Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 480-486

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.480 – ตราประทับของหอคอยสูง


 


เมื่อเดินทางมาถึงจุดนี้ ห่วงชูชีพสีชมพูก็เริ่มร้องเพลงออกมา


 


“โลกมิติอนันต์ โลกมิติอนันต์ที่ทุกคนปรารถนาาาา!”


 


“โลกที่เต็มไปด้วยสาวงามโดดเด่นจากโลกนับล้านล้านนนนน ที่ๆรวมดาราอันมีชื่อเสียงไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นไวน์เลิศรสจนไม่อาจจินตนาการด้ายยยย อีกทั้งยางงงงมีอารยธรรมและคนสุดแกร่งอีกมากมายยย”


 


“เอ้าวิ่งสิวิ่ง  วิ่งเข้าไปในมิตินางฟ้า – แต่นางฟ้าคงจะไม่ปล่อยให้ข้าเข้าไป เพราะความเปล่งประกายบนตัวข้า มันเจิดจ้าหน้าเกินตาพวกนางเกินไป!”


 


“เอ้าวิ่งสิวิ่ง วิ่งเข้าไปในมิตินรกปีศาจ – แต่ปีศาจคงไม่ปล่อยให้ข้าเข้าไป เพราะข้ามิใช่คนเลวและน่ารักเกินไป!”


 


“แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะในโลกมิติอนันต์น่ะ ยังมีสถานที่ให้เลือกสรรอยู่อีกมากมายยยยย”


 


“พวกเราไปผจญภัยไปด้วยกันเถอะ!”


 


ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพลงเกี่ยวกับการผจญภัยที่บอกเล่าเรื่องราวของโลกมิติอนันต์ แม้จะระคายหูไปบ้าง แต่พอถูกกรอกหูไปนานๆเข้า กู่ฉิงซานก็คิดว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไร


 


หลังจากที่คอยฟังเสียงเพลงไปสักพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “ดูเหมือนว่าโลกมิติอนันต์จะมีมิติอยู่มากมายตามชื่อของมันจริงๆ แล้วพวกเราจะไปยังมิติไหนของโลกมิติอนันต์กัน?”


 


“ … ”


 


ห่วงชูชีพชมพูชะงักไป


 


“เอ่า นี่เจ้าเองก็ไม่ทราบหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ


 


“สำหรับเรื่องนี้ มีเพียงแต่นายหญิงของข้าเท่านั้นที่รู้” ห่วงชูชีพชมพูตอบด้วยความหงุดหงิด


 


มันลอยมาอยู่หน้ากู่ฉิงซาน และเปลี่ยนรูปเป็นกุญแจ


 


“จงใช้ข้า เสียบเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่าซะ” กุญแจกล่าว


 


“เสียบเข้าไปหรือ?”


 


“ใช่ ที่พวกเราอยู่กันในตอนนี้คือโลกอำพราง และเจ้าจะต้องเข้าสู่โลกจริง เพื่อที่จะได้รับโอกาสในการเข้าถึงโลกมิติอนันต์เสียก่อน” กุญแจกล่าว


 


“โอ้ เข้าใจแล้ว”


 


แม้จะพึ่งได้ยินเรื่องน่าเหลือเชื่อมาอีกหนึ่ง แต่กู่ฉิงซานก็ยังตอบรับอย่างสงบ และปฏิบัติตามอย่างใจเย็น


 


ตอนนี้ มันมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายมากเกินไปที่ได้พบเจอ ทำให้เขาค่อนข้างชินกับพวกมันแล้ว


 


กู่ฉิงซานถือกุญแจ และจี้มันลงไปในความว่างเปล่า


 


“ไปซ้ายอีกหน่อย ซ้ายประมาณสองฝีเท้า”


 


“อ่าๆ”


 


กู่ฉิงซานทำตาม และเริ่มบิดกุญแจ


 


ทันใดนั้น บังเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวขึ้นในความว่างเปล่า


 


ระลอกคลื่นแพร่กระจายออกไป และค่อยๆเปิดเผยถึงฉากเบื้องหน้าที่ชัดเจนขึ้นอย่างกระทันหัน


 


กู่ฉิงซานค้นพบว่าสถานที่ที่ตนเองอยู่ยังคงเป็นบนทะเล


 


อย่างไรก็ตาม ในระดับน้ำทะเลที่ห่างไกลออกไป ได้ปรากฏประภาคารสูงขึ้นในสายตาของเขา


 


มันเป็นประภาคารสีดำที่มักจะสาดแสงกวาดลงมายังผืนทะเลโดยรอบเป็นครั้งคราว


 


กู่ฉิงซานเพ่งมองมันอย่างรอบคอบ และค้นพบว่าบนจุดยอดสุดของประภาคาร มันคลุมเครือจนเขาเห็นแค่เพียงเงาลางๆที่กำลังสั่นไหวเท่านั้น


 


ประภาคารสีดำตั้งยืนหยัดอยู่ตรงจุดนั้นอย่างเงียบๆ


 


“ทำไมมันถึงดูคุ้นตาจังนะ เหมือนกับว่าข้าเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ


 


“เจ้าเคยเห็นมันงั้นหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก” ห่วงชูชีพชมพูกล่าว


 


“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะ?”


 


“เพราะนี่คือสัญลักษณ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูง ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการเชื่อมต่อกับโลกมิติอนันต์ทั้งหมดน่ะสิ”


 


“บางที ถึงแม้พวกเขาจะมิใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งอะไร แต่พวกเขาก็เป็นตัวตนที่ทราบถึงความลับที่อยู่ลึกที่สุดของโลก!”


 


“เป็นตัวตนสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”


 


“ใช่ ดังนั้นผู้มาเยือนจากโลกกระจัดกระจายเช่นเจ้า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเคยติดต่อกับพวกเขา”


 


ขณะกล่าว ม้วนคัมภีร์อีกหนึ่งก็ผุดออกมาจากกู่ฉิงซานในทันใด


 


เป็นเข็มทิศ


คราวนี้ เข็มที่อยู่ภายในหมุนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และชี้ตรงไปยังประภาคาร


 


“หยุดพูดไร้สาระ แล้วเริ่มไปซะที ข้าไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันนะ” เข็มทิศตะโกนบอก


 


“เจ้านั่นแหละไร้สาระ! อย่าลืมสิ ก่อนที่จะไป เราจะต้องอำพรางความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของเขาก่อน!” ห่วงชูชีพชมพูกล่าว


 


“ทำไมต้องอำพรางด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“สำหรับผู้ที่เข้ามาในหมื่นโลกาเป็นครั้งแรกน่ะ ต่อให้เจ้าเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดจากในโลกลำดับชั้นที่อาศัยอยู่ก็ตามที แต่เจ้าก็ไม่สมควรที่จะเปิดเผยรายละเอียดตนต่อผู้อื่น”


 


“แล้วหากสิ่งที่เจ้ากล่าวมาถูกค้นพบล่ะ”


 


“ในโลกนับล้านๆใบน่ะ เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย กล่าวได้ว่ามันเต็มไปด้วยอารยธรรมอันไร้ที่สิ้นสุด ก็ย่อมต้องมีบ้างเป็นธรรมดาที่อาจจะพบกับศัตรู ที่สามารถโค่นเจ้าลงได้”


 


“หากโค่นเจ้าได้ นั่นหมายถึงเขาจะล่วงรู้ทุกอย่างในสมองเจ้า หลังจากนั้นคงเข้าใจใช่หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้ารับ


 


ระหว่างสนทนา ม้วนคัมภีร์อีกใบก็กางออกและโคจรรอบกายกู่ฉิงซาน


 


แล้วรายละเอียดของเขาก็ค่อยๆถูกอำรางไว้ในความว่างเปล่า


 


กู่ฉิงซานลองขยับกายดู และพบว่ามีชั้นความผันผวนอันยอดเยี่ยมกำลังปกคลุมเขาอยู่


 


และชั้นความผันผวนนี้ มันจะสามารถป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตรวจสอบเขาได้ในระดับหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


เส้นแสงหิ่งห้อยไม่กี่บรรทัดปรากฏขึ้น


 


“กำบังซ่อนพลังงาน เป็นอุปกรณ์ระดับสูงที่ใช้ปกปิดความแข็งแกร่ง มีระยะเวลาใช้งาน : 3 วัน”


 


อ่านจบ กู่ฉิงซานก็พยายามที่จะเดินเข้าหาประภาคาร


 


แต่ดูเหมือนว่าจะมีความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับมิติเกิดขึ้น


 


เห็นได้ชัดว่ากำลังก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ทั้งคนทั้งร่างของเขากลับยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม มิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้เลย


 


ห่วงชูชีพชมพูหัวเราะออกมา


 


“เจ้าไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถเข้าไปได้”


 


ขณะกล่าว มันก็เปลี่ยนรูปตนเองเป็นกระดานโต้คลื่นสีชมพู และปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของกู่ฉิงซาน


 


“มาเถอะ ข้าจะเป็นคนพาเจ้าทะลวงมิติไปที่นั่นเอง”


 


“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับอย่างไม่มีทางเลือก


 


เขาหยั่งเท้า เริ่มทำการรักษาสมดุลบนกระดานโต้คลื่น


 


และในทันใด กระดานโต้คลื่นก็ระเบิดความเร็วออกมา จนผิวน้ำแยกออกจากกันเป็นสองฟากฝั่ง และเร่งมุ่งตรงไปยังประภาคาร


 


เมื่อใกล้เข้ามา ในสายตาของเขา ตัวของประภาคารก็เริ่มจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


 


กู่ฉิงซานพบประตูเล็กๆอยู่ใต้ประภาคาร


 


และด้วยความเร็วของกระดานโต้คลื่น ทำให้เพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็มาถึงประตูเล็กที่ว่า


 


มีผู้คนมากมายกำลังรออยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว


 


ผู้คนเหล่านั้นยืนกระจัดกระจายแบ่งกันเป็นหลายกลุ่ม ทว่าทั้งหมดดูจะแสดงออกถึงความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


 


กู่ฉิงซานลอบสังเกตพวกเขาอย่างลับๆ และพบว่าแต่ละกลุ่มกำลังพูดภาษาที่เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้


 


คนเหล่านี้กระซิบคุยกันแต่ในกลุ่มของตัวเอง และไม่คิดจะไปรบกวนกลุ่มอื่นๆ


 


ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจถึงภาษาที่พวกเขาพูด กระทั่งลักษณะที่ปรากฏของพวกเขามันก็ยังมองได้ไม่ชัดเจน


 


พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนกับเป็นภาพเงาสีดำที่สามารถมองเห็นได้คลุมเครือ ทว่าใบหน้าที่แท้จริงกลับถูกปกคลุมไปด้วยความมืด


 


“ไม่ต้องสนใจพวกมันหรอก คนเหล่านั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงโลกมิติอนันต์ พวกเขาทำได้แค่เพียงมาที่นี่และเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้นเท่านั้น” กระดานโต้คลื่นกล่าว


 


แล้วมันก็เปลี่ยนรูปกลับเป็นห่วงชูชีพอีกครั้ง


 


“เหตุใดรูปลักษณ์ของพวกเขาจึงถูกปกคลุมไปด้วยเงาดำ?” กู่ฉิงซานถามเสียงกระซิบ


 


“เพราะคนเหล่านี้เพียงค้นพบโลกใบนี้ได้ชั่วคราว และไม่ได้รับการยอมรับจากหอสูง ดังนั้นจึงทำได้แค่เพียงมาเฝ้าดูเท่านั้น”


 


“เช่นนั้นแล้วข้าเล่า?”


 


“แน่นอนว่าไม่เหมือนกับพวกเขา” อีกม้วนคัมภีร์กล่าว


 


ม้วนคัมภีร์เด้งออกจากตัวกู่ฉิงซาน และคลี่ออกอย่างช้าๆ


 


บนม้วนคัมภีร์ เต็มไปด้วยตัวอักษรอันแปลกประหลาดถูกขีดเขียนเอาไว้ พร้อมหลากหลายตราประทับและรอยพิมลายนิ้วมือ


 


นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นใบรับรองสำคัญ


 


ทันทีที่ม้วนคัมภีร์ปรากฏขึ้น บริเวณโดยรอบก็ระเบิดเสียงฮือด้วยความชื่นชมอิจฉาไปทั่ว


 


ใบรับรองกลั้วลำคอตนเองเพื่อที่จะกล่าวให้มันชัดเจน และเปล่งเสียงตะโกนออกมาว่า “อะแฮ่ม อะแฮ่ม ท่านผู้พิทักษ์ ได่โปรดอนุญาตให้ข้านำคนของข้าเข้าสู่หอสูงด้วย”


 


พร้อมกันกับเสียงตะโกนนี้ ประตูหน้าของหอคอยสูงก็เปิดขึ้นทันใด


 


ตามด้วยชราชราในชุดคลุมม่วงที่สวมหมวกปลายแหลมเดินออกมา


 


ฝูงชนโดยรอบต่างพากันหลีกทางให้เขาทันที


 


ทั้งหมดปิดปากเงียบ และจับจ้องไปยังชายชราอย่างใกล้ชิด ไม่มีผู้ใดกล้าเปล่งเสียงทำลายความสงบเงียบนี้เลย


 


ชายชราเดินมาถึงหน้ากู่ฉิงซาน และคว้าใบรับรอง เพ่งสายตาตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง


 


“อืม ไม่มีอะไรผิดปกติ นี่มันเป็นใบรับรองไว้ใช้เปิดหูเปิดตา”


 


ชายชรากล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองกู่ฉิงซาน “นอกจากนี้ เจ้ายังสามารถไปยังโลกสุดยอดมิติที่กำหนดเอาไว้ได้อีกหนึ่งครั้ง”


 


“ขอบพระคุณท่านมาก” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“จงตามข้ามา” ชายชราส่งม้วนคัมภีร์คืนให้กู่ฉิงซาน และหันหลังเดินกลับไป


 


ขณะที่กำลังเดิน ปากของชายชราก็งึมงำในสิ่งที่คิดออกมา “เกิดผู้โดยสารที่ไม่คาดคิดขึ้นมาซะแล้ว โชคดีจริงๆที่มีที่นั่งว่างพอดีในเวลานี้”


 


กู่ฉิงซานเดินตามชายชราหายเข้าไปในประตู และ-


 


-ปัง!


 


เสียงประตูดังปิดตามหลังเขา


 


ตามด้วยเสียงฮือฮาของความอิจฉาที่ดังลอดเข้ามาจากภายนอก


 


ท่ามกลางความมืดมิด ได้ยินเพียงเสียงของชายชราที่ดีดนิ้วดังเป๊าะ


 


พร้อมกับกลุ่มก้อนเปลวไฟที่ปรากฏขึ้น และลอยอยู่ข้างกายเขา


 


“ก่อนที่จะขึ้นไปบนเรือ โปรดอนุญาตให้ข้าทำการตรวจสอบดูก่อน ว่าเจ้าได้นำวัตถุที่เป็นอันตรายเข้ามาหรือไม่” ชายชราเอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน


 


วัตถุอันตราย?


 


กู่ฉิงซานย้อนนึกอย่างรวดเร็ว


 


จากเท่าที่นึกดู ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้นำสิ่งที่ดูเป็นอันตรายอะไรมานะ


 


“เชิญทำตามที่ท่านต้องการ” กู่ฉิงซานตอบรับ


 


ชายชราที่เห็นถึงปฏิกริยาของเขา ท่าทีการแสดงออกของตนจึงดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


“แสงจรัสแห่งภูมิปัญญา” ชายชราเอ่ยงึมงำ


 


แล้วกลุ่มก้อนเปลวไฟข้างกายเขาก็สาดแสงอบอุ่นสว่างไสวลงบนร่างของกู่ฉิงซาน


 


ในตอนแรก มันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นหรอก


 


แต่ขณะที่ชายชราและกู่ฉิงซานกำลังจะผ่อนคลายลงนั้นเอง จู่ๆตราประทับโลหะก็ผุดออกมา และปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเปลวไฟ


 


แสงจากเปลวไฟทั้งหมดถูกควบรวมเข้าด้วยกัน และสาดส่องลงบนตราประทับ


 


พร้อมกับลวดลายบนตราประทับที่เปล่งประกายแสงสดใสออกมา


 


มันคือหอคอยทมิฬอันสูงตระหง่าน ที่ตั้งอยู่บนที่ราบสีแดง


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.481 – โปรดเลือกด้วย


 


ดวงตาของชายชรากลายเป็นแหลมคมขึ้นทันใด นิ้วทั้งสิบถูกยกพนมราวกับว่าเขากำลังเตรียมพร้อมที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง


 


แต่หลังจากที่เขาได้เห็นตราประทับโลหะอย่างชัดเจน ชายชราก็ชะงักไป


 


สิบนิ้วที่วูบไหวของเขาก็นิ่งไปเช่นกัน


 


“แปลกนัก เจ้ามีสิ่งที่แสดงตนถึงผู้พิทักษ์หอสูงของเราได้อย่างไรกัน”


 


ชายชราเอ่ยพึมพำ


 


เขามองไปยังกู่ฉิงซานด้วยความสับสน


 


ขณะที่่สายตาของกู่ฉิงซานจับจ้องอยู่แต่กับตราประทับ และค่อยๆย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างทางไปยังปรภพ


 


เขาอธิบาย “พอดีว่าข้าได้ช่วยชีวิตคนๆหนึ่งเอาไว้ ไม่สิ หากจะเรียกว่าช่วยชีวิตก็คงจะไม่ถูกนัก และชายคนนั้นก็ได้มอบตราประทับนี่มาให้เป็นการตอบแทน”


 


จะเรียกว่าช่วยชีวิตก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะภายในถ้ำมืด สุดท้ายแล้วชายคนนั้นก็ตายอยู่ดี


 


แต่มองจากลักษณะท่าทีที่เขาแสดงออกมาหลังตาย มันกลับดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง


 


ดูเหมือนว่าเขาจะมีร่างกายสำรองเตรียมไว้อยู่แล้วในอีกโลกหนึ่ง


 


ชายชราพอได้ฟังคำกล่าวของกู่ฉิงซาน เขาก็สับสนกว่าเดิม


 


ชายชราหยิบตราประทับของตนออกมา และยื่นมันไปทางกู่ฉิงซาน


 


“จงดูนี่ นี่คือตราประทับของข้า มันเหมือนกับตราของเจ้าทุกประการเลย ดังนั้น หากข้าอยากจะขอตรวจสอบตราประทับของเจ้า มันจะได้หรือไม่?”


 


กู่ฉิงซานมองดูตราของอีกฝ่าย และพบว่ามันเหมือนกันกับของเขาทุกประการ


 


ตามตรรกะนี้ คงจะกล่าวได้ว่าในเวลานั้น ผู้ชายที่เขาได้พบเจอ สมควรจะเป็นคนของผู้พิทักษ์หอสูง


 


กู่ฉิงซานกล่าว “เชิญทำตามที่ท่านต้องการ”


 


“ขอบคุณ”


 


ชายชราจึงหยิบตราประทับของกู่ฉิงซานมา และวางไว้ภายใต้แสงไฟเพื่อทำการตรวจสอบมันอย่างจริงจัง


 


“ล้างมลทินเผยความจริง” ปากเปล่งเสียงกระซิบ


 


ว่าจบ สะเก็ดเปลวไฟก็สาดลงมา และห่อหุ้มตรานั้นเอาไว้


 


หลังจากการระเบิดของเปลวไฟ มันก็ลุกท่วมอย่างรุนแรงก่อนจะกระจัดกระจายหายไป


 


แต่ตราประทับกลับตรงกันข้าม มันยังคงถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างสว่างไสวท่ามกลางความมืดมิด และไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ


 


“นี่เป็นของแท้อย่างแน่นอน”


 


ขณะกล่าว น้ำเสียงของชายชราก็กลายเป็นจริงจังมากขึ้น


 


อีกฝ่ายสามารถได้รับตรานี้มา นั่นหมายความว่าเขาคือผู้มีพระคุณของสมาคมจริงๆ และตนเองก็ดันกระทำการไม่สุภาพอย่างการขอตรวจสอบอีกฝ่ายไปซะได้


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ชายชราก็น้อมกายลง กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าใคร่ขอเรียนถามจะได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น? หากเจ้าเต็มใจที่จะบอกถึงที่มาของตราประทับนี้ ข้าก็ยินดีที่จะตอบแทน”


 


แต่ในเวลานั้นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ได้วิ่งลงมาจากบันไดของหอคอยสูง


 


“ท่านอาจารย์แขกทุกคนได้มาถึงแล้ว และก็ถึงเวลาเดินเรือก็เช่นกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเร่งรีบ


 


“เจ้าขึ้นไปก่อน แล้วจงบอกให้พวกเขารอต่อไป” ชายชราเอ่ยรวบรัด


 


เด็กหนุ่มมองไปยังชายชรา ก่อนจะสลับไปมองกู่ฉิงซาน ในเมื่อไม่รู้ว่าตนสมควรจะทำอย่างไรดี เขาจึงหันหัวเดินจากไป


 


ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็อาศัยช่วงเวลานี้นึกย้อนความสักเล็กน้อย


 


ในช่วงเวลานั้นเขาได้ช่วยคนๆหนึ่งเอาไว้ และมองจากทัศนคติที่ชายชราผู้นี้แสดงออกมา ดูเหมือนว่าการบอกเล่าถึงช่วงเวลาดังกล่าวมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร


 


กู่ฉิงซานเรียบเรียงคำพูดและเริ่มเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


 


ชายชรารับฟัง และมองไปที่ตราประทับโลหะอีกครั้ง


 


“เท่านี้ก็ยืนยันเรียบร้อย” เขากล่าว


 


สิ้นเสียง ตราประทับโลหะก็สาดแสงจางๆออกมา และเข้าปกคลุมกู่ฉิงซานทันที


 


ชายชรายิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย


 


เขาส่งตราประทับคืนให้แก่กู่ฉิงซาน


 


“กลับกลายเป็นว่าเจ้าคือผู้มีพระคุณของสมาคมเรา”


 


ขณะกล่าว ชายชราก็เอื้อมมือไปในอากาศที่ว่างเปล่า


 


พร้อมกับชั้นวางหนังสือเล็กๆที่ผุดออกมาจากอากาศอันบางเบา


 


เห็นแค่เพียงหนังสือสามเล่มบนชั้นวางนี้


 


ปกของหนังสือทั้งสาม มีสีแดง เหลือง และน้ำเงินตามลำดับ


 


“โลกหกวิถีนั้นมีความพิเศษเป็นอย่างยิ่งและภายในถ้ำมืดนั้น ก็เป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การสำรวจเป็นอย่างมาก มันได้แสดงให้พวกเราเห็นถึงความลึกลับของโลกหกวิถีที่มีโครงสร้างวงจรอันน่าทึ่ง” ชายชรากล่าวด้วยความสุข


 


“เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายประเภทอาวุธ นักวิชาการของสมาคมเรา แม้ว่าจะฉลาดและมีปัญญาเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่เขาก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบาง ดังนั้นพวกเราจึงหวาดกลัวอยู่เสมอว่าจิตวิญญาณของพวกเขาจะถูกลักพาตัวไป”


 


“ยังไงก็ตาม เจ้าได้ช่วยเหลือจิตวิญญาณของนักวิชาการเอาไว้ นี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่น่ายินดียิ่ง”


 


ขณะกล่าว ชายชราก็ผลักชั้นวางหนังสือขนาดเล็กให้ลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน


 


“จงเลือกหนังสือจากหนึ่งในสามบนชั้นวางนี้ นี่คือรางวัลจากข้า สำหรับการกระทำอันกล้าหาญของเจ้า”


 


กู่ฉิงซานจ้องมองดูหนังสือทั้งสาม


 


และพบว่าหนังสือทั้งสามมันไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลย ทั้งหมดดูหนาเหมือนๆกัน มีเพียงตรงปกที่แตกต่าง


 


“รางวัลนี่คงจะมากเกินไป ข้าแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาจึงกล่าวปฏิเสธ


 


“มันไม่สำคัญหรอก โปรดเลือกหนึ่งในนั้นเถอะ เจ้าเป็นสหายของผู้พิทักษ์หอคอยสูงของเรา ดังนั้นหากเจ้าเกรงใจมากเกินไป มันจะกลายเป็นทางเราที่รู้สึกอึดอัดนะ” ชายชราหัวเราะออกมา


 


กู่ฉิงซานจึงไม่เอ่ยปฏิเสธอีกต่อไป เขาถามว่า “แต่ข้าไม่ทราบเลยว่าหนังสือทั้งสามเล่มนี้มีไว้เพื่ออะไร”


 


“ขออนุญาตเอ่ยถาม ข้าสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายสังหารของเจ้าไม่ธรรมดา – เจ้าสมควรที่จะสังหารวิญญาณของสิ่งมีชีวิตไปมากกว่าพันล้านตนใช่หรือไม่” ชายชราเอ่ยอย่างระมัดระวัง


 


“ใช่” กู่ฉิงซานพยักหน้าตอบ


 


ในนรก พวกคนตายมันไม่เชื่อฟัง เขาจึงลงมือเชือดไก่ให้ลิงดู โดยการล้างบางคนชั่วทั้งหมดในนรกเกือบทั้งชั้นนั้น


 


เมื่อชายชราเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสงบ น้ำเสียงของเขาจึงผ่อนคลายลง “หนังสือปกแดงได้บันทึกสกิลเทวะบางส่วนที่มีชื่อเสียงสั่นสะท้านจากตลอดทั้ง 300 ล้านโลกเอาไว้ หากเจ้าต้องการ ก็สามารถเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ไปได้เลย”


 


กู่ฉิงซานมองดูหนังสือที่มีปกแดง


 


เขาขบคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนจะเบนสายตาไปมองหนังสืออีกสองเล่ม


 


หากหนังสือทั้งสามนี้วางอยู่เคียงข้างกัน ดังนั้นอีกสองเล่มก็ไม่สมควรที่จะเลวร้ายเกินไป


 


เมื่อชายชราสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่าย เขาก็เข้าใจทันที


 


เขาชี้ไปยังหนังสือปกเหลืองและกล่าวแนะนำว่า “นี่คือหนังสือสำหรับท่องเที่ยวไปทั่วหมื่นโลกา ข้าสังเกตเห็นว่าเจ้าเดินทางมาคนเดียว – ไม่ทราบว่าเจ้ามีแฟนหรือไม่? หากไม่มีหรือเธอยังไม่ได้มาเที่ยวด้วยกันกับเจ้า หนังสือปกเหลืองเล่มนี้นับว่าเหมาะสมยิ่งนัก”


 


“เพราะเหตุใด มันเป็นหนังสืออัญเชิญอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ก็ไม่เชิงซะทีเดียว หนังสือเล่มนี้จะบันทึกข้อมูลติดต่อกับเหล่าสาวงาม เจ้าสามารถเรียกพวกเธอมาเป็นพันธมิตรได้ในช่วงเวลาหนึ่ง เรียกให้มาสนทนา ท่องเที่ยว และต่อสู้ไปด้วยกัน หรือทำเรื่องอื่นๆที่มันน่าสนใจ – แน่นอน ว่าเรื่องพวกนี้มันต้องจ่ายเงินล่วงหน้าแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่มีข้อพิพาททางการเงินในภายหลัง”


 


“หญิงสาวที่งดงามโดดเด่นกว่า 97 คน พวกเธอมักจะเดินทางไปมาระหว่างโลกทั้ง 600 ล้านชั้น ขณะที่ในแต่ละชั้นก็มีฐานแฟนคลับนับไม่ถ้วน และทุกคนต่างก็กระหายที่จะได้พบเห็นถึงใบหน้าอันงดงามของพวกเธอ”


 


“หญิงสาวทั้งหมดนี้ ได้ลงนามในสัญญากับหอสูงของพวกเราแล้ว และพวกเธอก็ยินดีที่จะร่วมก้าวไปกับแขกของเรา ท่ามกลางการเดินทางอันแสนวิเศษ” ชายชรากล่าวอย่างภาคภูมิ


 


กู่ฉิงซานฟังชายชราสาธยายเพียงช่วงต้นๆ แล้วสายตาของเขาก็เบนไปมองหนังสือเล่มสุดท้าย


 


มันคือหนังสือปกน้ำเงิน


 


เมื่อชายชราเห็นดังนั้น เขาจึงแนะนำออกมา “ในส่วนของหนังสือปกน้ำเงิน มันเหมาะสำหรับใช้ในการสื่อสาร”


 


“การสื่อสารอย่างงั้นหรือ?”


 


“ใช่ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะรู้แค่เพียงภาษามนุษย์ภาษาเดียวล่ะสิใช่ไหม? ดังนั้นทางเราจึงได้เขียนคู่มือฉบับสากลนี้ขึ้น”


 


“ตราบใดที่เจ้าถือมันไว้ มันจะทำการแปลทุกภาษาที่พวกเรารู้จัก ในปัจจุบัน -มีภาษามากมายในโลกทั้ง 900 ล้านชั้น แต่เจ้าจะใช้เวลาเพียง 100 ลมหายใจเท่านั้นในการเรียนรู้ทุกๆภาษานับพันล้านที่มี”


 


“ข้าก็ได้แนะนำถึงประโยชน์ของทั้งสามแล้ว ฉะนั้น กรุณาเลือกพวกมันจากหนึ่งในสามด้วย” ชายชรากล่าวในท้ายที่สุด


 


กู่ฉิงซานจ้องมองหนังสือทั้งสามเล่ม


 


และทันใดนั้นเอง เขาก็นึกย้อนไปถึงตนเองขณะอยู่เบื้องหน้าประภาคาร และได้ยินถึงหลากหลายภาษาจากฝูงชนที่คอยเฝ้ามองอยู่เบื้องนอก


 


ไม่มีประโยคใดเลยที่เขาสามารถเข้าใจมันได้


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่ลังเลเลยที่จะดึงหนังสือปกสีน้ำเงินออกมา


 


“ขอบคุณสำหรับความเมตตา ข้าขอรับหนังสือเล่มนี้เอาไว้ก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ


 


ทันทีที่คว้าจับหนังสือเล่มนี้ กู่ฉิงซานก็ได้ยินเสียงกระซิบออกมาจากหนังสือทันที


 


หลังจากที่กู่ฉิงซานตั้งใจฟังสักครู่ เขาก็สามารถเข้าใจถึงภาษาใหม่นับสิบได้เองโดยธรรมชาติ


 


“นี่มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ


 


ชายชราที่กำลังเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลง ในวิสัยทัศน์ของเขาได้เผยให้เห็นถึงความชื่นชมออกมา


 


“เหตุใดเจ้าจึงไม่เลือกอีกสองเล่มที่เหลือล่ะ?” เขาเอ่ยถาม


 


“เพราะการสื่อสารเรื่องที่ยากเย็นที่สุดสำหรับมนุษย์ – หลายครั้ง ตราบใดที่เราสามารถเข้าใจกันและกันได้ เรื่องยากมันอาจจะกลายเป็นเพียงเรื่องง่ายๆไปเลยก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ชายชราพยักหน้าและกล่าวว่า “อันที่จริงแล้ว หนังสือปกน้ำเงินเล่มนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ที่เหล่าบรรดานักวิชาการหอสูงของพวกเราเฝ้าพยายามเรียบเรียงมันขึ้นมา จนสุดท้ายก็เสร็จสมบูรณ์”


 


“หนังสือคู่มือนี้ ภายนอกมันเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่ง มันสามารถช่วยให้เข้าใจภาษาของตลอดทั้งหมื่นโลกาได้ สามารถซื้อหนึ่งชั้นโลกได้อย่างไม่มีปัญหา – แน่นอน หนังสือเล่มนี้จะจำกัดคนใช้เพียงหนึ่งเท่านั้น”


 


กู่ฉิงซานสะดุ้งโหยง เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “มันแพงถึงเพียงนั้นเชียว?”


 


มีค่าเทียบเท่ากับหนึ่งชั้นโลก …


 


ต้องไม่ลืมนะว่า ในหนึ่งชั้นโลกน่ะมีโลกนับล้านล้านอยู่ภายใน …


 


ชายชรากล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เป็นตามที่เจ้ากล่าวมา หลังจากที่ตัวตนทรงอำนาจได้ออกจากโลกของตนเองแล้ว พวกเขาก็จะค้นพบว่าภาษานั้นมีความสำคัญยิ่ง”


 


“การที่พวกเขาและคนอื่นๆไม่สามารถพูดคุยกันได้ มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดที่สุด”


 


“ในแต่ละชั้นโลก หรือแม้กระทั่งในโลกมิติอนันต์ มีชั้นหนังสือภาษาขายอยู่ก็จริง แต่ข้าอยากจะบอกว่ามันก็เป็นหนังสือปกน้ำเงินของทางผู้พิทักษ์หอสูงของพวกเรานี่แหละที่ที่ดีที่สุด!”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “แถมยังมีราคาแพงที่สุดอีกด้วยสินะ”


 


ชายชราหัวเราะ “สินค้ายิ่งล้ำค่ามันก็ยิ่งแพง นี่มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”


 


กู่ฉิงซานยิ้ม


 


ขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว เขากำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องอื่นอยู่


 


สมาคมผู้พิทักษ์หอสูง สามารถรวบรวมภาษาต่างๆของทั้งโลกนับล้านล้านได้ นี่พอจะบ่งบอกว่าพวกเขาทรงประสิทธิภาพเพียงใด


 


หากเทียบเปรียบกันในเรื่องนี้ นี่มิกล่าวได้ว่าพวกเขานั้นไร้เทียมทานหรอกหรือ?


 


เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานได้ทำการเลือกที่จะเข้าใจถึงภาษาของทั้งหมื่นโลกาแล้ว ชายชราก็เก็บหนังสืออีกสองเล่มกลับคืน


 


เขาเดินนำกู่ฉิงซานขึ้นบันไดของหอสูง จนกระทั่งมาถึงยอดสุดของหอคอย


 


สถานที่แห่งนี้กว้างขวาง คุณสามารถเห็นได้ตลอดทั้งท้องทะเลและท้องฟ้า


 


ขณะที่ผู้โดยสารสามคนกำลังรออยู่ที่นี่อยู่แล้ว


 


ในขณะนั้นเอง เมื่อเห็นว่ามีผู้โดยสารใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา สามผู้โดยสารที่เหลือก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองดู


 


“ท่านอาจารย์ เวลาได้ล่วงเลยกว่ากำหนดไปแล้ว” ชายหนุ่มที่เดินออกมาจากอีกด้านหนึ่งเปล่งเสียงออกมา


 


“มันไม่สำคัญหรอก จงทำลายโลกใบนี้ซะ”


 


“ขอรับ”


 


แล้วชายหนุ่มก็คว้าระเบิดออกมาทันใด


 


เขาชักสลักระเบิดออกและโยนมันลงไปในทะเลอันกว้างใหญ่


 


ชายหนุ่มก้มลงมองดูนาฬิกาพกของเขา


 


“โลกกำลังจะถูกทำลายในอีก 100 ลมหายใจต่อจากนี้”


 


เขารายงาน


 


“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็สมควรจะเริ่มออกเรือได้แล้ว เจ้าจงไปเตรียมตัวซะ”


 


“ขอรับ”


 


ชายหนุ่มขานรับและเดินจากไป


 


ชายชราหันไปโค้งกายให้กับกู่ฉิงซานและกล่าว “จากนี้ไปข้าคงจะยุ่งๆ แต่ทว่าเจ้ามีตราของเรา ในอนาคตเจ้าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติของเรา ดังนั้นหลังจากที่ขึ้นเรือแล้วก็ขอให้เจ้าจงเพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษต่างๆบนเรืออย่างเต็มที่”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.482 – ค่าโดยสาร


 


“ข้าจะต้องไปจัดธุระนิดๆหน่อยๆ แขกผู้มีเกียรติโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ อีกสักพักจะมีเรือมารับในไม่ช้า” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ทำตามที่ท่านต้องการเถิด” กู่ฉิงซานประสานฝ่ามือและกำปั้นไปทางอีกฝ่าย


 


ชายชราพยักหน้าและหายไปอย่างเร่งร้อน


 


กู่ฉิงซานมองไปยังผู้โดยสารอีกทั้งสามคน


 


ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาทั้งสาม ก็คงจะไม่พ้นชายเสื้อคลุมดำที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า คนๆนั้นกำลังลอยอยู่กลางอากาศและปลดปล่อยกลิ่นอายเจิดจรัสออกมาจากทั่วทั้งตัว


 


ถึงแม้ว่าชายเสื้อคลุมดำผู้นี้จะพยายามระงับความผันผวนของความแข็งแกร่งเอาไว้ก็ตามที แต่ชั้นอากาศรอบตัวเขาก็ยังคงสั่นไหวอยู่ดี


 


ดูเหมือนว่าตราบใดที่เขาเอ่ยปาก โลกทั้งใบก็คงจักต้องปฏิบัติตามเขา


 


นี่คือความแข็งแกร่งของเฉาฟ่าน(ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ)


 


ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับความรัก และได้รับการสนับสนุนทุกสิ่งอย่าง


 


หรือกล่าวอีกนัยนึงก็คือ คนๆนี้เป็นเทพวิญญาณ


 


เขาเป็นลูกหลานของเทพบรรพกาล


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม


 


เขาไม่คาดหวังเลย ว่าจู่ๆจะได้พบกับเทพในสถานที่แบบนี้


 


เห็นแค่เพียงเทพวิญญาณในเสื้อคลุมดำกำลังยืนอยู่บนขอบระเบียงอย่างระแวดระวัง เว้นระยะห่างกับผู้โดยสารอีกสองคน


 


ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพคนนี้กำลังหวาดกลัวอยู่กระนั้นหรือ?


 


แล้วสายตาของกู่ฉิงซานก็เบนมองไปยังผู้โดยสารอีกสองคน


 


มันคือไก่หงอนแดงตัวโตกับปืนกล ที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์


 


ใช่แล้วอ่านไม่ผิดไปหรอก มันคือไก่กับปืนกลจริงๆ


 


-อย่างน้อยมันก็ดูคล้ายกับปืนกลล่ะนะ


 


“อะฮ่า! นายรู้อะไรไหม ครั้งสุดท้ายที่ฉันตื่นขึ้นมา ฉันได้ไปเริงระบำอย่างเบามือในจักรวาลของชั้นโลกที่อาศัยอยู่ แล้วจับมอนสเตอร์เอกภพมากินได้ถึงสามตัวเชียวนะ!”


 


ไก่หงอนแดงน้ำลาย ปากเอ่ยกล่าวด้วยความตื่นเต้น


 


กู่ฉิงซานเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆ เงี่ยหูตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ


 


นี่มันภาษาของโลกจูหลิน


 


ความคิดดังกล่าว ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา


 


แปลกจัง ฉันรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?


 


กู่ฉิงซานก้มหัวลงมอง


 


และพบว่าคู่มือภาษาหมื่นโลกาในมือเขากำลังเปล่งเสียงกระซิบ


 


หากเป็นตัวเขาในก่อนหน้านี้ คงไม่มีทางกระจ่างว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงสิ่งใด


 


ดูเหมือนว่าหนังสือปกฟ้าจะกำลังทำงานอยู่


 


เพียงหนึ่งร้อยลมหายใจ แต่กลับสามารถเข้าใจภาษาของหมื่นโลกาได้อย่างถ่องแท้


 


นี่สินะความหมายของมัน


 


คู่มือปกน้ำเงินเล่มนี้ มีเพียงเจ้านายของมันเท่านั้นจึงจะได้ยินเสียง มันจะช่วยให้กู่ฉิงซานสามารถเรียนรู้ภาษาของอารยธรรมทั้งหมดได้


 


กู่ฉิงซานถือคู่มือไว้อย่างแน่นหนา ในขณะที่ยังคงได้รับภาษาใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็คอยฟังไก่กับปืนกลคุยกัน


 


“ฉันจะบอกนายว่ามอนสเตอร์เอกภพสายพันธ์ปลาหมึกน่ะมันอร่อยมาก อร่อยสุดๆไปเลย แต่ก็มีคนไม่มากนักหรอกนะ ที่จะปรุงอาหารจานนี้ได้”


 


“งั้นหรอ? น่าเสียดายจัง ฉันเองก็ยังไม่เคยกินมอนสเตอร์เอกภพมาก่อนเลย” น้ำเสียงของปืนกลดูจะผิดหวังเล็กน้อย


 


“ทำไมหรอ? อย่างนายควรจะจับพวกมอนสเตอร์เอกภพได้ง่ายๆสิ” ไก่เอ่ยด้วยความสงสัย


 


“ก็ตราบใดที่ฉันลงมือยิง ไม่ว่าอะไรก็จะถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์น่ะสิ มันไม่เหลืออะไรให้ฉันกินได้เลย” ปืนกลมือถอนหายใจ


 


“อ่าว ถ้าอย่างงั้นปกติแล้วนายกินอะไร?”


 


“ก็ปลูกอะไรซักอย่างไว้กินเอง หรือไม่ก็แวะไปดื่มกินตามสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น บาร์ ร้านอาหาร คลับ ฯลฯ อะไรพวกนี้” ปืนกลมือกล่าว


 


“แบบนั้นก็ไม่เลวนี่นา เพราะอย่างน้อยบางที่ที่พูดมา ก็มีพ่อครัวปรุงอาหารให้กิน”


 


ขณะกล่าว ไก่ก็ลดหัวลง แล้วแอบมองไปทางผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ


 


มันลดเสียงลงและกล่าวว่า “จริงสิ แล้วนายเคยกินเทพวิญญาณไหม?”


 


ปืนกลกล่าวด้วยความเสียดาย “เทพวิญญาณก็เหมือนกัน หากฉันเริ่มลงมือแล้วล่ะก็ … เฮ้อ โชคไม่ดีเลยจริงๆที่ฉันอดกินของอร่อย”


 


“แล้วถ้าออมมือล่ะ ขนาดออมมือก็ยังไม่เหลือซากเลยหรอ?”


 


“ใช่แล้วล่ะ ต่อให้ฉันใช้พลังแค่เพียงหนึ่งในพันของความแข็งแกร่ง ศัตรูก็ถูกเป่าหายไปไม่เหลือซากอยู่ดี”


 


“ … นายนี่มันช่างน่าสงสารจริงๆ” ไก่กล่าวด้วยความเห็นใจ


 


ขณะที่กำลังพูด ทั้งสองต่างก็พากันแอบมองไปยังผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ


 


แม้ผู้สืบสายโบหิตจากทวยเทพจะรู้สึกตัว แต่ก็ไม่อาจเข้าใจถึงความหมายที่ทั้งสองมองมาได้ จึงยิ่งปลีกตัวออกห่างจากพวกเขา


 


“ดูนั่นสิ เจ้าบ้านนอกนั่นมันไม่รู้ภาษา มันเลยไม่รู้ว่าพวกเรากำลังพูดถึงอะไรอยู่” ไก่พูดจาถากถาง


 


ทันใดนั้นเองปืนกลก็กล่าวว่า “แต่ยังมีไอ้หนุ่มอีกคนนึงอยู่ที่นี่ แถมเขายังเป็นคนที่ผู้พิทักษ์หอสูงเดินมาส่งเป็นการส่วนตัวอีกด้วย”


 


คราวนี้ทั้งไก่ทั้งปืน หันไปมองกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวทักทาย “สวัสดีสหายทั้งสอง”


 


แล้วทั้งไก่ทั้งปืนก็ตะลึงงันไป


 


อีกฝ่าย … ได้พูดภาษาจูหลินออกมา!?


 


เจ้าหนุ่มนี่สามารถเข้าใจคำพูดของพวกเขาได้อย่างงั้นหรือ?


 


ทั้งสองจึงบังเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา


 


“สวัสดี” ไก่เปลี่ยนมาพูดภาษาของอีกโลก และกล่าวทักทาย


 


ปืนกลมือก็ได้เปลี่ยนเป็นภาษาของโลกหนึ่งที่ต่างออกไปเช่นกัน


 


มันแสดงท่าทางในเชิงทักทายแบบเดียวกัน แต่คำถามกลับแตกต่างกันออกไป “นายชื่ออะไรงั้นหรอ?”


 


หากฟังในทีแรก แม้ทั้งสองประโยคนี้จะดูเหมือนเป็นคำทักทาย


 


แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความนัยของสองประโยคนี้มีความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


กู่ฉิงซานหันไปพูดภาษาหนึ่งกับไก่ “สวัสดี”


 


แล้วก็หันไปพูดกับปืนกลมือด้วยอีกภาษา “ฉันชื่อว่ากู่ฉิงซาน”


 


วิ้ว! ไก่ผิวปากทันที


 


เพราะทั้งสองภาษาที่กู่ฉิงซานพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นการออกเสียงหรือสำเนียง มันก็เป็นฟังดูเป็นสากลมาก


 


ไก่ยิ้มและกล่าว “พวกเราก็แค่พูดถึงเรื่องกินน่ะ ว่าแต่นายสนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้รึเปล่า มาร่วมวงกันได้นะน้องชาย”


 


“ฉันก็พอจะมีฝีมือในการทำอาหารกับผสมสุราเองอยู่บ้าง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เห? นั่นมันฟังดูดีเหมือนกันนี่นา” ไก่ตอบกลับ และเริ่มสำรวจกู่ฉิงซานด้วยความสนใจ


 


อีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะพึ่งมีอายุได้ราวๆ 20 ปีเท่านั้น


 


อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับสามารถพูดได้หลายภาษา แถมผู้พิทักษ์หอสูงก็ยังเป็นคนเดินมาส่งเขาเป็นการส่วนตัวอีก ถึงขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายจะเป็นแค่คนธรรมดาๆได้อย่างไร?


 


ในเวลานั้นเอง เรือลำใหญ่ก็แล่นเข้ามาอย่างช้าๆจากนอกประภาคาร


 


เรือใหญ่ลอยมาเทียบอยู่ใกล้กับยอดของประภาคาร


 


ขณะที่บนดาดฟ้าเรือ ชายชราจากสมาคมผู้พิทักษ์กำลังยืนโค้งกายอยู่


 


“เรียนผู้โดยสารทุกท่าน โปรดขึ้นมาบนเรือด้วย พวกเรากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว”


 


ไก่ย่ำฝ่าเท้าเบาๆ กระโจนขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ


 


ขณะที่ปืนกลค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ


 


ส่วนกู่ฉิงซานก็เดินขึ้นไปบนเรือตามปกติ


 


เฝ้ารอจนกระทั่งทุกคนขึ้นไปบนเรือแล้ว ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพในเสื้อคลุมดำจึงค่อยเร่งตามขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย


 


ดูเหมือนว่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพผู้นี้ ทั้งคนทั้งร่างกำลังตึงเครียดหรือกังวลอะไรบางอย่างอยู่


 


“ออกเรือได้-”


 


ชายชราตะโกนลั่น


 


แล้วเรือใหญ่ก็สั่นไหว ก่อนที่มันจะค่อยๆออกห่างจากตัวประภาคาร และบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า


 


กู่ฉิงซานยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ จ้องมองออกไปยังท้องทะเล


 


เขาพบว่าผืนทะเลทั้งหมดกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


 


แล้วก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ที่ประภาคารได้หายไป


 


พร้อมๆกับเงาที่โคจรรอบประภาคาร ก็หายไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย


 


ตูม!


 


โลกเริ่มที่จะล่มสลาย


 


ฉากนี้ช่างดูคุ้นเคยเสียจริงๆ เพราะกู่ฉิงซานก็พึ่งจะเคยได้ประสบพบเจอกับมันมาเมื่อไม่นานมานี้เอง


 


เขาถอนหายใจออกมา


 


ผู้โดยสารทั้งสี่ เฝ้ามองโลกที่กำลังล่มสลายและไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา


 


ไม่นานนัก


 


เรือใหญ่ก็เริ่มลอยลำเข้าสู่กระแสมิติอันเชี่ยวกราด และทิ้งโลกล่มสลายเอาไว้เบื้องหลังอย่างสมบูรณ์


 


ไก่และปืนกลดูจะไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้เลย


 


พวกเขาดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับการเดินทางแบบนี้อยู่แล้ว


 


ไก่เริ่มวาดมือในอากาศให้ปืนกลดู เหมือนว่าจะกำลังอธิบายถึงรสชาติของมอนสเตอร์ปลาหมึกว่าเป็นเช่นไร


 


ขณะที่ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพในเสื้อคลุมดำมองนิ่งไปยังชายชรา คล้ายกับว่ากำลังรอสิ่งใดอยู่


 


พอมั่นใจว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว ชายชราก็หันหน้ามามองผู้โดยสารทั้งสี่


 


“ทุกท่าน ตอนนี้พวกเราก็ได้เริ่มออกเดินทางกันแล้ว ฉะนั้นโปรดทำการชำระค่าโดยสารด้วย” เขาเอ่ยอย่างสุภาพและนอบน้อม


 


ไก่ได้หยิบกล่องที่เต็มไปด้วยอัญมณีออกมาจากปีกของมัน ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเก็บซ่อนเอาไว้ภายในนั้นได้อย่างไร


 


ชายชรารับเอากล่องอัญมณีมา แต่มิได้เปิดดูสิ่งที่อยู่ภายใน เขาเพียงกะน้ำหนักของมันด้วยมือแล้วก็เก็บมัน


 


“ขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุน” ชายชรากล่าว


 


ขณะที่ปืนกลเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง


 


“ย๊ากกกก!”


 


มันร่ำร้องออกมาด้วยจิตวิญญาณ


 


กริ๊ง …


 


แล้วหัวกระสุนโลหะเงางามก็ร่วงตกลงบนดาดฟ้าเรือ


 


“เพียงพอหรือไม่?” ปืนกลอ้าปากหอบหายใจ


 


ชายชราโบกมือ แล้วคว้าจับกระสุนที่ลอยขึ้นมาในฝ่ามือ เพ่งมองมันอย่างระมัดระวัง


 


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชายชราก็เงยหน้าขึ้น และกล่าวอย่างสุภาพว่า “นี่คือผลิตภัณฑ์ระดับสูง แถมยังมีมูลค่ายิ่งกว่าค่าโดยสารมากมายนัก โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปนำเงินส่วนต่างมาให้เจ้า”


 


ปืนกลกล่าวอย่างซื่อตรง “เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ขอแค่เพียงนำสุราของหอสูงสักหนึ่งถังมาเตรียมไว้ในห้องให้ฉัน แค่นั้นก็พอแล้ว”


 


“รับทราบ ขอบพระคุณในความใจกว้างของเจ้า” ชายชราเผยใบหน้ายิ้มแย้ม


 


ทันทีหลังจากนั้น ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพก็หยิบเอาถุงใบเล็กๆที่ดูงดงามหรูหราออกมา และโยนมันออกไป


 


ชายชราคว้าจับถุง และเขย่ามันเบาๆอย่างระมัดระวัง


 


มีเสียงดังกริ๊งกรั๊งออกมาจากในถุง


 


ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าว “มันยังไม่เพียงพอ”


 


ผู้สืบสายโลหิตสูดหายใจลึก


 


เขานิ่งคิดสักครู่ เหมือนจะลังเลว่าสมควรจะทำอย่างไรดี


 


เวลานี้ ใบหน้าของชายชราเริ่มที่จะหม่นลง


 


“โปรดรอสักครู่”


 


ขณะกล่าว ผู้สืบสายโลหิตก็ตบๆลงตามร่างกายตนอยู่นาน ก่อนที่จะหยิบถุงอันประณีตออกมา


 


เขาถอนหายใจ และยื่นถุงใบนั้นให้ชายชราอย่างไม่เต็มใจนัก


 


ชายชรารับถุงอันประณีตมาและเขย่ามันเบาๆ


 


คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาค่อยๆแยกออกจากกันอย่างช้าๆ ปากเอ่ยกล่าว “นับว่าเพียงพอแล้ว ขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุน”


 


เมื่อผู้สืบสายโลหิตได้ยินคำนี้ เขาก็ถอนหายใจโล่งอกโดยไม่รู้ตัว


 


และแล้ว ก็มาถึงตาของกู่ฉิงซาน


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.483 – ขาเป๋แบรี่


 


ผู้โดยสารทั้งสามคนได้ทำการจ่ายค่าเดินทางเรียบร้อยแล้ว และคราวนี้ก็มาถึงตาของกู่ฉิงซาน


 


เห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์หนึ่งที่ลอยออกมาจากกู่ฉิงซาน มันคลี่ออกกลางอากาศ พร้อมกับปรากฏรูปถุงเงินหนักอยู่ภายใน


 


นี่คือค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินเรือที่เสี่ยวถายจัดเตรียมเอาไว้ให้


 


ถุงเงินหนักลอยอยู่ในอากาศ บินตรงไปยังชายชรา


 


ทว่าชายชรากลับยื่นนิ้วออกไปยันมัน แล้วดันออกไป


 


ถุงเงินลอยกลับคืน


 


กู่ฉิงซานคว้าจับถุงเงิน ปากเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใด?”


 


ชายชราสั่นศีรษะและกล่าว่วา “เจ้าเป็นสหายของผู้พิทักษ์หอสูง ดังนั้นค่าโดยสารในครั้งนี้จึงได้รับการยกเว้น”


 


ผู้โดยสารคนอื่นๆอีกสามคน จ้องมองกู่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ


 


“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าหอคอยสูงที่มักจะขี้เหนียวเสมอมา จะมีวันที่พวกเขาบริการผู้อื่นโดยไม่คิดตังค์จริงๆ” ไก่ตัวโตเปล่งเสียงกระซิบ


 


ขณะที่ปืนกลลอบพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


-เจ้าเด็กนี่มันมาจากที่ไหนกัน? แล้วไปเป็นสหายกับผู้พิทักษ์หอสูงได้อย่างไร?


 


“ขอบพระคุณมาก” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป สำหรับเรื่องนี้ พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้บริการเจ้า” ชายชราหัวเราะ


 


แล้วกู่ฉิงซานก็เก็บถุงเงินหนักกลับคืน


 


เงินนี่ .. ถือว่าเป็นรางวัลพิเศษสำหรับการมาส่งของก็แล้วกัน


 


เมื่อจัดการเรื่องค่าโดยสารเสร็จแล้ว ชายชราก็กล่าวกับผู้โดยสารทั้งสี่ว่า “เอาล่ะ จากนี้ข้าจะเป็นผู้นำพาแขกทั้งหลายไปยังห้องพักของตนเพื่อรับการพักผ่อน”


 


“และแน่นอน ว่าเมื่อถึงปลายทางแล้ว ข้าจะไปแจ้งให้พวกเจ้าทราบเอง”


 


เขาหยิบหนังสือเล่มเล็กๆออกมา แล้วเปิดมันดู ขณะเดียวกันก็นำทางผู้โดยสารทั้งสี่ไปยังห้องพัก


 


หลังจากเดินไปสักครู่ ชายชราก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่งและเอื้อมมือออกไปกดมัน


 


ดูเหมือนว่าเขาจะเปิดใช้งานเทคนิคมนตราบางอย่าง


 


เห็นแค่เพียงชายชราที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือเล่มเล็กๆ “ผู้โดยสารที่ต้องการจะเข้าสู่ที่ลุ่มแดนชำระล้าง เชิญเข้าไปพักผ่อนในห้องนี้ได้”


 


ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพในเสื้อคลุมดำก้าวออกมาทันที


 


“แล้วข้าจะอยู่ที่นั่นได้นานแค่ไหน?” เขาเอ่ยถามด้วยความกังวล


 


ชายชรากล่าว “สำหรับเรื่องนี้ มันขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเจ้าเอง แต่ตามความคิดของข้า เจ้าอย่าไปที่นั่นจะเป็นการดีที่สุด”


 


ผู้สืบสายโลหิตมิคิดต่อปากต่อคำต่อ เขาผลักประตูเข้าไปโดยตรง และ


 


ปัง!


 


ตามด้วยเสียงปิดประตูอย่างแรง


 


“เทพวิญญาณผู้นี้ ดูจะไม่มีมารยาทเอาเสียเลย” ไก่บ่นอย่างไม่พอใจ


 


“ที่ลุ่มแดนชำระล้าง … ดูเหมือนว่าเรื่องของคนผู้นั้นชักจะทะแม่งๆอยู่นะ ทางหอสูงไม่คิดจะสนใจหน่อยหรอ?” ปืนกลเอ่ยถาม


 


“หากแค่มดตัวน้อยในระดับนั้น พวกเรายังต้องมาคอยพะวง ภารกิจของพวกเราก็คงจะมีมากมายจนไม่เป็นการทำงานทำการอะไรแล้ว” ชายชราเอ่ยอย่างแผ่วเบา


 


ไก่หัวเราะออกมา


 


ขณะที่ชายชราพาผู้โดยสารอีกสามคนมุ่งหน้าต่อไป


 


ทุกคนได้มาถึงประตูอีกบานหนึ่ง


 


“ผู้โดยสารที่ต้องการจะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาช้างเผือก เชิญเข้าไปพักผ่อนในห้องนี้ได้”


 


ชายชราเปล่งคำตามหนังสือเล่มเล็กๆที่กำลังอ่านอยู่


 


“เทือกเขาช้างเผือกอย่างงั้นหรอ! นั่นมันเป็นรีสอร์ทชั้นยอดนี่นา! นายจะต้องเพลิดเพลินไปกับมันแน่ๆ” ไก่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


ขณะที่ปืนกลส่ายหัวและกล่าว “อา ก็ช่วงไม่นานมานี้ฉันเหนื่อยมามาก เริ่มจะรู้สึกปวดบ่าปวดไหล่ ก็เลยต้องมาผ่อนคลายกันบ้าง”


 


“ฉันขอเดาว่าคงจะมีสาวสวยรอนายอยู่ที่นั่นใช่ไหม?”ไก่แซว


 


“ก็ถ้าฉันยังเป็นเด็กอายุซัก 200 ล้านปี ฉันก็อาจจะยังสนพวกเธออยู่บ้าง แต่ตอนนี้ฉันแค่ต้องการจะผ่อนคลายเท่านั้น” ปืนกลกล่าว


 


“จะพักอยู่ซักกี่วันกันล่ะ?”


 


“พวกเขาอนุญาตให้ฉันพักแค่ 6 วันเท่านั้น” ปืนกลตอบ


 


“หกวัน! นั่นมันวันหยุดยาวเลยนี่ — นายมีข้อมูลติดต่อของฉันแล้วใช่ไหม ไว้เดี๋ยวพวกเราค่อยพบกันใหม่นะ” ไก่ตัวโตพูดด้วยความกระตือรือร้น


 


“แล้วค่อยเจอกันใหม่”


 


ปืนกลก้าวเข้าไปในห้อง


 


และประตูก็ค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ


 


ชายชราจึงเดินนำผู้โดยสารอีกสองคนที่เหลือไปข้างหน้า


 


ระหว่างทางเดิน ไก่ก็เข้ามาใกล้และสะกิดกู่ฉิงซาน “เจ้าหนุ่ม ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ เจ้าปืนกลนั่นน่ะ มันงี่เง่าสิ้นดี”


 


“โอ้? ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ก็เทือกเขาช้างเผือกน่ะ … ฮี่ฮี่” ไก่แสยะยิ้มเย็น


 


แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายชราหันกลับมา


 


เขามองไปที่ไก่และเผยรอยยิ้มว่าตนก็เข้าใจถึงความหมายที่อีกฝ่ายจะสื่อเช่นกัน


 


“ใช่ ก็เทือกเขาช้างเผือกน่ะนะ” ชายชรากล่าว


 


มองไปยังสีหน้าการแสดงออกที่ดูคลุมเครือของคนผู้นี้กับไก่ กู่ฉิงซานก็เริ่มที่จะตระหนักถึงความหมายของพวกเขา


 


แล้วทั้งสามก็มาถึงประตูบานถัดไป


 


“แขกท่านต่อไป – ปลายทางของเจ้าคืออัลเบอัส เชิญเข้าไปพักผ่อนได้ และข้าจะมาเรียกเมื่อเดินทางไปถึง” ชายชรากล่าว


 


แล้วเขาก็กดฝ่ามือลงที่ประตูอีกครั้ง


 


ประตูเปิดออกทันที


 


“โอเค งั้นฉันไปก่อนนะ”


 


ไก่เชิดศีรษะขึ้น และเดินเข้าไปในห้องอย่างสง่าผ่าเผย


 


แต่ดูเหมือนว่ามันจะทันคิดถึงอะไรบางอย่างได้เสียก่อน เลยหันมาถามกู่ฉิงซาน “เจ้าหนุ่ม นายคิดยังไงกับอัลเบอัส?”


 


กู่ฉิงซานมองไปยังสีหน้าภาคภูมิของอีกฝ่ายแล้วกล่าว “ผมคิดว่าคุณแตกต่างจากผู้โดยสารทั้งสองคนก่อนหน้านี้ สถานะส่วนบุคคลของคุณคงสูงยิ่ง แถมดูจากท่าทีแล้วคงจะเป็นผู้ที่เปี่ยมบารมีไม่น้อย”


 


ไก่ตัวโตตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยๆแสดงรอยยิ้มพึงพอใจออกมา


 


“ใช่แล้วล่ะ ฉันจะอยู่ที่อัลเบอัสครึ่งเดือน – ฉันได้รับอนุญาตให้พักผ่อนระยะยาวที่นั่นน่ะ”


 


“ขอแสดงความยินดีด้วย สถานที่แห่งนั้นเหมาะสมกับคุณจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ใช่ไหม!” ไก่ตัวโตกล่าวด้วยความสุข “ที่นั่นน่ะเป็นรีสอร์ทที่มีรสนิยม และเหมาะสมกับสถานะของฉันอย่างแท้จริง”


 


“อนิจจา ขณะที่เทือกเขาช้างเผือกน่ะ … ฮูฮุฮุ”


 


ไก่สะบัดปีกพับๆและโยนกระดาษแผ่นเล็กๆให้แก่กู่ฉิงซาน


 


“ฉันชื่นชมคนปากหวานแบบนาย นอกจากนี้ ถึงนายจะเป็นเพียงรุ่นเยาว์ แต่ก็ยังฉลาดและมีไหวพริบ แถมดูจากการต้อบรับขอสมาคมก็พอจะบอกได้ว่าคงจะมีสถานะอยู่ไม่น้อย , ที่ให้ไปนั่นคือข้อมูลติดต่อของลูกสาวสหายฉัน และแน่นอนว่าฉันเต็มใจมอบมันให้กับนาย หวังว่านายจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอนะเจ้าหนู”


 


“เอาล่ะ ฉันคงต้องขอตัวไปใช้เวลาที่เหลือพักผ่อนแล้วนะ ขอให้เป็นการเดินทางที่ดีนะ”


 


“ขอให้เป็นการเดินทางที่ดีเช่นกัน”


 


ไก่เชิดหน้าขึ้น และโค้งกายอย่างสง่างาม


 


แล้วมันก็ค่อยๆปิดประตูลง


 


ชายชราพากู่ฉิงซานเดินมายังประตูบานสุดท้าย


 


“ไหนขอข้าดูโลกมิติอันต์ที่เจ้ากำลังจะไปหน่อยซิ …”


 


เขาก้มลงมองหนังสือเล่มเล็กๆในมือ แต่แล้วท่าทีการแสดงออกของชายชราก็ค่อยๆแปลกไป


 


“อ่า ที่แท้ก็เป็นสมาคมของเจ้าบ้านั่น … ”


 


หลังจากก้มลงมองหนังสือ ชายชราก็เงยหน้ากลับมามองกู่ฉิงซานอีกครั้ง


 


“เจ้าสามารถอยู่ที่นั่นได้เพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น” เขากล่าว


 


กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว


 


ระยะเวลามันสั้นยิ่งนัก สถานที่แห่งนั้นเป็นโลกมิติอนันต์แบบใดกัน?


 


แต่เมื่อลองคิดดูดีๆอีกครั้ง เขาก็ตระหนักได้ว่าตนก็แค่นำของที่เสี่ยวถายฝากไว้ไปส่งเท่านั้น


 


ดังนั้น หนึ่งชั่วโมงก็น่าจะเพียงพอแล้ว


 


เพียงขบคิด จู่ๆบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันใด


 


กระแสแสงพุ่งข้ามผ่านหน้าต่างระบบเทพสงคราม แปรเปลี่ยนเป็นหลายบรรทัดแสงตัวอักษรสีแดงเลือด


 


“คุณได้ทำลายห่วงโซ่แห่งโชคชะตาและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ผู้เล่นกู่ฉิงซานได้เข้าสู่ ภารกิจแห่งโชคชะตา”


 


“คำอธิบายภารกิจ : ในช่วงชีวิตหนึ่ง มันเป็นเรื่องยากนักที่จะมีโอกาสได้สัมผัสกับโลกมิติอนันต์ดั่งเช่นในตอนนี้ และนี่นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตคุณ”


 


“วัตถุประสงค์ภารกิจ : คุณจะต้องหาวิธีอะไรก็ได้ เพื่อที่จะเข้าไปอยู่ใน ‘สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม’ ”


“หากบรรลุภารกิจ คุณจะได้เรียนรู้ถึงความลับบางอย่าง”


 


“แต่ถ้าภารกิจล้มเหลว คุณจะได้รับสมญาใหม่ : ผู้พลาดพลั้งในโชคชะตา”


 


กู่ฉิงซานมองไปยังภารกิจแห่งโชคชะตา พร้อมกับบังเกิดคำถามเงียบๆขึ้นในจิตใจ


 


เห็นแค่เพียงสองบรรทัดแสงวิ่งออกมาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“คำอธิบาย : โปรดอย่าสอบถามเกี่ยวกับเนื้อหาของ ‘ความลับ’ ล่วงหน้า”


 


“คำอธิบาย : และโปรดอย่าได้ถามเกี่ยวกับคุณสมบัติของสมญาใหม่เช่นกัน ฉันบอกคุณได้แค่ว่า คุณคงไม่ต้องการที่จะได้รับสมญานี้อย่างแน่นอน”


 


กู่ฉิงซานถึงล้มเลิกที่จะเค้นถามทันที


 


เขามองไปทางชายชรา


 


เห็นแค่เพียงชายชราที่ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม


 


ชายชราเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จึงบังเกิดร่องรอยของรอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นมาในแววตาของเขา


 


“ดูเหมือนว่าท่านจะนึกถึงเรื่องราวบางอย่างที่มันน่าสนใจขึ้นมาได้สินะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“อ๋า? ขอโทษที ข้าเพียงย้อนนึกไปถึงเรื่องราวในอดึตที่ผ่านมาของขาเป๋แบรี่น่ะ” ชายชรากล่าวขออภัย


 


เขาเร่งกดลงบนบานประตู


 


แล้วประตูก็เปิดออก


 


แต่กู่ฉิงซานกลับยังมิได้ก้าวเข้าไปในทันที


 


เสี่ยวถายร้องขอให้กู่ฉิงซานส่งมอบบางสิ่งบางอย่างให้ขาเป๋แบรี่ เพื่อตอบแทนสำหรับความเมตตาของเขาในครั้งอดีต


 


แถมเขายังพึ่งได้รับภารกิจแห่งโชคชะตามาอีก ดังนั้น เขาจึงต้องพยายามคิดหาหนทางที่จะสามารถอยู่ที่นั่นให้จงได้


 


“ขออนุญาตเอ่ยถาม ว่าท่านพอจะแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจเหล่านั้นแก่ข้าบ้างจะได้หรือไม่?”


 


กู่ฉิงซานลังเลและกล่าว


 


มันจะดีกว่าหากเขาใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะทำความรู้จักเพิ่มเติมกับชายผู้ที่ถูกเรียกกันว่าขาเป๋แบรี่


 


“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ชายชรายักไหล่


 


สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยของความทรงจำและกล่าวว่า “ขาเป๋แบรี่น่ะ ครั้งหนึ่งเคยได้ช่วยโลกเอาไว้ แต่ในครั้งนั้นเขาดันลืมนำเอาอาวุธของตนเองติดตัวไปด้วย”


 


“เรื่องแบบนี้ลืมกันได้ด้วยหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“เขาก็แค่อ้างว่าลืมนำมันมาน่ะ” ชายชราบอกเล่าอย่างลึกลับ “แต่อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากทีเดียว – ทว่ามันจะสามารถปิดซ่อนจากพวกเราหอสูงไปได้อย่างไร?”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “พอจะสามารถบอกถึงความจริงได้หรือไม่?”


 


ชายชราลดเสียงลงและกล่าว “ในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น แบรี่น่ะอยู่ในงานคอนเสิร์ต – ในเวลานั้นเขาอินกับบรรยากาศของมันมากเกินไปหน่อย โยกทั้งหัวทั้งตัว ดิ้นไปมาจนเผลอโยนอาวุธของตัวเองขึ้นไปบนเวทีด้วยความตื่นเต้น”


 


“แล้วต่อมา ในตอนที่แบรี่ได้ไปช่วยโลก และกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพของเผ่ามารนับไม่ถ้วน เขาจึงพึ่งตระหนักได้ว่าตนได้ทำอาวุธประจำกายหายไป”


 


ชายชราส่ายหัวและกล่าว “เขาเป็นตัวตนที่ทรงพลานุภาพอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคนโง่บัดซบอย่างแท้จริง”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.484 – พักผ่อน


 


กู่ฉิงซานไม่คาดคิดเลยว่าขาเป๋แบรี่จะเป็นคนเช่นนี้


 


คนประเภทนี้ … หากเผชิญหน้ากัน ต่อให้เป็นตัวกู่ฉิงซานเองก็คงจะคาดเดาไม่ได้ว่าอีกจะเลือกลงมืออย่างไร


 


มันเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับคนอื่นที่จะคาดเดาพฤติกรรมของเขา


 


กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกว่าเรื่องที่เขากำลังจะไปพบเจอ ดูท่าว่ามันจะไม่ได้ง่ายเสียแล้ว


 


“ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ” กู่ฉิงซานหันไปกล่าวกับชายชรา


 


“ไม่ได้มากมายอะไรเลย มันก็แค่เรื่องซุบซิบนินทาเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้นเอง” ชายชราหัวเราะ


 


“ถ้าอย่างงั้น ข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน”


 


“เข้าใจแล้ว เมื่อถึงสถานที่ที่กำหนด ข้าจะมาตามตัวเจ้าเอง”


 


“ขอบพระคุณท่านมาก”


 


แล้วทั้งสองก็กล่าวร่ำลากัน


 


กู่ฉิงซานเดินเข้ามาในห้องและปิดประตูลง


 


หลากหลายเหตุการณ์ที่พึ่งพบเผชิญมา ล้วนมีแต่เรื่องราวไม่คาดคิดมากเกินไป ดังนั้นตัวเขาจึงต้องการสถานที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ เพื่อที่จะได้ขจัดความคิดลงอย่างช้าๆ


 


เขาหันไปมองรอบๆ


 


แต่กลับพบว่าทั้งห้องไม่มีอะไรเลย มันว่างเปล่า


 


มันเป็นเพียงพื้นที่ปิดอันคับแคบ มิต้องกล่าวถึงโคมไฟ แม้กระทั่งสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานอย่างโต๊ะและเก้าอี้ก็ยังไม่มี


 


มันคือห้องโล่งๆที่ว่างเปล่า


 


กู่ฉิงซานตกตะลึง


 


ตัวตนอย่างเช่นสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ไม่น่าจะบริการห้องพักหยาบๆแบบนี้ให้แก่ลูกค้าของพวกเขา


 


ทว่าเพียงแค่คิด กลับเห็นแค่เพียงแสงจากเทียนไขถูกจุดขึ้น ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด


 


เทียนไขแขวนอยู่ในอากาศ และค่อยๆลอยมาเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


พร้อมกับเสียงอันนุ่มนวลของผู้หญิงที่ดังขึ้นในห้องพัก


 


“ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ”


 


“เผ่าพันธุ์ของท่านคือ : มนุษย์”


 


“ทางเรากำลังทำการเรียกคึนสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายที่สุด โดยการสกัดมันจากส่วนลึกของความทรงจำของท่าน”


 


แล้วเสียงก็หายไป


 


หนึ่งลมหายใจ สอง และสาม


 


เสียงของผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้ง


 


“ตรวจพบว่าสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายมากที่สุดสำหรับท่านก็คือ : ”


 


“หนึ่ง : บาร์เรนโบว์”


 


“สอง : ห้องพักห้องแรกทางตะวันออกบนชั้นสองของวิลล่าในเขตชานเมืองของรัฐบาลกลาง”


 


“สาม : วังหลานเฉาในนิกายร้อยบุปผา”


 


“สี่ : สลัมในรัฐบาลกลาง อาคารบล็อกที่ 5 ,ห้องหมายเลข 2203 , บนชั้น 22 ”


 


“กรุณาเลือกสภาพแวดล้อมที่ท่านต้องการ เพื่อให้มั่นใจว่าการเดินทางในครั้งนี้ของท่านจะได้รับความสะดวกสบาย”


 


กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในสมองคิดเกี่ยวกับมันอยู่สักพัก


 


“เอาเป็นอาคารบล็อกที่ 5 ก็แล้วกัน” เขาพยายามกล่าว


 


“เข้าใจแล้ว สภาพแวดล้อมได้รับการระบุเป็นที่เรียบร้อย และสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมจะถูกจัดหามามอบให้ท่านโดยสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง – ขอให้เป็นการเดินทางที่น่ารื่นรมย์”


 


แล้วเสียงของผู้หญิงก็เงียบไป


 


พร้อมกับเทียนไขที่ดับลง


 


ความมืดมิดกลับคืนสู่ภายในห้อง


 


แต่หลังจากนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ


 


กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และเฝ้าสังเกตตลอดทั้งห้อง


 


ใช่ ห้องพักมีการเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ


 


มันเปลี่ยนไปเป็นห้องที่ยาวแต่แคบ คล้ายทางเดินเส้นตรง


 


ตลอดทั้งห้องมิได้ถูกแบ่งออกเป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือห้องครัว ชนิดที่ว่าเตียงและตู้อาจจำเป็นต้องวางซ้อนกันจึงจะพักได้อย่างสบาย


 


ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ


 


โคมไฟระย้าแขวนอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเพดานห้อง ขณะที่ภายในหลอดไฟถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผง


 


สภาพที่อยู่อาศัยเช่นนี้ แลดูมันจะด้อยยิ่งกว่าจะถูกเรียกว่าสลัมซะอีก


 


กู่ฉิงซานมองไปรับๆห้องพักของเขา


 


เขายืนนิ่งอยู่สักพัก ราวกับกำลังย้อนนึกไปถึงบางสิ่งบางอย่าง


 


ตลอดทั้งห้องมีเพียงความเงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงรบกวนใดๆ


 


จนกระทั่งกู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา จึงเริ่มบังเกิดแสงสลัวๆขึ้นภายในห้อง


 


เขาเบนสายตาไปทางหน้าต่าง และมองลอดออกไปภายนอก


 


บริเวณใกล้เคียงคราคร่ำไปด้วยตึกระฟ้า ขณะที่ภายในตึกเหล่านั้น ประปรายไปด้วยแสงไฟกระจัดกระจายออกไป


 


นี่คือสลัม


 


ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่มีค่า และผู้คนที่อยู่ที่นี่ก็จำต้องใช้สอยมันอย่างประหยัด


 


ไกลออกไปสุดสายตา


 


เขตการค้าและย่านธุรกิจของเมืองหลวงกลับเต็มไปด้วยแสงสว่างไสว


 


สายตาของกู่ฉิงซานนิ่งค้างอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง


 


ห้วงความทรงจำเก่าๆ ค่อยๆผุดขึ้นมาในจิตใจ


 


ฉากในวัยเด็กและวัยหนุ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง


 


เขาเติบโตมาเพียงลำพัง


 


คำกล่าวนี้ แม้บางคนจะใช้มันในการโอ้อวด และเสริมเติมแต่งบุคลิกและหน้าตาของตนเองได้


 


แต่สำหรับกู่ฉิงซาน ประโยคเมื่อครู่นี้มันเป็นตัวแทนของความขมขื่นและอ้างว้างอย่างแท้จริง


 


เขาเป็นเด็กกำพร้า


 


ทุกสิ่งอย่างล้วนต้องพึ่งตนเอง


 


กู่ฉิงซานหันกลับไปมองรอบๆและเดินไปที่ปลายเตียง


 


ก่อนจะก้มตัวแล้วยื่นมือออกไป คว้าจับขวดสุราขึ้นมาในมือของเขา


 


เท่านี้ก็มั่นใจได้แล้ว ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ๆคุ้นเคยสำหรับเขาจริงๆ


 


เพราะกระทั่งเหล้าที่มีวิธีการหมักบ่มแสนเลวร้ายที่สุด ที่มีราคาเพียง 5 แต้มเครดิตรัฐบาลกลาง และเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนจนก็ยังอยู่ที่นี่


 


ภายในขวดเหล้าเต็มไปด้วยน้ำสีใสๆ ขณะที่กระดาษถูกห่อเอาไว้ด้านนอกขวด บดบังยี่ห้อของมันเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน


 


กู่ฉิงซานได้เก็บขวดเหล้านี้ไว้มากว่าครึ่งปี และเตรียมที่จะเปิดมันดื่มฉลองในวันเกิดของเขา


 


–แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในห้วงความทรงจำก็ยังปรากฏ พลังของสมาคมผู้พิทักษ์แห่งหอสูงนี่ช่างมหัศจรรย์โดยแท้


 


ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเพราะเหตุใดผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพจึงรู้สึกกังวลว่าตนไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการเดินทาง


 


กู่ฉิงซานเปิดฝาเหล้าโดยไม่ต้องคิด


 


เขายกขวดขึ้นและกระดกมัน


 


ช่างแสบลิ้น


 


และขม


 


ความรู้สึกแสบเย็นพวยพุ่งขึ้น ไหลลงไปตามลำคอและหน้าอก


 


ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหล้าเกรดต่ำ แต่มันก็ผสมไปด้วยความทรงจำอันยาวนานของกู่ฉิงซาน มันช่วยนำพาความรู้สึกเดิมๆที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้วกลับคืนมา


 


เมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีต กู่ฉิงซานก็ส่ายหัว


 


เขายกมันขึ้นจิบ จิบแล้วจิบเล่าจนเหล้าหมดไปกว่าครึ่งขวด


 


ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็เดินไปข้างเตียงของตน และเปิดชั้นผ้าที่คลุมบางสิ่งเอาไว้


 


เตาเหล็กย่างบาร์บี่คิว ถ่าน ไม้เสียบ และเครื่องปรุงชนิดต่างๆถูกจัดวางเอาไว้อย่างประณีต


 


นี่คือสิ่งที่ช่วยให้กู่ฉิงซานสามารถหาค่าเล่าเรียนมาได้


 


เขามีพรสวรรค์ในการปรุงอาหารและผสมเหล้า


 


หรือกล่าวอีกนัยนึงก็คือ เขามีสัญชาตญาณที่ดีในการรังสรรรสชาติอันยอดเยี่ยม


 


ในช่วงชีวิตวัยรุ่น เขาได้ทำการคิดค้นสูตรลับบาร์บีคิวในการย่างซี่โครงหมูขึ้น


 


และมันก็ได้รับการประเมินว่าเป็นอาหารเลิศรสระดับสูงของรัฐบาลกลาง


 


ดังนั้น เทพธิดากงเจิ้งจึงทำการมอบ 2 แต้มบุญให้แก่เขา


 


ซึ่งในปีนั้น กู่ฉิงซานมีอายุเพียง 15 ปี เท่านั้น


 


ในปีที่คนรุ่นเดียวกัน ยังคงนั่งฝันกลางวันกันอยู่เลย


 


แต่กู่ฉิงซานกลับสามารถเดินทางไปยังตลาดมืด และกลายเป็นคนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในวงการอาหาร


 


หากเขาไม่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องหุ่นรบ และหวังว่าตนจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ล่ะก็ … กู่ฉิงซานคงจะเอาดีทางด้านพ่อครัวไปแล้ว


 


กู่ฉิงซานเริ่มจุดถ่าน และเตรียมอุปกรณ์ย่างบาร์บีคิว


 


เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบฉวยเอาอาหาร เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ออกมา และทำการเสียบมันเข้าใส่ไม้อย่างระมัดระวังจึงวางย่างไฟ


 


ไม่กี่นาทีต่อมา ‘แผงลอยบาร์บีคิวตระกูลกู่’ ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง


 


แต่กระแสลูกค้าคับคั่งในครั้งอดีตได้หายไป


 


ในเวลานี้ มีเพียงเจ้าของร้านและแขกเพียงคนเดียวเท่านั้น


 


ช้าก่อน แขกอีกคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ-


 


เห็นแค่เพียงร่างที่งดงามปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า และตกลงข้างกายกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ


 


ฉานนู่


 


“นายน้อยมิใช่ผู้ฝึกดาบหรอกหรือ? เหตุใดท่านจึงยังสามารถปรุงอาหารได้ด้วย?”


 


ฉานนู่มองตามการเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซาน และเอ่ยถามอย่างไม่คาดคิด


 


“ทักษะดาบน่ะเอาไว้ฟาดฟันสังหารศัตรู แต่ทักษะการปรุงอาหารน่ะ เอาไว้หาเลี้ยงชีพ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาทำเหมือนกับในครั้งอดีตทุกอย่าง ทาซอสอย่างระมัดระวัง และพลิกไม้ในช่วงเวลาอันพอเหมาะ


 


วัตถุดิบเหล่านี้มาจากทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มันไม่เพียงแฝงไว้ซึ่งพลังงานวิญญาณ แต่ยังถูกหมักบ่มโดยฉินเซี่ยวโหลวอีกด้วย ดังนั้น ทั้งอาหารและส่วนผสมจึงล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง


 


หลังจากที่กู่ฉิงซานย่างไปสักพัก ไม่นาน เนื้อในเตาก็เริ่มที่จะส่งกลิ่นยั่วน้ำลายออกมา


 


กู่ฉิงซานหยิบมันขึ้นแล้วยื่นไปทางฉานนู่


 


“ลองชิมฝีมือข้าหน่อยเป็นไร”


 


“เจ้าค่ะ”


 


แล้วร่างที่เลือนรางของฉานนู่ก็กลายเป็นร่างจริง


 


เธอเปลี่ยนจากวิญญาณดาบกลายเป็นมนุษย์ผู้หญิง


 


หลังจากที่ได้ใช้วิชาลี้ลับแปลงตนเป็นมนุษย์อยู่หลายครั้ง ฉานนู่ก็สามารถแตกฉานในการแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์


 


เธอรับไม้บาร์บีคิวมา อังใต้จมูกเพื่อสูดกลิ่นมันเบาๆ จากนั้นจึงเริ่มกัดกิน


 


“ช่างหอมหวาน และละมุนในปากจริงๆ”


 


ฉานนู่กล่าวด้วยอารมณ์


 


ฉานนู่เริ่มกัดกินมัน ก่อนจะหันไปมองรอบห้องด้วยความสงสัย


 


“นายน้อย นี่คือสถานที่ที่ท่านอาศัยอยู่กระนั้นหรือ?”


 


“ใช่”


 


“มันเรียบง่ายยิ่ง” ฉานนู่กล่าวประเมิน


 


“บางครั้งที่ข้าอาศัยอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่ได้กินแม้กระทั่งมื้ออาหาร”


 


“นายน้อยของข้าเคยมีช่วงเวลาที่เป็นทุกข์เช่นนี้ด้วยกระนั้นหรือนี่” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


ในตอนนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ย่างเสร็จอีกไม้แล้ว


 


เขาเริ่มที่จะลิ้งลองมัน


 


ช่างหอมหวาน!


 


-รสชาตินี้ที่คุ้นเคย


 


กู่ฉิงซานค่อยๆยิ้มออกมา


 


เขาหยิบขวดเหล้าที่เหลืออยู่เพียงครึ่งขึ้นมาจิบ


 


เหล้ากับบาร์บีคิว .. ไม่ว่าเมื่อใดก็เป็นการจับคู่กันที่ลงตัว


 


ช่วงเวลาต่อมา กู่ฉิงซานก็ลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง และหมกมุ่นตนเองอยู่กับการปรุงอาหารและเนื้อเสียบไม้


 


ในที่สุด เขาก็ล้างมือและเริ่มทำซุปต้มกระดูกแล้วแบ่งกันดื่มกับฉานนู่


 


“ซุปเองก็มีรสชาติดีเช่นกัน” ดื่มเสร็จ ฉานนู่ก็กล่าว ขณะเดียวกันสายตาของเธอก็มองดูกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จ้องข้าเช่นนี้ มีอะไรอย่างงั้นหรอ?”


 


“หากวันหนึ่ง มิต้องดิ้นรนต่อสู้อีกต่อไปแล้ว นายน้อยจะเปิดร้านอาหารหรือไม่?”


 


“ทำไมถึงไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้แล้วล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


“หากวันสิ้นโลกจบลง พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ ..”


 


“ผิดแล้วล่ะ”


 


“ผิดอย่างไร?”


 


“ต่อให้เป็นอย่างที่เจ้าว่ามา แต่ข้าจะยังคงเฟ้นหาวิธีที่ทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นต่อไปอยู่ดี ไม่คิดจะหยุดฝีเท้าที่ต้องก้าวเดินหรอก”


 


“แต่หากปราศจากซึ่งเผ่ามาร เหตุใดจึงยังต้องเตรียมตัวให้พร้อมต่อสู้อยู่อีก นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย” ฉานนู่งง


 


“ฉานนู่ เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับผู้คนในโลกล่องเวหา?”


 


ฉานนู่ย้อนนึก และกล่าวด้วยความหวาดหวั่นในจิตใจ “พวกเขาทำผิดพลาดอย่างแท้จริง อุปนิสัยและความคิดของบางคนน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเผ่ามารเสียอีก”


 


ใบหน้าอันงดงามของเธอถูกปกคลุมด้วยความกังวล


 


กู่ฉิงซานเหลือบมองเธอแล้วหัวเราะออกมา “ไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายเกินไปนักหรอก ผู้คนน่ะ เวลาที่ร้ายพวกเขาจะร้ายมากก็จริง แต่หากเป็นเวลาที่ดี พวกเขาก็จะดีไม่แพ้กัน”


 


“ตัวอย่างเช่น?”


 


“อย่างเช่นเหล่าคนตายนับล้านล้านที่ยินยอมสละบุญของตนเองในนาทีสุดท้ายเพื่อปกป้องโลกมนุษย์ไว้อย่างไรเล่า”


 


ฉานนู่พอได้ฟังก็พยักหน้า ทั้งคนทั้งร่างจมลงสู่สมาธิ


 


สักพักหนึ่ง คิ้วที่ขมวดมุ่นของเธอจึงค่อยๆคลายลง


 


กู่ฉิงซานถือยกชามซุปในมือแล้วค่อยๆดื่มมันอย่างช้าๆ


 


หลังจากเพลิดเพลินไปกับมื้อค่ำอันยอดเยี่ยมนี้ ในที่สุดความตึงเครียดในจิตใจของเขาก็ลดน้อยลง


 


ในมือจีบออกด้วยวิชาลับ เรียกน้ำสะอาดออกมาชะล้างอุปกรณ์ทุกอย่างโดยตรง ให้เหมือนดังเดิมในทีแรก ก่อนจะล้างมือ แล้วกู่ฉิงซานจึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง


 


ขณะเดียวกัน เขาก็กำลังขบคิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้


 


เดิมคิดว่าหลังจบเรื่องโลกล่องเวหา ตนก็จะสามารถกลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธได้เลยทันที


 


แต่ใครจะไปรู้ ว่าดันเกิดเรื่องราวมากมายไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน


 


โลกมิติอนันต์ …


 


ดูเหมือนว่าเขาจะจำเป็นต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ให้มากขึ้นซะแล้วสิ


 


กู่ฉิงซานขบคิดเป็นระยะเวลาสั้นๆ


 


-จากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไป


 


ฉานนู่พอได้ยินเสียงลมหายใจยาวเหยียดของเขา ก็เฝ้ามองการจมลงสู่ห้วงหลับลึกที่ปรากฏขึ้นอย่างใจเย็น


 


ก่อนจะค่อยๆผุดลุกขึ้น และแปลงตนกลับเป็นดาบยาวในมือ ลอยขึ้นไปแขวนเด่นอยู่กลางห้อง


 


คอยทำหน้าที่ปกป้องกู่ฉิงซาน


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.485 – รูปปั้นทองคำ


 


“นายน้อย ตื่นได้แล้ว”


 


เสียงของหญิงสาวดังขึ้น


 


กู่ฉิงซานลืมตาของเขา


 


และพบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเขาก็ยังคงเป็นที่พักอันต่ำต้อยในสลัมช่วงวัยเด็กดังเดิม


 


ฉานนู่นั่งอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองเขาด้วยความเป็นห่วง


 


“ขอโทษที นี่ข้าเผลอหลับไปงั้นหรือ ว่าแต่ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว”


 


“หนึ่งวันหนึ่งคืน”


 


“นั่นมันนานมาก!”


 


กู่ฉิงซานตกใจ


 


“เจ้าคงเหนื่อยมากเกินไปน่ะ ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฉานนู่เอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซานเริ่มตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างรอบคอบ


 


แล้วก็พบว่า บัดนี้ร่างกายตนเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ความเหนื่อยล้ามลายสูญไปสิ้นแล้ว


 


หลังจากที่ได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ สภาพร่างกายของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพดีดังเดิม


 


เวลานี้ ตัวกู่ฉิงซานได้กลับมาอยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์อีกครั้ง


 


“ก็คงจะอย่างนั้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะสบายจนข้าเผลอตัวไปหน่อย แต่ตอนนี้ท้องข้าชักจะร้องซะแล้วสิ”


 


ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้นบิดขี้เกียจ


 


“ว่าแต่เจ้าอยากจะกินอะไรดีล่ะ?” เขาหันไปถามฉานนู่


 


ฉานนู่ได้ลิ้มชิมรสฝีมือของกู่ฉิงซานมาแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาถาม เธอจึงยิ้มออกมาทันที


 


“ยิ้มทำไมงั้นหรือ?”


 


“ข้าได้ยินมาว่าโครงสร้างสังคมของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่รับผิดชอบในด้านการปรุงอาหารก็คือฝ่ายหญิง ขณะที่ฝ่ายชายรับผิดชอบในด้านการงาน”


 


“กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตอนนี้ผู้ชายก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองเหมือนกัน”


 


“ถ้านายน้อยว่าแบบนั้นก็ดี เช่นนั้นข้าอยากจะดื่มซุปแบบเมื่อวานอีก รสชาติมันยังติดลิ้นอยู่เลย”


 


“งั้นเราจะทำซุปแบบเมื่อวาน แล้วก็กลับแกล้มอีกสักสองสามอย่าง”


 


ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ หยิบอาหารวิญญาณมาวางเบื้องหน้าฉานนู่


 


หลังจากที่ฉานนู่ได้ลองกินอาหารวิญญาณแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “มันอร่อยจริงๆ”


 


-นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะนี่คืออาหารวิญญาณที่ฉินเซี่ยวโหลวเตรียมไว้อย่างดี


 


อาหารวิญญาณของฉินเซี่ยวโหลวนับว่ามีรสชาตยอดเยี่ยม หากได้ทานมันควบคู่ไปกับการสุราที่กู่ฉิงซานผสม มันก็นับว่าเลิศเลอเหนือคำบรรยาย


 


กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงฉินเซี่ยวโหลว รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แน่นอน เพราะนี่คืออาหารวิญญาณ มันมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถปรุงได้”


 


ฉานนู่เอ่ยถาม “นี่มิใช่นายน้อยปรุงหรอกหรือ?”


 


“ไม่หรอก เป็นศิษย์พี่ข้าที่ปรุงมัน”


 


“ไม่น่าแปลกใจเลย” ฉานนู่เอ่ยขึ้นทันใด “ฉะนั้นคงจะกล่าวได้ว่าจริงๆแล้วท่านมาจากสำนักสอนทำอาหารอย่างงั้นสินะ”


 


“ … ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”


 


“เจ้ากินไปก่อนแล้วกัน ข้าขอตัวไปล้างมือทำซุปก่อน”


 


กู่ฉิงซานกล่าวและเริ่มวุ่น


 


“อีกนานแค่ไหนกัน กว่าพวกเราจะไปถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม?” ฉานนู่เอ่ยถามขณะเคี้ยวอาหาร


 


อาหารวิญญาณนี่ รสชาติดีจริงๆ


 


ฉานนู่รู้สึกว่าการที่เธอตัดสินใจเลือกติดตามนายน้อย … มันช่างคุ้มค่าเสียจริงๆ


 


กู่ฉิงซานยังไม่ทันจะได้เอ่ยตอบ แต่กลับมีเสียงๆหนึ่งตอบขึ้นมาแทนเขา “การเดินทางนี้จะยาวนานกว่าห้าวัน และหลังจากห้าวัน เจ้าก็จะไปถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”


 


กู่ฉิงซานพอได้ยินก็ตกใจ


 


ตั้งห้าวันเชียวหรือ


 


มันไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆเลยสำหรับเขา


 


ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ-


 


ตั้งแต่ที่ตนได้เดินทางมายังโลกมิติอนันต์ กระแสการไหลของมิติและเวลาก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกัน


 


ความหมายก็คือ เขาใช้เวลาที่นี่นานเท่าใด ระยะเวลาในโลกจริงก็จะผ่านไปนานเท่านั้น


 


แต่ … จากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกในปัจจุบัน โลกที่กู่ฉิงซานถือกำเนิดมันคงจะไม่สมควรที่จะเรียกว่าโลกจริงอีกต่อไป


 


เนื่องจากมีโลกกว่าตั้ง 900 ล้านชั้น และภายในมันก็มีโลกอยู่อีกนับไม่ถ้วนนับล้านๆโลก และทั้งหมดล้วนเป็นโลกจริง


 


ระบบเรียกโลกเดิมของเขาว่าสุสานแห่งโลก แต่มันมิได้อธิบายแก่กู่ฉิงซานว่าเหตุใดมันจึงเรียกเช่นนั้น


 


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มรำพึงออกมา “คราวนี้ดูเหมือนฉันจะจากไปนานกว่าปกติซะแล้ว หวังว่าโลกเดิมของฉันจะยังไม่มีปัญหาอะไรนะ”


 


มันต้องใช้เวลากว่า 5 วัน เขาจึงจะไปถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม และหลังจากนั้นเขาก็ต้องหาวิธีการที่จะอยู่ต่อในสมาคมแห่งนั้นอีก


 


ตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับไปเมื่อไหร่


 


ฉานนู่กล่าวปลอบใจ “นายน้อย วางใจเถอะ สองโลกได้ผสานรวมกันแล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลสมควรจะเพิ่มพูนขึ้น ทุกอย่างจะเป็นไปในทิศทางที่ถูกที่ควร”


 


กู่ฉิงซานพอคิดตาม ก็เริ่มจะคลายใจลง


 


“นั่นสินะ บางทีตอนกลับไป พวกเราบางคน อาจจะทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดแล้วก็ได้”


 


…..


 


ห้าวันผ่านพ้นไปราวกับพริบตา


 


แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น


 


“ขออภัยที่รบกวน แต่ที่หมายของเจ้ากำลังจะเทียบท่าแล้ว” เสียงชราดังเข้ามาจากภายนอก


 


“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับ


 


ฉานนู่กลายเป็นดาบขุนเขาเทวะ ถูกคว้าจับโดยกู่ฉิงซาน และเก็บกลับคืนสู่ทะเลแห่งห้วงสติ


 


เขาผุดลุกขึ้น เดินไปเปิดประตู


 


แล้วก็พบกับชายชราที่ยืนอยู่ภายนอก


 


“เจ้าพึงพอใจกับห้องพักของพวกเราหรือไม่?” ชายชราเอ่ยถาม


 


“ข้าพอใจยิ่งนัก บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยขอบคุณอย่างจริงจัง


 


ได้ยินเขาพูดแบบนั้น ชายชราก็ยิ้มออกมา “งั้นก็ดีแล้ว”


 


ชายชรานำทางกู่ฉิงซานไปที่ดาดฟ้าเรือ


 


ระหว่างทาง กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่าประตูห้องอื่นๆทั้งหมดเปิดอยู่ และภายในก็ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย


 


“ผู้โดยสารอีกสามคนถึงที่หมายแล้วอย่างงั้นหรือ?”


 


“ใช่ จุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก มีเพียงเฉพาะในส่วนสถานที่ของขาเป๋แบรี่เท่านั้น ที่พวกเราต้องใช้เวลายาวนานจึงจะมาถึง”


 


“อ่า จริงๆแล้วข้าก็จะมาหาเขานั่นแหละ”


 


“กลับกลายเป็นว่าเจ้าต้องการจะพบเขานี่เอง” ชายชราหันหน้าไปมองกู่ฉิงซาน เผยสีหน้าคาดไม่ถึง


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าบอกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ


 


ผู้พิทักษ์หอสูงมีความสัมพันธ์อันดีกับตนเอง ดังนั้นหากจะกล่าวเรื่องนี้ออกไปก็คงจะไม่มีอะไร


 


เพราะจริงๆแล้วตนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าแบรี่เป็นใคร


 


บางที ชายชราตรงหน้าอาจจะให้คำแนะนำดีๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ก็ได้


 


พอแน่ใจว่าใช่จริงๆ ชายชราก็ใคร่ครวญก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเคยรู้จักแบรี่มาก่อนหรือไม่?”


 


“ไม่รู้จัก”


 


กู่ฉิงซานอธิบายเพิ่มเติมว่า “แบรี่ได้เคยช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ แต่คนผู้นั้นไม่สามารถมาหาเขาได้ด้วยตนเอง จึงฝากฝังให้ข้านำของมามอบให้แก่แบรี่ เพื่อแสดงความซาบซึ้งใจที่มีต่อเขา”


 


ชายชราพยักหน้าว่าเข้าใจ และกล่าวต่อว่า “แบรี่ผู้นี้ แม้ว่าจะเป็นคนโง่ อ่า .. ข้าหมายถึงมันบ้า แต่เขาก็เคยได้ช่วยเหลือผู้คนเอาไว้มากมาย แต่ก็มีผู้คนไม่มากนักหรอก ที่ยินดีจะติดต่อกับเขา”


 


“เพราะเหตุใด?”


 


“เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้กระทำการบางอย่างเพื่อต้องการที่จะแสดงให้ผู้คนต้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง”


 


“อุทานออกมาด้วยความตกตะลึง?”


 


กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจ


 


คำๆนี้ บ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายมักจะทำสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดอยู่เสมอ


 


หากเป็นในกรณีเช่นนี้ การจะตามตัวแบรี่ มันคงจะเป็นเรื่องยากกว่าปกติสักเล็กน้อย


 


“เขาทำอะไรลงไปงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ชายชรากล่าว “ครั้งหนึ่ง เขาเคยจับตัวอสูรกายระดับสูงเอาไว้ แล้วก็ใช้เวลากว่า 200 ปี โน้มน้าวให้อสูรกายตนนั้นเปลี่ยนใจ หันมาช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความสุขแทน”


 


“200ปี!? เขาสามารถใช้เวลานั้นโน้มน้าวอสูรกายชั้นสูงได้อย่างงั้นหรือ?”


 


“เปล่า อสูรกายทนไม่ไหว เลยยอมฆ่าตัวตายไป”


 


ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็มาถึงดาดฟ้าเรือในที่สุด


 


กู่ฉิงซานมองออกไปภายนอกเรือ


 


เห็นแค่เพียงรอบตัวเต็มไปด้วยปฐมบทแห่งความโกลาหลอันสับสนวุ่นวาย และบ่อยครั้งมักจะมีภาพอันแปลกประหลาดวาบผ่านเข้ามา


 


ทุกแห่งล้วนเป็นโลกจริง และเนื่องจากเรือได้แล่นผ่านโลกเหล่านั้น มันจึงพอที่จะสามารถเหลือบมองถึงสถานที่ๆอยู่ภายในได้


 


กู่ฉิงซานมองเห็นถึงรูปปั้นทองคำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง


 


แล้วฉากนี้ก็วาบผ่านสายตาเขาไป


 


หลังจากนั้น


 


ความเร็วของเรือก็ค่อยๆแล่นช้าลง


 


ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นบนหัวเรือ


 


ซึ่งนั่นหมายความว่าเรือได้แล่นผ่านเข้ามายังโลกแห่งความจริงอีกแห่งหนึ่งแล้ว


 


กู่ฉิงซานได้พบเห็นถึงรูปปั้นทองคำที่สูงตระหง่านอีกครั้ง


 


เขากำลังเพ่งสำรวจดูรูปปั้นทองคำที่ว่า แต่เรือก็แล่นออกจากโลกใบนั้นไปเสียก่อน


 


แม้ว่าความเร็วของเรือจะเชื่องช้ามาก แต่มันกลับสามารถข้ามผ่านตลอดทั้งโลกนับล้านล้านในที่ดำรงอยู่ได้


 


กู่ฉิงซานเพียงแค่คิด สายตาของเขาก็หันไปเห็นรูปปั้นทองคำรูปเดิมในอีกโลกหนึ่งอีกแล้ว


 


เขาเริ่มที่จะตะหงิดๆว่ารูปปั้นทองคำที่เห็นนี้มันน่าจะมีบางอย่างผิดปกติ


 


“พิกลนัก … ”


 


กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ


 


ขณะคิด ความเร็วเรือก็ลดลงอีกครั้ง และอีกระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นก็ปะทะกับหัวเรือ


 


อีกโลกหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซาน


 


เขาก็ยังเห็นรูปปั้นทองคำรูปเดิมอีกอยู่ดี


 


นี่มันชักจะไม่ปกติแล้ว ที่เขาเห็นรูปปั้นทองคำตัวเดิมจากในหลายๆโลกต่อเนื่องที่ผ่านมา


 


กู่ฉิงซานจ้องสังเกตไปที่รูปปั้นอีกครั้ง


 


และคราวนี้ เรือก็มิได้แล่นออกไปในทันที กู่ฉิงซานจึงสามารถเพ่งมองรูปปั้นอย่างละเอียดได้ในที่สุด


 


มันคือรูปปั้นที่ดูเหมือนจริงมาก เหมือนจริงจนราวกับมันมีชีวิต ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เดินผ่านไปมาแล้วแหงนมอง ก็ย่อมต้องบังเกิดความคิดเช่นเดียวกัน


 


มันคือรูปปั้นของผู้ชายเผ่ามนุษย์


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.486 – เรื่องของเขาก็คือเรื่องของฉัน


 


รูปปั้นทองคำสูงตระหง่าน แท้จริงแล้วเป็นรูปสลักของชายเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง


 


เห็นแค่เพียงบุหรี่ที่คาบอยู่ในปาก มือซ้ายถือขวดเหล้า ขณะที่กำลังจับหมวกปีกกว้างบนหัวด้วยมือข้างขวา


 


ดวงตาของชายในรูปปั้นหรี่แคบ คล้ายกำลังเผยถึงความเหยียดหยัน


 


กู่ฉิงซานเฝ้าสังเกตรูปั้นและในที่สุดก็พบถึงความผิดปกติบางอย่าง


 


แม้รูปปั้นของชายผู้นี้จะสวมถุงมือหนังสีดำ และสวมเพียงแจ็คเก็ตเปล่าๆทับกับร่างช่วงบน เผยให้เห็นถึงรอยสักบนหน้าอก ซึ่งในคำพรรณนาโดยรวมที่ผ่านมานี้ มันจะทำให้เขาดูเย็นชาก็ตามที


 


แต่ร่างกายช่วงล่างของเขากลับสวมใส่เพียงแค่บ็อกเซอร์สั้นๆ


 


ความรู้สึกเย็นชาทั้งหมดทั้งมวลในรูปปั้น เมื่อถูกมองมายังบ็อกเซอร์หลวมๆตัวนี้ มันก็สลายหายไปทันที


 


ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆกู่ฉิงซานสังเกตเห็นถึงสายตาของเขา


 


ชายชรายักไหล่และกล่าว “อีกไม่นานก็จะถึงสมาคมของไอ้บ้าแล้ว มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะได้เห็นรูปปั้นของเขาในโลกที่อยู่ใกล้เคียงกัน”


 


พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็เข้าใจทันที


 


แท้จริงแล้ว รูปปั้นทองคำเหล่านี้คือรูปปั้นเสมือนของขาเป๋แบรี่นั่นเอง


 


“นี่อย่าบอกนะว่าเขาบ้าถึงขั้นสร้างรูปปั้นของตัวเอง แล้วเอามันไปวางไว้ในทุกๆโลกน่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ไม่ ไม่ ไม่ เป็นเพราะโลกเหล่านั้นชื่นชมเขาต่างหาก ดังนั้นจึงได้สร้างรูปปั้นของเขาขึ้น”


 


ชายชรากล่าวต่อ “ทุกคนต่างก็เห็นตรงกันว่าแบรี่นั้นมีหัวใจที่แสนจะอบอุ่น เป็นคนที่ไม่คิดนิ่งดูดาย คิดเร็วทำเร็ว ชนิดว่ารู้เรื่องแล้วก็ลงมือทำเลยทันทีน่ะ”


 


ได้ยินแบบนั้น กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจ


 


หากผู้ชายคนนี้สร้างรูปปั้นตน แล้วนำมันไปวางไว้ทุกโลกด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ กู่ฉิงซานคงต้องเพิ่มความระมัดระวังที่มีต่อคนประเภทนี้ให้สูงขึ้นมากทีเดียว


 


กู่ฉิงซานแสดงความคิดเห็น “แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ อ่า ข้าหมายถึงช่วงล่าง จะให้พูดว่าอย่างไรดี?”


 


ชายชราหัวเราะ


 


ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังมองชายชราอย่างงงงวย


 


ชายชราก็ยิ้มและอธิบายว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเมาเป็นหมา และหมกตัวเองเล่นพนันอยู่ในบ่อนไม่ยอมออกไปไหน จนสูญเสียทุกอย่างไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกง”


 


“แต่แล้วในช่วงเวลาที่กำลังจะเสียบ็อกเซอร์ชิ้นสุดท้ายนั้นเอง เขากลับได้รับการแจ้งเตือนว่ามีโลกที่กำลังจะถูกเผ่ามารเข้าทำลาย และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน”


 


ชายชราถอนหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วสิ่งที่ต้องทำคืออะไร? วิ่งออกไปซื้อกางเกงงั้นหรือ? ไม่ ไม่หรอก เวลามันไม่เพียงพอ โลกกำลังจะถูกทำลายลงในไม่ช้าโดยเผ่ามาร ขาเป๋แบรี่จึงเร่งออกจากบ่อนคาสิโนทันที”


 


แล้วกู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง


 


เขาหันไปมองชายชราด้วยแววตาปราศจากซึ่งความสงสัย


 


ชายชราพยักหน้าและกล่าว “ใช่แล้วล่ะ แบรี่มันก็ไปช่วยทั้งๆบ็อกเซอร์อย่างงั้นแหละ”


 


“หลังจากนั้น เมื่อทุกคนในโลกถูกช่วยเหลือเอาไว้ ทั้งหมดก็รู้สึกขอบคุณเขา และสร้างรูปปั้นนี้ขึ้นมา – ซึ่งในเวลานั้นเขาไม่ได้สวมใส่กางเกง รูปปั้นมันก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น”


 


“แล้วต่อมา รูปปั้นนั้นก็เริ่มเป็นที่แพร่หลาย โลกใดก็ตามที่ถูกเขาช่วยเหลือก็จะสร้างรูปปั้นนั้นตั้งเอาไว้”


 


“ … ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”


 


ระหว่างสนทนา เรือก็หยุดลง


 


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จู่ๆก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นบริเวณด้านข้างของเรือ


 


“พวกเรามาถึงแล้ว” ชายชราเบนสายตาออกไป ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา


 


….


 


อีกด้านหนึ่ง


 


ในโลกจริง


 


การประชุมเกี่ยวกับชะตากรรมของโลกกำลังถูกจัดขึ้นในวิลล่าบนบนหุบเขา


 


ซางหยิงฮ่าวกลั้วลำคอของเขาและกล่าว “ดังนั้น กระหม่อมจึงเห็นสมควรว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะปลุกเจ้าพวกเย่อหยิ่งนี่ให้ได้สติเสียที”


 


“แล้วคนอื่นๆล่ะ คิดเห็นยังไงบ้าง” สมเด็จพระจักพรรดินีเวโรน่าเอ่ยถาม


 


ประธานาธิบดีมองไปยังเทพนักสู้ซางซ่งหยางและพยักหน้าส่งสัญญาณให้เขาพูด


 


ซางซ่งหยางตอบ “ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่พวกดาวเด่นหรือผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนอะไรที่ไหน ก็แค่โชคดีได้ถูกเลือกโดยอาวุธจากปรภพก็เท่านั้นเอง”


 


เหลียวฮังกล่าวอีกว่า “เจ้าคนกลุ่มนี้มันกำลังคิดผิด พวกมันได้ทำเรื่องบ้าบอและชั่วร้ายมามากเกินไป ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่จะได้รับการลงโทษ”


 


“เห็นด้วย” เครื่องจักรพิพากษาเปล่งเสียงดังขึ้น


 


“นอกจากนี้ ความตั้งใจเดิมของพวกเราก็คือ การช่วยให้โลกที่ทำการผสานรวมกันนี้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว ไม่ได้ให้คนกลุ่มเล็กๆมาออกอาละวาดสังหารผู้บริสุทธิ์ ” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว


 


ประธานาธิบดี “ในกรณีนี้ พวกเราจะต้องแจ้งให้ทั้งโลกทราบ ว่าผู้คนมีสิทธิที่จะฝึกยุทธได้ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะมีสิทธิ์ที่จะใช้พลังที่ได้รับจากการฝึกมันทำเรื่องชั่วช้า มิฉะนั้นพวกเขาก็จะต้องรับผิดชอบไปตามกฏหมาย”


 


เมื่อกล่าวจบ ทุกคนก็หันหน้า มองไปยังทิศทางเดียวกัน


 


เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อที่กำลังตั้งใจฟังวิหคขาวอยู่บนโซฟา


 


เธอไม่ได้ยิน ไม่ฟัง ไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจแก้ปัญหาของโลกทั้งนั้น


 


อันที่จริงแล้ว ในทุกๆครั้งที่เธอกลับมา เธอก็มักจะมาอยู่ที่นี่ เพื่อรอกู่ฉิงซานกลับมาอย่างเงียบๆ


 


ได้ยินเพียงแค่เสียงของวิหคขาว “ ‘ข้าก็ได้พูดในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว ยังจะมีใครไม่เห็นด้วยอยู่อีกหรือไม่?’ ”


 


ทันทีที่กล่าวประโยคนี้จบ มันก็เปลี่ยนน้ำเสียงทันที “จากนั้นคนตายจากนรกทั้ง 18 ขุมก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพียง ปากอ้าตะโกนโห่ร้อง ‘ราชาภูติทรงพระเจริญ’ ‘พวกเราสนับสนุนการตัดสินใจของท่าน’ ”


 


ซู่เซี่ยเอ๋อวางสองมือของเธอลงบนแก้มด้วยความหลงใหล ขณะที่ดวงตาเปล่งประกายสดใส “เขาได้ฆ่ามนุษย์ปีศาจนับพันล้านทั้งหมดในนรกขุมนั้นจริงๆน่ะหรอ?”


 


วิหคขาวถอนหายใจ “สำหรับเรื่องนี้ ข้าได้บอกเจ้าไปตั้งเจ็ดครั้งแล้ว หากมากกว่านี้ข้าคงต้องไปทำงานเป็นนกหนังสือ คอยรับหน้าที่เล่านิทานแล้วล่ะ”


 


“ไม่ๆ ช่วยเล่าต่อเถอะ ไหนลองบอกมาซิว่าเขาช่วยคุณได้ยังไง”


 


“อ่า … ก็ได้ๆ” วิหคขาวกล่าวอย่างหมดหนทาง


 


ซางหยิงฮ่าวที่เฝ้ามองฉากนี้ขบคิดอะไรเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะสะกิดๆไปทางเหลียวฮัง


 


แน่นอน ว่าเหลียวฮังย่อมเข้าใจได้ทันที


 


เขาร้องตะโกน “เฮ้ยๆ ท่านจ้าวมณฑลซู คุณมีความคิดเห็นยังไงบ้างกับเรื่องที่พวกเราหารือไปเมื่อครู่นี้”


 


“เรียกฉันในตอนแค่ที่อยากจะให้ฉันทำอะไรก็พอ เรื่องของพวกคุณมันน่าเบื่อเกินไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลย ยิ่งไปกว่านั้นไอ้ ‘เฮ้ยๆ’ นี่อย่าเรียกแบบนั้นดีกว่านะ ฉันไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไหร่” ซูเซี่ยเอ๋อพูดอย่างแผ่วเบา


 


–ตาแก่นี่ ทำตัวน่ารำคาญจริงๆ


 


ปัง!


 


ในตอนนั้นเอง ประตูก็ๆได้ถูกเปิดออก


 


ตามด้วยเย่เหยหยูที่ร่างชุ่มไปด้วยเลือดเดินเข้ามา


 


“มีพวกขั้นก่อตั้งเกิดคลุ้มคลั่งอีกแล้ว แต่ก็ถูกจัดการเรียบร้อย ฉันได้ทำการตัดหัวของเขาด้วยมือของฉันเอง” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


“เธอก็ได้ยินความคิดเห็นของพวกเราผ่านทางสมองควอนตัมแล้วใช่ไหม มีความคิดเห็นยังไงบ้างล่ะ?” เวโรน่าเอ่ยถาม


 


“ความคิดเห็นของผมน่ะหรอ?”


 


เย่เฟย์หยูยกสองมือขึ้น พร้อมกับเผยรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้า


 


“ผมน่ะเป็นผีดิบนักฆ่า ยิ่งฆ่าคนที่มีพื้นฐานวรยุธสูง ผมก็จะยิ่งวิวัฒนาการ , ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกระดับ ดังนั้นแน่นอน ว่าผมยินดีใช้สองมือนี้ออกไปจัดการพวกมัน ”


 


“ถ้าอย่างงั้น ก็ถือว่าพวกเราได้ข้อสรุปกันแล้วนะ” ประธานาธิบดีกล่าว


 


“ไม่นะ ทางเก้าตระกูลใหญ่ยังไม่ได้เสนอความคิดเห็นเลย” เวโรน่ากล่าวพลางขบคิด


 


“ก็ไม่ใช่ว่าจ้าวมณฑลซูอยู่ที่นี่แล้วหรอกหรอ?” เย่เฟย์หยูมองไปทางซูเซี่ยเอ๋อ


 


คนทั้งหลายหันมาสบตากัน ฉันมองคุณ คุณมองฉัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา


 


เหลียวฮังกระแอม แล้วอธิบายว่า “จ้าวมณฑลซูบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ”


 


เย่เฟย์หยูนั่งลงก่อนจะรินโซดาลงในแก้วตัวเอง และกระดกดื่มมันจนหมดในลมหายใจเดียว


 


“มันจะไม่เกี่ยวข้องได้ยังไง ถ้าจ้าวมณฑลซูไม่คิดจัดการอะไร นั่นมันก็เหมือนกับว่าเธอไม่รับผิดชอบอะไรเลยน่ะสิ” เย่เฟย์หยูวิจารย์


 


หลายคนต่างมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ


 


ซางหยิงฮ่าวลอบส่ายหัว ส่งสัญญาณไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไรไปมากกว่านี้


 


จ้าวมณฑลซูน่ะ … เป็นคนที่ทรงพลังมาก มากจนเกินไป


 


ครั้งก่อนที่เหลียวฮังกับวิหคขาวเผลอพูดไม่ถูกใจ เธอได้ระเบิดพลังอำนาจของตัวเองออกมา ซึ่งพลังที่ว่านั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อต้าน


 


แถมในไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอก็ยังสามารถเดินทางข้ามผ่านมิติมาได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง


 


นี่มันใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้หรือ?


 


ซูเซี่ยเอ๋อหันหน้ามาเล็กน้อย ดวงตาอันทรงเสน่ห์เริ่มหรี่แคบลง


 


พร้อมกับแรงกดดันอันตรายที่เริ่มลุกลามออกมาจากตัวเธอ


 


“แม้แต่เก้าตระกูลใหญ่ฉันก็ยังไม่สนใจ แล้วถ้าอย่างงั้นทำไมฉันจะต้องสนใจเรื่องที่พวกนายกำลังทำอยู่ด้วย?” สีหน้าการแสดงออกของซูเซี่ยเอ๋อแลดูเย็นชา


 


เย่เฟย์ถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจกล่าว “มันเป็นสิ่งที่เธอต้องจัดการ”


 


“เห? นี่หมายความว่าฉันกำลังจะต้องถูกคนอื่นมาคอยควบคุมอีกแล้วสินะ?” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


เธอชักจะเริ่มรำคาญอีกแล้ว


 


“ไม่เชิงควบคุมหรอก แต่เธอเป็นผู้หญิงของเขานี่ ถ้าเป็นเขาต้องทำเรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ไง ดังนั้นนอกจากเธอแล้ว ยังจะมีใครอีกที่รับผิดชอบหน้าที่นี้แทนเขาได้?” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไป


 


เหลียวฮังลอบยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย


 


ขณะที่ซางหยิงฮ่าวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ


 


ประธานาธิบดีกับเวโรน่าหันไปมองเย่เฟย์หยูเป็นสายตาเดียว


 


เย่เฟย์หยู … เติบโตขึ้นแล้วจริงๆ


 


เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อที่แผ่แรงกดดันเยือกเย็นจนผู้คนต้องสั่นสะท้านผุดลุกขึ้น


 


“ช่วยบอกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่พวกนายคุยกันเมื่อกี้ให้ฉันที”


 


เธอกล่าวอย่างจริงจัง


 


“ทำไม? เธอตัดสินใจที่จะจัดการมันแล้วหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม


 


“แน่นอน เพราะเรื่องของเขา ก็คือเรื่องของฉัน” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม