Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 462-467

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.462 – กลองศึก


 


ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า หลงเหลือผู้คนอยู่อีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นได้ตายลงไปกันหมดแล้ว


 


ดังนั้น บรรยากาศโดยรอบในขณะนี้จึงเงียบงัน … เงียบงันจนน่าขนลุก


 


ดวงตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง เพ่งมองไปทางอีกฝ่าย


 


ในมือของฉีหยานกำลังกุมดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่บนศีรษะสวมหมวกไม้ไผ่


 


ขอบของหมวกไม้ไผ่ถูกกดลงมาจนต่ำเกินควร จนทำให้ผู้ที่มองมา มิอาจเห็นถึงเค้าโครงหน้าที่แท้จริงของเขาได้


 


อย่างไรก็ตาม เพียงกวาดสายตามอง หวังหงษ์เต๋าก็สามารถตระหนักถึงเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ในทันที


 


คนเบื้องหน้าเขา คือฉีหยานจริงๆ


 


ทุกๆสรีระต่างๆในร่างกาย ไม่มีส่วนใดผิดเพี้ยนไปจากฉีหยานที่เขาเคยพบเจอเลย


 


ฉีหยานก็มองดูเขาเช่นกัน


 


สายตาของทั้งสองประสานกัน มิอาจถอนออกไปได้ชั่วคราว


 


แต่แล้วก็เป็นหวังหงษ์เต๋าที่ยอมแพ้สงครามจ้องตานี้ เขาเบนวิสัยทัศน์ไปยังดาบยาวในมือของฉีหยาน


 


ปากเอ่ยกล่าว “ไม่หรอก เจ้าจะต้องไม่ใช่ฉีหยานอย่างแน่นอน”


 


“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า?” ฉีหยานเอ่ยถาม


 


“เพราะเจ้าหนูฉีหยานมันไม่เคยใช้ดาบ เขาเชี่ยวชาญในค่ายกลและธาตุไฟจากธาตุทั้งห้า”


 


“ก็ .. ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าบางทีจู่ๆข้าอาจจะรู้สึกสนใจที่จะหันมาฝึกดาบก็ได้” ฉีหยานกล่าว


 


หวังหงษ์เต๋าส่ายหัว “ทักษะดาบ เป็นอะไรที่ร่วมฝึกกับทักษะอื่นๆได้ยากเย็นที่สุด และมันย่อมไม่มีทางบรรลุได้เพียงชั่วข้ามคืน”


 


เขายกมือขึ้น และเริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณตน


 


ทันใดนั้นแมลงมารหลากสีสันก็ปรากฏกายของมันขึ้นบนหลังมือของเขาอย่างเงียบๆ


 


“ถึงแม้ว่าเจ้าจะสวมหมวกไม้ไผ่ แต่ข้าก็สามารถรับรู้ถึงสถานะขอบเขตโดยประมาณของเจ้าได้อยู่ดี – ความแข็งแกร่งของเจ้าด้อยกว่าข้ามากมายนัก ดังนั้น หากยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จงบอกพิกัดของโลกใหม่แด่ข้าประเดี๋ยวนี้!” หวังหงษ์เต๋ารวบรัด


 


ฉีหยานกุมดาบในมือแน่นขึ้น ทว่าก็ยังคงมิเอ่ยสิ่งใด


 


หวังหงษ์เต๋าเมื่อเห็นแบบนั้น ก็เอ่ยต่อว่า “พวกเราอย่ายืดเยื้อให้เสียเวลาจะดีกว่า มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่ตอนนี้จงมอบพิกัดของโลกใหม่มาเสีย จากนั้นก็รับผนึกต้องห้ามของข้าเข้าสู่ตัวเจ้าซะ แล้วเราจะได้มีเวลาสนทนากันมากขึ้น”


 


“อาวุโสหวัง ท่านใช่ดูกังวลเกินไปหรือไม่?” ฉีหยานเอ่ยถาม


 


“มิใช่เช่นนั้นหรอก ก็แค่เพียงไม่อยากจะพล่ามไร้สาระมากไปกว่านี้ก็เท่านั้นเอง”


 


“เพราะเหตุใด?”


 


“เพราะยิ่งพูดมาก ตัวแปรก็จะยิ่งผกผันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว”


 


เมื่อจบประโยคนี้ กระแสเสียงของหวังหงษ์เต๋าก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า “ข้าจะให้เวลาเจ้าสามลมหายใจ จงทิ้งดาบในมือและยอมจำนนเสีย มิฉะนั้นข้าจักสังหารเจ้าลงตรงนี้เลยโดยตรง”


 


อย่างไรก็ตาม ดาบในมือของฉีหยานกลับวูบไหวทันใด


 


รังสีดาบทะยานตัวออก และสับเข้ากับบางสิ่งที่มองไม่เห็นกลางอากาศ


 


โฮกกกก!


 


ในอากาศที่ว่างเปล่า จู่ๆแมลงยักษ์ตัวหนึ่งเผยโฉมออกมา มันเปล่งเสียงร้องร่ำด้วยความเจ็บปวด


 


มันถูกรังสีดาบสับสะบั้นตั้งแต่ส่วนหัว จรดไปจนถึงหาง


 


เลือดสีเหลืองซัดสาดราวกับพายุฝนกระหน่ำ แต่ทั้งหมดก็ถูกเป่าลอยหายไปตามกระแสลมที่เกิดจากรังสีดาบ


 


แมลงประหลาดร่วงตกลงในจุดนั้น ร่างของมันกระแทกลงกับพื้นและนิ่งงันไม่เขยื้อนไหวอีกเลย


 


“อาวุโสหวัง เจ้ามิใช่กล่าวว่าจักให้เวลาข้า 3 ลมหายใจหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงลงมือทันทีเลยเล่า?” ฉีหยานเอ่ยเสียงเย็น


 


สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าหม่นทะมึนลง


 


“ขอบเขตระดับต่ำ ทว่าทักษะดาบกลับโดดเด่นชนิดหาตัวจับได้ยาก ..”


 


“แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ มันยังเร็วไป 100000 ปี หากคิดทะนงตนมาต่อกรกับข้า!”


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างช้าๆ ความผันผวนทางพลังวิญญาณอันสยองเกล้าเริ่มจะลุกโชนออกมา


 


ด้วยอำนาจของเขาเพียงลำพัง ส่งผลให้ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าค่อยๆเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น


 


“นี่น่ะหรือคือพลังอันทรงพลานุภาพของขอบเขตลมปราณจิต?”


 


ฉีหยานที่รับรู้ได้ถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณในอากาศที่ว่างเปล่า ปากเอ่ยกล่าวถอนหายใจด้วยอารมณ์เล็กน้อย


 


“โอกาสสุดท้าย จะยอมจำนนต่อข้า หรือว่าจะเลือกตายลงในวินาทีถัดไป” หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างไร้เยื่อใย


 


ฉีหยานตอบกลับ “ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของข้า นายน้อยของข้าคงจะไม่เห็นด้วยเป็นแน่”


 


“นายน้อยของเจ้า?” น้ำเสียงของหวังหงษ์เต๋าเริ่มจะรุนแรงขึ้น


 


สิ่งที่ได้ยินนี้ช่างเป็นอะไรที่ไม่คาดคิดจนทำให้รู้สึกฉงนได้จริงๆ


 


ประโยคเหล่านี้ มันเป็นตัวแทนที่บ่งบอกได้ถึงความหมายมากมายหลากหลาย เป็นเรื่องยากนักที่จะคาดเดา


 


หวังหงษ์เต๋าชะงักงันไป


 


แต่แล้วในวินาทีต่อมา


 


ขณะเดียวกัน สีหน้าการแสดงออกของฉีหยานก็เผยให้เห็นถึงความสนใจออกมา


 


และหวังหงษ์เต๋าก็เช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปบนท้องฟ้า


 


“โครม!”


 


ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างถูกทำลายลง


 


ต่อมา ก็บังเกิดชุดเสียงกึกก้องที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเกาะลอยฟ้าขึ้นอีกครั้ง


 


ตึง!


 


ตึง! ตึง!


 


ตึง! ตึง! ตึง!


 


ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!


 


เสียงนี้ดังระรัวขึ้นราวกับกลองชุด มันค่อยๆถี่ขึ้น ถี่ขึ้นเรื่อยๆ


 


เสียงกลองศึกขจรขจาย กังวานออกไปตลอดทั้งเกาะ


 


นี่เป็นเสียงแจ้งเตือนระดับสูงสุดของนิกายกวงหยาง ซึ่งบ่งบอกว่าสถานการณ์อันตรายร้ายแรงถึงขั้นชีวิตและความตายได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


 


เมื่อเสียงกลองชุดนี้ดังขึ้น ผู้ฝึกยุทธทุกคนจักต้องละมือจากทุกสิ่งอย่างที่พวกเขากำลังทำอยู่ และมุ่งหน้าตรงไปยังส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า


 


และทุกคนจักต้องพิทักษ์ที่นั่นโดยห้ามหวงแหนชีวิตและความตายของตนเองเอาไว้โดยเด็ดขาด


 


เพราะเสียงกลองนี้ มันกำลังบ่งบอกว่าค่ายกลที่สำคัญที่สุดกำลังเกิดปัญหา!


 


แน่นอน ว่าค่ายกลที่สำคัญที่สุด ย่อมไม่พ้น ‘ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่!!’


 


นี่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่มารโลกาจะสามารถค้นพบเกาะใบนี้ได้!


 


และในขณะนี้ ค่ายกลที่ว่าก็พึ่งถูกทำลายลง!


 


สำหรับนิกายแล้ว นี่นับว่าเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตาย!


 


เสียงของกลองศึกโบราณสะท้อนไปตลอดทั้งเกาะ


 


สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนกลับกลาย


 


ในเสี้ยววินาที พลังวิญญาณของเขาก็ถูกดูดเก็บกลับคืน สลายไปไม่หลงเหลือกระทั่งร่องรอยของมัน


 


เขาใช้ความเร็ว เร็วแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ รวบพลังวิญญาณกลับคืน


 


ทว่า …


 


แม้หวังหงษ์เต๋าจะรวดเร็วเท่าใด แต่มันก็ยังช้าไปเล็กน้อยอยู่ดี


 


เบื้องบนท้องฟ้า บังเกิดฟันซี่แหลมๆที่อยู่ในปากหนาสีดำปรากฏขึ้น


 


—ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาปรากฏตัวออกมาแล้ว!


 


ปากขนาดใหญ่เหล่านี้ลอยล่องอยู่รอบเกาะอย่างเงียบๆ ทั้งหมดล้วนหันหน้าตรงมายังตำแหน่งที่หวังหงษ์เต๋ายืนอยู่


 


ปากใหญ่สีดำอ้าเผยอออก และค่อยๆหุบลงอย่างช้าๆ


 


น่าเสียดายจริงๆ หากพวกมันรวดเร็วกว่านี้อีกสักลมหายใจเดียว คงจับตำแหน่งที่แม่นยำของความผันผวนทางพลังวิญญาณเมื่อครู่ได้แล้ว


 


อีกเพียงแค่นิดเดียว .. พวกมันก็จะได้กลืนกินอาหารอันโอชะอยู่แล้วเชียว


 


ปากใหญ่สีดำทยอยกันปรากฏกายมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนเติมเต็มไปตลอดทั้งความว่างเปล่า


 


เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง บัดนี้ถูกล้อมกรอบไปด้วยร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกา


 


หวังหงษ์เต๋าจ้องมองไปยังฉากนี้ด้วยฟันที่ขบแน่น ปากเอ่ยกล่าว “ไอ้เด็กสารเลวนี่  … ”


 


“ต่อให้เจ้ามีขอบเขตวรยุทธที่สูงส่งแล้วมันอย่างไร? หากนายน้อยไม่อนุญาตให้เจ้าได้ใช้พลังวิญญาณ ตัวเจ้าก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดอยู่ดี” ฉีหยานกล่าวอย่างสบายๆ


 


ทั้งสองต่างยืนพูดคุยกันอยู่บนแท่นเวทีหารือ


 


ขณะที่ตลอดทั้งเกาะของนิกายกวงหยาง บัดนี้มิอาจปลดปล่อยพลังวิญญาณได้อีกต่อไป!


 


เพราะนับจากช่วงเวลานี้ไป ตราบใดที่มีใครกล้าใช้พลังวิญญาณ คนผู้นั้นก็จะถูกค้นพบร่างไร้จิตสำนึกและถูกกลืนกินลงโดยมารโลกา


 


ไม่ว่าจะเป็นหวังหงษ์เต๋าในขอบเขตลมปราณจิต หรือเซ่าหวูชุ่ยในขีดสุดความว่างเปล่า ก็ล้วนมิอาจใช้พลังวิญญาณที่คุกรุ่นอยู่ในร่างกายออกมาได้เพียงแม้เพียงน้อย!


 


ปากใหญ่สีดำบนฟากฟ้าเผยอขึ้นอีกครา เผยให้เห็นถึงคมเขี้ยวแหลมของมัน


 


พวกมันกำลังเฝ้ารอให้สิ่งมีชีวิตเปิดเผยพลังวิญญาณออกมา


 


หากสามารถระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้อีกแม้เพียงครั้งหนึ่ง พวกมันจะปิดล้อมจับกลุ่ม และกัดกินผู้ฝึกยุทธไม่มีหลงเหลือในทันที


 


“กักขังพลังวิญญาณ แล้วดวลกันด้วยเพลงดาบและกระบี่เพียวๆ … นี่คือวิธีที่เจ้าคิดจะใช้เพื่อจัดการกับข้าอย่างงั้นสินะ? ” หวังหงษ์เต๋าหรี่ตามองฉีหยาน


 


ตึง ตึง!


 


ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!


 


เสียงกลองกระหน่ำระรัวราวกับห่าฝนที่ซัดสาด กระตุ้นให้ผู้คนต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องนิกายของตน


 


และเสียงกลองนี้จะไม่มีวันหยุดลง ตราบใดที่ค่ายกลยังไม่ถูกซ่อมแซมลงจนเสร็จสมบูรณ์


 


เดิมที ในช่วงเวลาเช่นนี้ มันคือช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธจะต้องลุกฮือขึ้นมาอย่างหาญกล้าเพื่อทำการปกป้องนิกาย


 


แต่ผู้ฝึกยุทธเกือบทั้งหมด … ได้ถูกสังหารตกตายลงไปแล้วด้วยน้ำมือของหวังหงษ์เต๋า!


 


ในตอนนี้ จึงไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถเข้าไปป้องกันค่ายกลได้


 


นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าอัปยศที่สุดในชีวิตของหวังหงษ์เต๋าโดยแท้!


 


มือของเขา เอื้อมออกไปตบลงบนถุงสัมภาระโดยไม่รู้ตัว


 


“ข้าทราบดีว่าเจ้ามีเรือเหาะไว้ใช้หลบหนี แต่ตอนนี้เจ้ากล้าที่จะใช้ถุงสัมภาระจริงๆน่ะหรือ?” ฉีหยานเอ่ยถาม


 


หวังหงษ์เต๋าเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า


 


เมฆหมอกทั้งมวลมิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป ในวิสัยทัศน์มีแค่เพียงร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาเท่านั้น


 


พวกมันไม่แม้แต่จะเคลื่อนกายขยับไหว ทั้งตนทั้งร่างล้วนต่างพากันเพ่งความรู้สึกจับสัมผัสกับพลังวิญญาณที่อาจปรากฏขึ้นรอบตัว


 


สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าหม่นทะมึน


 


เพราะการจะเปิดใช้งานถุงสัมภาระ … มันจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณ!


 


แต่หากเขาใช้พลังวิญญาณออกไป มันก็มีแนวโน้มมากทีเดียวที่จะถูกจับตำแหน่งได้โดยร่างไร้จิตสำนึกเหล่านั้น


 


แน่นอนว่าผลที่ตามมา คือความตาย!


 


และหวังหงษ์เต๋าก็มิกล้าที่จะเสี่ยงเดิมพันถึงเพียงนั้น


 


“แต่เจ้าไม่ลองคิดกลับกันดูหรือ ว่าหากเป็นในกรณีนี้ ตัวเจ้าเองก็มิสามารถหลบหนีออกไปได้เช่นกันนะ?” หวังหงษ์เต๋ากล่าว


 


“ข้ายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย” ฉีหยานเฉลยด้วยรอยยิ้ม


 


‘มันดันเอ่ยยอมรับออกมาอย่างมีความสุข’ … หวังหงษ์เต๋าที่เห็นถึงฉากนี้แทบไม่อยากจะทำใจเชื่อได้


 


“ข้าไม่เชื่อเจ้า! ไม่มีผู้ใดหรอกที่จะเพิกเฉยต่อชีวิตและความตายของตนเอง!” หวังหงษ์เต๋าส่ายหัวและกล่าว


 


“ฟังนะ ขอบอกตรงๆว่าข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเสียงกลองศึกโบราณเช่นนี้มาก่อนเลย แต่พอได้ฟังดูก็คิดว่ามันปลุกใจได้ดีทีเดียวเหมือนกัน” ฉีหยานเอ่ยอย่างแผ่วเบา


 


ดาบในมือถูกกุมแน่นขึ้น ทั้งคนทั้งร่างโน้มตัวลงไปยังเบื้องหน้าเล็กน้อย


 


“ในวันนี้ ณ ที่แห่งนี้ ไม่เจ้าตายข้าก็พินาศ! ถึงเวลาเสียทีที่ทุกสิ่งอย่างจะถูกตัดสินด้วยชีวิตเป็นตาย!”


 


เขากล่าวประโญคสุดท้ายออกมา และเตรียมที่จะเปิดฉากโจมตี


 


“ช้าก่อน!” หวังหงษ์เต๋าตะโกนลั่น


 


“เจ้ามันช่างโง่เง่านัก เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกกันก่อนว่าเจ้าได้ควบคุมค่ายกลของเกาะลอยฟ้าแห่งนี้เอาไว้แล้ว พวกเราจะได้ตกลงกันด้วยดีตั้งแต่แรก!” หวังหงษ์เต๋ากัดฟันกล่าว”


 


“นั่นไม่จำเป็น” ฉีหยานเอ่ยปากออกมา “เพราะนายน้อยของข้ามิคิดจะสนทนาใดๆกับเจ้าอยู่แล้ว และอีกอย่าง สำหรับตัวข้าเอง ยามที่จักต้องต่อสู้กับศัตรู ก็มิชอบขบคิดอะไรน่าเบื่อให้มันยุ่งยากเช่นกัน!”


 


ดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงชี้ตรงไปยังหวังหงษ์เต๋า


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


กลองศึกกระหน่ำเสียงหนักทึบขึ้น


 


จิตต่อสู้ฟุ้งกระจายไปทั่ว


 


ดูเหมือนว่าสัญญาณแห่งการต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้นแล้ว!


 


“ตัวข้า – ฉานนู่แห่งโลกปรภพ โปรดชี้แนะด้วย!”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.463 – แผนที่สมบูรณ์แบบ


 


ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย


 


อีกด้านหนึ่ง


 


ในช่วงที่ฉานนู่ไปปรากฏตัวต่อหน้าหวังหงษ์เต๋า


 


กู่ฉิงซานก็นำฉินรั่วและว่านเอ๋อมุ่งตรงไปยังส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า


 


สถานที่ซึ่งค่ายกลของตลอดทั้งนิกายกวงหยางถูกจัดวางเอาไว้ที่นี่


 


“การที่ค่ายกลสามารถปกคลุมทั่วทั้งเกาะได้ นั่นย่อมหมายความว่ามันจะต้องมีขนาดใหญ่มาก” ฉินรั่วกล่าว


 


“โดยปกติแล้ว จะต้องมีปรมาจารย์ค่ายกลอย่างน้อยสามคน จึงจะสามารถควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่นี้ได้” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า จ้องมองดูค่ายกลขนาดใหญ่ที่ถูกจัดวางเรียงกันเป็นชั้นๆ


 


สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆเริ่มกลายเป็นหนักอึ้ง


 


“โชคดีจริงๆที่เราอยู่ภายในค่ายกลป้องกันอยู่ก่อนแล้ว มิฉะนั้น หากจักต้องบุกทำลายมันจากภายนอก ในระยะเวลาสั้นๆมันคงยากเย็นยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสรวงสวรรค์” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ต้องไม่ลืมนะว่าความแตกฉานทางด้านค่ายกลของโลกใบนี้น่ะมันทรงประสิทธิภาพเพียงใด


 


ชุดค่ายกลป้องกันเหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็นชั้น เป็นชั้น แถมในแต่ละชั้นก็ยังมีค่ายกลเล็กๆอยู่อีกกว่าหลายสิบค่าย


 


อธิบายเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอบ่งบอกได้แล้วว่ามันคงมิอาจทำลายได้โดยง่าย


 


กล่าวได้ว่าพวกมันสามารถรับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตได้เลยทีเดียว


 


ค่ายกลป้องกันทั้งหมดถูกจัดวางขึ้นอย่างแน่นหนา ตีวงล้อมเป็นทรงกลม คอยพิทักษ์ค่ายกลอื่นๆที่อยู่ภายใน


 


—และนั่นคือค่ายขนาดใหญ่ที่สามารถซ่อมแซมค่ายกลในแต่ละกลุ่มได้


 


36ค่ายกลซ่อมแซมอัตโนมัติถูกจัดวางเอาไว้ภายใน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความเสียหายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น และพร้อมทำงานตลอดเวลา


 


หากคุณทำลายหนึ่งในค่ายกลที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ลง ค่ายกลซ่อมแซมก็จักถูกเปิดใช้งานเพื่อฟื้นฟูค่ายกลที่เกี่ยวข้องทันที


 


พวกมันจะทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อทำการซ่อมแซมค่ายกลที่ถูกทำลายไปโดยอัตโนมัติ


 


กล่าวได้ว่านี่คือการรังสรรค่ายกลที่ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกล่องเวหา!


 


ด้วยพื้นฐานวรยุทธในด้านการจัดวางค่ายกลในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน เขาแทบจะไม่สามารถถอดรหัสค่ายกลเหล่านี้ได้เลย


 


แต่ถ้าจะให้นึกหาวิธีลบพวกมันออกไปแล้วล่ะก็ หากมีเวลาขบคิดอย่างช้าๆ ก็อาจจะพอทำได้


 


แต่ช้าๆที่ว่า บางทีอาจจะใช้เวลาหลายวัน หรือลากยาวไปถึงหลายสิบวัน!


 


ซึ่งเขาไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น


 


กู่ฉิงซานตรวจดูค่ายกลทั้งหมดเบื้องหน้า จนในหัวใจของเขามั่นใจ


 


เขาหันหน้าไปมองสองสาวใช้และกล่าว “มีบางสิ่งที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยเหลือ”


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อกล่าวเป็นเสียงเดียว “นายน้อยโปรดพูด”


 


“ด้วยความรอบรู้ในด้านค่ายกลของข้าในขณะนี้ อาจจะซื้อเวลาได้ประมาณหนึ่งในสี่ชั่วยาม”


 


“หนึ่งในสี่ชั่วยาม?” ว่านเอ๋อย้อนคำด้วยความสงสัย


 


“ใช่ หลังจากที่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ถูกทำลายลง ค่ายกลซ่อมแซมเหล่านี้ก็จะเริ่มทำงานทันที และภายในหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ”


 


“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี?” ฉินรั่วเอ่ยถาม


 


“จงปกป้องที่นี่ และห้ามอนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาเร่งเวลาในการซ่อมแซมค่ายกลเด็ดขาด”


 


“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป เพราะข้าแทบจะไม่อาจสัมผัสได้เลยว่ามีคนรอดชีวิตอยู่ที่เกาะนี้” ฉินรั่วกล่าว


 


“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจหวังหงษ์เต๋า ไม่ไว้ใจเซ่าหวูชุ่ย กระทั่งเย่หยิงเหมยเองก็เช่นกัน พวกเขาเหล่านี้อาจจะก่อปัญหาให้เราได้ เจ้าทั้งสองจะต้องแน่ใจว่าจักปกป้องไม่ให้ค่ายกลถูกซ่อมแซมเสร็จก่อนเวลาที่กำหนด”


 


“เข้าใจแล้ว! เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง” ว่านเอ๋อตอบรับ


 


“นายน้อย ท่านเองก็ระมัดระวังตัวด้วย” ฉินรั่วเตือน


 


สองหญิงสาวจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิด


 


-จนถึงขณะนี้ พวกเธอก็ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี


 


เพราะสิ่งที่กู่ฉิงซานจะทำต่อไปนี้ อยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของพวกเธอไปโดยสมบูรณ์


 


เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เดินเข้าไปในกลุ่มค่ายกล


 


เขาเดินไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าหนึ่งในค่ายกลที่พิเศษที่สุด


 


‘ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่’


 


ด้วยค่ายกลนี้ มารโลกาจะไม่สามารถตรวจสอบหรือรับรู้ถึงพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธได้


 


หากอยู่ในค่ายกลนี้ ผู้ฝึกยุทธจะสามารถฝึกฝนได้อย่างปลอดภัย


 


กู่ฉิงซานเฝ้าเพ่งพิจารณาค่ายกลที่ว่า


 


‘ถูกรายล้อมด้วยค่ายกลป้องกันนับสิบ ซ้อนทับด้วยค่ายกลซ่อมแซมที่พร้อมทำงานตลอดเวลาอีกที’


 


หากคุณต้องการที่จะทำลายค่ายกลพิเศษนี้ ก็จำเป็นต้องเป็นปรมาจารย์ค่ายกลหรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต จึงจะสามารถบรรลุได้


 


หากจะทำลายมัน สำหรับปรมาจารย์ค่ายกลแล้ว พวกเขาจะรู้ว่าองค์ประกอบใดสำคัญที่สุดในค่ายกลนี้ และเริ่มทำการจู่โจมตำแหน่งนั้นจากภายใน


 


ขณะเดียวกันหากเป็นผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตที่คิดทำลายมัน ก็เพียงแค่ระเบิดพลังอำนาจทั้งหมดที่เขามีออกมา แล้วทำการจู่โจมเข้าไปจากภายนอกก็เท่านั้นเอง


 


-แต่มันก็ยังใช้เวลานานยิ่งกว่าสิ่งที่กู่ฉิงซานกำลังจะทำนับจากนี้ไปอยู่ดี


 


กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กขึ้นมา และเริ่มใช้มันทำการเชื่อมต่อกับค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่


 


อย่างรวดเร็ว! เขาก็สามารถควบคุมศูนย์กลางของค่ายกลได้สำเร็จ!


 


ท้ายที่สุดนี้ ต้องรู้นะว่าเขาไม่เพียงมีดิสก์ค่ายกลของนิกายกวงหยางอยู่ในกำมือ แต่ยังได้ล่วงรู้ถึงองค์ประกอบของค่ายกลและวิชาต้องห้ามของหวังหงษ์เต๋าในห้องลับมาแล้วอีกด้วย!


 


ค่ายกลทั้งหมดเริ่มตอบรับการปรับแต่งโดยเขา


 


สักพักหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานก็หยุดมือลง


 


“มีเวลา … เพียงแค่หนึ่งในสี่ชั่วยามเท่านั้น” ปากเอ่ยเสียงกระซิบ


 


หลังจากหนึ่งในสี่ชั่วยาม ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ก็จะถูกซ่อมแซมจนกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมทันที


 


กู่ฉิงซานหลับตาลง กระตุ้นพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกาย ใช้ออกด้วยวิชาลับ ผลักดันพวกมันทั้งหมดเข้าไปในศูนย์กลางสำคัญของค่ายกล


 


ตลอดทั้งค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่บังเกิดกระบวนการไหลย้อนกลับทันที


 


ปัง!


 


ค่ายกลถูกทำลาย


 


ตึ่ง!


 


ตึ่ง! ตึ่ง!


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


เสียงกลองที่หนักทึบ ดังสะท้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


 


เสียงแจ้งเตือนของนิกายดังขึ้นทันใด


 


เสียงกลองเช่นนี้ คล้ายดั่งกลองศึกในสมัยโบราณ ที่พวกมันมักจะถูกเคาะหลายตัวพร้อมๆกันในยามก่อนการต่อสู้


 


เสียงกลองศึกนี้ ทำให้เลือดในกายเดือดพล่านยิ่งกว่าเสียงแจ้งเตือนจากค่ายกลหรือยันต์อย่างเทียบไม่ติด!


 


กู่ฉิงซานที่อยู่ในใจกลางต้นกำเนิดเสียงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดหู


 


ฉินรั่วเมื่อเห็นแบบนั้นก็เอ่ยว่า “นายน้อย นี่คือกลองศึกของนิกายกวงหยาง มันจะถูกตีขึ้นทุกครั้งในยามที่พวกเขาจะบุกไปยังต่างโลกหรือในยามที่ต้องเริ่มทำการปกป้องนิกาย”


 


“อย่างงั้นหรือ แต่เสียงของมันก็ฟังดูหนักแน่นและทำให้รู้สึกปลุกใจเพิ่มมากขึ้นจริงๆนั่นแหละ ”


 


กู่ฉิงซานหันหลังกลับไป และโบกมือให้หญิงสาวทั้งสอง


 


“ที่นี่ฝากพวกเจ้าด้วย”


 


“ขอนายน้อยโปรดวางใจ” สองหญิงสาวเอ่ยเป็นเสียงเดียว


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า ช่วงล่างเกร็งแน่น และเริ่มทะยานตัว วิ่งตรงไปยังทิศทางของฉานนู่อย่างรวดเร็ว


 


—ในหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามนี้ จักไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่สามารถใช้พลังวิญญาณได้!


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า และย่ำฝีเท้าเหินไปด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เขามี


 


เขาจะต้องเร่งไปยืนอยู่เคียงข้างกับฉานนู่ให้เร็วที่สุด!


 


จะต้องจบทุกอย่างลงในช่วงเวลาที่หวังหงษ์เต๋าหวาดกลัวมารโลกา จนมิกล้าใช้ออกด้วยพลังวิญญาณนี้นี่แหละ!


 


ภายในหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม จักต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าให้จงได้!


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


กลองศึกกระตุ้นใจให้ผู้ที่กำลังจะต่อสู้คึกคะนอง


 


หวังหงษ์เต๋าจ้องมองฉานนู่ด้วยดวงตาที่สั่นไหว และไม่เอ่ยอะไรออกมาอยู่เนิ่นนาน


 


ในระหว่างหลายลมหายใจที่เงียบงันนี้ ในสมองของเขาปั่นความคิดอันหลากหลายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง


 


แต่ไม่นานนัก หวังหงษ์เต๋าก้ได้ข้อสรุปที่เป็นไปได้มากที่สุดออกมา


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นกู่ฉิงซานสินะ? และข้าก็คิดว่าฉีหยานคงจะตกตายไปแล้วด้วยน้ำมือของเจ้า”


 


“ที่แท้เจ้าก็มาจากโลกอื่น แน่นอนว่าเจ้าย่อม-”


 


“เราเสียเวลากันมามากพอแล้ว มาต่อสู้กันซะทีเถอะ” ฉานนู่ขัดจังหวะเขา


 


“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้? เหตุใดพวกต้องมีฝ่ายหนึ่งรอดและอีกฝ่ายหนึ่งตายด้วย?” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยถาม


 


“ยิ่งกล่าววาจาไร้สาระมากเท่าใด ตัวแปรก็จะยิ่งผกผันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว” ฉานนู่เอ่ยสวน


 


หวังหงษ์เต๋าพอได้ยินก็ชะงักงัน


 


เพราะประโยคเมื่อครู่ เป็นคำที่เขาพึ่งจะเอ่ยกับอีกฝ่ายไป แต่ตอนนี้มันดันโดนตอกย้อนกลับมาเสียเอง


 


“เจ้าหนู รู้ไหมว่านี่มันชักจะมากเกินไปแล้ว … ”


 


หวังหงษ์เต๋าอ้าปาก บ่นพึมพำราวกับต้องการจะกล่าวบางสิ่งต่อ


 


แต่ฉานนู่ก็ควงดาบเดินเข้าหาเสียก่อน


 


เธอไม่สนแม่งแล้วว่าอีกฝ่ายอยากจะพูดอะไร ตอนนี้เธอต้องการจะสังหารเขาในทันที!


 


ทว่ากลับเห็นเพียงสีหน้ายิ้มแย้มของหวังหงษ์เต๋าขึ้นใด “ใจเย็นๆสิ ข้ายังมีอีกเรื่องสุดท้ายที่ต้องการจะบอกเจ้า”


 


ฉานนู่เงียบ และยังคงถือดาบมุ่งต่อไป


 


ระหว่างทั้งสอง ระยะห่างลดฮวบๆลงอย่างรวดเร็ว


 


“อันที่จริงแล้ว สถานการณ์แบบนี้น่ะ … ก็อยู่ในการคำนวณของข้าเช่นกัน”


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าวพร้อมกับปรบมือของเขา


 


เสียงปรบมือนี้ดังฟังชัด ชนิดที่ว่ากลบเสียงของกลองศึกไปได้ชั่วขณะหนึ่ง และกังวานก้องไปตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า


 


ขณะที่ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาก็ยังมิเคลื่อนไหว


 


เพราะพวกมันรับรู้เพียงแค่พลังวิญญาณ มิใช่เสียง


 


อย่างไรก็ตาม กลับมีร่างๆหนึ่งที่ตอบรับถึงเสียงๆนี้ และมุ่งทะยานตรงมายังต้นเสียงด้วยความว่องไวยิ่ง!


 


แน่นอน ว่าหากเป็นไปในสถานการณ์ปกติแล้ว ความเร็วระดับนี้ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆก็สามารถทำได้


 


แต่ตอนนี้ … ในช่วงเวลาที่มิอาจใช้ออกด้วยพลังวิญญาณ การที่สามารถสับขาด้วยความว่องไวในระดับนี้ได้ ย่อมมีน้อยคนนัก!


 


ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆ ย่อมไม่สามารถครอบครองความว่องไวถึงเพียงนี้ได้อย่างแน่นอน!


 


เว้นไว้ก็แต่คนผู้หนึ่ง-


 


ฉานนู่หยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน


 


“เซ่าหวูชุ่ย … ”


 


ปากเอ่ยเสียงกระซิบ


 


เซ่าหวูชุ่ย ผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า!


 


ในแง่ของพละกำลังกายมนุษย์เพียงอย่างเดียว ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ นักสู้หวูเต๋านับว่าทรงพลังมากที่สุด!


 


นี่คือสามัญสำนึกทั่วๆไปที่มิอาจปฏิเสธได้


 


ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถใช้พลังงานวิญญาณได้ สำหรับนักสู้หวูเต๋าดั่งเช่นเซ่าหวูชุ่ยแล้ว เขาเพียงอาศัยร่างกายและกระบวนท่าหมัดจู่โจมเหยื่อ ก็สามารถระเบิดพลังโจมตีอันน่าทึ่งออกมาได้แล้ว!


 


เพราะขนาดเพียงแค่ทะยานมุ่งตรงมายังที่นี่ ความรวดเร็วของเขาก็ยังเทียบเปรียบได้กับผู้ฝึกยุทธทั่วๆไปเลย!


 


ร่างของเขาทะยานผ่านฟากฟ้าราวกับนางแอ่นเหิน


 


ก่อนที่จะค่อยๆตกลงมาข้างกายของหวังหงษ์เต๋าอย่างแผ่วเบา


 


เวลานี้ ในมือของเขาสวมใส่ถุงมือสีแดงเข้มคู่หนึ่ง ขณะที่ช่วงบนยังคงเปลือยเปล่าเผยให้เห็นถึงร่างกายที่แข็งกร้าวราวกับเหล็กกล้าเช่นเดิม


 


“ท่านอาจารย์ ข้ามาแล้ว”


 


เซ่าหวูชุ่ยคุกเข่าลงกับพื้น โค้งกายคำนับ


 


หวังหงษ์เต๋าเดินไป แล้ววางมือลูบลงบนศีรษะของเซ่าหวูชุ่ย


 


มองไปยังการลูบบนมือของเขา ราวกับกำลังลูบหัวหมาที่เชื่อฟังอยู่อย่างไรอย่างงั้นเลย


 


หวังหงษ์เต๋าหันไปกล่าวกับฉานนู่ “ต้องยอมรับว่าความคิดของเจ้ามันไม่เลวเลย – หากมิใช้พลังวิญญาณ แล้วต้องต่อสู้กันด้วยกำลังมนุษย์เพียงอย่างเดียว สภาพร่างกายของข้าย่อมไม่มีทางคว้าชัยชนะได้อย่างแน่นอน”


 


“ยังไงก็ตาม เวลานี้ ข้ามีร่างของผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าอยู่ในมือ และสถานการณ์ของพวกเราก็เป็น 2 ต่อ 1”


 


หวังหงษ์เต๋ายิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ


 


แต่ฉานนู่กลับส่ายศีรษะของเธอและกล่าว “คาดคำนวณเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์พิเศษเช่นนี้เอาไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อคำคุยโวของเจ้าหรอก”


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเวลานานมากแล้ว ยามที่ข้าได้บรรลุขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ข้าก็เริ่มคิดถึงบางสิ่งที่อาจจะก่อให้เกิดภัยคุกคามแด่ข้า”


 


“และสถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในกรณีที่ว่านั่น?” ฉานนู่เอ่ยถาม


 


“ถูกต้อง”


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าวต่อ “ดังนั้น ข้าจึงมองหาอัจฉริยะในด้านนักสู้หวูเต๋ามา รับมันเป็นศิษย์ และเฝ้าฝึกฝนมันจนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่า เพื่อเตรียมพร้อมไว้รับมือกับสถานการณ์ดั่งเช่นในวันนี้”


 


พอได้ฟัง ฉานนู่ที่มีสีหน้าเย็นชาเสมอมาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการหวั่นไหว


 


หลายปีนับไม่ถ้วนที่เธอใช้ชีวิตมา ก็พึ่งจะเคยพบเจอกับชายเช่นนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ


 


-เกือบทุกภัยคุกคามที่เป็นไปได้ ถูกคาดคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วโดยเขา


 


“เหตุใดกัน เหตุใดเจ้าต้องคาดคำนวณมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าหวาดเกรงความตายมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ?” ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา


 


ที่แท้การที่อีกฝ่ายถ่วงเวลาในตอนแรกก็เพราะเหตุนี้นี่เอง


 


แม้กระทั่งในตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายยังคงจะใช้สมอง คาดคำนวณถึงบางสิ่งอยู่เลย


 


ว่าแต่เขากำลังคำนวณสิ่งใดกัน?


 


แต่ฉานนู่ก็ไม่ต้องการที่จะคิดเกี่ยวกับมันอีกต่อไป


 


เพราะคนเหล่านี้ .. มันไม่คุ้มค่าที่จะให้เธอต้องใช้สมอง!


 


ตึ่ง! ตึ่ง!


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


เสียงกลองดังกึกก้อง จนไม่ว่าผู้ใดที่ได้ฟังก็ล้วนเกิดอารมณ์พุ่งพล่าน หมายมั่นต้องการที่จะต่อสู้


 


ทว่าฉานนู่กลับยังคงกุมดาบค้างไว้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง


 


—นักสู้หวูเต๋าขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า มันเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่เธอจักรับมือได้


 


นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังมีหวังหงษ์เต๋าอยู่อีก


 


สถานการณ์พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือไปโดยสมบูรณ์


 


เป็นดั่งที่หวังหงษ์เต๋ากล่าวจริงๆ ว่าอีกฝ่ายมีสอง แต่ตนมีเพียงหนึ่ง


 


คราวนี้ จึงเป็นตาของเธอที่จักต้องถ่วงเวลาแทนบ้างแล้ว


 


—ถ่วงเวลาไปจนกว่ากู่ฉิงซานจะมาถึง


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างสบายๆไร้กังวล “ข้ามิได้หวาดเกรงความตาย แต่การเสียสละอย่างไร้ความหมายนั้น มันไม่มีความจำเป็นเลย นับตั้งแต่ที่ข้าเริ่มฝึกยุทธ ข้าก็ก้าวเดินด้วยแนวคิดเช่นนี้เสมอมา”


 


แม้กระทั่งในตอนนี้ ขณะกล่าว หวังหงษ์เต๋าก็ยังคาดคำนวณถึงสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจอย่างลับๆ


 


ถึงแม้ว่า ‘ฉีหยาน’ อีกคนหนึ่งจะได้ทำลายค่ายกลขนาดใหญ่ลงแล้วก็ตามที แต่ตัวค่ายกลก็ไม่สมควรที่จะถูกทำลายลงได้โดยสมบูรณ์


 


เพราะค่อยกลซ่อมแซมนับสิบในสถานที่แห่งนั้น จะเริ่มทำการฟื้นฟูมันทันที


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามแล้ว หากต้องการให้ค่ายกลขนาดใหญ่ใช้การไม่ได้ต่อไป ‘ฉีหยาน’ ก็จะต้องอาศัยช่วงเวลานี้ คอยทำลายค่ายกลซ่อมแซมทั้งหมด


 


มิฉะนั้นแล้ว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมื่อพลังวิญญาณสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง โชคชะตาเดียวที่เฝ้ารอคอยเขาอยู่คงมิแคล้วมีเพียงความตาย


 


นอกจากนี้ เทคนิคค่ายกลก็มิใช่ว่าผู้ใดอยากจะเรียนรู้ ก็สามารถเรียนรู้มันได้อย่างง่ายดาย


 


แม้ว่าจะมีสองสาวใช้ของฉีหยานอยู่ด้วยก็ตามที แต่สถานะของพวกนางมันก็ชัดเจน


 


นั่นคือ ‘พวกนางมิได้แตกฉานในด้านค่ายกล’


 


ดังนั้น ‘ฉีหยาน’ อีกคนจักต้องคอยปกป้องที่นั่นอยู่เป็นแน่


 


ในแง่มุมปัจจุบันนี้ จึงกล่าวได้ว่ามันจะยังคงเป็นการต่อสู้แบบ 2 ต่อ 1


 


ไม่สิ ไม่จำเป็นต้อง 2 ต่อ 1 ด้วยซ้ำไป


 


เพราะแค่เซ่าหวูชุ่ยเพียงผู้เดียว ก็สามารถสังหารอีกฝ่ายลงได้แล้ว


 


มันเป็นเกมที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็เห็นแต่ชัยชนะ!


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าวต่อ “อาจารย์ของข้าสามารถมองทะลุห้วงอารมณ์และนิสัยโดยกำเนิดของข้าได้ ดังนั้น แม้ว่าข้าจักอ้อนวอนเพียงใด ท่านอาจารย์ก็ไม่เต็มใจที่จะถ่ายทอดทักษะดาบที่แท้จริงให้แก่ข้า ”


 


“แต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือ เป็นเพราะข้านิสัยที่ยึดหลักแนวคิดนี้นั่นเอง ที่ทำให้ข้าสามารถคาดคำนวณทุกสิ่งอย่างได้ถูกต้องเสมอมา”


 


“แม้กระทั่งบุคคลที่ทรงพลานุภาพและหลักแหลมดั่งเช่นท่านอาจารย์ ก็ยังต้องตกตายลงด้วยน้ำมือข้า!”


 


ฉานนู่ถอนหายใจ และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามคำจากในจิตใจของเธอ “เจ้าคาดคำนวณมากมายถึงเพียงนี้ แล้วยังมีอะไรที่เจ้าไม่เคยคาดคำนวณอีกบ้างไหม?”


 


พอได้ฟัง คราวนี้หวังหงษ์เต๋าชะงักไปจริงๆ


 


คำถามของอีกฝ่ายที่จี้ตรงมา ราวกับกระตุ้นความกระหายในอาหารของเขา


 


เขาขบคิดอย่างจริงจังและรอบคอบ ปากบ่นพึมพำด้วยความใคร่ครวญว่า “ตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของข้า ก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่ข้ามิได้คาดคำนวณ”


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างช้าๆ สีหน้าท่าทีการแสดงออกค่อยๆผ่อนคลายลง


 


“กระทั่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ข้าก็ยังเลือกหนทางที่ดีที่สุด … ”


 


ใช่แล้วล่ะ


 


ไม่มีอะไรอยู่นอกเหนือไปจากการควบคุมของเขาจริงๆ


 


ตอนนี้ ก็มาเริ่มสู้กันได้ซะที


 


เมื่อขบคิดถึงจุดนี้ ปากของชายชราก็เอ่ยสั่งอย่างช้าๆ


 


“จงไปสังหารมันซะ”


 


“ขอรับ!”


 


เซ่าหวูชุ่ยรับคำ และเคลื่อนกายวูบไหวทันที


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.464 – เขามาแล้ว!


 


ตึ่ง! ตึ่ง!


 


ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนกายท่ามกลางเสียงกลองศึกที่ราวกับพายุกระหน่ำ


 


ฉานนู่วาดดาบออกไป ตั้งในท่วงท่าป้องกัน


 


ขณะที่ร่างของเซ่าหวูชุ่ยโค้งกายลงเล็กน้อย


 


เพล้ง!


 


เขาย่ำพื้นอย่างแรงจนทั่วบริเวณฝ่าเท้าบังเกิดรอยแตกร้าว


 


และนี่เป็นเพียงพละกำลังกายเพียวๆเท่านั้น!


 


เช่าหวูชุ่ยวูบไหวเป็นเงา พริบตาที่เขาย่ำลงบนตำแหน่งนั้น ทั้งคนทั้งร่างว่าบบบ! เข้ามาถึงเบื้องหน้าของฉานนู่ทันที


 


พร้อมกับกำปั้นนับสิบที่ระเบิดออก ระดมเข้าใส่เธอในเวลาเดียวกัน


 


ฉานนู่ต้อนรับการมาเยือนของเขาด้วยดาบในมือของเธอ


 


คมดาบแปรเปลี่ยนเป็นจุดแสง พรั่งพรูออกมาด้วยเฉดเงาดาบนับร้อย พุ่งเผชิญไปทางกำปั้น


 


เทคนิคดาบ ตัดสายลม!


 


พริบตาสั้นๆดาบและหมัดก็บดขยี้กันและกัน บังเกิดเสียงปะทะราวกับโลหะที่หนักทึบ


 


และในทันที เซ่าหวูชุ่ยก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่แตกฉานในกระบวนท่าดาบจริงๆ


 


เลือดลมในกายเขาเริ่มขับเคลื่อน ควบรวมไปหล่อเลี้ยงทั้งร่าง เพิ่มพูนพละกำลังของเขา


 


ในวินาทีถัดมา เสียงกระหน่ำของของกลองศึกก็ถูกกลบลง


 


ปงงงงงง!


 


บังเกิดเสียงหนักทึบที่กระจ่างชัดเข้ามาแทนที่


 


ฉานนู่ถูกเป่ากระเด็นออกไป กลิ้งขลุกๆลงกับพื้นไปหลายสิบจั้งจึงจะหยุดลง


 


เธอใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ทิ้งระยะห่าง ปักดาบยันตัวขึ้นและพ่นลิ่มเลือดออกมา


 


ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม และเพียงแค่สะบัดๆสองมือของเขาเบาๆเท่านั้น


 


ทว่าบนถุงมือ กลับปรากฏร่องรอยขนาดเล็กนับสิบของคมดาบ


 


ด้วยฐานะที่เป็นถึงนักสู้หวูเต๋า พละกำลังกล้ามเนื้อเพียวๆมันจึงน่าเกรงขามเกินไป และความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์อย่างกระทันหันของอีกฝ่ายก็ไม่เลวเลย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่ฉานนู่จะรับมือได้


 


หวังหงษ์เต๋าที่หรี่สองตาแคบลงตลอดมา เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ในหัวใจของเขาก็คลายลง


 


เวลานี้ ดูเหมือนว่าเสียงกลองที่เติมเต็มไปในอากาศที่ว่างเปล่า จะไม่เดือดพล่านอีกต่อไปแล้ว


 


“มีทักษะดาบที่ดี แต่ยามนี้ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ เมื่อเทียบเปรียบกับนักสู้หวูเต๋าที่ว่างเว้นเมื่อใด ก็ออกกำลังฝึกฝนตลอดทั้งแรมปีแล้ว เจ้าก็อ่อนแอเกินกว่าจะชายตามองได้”


 


หวังหงษ์เต๋าผายมือทั้งสองข้าง ปากเอ่ยกล่าวแสดงความคิดเห็น


 


“ท่านอาจารย์ ในการโจมตีครั้งต่อไป หากข้าต้องการที่จะระเบิดร่างของเขาในกระบวนท่าเดียวเลย มันจะได้หรือไม่” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์


 


“ก็เอาสิ อันที่จริงแล้วค่ายกลซ่อมแซมจะใช้เวลาอีกราวๆหนึ่งในสี่ชั่วยามจึงจะสมบูรณ์ เดิมทีแล้วข้าต้องการจะถ่วงเวลาจนกว่ามันจะกลับมาทำงานได้อีกครั้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้ว”


 


หวังหงษ์เต๋ายิ้ม ปากอ้าถอนหายใจยาวและกล่าว “นี่มันเป็นเรื่องไร้สาระโดยแท้”


 


ฉานนู่ไม่ตอบเขา ที่เธอทำก็เพียงแค่ยกดาบขึ้นมาตั้งท่าอีกครั้ง


 


ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ต่อให้เธอจะต้องได้รับบาดเจ็บเพียงใด แต่ก็ต้องถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้!


 


เซ่าหวูชุ่ยหุบมือเกร็งกำปั้นแน่น โค้งกายตั้งตัวเตรียมจะเคลื่อนไหวด้วยกระบวนท่าต่อไป


 


อย่างไรก็ตาม –


 


จู่ๆหวังหงษ์เต๋ากับเซ่าหวูชุ่ยก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ทั้งสองเบนสายตาออกไปในทิศทางเดียวกันอย่างกระทันหัน


 


ขณะที่ฉานนู่ตั้งท่าป้องกันเป็นแม่นมั่น และจ้องมองไปยังร่างๆหนึ่งในทิศทางนั้นเช่นกัน


 


แต่วินาทีต่อมา ฉานนู่ราวกับเห็นพระมาโปรด ทั้งคนทั้งร่างของเธอคลายลง ถอนหายใจโล่งอก


 


เห็นแค่เพียงชายผู้หนึ่งที่กุมดาบเอาไว้ในมือ เร่งฝีเท้าทะยานตัวมุ่งตรงมาจากเบื้องหน้า


 


เขามาแล้ว!


 


ฉานนู่พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เธอเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “นายน้อย ท่านมาแล้ว”


 


“เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานจ้องมองริมฝีปากของเธอที่มีเลือดไหลออกมา


 


“การต่อสู้ก็ต้องมีบาดเจ็บกันบ้าง”


 


“ใครทำร้ายเจ้า?”


 


“เซ่าหวูชุ่ย”


 


กู่ฉิงซานหันหน้าไป เบนสายตาไปมองเซ่าหวูชุ่ย


 


“ … ดูเหมือนว่าพวกเราจะเจองานหินเข้าแล้วสินะ เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งลวงเป็นผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงกระซิบ


 


“เจ้าค่ะ นายน้อย”


 


เห็นแค่เพียง ‘ฉีหยาน’ พยักหน้า ขณะเดียวกันทั้งคนทั้งร่างก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลง ทรวดทรงแปรผันไปเป็นหญิงสาวที่งดงามโดดเด่นคนหนึ่ง


 


ชุดคลุมสีฟ้า ร่างกายอ่อนช้อย ริมฝีปากแดง ผิวราวกับหยก ครอบครองใบหน้าอันงดงาม ทว่าท่าทีการแสดงออกโดยรวมบนใบหน้ากลับเผยถึงร่องรอยจางๆของความเย็นชา


 


เธอเดินมาหยุดยืนอยู่เคียงข้างกายของกู่ฉิงซาน


 


-ฉานนู่


 


“ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็น 2 ต่อ 2 แล้วนะ”


 


กู่ฉิงซานมองฝ่ายตรงข้ามและกล่าว


 


อย่างไรก็ตาม สายตาของเขามิได้มองหวังหงษ์เต๋าเลย มันกลับจดจ้องอยู่แต่กับเซ่าหวูชุ่ยเพียงผู้เดียว


 


พร้อมด้วยเจตนาฆ่าอันบางเบาที่คุกรุ่นขึ้นมาจากตัวเขา


 


อีกด้านหนึ่ง หวังหงษ์เต๋ามองมายังฉานนู่ ก่อนจะสลับมามองกู่ฉิงซาน สีหน้าของเขาหม่นทะมึนลง


 


หวังหงษ์เต๋าหันขวับ และตบลงบนใบหน้าของเซ่าหวูชุ่ยดังฉาด!


 


“ท่านอาจารย์โปรดให้อภัย ที่จริงแล้วข้าเองก็มิเคยพบเห็นผู้ฝึกยุทธหญิงคนนี้มาก่อนเลยเช่นกัน” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว


 


เซ่าหวูชุ่ยมองคนตรงหน้าทั้งสอง นิ่งงันไปสักพัก ในหัวใจทำใจเชื่อไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง


 


วินาทีต่อมา ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมาอีกเลย


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


เสียงกลองศึกดังสะท้านไปตลอดทั่วทั้งเกาะไม่มีหยุดพัก


 


“อาวุโสหวัง เจ้าคิดว่ายามเมื่อกลองศึกได้หยุดลง ฝ่ายใดกันที่จะยังคงมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป?”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามขึ้นทันใด


 


—เจ้าเด็กนี่พูดขึ้นมาอีกทำไม? หรือว่ามันต้องการจะถ่วงเวลา? ทว่าขณะคิด จู่ๆสีหน้าของหวังหงษ์เต๋าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน


 


เห็นแค่เพียงร่างของกู่ฉิงซานที่วูบไหว พุ่งตรงมายังเซ่าหวูชุ่ย


 


แม้จักไม่ได้ใช้พลังวิญญาณ แต่ความว่องไวของกู่ฉิงซานก็มิได้เลวร้ายเลย


 


ในครั้งอดีต ยามเมื่อต้องการที่จะเรียนรู้ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว เขาได้ทำการฝึกฝนท่าร่างในการเคลื่อนกายอย่างยาวนานและหนักหน่วง


 


ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วนั้น เป็นสกิลที่ใช้ทั้งทักษะทางกายภาพและความสามารถในกระตระหนักรู้เรื่องกฏของมิติอย่างแท้จริง เรียกได้ว่าแม้กระทั่งในบรรดาสกิลเทวะประเภทเดียวกัน มันก็ยังเป็นหนึ่งในสกิลระดับสูง


 


ส่งผลให้ในปัจจุบันนี้ ต่อให้กู่ฉิงซานไม่ได้ใช้พลังวิญญาณในการสื่อสารกับกฏแห่งมิติ เขาก็สามารถใช้ท่าร่างของย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วได้อย่างหมดจดอยู่ดี


 


ฉานนู่ตามติดเขาไปอย่างใกล้ชิด และท่าร่างการเคลื่อนไหวของเธอก็เป็นการเคลื่อนไหวเดียวกันกับของกู่ฉิงซาน


 


ยามเมื่อออกวิ่งมาข้างหน้า ทั้งสองราวกับรวมเป็นหนึ่ง การเคลื่อนไหวช่างสอดคล้อง ผสานกันโดยสมบูรณ์


 


มันราวกับว่าฉานนู่ได้กลายเป็นเงาของกู่ฉิงซานแล้วอย่างไรอย่างงั้น


 


ฉากนี้ค่อนข้างที่จะทำให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


หวังหงษ์เต๋าตบหลังเซ่าหวูชุ่ยทันที


 


“จงไปซะ ไปต้านทานพวกมัน ข้าต้องการที่จะล่วงรู้ถึงความลับของพวกมันมากยิ่งกว่านี้”


 


“ขอรับ”


 


เซ่าหวูชุ่ยกระชับถุงมือสีแดงเข้มแน่นขึ้น ตั้งท่าร่างหมัดขนานกับหน้าอก และเหวี่ยงมันออกไปต้อนรับกู่ฉิงซานกับฉานนู่


 


ตึ่ง! ตึ่ง!


 


ท่ามกลางเสียงกระหน่ำของกลองศึก ทั้งสองฝ่ายก็ได้ปะทะกันในฉับพลัน


 


มิได้เห็นถึงฉากที่เจิดจรัสไปด้วยแสงสวรรค์และเทคนิคมนตราอันน่าสะพรึงกลัวใดๆ มิได้เห็นรังสีดาบหรือเฉดเงาของกำปั้นใดๆเช่นกัน


 


ทั้งสองทุ่มต่อสู้เป็นตายด้วยกระบวนท่าและพละกำลังร่างกายเพียวๆ!


 


กู่ฉิงซานจ้วงแทงดาบยาวของเขาออกไป


 


ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยยิ้มเหี้ยมเกรียม มันใช้มือข้างหนึ่งคว้าจับคมดาบให้หยุดนิ่ง และควบรวมพละกำลังไว้ที่มืออีกข้าง เตรียมจะง้างกำปั้นหวดสวนกลับไป


 


หลังจากที่ก่อนหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบถึงพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามแล้ว เซ่าหวูชุ่ยก็ตัดสินใจที่จะปิดฉากทันที


 


กำปั้นใหญ่นี้ ควบรวมเลือดลมจากทุกส่วนของร่างกาย มันสามารถเป่าทั้งคนทั้งร่างของอีกฝ่ายไปให้กลายเป็นศพได้ในทันที!


 


ด้วยกำปั้นนี้ จะปิดฉากชีวิตของอีกฝ่ายลงในคราวเดียว!


 


กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว เขาชักดาบกลับและถอนตัวออกมา


 


ขณะที่ฉานนู่ฟาดดาบในมือเธออกไป


 


“เหอะ!”


 


ดาบและถุงมือแดงปะทะเข้าด้วยกัน บังเกิดเสียงหนักทึบสะท้อนสะเทือนไปทั้งสี่ทิศ


 


พริบตานั้นเอง เซ่าหวูชุ่ยก็คว้าจับดาบยาว ยึดมันไว้เป็นแม่นมั่น


 


ขณะเดียวกัน อีกกำปั้นที่เกร็งแน่นของเขาที่ซ่อนอยู่ข้างกาย ก็รวบรวมพละกำลังได้เพียงพอแล้ว!


 


“จงตายเพื่อข้า!”


 


เซ่าหวูชุ่ยตะคอกคำหนึ่งอย่างรุนแรง


 


พร้อมด้วยกำปั้นที่กระชากออกในทันใด


 


เพียงกระแสลมจากแรงส่งของกำปั้นอันดุเดือดนี้ มันก็เกือบที่จะทำให้ทั้งคนทั้งร่างของฉานนู่ปลิวหายไปแล้ว!


 


กำปั้นนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด พุ่งทะยานอย่างแรงกล้าราวกับกระทิงคลั่ง — เซ่าหวูชุ่ยได้ระเบิดพลังที่ตนมีออกมาเต็มทั้งที่ 10 ส่วนแล้ว!


 


หากต้องเผชิญกับกำปั้นนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธที่เก่งกาจปานใด แต่หากมิได้ใช้พลังวิญญาณในการป้องกัน โชคชะตาที่เฝ้ารอเขาอยู่เบื้องหน้าคงมีเพียงความตายเท่านั้น


 


กำปั้นปะทะเข้าบนร่างของฉานนู่-


 


—ไม่สิ หากจะให้ถูกต้อง สมควรกล่าวว่ามันปะทะเฉียดมาถึงแค่เพียงระยะเผาขนของเธอต่างหาก


 


ท่ามกลางช่วงเวลาอันเดือดพล่าน


 


“ตอนนี้ล่ะ!” กู่ฉิงซานตะโกนคำหนึ่ง


 


และฉานนู่ก็ตอบสนอง เธอผละดาบขุนเขาเทวะหกโลกาที่ถูกยึดกุมจากมือทันที


 


ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็กระชากร่างของเธออย่างแรง ดึงฉานนู่ถอยหลังกลับมา


 


ส่วนเซ่าหวูชุ่ยก็คว้ากุมได้เพียงดาบ ขณะที่กำปั้นของเขาหวดลมเข้าใส่อากาศที่ว่างเปล่า


 


ด้วยการทุ่มออกเต็มกำลังเช่นนี้ ทว่ากลับมิอาจโจมตีโดนฝ่ายตรงข้ามได้ ส่งผลให้เซ่าหวูชุ่ยบังเกิดความไม่สบายใจขึ้น


 


ทั้งคนทั้งร่างของเขาเซมายังเบื้องหน้าก้าวหนึ่ง


 


“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร!” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยเสียงแหบแห้ง


 


ระหว่างนั้นเอง กู่ฉิงซานก็แทรกตัว ย่ำออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง พร้อมกับสับ! ดาบยาวในมือลงโดยตรง!


 


ช่วงเวลานี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว และเขาย่อมไม่มีทางพลาดที่จะไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้!!


 


สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยแปรเปลี่ยนกลับกลาย


 


มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่ตัวเขารับรู้ได้ว่าพึ่งพลาดพลั้งไป


 


ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้คิดจะรับมือกับกระบวนท่าของเขาตรงๆเลย -แต่กลับเลือกที่จะสอดประสาน ร่วมกลยุทธ์กันแทน!


 


ช่วงเวลานี้ เขาได้สูญเสียสมดุลร่างกายไปแล้ว และไม่สามารถตั้งท่าโจมตีได้ กล่าวสรุปง่ายๆว่ามิอาจตอบโต้สวนกลับไปได้นั่นเอง


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยพละกำลัง กล้ามเนื้อ และฝีมือที่ตนมี อย่างน้อยเซ่าหวูชุ่ยก็ยังสามารถตั้งต่าป้องกันเพื่อรับมือกับคมดาบเพียวๆได้อยู่ดี


 


เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ สีหน้าท่าทีของเซ่าหวูชุ่ยก็ผ่อนคลายลง สองถุงมือผสานกัน และยื่นมันออกไปยังเบื้องหน้าทันใด


 


เขากัดฟันกรอด และพร้อมที่จะทานรับคมดาบด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตนมี!


 


และยามเมื่อต้านมันสำเร็จ เขาก็จักสามารถตอบโต้กลับคืนได้อีกครั้ง!


 


คมดาบได้มาถึงแล้ว!


 


-ปัง!


 


บังเกิดคลื่นสายลมที่มองไม่เห็น พัดกวาดกระจายไปทั่วบริเวณในทันใด


 


ดาบพิภพที่หนักกว่า 86.37 ล้านจิน ได้ถูกทุบฟาดลงอย่างเต็มกำลังเพียงคราเดียว – สองมือของเซ่าหวูชุ่ยแหลกคาดาบ พร้อมกับแรงปะทะจากน้ำหนักที่เหลือโขกสับเข้าใส่ศีรษะของเขา!


 


แม้ว่าเซ่าหวูชุ่ยจะเป็นผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าก็ตามที ทว่าในกรณีที่จำต้องใช้ออกเพียงพละกำลังกายเพียวๆ โดยพลังวิญญาณมิได้มีส่วนร่วม ก็ย่อมมิอาจปัดป้องการระเบิดฟาดอันหนักหน่วงของดาบพิภพได้!!


 


ด้วยการฟาดเพียงคราเดียว เซ่าหวูชุ่ยก็ถึงแก่ความตาย!


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


เสียงกลองศึกยังคงดังสะท้อนเป็นจังหวะ


 


ขณะที่สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนเป็นร้ายแรง


 


ฝ่ายตรงข้ามไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะใช้ประโยชน์จากจำนวนคนที่มากกว่า ต่อสู้สอดประสานกันได้อย่างยอดเยี่ยม


 


แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะที่ต้องให้ความใส่ใจจริงๆมันก็คือน้ำหนักดาบของอีกฝ่ายที่มากมายเหลือคณายิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้ต่างหาก!


 


แต่เดิม ความจริงแล้วหวังหงษ์เต๋ายังคงระแรดระวังอยู่ และคิดจะตรวจสอบข้อมูลของอีกฝ่ายจากการเฝ้าดูการต่อสู้ไปอีกสักพักหนึ่ง แต่การกระทำนั้นมันกลับกลายเป็นว่าดันเปิดโอกาสอันน้อยนิดที่จะคว้าชัยชนะของอีกฝ่ายไปซะได้!


 


หวังหงษ์เต๋าจ้องมองดูกู่ฉิงซาน


 


สามารถตอบสนองไปตามสถานการณ์ … รังสรรทุกฉากให้เป็นดั่งจินตนาการราวกับกำลังพรมมือเขียนมันด้วยปลายนิ้ว


 


เจ้าเด็กนี่ นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงและคู่ควรแก่เขาโดยแท้


 


“เจ้าหนู กลยุทธ์ทั้งหมดนี้ เจ้าเป็นคนคิดมันขึ้นมาเองใช่ไหม” หวังหงษ์เต๋ากล่าวหยั่งเชิง


 


ทว่ากู่ฉิงซานกลับไม่สนใจเขาเลย


 


กู่ฉิงซานตั้งท่าดาบกลับคืน ขณะที่ในสมาธิกำลังตั้งใจฟังเสียงกระหน่ำของกลองศึก


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


เสียงกลองนี้ เร็วและระรัวมากขึ้น


 


ยามเมื่อเสียงมันระรัวถึงจุดนี้ ก็น่าจะบ่งบอกว่าค่ายกลสมควรที่จะได้รับการซ่อมแซมไปมากกว่าครึ่งทางแล้ว


 


เวลาที่เขามี เหลือน้อยลง ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ …


 


-จะต้องเร่งสังหารหวังหงษ์เต๋าให้ได้ในทันที! ต้องรวดเร็วยิ่งกว่านี้!


 


ข้างกายเขา ฉานนู่ก้มลงหยิบดาบขุนเขาเทวะหกโลกาขึ้นมา


 


ฉานนู่จ้องมองดาบในมือของเธอ และอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ที่แทบจะไม่อาจจับสังเกตได้ออกมา


 


น่าแปลกเสียจริงๆ


 


เห็นได้ชัดว่าตัวเธอมีประสบการณ์ การเคลื่อนไหว และกลยุทธ์ทั้งหมดของเขา ทว่า … ตัวของเธอเองมิอาจเทียบเปรียบกับเขาได้เลย


 


แต่แค่ด้วยความร่วมมือเพียงหนึ่งประสาน นายน้อยของเธอก็กลับถึงขั้นสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า – เซ่าหวูชุ่ยลงได้!


 


ฉานนู่เบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ


 


ขณะที่สีหน้าของกู่ฉิงซานกลับแลดูเฉยเมย ราวกับมิได้ดีใจถึงสิ่งที่พึ่งกระทำลงไปเลย เขาค่อยๆยกดาบในมือของตนขึ้น


 


และชี้ปลายดาบไปทางหวังหงษ์เต๋า


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


ท่ามกลางเสียงกลองศึก เจตนาฆ่าถูกเติมเต็มไปในชั้นอากาศ


 


ฉานนู่จึงทำเฉกเช่นเดียวกันกับเขา เธอยกปลายดาบขึ้นและชี้ไปทางหวังหงษ์เต๋าเช่นกัน


 


เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับหวังหงษ์เต๋าออกไปไม่กี่คำ


 


“อาวุโสหวัง ตอนนี้ทุกอย่างพลิกผัน พวกเรามีสอง แต่เจ้ามีหนึ่งแล้ว เพลานี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?”


 


น้ำเสียงและท่าทีการแสดงออกของฉานนู่ที่ปกติจะดูโดดเดี่ยวได้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้มันจะยังเย็นชา ทว่ามันกลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แฝงเข้ามาอย่างชัดเจน


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.465 – เสียงกลองศึก


 


ฉานนู่กล่าวคำออกมาอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันก็สาดสายตาไปยังหวังหงษ์เต๋า


 


อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงสีหน้าหม่นทะมึนและน่าหวาดหวั่นจ้องสวนกลับมา


 


“ต่อให้จะเป็น 2 ต่อ 1 พวกเจ้าก็ยังมิอาจเอาชนะข้าได้อยู่ดี” เขากล่าว


 


“เหตุใดอาวุโสจึงมั่นใจในตนเองถึงเพียงนั้น?” ฉานนู่เอ่ยถาม


 


“เพราะข้าได้ฝึกฝนกระบี่มานานปี ยาวนานยิ่งกว่าก่อนที่พวกเจ้าจะเกิดเสียอีก”


 


ว่าแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปคว้าจับด้ามกระบี่ แล้วชักมันขึ้นมาจากเบื้องหลัง


 


ตลอดทั้งตัวกระบี่เป็นสีดำขลับ และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มันถูกดึงออกมา ก็บังเกิดเสียงหอนโหยหวนด้วยความโศกสลดนับไม่ถ้วนกังวานขึ้น


 


แม้กระทั่งกลองศึกก็ยังถูกเสียงนี้กลบไป


 


หากเพ่งมองอย่างรอบคอบ จะพบว่ามีเงาสีดำกำลังโคจรอยู่รอบใบกระบี่


 


เงาสีเทาเหล่านั้นราวกับกำลังเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อมันมิได้รับพลังวิญญาณใดๆที่จะใช้กระตุ้นเทคมนตรา เงาที่โคจรเหล่านี้ก็ค่อยๆสลายไป


 


ด้ามจับกับใบกระบี่เล่มนี้แลดูค่อนข้างยาว แต่มันก็แคบและเรียวบางในขณะเดียวกัน ดูเหมือนกับว่าตัวกระบี่มักถูกจะใช้เป็นสื่อกลางในการปลดปล่อยเทคนิคมนตราเสียมากกว่าที่จะใช้ในการต่อสู้เชิงยุทธ


 


-กระบี่หวังชี่ (จักรพรรดิแห่งศพ)


 


ในที่สุด ก็มีคนที่สามารถทำให้หวังหงษ์เต๋าชักกระบี่เล่มนี้ออกมาได้อีกครั้ง!


 


กู่ฉิงซานจ้องมองกระบี่ในมือเขา ปากเอ่ยพึมพำ “ข้าไม่เคยพบเห็นกระบี่ที่ดูแปลกตาเช่นนั้นมาก่อนเลย”


 


หวังหงษ์เต๋าลูบไล้ใบกระบี่ กล่าวเสียงกระซิบ “แล้วรู้หรือไม่ ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นกระบี่เล่มนี้ ทั้งหมดล้วนตกตายกันไปจนสิ้นแล้ว”


 


“กระบี่เล่มนี้ อัดแน่นไปด้วยเทคนิคมนตราอันไร้ขอบเขต แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้ข้าไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้”


 


ขณะกล่าว แม้สีหน้าของเขาจะแลดูเศร้าสร้อย ทว่าแรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างกลับเปลี่ยนแปลงไป


 


“แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอก เพราะนี่มันก็หลายปีมาแล้ว ที่ข้ามิได้ใช้ออกด้วยเพลงกระบี่อย่างแท้จริง”


 


เจตนาฆ่าพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของหวังหงษ์เต๋า


 


ในช่วงเวลานี้ เขาได้ถูกบังคับต้อนให้จนมุม จำต้องละทิ้งการคาดคำนวณทั้งหมดที่ตนมี และตัดสินใจใช้เพลงกระบี่เข้าต่อสู้เป็นตายกับศัตรู


 


ณ เวลานี้ หวังหงษ์เต๋าดูเหมือนเป็นผู้ฝึกยุทธที่ใช้กระบี่ขึ้นมาจริงๆแล้ว!


 


กู่ฉิงซานพอเห็นเช่นนั้นก็หยุดฝีเท้าลง


 


เขายืนนิ่งอยู่ในจุดนั้น มิได้มุ่งต่อไปข้างหน้าแม้เพียงก้าว


 


“นายน้อย?” เมื่อเห็นท่าทีผิดปกติไป ฉานนู่ก็เรียกเขาด้วยความฉงน


 


“ใจเย็นๆก่อน”


 


“เจ้าค่ะ”


 


พอรับคำ ฉานนู่ก็หยุดนิ่งตามเขา


 


ทั้งสองยืนห่างจากหวังหงษ์เต๋าไปเพียงไม่กี่จั้ง


 


ขณะเดียวกัน หวังหงษ์เต๋าก็ได้เตรียมตัวจนพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว


 


ทว่าจนถึงตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ยังมิได้ก้าวออกไปข้างหน้า


 


ในมือกุมดาบยาวจนแน่น ขณะที่สายตาจดจ้องอยู่แต่กับหวังหงษ์เต๋าคล้ายกำลังมองหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย


 


ส่วนหวังหงษ์เต๋าก็ตั้งกระบี่ในแนวขนาน หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงกันข้ามในท่วงท่าป้องกัน


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


กลองศึกยังคงกระหน่ำต่อไป


 


หวังหงษ์เต๋าใช้หูเพ่งสมาธิฟังเสียงกลองศึกอย่างรอบคอบ แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างยังคงเดิม ทว่าความรู้สึกหวาดระแวงที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามกลับค่อยๆถดถอยลง


 


พร้อมกับรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา


 


“อีก 18 ลมหายใจ เจ้าจะไม่มีโอกาสสังหารข้าได้อีกต่อไป”


 


หวังหงษ์เต๋ายกระบี่หวังชี่ขึ้น และชี้ไปทางฝ่ายตรงข้าม


 


เขาเอ่ยต่อ


 


“ข้าได้ทำการนับเวลาเอาไว้แล้ว – และอีก 15 ลมหายใจ ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกก็จะถูกซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าสามารถใช้พลังวิญญาณได้ เจ้าก็เตรียมตัวรับทัณฑ์ทรมานโดยเทคนิคมนตราจากกระบี่นี้ได้เลย!”


 


นี่คือเทคนิคการโจมตีทางจิตวิทยา


 


หวังหงษ์เต๋าเริ่มคาดคำนวณกลยุทธ์อีกครั้งอย่างรวดเร็ว


 


เพราะเวลาเหลืออีกไม่มากนักแล้วจริงๆ


 


อีก 15 ลมหายใจ ตราบใดที่พวกมันผ่านพ้นไป-


 


เอ๋?


 


อะไรกัน? ทั้งๆที่ได้รับรู้ว่าตนกำลังจะต้องเผชิญกับอำนาจของขอบเขตลมปราณจิตอยู่รอมร่อแล้วแท้ๆ เหตุใดเจ้าหนุ่มนั่นจึงยังคงสงบได้อยู่อีก?


 


มองไปยังเบื้องหน้า แม้กระทั่งบัดนี้ กู่ฉิงซานก็ยังนิ่งเงียบ ราวกับคำขู่ของอีกฝ่ายไม่มีผลใดๆ


 


เขามิได้กระทำสิ่งใดเลย จนกระทั่งหวังหงษ์เต๋ายืนยันว่ายังคงหลงเหลือเวลาอยู่อีกเท่าไหร่ ตนจึงเริ่มลงมือ


 


เขาสาวเท้าก้าวออกไปข้างหน้า


 


ตามด้วยฉานนู่ที่ก้าวตามมา


 


ทันใดนั้น ทั้งสองก็เร่งความเร็วมากขึ้นทันใด


 


หวังหงษ์เต๋ากุมกระบี่ในมือแน่นขึ้น


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


เสียงกลองระรัวเร็วมากขึ้น


 


ในชั้นอากาศ เจตนาฆ่าคุกรุ่นจนแทบจะหายใจไม่ออก


 


โดยไร้ซึ่งแสงสวรรค์ใดๆ สองดาบและหนึ่งกระบี่ปะทะเข้าหากันโดยตรง


 


กระบี่ยาวสาดแสงเย็นวาบ วาดออกไปในแนวนอนเพื่อปัดป้องการโจมตีเบื้องหน้า


 


ขณะที่ดาบคู่ง้างสับลงมาพร้อมกันเป็นแนวตั้ง สับ สับ สับ ลงไปอย่างไม่มีหยุดยั้ง เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็ฟาดต่อเนื่องลงมาอย่างกว่า 36 ดาบแล้ว!


 


ขณะที่กระบี่ยาวก็ไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย ถูกเหวี่ยงออกอย่างลื่นไหล ราวกับคลื่นสายฟ้าโฉบเข้าตัดคมดาบที่โถมลงมาอย่างรวดเร็ว


 


ไม่นาน หวังหงษ์เต๋าก็มองเห็นถึงจุดอ่อนของอีกฝ่าย เขาใช้กระบี่เดียวโบกสะบัด บีบบังคับให้ทั้งกู่ฉิงซานและฉานนู่ต้องถอยฉากกลับไปในคราเดียว


 


ต้องไม่ลืมนะว่า หลังจากที่ฝึกฝนมายาวนานกว่า 1000 ปี ทักษะกระบี่ของหวังหงษ์เต๋าก็ได้ทะยานจนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วอย่างแท้จริง!


 


กู่ฉิงซานกับฉานถูกล่าถอยออกมา


 


อย่างไรก็ตาม กระบี่ยาวกลับมิได้ไล่ติดตามทั้งสองต่อ มันกลับมาตั้งอยู่ในท่วงท่าขนาน เพื่อปกป้องนายของมันต่อไป


 


ขณะเดียวกัน หวังหงษ์เต๋าก็บังเกิดความคิดริเริ่มที่จะถ่วงเวลา ค่อยๆก้าวถอยฉากออกไป


 


ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุด


 


เพราะ ณ ขณะนี้ เขาได้ทำการประเมินทักษะดาบของคู่ต่อสู้ได้อย่างหมดจดแล้ว


 


ในหัวใจของหวังหงษ์เต๋าค่อยๆสงบลง


 


เหลืออีกเพียง 10 ลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องโยนตัวเองให้ลงมาเผชิญกับอันตรายอีกต่อไป


 


หลังจากนี้ ก็แค่เลือกที่จะป้องกันตนเอง และถ่วงเวลาให้ได้ถึง 10 ลมหายใจก็พอ


 


ทันทีที่ช่วงเวลานี้จบลง ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง และเมื่อนั้นเขาจะระเบิดพลังวิญญาณในขอบเขตลมปราณจิตออกมาทันที


 


ในวินาทีหลังจากนั้นไป การสังหารเจ้าเด็กนี่ก็เป็นเรื่องง่ายดายมิแตกต่างจากการหั่นผักปลา


 


นี่แหละ คือกลยุทธ์ที่จะทำให้เขาไม่พ่ายแพ้!


 


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หวังหงษ์เต๋าก็ได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว


 


กู่ฉิงซานกับฉานนู่ควงดาบในมือ โถมทะยานเข้าหาเขาอีกครั้ง


 


ขณะเดียวกัน หวังหงษ์เต๋าก็โบกกระบี่ในแนวขนานสวนกลับไป


 


และในวินาทีต่อมา ก็เห็นแค่เพียงภาพติดตาของคมกระบี่และคมดาบ มิอาจบอกบรรยายถึงกระบวนการในช่วงเวลานี้ได้อีกต่อไป


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


กลองศึกเร้าระรัว ถี่ยิบจนเริ่มจะฟังแต่ละการกระทุ้งแทบไม่ทันแล้ว


 


เหลือเวลาอีก 5 ลมหายใจ!


 


ฉานนู่ก้าวถอย ขณะที่กู่ฉิงซานก้าวเข้ามา


 


สองดาบผลัดกันสลับโจมตีไปยังเบื้องหน้า


 


แต่หวังหงษ์เต๋าเพียงใช้กระบี่ออกไปทานรับการฟันต่อเนื่องอย่างลวกๆเพื่อจัดการกับท่าร่างดาบ จากนั้นก็ถีบร่างตนเองถอยฉากออกมาอีกครั้ง


 


อีกฝ่ายไม่สามารถใช้เทคนิคดาบอย่างสมบูรณ์ได้ เนื่องเพราะมันจำต้องใช้ออกด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นแล้วรังสีดาบจึงไม่ปรากฏออกมาเช่นกัน


 


มันจึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะปัดป้อง ขณะเดียวกันตนเองก็ก้าวถอยไปเรื่อยๆ


 


หากไร้ซึ่งรังสีดาบให้พะวง ตราบใดที่ตนเลือกก้าวถอยออกไปเรื่อยๆ ทุกๆท่าร่างดาบก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด


 


เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ลมหายใจสุดท้ายแล้วตอนนี้ ดังนั้นการที่จะก้าวไปข้างหน้าแล้วทุ่มสู้ย่อมไม่คุ้มค่า … เลือกถอยย่อมเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่า


 


ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!


 


ฉานนู่ก้าวเข้ามา และกดดาบลงไป


 


ดาบตัดสายลม!


 


เมื่อต้องเผชิญกับท่าร่างดาบอย่างกระทันหัน หวังหงษ์เต๋าก็ระเบิดการโจมตีอย่างเต็มกำลังออกมาทันใด -ใบกระบี่ตัดเข้ากับคมดาบของฉานนู่ แรงปะทะส่งตัวเธอลอยกระเด็นออกไปในกระบี่เดียว


 


บางครั้ง การเอาแต่ถอยแบบไม่บันยะบันยังมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก มันไม่เหมาะสมที่จะเป็นทางเลือกหากกำลังถูกโจมตีในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ


 


ตึ่ง! ตึ่ง!


 


เสียงกลองศึกค่อยๆแผ่วเบาลง


 


เหลือเวลาอีกแค่ 2 ลมหายใจ


 


ในหัวใจของหวังหงษ์เต๋าเริ่มฟุ้งไปด้วยความสุข


 


เวลาที่เฝ้ารอคอย … ได้มาถึงแล้ว!


 


ฉานนู่กระเด็นถอยกลับ ขณะที่กู่ฉิงซานก้าวเข้ามาอีกครั้ง


 


พร้อมกับหวดท่าร่างดาบออกไป


 


หวังหงษ์เต๋าตัดสินใจว่าจะกระทำสิ่งใดอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเลือกเหวี่ยงกระบี่ทานรับ ขณะเดียวกันก็ก้าวถอยออกมา


 


ลมหายใจสุดท้าย!


 


แต่แล้วจู่ๆดาบยาวที่ฟาดผ่าลงมาก็ทวีความรวดเร็วขึ้นอย่างกระทันหัน!


 


รูม่านตาของหวังหงษ์เต๋าหดแคบลงในฉับพลัน


 


คมดาบนี้ มันรวดเร็วกว่าที่แล้วๆมาอย่างเทียบไม่ติดเลย!


 


แบบนี้ไม่ดีแน่ ท่าร่างดาบนี้ร้ายแรงเกินไป!


 


ด้วยดาบนี้ กล่าวได้ว่ามันเหนือล้ำยิ่งกว่าท่าร่างดาบทั้งหมดก่อนหน้าที่เคยได้เผยโฉมออกมาโดยสมบูรณ์!


 


เกรงว่าทุกอย่างที่กู่ฉิงซานทำมาก่อนหน้าทั้งหมดนี้ ก็เพื่อลวงหลอกศัตรู และปูทางสำหรับคมดาบนี้!


 


คมดาบ … ที่ฟาดตรงมาข้างหน้าอย่างมิอาจปัดป้อง!


 


ตึ่ง! ตึ่ง!


 


เสียงกลองศึกดังขึ้นอีกไม่กี่ครั้ง และหายไปในที่สุด


 


ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าจมลงสู่ความเงียบ


 


เงียบงันดั่งทุกสรรพชีวิตได้ตกตายลง


 


ตึง ….


 


หวังหงษ์เต๋าล้มหงาย ขณะที่กู่ฉิงซานคร่อมอยู่บนกายเขา


 


“เจ้า … เพราะเหตุใด ถึงไม่หลบ … ”


 


หวังหงษ์เต๋ากระอักเลือดคำหนึ่ง สีหน้าการแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความฉงนที่ยากจะอธิบาย


 


ขณะเดียวกัน ใบกระบี่ยาวในมือของเขา ก็อยู่ในตำแหน่งที่ทะลุผ่านหน้าอกของกู่ฉิงซาน


 


แต่กู่ฉิงซานกลับมิเอ่ยสิ่งใด


 


บัดนี้ ทั้งสองอยู่ในท่วงท่าที่ดาบพิภพวางกดทับอยู่บนร่างของหวังหงษ์เต๋า ขณะที่กระบี่ของหวังหงษ์เต๋าก็แทงทะลุเข้าหน้าอกของกู่ฉิงซาน


 


ฮูมมมม!


 


ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่เริ่มทำงานขึ้นอีกครั้ง


 


ปากใหญ่สีดำเบื้องบนท้องฟ้า ตนแล้วตนเล่าค่อยๆสลายหายไป


 


เมื่อร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกามิอาจรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณแม้เพียงน้อย สุดท้ายจึงจากไปอย่างขุ่นเคือง


 


ห้วงอารมณ์ของหวังหงษ์เต๋ากลับกลายเป็นปิติ


 


เวลานี้ เขาสามารถใช้พลังวิญญาณได้แล้ว!


 


คลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณอันน่าขวัญผวาปะทุออกมาจากกายหวังหงษ์เต๋า


 


ขณะเดียวกับมือที่เกาะกุมกระบี่ก็คลายออก เพื่อจำต้องประกบทั้งสองมือจีบออกด้วยวิชาลับ


 


อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันนั้นเอง กู่ฉิงซานกลับดันหายวับไปซะอย่างงั้น?


 


กู่ฉิงซานหายวับไปพร้อมกับกระบี่ยาวของหวังหงษ์เต๋า เหลือทิ้งไว้เพียงดาบพิภพที่หนักหลายล้านจินกดทับร่างของอีกฝ่าย


 


สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!


 


ในช่วงเวลาเดือดพล่าน จู่ๆฉานนู่ก็ปรากฏกายขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของเขา


 


และมือของฉานนู่ก็อยู่ในท่วงท่าเดียวกันกับที่กู่ฉิงซานได้วางดาบพิภพกดทับตัวหวังหงษ์เต๋าเอาไว้เช่นกัน


 


หวังหงษ์เต๋าร้องคำหนึ่ง มือเร่งใช้ออกด้วยเทคนิคเต๋า ระเบิดมันออกไป หมายมั่นจะผลักดันให้อีกฝ่ายถอยร่นออกไปโดยเร็วที่สุด!


 


อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงฉานนู่นั่งคร่อมอยู่กับที่ดังเดิม – ทุกมนตราล้วนไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังศักดิ์สิทธิ์แหกกฏที่เธอครอบครอง!


 


และในมือของเธอที่กดทับหวังหงษ์เต๋าในตำแหน่งเดิมของกู่ฉิงซาน … ก็กำลังกุมใบหยกอยู่!


 


มันคือใบหยกแผ่นที่สองที่ได้รับมาจากเฉียนซานเย่!


 


ดังนั้นแม้ว่าใบหยกแผ่นนี้ จะมีกับดักหรือเทคนิคมนตราอื่นใดแอบแฝงอยู่ มันก็ไร้ผลกับเธอ


 


ทว่า


 


กับหวังหงษ์เต๋านั้นหาใช่ไม่!


 


เมื่อใบหยกสัมผัสเข้ากับหวังหงษ์เต๋า มันก็เปล่งแสงสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ใจออกมาทันที


 


ขณะนี้ ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ได้ถูกเปิดออกแล้ว ดังนั้น หลังจากที่เปล่งแสงสวรรค์ออกมาตรวจสอบสถานการณ์เล็กๆน้อยๆ มันก็แปรสภาพ ก่อร่างเป็นผู้ฝึกยุทธที่แสนไร้ยางอายคนหนึ่งทันที


 


ดาบคู่เอกลักษณ์ เฉียนซานเย่!


 


เขาเหลือบสายตามองไปรอบๆอยู่เพียงครู่ และไม่นานก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของหวังหงษ์เต๋า


 


“ศิษย์ข้า ข้ามิคาดคิดเลย ว่าพวกเราจะพบปะกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้”


 


เฉียนซานเย่จ้องมองหวังหงษ์เต๋า ขณะที่บนใบหน้าของเขากำลังแสดงถึงความเปรมปรีดิ์อย่างหาที่ใดเปรียบ


 


เริ่มทำการยึดร่างสถิต!


 


พริบตานั้น สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนกลับกลาย ทั้งคนทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน


 


“ไม่!”


 


ภายในจิตใจของเขา บังเกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น


 


นี่คือการต่อสู้ระหว่างจิตเทวะ หากผู้ใดชนะ ก็จักได้รับกายนี้ไป แน่นอน ว่าพื้นฐานวรยุทธในขอบเขตลมปราณจิตก็เช่นเดียวกัน


 


“หากต่อสู้กันในตอนนี้ พวกเราจะตายกันทั้งคู่! ขอเจ้าจงรอข้าแก้สถานการณ์ในปัจจุบันเสียก่อนเถอะ แล้วหลังจากนั้นข้าจักหาร่างสถิตดีๆให้แก่เจ้าเอง!” หวังหงษ์เต๋าเร่งกล่าวอย่างรวดเร็ว


 


“หากเจ้าโป้ปดเล่า?” แล้วก็มีอีกกระแสเสียงที่อึมครึมเอ่ยถามออกมาจากปากของหวังหงษ์เต๋า


 


แน่นอน ว่านั่นคือเสียงของเฉียนซานเย่


 


ทันใดนั้นเสียงของหวังหงษ์เต๋าก็ดังกึกก้อง ปากอ้าสาบานลั่น “ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าจักปฏิบัติตามดั่งที่ลั่นวาจาไว้!”


 


“ดีมาก!”


 


ในวินาทีต่อมา ดวงตาของหวังหงษ์เต๋าก็ฟื้นคืน กลับมาสดใสและกระจ่างชัดดังเดิมในทันที


 


เฉียนซานเย่ได้ยอมละซึ่งความเกลียดชังลงอย่างกระทันหัน และยอมถอยที่จะต่อสู้ยึดครองร่างกายอีกฝ่ายเอาไว้ชั่วคราว


 


ในช่วงเวลาอันสั้น สั้นมากจริงๆ -เขาก็ได้บรรลุข้อตกลงที่ชัดเจนกับลูกศิษย์ของตนเอง!


 


เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เฉียนซานเย่ก็ต้องการชีวิตกลับคืน


 


ขณะที่หวังหงษ์เต๋าก็ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปให้ได้เช่นกัน


 


ความเกลียดชังน่ะ … มันเทียบไม่ได้หรอกกับการมีชีวิตรอด!


 


หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์ได้ทำข้อตกลงร่วมกัน และบรรลุมันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว –นี่มันเกินกว่าที่ทุกคนคาดคิดนัก!


 


หวังหงษ์เต๋าเริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณ


 


ฉานนู่เห็นท่าไม่ดี ตนจึงเริ่มใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ทันที


 


พลังศักดิ์สิทธิ์เล่ยเดี๋ยน ตัดขาดการเชื่อมต่อ!


 


บังเกิดกระแสสายฟ้าขึ้นในมือของเธอ ฟาดเปรี้ยง! เข้าใส่หวังหงษ์เต๋าและผลุบลงไปในร่างกายของเขา


 


พลังวิญญาณของหวังหงษ์เต๋าสลายหายไปทันใด ทั้งคนทั้งร่างมึนงงอยู่ในสภาวะขาดสติ


 


ภายในสามวินาที เขาและเฉียนซานเย่จะมิอาจควบคุมร่างกายนี้ได้!


 


ตัดขาดการเชื่อมต่อ คือพลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าพรั่นพรึง ที่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็มิได้รับการยกเว้น!


 


แล้วฉานนู่ก็หายวับไปทันใด


 


ร่างเงาแทนที่ครั้งที่สอง!


 


กู่ฉิงซานปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของเธออีกครั้ง


 


ทว่าเขาไม่ได้หายไปแล้วกลับมาเปล่าๆปลี้ๆ! กู่ฉิงซานปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในสภาวะรีดเร้นแสงสวรรค์ทั้งหมดที่มีออกมา และโคจรเทคนิคดาบอย่างรวดเร็ว!


 


ทุกสิ่งอย่างตระเตรียมการเอาไว้ สำหรับชั่วพริบตานี้!


 


ดาบพิภพ ถูกฟาดสับด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี


 


น้ำหนักกว่า86.37 ล้านจินได้แปรเปลี่ยนสภาพเป็นรังสีแสงขาวนวลดั่งแสงจันทร์ กวาดข้ามผ่านไปทั่วฟ้า


 


ท่ามกลางหมอกเลือด ศีรษะหนึ่งกระฉูดขึ้นไปกลางอากาศ


 


หัวของหวังหงษ์เต๋าถูกตัดแยกออกจากร่างกายแล้ว!


 


และฉานนู่ก็ปรากฏร่างขึ้นอีกคราข้างกายกู่ฉิงซาน พร้อมกับโบกสะบัดสองคมดาบเข้าใส่ร่างไร้หัว!


 


คมดาบแรก คือการตัดเชือกผูกถุงสัมภาระที่ติดกับร่างกายของอีกฝ่ายออกจากกัน


 


เมื่อได้รับถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋ามาไว้ในมือ ฉานนู่ก็ใช้ออกด้วยคมดาบที่สองทันที


 


เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!


 


บังเกิดรังสีดาบอันยอดเยี่ยม ดั่งกระแสน้ำใหญ่ที่ไหลบ่าลงมาราวกับธารน้ำตก มันท่วมทับไปตลอดทั้งร่างของหวังหงษ์เต๋า ตัดสะบั้นทั้งเนื้อหนังและกายเขาจนกลายเป็นชิ้นๆ!


 


เวลานี้ ต่อให้เฉียนซานเย่กับหวังหงษ์เต๋าจะมีความสามารถเทียมฟ้ามากปานใด พวกเขาก็ย่อมมิอาจฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างแน่นอน


 


กู่ฉิงซานคว้าจับศีรษะที่ลอยล่องของอีกฝ่าย


 


บนใบหน้าของศีรษะ เต็มไปด้วยการแสดงออกที่ไม่อยากจะเชื่อ


 


ในฐานะที่เป็นตัวตนอันทรงพลานุภาพในขอบเขตลมปราณจิต ส่งผลให้หวังหงษ์เต๋ายังคงไม่ตายในทันที


 


อย่างไรก็ตาม หากสูญสิ้นร่างกายไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะทรงพลานุภาพมากเพียงใด เบื้องหน้าเขา ก็หลงเหลือเพียงเส้นทางที่มุ่งสู่ความตายเท่านั้น!


 


“เจ้าน่ะหรือสังหารข้า? ฮ่าฮ่า เจ้าน่ะหรือสังหารข้าได้ … ” หวังหงษ์เต๋าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


 


“กลยุทธ์ที่ดี! ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม! ข้ามิอาจจินตนาการได้เลยว่าจะพบเผชิญกับการจู่โจมเช่นนี้-”


 


แต่แล้วสีหน้าของหวังหงษ์เต๋าที่กำลังร้ายแรงก็แปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง “เจ้าหนู จงมอบร่างกายให้แก่ข้า แล้วข้าจักสอนสั่งวิชาดาบคู่เอกลักษณ์ให้แก่เจ้า”


 


นี่คือน้ำเสียงและการแสดงออกของเฉียนซานเย่


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อาวุโส ก่อนหน้านี้ท่านถึงขั้นเสียสละแบ่งวิญญาณส่วนหนึ่ง เพื่อเฝ้ารอคอยให้เกิดช่วงเวลาดั่งเช่นในปัจจุบันนี้มิใช่หรือ?”


 


“แบ่งวิญญาณ … ไม่น่าเชื่อ ในโลกใบนี้ไม่สมควรที่จะมีผู้ใดล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ได้ ไม่มีผู้ใดเคยพบเผชิญกับสิ่งนี้ …….. แล้วเจ้าทราบถึงมันได้อย่างไร?”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.466 – ค้นวิญญาณ


 


“เจ้าล่วงรู้เรื่องอย่างการแบ่งวิญญาณได้อย่างไร!”


 


เฉียนซานเย่เอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


กู่ฉิงซานพอได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์


 


“นั่นก็เป็นเพราะว่า ข้าเคยพบเห็นเจ้าสิ่งนี้ด้วยตาตนเองมาก่อนแล้วยังไงล่ะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ


 


ในชีวิตก่อนหน้า จวบจนกระทั่งทั้งสองโลกได้ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง เขาก็ยังไม่เคยได้พบเจอกับผู้คนของโลกอื่นเลย


 


ทุกชีวิตบนโลกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดตระหนักถึงคำว่า ‘หมื่นสวรรค์’ สองคำนี้เลย ผู้คนเพียงเลือกที่จะเข้าใจและฝืนยอมรับว่า คำหมื่นสวรรค์นี้หมายถึงโลกมนุษย์กับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธเท่านั้น


 


ช่างเป็นเรื่องไร้สาระโดยแท้!


 


แต่เมื่อได้จุติกลับมาใหม่อีกครั้ง ตนเองก็ได้พบเห็นโลกมากขึ้น พบปะผู้คนมากขึ้น และเริ่มปะติดปะต่อถึงความลับระหว่างต่างโลก


 


จนกู่ฉิงซานสามารถตระหนักถึงใจความสำคัญของความรู้ ความเข้าใจในเชิงลึกได้ทั้งหมด


 


เขาย้อนนึกไปถึงเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในช่วงที่หลานซิ่วต้องการจะช่วยเหลือชิงหยิน อีกฝ่ายไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะทำการแบ่งจิตวิญญาณของตนออกไป


 


หลานซิ่วได้ใช้เวลากว่า 10000 ปี เพื่อให้จิตวิญญาณที่แยกตัวออกไปทำการสร้างสำรับไพ่กลุ่มใหม่ขึ้นมา


 


ขณะที่เฉียนซานเย่ เขากลับสามารถเพิกเฉยต่อกฏเหล็กของวิถีดาบได้ -มิเพียงแตกฉานในเชิงดาบ แต่ยังสามารถแตกฉานในเชิงกระบี่จนกลายเป็นยอดยุทธที่ทรงพลานุภาพที่สุดในยุคสมัยนั้น


 


หากกู่ฉิงซานไม่เคยเห็นหลานซิ่วมาก่อน แน่นอนว่าเขาคงจะสับสนและหลงกลเหมือนกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆในโลกใบนี้ไปแล้วเช่นกัน


 


ดังนั้น ด้วยการที่ตนได้สนทนากับเฉียนซานเย่ และรับฟังถึงแผนการของอีกฝ่ายที่ค่อยๆแง้มออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้กู่ฉิงซานสามารถพิจารณาและเริ่มมั่นใจมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆว่าอีกฝ่ายอาจจะสามารถแบ่งเสี้ยวจิตวิญญาณกับจิตวิญญาณหลักได้ก็เป็นได้


 


เพราะมีเพียงเฉพาะวิธีนี้เท่านั้น ที่เขาจะสามารถฝึกฝนทักษะดาบ และฝึกฝนอาวุธหลักอีกชนิดหนึ่งจนแตกฉานได้


 


ทิศทางของเบาะแสทั้งหมด ชี้ตรงมาที่จุดนี้ … มันถูกรวมรวมเข้าด้วยกันจนสมบูรณ์!


 


ในที่สุด การคาดเดาของเขาก็ได้รับการยืนยันแล้ว!


 


ผู้ฝึกยุทธอย่างเฉียนซานเย่ แท้จริงแล้วกลับครอบครองความสามารถเช่นเดียวกันกับหลานซิ่ว!


 


นี่มันช่างขัดแย้งกับบันทึกอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดของโลกใบนี้เสียจริง -การแบ่งจิตวิญญาณนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย!


 


ตรงจุดนี้แหละ คือจุดที่กู่ฉิงซานสงสัยมากที่สุด


 


นอกเหนือไปจากเรื่องของการแบ่งจิตวิญญาณแล้ว เฉียนซานเย่ยังกล่าวว่าเขาล่วงรู้ถึงความลับของมารโลกาอีกด้วย


 


และความลับในเรื่องที่สองนี่เอง ที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของกู่ฉิงซานได้อย่างแท้จริง


 


จิตของหวังหงษ์เต๋าและจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ยังคงติดอยู่ในศีรษะของหวังหงษ์เต๋าในขณะนี้


 


กู่ฉิงซานจับหัวของหวังหงษ์เต๋าและกำลังจะเริ่มต้นทำการค้นวิญญาณ


 


“ช้าก่อนนายน้อย โปรดให้ข้าเป็นผู้ลงมือเถอะ” ฉานนู่กล่าว


 


“เพราะเหตุใด?”


 


“เพราะผู้คนในโลกใบนี้ช่างอันตรายยิ่ง และพวกเราก็ไม่เคยเผชิญกับเทคนิคมนตราของพวกเขามาก่อน ดังนั้นปล่อยให้ข้ารับมือเถอะ หากเป็นข้า วิชามนตราย่อมไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” ฉานนู่กล่าว


 


“จริงของเจ้า”


 


กู่ฉิงซานตอบรับความหวังดี และโยนศีรษะของศัตรูให้แก่อีกฝ่าย


 


สำหรับฉานนู่แล้ว แน่นอนว่าเธอย่อมไม่หวาดเกรงวิชามนตราใดๆทั้งสิ้น


 


เธอคว้าจับศีรษะ ในชั่วเวลาที่จิตวิญญาณภายในยังไม่จากไป และเริ่มต้นใช้ออกด้วยวิชาค้นวิญญาณทันที


 


“นายน้อย เขากำลังจะตาย เกรงว่าข้าจักสามารถตรวจดูได้แค่บางส่วนของความทรงจำเท่านั้น”


 


กู่ฉิงซานกล่าวเตือน “เช่นนั้นก็จงข้ามผ่านเหตุการณ์ในช่วงพันปีนี้ไปทันที แล้วไปสืบเสาะหาเรื่องราวก่อนหน้าทั้งหมดโดยเริ่มจากเฉียนซานเย่ จากนั้นก็หวังหงษ์เต๋า”


 


“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่รับคำ


 


แล้วเธอก็เริ่มทำการตรวจสอบ


 


“อ๊ากกกกกก!”


 


ศีรษะของหวังหงษ์เต๋าหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา


 


“ปล่อยข้าไปเถอะ แล้วข้าจะยอมเล่าให้เจ้าฟังทุกอย่างเอง”


 


เขาเอ่ยประโยคนี้ ด้วยสองน้ำเสียงที่สลับกันไปมา


 


กู่ฉิงซานกล่าวปฏิเสธ “สำหรับทั้งศิษย์และอาจารย์เช่นพวกเจ้าทั้งสองแล้ว ขอบอกตรงๆว่าข้ามิกล้าเชื่อถือสิ่งใดที่พวกเจ้ากล่าวแม้ครึ่งคำ”


 


เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าทุกอย่างไร้ความหวัง หวังหงษ์เต๋าก็ระเบิดเสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งขึ้นทันใด


 


“ต่อให้เจ้าสังหารข้าได้ … ก็แล้วมันอย่างไร! ไม่ว่ายังไง ทุกคนบนโลกใบนี้ก็จะต้องตาย และไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีไ-”


 


แต่แล้วเสียงโหยหวนของเขาก็หยุดลงไปอย่างกระทันหัน


 


ในมือของฉานนู่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทุ่มออกด้วยวิธีใดมันก็ไร้ประโยชน์


 


ดังนั้น เมื่อดิ้นรนมาจนถึงจุดนี้ ช่วงเวลาแห่งการไม่เต็มใจน้อมรับความตายก็ได้มาถึงในที่สุด


 


สองตาของหวังหงษ์เต๋าเบิกกว้างอย่างไม่ยินยอม ประกายแห่งความละโมบเหม่อมองโลกใบนี้ไปจนสุดสายตา


 


ปากอ้าเผยอ กล้ามเนื้อตลอดทั้งใบหน้าเกร็งเขม็ง เผยให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป


 


กระทั่งในวินาทีสุดท้าย สองจิตวิญญาณก็แสดงออกความเสียใจ เผยความรู้สึกเช่นเดียวกันออกมาก่อนจะลาจากโลกใบนี้ไป


 


กู่ฉิงซานส่ายหัว


 


“ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องตายอย่างงั้นหรือ?”


 


เขาเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะเดียวกันก็ใช้สมองขบคิดถึงความหมายของประโยคนี้


 


พร้อมกับความรู้สึกไม่ดีที่บังเกิดขึ้น


 


ในความเป็นจริงแล้ว ลางสังหรณ์ดังกล่าวนี้ได้ซุ่มซ่อนอยู่ในจิตใจเขามาเนิ่นนานแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ มันก็ได้บังเกิดความชัดเจนขึ้นยิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย


 


“การตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานหันไปเอ่ยถามฉานนู่


 


ฉานนู่หลับตาลงและกล่าว “นายน้อย ข้อมูลมันเยอะเกินไป ข้าจำต้องใช้เวลาสักครู่ในการแยกแยะและกลั่นกรองมันเสียก่อน”


 


“งั้นก็จัดการในส่วนของเจ้าไปเถอะ เพราะทางข้าเอง … ก็มีบางสิ่งที่จะต้องเร่งมือทันทีอยู่เหมือนกัน”


 


กู่ฉิงซานก้มหน้าลง จ้องมองหน้าอกของตัวเอง


 


กระบี่หวังชี่ยังคงแทงทะลุอยู่บนหน้าอกเขา แม้ว่าเขาจะเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า โดยการเลือกที่จะหลีกเลี่ยงจุดตายแล้วก็ตามที แต่หากปล่อยทิ้งไว้นานๆผลลัพธ์ก็คงเลวร้ายอยู่ดี


 


ตอนนี้ คงต้องนำมันออกมาเสียก่อน


 


ในเวลานั้นเอง สองเงาร่างก็ทะยานตรงมาอย่างรวดเร็ว


 


ฉินรั่วและว่านเอ๋อ นั่นเอง


 


เมื่อค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ฟื้นฟูจนเสร็จสมบูรณ์ พวกเธอก็เร่งตรงมาที่นี่ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี


 


ทั้งสองร่อนมาตกลงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซานและฉานนู่


 


แล้วก็นิ่งงันไป มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังขยับไหว มันเบนลงไปมองศีรษะในมือของฉานนู่


 


“ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต … ” ฉินรั่วเอ่ยออกมาอย่างเหม่อลอย


 


“ถูกสังหารลงโดยผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพ!” ว่านเอ๋อเปล่งเสียงกระซิบ


 


พวกเธออดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเล็กน้อย แม้จะผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับในสิ่งที่ตนเห็นได้


 


แต่ไม่นาน วิสัยทัศน์ของหญิงสาวทั้งสองก็เบนมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน


 


และพบว่ามีกระบี่ยาวแทรกอยู่ในหน้าอกของเขา และเจ้าตัวก็กำลังพยายามที่จะดึงมันออกมาอยู่


 


สองสาวหันมองหน้ากันวูบหนึ่ง


 


และเห็นถึงความวิตกกังวลในสายตาของอีกฝ่าย


 


ทันใดนั้น ฉินรั่วก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โน้มกายตนลงอิงแอบ แนบชิดกับกู่ฉิงซาน  และกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ว่า “นายน้อย ท่านช่างแข็งแกร่งจริงๆ!”


 


ว่านเอ๋อก็โน้มกายลงเช่นกัน พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ารัก “นายน้อย นับจากนี้ไป ข้าพร้อมยินยอมพลีกาย ขอติดตามท่านไปทุกหนแห่ง”


 


กู่ฉิงซานค่อยๆเขยิบกาย เลี่ยงที่จะสัมผัสผิวของสองสาว ปากเอ่ยกล่าวด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้”


 


สองหญิงสาวเมื่อเห็นปฏิกริยาเช่นนี้ ก็ก้าวถอยหลังกลับอย่างว่าง่าย


 


“นี่แหละเขา” ฉินรั่วกล่าว


 


“ใช่ๆ คนผู้นี้คือนายน้อยลูกเจี๊ยบของพวกเราแน่ๆ” ว่านเอ๋อเอ่ยติดตลก


 


กู่ฉิงซาน “ … ”


 


“แต่เรื่องนี้เจ้าไม่สามารถตำหนิพวกเราได้นะ” ฉินรั่วถอนหายใจ


 


“เพราะกลยุทธ์นี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พวกเราก็เลยลองทดสอบดูนิดๆหน่อยๆ เพราะบางทีอาจจะเป็นผู้อื่นมาสวมรอยเป็นเจ้าก็ได้ .. ” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม


 


เมื่อทั้งสองสามารถยืนยันได้ว่านี่คือกู่ฉิงซานตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ พวกตนก็รู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป


 


ตั้งแต่แรกเริ่มที่พบเจอกับเขา พวกเธอก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้เลยว่ากู่ฉิงซานจะร่วมมือกับมารสวรรค์ ลอบวางแผนการสังหารฉีหยานผู้ที่อยู่ในขีดสุดความว่างเปล่าลงได้


 


แต่ตอนนี้ จู่ๆเขากลับถึงขั้นสามารถสังหารตัวตนที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในนิกายกวงหยางอย่าง หวังหงษ์เต๋าซึ่งอยู่ในขอบเขตลมปราณจิตลงได้!


 


หวังหงษ์เต๋าซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนอันยอดเยี่ยม สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วยกลยุทธ์เสียเอง!?


 


เมื่ออยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน กลยุทธ์หรือการคาดคำนวณใดๆของศัตรูก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย


 


สองหญิงสาวอดคิดไม่ได้จริงๆ


 


จ้องมองไปยังกระบี่ยาวที่แทรกอยู่บนหน้าอกของเขาอีกครั้ง


 


-การต่อสู้ในครั้งนี้อันตรายมากจริงๆ


 


ว่านเอ๋อพับแขนเสื้อของตัวเองขึ้นและกล่าวว่า “ข้าเก่งกาจในด้านการรักษา ขอให้ข้าได้ช่วยเถอะ”


 


“ลำบากเจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจ โล่งอกที่ตนไม่ต้องลงมือทำเองซะที


 


ว่านเอ๋อเริ่มใช้ยารักษาแผลอย่างระมัดระวัง และเริ่มช่วยกู่ฉิงซานนำกระบี่ยาวออกมา


 


“ข้าละไม่อาจทำความเข้าใจได้จริงๆ – ว่าเจ้าสังหารเขาลงได้อย่างไร” ฉินรั่วที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยถาม


 


แล้วกู่ฉิงซานก็เล่าถึงกระบวนการทั้งหมดออกไป


 


ฉินรั่วเริ่มคิดตามอย่างจริงจัง


 


“เจ้าไม่ได้วางแผนว่าจะสังหารเขาตั้งแต่ในช่วงเวลาแรกของหนึ่งในสี่ชั่วยามใช่ไหม?” เธอเอ่ยถาม


 


“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ


 


“เพราะเหตุใด?”


 


“เพราะสำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ แต่ตราบใดที่ตัดสินใจว่าจะทุ่มทุกสิ่งอย่างที่มี … ก็ย่อมเป็นการยากที่จะโค่นล้มอีกฝ่ายลง”


 


สองหญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังกังวลว่าสุดท้ายแล้วต่อให้คว้าชัยชนะมาได้ แต่หากเขาตัดสินใจที่จะระเบิดพลังวิญญาณและดึงดูดมารโลกาเข้ามา ทุกอย่างก็เป็นอันจบอยู่ดี”


 


“เช่นนั้นแล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร?”


 


“ก็ปล่อยให้เขารู้สึกว่าตนเองสามารถคว้าชัยชนะมาไว้อยู่ในกำมือได้แล้วน่ะสิ”


 


มองไปยังการแสดงออกที่ยังคงสงสัยของฉินรั่ว กู่ฉิงซานก็อธิบายว่า “หวังหงษ์เต๋าผู้นี้ ตราบใดที่ไม่คิดว่าตนสามารถคว้าชัยชนะไว้ได้เต็มกำมือ เขาย่อมต้องทุ่มพยายามอย่างสุดความสามารถอย่างแน่นอน”


 


ฉินรั่วพยักหน้า และเอ่ยอย่างช้าๆ “ก็ใช่ เพราะเขาก็เลือกที่จะเฝ้ารอจนกระทั่งครบกำหนดเวลา จนค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกฟื้นฟูกลับคืนจริงๆ”


 


“ก็นั่นแหละ ทุกสิ่งอย่างที่ข้าวางเอาไว้ก็เพื่อช่วงเวลาสุดท้ายนั้น … ช่วงเวลาที่จะปิดฉากด้วยดาบสุดท้ายไป”


 


“แต่ดาบสุดท้ายนั่น ก็ทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงเช่นกัน”


 


ฉินรั่วจ้องมองหน้าอกของกู่ฉิงซาน


 


กระบี่ยาว ถูกนำออกมาแล้วโดยว่านเอ๋อ


 


ทั้งมือทั้งเท้าของว่านเอ๋อช่างว่องไวและกระฉับกระเฉงเป็นอย่างยิ่ง เธอป้ายยาลงบนตัวของกู่ฉิงซาน และบอกชนิดยาที่ตรงตามอาการให้เขากินทันที


 


เธอเก่งกาจในเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บอย่างที่บอกไว้จริงๆ


 


“ขอบใจนะว่านเอ๋อ”


 


กู่ฉิงซานโยนเม็ดยารักษาเข้าปากและกล่าวอธิบายต่อว่า “ก็นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่ข้าสามารถประชิดตัวเขาได้นี่นา”


 


ฉินรั่ว “นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาเดียวที่ฉานนู่สามารถใช้ประโยชน์จากใบหยก หรือพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วยใช่ไหม?”


 


“ใช่แล้วล่ะ แท้จริงแล้วช่วงเวลาตัดสินเป็นตายมันมิใช่ในตอนที่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกหยุดทำงานหรอก แต่เป็นช่วงเวลาที่มันเริ่มกลับมาทำงานได้อีกครั้งต่างหากล่ะ”


 


ฉินรั่วถอนหายใจ “ใครกันที่จะมีฝีมือในการวางแผนคาดคำนวณถึงเพียงนี้ หากไม่นับตนเอง ตลอดทั้งชีวิตของหวังหงษ์เต๋าก็คงไม่อาจนึกถึงผู้ใดได้อีกแล้ว”


 


กู่ฉิงซานกล่าวเบาๆว่า “การกระทำอย่างหุนหันพลันแล่นโดยไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้น่ะมันไร้ประโยชน์ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาจะคาดไม่ถึงในการกระทำของข้า”


 


“เป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หากเจ้ามิอาจประชิดตัวเขาได้ในช่วงเวลาสุดท้ายที่ว่านั่น ทุกอย่างก็เป็นอันจบ – ว่าแต่เพราะเหตุใดเขาจึงมิได้คาดคิดถึงในส่วนนั้นกัน?” ฉินรั่วเอ่ยด้วยความสับสนเล็กน้อย


 


กู่ฉิงซานเฉลย “เพราะในตลอดช่วงชีวิตของเขา กลยุทธ์ของเขาได้รับชัยชนะเสมอมา โดยที่ตนไม่แม้จะกระทั่งใช้ความพยายามอย่างเต็มที่  เขาเลยไม่เคยคาดคิดถึงการจู่โจมที่อาจคุกคามตนถึงชีวิต”


 


ฉินรั่วสั่นสะท้าน


 


“กระบี่นั้นเที่ยงแท้ และมันไม่เคยทรยศผู้ใด ขณะที่คนดั่งเช่นเขานั้นลุ่มหลง มัวเมาอยู่กับการรักษาชีวิตของตนเอง จนลืมเลือนข้อเท็จจริง ข้อนี้ไป”


 


ขณะกล่าวถึงเรื่องกระบี่ จู่ๆภายในจิตใจของกู่ฉิงซาน ก็บังเกิดร่างๆหนึ่งว่าบผ่านเข้ามา


 


มันเป็นร่างของหญิงในชุดเกราะสีทอง พร้อมด้วยหน้ากากเงินบนใบหน้า


 


หญิงสาวที่แม้บนร่างกายจะถูกแต่งแต้มไปด้วยบาดแผล  แต่เธอก็ยังกุมกระบี่ยาวที่เที่ยงตรงและเที่ยงแท้ในมืออย่างแม่นมั่น เหินทะยานขึ้นไปต่อสู้บนฟากฟ้า


 


เธอซึ่งเป็นผู้ใช้กระบี่ที่แท้จริง


 


ครั้งสุดท้ายที่เห็น สภาพนางน่าเป็นห่วงจัง? นางจะเป็นอะไรไหมนะ?


 


แล้วท่านอาจารย์เล่า?


 


เซี่ยวโหลวล่ะ?


 


ไหนจะซิวซิวอีก?


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา


 


“ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถเข้าใจถึงความคิดของเจ้าได้ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวลงมือของเจ้าด้วยล่ะสินะ” ฉินรั่วกล่าวชื่นชมอย่างสุดซึ้ง


 


“นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น”


 


ขณะกล่าว สายตาของกู่ฉิงซานก็กำลังมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


หลากเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กลอยเด่นอยู่ในวิสัยทัศน์ของเขามาพักหนึ่งแล้ว


 


“คุณได้สังหารเซ่าหวูชุ่ย ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า”


 


“เนื่องจากคุณสามารถสังหารขอบเขตที่เหนือกว่าถึงสามระดับได้ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว คุณจึงสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดโดยสมบูรณ์”


 


“แต้มพลังวิญญาณ +2000”


 


“คุณได้สังหารหวังหงษ์เต๋า ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต”


 


“คุณได้สังหารเฉียนซานเย่(จิตวิญญาณหลัก) ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต”


 


“เนื่องจากคุณสามารถสังหารขอบเขตที่เหนือกว่าถึงสี่ระดับได้ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว คุณจึงสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดโดยสมบูรณ์”


 


“แต้มพลังวิญญาณ +5000”


 


“แต้มพลังวิญญาณ +3000”


 


“ในมุมมองตามที่กล่าวมาข้างต้น ว่าคุณสามารถลงมือสังหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ‘ใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่ง’ ดังนั้น คุณจึงสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดของขอบเขตประทับเทพ”


 


“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินของคุณคือ : 10000/400 ”


 


กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและหยิบใบหยกที่บันทึกค่ายกลออกมา


 


แล้วเขาก็เริ่มทำความเข้าใจมันทันที


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้น


 


“ต้องการจ่าย 700 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการเรียนรู้ถึงค่ายกลระดับสูงหรือไม่?”


 


“เรียนรู้”


 


กู่ฉิงซานกล่าว


 


แทบจะในทันที กระแสไอร้อนไหลบ่าออกมาจากใบหยก ถ่ายเทเข้าไปในร่างกายของเขา และสุดท้ายก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ


 


กู่ฉิงซานหลับตาลงสักพัก พยายามที่จะย่อยเนื้อหาของค่ายกลทั้งหมด


 


แล้วเขาก็หยิบใบหยกที่บันทึกค่ายกลระดับสูงขึ้นมาอีกแผ่นหนึ่ง


 


จากนั้นก็เริ่มทำการเรียนรู้มันอีกครั้ง


 


ตนได้รับมาถึง 10000 แต้มพลังวิญญาณ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สนใจเลยว่าเขาจะต้องจ่ายมันไปเท่าใด


 


เพราะช่วงเวลานี้ เขาจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับมันให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.467 – ความลับ


 


กู่ฉิงซานยังคงหยิบใบหยกออกมาอย่างต่อเนื่อง และทำการเรียนรู้ค่ายกลที่บันทึกเอาไว้อย่างไม่รู้จบ


 


ใบหยกแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกหยิบขึ้นมาโดยเขา


 


ขณะที่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับค่ายกลของเขาทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานกำลังปีนป่ายขึ้นไปยังจุดสูงสุด – ที่กล่าวกันว่าเป็นการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกล่องเวหา : นั่นคือเป็นผู้แตกฉานในด้านค่ายกล


 


ถึงแม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะถูกสังหาร และเฉียนซานเย่ก็ตายลงแล้วเช่นกัน แต่ความตึงเครียดในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับยังคงอัดแน่น ไม่ยอมคลายลงเลย


 


เขาจึงเร่งพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะแตกฉานในด้านค่ายกลให้ได้โดยเร็วที่สุด


 


“นายน้อย เหตุใดท่านจึงยังดูเป็นกังวลอยู่อีกเล่า?” ฉินรั่วเอ่ยถามอย่างเงียบๆ


 


มองไปยังท่าทีการแสดงออกของกู่ฉิงซาน เวลานี้เขาดูไม่มีความสุขเลย


 


“นั่นสินายน้อย พวกเขาทั้งหมดตายไปแล้วนะ ตอนนี้พวกเราไม่ได้กำลังตกอยู่ในอันตรายกันอีกแล้ว” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม


 


“เอาไว้ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฟังในภายหลังนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


แม้ขณะสนทนากับอีกฝ่าย มือของเขาก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ในหัวใจยิ่งนานยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ


 


มีแน่ๆ จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างท่ามกลางเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขายังไม่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับมัน


 


โลกใบนี้ช่างแปลกประหลาดและมิอาจคาดเดาได้


 


ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือว่ามารก็ตามที


 


ขณะที่ตนเองพึ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน แล้วจะกล่าวว่าสามารถรู้เรื่องทุกอย่าง และควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างไร?


 


ดังนั้น กลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือการหลบหนีออกไปจากที่นี่


 


และเพื่อให้บรรลุกลยุทธ์ที่ว่านั่น เขาก็จะต้องเร่งยกระดับความรู้ ความเข้าใจในด้านค่ายกลของตัวเองให้เร็วที่สุด


 


เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวแปรใดๆที่อาจเข้ามาขัดขวางได้ เขาจะต้องรีบถอดรหัสดิสก์ค่ายกลระหว่างสองโลกของฉีหยานโดยเร็วที่สุด แล้วได้รับพิกัดของโลกเทวะมาให้จงได้!


 


“ข้าได้กลั่นกรองมันเสร็จแล้วนายน้อย” ฉานนู่เปิดตาขึ้นและกล่าวออกมา


 


กู่ฉิงซานที่กำลังเรียนรู้ค่ายกลอยู่วางใบหยกลง และเอ่ยถามออกไป “ก่อนที่หวังหงษ์เต๋าจะตาย ที่เขากล่าวว่า ‘ไม่ว่ายังไงผู้คนบนโลกใบนี้ก็จะต้องตาย’ นั่นมันเป็นจริงหรือไม่?”


 


“มันเป็นความจริง”


 


บนใบหน้าของฉานนู่เผยถึงความรู้สึกซับซ้อน และเธอก็กำลังจะเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา


 


แต่กู่ฉิงซานได้หยุดเธอเอาไว้เสียก่อน


 


เขาส่งผ่านเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะไป “อย่าพึ่งพูดมันออกมา พวกเราจะต้องสนทนาเรื่องนี้กันด้วยจิตสัมผัสเทวะเป็นการส่วนตัว”


 


แม้ฉานนู่จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังปฏิบัติตามคำกล่าวของกู่ฉิงซานโดยดี และบอกเล่าผ่านจิตสัมผัสเทวะแก่เขา


 


เมื่อ 1000 กว่าปีก่อน


 


ในช่วงเวลาที่มารโลกายังมิได้ปรากฏตัวขึ้นมา


 


โลกทั้งใบแข็งแกร่งและทรงประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน


 


ในช่วงเวลานั้น ผู้ฝึกยุทธกลุ่มหนึ่งได้บังเกิดความทะเยอทะยานหาที่ใดเปรียบ


 


พวกเขาพิชิตและทำการผสานโลกทั้งหมดที่พบเจอ นำพาอารยธรรมของโลกตัวเองก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุด


 


นี่คือยุคที่โลกล่องเวหาสามารถปลดปล่อยประสิทธิภาพของตนออกมาได้อย่างไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง


 


ทว่าช่วงเวลาใดก็มิอาจทราบได้ ที่จู่ๆก็มีผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาโลกใบนี้


 


เธอโผล่ออกมาอย่างกระทันหัน


 


ไม่มีใครรู้ว่าเธอมาจากที่ใด และมาถึงโลกใบนี้ได้ด้วยวิธีการใด


 


แต่ดูเหมือนว่าหญิงนางนี้จะไม่ได้มาร้ายหรือมีแผนการใดๆ


 


เธอเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็เท่านั้นเอง


 


เธอท่องไปรอบโลกล่องเวหาอย่างเสรี และไร้จุดหมาย


 


ในตอนแรกเหล่าผู้ฝึกยุทธก็ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ และมิได้ใส่ใจผู้หญิงที่ดูปกติธรรมดานางนี้เลย


 


จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ผู้ฝึกยุทธกลุ่มหนึ่งพึ่งพิชิตโลกใบใหม่มาได้สำเร็จ และกำลังนำพาทาสเข้ามาในโลกล่องเวหา จู่ๆทั้งหมดก็กลับถูกผู้หญิงคนนี้เข้ามาขวางเอา


 


เธอก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อหยุดการกระทำของเหล่าผู้ฝึกยุทธและต้องการที่จะปกป้องทาสเหล่านั้นเอาไว้


 


ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ย่อมเป็นธรรมดาที่จะทำให้เกิดฉนวนขัดแย้งกับเหล่าผู้ฝึกยทุธ


 


ทว่าผลลัพธ์กลับออกมาผิดคาด ไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดสามารถเอาชนะเธอได้เลย


 


ทุกคนล้วนถูกจับมัดรวมๆกันโดยเธอ


 


แต่โชคดีที่ผู้หญิงคนนั้นมิใช่พวกที่สังหารผู้คนตามอำเภอใจ เธอเพียงบอกกับผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนี้และปล่อยพวกเขาไป


 


เมื่อถูกปล่อยตัว ผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นจึงเร่งไปขอกำลังสนับสนุนทันที


 


ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม ผู้ฝึกยุทธที่ถูกนำตัวมา ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเธอได้เลย


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธจึงทำการขอกำลังสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเหตุการณ์นี้มันได้ไปดึงดูดความสนใจจากผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตลมปราณจิตคนหนึ่งเข้า


 


แต่แล้วเมื่อเขามาถึง ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่ากระทั่งผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตก็ยังพ่ายแพ้!


 


หลังจากการต่อสู้ในครั้งนี้จบลง  ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลกก็ได้รับแจ้งถึงเรื่องราวในครั้งนี้ทันที


 


โลกทั้งใบราวกับถูกสั่นสะเทือน


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตมากมายก้าวเข้าไปท้าทายผู้หญิงคนนี้ อย่างไรก็ตาม คนแล้วคนเล่าก็ล้วนต้องพ่ายแพ้


 


ผู้หญิงคนนี้มาจากที่ใดกัน?


 


เหตุใดนางจึงครอบครองพลังมากมายเช่นนี้


 


ซึ่งในช่วงเวลานั้นเอง มันประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เหล่าผู้ฝึกยุทธไม่อาจค้นหาโลกใหม่ได้อีกต่อไปพอดิบพอดี


 


พื้นฐานวรยุทธในขอบเขตลมปราณจิต ได้กลายเป็นจุดสูงสุด มิอาจทะลวงผ่านได้อีกต่อไป


 


ประจวบเหมากับที่ผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงมาจากโลกอื่น แต่ยังสามารถมอบความพ่ายแพ้แก่ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตได้


 


เธอจึงเปรียบดั่งตัวแทนของความหวังใหม่


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างเร่งพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำการตรวจสอบเธอ


 


ทว่าผู้ฝึกยุทธทั่วทั้งโลก กลับไม่มีใครสามารถค้นหาคำตอบที่ต้องการอย่างต้นกำเนิดของหญิงผู้นี้ได้เลย


 


ทุกคนแค่เพียงได้รับฟังจากปากของเธอเองว่า ตัวเธอมิใช่คนของโลกใบนี้เท่านั้น


 


บังเกิดความคิดทุกประเภท มากมายหลากหลายขึ้นภายในจิตใจของผู้ฝึกยุทธ


 


แต่น่าเสียดาย ที่ทุกคนไม่ว่าใครก็ไม่อาจเอาชนะเธอได้เลย ดังนั้นจึงไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากไปกว่านี้จากปากของเธอเอง


 


ผู้ฝึกยุทธระดับสูงของโลกจึงได้มารวมตัวกันอย่างลับๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ในครั้งนี้


 


และเฉียนซานเย่ก็เป็นผู้ที่ถูกรับเลือก


 


ถึงแม้ว่าเฉียนซานเย่จะไม่สามารถเอาชนะเธอได้ก็ตามที แต่เฉียนซานเย่ก็เป็นพวกหนังเหนียวไม่เลว และฉกาจในด้านการเกี้ยวหญิง


 


ด้วยการวางแผนและสมคบคิดกันของผู้ฝึกยุทธทั่วโลก เฉียนซานเย่ก็เริ่มทำการไล่ตามตื้อผู้หญิงคนนั้น


 


และแล้วเขาก็ประสบความสำเร็จ!


 


ผู้หญิงคนนั้น ตัดสินใจที่จะอยู่ในโลกใบนี้กับเขา


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับเฉียนซานเย่แล้ว เขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีความทะเยอทะยานอันสูงล้น และผู้หญิงนับไม่ถ้วนก็เคยผ่านมือเขามาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นสำหรับเธอ เขาจึงไม่คิดจะใยดีใดๆ


 


เขาเพียงต้องการที่จะค้นพบถึงความลับที่อยู่เบื้องหลังของผู้หญิงคนนี้เท่านั้น


 


และในที่สุด เขาก็ได้เลือกช่วงเวลาที่ผู้หญิงคนนี้เผลอ ลวงเธอให้เข้าไปติดกับ


 


44ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตที่ซุ่มอยู่ เริ่มลงมือพร้อมกันในทันทีที่ได้สัญญาณ!


 


ผู้หญิงคนนั้นที่มิได้ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวเลย ภายใต้การโจมตีอย่างกระทันหัน จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะพ่ายแพ้


 


เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ค้นพบถึงความตั้งใจที่แท้จริงของเฉียนซานเย่ และตกอยู่ในความสิ้นหวังท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกยุทธ ชั่วเวลานั้นเอง ในหัวใจของเธอจึงบังเกิดความผิดหวังอย่างร้ายแรงขึ้นมา


 


เธอเร่งฆ่าตัวตายอย่างรวดเร็ว


 


ทว่าก่อนตาย เธอมิวายเอ่ยประโยคหนึ่งทิ้งท้ายเอาไว้


 


“จิตวิญญาณของข้าจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นระบบทำลาย และอัญเชิญสิ่งที่น่าหวาดหวั่นชนิดที่พวกเจ้ามิอาจต้านทานได้จากในมิติที่ว่างเปล่าเข้ามา … พวกเจ้าจะต้องตกตายลงท่ามกลางความสิ้นหวังอย่างช้าๆ ไม่หลงเหลือผู้คน ไม่หลงเหลือที่อยู่อาศัย นี่คือการแก้แค้นของข้า”


 


กล่าวจบ ผู้หญิงคนนั้นก็สิ้นใจลง


 


แน่นอน ว่าหากเป็นเพียงความตาย เหล่าผู้ฝึกยุทธก็หาได้ใส่ใจใดๆไม่


 


เพราะตราบใดที่จิตวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ พวกเขาก็สามารถจับจิตวิญญาณของอีกฝ่ายมาเค้นความจริงได้


 


แต่น่าเสียดาย ที่เมื่อผู้หญิงคนนั้นตายลง จิตวิญญาณของเธอก็ได้หายไปเช่นกัน


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นยอดทั้งหมดได้พยายามทำทุกวิถีทาง ใช้ออกด้วยทุกวิชาลับ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจค้นพบถึงจิตวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นได้เลย


 


และในยามที่ทุกคนกำลังสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้นั้นเอง


 


มารโลกาก็ปรากฏตัวขึ้น


 


ในวันแรก มารโลกาได้กลืนกินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไป


 


และในวันถัดๆมา มารโลกาก็เริ่มกลืนกินดวงดาวบนฟากฟ้า มันใช้เวลาอยู่3-4วันเพื่อทำโลกทั้งใบมิอาจมองเห็นแสงดาวได้อีกต่อไป


 


และแน่นอน ว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธย่อมมิยินยอมอยู่เฉย พวกเขาได้ทำการเปิดฉากโจมตีมัน


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังอำนาจเหลือคณาของมารโลกา มันได้ส่งทุกคนจมลงสู่ความสิ้นหวัง


 


ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่เข้าร่วมในการต่อสู้ล้วนถูกกลืนกินไปโดยมารโลกาอย่างสมบูรณ์


 


ในช่วงเวลานั้นเอง ที่ผู้คนต่างเริ่มเล่าลือถึงคำกล่าวทิ้งท้ายของผู้หญิงคนนั้น


 


ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันย่อมมิอาจแก้ไขได้


 


โลกทั้งใบกำลังเข้าสู่กระบวนการล่มสลาย ผู้ฝึกยุทธต่างไร้สิ้นซึ่งความหวัง


 


เมื่อไม่มีหนทางใด เหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นยอดจึงได้มาแอบรวมตัวกันอีกครั้ง และขบคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับปัญหานี้


 


แล้วพวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่า คงจะมีเพียงการสังหารเฉียนซานเย่เท่านั้น จึงจะสามารถบรรเทาความโกรธของผู้หญิงที่ถูกสังหารลงได้


 


พวกเขาจึงเร่งวางแผนกำจัดเฉียนซานเย่อย่างรวดเร็ว


 


และศิษย์ฝึกหัดของเฉียนซานเย่ – หวังหงษ์เต๋าก็ถูกรับเลือกให้เป็นผู้สังหารอาจารย์ตน


 


เมื่อต้องพบเผชิญกับการสมคบคิดของผู้คนในโลกทั้งใบ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เฉียนซานเย่จะมิอาจรับมือได้ และถูกสังหารลงในที่สุด


 


อย่างไรก็ตาม มันไร้ประโยชน์


 


มารโลกามิได้หายไป


 


โลกล่องเวหาได้ตกลงสู่ความสิ้นหวังโดยสมบูรณ์


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธไม่ยินดีที่จะพินาศลงเช่นนี้  และในที่สุดแสงแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้น -ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดเหมือนกัน แต่คนผู้นั้นได้ทำการคิดค้นเทคนิคมนตราหนึ่งขึ้นมาได้สำเร็จ


 


มันคือเทคนิคมนตราซึ่งสามารถนำพาตลอดทั้งนิกายให้อยู่ในรูปแบบของเกาะลอยฟ้า และฉีกรอยแยกมิติ ออกจากโลกใบนี้ไป


 


พอได้ทราบข่าวนี้ ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลกต่างก็พากันปิติยินดี


 


เกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่ทะยานขึ้นสู่เวหา ตัดผ่านรอยแยกมิติ และลาจากโลกใบนี้ไป


 


หลายเดือนได้ผ่านพ้น


 


ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดบางคนที่ได้อาสาเป็นผู้บุกเบิกสำรวจเส้นทางมิติก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วกลับไม่เคยได้ส่งข่าวกลับมาเลย


 


เรื่องนี้ได้ก่อให้เกิดความสับสนใจหมู่ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงเป็นอย่างยิ่ง


 


และหลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบในหลายๆขั้นตอน ทุกคนก็ค้นพบว่าเทคนิคทะลวงมิติที่ว่างเปล่านี้ เดิมทีแล้วได้ถูกคิดค้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก


 


แต่เมื่อพบควัน ก็ย่อมสามารถค้นหาต้นตอของเปลวเพลิงได้อย่างง่ายดาย ปรมาจารย์ค่ายกลคนนั้นก็ถูกพบตัวอย่างรวดเร็ว


 


“น่าแปลกนัก มันไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้”


 


ปรมาจารย์ค่ายกลเอ่ยออกมาไม่กี่คำ


 


แล้วเขาก็ตกตายลง


 


ดวงจิตหนีหาย จิตวิญญาณแตกสลายไป


 


ไม่สามารถแม้กระทั่งจะสืบค้นถึงร่องรอยของจิตวิญญาณได้


 


—มิแตกต่างไปจากในครั้งที่ผู้หญิงลึกลับคนนั้นที่เสียชีวิตลงก่อนหน้านี้เลย


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงจึงพากันสรุปทันที ว่านี่สมควรที่จะเป็นแผนสมรู้ร่วมคิดกันของผู้หญิงคนนั้น


 


‘เทคนิคทะลวงมิติเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด’


 


เพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนกของผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลก เหล่าระดับสูงจึงพากันปกปิดเรื่องดังกล่าวนี้ไว้


 


ทว่านิกายจำนวนมากก็ยังคงหมกหมุ่นในความคาดหวังว่าตนจะยังคงมีชีวิตรอด และต่างพากันเปิดรอยแยกมิติ ทะลวงมันเข้าไป


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธล้วนปรารถนาที่จะลาจากโลกใบนี้ และก้าวเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่า


 


มีเฉพาะเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงเท่านั้น ที่ตกลงสู่ความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


 


ตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเขาได้รวมตัวกัน เพื่อวางแผนที่จะโค่นลมผู้หญิงคนนั้น


 


ทว่าบัดนี้ กรรมได้ตามสนองพวกเขาแล้ว


 


ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดบางส่วนได้ทำการทะลวงมิติด้วยตนเอง เพื่อต้องการค้นหาโลกใบใหม่


 


ทว่า … โลกที่พวกเขารู้จัก ทั้งหมดล้วนถูกผสานรวมเข้ากับโลกของตนเองจนสิ้นแล้ว


 


พวกเขาไร้ซึ่งพิกัดใดๆ


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงคนแล้ว คนเล่าได้ทยอยกันออกค้นหาพิกัดของโลกใหม่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้กลับมาอีกเลย


 


พวกเขาไม่สามารถหลบหนีจากคำสาปแช่งของผู้หญิงคนนั้นได้


 


ในโลกใบนี้ ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่สามารถหลบหนีไปได้


 


ผู้ฝึกยุทธทุกคนทำได้เพียงเฝ้ารอความตายมาเยือนเท่านั้น


 


แล้วหนึ่งพันปีก็ได้ผ่านพ้นไปราวกับพริบตา


 


ทรัพยากรทั้งหมดได้เหือดแห้งลงโดยสมบูรณ์ และผู้ฝึกยุทธเกือบทั้งหมดก็ล้วนแทบจะตกตายลงจนสิ้นแล้ว


 


จนนิกายใหญ่เพียงนิกายเดียวที่ยังคงอยู่ที่นี่ เหลือเพียงลั่วชาเฟิงเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นลั่วชาเฟิงหรือโลกใบทั้งใบ ทั้งหมดก็เท่าได้เพียงเฝ้ารอความตายที่กำลังจะมาถึงอย่างหมดหนทางอยู่ดี


 


นี่คือความจริงทั้งหมด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม