Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 468-472

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.468 – ความจริง (1)


 


พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็จมลงสู่ห้วงความคิด


 


ขณะที่ฉินรั่วถอนหายใจออกมา ปากกล่าวเสียงกระซิบ “หากข้ามีความสามารถเฉกเช่นเดียวกับผู้หญิงคนนั้น ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะเลือกแก้แค้นโลกใบนี้”


 


ว่านเอ๋อพยักหน้า เธอเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน


 


“นายน้อย แล้วตอนนี้พวกเราสมควรจะทำสิ่งใดดี?” ฉานนู่เอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซานเก็บใบหยกแผ่นเดิมในมือ และหยิบเอาใบหยกแผ่นใหม่ออกมา


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลากเส้นแสงหิ่งห้อยเด้งเตือนขึ้นมาอีกครั้ง


 


“ต้องการจ่าย 1000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำความเข้าใจถึงแก่นแท้สำคัญในการสร้างค่ายกลของโลกใบนี้หรือไม่?”


 


“ต้องการ”


 


แล้วแต้มพลังวิญญาณก็ถูกหักออกไปทันที


 


เหล่าเทคนิคที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นมาเต็มหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


กู่ฉิงซานหลับตาลงและเริ่มที่จะหยิบใบหยกแผ่นใหม่ขึ้นมาเรียนรู้อีกครั้ง


 


แม้มือจะไม่ว่างเว้น แต่ปากก็เอ่ยถามฉานนู่ “เจ้าได้ตรวจสอบช่วงเวลาที่ผู้หญิงจากต่างโลกกับคนเหล่านั้นต่อสู้กันด้วยหรือไม่?”


 


ฉานนู่ย้อนนึกและกล่าว “ไม่ทั้งหมด ดูเหมือนว่าความทรงจำจะยังคงกระจัดกระจายอยู่”


 


“เช่นนั้นแล้วอาวุธใดกันที่นางใช้?”


 


“คิดว่าน่าจะเป็นกระดาษแผ่นบางๆ ที่ถูกม้วนแล้วมัดไว้ด้วยเชือกวิเศษบางอย่าง”


 


ฉานนู่รู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะอธิบายได้ไม่ดีมากพอ จึงกล่าวต่อ “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้หญิงคนนั้นคิดจะต่อสู้ นางจะปลดเชือกที่ผูกกับแผ่นกระดาษบางๆเหล่านั้นออก”


 


“แล้วแผ่นกระดาษที่ได้รับอิสระก็จะยืดออก และระเบิดทุกเทคนิคมนตราอันทรงประสิทธิภาพออกมา”


 


ฉานนู่กล่าวอธิบาย


 


“กระดาษแผ่นบางๆ … นั่นน่าจะหมายถึงม้วนคัมภีร์ กล่าวได้ว่านางสมควรที่จะเป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวน”


 


กู่ฉิงซานงึมงำกับตัวเอง


 


เขาย้อนนึกไปถึงซูเซี่ยเอ๋อ


 


ซูเซี่ยเอ๋อที่เคยได้มอบม้วนคัมภีร์ให้แก่ตนเอง


 


“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”


 


หากมิใช่เพราะม้วนคัมภีร์ที่ว่านั่น ตนเอง เย่เฟย์หยู และซางหยิงฮ่าวก็คงไม่อาจสังหารพระสันตะปาปาลงได้


 


อ้างอิงจากที่ได้รับรู้มานี้ ผู้หญิงต่างโลกที่มาเยือนโลกล่องเวหา เป็นไปได้มากที่เดียวว่าจะเป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนที่ทรงพลัง


 


หลังจากผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนตาย พวกเขาและเธอก็จะสามารถเปลี่ยนตนเองเป็นระบบได้อย่างงั้นหรือ?


 


นี่นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดโดยแท้


 


กู่ฉิงซาน ลอบถามอย่างลับๆ “ระบบเทพสงคราม เทคนิคเทียนซวนสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นระบบได้ไหม? หรือจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับขอบเขตความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งก่อน จึงจะสามารถแปรสภาพเป็นระบบได้?”


 


ติ๊ง!


 


ระบบเทพสงครามตอบกลับมาว่า “โปรดทำการตรวจสอบด้วยตัวคุณเอง สำหรับเรื่องนี้ ระบบจะไม่ตอบคำถาม”


 


“คุณเองก็ไม่รู้อย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ระบบเทพสงคราม “ระบบมีหน้าที่เพียงช่วยให้คุณแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เรื่องนอกเหนือไปจากที่กล่าว ฟังก์ชั่นของระบบไม่สามารถทำได้”


 


“อย่างไรก็ตาม ระบบก็ยังสามารถให้คำแนะนำพิเศษได้อีกนิดๆหน่อยๆ ดังต่อไปนี้”


 


“ท่ามกลางโลกใบนี้นั้นเต็มไปด้วยดวงดาว , ทุกชนิดของตัวตนที่ทรงประสิทธิภาพ และการดำรงอยู่อันแปลกตานับไม่ถ้วน แต่ขณะนี้คุณอยู่ ‘ห่างไกล’ จากโลกจริงเป็นอย่างมาก”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


ตามที่ระบบกล่าวมา ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกต้อง


 


“นายน้อย ท่านคิดว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?” ฉินรั่วเอ่ยถาม


 


“ไม่หรอก คิดว่าน่าจะไม่ผิดปกติอะไร”


 


เมื่อเห็นว่าสามหญิงสาวกำลังจับตาดูเขา ตนจึงจำต้องเอ่ยอธิบายออกไปเบาๆว่า “พวกเจ้าอดใจรอก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราก็จะได้จากไปแล้ว”


 


“เจ้าคิดจะฉีกรอยแยกมิติงั้นหรือ?”


 


“เปล่า”


 


กู่ฉิงซานส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะไปยังหญิงสาวทั้งสาม “อันที่จริงสำหรับเรื่องการทะลวงมิติ ข้าพอจะคาดเดาบางอย่างได้แล้ว”


 


“คาดเดาว่าอย่างไร?” ว่านเอ๋อถาม


 


กู่ฉิงซานส่งเสียงตอบกลับไปว่า “มารโลกานั้นทรงพลานุภาพอย่างไม่ต้องสงสัย แม้กระทั่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาวอื่นๆมันก็สามารถกลืนกินได้อย่างง่ายดายในเวลาอันรวดเร็ว แม้กระทั่งตัวตนที่ทรงพลังอย่างขอบเขตลมปราณจิตก็ยังมิใช่คู่ต่อกร – เรื่องนี้พวกเจ้าคงไม่คัดค้านใช่หรือไม่?”


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อพยักหน้ารับพร้อมกัน


 


“หากกระทั่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวก็ยังถูกกลืนกินโดยมัน ด้วยพลังอำนาจเช่นนั้น ข้าคิดว่ามันย่อมต้องมีความสามารถมากพอที่จะกลืนกินผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลกใบนี้ได้ในเวลาไม่กี่วันเป็นแน่ … หากมันต้องการจะทำน่ะนะ”


 


สองหญิงสาวพอได้ฟังก็ชะงักงันไป


 


กู่ฉิงซานอธิบายต่ออย่างช้าๆ “แม้อาจมองในมุมที่ว่ามันกำลังเลือกจะละเล่นกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ แต่ข้าคิดว่าความจริงแล้ว มันมีแนวโน้มว่าต้องการบีบบังคับให้เหล่าผู้ฝึกยุทธฉีกรอยแยก แล้วทะลวงมิติจากไปเสียมากกว่า”


 


“ภายนอกกระแสมิติ มารโลกาจักต้องได้ตระเตรียมการบางอย่าง เพื่อเฝ้ารอให้เหล่าผู้ฝึกยุทธออกไปติดกับเป็นแน่”


 


กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ


 


ขณะที่ใบหยกถูกเก็บกลับคืนเข้าสู่ถุงสัมภาระของเขา


 


แล้วหยิบใบหยกแผ่นใหม่ออกมา และเริ่มทำการเรียนรู้ค่ายกลอีกครั้ง


 


นี่แหละคือข้อสรุปที่เขาตัดสินได้


 


นอกเหนือไปจากข้อสรุปนี้ ก็ไม่มีข้อสรุปอื่นใดอีกแล้วที่จะอธิบายถึงความหมายของคำว่า ‘ยังไงทุกคนบนโลกก็จะต้องตาย’


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกย่ำแย่และร้อนรนมากยิ่งขึ้น


 


โลกใบนี้ … มันอันตรายเกินไป


 


บางที มารโลกามันอาจจะถึงขั้นสามารถรับรู้ถึงบทสนทนาและการกระทำของผู้ฝึกยุทธทั้งหมดก็เป็นได้


 


มารโลกา แท้จริงแล้วมันคงแสร้งทำเป็นว่าหลับไหล


 


มันต้องการที่จะให้ผู้คนจนตรอก และเลือกหลบลี้ทะลวงเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่ามากยิ่งขึ้น


 


ที่ที่มั่นใจได้เลยก็คือ จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นเฝ้ารออยู่ภายนอกกระแสมิติอย่างแน่นอน


 


ตอนนี้ กู่ฉิงซานจึงต้องเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องค่ายกลในทันที จากนั้นก็ทำการถอดรหัสดิสก์ค่ายกลของฉีหยาน และสร้างดิสก์ค่ายกลใหม่ขึ้นมา


 


โลกใบนี้ ไม่สมควรที่จะพำนักอยู่ให้นานกว่านี้แม้เพียงนาทีเดียว!


 


สามหญิงสาวเมื่อเห็นถึงการเคลื่อนไหวของเขาที่เร็วยิ่งกว่าเดิม แม้ความอยากรู้อยากเห็นจะบังเกิดขึ้นในจิตใจของพวกเธอ แต่ทั้งหมดก็ยังตระหนักดีว่าเวลานี้ มันไม่สมควรที่จะรบกวนเขา


 


ตั้งแต่ที่พวกเธอได้รู้จักกับกู่ฉิงซานมา ทุกสิ่งอย่างที่เขาทำล้วนเชื่อถือได้อย่างไม่ต้องสงสัย


 


ทุกคนต่างเลือกที่จะเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ เพื่อดูว่ากู่ฉิงซานจะทำอะไรต่อไป


 


เวลาได้ไหลผ่านไป แต่ก็ไม่นานนัก


 


พอถึงช่วงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็วางใบหยกในมือลง


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม สองเส้นแสงหิ่งห้อยลอยเด่นอยู่ที่นั่น


 


“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้ก้าวขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของผู้ที่แตกฉานในด้านค่ายกลของโลกใบนี้แล้ว”


 


“ขอแสดงความยินดีด้วย เนื้อหาเกี่ยวกับค่ายกลของโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งใดที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้มันอีกต่อไปแล้ว”


 


พอได้กวาดสายตาผ่าน กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมา


 


ในที่สุด เขาก็ได้มาถึงระดับจุดสูงสุดของโลกใบนี้เสียที!


 


ไม่รีรอให้เสียเวลา กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลของฉีหยานออกมาจากถุงสัมภาระทันที


 


สิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้ เวลานี้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ


 


“พิกัด … ”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ และเริ่มใช้ท่าร่างมือลงบนดิสก์ค่ายกล


 


แล้วดิสก์ค่ายกลก็ถูกกระตุ้นทันที


 


ฮู้มมมม!


 


ชั้นรอยแยกมิติระหว่างสองโลกปรากฏขึ้นในบริเวณโดยรอบดิสก์ค่ายกลขนาดเล็ก


 


“นายน้อย นี่ท่าน .. ”ฉินรั่วกล่าวอย่างเป็นกังวล


 


“มันไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่ต้องการที่จะดูพิกัดเท่านั้น มิได้คิดจะทำลายมันหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความมั่นใจ


 


เขาถือดิสก์ค่ายกลไว้ในมือ และเริ่มทำการถอดรหัสพิกัดของโลกไปทีละน้อย ทีละน้อย


 


ทุกอย่างเริ่มดำเนินการอย่างช้าๆ


 


การค้นหาพิกัดเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ขณะเดียวกันกู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบถึงข้อสงสัยหนึ่ง ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน


 


ภายในถุงสัมภาระ กู่ฉิงซานได้หยิบใบหยกค่ายกลจำนวนมากออกมา


 


ใบหยกเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ใช้บันทึกพิกัดของโลกต่างๆ – ที่ถูกโลกล่องเวหาพิชิตชัยมาได้


 


กู่ฉิงซานทำการตรวจสอบพิกัดของโลกเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง


 


ค่ายกลของโลกล่องเวหา กล่าวได้ว่าเหนือล้ำยิ่งกว่าของโลกอื่นๆ


 


และขณะนี้ กู่ฉิงซานก็ได้มายืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดในด้านค่ายกลแล้ว ดังนั้นวิสัยทัศน์และมุมมองของเขาย่อมแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง


 


กระทั่งฉีหยาน บัดนี้ก็ยังถูกกู่ฉิงซานทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ห่างไกลกันมากโข


 


กู่ฉิงซานตรวจสอบพิกัดของโลกเหล่านั้น ก่อนจะเริ่มหันมาตรวจสอบพิกัดจากรอยแยกมิติของโลกเทวะ


 


เมื่อเทียบกับพิกัดของบรรดาโลกก่อนหน้านี้แล้ว กู่ฉิงซานอดไม่ได้เลยจริงๆที่จะต้องพูดออกมา “ที่แท้ … มันก็เป็นแบบนี้นี่เอง … ”


 


ขณะนี้ เขาได้ค้นพบถึงความลับแล้ว


 


ความลับที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนในประวัติศาสตร์!


 


— บรรดาโลกที่ถูกผสานรวมเข้าด้วยกันกับโลกล่องเวหา หรือแม้กระทั่งตัวโลกล่องเวหาเอง แท้จริงแล้วมันตั้งอยู่ในชั้นพื้นที่มิติเชิงสัมพันธ์กัน


 


กล่าวได้ว่าจากตำแหน่งพิกัดของแต่ละโลก จากแต่ละทิศทาง บางโลกบ้างอยู่ในมุมสูง บ้างอยู่ในมุมต่ำ ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้จะไม่อยู่เกินเลยไปกว่าภายในพิสัยของพื้นที่มิติที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นอน


 


ทว่าสำหรับโลกเทวะนั้นแตกต่างออกไป


 


พิกัดของโลกเทวะนั้น ในเรื่องของระยะในแนวตั้ง มันห่างไกลออกไปจากพิสัยขอบเขตพื้นที่ของบรรดาโลกอื่นๆที่ถูกพิชิตชัยอยู่มากโข


 


หากเทียบเปรียบกับพิกัดของโลกเทวะกับบรรดาโลกในพื้นที่มิติบริเวณนี้ พิกัดของมันจะดูแปลกตายิ่งนัก เป็นตัวเลขที่เกินกว่าสามัญสำนึกทั่วไปจะจินตนาการได้


 


โลกเทวะ … เหมือนกับว่ามันจะอยู่กันคนละ ‘ลำดับชั้น’ กับพื้นที่มิติบริเวณนี้


 


ไม่น่าแปลกใจเลย


 


ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้ฝึกยุทธของโลกใบนี้จึงไม่สามารถทำการสำรวจโลกใบใหม่ได้อีกต่อไป


 


เพราะหากพวกเขาไม่ทราบถึงพิกัดของโลกเทวะมาก่อน กู่ฉิงซานคิดว่าพวกเขาก็คงไม่เคยคาดคิดถึงตัวเลขพิกัดที่แปลกประหลาดเช่นนี้ออกมาได้เป็นแน่


 


ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหา ก็เปรียบดั่งปลาที่แหวกว่ายในบ่อ ที่คอยสำรวจหาดินแดนใหม่ไปเรื่อยๆ


 


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปลาเหล่านั้นจะทุ่มความพยายามในการสำรวจมากเพียงใด แต่สุดท้ายพวกมันก็จะถูกกักอยู่ในบ่อๆนั้นเสมอมา และไม่อาจคาดคิดหรือจินตนาการได้ว่ามันยังคงมีแหล่งน้ำ บ่อน้ำ สายธาร หรือทะเลแห่งอื่นอยู่อีก


 


แต่เวลาช่างกระชั้นชิดนัก กู่ฉิงซานจึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ยังไม่คิดมากไปกว่านี้เกี่ยวกับมัน


 


“นายน้อย นี่คือถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋า”


 


ฉานนู่ที่กำถุงสัมภาระอยู่ในมือ ได้กล่าวออกมา


 


“ข้าได้ทำการสำรวจสิ่งของทั้งหมดของเขาเป็นที่เรียบร้อย แม้จะมีกับดักปะปนอยู่บ้าง แต่ข้าก็ได้ทำลายพวกมันไปจนสิ้นแล้ว”


 


“ทำได้ดีมาก”


 


คงจะมีเพียงเฉพาะฉานนู่เท่านั้นทีไม่หวาดเกรงต่อกับดักทั้งหลาย เธอกำจัดพวกมันทั้งหมดจนถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋าปลอดภัย


 


กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปในมัน


 


แล้วเขาก็พบกับทุกชนิดของวัสดุอันมากมายหลากหลายขึ้นในสายตา


 


“คงต้องบอกว่า แม้โลกใบนี้จะแห้งแล้ง แต่หวังหงษ์เต๋าก็ดูจะมั่งคั่งไม่น้อยเลย”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา


 


เดิมทีแล้ว กลับกลายเป็นว่าในโลกใบนี้ ในขณะที่ทุกผู้คนกล่าวได้ว่าขาดแคลนทรัพยากร ก็ยังมีบางคนที่สามารถเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับชีวิตที่กินดีอยู่ดีได้อยู่อีกนั่นเอง


 


กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยที่จะโยนสมบัติทั้งหมดในถุงสัมภาระลงในถุงหอมหลากสี


 


ถุงหอมที่ซึ่งเป็นมรดกสืบทอดของนิกายร้อยบุปผา


 


กู่ฉิงซานได้รับประโยชน์จากมันมามากมายนัก และในที่สุด เขาก็ได้ตอบแทนมันกลับคืนเสียที


 


หวังหงษ์เต๋าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต สิ่งของที่เขาครอบครองเอาไว้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน


 


หลังจากที่กู่ฉิงซานทำการโด้ของทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็หยิบดิสก์ค่ายกลออกมาจากถุงสัมภาระ


 


นี่คือดิสส์ค่ายกลของหวังหงษ์เต๋า


 


ดูเหมือนว่ามันเป็นดิสก์ที่ทำการปรับแต่งจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว


 


กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปในดิสก์ค่ายกล แล้วสีหน้าของเขาก็ค่อยๆแสดงออกถึงความประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้มัน ….


 


ในทุกๆขั้นตอนการปรับแต่งทั้งหมดล้วนสมบูรณ์และไม่มีจุดใดเลยที่ผิดพลาด มันยังหลงเหลืออีกแค่เพียงการป้อนพิกัดของสองโลกในตอนท้ายเท่านั้นเอง


 


‘หวังหงษ์เต๋านี่มันช่างน่าสนใจจริงๆ’


 


กู่ฉิงซานจึงทำการใส่พิกัดของโลกล่องเวหาและโลกเทวะลงไปในมัน


 


ทว่าหลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการนี้ จู่ๆเขาก็รีบเก็บดิสก์ค่ายทันที


 


พร้อมกับสองดาบที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่า ลอยล่องอยู่เคียงข้างเขา


 


“มีอะไรงั้นหรือนายน้อย?” ฉินรั่วเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย


 


“เกิดความผัวผวนขึ้นบริเวณค่ายกลที่ 16 … มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกับพวกเรา” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงกระซิบ


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


 


“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เราจะต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน”


 


และทันทีที่เสียงของเขาตกลง เสียงปรบมือสนั่นก็ดังขึ้นทันที


 


แปะ! แปะ! แปะ!


 


ไม่มีสัญญาณล่วงหน้าใดๆเลย ที่แจ้งเตือนการมาถึงของเสียงปรบมือนี้


 


สีหน้าของคนทั้งหลายแปรเปลี่ยนกลับกลาย


 


เพราะก่อนหน้านี้ … พวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใดที่อยู่รอบตัวเลย!


 


แต่ตอนนี้ จู่ๆก็กลับมีใครบางคนปรบมือขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกเขา


 


คนทั้งหลายเริ่มที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆ


 


อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงจิ้งจอกขาวที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และใช้อุ้งเท้าหน้าของมันปรบมือไม่หยุด


 


มันคืออสูรวิญญาณของสตรีแห่งรากษส – จิ้งจอกขาว!


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มจะหนักอึ้ง


 


เดิมที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจค้นพบถึงร่องรอยของจิ้งจอกขาวได้เลยตลอดทั่วทั้งเกาะ


 


กู่ฉิงซานจึงหลงคิดไปว่าจิ้งจอกขาวคงเดินทางกลับไปยังลั่วชาเฟิงแล้ว


 


เอ๋? เช่นนั้นแล้วระหว่างทางหวังหงษ์เต๋ามิได้สังหารมันลงไปแล้วหรอกหรือ


 


-หรือว่าจริงๆแล้วกระทั่งหวังหงษ์เต๋าเองก็ยังไม่อาจค้นพบถึงตัวตนของมันได้?


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เปลี่ยนเป็นร้ายแรงโดยสมบูรณ์


 


เขาคว้าจับดาบพิภพในมือ


 


“ดูเหมือนว่าจะมีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นนะ พวกเจ้าจงอย่าพึ่งกังวลไปเลย” จิ้งจอกขาวกล่าว


 


พร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันอันทรงพลานุภาพออกมา


 


แรงกดดันเช่นนี้ มันทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ถึงชนิดที่ว่าส่งผลให้ตลอดทั้งค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกเกิดการสั่นกระเพื่อม


 


และกระทั่งตัวหวังหงษ์เต๋าเองก็มิอาจทำเช่นนี้ได้


 


“เหนือยิ่งกว่าขอบเขตลมปราณจิต … ” ฉินรั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ก็ดังฟังชัด


 


คนทั้งหลายหันมาส่งสายตาให้กันอย่างรวดเร็ว


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อมิได้จีบมือเตรียมจะใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราใดๆ ขณะที่กู่ฉิงซานและฉานนู่ก็เก็บดาบกลับคืนเช่นกัน


 


เพราะยามเมื่อต้องเผชิญกับการดำรงอยู่อย่างตัวตนดังกล่าวนี้ การต่อสู้ย่อมเป็นวิธีที่ไม่มีทางได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน


 


กู่ฉิงซานมองเข้าไปในดวงตาของจิ้งจอกขาว ปากเอ่ยกล่าวอย่างช้าๆ “ท่านแขกผู้มีเกียรติอุส่าห์มาเยี่ยมเยือน แต่กลับไม่ได้รับการต้อนรับที่ดี เกรงว่านิกายของข้าคงจะต้องขายหน้าแล้ว”


 


จิ้งจอกขาวกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากเกี่ยวกับการต้อนรับข้าหรอก”


 


มองไปยังท่าทีของมัน ดูเหมือนว่าจะกำลังยิ้มอยู่


 


“ข้าคอยเฝ้าดูเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าได้เข้าไปในห้องลับ และพบกับจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่แล้ว” จิ้งจอกขาวกล่าว


 


“โอ้? เหตุใดท่านจึงสนใจในตัวข้าถึงเพียงนั้นกัน? ข้าก็เป็นแค่เพียงผู้ฝึกดาบธรรมดาๆเท่านั้นเองนะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัวให้มันมากเกินไปนัก ขอบอกเลยว่ากระทั่งตัวข้าเองก็ยังต้องละทิ้งความอคติเดิมๆที่มีต่อ ‘โลกชั้นภายนอก’ ไป หลังจากที่ได้เห็นว่าเจ้าสามารถสังหารหวังหงษ์เต๋าและเฉียนซานเย่ลงได้”


 


จิ้งจอกขาวถอนหายใจและกล่าว “ขอบอกตรงๆเลยว่า หากจักให้บรรลุกลยุทธ์เช่นเจ้า ต่อให้เป็นตัวข้าเอง ก็คงจะไม่สามารถทำได้”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.469 – ความจริง (2)


 


โลกชั้นภายนอก …


 


กู่ฉิงซานย้อนทวนคำๆนี้จากคำกล่าวของอีกฝ่าย


 


เขาพยายามขบคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับคำๆนี้ และมิได้เอ่ยสิ่งใดออกไปอยู่ครู่หนึ่ง


 


แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน จู่ๆกู่ฉิงซานก็ดันนึกไปถึงพิกัดของโลกเทวะเข้า


 


‘พิกัด’ ที่ซึ่งแตกต่างจากพิกัดของโลกอื่นๆที่อยู่ในบริเวณพื้นที่มิติโดยรอบของโลกล่องเวหา


 


ดังนั้นแล้ว ถ้าหากจะอธิบายคำว่า ‘ชั้นภายนอก’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา มันอาจจะหมายถึง ‘ลำดับชั้น’ ที่แตกต่างกันก็ได้


 


จิ้งจอกขาวคร่ำครวญ “ข้าควรจะกล่าวยังไงดีนะ? ในความเป็นจริงแล้ว ต้นเหตุของทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นก็เป็นเพราะเจ้าดันใช้กลยุทธ์อันชาญฉลาด ทำการสังหารผู้ทดสอบแห่งลั่วชานั่นแหละ”


 


“ดังนั้น นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องมารับหน้าที่คอยสังเกตการณ์เจ้า”


 


“อันที่จริง ตอนแรกข้าก็แค่คิดว่าเจ้าน่ะโชคดีที่สามารถจัดการกับหน้ากากได้ แต่การที่ผู้ทดสอบแห่งลั่วชากลับต้องมาตายลงไปด้วยนี่มัน … ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ”


 


“ยังไงก็ตาม หลังจากที่ได้มาสังเกตการณ์ ข้ากลับพบว่าในทุกๆการตัดสินใจของเจ้า มันกลับไม่มีผิดพลั้งเลยแม้แต่ครั้งเดียว”


 


“ดังนั้น เจ้าจึงสมควรที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม”


 


“ขอบคุณท่านมาก” กู่ฉิงซานกล่าว


 


แม้ปากจะว่าเช่นนั้น แต่มือของเขาก็ยังคงวางอยู่บนดิสก์ค่ายกล


 


มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะสามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้ นั่นก็คือการใช้ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ!


 


ยังไงก็ตาม … จิ้งจอกขาวจะต้องรับรู้ถึงมันได้อย่างแน่นอน


 


ด้วยพลังอำนาจที่มันมี ย่อมสามารถที่จะหยุดยั้งการทำงานของดิสก์ค่ายกลได้อย่างแน่นอน


 


เช่นนั้นแล้ว ข้าสมควรจะทำอย่างไรดี?


 


ขณะกำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเวลาเดียวกันกู่ฉิงซานก็เอ่ยถามออกมา “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับใต้เท้า แต่ไม่ทราบว่าการที่ท่านคอยสังเกตข้า แท้จริงแล้วต้องการสิ่งใดกันแน่?”


 


ภายใต้เสียงที่ส่งผ่านจิตสัมผัสเทวะ สามหญิงสาวก็ค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้เขาทีละนิด จนอยู่ในระยะพิสัยของค่ายกล


 


ขั้นต่อไป ตราบใดที่เขาทำการกระตุ้นดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กที่ใช้รับส่งระหว่างสองโลกนี้  ก็มีแนวโน้มสูงทีเดียวที่จะสามารถหลบหนีไปจากโลกใบนี้ได้


 


อย่างไรก็ตาม เฉกเช่นเดียวกันกับฉีหยาน กระบวนการในการเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกลนี้จะกินเวลาอยู่หลายลมหายใจ


 


“เจ้าลองมองดูดีๆสิ เห็นไหมว่าข้าสุภาพเพียงใด” จู่ๆจิ้งจอกขาวก็เอ่ยออกมา


 


“ท่านต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด ข้าไม่เข้าใจ”


 


จิ้งจอกขาว “ก็ข้าอดทนเฝ้ารอคอยจนกระทั่งเจ้าสร้างสิ่งรับส่งระหว่างสองโลกนั่นจนเสร็จสิ้น จึงปรากฏกายออกมาอย่างไรเล่า นี่เรียกว่าสุภาพหรือไม่?”


 


“แล้วอีกอย่าง ข้าก็ลองคิดๆดูแล้ว ว่านี่คงจะเป็นวิธีเดียวจริงๆ ที่จะทำให้เจ้ารู้สึกว่าข้ากำลังมอบ ‘ทางเลือก’ ให้แก่เจ้าโดยการไม่ได้บีบบังคับหรือกลั่นแกล้งแต่อย่างใด”


 


พอได้ฟัง สีหน้าของกู่ฉิงซานก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม


 


อีกฝ่ายไม่เพียงทรงพลังอย่างแท้จริง


 


แต่เขายังล่วงรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด!


 


และยินยอมกระทั่งปล่อยให้กู่ฉิงซานใช้เวลาสร้างดิสก์ค่ายกลจนสมบูรณ์!


 


“ท่านผู้ทรงเกียรติ เช่นนั้นท่านมาหาข้าเพราะเหตุใด?”


 


น้ำเสียงของกู่ฉิงซานเปลี่ยนไป เขาเอ่ยถามอย่างจริงจัง


 


และแน่นอน ว่ามือของเขาก็ยังคงวางอยู่บนดิสก์ ไม่ยินยอมละจากมันไป


 


จิ้งจอกขาวกล่าว “สำหรับในเรื่องนั้น มันไม่ใช่ปัญหาของข้าหรอก แต่มันเป็นปัญหาของเจ้าที่จะต้องคำนึงให้ดีต่างหาก เพราะมันส่งผลถึงในอนาคตอย่างแน่นอน”


 


จิ้งจอกขาวยกหางขึ้น และโบกสะบัดเล็กน้อย


 


บังเกิดความผันผวนของเทคนิคเต๋ากระชากออกในพริบตา กวาดผ่านทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานไป


 


“ไหนขอข้าดูหน่อยซิ … โอ้? … นี่เจ้าเคยไปมาแล้วถึงห้าโลกเลยอย่างงั้นหรือ?”


 


“ … ใช่ ”


 


กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังสามารถตรวจสอบได้ เทคนิคมนตราของอีกฝ่ายมันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของกู่ฉิงซานไปแล้วอย่างสิ้นเชิง


 


จิ้งจอกขาวโบกสะบัดหางไปมาอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง แต่มันก็มิได้เอ่ยสิ่งใด


 


ขณะที่กู่ฉิงซานเองก็เช่นกัน


 


ทั้งสองเอาแต่จ้องหน้ากันและกัน และยังคงนิ่งเงียบ ราวกับว่ากำลังพยายามค้นหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย


 


แต่แล้วจู่ๆจิ้งจอกขาวก็ยิ้มขึ้นมาทันใด


 


มันเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากว่า “ข้ารู้สึกได้ว่าการเลือกที่จะออกมาทดสอบเจ้าในครั้งนี้ มันนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว”


 


“ท่านกำลังจะบอกอะไร ข้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ท่านพูด” กู่ฉิงซานกล่าว


 


จิ้งจอกขาวกล่าวด้วยการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูสบายและไร้กังวล “ข้าสามารถรู้สึกได้ถึงความปรารถนาของเจ้า มันช่างแข็งกร้าวจนทำให้ข้าย้อนนึกไปถึงตนเองในห้วงอดีต”


 


“ความปรารถนาอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ


 


“ใช่ ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ปรารถนาที่จะหยุดยั้งวันสิ้นโลก และปรารถนาที่จะได้รับรู้ถึงความจริงของทุกสิ่งอย่าง”


 


คราวนี้ กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป


 


จิ้งจอกขาวกล่าว “เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เจ้าต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานท่ามกลางความปรารถนาของตนเอง และไม่มีอะไรเลยที่เจ้า – อ่า ข้าขอเดิมพันเลยว่าตัวเจ้าเองคงมิได้หลับอย่างสนิทใจมานานมากแล้วสินะ”


 


“เกรงว่าท่านคงเสียเดิมพันแล้วล่ะ เพราะข้าพึ่งจะได้นอนหลับสนิทมาเมื่อไม่นานมานี้เอง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แต่เจ้าพึ่งได้หลับไปในหนึ่งส่วนแปดชั่วยามเองนะ” ว่านเอ๋อกล่าวแทรกผ่านจิตสำนึก


 


กู่ฉิงซานกับจิ้งจอกขาวหันหน้าไปมองเธอพร้อมกัน


 


ฉินรั่วจึงรีบยื่นมือออกไปหยิกเอวว่านเอ๋อทันที


 


ว่านเอ๋อแลบลิ้นออกมา ปากเอ่ยกล่าวอย่างละอาย “ขออภัย ถือว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดก็แล้วกันนะ”


 


จิ้งจอกขาวหันมากล่าวกับกู่ฉิงซานอีกครั้ง “ไม่ว่าจะในโลกนี้ หรือโลกอื่นๆ เจ้าก็จักต้องข้ามผ่านการทดสอบอันทุกข์ทรมาน และจักต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เพียงลำพัง”


 


“ความรู้สึกไม่สบายใจนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยเกิดขึ้นกับข้าเช่นกัน ดังนั้น ข้าจึงกล้ากล่าวได้เต็มปากว่าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า”


 


“ขอบคุณสำหรับความเข้าใจ แต่ข้าก็ยังไม่ทราบถึงเหตุผลที่ท่านปรากฏตัวออกมาอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ข้าก็บอกแล้วไง ว่าข้ามาที่นี่เพื่อให้ ‘ทางเลือก’ แก่เจ้า”


 


“ทางเลือก?”


 


“ใช่ เจ้าที่กำลังมองหาความจริง ความจริงเกี่ยวกับภัยพิบัติของโลกทั้งหมด เพราะขอเพียงแค่รู้ความจริงในข้อนั้น เจ้าก็จะสามารถจัดการกับทุกสิ่งได้”


 


จิ้งจอกขาวถอนหายใจ และกล่าว “ในความเป็นจริง ท่ามกลางโลกนับล้าน แต่ละตัวตนที่ทรงแสนยานุภาพก็ล้วนแต่ต้องการที่จะค้นหาความจริงของวันสิ้นโลกกันทั้งนั้น”


 


“แม้แต่การดำรงอยู่ของตัวตนอันทรงประสิทธิภาพที่กระทั่งข้าเองก็มิอาจจินตนาการได้ ก็ยังต้องจนปัญญากับปัญหาในข้อนี้”


 


“การแสวงหาความจริง มันจะเป็นแรงดลใจให้แก่เจ้า แก่ข้า และแก่ทุกๆคน เข้าใจหรือไม่กู่ฉิงซาน”


 


พอกล่าวมาถึงจุดนี้ จิ้งจอกขาวก็เงียบไปชั่วคราว


 


มันมองไปทางกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานเค้นสมองอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยว่า “ประโยคนี้ ช่างเป็นคำกล่าวที่สื่อได้ถึงเจตนาของท่านโดยแท้ ได้โปรดชี้แนะต่อด้วย”


 


จิ้งจอกขาว “เจ้าทราบหรือไม่ว่าโลกทั้งหมดโดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่กี่ใบ”


 


“ข้ามิอาจทราบได้”


 


“เผ่ามารก็คล้ายคลึงกันกับมอนสเตอร์ดั่งเช่นมารโลกา เจ้าเคยพบเห็นผู้ใดสามารถเอาชนะมันได้หรือไม่?”


 


“ไม่”


 


“ในโลกใบนี้ ผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่ในขอบเขตลมปราณจิต แต่เจ้าคิดว่านี่คือจุดสิ้นสุดของการฝึกยุทธหรือไม่?”


 


“ข้อนี้ข้าก็มิอาจทราบได้ แต่สมควรที่จะไม่” กู่ฉิงซานตอบคำอย่างไม่มั่นใจ


 


ขณะที่จิ้งจอกขาวยิ้ม มันหุบปากลง และไม่เอ่ยคำใดอยู่ครู่หนึ่ง


 


กู่ฉิงซานพอได้เห็นท่าทีของมัน ตนก็ตระหนักได้ทันที


 


“โปรดยกโทษให้ข้าสำหรับความโง่เขลาด้วย หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการให้ข้าเลือก ได้โปรดชี้แนะมันอย่างตรงไปตรงมาด้วย” เขากล่าว


 


“สิ่งต่อไปนี้ จะเกี่ยวข้องกับความลับอันแสนล้ำค่า ซึ่งบุคคลอื่นๆไม่สมควรที่จะได้ยิน” จิ้งจอกขาวกล่าว


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


เขาส่งดิสก์ค่ายกลให้กับฉินรั่ว


 


“พวกเจ้าสองคนไปก่อนเถอะ”


 


“อ้าวนายน้อย แล้วท่านเล่า?”


 


“ข้าต้องการที่จะได้รับฟังบางสิ่งบางอย่างอยู่”


 


“แต่ … ” ว่านเอ๋อเตรียมจะเอ่ยขัด


 


แต่ฉินรั่วก็คว้าตัวเธอไว้ และขยิบตาส่งสัญญาให้


 


“พวกเราไปกันเถอะ”


 


“อา”


 


ฉินรั่วถ่ายเทพลังวิญญาณและทำการกระตุ้นดิสก์ค่ายกล


 


ขณะที่แสงบางเบาจากดิสก์ค่ายกล ครอบคลุมลงบนกายของกู่ฉิงซาน


 


หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานก็ถูกแสงที่ว่ากลบจนมิด มิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป


 


นี่คือสิ่งที่กลุ่มของเขาได้ทำการตกลงกันในจิตสัมผัสเทวะ


 


กู่ฉิงซานมองไปไปยังจิ้งจอกขาว


 


เขากำลังเดิมพันอยู่


 


จิ้งจอกขาวมองมายังเขาอย่างช้าๆ ปากเอ่ยกล่าว “เจ้าสามารถตัดสินชะตากรรมของตนว่าจะอยู่ต่อหรือจะจากไปก็ได้ แต่ข้าคงต้องขอบอกตรงๆว่า โอกาสที่เจ้าจะได้สนทนากับข้าเช่นนี้ ในยามที่เจ้าเลือกจะจากไปนั้น มันจะไม่มีอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง”


 


รังสีบนดิสก์ค่ายกลปกคลุมทั้งกู่ฉิงซานและสามสาว


 


ดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กเริ่มที่พยายามย้อนกลับเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า แลคล้ายกับว่ากำลังค้นหาพิกัดภายในกระแสมิติอยู่


 


ฉากนี้เป็นเหมือนกันกับในตอนที่ฉีหยานเริ่มใช้ดิสก์ค่ายกลทำการรับส่งระหว่างสองโลก


 


ยังคงมีเวลาอีกกว่า 10 ลมหายใจ ค่ายกลจึงจะเริ่มทำงาน


 


วิสัยทัศน์ของทั้งสามหญิงสาว จ้องมองกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว


 


ขณะที่จิ้งจอกขาวก็จ้องมองเขาเช่นกัน


 


ดูเหมือนว่ามันจะมิได้ตั้งใจที่จะหยุดยั้งเขาเลย


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มวูบไหวเล็กน้อย


 


ตอนแรก เขาต้องการที่จะทดสอบความตั้งใจที่แท้จริงของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะริเริ่มเค้นสมองของตนเอง นั่นก็เพราะว่า


 


-เขายังมิได้ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป


 


และผลการทดสอบก็ได้ออกมาแล้ว


 


นั่นคือกลับกลายเป็นว่า – สำหรับจิ้งจอกขาวแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไป มันก็หาได้ใส่ใจไม่


 


กู่ฉิงซานก้มหน้าลง บังเกิดความหนักอึ้งขึ้นในระหว่างลมหายใจ


 


หากเขาเลือกที่จะกลับไป …


 


ก็จะได้พบกับท่านอาจารย์ ฉินเซี่ยวโหลว ซิวซิว หนิงเยว่ฉาน แล้วก็เหลิงเทียนสิง


 


หลังจากที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน แล้วได้พบเจอคนรู้ใจ ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นสุข


 


หลังจากกลับไป เขายังสามารทำการผสานระหว่างสองโลก แล้วทำให้ผู้ฝึกยุทธแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอีกด้วย


 


อย่างไรก็ตาม แล้วหลังจากนั้นเล่า?


 


หากมอนสเตอร์ดั่งเช่นมารโลกาปรากฏตัวขึ้นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ จะมีผู้ใดกันที่สามารถต่อกรกับมันได้?


 


กระทั่งขอบเขตลมปราณจิตก็ยังพ่ายแพ้


 


โลกจริงไม่ต้องพูดถึง พวกเขาอ่อนแอยิ่งกว่าโลกแห่งผู้ฝึกยุทธซะอีก


 


วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงบนร่างของจิ้งจอกขาวอีกครั้ง


 


ความแข็งแกร่งของจิ้งจอกขาว … เหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตลมปราณจิต


 


นั่นหมายถึงระดับวรยุทธที่สูงยิ่งกว่า


 


แล้วไหนจะยังมีผู้หญิงต่างโลกที่เดินทางเข้ามายังโลกล่องเวหาอย่างไม่ตั้งใจคนนั้นอีก


 


เธอทำลายโลกล่องเวหาได้ด้วยตัวคนเดียว ขณะที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตนับไม่ถ้วนต่างก็พากันเฟ้นหาวิธีการต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่อาจต่อต้านการล้างแค้นของเธอได้เลย


 


แล้วตัวเขาเอง … ต้องการที่จะทิ้งโอกาสที่จะได้สำรวจถึงความจริงในข้อนี้ไปอย่างงั้นหรือ?


 


อ้างอิงจากในมุมมองคำกล่าวของจิ้งจอกขาว ตัวเขาจะยังมีโอกาสบังเอิญได้พบเจอกับตัวตนเช่นมันอีกหรือไม่?


 


เกรงว่าในอนาคต เขาอาจจะไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวแล้วก็เป็นได้


 


กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจอย่างลับๆ


 


จะกลับไปรวมตัวกับคนอื่นๆในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ หรือว่าเลือกจะจะย่ำไปข้างหน้าก้าวหนึ่งในเส้นทางที่ไม่รู้จักดี?


 


นี่คือหนทางที่เขาต้องเลือก


 


กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด


 


โดยไม่ทันได้รู้ตัว สายตาของเขาก็กวาดผ่านไปบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างเปล่าๆ ไม่มีสิ่งใด


 


แต่กู่ฉิงซานกลับตื่นตัวขึ้นมาทันที


 


-จริงสิ


 


ตัวเขาเองยังไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหน้าต่างระบบเทพสงครามเลยนี่ว่ามันคือสิ่งใด


 


หากมิได้กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง เขาก็คงจะเลือกต่อสู้จนตัวตาย จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายที่ทั้งโลกถูกกลืนกินโดยเผ่ามารใช่หรือไม่?


 


ในชีวิตก่อนหน้า นอกเหนือไปจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธและโลกมนุษย์แล้ว ตัวเขาก็ไม่เคยได้พบเห็นโลกอื่นอีกเลย


 


แต่ในครั้งที่สองนี้ เขากำลังได้รับคำเชิญจากการดำรงอยู่ที่ไม่รู้จัก ตนเองจะเลือกจากไปอย่างสงบ หรืออยู่ต่อด้วยความเสี่ยงอันสูงล้ำดี?


 


กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ


 


ยังเหลือเวลาอีก 5 ลมหายใจ


 


กู่ฉิงซานส่ายศีรษะเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว


 


ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลกกำลังสั่นสะท้านเป็นฟืนเป็นไฟ


 


มันได้เตรียมการเสร็จสิ้น และพร้อมที่จะเริ่มต้นกระบวนการเคลื่อนย้ายแล้ว


 


แต่ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็ก้าวเท้าออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว


 


เขาออกจากพิสัยของค่ายกลที่ปกคลุม


 


สองหญิงสาวจ้องมองเขา ตาไม่กระพริบ


 


กู่ฉิงซานหันกลับมา และมองไปยังสองหญิงสาวที่กำลังถูกปกคลุมไปด้วยรังสีแสงภายในค่ายกล


 


“ขอบเขตวรยุทธของพวกเจ้าสูงส่งยิ่งกว่าผู้คนในที่แห่งนั้น ดังนั้น ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทั้งสองกลั่นแกล้งพวกเขา ในยามที่พวกเจ้าได้ย้อนกลับไป” กู่ฉิงซานหัวเราะ


 


“นายน้อยโปรดวางใจ” สองหญิงสาวกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน


 


ขณะที่รอบตาของว่านเอ๋อเริ่มเป็นสีแดงเรื่อ


 


ฉินรั่วกล่าวกระซิบ “พวกเราจะส่งต่อข้อมูลที่ได้ล่วงรู้มาถึงท่านอาจารย์ของเจ้า”


 


“ขอบคุณมาก” กู่ฉิงซานพยักหน้าให้เธอ


 


ฉินรั่วคือผู้ฝึกยุทธหญิงที่ฉลาดและมีเจตนาที่ดี


 


ทุกสิ่งอย่างที่ตัวเธอเองได้ประสบพบเจอในโลกในบี้ สำหรับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้ว มันนับว่าเป็นอะไรที่ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน


 


ตัวตนอย่างเช่นท่านอาจารย์ ขอเพียงได้ฟังข้อมูลพวกนี้ ก็จักสามารถนำมันไปวิเคราะห์เป็นข้อมูลที่ล้ำค่าได้มากมาย


 


ในกรณีนี้ มันก็จะส่งผลให้ความรู้ความเข้าใจของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธที่มีต่อต่างโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


 


โลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมั่งคั่งไปด้วยทรัพยากร การที่พวกเขามีสองโลกอยู่ในกำมือ และสภาพแวดล้อมที่ดีในการฝึกยุทธ – อย่างน้อยพวกเขาก็จะยังคงปลอดภัยในระยะเวลาสั้นๆ


 


เพียงเท่านี้ โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ก็จะสามารถเตรียมพร้อมรับมือสำหรับเหตุการณ์ที่อาจจะมาถึงล่วงหน้าได้แล้ว


 


ฮู้มมมม!


 


รังสีแสงจากดิสก์ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลกไสวขึ้นทันใด


 


สีหน้าของฉินรั่วชัดเจนว่าต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง ทว่าเธอกลับหายตัวไปจากเบื้องหน้าของกู่ฉิงซานซะก่อน


 


ดิสก์ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลก ได้ส่งพวกเธอจากไปแล้ว


 


ส่งกลับไปยังโลกเทวะ


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.470 – ความจริง (3)


 


สองหญิงสาวได้จากไป


 


หลงเหลือเพียงฉานนู่ที่ยืนอยู่เคียงข้างกายกู่ฉิงซาน


 


จิ้งจอกขาวเบนสายตามองมายังฉานนู่


 


กู่ฉิงซานอธิบาย “นางคือดาบของข้า”


 


จิ้งจอกขาวพยักหน้า แสดงท่าทีว่าเข้าใจ


 


“ข้าได้ตัดสินใจเลือกแล้วนะ” กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ


 


“ใช่ และขอบอกว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดทีเดียว”


 


จิ้งจอกขาวกล่าวต่ออย่างช้าๆว่า “ในช่วงอายุขัยของทุกสรรพชีวิต มีโอกาสน้อยนิดยิ่งนักที่พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองได้ บางคนจำต้องทุ่มพยายามอย่างหนักเพื่อไขว่คว้าโอกาสนั้น ขณะที่บางชีวิตก็ถูกพรากโอกาสที่ว่านั่นไป หรือไม่ก็ไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลย”


 


“แต่ข้าคิดว่าในโลกลำดับสูงเช่นเดียวกันกับที่ท่านจากมา มันคงจะไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้หรอก” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ถึงแม้ว่าลำดับชั้นโลกจะแตกต่างกัน แต่อุปนิสัยโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตน่ะยังคงเหมือนกันอยู่ดี – ดังนั้นข้าจึงเกลียดเหล่าทุกผู้ที่ทำตัวดั่งขยะ และยกย่องสิ่งมีชีวิตที่บากบั่น มุมานะดิ้นรน โดยไม่สนว่าสิ่งมีชีวิตนั้นๆจะแข็งแกร่งรึอ่อนแอ ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนหรือไม่ก็ตามที ทว่าหากพยายาม ข้าก็ย่อมเต็มใจจะสรรเสริญ เหมือนดั่งเช่นเจ้า”


 


“ขอบคุณสำหรับคำชม”


 


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เพราะเดิมทีนั่นก็คือเหตุผลที่ข้าออกมาพบเจ้าในครั้งนี้”


 


จิ้งจอกขาวหัวเราะ และกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจเลือกแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเข้าเรื่องทันทีเลยแล้วกัน”


 


สิ้นเสียง หางทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังจิ้งจอกขาวก็กางออก ก่อรูปม้วนกันเป็นวงกลมที่สาดแสงจรัส


 


ท่ามกลางวงกลมนี้ ประตูแสงบานหนึ่งได้ปรากฏขึ้น


 


ทันใดนั้นเอง เสียงเปี่ยมบารมีก็กังวานขึ้นมาตามมาจากเบื้องหลังประตูแสง


 


“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”


 


“ข้าได้เฝ้าสังเกตมาสักพักแล้ว และต้องการที่จะเพิ่มผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)เพิ่มอีกสักคนหนึ่ง”


 


เสียงเปี่ยมบารมีพอได้ฟังว่ามิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด น้ำเสียงของเขาก็ผ่อนคลายลง “ดูเหมือนว่าผู้มาใหม่ที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ จะได้รับการยอมรับจากเจ้าแล้วสินะ”


 


“ใช่ อันที่จริงแล้วเขาแสดงได้ดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะเลยเชียวล่ะ”


 


“มีผู้มาใหม่อย่างงั้นหรือ? แต่เท่าที่ข้าเห็น ตำแหน่งแห่งลั่วชา(รากษส)ดูเหมือนจะว่างแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นนี่นา”


 


แล้วทั้งสองก็จมลงสู่ความเงียบไปพร้อมๆกัน


 


“ถ้าอย่างงั้น พวกเราก็จะเลือกหนึ่งในสองก็แล้วกัน” เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว


 


“ข้าไม่ขัดข้อง”


 


“เช่นนั้นก็มาเริ่มการพิจารณา ตัดตัวเลือกจากหนึ่งในสองกันเถิด”


 


“เข้าใจแล้ว ว่าแต่การเลือกลั่วชา(รากษส)ในครั้งนี้มีเงื่อนไขอันใดบ้าง?” จิ้งจอกขาวเอ่ยถาม


 


“โลกทางฝั่งเจ้า มันกำลังจะถูกทำลายลงในไม่ช้าใช่หรือไม่?”


 


“ใช่ ศพของเทพบรรพกาลได้ถูกขโมยไปโดยเผ่ามาร มันกลืนกินดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และผืนดินจนเกือบจะหมดสิ้นแล้วโดยสมบูรณ์”


 


“สถานการณ์นี้ นับว่าเพียงพอแล้ว … เช่นนั้นก็ให้ผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)ทั้งสองพยายามเอาชีวิตรอดต่อไปในโลกที่กำลังจะถูกทำลายลงก็แล้วกัน และคนสุดท้ายที่ยังเหลือรอด ก็จะถูกเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส)อย่างเป็นทางการ”


 


“เอาแบบนี้มันจะดีจริงๆหรือ?” จิ้งจอกขาวเอ่ยถาม


 


เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว “แบบนี้แหละดีแล้ว เพราะอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส) ก็จักต้องได้เผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้อยู่ดี”


 


“หากเจ้าพิจารณาดีแล้ว … งั้นก็ได้”


 


จิ้งจอกขาวตอบรับ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ว่าแต่สถานการณ์สู้รบตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว “ทางฝั่งเราค่อนข้างจะเสียเปรียบ”


 


“ต้องการให้ข้ากลับไปหรือไม่?” จิ้งจอกขาวถามต่อ


 


“ยังไม่ใช่ตอนนี้ พวกเรายังพอจะรับมือกับมันได้ เจ้าเองก็รีบเลือกคนที่ใช่โดยเร็วที่สุดแล้วให้เขามาเข้าร่วมกับเราเถอะ” เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว


 


“เข้าใจแล้ว ดูแลตัวเองด้วย”


 


“เจ้าก็เช่นกัน”


 


ว่าจบ เสียงก็เงียบลง


 


พร้อมกับประตูแสงที่สลายไป


 


“เจ้าได้ยินทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” จิ้งจอกขาวหันมาถาม


 


“ได้ยินทั้งหมดแล้ว ข้าจะต้องรอดชีวิตอยู่ต่อไปในโลกที่กำลังล่มสลายลงใบนี้ให้นานยิ่งกว่าอีกคนหนึ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“นี่คือข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่สุด สำหรับการที่จะได้ขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส) ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”


 


จิ้งจอกขาวเอ่ยเสริม “รากษส จะสามารถล่วงรู้ถึงความลับของโลกชั้นภายนอกได้ในระดับหนึ่ง และได้รับตัวตันอันมีพลังพิเศษมาไว้ในครอบครอง”


 


กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจ เขามิได้เอ่ยตอบสิ่งใดเพียงแค่พยักหน้า


 


จิ้งจอกขาวลังเล ก่อนจะกล่าวว่า “ประเดี๋ยวก่อน ในแง่ของทั้งความแข็งแกร่ง , อิทธิพล , ความรู้ และทักษะ ผู้ทดสอบแข่งลั่วชา(รากษส)อีกคนได้เปรียบเจ้าอยู่หลายขุม ขณะที่เจ้าไม่มีสิ่งใดเลย ดังนั้นข้าจะขออธิบายสถานการณ์ส่วนหนึ่งให้เจ้าฟัง”


 


“เชิญชี้แนะ ข้าจะขอรับฟังอย่างตั้งใจ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


จิ้งจอกขาวกระแอมในลำคอ เพื่อที่จะได้อธิบายให้มันชัดเจน “ข้าจะต้องอธิบายถึงแนวคิดขององกรค์เราที่อยู่ใน ‘ชั้นกลาง’ ของโลกนับล้านๆให้เจ้าฟังเสียก่อน”


 


“ชั้นกลางอย่างนั้นหรือ?”


 


“โลกขององกรค์แห่งข้าน่ะ เป็นโลกที่อยู่ในตำแหน่งระหว่างส่วนนอกของชั้นกลาง เมื่อเทียบเปรียบกับโลกใบนี้และโลกที่เจ้าเคยสัมผัสมาแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านความแข็งแกร่งหรือพลัง มันก็ล้วนสูงล้ำเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้”


 


“ ‘โลกของท่านอยู่ตำแหน่งส่วนนอกของชั้นกลาง’ เช่นนั้นก็หมายความว่าโลกของข้า มันเป็นโลกชั้นในใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”


 


จิ้งจอกขาวตอบปัด


 


กู่ฉิงซานงง


 


จิ้งจอกขาวขบคิดว่าสมควรจะอธิบายออกไปอย่างไรดี ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากอีกครั้งว่า


 


“ในปัจจุบันนี้ ชั้นโลกที่พวกเราได้ทำการสำรวจมาแล้ว พบว่ามันถูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น นั่นคือ โลกชั้นนอก , โลกชั้นกลาง และโลกชั้นใน”


 


“โลกชั้นนอกน่ะอ่อนแอที่สุด และมักจะถูกทำลายลงด้วยเงื้อมมือของเผ่ามารอยู่บ่อยๆ”


 


“ขณะที่โลกชั้นกลางจะแข็งแกร่งขึ้นมาอีกหน่อย ดังเช่นโลกของข้าก็อยู่ในชั้นนี้ พวกเราจึงมีความสามารถพอที่จะต่อกรกับเผ่ามารได้ในระดับหนึ่ง”


 


“กล่าวได้ว่าโลกของพวกเราน่ะไม่หวาดเกรงเผ่ามารหรืออสูรกายสามัญอีกต่อไป”


 


“สำหรับโลกชั้นใน อสูรกายที่อ่อนแอจะมิกล้าเข้าไปก่อกวน มีเพียงเฉพาะอสูรกายที่แข็งกร้าวเท่านั้นจึงจะกล้าย่างกรายเข้าไปทำสงครามในระดับชั้นนั้นได้”


 


“เช่นเดียวกันกับความแข็งแกร่งของข้าที่เจ้าและสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ไม่อาจจินตนาการได้ ขณะเดียวกัน ตัวข้าเองก็ไม่อาจจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของเหล่าตัวตนในโลกชั้นในได้เช่นกัน”


 


“ทั้งสามชั้นนี้ โดยทั่วๆไปแล้วจะถูกเรียกกันว่า โลกแห่งลำดับชั้น”


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟัง เขาก็เริ่มคิดไปถึงเรื่องพิกัดของโลกเทวะ ก่อนจะค่อยๆปะติดปะต่อมันเข้าหากัน


 


หากพิจารณาโดยการเปรียบเทียบทิศทางตำแหน่งของมิติ โลกเทวะและโลกล่องเวหานั้นไม่สมควรที่จะอยู่ในชั้นเดียวกัน


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้ว หมายความว่าโลกที่ข้าได้เคยท่องไป มันอยู่ในชั้นนอกที่อ่อนแอที่สุดใช่หรือไม่?”


 


“ไม่ใช่”


 


จิ้งจอกขาวมองเขาอย่างมีความหมายและกล่าวว่า “พวกเขาไม่ได้อยู่ในชั้นใดๆของทั้งสามชั้นเลยด้วยซ้ำ”


 


กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย “เช่นนั้นแล้ว พวกเขาไปอยู่ในชั้นใดกัน?”


 


“พวกเขาเป็นเพียงโลกอันเคว้งคว้าง เปราะบางอ่อนแออย่างถึงที่สุด และอยู่ห่างไกลออกไปจากลำดับชั้นภายนอกไปอีก”


 


“เป็นโลกที่กล่าวได้ว่า หากเผ่ามารเต็มใจที่จะทุ่มลงมือจริงๆ โลกเหล่านั้นก็จะเปรียบดั่งประกายไฟน้อยๆ ที่จะถูกมอดดับลงเวลาใดก็ได้”


 


“ดังนั้น โลกที่เจ้าได้เคยสัมผัสมา มันจึงถูกเรียกว่าโลกกระจัดกระจาย – พวกเขาอาจจะดับสูญช่วงใดก็ได้ตลอดเวลา”


 


กู่ฉิงซานตะลึงงัน


 


เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า ความจริงแล้วมันจะเป็นเช่นนี้


 


“แต่ตามที่ท่านบอกมา โลกแห่งลำดับชั้นมันจะถูกแบ่งออกเป็นสามชั้นมิใช่หรือ?” เขาเอ่ยถาม


 


“ไม่ใช่แบบนั้น” จิ้งจอกขาวถอนหายใจ “โลกทั้งหมดทั้งมวลน่ะกว้างใหญ่มาก ไอ้สามลำดับชั้นที่ว่านั้นคือการกล่าวแบบองค์รวม หากจะให้กล่าวแบบเจาะจงแล้วล่ะก็ แม้กระทั่งบรรดาราชันย์แห่งโลกชั้นนอก หรือว่าชั้นใน ก็มิอาจที่จะกล้ายืนยันออกมาว่ามันมีจำนวนมากมายเพียงใด”


 


สีหน้าของจิ้งจอกขาวเริ่มมีเลือดฝาด “ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่า มีผู้นำของโลกใบหนึ่ง ได้ทำการอัญเชิญตัวตนทรงอำนาจเข้ามาไถ่ถาม ด้วยการจ่ายออกไปถึง 36 โลก!”


 


“ทว่าตัวตนทรงอำนาจที่จำเป็นต้องจ่ายออกถึง 36 โลกในการอัญเชิญ … ก็ยังมิอาจตอบถึงคำถามในข้อนี้ได้”


 


“คำถามอันใด?”


 


“ก็คำถามที่ที่ว่าต้นกำเนิดของโลกลำดับชั้นแท้จริงแล้วมันกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไรน่ะสิ”


 


“ตัวตนทรงอำนาจที่จำต้องจ่ายออกไปอย่างมหาศาล แต่ก็ไม่สามารถได้รับคำตอบได้ เจ้าตัวจึงรู้สึกอับอายยิ่ง เลยกล่าวว่าจะบอกความลับอีกอย่างหนึ่งออกมาทดแทน”


 


“ความลับอะไร?”


 


“ความลับที่ว่ามีโลกลำดับชั้นทั้งหมดน่ะมีจำนวนเท่าใดน่ะสิ”


 


จิ้งจอกขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าลองเดาดูสิ ว่าโลกลำดับชั้นแท้จริงแล้วมีทั้งหมดกี่ชั้นกันแน่?”


 


กู่ฉิงซานตอบอย่างไม่มั่นใจ “ซัก … สิบชั้น?”


 


“ผิดแล้ว”


 


จิ้งจอกขาวกลั้วคอและเริ่มอธิบายอย่างช้าๆ


 


“โลกลำดับชั้นทั้งหมดน่ะ ถูกแบ่งออกเป็นทั้งสิ้น 900 ล้านชั้น”


 


“โลกชั้นนอก ชั้นกลาง และโลกชั้นใน เป็นเพียงสามชั้นนอกสุดของโลก”


 


“ ขณะที่ในแต่ละโลกลำดับชั้น ทั้ง 900 ล้านนั้น ก็ล้วนประกอบไปด้วยโลกภายในของมันอีกนับหลายพันชั้น บ้างก็เป็นหมื่น บ้างเป็นล้านเลยก็มี”


 


“ตัวตนทรงอำนาจกล่าวว่า นี่คือความรู้ที่พบได้ทั่วไปในโลกลำดับชั้นนอก และเขาก็รู้แค่นั้น”


 


“สำหรับคำถามที่ว่าต้นกำเนิดของโลกลำดับชั้นแท้จริงแล้วมันกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ตัวตนทรงอำนาจก็ไม่กระจ่างเช่นกัน”


 


“เข้าใจแล้วใช่หรือไม่? ว่าในเวลานี้ ที่พวกเราจงใจเลือกโลกที่กำลังจะถูกทำลายลงท่ามกลางโลกกระจัดกระจาย ก็เพื่อที่จะเฟ้นหาพวกหน้าใหม่”


 


“และนั่นคือเหตุผลที่เจ้ามีโอกาสได้พบกับข้า”


 


“ลองคิดดูสิ หากเจ้าพลาดโอกาสนี้ไป เจ้าจะต้องข้ามผ่านโลกลำดับชั้นนอกนับล้านล้านใบ และตรงเข้ามาในชั้นกลาง เพื่อที่จะได้มาพบเจอกับข้า – และนั่นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน”


 


“เจ้าได้คว้าโอกาสเดียวในชีวิตเอาไว้ได้แล้ว”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.471 – เย่หยิงเหมย


 


หลังจากที่จิ้งจอกขาวบอกเล่าถึงเรื่องราวของโลกชั้นภายนอก มันก็ปิดปากลง


 


มันกำลังให้เวลากู่ฉิงซานย่อยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


กู่ฉิงซานเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง


 


นี่นับว่าเป็นการโค่นโลกทัศน์เดิมลงอย่างสิ้นเชิง และเปิดมุมมองใหม่ของเขา


 


แม้ว่ากู่ฉิงซานจะมีประสบการณ์จากสองชาติภพ แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการย่อยความลับอันน่าอัศจรรย์ใจนี้อยู่ดี


 


ขณะนั้นเอง ได้บังเกิดเสียงถอนหายใจยาวดังสะท้อนขึ้นมาจากผืนดินเบื้องล่าง


 


เสียงถอนหายใจนี้กังวานไปตลอดทั้งโลก


 


มันคือเสียงของมารโลกา


 


ที่จมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง


 


ช่วงเวลาของโลกได้เปลี่ยนไป จากลางร้าย กลายเป็นช่วงเวลาแห่งลางดี


 


หมู่เกาะลอยฟ้าที่อยู่กลางเวหาพลันสาดแสงสวรรค์จางๆขึ้นอีกครั้ง


 


แต่แสงที่สาดออกมาก็คล้ายดั่งไฟในเทียนไขที่อยู่ท่ามกลางสายลมกรรโชก มันอ่อนจางและพร้อมที่จะมอดดับได้ตลอดเวลา


 


จิ้งจอกขาวปรบอุ้งเท้าของมันและกล่าวว่า “เอาล่ะ พวกเราก็สนทนากันมามากพอแล้ว ตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มการทดสอบแข่งขันอีกครั้งเสียที”


 


“เพื่อชดเชยถึงสถานการณ์เสียเปรียบที่เจ้าจะต้องเผชิญ ข้าจะขอบอกบางสิ่งบางอย่างแก่เจ้า”


 


“เชิญชี้แนะ”


 


“เย่หยิงเหมยกำลังจะมาสังหารเจ้าทันที นางถูกส่งมาโดยผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส) อีกคนหนึ่ง”


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็หันไปมองรอบๆ แล้วตนก็ตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง


 


“แต่หากเป็นอย่างที่ท่านพูด นางก็สมควรที่จะลงมือตั้งนานแล้วนี่นา … ” กู่ฉิงซานงงเล็กน้อย


 


จิ้งจอกขาวอธิบาย “เพื่อความเป็นธรรม เมื่อครู่ข้าจึงได้ไปหยุดนางเอาไว้แล้ว นางจะตื่นขึ้นมาในอีกหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม และจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ข้าพึ่งลงมือไป”


 


“อีกฝ่ายได้เปรียบมากเกินไป ดังนั้นข้าจึงออกหน้านิดๆหน่อยเพื่อให้การทดสอบนี้ดูยุติธรรม”


 


“นอกจากนี้ ข้าขอแจ้งให้เจ้าทราบว่า นับจากนี้ไปอีก 36 นาที โลกใบนี้ก็จักถูกทำลายลงโดยมารโลกาแล้ว”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างสงบ


 


ในที่สุด เวลาแห่งการล่มสลายของโลกก็ได้มาถึง


 


กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นเขาก็เปล่งเสียงถามออกมา “ท่านสามารถต่อกรกับมารโลกาได้หรือไม่? ได้โปรดใช้จิตสัมผัสเทวะเพื่อบอกกล่าวมันแก่ข้าด้วย”


 


สองตาของจิ้งจอกขาวหรี่แคบลงทันใด มันเอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “เจ้าต้องการจะทราบถึงความแข็งแกร่งของข้างั้นหรือ?”


 


“โปรดเชื่อใจข้า ข้อมูลนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


จิ้งจอกขาวจับจ้องมาที่เขา


 


ในดวงตาของกู่ฉิงซานช่างกระจ่างชัด ขณะที่สีหน้าท่าทีการแสดงออกของเขาไม่ได้เผยถึงความความเห็นแก่ตัวหรือต้องการจะล่วงรู้เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ส่วนตนเลย


 


จิ้งจอกขาวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ข้าสามารถจัดการกับมันได้”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


แล้วเขาก็หยิบใบหยกที่ว่างเปล่าออกมา จากนั้นก็ใส่จิตสัมผัสเทวะลง แล้วเขียนบางสิ่งไม่กี่คำลงไป


 


เขายื่นใบหยกให้แก่อีกฝ่าย


 


จิ้งจอกขาวพอเห็นถึงการกระทำนี้ มันก็นิ่งไปครู่หนึ่ง


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


 


มันเอื้อมมือไปรับใบหยก และเอ่ยถามด้วยความสับสน


 


“เชิญท่านสำรวจดูได้ มันคือเทคนิคฝึกยุทธจำเพาะ” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ


 


“นี่เจ้าต้องการจะติดสินบน-” จิ้งจอกขาวไม่พอใจมากยิ่งขึ้น กระทั่งน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ฟังดูรุนแรงเล็กน้อย


 


“เชิญดูก่อนเถิด แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกครั้ง” กู่ฉิงซานขัดจังหวะ


 


จิ้งจอกขาวก้มลงมองใบหยก ก่อนจะสลับไปมองกู่ฉิงซานอีกครั้ง


 


ในที่สุด มันก็สงบสติอารมณ์ และกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป


 


ภายในใบหยก มีข้อมูลอยู่ไม่มากนัก แต่พอได้อ่านมัน สีหน้าการแสดงออกของจิ้งจอกขาวก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป


 


“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” มันกล่าวเสียงกระซิบ


 


“หากเป็นในกรณีนี้ การทดสอบแห่งลั่วชาจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่?”


 


“ยังคงดำเนินต่อไป”


 


“แล้วผู้ทดสอบอีกคนจะได้รับรู้ถึงข้อมูลนี้หรือไม่?”


 


“นี่คือข้อมูลที่เจ้าได้ค้นพบมันด้วยตนเอง เขาไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวก็คือ จักต้องต่อกรกับผู้ทดสอบแข่งขันอีกผู้หนึ่ง และได้รับชัยชนะให้จงได้”


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็พยักหน้าและกล่าว “เช่นนั้นข้าก็พร้อมแล้ว”


 


“ดีมาก เพื่อความยุติธรรม ข้าจะถอยออกมาทันที และมอบเวทีการแข่งขันครั้งสุดท้ายนี้ให้แก่เจ้า”


 


น้ำเสียงของจิ้งจอกขาวกลายเป็นจริงจัง มันเอ่ยอย่างเป็นทางการ “การทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส) จะเริ่มขึ้นทันที หลังจากที่ข้าได้จากไป”


 


ว่าแล้ว จิ้งจอกขาวก็ค่อยๆถอยไปทีละก้าว ทีละก้าว ก่อนที่ร่างของมันจะจมหายไปในความว่างเปล่า มิอาจมองเห็นได้อีกเลย


 


มันหายไปแล้ว


 


บนเวที หลงเหลือเพียงกู่ฉิงซานและฉานนู่ที่ยังคงยืนอยู่


 


การต่อสู้เพื่อกำจัดคู่แข่ง .. ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว


 


ขณะนี้ บนเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง ยังคงหลงเหลือผู้ฝึกยุทธอยู่อีก สองคน


 


หนึ่งคือกู่ฉิงซาน


 


และเย่หยิงเหมย


 


“นายน้อย เย่หยิงเหมยกำลังจะมาหา แล้วพวกเราสมควรจะรับมืออย่างไรดี?” ฉานนู่เอ่ยถาม


 


ขณะนี้ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกกำลังโคจรอย่างไม่รู้จบ ดังนั้นการที่จะทำลายมัน เกรงว่าจะมีเวลาไม่มากพอ


 


นอกจากนี้ นี่ยังเป็นช่วงเวลาลางดีอีกด้วย


 


ดังนั้นหากจะสังหารเขา เย่หยิงเหมยย่อมสามารถทุ่มลงมือได้อย่างเต็มที่


 


“สำหรับเวลาหนึ่งในสี่ชั่วยามที่ได้รับมานี้ มันก็ดูยุติธรรมดี เพราะอย่างน้อยมันก็พอมีเวลาให้ข้าได้ริเริ่มเตรียมการบางอย่างได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาหยิบใบหยกค่ายกลออกมา และเริ่มต้นจดจำพิกัด


 


ซึ่งพิกัดที่อยู่ภายใน คือโลกที่โลกล่องเวหาได้เคยพิชิตมา


 


คือโลกที่ได้ถูกหลอมรวมเข้ากับโลกล่องเวหาเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นในตำแหน่งพิกัดดังกล่าว ในความเป็นจริงแล้ว จึงหลงเหลือแค่เพียงมิติที่ว่างเปล่าเท่านั้น


 


กู่ฉิงซานทำการจดจำพิกัดอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เริ่มปรับแต่งดิสก์ค่ายกล


 


กล่าวได้ว่าพื้นฐานค่ายกลของเขานั้นอยู่ในระดับสูงสุด ดังนั้น การปรับแต่งมันจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง


 


เพียงระยะเวลาสั้นๆ การปรับแต่งก็เสร็จสมบูรณ์


 


นี่เป็นเพียงสิ่งสำรอง ที่เผื่อไว้ใช้กับสถานการณ์บางอย่าง และบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เลยก็ได้


 


จากนั้น เขาก็เริ่มปรับแต่งดิสก์ค่ายกลอีกชุดด้วยความเร็วสูงสุด


 


และนี่คือดิสก์ค่ายกลที่จะนำไปสู่โลกเทวะ


 


เมื่อทำการปรับแต่งสองดิสก์ค่ายกลจนเสร็จสิ้น กู่ฉิงซานก็วุ่นอยู่กับการตระเตรียมการอีกมากมาย


 


จนในสายตาของเขา มันไปตกลงบนหัวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับฉานนู่


 


-หัวของหวังหงษ์เต๋าที่กำลังกลิ้งไปตามลมอยู่ที่นั่น


 


“ดูเหมือนว่าศีรษะของเขาที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง มันจะยังคงพอมีประโยชน์อยู่นะ” กู่ฉิงซานพึมพำ


 


แล้วเขาก็ก้าวออกไป หยิบหัวของหวังหงษ์เต๋าขึ้นมา


 


หนึ่งในสี่ชั่วยามผ่านไปราวกับพริบตา


 


บนเวที


 


เย่หยิงเหมยได้มาหยุดอยู่ตรงข้ามกับหวังหงษ์เต๋า โค้งกายคุกเข่าลงด้วยความนอบน้อม


 


“ท่านอาจารย์”


 


“อืม .. แล้วศิษย์พี่ของเจ้าเล่า?” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยถาม


 


“ศิษย์เองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาไปอยู่ที่ใด”


 


สีหน้าของเย่หยิงเหมยที่แสดงออกมาก็บ่งบอกชัดเจนว่าตนก็กำลังสงสัยอยู่


 


ไม่เพียงแค่เซ่าหวูชุ่ยเท่านั้น


 


ชัดเจนว่าเธอพึ่งเข้าไปในห้องมืดและรายงานสถานการณ์


 


แต่เมื่อเธอออกมาอีกครั้ง กลับพบว่าตลอดทั้งนิกายดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


 


เย่หยิงเหมยหยั่งเชิงเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์ สาวกทั้งหมดในนิกาย … ”


 


“ถูกสังหารลงจนหมดสิ้นแล้วโดยข้า”


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าวเพียงผิวเผิน


 


“ถูกสังหาร? จนหมดสิ้น? เพราะเหตุใดท่านถึงได้ทำเช่นนั้น … ” เย่หยิงเหมยอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


 


“เพราะหากพวกมันมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็คงสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณของข้าไปเปล่าๆ”


 


ขณะกล่าว หวังหงษ์เต๋าก็สะบัดมือราวกับว่าเขากำลังปัดฝุ่นผงออกจากชุดคลุมของตน


 


เขาเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “ศิลาวิญญาณกำลังขาดแคลน ดังนั้นนิกายจึงไม่จำเป็นต้องเลี้ยงผู้คนมากมายเอาไว้อีกต่อไป”


 


เย่หยิงเหมยตะลึงงัน


 


เธอค่อยๆเอนตัวลงอย่าช้าๆ และพยักหน้ารับ


 


“ท่านอาจารย์ ข้ามีเรื่องที่จะต้องรายงาน”


 


“เจ้าว่ามาสิ”


 


“ฉีหยานร่วมมือกับเซ่าหวูชุ่ยเพื่อหมายจะจัดการกับท่าน”


 


“หากเป็นเรื่องนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีก เพราะข้าได้สังหารฉีหยานไปเรียบร้อยแล้ว”


 


ปากที่กำลังจะอ้าเผยอเปล่งประโยคต่อไปของเย่หยิงเหมยนิ่งค้างอย่างกระทันหัน


 


ฉีหยาน … ตายแล้วอย่างนั้นหรือ?


 


เขาตายลงด้วยน้ำมือของหวังหงษ์เต๋า!?


 


-แต่มันก็สมควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วนี่นา


 


อย่างไรก็ตาม …


 


“แต่ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่เซ่าร่วมมือกับคนอื่นเพื่อจะจัดการกับท่านนะ การกระทำของเขาช่างน่ารังเกียจจริงๆ!” เย่หยิงเหมยเริ่มยุยง


 


แต่ละเรื่องที่พึ่งได้รับรู้ มันเกินกว่าจินตนาการของเธอไปแล้ว เย่หยิงเหมยจึงค่อยๆลอบทำใจให้สงบอย่างลับๆ


 


“เขาไม่ได้ทรยศข้า” หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างแผ่วเบา


 


“เซ่าหวูซุ่ยน่ะเป็นคนร้าย-” คำกล่าวติดอยู่ในลำคอของเย่หยิงเหมย


 


ว่าไงนะ?


 


หวังหงษ์เต๋าบอกว่าเซ่าหวุชุ่ยมิได้ทรยศอย่างงั้นหรือ?


 


‘เห็นได้ชัดว่าเซ่าหวูชุ่ยถูกชักชวนโดยฉีหยาน แถมยังมอบกุญแจห้องลับตำหนักเจียงซีให้แก่อีกฝ่าย’


 


‘หรือว่านั่นคือการเล่นละครของเซ่าหวูชุ่ยกัน?’


 


‘คงมิผิดแล้ว  … เขาจะต้องเล่นละครแน่ๆ’


 


เรื่องแบบนี้ สำหรับหวังหงษ์เต๋าแล้วเขาย่อมไม่โป้ปดมันกับผู้อื่น!


 


เหตุการณ์พลิกผันเช่นนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน!?


 


หัวในของเย่หยิงเหมยสั่นสะท้าน สีหน้าของเธอเผยถึงความไม่อยากจะเชื่อ


 


“ท่านอาจารย์ เซ่าหวูชุ่ยกับฉีหยานอยู่ต่อหน้าข้า พวกมันป้ายสีท่าน ข้าจึงคิดว่าเขาจะทรยศท่าน”


 


ขณะกล่าว เย่หยิงเหมยก็ค่อยๆขยับร่างตนไปข้างกายหวังหงษ์เต๋า


 


เธออิงแอบเขา และค่อยๆนั่งลงอย่างช้าๆ


 


“ท่านอาจารย์จะต้องระวังเซ่าหวูชุ่ยให้ดี เขาเป็นคนเลวจริงๆนะ” เย่หยิงเหมยกล่าวด้วยน้ำเสียงกระเส่า


 


หวังหงษ์เต๋าไม่กล่าวอะไรออกมาสักพักหนึ่ง นั่นเพราะเจ้าตัวกำลังย้อนนึกถึงบทสนทนาของสองหญิงสาวเมื่อไม่นานมานี้


 


มันมีประโยคหนึ่ง ในสถานการณ์ที่เขาถูกอิงแอบเหมือนกับในตอนนี้ พวกเธอบอกว่าเขาน่ะเป็นไก่อ่อน เลยล่วงรู้ถึงตัวจริงได้ง่ายดาย ประโยคนี้เด้งเตือนขึ้นมาในความทรงจำทันใด


 


จู่ๆหวังหงษ์เต๋าก็เอื้อมมือไป และบีบคอเย่หยิงเหมยด้วยเจตนาร้าย


 


แรงบีบนี้หนักหน่วงยิ่ง แม้เย่หยิงเหมยจะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า แต่เมื่อถูกบีบอย่างกระทันหัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดของเธอก็เริ่มไหลมาเป็นสายอย่างรวดเร็ว


 


ใช่แล้ว นี่แหละคือความวิปริตของหวังหงษ์เต๋าล่ะ


 


เย่หยิงเหมยจิกริมฝีปาก ข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้


 


ขณะที่เธอยังคงอิงอยู่ในอ้อมแขนของหวังหงษ์เต๋า


 


ได้ยินเพียงเสียงของหวังหงษ์เต๋าที่ดังขึ้นใกล้หู “เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับศิษย์พี่เจ้าอีกเข้าใจไหม เขาถูกผนึกโดยแมลงมารของข้า ดังนั้นจึงไม่อาจคิดคดทรยศได้”


 


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!


 


เย่หยิงเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “ท่านอาจารย์ช่างเก่งกาจเสียจริง ที่สามารถเตรียมรับมือถึงสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้ล่วงหน้าได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ”


 


“แน่นอน ฉีรั่วหยาน่ะมันโง่ ส่วนบุตรชายของมันก็โง่ยิ่งกว่า ถูกหลอกเข้าไปในห้องลับโดยศิษย์พี่เซ่าของเจ้า มิรู้หรือ ว่าภายในห้องลับน่ะ-”


 


เย่หยิงเหมยแสดงท่าทีถึงการตั้งใจฟัง


 


ทว่าหวังหงษ์เต๋าก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีกต่อไป


 


เย่หยิงเหมยเฝ้ารออยู่สักพัก แต่ก็เห็นแค่เพียงหวังหงษ์เต๋าที่กำลังมองเธออยู่อย่างเงียบๆ


 


เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงหวานออกมา “ท่านอาจารย์ มีสิ่งใดซ่อนอยู่เบื้องหลังห้องลับกัน ท่านพอจะบอกข้ามิได้หรือ?”


 


ขณะกล่าว เธอก็ยิ่งโน้มกายแนบชิดกับเขามากยิ่งขึ้น


 


แต่ใครจะรู้ หวังหงษ์เต๋ากลับตบหลังเธอเบาๆและกล่าวว่า “เอาเถิด ความลับนั้นยังมิอาจบอกเจ้าได้ในตอนนี้ เพราะเจ้ายังมีสิ่งสำคัญอื่นที่ต้องทำอยู่”


 


“สิ่งสำคัญอันใดหรือท่านอาจารย์?”


 


“จงไปยังลั่วชาเฟิง แล้วนำกล่องใบนี้มอบให้กับสตรีแห่งรากษส บอกว่าเป็นของกำนัลจากข้ามอบให้แด่นาง”


 


หวังหงษ์เต๋าตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบกล่องขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกไปด้วยชั้นค่ายกลออกมา


 


เย่หยิงเหมยจ้องมองไปที่กล่องด้วยหัวใจที่สั่นไหว


 


ฉีหยานตายไปแล้ว และที่อยู่ภายใน … มันอาจจะเป็นหัวของเขาก็ได้


 


ภารกิจของตนเองจึงเสร็จสมบูรณ์โดยแทบมิต้องลงมือ ทุกสิ่งอย่างช่างง่ายดาย


 


และตอนนี้ หวังหงษ์เต๋าก็กำลังมอบสิ่งที่ตนต้องการ แถมยังให้ตนนำมันกลับไปยังลั่วชาเฟิงด้วยตัวเองอีก -นี่มันมิใช่ว่าตรงตามกับความต้องการของเธอเลยหรอกหรือ?


 


ไม่จำเป็นต้องใช้ข้ออ้างใดๆ ก็สามารถเดินทางกลับไปได้ ช่างเป็นการพลิกกระดานที่เหนือความคาดหมายโดยแท้!


 


“ท่านอาจารย์ต้องการให้ข้าไปเมื่อใด?” เย่หยิงเหมยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน


 


“ไปตอนนี้ มิอาจล่าช้าได้” หวังหงษ์เต๋ากล่าว


 


“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์”


 


เย่หยิงเหมยหยิบกล่องใบใหญ่ขึ้นมา และใส่ลงในถุงสัมภาระของตนเอง


 


เธอเป่าลมหายใจกระเส่าใส่หูของหวังหงษ์เต๋าเล็กน้อย ก่อนจะบิดเอวลุกขึ้น


 


“จะให้ศิษย์กลับมาเมื่อใด?”


 


“จงเร่งไปก่อนเถอะ”


 


“เจ้าค่ะ”


 


เย่หยิงเหมยหยิบยันต์ออกมาแล้วมองมัน


 


บนยันต์ ตัวอักษร ‘ดี’ ยังคงเสถียรและไม่สั่นไหว


 


เย่หยิงเหมยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความสุข


 


มารโลกากำลังหลับไหล


 


ขณะที่ตนเองสามารถบรรลุภารกิจได้อย่างง่ายดาย


 


ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี


 


ได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.472 – ไม่เสียใจ


 


แต่ในขณะนั้นเอง หวังหงษ์เต๋าก็คว้าหมับ! เข้าที่ลำคอของเย่หยิงเหมยอีกครั้ง


 


“ท่านอาจารย์!”


 


แม้สีหน้าของเย่หยิงเหมยจะยังดูออดอ้อน แต่น้ำเสียงของเธอกลับแปลกออกไปจากเดิม


 


“จงรีบไป และกลับมาโดยเร็ว!” หวังหงษ์เต๋ากล่าว


 


“เจ้าค่ะ”


 


เย่หยิงเหมยเปล่งเสียงกระซิบ


 


ณ ขณะนี้ ในหัวใจของเธอกำลังเดือดพล่าน


 


–จริงๆแล้วเธอต้องการจะกระตุ้นพิษในกายหวังหงษ์เต๋า และสังหารเขาซะเดี๋ยวนี้เลย


 


แต่น่าเสียดาย ที่นิกายยังต้องการตัวหวังหงษ์เต๋าอยู่


 


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต จะอย่างไรก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า


 


ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถต่อกรกับมารโลกาได้ แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะรับมือกับมันได้อยู่หลายลมหายใจ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มันจะช่วยเพิ่มเวลาและโอกาสรอดสำหรับคนอื่นที่กำลังหลบหนีได้


 


ความต้องการของนิกายนับว่าอยู่เหนือสิ่งอื่นใด


 


เย่หยิงเหมยลอบถอนหายใจอย่างลับๆ


 


ลืมมันเถอะ


 


ในเมื่อไม่สามารถสังหารหวังหงษ์เต๋าได้ เช่นนั้นตัวเธอเองก็อย่าเก็บเอาปัญหานี้มาคิดอีกเลย


 


เพราะอีกไม่นานหลังจากนี้ ทางนิกายก็จะส่งเหล่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตมาที่นี่อยู่แล้ว


 


เมื่อถึงเวลานั้น ตนเองก็จะทำการกระตุ้นพิษในกายหวังหงษ์เต๋า


 


แล้วหวังหงษ์เต๋าก็จะถูกจับตัวไปอย่างแน่นอน


 


จากนั้นเขาก็จะถูกดัดแปลงเป็นหุ่นเชิดในขอบเขตลมปราณจิต


 


เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะได้รับอนุญาตให้ทำตามแค่เพียงในสิ่งที่นิกายต้องการเท่านั้น


 


ขณะที่จิตวิญญาณของเขายังคังถูกขังอยู่ในกายเนื้อ


 


ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอจะมีโอกาสอีกมากในอนาคตที่จะทรมานเขา!


 


เมื่อขบคิดมาถึงเรื่องนี้ เย่หยิงเหมยก็สามารถฟื้นฟูความสงบกลับคืนได้ในทันที


 


เธอแปรสภาพตนเป็นควันบางเบา ทะยานสู่ผืนฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของลั่วชาเฟิง


 


บนเวที


 


หวังหงษ์เต๋าจ้องมองเย่หยิงเหมยจากเบื้องหลัง เฝ้ารอจนกระทั่งเธอลับสายตาไป


 


การแสดงออกทางสีหน้าของเขาจึงคลายลง


 


พร้อมกับดาบเล่มหนึ่งที่บินออกมาจากเบื้องหลังเขาและกลายร่างเป็นฉานนู่


 


“นายน้อย เหตุใดนางจึงหลงกลได้ง่ายดายถึงเพียงนี้?” เธอเอ่ยถาม


 


“มันมิได้ง่ายดายหรอก” หวังหงษ์เต๋าถอนหายใจ “แต่เป็นเพราะทุกๆคำกล่าวของข้ามันอยู่เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการของนางมากเกินไปต่างหาก เมื่อได้รับข้อมูลหนักๆเข้ามาเรื่อยๆ นางก็เริ่มเบนสมาธิไปยังสิ่งเหล่านั้น ประจวบกันการที่หวาดกลัวหวังหงษ์เต๋าอยู่เสมอมา ดังนั้นทุกสิ่งจึงเป็นไปอย่างราบรื่น”


 


ขณะอธิบาย ท่าทีของหวังหงษ์เต๋าก็ค่อยๆผ่อนคลายลง


 


กล่าวได้ว่า ทันทีที่เย่หยิงเหมยจากไป ภายในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่นับว่ามีสิ่งใดสามารถคุกคามเขาได้อีกแล้ว … แต่ก็แค่ชั่วคราวล่ะนะ


 


คราวนี้ ตนเองก็จะสามารถมุ่งสมาธิรับมือกับการทำลายล้างโลกได้อย่างเต็มกำลังเสียที


 


ณ ขณะนั้นเอง บังเกิดลมโชยพัดหวิว


 


“นายน้อย พวกเราไปกันตอนนี-”


 


“ช้าก่อน”


 


หวังหงษ์เต๋าขัดจังหวะฉานนู่


 


เขาเงยหน้าขึ้นทันใด จ้องมองถึงการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า


 


สายลม


 


แว่วมาจากบนท้องฟ้าที่ห่างไกล


 


การไหลของกระแสลมทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


มันพัดผ่านเกาะลอยฟ้าที่บัดนี้ว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คนของเขาอย่างแรง อัดอากาศกระแทกขึ้นมาถึงเวทีสูง


 


กระแสลมดังกล่าวนี้ มันผสมปนเปไปกับความโกลาหลที่ไม่อาจบอกบรรยายได้ ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคย


 


ใช่ นี่มันคือสายลมจากในมิติที่ว่างเปล่า


 


มันสามารถทะลวงฝ่ากำแพงอุปสรรคของโลกใบนี้ และปรากฏตัวขึ้นในโลกล่องเวหาโดยตรงได้แล้ว!


 


นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญญาณ … สัญญาณที่บ่งบอกว่าการล่มสลายของโลกใบนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้น


 


เมฆบนท้องฟ้ากระจัดกระจายหายไป


 


อากาศที่ว่างเปล่าทั้งหมดสั่นกระเพื่อมอย่างไม่รู้จบ ขณะเดียวกันก็สามารถมองเห็นถึงเศษสีเทาๆราวกับกระแสน้ำไหลปรากฏขึ้นอย่างแผ่วเบา


 


เศษเหล่านั้นกระจายตัวไปทั่วทั้งอากาศที่ว่างเปล่า พวกมันดูวิบวับงดงาม ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังถูกทำให้สลายไป


 


นี่อาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการถูกทำลายก็ได้


 


ตลอดทั้งโลกพลันเงียบ เงียบสงัด


 


ความเงียบนี้ ราวกับเป็นภาพลวงตาที่ทำให้ผู้คนบังเกิดความเข้าใจผิด คิดว่าทุกสิ่งอย่างจะยังคงปลอดภัย


 


อย่างไรก็ตาม หากคุณเข้าใจได้ถึงความเงียบงันราวกับความตายนี้ คุณจะรู้ได้ทันทีว่า นี่คือความเงียบสงบบนชายฝั่ง ก่อนที่คลื่นสึนามิจะโถมเข้ามาซัดสาด


 


หวังหงษ์เต๋าค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ


 


และยามเมื่อเขายืนหยัดด้วยสองขาอย่างมั่นคง ทั้งคนทั้งร่างก็ได้เปลี่ยนกลับมาเป็นกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์


 


“ฉานนู่ ข้ามีเรื่องจะเอ่ยถามเจ้า”


 


“นายน้อยเชิญกล่าว”


 


“เจ้าเป็นวิญญาณของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตอยู่มานานนับปี ดังนั้น เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ประสบพบเจอกับปรากฏการณ์อย่างการพบเห็นโลกถูกทำลายลงบ้างใช่หรือไม่?”


 


ฉานนู่ถอนหายใจ “นับตั้งแต่ที่ตัวข้าได้ถือกำเนิดขึ้นมา ข้าก็ได้เห็นถึงสิ่งแปลกประหลาดมากในหกโลก ทว่ากลับไม่เคยพบเห็นถึงโลกที่กำลังจะถูกทำลายมาก่อนเลย”


 


เธอขบคิดและเอ่ยเสริม “มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่โลกใกล้จะถึงหุบเหวแห่งการทำลายล้าง แต่ก็ได้ถูกช่วยไว้ด้วยชายหนุ่มจากมนุษยชาติเสียก่อน”


 


“โอ้ มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือนี่”


 


“ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องของท่านนั่นแหละ นายน้อย”


 


“ … ”


 


แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็หันขวับ! เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างฉับพลัน


 


เห็นแค่เพียงบนเกาะลอยฟ้าแห่งหนึ่ง กำลังสาดแสงสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ใจขึ้น


 


และในที่สุด ประกายแสงทั้งหมดก็วูบดับลง


 


เห็นแค่เพียงรูปแบบค่ายกลที่งดงามระเบิดขึ้นทันใด จากนั้นก็เริ่มเจาะเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า


 


และมันก็บังเกิดรอยแตกร้าว ก่อนจะกระจายตัวเป็นเสี่ยงๆ


 


ตามด้วยหลุมดำขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า


 


ภายในหลุมดำ เต็มไปด้วยฉากปฐมบทแห่งความโกลาหล มิอาจมองเห็นถึงสิ่งใดได้อย่างชัดเจน


 


ขณะเดียวกัน สายลมที่มองไม่เห็นก็เริ่มพัดกระพือรุนแรงขึ้นในโลกล่องเวหา


 


เกาะลอยฟ้าค่อยๆมุดเข้าไปในหลุมดำ และหายไป


 


พร้อมกับปากหลุมดำที่ค่อยๆปิดลง


 


เกาะลอยฟ้าได้หลบหนีไปแล้ว


 


“โฮกกกก-”


 


มารโลกาเปล่งเสียงคำรามดังสะท้อนไปไกล


 


วินาทีต่อมา หมู่เกาะลอยฟ้าโดยรอบ เกาะแล้วเกาะเล่าก็เริ่มที่จะทำตามๆกัน พากันทะลวงผ่านเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง


 


การล่มสลายของโลกกำลังทวีความเร็วขึ้น ขณะที่แต่ละผู้ฝึกยุทธได้ทยอยกันตระหนักถึงสัญญาณนี้


 


หมู่เกาะลอยฟ้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อไขว่คว้าอนาคตที่ยังไม่แน่นอน …


 


“ทะลวงมิติ … ช่างโง่เขลาจริงๆ … แต่สำหรับพวกเขามันคงไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วล่ะนะ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ


 


หลังจากทะลวงมิติ มั่นใจได้เลยว่าผลลัพธ์ย่อมคือความตาย


 


มันคือกับดักแห่งความตาย ที่ผู้หญิงจากต่างโลกได้วางทิ้งเอาไว้


 


แต่การอยู่เลือกอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ ก็ไร้ซึ่งหนทางรอดชีวิตเช่นกัน


 


เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ในแง่มุมนี้ เกาะลอยฟ้าส่วนหนึ่งจึงเลือกที่จะเดิมพัน และใช้ค่ายกลทะลวงมิติเข้าไป


 


“นายน้อย แล้วท่านวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไป?” ฉานนู่เอ่ยเสียงกระซิบ


 


“พวกเราก็-”


 


เสียงของกู่ฉิงซานยังไม่ทันตกลง แต่เขาก็ดันได้ยินถึงเสียงดังอื่นแทรกเข้ามาเสียก่อน


 


บังเกิดการสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก


 


กู่ฉิงซานเบนสายตามองไปยังด้านนอกของเกาะลอยฟ้า


 


เห็นแค่เพียงร่างของมารโลกาที่กำลังกระเพื่อมเป็นคลื่นสลับสูงต่ำราวกับทิวเขา


 


เห็นได้ชัดว่านี่คือช่วงเวลาลางดี แต่มารโลกาจู่ๆก็กลับสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างกระทันหัน!


 


มันได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงของโลกใบนี้แล้ว


 


และบางทีมารโลกาก็อาจจัดเตรียมการบางอย่างเอาไว้เช่นกันก็ได้!


 


กู่ฉิงซานกับฉานนู่เฝ้ารับฟังเสียงของมารโลกาด้วยกัน


 


“การทำลายล้าง กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” ฉานนู่กล่าวเสียงกระซิบ


 


เธอหันไปมองกู่ฉิงซาน


 


แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงเงียบ เหมือนว่าเขาจะกำลังใช้ความคิดอยู่


 


ต้องไม่ลืมนะว่า ในระหว่างที่โลกกำลังล่มสลาย กู่ฉิงซานยังจำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตรอดให้นานยิ่งกว่าผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)อีกคนหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่าตนมีคุณสมบัติมากพอ


 


–คุณสมบัติที่จะได้เป็นรากษส


 


ในขณะนั้นเอง จู่ๆกู่ฉิงซานก็จดจำได้ถึงสิ่งหนึ่งในทันใด เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


จริงสิ


 


ถึงแม้เขาจะไม่ทราบว่าเหตุการณ์ในช่วงวันสิ้นโลกนั้นเป็นอย่างไร แต่ระบบเทพสงครามที่เป็นคนพาเขาข้ามผ่านห้วงเวลามาย่อมจะต้องทราบอย่างแน่นอน


 


“ระบบ คุณได้พาฉันกลับมาจากวันสิ้นโลกใช่ไหม ถ้าอย่างงั้นคุณก็น่าจะได้เห็นถึงฉากการล่มสลายของโลกแล้วสิ … พอจะบอกข้อมูลบางอย่างที่เป็นประโยชน์แก่ฉันหน่อยจะได้ไหม?”


 


ติ๊ง!


 


บังเกิดเสียงอันคมชัด ระบบตอบกลับมาว่า “ฉันได้เดินทางข้ามผ่านมันมาพร้อมกันกับคุณ ตรงจุดนี้เข้าใจชัดเจนหรือไม่?”


 


“เข้าใจสิ”


 


“เช่นนั้นคุณได้เห็นถึงฉากการล่มสลายของโลกรึเปล่า?”


 


“ก็ไม่นะ”


 


“ถ้างั้นฉันก็ไม่เหมือนกัน”


 


“ …. เข้าใจแล้ว”


 


กู่ฉิงซานยอมแพ้


 


“นายน้อย?” ฉานนู่กระตุกแขนเสื้อเขา กล่าวเสียงเล็กๆ


 


“มีอะไรงั้นหรือ?”


 


สีหน้าของฉานนู่เผยถึงการกระตุ้นเตือน “เร่งใช้เจ้าสิ่งนั้นเร็วเข้า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะลืมมันไป”


 


“ลืม .. อะไรหรือ?” กู่ฉิงซานงง


 


“ก็ไพ่ใบนั้นไง ข้าจดจำได้ว่าหญิงที่ชื่อว่าชิงหยินได้มอบไพ่ใบหนึ่งให้แก่เจ้ามิใช่หรือ”


 


ฉานนู่กล่าวต่อ “หลานกับชิงหยินบอกว่า มันเป็นไพ่ที่หาได้ยากยิ่งด้วยนะ”


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ชะงักไป


 


—ฉานนู่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถได้รับความรู้ของเขาได้ ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าไพ่ใบนั้นมีความพิเศษเพียงใด


 


กู่ฉิงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบไพ่ออกมา


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ได้แจ้งเตือนถึงคำอธิบายของไพ่ใบนี้ทันที


 


“ไพ่พยากรณ์โชคชะตา , ไพ่แรร์(หายาก)”


 


“เมื่อคุณเกิดความลังเลขึ้น คุณสามารถดูไพ่ใบนี้เพื่อสังเกตถึงความเป็นไปได้บางอย่างในโชคชะตาของคุณ”


 


จริงสิ ไพ่ใบนี้มันสามารถช่วยให้เขามองเห็นถึงอนาคตได้นี่นา


 


กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปในไพ่


 


บนหน้าไพ่ เห็นแค่เพียงความมืดมิดที่ค่อยๆปรากฏรูปร่างขึ้น


 


ตรงส่วนหน้าของไพ่ เต็มไปด้วยหลุมฝังศพจำนวนมาก พร้อมกับโครงกระดูกสีดำที่สวมใส่ชุดคลุมขาดวิ่น ขณะที่ถือเคียวยาวอยู่ในมือของเขา


 


“ดูเหมือนว่า … นั่นจะเป็นยมทูต เทพแห่งความตายในตำนาน?” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ


 


เมื่อโครงกระดูกดำพบว่ากู่ฉิงซานกำลังจ้องเข้ามาในไพ่ มันก็หันหน้าสวนกลับไปมองกู่ฉิงซาน


 


นี่คือไพ่แรร์ : ไพ่พยากรณ์โชคชะตา


 


ขณะนี้ มันกำลังแสดงให้กู่ฉิงซานได้เห็นถึงชะตากรรมของเขา -ซึ่งก็คือความตาย


 


ฉานนู่กล่าว “ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงอำนาจอันน่าขวัญผวาจากไพ่ใบนี้ นายน้อย พวกเราจะต้องเร่งมือคิดหาวิธีแก้ไขมันอย่างรวดเร็ว เพื่อให้โครงกระดูกในไพ่หายไป”


 


“เหตุใดจึงต้องทำให้มันหายไปด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เพราะหากภาพของมันปรากฏขึ้นมาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าทุกๆการกระทำที่ท่านกำลังคิดจะทำในภายภาคหน้ามันเสี่ยงอันตรายถึงตาย ดังนั้นจึงต้องคิดหาหนทางใหม่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ล่วงหน้า”


 


ฉานนู่มองไปยังกู่ฉิงซานด้วยความสับสน ความจริงเรื่องง่ายๆเช่นนี้เหตุใดกู่ฉิงซานจึงต้องเอ่ยถามย้ำกับเธอด้วย?


 


กู่ฉิงซานมองไปบนไพ่ ทันใดนั้นบนใบหน้าของเขาก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา


 


“ไม่จำเป็นหรอก” เขาส่ายหัว ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


 


“นายน้อย ไพ่ใบนี้ล้ำค่ายิ่ง มันเป็นอุปกรณ์ที่จะใช้ตัดสินลางร้าย แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ใช้มันล่ะ?” ฉานนู่เอ่ยด้วยความฉงน


 


“ก็หากไพ่ใบนี้สามารถชี้นำบุคคลให้รอดพ้นจากโชคชะตาแห่งความตายได้จริง แล้วทำไมชิงหยินถึงตายลงเล่า?” กู่ฉิงซานถาม


 


ฉานนู่ชะงักงันไป


 


อันที่จริง พอมาลองคิดดูแล้ว มันก็ใช่


 


แต่-


 


“ชิงหยินในเวลานั้นน่ะมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก แต่ในเวลานั้นเธอจั่วไพ่สายเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีเวลามากพอที่จะช่วยชีวิตตนเอง” ฉานนู่กล่าว


 


“ไม่ มันมิใช่เช่นนั้น”


 


“ผู้น้อยไม่เข้าใจ นายน้อยโปรดอธิบาย”


 


เธอเชื่อในการตัดสินใจของกู่ฉิงซานก็จริง แต่สำหรับเรื่องนี้ เธอไม่อาจเข้าใจมันได้เลย


 


“ฉานนู่ เจ้าจำได้หรือไม่ ว่าหากเจ้าเชื่อในโชคชะตาแล้ว โชคชะตาก็จะตัดสินชีวิตให้เจ้า”


 


“อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกดาบอย่างเราๆน่ะ ไม่เคยเชื่อถือในชีวิต มิได้ตระหนักถึงความตาย พวกเราน่ะไม่ยอมรับในโชคชะตา ดังนั้น ชีวิตของเราจะอยู่หรือตาย พวกเราก็จะต้องเป็นคนไปต่อสู้กับมันด้วยตนเอง”


 


กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังกายหลักของมารโลกา ที่ไพศาลยิ่งกว่าท้องทะเล ไกลสุดลูกหูลูกตาจนมิอาจมองเห็นถึงจุดสิ้นสุดได้


 


ทะเลกล้ามเนื้อ กำลังกระเพื่อมดั่งคลื่นสึนามิ เพื่อทำลายล้างโลก


 


ช่วงเวลานี้ คือช่วงเวลาสุดท้ายที่โลกทั้งใบจะยังคงสงบสุข


 


ฉานนู่เร่งกล่าวออกไป “แต่โลกทั้งใบกำลังจะล่มสลาย พลังอำนาจของมารโลกามิอาจต่อกรกับมันได้ แล้วพวกเราจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างไร?”


 


กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ก็เพราะด้วยเหตุนี้แล เราจึงมิอาจถูกจูงจมูกโดยโชคชะตาได้ มิฉะนั้นแล้วพวกเราก็อาจจะจบชีวิตลงเช่นเดียวกับชิงหยิน ซึ่งแบบนั้นข้าไม่ยอมแน่”


 


“หากข้าไม่พึ่งพาโชคชะตา แต่ดิ้นรนด้วยตนเองแม้กระทั่งในช่วงเวลาสุดท้ายแล้วยังพ่ายแพ้ ข้าก็ไม่เสียใจ”


 


ฉานนู่ตะลึง


 


“ดังนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ไพ่ใบนี้”


 


กู่ฉิงซานเก็บกลับคืน


 


โดยที่เขาและฉานนู่ไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่า ในช่วงเวลาที่ไพ่กำลังจะถูกใส่ลงในถุงสัมภาระ โครงกระดูกดำบนหน้าไพ่จู่ๆก็หายวับไป มิอาจมองเห็นได้อีกเลยกระทั่งร่องรอยของมัน


 


ไพ่ใบนี้ได้ระบุอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ถึงชะตากรรมต่อจากนี้ไปของกู่ฉิงซานที่มีเพียงความตาย


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อกู่ฉิงซานล้มเลิกที่จะใช้ไพ่ใบนี้ และมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ทุ่มเทความพยายามด้วยตนเอง สัญญาณแห่งความตายก็แปรเปลี่ยนไปทันที


 


ไพ่ใบนี้ … ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ


 


“ตอนนี้ยังพอจะเหลือเวลาอยู่บ้าง พวกเราไปสำรวจสถานการณ์รอบๆเกาะลอยฟ้ากันก่อนเถอะ จากนั้นก็ค่อยเริ่มเตรียมการบางอย่างกัน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่รับคำ


 


แล้วทั้งสองก็กระโดดลงจากเวทีสูงไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม