับสายในทันที
“สวัสดีครับ ครับพ่อ สบายดีนะครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
สีหน้าของซองจูดูอ่อนโยนขึ้นมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว พร้อมกับน้ำเสียงที่ใช้ในการพูดคุยก็ฟังดูอ่อนโยนมาก
คงมีเพียงความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วห้องนอนในเวลานี้เท่านั้นที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขา
“ครับ? นัดตกลงเรื่องการแต่งงานเหรอครับ”
น้ำเสียงตื่นตระหนกของซองจูดังก้องไปทั่วห้องกว้าง
ซองจูคือลูกชายที่แสนสุภาพ เป็นเด็กดี และว่านอนสอนง่ายของพ่อแม่มาโดยตลอด แน่นอนว่าลับหลังแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของซองจูนั้น ทั้งหยาบคาย นิสัยเสีย และเอาแต่ใจเป็นที่สุด แต่สำหรับพ่อและแม่ ท่านทั้งสองเห็นเพียงลูกชายคนโตที่น่าภาคภูมิใจ ฉลาด และวางตัวดี และพวกท่านก็เชื่อมั่นในตัวตนแบบนั้นของซองจูเสมอมา
แต่ว่าในเวลานี้เขาคงทำแบบนั้นไม่ได้ ทำไมน่ะเหรอ ตัวเขาเพิ่งจะถูกถอนหมั้นได้ไม่ถึงเดือน กลับต้องไปร่วมตกลงเรื่องการแต่งงานของน้องชายตัวเอง ซองจูสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากัน เวลานี้เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บกดความรู้สึกไม่พอใจซึ่งกำลังตีตื้นขึ้นมาให้กลับลงไป ในขณะที่อีกด้านก็คอยรับฟังสิ่งที่พ่อกำลังพูด
“ซองจู ลูกคงจะคิดมากเพราะเรื่องของซอยอนใช่ไหม”
เพราะน้ำเสียงที่ถามกลับมาด้วยความเป็นห่วงของผู้เป็นพ่อ ทำให้ความรู้สึกไม่พอใจพวกนั้นเจือจางลงไปบ้างเล็กน้อย จากนั้นผู้เป็นพ่อก็เอ่ยถามขึ้นเพราะนึกถึงเรื่องที่ภรรยาบอกมา เรื่องที่ซอยอนมายกเลิกการแต่งงาน นั่นจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ซองจูรีบคว้าเอาไว้
“ครับ เอาตามตรง ผมเองเพิ่งจะถูกถอนหมั้นได้ไม่นาน การที่จะให้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องน่ายินดีแบบนั้น ผมเองก็รู้สึกไม่สะดวกใจสักเท่าไร…”
“แต่แม่เราเขาอยากจะใช้โอกาสนี้ ให้ทุกคนในครอบครัวมารวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันนะ”
“อืม…ฮเยจอง ไม่สิ ผมเองก็อยากเจอน้องสะใภ้ เพราะพวกเราก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้ว แต่เราก็ต้องนึกถึงความรู้สึกของผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าสาวด้วยนะครับ ผมขอลองคุยกับซองฮีดูก่อน แล้วจะบอกอีกทีนะครับ พ่อกับแม่ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ”
“พ่อกับแม่น่ะเหรอจะมีปัญหาอะไร แม่เราเขาก็ไปบรรยายพิเศษ ส่วนพ่อก็ไปทำงานที่บริษัทตามปกติ ปีหน้าแม่เขาก็จะได้หยุดพักแล้ว พ่อเองก็ตั้งใจจะเพลาๆ งานลงบ้างเหมือนกัน”
“รักษาสุขภาพด้วยนะครับ พักผ่อนบ้าง อย่าหักโหมมากเกินไปนะครับ”
“อืม รู้แล้ว ลูกเองก็ดูแลตัวเองด้วย อย่าอดอาหารเข้าใจไหม ไปลองคุยกับซองฮีให้เรียบร้อย แล้วก็โทรมาบอกพ่อหน่อยนะลูก”
“ครับพ่อ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
หลังวางสายจากผู้เป็นพ่อแล้ว ซองจูก็จ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่ครู่นึง จนตอนนี้หน้าจอดับลงและกลับกลายเป็นสีดำอีกครั้ง เขาจึงได้โยนมันกลับลงไปบนเตียง
“บ้าเอ๊ย ไอ้น้องเวร รู้อยู่แล้วก็ยังจะ…”
ท้ายที่สุดซองจูก็โพล่งความรู้สึกโมโหทั้งหมดออกมา เขาสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด ในตอนนี้ทั้งสีหน้าและแววตาของเขา มันเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ
* * *
“อะไร พูดธุระมาสิ ยังไงซะนายก็เรียกฉันมา เพื่อจะบอกเรื่องที่จะไม่ไปนัดตกลงเรื่องงานแต่งงานของฉันอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
อย่างที่คิด แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายเดือน แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่พวกเราจะพูดคุยกันได้ราบรื่น โดยไม่ทะเลาะกัน
มาถึงปุ๊บก็เปิดประเด็นที่เขาเรียกให้อีกฝ่ายมาพบในทันที แถมยังพูดออกมาทั้งที่นั่งพิงโซฟาพร้อมไขว่ห้างอย่างอวดดีแบบนั้นอีก น้องชายของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ซองจูแค่นเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกับกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“เหอะ โตขึ้นเยอะนี่”
“ฉันโตกว่านายก็แล้วกัน”
“ไอ้น้องเวร ท่าจะประสาท หัดเล่นมุกปัญญาอ่อนกับเขาด้วยรึไง ฉันไม่ตลกด้วยหรอกนะ”
ซองจูส่งเสียงหัวเราะเยาะใส่น้องชายตัวเอง พร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ซองจูกวาดสายตามองไปยังซองฮีซึ่งเชิดหน้าขึ้นอย่างน่าหมั่นไส้ เห็นแบบนั้นก็ทำเอาเขาเริ่มชักสีหน้าขึ้นมาบ้าง
“นายคิดแต่จะทำตามใจตัวเองอย่างเดียวหรือไง หา?”
“อะไรล่ะ”
“ฉันไม่ไปที่นั่นหรอกนะ”
“พ่อบอกฉันแล้ว นี่คงไม่ใช่เหตุผลที่นายเรียกให้คนที่ไม่ได้มีเวลาว่างมากอย่างฉันมาหาหรอกใช่ไหม”
“คิดจะกวนรึไง ไอ้น้องเวร”
ใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์และคำพูดสุขุมของซองฮี ทำเอาซองจูถึงกลับแสดงท่าทีเหลืออดออกมา ถึงอย่างไร ไอ้บ้านี่ก็ไม่เคยมีอะไรที่เป็นที่น่าพอใจสำหรับเขามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หว่างคิ้วของซองจูขมวดมุ่นจนชิดติดกัน ใบหน้านั้นดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง แล้วยังสายตาพิฆาตที่จ้องเขม็งไปยังน้องชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นอีก
หน้าตาดีใช่เล่น เกิดมาพร้อมรูปลักษณ์สมชายชาตรี ไม่ว่าจะไปที่ไหนผู้คนต่างก็ตั้งคำถามว่าซองฮีเป็นพวกนายแบบที่คอยดูรูปร่างอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่ ทั้งส่วนสูงที่มากกว่าเขาห้าเซนติเมตร รูปร่างพอดีพอเหมาะในแบบผู้ชาย และสัดส่วนที่ยอดเยี่ยม ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับถ่ายถอดมาจากผู้เป็นพ่อ โครงหน้าที่เห็นสันกรามชัดราวกับคมดาบ จมูกโด่งเป็นสัน แพขนตาหนา และดวงตากลมโตล้วนทำให้อีกคนดูมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ
เทียบกันแล้ว ซองจูนั้นดูคล้ายผู้เป็นแม่มากกว่า ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ไม่สามารถโกหกได้ ส่วนสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร แม้ว่าจะมีกล้ามเนื้อพอเหมาะในยามถอดเสื้อ แต่เวลาสวมใส่เสื้อผ้าเขากลับดูเพรียวระหง มีทรวดทรงโค้งเว้าที่ไม่รู้มาจากไหน ส่วนใบหน้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง มันดูอ่อนหวานจนค่อนไปทางสวยเลยละ แม้จะมีเส้นโครงหน้าเด่นชัด แต่มันกลับมีเสน่ห์แบบอ่อนหวานน่าดึงดูด
ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือน้องชายต่างก็ดึงดูดสายผู้คนได้เช่นกัน แต่แท้จริงแล้ว นิสัยของเรานั้นต่างกันคนละขั้ว เช่นเดียวกับขนาดตัวที่แตกต่าง ทั้งนิสัยและทัศนคติของพวกเขาไม่ตรงกันเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องที่พวกเขาคือพี่น้องกันก็คือเรื่องจริงแท้แน่นอน ใบหน้าของซองจูกลับไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
“อะไรกัน แค่พูดไม่ถูกใจนี่ถึงกับต้องหัวร้อน น้องชายร่วมสายเลือดจะแต่งงานทั้งที แต่นายกลับไม่พอใจที่ต้องไปร่วมพูดคุยตกลงเรื่องการแต่งงานอย่างงั้นเหรอ”
วันนี้ก็เช่นกัน คำพูดคำจาของซองฮีกำลังทำให้ความรู้สึกที่เขาพยายามสะกดกั้นมันเอาไว้อย่างยากเย็นปะทุขึ้นมา ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดนั้น
“ก็แล้วไง แล้วมันทำไม”
น้ำเสียงที่เริ่มหงุดหงิดมาตั้งแต่เมื่อครู่ของซองจู ตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะของเจ้าตัวที่เดือดปะทุขึ้นมา
“นี่ ฮันซองฮี”
“ทำไม”
“ในสมองของนายน่ะ เคยคิดถึงฉันบ้างสักเสี้ยวนึงไหม”
“ว่าไงนะ?”
ตอนนี้ซองฮีถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าฉายชัดว่าไม่เข้าใจคำถามที่ตนเองได้ยิน ซองจูที่เห็นดังนั้นก็เริ่มต้นไล่ต้อนอีกฝ่าย
“นายน่ะคิดว่าการแต่งงานในตอนนี้เวลานี้มันเหมาะสมที่สุดแล้ว นั่นก็เพราะว่านายไม่ได้คิดถึงใจฉันเลยสักนิดเดียว ว่าไง? หรือไม่ใช่?”
“หยุดโวยวาย พูดพล่ามบ้าบอได้แล้ว ให้ตายสิ นายบอกว่าฉันไม่คิดถึงใจนายงั้นเหรอ งั้นบอกมาสิว่านายต้องการอะไร หา?”
น้ำเสียงโมโหที่ท้วงถามพี่ชายซึ่งไม่ยอมพูดเข้าประเด็นสักทีนั้นดังก้องไปทั่วห้อง ราวกับว่ามันวิ่งวนไปมารอบ ๆ แต่ซองจูก็ยังเลือกที่จะมองข้าม
“ที่ถามเพราะไม่รู้เหรอ จำเป็นมากหรือไงที่ต้องมาพูดตกลงเรื่องงานแต่งงานกันตอนนี้ ถ้าคนอย่างนายพอจะมีความรู้สึกใส่ใจและคิดถึงใจคนอื่นอยู่บ้างแล้วละก็ นายก็ควรจะคิดถึงใจของฉันบ้างสิ ฉันเพิ่งถูกถอนหมั้นมา แล้วนายก็ดันสติเลอะเลือนมาบอกว่าจะแต่งงานตอนนี้เนี่ยนะ”
“อะไรนะ? เลอะเลือน? นี่ ฮันซองจู นายพล่ามจบหรือยัง”
“หยาบคายถึงขั้นเรียกแค่ชื่อเลยงั้นเหรอ ฉันเป็นพี่ชายนายนะโว้ย”
“งั้นนายก็ควรทำตัวให้เหมาะกับการเป็นพี่ซะบ้างสิ ไอ้บ้านี่”
ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มต้นสงครามน้ำลาย
“ถอนหมั้น? นั่นสิ ที่นายพูดมันก็ใช่ แต่ถ้านายรีบตัดสินใจว่าจะแต่งงาน หรือจะถอนหมั้นให้มันเรียบร้อยซะตั้งแต่แรกๆ มันจะเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นรึไง แต่นี่นายปล่อยทิ้งไว้ตั้งห้าปี เพราะนายฉันถึงต้องยืดเวลาแต่งงานออกไป ฉันรอมาตั้งหกปีแล้วนะ! ถ้านายมีความละอายใจอยู่บ้าง ก็คงจะไม่พูดพล่ามบ้าบอแบบนั้นออกมาหรอก อะไรนะ? เห็นใจ? นายมันไม่รู้จักคิด ฉันเป็นคนวางแผนเรื่องแต่งงานงั้นเหรอ? พ่อเป็นคนเสนอให้ฉันรีบแต่งงานซะก่อนที่มันจะช้าไปกว่านี้ นายลืมไปแล้วหรือไง คิดดูให้ดีสิ คุณฮันซองจูคนฉลาด”
ใบหน้าที่แสนสมบูรณ์แบบของซองฮีเปลี่ยนเป็นแดงจัดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งตามหน้าผากและขมับก็ปรากฎเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และยังมือที่กำแน่นจนข้อขึ้นสีขาว ตัวเขายังไม่เคยเห็นน้องชายตัวเองโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย พอได้เห็นชัดๆ เต็มตาแบบนี้ ก็ทำเอาซองจูตกใจจนทำตัวไม่ถูก ดวงตาทั้งสองถึงกับเบิกกว้างขึ้นราวกับดวงตากระต่ายยามมันตื่นตกใจ
“เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างที่นายหวังมาตั้งแต่ต้น ก็เลยพาลไม่พอใจอย่างนั้นสินะ นายก็เป็นซะอย่างนี้ จะทำแค่เรื่องที่พอใจจะทำ ส่วนเรื่องที่ไม่ชอบใจให้ตายยังไงก็ไม่มีทางทำเด็ดขาด นายตัดสินใจจะแต่งงานกับพี่ซอยอนเพราะรักงั้นเหรอ? มันไม่ใช่อยู่แล้ว นายต้องการแค่เงินแล้วก็อำนาจจากครอบครัวนั้นต่างหาก คนที่เขารักกันจริงๆ น่ะ เวลาที่ความสัมพันธ์ทุกอย่างมันจบลง เขาคงจะมัวมาพยายามหาข้ออ้าง เพื่อให้ตัวเองได้กลายเป็นฝ่ายที่ถูกทอดทิ้งอย่างที่นายอยู่ทำหรอกนะ นายมันก็ดีแต่สร้างปัญหาให้คนอื่น เรื่องของตัวเองยังจัดการไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาเรียกร้องให้คนอื่นเห็นใจอีก ปัญญาอ่อนชะมัด”
ตอนที่ 1-3
ตอนที่ 1-3 The blues
ซองจูได้แต่นิ่งเงียบอย่างไม่อาจโต้เถียงได้ ก้มหน้ารับฟังคำตำหนิติเตียนจากซองฮีที่ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกคำของซองฮีไม่มีตรงไหนที่ผิดไปเลยสักนิด แม้มันจะน่าหงุดหงิดใจแค่ไหน แต่ทุกคำมันก็คือความจริงทั้งหมดอยู่ดี
พอได้เห็นซองจูทำหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้ทำหน้าน่าหมั่นไส้อย่างทุกทีแล้ว ซองฮีก็พ่นลมหายใจหนักหน่วงออกมา
“เฮ้อ นายน่ะ หลังจากวันนั้นนายได้ติดต่อไปหาเซจองบ้างหรือเปล่า”
“…เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
“ก็แค่อยากรู้เรื่องของไอ้เวรที่บอกว่าตัวเองคือพี่ชายก็แค่นั้น มีปัญหา?”
ซองฮีส่งสายตาที่ราวกับมีประกายไฟของความโมโหลุกพรึ่บอยู่ในนั้นมาที่เขา ทำเอาขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ซองจูระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนจะเปิดปากตอบ
“ก็เจอหน้าอยู่ไม่กี่ครั้ง ตอนที่ไปต่างประเทศครั้งนึง แล้วก็ตอนกลับมาเกาหลีครั้งนึง”
“เซจองคงไม่มีทางติดต่อมาก่อนแน่ๆ นายเป็นคนนัดให้มาเจอกันใช่ไหม”
“หยุดซักไซ้สักทีเหอะ ทำไมตอนนี้ถึงวกมาที่ประเด็นนี้ซะล่ะ”
ตอนนี้ความคิดของซองจูกำลังตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่รู้ว่าซองฮีมีเจตนาอะไรกันแน่ ตอนแรกยังแสดงท่าทีไม่พอใจเรื่องการแต่งงานอยู่เลย พอมาตอนนี้ กลับขุดคุ้ยเรื่องคนรักเก่าของเขาขึ้นมาพูดเสียอย่างนั้น แต่เพราะประเด็นนั้นมันเลยทำให้พายุโมโหที่พัดถล่มเมื่อครู่เริ่มสงบลงบ้าง อย่างน้อยก็เบาใจไปได้เรื่องนึง ซองจูถอนหายใจออกมาแผ่วเบา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองไปที่เพดานห้อง
“ถึงฉันติดต่อเด็กนั่นไป มันจะมีอะไรดีขึ้นมาหรือไง มีแต่จะทำให้ลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย”
“ก็รู้อยู่แล้วนี่”
ซองจูไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางน่าหมั่นไส้ของซองฮีอีกต่อไป เขาคว้าซองบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือไว้ ไม่ได้สนใจว่าใครเป็นเจ้าของ เพราะตอนนี้มันเป็นสิ่งดึงดูดใจเขามากๆ
“ที่นี่ห้ามสูบ”
“หา?”
“ในห้องซ้อมอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนมันค่อนข้างอ่อนไหว ถ้าจะสูบก็ออกไปสูบที่ระเบียงนู่น”
ไม่ใช่ว่าซองฮีจะไม่เห็นอาการที่แสดงถึงความดื้อดึงของอีกฝ่าย เขาพยักพเยิดหน้าให้อีกฝ่ายมองไปทางระเบียง แล้วซองจูก็ได้เห็นป้ายห้ามสูบบุหรี่ติดอยู่ คิ้วของเจ้าตัวก็ขมวดมุ่นในทันที
“ช่างเถอะ สกปรกแถมยังทำให้ตายไวอีก ไม่สงไม่สูบมันแล้ว”
พอพูดออกมาแบบนั้นแล้ว ซองจูก็โยนซองบุหรี่ไปให้พ้นมือ ตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเอาชนะซองฮีได้ จึงได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจพวกนั้นไปเสีย
“ยังไงซะ ฉันก็ไม่ไปร่วมตกลงเรื่องงานแต่งงานหรอกนะ ให้คนที่เพิ่งโดนถอนหมั้นมาหมาดๆ ไปที่นั่นด้วย มันคงไม่ใช่มารยาทที่ดีนักหรอก”
“อือ”
สองพี่น้องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้พูดกันต่อแล้ว ต่างเบือนสายตาหลบเลี่ยงกันไปคนละทาง ถึงอย่างไรระหว่างพวกเขาทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกันนักอยู่แล้ว ซองจูถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เข้าใจแล้วก็ไปบอกพวกท่านด้วยนะ พ่อน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่กับแม่ฉันไม่คิดว่าจะเกลี้ยกล่อมท่านได้”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะบอกให้พวกท่านเข้าใจเอง นายก็แค่อย่าไปพล่ามเพ้อเจ้อก็พอ”
“…ไปละ”
ซองจูที่ไม่ได้แสดงการร่ำลาอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว เดินออกจากห้องซ้อมดนตรีของซองฮีไปเสียเฉยๆ
“ให้ตาย เหนื่อยชะมัด…”
ในที่สุดสงครามน้ำลายระหว่างสองพี่น้องก็เป็นอันสิ้นสุดลง แต่ว่าซองจูเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความจริงข้อนั้นนัก ถึงอย่างไรมันก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องแสดงออกว่าระหว่างเขากับซองฮีนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหนื่อยหน่ายใจแบบนี้ มันเกิดจากตอนที่ไอ้บ้านั่นพูดชื่อคนรักเก่าของเขาออกมาต่างหาก
มุนเซจอง
ชื่อที่แม้ว่าอยากจะลืมก็ลืมไม่ได้ จึงทำให้ซองจูรู้สึกอึดอัดใจแบบนี้ เขาทำอย่างที่ซองฮีพูด ตัวเขาทอดทิ้งเด็กคนนั้น เหมือนเวลาที่โยนรองเท้าคู่เก่าๆ ทิ้ง ความจริงนั้นมันทำให้เขาได้แต่แค่นเสียงหัวเราะออกมา ซองจูส่ายหัวไปมาเพื่อปัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านพวกนั้นทิ้งไป ก่อนจะตรงไปยังประตูทางเข้าห้องชุดสุดหรู
ติ๊ด ติ๊ดดด
เสียงระบบล็อกอัตโนมัติที่น่ารำคาญดังขึ้น พร้อมกับเสียงแกร๊กในตอนที่ประตูเปิดออก ภายในตัวห้องเปิดไฟสว่างโร่เอาไว้อยู่แล้ว ขัดกับอารมณ์ของซองจูที่ตอนนี้เหมือนมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ทั่ว สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง
‘ไอ้เจ้ามินซิก ก็บอกแล้วไงว่าวันนี้ห้ามกลับมาอีก นี่ไม่ฟังกันบ้างรึไง’
คนที่รู้รหัสเข้าห้องชุดนี้ ตอนนี้ก็มีแค่ไอ้ผู้จัดการมินซิก แล้วก็ท่านประธานบริษัทที่เป็นเจ้าของตัวจริงของห้องชุดนี้เท่านั้น แล้วไอ้คุณท่านประธานก็ดูจะไม่มีเหตุอะไรให้ต้องถ่อมาถึงที่นี่ด้วย ดังนั้นคนที่เข้ามาต้องเป็นไอ้มินซิกอย่างแน่นอน ซองจูเผยสีหน้าไม่พอใจอย่างที่สุดออกมา ก่อนจะก้าวฉับๆ ตรงเข้าไปภายในตัวห้องทันที
“นี่ ไอ้มินซิก นายกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ ก็บอกแล้วว่าวันนี้ห้ามมาที่นี่อีก ไอ้บ้าเอ๊ย”
ส่งเสียงตะโกนร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความโมโหสุดขีด มันต้องอยู่ในบ้านนี่แหละ แต่กลับไม่ยอมขานรับกลับมา ปกติแล้วมินซิกไม่เคยขัดคำสั่งเขามาก่อน ซองจูพยามยามขบคิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ในขณะที่สองขาก็ก้าวเดินไปยังทิศทางของห้องนั่งเล่น
“มินซิก นี่ คิมมินซิก! นายอยู่ไหน!”
เขาตะโกนเรียกหาอีกฝ่ายลั่นห้องด้วยความหงุดหงิดที่เอ่อล้น ตามหาทุกซอกทุกมุมทั่วทั้งห้องชุด ก็ยังไม่มีวี่แววหรือเสียงขานรับกลับ ทันใดนั้นเอง ซองจูก็เกิดรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
“อะไรกัน หรือว่าจะเป็นพวกหัวขโมย”
แม้ว่าข้อสันนิษฐานว่ามีขโมยเข้ามาขโมยของในนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันก็มีพวกที่ชอบแอบมาหยิบฉวยเฉพาะของสำคัญด้วยเหมือนกัน สถานการณ์แบบนี้จะประมาทไม่ได้ ความตื่นตระหนกที่จู่โจมเข้ามาทำให้มือของซองจูมีเหงื่อซึมจนเปียกโดยไม่รู้ตัว เสียงแกร๊กดังขึ้นเมื่อเขาผลักเปิดประตูห้องนอนตัวเองออก
“หืม ที่นี่ก็ปกติดี…”
นอกจากสภาพบนเตียงที่ยังไม่ได้จัดเก็บให้เรียบร้อย ภายในห้องนอนก็ไม่มีส่วนไหนที่ผิดไปจากปกติ เมื่อสำรวจจนพอใจแล้ว ซองจูก็ย้ายตัวเองไปยังส่วนของห้องอ่านหนังสือต่อ เขาเปิดประตูห้องนั้นเข้าไป แต่กลับพบว่าภายในนั้นไม่ได้มีร่องรอยผิดแปลกอะไร เหลือประตูบานสุดท้ายแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผลักเปิดประตูออก ในห้องนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเช่นกัน ตอนนี้ก็เหลือแค่ห้องพักสำหรับแขกเท่านั้น
“เฮ้อ… นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย”
เขาพึมพำออกมาเบาๆ ถูมือที่ชุ่มเหงื่อไปบนหน้าขา ก่อนจะเอื้อมไปจับที่ลูกบิดของประตูบานนั้น แล้วผลักเปิดมันออก
โครม!
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ใบหน้าของซองจูก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“…นายเป็นใคร?”
ภายในห้องนั้นมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่อีกคนยืนอยู่ เจ้าตัวหันกลับมามองเขาที่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจอยู่ในตอนนี้ ซองจูหน้าซีดลงทุกขณะที่ได้สบตากับบุคคลแปลกหน้านั่น
* * *
“พี่เสียสติไปแล้วรึไง”
ซองจูตะโกนลั่นห้องนอนด้วยความโมโหสุดขีด ทว่าน้ำเสียงจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์กลับไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆ ต่อน้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่ได้ยิน เพียงตอบรับอย่างสุขุมกลับมา
“อะไร? อ๋อ เจอกันแล้วสินะ”
“อะไรนะ? เจอกันแล้ว? ชินดงฮยอน พี่เสียสติไปแล้วรึไงกัน”
“โตขึ้นเยอะเลยนี่ ฮันซองจู ถึงขนาดกล้าเรียกแค่ชื่อของรุ่นพี่ที่ควบตำแหน่งประธานใหญ่ออกมาได้เต็มปากเต็มคำแบบนี้”
“ผมไปทำแบบนั้นตอนกัน… หึ้ย นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับตอนนี้ ไอ้นั่นมันอะไร ไอ้ที่อยู่ในห้องผมตอนนี้มันเรื่องอะไรกันแน่!”
“ใช้คำว่าไอ้เรียกคนอื่นเนี่ยนะ แล้วก็นะ นั่นห้องของฉันไม่ใช่ของนาย ต้องให้ฉันเตือนความจำไหมว่าเอกสารสิทธิ์ของห้องชุดนั้นน่ะ มันเป็นชื่อของใครกันแน่”
“ไอ้เว…จนได้สิน่า…”
มีแค่ไม่กี่คนบนโลกนี้ที่สามารถพูดตำหนิฮันซองจูผู้มีจุดเดือดทางอารมณ์ต่ำคนนี้ได้
และในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีอยู่คนหนึ่งที่สามารถทำให้ซองจูรู้สึกเต้นตามอารมณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย จนแทบอยากจะบ้าตายให้รู้แล้วรู้รอด แล้วคนนั้นก็คือชินดงฮยอนคนนี้นี่แหละ
เขาคือรุ่นพี่ในชมรมสมัยที่ฮันซองจูยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ณ ห้องชมรมที่ตั้งอยู่ในซอกหลืบของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น เขาได้เรียนรู้ด้านการแสดง ผ่อนคลายจากความเครียด แล้วยังเป็นจุดเริ่มต้นที่พาให้เขาได้มาเป็นฮันซองจูดาราผู้โด่งดังอย่างทุกวันนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากท่านประธาน ซึ่งเรื่องนี้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้
หากไม่ใช่เพราะคนๆ นี้ เขาคงไม่สามารถมีชื่อเสียงและโด่งดังขึ้นมาได้ขนาดนี้ เรื่องนี้ซองจูรู้ดีกว่าใคร ในทุกเรื่องสำคัญก็มักจะมีดงฮยอนคอยช่วยอยู่ตลอด ห้องชุดนี่ก็เช่นกัน ทันทีที่ตัวเขามีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้น ดงฮยอนก็ใช้งบบริษัทซื้อห้องชุดนี้ให้เขา
เขารู้ดีกว่าใครว่านี่เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายยินดีช่วยเหลืออย่างจริงใจ ไม่ได้เพียงดูแลไปตามหน้าที่ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ซองจูยังได้รับความช่วยเหลืออื่นๆ อีกมากจากดงฮยอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ พอลองคิดๆ ดูแล้ว แม้อีกคนจะรู้อยู่แก่ใจว่านิสัยของเขามันเลวร้ายเกินเยียวยาขนาดไหน แต่ก็ยังยอมรับในตัวเขา แถมยังคอยตามใจอีกด้วย ให้พูดจากใจ สำหรับเขาแล้ว ดงฮยอนถือเป็นคนหนึ่งที่มีความสำคัญกว่าใคร แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เขาเก็บไว้ในใจเท่านั้นแหละ
แต่ว่าเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันก็คนละเรื่องอยู่ดี อยู่ดีๆ ส่งใครก็ไม่รู้เข้ามาในห้องที่เขาพักอาศัยอยู่โดยที่ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนสักคำ แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ซองจูตะเบ็งเสียงตะโกนลั่นห้องออกมาอีกครั้ง จนเส้นเลือดที่คอปูดโปนขึ้นมา
“ถึงยังไง การให้คนอื่นเข้ามาแบบนี้ก็ควรจะได้รับความเห็นชอบจากผมก่อนไม่ใช่หรือไง! จู่ๆ จะให้มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ มันใช่เรื่องเหรอไง!”
ซองจูตะเบ็งเสียงตะโกนดังลั่นจนหน้าดำหน้าแดง ไม่สนแล้วว่าใครหน้าไหนจะมาได้ยินหรือไม่ แล้วเสียงของดงฮยอนก็ดังแทรกเสียงหอบหายใจอย่างหนักของเขากลับมา
“ถ้าบอกล่วงหน้า นายจะยอมรึไง”
เมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้น ใบหน้าของซองจูก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งไปทันที
พูดแบบนั้นก็ถูก ถ้าอีกคนมาบอกว่าจะพาคนที่เขาไม่รู้จักเข้ามาพักอยู่ด้วยสักระยะหนึ่ง แน่นอนว่าเขาคงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าอย่างแน่นอน ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องเลย ซองจูทำปากยืดปากยาวใส่อีกฝ่าย ทั้งที่อีกฝ่ายคงไม่มีทางได้เห็น
“ขอโทษแล้วกันที่ฉันไม่ได้บอกก่อน มันจำเป็นน่ะ ฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้ ก็อย่างที่บอกฉันไม่มีที่อยู่อื่นที่พอจะให้เขาไปอยู่ได้แล้ว นายก็คิดซะว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมสังกัด ทนๆ เอาหน่อยแค่ช่วงนึงเท่านั้นแหละ”
“ร่วมสังกัด? หมอนั่นเป็นนักแสดงเหรอ?”
เขาเองก็ตงิดใจอยู่ เพราะหน้าตาอีกคนมันก็ดูเข้าเค้าอยู่หรอกนะ แต่บุคลิกนี่สิ จะใช่นักแสดงงั้นเหรอ ซองจูพร่ำบ่นกับตัวเองในใจ ขณะที่ปล่อยให้เสียงของดงฮยอนผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
“ไม่ใช่นักแสดงหรอก รู้แค่นั้นก็พอ ยังไงก็ถือซะว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน เขาค่อนข้างเป็นคนเงียบๆ คงไม่มีเรื่องให้มาปะทะคารมกับนายหรอก”
“ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ว่าแต่ว่าที่บอกว่าจำเป็นน่ะ มันเรื่องอะไรเหรอ”
น้ำเสียงที่เคยเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ตอนนี้เริ่มสงบลงบ้างแล้ว น้ำเสียงของดงฮยอนเองก็ฟังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“อืม ไว้จะค่อยๆ เล่าให้ฟังทีหลังนะ ตอนนี้ฉันไม่สะดวกที่จะคุยโทรศัพท์นานๆ ยังไงก็อย่าไปกวนอารมณ์เขาแล้วกัน ค่อยๆ คุยกันดีๆ แค่นี้นะ!”
“หา? อะไรเนี่ย เดี๋ยวสิ!”
ตอนที่ 1-4
ตอนที่ 1-4 The blues
เรื่องที่เขาอยากจะถามยังเหลืออีกตั้งเป็นกอง แต่ดงฮยอนดันรีบชิ่งวางสายหนีไปอย่างรวดเร็ว เหมือนวิ่งหนีข้าศึกเสียอย่างนั้น ทำเอาเส้นเลือดบนหน้าผากของซองจูเต้นตุบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง โทรศัพท์ที่เคยถืออยู่ในมือ ถูกเขวี้ยงลงไปที่เตียงอีกหน ซองจูสูดหายใจเข้าออกอย่างหนักอีกรอบอย่างคนพยายามอดกลั้น เสียงปึงปังของประตูห้องนอนดังขึ้น พร้อมกับซองจูที่เดินออกมาด้านนอก
ปัง!
ไม่มีการเคาะประตูแต่อย่างใด ทันทีที่ประตูห้องพักแขกที่อยู่ห่างจากห้องนอนของเขาคนละโยชน์ถูกเปิดออกอย่างถือวิสาสะ ซองจูก็เผลอสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ภาพแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องซึ่งกำลังทอดสายตามองไปยังหน้าต่างบานกระจก ปรากฏชัดขึ้นในกรอบสายตาของซองจู
ภายในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท ร่างสูงใหญ่ที่ติดจะผอมไปสักหน่อย ช่างดูกลมกลืนเหลือเกินกับฉากหลังที่เป็นแสงดวงอาทิตย์ในยามตะวันตกดิน
หลังหน้าต่างบานกระจกขนาดใหญ่ตรงระเบียงกว้าง ปรากฏภาพท้องฟ้าสีแดงดุจสีเลือดของช่วงตะวันตกดินและแผ่นหลังกว้างของชายผู้มีเส้นผมสีดำสนิท ดูกลมกลืนกันเสียจนน่าพิศวง ใบหน้าที่ค่อยๆ หันกลับมาทางด้านหลังของผู้ชายคนนั้นมีประกายของความหมองหม่นพาดผ่าน ดวงตาสีเข้มคู่นั้นก็มีร่องรอยของความโศกเศร้าฝังลึกอยู่ภายใน
หม่นหมอง นั่นแหละคือผู้ชายคนนั้น
ซองจูเผลอกลืนน้ำลายอึกนึง พร้อมก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว
“เออ นายน่ะ…มาคุยกันหน่อยสิ”
คำพูดที่ไม่สามารถปะติดปะต่อกันให้สมบูรณ์ได้ ถูกเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกุก ผู้ชายคนนั้นเพียงพยักหน้าที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกตอบกลับมา
“ที่นี่คงไม่เหมาะ ไปที่ห้องนั่งเล่นเถอะ”
ทันทีที่พูดจบ ซองจูก็หมุนตัวกลับ เดินไปทางห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ
“ฟู่ว ค่อยยังชั่ว…”
สองขาก้าวเดินออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วมาหยุดยืนอยู่ที่กลางห้องนั่งเล่น ทันใดนั้นซองจูก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาทางปาก
ภาพของผู้ชายคนนั้นที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ติดตาเสียจนไม่สามารถสลัดออกไปได้ เขาได้แต่ยืนเหม่ออยู่กลางห้องที่แสงไฟสว่างเจิดจ้า ภาพแสงอาทิตย์ยามตะวันตกดิน แดงฉานดุจเปลวเพลิงซึ่งกำลังลุกโชน รวมเข้ากับแผ่นหลังกว้าง มันช่างยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ซองจูรู้สึกเพียงว่าเงาร่างที่ทอดยาวนั่นดูแข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ดูอ่อนแอราวกับจะพังครืนลงเสียตรงนั้น แล้วยังความรู้สึกสั่นไหวที่เกิดขึ้นภายในใจเขาอย่างไร้เหตุผลนั่นอีก
เป็นคนที่แปลกเสียจริง สวมเสื้อผ้าสีดำไปทั้งตัว แล้วยังเส้นผมหยักศกที่ยาวปิดบังใบหน้าไปกว่า ครึ่งนั่นอีก ชายหนุ่มที่มีบรรยากาศแปลกประหลาดกระจายอยู่รอบตัวนั่นยิ่งทำให้เขาดูแตกต่าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายคู่นั้น ผิวที่ซีดขาวท่ามกลางสีดำมืดทั่วทั้งตัว เมื่อประกอบกันแล้วกลับลงตัวอย่างมาก ยามที่ได้สบมองกับดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น เขารู้สึกราวกับถูกสาป ทั่วทั้งร่างชะงักค้างไม่เว้นแม้กระทั่งหัวใจของเขา
เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกแบบนี้ เขาไม่เคยรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกเช่นนี้มาก่อนเลย แม้กระทั่งในเวลาที่ต้องสวมบทบาทแสดงเป็นคนอื่นก็ตาม
“บ้าเอ๊ย…”
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาสบถออกมาอย่างหงุดหงิด เขาก็รับรู้ได้ถึงใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาทางด้านหลัง ซองจูหันขวับกลับไปทันทีด้วยสีหน้าเงอะงะ ช่างไม่สมกับเป็นเขาเอาเสียเลย
วินาทีที่ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ผู้ชายคนนั้นที่กำลังค่อยๆ เดินเขามาภายในห้องนั่งเล่นก็มองมาที่ซองจูก่อนจะหยุดฝีเท้าลง
บนทางเดินที่แสงไฟส่องสว่าง พวกเขาทั้งคู่ต่างประสานสายตากัน
ในแววตาที่ไม่อาจหลอกลวงได้นั้น มีภาพใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาสะท้อนอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ซองจูรู้สึกเหมือนตัวตนของเขาถูกกลืนกินด้วยกลิ่นอายที่กระจายออกมาจากผู้ชายตรงหน้า เขาเบือนหน้าหลบสายตาไปก่อน และเลือกนั่งลงบนโซฟาอย่างช้าๆ
“นั่งลงก่อนสิ”
พยักพเยิดปลายคางชี้ไปยังโซฟาฝั่งตรงข้าม ชายคนนั้นพยักหน้ารับ แล้วนั่งลงไปที่ตรงนั้นอย่างช้าๆ ซองจูหลบเลี่ยงไม่มองสบตาอีกฝ่ายที่นั่งตรงข้าม โดยเลือกที่จะก้มหน้าแล้วมองฝ่ามือของตัวเองแทน
“นายน่ะทำงานอะไร”
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบคำถามของซองจูในทันที
เขาหงุดหงิดกับการที่ต้องคอยคาดเดาคำพูดของอีกฝ่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถูกเมินเฉยต่อคำถามที่ถามออกไป ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมาอีก ซองจูเชิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองขึ้น ก่อนจะกวาดสายตามองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองพื้นห้องอยู่
“เหอะ นั่นคือคำตอบสำหรับคำถามงั้นเหรอ ดีจริง งั้นขอเปลี่ยนคำถามใหม่แล้วกัน นายกับพี่ดงฮยอนเกี่ยวข้องกันยังไง”
ทันทีที่เปลี่ยนคำถาม แพขนตาของอีกฝ่ายดูจะขยับไหวแสดงการตอบสนองกลับมาให้เห็น ซองจูเอนตัวพิงพนักโซฟา พร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอก เปล่าประโยชน์ที่จะแสดงท่าทางอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็น เขาจึงเลือกแสดงท่าทางอวดดีออกมาเช่นเคย แสดงอาการให้อีกฝ่ายลองพูดอะไรออกมาสักหน่อย ทันทีที่เขาเชิดหน้าเชิดคางขึ้น อีกฝ่ายก็ค่อยๆ เริ่มเปิดปากตอบ
“ก็แค่พี่ที่รู้จักกัน”
“พี่ที่รู้จัก? คนแบบนั้นไม่ใช่พวกที่จะมาแสดงความใจดีพร่ำเพรื่อด้วยเหตุผลแค่นั้นหรอกนะ”
ซองจูท้วงออกมา เมื่อรู้สึกว่าคำตอบที่แท้จริงมันไม่ใช่แค่นั้น
ชินดงฮยอนที่เขารู้จักเป็นพวกเลือดเย็นไม่น้อยไปกว่าใครเลย ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เห็นควรก็จะแสดงท่าทีเมินเฉยไม่คิดจะใส่ใจแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นแม้จะไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจด้านบันเทิงที่มีแต่พวกชอบพูดเสแสร้งและต้องคอยสวมหน้ากากตีสองหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่เจ้าตัวก็ยังสามารถเอาชนะอุปสรรคนำพาบริษัทก้าวมาอยู่ในแถวหน้าได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าหมดจดของซองจูเริ่มขุ่นมัวขึ้น พร้อมกับเริ่มซักไซ้อีกครั้ง
“แค่พี่ที่รู้จักเท่านั้นเหรอ แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง”
อีกฝ่ายตอบกลับความพากเพียรในการเค้นความจริงของเขาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
“เป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อน”
“หา?”
ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่รู้จักสนิทสนมกันดี แต่เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนพี่เขาเนี่ยนะ? ซองจูได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ด้วยไม่รู้ว่าจะตอบรับอย่างไรกับคำตอบที่ได้รับ
“เหอะ! จริงๆ เลยไอ้…งั้นที่บอกว่า ให้คิดเสียว่าเป็นเพื่อนร่วมสังกัดเดียวกันล่ะ หมายความว่ายังไง? เขาเป็นคนพูดแบบนั้นกับฉันเองนะ”
“ถ้าเป็นเรื่องเซ็นสัญญากับเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นนั่นก็ถูกต้องแล้ว”
“ไอ้นี่ นายพูดห้วนๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”
ซองจูทำหน้าบูดบึ้งพร้อมกับเริ่มหลุดนิสัยแท้จริงออกมา อีกฝ่ายเองก็เริ่มที่จะตอบโต้กลับมาอย่างมั่นอกมั่นใจมากกว่าเดิม
“นายเองก็พูดห้วนๆ เหมือนกัน”
“นี่พูดหรือเห่ากันแน่…”
อีกฝ่ายมองซองจูซึ่งกำลังสบถคำพูดไม่สมควรออกมา แล้วเริ่มตอบโต้กลับ
“ดูเหมือนนายจะไม่รู้เรื่องที่ฉันเข้ามาที่นี่สินะ”
“เออ ไม่รู้ ถ้าฉันรู้นายไม่มีทางได้เข้ามาแน่นอน”
อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษต่อพฤติกรรมน่าหมั่นไส้ซึ่งซองจูกำลังเผยออกมาอยู่เรื่อยๆ เขาเพียงแค่นั่งโน้มตัวมาด้านหน้าของโซฟา และจ้องมองมาที่ซองจูนิ่งๆ ก็เท่านั้น เห็นท่าทางแบบนั้นแล้ว มันทำให้ซองจูไม่สบอารมณ์เลยสักนิด เจ้าตัวส่งสายตาคมกริบกลับไปพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้าง
“ฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ตกใจ ยังไงก็ขอโทษด้วย ยังไงซะฉันก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องให้เข้ามาที่นี่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องจะให้ออกไป เห็นทีคงจะเป็นไปไม่ได้ นายสบายใจได้ เพราะฉันไม่ได้คิดที่จะมาสร้างเรื่องเดือดร้อนอะไรให้อย่างแน่นอน”
เขาอุตส่าห์แสดงท่าทีน่ารังเกียจ พยายามกวนโมโหอีกฝ่ายถึงขนาดนี้ แทนที่จะขอออกไปอยู่ที่อื่นแต่กลับมาแสดงจุดยืนว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ออกไปจากห้องนี้เสียอย่างนั้น
ซองจูรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุดกับสถานการณ์ตรงหน้าที่ไม่เป็นไปตามใจคิด แค่อีกคนไม่ได้พูดว่าจะหาที่อยู่ใหม่ แถมยังบอกให้มาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แค่นี้มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้เสียแล้ว
‘กล้ำกลืนอย่างที่สุด’
ซองจูจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด แล้วเอนตัวพิงพนักโซฟายิ่งกว่าเดิม
“นายชื่ออะไร”
เชิดคางขึ้นถามอีกครั้ง อีกฝ่ายชำเลืองมามองเขาก่อนจะเอ่ยตอบ
“จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นด้วยเหรอ”
“งั้นจะให้เรียกนายนิรนามรึไง”
ทั้งที่ถูกซองจูรวนกลับ แต่อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
“คิมจองอู”
“อายุล่ะ”
“สามสิบสอง”
“อะไรกัน เด็กกว่าฉันเหรอเนี่ย แล้วยังมีหน้ามาพูดห้วนๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”
“นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละ แค่อายุมากกว่าแล้วจะพูดจาไม่สุภาพก็ได้งั้นเหรอ”
คำถามที่สวนมาทำให้ซองจูได้แต่หุบปากพล่อยๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะคิดทบทวนอย่างไร ไอ้หมอนี่มันไม่ใช่ธรรมดาๆ แน่นอน
ใบหน้าที่ดูดีเกินมนุษย์มนาทั่วไปนั่นจ้องเขม็งมายังซองจูซึ่งกำลังขมวดคิ้ว ก่อนเริ่มเปิดปากถามคำถามออกมาอีกครั้ง
“นายอายุเท่าไหร่”
ซองจูไม่มีใจอยากจะตอบคำถามนั้นสักเท่าไรนัก เพราะเขาไม่ชอบ มันรู้สึกเหมือนต้องตอบคำถามตามคำสั่ง ถึงเขาบอกอายุไป อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คงไม่เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขาอย่างแน่นอน
“ถ้ารู้แล้วจะทำอะไร”
“ก็ตอบมาก่อนสิ”
“ไอ้เวรนี่ ให้ตายเหอะ!”
ซองจูเชิดหน้าขึ้นทันที ตอนนี้เขาหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เพียงเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ยอมเคลื่อนไหวตามความคิดของเขา
“ถึงยังไงฉันก็อายุมากกว่านาย”
“…”
“คงไม่เกินสี่สิบหรอก”
“นั่นก็ใช่ ทำไม”
“ทำตัวอย่างกับเด็ก ไม่ได้สุขุมสมวัยเลยสักนิด”
“อะไรนะ? ไอ้เด็กเวรนี่ จริงๆ เลย แม่งเอ๊ย!”
ซองจูแผดเสียงออกมาทันที เมื่อถูกจองอูพูดยั่วโมโหเข้าให้อย่างจัง เขากำมือตัวเองแน่นจนมันสั่นเทาอย่างคนพยายามอดกลั้น จองอูเพียงมองท่าทางเช่นนั้นของซองจูนิ่งเฉย คงไม่เหมาะที่เขาจะสนทนาต่อกับซองจูที่ยังคงไม่สามารถดับอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านได้
“คิมจองอู อายุสามสิบสอง อาชีพก็…เกี่ยวกับดนตรี ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือสนใจอะไร ฉะนั้นก็เลิกหัวร้อนได้แล้ว โอเคไหม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องอยู่รบกวนไปจนถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะคุยกันต่อ เอาเป็นว่าพวกเราค่อยๆ ปรับตัวกันไปทีละนิดแล้วกันนะ”
หลังจากที่จองอูทิ้งท้ายคำพูดเอาไว้แบบนั้น พร้อมกับทำท่าทางราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้องชุดนี้ได้อย่างหน้าด้านๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยๆ เดินกลับไปทางห้องของตัวเอง ซองจูยืนมองภาพแผ่นหลังที่ขยับไหวตามการก้าวเดิน จนกระทั่งเสียงปิดประตูดังขึ้น เขาก็ยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองในทันที
“บ้าอะไรเนี่ย ไอ้เวรนั่น เป็นพวกเต้นกินรำกินด้วยงั้นเหรอ”
นึกถึงใบหน้าของอีกคน พร้อมกับพึมพำราวกับว่าตัวเองไม่ได้เป็นพวกเต้นกินรำกินเช่นอีกคน
* * *
ตอนที่ 1-5
ตอนที่ 1-5 The blues
“เฮ้ย แม่งเอ๊ย บ้าอะไรวะเนี่ย…”
ทันทีที่เปิดประตูตู้เย็นออกกว้าง ซองจูก็ได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น ภาพตรงหน้าที่เห็นมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภาพของตู้เย็นที่ตอนนี้มันอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร
เขาใช้ชีวิตร่วมกับจองอูมาเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว ตลอดช่วงเวลานั้น บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก และมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ซองจูหงุดหงิดใจอย่างที่สุด
ไอ้ของพวกนี้ก็ด้วย
ซองจูจะไม่ทำอาหารกินเองที่บ้านอย่างเด็ดขาด เหตุผลมันก็มีอยู่ร้อยแปดพันเก้า แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องกลิ่นที่มันจะเหม็นคลุ้งติดไปทั่วห้อง
แน่นอนว่าเรื่องนี้สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการใช้เครื่องระบายอากาศ แต่ในความเป็นจริงฮันซองจูเป็นมนุษย์ประเภทที่ชอบเปิดหน้าต่างรอบบ้านออกกว้างๆ ทิ้งไว้ตลอดวัน ให้อากาศได้หมุนเวียนอย่างสะดวก แม้ว่านั่นจะไม่ช่วยในการรักษาบรรยากาศก็ตามแต่ แล้วเขาก็เป็นพวกจมูกไวต่อกลิ่นอาหารเสียด้วย
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มนุษย์เราก็ยังคงต้องกินอาหารเพื่อดำรงชีวิตอยู่ดี ส่วนมากแล้วมินซิกจะเป็นคนเอาอาหารมาส่งให้เขาวันละครั้ง หรือไม่เขาก็สั่งอาหารมาที่ห้องเองบ้าง
แต่นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ตู้เย็นเขามันเริ่มอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร แน่นขนาดที่แทบจะหาช่องว่างไม่เจอเลยทีเดียว ซึ่งมันก็หมายความว่าต่อไปนี้จะมีอาหารถูกปรุงขึ้นในครัวทุกๆ มื้อ แล้วกลิ่นก็จะต้องคละคลุ้งไปทั่วห้องอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในสถานการณ์ปกติ ด้วยนิสัยของเขาแล้วคงเดินไปบอกอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด แต่นี่มันไม่ใช่ เขาไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น ถึงในความเป็นจริงแล้วห้องนี้จะไม่ใช่ห้องของหมอนั่นเหมือนกัน แต่ว่าคงไม่มีใครที่ไหนยอมอดข้าวเพียงเพราะเป็นคำสั่งของคนนิสัยเสียอย่างเขาหรอก
สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ทนต่อไป แล้วฮันซองจูคนนี้ก็เกลียดความจริงข้อนั้นเสียด้วยสิ เขาทำเพียงปิดประตูตู้เย็นอย่างแรงด้วยอารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
“จริงๆ เลย ทำอะไรอย่างใจไม่ได้สักอย่างแบบนี้มัน…”
บ่นพึมพำด้วยความโกรธที่มันพลุ่งพล่านเสียจนไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
คนแบบเขาที่แม้แต่พี่น้องที่คุ้นเคยกันดียังไม่สามารถทนอยู่ด้วยได้ กลับใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาเดียวกับใครที่ไหนก็ไม่รู้มาได้เป็นสัปดาห์แล้ว บอกใครไปก็คงไม่ใครเขาเชื่อ
ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงไล่ตะเพิดออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ผู้บุกรุกคนนี้ดันเป็นคนรู้จักของดงฮยอน รุ่นพี่สมัยมหาวิทยาลัยที่ควบตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทที่เขาสังกัดอยู่ด้วยนี่สิ ไม่ใช่แค่นั้น คนอย่างชินดงฮยอนไม่มีทางให้ความช่วยเหลือใคร ด้วยเหตุเพียงแค่ว่า เขาคนนั้นคือลูกพี่ลูกน้องของเพื่อน ซึ่งความจริงข้อนั้นซองจูเองก็รู้อยู่แก่ใจดี
ฟันธงได้เลยว่า ไอ้บ้าคิมจองอูอะไรนั่นจะต้องกำลังตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากอย่างมาก หรือไม่ก็มีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจะบอกกับใครได้
การเผชิญหน้ากับคนที่มีนิสัยแบบนั้น ทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายจะพูดหรือจะตอบโต้อะไรกลับมาบ้าง และซองจูก็ไม่ปรารถนาให้มันเป็นแบบนั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาพอใจจะอยู่ร่วมกับอีกคนหรอกนะ
ถึงอย่างไรสิ่งที่เกลียด มันก็คือสิ่งที่เกลียดอยู่วันยังค่ำ ถึงเขาจะพยายามอดทนอดกลั้นมากแค่ไหน แต่บางครั้งมันก็เป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกิน ในวันนี้ก็เช่นกัน ซองจูผู้มีอารมณ์แปรปรวนง่าย และกำลังพยายามอดกลั้นต่อความโกรธที่พลุ่งพล่าน เขาหยิบแก้วกาแฟออกมาจากเครื่องชงกาแฟ แล้วในตอนนั้นเอง
“อ้าว พี่ครับ วันหลังถ้าอยากดื่มกาแฟก็บอกผมสิครับ ผมจะได้ไปซื้อแบบที่มันอร่อยๆ มาให้”
มินซิกโผล่พรวดพราดเข้ามาในครัว ด้วยท่าทางตื่นตระหนกจนเกินเหตุ มือทั้งสองข้างของเจ้านั่นหอบหิ้วถุงอาหารฟาสต์ฟู้ดเยอะแยะจนดูพะรุงพะรังไปหมด
“ก่อนจะพูดแบบนั้นออกมาเนี่ย นายได้แหกตาดูบรรดาถุงที่ตัวเองหิ้วมาแล้วรึยัง ถ้ายังหิ้วกาแฟมาด้วยอีก นายคิดว่ามันจะยังเหลือมาถึงฉันไหม คิดจะให้ฉันดื่มกาแฟที่หกหมดแล้วอย่างงั้นเหรอ”
มินซิกเพียงหัวเราะคิกคักอย่างไม่ได้ถือสาหาความอะไรนักกับคำพูดคำจาเหน็บแหนมจากอีกฝ่ายที่ได้ยินอยู่เป็นปกติ
“โธ่ พี่ก็จริงๆ เลย ผมก็มีวิธีหอบมาได้ครบหมดอยู่ดีแหละครับ ผมทำหน้าที่เป็นผู้จัดการให้พี่มาห้าปีแล้วนะ ถ้าแค่นั้นยังทำไม่ได้ก็คงเกินเยียวยาแล้วละครับ”
ซองจูหัวเราะคิกคักออกมา ขณะที่มองดูมินซิกพูดจ้อเรื่อยเปื่อยอย่างคนช่างคุย ในขณะที่มือก็ง่วนกับการจัดการนำข้าวของมากมายที่อยู่ในถุงออกมาข้างนอก อย่างไรเสียเจ้านี่ก็เป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ยอมรับกับความหัวร้อนง่ายของเขาได้
“ว่าแต่ทำไมเป็นแฮมเบอร์เกอร์ล่ะ นายไม่ใช่รึไงที่คอยบ่นเรื่องห้ามกินอาหารฟาสต์ฟู้ดน่ะ”
“อ๋อ อันนี้เหรอครับ พี่จองอูเขาบ่นว่าอยากกิน ผมก็เลยซื้อมาให้น่ะครับ พี่เองก็ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ต้องระวังเรื่องรูปร่างแล้ว จะกินบ้างสักครั้งมันก็มะ…ไม่เป็นไร พี่ครับ! พี่ครับ แล้วนั่นพี่จะไปไหน! ไม่กินก่อนแล้วค่อยไปล่ะครับ!”
“ไม่กงไม่กินมันแล้ว เวรเอ๊ย”
ซองจูไม่ได้รอฟังที่มินซิกพูดจนจบ ก็พาลเดินหนีกลับเข้าห้องนอนไปในทันที พร้อมกลับปิดประตูเสียงดังปัง
“ไอ้โง่เอ๊ย…”
บ่นพึมพำทั้งที่ตัวยังยืนพิงอยู่กับประตูห้อง และในมือก็ยังคงถือแก้วมัคเอาไว้ ไม่ได้วางลงให้เรียบร้อย แต่ถึงกระนั้นความโกรธก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดทอนลงเลย ซองจูก้าวฉับๆ เข้าไปด้านในห้อง ก่อนจะวางแก้วมัคที่มีกาแฟอยู่เต็มแก้วลงที่โต๊ะข้างเตียง แล้วจึงทิ้งตัวลงบนเตียงนอน
“ไอ้ตัวไม่ได้เรื่องนั่น เอาแต่บอกว่าต้องดูแลรูปร่างอยู่เรื่อย จะกินอาหารฟาสต์ฟู้ดไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่นี่แค่ไอ้คนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้บ่นว่าอยากจะกินขึ้นมาแค่นั้นแหละ ถึงกับรีบซื้อมาประเคนให้ทันทีเนี่ยนะ? แล้วยังมีหน้ามาทำตัวมีน้ำใจ ด้วยการบอกว่าซื้อมาเผื่อด้วย เฮอะ น่าขอบคุณเสียเหลือเกิน ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าฉันก็กินมันได้ด้วย แล้วยังมาตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องอีก ไอ้เลวเอ๊ย”
ซองจูดีดดิ้นไปมาบนเตียงใหญ่ พร้อมกับสบถคำด่าออกมามั่วซั่วไปหมด
ถึงซองจูจะเป็นประเภทอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างไร แต่ในเมื่อเป็นคนของเขาก็ควรจะแยกแยะอารมณ์เขาออกสิ แม้ว่าสำหรับซองจู ‘คนของเขา’ จะแบ่งแยกออกไปหลากหลายแบบ เช่นเดียวกับนิสัยของเขา แต่แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น มันหมายถึง ‘คนที่สามารถเข้าถึงความรู้สึกของเขาได้’
ถึงมันจะดูแปลกประหลาด แต่ในบรรดาคนที่อยู่ในขอบเขตนั้น ก็มีชื่อของ ‘ฮันซองฮี’ น้องชายที่เขาเกลียดเข้าไส้รวมอยู่ด้วย ซองจูเชื่อใจเขามากกว่าที่คิดเพราะอย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ซึ่งซองฮีก็รับรู้ในความจริงข้อนี้ดี สำหรับคิมมินซิกเองก็คืออีกคนที่ได้ผ่านเข้ามายืนอยู่ในเส้นมาตรฐานอันแปลกประหลาดของการเป็น ‘คนของฮันซองจู’ อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่หมอนั่นกล้าดีอย่างไรถึงได้มองข้ามความรู้สึกของเขา ยิ่งคิดถึงความจริงที่เกินจะรับได้นั่นแล้ว ก็ยิ่งทำให้ซองจูได้แต่กัดฟันกรอด
ไม่ว่าจะคิดดูอย่างไร เรื่องมากมายทั้งหมด ก็มักจะมีไอ้มนุษย์ที่ไม่เป็นที่พอใจสำหรับเขาโผล่มาด้วยเสมอ ทันทีที่ซองจูนึกถึงจองอู เขาก็รู้สึกว่าอัตราการเต้นของหัวใจเขามันค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาทีละนิด
ที่จริง ทั้งหมดที่ซองจูทำก็เหมือนเป็นการเอาแต่ใจแบบเด็กๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้แก่ใจดี มันเป็นความรู้สึกเจ็บใจและไม่พอใจ เหมือนว่าตัวเขาถูกแย่งคนที่เขาเชื่อใจและไว้ใจไป ถึงอย่างนั้นด้วยนิสัยของเขาก็ทำให้ไม่สามารถแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาได้ ก็เป็นแบบนี้มาตลอดสามสิบกว่าปีแล้ว อยู่ๆ จะให้มาเปลี่ยนกันภายในวันเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ซองจูค่อยๆ หุบริมฝีปากที่เบะออกกลับคืนมา
“หน้าที่ก็ไม่ใช่ยังซื้อมาอีก…แม่งเอ๊ย น่าหงุดหงิดชะมัด”
ในขณะที่บ่นพึมพำอยู่อย่างนั้น จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ไปเปิดตู้เย็นเมื่อครู่ เขาเห็นแอปเปิ้ลแช่อยู่ในตู้ลูกหนึ่งด้วย อีกเดี๋ยวพอมินซิกกลับออกไปแล้ว หลังจากตอนนั้นเขาค่อยออกไปเอามากิน อย่างน้อยก็คงจะพอประทังความหิวไปได้บ้าง
ในตอนที่เขากำลังลังเลอยู่ว่าจะยอมแพ้เรื่องออกไปหาอะไรกินแล้วก็นอนกลางวันแทนดีหรือไม่นั้น ใครบางคนก็มาเคาะประตูห้องนอนของเขา
“ก็บอกว่าไม่กินไง!”
“รีบๆ ออกมากินข้าวซะ”
แน่นอนว่าเขาคิดว่าอีกคนคือมินซิก ถึงได้ตะโกนตอบออกไปทันทีแบบนั้น แต่เสียงที่ตอบกลับมามันกลับไม่ใช่คนที่คิดไว้ ซองจูที่ตื่นตกใจกับความจริงนั้นถึงกับกระเด้งตัวลุกขึ้นมา แล้วจ้องเขม็งไปยังบานประตูที่ปิดสนิทอยู่
“มันจะเย็นหมดแล้ว”
แน่นอนว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำและหนักแน่นแบบนี้เป็นของจองอูอย่างแน่นอน ซองจูเริ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง
“อะไรกัน เตรียมเผื่อด้วยรึไง”
บ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเบาพอที่จะไม่เล็ดลอดออกไปให้อีกคนที่อยู่หลังบานประตูได้ยินด้วย แล้วยังกัดเล็บตัวเองไปพร้อมกันอีก โดยซองจูก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเขาได้แสดงนิสัยในตอนเป็นเด็กออกมา ไหนจะการกลิ้งตัวไปมาบนเตียงราวกับกำลังต้องการประท้วงนั่นด้วย
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้งเนี่ย แต่ยังเงียบอยู่เลย
ลองเอาหูไปแนบกับประตูที่ปิดสนิทนั้นดู ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักนิสัยของซองจู อีกคนคงไม่ยอมออกมาข้างนอกง่ายๆ แน่ ถ้ายังไม่หายโกรธ ฝ่ายนั้นก็จะเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่อย่างนั้น ถึงเขาจะอยากกลับแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่มินซิกจะเคาะ ก๊อก ก๊อก ลงบนบานประตูที่เหมือนกำลังรอคอยเขาอยู่
“พี่คร้าบ มากินข้าวเถอะนะ พี่คงจะไม่ชอบแฮมเบอร์เกอร์ ผมก็เลยออกไปซื้ออย่างอื่นมาให้แทนแล้วนะครับ พี่จะอดอาหารแบบนี้ไม่ได้นะ ผมโดนท่านประธานบ่นหูชาแหงๆ นะครับ? พี่คร้าบ…”
ฟังเสียงที่พยายามออดอ้อนราวกับเด็กน้อยของมินซิกแล้ว ก็ทำให้ซองจูเกิดรู้สึกเวทนาอีกฝ่ายขึ้นมา
ดูเหมือนว่ามินซิกจะเข้าใจไปว่าที่ซองจูโมโหนั้นเป็นเพราะเขาไม่พอใจที่ต้องกินแฮมเบอร์เกอร์ที่เจ้าตัวซื้อมา อย่างไรเจ้านั่นก็ไม่มีทางจะคิดถึงว่า ที่ซองจูทำตัวราวกับตาเฒ่าขี้น้อยใจประชดประชันแบบนี้นั้น เป็นเพราะเขากำลังงอนอยู่ต่างหาก
นี่จะมีใครเข้าใจเขาบ้างไหมเนี่ย คิดเช่นนั้นแล้วซองจูก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ไอ้เจ้าโง่เอ๊ย นั่นเพราะนายไม่ได้ซื้อมาให้ฉัน แต่ซื้อให้คนอื่นต่างหาก”
บ่นพึมพำเสร็จเจ้าตัวก็ลุกขึ้นจากที่นอน ถ้าขืนเขายังประท้วงต่อไป มีหวังอีกเดี๋ยวเจ้ามินซิกคงได้ร้องไห้น้ำตานองหน้า แล้วก็โทรไปฟ้องดงฮยอนแหงๆ แล้วถึงตอนนั้นดงฮยอนก็จะต้องโทรมาหาเขาด้วยตัวเองพร้อมกับข่มขู่เขาว่า ถ้ายังจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะย้ายมินซิกให้ไปดูแลคนอื่น แล้วก็จะส่งผู้จัดการคนเก่าอย่างยองอุค ที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งไปอยู่ฝ่ายบริหารมาคอยควบคุมดูแลเขาแทนเสีย
แค่คิดถึงตรงนั้นซองจูก็รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาเลยทีเดียว เขาไม่มีทางยอมให้คนอย่างยองอุค ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดคนนั้น ได้หวนกลับคืนมาอีกครั้งแน่
“รู้แล้วน่า ไอ้เจ้านี่ นายนี่มันช่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นในด้านการสร้างความรำคาญใจให้คนอื่นดีเหลือเกินนะ”
ตอนที่ 1-6
ตอนที่ 1-6 The blues
ในขณะที่บ่นพึมพำอยู่อย่างนั้น เขาก็เดินไปเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้า ก็คือเจ้ามินซิกที่ดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตู และใบหน้าไร้อารมณ์ของจองอูที่กำลังมองมาที่มินซิก ซองจูกะพริบตาทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งเสียงคำรามใส่ร่างที่คุ้นเคยกันอย่างดีของเจ้ามินซิก
“นี่! มินซิก หน้าตาก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ทำไมยังมาทำอะไรแบบนั้นอีก ฉันก็ออกมากินข้าวแล้วนี่ไง เลิกร้องไห้ได้แล้ว”
“…มะ ไม่ร้องแล้วครับ”
บอกว่าจะไม่ร้องทั้งที่ดวงตายังมีหยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่ แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะคิกคักให้กับเขาที่อดอาหารประท้วง ซองจูเห็นสภาพแบบนั้นของมินซิกแล้ว ได้แต่ยักไหล่อย่างหน่ายใจให้ทีนึง แล้วจึงเดินไปทางห้องครัว สักพักซองจูก็รู้สึกถึงเสียงฝีเท้าของมินซิกที่กลับมาร่าเริง ก้าวตามหลังเขาที่เดินอย่างเนิบนาบมาติดๆ
“ซื้ออะไรมาล่ะ”
“ผมซื้อของโปรดของพี่มาทั้งนั้นเลย มีทั้งสลัดปลาแซลมอนใส่อะโวคาโดกับขนมปังโฮลวีทธัญพืชครับ ถ้าเกิดว่าของพวกนี้ยังไม่ถูกใจพี่อีก ผมก็ยังซื้อสลัดอกไก่ใส่เห็ดมาให้ด้วยนะครับ พี่อยากจะลองกินอันไหนก่อนดีครับ”
“…แซลมอน”
“ถ้าอย่างนั้น ผมเอาสลัดเห็ดไปใส่ตู้เย็นไว้ให้นะครับ พรุ่งนี้เช้าพี่ก็ค่อยเอาออกมากินนะครับ”
“อืม ขอบใจ”
ซองจูพูดขอบคุณมินซิก ทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับไปสบตาอีกฝ่าย แม้การหันกลับไปมองอีกคนสักครั้งก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ที่เขาดื้อดึงไม่ยอมทำแบบนั้นออกไปก็เป็นเพราะจองอูนั่นแหละ
ห้องของซองจูและห้องของจองอูอยู่ห่างไกลกันคนละฝั่งเหมือนขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ภายในห้องชุดสุดหรู ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าเจ็ดสิบพย็อง[1] ซึ่งใหญ่เกินกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ทั้งที่พวกเขาทั้งคู่พักอาศัยอยู่กันคนละมุมห้อง แต่ว่าคนๆ นั้นกลับเดินมาถึงหน้าห้องเขาด้วยความจงใจ แล้วมันก็น่าสงสัยด้วยว่าจองอูตั้งใจมาถึงนี่เพื่อเรียกให้เขาออกมากินข้าวหรือเปล่า
หากอีกคนก็เป็นพวกที่ซับซ้อนแบบเดียวกันกับเขา หากอีกคนตั้งใจมาเพื่อสั่งให้เขาออกมากินข้าวแล้วละก็ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่ในใจหรือเปล่า ซองจูก็ได้แต่หวังว่าจองอูคงจะไม่ได้เป็นคนแบบนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถ้าหากมีพวกเข้าใจยากมารวมกันอยู่ที่นี่ถึงสองคน
เขาเดินมาถึงในครัว ทั้งที่ยังไม่ทันจะได้จัดการกับจิตใจที่ว้าวุ่นของตัวเอง สิ่งแรกที่ปรากฎเข้ามาในกรอบสายตาทันทีที่เหยียบเข้ามาภายในนี้คือบรรดาถุงอาหารที่ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีร่องรอยถูกเปิดออกแต่อย่างใด เขาหันขวับกลับไปพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเอามินซิกตกใจมือไม้สั่น รีบพูดแก้ตัวเป็นพัลวัน
“เออ คือ นั่นมัน คือพอผมออกไปซื้อมาให้พี่แล้ว ผมก็รีบไปหาพี่ก่อนก็เลย…ขอโทษครับ! ผมจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”
ซองจูรีบเอื้อมมือออกไปคว้าต้นคอของเจ้ามินซิกเอาไว้ทันที ขัดขวางอีกฝ่ายที่กำลังจะพุ่งตัวไปทางโต๊ะอาหาร ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้เพียงยื่นแขนทั้งสองออกมาอย่างพยายามตะเกียกตะกายจะไปให้ถึงให้ได้
“เฮ้อ อยู่เฉยๆ สิ! ตั้งสติหน่อย!”
ซองจูทนมองดูสภาพนั้นของอีกฝ่ายไม่ได้ ถึงกับต้องตะโกนเสียงดังออกมา สติของมินซิกจึงกลับมาทันทีราวกับกดสวิตช์
“นี่! พวกนี้มันอะไร ทำไมนายยังไม่กิน”
มินซิกจ้องเขม็งมาราวกับต้องการถามว่า เรื่องที่เขาไปซื้อข้าวของตัวเองมาแต่ยังไม่ได้กินนั่นน่ะ มันเป็นปัญหาตรงไหน เห็นเช่นนั้นซองจูจึงหลุดเสียงขำฮึ ที่ดูเหมือนคนหายใจสะดุดเสียมากกว่า ก่อนจะพึมพำออกมา
“เจ้าโง่เอ๊ย มันเย็นหมดแล้ว แบบนี้กินไปจะได้รสชาติอะไร…นี่ นายล่ะ ทำไมถึงไม่กิน”
ทันทีที่หันกลับไปด้านหลัง ภาพใบหน้าไร้อารมณ์ของจองอูก็ปรากฏชัดเข้ามาในกรอบสายตา ซองจูส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้อีกฝ่ายรีบๆ ตอบคำถามเขามาเสียที เจ้าตัวยักไหล่ ก่อนจะเปิดปากตอบ
“ให้ฉันกินคนเดียว มันก็ยังไงๆ อยู่”
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เหตุผลที่พิเศษอะไร แต่มันกลับเป็นคำตอบที่ถูกใจซองจูขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม้ในความคิด เขาไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ ที่ตัวเองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ แต่ในวันนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมมื้ออาหารกับจองอู
“ช่างเถอะ หิวแล้ว รีบกินเถอะ”
แล้วเขาก็ขยับฝีเท้าเดินไปเป็นคนแรก
ก้าวเดินเร็วๆ ไปยังตู้เก็บจาน หยิบจานจากในตู้ออกมา แล้วมาจัดการแกะห่ออาหารพวกนั้นออก จองอูที่เอาแต่จ้องมองซองจูกับมินซิกในตอนแรก ก็ตั้งสติขึ้นมาได้ แล้วก้าวเร็วๆ เข้าไปช่วยจัดโต๊ะ
* * *
หลังจากวันนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างซองจูและจองอูก็ดูเหมือนจะไม่ได้ขยับไปจากเดิม
การใช้ชีวิตในแต่ละวันของพวกเขาแตกต่างกันมาก เช่นเดียวกับห้องนอนที่ตั้งอยู่ห่างกันคนละฟากฝั่ง ซองจูตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ต่างกันกับจองอู รายนั้นส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตโต้รุ่ง แล้วค่อยเข้านอนในตอนเช้า ซองจูทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจึงเข้านอนในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่จองอูกำลังเริ่มต้นวันใหม่ของตนเอง
เดิมทีพวกที่ทำงานเกี่ยวกับด้านดนตรีก็เป็นมนุษย์ประเภทที่ใช้ชีวิตในตอนกลางคืนเหมือนกันหมดอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้ใส่ใจ ทำเหมือนมันไม่มีอะไรผิดแปลก แต่ว่าทุกๆ ครั้งที่ซองจูได้เห็นจองอูแบบนั้น ก็มักจะทำให้เขานึกถึงซองฮีจนเผลอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมา จองอูที่โดนซองจูทำท่าทางโมโหใส่โดยไม่ทราบสาเหตุ ก็ไม่ได้แสดงท่าทางตอบสนองอะไรเป็นพิเศษ
ไม่ว่าซองจูจะแสดงอากัปกิริยาอย่างไร ดูจะไม่สามารถสะเทือนจองอูที่ทำตัวเหมือนป้อมปราการคนนั้นได้เลย แน่นอนว่าการที่จะเห็นอีกฝ่ายออกมาข้างนอกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกครั้งที่ออกมาก็เพียงจัดการธุระของตัวเอง เสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องไป วนไปวนมาอยู่แบบนี้เท่านั้น แต่ว่าพอถูกอีกฝ่ายทำเมินเฉยไม่ได้สนใจก็พาลให้หงุดหงิด พอมากเข้าก็เพิ่มพูนเป็นความโกรธ และพาลหาเรื่องทะเลาะกับอีกฝ่าย เหวี่ยงใส่อีกคนที่เมินเฉยใส่เขา แล้วเอาแต่เก็บตัวทำงานอยู่ในห้อง ทำตัวไม่ต่างกับพวกเต้นกินรำกินเลยสักนิด นั่นทำให้เขาโดนตอกกลับมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ว่า ‘นายเองก็เต้นกินรำกินเหมือนกัน’
ในที่สุดซองจูก็ตระหนักได้ว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะจองอูได้เลย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโทรไปหาดงฮยอนอีกครั้ง
“ไอ้นั่นจะอยู่ที่นี่ไปจนถึงเมื่อไหร่? บอกให้ทนๆ ไปสักพักนึงใช่ไหม หา? นี่มันเรียกว่าสักพักงั้นเหรอ”
“นี่ ฉันไม่ได้หูหนวกนะ เลิกตะโกนสักที แล้วนี่อยู่ไหน”
“เวลาที่ไม่มีงาน พี่เคยเห็นผมไปที่ไหนนอกจากห้องตัวเองรึไง แน่นอนว่าต้องอยู่ที่ห้องน่ะสิ ไม่สิ เรื่องสำคัญตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะอยู่ที่ไหนสักหน่อย! ผมถามว่าพี่จะจัดการยังไงต่อ!”
“โธ่เว้ย ไอ้เจ้านี่ ก็บอกว่าไม่ได้หูหนวกไง สงสัยว่าจะต้องอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่งั้นสิ”
ถึงอีกคนจะเอาแต่เถียงฉอดๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แต่ดงฮยอนก็ยังคงนิ่งเฉย
แม้จะพยายามก่อความวุ่นวายด้วยพลังทั้งหมดที่มีแล้ว แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามวางเฉยใส่เสีย ทั้งหมดมันก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทำไมคนรอบตัวเขามันถึงได้เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด ซองจูได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“เฮ้อ… เสียแรงเปล่าจริงๆ แค่บอกมาก็พอว่าจะต้องทนไปถึงเมื่อไหร่”
“ไอ้เรื่องนั้น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันบอกไปว่าอยากจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็อยู่ไปเถอะ ลองถามจองอูดูสิ เออ แล้วนี่ทำความรู้จักกันแล้วใช่ไหม”
“ทำแล้ว ถามชื่อก็เหมือนไม่ได้ถาม ถึงยังไงก็ไม่ได้เรียกชื่อกันอยู่แล้ว แต่ว่าพี่ นี่มันไม่เหมือนที่เคยคุยกันตอนแรกนี่ ไอ้ที่ไปพูดว่าอยากอยู่ถึงเมื่อก็อยู่เนี่ยมันใช่เรื่องเหรอไง หา?”
“อันที่จริง นายอยากจะพูดว่าหมอนั่นอยู่ร่วมกับคนอย่างฮันซองจูได้อย่างสงบสุขใช่ไหม คงจะแปลกใจใช่ไหมล่ะ เพราะคาดเดาไว้ว่าไม่นานก็คงจะย้ายออกไป แต่กลายเป็นว่ามาปักหลักนานกว่าที่คิดซะอย่างนั้น นี่คงเป็นเพราะจองอูนิสัยดีมากละสินะ”
“อะไรนะ? นิสัยดีงั้นเหรอ? ยิ่งกว่าคนบ้าซะอีก”
ซองจูจิ๊ปากอย่างไม่ชอบใจในคำพูดของดงฮยอน
คำพูดมันก็เป็นแค่เพียงคำพูดเท่านั้น แต่ซองจูก็คิดไปแล้วว่า จองอูคงเป็นประเภทตีสองหน้าใส่คนรอบข้างอย่างแน่นอน
ต่อหน้าเขาก็ทำตัวเป็นพวกไม่หือไม่อืออะไรสักอย่าง มองเหมือนเขาเป็นสิ่งของ แต่พอตอนมินซิกมาก็สวมหน้ากาก แสร้งเป็นพวกอัธยาศัยดี แบบนั้นยิ่งทำให้เขาไม่พอใจเป็นเท่าตัว
ปัญหาไม่ได้มีแค่นี้ ไอ้เวรจองอูนั่นคงตั้งใจจะเอาชนะเขา ทุกวันนี้ แม้แต่มินซิกก็เป็นไปด้วย ไม่ใช่แค่เรียกอีกฝ่ายอย่างยกย่องว่าพี่เท่านั้น ตอนเรียกไอ้บ้านั่นว่าพี่ ก็ทำท่าทางประจบเอาใจมันด้วย เห็นแบบนั้นแล้วทำเอาเขารู้สึกโมโหจนแทบคลั่งตาย
แต่ว่า เขาก็ไม่สามารถที่จะฟ้องเรื่องนี้กับดงฮยอนโดยตรงได้ ลองถ้าฟ้องไปแล้ว ไม่โดนด่ากลับมาว่าทำตัวเรียกร้องความสนใจก็คงดีไป ซองจูตั้งใจว่าจะพยายามพูดถากถางอีกฝ่าย ด้วยความรอบคอบอย่างที่สุด
“การที่พูดอะไรไปก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จานี่เรียกว่านิสัยดีงั้นเหรอ ไอ้นิสัยดีที่พี่พูดมาเนี่ย มันคืออะไรกันแน่?”
“อะไรที่มันตรงข้ามกับฮันซองจูก็คือนิสัยดีนั่นแหละ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ยังต้องมาถามกันอีกเหรอ?”
“นี่!”
และในวันนี้ ก็ทำให้ซองจูได้ตระหนักแล้วว่า แม้แต่ดงฮยอนก็พลอยเข้าข้างหมอนั่นไปอีกคนด้วย ทันทีที่เขาแผดเสียงตะโกนใส่หูโทรศัพท์ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ฮ่าๆ ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ที่ถืออยู่ ดงฮยอนหัวเราะจนพอใจแล้ว จึงได้เอ่ยถามซองจูที่กำลังหอบหายใจอย่างหนักด้วยอารมณ์โกรธที่ยังไม่ลดลง
“มินซิกบอกว่าพวกนายกินข้าวร่วมโต๊ะกันด้วยนี่”
“แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ไอ้อะไรแบบนั้นน่ะ”
“อะไรแบบนั้น มันคืออะไรล่ะ”
“ก็ แบบนั้นแหละ ยังไงก็ไม่ได้ญาติดีกัน คุยกันหรือก็ไม่ ถึงจะเจอหน้ากันบ้าง แต่ก็ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ไปเท่านั้น ยังไงซะ ไอ้นั่นมันก็แค่พวกประสาท”
“จองอูเองก็บอกว่านายประสาทเหมือนกัน”
“หา? มันบอกงั้นเหรอ? ไอ้เวรเอ๊ย”
ดงฮยอนสูดหายใจเข้าลึก พยายามเกลี้ยกล่อมซองจูที่ตอนนี้กำลังแผดเสียงตะโกนอย่างน่ากลัว ด้วยอารมณ์โกรธที่เดือดปุดๆ ขึ้นทันทีที่คำนั้นหลุดออกจากปากเขา ไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นเรื่องไปได้
แล้วภาพเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่จองอูในสภาพที่เหมือนคนใกล้ตายมาหาเขา แล้วอ้อนวอนขอให้ช่วยก็ได้ผุดวาบเข้ามาในความคิด
‘พี่… ได้โปรด ช่วยผมด้วยเถอะครับ’
จองอูที่มาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาในสภาพใบหน้าซูบตอบ ตาลึกโบ๋ ยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ ภาพตอนนั้นยังติดตาเขาอยู่เลย
จองอูที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่สู้ดีนัก ทำให้เจ้าตัวมีสภาพจิตใจที่น่าเป็นห่วงอยู่เสมอ พอโตเป็นผู้ใหญ่ ถึงได้หลุดพ้นจากพ่อแม่ที่คอยทารุณและไม่เคยใส่ใจมาได้ แต่ทว่าบาดแผลที่ได้รับมาทั้งทางร่างกายและจิตใจมันได้ฝังรากลึก และคอยติดตามทำร้ายจองอูอยู่เสมอ คนรอบข้างที่ไม่อาจทนดูเฉยๆ ได้ จึงพยายามช่วยเหลือกันในทุกทาง ทว่าก็เหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้นมาแม้แต่น้อย
[1]พย็อง หน่วยวัดความกว้างของที่ดินแบบเกาหลี 1 พย็องเท่ากับ 3.3057 ตารางเมตร
ตอนที่ 1-7 The blues
ภายหลังจากที่เจ้าตัวได้ทิ้งบ้านที่เป็นเหมือนนรกนั่นมาใช้ชีวิตอยู่ที่โซล สภาพของอีกคนดูจะดีขึ้นมาก จึงทำให้ทุกคนชะล่าใจ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องนี้เรื่องนั้นขึ้นบ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว อีกคนดูเป็นผู้เป็นคนกว่าที่คิด จึงคิดว่าคงจะไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนว่านั้นจะเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ดงฮยอนที่มักจะมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ กลับเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
สภาพของจองอูกลับทรุดโทรมลงไปอย่างมากโดยไม่คาดคิด อาการนอนไม่หลับและภาวะหวาดระแวงที่เป็นมาตลอด และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อีกคนเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับอาการหูแว่ว เพราะเหตุนั้นจองอูจึงได้มาบอกเขาก่อนที่จะสายไป
ดงฮยอนที่ไม่สามารถเพิกเฉยต่อเพื่อนที่ค่อยๆ ถูกกัดกินเข้าไปภายในจิตใจ ด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายได้แม้จะพาไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วก็ตาม เขาจึงได้พาจองอูมาทิ้งไว้ที่ห้องชุดแห่งนี้ในระหว่างที่ซองจูออกไปพบซองฮี ด้วยคิดว่าหากอีกคนได้ลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมดูบ้าง อาการอาจจะดีขึ้นก็ได้
แต่ว่า ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกคนก็แค่เอาแต่ทำเพลงอยู่ในห้อง
ยิ่งจองอูเป็นคนที่ความรู้สึกไวอยู่แล้ว ย่อมดูออกว่าซองจูเป็นพวกหัวรั้น ไม่ค่อยมีความอดทน ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่จองอูก็ยังอยู่ในช่วงที่ต้องคอยเฝ้าระวัง แล้วหน้าที่นั้นก็เป็นซองจูที่ต้องรับไป
ถึงแม้บางทีเรื่องอย่างนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้น แต่จนกว่าจองอูจะไม่แสดงท่าทีที่น่าเป็นห่วง ก็ยังจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลอยู่ แม้ว่าซองจูจะเป็นพวกความรู้สึกไวเช่นกันและยังหุนหันพลันแล่น แต่ก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ และค่อนข้างใจกว้าง ในใจลึกๆ แล้วเจ้าตัวเองก็มอบความเชื่อใจกับแขกที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตั้งแต่แรกที่อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว
แผนการของดงฮยอนคือซ่อนจองอูเอาไว้ในห้องของซองจู จนกว่าจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยแล้วแน่นอน
แต่ว่าโทรศัพท์ที่ได้รับจากจองอูเมื่อสักครู่นั้น อีกฝ่ายเหมือนต้องการจะบอกกับเขาว่าอยากจะอยู่ที่ห้องนี้ต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็ทำเอาดงฮยอนถึงกับกระอักกระอ่วนขึ้นมา แม้เจ้าตัวคิดว่าซองจูคงจะทนไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นการได้ทำงานอยู่ที่นี่ก็ไม่เลวเท่าไร ตอนที่ได้ยินประโยคนั้น เล่นเอาดงฮยอนตกใจจนเกือบตกเก้าอี้ ดูเหมือนทุกอย่างมันจะต่างจากที่เขาคิดไปไกลแล้ว
เขาพยายามยั้งตัวเองที่เอาแต่ถอนหายใจทิ้งอยู่เรื่อยๆ ก่อนจะเปิดปากพูดต่อ
“ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้านั่นไม่ได้พูดออกมาจากปากแบบนั้นซะทีเดียว”
“อะไรนะ จะบอกว่าไม่ได้พูดแต่แสดงออกมาเลยงั้นเหรอ”
ดงฮยอนได้แต่เกาหัวแกรกๆ กับการเอะอะโวยวายของซองจู ก่อนจะเริ่มรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาอีกครั้ง
จองอูหวาดกลัวการเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า ดังนั้นเพื่อปกป้องตัวเอง เจ้านั่นก็เลยแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งสำคัญนั้น มันเป็นวิธีการหนีแบบหนึ่ง
ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ยอมเปิดใจ แต่ทำไมถึงได้บอกว่าจะพักอยู่ที่ห้องนี้ต่อไปกันนะ หากเป็นคิมจองอูที่เขารู้จัก หมอนั่นเป็นประเภทที่ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยนี่นา ดงฮยอนพยายามจะทำความเข้าใจในสิ่งที่จองอูกำลังคิด ซึ่งมันไม่ง่ายเลยสักนิด เล่นเอาปวดหัวไปหมด พยายามจะเข้าใจแค่ไหนแต่เขาก็ไม่อาจจะเข้าใจมันได้เลย
“เฮ้อ ปวดหัวชะมัด ไอ้พวกนี้นี่”
“อะไร ทำไมอยู่ๆ มาว่าผมอย่างนี้ล่ะ”
คำพูดที่คำรามออกมาด้วยน้ำเสียงน่าขนลุกของซองจู ทำเอาดงฮยอนที่ได้ยินเช่นนั้น ยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้มมากกว่าเดิม ดูเหมือนการรอให้จองอูเปลี่ยนใจ ยังจะเป็นไปได้มากกว่าการหวังให้ซองจูกับจองอูสนิทสนมกัน แม้ว่าหนทางนี้จะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดก็ตาม ดงฮยอนใช้มือกดๆ นวดๆ บริเวณดวงตาที่ปวดเกร็งไปหมด พร้อมเอ่ยปากพูดต่อ
“ทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังจองอูนัก เจ้านั่นไม่ใช่พวกที่ชอบสร้างความเดือดร้อนให้ใครสักหน่อย”
“ไอ้นั่น เรียกผมว่าพวกเต้นกินรำกิน”
“แล้วนายไม่ได้เป็นพวกเต้นกินรำกินรึไง”
“โธ่เว้ย ผมเป็นนักแสดงนะ!”
“จะนักแสดง หรือนักดนตรี ก็เรียกว่าเต้นกินรำกินเหมือนกันนั่นแหละ”
“อย่ามาพูดดูถูกอาชีพคนอื่นแบบนั้นนะ!”
ตัวเองไปดูถูกอาชีพคนอื่นเขาก่อนแท้ๆ แต่กลับมาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้ เหลือเกินจริงๆ เลย ดงฮยอนได้แต่ส่งเสียงหัวเราะหึๆ
“นี่ ยังไงซะ อย่าไปแกล้งเจ้านั่นนักละ เขาก็เป็นคนมีอดีตเหมือนกับนายนั่นแหละ ไม่ได้ดีไปกว่ากันนักหรอก”
“อะไร? ก็ดูปกติดีนี่ เป็นโรคเด็กม.2[1] อย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ยังไงซะก็อย่าให้มันเกินไปละ ถ้าเกิดเจ้านั่นอาการทรุดขึ้นมา คนที่จะลำบากก็มีแค่นายกับฉันนั่นแหละ”
“เวร บ้าอะไรอีกน่ะ พูดอะไรที่มันฟังรู้เรื่องหน่อยสิ”
“ช่างเถอะ แกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินไปก็แล้วกันนะ”
ซองจูรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะดงฮยอนพูดอะไรที่เขาไม่เข้าใจออกมา เขาจึงเริ่มส่งเสียงคำรามออกมา
“อะไรเนี่ย จริงๆ แล้วไอ้บ้านั่นเป็นยังไงกันแน่ ใช่พวกนักดนตรีแน่เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ มีพรสวรรค์แบบที่ทำให้ขนลุกเลยละ เรียกว่าโอบกอดความโศกเศร้าจากก้นบึ้งหัวใจตัวเองเอาไว้ ประมาณนั้นล่ะมั้ง…”
“ให้ตาย บ้าอะไรน่ะ แค่ฟังก็เหมือนหัวจะระเบิดแล้ว ไม่ใช่ว่าที่ฟังแล้วรู้สึกขนลุกเพราะเหมือนจะมีผีโผล่ออกมาอะไรแบบนั้นหรอกเหรอ ว่าแต่ทำไมถึงเอาคนแบบนั้นมาปล่อยไว้ในห้องผมล่ะ ผมไปทำอะไรผิดกับพี่มารึไง? หา?”
“พูดกันแบบจริงจังเลยนะ ฮันซองจู นั่นไม่ใช่ห้องของนาย แต่เป็นของฉัน”
“เวรเถอะ อย่านอกเรื่องได้ไหม! ถามว่าทำไมถึงพาคนบ้าแบบนั้นเข้ามา!”
ดงฮยอนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันให้ซองจูที่แผดเสียงถามด้วยอารมณ์โมโห
“ก็ถ้าเอาคนที่เป็นขั้วตรงข้ามแบบเจ้านั่นมาอยู่กับนาย มันจะได้เป็นเติมเต็มกันและกันไงละ”
“คำพูดหมาๆ นี่มัน…”
ซองจูส่ายหน้าพร้อมกับพึมพำอย่างอ่อนใจ ดูเหมือนว่าต่อให้พยายามเจรจาต่อไป มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
“ช่างเถอะ เลิกพูดเรื่องนั้นดีกว่า ยังไงซะที่จะบอกก็คือไอ้บ้านั่นไม่ได้คิดจะออกไปจากที่นี่เร็วๆ นี้อย่างนั้นใช่ไหม”
“อือ คงงั้น อีกเดี๋ยวคงจะต้องรีโนเวทห้องนอนแขกให้เป็นห้องเก็บเสียงด้วย”
“หา? พูดเรื่องบ้าอะไรอีกเนี่ย?”
“ถึงจะเป็นช่วงพักผ่อน แต่ก็แค่วันสองวัน จองอูเองก็ต้องทำงานเหมือนกันไม่ใช่รึไง และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนนาย ก็ต้องสร้างห้องเก็บเสียงน่ะสิ”
“สารพัดเรื่องดีจริง แค่นี้นะ”
ซองจูตัดสินใจวางสาย เมื่อรู้สึกได้ว่ามันไม่ค่าอะไรที่จะต้องทนฟังต่อไป แม้จะมีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตามหลังมาติดๆ เขาก็ไม่คิดจะใส่ใจอีกต่อไป เขาเกือบหลุดตะโกนด่าไอ้บ้านั่นไปแล้ว แต่ก็ยังอยากจะฟังอยู่ว่า อีกฝ่ายทำเพื่ออะไร ภายในห้องอ่านหนังสือ เขาฝังตัวเองเข้ากับโซฟาสุดรักสุดหวง แล้วจึงหลับตาลง
“ไม่เห็นจะดูน่าเป็นห่วงตรงไหนเลย”
แม้จะบ่นพึมพำเบาๆ ออกมา แต่ความรู้สึกไม่พอใจก็ไม่ได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย
ถึงจะแสดงออกต่อดงฮยอนว่าหงุดหงิดใจมากขนาดไหน แต่อันที่จริงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับจองอูก็ไม่ได้เป็นสิ่งทำให้อึดอัดใจมากขนาดนั้น แต่ถ้าเขาทำแบบนั้น กลัวว่าคนอย่างดงฮยอนคงจะยิ่งได้ใจ แล้วก็อาจจะสร้างเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกก็เท่านั้น ถึงตัวเขาจะชั่วร้ายอย่างไร แต่ซองจูก็ไม่ได้ลืมความจริงที่ว่า คนๆ นั้นคือคนที่กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานบริษัทในตอนนี้ แล้วก็สามารถกำจัดเขาออกจากที่นี่ได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
“ยังไงก็ตาม อย่างน้อยก็ควรจะบอกอะไรกับคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันบ้างไม่ใช่รึไง ดูยังไงก็มีแต่เรื่องน่าสงสัยทั้งนั้น”
เจ้าตัวได้แต่พึมพำไปอย่างนั้น
จากที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อครู่ ดงฮยอนก็ดูมีพิรุธ เลี่ยงไม่ตอบเหมือนกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ ถึงจะทำหัวเราะคิกคักกลบเกลื่อนอย่างไร ก็หลอกคนอย่างเขาไม่ได้หรอก ยิ่งเขาพยายามคิดทบทวนดูเท่าไร ไอ้คิมจองอูอะไรนั่น ก็ยิ่งดูเป็นคนน่าสงสัยเข้าไปอีก
แต่ว่ามันคือเรื่องอะไรกันล่ะ เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วอีกคนมีเรื่องอะไรกันแน่ จนกว่าดงฮยอนจะยอมเปิดปาก
ซองจูยกแขนข้างหนึ่งมาพาดปิดทับดวงตาเอาไว้ การวิตกกับเรื่องที่ไม่มีคำตอบแบบนี้ มันก็มีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเสียกับเสีย ซึ่งเรื่องนั้นเขาก็รู้แก่ใจดี
“ไม่รู้แล้วโว้ย จะอะไรก็ช่างหัวมันแล้ว”
ระบายอารมณ์ออกมาเช่นนั้นแล้ว ซองจูก็ค่อยๆ หลับตาลง ตลอดเวลาสองสามวันมานี้ เขาเอาแต่ครุ่นคิดกับเรื่องต่างๆ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียอย่างมาก พาให้สติที่คงเหลืออยู่น้อยนิดค่อยๆ จมลงสู่ห้วงนิทรา
ราวกับเจ้าตัวได้จมหายไปกับสายน้ำหลาก ซองจูไม่ได้ออกไปจากห้องอ่านหนังสืออีกเลย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็นของวัน
[1]โรคเด็กม.2 เนื่องจากช่วงวัยนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของการเป็นวัยรุ่น จึงถือเป็นช่วงวัยที่มีความแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น