Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 473-479

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.473 – ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ (1)


 


ภูเขาสูงลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า


 


ณ จุดยอดของภูเขา ปรากฏตัวตนทรงอำนาจในขอบเขตลมปราณจิตอยู่ถึง 4 คน


 


พร้อมกับผู้หญิงที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาว กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือพวกเขา


 


“เช่นนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่าฉีหยานได้ตายลงไปแล้ว?” สตรีแห่งรากษสเอ่ยถาม


 


“ใช่ ฉีหยานถูกสังหารลงแล้วโดยหวังหงษ์เต๋า นี่คือสิ่งที่หวังหงษ์เต๋ากล่าวออกมาด้วยตนเอง”


 


เย่หยิงเหมยที่กำลังคุกเข่า กล่าวรายงานด้วยความเคารพ


 


“เจ้าเชื่อในคำของหวังหงษ์เต๋างั้นรึ? มิใช่เจ้ารู้ดีอยู่แล้วหรอกหรือว่าเขาเป็นคนเช่นไร?” เสียงของสตรีแห่งรากษสค่อนข้างไม่พอใจเล็กน้อย


 


“รายงานนายหญิง ข้ามิได้เชื่อในคำของหวังหงษ์เต๋า” เย่หยิงเหมยเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม


 


“แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าฉีหยานตายไปแล้ว?” สตรีแห่งรากษสเค้นถาม


 


“เพราะข้าได้ลอบสังเกตการณ์โดยการใช้ค่ายกลแจ้งเตือนขนาดใหญ่อย่างลับๆ และพบว่าตลอดทั้งเกาะ มีเพียงหวังหงษ์เต๋าและตัวข้าเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่”


 


“จากนั้น ข้าจึงมุ่งหน้าไปหาหวังหงษ์เต๋า แล้วก็ได้ข้อสรุปเดียวกันนี้จากปากของเขา”


 


เมื่อสตรีแห่งรากษสได้ยินถึงจุดนี้ เธอก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ


 


ตนเองเพียงแค่เปิดปากสั่งเท่านั้น ก็สามารถสังหารเจ้าเศษสวะลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใดๆ


 


แม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนก็ยังไม่ต้องออกหน้าด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นหวังหงษ์เต๋าที่ลงมือสังหารฉีหยาน เพื่อประจบตนแทน


 


ในที่สุด กลิ่นเน่าเหม็นที่คอยตามรังควานก็หมดไปเสียที


 


เมื่อเห็นถึงการแสดงออกของฝ่ายตรงข้าม หัวใจของเย่หยิงเหมยก็ค่อยๆกลับมาสงบลง และยังคงรายงานต่อไปว่า “ปรมาจารย์เฟิง หวังหงษ์เต๋าไม่เพียงลงมือแทนพวกเรา แต่เขายังฝากฝังให้ข้านำของขวัญมามอบให้แก่ท่านปรมาจารย์เฟิงอีกด้วย”


 


“ของขวัญ?” สตรีแห่งรากษสเอ่ยทวนซ้ำ


 


“ใช่ ของขวัญ”


 


มุมปากของสตรีแห่งรากษสยกสูงขึ้นเล็กน้อย แสดงออกถึงรอยยิ้มเยาะหยัน


 


พร้อมกับผู้ฝึกยุทธในสถานที่แห่งนี้ที่ต่างพากันหัวเราะออกมา


 


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หวังหงษ์เต๋าผู้นี้ คงคิดจะติดสินบนเพื่อหมายจะพึ่งพาพวกเรา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว อีกไม่นาน ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็กำลังจะกลายมาเป็นหุ่นเชิดของพวกเราในไม่ช้า … ของขวัญอย่างนั้นหรือ เหอะ!”


 


อีกลมปราณจิตก็กล่าวด้วย “นั่นสิ อีกไม่นานของทุกสิ่งที่เขาครอบครองก็ต้องกลายมาเป็นของปรมาจารย์เฟิงอยู่แล้ว ตอนนี้ต่อให้จะมอบของขวัญอะไรมา มันก็เป็นเพียงแค่การหยิบยื่นให้ปรมาจารย์เฟิงล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง”


 


“ลืมมันเถอะ มาดูกันว่าดีกว่าว่าของขวัญที่ว่านี้คือสิ่งใด” สตรีแห่งรากษสโบกมือและกล่าว


 


“เจ้าค่ะ”


 


เย่หยิงเหมยตบลงในถุงสัมภาระ หยิบเอากล่องขนาดใหญ่ออกมา แล้วส่งมันผ่านทางอากาศ


 


กล่องใหญ่ค่อยๆลอยเบาๆมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของสตรีแห่งรากษส


 


นี่คือกล่องเก็บของทั่วๆไป ที่สามารถป้องกันมิให้ใช้จิตสัมผัสเทวะเข้ามาตรวจสอบภายในได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าของที่อยู่ภายในนี้นั้นคือสิ่งใด


 


“ปรมาจารย์เฟิง  ได้โปรดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจสอบกล่องก่อนเถิด เผื่อในกรณีที่ว่าอาจมีการวางอุบายเอาไว้” ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตกล่าว


 


หากมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตลงมือตรวจสอบด้วยตนเอง ต่อให้กล่องใบนี้กำลังเก็บซ่อนตัวของหวังหงษ์เต๋าเอาไว้ เขาก็ไม่สามารถทำการลอบสังหารใดๆได้อย่างแน่นอน


 


ทุกสิ่งอย่าง ไม่เว้นกระทั่งกับดัก หากเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด


 


สตรีแห่งรากษสขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย


 


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตยื่นมือออกไป และลูบไล้ตามกล่อง


 


แล้วอักษรรูนที่ประทับอยู่บนกล่องก็หายไปทันที


 


ซึ่งตราประทับอักษรรูนนี้ เป็นตัวบ่งบอกว่ากล่องยังไม่เคยได้ถูกเปิด


 


นี่คือการรับประกันว่าสิ่งของด้านใน จะมิได้ถูกลอบดูหรือสับเปลี่ยนระหว่างทางที่จัดส่งมา


 


ผู้ฝึกยุทธลมปราณจจิตจีบออกด้วยวิชาลับ และตบลงบนกล่องอย่างแรง


 


พลังวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุดผลุบหายเข้าไปในกล่อง


 


เมื่อถูกเจ้าสิ่งนี้เข้าไป หากเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเช่นนักฆ่าแล้วล่ะก็ ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังวิญญาณในขอบเขตลมปราณจิตก็จะรับรู้ได้ทันที


 


—หรือหากมีกับดัก , เทคนิคมนตรา ฯลฯ อยู่ภายใน เมื่อสัมผัสกับพลังวิญญาณเมื่อครู่ มันก็สมควรที่จะถูกเปิดใช้งานไปแล้ว


 


ทว่ากล่องยังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ


 


ดูเหมือนว่ามันสมควรจะไม่มีปัญหา


 


ฝูงชนโดยรอบคลายใจลงเล็กน้อย


 


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หวังหงษ์เต๋าคงอยากจะเข้ามาขออาศัยในนิกายข้าจนอดรนทนไม่ไหวแล้วกระมัง เอ .. แต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี บางทีคนผู้นี้อาจกินดีหมีหัวใจเสือมาแล้วคิดทำอะไรแผลงๆก็ได้ แต่หากเขาทำ ข้านี่แหละจะเป็นผู้ออกไปกำจัดเขาด้วยตนเอง”


 


“หวังหงษ์เต๋าน่ะเป็นพวกมีสมอง ข้าไม่คิดว่าเขาจะวางกับดักเอาไว้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้มีกับดัก ทั้งข้า และพวกเจ้าในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ย่อมสามารถรับมือกับมันได้อย่างแน่นอน ” หนึ่งในนั้นส่ายหัว


 


ว่าจบ ต่างคนก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย


 


“แต่พวกเราก็ต้องระมัดระวังอยู่ดี มาเปิดกล่องจากด้านล่างนี้กันดีกว่า” ลมปราณจิตที่ถือกล่องกล่าว


 


“เฮ้อ .. เปิดๆมันสักทีเถอะ” สตรีแห่งรากษสหาวด้วยความเบื่อหน่าย


 


สิ่งของดีๆในโลกใบนี้น่ะ สตรีแห่งรากษสได้เก็บรวบรวมเอาไว้จนเกือบจะครบทุกสิ่งแล้ว


 


ดังนั้น สมบัติใดที่หวังหงษ์เต๋ามอบให้มา เธอจึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันเลย


 


ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตเปิดกล่อง


 


เห็นแค่เพียงดิสก์ค่ายกลที่ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังสั่นไหวเบาๆอย่างต่อเนื่อง


 


พร้อมกับอีกหลายค่ายกล ที่กำลังวิ่งวนอยู่รอบตัวดิสก์


 


“ดิสก์ค่ายกลงั้นหรือ?” ทุกคนร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน


 


นี่มันช่างประหลาดนัก


 


หากนี่เป็นดิสก์ค่ายกลโจมตี มันก็สมควรจะถูกกระตุ้นใช้งานไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม ดิสก์ค่ายกลนี้ เห็นได้ชัดว่ามันมิได้ปลดปล่อยมนตราโจมตีใดๆออกมา


 


เช่นนั้นแล้วนี่คือดิสก์ค่ายกลประเภทใดกัน?


 


แม้ในสมองจะยังคงขบคิด แต่จิตใจและท่าทีกลับคลายลง


 


เพราะไม่ว่ามันจะเป็นดิสก์ค่ายกลประเภทใดก็ตาม ย่อมไม่มีทางสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตลงได้ – แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ตัวดิสก์ค่ายกลก็ยังไม่สามารถสังหารได้


 


“นี่มันคืออะไ-” สตรีแห่งรากษสกำลังเปิดปากถาม


 


ทว่าหนึ่งในปรมาจารย์ค่ายกลกลับตะโกนออกมาตัดหน้าเธอเสียก่อน


 


“ระวัง! นั่นมันคือดิสก์ค่ายกลทะลวงมิติขนาดเล็ก!”


 


ค่ายกลทะลวงมิติ ถูกคิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลในอดีตที่ผ่านมา มันมีไว้ใช้ฉีกมิติที่ว่างเปล่า เพื่อหลบหนีออกจากโลกใบนี้


 


ขณะที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่ได้ใช้ค่ายกลทะลวงมิติ … ล้วนไม่เคยมีผู้ใดได้กลับมาอีกเลย


 


เสียงยังมิทันได้ตกลง ตัวดิสก์ค่ายกลก็ถูกกระตุ้นขึ้นโดยสมบูรณ์


 


วินาทีต่อมา ตัวตนทรงอำนาจอย่างลมปราณจิตทั้งสี่และเย่หยิงเหมยที่อยู่ตรงหน้ากล่องก็หายวับไป


 


สีหน้าของสตรีแห่งรากษสแปรเปลี่ยนกลับกลาย นางมีเวลามากพอที่จะหยิบสิ่งหนึ่งออกมาเท่านั้น แล้วก็หายตัวไป มิอาจหาร่องรอยได้อีกเลย


 


—นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายฉับพลันขนาดเล็ก ซึ่งได้นำพาผู้ฝึกยุทธที่แสนน่าหวาดหวั่น ทะลวงมิติจากไป


 


ตั้งแต่ที่ปรมาจารย์ค่ายกลได้คิดค้นถึงวิธีการทะลวงมิติในครั้งอดีตที่ผ่านมา ค่ายกลตรงหน้านี้ บางทีอาจจะเป็นค่ายกลทะลวงมิติที่รวดเร็วและชวนให้น่าตกตะลึงที่สุดที่เคยปรากฏขึ้นมาเลยก็เป็นได้


 


ย้อนความกลับไปในเหตุการณ์เมื่อครู่อีกครั้ง -กระบวนการเคลื่อนย้ายมิติบังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสถานที่แห่งนั้นถูกส่งทะลวงมิติไป ขณะเดียวกัน สตรีแห่งรากษสทุ่มความพยายามสุดกำลัง เพื่อกระตุ้นใช้งานสิ่งที่อยู่ในมือของเธอ


 


บังเกิดประกายแสงเรืองรองกระพริบไหว


 


เธอถูกแยกตัวออกจากแสงปกคลุมของค่ายกลเคลื่อนย้าย ขณะเดียวกันก็ฉีกมิติไปยังอีกความว่างเปล่าหนึ่ง


 


ในช่วงเวลาสุดท้าย เธอยังสามารถตอบสนองได้ทัน!


 


ทว่า … เมื่อมองไปยังทิศทางที่เธอกำลังมุ่งไป  มันดูเหมือนจะเป็นสถานที่อันไกลแสนไกลในกระแสมิติอันว่างเปล่า และบางที มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะสามารถกลับมายังโลกล่องเวหาได้


 


อีกด้านหนึ่ง


 


บนเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง


 


“นายน้อย ด้วยวิธีนี้ บางทีมันคงจะสามารถทำให้ผู้ทดสอบแห่งรากษสอีกคนถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันกับท่านไปเลยก็ได้นะ” ฉานนู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่หรอก ข้าก็แค่ทำให้อีกฝ่ายประสบปัญหาเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง บางทีสำหรับอีกฝ่ายแล้ว นางอาจจะสามารถกลับมาก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แต่ข้าว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก การที่จะสามารถถอนตัวจากค่ายกลทะลวงมิติน่ะ …” ฉานนู่เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ


 


กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “อีกฝ่ายเคยถูกสังหารด้วยค่ายกลมาแล้วครั้งหนึ่งโดยข้า ฉะนั้น หากหลงกลด้วยวิธีเดิมซ้ำสอง นางก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่แข่งของข้า”


 


“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นอกเหนือไปจากในด้านความแข็งแกร่ง อีกฝ่ายสมควรจะเป็นศัตรูที่ข้าจักต้องทุ่มออกอย่างจริงจัง”


 


ฉานนู่รับฟัง แต่ขนาดใช้เวลาไปสักพักหนึ่งแล้ว เธอก็ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่กู่ฉิงซานอธิบายอยู่ดี


 


กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในความคิด


 


ตนเองครอบครอง ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’ ขณะที่อีกฝ่ายครอบครอง ‘ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ’


 


ในช่วงเวลาสุดท้ายแห่งการทำลายโลก ทั้งสองวิชาลี้ลับนี้ล้วนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง


 


หากสตรีแห่งรากษสสามารถกลับมาได้ แล้วใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุเพื่อต่อกรกับตนเอง แล้วผู้ใดกันหนอ …  ที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ยาวนานกว่ากัน


 


ในเวลานั้นเอง ฉานนู่ก็ได้สติกลับคืน


 


“นายน้อย ข้าคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะได้เปรียบมากกว่าพวกเรานะ” เธอกล่าวด้วยความกังวล


 


“เพราะเหตุใดกันล่ะ?”


 


“เพราะอีกฝ่ายสามารถแปลงกายเป็นวัตถุที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณได้ โดยไม่ต้องมามัวสนใจว่าโลกจะถูกทำลาย ขณะที่นายน้อยสามารถแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตได้เท่านั้น และต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ตนจะแปลง มันจะสามารถรักษาชีวิตให้รอดต่อไปได้อีกด้วย”


 


ที่พูดมามันก็ถูก


 


สตรีแห่งรากษสมิต้องทำอะไรมากมายเลย เธอเพียงแค่แสร้งแปลงกายเป็นก้อนหิน และหาที่โง่ๆนอนลง แล้วเฝ้ารอให้กระบวนการของโลกถูกทำลายลงก็พอแล้ว


 


ขณะที่กู่ฉิงซาน ไม่ว่าเขาจะแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตใด ก็จักต้องเผชิญหน้ากับการล่มสลายของโลกโดยตรงอยู่ดี


 


“สำหรับเรื่องนี้ มันก็ไม่แน่นักหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ปากเอ่ยรำพึง ขณะที่สมองขบคิด


 


“ข้าไม่เคยเห็นกระบวนการล่มสลายของโลกด้วยตาตัวเองมาก่อน ฉะนั้น นอกเหนือไปจากมารโลกาซึ่งเป็นตัวแปรขนาดใหญ่แล้ว – ข้าก็มิอาจคาดเดาได้อีกเลยว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แท้จริงจะยังคงมีตัวแปรใดหลงเหลืออยู่อีกบ้างหรือไม่”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ ขณะเดียวกันก็โบกมือไปทางฉานนู่


 


“พวกเราไปมองหาบางสิ่งกันเถิด”


 


“เจ้าค่ะ”


 


ว่าจบ กู่ฉิงซานก็กลายเป็นกระแสแสง บินวนไปทั่วทุกหย่อมหญ้ารอบๆเกาะลอยฟ้า


 


ขณะที่ฉานนู่ติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด


 


ยามเมื่อข้ามผ่านสวน กู่ฉิงซานก็จะอ้าแขน และคว้าจับผีเสื้อเอาไว้


 


ยามเมื่อข้ามผ่านลำธาร กู่ฉิงซานก็จะเอนกาย กระแสแสงม้วนลงเป็นเส้นโค้งและคว้าจับ ปลาที่กำลังแหวกว่าย


 


ยามเมื่อกระโจนขึ้นไปบนหน้าผาใหญ่ เขาก็ถลกขนของลิงหางไหม้ และเก็บมันไว้อย่างระมัดระวัง


 


ยามเมื่อโบยบินบนท้องฟ้า กู่ฉิงซานก็เด็ดขนของนกตัวหนึ่งมา


 


กู่ฉิงซานกับฉานนู่วนไปทั่วทุกสารทิศบนเกาะลอยฟ้า


 


เนื่องจากวัสดุบนโลกใบนี้มันไม่เพียงพอ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธระดับสูงจึงให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อการเพาะพันธุ์ของสัตว์และอสูรในป่าใหญ่


 


นี่คือแหล่งอาหาร เป็นปัจจัยพื้นฐานที่รับประกันว่าเขาจะอยู่รอดได้นานที่สุด และจะไม่มีปัญหาใดๆ


 


เวลาช่างไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก


 


กู่ฉิงซานเก็บรวบรวมขนของสิ่งมีชีวิตนับร้อยชนิด  ขณะเดียวกันก็เก็บสิ่งมีชีวิตบางอย่างติดไม้ติดมือกลับมาด้วย


 


เขาเปิดแม้กระทั่งจี้หยกของหวังหงษ์เต๋า ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นถุงสัมภาระของโลกใบนี้ และเลือกเอาขากวางทั้งแท่งออกมา


 


ขากวางยู่หลูนี้ได้ถูกเก็บรวมรวมมาโดยหวังหงษ์เต๋า ซึ่งมันได้รับการปรุงอย่างพิถีพิถัน และเป็นถึงอาหารอันโอชะชั้นนำของโลก


 


ในที่สุด กู่ฉิงซานก็มาถึงตรงส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า และได้เติมศิลาวิญญาณลงในแต่ละค่ายกลจนคิดว่าเพียงพอ


 


ฉานนู่ติดตามเขามาอย่างเงียบๆจนถึงจุดนี้


 


เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานกำลังเติมศิลาวิญญาณอย่างระมัดระวังจนเสร็จสิ้น ฉานนู่ก็ทนไม่ไหว จำต้องเอ่ยปากออกมาในที่สุด


 


“นายน้อย สิ่งมีชีวิตกว่าหลายร้อยชนิดบนเกาะแห่งนี้ได้ถูกรวบรวมจนสิ้นแล้วโดยท่าน แต่ข้าคิดว่าท่านอาจจะไม่ได้ใช้มันมากขนาดนั้นหรอกนะ”


 


กู่ฉิงซานไม่ได้พูดตอบกลับไป


 


เขาหยิบขนขึ้นมาไว้ในกำมือและมองมัน


 


นี่คือขนของลิงหางไหม้


 


พร้อมกันกับการกระทำของกู่ฉิงซาน เส้นแสงหิ่งห้อยสามแถวก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“ค้นพบเส้นขนของลิงหางไหม้”


 


“โปรดใช้เส้นขนนี้ทำการวิเคราะห์หาความลึกลับขององค์ประกอบร่างกายของลิงหางไหม้ด้วย”


 


“หากต้องการจะเปลี่ยนเป็นลิงหางไหม้ จำต้องจ่าย 270 แต้มพลังวิญญาณ ร้องถามผู้เล่นยินดีจะจ่ายหรือไม่?”


 


กู่ฉิงซานมองไปยังเส้นแสงตัวอักษรเหล่านั้น และลอบพยักหน้าอย่างลับๆ


 


เป็นอย่างที่ตนเองคาดเดาเอาไว้จริงๆ


 


ในช่วงต้นของถ้ำมืดในโลกปรภพ เขาได้แปลงกายเป็นมารกระดูก


 


และเพราะเขาได้กลายเป็นเผ่ามาร ตนจึงสามารถข้ามผ่านถ้ำมืดไปได้อย่างรวดเร็ว


 


จากมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปเป็นเผ่ามารระดับสูง แน่นอนว่าย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่ธรรมดา


 


ดังนั้น เขาจึงจำต้องจ่ายออกไปกว่า 1000 แต้มพลังวิญญาณในครานั้น


 


ขณะที่ลิงหางไหม้ เป็นเพียงสัตว์ประหลาดสามัญที่พบเห็นได้ทั่วๆไป จึงเป็นธรรมดาที่องค์ประกอบของมันจะไม่มีความซับซ้อนหรือวิเคราะห์ได้ยากเย็นอะไรนัก


 


จริงๆแล้วการแปลงกายเป็นทุกๆสิ่งมีชีวิตโดยอาศัยแต้มพลังวิญญาณ มันจะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง


 


อย่างเช่นหากต้องการที่จะแปลงกายเป็นอสูรกายหรือไม่ก็พวกเฉาฟ่าน(ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ) คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการได้รับชิ้นส่วนร่างกายของอีกฝ่าย แค่เพียงแต้มพลังวิญญาณที่จะต้องใช้งานมันคงมากมายมหาศาลจนเขาไม่อาจหาได้แล้ว


 


ขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในจิตใจ


 


—เขาไม่ทราบว่าสตรีแห่งรากษสที่มีวิชาคล้ายคลึงกัน อย่างการแปลงตนเป็นวัตถุ แท้จริงแล้วจำเป็นต้องจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณเหมือนกันหรือไม่


 


วันสิ้นโลกในปัจจุบันนี้


 


จักเป็นสิ่งมีชีวิตอันหลากหลาย หรือสิ่งมีชีวิตที่หลบซ่อนตัวได้ดีที่สุดกันแน่นะ … ที่จะสามารถมีชีวิตรอดได้ยาวนานกว่ากัน?


 


กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ


 


เขาเทียบเปรียบข้อดีข้อเสียระหว่างสองวิชาลี้ลับนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในจิตใจ


 


หลังจากทั้งหมดนี้ ดูเหมือนว่าความเป็นจริงจะกระจ่างออกมาในไม่ช้า


 


ไม่นานนัก หลังจากที่กู่ฉิงซานเก็บเส้นขนกลับคืน เขาก็ตอบคำถามของฉานนู่


 


“ที่ต้องสะสมพวกมันไว้มากมาย นั่นก็เพราะว่าจะได้เป็นการ ‘เผื่อเลือก’ สายพันธุ์ของพวกมัน เพื่อที่จะรับประกันว่าข้าจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ท่ามกลางโลกที่กำลังล่มสลายนี้ลงได้”


 


“เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างงั้นหรือ?” สีหน้าของฉานนู่เผยถึงความสงสัย


 


“ใช่แล้วล่ะฉานนู่” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอันร้ายแรงของสภาพแวดล้อมอย่างมิอาจต้านทาน เจ้าทราบหรือไม่ว่าสายพันธุ์ใดกันที่จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดไปได้นานที่สุด?”


 


“ก็สายพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไรเล่า … มิใช่หรือ?” ฉานนู่คิดสักครู่และตอบคำ


 


“ไม่ใช่หรอก”


 


“ … งั้นก็สายพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด”


 


“ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี”


 


“นายน้อย แล้วมันคืออะไรกันแน่ ท่านเฉลยมาเถอะ”


 


“มันคือสายพันธุ์ที่ ‘สามารถปรับตัวได้ดีที่สุด’ อย่างไรล่ะ”



หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.474 – ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ (2)


 


ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้ม


 


มันคือร่างหลักของมารโลกาที่ทะยานสูงขึ้น และกำลังสาดแสงสีแดงเลือด สะท้อนไปทั่วโลกทั้งใบ


 


มารโลกาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว


 


-ปัง!!


 


ต้นไม้สูงตระหง่านที่เกิดจากเลือดและเนื้อพวยพุ่งขึ้นมาถึงเบื้องบนท่ามกลางเวหา ปะทะเข้ากับเกาะลอยฟ้าที่ลอยลำอยู่ในระดับต่ำถึงกลาง


 


บรรดาเกาะลอยฟ้าที่กล่าวมาถูกทิ่มทำลายลงโดยตรง เศษซากของพวกมันกระจายไปทุกทิศทาง ก่อนจะแปรสภาพเป็นควันสีเทาและวูบบบบ! สลายหายไป


 


พฤษามารโลกายังคงพวยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปจนกระทั่งสุดขอบของฟากฟ้า


 


“นายน้อย เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้มิได้มีผู้ฝึกยุทธอยู่ก็จริง แต่มารโลกาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ข้าเกรงว่า .. ” ฉานนู่เอ่ยปากออกมา


 


แต่กู่ฉิงซานโบกมือ ส่งสัญญาณให้เธอหยุด


 


ช่วงเวลาต่อมา เห็นแค่เพียงมัดกล้ามสีเลือดขนาดใหญ่ที่พุ่งขึ้น ทอดเงาลงมาในนิกายกวงหยาง และค่อยๆยกระดับสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


พฤษามารโลกาต้นนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ขณะที่ชั้นอากาศโดยรอบมันสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับกำลังพยายามค้นหาพลังวิญญาณอยู่


 


อีกนิดเดียว .. อีกนิดเดียวพฤษามารโลกาต้นนี้ก็จะพุ่งเสียบเข้ากับขอบเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางแล้ว นิดเดียวจริงๆ


 


อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะรู้สึกสุขใจที่ตนนั้นโชคดี เพราะในสายตาของเขา ไม่ใกล้ไม่ไกล เจ้าตัวได้ค้นพบกับพฤษามารโลกาอีกต้นหนึ่งแล้ว


 


พฤษามารโลกาเริ่มทยอยกันผุดขึ้นมาทีละต้น ทีละต้น


 


ต้นไม้ยักษ์เหล่านี้เริ่มทะยานเบียดเสียดกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลายเกาะลอยฟ้าไม่มีเวลาจะทันได้ตอบสนอง และถูกพวกมันบดขยี้จนแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


เกาะลอยฟ้าที่ยังอยู่ เริ่มที่จะถูกทำลายลง


 


ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนเกาะเหล่านี้ก็กระจัดกระจายตัวออกไปบนท้องฟ้า


 


พวกเขาจำเป็นที่จะต้องปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา เพื่อป้องกันมิให้ตนเองร่วงตกลงไปยังร่างหลักของมารโลกาที่อยู่เบื้องล่าง


 


แต่น่าเสียดาย ที่วิธีนี้มิแตกต่างไปจากการดื่มยาพิษเพื่อดับกระหายเลย มันส่งผลตรงกันข้าม ความพินาศของพวกเขากลับรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม


 


เมื่อพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธปรากฏขึ้น มารโลกาก็จับสัมผัสถึงมันได้ในทันที


 


ทันใดนั้นผลไม้สีแดงเลือดก็ผุดออกมาตามกิ่งก้านของพฤษามารโลกาที่อยู่ใกล้เคียงกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ


 


“โผล๊ะ”


 


ตามด้วยเสียงของผลไม้ที่ระเบิดออก


 


เห็นแค่เพียงหนังมนุษย์ที่บางเบาราวกับปีกจั๊กจั่นร่วงตกลงมาจากผลไม้


 


พวกมันจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธและหัวเราะออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง “ยอด ยอดเยี่ยม”


 


นี่คือร่างมีจิตสำนึกของมารโลกา


 


จากนั้น พฤษามารโลกาตลอดทั้งต้นก็เต็มไปด้วยผลไม้ที่ผุดขึ้นมาโดยสมบูรณ์


 


หนังมนุษย์เริ่มที่จะทวีจำนวนมากยิ่งขึ้น


 


พวกมันต่างพากันจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ ปากอ้าหัวเราะอย่างพร้อมเพรียง “ยอด ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ที่มีจิตวิญญาณแสนอร่อยมากมายขนาดนี้!”


 


ตูม ตูม ตูม!


 


พฤษามารโลกาผุดขึ้นมาทั่วทั้งโลกอย่างไม่หยุดยั้ง และเริ่มทิ่มทำลายเกาะลอยฟ้าลงอย่างต่อเนื่อง


 


เกาะแล้ว เกาะเล่าต่างทยอยกันถูกทำลายลง


 


พร้อมกับจำนวนของผู้ฝึกยุทธที่ลอยล่องอยู่ในอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ


 


พวกเขาหลบลี้ออกจากเกาะลอยฟ้าด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อออกมาแล้ว ตนก็ไม่รู้ว่าจะหนีเอาชีวิตรอดไปที่ไหนอยู่ดี


 


อย่างไรก็ตาม พฤษามารโลกาก็ยังเพิ่มจำนวนมากขึ้น และปลดปล่อยร่างมีจิตสำนึกของมันออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


หนังมนุษย์ที่มิอาจคาดคำนวณถึงจำนวนได้ปรากฏกายขึ้นอยู่ กระจายกันไปทั่วผืนฟ้า


 


ในขณะที่พวกมันบางตน .. เริ่มจะทำการออกล่าแล้ว!


 


และแน่นอน อย่างที่เคยได้กล่าวไป ว่าความว่องไวของพวกมันน่ะรวดเร็วยิ่ง! ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆทั่วไปน่ะ ย่อมไม่มีทางตอบสนองได้ทัน


 


ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าคนหนึ่งหยิบฉวยสมบัติมนตราขึ้นมาต่อต้านพวกมัน แต่ก็ทำได้เพียงครั้งสองครั้ง ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ถูกโอบกอดและสูบกินอย่างรวดเร็วโดยพวกหนังมนุษย์


 


—ต้องรู้นะว่านี่มิใช่ร่างมีจิตสำนึกของพฤษามารโลกาเพียง 1 หรือ 2 ต้น


 


แต่มันคือพฤษามารโลกานับหมื่นๆต้น! ที่ปลดปล่อยคลื่นมอนสเตอร์โถมทับออกมาบดขยี้เหยื่อในเวลาเดียวกัน!


 


ได้ยินแค่เพียงร่ำร้องด้วยความสิ้นหวังจากท่วมกลางดงหนังมนุษย์ สักพักเสียงที่ว่านั่นก็ค่อยๆจางหาย


 


แล้วพวกหนังมนุษย์ก็แยกย้ายกันไป


 


และในอากาศที่ว่างเปล่า ก็ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของผู้ฝึกยุทธคนนั้นอีกเลย


 


ชัดเจนว่าเขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ทว่าทั้งคนทั้งร่างของเขากลับถูกกลืนกินลงในพริบตา ไม่มีหลงเหลือ


 


เมื่อถูกห้อมล้อมไปด้วยร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาที่มีจำนวนไร้ที่สิ้นสุด ความแข็งแกร่งของขีดสุดความว่างเปล่าก็เล็กจ้อย ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด


 


หลังจากที่สูบกินผู้ฝึกยุทธแล้ว เหล่าหนังมนุษย์ก็บิดกายบางๆของพวกมัน และเปลี่ยนทิศทางไป


 


พวกมันเริ่มทำการมองหาสถานที่อื่น


 


เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้า เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายแม้อยากจะหลบหนี แต่ก็มิอาจรอดพ้น


 


ทันใดนั้นฉากไล่ล่านองเลือดก็ปรากฏขึ้นอีกครา


 


พร้อมกับเสียงร่ำไห้กรีดร้องที่ดังขึ้น


 


หมอกเลือดกระจายไปทั่วฟ้า


 


ผสมปนเปไปกับเสียงหัวเราะอันวิปลาสของหนังมนุษย์


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธมิอาจต่อต้าน และทยอยกันถูกสูบกินไปอย่างรวดเร็ว


 


ในทุกๆอากาศที่ว่างเปล่าในระยะสายตา ไม่ว่าจะมองไปที่ใด ก็ล้วนเห็นแต่หนังมนุษย์ที่กำลังสูบกินผู้คนอยู่


 


พวกมันเพลิดเพลินไปกับการสูบกิน ราวกับครื้นเครงในงานฉลองครั้งยิ่งใหญ่


 


นี่แหละ .. คือช่วงเวลาสุดท้ายของโลกทั้งใบล่ะ!


 


ณ เกาะลอยฟ้านิกายกวงหยาง


 


“นายน้อย แล้วพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยความกังวล


 


“เจ้าจงเปลี่ยนกลับไปเป็นดาบเสีย ในเวลานี้ ข้าจักเผชิญหน้ากับมันด้วยตนเองโดยลำพัง”


 


“ทำไมกัน? ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยความสับสน


 


กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “เวลานี้มิได้เกี่ยวข้องกับกำลังรบ แต่เป็นการตอบสนองอย่างฉับไว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนยิ่งน้อยก็ยิ่งดี”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว”


 


ฉานนู่แปลงกายเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และถูกคว้าจับโดยมือของกู่ฉิงซาน ก่อนจะถูกเก็บกลับคืนไปในทะเลแห่งห้วงสติ


 


กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก สายตาเบนออกไปมองภายนอกของเกาะลอยฟ้า


 


ต้นไม้ที่บีบม้วนไปด้วยเส้นเลือดและเนื้อยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป เกาะลอยฟ้าทั่วทุกมุมโลกคงไม่สามารถหลบหนีจากโชคชะตา และถูกพวกมันทิ่มแทงขึ้นมา บดขยี้ทำลายจนเป็นผุยผงเป็นแน่


 


กู่ฉิงซานมองไปยังผู้ฝึกยุทธบนท้องฟ้า


 


ผู้ฝึกยุทธบางคน ได้ร่วมมือกับคนอื่นๆ ปลดปล่อยพลังวิญญาณ ช่วยกันใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราขนาดใหญ่เพื่อต้านทานร่างมีจิตสำนึกของมารโลกา


 


แต่นั่นมันก็ไร้ความหมายอยู่ดี


 


ด้วยจำนวนของร่างมีจิตสำนึกที่มากกว่าอย่างเหลือล้น


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ร่วมแรงร่วมใจกันก็พ่ายแพ้ลง และถูกสูบกินเป็นอาหารอย่างรวดเร็ว


 


“นี่สินะ … ที่เรียกกันว่าการบดขยี้โดยสมบูรณ์ด้วยอำนาจที่เด็ดขาดยิ่งกว่า …”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและเอ่ยพึมพำออกมา


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจดังกล่าว ต่อให้เป็นเขาก็ไม่อาจรับมือกับมันได้เหมือนกัน


 


แต่อย่างน้อยเขาก็โชคดี


 


ที่เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางมิได้ถูกทำลายลงตั้งแต่ในทีแรก


 


ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกยังคงทำงานได้ดี อย่างน้อยในสถานที่แห่งนี้ก็จะไม่มีร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาปรากฏขึ้นชั่วคราว


 


อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวก็คงอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็เร็วเกาะลอยฟ้าแห่งนี้คงถูกทำลายลง


 


กู่ฉิงซานจึงเร่งใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ของเขา ทำการสังเกตโลกทั้งใบในระยะสายตา


 


เขาต้องการที่จะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะค้นหาวิธีจัดการแก้ปัญหากับมัน


 


โฮกกก!


 


มารโลกาคำรามคำหนึ่ง และเสียงของมันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไปตลอดทั้งโลก


 


ขณะเดียวกัน พฤษาสีเลือดก็ทวีจำนวนมากขึ้น จนผุดขึ้นเติมเต็มโลกทั้งใบ


 


ในวิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซาน  ราวกับจู่ๆตนก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปในท้องฟ้าอันไกลโพ้น


 


เห็นแค่เพียงในอากาศที่ว่างเปล่า เกาะลอยฟ้าที่อยู่เบื้องบน จู่ๆก็ค่อยๆลดระดับลง


 


กูู่ฉิงซานกวาดสายตาไปมองรอบทิศทางอีกครั้ง


 


และค้นพบว่า เกาะลอยฟ้าทั้งหมดที่ยังคงเหลือรอด บัดนี้กำลังลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง ราวกับถูกดึงลงมาจากฟากฟ้าด้วยพลังอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็น


 


ทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดกระแสทมิฬหมุนวนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า


 


อากาศที่ว่างเปล่าสลายหายไปทันที


 


ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องบน ดูเหมือนว่าจะลดระดับต่ำลงมาจากเดิมเป็นอย่างมาก


 


“มิติ … กำลังหดตัวลง?”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ


 


ซึ่งนี่มันแตกต่างจากจินตนาการของเขา โลกมิได้ล่มสลายลงไปในทันที แต่ผลคือมันกลับค่อยๆลดขนาดของตัวเองลงอย่างฉับพลัน


 


ในกรณีนี้ กล่าวได้ว่าหากการล่มสลายของโลกได้ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุดเมื่อไหร่ แล้วยังมีผู้ฝึกยุทธคนใดเหลือรอด สุดท้ายด้วยผืนฟ้าที่หดแคบลง มันก็บีบบังคับให้พวกเขาต้องเผชิญกับมารโลกาเบื้องล่างอยู่ดี


 


และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกสิ่งอย่างคงไม่มีอะไรที่จะสามารถทำได้อีก


 


ปัง!


 


ภายใต้เสียงนี้ เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางก็เริ่มจะเอนเอียง


 


พฤษามารโลกาต้นใหญ่ ได้ทะยานขึ้นมายังเบื้องบนท้องฟ้า และทิ่มแทงปลายยอดของมันปะทะเข้ากับเกาะลอยฟ้าของนิกายในที่สุด


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอำนาจของพฤษายักษ์ ค่ายกลป้องกันของเกาะลอยฟ้าก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง


 


ผืนดินตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าบังเกิดการสั่นไหว


 


รอยร้าวบนพื้นดินแตกแขนงอย่างรวดเร็ว และเพียงพริบตา กว่าครึ่งของตัวเกาะก็เริ่มพังทลายลง


 


ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งของเกาะยังคงลอยอยู่กลางอากาศ แม้จะฟุ้งไปด้วยฝุ่นผง แต่มันก็ยังคงไม่ล่มสลายลงทันที


 


ทว่าเมื่อตัวเกาะพังทลายลง ก็แน่นอนว่าแสงสวรรค์จากค่ายกลต้องเล็ดลอด นี่ย่อมที่จะดึงดูดเหล่าหนังมนุษย์มากมายให้มุ่งตรงเข้ามาทันที


 


ฝูงของพวกมันบินวนล้อมรอบอยู่ครู่หนึ่ง


 


ใช่ มีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่บนเกาะแห่งนี้ก็จริง


 


แต่สิ่งมีชีวิตที่ว่าล้วนธรรมดาเกินไป มันเล็กจ้อย และที่สำคัญไม่มีพลังวิญญาณ


 


มันมิใช่สิ่งที่หนังมนุษย์ให้ความสนใจ


 


เฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง


 


จนกระทั่งตลอดทั้งเกาะเริ่มร่วงหล่นมาลง ก็ยังไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดปรากฏตัวขึ้น


 


เห็นแค่เพียงเกาะลอยฟ้าที่ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ เหล่าหนังมนุษย์ก็อดทนรอต่อไปไม่ไหว และกระจายตัวกันออกไป


 


บนท้องฟ้า ยังคงมีเหยื่ออันโอชะจากเกาะอื่นๆรอพวกมันอยู่ ฉะนั้นเหตุใดจึงต้องมาสนใจเกาะว่างเปล่าแห่งนี้ด้วย?


 


หนังมนุษย์ทั้งหมดต่างละทิ้งที่นี่โดยสิ้นเชิง และเริ่มออกไปล่าเหยื่อในตำแหน่งอื่นแทน


 


ขณะเดียวกัน เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางก็แยกแตกออกจากกันโดยสมบูรณ์ และกำลังร่วงตกลงไปยังเบื้องล่าง


 


และตลอดทั้งเกาะ ส่วนสุดท้ายที่ร่วงตกลง ก็คือบนยอดเขา


 


ภูเขาที่เคยตระการตา และถูกแต่งแต้มไปด้วยธารน้ำ ในปัจจุบันค่อยๆพังทลายลง แยกแตกเป็นสองส่วน


 


สิ่งมีชีวิตในภูเขาและแม่น้ำเริ่มจะพากันวิ่งเตลิดด้วยความหวาดกลัว


 


แต่ก็น่าเสียดายที่พวกมันเป็นเพียงสัตว์ป่าที่หาไม่มีภูมิปัญญาทางจิตไม่ ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่กระจ่างใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่


 


พวกมันทยอยกันร่วงตกลงบนร่างของมารโลกา และค่อยๆจมหายไป แปรเปลี่ยนเป็นสารอาหารอันน้อยนิด เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของมารโลกา


 


บนภูเขา แท้จริงแล้วกลับยังคงหลงเหลือลิงหางไหม้อยู่อีกตัวหนึ่ง มันปีนป่ายอย่างคล่องแคล่วขึ้นไปบนจุดสูงสุดของยอดเขา


 


ทั้งมือทั้งเท้าของมันขยับขยายเคลื่อนกายอย่างฉับไวยิ่ง กล่าวได้ว่ามันได้สำแดงข้อดีของลิงออกมาอย่างเต็มที่


 


ขณะที่แม่น้ำและภูเขายังคงถล่มลงมาอย่างต่อเนื่อง


 


ทว่าลิงหางไหม้ตนนี้กลับยังคงปีนป่ายอย่างไม่หยุดยั้ง ปีนป่ายต่อไปเรื่อยๆ


 


จนในที่สุด ภูเขาและแม่น้ำก็ล่มสลาย กระจัดกระจายลงอย่างสมบูรณ์ ทว่าลิงหางไหม้ก็ได้มาถึงยอดเขาพอดิบพอดี


 


มันยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขา โค้งกายลง ช่วงขาล่างเกร็งแน่น จากนั้นก็เตรียมทะยานตัวไปสู่ฟากฟ้า


 


ในตอนนั้นเอง ภูเขาและแม่น้ำก็ล่มสลายลง


 


แต่มันก็เป็นเวลาเดียวกันกับลิงหางไหม้กระโดดออกไปเช่นกัน


 


มันคว้าจับกิ่งไม้เอาไว้!


 


และนี่คือกิ่งไม้ของเกาะลอยฟ้าอีกเกาะหนึ่ง


 


ทันทีที่เกาะลอยฟ้าทั้งสองบินสวนกัน ลิงหางไหม้ก็ฉวยโอกาสนั้นกระโดดข้ามเกาะมา และมันก็ทำได้สำเร็จ!


 


ลิงหายไหม้หมุนกายอย่างคล่องแคล่ว และปีนป่ายไปตามต้นไม้ใหญ่ด้วยความชำนาญ


 


ทว่ามันยังมิทันได้มีเวลาพักผ่อน แท้จริงแล้วกลับได้ยินถึงเสียงอึกทึกที่ดังก้องอีกครั้ง


 


เกาะลอยฟ้าที่ตนพึ่งจะหลบหนีมา … ถูกพฤษามารโลกาทิ่มแทงเอาเสียแล้ว!


 


เนื่องจากตำแหน่งของเกาะแห่งนี้อยู่ต่ำเกินไป ดังนั้นยามที่ถูกปะทะโดยพฤษามารโลกา ตลอดทั้งเกาะจึงแตกกระจาย กลายเป็นควันสีเทาไปในพริบตา


 


ลิงหางไหม้ก้มลงมองความพินาศของเกาะ


 


มันกระโดดขึ้นอีกครั้ง


 


อย่างไรก็จตาม คราวนี้เกาะอื่นๆที่อยู่ในบริเวณโดยรอบนั้นช่างห่างไกล … ไกลเกินกว่าที่จะสามารถกระโจนไปถึงได้


 


ตลอดทั้งเกาะที่มันอยู่พังทลายลง และร่วงตกลงสู่เบื้องล่างโดยสมบูรณ์


 


ซากปรักหักพังของเกาะทยอยกันตกลงบนร่างของมารโลกาค่อยๆจมลงและหายไป


 


ณ กลางอากาศ


 


บนตำแหน่งเดิมของเกาะที่ล่มสลาย บัดนี้กลับปรากฏให้เห็นถึงผีเสื้อตัวหนึ่ง ที่กำลังขยับปีกของมันอย่างแผ่วเบา และค่อยๆบินไปยังเกาะลอยฟ้าอีกแห่งหนึ่ง


 


ขณะโบยบิน ผีเสื้อตัวนั้นก็หันไปมองโดยรอบด้วยความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา


 


เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้าสูง หมู่เกาะเบื้องบนถูกบังคับกดดันให้ลดระดับลงมา


 


ขณะที่บางเกาะก็ร่วงตกลงไปเลยโดยตรง


 


ส่วนบางเกาะก็ยังไม่เต็มใจ และพยายามยื้อแรงกดดันให้เป็นไปอย่างช้าๆ


 


ตลอดทั้งโลกล่องเวหา ทุกๆเกาะลอยฟ้ากำลังถูกบังคับให้ลดระดับลง


 


จะลดลงมันก็ได้อยู่หรอก … แต่ห้ามไปสัมผัสโดนกับร่างกายของมารโลกาเด็ดขาด!


 


เพราะหากสัมผัสโดนแล้ว ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดรอดพ้นไปจากร่างกายของมันไปได้


 


ผีเสื้อกระพือปีกและยังคงบินไปยังเป้าหมายของมันอย่างต่อเนื่อง


 


โดยปกติแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หากคิดจะบินฝ่าท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยหนังมนุษย์


 


แต่ผีเสื้อน่ะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆที่แสนจะอ่อนแอ


 


มันไร้ซึ่งพลังวิญญาณ


 


ร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาจึงพุ่งผ่านมันไปอย่างไม่ใยดี และเร่งพรวดเข้าไปโอบกอดเหล่าผู้ฝึกยุทธที่กำลังพยายามหลบหนีด้วยความสิ้นหวัง


 


–เพราะผู้ฝึกยุทธคืออาหารอันโอชะที่สุดแสนเอร็ดอร่อย ดังนั้นเหล่าหนังมนุษย์จึงต้องแย่งชิงกันเพื่อที่จะได้สูบกิน


 


พวกมันจะมามัวเสียเวลาไร้สาระอย่างการไล่จับผีเสื้อไม่ได้!


 


ผีเสื้อตัวน้อยจึงสามารถบินไปยังอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปได้อย่างปลอดภัย


 


สถานที่แห่งนี้ มันเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง


 


และทันทีที่ผีเสื้อบินมาถึงเกาะนี้


 


มันก็ลดตัวลงกับพื้น และแปลงกายเป็นกวางยู่หลู


 


นี่คืออสูรวิญญาณขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวและเพรียวลมเป็นอย่างยิ่ง


 


ในช่วงก่อนที่มารโลกายังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกใบนี้ อสูรวิญญาณชนิดนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้ฝึกยุทธ


 


เพราะมันวิ่งได้เร็วเกือบจะเท่ากับความว่องไวในการเหินบินของผู้ฝึกยุทธเลยทีเดียว!


 


กวางยู่หลูวิ่งเหยาะๆไปไม่กี่ก้าวมันก็เริ่มผ่อนแรงลง


 


เมื่อพบกับร่มเงาของต้นไม้ มันจึงนั่งพับขาและเริ่มจะพักผ่อน


 


กำลังทางกายภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในช่วงเวลานี้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ย่อมไม่สมควรที่จะปล่อยมันไปอย่างสูญเปล่า


 


กวางยู่หลูมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สายตาจับสังเกตถึงการถูกทำลายล้างลงของเกาะลอยฟ้าต่างๆ ขณะเดียวกันก็เฝ้าดูเหล่าผู้ฝึกยุทธที่ทยอยกันจบชีวิตลง


 


การแสดงออกของมันช่างดูหนักแน่นและสงบเงียบ ราวกับว่าการล่มสลายของโลกทั้งใบนี้ มิได้มีผลกระทบใดๆต่อมันเลยแม้แต่น้อย


 


บนท้องฟ้า เกาะที่ยังคงเหลือรอดน้อยลง น้อยลงเรื่อยๆ


 


ปัง!


 


หลังจากนั้นไม่นาน เกาะที่มันกำลังพำนักอยู่ก็ถูกโจมตีเช่นกัน


 


เกาะเริ่มที่จะพังทลายลง


 


และกวางยู่หลูตัวนั้นก็ผุดลุกขึ้น และเริ่มวิ่งทะยานออกไปทันที


 


มันยืดขยายขาทั้งสี่ แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสงและวิ่งข้ามผ่านผืนป่าไป


 


และแน่นอน ว่าขณะวิ่ง มันก็กำลังเฝ้ามองดูเกาะต่างๆบนท้องฟ้าไปด้วย


 


ทันใดนั้นเอง เกาะลอยฟ้าที่มันอยู่ซึ่งสูญเสียสมดุลก็ลอยเหวี่ยงไปยังทิศทางของเกาะอีกแห่งหนึ่ง


 


ซึ่งเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยทะเลสาบ


 


ในขณะเดียวกัน ตัวเกาะก็เริ่มเอนเอียง แหงนขอบของมันสู่ฟากฟ้า


 


แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะว่ากวางยู่หลูตัวนี้น่ะรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง


 


มันวิ่ง วิ่ง วิ่งไปยังส่วนบนสุดของพื้นดินที่กำลังเอนเอียง


 


มีเพียงแค่การขึ้นมาจนถึงด้านบนสุดเท่านั้น จึงจะมีโอกาสรอดชีวิต


 


ในเวลาเดียวกันกับที่กวางยู่หลูตัวนี้ขึ้นมาถึงด้านบนสุดของผืนป่า-


 


เกาะลอยฟ้าทะเลสาบก็ปะทะเข้ากับเกาะที่มันอยู่ในสภาพแทบจะตั้งฉากกัน


 


ปัง!


 


ในระหว่างการปะทะกันอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


น้ำในทะเลสาบสาดกระจาย กลายเป็นละอองลูกปัดใสเม็ดเล็กๆ กระจายไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน ก่อนจะร่วงตกลงมาราวกับห่าฝน


 


น้ำในทะเลสาบหลั่งไหลลงจากท้องนภา ราวกับพายุฝนฟ้าคะนองที่มิเคยปรากฏขึ้นตั้งเนิ่นนานแล้ว


 


-ทว่าก่อนที่ทั้งสองเกาะจะชนกัน กวางยู่หลู่ก็ได้มาถึงด้านบนสุดของผืนป่าเป็นที่เรียร้อยแล้ว


 


มันรวดเร็วยิ่งกว่า!


 


เมื่อเสียงสั่นสะเทือนของผืนดินสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น กวางยู่หลูตนหนึ่งก็กระโจนสูงไปทันใด


 


มันวิ่งออกจากเกาะด้วยความเร็วจากแรงที่ได้รับการสะสมมา


 


กลางอากาศ ไม่กี่สิบหนังมนุษย์อันน่ารังเกียจบินผ่านมันไป


 


พวกมันกระโจนเข้าหากลุ่มผู้ฝึกยุทธหลายคนตรงหน้า และเริ่มสูบกินอาหารอันโอชะจนเกลี้ยง


 


ขณะที่กวางยู่หลูทะลุผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่  โดยทิ้งสองเกาะที่ถูกทำลายลงเอาไว้เบื้องหลัง


 


แล้วมันก็มาร่วงตกลงบนเกาะทะเลสาบอีกแห่งหนึ่ง


 


นี่คือเกาะสุดท้ายในทั่วบริเวณที่ยังคงเหลืออยู่ และมันเป็นพำนักใหม่ที่ตนได้เลือกเฟ้นเอาไว้ตั้งแต่การกวาดสายตาสำรวจก่อนหน้านี้แล้ว


 


ถึงมันจะถูกทำลายลงแน่ๆ แต่อย่างน้อย ก็มีแนวโน้มว่าน่าจะทิ้งช่วงให้พักได้สักหลายสิบลมหายใจ


 


จ๋อม!


 


น้ำสาดกระเซ็น


 


กวางยู่หลูทิ้งตัวเองให้จมลงไปในทะเลสาบ


 


และวินาทีต่อมา กวางยู่หลูก็หายไป แต่กลับปรากฏถึงปลาคาร์พที่มีลวดลายงดงามตัวหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำแทน


 


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.473 – ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ (2)


 


ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้ม


 


มันคือร่างหลักของมารโลกาที่ทะยานสูงขึ้น และกำลังสาดแสงสีแดงเลือด สะท้อนไปทั่วโลกทั้งใบ


 


มารโลกาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว


 


-ปัง!!


 


ต้นไม้สูงตระหง่านที่เกิดจากเลือดและเนื้อพวยพุ่งขึ้นมาถึงเบื้องบนท่ามกลางเวหา ปะทะเข้ากับเกาะลอยฟ้าที่ลอยลำอยู่ในระดับต่ำถึงกลาง


 


บรรดาเกาะลอยฟ้าที่กล่าวมาถูกทิ่มทำลายลงโดยตรง เศษซากของพวกมันกระจายไปทุกทิศทาง ก่อนจะแปรสภาพเป็นควันสีเทาและวูบบบบ! สลายหายไป


 


พฤษามารโลกายังคงพวยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปจนกระทั่งสุดขอบของฟากฟ้า


 


“นายน้อย เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้มิได้มีผู้ฝึกยุทธอยู่ก็จริง แต่มารโลกาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ข้าเกรงว่า .. ” ฉานนู่เอ่ยปากออกมา


 


แต่กู่ฉิงซานโบกมือ ส่งสัญญาณให้เธอหยุด


 


ช่วงเวลาต่อมา เห็นแค่เพียงมัดกล้ามสีเลือดขนาดใหญ่ที่พุ่งขึ้น ทอดเงาลงมาในนิกายกวงหยาง และค่อยๆยกระดับสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


พฤษามารโลกาต้นนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ขณะที่ชั้นอากาศโดยรอบมันสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับกำลังพยายามค้นหาพลังวิญญาณอยู่


 


อีกนิดเดียว .. อีกนิดเดียวพฤษามารโลกาต้นนี้ก็จะพุ่งเสียบเข้ากับขอบเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางแล้ว นิดเดียวจริงๆ


 


อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะรู้สึกสุขใจที่ตนนั้นโชคดี เพราะในสายตาของเขา ไม่ใกล้ไม่ไกล เจ้าตัวได้ค้นพบกับพฤษามารโลกาอีกต้นหนึ่งแล้ว


 


พฤษามารโลกาเริ่มทยอยกันผุดขึ้นมาทีละต้น ทีละต้น


 


ต้นไม้ยักษ์เหล่านี้เริ่มทะยานเบียดเสียดกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลายเกาะลอยฟ้าไม่มีเวลาจะทันได้ตอบสนอง และถูกพวกมันบดขยี้จนแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


เกาะลอยฟ้าที่ยังอยู่ เริ่มที่จะถูกทำลายลง


 


ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนเกาะเหล่านี้ก็กระจัดกระจายตัวออกไปบนท้องฟ้า


 


พวกเขาจำเป็นที่จะต้องปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา เพื่อป้องกันมิให้ตนเองร่วงตกลงไปยังร่างหลักของมารโลกาที่อยู่เบื้องล่าง


 


แต่น่าเสียดาย ที่วิธีนี้มิแตกต่างไปจากการดื่มยาพิษเพื่อดับกระหายเลย มันส่งผลตรงกันข้าม ความพินาศของพวกเขากลับรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม


 


เมื่อพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธปรากฏขึ้น มารโลกาก็จับสัมผัสถึงมันได้ในทันที


 


ทันใดนั้นผลไม้สีแดงเลือดก็ผุดออกมาตามกิ่งก้านของพฤษามารโลกาที่อยู่ใกล้เคียงกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ


 


“โผล๊ะ”


 


ตามด้วยเสียงของผลไม้ที่ระเบิดออก


 


เห็นแค่เพียงหนังมนุษย์ที่บางเบาราวกับปีกจั๊กจั่นร่วงตกลงมาจากผลไม้


 


พวกมันจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธและหัวเราะออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง “ยอด ยอดเยี่ยม”


 


นี่คือร่างมีจิตสำนึกของมารโลกา


 


จากนั้น พฤษามารโลกาตลอดทั้งต้นก็เต็มไปด้วยผลไม้ที่ผุดขึ้นมาโดยสมบูรณ์


 


หนังมนุษย์เริ่มที่จะทวีจำนวนมากยิ่งขึ้น


 


พวกมันต่างพากันจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ ปากอ้าหัวเราะอย่างพร้อมเพรียง “ยอด ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ที่มีจิตวิญญาณแสนอร่อยมากมายขนาดนี้!”


 


ตูม ตูม ตูม!


 


พฤษามารโลกาผุดขึ้นมาทั่วทั้งโลกอย่างไม่หยุดยั้ง และเริ่มทิ่มทำลายเกาะลอยฟ้าลงอย่างต่อเนื่อง


 


เกาะแล้ว เกาะเล่าต่างทยอยกันถูกทำลายลง


 


พร้อมกับจำนวนของผู้ฝึกยุทธที่ลอยล่องอยู่ในอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ


 


พวกเขาหลบลี้ออกจากเกาะลอยฟ้าด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อออกมาแล้ว ตนก็ไม่รู้ว่าจะหนีเอาชีวิตรอดไปที่ไหนอยู่ดี


 


อย่างไรก็ตาม พฤษามารโลกาก็ยังเพิ่มจำนวนมากขึ้น และปลดปล่อยร่างมีจิตสำนึกของมันออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


หนังมนุษย์ที่มิอาจคาดคำนวณถึงจำนวนได้ปรากฏกายขึ้นอยู่ กระจายกันไปทั่วผืนฟ้า


 


ในขณะที่พวกมันบางตน .. เริ่มจะทำการออกล่าแล้ว!


 


และแน่นอน อย่างที่เคยได้กล่าวไป ว่าความว่องไวของพวกมันน่ะรวดเร็วยิ่ง! ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆทั่วไปน่ะ ย่อมไม่มีทางตอบสนองได้ทัน


 


ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าคนหนึ่งหยิบฉวยสมบัติมนตราขึ้นมาต่อต้านพวกมัน แต่ก็ทำได้เพียงครั้งสองครั้ง ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ถูกโอบกอดและสูบกินอย่างรวดเร็วโดยพวกหนังมนุษย์


 


—ต้องรู้นะว่านี่มิใช่ร่างมีจิตสำนึกของพฤษามารโลกาเพียง 1 หรือ 2 ต้น


 


แต่มันคือพฤษามารโลกานับหมื่นๆต้น! ที่ปลดปล่อยคลื่นมอนสเตอร์โถมทับออกมาบดขยี้เหยื่อในเวลาเดียวกัน!


 


ได้ยินแค่เพียงร่ำร้องด้วยความสิ้นหวังจากท่วมกลางดงหนังมนุษย์ สักพักเสียงที่ว่านั่นก็ค่อยๆจางหาย


 


แล้วพวกหนังมนุษย์ก็แยกย้ายกันไป


 


และในอากาศที่ว่างเปล่า ก็ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของผู้ฝึกยุทธคนนั้นอีกเลย


 


ชัดเจนว่าเขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ทว่าทั้งคนทั้งร่างของเขากลับถูกกลืนกินลงในพริบตา ไม่มีหลงเหลือ


 


เมื่อถูกห้อมล้อมไปด้วยร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาที่มีจำนวนไร้ที่สิ้นสุด ความแข็งแกร่งของขีดสุดความว่างเปล่าก็เล็กจ้อย ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด


 


หลังจากที่สูบกินผู้ฝึกยุทธแล้ว เหล่าหนังมนุษย์ก็บิดกายบางๆของพวกมัน และเปลี่ยนทิศทางไป


 


พวกมันเริ่มทำการมองหาสถานที่อื่น


 


เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้า เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายแม้อยากจะหลบหนี แต่ก็มิอาจรอดพ้น


 


ทันใดนั้นฉากไล่ล่านองเลือดก็ปรากฏขึ้นอีกครา


 


พร้อมกับเสียงร่ำไห้กรีดร้องที่ดังขึ้น


 


หมอกเลือดกระจายไปทั่วฟ้า


 


ผสมปนเปไปกับเสียงหัวเราะอันวิปลาสของหนังมนุษย์


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธมิอาจต่อต้าน และทยอยกันถูกสูบกินไปอย่างรวดเร็ว


 


ในทุกๆอากาศที่ว่างเปล่าในระยะสายตา ไม่ว่าจะมองไปที่ใด ก็ล้วนเห็นแต่หนังมนุษย์ที่กำลังสูบกินผู้คนอยู่


 


พวกมันเพลิดเพลินไปกับการสูบกิน ราวกับครื้นเครงในงานฉลองครั้งยิ่งใหญ่


 


นี่แหละ .. คือช่วงเวลาสุดท้ายของโลกทั้งใบล่ะ!


 


ณ เกาะลอยฟ้านิกายกวงหยาง


 


“นายน้อย แล้วพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยความกังวล


 


“เจ้าจงเปลี่ยนกลับไปเป็นดาบเสีย ในเวลานี้ ข้าจักเผชิญหน้ากับมันด้วยตนเองโดยลำพัง”


 


“ทำไมกัน? ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยความสับสน


 


กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “เวลานี้มิได้เกี่ยวข้องกับกำลังรบ แต่เป็นการตอบสนองอย่างฉับไว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนยิ่งน้อยก็ยิ่งดี”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว”


 


ฉานนู่แปลงกายเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และถูกคว้าจับโดยมือของกู่ฉิงซาน ก่อนจะถูกเก็บกลับคืนไปในทะเลแห่งห้วงสติ


 


กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก สายตาเบนออกไปมองภายนอกของเกาะลอยฟ้า


 


ต้นไม้ที่บีบม้วนไปด้วยเส้นเลือดและเนื้อยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป เกาะลอยฟ้าทั่วทุกมุมโลกคงไม่สามารถหลบหนีจากโชคชะตา และถูกพวกมันทิ่มแทงขึ้นมา บดขยี้ทำลายจนเป็นผุยผงเป็นแน่


 


กู่ฉิงซานมองไปยังผู้ฝึกยุทธบนท้องฟ้า


 


ผู้ฝึกยุทธบางคน ได้ร่วมมือกับคนอื่นๆ ปลดปล่อยพลังวิญญาณ ช่วยกันใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราขนาดใหญ่เพื่อต้านทานร่างมีจิตสำนึกของมารโลกา


 


แต่นั่นมันก็ไร้ความหมายอยู่ดี


 


ด้วยจำนวนของร่างมีจิตสำนึกที่มากกว่าอย่างเหลือล้น


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ร่วมแรงร่วมใจกันก็พ่ายแพ้ลง และถูกสูบกินเป็นอาหารอย่างรวดเร็ว


 


“นี่สินะ … ที่เรียกกันว่าการบดขยี้โดยสมบูรณ์ด้วยอำนาจที่เด็ดขาดยิ่งกว่า …”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและเอ่ยพึมพำออกมา


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจดังกล่าว ต่อให้เป็นเขาก็ไม่อาจรับมือกับมันได้เหมือนกัน


 


แต่อย่างน้อยเขาก็โชคดี


 


ที่เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางมิได้ถูกทำลายลงตั้งแต่ในทีแรก


 


ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกยังคงทำงานได้ดี อย่างน้อยในสถานที่แห่งนี้ก็จะไม่มีร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาปรากฏขึ้นชั่วคราว


 


อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวก็คงอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็เร็วเกาะลอยฟ้าแห่งนี้คงถูกทำลายลง


 


กู่ฉิงซานจึงเร่งใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ของเขา ทำการสังเกตโลกทั้งใบในระยะสายตา


 


เขาต้องการที่จะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะค้นหาวิธีจัดการแก้ปัญหากับมัน


 


โฮกกก!


 


มารโลกาคำรามคำหนึ่ง และเสียงของมันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไปตลอดทั้งโลก


 


ขณะเดียวกัน พฤษาสีเลือดก็ทวีจำนวนมากขึ้น จนผุดขึ้นเติมเต็มโลกทั้งใบ


 


ในวิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซาน  ราวกับจู่ๆตนก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปในท้องฟ้าอันไกลโพ้น


 


เห็นแค่เพียงในอากาศที่ว่างเปล่า เกาะลอยฟ้าที่อยู่เบื้องบน จู่ๆก็ค่อยๆลดระดับลง


 


กูู่ฉิงซานกวาดสายตาไปมองรอบทิศทางอีกครั้ง


 


และค้นพบว่า เกาะลอยฟ้าทั้งหมดที่ยังคงเหลือรอด บัดนี้กำลังลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง ราวกับถูกดึงลงมาจากฟากฟ้าด้วยพลังอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็น


 


ทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดกระแสทมิฬหมุนวนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า


 


อากาศที่ว่างเปล่าสลายหายไปทันที


 


ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องบน ดูเหมือนว่าจะลดระดับต่ำลงมาจากเดิมเป็นอย่างมาก


 


“มิติ … กำลังหดตัวลง?”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ


 


ซึ่งนี่มันแตกต่างจากจินตนาการของเขา โลกมิได้ล่มสลายลงไปในทันที แต่ผลคือมันกลับค่อยๆลดขนาดของตัวเองลงอย่างฉับพลัน


 


ในกรณีนี้ กล่าวได้ว่าหากการล่มสลายของโลกได้ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุดเมื่อไหร่ แล้วยังมีผู้ฝึกยุทธคนใดเหลือรอด สุดท้ายด้วยผืนฟ้าที่หดแคบลง มันก็บีบบังคับให้พวกเขาต้องเผชิญกับมารโลกาเบื้องล่างอยู่ดี


 


และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกสิ่งอย่างคงไม่มีอะไรที่จะสามารถทำได้อีก


 


ปัง!


 


ภายใต้เสียงนี้ เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางก็เริ่มจะเอนเอียง


 


พฤษามารโลกาต้นใหญ่ ได้ทะยานขึ้นมายังเบื้องบนท้องฟ้า และทิ่มแทงปลายยอดของมันปะทะเข้ากับเกาะลอยฟ้าของนิกายในที่สุด


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอำนาจของพฤษายักษ์ ค่ายกลป้องกันของเกาะลอยฟ้าก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง


 


ผืนดินตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าบังเกิดการสั่นไหว


 


รอยร้าวบนพื้นดินแตกแขนงอย่างรวดเร็ว และเพียงพริบตา กว่าครึ่งของตัวเกาะก็เริ่มพังทลายลง


 


ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งของเกาะยังคงลอยอยู่กลางอากาศ แม้จะฟุ้งไปด้วยฝุ่นผง แต่มันก็ยังคงไม่ล่มสลายลงทันที


 


ทว่าเมื่อตัวเกาะพังทลายลง ก็แน่นอนว่าแสงสวรรค์จากค่ายกลต้องเล็ดลอด นี่ย่อมที่จะดึงดูดเหล่าหนังมนุษย์มากมายให้มุ่งตรงเข้ามาทันที


 


ฝูงของพวกมันบินวนล้อมรอบอยู่ครู่หนึ่ง


 


ใช่ มีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่บนเกาะแห่งนี้ก็จริง


 


แต่สิ่งมีชีวิตที่ว่าล้วนธรรมดาเกินไป มันเล็กจ้อย และที่สำคัญไม่มีพลังวิญญาณ


 


มันมิใช่สิ่งที่หนังมนุษย์ให้ความสนใจ


 


เฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง


 


จนกระทั่งตลอดทั้งเกาะเริ่มร่วงหล่นมาลง ก็ยังไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดปรากฏตัวขึ้น


 


เห็นแค่เพียงเกาะลอยฟ้าที่ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ เหล่าหนังมนุษย์ก็อดทนรอต่อไปไม่ไหว และกระจายตัวกันออกไป


 


บนท้องฟ้า ยังคงมีเหยื่ออันโอชะจากเกาะอื่นๆรอพวกมันอยู่ ฉะนั้นเหตุใดจึงต้องมาสนใจเกาะว่างเปล่าแห่งนี้ด้วย?


 


หนังมนุษย์ทั้งหมดต่างละทิ้งที่นี่โดยสิ้นเชิง และเริ่มออกไปล่าเหยื่อในตำแหน่งอื่นแทน


 


ขณะเดียวกัน เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางก็แยกแตกออกจากกันโดยสมบูรณ์ และกำลังร่วงตกลงไปยังเบื้องล่าง


 


และตลอดทั้งเกาะ ส่วนสุดท้ายที่ร่วงตกลง ก็คือบนยอดเขา


 


ภูเขาที่เคยตระการตา และถูกแต่งแต้มไปด้วยธารน้ำ ในปัจจุบันค่อยๆพังทลายลง แยกแตกเป็นสองส่วน


 


สิ่งมีชีวิตในภูเขาและแม่น้ำเริ่มจะพากันวิ่งเตลิดด้วยความหวาดกลัว


 


แต่ก็น่าเสียดายที่พวกมันเป็นเพียงสัตว์ป่าที่หาไม่มีภูมิปัญญาทางจิตไม่ ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่กระจ่างใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่


 


พวกมันทยอยกันร่วงตกลงบนร่างของมารโลกา และค่อยๆจมหายไป แปรเปลี่ยนเป็นสารอาหารอันน้อยนิด เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของมารโลกา


 


บนภูเขา แท้จริงแล้วกลับยังคงหลงเหลือลิงหางไหม้อยู่อีกตัวหนึ่ง มันปีนป่ายอย่างคล่องแคล่วขึ้นไปบนจุดสูงสุดของยอดเขา


 


ทั้งมือทั้งเท้าของมันขยับขยายเคลื่อนกายอย่างฉับไวยิ่ง กล่าวได้ว่ามันได้สำแดงข้อดีของลิงออกมาอย่างเต็มที่


 


ขณะที่แม่น้ำและภูเขายังคงถล่มลงมาอย่างต่อเนื่อง


 


ทว่าลิงหางไหม้ตนนี้กลับยังคงปีนป่ายอย่างไม่หยุดยั้ง ปีนป่ายต่อไปเรื่อยๆ


 


จนในที่สุด ภูเขาและแม่น้ำก็ล่มสลาย กระจัดกระจายลงอย่างสมบูรณ์ ทว่าลิงหางไหม้ก็ได้มาถึงยอดเขาพอดิบพอดี


 


มันยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขา โค้งกายลง ช่วงขาล่างเกร็งแน่น จากนั้นก็เตรียมทะยานตัวไปสู่ฟากฟ้า


 


ในตอนนั้นเอง ภูเขาและแม่น้ำก็ล่มสลายลง


 


แต่มันก็เป็นเวลาเดียวกันกับลิงหางไหม้กระโดดออกไปเช่นกัน


 


มันคว้าจับกิ่งไม้เอาไว้!


 


และนี่คือกิ่งไม้ของเกาะลอยฟ้าอีกเกาะหนึ่ง


 


ทันทีที่เกาะลอยฟ้าทั้งสองบินสวนกัน ลิงหางไหม้ก็ฉวยโอกาสนั้นกระโดดข้ามเกาะมา และมันก็ทำได้สำเร็จ!


 


ลิงหายไหม้หมุนกายอย่างคล่องแคล่ว และปีนป่ายไปตามต้นไม้ใหญ่ด้วยความชำนาญ


 


ทว่ามันยังมิทันได้มีเวลาพักผ่อน แท้จริงแล้วกลับได้ยินถึงเสียงอึกทึกที่ดังก้องอีกครั้ง


 


เกาะลอยฟ้าที่ตนพึ่งจะหลบหนีมา … ถูกพฤษามารโลกาทิ่มแทงเอาเสียแล้ว!


 


เนื่องจากตำแหน่งของเกาะแห่งนี้อยู่ต่ำเกินไป ดังนั้นยามที่ถูกปะทะโดยพฤษามารโลกา ตลอดทั้งเกาะจึงแตกกระจาย กลายเป็นควันสีเทาไปในพริบตา


 


ลิงหางไหม้ก้มลงมองความพินาศของเกาะ


 


มันกระโดดขึ้นอีกครั้ง


 


อย่างไรก็จตาม คราวนี้เกาะอื่นๆที่อยู่ในบริเวณโดยรอบนั้นช่างห่างไกล … ไกลเกินกว่าที่จะสามารถกระโจนไปถึงได้


 


ตลอดทั้งเกาะที่มันอยู่พังทลายลง และร่วงตกลงสู่เบื้องล่างโดยสมบูรณ์


 


ซากปรักหักพังของเกาะทยอยกันตกลงบนร่างของมารโลกาค่อยๆจมลงและหายไป


 


ณ กลางอากาศ


 


บนตำแหน่งเดิมของเกาะที่ล่มสลาย บัดนี้กลับปรากฏให้เห็นถึงผีเสื้อตัวหนึ่ง ที่กำลังขยับปีกของมันอย่างแผ่วเบา และค่อยๆบินไปยังเกาะลอยฟ้าอีกแห่งหนึ่ง


 


ขณะโบยบิน ผีเสื้อตัวนั้นก็หันไปมองโดยรอบด้วยความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา


 


เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้าสูง หมู่เกาะเบื้องบนถูกบังคับกดดันให้ลดระดับลงมา


 


ขณะที่บางเกาะก็ร่วงตกลงไปเลยโดยตรง


 


ส่วนบางเกาะก็ยังไม่เต็มใจ และพยายามยื้อแรงกดดันให้เป็นไปอย่างช้าๆ


 


ตลอดทั้งโลกล่องเวหา ทุกๆเกาะลอยฟ้ากำลังถูกบังคับให้ลดระดับลง


 


จะลดลงมันก็ได้อยู่หรอก … แต่ห้ามไปสัมผัสโดนกับร่างกายของมารโลกาเด็ดขาด!


 


เพราะหากสัมผัสโดนแล้ว ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดรอดพ้นไปจากร่างกายของมันไปได้


 


ผีเสื้อกระพือปีกและยังคงบินไปยังเป้าหมายของมันอย่างต่อเนื่อง


 


โดยปกติแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หากคิดจะบินฝ่าท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยหนังมนุษย์


 


แต่ผีเสื้อน่ะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆที่แสนจะอ่อนแอ


 


มันไร้ซึ่งพลังวิญญาณ


 


ร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาจึงพุ่งผ่านมันไปอย่างไม่ใยดี และเร่งพรวดเข้าไปโอบกอดเหล่าผู้ฝึกยุทธที่กำลังพยายามหลบหนีด้วยความสิ้นหวัง


 


–เพราะผู้ฝึกยุทธคืออาหารอันโอชะที่สุดแสนเอร็ดอร่อย ดังนั้นเหล่าหนังมนุษย์จึงต้องแย่งชิงกันเพื่อที่จะได้สูบกิน


 


พวกมันจะมามัวเสียเวลาไร้สาระอย่างการไล่จับผีเสื้อไม่ได้!


 


ผีเสื้อตัวน้อยจึงสามารถบินไปยังอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปได้อย่างปลอดภัย


 


สถานที่แห่งนี้ มันเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง


 


และทันทีที่ผีเสื้อบินมาถึงเกาะนี้


 


มันก็ลดตัวลงกับพื้น และแปลงกายเป็นกวางยู่หลู


 


นี่คืออสูรวิญญาณขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวและเพรียวลมเป็นอย่างยิ่ง


 


ในช่วงก่อนที่มารโลกายังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกใบนี้ อสูรวิญญาณชนิดนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้ฝึกยุทธ


 


เพราะมันวิ่งได้เร็วเกือบจะเท่ากับความว่องไวในการเหินบินของผู้ฝึกยุทธเลยทีเดียว!


 


กวางยู่หลูวิ่งเหยาะๆไปไม่กี่ก้าวมันก็เริ่มผ่อนแรงลง


 


เมื่อพบกับร่มเงาของต้นไม้ มันจึงนั่งพับขาและเริ่มจะพักผ่อน


 


กำลังทางกายภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในช่วงเวลานี้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ย่อมไม่สมควรที่จะปล่อยมันไปอย่างสูญเปล่า


 


กวางยู่หลูมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สายตาจับสังเกตถึงการถูกทำลายล้างลงของเกาะลอยฟ้าต่างๆ ขณะเดียวกันก็เฝ้าดูเหล่าผู้ฝึกยุทธที่ทยอยกันจบชีวิตลง


 


การแสดงออกของมันช่างดูหนักแน่นและสงบเงียบ ราวกับว่าการล่มสลายของโลกทั้งใบนี้ มิได้มีผลกระทบใดๆต่อมันเลยแม้แต่น้อย


 


บนท้องฟ้า เกาะที่ยังคงเหลือรอดน้อยลง น้อยลงเรื่อยๆ


 


ปัง!


 


หลังจากนั้นไม่นาน เกาะที่มันกำลังพำนักอยู่ก็ถูกโจมตีเช่นกัน


 


เกาะเริ่มที่จะพังทลายลง


 


และกวางยู่หลูตัวนั้นก็ผุดลุกขึ้น และเริ่มวิ่งทะยานออกไปทันที


 


มันยืดขยายขาทั้งสี่ แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสงและวิ่งข้ามผ่านผืนป่าไป


 


และแน่นอน ว่าขณะวิ่ง มันก็กำลังเฝ้ามองดูเกาะต่างๆบนท้องฟ้าไปด้วย


 


ทันใดนั้นเอง เกาะลอยฟ้าที่มันอยู่ซึ่งสูญเสียสมดุลก็ลอยเหวี่ยงไปยังทิศทางของเกาะอีกแห่งหนึ่ง


 


ซึ่งเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยทะเลสาบ


 


ในขณะเดียวกัน ตัวเกาะก็เริ่มเอนเอียง แหงนขอบของมันสู่ฟากฟ้า


 


แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะว่ากวางยู่หลูตัวนี้น่ะรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง


 


มันวิ่ง วิ่ง วิ่งไปยังส่วนบนสุดของพื้นดินที่กำลังเอนเอียง


 


มีเพียงแค่การขึ้นมาจนถึงด้านบนสุดเท่านั้น จึงจะมีโอกาสรอดชีวิต


 


ในเวลาเดียวกันกับที่กวางยู่หลูตัวนี้ขึ้นมาถึงด้านบนสุดของผืนป่า-


 


เกาะลอยฟ้าทะเลสาบก็ปะทะเข้ากับเกาะที่มันอยู่ในสภาพแทบจะตั้งฉากกัน


 


ปัง!


 


ในระหว่างการปะทะกันอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


น้ำในทะเลสาบสาดกระจาย กลายเป็นละอองลูกปัดใสเม็ดเล็กๆ กระจายไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน ก่อนจะร่วงตกลงมาราวกับห่าฝน


 


น้ำในทะเลสาบหลั่งไหลลงจากท้องนภา ราวกับพายุฝนฟ้าคะนองที่มิเคยปรากฏขึ้นตั้งเนิ่นนานแล้ว


 


-ทว่าก่อนที่ทั้งสองเกาะจะชนกัน กวางยู่หลู่ก็ได้มาถึงด้านบนสุดของผืนป่าเป็นที่เรียร้อยแล้ว


 


มันรวดเร็วยิ่งกว่า!


 


เมื่อเสียงสั่นสะเทือนของผืนดินสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น กวางยู่หลูตนหนึ่งก็กระโจนสูงไปทันใด


 


มันวิ่งออกจากเกาะด้วยความเร็วจากแรงที่ได้รับการสะสมมา


 


กลางอากาศ ไม่กี่สิบหนังมนุษย์อันน่ารังเกียจบินผ่านมันไป


 


พวกมันกระโจนเข้าหากลุ่มผู้ฝึกยุทธหลายคนตรงหน้า และเริ่มสูบกินอาหารอันโอชะจนเกลี้ยง


 


ขณะที่กวางยู่หลูทะลุผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่  โดยทิ้งสองเกาะที่ถูกทำลายลงเอาไว้เบื้องหลัง


 


แล้วมันก็มาร่วงตกลงบนเกาะทะเลสาบอีกแห่งหนึ่ง


 


นี่คือเกาะสุดท้ายในทั่วบริเวณที่ยังคงเหลืออยู่ และมันเป็นพำนักใหม่ที่ตนได้เลือกเฟ้นเอาไว้ตั้งแต่การกวาดสายตาสำรวจก่อนหน้านี้แล้ว


 


ถึงมันจะถูกทำลายลงแน่ๆ แต่อย่างน้อย ก็มีแนวโน้มว่าน่าจะทิ้งช่วงให้พักได้สักหลายสิบลมหายใจ


 


จ๋อม!


 


น้ำสาดกระเซ็น


 


กวางยู่หลูทิ้งตัวเองให้จมลงไปในทะเลสาบ


 


และวินาทีต่อมา กวางยู่หลูก็หายไป แต่กลับปรากฏถึงปลาคาร์พที่มีลวดลายงดงามตัวหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำแทน


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.475 – ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ (3)


 


เกาะเกือบทั้งหมดได้ถูกทำลายลงโดยพฤษามารโลกา


 


ฝุ่นผงปลิวว่อนไปทุกที่ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า


 


อย่างไรก็ตาม ฝุ่นผงที่ว่า แท้จริงแล้วจากสีเหลืองจางๆในตอนแรก มันกลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ


 


เนื่องจากอากาศที่ว่างเปล่าช่วงบนกำลังถูกกดทับลงมา


 


ฝุ่นผงทั้งหมดจึงถูกบีบอัดเข้าด้วยกัน


 


เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้าสูง เกาะลอยฟ้าสาดชั้นแสงสวรรค์ออกมา กระจายไปในอากาศ


 


นั่นน่าจะบ่งบอกว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับค่ายกลลอยล่อง


 


โดยทั่วไปแล้ว ค่ายกลจะถูกตั้งค่าเอาไว้ว่าจะต้องเริ่มถูกใช้งานนะ ถ้าความสูงลดระดับลง และจะต้องขึ้นไปจนถึงความสูงในระดับนี้นะ จึงจะต้องหยุด


 


ดังนั้น เมื่อตัวเกาะถูกบังคับให้ลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลลอยล่องจึงเริ่มทำงานทันที


 


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการล่มสลายลงของมิติ ส่งผลให้แม้ตัวค่ายกลจะทรงประสิทธิภาพเพียงใด มันก็มิอาจต่อกรกับแรงกดทับได้อยู่ดี และทำได้เพียงจำใจลดระดับลงไปเรื่อยๆเท่านั้น


 


สำหรับเวลานี้ แต่ละเกาะเบื้องบนล้วนถูกกดดันให้ลดระดับลงมา แรงเสียดทานจากหลากหลายพลังอำนาจส่งผลมันบังเกิดไอร้อนพวยพุ่ง ฉากนี้คล้ายกับอุกกาบาตกำลังร่วงหล่น


 


ปลาคาร์พยังคงลอยโผล่หน้าของมันอยู่บนผิวน้ำ เพื่อเฝ้าดูฉากนี้


 


มันกำลังคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์รับมือตอบโต้


 


ตนเองล่วงรู้ว่าสตรีแห่งรากษสนั้นครอบครองความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ


 


ในทางกลับกัน สตรีแห่งรากษสกลับไม่ได้ล่วงรู้ว่าตนนั้นครอบครองความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต


 


นี่คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา


 


ขณะที่ปลาคาร์พกำลังลอยตัว เฟ้นสมองขบคิด เฝ้ารออยู่อย่างเงียบๆ


 


-เฝ้ารอช่วงเวลาสุดท้ายของการล่มสลายของโลก


 


ที่ไม่มีใครรู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่


 


หากจนกระทั่งถึงช่วงเวลานั้น ผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)อีกคนหนึ่งยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็จะได้รับคุณสมบัติในการก้าวขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส)อย่างเป็นทางการ


 


ตูม!


 


ตูม!


 


ตูม!


 


หมู่เกาะเริ่มจะปะทะซึ่งกันและกัน


 


เมื่อพื้นที่โลกเริ่มหดตัวแคบลง ผลกระทบก็คือ ระยะห่างระหว่างแต่ละเกาะก็กระชั้นชิดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ปลาคาร์พยังคงลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เฝ้ามองการล่มสลายของโลก


 


อีกไม่นาน


 


โลกก็จะจมลงสู่ปากเหวแห่งการทำลายล้างโดยสมบูรณ์


 


ปลาคาร์พยังคงส่ายครีบและหางของมันไปมาอย่างต่อเนื่อง


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไป


 


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆปลาคาร์พก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาสาดมองไปบนท้องฟ้า


 


เหนือท้องฟ้าเบื้องบน จู่ๆก็ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นอย่างกระทันหัน


 


นี่คือรอยแตกร้าวที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายมิติ!


 


ซึ่งปลาคาร์พสามารถตระหนักถึงสิ่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว


 


ผู้ใดกัน ที่เลือกจะกลับมาสู่โลกที่กำลังล่มสลายในเวลาเช่นนี้?


 


แต่คงไม่ต้องใช้สมองอะไรให้มากมายนัก เพราะคำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว


 


ปลาคาร์พบิดตัว และจมลงไปในน้ำมากกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อซ่อนร่างของมัน


 


ตอนนี้ เขารู้ดีว่าการต่อสู้ที่แท้จริง .. มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!


 


รอยแยกมิติเปิดออก


 


พร้อมกับหญิงสาวที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาวปรากฏตัวออกมา


 


-สตรีแห่งรากษส


 


ในขณะเดียวกันกับที่เธอปรากฏตัวออกมา 7-8 หนังมนุษย์ก็สามารถรับรู้ถึงเธอได้ในทันที


 


เนื้อหวานๆแสนอร่อย!


 


เหล่าหนังมนุษย์เริ่มที่จะวิ่งแข่งกัน ตรงมายังทิศทางนี้


 


พวกมันเริ่มโจมตีสตรีแห่งรากษสด้วยความเร็วที่ไม่อาจจะทันรับรู้ได้


 


ทว่าสตรีแห่งรากษสเองก็ไม่รอช้า แปลงกายตนเองให้กลายเป็นก้อนหินในทันใด


 


ก้อนหินบินข้ามฝ่ากลุ่มของผู้ฝึกยุทธ บินทะลุผ่านฝุ่นตลบจากไป


 


ก่อนจะร่วงตกลงในอีกทิศทางหนึ่ง


 


เมื่อหนังมนุษย์ตระหนักได้ว่าของหวานอันโอชะของพวกมันหายไปต่อหน้าต่อตา


 


ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะออกไปไล่ล่าผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆแทน


 


อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีหนังมนุษย์ที่ครอบครองสายตาแหลมคมอยู่บ้าง พวกมันเร่งความเร็วขึ้น และคว้าจับก้อนหินก้อนนั้นเอาไว้


 


พวกมันพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อทำการสำรวจหิน


 


แต่นี่มันก็แค่ก้อนหินธรรมดาๆ


 


เป็นเพียงวัตถุ … และไม่อร่อย!


 


หนังมนุษย์ไม่กี่ตนที่ไล่ตามก้อนหินมาจึงเร่งจากไปด้วยความขุ่นข้อง


 


ขณะที่หินก้อนดังกล่าวยังคงไม่บุบสลาย และตกลงมาอยู่บนผืนดินของเกาะ


 


—เพียงพริบตา สตรีแห่งรากษสก็สามารถระบุได้ถึงสถานการณ์โดยรอบ แปรเปลี่ยนร่างตนเป็นหิน และได้กำหนดถึงทิศทางที่ตนจะมุ่งไปและร่วงตกลงได้อย่างปลอดภัย


 


ในขณะนี้ หนังมนุษย์ที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าไม่มีผู้ใดใยดีเธอเลย


 


สตรีแห่งรากษสลอบถอนหายใจออกมา


 


เดชะบุญจริงๆที่ก่อนหน้านี้เธอเคยพลาดท่าถูกส่งตัวออกไปยังพื้นที่มิติอื่นมาก่อนแล้ว ดังนั้นเมื่อได้รับโอกาสอีกครั้ง เธอจึงได้เตรียมการรับมือกับมันเอาไว้ล่วงหน้า


 


อีกฝ่ายใช้วิธีเดิม


 


และหากถูกหลอกซ้ำสอง เธอคงจะเป็นแค่คนโง่เท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถกลับมาได้ แต่สภาพในตอนปรากฏกาย ทั้งคนทั้งร่างของเธอก็ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด


 


น่าเสียดายจริงๆที่สี่ผู้ใต้บังคับบัญชาลมปราณจิตทั้งสี่คนของเธอถูกพรากจากไปโดยการเคลื่อนย้ายจากค่ายกลทะลวงมิติ


 


ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา หลังจากถูกส่งออกไปด้วยค่ายกลนี้แล้ว มันไม่เคยมีใครสามารถรอดชีวิตกลับมาได้เลย


 


เฮ้อ! นั่นเป็นถึงสี่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตเชียวนะ!


 


ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ และสุดแกร่งเช่นนั้น นับว่าเป็นผู้ช่วยที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง


 


-การสูญเสียในครั้งนี้มันหนักหนาเกินไปจริงๆ


 


และหากเธอไม่สามารถผ่านการทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)ไปได้ นี่คงเป็นการพ่ายแพ้ที่น่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง!


 


เมื่อคิดไปถึงการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส)แล้ว สตรีแห่งรากษสก็ถอนหายใจยาวออกมา


 


ตนเองครอบครองเทคนิคลับมากมาย ดังนั้น การที่จะชนะผู้ทดสอบอีกฝ่ายหนึ่งย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง


 


คู่แข่งจะเป็นใครไม่สำคัญ เพราะอย่างไรมันก็ย่อมไม่สามารถชนะมารโลกาได้อย่างแน่นอน


 


ขณะที่ตนเองก็แสร้งปลอมแปลงเป็นวัตถุไร้ชีวิต เฝ้ารอให้อีกฝ่ายหนึ่งตกตายไป


 


นี่นับว่าเป็นความสะดวกสบายยิ่ง


 


หินค่อยๆร่วงตกลงมาจากกลางอากาศ


 


และทิศทางของมัน … ก็คือเกาะทะเลสาบ


 


ซึ่งเป็นเกาะสุดท้ายที่ยังคงลอยลำอยู่


 


จุ๋ม!


 


ก้อนหินตกลงไปในทะเลสาบ และจมลงไปยังด้านล่างสุด


 


แม้ว่าโลกทั้งใบจะกำลังถูกทำลายลง แต่เบื้องล่างของทะเลสาบนี้สมควรที่จะสงบสุข อย่างน้อยก็ชั่วคราว


 


ก้อนหินนอนโง่ๆอยู่ก้นทะเลสาบอย่างเงียบๆ เฝ้ารออย่างเบื่อหน่ายให้การทดสอบนี้สิ้นสุดลง


 


ว่าแต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นใครกันนะ?


 


เหตุใดจู่ๆมันจึงได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันกัน?


 


หรือว่าจะเป็นฉีหยาน?


 


ใช่ มันอาจจะเป็นเขาก็ได้


 


เพราะท้ายที่สุดนี้ ฉีหยานเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้ตนเองจำต้องยินยอมสละร่างของสตรีแห่งรากษสไปครั้งหนึ่ง


 


หินกำลังขบคิดอยู่อย่างเงียบๆ


 


ในขณะนั้นเอง มีปลาคาร์พตัวหนึ่งได้แหวกว่ายผ่านก้อนหินไป


 


เมื่อหินสังเกตเห็นถึงปลาคาร์พ มันก็ถอนหายใจด้วยอารมณ์เล็กน้อย


 


เจ้าปลานี่ ยังคงเพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่แสนสะดวกสบายได้อยู่อีก โดยที่พวกมันไม่รู้เลยว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของโลกแล้ว


 


หลายสิบลมหายใจได้ผ่านพ้นไป


 


ในหัวใจของหินเริ่มรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น


 


แปลกนัก


 


ไฉนอีกฝ่ายจึงยังไม่ตกตายลงอีก?


 


มิใช่ว่าหากสามารถตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว จิ้งจอกขาวก็จะปรากฏตัวออกมาหรอกหรือ?


 


แต่จนกระทั่งบัดนี้ จิ้งจอกขาวก็ยังไม่โผล่หัวออกมาให้เห็นแม้แต่เงาเลย


 


แท้จริงแล้วฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวตนใดกัน จึงสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อหน้าร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาได้นานขนาดนี้?


 


ด้วยความแข็งแกร่งของฉีหยาน มันย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน


 


ก้อนหินเริ่มบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นเล็กๆน้อยๆ


 


แต่ทันใดนั้น มันก็ฉุกคิดถึงบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว


 


—เป็นมันเองที่ผิดพลาดไป ทั้งๆที่ตนสามารถสังเกตถึงการต่อสู้บนท้องฟ้าโดยไม่ถูกมารโลกาค้นพบตัวได้แท้ๆ แต่ก็ยังไม่คิดจะทำมันในตอนแรก


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ก้อนหินก็เริ่มแปรสภาพตนเองเป็นกิ่งไม้ยาวๆ


 


กิ่งไม้ยาวนี้มีรูปค่อนข้างจะเหมือนกับร่างคน นั่นก็เป็นเพราะเธอยังไม่คุ้นชินกับการใช้วิชาลี้ลับนี้ ดังนั้นจึงมีบ้างที่ในบางการแปลงกายมันจะออกมาไม่ราบรื่นนัก


 


แต่โดยทั่วไปแล้ว มันก็คงไม่สำคัญหรอก


 


กิ่งไม้ใหญ่ยกตัวขึ้นจากก้นทะเลสาบ ผุดขึ้นมาลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างเงียบๆ


 


มันเฝ้าดูฉากนองเลือดตลอดทั้งผืนฟ้า และพยายามที่จะมองหาคู่แข่งของตน


 


ในขณะที่มันกำลังเฝ้าดูอยู่นั้นเอง จู่ๆกระแสน้ำก็บังเกิดการกระเพื่อมไหวขึ้นอย่างกระทันหัน


 


ทันใดนั้นกิ่งไม้ก็ค้นพบถึงร่างอันใหญ่โตผุดขึ้นมาจากเบื้องล่าง


 


มันคือจระเข้ที่มีขนาดตัวยาวกว่า 5 เมตร


 


จระเข้ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำเช่นกัน ก่อนจะเริ่มแหวกว่ายอย่างช้าๆด้วยความเกียจคร้าน


 


กิ่งไม้เหลือบมองไปที่มันเล็กน้อย ก่อนจะละความสนใจไป


 


จระเข้ เป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ธรรมดาในทะเลสาบและหนองน้ำ


 


–ประเดี๋ยวก่อน เหตุใดไอ้จระเข้บ้านี่จึงว่ายมายังทิศทางนี้กัน?


 


เห็นแค่เพียงคู่ดวงตาของจระเข้ กำลังจ้องมองดูกิ่งไม้อย่างเงียบๆ


 


ขณะที่ในหัวใจของกิ่งไม้เริ่มเต้นระรัวราวกับกลองชุด


 


มองหาบิดาเจ้าหรือ?


 


ตัวเราผู้สูงศักดิ์เป็นเพียงแค่กิ่งไม้นะ!


 


ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีหนังมนุษย์จำนวนหนึ่งพุ่งผ่านทะเลสาบไป


 


กิ่งไม้จึงละความคิดที่จะสังหารจระเข้ทันที


 


หากตนถูกค้นพบด้วยการระบายอารมณ์โง่ๆนี่ มันนับว่าไม่คุ้มค่าเอาเลยจริงๆ


 


กิ่งไม้ไม่ขยับไหว แต่จระเข้กลับตรงกันข้าม มันเหวี่ยงหางอย่างแรงเป็นฟืนเป็นไฟ เพื่อจะว่ายตรงเข้ามางับกิ่งไม้


 


แล้วกิ่งไม้ก็ถูกอีกฝ่ายกัดจริงๆ ทว่าแม้จะถูกกัดอยู่ แต่กิ่งไม้ก็มิได้พยายามที่จะเคลื่อนกายป้องกันใดๆ


 


-ท้ายที่สุดนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องรู้นะว่าตอนนี้มันเป็นเพียงแค่กิ่งไม้ ดังนั้นแม้จักต้องการใช้ออกด้วยวิชาลับ ก็ยังจำเป็นต้องอาศัยเวลาสักพักหนึ่ง


 


แต่แล้วจู่ๆกิ่งไม้ก็ถูกยกม้วนสูงขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะลอยลงมาทิ้งแหมะลงบนขอบชายฝั่งทะเลสาบ


 


ถึงกับต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่ง กิ่งไม้จึงจะตอบสนอง


 


‘นี่ข้าถูกจระเข้เหวี่ยงออกมาอย่างนั้นหรือ!!’


 


บักจระเข้นี่ ใช่อยากมีปัญหากันข้าหรือไม่?


 


แม้ตัวกิ่งไม้จะยังคงนิ่งงัน แต่ภายในของมันเตรียมพร้อมที่จะระเบิดออกด้วยวิชาลับแล้ว


 


ทว่ากลับเห็นแค่เพียงจระเข้สงบลง มันว่ายวนอยู่บนผิวทะเลสาบอีกไม่กี่ครั้ง ก่อนจะค่อยๆจมหายไปในน้ำ


 


จระเข้ได้จากไปแล้ว


 


กิ่งไม้จึงค่อยสงบลง สักพักสติจึงกลับมามั่นคงดังเดิม


 


มองจากการกระทำนี้ ดูเหมือนกับว่าเจ้าสัตว์ใหญ่โง่เง่านั่นมันจะคิดว่าข้าเป็นผู้บุกรุกอย่างงั้นสินะ!


 


ขณะกำลังขบคิด กิ่งไม้ก็พลันหันไปเห็นหมาป่าตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้


 


หมาป่าจ้องมองมายังกิ่งไม้ที่ว่า ก่อนจะอ้าปากและพุ่งเข้ามางับมันอีกครั้งซะอย่างงั้น!


 


และในขณะนั้นเอง ก็ดันมาเป็นช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากกำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้า เพื่อหลบหนีการไล่ล่าของหนังมนุษย์อยู่พอดิบพอดี


 


ส่งผลให้ในเวลานี้  กิ่งไม้ไม่สามารถลงมือใช้พลังวิญญาณเพื่อที่จะสังหารเจ้าหมาบ้านี่ได้


 


แต่ในตอนนั้นเอง กิ่งไม้ก็เริ่มเข้าใจถึงบางสิ่ง


 


… ช่างน่าละอายยิ่งนัก


 


คงเป็นตัวข้าเองที่ยังมิเชี่ยวชาญวิชาลี้ลับมากพอสินะ


 


เนื่องเพราะกิ่งไม้ที่ตนปลอมแปลง มันมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์มากเกินไป จึงง่ายต่อการเกิดความเป็นปรปักษ์ต่อเหล่าสรรพสัตว์


 


หลังจากที่กลับไป .. คงต้องฝึกฝนควบคุมวิชาลี้ลับให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้เสียแล้ว


 


เมื่อตัดสินใจได้ กิ่งไม้ก็หายไปทันที


 


ท่ามกลางเม็ดทรายนับไม่ถ้วนบนหาด มันได้เลือกที่จะปลอมแปลงตนเองเป็นเม็ดทรายเม็ดเล็กๆอย่างเงียบๆ


 


หมาป่ากัดเข้าใส่ความว่างเปล่า มันหันไปมองรอบๆด้วยความสับสน การจะนิ่งงันไปครู่หนึ่ง แล้วจากไปในที่สุด


 


คราวนี้ก็สบายใจได้เสียที!


 


ก็เอาสิ ครานี้ข้าซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเม็ดทรายแล้ว ขอดูหน่อยซิว่าจะมีสัตว์หน้าโง่ตนใดมาทำอะไรกับข้าอีก!


 


เม็ดทรายถอนหายใจอย่างลับๆ และเอ่ยพึมพำในจิตใจของตนเอง


 


แต่ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง จู่ๆเม็ดทรายก็หันไปเห็นถึง ‘มดละลายไฟ’ ที่กำลังขยับสองเสาเล็กๆบนหัวมัน แล้วคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ


 


มดละลายไฟ … เป็นสัตว์ที่ชื่นชอบในการกัดกินหินและทราย


 


มันจะใช้น้ำลายชนิดพิเศษของมันกัดกร่อนหินและทราย เพื่อสร้างรังของตัวเอง


 


เม็ดทรายเฝ้ามองมดละลายไฟ พร้อมกับบังเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย


 


เหตุใดวันนี้ข้าจึงซวยซ้ำซวยซ้อนนัก?


 


นี่มันชักจะเริ่มพิกลหน่อยๆเสียแล้ว


 


ทว่าเดชะบุญ ที่มดละลายไฟกลับมิได้เล็งเป้าหมายมาที่ตัวเธอเอง


 


เจ้ามดเพียงส่งเสียงฮึมฮำเบาๆ เพื่อเรียกร้องสหายของตนมา


 


เม็ดทรายถอนหายใจโล่งอก


 


ใช่แล้ว พวกมันเพียงเรียกสหายมาเพียงเพื่อสร้างรังเท่านั้น นี่มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเองเลย


 


ประเดี๋ยวก่อน


 


สร้างรังอย่างนั้นหรือ …


 


เม็ดทรายเงียบงันไปครู่


 


โดยไม่รีรอให้ชักช้าเสียเวลา จู่ๆเม็ดทรายก็แปลงกายเป็นหินหนักก้อนใหญ่ทันใด


 


การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันนี้ ส่งผลให้มดละลายไฟสะดุ้งโหยง และหมุนตัววิ่งหนีจากไป


 


มดละลายไฟหายไปจากสายตาของหินใหญ่อย่างรวดเร็ว


 


หินใหญ่เฝ้ารออยู่สักครู่


 


แต่ก็ไม่มีสัตว์ตนใดเข้ามายั่วยุมันอีก


 


นี่เป็นเรื่องบังเอิญใช่หรือไม่?


 


หินใหญ่เลือกที่จะเฝ้ารออีกสักพัก


 


ปัง!


 


จู่ๆทะเลสาบก็บังเกิดรอยปริร้าว


 


พร้อมกับกิ่งก้านสีเลือดเจาะทะลุขึ้นมาจากทะเลสาบ


 


-พฤษามารโลกา มาเยี่ยมเยือนแล้ว!


 


มันทิ่มแทงและกระแทกเข้ากับเกาะ


 


รอยแยกในทะเลสาบค่อยๆกว้างขึ้น


 


พร้อมกับน้ำจากภายในทะเลสาบที่เริ่มรั่วไหลลงไป


 


บังเกิดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นจากรอยแยก


 


เหล่ามัจฉาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างสบายอารมณ์ เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ มันก็แตกฮือไปรอบๆ ว่ายหนีราวกับแมลงวันไร้หัว


 


น้ำเริ่มที่จะลดฮวบๆลงอย่างรวดเร็ว


 


ขณะที่ตลอดทั้งเกาะเริ่มจะเอนเอียงไปเรื่อยๆ


 


ทั้งทรายทั้งหินเริ่มที่จะม้วนกลิ้งไปตามแรงดึงดูดโลก


 


ขณะที่น้ำทะเลสาบบางส่วน ได้สาดกระเซ็นไปทั่วชั้นอากาศ


 


เกาะลอยฟ้าเกาะสุดท้าย … ได้ถูกทำลายลงโดยมารโลกาแล้ว!


 


อย่างไรก็ตาม เห็นแค่เพียงกลางอากาศ เม็ดทรายและหินนับไม่ถ้วนกำลังร่วงตกลงสู่ร่างของมารโลกา


 


ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตามที ตราบใดที่พวกมันสัมผัสกับร่างของมารโลกา ก็จะถูกกล้ามเนื้อพวกนั้นดูดกลืนไปในฉับพลัน


 


พอไร้ซึ่งเกาะลอยฟ้าอีกต่อ และแม้กระทั่งเกาะสุดท้ายนี้ก็ยังถูกโจมตีโดยพฤษามารโลกา การล่มสลายของโลกจึงค่อยชะลอตัวลง


 


หินใหญ่เฝ้ารอจนถึงช่วงเวลานี้ จึงค่อยได้ถอนหายใจโล่งอก


 


ดูเหมือนว่าจะไม่มีสถานการณ์ผิดปกติใดๆ


 


-ตั้งแต่ต้น ตนก็ได้เลือกจะหลบอยู่ใต้ก้นทะเลสาบ จากนั้นก็แปลงกายเป็นกิ่งไม้


 


ถัดมา เธอก็ได้แปลงเป็นทรายต่อด้วยหินใหญ่ และสามารถเอาชีวิตรอดมาได้จนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของการล่มสลายของโลกและกำลังจะได้รับชัยชนะในที่สุเ


 


ทว่าแท้จริงแล้วหินใหญ่กลับไม่ทันได้สังเกตเห็นเลย ว่าอีกด้านหนึ่ง จู่ๆก็ปรากฏกวางยู่หลูที่กำลังควบสี่ขาวิ่งตรงเข้ามา


 


กวางยู่หลูวิ่งด้วยความเร็วเต็มกำลัง มันสับขาเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ


 


เร่งความเร็วจนถึงขีดสุด!


 


หากมองจากมุมสูง จะเห็นแค่เพียงเส้นแสงสีน้ำตาลที่พุ่งผ่านไป


 


แทบจะในทันที กวางยู่หลูก็ได้มาถึงชายหาดแล้ว


 


ซึ่งนี่เป็นเวลาเดียวกันกับที่หินใหญ่พบถึงการปรากฏตัวของมัน


 


หินใหญ่ดูเหมือนจะเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง


 


-เจ้ากวางตัวนี้ เหมือนว่าจะวิ่งตรงมาที่ตนเอง มันจะต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ!


 


รวมไปถึงสัตว์ทุกตัวก่อนหน้านี้ มันก็ผิดปกติเหมือนกัน!


 


อย่างไรก็ตาม กวางยู่หลูนั้นรวดเร็วเกินไป ขณะที่อีกฝ่ายเห็น กวางก็ได้มาถึงตัวแล้ว!


 


ทว่าจู่ๆกวางก็กลับหายไปอย่างน่าฉงน


 


แต่ดัน ปรากฏหมียักษ์ขนดำที่อ้าปากคำรามไปทั่วฟ้า ชกเปรี้ยง! เข้าใส่หินใหญ่อย่างสุดกำลัง


 


ปงงงงงงงง!


 


หินหนักถูกหวดกระเด็นราวกับกระสุนปืนใหญ่


 


มันถูกชกปลิวออกจากเกาะ ก่อนที่ตัวเกาะจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์!


 


ต้องไม่ลืมนะว่า นี่คือเกาะลอยฟ้า เกาะเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่หลงเหลือสิ่งอื่นใดแล้วนอกจากร่างของมารโลกา!


 


หินใหญ่ที่กำลังร่วงหล่นเริ่มตื่นตระหนก


 


มันจะร่วงตกลงไปไม่ได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วคงมิแคล้วถูกกลืนกินโดยมารโลกา!


 


พริบตานั้นมันก็แปลงตนเป็นใบไม้ที่ลอยล่องไปมาระหว่างพฤษามารโลกานับไม่ถ้วน


 


มันได้ระงับกลิ่นอายอย่างระแวดระวัง มิกล้าเพ่งใช้แม้กระทั่งจิตสัมผัสเทวะ เพราะเกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นมารโลกา


 


สักพักหนึ่ง ใบไม้ก็สัมผัสได้ถึงกระแสลมที่พัดไหว


 


กระแสลมช่วยปรับทิศทางของใบไม้และ ยกตัวมันให้สูงขึ้น ลอยขึ้นไปสู่ฟากฟ้าเบื้องบน


 


ในที่สุด ใบไม้ก็ลอยขึ้นมาอยู่เหนือสายลม


 


มันหมุนวน ส่ายไปมาบนผืนฟ้า โดยที่เจ้าตัวมิคิดจะใช้ออกด้วยพลังวิญญาณเลย


 


เธอเป็นใบไม้ และใบไม้ก็เป็นเธอ


 


ในที่สุด ก็พอจะพักหายใจอย่างปลอดภัยได้ชั่วคราว


 


ใบไม้ลอบถอนหายใจอย่างลับๆ


 


แท้จริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าคู่แข่งสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้นี่เอง!


 


ฉะนั้นแล้ว ด้วยความสามารถอันแสนวิเศษนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่อีกฝ่ายยังไม่ตกตายลงเสียที


 


ใบไม้อดไม่ได้ที่บังเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นภายในจิตใจ


 


ตอนนี้ หากรู้แล้วว่าไพ่ของคู่ต่อสู้คือสิ่งใด นับจากนี้ไปก็เป็นทีของตนที่จะได้ใช้กลยุทธ์บ้างล่ะ!


 


ทว่าขณะขบคิด จู่ๆในวิสัยทัศน์ของใบไม้ก็กลับมืดลง


 


มองออกไปยังผืนฟ้าเบื้องหน้า เห็นแค่เพียงอินทรีย์ที่กำลังสยายปีก โฉบลงมายังตนอย่างรวดเร็ว


 


มันกางกรงเล็บแหลมออก และง้างหมับ! เข้าใส่ใบไม้


 


กรงเล็บอินทรีย์อันแหลมคมหุบลง


 


พร้อมกับใบไม้ที่แยกออกเป็นสองกลีบ ลอยแยกจากกันไปตามสายลมที่พัดพามันไป


 


ผลแพ้ชนะ … ได้ถูกตัดสินแล้ว!!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.476 – เธอปรากฏตัว


 


อินทรีย์ได้ใช้เล็บอันแหลมคมของมันโฉบเข้าใส่ใบไม้ที่ลอยอยู่เหนือกระแสลม


 


ใบไม้จากหนึ่งแยกเป็นสอง มันสั่นไหวเล็กน้อยในอากาศ ก่อนจะแปรสภาพกลับคืน กลายเป็นร่างศพสองท่อน


 


ท่ามกลางหมอกเลือด พลังวิญญาณมหาศาลได้พรั่งพรูออกมา


 


ซึ่งนี่บ่งบอกได้ว่า ในวินาทีสุดท้าย ร่างศพนี้แต่เดิมกำลังคิดจะใช้ออกด้วยเทคนิคบางอย่างอย่างชัดเจน


 


และความผันผวนทางพลังวิญญาณที่พุ่งพรวดขึ้นเช่นนี้ ย่อมมิอาจรอดพ้นจมูกของหนังมนุษย์ไปได้อย่างแน่นอน


 


สองหนังมนุษย์ถลาเข้ามา กระโจนเข้าโอบกอดบนร่างศพ


 


และศพก็หายไปอย่างรวดเร็ว มิอาจมองเห็นได้อีกเลย


 


อินทรีย์สยายปีกของมันโดยไม่คิดหันหลังกลับไปมองฉากดังกล่าว พยายามมุ่งตรงไปยังทิศทางที่ไม่มีหนังมนุษย์ลอยอยู่


 


แต่ก็ใช้เวลาบินไปได้แค่ไม่นาน


 


จิ้งจอกขาวก็ปรากฏตัวขึ้น


 


มันยืนอยู่เบื้องหน้านกอินทรี ราวกับว่ากำลังเฝ้ารออีกฝ่ายอยู่


 


เวลานี้ ในมือของจิ้งจอกขาวกำลังถือไม้ยาวที่ถูกคลุมไว้ด้วยชั้นผ้าสีดำ


 


บนชั้นผ้าดำ ปรากฏตัวอักษรยันต์อันไร้ที่สิ้นสุดสาดแสงวิบวับอยู่ตลอดเวลา ยามมองไปที่มัน จะให้ความรู้สึกถึงแรงกดดันที่มิอาจอธิบายได้


 


จิ้งจอกขาวโบกไม้ยาว วาดวนเป็นวงรอบกายมัน


 


ปรากฏชั้นแสงโปร่งใสครอบคลุมตัวมันกับอินทรีย์


 


ด้วยชั้นแสงนี้ หนังมนุษย์โดยรอบจะมิอาจมองเห็น และละความสนใจจากพวกเขาไปโดยสมบูรณ์


 


จิ้งจอกขาววางไม้ยาวพาดบนไหล่ของมันและกล่าวกับอินทรีย์ว่า “เจ้าทำได้ดีมาก ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้ากลายเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้เป็นรากษสแล้ว”


 


อินทรีย์หันไปมองรอบๆ มิเอ่ยปากตอบอะไรกลับไป


 


มองไปยังโลกทั้งใบ บัดนี้ นอกเหนือไปจากอินทรีย์กับจิ้งจอกขาวแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่อีกเลย


 


ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดถูกสูบกินโดยหนังมนุษย์จนเกลี้ยง


 


ขณะที่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่างร่วงหล่นลงไปพร้อมกับเกาะลอยฟ้า จมหายเข้าไปในร่างของมารโลกา


 


ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว


 


บนท้องฟ้า กระบวนการพังทลายของชั้นอากาศเริ่มทวีความเร็วขึ้น


 


โลกทั้งใบ … เกิดการหดตัวบีบอัดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว


 


ฮูมมมม!


 


พร้อมด้วยเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนโลกหล้า จู่ๆร่างหลักของมารโลกาก็กางแยกออกทันที


 


และท้องฟ้าก็พังทลายลง หายเข้าไปในรอยแยกของมารโลกาโดยสมบูรณ์


 


ไร้ซึ่งมิติให้ต้องหดตัวอีกต่อไป


 


ทุกสิ่งอย่างรอบกายดับสูญลง


 


ตลอดทั้งฉาก หลงเหลือเพียงความมืดมิดและสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหลที่พัดโชยเข้ามาแทนที่เท่านั้น


 


จิ้งจอกขาวเฝ้าดูฉากตรงหน้า และหันไปกล่าวกับอินทรีย์ว่า “อสูรกายตนนี้ช่างทรงพลังจริงๆ มันได้ทำลายโลกใบนี้ลงไปแล้ว”


 


ใช่แล้วล่ะ โลกใบนี้น่ะ มันไม่มีอยู่อีกต่อไป


 


แม้มารโลกาจะยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ทว่าโลกล่องเวหา บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นเพียงมิติที่ว่างเปล่าเท่านั้น


 


โลกล่องเวหา … ได้กลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว


 


มันได้สาบสูญไปตลอดกาล


 


หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ มันได้ถูกกลืนกินจนสิ้นโดยมารโลกา


 


“พวกเราจะไปกันได้หรือยัง?” เสียงนี้เปล่งออกมาจากปากของอินทรีย์


 


มันคือเสียงของกู่ฉิงซาน


 


“ยังไม่ได้หรอก เพราะมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น– ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว พื้นที่มิติแห่งนี้ถูกระงับการเคลื่อนย้ายเอาไว้” จิ้งจอกขาวเอ่ยตอบเขา


 


สองตาเรียวแหลมของมันหรี่แคบลง พร้อมด้วยบรรยากาศอันตรายที่คุกรุ่นออกมาจากร่างของมัน


 


“ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เจ้ากล่าวจริงๆ มีมนุษย์หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังความลับอันมืดมิดนี้” จิ้งจอกขาวกล่าวต่อ


 


“ไม่มีวิธีที่จะฝืนหลบลี้ออกไปได้เลยหรือ?” อินทรีย์กล่าวเสียงหม่น


 


“การเคลื่อนย้ายมิติ สิ่งที่อันตรายมากที่สุดก็คือการถูกรบกวน แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะข้าจะสังหารเจ้ามนุษย์ตัวปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังทันที” จิ้งจอกขาวกล่าวต่อ


 


อินทรีย์พอได้ยิน ก็แปลงกายกลับมาเป็นกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่บนอากาศที่ว่างเปล่า


 


กู่ฉิงซานชักดาบออกมา และกุมมันไว้แน่น


 


จิ้งจอกขาวสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขา มันหัวเราะออกมา “เจ้ากลัวหรือ? ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อให้มีสองมารโลกามาอยู่ที่นี่ มันก็มิอาจต่อกรกับอาวุธในมือของข้าได้อยู่ดี”


 


พอได้ฟัง แม้จิตใจจะยังไม่สงบ แต่ท่าทีของกู่ฉิงซานก็คลายลง ขณะที่ในสมองขบคิด


 


‘จิ้งจอกขาว …’


 


กระทั่งตัวตนจากในโลกชั้นกลางอย่างอีกฝ่าย ก็ยังพึ่งจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของโลกใบนี้ ในช่วงหลังจากที่กู่ฉิงซานบอกความลับที่ว่าผ่านใบหยกให้แก่อีกฝ่าย


 


อย่างไรก็ตาม แม้จิ้งจอกขาวจะล่วงรู้เรื่องราวทุกอย่าง และตระเตรียมอาวุธมาแล้วก็ตาม แต่อันที่จริงดูเหมือนว่ามันจะไม่หวาดกลัวมารโลกาเลยซะด้วยซ้ำ …


 


ขณะที่กู่ฉิงซาน เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าหากเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะมั่นใจเพียงใดก็ไม่สมควรที่จะดึงดันเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จักเช่นนี้


 


แต่พอคิดดูอีกครั้ง จิ้งจอกขาวมันกล้าเอ่ยปากออกมาเองว่าตัวมันสามารถจัดการกับมารโลกาถึงสองตนได้


 


มารโลกาสองตน!


 


นึกดูสิมารโลกาสองตนจะทรงพลังเพียงใดกัน!


 


ฉะนั้นแล้ว หากอ้างอิงจากคำกล่าวของจิ้งจอกขาว การที่มันจะมั่นใจในตนเองก็สมควรจะเป็นเรื่องปกติ .. ล่ะมั้ง?


 


ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็พบว่าจิ้งจอกขาวได้ยกศีรษะขึ้นทันใด


 


กู่ฉิงซานมองตามขึ้นไปยังเบื้องบนทันที


 


ท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า เหนือร่างหลักของมารโลกา บังเกิดการก่อร่างของบางสิ่งที่มหึมาปรากฏขึ้น


 


มาแล้วสินะ!


 


กู่ฉิงซานลอบกล่าวในใจ


 


เขาจ้องมองดูพฤติกรรมของบางสิ่งที่มหึมา อย่างเป็นเรื่องเป็นราว


 


—นี่คือการดำรงอยู่อันแสนพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นจากเส้นเลือดและมัดกล้ามเนื้อมากมายนับไม่ถ้วน


 


มันค่อยๆลดระดับลง มาหยุดอยู่ใกล้กับทั้งสอง


 


ขณะที่เบื้องล่างของกู่ฉิงซานและจิ้งจอกขาว ก็เริ่มปรากฏเงาดำๆผุดขึ้นมาจากมารโลกา


 


เงาเหล่านี้ลอยตัวขึ้น และทยอยกันผลุบหายเข้าไปในเส้นเลือดและมัดกล้ามเนื้อขนาดมหึมาโดยตรง


 


หากใช้จิตสัมผัสเทวะอย่างเต็มกำลังในการจับสังเกตมัน จะค้นพบว่าเงาเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นเงาจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ


 


แต่ละเงาต่างกรีดร้องโหยหวน ตะโกนร่ำอย่างน่าสมเพช ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะตระหนักดีถึงโชคชะตาของตนเอง


 


เมื่อได้รับจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นมา เส้นเลือดและมัดกล้ามขนาดมหึมาที่ม้วนติดกันเป็นเกลียวก็เริ่มกระตุกอย่างบ้าคลั่ง


 


มันถอนหายใจยาวออกมา


 


“เด็กดี เจ้าทำได้ดีมากเลย”


 


ด้วยเสียงนี้ เส้นเลือดและมัดกล้ามขนาดมหึมาก็แปรสภาพเป็นใบหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่


 


มันเป็นใบหน้าของผู้หญิงที่งดงาม


 


ผู้หญิงคนนั้นเปิดปากของเธอ


 


และปากๆนั้นก็อ้าออก มันขยายยาว กว้างออกไปถึง 180 องศา


 


เงาทั้งหมดถูกรวบเข้าด้วยกันเป็นเสาแสงสีดำ  และเริ่มถูกสูบกินเข้าไปในปากของเธอ


 


กระบวนการกลืนกินยิ่งมา ยิ่งทวีความรวดเร็วขึ้น


 


ใบหน้าหญิงสาวกำลังดูดกลืนจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธอย่างบ้าคลั่ง


 


ด้วยความเร็วนี้ มันรวดเร็วดยิ่งกว่าก่อนหน้าหลายสิบเท่า!


 


จิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ นับตั้งแต่ช่วงพันกว่าปีก่อน กำลังถูกสูบกินโดยใบหน้าของหญิงสาว


 


จิ้งจอกขาวพยักหน้าเล็กน้อย “นั่นคือกับดักที่เจ้าพูดถึงสินะ?”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าเพียงอนุมานถึงการดำรงอยู่ของมัน แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด”


 


“นี่คือหนึ่งในประเภทของการเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกาย ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับมนุษย์ที่ทรงอำนาจจนสามารถกระทำเช่นนี้ได้ในโลกกระจัดกระจาย”


 


สีหน้าการแสดงออกของจิ้งจอกขาวเริ่มกลายเป็นหนักอึ้ง


 


“เปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายคือสิ่งใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที


 


นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่เขาได้รับข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของอสูรกายที่แท้จริง


 


จิ้งจอกขาวอธิบาย “การเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายนั้น เกิดจากการสละร่างศพของเทพบรรพกาลให้อสูรกายเข้ายึดครอง และแปลงตนให้กลายเป็นมารที่พิเศษยิ่งกว่า – สำหรับโลกของข้าแล้ว มันนับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจทีเดียว


 


“แถมเจ้าเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายตนนี้ ยังได้สูบกินจิตวิญญาณทั้งหมดที่มารโลกาเก็บสะสมเอาไว้ตลอดทั้งพันกว่าปี ดังนั้นมันจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมากแน่ๆ”


 


“แล้วท่านสามารถจัดการกับมันได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เจ้าวางใจเถอะ โชคยังดีที่ขีดจำกัดของข้ายังสามารถจัดการกับมันได้”


 


จิ้งจอกขาวตบลงบนไม้ยาวที่คลุมผ้าดำบนไหล่ของมัน กล่าวอย่างยินดี “หลังจากที่เจ้าเตือนข้า ข้าก็ได้ทำการเรียกสิ่งประดิษฐ์เทวะที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในการรับมือกับการเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายมาแล้ว”


 


ขณะกล่าว เห็นแค่เพียงใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวที่เหลือบสายตามองมา


 


เธอสังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวที่ตำแหน่งนี้


 


จิ้งจอกขาวยกไม้ยาวมาไว้เบื้องหน้าด้วยสองมือ


 


“มารร้าย! จงปลดการกักมิติของเจ้าเสีย หรือต้องการที่จะให้ข้าสังหารเจ้าทันที?” จิ้งจอกขาวกล่าว


 


ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวมองไปยังไม้ยาวในมือจิ้งจอกขาว ก่อนที่ท่าทีการแสดงออกทางสีหน้าของเธอจะเปลี่ยนแปลงไป


 


มันหยุดกลืนกิน และจ้องมองต่อมาที่กู่ฉิงซาน


 


“เจ้า”


 


เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


 


ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้พูดมานานมากเกินไป ดังนั้นในทุกๆการเปล่งเสียงจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ที่สังหารเฉียนซานเย่?”


 


กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย


 


เห็นแค่เพียงในดวงตากลมโต กำลังฉายแววแห่งความคาดหวังเป็นพิเศษ


 


เธอกำลังเฝ้ารอคอยคำตอบ


 


กู่ฉิงซานใช้สมองไตร่ตรอง แล้วเขาก็เริ่มที่จะเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน


 


กู่ฉิงซานยอมรับอย่างง่ายดาย “ถูกต้อง เป็นข้าเองที่สังหารเขา”


 


ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวแลดูคลายลง การแสดงออกถึงความโกรธแค้นเกลียดชังถูกปัดเป่าออกไป


 


ราวกับว่าเธอได้รับการปลอบประโลมลง


 


“เจ้าทำได้ดีมาก” ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวกล่าว


 


เสียงของเธอที่เปล่งออกมาบัดนี้คมชัดมากขึ้น “เจ้าสารเลวเฉียนซานเย่ ในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ มันได้เรียนรู้วิชาแยกวิญญาณไปจากข้า”


 


“หลังจากที่ข้าตายไป เขาก็หวาดกลัว จึงทำการแยกวิญญาณตนเองและซ่อนมันเอาไว้เป็นพันๆปี ดังนั้นข้าจึงไม่เคยได้ค้นพบถึงร่องรอยของเขาเลย”


 


“แต่ในเวลานี้ ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ!”


 


พร้อมกับคำกล่าวนี้ของใบหน้ายักษ์หญิงสาว ก็เห็นแค่เพียงผลไม้สีแดงเลือดผลหนึ่ง ผุดขึ้นมาจากพฤษามารโลกา


 


ผลไม้นั้นร่วงตกลงจากกิ่งก้าน และลอยมายังทิศทางใบหน้ายักษ์ของหญิงสาว


 


ยามเมื่อผลไม้มาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว เปลือกของมันก็ถูกลอกออกโดยพลัน


 


และปรากฏร่างเงาดำอันเลือนรางขึ้นแทน


 


ทันทีทีร่างเงาดำนั้นเป็นอิสระ มันก็เตรียมจะพุ่งหลบหนีออกไปทันที


 


อย่างไรก็ตาม ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวกลับแลบลิ้นยาวออกมา แล้วชิงตัดหน้า ฉกรัดลงใบร่างเงาที่ว่านั่นเสียก่อน


 


เมื่อร่างเงาถูกฉกรัด แม้มันจะยังดิ้นรนขัดขืนได้ ทว่ากลับมิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้เลย


 


ในเวลานี้เอง กู่ฉิงซานจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างเงาสีดำที่ว่า แท้จริงแล้วก็คือเฉียนซานเย่นั่นเอง


 


ลิ้นยาวพันธนาการจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ และค่อยๆชักลิ้นกลับให้ร่างเงามาหยุดตรงดวงตาของหญิงสาว


 


“เฉียนซานเย่”


 


หญิงสาวมองมาที่เขา ปากถอนหายใจบรรเทาความโกรธ


 


“เสี่ยวถาย (ถายน้อย) เจ้าฟังข้าก่อนสิ ข้าถูกพวกมันบังคับนะ! พวกมันควบคุมข้าและบังคับให้ข้าทำร้ายเจ้า!” เฉียนซานเย่ร้องเสียงหลงออกมา


 


ตัวตนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยุคสมัย บัดนี้กลับหวาดกลัวและร่ำร้องราวกับเด็ก


 


แต่ที่แสดงออกเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเพราะเขาตระหนักดีว่าอีกฝ่ายน่าหวาดกลัวเพียงใดก็ได้


 


หญิงสาวรับฟังอย่างเงียบๆ พร้อมกับรอยยิ้มประชดประชันบนใบหน้าของเธอ


 


“เพื่อป้องกันมิให้เจ้าลวงหลอกข้าอีกหน ข้าจึงกลืนกินจิตวิญญาณทั้งหมดในโลกใบนี้ และทำการค้นความทรงจำของทุกคนจนสิ้นแล้ว ดังนั้น เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะไม่รู้ถึงเรื่องราวที่แท้จริง?” เธอกล่าว


 


“เสี่ยวถาย อภัยให้ข้าด้วย ข้าก็เพียงแค่มัวเมาไปกับความแข็งแกร่งเท่านั้นเอง!”


 


เฉียนซานเย่ตะโกนอย่างกระวนกระวาย


 


ขณะที่ใบหน้าของหญิงสาวยังคงนิ่งงัน


 


“เจ้าไม่เพียงสังหารข้า แต่ยังสังหารเด็กที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาอีกด้วย ตอนนี้เจ้ายังจะขอให้ข้าให้อภัยเจ้าอีกหรือ?” เธอกล่าวอย่างช้าๆ


 


“เฉียนซานเย่ ตอนนี้ข้าจับเจ้าได้แล้ว ต่อไป ข้ายังเหลือเวลาอีกนานปี นานจนไร้ที่สิ้นสุดในการที่จะทรมานเจ้าอย่างช้าๆ เพื่อบรรเทาความเกลียดชังในหัวใจของข้า”


 


“เสี่ยวถาย -”


 


เฉียนซานเย่ยังมิทันได้เอ่ยจบ


 


ลิ้นยาวๆก็สั่นไหวอย่างแรง มันม้วนพันจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ และฟุบ! ฉกเขากลืนเข้าไปในปาก


 


จากนั้น ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวก็มองมาทางกู่ฉิงซาน


 


“เจ้าเป็นมนุษย์คนที่สองที่มีพระคุณต่อข้า เจ้าได้ช่วยข้าค้นหาจิตวิญญาณของชายคนนี้เอาไว้” เธอกล่าว


 


“ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”


 


กู่ฉิงซานที่กำลังตั้งใจฟัง ก็เร่งประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือไปทางเธอทันที “ขอบพระคุณท่าน”


 


“จงไปเถิด ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ” หญิงสาวหลับตาลง


 


กู่ฉิงซานกับจิ้งจอกขาวหันมามองหน้ากัน


 


เมื่อถึงจุดนี้ จิ้งจอกขาวก็รู้สึกได้ถึงการกักมิติที่ถูกปลดออก


 


—หากมิต้องต่อสู้ แต่สามารถจากไปได้โดยตรง นี่ย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


 


จิ้งจอกขาวพยักหน้าเล็กน้อย และยกหางของมัน ชูไปในอากาศ


 


พร้อมกับประตูแสงที่ปรากฏขึ้น


 


“มาเถอะ มายังโลกชั้นกลางกับข้า ข้าจักพาไปยังโลกที่ข้าอาศัยอยู่” จิ้งจอกขาวกล่าว


 


“ขอรับ” กู่ฉิงซานตอบรับ


 


ขณะเดียวกัน มุมหางตาของทั้งสองก็เหลือบผ่านไปยังใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวอีกครั้ง


 


เห็นแค่เพียงใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวที่เงียบสงบและหลับตาปิดสนิท


 


ในหัวใจของจิ้งจอกขาวจึงคลายลงเล็กน้อย


 


จิ้งจอกขาวกับกู่ฉิงซานเริ่มที่จะก้าวเท้าเข้าไปในประตูแสง


 


ทว่า … จู่ๆหัวของจิ้งจอกขาวก็หายวับไปทันใด!?


 


เสี้ยวพริบ บังเกิดเงามืดโฉบบินออกจากมัน จากนั้นเงามืดที่ว่าก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว


 


ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวเปิดปากอย่างดุร้าย และกลืนกินเงามืดที่คาดว่าน่าจะเป็นจิตวิญญาณที่กำลังดิ้นรนอยู่ลงไป!


 


ต่อมา ศีรษะและลำตัวของจิ้งจอกขาวที่พึ่งจะแยกจากกัน ก็ลอยตามเข้าไปในปาก และถูกเคี้ยวกลืนโดยเธออีกรอบ


 


“ช่างไร้เดียงสา”


 


หญิงสาวที่พึ่งกินจิ้งจอกขาวไปหัวเราะเบาๆ


 


“เป็นเพียงมดในชั้นกลาง ที่กระทั่งขอบเขตของข้าก็ยังมิอาจหยั่งถึงได้ แต่กล้าที่จะดูหมิ่นข้า!”


 


เธอเปิดตาขึ้น มองไปยังกู่ฉิงซาน


 


“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” หญิงสาวกล่าว


 


“อย่างงั้นหรือ?”


 


กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไป คว้าจับดาบพิภพที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่า


 


เขาพร้อมแล้ว … สำหรับการดิ้นรนครั้งสุดท้าย


 


“ไม่จำเป็นต้องกังวลไป”


 


ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวเผยรอยยิ้มแย้มอย่างกระทันหัน


 


สีหน้าของเธอเปิดเผยถึงร่องรอยเล็กๆน้อยๆของความเอ็นดู ปากเอ่ยกล่าว “ในยามที่ข้ายังเป็นมนุษย์ ครั้งหนึ่งเคยมีตัวตนทรงอำนาจผู้หนึ่งได้ช่วยข้าไว้”


 


“แต่จนกระทั่งตอนนี้ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าก็ได้ถูกเติมเต็มแล้ว ทว่าข้ายังมิได้ตอบแทนความเมตตาของตัวตนทรงอำนาจที่ว่านั่นเลย”


 


“ข้าได้กลายเป็นมารที่แท้จริง และไม่สามารถหวนคืนสู่โลกมนุษย์ได้ต่อไป ดังนั้นโปรดช่วยข้ามอบบางสิ่งบางอย่างให้แก่เขา เพื่อเป็นการตอบแทนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ช่วยข้าเอาไว้ด้วยเถอะ”


 


“ช่วยข้าหน่อยจะได้หรือไม่?”


 


“ได้ ข้าจะช่วยท่าน”


 


หญิงสาวจ้องหน้าของกู่ฉิงซานราวกับจะตรวจสอบถึงความจริงในคำกล่าวของอีกฝ่าย และสุดท้ายใบหน้าของเธอก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


“ข้าล่วงรู้ถึงทุกสิ่งอย่างที่เจ้าทำในโลกใบนี้”


 


“ทัศนคติของเจ้าที่มีต่อทาสนั้นเหมือนกันกับข้า และแม้กระทั่งความเกลียดชังที่มีต่อโลกใบนี้ก็คล้ายคลึงกับข้าเช่นกัน”


 


“ดังนั้น ข้าจะช่วยเจ้าอีกสักครั้งหนึ่ง”


 


ผู้หญิงกล่าว ขณะเดียวกันก็เป่าลมหายใจออกไปยังทิศทางของประตูแสง


 


ภาพฉากในประตูแสงขยายกว้างขึ้นทันใด มันปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซาน


 


มันคือซากปรักหักพัง


 


ขณะที่หลายสิบทหารติดอาวุธกำลังกดหัวของผู้คนที่เข้าแถวยาวเหยีดลงกับพื้น และตัด!หัวพวกเขาลงทีละคน ทีละคน


 


ทันใดนั้นหนึ่งในทหารก็เอ่ยตะโกนออกมา “หัวหน้า มีช่องว่างมิติถูกเปิดออก”


 


แล้วเสียงของนายทหารอาวุโสก็ดังขึ้นทันใด “จงส่งทีมขนาดเล็กออกไปล้อมรอบประตูมิติ และดักรอให้รากษสปรากฏตัวขึ้น”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.477 – จะกลับมาหาเจ้าในภายหลัง


 


กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปยังฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหลังประตูแสง ขณะที่ผู้คนทั้งหมดภายในประตู มิได้ตระหนักถึงสายตาของเขาเลย


 


ไม่รู้ว่าใบหน้าของหญิงสาวได้ใช้เทคนิคมนตราใด มันจึงสามารถทะลวงฝ่าโลกชั้นผิวนอกนับล้านๆโลก และลอบมองโลกในชั้นกลางได้โดยตรง


 


พลังอันยิ่งใหญ่ที่เธอครอบครองนี้ มันได้ทะลุเกินกว่าจินตนาการของกู่ฉิงซานไปแล้ว


 


มองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของบานประตู นายทหารติดอาวุธยังคงทำการสำเร็จโทษเชลยแห่งรากษสลงอย่างต่อเนื่อง


 


บางคนก็ใช้กระบี่ยาวตัดศีรษะของเชลยลงโดยตรง


 


ขณะที่บางคนก็ใช้ปืนยาวเล็ง และยิงไปที่หัวทีละคน ทีละคน


 


ทว่าประสิทธิภาพอาวุธของพวกเขานั้นช่างต่ำต้อยนัก เพราะปืนยาวที่พวกเขาใช้ มันยิงได้ทีละนัดเท่านั้น พอยิงเสร็จ ก็ต้องโหลดและถอนปลอกกระสุนด้วยตนเอง ซึ่งมันไม่สะดวกเอาเสียเลย


 


ด้วยคำสั่งของนายทหารอาวุโส ทหารหลายคนจึงออกจากตำแหน่งทันที


 


พวกเขาหยิบกระสุนปืนและบรรจุมันลงในอาวุธคู่กายตน พร้อมกับเล็งมายังทางออกของประตูแสง


 


กู่ฉิงซานลองสังเกตดีๆอีกครั้ง และพบว่าปืนที่อยู่ในมือของคนเหล่านี้ มันเป็นรุ่นเก่าที่ล้าสมัยมาก


 


-ทั้งหมดล้วนเป็นปืนยาวโบราณ และแม้กระทั่งกระสุนก็สามารถโหลดได้เพียงทีละหนึ่งเท่านั้น


 


พลปืนยาวเอ่ยถามเสียงเบาๆออกมา “หัวหน้า ท่านจะให้พวกเราทำยังไง ให้จัดการฆ่ามันเลยไหม?”


 


นายทหารอาวุโสกล่าว “ไม่ได้ เจ้าห้ามลงมือเต็มกำลัง ข้าต้องการจับเป็นมัน”


 


อีกหนึ่งพลปืนเอ่ยออกมาว่า “จับเป็น?  แต่ด้วยการยิงจากอาวุธปืนของพวกเรา มันยากมากเลยนะที่จะสามารถปล่อยให้ศัตรูมีชีวิตรอดต่อไปได้”


 


นายทหารอาวุโสอธิบายอย่างอดทน “เอาล่ะๆ ที่ข้าสั่งแบบนั้นไป ก็เป็นเพราะว่าต้องการที่จะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประตูมิตินี้กันแน่ – เพราะในช่วงเวลาแห่งการสู้รบขั้นแตกหักกับโลกของพวกเราเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่รากษสจะส่งผู้ใดเข้ามา”


 


นี่มันเป็นเรื่องที่แปลกอย่างแท้จริง และจะต้องได้รับคำอธิบาย


 


“รับทราบ” เหล่าพลปืนยาวเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน


 


พวกเขาชักไกปืนเสียงดังแกร๊ก และเตรียมพร้อมสำหรับการยิงครั้งสุดท้าย


 


กู่ฉิงซานมองไปยังศัตรูที่ยืนเฝ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูแสง


 


บัดนี้ เขาตกตะลึงไปแล้วโดยสมบูรณ์


 


ไม่คาดคิดเลยว่า กำลังรบของจิ้งจอกขาวจะถูกโค่นลง พ่ายแพ้ไปเสียแล้ว!


 


ทั้งๆที่ความแข็งแกร่งของจิ้งจอกขาวเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตลมปราณจิต เป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่กู่ฉิงซานเคยเห็นมา


 


แต่จิ้งจอกขาวก็ถูกกลืนกินไปแล้วโดยใบหน้าของหญิงสาว


 


แถมกองกำลังแห่งรากษสของจิ้งจอกขาว .. ก็ดันมาถูกโค่นลงซะอีกโดยกลุ่มทหารที่ใช้อาวุธปืนโบราณ!


 


ฉากโลกใหม่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้ … ได้เปลี่ยนมุมมองของกู่ฉิงซานไปโดยสิ้นเชิง


 


“มีโลกนับล้านล้าน อยู่ในโลกทั้ง 900 ล้านชั้น … ”


 


กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ ปากอ้าถอนหายใจ


 


ภาพตรงหน้านี้ทำให้เขาสามารถตระหนักได้ถึงบางสิ่ง


 


นับจากนี้ไป เขาจะไม่ตัดสินทุกสิ่งอย่างด้วยความคิดและทัศนคติตามธรรมชาติของตนเองอีกเด็ดขาด


 


สามัญสำนึกเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นเลย สำหรับการเผชิญกับการดำรงอยู่ของโลกนับไม่ถ้วน และอารยธรรมอันแปลกประหลาดไร้ที่สิ้นสุด


 


ณ ตอนนี้ โลกของจิ้งจอกขาวได้ถูกกวาดล้างลงแล้วโดยกลุ่มทหารที่ถืออาวุธปืนยาวโบราณ


 


-เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ข้าทนพยายามมากมายกระทั่งคว้าชัยชนะมาไว้ในกำมือ มันจะไปมีความหมายอะไร?


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจอีกครั้ง


 


“เจ้าได้ช่วยให้ข้าได้รับบางสิ่ง ดังนั้นข้าจึงช่วยให้เจ้าหลีกเลี่ยงวิกฤติที่อันตรายถึงชีวิตเป็นการตอบแทน” เสียงใบหน้าหญิงสาวดังขึ้น “หวังว่าการแลกเปลี่ยนนี้ จะทำให้เจ้าพอใจ”


 


“เป็นที่พอใจ ข้าพึงใจเป็นอย่างยิ่ง ขอบพระคุณท่าน” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างจริงใจ


 


“นี่มันเป็นการแลกเปลี่ยน ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ”


 


ใบหน้าหญิงสาวกล่าว


 


“การแก้แค้นบรรลุผลแล้ว และความปรารถนาของข้าก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน นับจากนี้ไป ข้าจะกลายเป็นมารที่แท้จริง” บนใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความเสียใจ


 


“มารกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมิอาจอยู่ร่วมกันได้ นับจากนี้ไปในอนาคต หน้าที่ของข้าคือ การทำลายล้างโลกอีกนับไม่ถ้วน”


 


กู่ฉิงซานรับฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว สมองขบคิดก่อนจะกล่าว “แต่ข้าสัมผัสได้ว่าหัวใจของท่านยังมิได้มืดบอด แล้วหากเป็นในกรณีนี้ การที่ท่านเปลี่ยนเป็นมาร มันจะแตกต่างกันอย่างไรกับในยามที่เป็นมนุษย์?”


 


ใบหน้าหญิงสาวมองเขาอย่างคาดไม่ถึง มิอาจเอ่ยกล่าวอะไรออกมาได้อยู่ครู่หนึ่ง


 


คล้ายกับว่าเธอกำลังทำความเข้าใจถึงทัศนคติที่แท้จริงของอีกฝ่าย


 


ไม่เคยคาดคิดเลย ว่ารุ่นเยาว์ในโลกกระจัดกระจาย จะสามารถเอ่ยคำเช่นนี้ออกมาได้


 


ผ่านไปนาน ใบหน้าหญิงสาวก็เอ่ยออกมา “เฉียนซานเย่ได้ผลักข้าลงสู่เส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ ดังนั้นข้าจึงมิอาจย้อนกลับไปได้”


 


เธอดูเหมือนว่าจะตกลงไปในห้วงความทรงจำ


 


“ในอดีตที่ผ่านมา ข้าได้ปิดซ่อนความจริงเกี่ยวกับตัวข้า มิบอกมันแก่เขา แต่นั่นก็เพื่อเป็นการปกป้องตัวเขาเอง”


 


“ปกป้องเขาอย่างนั้นหรือ?”


 


“ใช่ เพราะเขาก็มีปัญหาเดียวกันกับคนทั่วๆไปในโลกใบนี้”


 


“ปัญหาเดียวกันกับคนทั่วๆไป?”


 


“นั่นคือความแข็งแกร่งของตนมิสอดคล้องกับความทะเยอะทะยานที่มี และปฏิบัติตนอย่างโหดร้ายต่อโลกอื่นๆ”


 


“ด้วยสองสิ่งนี้  หากได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวของหมื่นโลกา ตัวเขาก็จักถูกทำลายล้างลงอย่างง่ายดาย”


 


“เดิมทีแล้วข้าต้องการรอจนกว่าเด็กจะเกิดมา แล้วจึงค่อยบอกเขา … ”


 


ใบหน้าหญิงสาวเผยถึงความโศกเศร้า


 


“มันไม่คุ้มค่าหรอกที่จะไปมัวคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต” กู่ฉิงซานแนะนำ “ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหา ได้ใช้ชีวิตภายใต้อารยธรรมเช่นนี้ตลอดมา ดังนั้น มันไม่คุ้มค่าหรอกกับการที่ท่านจะต้องมาโศกเศร้าเกี่ยวกับเรื่องนี้”


 


ใบหน้าหญิงสาวกลับคืนสู่ความสงบ ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “นั่นสินะ เรื่องมันผ่านพ้นไปแล้ว และเหล่าผู้ที่มีส่วมร่วมในการทำร้ายข้าก็ไม่มีผู้ใดหลุดรอดจากเงื้อมมือไปได้”


 


เธอมองมายังกู่ฉิงซาน และค่อยๆเผยอปากออก


 


ตามด้วยกองม้วนคัมภีร์จำนวนมาก ลอยออกมาจากปากของเธอ และตกลงเหนือศีรษะของกู่ฉิงซาน


 


“ม้วนคัมภีร์เหล่านี้เป็นเคล็ดวิชาที่ข้าเคยได้ใช้มันในครั้งอดีต”


 


“พวกมันจะนำพาเจ้าไปหาคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีพระคุณกับข้า”


 


“เจ้าจงมอบดอกไม้ให้คนๆนั้นเพื่อข้า นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของข้าในฐานะมนุษย์ และยังเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าอีกด้วย” ใบหน้าหญิงสาวกล่าว


 


“ไม่มีปัญหา” กู่ฉิงซานตอบรับ


 


แล้วเขาก็เอ่ยถาม “แต่ข้ายังต้องการจะทราบล่วงหน้าว่าจักต้องผ่านไปอีกกี่โลกกัน และต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด จึงจะได้พบกับคนที่ท่านพูดถึง”


 


“ข้ามผ่านไปอีกกี่โลกอย่างนั้นหรือ?” ใบหน้าหญิงสาวเผยท่าทีแปลกๆออกมา


 


เธอนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติกลับคืน


 


ราวกับได้ยินถึงเรื่องตลกไร้สาระ เธอระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่นออกมา


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคิดจริงๆน่ะหรือว่าการข้ามผ่านโลกในแต่ละชั้น มันจะต้องข้ามผ่านไปทีละโลกน่ะ?”


 


“ก็แล้วมันมิใช่หรือ?”


 


“โดยผิวเผินแล้วโลกนั้นมีอยู่ราวๆ 900 ล้านชั้น อย่างไรก็ตาม ภายในแต่ละชั้นอาจประกอบด้วยโลกอีกนับล้านๆใบ ไม่ต้องกล่าวถึงเจ้า ต่อให้เป็นข้าเองก็ไม่อาจเดินทางข้ามผ่านโลกทั้งหมดทีละใบได้!”


 


“ … เช่นนั้นแล้ว หมายความว่าจิ้งจอกขาวโป้ปดข้าใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความสับสน


 


“เขาไม่ได้โป้ปดเจ้าหรอก แต่เขาเป็นแค่โลกบ้านนอกที่อยู่ในชั้นกลางต่างหาก ดังนั้นแม้จะพอมีความรู้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ครบถ้วนทั้งหมด”


 


“ถ้าอย่างนั้น … ” กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยถาม


 


แต่ใบหน้าหญิงสาวขัดจังหวะเขาเสียก่อน และเอ่ยโดยตรง “ออกไปทำตามความปรารถนาของข้า แล้วจงดูมันด้วยตาของตัวเอง”


 


“ดูอะไร?”


 


“ก็ดูให้เห็นกับตา ถึงความจริงของโลกอย่างไรเล่า”


 


จากบรรดากองม้วนคัมภีร์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของกู่ฉิงซาน หนึ่งในนั้นได้คลี่ออกทันใด


 


พร้อมกับม่านแสงแพรวพราวที่สาดปกคลุมลงบนร่างของกู่ฉิงซาน


 


และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ที่ในมือของเขา ปรากฏดอกไม้โปร่งใสทอประกายระยับขึ้น


 


หญิงสาวจ้องมองไปที่ดอกไม้ในมือของเขา สีหน้าท่าทีของเธอกลายเป็นอ่อนโยน


 


“จงนำดอกไม้นี้ไปมอบให้ในสถานที่ซึ่งมี‘ขาเป๋แบรี่’อยู่ ข้าหวังว่าเขาจะยังคงสบายดี”


 


ใบหน้าหญิงสาวเปล่งประโยคนี้ออกมาอย่างอ่อนโยน


 


เธอสังหารผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในโลกล่องเวหา แต่การแสดงออกในช่วงเวลานี้ มันราวกับเธอกำลังประหม่าและเหนียมอาย


 


ช่วงเวลานี้ เธอดูราวกับจะย้อนคืนสู่อดีต กลับไปในช่วงเวลาที่เคยเป็นเด็กสาวอีกครั้ง


 


“แน่นอน ข้าจะมอบมันให้แก่เขา รวมไปถึงคำอวยพรของท่านด้วย”


 


กู่ฉิงซานที่ได้รับดอกไม้โปร่งใส เปล่งวาจามั่นอย่างจริงจัง


 


อีกฝ่ายได้ช่วยเหลือตนเองเอาไว้ ขณะที่ตนเองช่วยเหลืออีกฝ่าย นี่นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมแล้ว


 


ใบหน้าหญิงสาวเมื่อเห็นถึงทัศนคติที่แสดงออกมาของเขา เธอก็พยักหน้า


 


ม่านแสงที่ปกคลุมกู่ฉิงซานได้ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว


 


ทันใดนั้น กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากในความว่างเปล่า


 


ใบหน้าหญิงสาวเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ


 


จนกระทั่งกู่ฉิงซานหายลับไปโดยสมบูรณ์ เธอจึงค่อยๆลดระดับลง


 


และย่ำลงบนร่างของมารโลกา


 


“แม่จ๋า … ท้องข้าร้อง … ”


 


มารโลกาเปล่งเสียงยาวเหยียดในแต่ละคำออกมา


 


บนใบหน้าของหญิงสาว ได้เผยให้เห็นถึงร่องรอยของความอบอุ่นออกมา


 


“เจ้าหิวหรือ?”


 


“ใช่ หิว หิวจัง … ”


 


“มันจบแล้วล่ะ หลังจากนี้แม่จะพาเจ้าไปยังโลกถัดไป แล้วทีนี้เจ้าก็สามารถกิน กินได้เลยจนกว่าท้องที่ร้องของเจ้าจะพอใจ”


 


“ยอด .. ยอดไปเลย … ”


 


เสียงของมารโลกา ฟังดูค่อนข้างเผยถึงความสุขเล็กน้อย


 


…..


 


อำนาจอันอ่อนโยน ได้ผลักดันกู่ฉิงซานบินไปอย่างรวดเร็ว


 


เขาอยู่ท่ามกลางกระแสมิติ และข้ามผ่านพื้นที่มิติอันหลากมามากมายเท่าใดแล้วก็มิอาจนับได้


 


บางครั้ง ก็จะเกิดความรู้สึกคล้ายดั่งการทะลุชั้นกระจกบางๆไป


 


นี่อาจหมายถึงการข้ามผ่านโลกลำดับชั้นใช่หรือไม่?


 


กู่ฉิงซานขบคิดในจิตใจ


 


ฉะนั้น ด้วยระยะทางเช่นนี้ มันคงไกลเกินกว่าตำแหน่งของร่างใหญ่ที่อยู่มายาวนานกว่า 100000 ปีไปมากโขแล้วสินะ


 


“อำนาจนี่ … มันน่าเหลือเชื่อมากจริงๆ ”


 


เขาถอนหายใจ


 


ท่ามกลางมิติ ทิวทัศน์มากมายได้แวบผ่านดวงตาของเขาไป


 


ทุกๆประเภทของความแปลกประหลาด และสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ปรากฏขึ้นและหายไปในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด


 


ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เปล่งประกายระยับ มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ที่กำลังถือคันศรในมือแล้วยิงมันเข้าหาอากาศที่ว่างเปล่า


 


และแม้จะไม่มีสิ่งใดอยู่ในความว่างเปล่านั้น แต่ทว่าก็บังเกิดเสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวดังออกมา


 


เมื่อบินผ่านพ้นพื้นที่มิตินี้ไป กู่ฉิงซานก็เห็นถึงฝูงดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่ใต้สองฝ่าเท้าของเขา


 


ฝูงดอกไม้กำลังเต้นรำอย่างมีความสุขอยู่รอบกะโหลกใหญ่


 


นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นพิธีกรรมบางอย่าง


 


แล้วภาพก็ผ่านวาบบบบ! ไปอย่างรวดเร็ว


 


แต่ในตอนนั้นเอง หลังจากผ่านพ้นไปช่วงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ดันกระแทกเข้ากับบางส่วนที่อ่อนนุ่มจนใบหน้าของเขาจมลึกลงไป และกระเด็นออกมา


 


“กรี๊ดดดดด!”


 


ตามด้วยเสียงหวีดร้องแหลมของหญิงสาว


 


“ไอ้สารเลว! ไร้ยางอาย!”


 


แต่ด้วยอำนาจที่ห่อหุ้มรอบกายเขา ส่งผลให้กู่ฉิงซานเบนทิศทางกลับ และสามารถออกจากที่นั่นได้อย่างรวดเร็ว


 


จากนั้น ความเร็วในการบินของกู่ฉิงซานก็เริ่มทวีมากยิ่งขึ้น


 


กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวของเขา


 


โลกนับล้านล้านใบ นั่นหมายถึงอารยธรรมนับล้านล้าน แล้วใครมันจะไปบอกได้กันว่าเมื่อครู่นี้เขาพึ่งไปชนเข้ากับอะไร?


 


เขายังคงบินไปยังทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง


 


ในขณะเดียวนั้นเอง สายตาของเขาก็เบนไปเห็นร่างของจักรพรรดินีมารสวรรค์ ที่ครั้งหนึ่งตนเคยได้ร่วมมือกันสังหารศัตรู


 


-เด็กสาวในชุดดำ ที่ครอบครองความงดงามชนิดล่มประเทศ


 


เด็กสาวถูกห้อมล้อมไปด้วยมารสวรรค์ชั้นผู้น้อย


 


พวกเธอต่างร่วมกันร่ำร้องเพลงอย่างอ่อนช้อยและกำลังโบยบินเข้าไปยังพื้นที่มิติที่เต็มไปด้วยแสงจรัส เปล่งประกายงดงามสดใส


 


เด็กสาวในชุดดำกำลังขับร้อง ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆในหัวใจก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง


 


เธอเชิดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปยังมิติที่ว่างเปล่าในทิศทางที่ว่านั่น


 


แล้วสายตาของเธอก็ประสานเข้ากับกู่ฉิงซาน


 


“เป็นเจ้า!”


 


เด็กสาวในชุดดำเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


แต่กู่ฉิงซานดูเหมือนจะไม่มีเวลามากพอที่จะกล่าวทักทาย


 


เขาคล้ายกับเป็นเพียงภาพติดตา ตัดผ่านเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า และบินลึกห่างเข้าไปยังช่วงปลายมิติอันห่างไกล


 


‘ว่องไวยิ่งนัก!’


 


ด้วยความว่องไวระดับนี้ ต่อให้ตัวเธอเองทุ่มออกอย่างเต็มกำลัง หรือแม้กระทั่งเปิดใช้งานเทคนิคลับ ก็คงไม่สามารถไล่ตามจับได้อยู่ดี


 


อีกฝ่ายจะต้องครอบครองบางสิ่งที่วิเศษเป็นอย่างยิ่งเอาไว้แน่ๆ


 


เด็กสาวชุดดำตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเร่งตะโกนไล่หลังเขาไป


 


“เจ้ายังติดหนี้เรื่องโลกใหม่กับข้าอยู่นะ!”


 


ขณะที่ไกลออกไป มีเสียงตอบลอยกลับมา “เรื่องนั้นเอาไว้ข้าจะกลับมาหาเจ้าในภายหลัง”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.478 – สุสานแห่งโลก


 


ระหว่างการเดินทางอันยาวนาน


 


ขณะที่กำลังโบยบินไปอย่างต่อเนื่อง กู่ฉิงซานก็คอยสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบไปด้วย


 


มีฉากแปลกๆมากมายที่ทำให้ละลานตา


 


มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เขาดันไปโผล่เข้าตรงหน้าของสัตว์ร้ายที่กะโหลกของมันลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง


 


สัตว์ร้ายตนนั้นส่งกลิ่นอายไม่ดีอย่างรุนแรงออกมาชนิดที่กู่ฉิงซานไม่เคยพบเคยเผชิญมาก่อน มันหันขวับ! มามองเขา


 


มันจ้องค้างมายังกู่ฉิงซาน จนร่างของทั้งสองฝ่ายเกือบจะชนกันอยู่แล้ว แต่ในท้ายที่สุด มันก็จำต้องปลีกตัวออก หลีกทางให้เขาอย่างไม่เต็มใจ


 


ซึ่งกู่ฉิงซานมั่นใจเลยว่าเดิมทีมันคงตั้งใจที่จะจู่โจมเขาตั้งแต่ครั้งแรกพบสบตากันแล้วแน่ๆ


 


—แต่ก็ไม่รู้จริงๆว่า มารที่แท้จริงอย่าง ‘เสี่ยวถาย’ ใช้กลวิชาอันใด ถึงทำให้มอนสเตอร์อันน่าสะพรึงในกระแสมิติยอมถอยออกไปแต่โดยดี


 


การเดินทางอันยาวนาน ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงไปด้วยตัวอักษรขนาดเล็กโผล่ขึ้นมาอย่างกระทันหัน


 


“คุณเริ่มออกห่างจาก ‘สุสานของโลก’ ”


 


“คุณเริ่มออกห่างจากโลกกระจัดกระจาย”


 


“คุณอยู่ในชั้นที่ 6343234 ของโลกลำดับชั้น”


 


“การไหลของกระแสเวลาของคุณได้ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับมิติแล้ว”


 


“นับจากนี้ไป ทุกเวลาที่คุณเสียไป จะเหมือนกันในทุกๆพื้นที่มิติ”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “หรือพูดอีกอย่างนึงก็คือ ถ้าฉันใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงที่นี่ มันก็จะเท่ากับผ่านไปหนึ่งชั่วโมงในโลกจริงใช่ไหม?”


 


“นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”


 


“ว่าแต่อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าสุสานแห่งโลก?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ


 


“มันคือสิ่งที่คุณมักจะเอ่ยปากออกมาว่าโลกจริง”


 


“แล้วทำไมมันถึงถูกเรียกว่าแบบนั้น?”


 


แต่คราวนี้ระบบกลับเงียบ และไม่พูดตอบกับเขา


 


แม้กู่ฉิงซานจะเอ่ยถามไปอีกสองสามประโยค แต่ก็มิได้รับการตอบสนองใดๆ


 


เขาเลยจำใจต้องยอมแพ้


 


ขณะที่ยังคงมุ่งบินต่อไปสู่โลกที่ไม่รู้จัก


 


เวลาก็ค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ


 


บางครั้ง จักรวาลอันมืดมิดก็ห้อมล้อมรอบตัวเขา


 


แต่หลังจากที่บินไปสักพัก กู่ฉิงซานก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง


 


แล้วฉากจักรวาลอันมืดมิดนี้ก็หายไป กู่ฉิงซานได้บินเข้าสู่พื้นที่มิติใหม่


 


กระแสมิติอันเชี่ยวกราดปรากฏขึ้นอีกครั้ง


 


ไม่สิ จะบอกว่ามันเป็นกระแสมิติอันเชี่ยวกราดเลยก็ไม่ถูกซักทีเดียว สมควรจะกล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันกับจักรวาลอันมืดมิดอีกแห่งหนึ่งจึงจะเหมาะสมกว่า


 


การเปลี่ยนแปลงนี้ช่างชุลมุนชวนให้สับสน มันไร้ซึ่งระเบียบและมิอาจคาดเดาได้


 


พอโดนบ่อยครั้งเข้า มันก็เลยทำให้กู่ฉิงซานสามารถตระหนักได้ในทุกๆครั้งที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่มิติชั้นโลกใหม่


 


ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ที่รอบกายของกู่ฉิงซานมีเพียงความว่างเปล่า


 


แต่ในที่สุด พื้นที่มิติตรงหน้าเขาก็ดูเหมือนจะไม่ว่างเปล่าดั่งที่ผ่านมาๆ ทว่าคราวนี้ ตัวเขากลับไม่สามารถทะลุผ่านมันไปได้เหมือนกับที่แล้วๆมา


 


กู่ฉิงซานลอยคว้าง ถูกกักขังอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าอันมืดมิด


 


ขณะที่ม้วนคัมภีร์เหนือศีรษะของเขาค่อยๆหายไป


 


แล้วอีกม้วนคัมภีร์หนึ่งก็เด้งออกมา ค่อยๆกางออกในอากาศ


 


—มันคือเข็มทิศที่ถูกวาดอยู่บนม้วนคัมภีร์นี้


 


เข็มทิศหมุนวนไปมาอย่างรุนแรง และในที่สุดมันก็ชี้เฉียงขึ้นไปยังทิศทางเบื้องบน


 


การระบุเส้นทางพิกัด ได้ถูกกำหนดแล้ว


 


หลังจากนั้นอีกม้วนคัมภีร์หนึ่งก็คลี่ออก


 


พร้อมกับปีกสีชมพูงดงามคู่หนึ่งที่ถูกวาดอยู่บนม้วนคัมภีร์ปรากฏสู่สายตา


 


ม้วนคัมภีร์ได้หายไป


 


ขณะเดียวกัน ปีกสีชมพูที่สาดรังสีแสงเรืองรองก็ประกบติดกับแผ่นหลังของกู่ฉิงซาน


 


“พวกเรากำลังจะไปกันแล้วนะ” ปีกเปล่งเสียงบางเบาราวกระซิบ


 


สิ้นเสียง คู่ปีกสีชมพูก็กางออก และเริ่มพัดกระพือ


 


ช่วงเวลาเดียวกันกับที่มันเริ่มพัด ชั้นรังสีแสงสีชมพูก็ตัดผ่านมิติที่ว่างเปล่า ส่งผลให้ไม่ว่าใครก็ตามที่สวมใส่คู่ปีกนี้ จะดูทรงเส่นห์ขึ้นอย่างไม่อาจพรรณนาได้


 


-แต่นั่นมันเหมาะสำหรับผู้ใช้คนก่อน


 


กู่ฉิงซานจ้องมองดูปีกด้านหลังตน ในหัวใจรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก


 


“นี่เจ้า พอจะช่วยเปลี่ยนสีของมันหน่อยจะได้ไหม?” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา


 


“เปลี่ยนสีอย่างนั้นหรือ?” ปีกหยุดกระพือชั่วคราว เอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ก็ใช่น่ะสิ เปลี่ยนเป็นสีดำ หรือว่าสีอะไรก็ได้”


 


แต่ปีกกลับตอบปฏิเสธ “ไม่! สีของข้าเป็นคอลเลคชั่นรุ่นลิมิเต็ดเชียวนะ มันมีเพียงคู่เดียวจากในบรรดาทั้ง 300 ล้านโลก หลังจากที่สวมใส่มัน จะสามารถเสริมสร้างความรู้สึกดีๆต่อเพศตรงข้ามได้ -นี่มันของหายากสุดๆเลยไม่ใช่หรอ?”


 


กู่ฉิงซาน “ … ”


 


แล้วปีกคู่ก็เริ่มขยับอีกครั้ง นำพากู่ฉิงซานไปตามทิศทางที่เข็มทิศชี้ไป


 


ปีกคู่นี้ดูเหมือนจะมิใช่ของทั่วๆไปอย่างที่มันกล่าวจริงๆ มันค่อนข้างให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจอันมากล้นเป็นพิเศษ


 


เห็นได้ชัดว่าตัวกู่ฉิงซานมิได้บินรวดเร็วอะไรมากมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่ปีกกระพือแม้เพียงครั้ง กู่ฉิงซานจะรู้สึกว่าเขาได้ก้าวข้ามผ่านโลกลำดับชั้นไปนับไม่ถ้วน


 


มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย


 


กู่ฉิงซานบังเกิดความคิดวาบผ่านเข้ามาในจิตใจ เขาตบลงในถุงสัมภาระและหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา


 


มันคือค่ายกลระบุตำแหน่งมิติ


 


ตรงหน้าปัดส่วนบนของดิสก์ค่ายกล ปรากฏเส้นเครื่องหมายจากแปดทิศทางได้ถูกวาดเขียนทิ้งเอาไว้แล้ว


 


เมื่อนานมาแล้วผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหา ก็เคยได้ทำการบันทึกพิกัดของต่างโลกในมิติที่ว่างเปล่าด้วยดิสก์ค่ายกลนี้เช่นกัน


 


ตามตำนานตั้งแต่ในครั้งสมัยก่อน กล่าวเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งโลกล่องเวหาเคยได้ค้นพบกับดิสก์ค่ายกลและหนังสือจากภายในท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า


 


หนังสือเล่มที่ว่า ได้บันทึกเกี่ยวกับวิธีการใช้งานค่ายกล และอธิบายถึงเครื่องหมายสิบทิศทางบนดิสก์ค่ายกลซึ่งเชื่อมโยงกับโลกทั้งสิบด้าน


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธของโลกล่องเวหาจะทุ่มเทพยายามเท่าใด พวกเขาก็สามารถค้นหาพิกัดของโลกได้เพียงแปดด้านเท่านั้น


 


ขณะที่อีกสองพิกัด พวกเขามิอาจค้นหามันได้เลย


 


แม้กาลเวลาจะผ่านไปเป็นเวลายาวนานแล้ว แต่ค่ายกลระบุตำแหน่งมิติก็ยังทำเครื่องหมายได้เพียงแค่แปดทิศทางเท่านั้น


 


สำหรับอีกสองทิศทางที่เหลือ ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหาได้ยอมแพ้ไปแล้ว


 


มีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลชั้นยอดไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังคงคิดจะค้นคว้าถึงสองตำแหน่งนี้อยู่ แต่แน่นอน ว่าพวกเขาก็ไม่หลงเหลือโอกาสนั้นอีกต่อไป


 


กู่ฉิงซานมองดูดิสก์ค่ายกลตำแหน่งมิติ เริ่มรวบรวมลมหายใจของเขา เตรียมพร้อมจะลงมือ


 


ขณะที่ปีกสีชมเริ่มจะสยายออก และค่อยๆกระพืออย่างช้าๆอีกครั้ง


 


พริบตานั้นเอง มือของกู่ฉิงซานพลันวูบไหวดั่งสายฟ้า เขาตบลงบนดิสก์ค่ายกลครั้งแล้วครั้งเล่า


 


แสงสวรรค์ระเบิดออกมาจากตัวดิสก์ค่ายกล


 


ในเสี้ยววินาที พิกัดก็ได้ถูกบันทึกเอาไว้โดยสมบูรณ์


 


ปีกชมพูพัดกระพืออีกครั้ง


 


แล้วกู่ฉิงซานก็เริ่มทำการบันทึกพิกัดใหม่อีกที ขณะที่เขามุ่งต่อไปข้างหน้า


 


เขาก้มลงมองไปยังดิสก์ค่ายกล


 


ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีเพียงแค่แปดเส้น ทว่าบัดนี้มันมีทั้งหมดสิบเส้นแล้ว


 


“โลกทั้งสิบด้าน … ” กู่ฉิงซานงึมงำเสียงต่ำ


 


โลกทั้งสิบทิศ!!


 


มันเป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง


 


มันคือสิ่งที่กู่ฉิงซานไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน


 


เขาไม่รู้ว่าหนทางเบื้องหน้าจะมีสิ่งใด และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไปกันแน่


 


ปีกสีชมพูเริ่มพัดอีกครั้ง


 


แล้วกู่ฉิงซานก็ทำการบันทึกพิกัดผ่านดิสก์ค่ายกลอีกครา


 


หลังจากที่บินมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็รวบรวมพิกัดเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อทำการเปรียบเทียบ


 


เขาค้นพบว่าความแตกต่างระหว่างพิกัดเหล่านี้มันไกลเกินกว่าระยะห่างระหว่างโลกเทวะกับโลกล่องเวหา


 


ตามทิศทางแนวตั้งของปีกชมพู มันกำลังพาเขาข้ามผ่านระยะทางอันไกลโพ้นอย่างไม่น่าเชื่อ


 


“นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ” สายตาของกู่ฉิงซานจ้องมองอยู่แต่กับดิสก์ค่ายกล ปากเอ่ยพึมพำ “เพียงปีกคู่เดียว แต่กลับสามารถทะลุผ่านมิติมากมายไร้ที่สิ้นสุดได้ แท้จริงแล้วการจะทำเช่นนี้ได้จักต้องบรรลุความแข็งแกร่งถึงขั้นใดกัน … ”


 


เขาแหงนคอไปเบื้องหลังเล็กน้อย เพื่อมองดูคู่ปีกสีชมพู


 


ปีกสีชมพูหวานแหววช่างดูน่ารักน่าชังเสียจริง


 


ทว่าเมื่อมันถูกประดับไว้บนแผ่นหลังของกู่ฉิงซาน มันก็อดไม่ได้ที่จะให้ความรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย


 


บรรยากาศรอบกายเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป


 


แต่นั่นไม่ใช่จุดสำคัญ


 


เพราะจุดสำคัญก็คือความถี่ในการกระเพื่อมไหวของปีกสีชมพูเริ่มที่จะสม่ำเสมอและเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น


 


กู่ฉิงซานข้ามผ่านพื้นที่มิติและเวลาไปอย่างไม่รู้จบ ทะยานบินขึ้นไปตามทิศทางเข็มในแนวตั้ง


 


แสงสีชมพูสาดออกมาห่อหุ้มทั้งตัวเขา และเริ่มที่จะสยายปีกบินเต็มกำลัง


 


จ๋อม!


 


ชั่วเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ถูกโยนจมลงไปในน้ำ


 


ขณะที่ปีกสีชมพูหยุดเคลื่อนไหว และไม่ได้กระพืออีกต่อไป


 


กู่ฉิงซานที่ลอยอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำ หันไปมองรอบๆอย่างใจเย็น


 


เห็นแค่เพียงน้ำสีฟ้าอ่อนในสายตา


 


น้ำบริสุทธิ์และเย็นสดชื่น


 


แม้ว่าในขณะนี้กู่ฉิงซานจะไม่สามารถหายใจได้ก็ตามที แต่นี่มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด สำหรับขอบเขตประทับเทพอย่างเขา


 


-คำถามก็คือสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ต่างหาก


 


กู่ฉิงซานเพียงแค่ขบคิด ทว่ากลับเห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์ใบใหม่ที่คลี่ออก


 


เพล้ง!


 


ทันทีที่ม้วนคัมภีร์สำแดงผล บางสิ่งบางอย่างก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา


 


และก่อนที่สิ่งนั้นจะลอยจากไปอย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานก็ได้เอื้อมมือไปคว้าจับมันไว้ก่อน


 


มันคือห่วงชูชีพ


 


กู่ฉิงซานที่กำลังถือห่วงชูชีพขมวดคิ้วอย่างหมดหนทาง


 


‘มันเป็นสีชมพูอีกแล้ว’


 


สิ่งของจากม้วนคัมภีร์แต่ละชิ้น ช่างเป็นรสนิยมที่คล้ายคลึงกับเด็กสาวเสียจริงๆ


 


ตอนนี้เขาค่อนข้างจะเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวถาย’ (ถายน้อย) จึงถูกเฉียนซานเย่หลอกลวงเอาได้


 


บางที เมื่อพันกว่าปีก่อน เธอคงเป็นเพียงเด็กสาวที่ปรารถนาจะท่องโลกกว้าง เริ่มออกเดินทางไปไกลแสนไกลเพื่อมองหาโลกที่แปลกตาจากปกติที่ตนได้เคยพบเจอมา


 


เมื่อคิดถึงประสบการณ์ที่เสี่ยวถายต้องพบเจอแล้ว สายตาของกู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะหมองลง


 


ขณะที่ห่วงชูชีพสีชมพูในมือก็ดูเหมือนจะหมองลงเช่นกัน


 


-เมื่อลองคิดถึงห่วงชูชีพ และน้ำที่อยู่โดยรอบแล้ว กู่ฉิงซานก็เริ่มจะตระหนักได้ว่าสิ่งใดกันที่เขาสมควรจะทำ


 


กู่ฉิงซานสวมห่วงชูชีพในเอวของตนเอง และเฝ้ารออยู่สักพัก


 


ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เขาก็เห็นว่ามีแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ลอยออกมาจากห่วงชูชีพสีชมพู พร้อมมีบางสิ่งที่เขียนอยู่บนมัน


 


กู่ฉิงซานคว้าจับกระดาษแผ่นนั้นไว้ แล้วอ่านมันอย่างระมัดระวัง


 


“หากเจ้าต้องการกระตุ้นอุปกรณ์มนตรานี้ ขอจงท่องคาถาว่า มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง! ออกมาดังๆ”


 


“คาถาเปิดใช้งาน :มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”


 


หลังจากที่กู่ฉิงซานอ่านมัน กระดาษแผ่นเล็กๆก็ค่อยๆลอยกลับไปยังห่วงชูชีพสีชมพูอีกครั้ง แล้วก็หายไป มิทราบว่ามันไปซุกไว้ที่ใด


 


‘มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง! อย่างงั้นหรือ … คาถาเปิดตัวนี่มันจะดูเด็กน้อยเกินไปแล้ว’


 


มองไปยังกระแสน้ำรอบตัวที่ไหลอย่างไม่รู้จบ กู่ฉิงซานก็จำต้องละความคิดนี้ไป


 


เขาจำต้องกล่าว “มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”


 


ลืมไปเลยว่านี่เขาอยู่ในน้ำ  ดังนั้นเสียงที่กู่ฉิงซานเปล่งออกมามันจึงฟังดูค่อนข้างคลุมเคลือ


 


กู่ฉิงซานรีบคายน้ำที่ทะลักเข้ามาในปากอย่างรวดเร็ว


 


มองไปยังห่วงชูชีพสีชมพูอีกครั้ง แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


นี่มันไม่ถูกต้อง


 


กู่ฉิงซานกำลังคิดอยู่ว่าจะใช้พลังวิญญาณแยกกระแสน้ำออกจากกัน ขณะที่ในสมองเปล่งความคิดดังลั่น “มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”


 


ห่วงชูชีพสีชมพูจึงเริ่มขยับไหวอย่างไม่เต็มใจ


 


พร้อมกับแผ่นกระดาษลอยออกมาอีกครั้งและแขวนอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน


 


มันขีดเขียนตัวอักษรบรรทัดหนึ่งใจความว่า


 


“นี่เจ้าบื้อหรือเปล่า? เสียงที่ร้องออกมามันโคตรจะเบาเลย อย่างกับคนอดอาหารมาหลายวันอย่างงั้นแหละ? เวลาเจ้าท่องคาถาเปิดตัวก็สมควรจะเป็นช่วงเวลาที่ทรงเสน่ห์ที่สุดสิ! เจ้านี่มันทำตัวไม่กระตือรือร้นเลยสักนิด อารมณ์พลุ่งพล่านน่ะ! เร่าร้อนน่ะ! รู้จักไหม?”


 


แผ่นกระดาษส่ายไปมาต่อหน้าเขา ก่อนจะบินกลับไป


 


กู่ฉิงซานนิ่งอึ้งอยู่สักพัก


 


กระตือรือร้นอย่างนั้นหรือ …


 


สองมือคว้าจับห่วงชูชีพ ขณะที่สองคิ้วขมวดเข้าหากัน


 


เขาย้อนนึกไปถึงแผ่นกระดาษใบแรกที่ลอยออกมามันเขียนบอกเอาไว้ว่า “ขอจงเปล่งเสียงร่ายคาถา มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง! ออกมาดังๆ”


 


คงจำเป็นที่จะต้องเปล่งคำนี้เท่านั้น ตนจึงจะสามารถใช้งานมันได้


 


กู่ฉิงซานขับเคลื่อนพลังวิญญาณในตันเถียน ปากอ้าตะโกนเสียงดังก้อง “มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”


 


เสียงที่สนั่นราวกับระเบิดนี้ถูกเปล่งออกมาโดยตรง จนกระแสน้ำแตกกระจายไปทุกทิศทาง


 


ห่วงชูชีพสีชมพูเริ่มสั่นไหวทันที


 


แสงจรัสพวยพุ่งออกมาจากห่วงชูชีพ


 


“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ข้าเฝ้ารอมาเป็นพันกว่าปีแล้ว และในตอนนี้ก็มาถึงช่วงเวลาแห่งการแก้แค้นซะที!”


 


ฟังจากน้ำเสียง บ่งบอกว่ามันดูตื่นเต้นมาก


 


“ข้าได้อยู่ในสถานะตื่นโดยสมบูรณ์แล้ว เจ้าเด็กน้อย เจ้าพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายหรือยัง?”


 


กู่ฉิงซานขบคิดถึงประโยคที่อีกฝ่ายเปล่งออกมา ก่อนจะตัดสินใจตามน้ำไปว่า “ข้ายอมรับคำร้องขอ และแน่นอนว่าข้าพร้อมแล้ว”


 


“ดีล่ะ งั้นพวกเรามาเริ่มกันเลยไหม?” ห่วงชูชีพสีชมพูเอ่ยถาม


 


“ตกลง” กู่ฉิงซานกางมือออก


 


“งั้นอันดับแรก เจ้าก็จงถอดเสื้อผ้าออกให้หมดซะ” ห่วงชูชีพกล่าวอย่างราบรื่น


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.479 – โลกมิติอนันต์


 


ท่ามกลางกระแสน้ำ กู่ฉิงซานนิ่งค้างไปราวกับถูกแช่แข็ง


 


“เหตุใดข้าจึงต้องถอดเสื้อผ้าออกด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างจริงจัง


 


ห่วงชูชีพสีชมพูเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกๆออกมา “แน่นอน ก็ถ้าเจ้าไม่ถอด แล้วพวกเราจะไปเผชิญกับความท้าท้ายได้อย่างไร?”


 


… ชีวิตก็เหมือนกับกล่องช็อคโกแลต ที่คุณจะไม่มีทางรู้ว่าจะได้พบเจอกับช็อคโลแกตรสใด หรือรูปทรงใดที่อยู่ภายใน


 


แล้วไอ้การถอดเสื้อผ้าเนี่ย มันช่างแตกต่างไปจากประโยคก่อนหน้าที่เอ่ยถามว่าอยากจะไปเผชิญกับความท้าท้ายหรือไม่ลิบลับ


 


เอาล่ะๆ เวลานี้เขาจะต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่าในสถานการณ์ในปัจจุบันนี้มันเป็นเรื่องบ้าอะไรกันแน่!


 


สมองของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋


 


ด้วยเหตุผลบางประการ ส่งผลให้เขาสามารถนึกย้อนไปได้ว่าตนเองก็เคยสื่อสารกับจิตอาร์ติแฟคมาก่อนเหมือนกันนี่นา


 


ในบรรดาจิตอาร์ติแฟค หรือกระทั่งจิตอาร์ติแฟคของสิ่งประดิษ์เทวะ โดยทั่วไปแล้ว คำพูดของพวกมันค่อนข้างที่จะเชื่อถือได้


 


ตัวอย่างเช่นฉานนู่ , เกราะรบเพลิงคำรน , ตะขอเกี่ยววิญญาณ และดาบเช่าหยิน


 


กระทั่งดาบพิภพที่แม้จะวาจาเราะร้าย แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจริงจัง คำพูดของมันก็ยังมีเหตุผล และส่งผลลัพธ์ไปในทางที่ดีเป็นอย่างมาก


 


นอกเหนือจากสิ่งประดิษฐ์เทวะ จิตอาร์ติแฟคอื่นๆก็เลือกที่จะปล่อยตนเองอย่างเสรี


 


ตัวอย่างเช่นวิหคขาวและเครื่องจักรมากมายจากปรภพ


 


ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ …


 


“งั้นข้าขอถามหน่อย ว่าความท้าทายแบบใดกันที่พวกเราจะต้องเผชิญ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ห่วงชูชีพสีชมพูถอนหายใจยาว


 


มันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตึงเครียดและกดดัน “พันกว่าปีมาแล้ว ที่ตัวข้ามิได้แข่งขันกับบรรดาคู่แข่งในวงการแฟชั่นของโลกมิติอนันต์ ข้าเลยไม่ทราบว่าสไตล์ของข้าจะสามารถชนะพวกเธอได้รึเปล่า”


 


ในขณะกล่าว ห่วงชูชีพชมพูก็ลอยขึ้น และหมุนเป็นวงกลมในอากาศ


 


แล้วมันก็เปลี่ยนรูปร่างไป กลายเป็นบิกินี่


 


บิกินี่สีชมพู ..


 


มันหันหน้าเข้าหากู่ฉิงซาน เปล่งเสียงเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ “ข้ากังวลเล็กน้อยว่าข้าจะตามเทรนแฟชั่นในปัจจุบันได้รึเปล่า – เจ้าคิดว่าข้ามีเสน่ห์ไหม”


 


“ … มีเสน่ห์สิ”


 


“งั้นก็ดี ได้โปรดสวมใส่ข้า แล้วพวกเราจะก้าวเข้าไปเผชิญความท้าทายในวงการแฟชั่นของโลกมิติอนันต์กัน”


 


“ประเดี๋ยวก่อน” กู่ฉิงใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว “โลกมิติอนันต์คืออะไร?”


 


“โอ้ ข้าลืมไปเลยว่าเจ้ามันเป็นผู้มาใหม่!”


 


บิกินี่ชมพูพึ่งจะตระหนักได้


 


มันกล่าวว่า “ในโลกลำดับชั้น อย่างเต็มที่ก็มีอยู่ทั้งสิ้น 900 ล้านชั้น ขณะที่ในแต่ละชั้นก็ยังมีโลกอยู่ภายในอีกนับล้านๆ ตรงส่วนนี้เจ้าเข้าใจดีใช่ไหม?”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


บิกินี่ชมพู “แล้วเจ้าคิดว่าตัวตนที่แข็งแกร่งในโลกต่างๆ พวกเขาเดินทางไปยังโลกอื่นๆได้อย่างไรกันล่ะ?”


 


“ … ก็คงจะใช้ดิสก์ค่ายกล หรือค่ายกลเคลื่อนย้าย ไม่ก็บางสิ่งบางอย่างล่ะมั้ง?”


 


“มันไม่ใช่เลย!”


 


บิกินี่ชมพูอธิบาย “ในระหว่างสองชั้นโลก เจ้าสามารถใช้ดิสก์ค่ายกลได้ก็จริง ทว่าหากมีชั้นโลกคั่นกลางมากยิ่งกว่านั้น ระยะทางมันจะกลายเป็นห่างไกลยิ่ง ไกลเกินกว่าที่ดิสก์ค่ายกลของเจ้าจะมาถึงได้”


 


“ดังนั้น จึงต้องอาศัยปีกชมพูที่อยู่ข้างหลังข้าสินะ?”


 


“จริงๆแล้ววิธีนี้ก็ไม่ค่อยจะฉลาดซักเท่าไหร่หรอก แม้จะใช้การได้ แต่จะให้เดินทางโดยการบินไปตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นมันก็คงจะไม่ดี”


 


“เพราะเหตุใด?”


 


“เพราะในแต่ละชั้นโลกน่ะประกอบไปด้วยความลึกลับมากมายและอันตรายที่ไม่รู้จัก ผู้ที่เลือกใช้วิธีนี้น่ะ ไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันได้หรอกว่าตนจะปลอดภัยไปตลอดการเดินทาง ผู้คนไม่สามารถบินจากสู่โลกได้ตลอดไปหรอกนะ ในกรณีนี้ ไม่เคยมีใครใช้ปีกบินไปตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นโลกได้ครบเลย เพราะหากใครคิดจะทำ พวกเขาคงจะหมดอายุขัย ตายลงไปเสียก่อน”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความสนใจ “ถ้าอย่างนั้นแล้วโลกมิติอนันต์ก็คือ—-?”


 


บิกินี่ชมพูกล่าว “มันคือโลกที่พิเศษเป็นอย่างยิ่งจากในบรรดาโลกทั้ง 900 ล้านชั้น”


 


“โลกแห่งนั้นมักจะมี‘ภารกิจ’ให้รับ หรือไม่ก็นำพาไปสู่สถานที่ๆพิเศษมากๆ ไม่ก็นำพาไปยังสถานที่ส่วนบุคคลที่ถูกรังสรรขึ้นโดยตัวตนทีทรงพลานุภาพได้”


 


“กล่าวโดยสังเขปก็คือ โลกใบนี้สามารถอยู่เหนือกระแสมิติและเวลาได้ มันสามารถเชื่อมต่อกับทุกๆโลกลำดับชั้นได้”


 


“นี่แหละคือสถานที่อันแสนมหัศจรรย์ที่ถูกเรียกว่าโลกมิติอนันต์ล่ะ”


 


กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว


 


เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ปากจึงเอ่ยเสียงกระซิบว่า “สถานที่ๆพวกเรากำลังจะไปคือโลกมิติอนันต์อย่างงั้นสินะ?”


 


บิกินี่ชมพู “ไม่ต้องสงสัยเลย พวกเรากำลังจะมุ่งหน้าสู่โลกมิติอนันต์อันมิชื่อเสียง!”


 


กู่ฉิงซานเข้าใจในทันที


 


เขาจ้องมองไปยังบิกินี่ชมพูที่กำลังตื่นเต้น


 


… ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวถาย’ ได้ขอให้ตนเองช่วยส่งของบางสิ่ง แต่เธอไม่ได้บอกเขาเลยว่าต้องการให้ตนเองไปช่วยยึดครองตำแหน่งเจ้าแม่วงการแฟชั่นแทนเธอ


 


ดังนั้น นั่นหมายความว่า ความคิดความฝันดังกล่าวเป็นของอุปกรณ์มนตราเบื้องหน้านี่ไม่เกี่ยวกับเธอ แต่บางทีการที่เสี่ยวถายมอบมันให้แก่เขา ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับใช้ในการเดินทางไปยังโลกมิติอนันต์ก็เป็นได้


 


กู่ฉิงซานลังเลและเอ่ยถาม “เจ้าต้องการจะกลับคืนสู่วงการแฟชั่นของโลกมิติอนันต์อีกครั้งหรือไม่?”


 


“แน่นอน! นี่แหละคือช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ล่ะ! ”บิกินี่สีชมพูกล่าวด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉง


 


“แต่เจ้า … ดูเหมือนว่าจะลืมปัญหาสำคัญที่สุดไปนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


บิกินี่ชมพูเอ่ยถามด้วยความกังวลทันที “ปัญหาอะไรงั้นหรือ? ใช่เรื่องที่ว่าทรวดทรงของข้าไม่สมบูรณ์แบบหรือเปล่า?”


 


มันที่กำลังมองกู่ฉิงซานอยู่ เอี้ยวหมุนดูสรีระของตนเอง


 


“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เจ้าหรอก อันที่จริงแล้วปัญหาอยู่ที่ข้าต่างหาก — คือข้าเป็นผู้ชายน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


บิกินี่ชมพูพอได้ฟังก็แข็งค้างไป


 


เป็นเวลาเนิ่นนาน มันมิได้เอ่ยสิ่งใด


 


กู่ฉิงซานชี้มาที่ตัวเอง “อ่า ข้าต้องขอโทษด้วยนะ แต่ข้าเป็นผู้ชายจริงๆ นี่เจ้ามิได้สังเกตเลยหรือ?”


 


“เจ้า – ก็ใครมันจะไปนึกกันว่าผู้ชายจะใช้ปีกสีชมพู! แถมยังเป็นสีชมพูคอลเลคชั่นรุ่นลิมิเต็ดอีก! เจ้ามันพวกบิดเบือน!”


 


บิกินี่ชมพูกล่าวเสียงสะอื้น


 


“สุภาพหน่อย” กู่ฉิงซานเอี้ยวไปมองปีกสีชมพูเบื้องหลังและกล่าว “ผู้ชายจะใช้สีชมพูไม่ได้รึไง? สำหรับชายแท้แล้ว ก็ยังมีบางคนอยู่นะที่ชอบสีชมพูแบบน่ารักๆน่ะ”


 


บิกินี่สีชมพูเริ่มระเบิดเสียงร่ำไห้


 


กู่ฉิงซานยืนอยู่สักพักหนึ่ง จนเขารู้สึกว่าหากปล่อยไว้ต่อไปมันคงจะดูไม่ดี


 


เขาเริ่มขบคิดที่จะหาคำพูดปลอบประโลมเธอ


 


“ข้าว่า … ”


 


แต่กู่ฉิงซานก็พบว่าตัวเองไม่มีหนทางที่จะปลอบใจชุดบิกินี่ได้เลย


 


เขาไม่ได้มีทักษะในด้านนี้


 


บิกินี่ชมพูยังคงร่ำไห้อย่างโศกสลด


 


แต่เนื่องจากบริเวณโดยรอบเป็นน้ำอยู่แล้ว ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่ทราบว่าน้ำตาที่ร่ำไห้ออกมามันคือของจริงหรือเปล่า


 


หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กู่ฉิงซานออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “เดิมทีเจ้ามันก็ดูดีอยู่แล้วนี่ ไม่เป็นไรหรอก เอาอย่างนี้เป็นไร หากเจ้าช่วยพาข้าเข้าไปยังโลกมิติอนันต์ได้แล้วล่ะก็ ข้าจะช่วยเจ้ามองหานายหญิงที่มีสัดส่วนและรูปร่างสมบูรณ์แบบให้เป็นไง แล้วเจ้าจะได้ไปต่อสู้ในวงการแฟชั่นอีกครั้ง แบบนี้ดีหรือไม่?”


 


“จริงๆหรือ?” บิกินี่ชมพูหยุดร้องและเอ่ยถามเสียงสูง


 


“ข้าไม่เคยลวงหลอกผู้คนทั่วไป”


 


“โอเค ถ้าอย่างงั้นก็ตกลง!”


 


น้ำเสียงของบิกินี่ชมพูเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอีกครั้ง


 


มันเปลี่ยนรูปกลายเป็นห่วงชูชีพว่ายน้ำดังเดิมทันที และสวมเข้ารอบเอวของกู่ฉิงซาน


 


“รอก่อนเถอะโลกมิติอนันต์ พวกเราจะไปเยือนแกแล้ว!” มันตะโกน


 


แล้วห่วงชูชีพกับกู่ฉิงซาน ก็ว่ายลอยตามกระแสน้ำไป


 



 


สถานที่แห่งนี้คือโลกอันแปลกประหลาด


 


บนท้องฟ้าอันมืดมิด ถูกประดับประดาด้วยดวงดาราอันสว่างไสว


 


แสงดาราสะท้อนเข้ากับน้ำทะเล


 


สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่าน


 


กระแสน้ำซัดสาดอย่างเงียบๆ


 


ชายคนหนึ่งค่อยๆลอยขึ้นเหนือระดับน้ำทะเล


 


เขายืนอยู่บนผิวน้ำทะเล พร้อมกับกระตุ้นพลังวิญญาณของตน


 


ทันใดนั้นเอง ความชื้นจากน้ำที่ชุ่มอยู่ตามเสื้อผ้าและร่างกายก็ระเหยไปจนแห้ง


 


เขาเงยหน้าขึ้นหันไปมองรอบๆ


 


ทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด


 


ไม่มีอะไรเลยนอกเหนือไปจากนั้น


 


เขาหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา เพื่อต้องการจะบันทึกพิกัดของมัน


 


“ไม่จำเป็นต้องบันทึกพิกัดหรอก”


 


อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น


 


มันคือเสียงของห่วงชูชีพชมพูที่สวมอยู่ตรงเอวของกู่ฉิงซาน


 


“ทำไมล่ะ?” เขาเอ่ยถาม


 


“ก็เพราะโลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อไปยังโลกมิติอนันต์ และเมื่อผู้มาเยือนได้จากไปแล้ว โลกใบนี้ก็จะถูกทำลายลง”


 


“มีโลกแบบนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานไม่อยากจะเชื่อ


 


“แน่นอน โลกมิติอนันต์น่ะไม่ใช่ที่ๆจะสามารถเข้าไปได้ง่ายๆหรอกนะ บางส่วนของโลกมิติอนันต์ก็ยังถูกเก็บเป็นความลับ และจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้”


 


“ดังนั้น โลกที่ถูกใช้เป็นสะพานเชื่อมต่อเพียงครั้งเดียวนี้ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้”


 


กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็เอ่ยถามออกไป “หรืออีกความหมายนึงก็คือ ตอนนี้พวกเราอยู่ไม่ไกลจากโลกมิติอนันต์แล้วใช่ไหม?”


 


“นั่นคือเหตุผลที่เราเดินทางมาหลายวันหลายคืน และในที่สุดก็มาถึง” ห่วงชูชีพชมพูถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า


 


“ข้ากำลังตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นมัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างตื่นเต้น


 


“แน่นอน! แน่นอนอยู่แล้ว! ใครบ้างเล่าจะไม่ตั้งตารอคอย?” น้ำเสียงของห่วงชูชีพชมพูเริ่มจะกลายเป็นบ้า


 


มันยกน้ำเสียงขึ้นและกล่าว “เพราะมันเปรียบดั่งท่าเรือที่เป็นศูนย์กลางของการบรรจบของโลกนับล้านๆใบเข้าไว้ด้วยกัน มันคือดวงดาราที่เจิดเจริสที่สุดจากมวลหมู่ดาวเหลือคณา และเป็นสถานที่พักพิงที่ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนถวิลหา”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม