Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 455-461

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.455 – รับเทคนิคดาบ


 


เฉียนซานเย่ได้ส่งมอบใบหยกทั้งสองให้แก่กู่ฉิงซาน


 


หนึ่งคือใบหยกที่บันทึกเทคนิคดาบตลอดชั่วชีวิตของเขา


 


ขระที่อีกหนึ่ง คือใบหยกที่เขาพึ่งหยิบขึ้นมา และเขียนความรู้ความเข้าใจที่เขามีต่อมารโลกาลงไป


 


กู่ฉิงซานจ้องมองใบหยกทั้งสองนี้ ก่อนจะทำการสำรวจมันโดยเริ่มจากใบแรก


 


กู่ฉิงซานคว้าจับมัน


 


ใบหยกชิ้นแรก กล่าวได้ว่าคุณลักษณะของมันช่างเรียบเนียน โปร่งใสและเปล่งประกาย มิอาจรู้ได้เลยว่ามันถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมานานขนาดไหนแล้ว


 


รู้หรือไม่ว่า ว่าจริงๆแล้วใบหยกทั่วๆไปน่ะ เดิมทีมันจะเป็นเพียงสีขาวขุ่น ขณะที่มีเพียงใบหยกที่มีเนื้อหาล้ำค่าอยู่ภายในเท่านั้น ที่ผู้ฝึกยุทธจักหวงแหนมัน และเก็บรักษาเอาไว้ใกล้ตัว หรือกระทั่งหยิบฉวยมันขึ้นมาชื่นชมบ้างเป็นครั้งคราว


 


และในกระบวนการนี้เอง ที่ผู้ฝึกยุทธจะเผลอถ่ายเทพลังวิญญาณของตนลงไปในใบหยกโดยไม่รู้ตัว ปีแล้วปีเล่า เมื่อเวลาผ่านพ้นไป สีของใบหยกจึงชัดเจนขึ้น โปร่งใสขึ้น และมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ


 


สำหรับเรื่องนี้ มันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญยิ่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กล่าวได้ว่าไม่ว่าผู้ใดต่างก็ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้


 


ดังนั้น เมื่อได้พบเจอกับใบหยกที่มีสีที่ดี คุณลักษณะดูยอดเยี่ยม หลายคนจึงมักจะสงสัยว่าเนื้อหาใดกันหนอ ที่ถูกบันทึกเอาไว้ภายในมัน


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กได้เด้งเตือนขึ้นมาทันใด


 


“นี่คือวิชาลับในการฝึกยุทธที่ถูกแบ่งออกเป็นสองวิถี โดยจะแบ่งออกเป็นในส่วนของกระบี่และดาบ”


 


บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แถมยังเปล่งประกายเจิดจ้า


 


ดูเหมือนว่ามันจะต้องการให้กู่ฉิงซานได้มองดู


 


กู่ฉิงซานกวาดสายตามองรวดเดียว และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยพึมพำอย่างลับๆ


 


ในครั้งช่วงเวลาที่มีพื้นฐานวรยุทธต่ำกว่าก้าวสู่เทพ ผู้ฝึกยุทธมักจะชอบสะสมอาวุธเอาไว้หลากหลายชนิด และมักจะหยิบฉวยมันเพื่อใช้ในการโจมตีหลากหลายรูปแบบ


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่สามารถก้าวข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าของขอบเขตก้าวสู่เทพได้ ผู้ฝึกยุทธก็จะต้องเลือกอาวุธหลักของพวกเขา


 


ด้วยเหตุนี้ กู่ฉิงซานจึงได้ละทิ้งธาตุสายฟ้า หรือกล่าวอีกอย่างว่ามันคือเทคนิคมนตรา และอาวุธธนูไป  และหันมาฝึกเข้าสู่วิถีดาบอย่างแท้จริง


 


เพราะวิถีดาบ มันเป็นอะไรที่สุดแสนจะวิเศษยิ่ง!


 


เมื่อผู้ฝึกยุทธตัดสินใจว่าจะเข้าสู่วิถีดาบ เขาก็จำเป็นต้องละทิ้งอาวุธอื่นๆที่ตนเคยได้ใช้งานไป


 


กู่ฉิงซานกลับสู่โลกจริงในครั้งก่อน หลังจากที่เขาได้ช่วยเหลือเย่เฟย์หยูในช่วงปราศรัยเลือกตั้งแล้ว เขาก็มุ่งไปยังทะเลทรายมาชาล่า และเริ่มทำการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ทันที


 


ในช่วงเวลานั้น กู่ฉิงซานได้ตัดสินใจเลือกแล้ว ว่าตนจะก้าวไปในวิถีแห่งดาบ


 


แม้ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มักจะได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อยๆว่ามีผู้ฝึกยุทธที่สามารถใช้อาวุธหลักได้ถึงสองชนิดอยู่ แต่ทว่านั่นมันเป็นเพราะอาวุธหลักทั้งสองของพวกเขาน่ะมันมิใช่ดาบ!


 


ผู้ฝึกดาบน่ะ จักต้องมีความชัดเจนและทุ่มสมาธิให้แก่ดาบอย่างแท้จริง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้อาวุธอื่นควบคู่กันไปกับสกิลดาบได้


 


ทว่าเฉียนซานเย่กลับแตกต่างออกไป ปราณดาบที่สำแดงออกมา มันบ่งบอกว่าเขาคือผู้ฝึกดาบที่แท้จริงอย่างแน่นอน


 


แล้วเขากลับสามารถเรียนรู้ทักษะกระบี่เป็นอาวุธหลักควบคู่ไปด้วยกันได้อย่างไร?


 


ในความเป็นจริงแล้ว มิใช่แค่เพียงกู่ฉิงซานเท่านั้นที่งงงวย ทว่าผู้ฝึกยุทธในยุคเมื่อ 1000 ปีก่อน ต่างก็บังเกิดความสงสัยขึ้นไม่แพ้กัน


 


อย่างไรก็ตามในใบหยกแผ่นแรก ก็ได้บันทึกถึงเรื่องราวที่ว่าในช่วงพันปีที่ผ่านมาและบ่งบอกถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากจริงๆ


 


ใบหยกชิ้นนี้ มันถูกบันทึกไว้แม้กระทั่งการต่อสู้ในแต่ละครั้งของเฉียนซานเย่ ในทุกๆการโจมตีและตัดสินใจที่จะใช้เทคนิคดาบในช่วงเวลาตัดสินแพ้ชนะ ทั้งหมดล้วนถูกเก็บไว้


 


ขณะที่ในยุคสมัยนั้น ผู้คนต่างก็ยังงงงวยและไม่เข้าใจว่าเฉียนซานเย่สามารถใช้ดาบและกระบี่เป็นอาวุธหลักควบคู่กันได้อย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างไร


 


และในช่วงเวลาดังกล่าวที่ผ่านพ้น ก็ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถสืบค้นถึงความลับนี้ของเขาได้


 


แต่เหตุผลหลักๆนั่นก็เพราะเฉียนซานเย่น่ะคือผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกในยุคสมัยนั้น!


 


จึงกล่าวได้ว่า ตราบใดที่เขาไม่เต็มใจจะเอ่ย ก็ย่อมไม่มีใครจักสามารถง้างปากของเขาให้คายความลับที่ว่านี้ออกมาได้


 


กู่ฉิงซานบ่นพึมพำออกมาเบาๆ “สองวิถีที่แตกต่าง … โชคดีจริงๆที่ข้าได้เห็นถึงสิ่งที่บันทึกเอาไว้เหล่านี้ มิเช่นนั้นเกรงว่าการจะทำความเข้าใจมันคงจะไม่ง่ายนัก”


 


กู่ฉิงซานมองไปยังใบหยกอีกแผ่นในอากาศ


 


เฉียนซานเย่กล่าวว่าใบหยกชิ้นนี้ ตนได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับมารโลกาเอาไว้


 


เมื่อเทียบเปรียบกับความลับของวิถีดาบในใบหยกแผ่นแรกแล้ว กู่ฉิงซานรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในใบหยกที่กุมความลับเกี่ยวกับมารโลกาไว้มากยิ่งกว่าเสียอีก


 


ฉินรั่วเอื้อมมือออกไป หมายจะคว้าจับมันมา


 


ทว่ากู่ฉิงซานกลับหยุดมือของเธอเอาไว้เสียก่อน


 


“เอ๋ นายน้อย?” ฉินรั่วเอ่ยปากออกมาด้วยความสงสัยในการกระทำของเขา


 


แต่แล้วร่างของฉานนู่ก็วูบไหวทันใด และหายวับไปทันทีจากในสถานที่เดิมของเธอทันที


 


วินาทีถัดมา เธอก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางเวหา


 


นี่เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายอย่างเรียบง่าย มันเกิดจากการที่เธอใช้สกิลเทวะ : ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!


 


ฉานนู่ลงมือราวกับสายฟ้าฟาด เธอคว้าจับใบหยกและเก็บลงในถุงสัมภาระทันที


 


สองสาวใช้ยังมิทันได้ตอบสนอง ใบหยกแผ่นที่สองก็ถูกเก็บลงในถุงสัมภาระเสียแล้ว


 


ฉานนู่ค่อยๆลอยลดระดับลงมา


 


“ทำได้ดีมาก” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาด้วยความพึงพอใจ


 


ขณะที่บนใบหน้าของสองสาวใช้กำลังเผยถึงความงงงวย ฉานนู่ก็ได้กล่าวออกมาตามตรงว่า “เป็นนายน้อยที่ส่งผ่านความคิดมาหาข้า ว่าให้ข้าทุ่มสุดฝีมือเพื่อเก็บใบหยกแผ่นนี้ให้เร็วที่สุดให้จงได้”


 


เมื่อสองสาวใช้ได้ฟัง ภายในจิตใจของพวกเธอก็บังเกิดความสับสนเล็กๆน้อยๆขึ้นทันที


 


การกระทำเช่นนี้ … ใช่หมายความว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะขัดขวางตนเอง มิให้อ่านใบหยกหรือไม่?


 


นี่กู่ฉิงซานไม่เชื่อใจพวกเธออีกอย่างงั้นหรือ?


 


สาวใช้ทั้งสองบังเกิดความคิดนี้ขึ้นภายในจิตใจพร้อมๆกัน


 


ว่านเอ๋อมองไปทางกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวอย่างระมัดระวัง “นี่เจ้าไม่เชื่อในตัวพี่สาวรั่วอย่างงั้นหรอ? นางไม่มีทางบอกความลับภายในใบหยกให้แก่ผู้อื่นหรอกนอกจากเจ้า!”


 


ริมฝีปากของฉินรั่วเม้มขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของเธอแม้จะดูตกใจ แต่ก็ไปทางเศร้าใจเสียมากกว่า


 


ชีวิตของเธอถูกผูกติดอยู่กับคนๆนี้ และเธอก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะช่วยเหลือเขา แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายมิได้เชื่อใจในตัวเธอเลย


 


กู่ฉิงซานที่เห็นถึงฉากนี้ ก็เริ่มเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาทันใด


 


เขาเลยจำเป็นต้องเอ่ยอธิบายออกมาว่า “นี่มันช่างน่าปวดหัวเสียจริง พวกเจ้าใจเย็นๆแล้วคิดดูดีๆก่อนสิ ที่ข้าทำ มันเป็นเพราะต้องการป้องกันไม่ให้พวกเจ้าพบเผชิญกับอันตรายต่างหากล่ะ”


 


ฉินรั่วเป็นคนฉลาด พอได้ฟังคำกล่าวนี้ และลองไตร่ตรองดูอย่างรอบคอบดั่งที่อีกฝ่ายขอ เธอก็เอ่ยถามออกมา “แต่ก่อนหน้านี้นายน้อยกล่าวว่า ‘ระหว่างผู้ฝึกดาบน่ะ มีเพียงดาบเท่านั้น’ ใช่หรือไม่”


 


เธอพึมพำ “เดิมทีแล้วดาบก็เปรียบดั่งเป็นทั้งชีวิตและความตาย … ”


 


“หรือว่านายน้อยจะพบเจออะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับมันเข้า?”


 


“ฉินรั่ว เจ้าช่างเป็นคนที่หลักแหลมเสียจริง” กู่ฉิงซานเอ่ยชม


 


“มันคงจะเป็น ‘จิตแห่งดาบ’ ใช่หรือไม่?” ฉินรั่วเอ่ยถาม


 


“ใช่ มันคือ ‘จิตแห่งดาบ’”


 


กู่ฉิงซานอธิบายว่า “ดาบคู่เอกลักษณ์นั้นมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ อย่างเช่นเทคนิคฝึกยุทธในใบหยกนี้ มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนเกิดความโลภ”


 


“ขณะที่ใบหยกอีกแผ่นหนึ่ง ก็ได้บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับมารโลกา ซึ่งนี่มันเป็นเรื่องที่แทบจะทำให้ข้าอดใจไม่ไหวที่จะอ่านมัน”


 


“หลังจากที่ข้าตรวจสอบใบหยกชิ้นแรก และพบว่ามันไม่มีกับดักใดๆ แต่กลับเต็มไปด้วยเทคนิคฝึกยุทธ ตัวข้าก็จักผ่อนคลายลงตามชาตญาณของมนุษย์ … และนั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น”


 


“ซึ่งณ จุดๆนี้ ยามเมื่อข้าได้รับใบหยกแผ่นที่สองมา ตามสัญชาตญาณ ตัวข้าก็จักปรารถนาที่จะรู้เนื้อหาของมัน และอดใจไม่ไหวจำต้องคว้าจับเพื่อทำการข้อมูลที่อยู่ภายในทันที”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง


 


“หลังจากที่ผ่านพ้นมาพันปี เฉียนซานเย่ที่อยู่ในร่างจิตวิญญาณมานาน ก็คงจะก้าวหน้าขึ้น จนถึงขั้นเรียนรู้ที่จะกลายเป็น ‘จิตแห่งดาบ’ และคงจะใช้มันคิดฉวยโอกาสบางอย่าง”


 


“แต่ข้าก็ไม่ได้มอบโอกาสนั้นแก่เขา”


 


ฉินรั่วที่พึ่งเข้าใจ ก็บังเกิดความสงสัยขึ้นอีกครั้งทันที


 


“แล้วเหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าใบหยกแผ่นแรกที่บันทึกเทคนิคลับแห่งดาบมันไม่มีกับดัก?”


 


“ก็เพราะมันจำเป็นที่จะต้องไร้ซึ่งกับดักน่ะสิ มิฉะนั้น ตัวข้าที่กำลังระแวงสงสัย ก็คงจะไม่ตกหลุมพรางของเฉียนซานเย่เป็นแน่”


 


“แล้วเหตุใด เจ้าถึงได้ให้ฉานนู่เก็บใบหยกชิ้นที่สองไปอย่างรวดเร็วกัน?”


 


“เพราะเฉียนซานเย่มีวิธีการมากมายที่จะใส่บางสิ่งลงไปในใบหยกแผ่นที่สองนี้น่ะสิ บางทีอาจเป็นการแปลงตนเป็นจิตแห่งดาบและแฝงตนเข้าไป พอข้าสัมผัสต้อง เขาก็จะลอบเข้ามาสิงสู่ข้าก็เป็นได้ แต่หากมันถูกส่งเข้าสู่ถุงสัมภาระ ก็เท่ากับเข้าสู่พื้นที่อื่น ซึ่งในกรณีนี้เขาจะไม่สามารถทำอะไรกับข้าได้— เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมีวิธีการกระโดดออกมาจากถุงสัมภาระของฉานนู่ด้วยตนเอง”


 


สองสาวใช้มองหน้ากัน ก่อนจะเบนสายตาออกไปและเห็นแค่เพียงมือของฉานนู่ที่กดประทับตราลงบนถุงสัมภาระ


 


“คราวนี้ ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการใดก็ตาม เขาก็จะไม่สามารถหลุดออกไปจากเงื้อมมือของข้าได้” ฉานนู่กล่าว


 


ว่านเอ๋อได้สติกลับคืน เธอหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าว “ดังนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่า แท้จริงแล้วเจ้าก็มิได้เชื่อใจเขาตั้งแต่แรกอย่างงั้นหรือ?”


 


ฉินรั่วเอ่ยถามด้วยเช่นกัน “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าเขาจะไม่ใช้อุบายหรือเล่นตุกติดใดๆ ในยามที่อยู่ต่อหน้าใบหยกชิ้นที่สอง … นั่นเจ้าจงใจใช่หรือไม่?”


 


“แน่นอน เพราะว่าข้าไม่อยากจะทำให้เขาบังเกิดความสงสัยขึ้นมาน่ะสิ แม้จะเป็นในนาทีสุดท้ายก็ตาม”


 


“ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่เจ้าจับได้ว่าเขาคิดไม่ซื่อ?” ดวงตาของฉินรั่วกระจ่างใสขึ้น


 


“เพราะเขาถูกวางเอาไว้ในค่ายกลโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งน่ะสิ”


 


กู่ฉิงซานหันไปมองฉานนู่


 


ฉานนู่พยักหน้าและกล่าวว่า “นอกเหนือไปจากข้า หากเป็นผู้อื่นเข้าไปภายในนั้น ก็คงยากที่จะกลับออกมาอีกครั้ง”


 


“หากอ้างอิงจากนิสัยของหวังหงษ์เต๋า การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติยิ่ง ดังนั้น เฉียนซานเย่แน่นอนว่าย่อมต้องไม่มีโอกาสที่จะได้ออกมาพบกับผู้คน หรืออีกความหมายนึงก็คือเขาไม่สมควรที่จะได้รับรู้ถึงข้อมูลใดๆจากภายนอก”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “ในขณะที่ถึงแม้ว่าข้าจะอธิบายถึงสถานะว่าเป็นปรมาจารย์ตำหนักซานเหว่ยออกไป แต่เขากลับมิได้ซักไซ้เอ่ยถามถึงอาจารย์และที่มาของข้าเลย ”


 


“นั่นสิ นี่มันออกจะดูแปลกๆไปหน่อยนะ” ฉินรั่วพยักหน้า


 


“สิ่งที่เขากล่าวออกมาตั้งแต่แรกเลยคือเรื่องราวฆาตกรรมอาจารย์ตนอันอื้อฉาวของหวังหงษ์เต๋า แล้วจากนั้นเขาก็อ้างสรุปไปว่าข้ามิใช่ลูกศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าเลยในทันที เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เรื่องนี้ … อย่าบอกนะว่าเพื่อที่เขาจะได้อ้างตนว่าจะสอนสั่งเทคนิคดาบให้แก่ได้เจ้าอย่างงั้นหรือ?” ว่านเอ๋อเอ่ยถาม


 


“ถูกต้อง ตราบใดที่ข้าละโมภ และบังเกิดความปรารถนาที่จะเรียนรู้ทักษะดาบของเขา ข้าจะต้องเออออบอกไปตามน้ำว่าตนเองมิได้เป็นศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน”


 


“ดังนั้นแล้ว เขาจึงมั่นใจว่าข้าได้กินเหยื่อที่เขาหย่อนลงมาแล้วอย่างแท้จริง”


 


ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าวว่า “แต่สิ่งที่เขาสรุปออกมามันค่อนข้างแม่นยำมาก และตัวเจ้าก็มิใช่ศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าจริงๆ”


 


“แล้วเขาสรุปออกมาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามกลับ


 


ว่านเอ๋อจดจำได้ว่า “ก็เขากล่าวว่าหวังหงษ์เต๋ามิได้ใช้ทักษะดาบ แต่ฉกาจในด้านการใช้กระบี่และวิชาควบคุมศพ ดังนั้น หวังหงษ์เต๋าก็ไม่น่าจะมีศิษย์เป็นผู้ใช้ดาบเช่นเจ้าเป็นแน่ ยังไงเล่า”


 


กู่ฉิงซาน “แล้วเซ่าหวูชุ่ยที่เป็นผู้ฝึกยุทธ ‘นักสู้หวูเต๋า’ เล่า? หวังหงษ์เต๋าเองก็มิใช่เชี่ยวชาญในแขนงนักสู้มิใช่หรือ แล้วเหตุใดเซ่าหวูชุ่ยจึงยังเป็นศิษย์ของเขาได้กัน?”


 


ว่านเอ๋อพูดไม่ออกในทันใด


 


ฉินรั่วถอนหายใจ “จงใจใช้ความจริงปรุงแต่งให้เป็นเรื่องโกหกล่ะสินะ ตราบใดที่ผู้ฝึกยุทธบังเกิดความโลภในเทคนิคฝึกยุทธของเฉียนซานเย่ เขาก็จะเออออห่อหมกไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ และตกหลุมพรางในที่สุด … ช่างเป็นกลอุบายที่แยบยลยิ่งนัก”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยเสริม “และในขั้นต่อมา เขาก็ใช้ความหวาดกลัวที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดต่างก็มีอย่างมารโลกา เพื่อสร้างใบหยกชิ้นที่สองขึ้น – จดจำได้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งนิกายกวงหยางได้ทำการทดสอบเพื่อหาเบาะแสของมารโลกามาก่อน ซึ่งการกระทำเช่นนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ได้ว่ามันคือความปรารถนาของผู้ฝึกยุทธทั้งมวลที่ต้องการจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป”


 


“หนึ่งใบหยก ล่อลวงด้วยความโลภ ขณะที่อีกหนึ่งใบหยก ล่อลวงด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เขาถึงขั้นใช้เหยื่อก้อนโตมาเป็นเหยื่อล่อ จนทำให้หัวใจข้าบังเกิดความอยากที่จะได้มันมาครอบครอง ทั้งๆที่เขาก็คิดจะมอบมันให้อยู่แล้ว”


 


“แม้ว่าข้าจักไม่เอ่ยปากสาบานว่าจะสังหารหวังหงษ์เต๋า แต่เขาก็ยังคงจะมีวิธีการอื่นที่จะใช้เกลี้ยกล่อมข้าอยู่ดี – ตราบเท่าที่ข้าต้องการจะเรียนรู้ทักษะของเขา ข้าก็มั่นใจว่าเขาจะต้องขบคิดข้อเสนอที่สุดท้ายข้าก็จะต้องยินยอมตกลงเป็นแน่”


 


ว่านเอ๋อยกมือขึ้นกุมศีรษะ ปากบ่นพึมพำ “เหตุใดคนผู้นี้จึงสามารถวางแผนได้อย่างแยบยลถึงเพียงนี้! นี่มันชักจะน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!!”


 


“แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสิ้นลายลงเพราะหวังหงษ์เต๋าอยู่ดี” ฉินรั่วกล่าว


 


สองสาวใช้มองหน้ากันวูบหนึ่ง ก่อนจะเห็นถึงความหวาดกลัวที่อยู่ลึกเข้าไปในแววตาของอีกฝ่าย


 


แม้พวกเธอจะเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอด และมีประสบการณ์ที่พิเศษยิ่งกว่าผู้อื่นมากมาย ทว่าในสงครามประสาทเช่นนี้ บอกได้เลยว่าไม่เคยแม้จะได้เฉียดกายสัมผัสมันมาก่อน


 


หากเป็นเขาที่ทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเธอ … อุบายในครั้งนี้ของเฉียนซานเย่ก็คงจะประสบผลสำเร็จไปแล้ว!


 


และหลังจากนี้ ยังคงมีหวังหงษ์เต๋าที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยิ่งกว่าเฝ้ารอให้พวกเธอพบเผชิญอยู่อีก!


 


แล้วเช่นนี้พวกเธอสมควรจะทำอย่างไรดี?


 


“ความสิ้นหวังมักจะทำให้ผู้คนเป็นบ้า” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ


 


เขาลดหัวลง และจ้องมองใบหยกแผ่นแรกบนมือ


 


ในใบหยก อัดแน่นไปด้วยความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดของดาบคู่เอกลักษณ์


 


อย่างไรก็ตาม ในโลกล่องเวหาใบนี้ ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและสิ้นหวัง ทุกผู้คนล้วนอันตราย  ในหัวใจของมนุษย์ช่างน่าหวาดหวั่นและเต็มไปด้วยความอำมหิต


 


แล้วกลุ่มของกู่ฉิงซานจะสามารถมั่นใจเต็มร้อยว่าจะฝ่าวงล้อมทุกเหตุการณ์ร้ายๆนี้ไปได้จริงๆหรือ?


 


แน่นอนว่าไม่


 


กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


ณ ขณะนั้นเอง ในวิสัยทัศน์ของเขาก็ปรากฏอีกหนึ่งเส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“การกรองข้อมูลภายในใบหยกแผ่นแรกได้เสร็จสิ้นลงแล้ว”


 


“การวิเคราะห์โดยรวมของใบหยกเสร็จสมบูรณ์”


 


“ค้นพบว่าในใบหยก มีเนื้อหากว่า 98.7% ที่ไร้ประโยชน์”


 


“ทำการละทิ้งข้อมูลส่วนใหญ่ที่ผิดพลาด และเริ่มผกผันข้อมูลในส่วนที่ขาดหายไป — ในใบหยกนี้ยังมีเนื้อหาเทคนิคฝึกยุทธที่สมบูรณ์และเที่ยงแท้หลงเหลืออยู่ทั้งสิ้น 1.3%”


 


“คุณต้องการที่จะตรวจสอบข้อมูลในส่วนนี้หรือไม่?”


 


กู่ฉิงซานกล่าวออกมาอย่างด้านชา “ต้องการตรวจสอบ”


 


ทันใดนั้นเอง เส้นแสงหิ่งห้อยบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นในระบบเทพสงครามทันที


 


“ค้นพบวิชานักดาบนิรันดร์ที่สมบูรณ์และเที่ยงแท้ของโลกใบนี้”


 


“นี่คือเนื้อหาทั้งหมดในใบหยกที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าถูกต้องสมบูรณ์ โปรดวางใจและทำการตรวจสอบดูได้”


 


“เทคนิคลับนักดาบนิรันดร์ , ค่ายกลดาบ : ไท่หยี ”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.456 – ปลดพันธนาการ


 


“ค้นพบวิชานักดาบนิรันดร์ของโลกใบนี้”


 


“ค่ายกลดาบ : ไท่หยี”


 


“เงื่อนไขที่จำเป็นก่อนการเรียนรู้ 1 : ต้องอยู่ในขอบเขตที่เทียบเท่าหรือสูงกว่าประทับเทพ”


 


“เงื่อนไขที่จำเป็นก่อนการเรียนรู้ 2 : ต้องเป็นนักดาบนิรันดร์”


 


“คำอธิบาย : หากต้องการเข้าใจถึงค่ายกลดาบนี้ จำเป็นต้องจ่ายออกด้วย 2000 แต้มพลังวิญญาณ”


 


2000 แต้มพลังวิญญาณ!


 


กู่ฉิงซานจ้องมองดูคำแนะนำบนหน้าต่างระบบ และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


 


ณ ขณะนี้ เขามีแต้มพลังวิญญาณไม่พอที่จะเรียนรู้สกิลค่ายกลดาบ


 


“เอาล่ะ ขอบใจมาก เอาไว้ถ้าฉันมีโอกาส ก็จะกลับมาเรียนรู้มันอีกครั้ง”


 


แล้วเขาก็เก็บใบหยกลง


 


ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การที่ตนสามารถได้รับสกิลค่ายกลดาบ มันก็นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาล ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว


 


สกิลค่ายกลดาบ กล่าวได้ว่ามันคือกระบวนท่าสังหารสำหรับนักดาบนิรันดร์อย่างแท้จริง


 


ในชีวิตก่อนหน้า กู่ฉิงซานก็บังเอิญเคยมีโอกาสได้รับสกิลค่ายกลดาบมาก่อนเช่นกัน ในยามที่เทพวิญญาณจุติลงมา


 


กล่าวได้ว่าในอดีตที่ผ่านมา นอกเหนือไปจากเขา มีน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้รับสกิลค่ายกลดาบเช่นนี้


 


เมื่อเขาขบคิดมาถึงจุดนี้ ฉินรั่วก็เอ่ยถามออกมา “หากใบหยกมีปัญหา เช่นนั้นเราก็สมควรที่จะกำจัดมันก่อนดีไหม?”


 


“ไม่เป็นไรหรอก หากมันอยู่กับฉานนู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


 


กู่ฉิงซานกล่าว


 


มองไปยังท่าทีที่ยังคงสงบ ไร้กังวลของเขา ฉินรั่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


“ทำไมหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เปล่าหรอก ข้าก็แค่รู้สึกว่าหากยังต้องเก็บใบหยกแผ่นนั้นติดตัวเอาไว้ ในหัวใจของข้าก็คงกระวนกระวาย มิอาจทำให้มันสงบลงได้แบบเจ้าเป็นแน่”


 


“นี่เจ้าหวาดกลัวเฉียนซานเย่กระนั้นหรือ?”


 


“เปล่าหรอก สิ่งที่ข้าหวาดกลัวน่ะ มันคือโลกใบนี้ต่างหาก จิตใจของผู้คนในโลกใบนี้มันน่ารังเกียจมากเกินไป”


 


“อารยธรรมของโลกใบนี้มันไม่ลงรอยหรือสอดคล้องกับแนวคิดหลักของโลกของพวกเราเลย หากเป็นเช่นนี้ การจะอยู่ร่วมกันได้มันคงจะเป็นการยาก”


 


“ดังนั้น หากโลกใบนี้มันกำลังจะพังทลายลง ก็ปล่อยให้มันพังไปเถอะ” ฉินรั่วกล่าว


 


เธอเรียนรู้ที่จะใช้น้ำเสียงโทนเดียวกันกับกู่ฉิงซาน


 


-ประโยคเมื่อครู่ คือคำพูดที่คล้ายคลึงกันกับในตอนที่กู่ฉิงซานได้กล่าวเอาไว้ในตอนช่วงแรกๆที่เขาได้เข้ามายังโลกใบนี้


 


เมื่อเอ่ยมัน หลายคนในที่นี้ก็เผยยิ้มจางๆออกมา


 


ในที่สุด ความเศร้าสลดบนใบหน้าของฉินรั่วที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายไม่ไว้วางใจตนก็สลายหายไปไม่มีหลงเหลือ


 


“เอาล่ะ ไม่ว่าโลกใบนี้มันจะเป็นอย่างไร แต่พวกเราก็จะต้องหนีไปจากมันให้จงได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แต่เจ้าได้สาบานต่อฟ้าดินแล้วว่า … ”


 


ฉินรั่วมองเขา ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นกังวล


 


“อ่า ใช่สิ ต้องจัดการหวังหงษ์เต๋าซะก่อนนี่นา … ” กู่ฉิงซานตอบรับ สมองเริ่มเต้นตุบๆด้วยอาการปวดหัว


 


ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อลอบสบตากันด้วยความกังวล


 


หวังหงษ์เต๋าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ยิ่งไปกว่านั้นยังมีนิสัยระแวดระวัง โหดร้าย และมีจิตใจที่ชั่วช้าเป็นอย่างยิ่ง


 


เขาเสแสร้งปิดบังนิสัยที่แท้จริงเอาไว้อย่างใจเย็นได้กว่า 300 ปี จนสามารถฉวยโอกาสลอบสังหารเฉียนซานเย่ที่เป็นอาจารย์ตนได้ในที่สุด


 


ตัวตนเช่นนี้ ต่อให้กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการ


 


ทว่าตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังมิได้คิดหาวิธีรับมือกับหวังหงษ์เต๋าอย่างจริงจังเลย


 


เพราะในเวลานี้ เขากำลังขบคิดถึงเรื่องอื่นอยู่


 


แต้มพลังวิญญาณของเขาทั้งหมดมีอยู่ 1603 แต้ม แต่เมื่อครู่ก็ใช้ไปแล้วกว่า 500 แต้มในการเรียนรู้ ตอนนี้จึงเหลืออยูแค่เพียง 1103


 


เขาลองพิจารณาดูแล้ว และคาดว่าแม้วิชาต้องห้ามอย่างการพันธนาการวิญญาณจะมีความซับซ้อน แต่ความต้องการในด้านการใช้พลังวิญญาณในการเรียนรู้มันคงจะไม่มากมายเท่าใดนักหรอก หากเทียบเปรียบกับของค่ายกล


 


จริงสิพอได้กล่าวถึงเรื่องค่ายกลแล้ว ก็ต้องบอกว่าแม้ระดับในการจัดวางค่ายกลของตัวกู่ฉิงซานในตอนนี้ ณ โลกใบนี้จะขึ้นมาสู่ในขั้นกลาง(เรียนรู้ขั้นพื้นฐานกับขั้นต้นมาแล้ว) แล้วก็ตามที


 


แต่ระดับมันก็ไม่เพียงพอที่จะสามารถค้นหาพิกัดของโลกเทวะจากในดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกได้อยู่ดี


 


ซึ่งอันที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของค่ายกล หรือว่าค่ายกลดาบไท่หยี กู่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้มัน เขาก็สามารถคว้าทั้งสองสิ่งที่ว่ามาไว้ในครอบครองได้-


 


-ด้วยพรสวรรค์โดยธรรมชาติและมาตรฐานในตัวเขา เขาสามารถใช้เวลาสักพักหนึ่ง เพื่อทำการฝึกฝน เรียนรู้และเข้าใจมันอย่างช้าๆก็ไม่น่าจะมีปัญหา


 


อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ โลกล่องเวหาอาจจะล่มสลายลงเมื่อใดก็ได้ตลอดเวลา


 


ซึ่งนั่นหมายความว่ามันไม่มีเวลาเหลือมากพอที่จะมามัวทำเช่นนั้นแล้ว


 


เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงความคิด และมองหาวิธีใหม่!


 


กู่ฉิงซานมองไปยังสองสาวใช้


 


อันดับแรก เขาจะต้องแก้พันธนาการ ปลดโซ่ตรวนให้พวกเธอเสียก่อน …


 


พวกเธอเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งกว่าตัวเขาเอง และมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในสถานการณ์ปัจจุบันนี้


 


กู่ฉิงซานพิจารณาอีกรอบ และทำการตัดสินใจในที่สุด


 


“ตอนนี้พวกเรามีบางเรื่องที่ต้องทำ”


 


สามสาวหันมามองหน้าเขา


 


“พวกเราจะต้องช่วยกันหาวิชาต้องห้ามที่ใช้ปลดปล่อยพันธนาการวิญญาณ”


 


ดวงตาของฉินรั่วและว่านเอ๋อเปล่งประกายขึ้นทันใด


 


ขณะที่ฉานนู่ทะยานตัวออกไปเบาๆ ตรงไปยังชั้นวางวิชาต้องห้าม และเริ่มทำการค้นหาใบหยกที่ว่าทันที


 


กู่ฉิงซานก็เดินเข้าไปด้วยเช่นกัน


 


แต่หลังจากลองค้นหาดูไปหลายใบหยก กู่ฉิงซานก็รับรู้ถึงความผิดปกติเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้น


 


เขามองย้อนกลับไป และเห็นแค่เพียงฉินรั่วกับว่านเอ๋อยังคงยืนนิ่งงันอยู่กับที่


 


กู่ฉิงซานตะโกนกระตุ้นเตือน “เร่งมือหน่อย! พวกเรามีเวลาไม่มากนักหรอกนะ”


 


แล้วสองสาวใช้ก็พลันได้สติกลับคืน


 


ฉินรั่วบีบมือของว่านเอ๋อ ขณะที่ว่านเอ๋อก็หันมามองเธอและพยักหน้าให้เล็กน้อย


 


แล้วพวกเธอก็เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันค้นหา


 


ไม่นานนัก


 


ว่านเอ๋อก็กรีดร้องออกมา “ข้าเจอมันแล้ว!”


 


เธอถือใบหยกในมือ ราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า


 


ฉินรั่วเอื้อมมือไปหยิบใบหยก แล้วปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไป


 


“แบบนี้ชักจะไม่ดีซะแล้วสิ วิชานี้มันรัดกุมมากเกินไป และไม่อนุญาตให้ผู้ที่ถูกพันธนาการวิญญาณสามารถใช้งานมันได้” เธอกล่าว


 


พอได้ฟัง ว่านเอ๋อก็ยื่นมือไปจับใบหยกเช่นกัน จากนั้นก็เริ่มทำการอ่านเนื้อหาของมันอย่างเป็นจริงเป็นจัง


 


“กระบวนการของมันค่อนข้างลึกซึ้งและซับซ้อนมากเกินไป และการจะปลดมัน จะต้องทำให้สำเร็จภายในครั้งเดียว มิฉะนั้นแล้ววิชาพันธนาการวิญญาณจะเข้าสู่สภาวะแช่แข็ง และจะไม่ยอมละลายลงให้ปลดมันได้ จนกว่าจะผ่านพ้นไปอีกสามปี” ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าว


 


ฉินรั่วถอนหายใจ “วิชานี้จำเป็นต้องใช้เวลาสักพักในการเรียนรู้ และหากจักเรียนรู้มันในถึงขั้นที่ชำนาญ ข้าเกรงว่ามันจะใช้เวลามากเกินไป”


 


กู่ฉิงซานรับใบหยกแผ่นนั้นมา และมองมัน


 


—หืม? นี่มันไม่เลวเลย เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้ทำการเรียนรู้ จนเข้าใจถึงการจัดวางได้ค่ายกลได้ระดับหนึ่งแล้ว ตนจึงสามารถข้ามขั้นตอนการในการเรียนรู้ส่วนใหญ่ของวิชาลับนี้ไปได้เลย ส่งผลให้จ่ายออกไปเพียง 100 แต้มพลังวิญญาณ ก็สามารถเข้าใจมันได้แล้ว


 


กู่ฉิงซานหลับตาลงครู่หนึ่ง


 


แล้วจู่ๆเขาก็ยัดใบหยกกลับคืนในชั้นวางทันใด


 


“เจ้าอย่าพึ่งหมดหวังง่ายๆสิ ใบหยกชิ้นนี้ อย่างน้อยพวกเราก็คัดลอกมันไว้-” ว่านเอ๋อยังไม่ทันกล่าวจนจบประโยค


 


มือของกู่ฉิงซานก็จีบออกด้วยวิชาลับ และประทับมันลงบนโซ่ตรวนของเธอด้วยมือเดียว และกระชากมันออกมาอย่างแรง!


 


แล้วโซ่ตรวนที่คอยพันธนการวิญญาณของว่านเอ๋อก็ถูกปลดออกทันที มันร่วงตกลงบนพื้นโดยตรง


 


ในสมองของว่านเอ่อกลายเป็นว่างเปล่า


 


เธอลดศีรษะลง และเห็นแค่เพียงคราบเลือดที่เกิดจากรอยรัดพันอันหนักหน่วงของโซ่ตรวน ทว่าบัดนี้กลับไม่มีพวกมันคอยพันธนาการอยู่อีกต่อไปแล้ว


 


ในที่สุด … เธอก็ได้เป็นอิสระ!


 


ว่านเอ๋อค่อยๆยกสองมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ปากรำพึงเสียงกระซิบ “วิถีพันธนาการ , แสวงหาโชคชะตา”


 


ปัง!


 


พลังวิญญาณอันใหญ่ยิ่งปะทุขึ้นมาจากฝ่ามือของเธอ ก่อร่างเป็นเปลวไฟสีเขียวพวยพุ่งขึ้นสู่หลังคาห้องลับ


 


ภายในเปลวไฟสีเขียว จักสามารถมองเห็นประตูที่ปิดแน่นได้อย่างเรือนราง


 


นี่คือเทคนิคมนตราของว่านเอ๋อที่เธอเป็นผู้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว และในโลกเดิมของเธอ มีเพียงผู้ฝึกยุทธที่สามารถปลดปล่อยพลังวิญญาณได้ในระดับขอบเขตพันวิบัติเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติที่จะใช้งานมันได้


 


พื้นฐานวรยุทธของเธอ บัดนี้ได้ฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิมแล้ว!


 


ว่านเอ๋อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เดือดพล่านไปทั่วร่างกาย และทันใดนั้นเธอก็กรีดร้องลั่นออกมา


 


“อ๊าาาาาาาาาาาาาา!”


 


เสียงกรีดร้องนี้ปนเปื้อนออกมาพร้อมกันกับน้ำตาที่ราวกับเขื่อนแตก เพียงมองก็รับรู้ได้ว่าหากคิดจะหยุดมันคงมิใช่การง่าย


 


ฉานนู่ที่กำลังมองฉากนี้ ก็ได้หันไปเอ่ยกับกู่ฉิงซานด้วยความกังวล “นายน้อย ท่านต้องการที่จะ … ”


 


“ไม่ต้องหรอก นางทนแบกรับความเจ็บปวดมามากเกินไป เวลานี้ก็ปล่อยให้นางได้ระบายมันออกมาเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ว่าแล้ว เขาก็หันมาทางฉินรั่ว


 


ฉินรั่วกัดริมฝีปากแน่น ทั้งคนทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความกระวนกระวาย


 


“การปลดพันธนาการเมื่อครู่นี้ เจ้าคงจักเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อยเลยทีเดียว เจ้าต้องการจะพักฟื้นก่อนหรือไม่?” เธอเอ่ยถาม


 


“เหตุใดจึงต้องพักฟื้น?”


 


“เพราะมันจักต้องปลดพันธนาการให้สำเร็จในคราเดียว มิฉะนั้นแล้วโซ่ตรวนจะเข้าสู่สภาวะแช่แข็ง ข้าเกรงว่า … ”


 


“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะขอพักก่อนสักครึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานมองเธอและกล่าว


 


แต่พอได้ฟัง ร่องรอยความว้าวุ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินรั่วทันที เธอเอ่ยน้ำเสียงแหบแห้ง “นั่นสินะ มันสมควรที่จะเป็นเช่นนั้น งั้นข้าจะรอ-”


 


แต่เสียงของเธอยังไม่ทันตกลง กู่ฉิงซานก็คว้าจับโซ่ตรวนที่พันธนาการกายเธอ แล้วกระชาก! มันออกอย่างแรงในทันที


 


เคร้ง!


 


โซ่ตรวนพันธนาการวิญญาณหล่นกระจายลงกับพื้น


 


ฉินรั่วตะลึงงัน


 


เธอลดศีรษะลง จ้องมองรอยรอยเลือด และบาดแผลตามเนื้อตัวของตนเอง


 


ตามต่อด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม มารวมกันตรงปลายคางกลายเป็นหยดน้ำใสๆร่วงลงสู่พื้น


 


“ปลดโซ่ตรวนได้สำเร็จจริงๆด้วย”


 


เธอเอ่ยปากด้วยความโล่งใจ ขณะที่เสียงของเธอฟังดูคล้ายกับการผ่อนลมหายใจยาว


 


พลังวิญญาณอันทรงพลังของเธอเกิดความผันผวนไปมา เฉกเช่นเดียวกันกับความรู้สึกของตัวเธอในขณะนี้


 


ในฐานะที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธชั้นนำของโลก แต่จำต้องทนแบกรับความอัปยศอดสูมาเป็นระยะเวลายาวนาน  จนห้วงอารมณ์ของเธอได้จมลงสู่ความสิ้นหวังไปตั้งเนิ่นนานแล้ว


 


และไม่เคยคิดเคยฝันเลย … ว่าท่ามกลางความสิ้นหวังอันมืดมิด ตนจักได้เห็นแสงจากรุ่งอรุณแห่งวันใหม่อีกครั้ง


 


“พี่สาว!”


 


ว่านเอ๋อวิ่งเข้ามา กระโจนเข้าโอบกอดเธอ


 


“ว่านเอ๋อ พวกเราเป็นอิสระแล้ว!”


 


ฉินรั่วกล่าวตะกุกตะกักราวกับคนติดอ่าง แต่เธอก็โอบกอดว่านเอ๋อแน่น


 


ทั้งสองซบไหล่กันและกัน ร่ำไห้ออกมา


 


“อืม … เราก็ปล่อยให้พวกเธอมีความสุขกันไปก่อน ระหว่างนี้ก็ไปเลือกใบหยกค่ายกลกันต่อเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่ตอบรับเขาด้วยรอยยิ้ม


 


แล้วเธอก็เดินปลีกตัวออกไปพร้อมกับกู่ฉิงซาน


 


เมื่อมาถึงชั้นวางใบหยกที่บันทึกค่ายกล ทั้งสองก็เริ่มทำการหยิบเลือกใบหยกชิ้นอื่นๆต่อทันที


 


ต้องไม่ลืมนะว่าพื้นที่แห่งนี้คือเขตหวงห้ามของหวังหงษ์เต๋า ดังนั้นทุกสิ่งแทบจะไม่มีอันใดที่เลวร้ายเลย


 


อย่างเดียวที่น่าเสียดายก็คือ เทคนิคดาบที่หวังหงษ์เต๋ามีไว้ในครอบครองน่ะ มันน้อยเกินไป


 


ขณะที่กู่ฉิงซานทำการเลือก ในเวลาเดียวกัน เขาก็กำลังขบคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาใหญ่อย่างการที่ตนกำลังขาดแคลนแต้มพลังวิญญาณไปพลางๆ ….


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.457 – ได้รับรู้ความจริง


 


ณ ภายในห้องลับ


 


กู่ฉิงซานใช้มือทั้งสองจับใบหยกค่ายกลที่วางเรียงรายกันอยู่ตามลำดับ และทำการคำนวณแต้มพลังวิญญาณที่จะต้องจ่ายไป


 


ตอนนี้ ความรอบรู้ทางด้านค่ายกลของเขาได้ยกระดับขึ้นมาถึงขั้นกลางของโลกใบนี้แล้ว


 


หลังจากนั้นไม่นาน


 


กู่ฉิงซานก็วางใบหยกลง ขณะที่สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ


 


การเรียนรู้ค่ายกล … มันจำเป็นที่จะต้องใช้แต้มพลังวิญญาณที่มากเกินไป


 


หากเทียบเปรียบกับสายธาร ความรู้ความเข้าใจในด้านค่ายกลของฉีหยานจักต้องอยู่ในช่วงต้นน้ำเป็นแน่


 


อย่างไรก็ตาม มันก็พอจะอธิบายได้ว่า หากต้องการจะเรียนรู้การจัดวางค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติระหว่างสองโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยฉีหยาน ตัวเขาก็จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในด้านค่ายกลไม่พอฟัดพอเหวี่ยง ก็เหนือยิ่งกว่าฉีหยานเสียก่อน


 


แล้วการที่จะทำเช่นนั้น มันก็จำเป็นที่จะต้องใช้แต้มพลังวิญญาณเป็นจำนวนมาก


 


กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของตนเอง


 


ในการปลดปล่อยพันธนาการหญิงสาวทั้งสอง เขาได้จ่ายออกไปแล้วอีก 100 แต้มพลังวิญญาณ


 


ดังนั้น จึงยังมีแต้มพลังวิญญาณที่หลงเหลืออยู่อีก 1003 แต้ม


 


และเขามั่นใจว่าตนเองจักต้องใช้แต้มพลังวิญญาณอีกมากกว่า 1003 แต้มอย่างแน่นอน หากคิดจะยกระดับค่ายกลของตนเองให้มาอยู่ในมาตรฐานเดียวกันกับฉีหยาน


 


โดยสรุปแล้วในตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถอดรหัสดิสก์ค่ายกลเพื่อทำการหาพิกัด


 


กลับกัน หากเขาเลือกที่จะถอยหลังกลับมาก้าวหนึ่ง โดยการเลือกที่จะไม่ปลดพันธนาการสองหญิงสาว … แต้มพลังวิญญาณของเขามันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี


 


ยังมีวิธีอื่นอยู่อีกไหมนะ?


 


กู่ฉิงซานเริ่มจมลงสู่สมาธิ


 


ด้วยหนทางที่เลือกเดินไปแล้วนี้ ทำให้สามารถปลดพันธนาการได้ …


 


แล้วถ้าหากเขายังคงทำวิธีเดิมต่อไปล่ะ? ทำกับเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยเฉกเช่นเดียวกันกับที่ทำกับสองสาวใช้ ปลดปล่อยเขาและเธอให้เป็นอิสระ หากเป็นเช่นนั้นแล้วทุกคนจะช่วยกันลงมือได้หรือไม่?


 


ฉินรั่ว , ว่านเอ๋อ , เย่หยิงเหมย และเซ่าหวูชุ่ย


 


สองผู้ฝึกยุทธพันวิบัติ และอีกสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า รวมกันโดยสิ้นเชิงแล้วเป็นสี่


 


หากทั้งสี่ ลงมือพร้อมกัน รุมจัดการหวังหงษ์เต๋าที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ก็คงพอมีแนวโน้มที่จะเอาชนะได้


 


เย่หยิงเหมยน่ะเกลียดหวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน ดูได้จากการแสดงออกของเธอและข้อมูลต่างๆที่ได้รวบรวมมา สามารถพิจารณาได้ว่าตัวเธอน่าจะไม่มีปัญหาใดๆ


 


แต่สำหรับเซ่าหวูชุ่ย …


 


ในบรรดาสามปรมาจารย์ตำหนัก เขาเป็นผู้ที่มีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งที่สุด


 


เขาเป็นผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขีดสุดความว่างเปล่า และมีกำลังรบอันน่าอัศจรรย์ใจ


 


แต่ถ้าหากเซ่าหวูชุ่ยไม่ต้องการที่จะร่วมมือกับฉีหยาน ณ จุดๆนั้นในเวทีหารือ อีกฝ่ายก็สมควรที่จะลงมือจัดการเขาโดยตรงแล้วสิ?


 


แต่เซ่าหวูชุ่ยก็มิได้ทำเช่นนั้น


 


หากมองในมุมนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าจุดยืนของสหายเซ่าค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้ว


 


ดังนั้น สรุปได้ว่า หากกู่ฉิงซานสามารถปลดผนึกที่ติดตัวผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าทั้งสองได้ เขาก็จะมีโอกาสบรรลุเป้าหมายของตนได้อย่างแท้จริง!


 


กู่ฉิงซานรีบเดินออกจากแถวชั้นวางใบหยกค่ายกล และตรงไปยังแถวชั้นวางใบหยกที่บันทึกวิชาต้องห้าม


 


“นายน้อย นั่นท่านกำลังมองหาใบหยกวิชาใดกัน?” ฉินรั่วถาม


 


เธอจูงมือว่านเอ๋อเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาที่ยังไม่ถูกเช็ด


 


ท่าทีการแสดงออกของสองหญิงสาวผู้นี้ ดูจะแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


 


พวกเธอราวกับได้รับชีวิตใหม่ เต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า ห้วงสติและอารมณ์ของทั้งคนทั้งร่างเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


แล้วกู่ฉิงซานก็บอกถึงเป้าหมายของเขา


 


“พวกเราจะช่วยนายน้อยมองหามันด้วย เผื่อจะได้เร็วขึ้น” ว่านเอ๋อกล่าว


 


ขณะกล่าว ทั้งสองสาวก็แอบชำเลืองมองกู่ฉิงซานอย่างลับๆวูบหนึ่ง และเริ่มต้นทำการค้นหาใบหยกที่ตรงกับความต้องการของเขาทันที


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินรั่วก็พบเจอกับหนึ่งในใบหยกที่ต้องการ


 


แต่มันเป็นใบหยกที่บันทึกเกี่ยวกับวิชาต้องห้ามของเซ่าหวูชุ่ย


 


“อีกใบหนึ่ง ข้าหามันไม่พบเลย” ฉานนู่กล่าว


 


“บางทีมันอาจจะถูกนำไปเก็บปะปนกับใบหยกในชั้นวางอื่นก็ได้ พวกเราจะแยกกันตามหาอีกครั้ง” ฉินรั่วกล่าว


 


แล้วสามสาวก็กระจายตัวออกไป เพื่อออกตามหาใบหยกวิชาต้องห้าม


 


ส่วนกู่ฉิงซานกำลังถือใบหยกต้องห้ามอยู่ในมือ และเฝ้ามองมันอย่างระมัดระวัง


 


ลักษณะภายนอกของใบหยกชิ้นนี้ถูกห่อหุ้มด้วยชั้นอักษรรูนสีดำ ขณะเดียวกันก็ส่งคลื่นความผันผวนจางๆของค่ายกลออกมา


 


กู่ฉิงซานกวาดสาดตาสำรวจไปกว่าสองสามรอบ และตัดสินได้ว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลต้องห้ามชนิดพิเศษ


 


ใบหยกนี้ถูกปิดผนึกเอาไว้ และไม่มีใครได้รับอนุญาติให้อ่านมัน


 


ยามใดที่จิตสัมผัสเทวะถ่ายเทลงบนใบหยกชิ้นนี้ ตัวใบหยกก็จักถูกทำลายทันที!


 


แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาเบนสายตาไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


เห็นแค่เพียงสองบรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมา


 


“แมลงมารกลืนชีวิต”


 


“นี่คือเทคนิคลับประเภทผนึก และเมื่อผู้ฝึกยุทธพยายามที่จะอ่านเทคนิคลับภายในนี้ด้วยจิตสัมผัสเทวะ ใบหยกก็จะถูกทำลายลงทันที”


 


กู่ฉิงมองอ่านจบ ก็พ่บงึมงำว่าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ


 


ใบหยกชิ้นนี้ เขาไม่สามารถเรียนรู้มันได้-


 


เดี๋ยวก่อนสิ!


 


กู่ฉิงซานหันขวับกลับมา ปากเร่งเอ่ยถามทันที “ระบบ เมื่อกี้คุณบอกว่า ‘ผู้ฝึกยุทธจะไม่สามารถใช้จิตสัมผัสเทวะอ่านมันได้’ ใช่ไหม แล้วถ้าหากเป็นคุณล่ะ? ถ้าเป็นตัวระบบเองจะสามารถอ่านเนื้อหาในใบหยกได้รึเปล่า?”


 


ระบบตอบกลับ “ระบบสามารถทำได้ แต่ระบบจะต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแต้มพลังวิญญาณ 50 แต้ม , ค่าบริการอีก 100 แต้ม และค่าเสียเวลาอีก 50 แต้ม ”


 


“ทำไมต้องจ่ายค่าเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก 50 แต้มด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“เพราะมันเป็นเรื่องยุ่งยากนักที่จะทำการสำรวจเทคนิคลับต้องห้ามนี้ และระบบจำเป็นต้องมีแต้มพลังวิญญาณเพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นให้จิตใจสามารถมุ่งมั่นที่จะทำงาน”


 


“ … งั้นก็ได้” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ


 


“คุณแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณเพื่อทำการสำรวจเทคนิคลับนี้” ระบบเอ่ยถาม


 


ระหว่างที่ฟัง กู่ฉิงซานก็บังเกิดความลังเลขึ้นเล็กน้อย แต่ขณะที่เขากำลังจะเริ่มไตร่ตรองมันนั้นเอง


 


กลับปรากฏเสียงของสามสาวดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของเขาพอดี  “นายน้อย พวกเราไม่พบใบหยกต้องห้ามอีกใบเลย”


 


“งั้นหรือ เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


หากเป็นในกรณีนี้ นั่นหมายความว่าผนึกต้องห้ามของเย่หยิงเหมย ตนเองจะไม่สามารถปลดผนึกมันได้


 


ว่าแต่เขาต้องการที่จะปลดผนึกต้องห้ามของเซ่าหวูชุ่ยจริงๆน่ะหรือ?


 


กู่ฉิงซานขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


ลืมมันเถอะ ช่วยก็ช่วยสิ อย่าไปคิดมากเลย


 


เซ่าหวูชุ่ยเป็นการดำรงอยู่ที่ดุดันและแข็งกร้าว เขาจะเป็นกำลังรบที่ดีของกู่ฉิงซาน


 


และจักเป็นตัวตนที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้


 


ไตร่ตรองเพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจเลือกได้ในที่สุด


 


“ฉันจะจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณ ระบบ คุณช่วยทำให้ฉันสามารถอ่านเนื้อหาของเทคนิคลับต้องห้ามนี้ให้ที”กู่ฉิงซานกล่าว


 


ระบบตอบรับอย่างรวดเร็ว “ได้รับแต้มพลังวิญญาณแล้ว”


 


“เริ่มต้นทำการอ่านเนื้อหาบนใบหยกแผ่นนี้”


 


“นี่คือเทคนิคลับ : แมลงมารกลืนชีวิต”


 


“แมลงมารกลืนชีวิต : หากฝึกฝนเทคนิคลับนี้ คุณจะสามารถเรียนรู้วิธีการที่จะใส่แมลงมารลงบนตัวของตนเองและอีกคนหนึ่งไปพร้อมๆกันได้”


 


“เมื่ออีกคนหนึ่งถูกใส่แมลงมารลงไปแล้ว ชีวิตของเขาก็จะเชื่อมต่อกันกับคุณ ขณะเดียวกันรากฐานต้นกำเนิดชีวิตของเขาก็จะค่อยๆกลายมาเป็นสารอาหารให้แก่คุณ”


 


“และชีวิตของคุณกับคนๆนั้นก็จะเชื่อมโยงกัน หากคุณตกตายลง อีกคนหนึ่งก็จะตายตามไปด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม หากอีกฝ่ายตายลง มันก็จะไม่ส่งอิทธิพลใดๆต่อคุณ”


 


“การฝึกฝนและเรียนรู้วิชานี้ มีค่าใช้จ่ายเป็น 500 แต้มพลังวิญญาณ”


 


“คุณต้องการที่จะเรียนรู้วิชานี้หรือไม่?”


 


พอได้อ่านข้อความนี้บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ทั้งคงทั้งร่างของกู่ฉิงซานพลันแข็งค้างไป


 


ในหัวใจของเขารู้สึกราวกับว่าตนได้ถูกโยนจมลงสู่หุบเหวอันไร้ก้นบึ้ง


 


“แท้จริงแล้วมันกลับกลายเป็นเช่นนี้ … ”


 


กู่ฉิงซานบ่นงึมงำด้วยความขมขื่น


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า —ช่างเป็นบุคคลที่โหดร้าย และขี้หวาดระแวงอย่างแท้จริง!


 


ตามอุปนิสัยของเขา เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดการทรยศขึ้น ในยามที่เขาฝังแมลงมารลงในกายของเซ่าหวูชุ่ย เขาจักต้องบอกเล่าถึงความจริงนี้แก่อีกฝ่ายไปด้วยอย่างแน่นอน!


 


‘ชีวิตของเขาจะเชื่อมต่อกันกับคุณ เมื่อใดก็ตามที่คุณตกตาย อีกคนหนึ่งก็จะตกตายลงตามไปด้วย’


 


ความหมายก็คือ หากหวังหงษ์เต๋าตาย เซ่าหวูชุ่ยก็ต้องตายไปด้วยกันพร้อมกับเขา


 


ซึ่งนั่นหมายความว่า ตราบใดที่เซ่าหวูชุ่ยไม่ต้องการจะตาย เขาก็ไม่สามารถต่อต้านการควบคุมของหวังหงษ์เต๋าได้!


 


-ว่าแต่ทำไมกัน? หากเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมเซ่าหวูชุ่ยจึงได้ร่วมมือกับเย่หยิงเหมยล่ะ? ทำไมเขาต้องทำถึงขั้นหลอมสมบัติมนตราขึ้นเพื่อที่จะจัดการกับหวังหงษ์เต๋าด้วย?


 


-แล้วทำไมในตอนที่ฉีหยานกล่าวเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใหม่ออกมา และบอกว่าตัวเองต้องการที่จะกำจัดหวังหงษ์เต๋า เซ่าหวูชุ่ยถึงได้แสดงท่าทีสนับสนุนออกมา?


 


กู่ฉิงซานวางใบหยกลง และเริ่มเค้นสมองขบคิดอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อตนได้ลองขบคิดและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ กู่ฉิงซานก็ค่อยๆเริ่มที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากยิ่งขึ้น


 


กล่าวได้ว่าในบรรดาสองปรมาจารย์ตำหนัก บุคคลที่ต้องการจะแก้แค้นหวังหงษ์เต๋า แท้จริงแล้วมีเพียงเย่หยิงเหมย เพียงคนเดียวเท่านั้น


 


ขณะที่เซ่าหวูชุ่ย … ตั้งแต่ต้นจนจบ มันก็แค่เออออไปตามน้ำก็เท่านั้นเอง!


 


หรืออีกความหมายนึงก็คือ เซ่าหวูชุ่ยมันกำลังเล่นละครตบตาอยู่!!!


 


ส่วนการที่เซ่าหวูชุ่ยไม่คิดจะต่อต้านหรือคัดค้านใดๆเกี่ยวกับความคิดของฉีหยานนั้น มันเป็นเพราะว่าเขากำลังอยู่ต่อหน้าเย่หยิงเหมย


 


แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะฉีหยานมีโลกใบใหม่อยู่ในกำมือ แต่ใจความสำคัญก็คือ ฉีหยานมีความคิดริเริ่มที่จะสังหารหวังหงษ์เต๋าต่างหาก! -ซึ่งความคิดดังกล่าวนี้มันบังเอิญไปสอดคล้องกับความปรารถนาของเย่หยิงเหมยพอดิบพอดีนั่นเอง!


 


ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เย่หยิงเหมยเองก็ได้วางแผนดังกล่าวกับเซ่าหวูชุ่ย เพื่อตระเตรียมการที่จะสังหารหวังหงษ์เต๋าอยู่เหมือนกัน


 


ดังนั้นแล้ว หากเซ่าหวูชุ่ยคัดค้านฉีหยาน การกระทำเช่นนั้นก็จะเท่ากับว่าเป็นการเปิดโปงความคิดที่แท้จริงของตนเอง


 


และเย่หยิงเหมยเองก็หาใช่คนโง่ไม่ หากเกิดกรณีนั้นขึ้น เธอก็จะตระหนักได้ทันทีว่าแท้จริงแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเซ่าหวูชุ่ยหลอกลวงเธอมาโดยตลอด!


 


บางทีหากฉีหยานยื่นข้อเสนอให้แก่เขาเฉพาะในเรื่องของโลกใหม่ เซ่าหวูชุ่ยอาจจะร่วมมือกับเขาอย่างเต็มใจและจริงใจก็เป็นได้


 


แต่มันดันเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าด้วยเนี่ยสิ …


 


หากเป็นในเรื่องนี้ ต่อให้เซ่าหวูชุ่ยถูกบังคับก็ตามที แต่ตนก็ไม่เต็มใจที่จะให้หวังหงษ์เต๋าตายอยู่ดี


 


เพราะในกรณีนั้น เขาก็จะต้องตายไปด้วย


 


ดังนั้น เมื่อฉีหยานให้คำมั่นสาบานว่าจะสังหารหวังหงษ์เต๋า ในชั่ววินาทีนั้น -เซ่าหวูชุ่ยก็เลือกที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับหวังหงษ์เต๋าเรียบร้อยแล้ว!


 


และเซ่าหวูชุ่ยจักต้องบอกเรื่องราวทั้งหมดนี้แก่หวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน


 


เมื่อหวังหงษ์เต๋ากลับมา อีกฝ่ายก็จะเร่งรุดมาลงมือสังหารฉีหยานอย่างรวดเร็ว!


 


สำหรับในเรื่องที่เซ่าหวูชุ่ยได้ทำการร่วมมือกับเย่หยิงเหมยในตลอดหลายปีที่ผ่านมา เกรงว่าบางทีนี่อาจจะเป็นความตั้งใจของหวังหงษ์เต๋าอยู่แล้วก็เป็นได้


 


คอยจับตาดูศิษย์หญิงที่เฝ้าเพียรพยายามอย่างหนัก ดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหมายจะแก้แค้นตน ทั้งๆที่มิล่วงรู้เลยว่าตลอดเวลา เธอกำลังวนอยู่ในฝ่ามือของคนที่คิดจะแก้แค้น … บางทีการคอยรับชมเรื่องราวนี้ ก็อาจจะเป็นความสุขอย่างหนึ่งของหวังหงษ์เต๋าก็เป็นได้


 


หลังจากที่ปะติดปะต่อเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหนักหน่วงออกมา


 


“นายน้อย เกิดอันใดขึ้นกระนั้นหรือ?” ฉานนู่เดินเข้ามา และเอ่ยถามด้วยความห่วงใย


 


“มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถอะ ตัวข้ากับว่านเอ๋อสามารถฟื้นฟูพื้นฐานวรยุทธให้กลับคืนดังเดิมได้แล้ว เวลานี้พวกเราย่อมสามารถช่วยเหลือเจ้าได้อย่างแน่นอน” ฉินรั่วกล่าว


 


“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม


 


กู่ฉิงซานจ้องมองพวกเธอ


 


ขณะที่ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน


 


กู่ฉิงซานส่ายหัวออกมา ก่อนจะเริ่มอธิบายด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก เพียงแต่เดิมทีแล้วข้าหลงคิดว่าตนแสดงละครได้ดีเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่ตอนนี้แท้จริงแล้วดูเหมือนว่าจะมีผู้ที่แสดงได้ดีกว่าข้าเสียอีก”


 


“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉินรั่วเอ่ยถามออกมา


 


“ก็หมายความว่า อีกไม่นาน หวังหงษ์เต๋ากำลังจะได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดที่พึ่งเกิดขึ้นในนิกายน่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


พอได้ฟัง สามสาวก็บังเกิดความตึงเครียดมาขึ้นทันที


 


“มันเป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดเขาจึงสามารถล่วงรู้ได้กัน?” ฉินรั่วเอ่ยถามด้วยความสับสน


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา


 


“ก็เปรียบดั่งประโยคที่ว่า ยามเมื่อราชาจากอาณาจักรไปทำสงคราม เขาย่อมจะทิ้งเงาของตนเอาไว้นั่นแล และข้าเองก็เกือบจะตกหลุมพรางของเงาที่เขาทิ้งเอาไว้เสียแล้ว เกือบไปแล้วจริงๆ …”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.458 – ความหวาดกลัวที่ใกล้เข้ามา


 


สีหน้าการแสดงออกของกู่ฉิงซานหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


อย่างกระทันหัน จู่ๆสถานการณ์ก็แหกโค้งจากในทิศทางที่ดี แปรเปลี่ยนไปเป็นอันตรายและรุนแรงยิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้มากมายนัก


 


ศัตรูไม่เพียงทราบถึงกลอุบายของเขา แต่ยังเป็นจ้าวแผนการ และมีพื้นฐานวรยุทธที่สูงส่งยิ่ง


 


แล้วเขาควรทำอย่างไรดี?


 


กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ ขณะที่กำลังพยายามขบคิดอย่างลึกซึ้ง


 


ผ่านไปนาน เขาจึงเลือกหยิบใบหยกสองใบขึ้นมา


 


ณ ขณะนี้ กู่ฉิงวานได้จ่ายแต้มพลังวิญญาณให้แก่ระบบไปเพิ่มอีก 200 แต้ม ดังนั้นแต้มลังวิญญาณคงเหลือของเขาจึงอยู่ที่ 803


 


และกู่ฉิงซานก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะใข้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมด ทำการเรียนรู้ใบหยกบันทึกเกี่ยวกับค่ายกลในมือ


 


กระแสไอร้อนจากใบหยกไหลท่วมเข้ามาภายในร่างกายของกู่ฉิงซาน และมาบรรจบกันที่ทะเลแห่งห้วงสติ


 


กู่ฉิงซานปิดตาของเขาลง เพื่อทำความเข้าใจถึงความรู้เกี่ยวกับค่ายกลนับไม่ถ้วนที่ไหลผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา


 


เขาค่อยๆทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับค่ายกล


 


–อารยธรรมในการฝึกยุทธของโลกล่องเวหา ที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะไม่พ้นค่ายกล


 


และการที่เขาสามารถบรรลุมันมาได้จนถึงระดับนี้ ก็กล่าวได้ว่าความรู้ความเข้าใจของเขามันไม่ได้ด้อยไปกว่ากงซุนซีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้ว!


 


สำหรับในเรื่องค่ายกล กล่าวได้ว่าผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ได้เชี่ยวชาญมันจนบรรลุถึงขั้นสูงสุด!


 


ชนิดที่ว่าต่อให้นำความเชี่ยวชาญในด้านค่ายกลของโลกเทวะกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธมามัดรวมกัน มันก็ยังมิอาจเทียบเปรียบกับโลกล่องเวหาได้อยู่ดี


 


อย่างไรก็ตาม ตัวโลกเทวะเองก็มีข้อดีอยู่เช่นนั้น นั่นก็คือในด้านการหลอมอาวุธ ที่นับว่าโดดเด่นชนิดหาตัวจับได้ยาก ขณะที่ทางโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมีข้อดีในด้านของความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร กล่าวได้ว่าทั้งสองโลกนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นของตัวเอง


 


ภายในระยะเวลาสั้นๆ


 


กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น


 


ณ ขณะนี้ เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลในระดับมาตรฐานต้นน้ำของโลกใบนี้แล้ว


 


แม้ว่าขณะนี้ เขาจะสามารถเข้าถึงสถานะหรือตำแหน่งที่คล้ายคลึงกันกับฉีหยานแล้วก็ตามที แต่ก็ยังไม่สามารถถอดรหัสพิกัดของโลกในดิสก์ค่ายกลได้อยู่ดี ทว่าหากจะให้เขาทำการควบคุมค่ายกลส่วนใหญ่ของโลกใบนี้แล้วล่ะก็ มันนับว่าไม่มีปัญหาใดๆ


 


กู่ฉิงซานเริ่มใช้สมองอีกครั้ง


 


ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้วในตอนนี้ ทุกอย่างจะไม่สามารถล่าช้าได้อีกต่อไป!


 


อย่างไรก็ตาม ยังมีบางเรื่องที่เขาจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันให้ชัดเจนเสียก่อน


 


เขาเอ่ยถาม “ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ ช่วงระยะเวลาที่ข้าได้มาถึงและอาศัยอยู่ในโลกใบนี้มันสั้นเกินไป ดังนั้นจึงยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีเวลามากพอที่จะค้นหาความจริงของมันอยู่ ข้าขอให้เจ้าเอ่ยออกมาด้วยความสัตย์จริง เพราะเรื่องที่ข้ากำลังจะถามต่อไปนี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงว่าพวกเราจะสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่”


 


เมื่อฉินรั่วกับว่านเอ๋อเห็นท่าทีการแสดงออกที่จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นร้ายแรงของเขา ทั้งสองก็เริ่มจริงจังขึ้นมาทันที


 


ฉินรั่วเอ่ยปากอย่างนุ่มนวล “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด เชิญเจ้าเอ่ยถามออกมาได้เลย ข้าจะให้คำตอบแก่เจ้าอย่างตรงไปตรงมาอย่างแน่นอน”


 


ว่านเอ๋อก็พูดด้วย “เจ้าได้ช่วยพวกเราเอาไว้ พวกเราเองก็กำลังกังวลอยู่พอดีว่าจะตอบแทนเจ้าอย่างไร ดังนั้น เจ้าถามมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ยินดีที่จะตอบ”


 


“มีนิกายใหญ่ นิกายใดที่ได้ทำการฉีกมิติที่ว่างเปล่าหลบหนีออกไป แล้วกลับมาบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


สองสาวพอได้ฟังก็ชะงักงันไป


 


เพราะคำถามนี้ กระทั่งตัวพวกเธอเองก็ยังไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย


 


หลังจากได้ลองขบคิดเกี่ยวกับมันอย่างถี่ถ้วน ว่านเอ๋อก็เอ่ยปากออกมา “ดูเหมือนว่าจะไม่มีนะ”


 


“จริงๆน่ะหรือ? เจ้าลองคิดดูอย่างรอบคอบอีกทีจะได้ไหม” กู่ฉิงซานเอ่ยขอ


 


ฉินรั่วกล่าวอย่างชัดเจน “ข้าค่อนข้างแน่ใจนะว่าไม่มีนิกายใดที่จากไปแล้ว ยังคิดหวนกลับมายังโลกใบนี้อีก”


 


ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ก็ขนาดหนี พวกเขายังต้องเพียรพยายามอย่างยากลำบากเลย หากลองคิดกันตามปกติแล้ว ก็คงไม่มีใครอยากกลับมาอีกครั้งหรอก”


 


“ตามสามัญสำนึก พวกเขาสมควรที่จะร่อนเร่ไปทั่วทุกหนแห่ง เพื่อตามหาโลกใหม่สินะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


เขายังคงเอ่ยถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อไม่มีนิกายใดกลับมาก็ช่างมัน แล้วหากเป็นผู้ฝึกยุทธรายบุคคลเล่า? พอจะมีผู้ฝึกยุทธคนใดที่กลับมาบ้างหรือไม่?”


 


“ผู้ฝึกยุทธ … ”


 


สองสาวใช้สมาธิ จมหายเข้าไปในความคิด


 


คำถามนี้ของกู่ฉิงซาน ทำให้พวกเธอต้องยกมือขึ้นมาเกาหัว


 


กู่ฉิงซานยังเตือนอีกด้วยว่า “จะเป็นผู้ฝึกยุทธแบบใดก็ได้ จะขอบเขตวรยุทธสูงส่งหรือต่ำต้อยก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็สามารถนับได้ว่าพวกเขาได้กลับมาแล้ว”


 


“เท่าที่ข้าลองนึกดู เหมือนกับว่าจะไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดกลับมาเลยนะ พี่สาว ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”


 


ขณะกล่าว ว่านเอ๋อก็หันไปมองฉินรั่วด้วยความไม่มั่นใจ


 


“หลังจากที่ข้ากับว่านเอ๋อถูกจับตัวมาเป็นเชลยในโลกใบนี้ ข้าก็ไม่เคยเห็นนิกายหรือผู้ฝึกยุทธที่จากไปแล้วกลับมาอีกเลย”


 


“ประเดี๋ยวก่อน ข้าดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้” ว่านเอ๋อขัดขึ้นทันใด


 


อีกสามคนที่เหลือหันไปมองเธอ


 


“มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตลมปราณจิตกล่าวออกมาว่าเขามิได้รู้สึกวางใจที่จะนำพาตลอดทั้งนิกายของตนข้ามผ่านรอยแยกเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า”


 


“เขาจึงได้ลองพยายามที่บุกเข้าไปในมิติที่ว่างด้วยตัวคนเดียว เพื่อต้องการที่จะสำรวจหาเส้นทางก่อนเป็นอันดับแรก”


 


“แล้วจากนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม


 


“จากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย และนิกายก็ได้สูญเสียเขาไป จนไม่สามารถต่อกรแข่งขันกับนิกายอื่นได้ และไม่นานก็ถูกทำลายลง” ว่านเอ๋อกล่าว


 


“ต่อมาก็มีการคาดเดากันว่า หลังจากที่มารโลกาได้มาเยือนแล้ว พื้นที่มิติที่ว่างเปล่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้น และส่งผลให้-”


 


“-เมื่อผู้ฝึกยุทธออกจากโลกใบนี้ เขาจะถูกส่งออกไปยังสถานทีพิเศษอันห่างไกล กล่าวคือไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย”


 


ฉินรั่วกล่าว “ถูกต้องแล้วล่ะ และคำคาดการณ์ในยามนั้นก็เป็นที่เลื่องลือมาก กล่าวได้ว่ามันเป็นคำตอบที่เกือบจะถูกยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว”


 


“ไม่สิ แบบนั้นมันไม่ถูกต้อง” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยเสียงหม่น


 


“ตรงส่วนใดกันที่ไม่ถูกต้อง?” ฉินรั่วเอ่ยถาม


 


“ก็เกือบทั้งหมดนั่นแหละ หากเป็นในกรณีนั้น แล้วเพราะเหตุใดกัน ฉีหยานที่ได้รับพิกัดของโลกเทวะจึงสามารถเดินทางไปกลับได้อย่างเสรี?”


 


พอได้ฟัง สองสาวก็หันมามองหน้ากันด้วยความตะลึงงัน


 


เออนั่นสิ ถ้าคนอื่นทำไม่ได้ แล้วเหตุใดฉีหยานจึงทำได้กัน?


 


หรือว่ามันจะเป็นเพราะเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานมากแล้ว ที่ผู้คนในโลกใบนี้ไม่ได้ทำการสำรวจโลกใบใหม่ จนอะไรๆมันก็เปลี่ยนแปลงไป


 


จนผู้คนได้ลืมเลือนวิธีการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก?


 


กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆว่า “ตามปกติ ผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้สมควรที่จะรู้และจดจำพิกัดของโลกตนเองอย่างขึ้นใจ เพราะจะได้ไม่เป็นกังวลในยามที่พวกตนได้บุกเข้าไปในโลกอื่น”


 


“นอกจากนี้ พวกเขายังถึงขั้นสามารถจัดตั้งชุดค่ายกลขนาดใหญ่ ที่สามารถใช้ส่งทัณ์สายฟ้าลงไปยังมิติที่ว่างเปล่าเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธทำการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ และรับส่งพวกเขากลับมาได้อีกด้วย ”


 


“สรุปได้ว่า เพียงแค่รู้พิกัดของโลกอื่น สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธต้องทำ ก็มีเพียงแค่การสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกก็เท่านั้นเอง”


 


“หากเป็นในกรณีนั้น หลังจากที่พวกเขาได้ออกไป แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องมีพิกัดของโลกใบนี้อยู่กับตัว และจะต้องสามารถกลับมาได้อย่างแน่นอน”


 


สองสาวถึงกับพูดไม่ออก


 


แต่ก็นั่นล่ะ ที่พูดไม่ออกมันก็เป็นเพราะว่าทุกถ้อยคำที่กู่ฉิงซานเปล่งออกมา พวกเธอมิอาจหักล้างมันได้เลย


 


คิ้วของกู่ฉิงซานค่อยๆขยับแน่นเข้าหากัน


 


การคาดเดาอันน่าหวาดผวา ผุดออกมาอย่างเงียบๆในจิตใจของเขา


 


คล้ายกับโดนคลื่นลมแรงซัดกระหน่ำเข้าใส่ ในหัวใจของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเต้นครึกโครม


 


“ข้าคิดว่าแม้คนส่วนใหญ่จะไม่เต็มใจที่จะกลับมา แต่ก็ย่อมต้องมีผู้ฝึกยุทธบางคนที่ต้องการกลับมาดูสถานการณ์ภายในโลกใบนี้อยู่บ้างอย่างแน่นอน” เขากล่าว


 


“นายน้อย นี่ท่านกำลังจะหมายความว่าอะไร?” ฉินรั่วพอได้ฟังความคิดเห็นของเขาก็เอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซานส่ายมือของเขาให้อีกฝ่าย แต่มิได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป


 


เขาเลือกที่จะหยิบดิสก์ค่ายกลระดับสูงออกมา


 


หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เขาก็เริ่มทำการจัดตั้งค่ายกลแยกเสียงขนาดเล็กขึ้นภายในห้องลับ


 


ซึ่งค่ายกลแบบนี้ มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับเขา


 


ด้วยค่ายกลนี้ จะทำให้เสียงจากภายในมิอาจถูกส่งผ่านออกไปภายนอกได้


 


กู่ฉิงซานขบคิด แต่ก็ยังมิได้เอ่ยอะไรออกมา


 


ถ้าหากว่าการคาดเดานี้ถูกต้องแล้วล่ะก็ ..


 


มันจะเป็นการดีกว่าหากไม่พูดมันออกมา


 


เขาจึงส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะ “แต่ละนิกายได้แหวกรอยแยกมิติ แล้วจากโลกใบนี้ไป”


 


“ข้าคิดว่าบางอย่างในจุดนี้มีปัญหา และมันก็เป็นปัญหาที่น่ากลัวมากเสียด้วย”


 


จู่ๆเขาก็เริ่มแสดงท่าทีกังวลออกมา


 


กู่ฉิงซานเดินวนไปวนมาในห้องลับ และค่อยๆเริ่มเดินเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ


 


ขณะที่สามสาวยังคงยืนนิ่ง เฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ ทั้งหมดไม่ต้องการที่จะขัดจังหวะความคิดของเขา


 


สักพักหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานก็เอ่ยออกมาทันทีว่า “แบบนี้ท่าไม่ดีแล้ว! พวกเราไม่สามารถเฝ้ารอได้อีกต่อไป จักต้องรีบเดินทางจากไปตอนนี้ในทันที!”


 


“แต่นายน้อย ท่านได้ให้คำมั่นสาบานต่อสวรรค์แล้ว! ท่านจะต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าลงให้ได้เสียก่อน!” ว่านเอ๋อกล่าว


 


“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราจะไปไหนได้ ในเมื่อยังไม่มีพิกัดโลกใหม่เลย” ฉินรั่วกล่าว


 


กู่ฉิงซานตัวแข็งค้าง


 


เนื่องด้วยสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ทำให้เขาจดจ่ออยู่กับมันและกลายเป็นเร่งร้อน จนลืมเลือนสิ่งที่สำคัญที่สุดไปเสียได้


 


อาการผิดปกติดังกล่าวดันมาเกิดขึ้นกับกู่ฉิงซาน นี่นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าวว่า “ขอบเขตลมปรารณจิต … พวกเราคงไม่สามารถต่อกรกับเขาได้”


 


ฉินรั่วจับมือเขาและเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “หากมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะต้องก้าวเดิน ข้าก็ยินดีที่จะร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับเจ้า”


 


“ข้าเองก็ด้วย!‘ ว่านเอ๋อตะโกนเสียงดัง


 


ฉานนู่แม้มิได้เอ่ยสิ่งใด แต่ก็พยักหน้าว่าเอาด้วยเช่นกัน


 


“ … ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราจะต้องระดมสมองและคิดหาหนทางที่จะจัดการกับปัญหานี้ซะก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แต่หวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต อ๊า… บางทีกลอุบายใดๆ ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเขามันคงไร้ประโยชน์” ว่านเอ๋อกล่าวอย่างหมดกำลังใจ


 


กู่ฉิงซานดีดหน้าผากเธอ แล้วหันไปมองฉินรั่ว “เจ้าทั้งสองเป็นถึงผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตพันวิบัติ และครั้งหนึ่งก็เคยเป็นตัวตนอันดับต้นๆของโลกเชียวนะ พวกเจ้าก็ลองเสนอวิธีการมาดูบ้างสิ เพราะท้ายที่สุดนี้ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราทุกคน”


 


“ฉานนู่ เจ้าเองก็มีชีวิตอยู่มานานนมจนมิอาจนับปีได้ ดังนั้นเจ้าจึงสมควรที่จะมีประสบการณ์และความรู้มากที่สุด เจ้าก็ต้องช่วยคิดด้วย”


 


สามหญิงสาวเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็เริ่มเค้นสมองของพวกเธอทันที และขบคิดอย่างหนักเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้แก้ปัญหานี้


 


“ข้าขอแสดงความคิดเห็นว่าพวกเราสมควรที่จะใช้เรือเหาะบินหนีไป” ว่านเอ๋อกล่าว


 


“การใช้เรือเหาะมิใช่ความคิดที่ดี” ฉินรั่วกล่าวปฏิเสธโดยตรง “ตามสิ่งที่เรารู้มา ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต จะมีความว่องไวในการเคลื่อนที่รวดเร็วยิ่งกว่าเรือเหาะ”


 


“แต่เรือเหาะสามารถ-” ว่านเอ๋อกำลังจะกล่าว


 


ทว่ากู่ฉิงซานก็ขัดจังหวะเธอเสียก่อน “เป็นเรือเหาะไม่ได้จริงๆ หากคิดจะใช้วิธีนั้น พวกเราก็จะต้องมีผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกันกับหวังหงษ์เต๋าเป็นพวก และคอยรับหน้าที่ควบคุมเรือเหาะอยู่ตลอดเวลา ด้วยพลังวิญญาณที่เท่าเทียมกัน หวังหงษ์เต๋าย่อมไม่สามารถไล่ตามมาทันได้”


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คิดหาวิธีอื่นไม่ได้อีกแล้ว” ว่านเอ๋อก้มหน้าลงและกล่าว


 


“มันต้องมีหนทางอื่นสิ … ” ฉินรั่วครุ่นคิด


 


กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูเธอ โดยไม่ทำเสียงดังขัดจังหวะความคิดของอีกฝ่าย


 


ฉินรั่วเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงที่ฉลาดมาก บางทีเธออาจจะบังเกิดความคิดที่ทำให้ทุกคนมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ได้


 


“หวังหงษ์เต๋าเชี่ยวชาญในด้านการวางแผน แต่จากทุกแผนการของเขาที่พวกเราได้รับรู้มานี้ มันบ่งบอกชัดเจนว่าเขาเป็นพวกหวงแหนในชีวิตของตนเองเป็นอย่างยิ่ง” เธอเอ่ย


 


“ว่าต่อสิ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ฉินรั่วนิ่งคิดสักพัก และเริ่มพูดต่อว่า “พวกเราอาจจะต้องพยายามค้นหาวิธีแก้ อย่างเช่นการลดระดับเกาะลอยฟ้าลง ให้เข้าไปใกล้ชิดกับอาณาเขตของมารโลกาสักเล็กน้อย บางทีหากทำเช่นนั้น หวังหงษ์เต๋าก็อาจจะหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะกลับมาที่เกาะแห่งนี้ก็เป็นได้”


 


กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอามือกุมหน้าผาก และเอ่ยอะไรไม่ออกไปสักพัก


 


“ใช่สิ เขาจะไม่กลับมาที่เกาะหรอก แต่จะทำตรงกันข้าม โดยการแค่ผลักมันเบาๆลงไปหามารโลกาเลยต่างหาก-” ฉานนู่เอ่ยเสียงกระซิบ


 


ฉินรั่วพอได้ยินก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเธอจะเขินที่ดันแนะนำความคิดไม่เข้าท่าออกมา


 


“ฉานนู่ แล้วเจ้าเล่าคิดเห็นเช่นไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง


 


“นายน้อย ข้าได้ลองขบคิดอย่างจริงจังมาสักครู่หนึ่งแล้ว” ฉานนู่กล่าว


 


“แล้วเป็นยังไง? ไหนลองว่ากลยุทธ์ที่เจ้าคิดได้มาดูซิ”


 


อย่างไรก็ตาม ฉานนู่กลับเบี่ยงประเด็นออกไป และเอ่ยถามด้วยความเคารพลึก “นายน้อย ท่านคิดว่าบทบาทหน้าที่ของดาบคืออะไร?”


 


“ตัดสะบั้นใช่หรือไม่?”


 


“ใช่ ดังนั้นแล้ว นั่นหมายความว่าในเรื่องใช้หัวคิด มันไม่ใช่หน้าที่ของข้า”


 


“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว …”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจ


 


ดูเหมือนว่าการระดมสมองในครั้งนี้ เขาจะไม่ได้อะไรเพิ่มเติมเท่าไหร่เลย


 


แต่แล้วฉินรั่วก็เอ่ยถามขึ้นทันใด “นายน้อย แล้วท่านเล่ามีความคิดอะไรดีๆบ้างหรือไม่?”


 


กู่ฉิงซานคิด แล้วลังเลอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยออกไป “ความคิดของข้ามันไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก ดังนั้นข้าจึงต้องการฟังมุมมองความคิดของพวกเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก ว่ามันจะสามารถนำมาทดแทนความคิดของข้าได้หรือไม่”


 


“ความคิดอันใดกัน? พอจะลองอธิบายให้ฟังจะได้หรือไม่?” ว่านเอ๋อเอ่ยถามด้วยความสนใจ


 


แล้วกู่ฉิงซานก็เฉลยออกไปเพียงไม่กี่คำ


 


แต่มันกลับทำให้สามสาวนิ่งงัน เงียบไปสักพักเลยทีเดียว


 


หลังจากนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินรั่วก็ได้สติกลับคืน ปากเอ่ยกล่าวว่า “นายน้อยนี่ท่าน … ไม่น่าจะใช่คนที่คิดอะไรแบบนี้เลย”


 


ขณะที่ว่านเอ๋อจ้องมองเขา ปากขยับงึมงำ “นี่เจ้า ไม่มีความคิดที่มันดีกว่าความคิดโง่ๆนี่อีกแล้วหรือ?”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep. 459 – การกลับมาของหวังหงษ์เต๋า


 


ย้อนเวลากลับไปอีกสักเล็กน้อย


 


หลังจากที่กู่ฉิงซานมุ่งหน้าไปยังตำหนักเจียงซี เพื่อพยายามค้นหาความลับเพิ่มเติมเกี่ยวกับหวังหงษ์เต๋า


 


เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยก็ทยอยกันออกจากเวทีตามลำดับ


 


เซ่าหวูชุ่ยกลับมายังที่พักของเขา


 


เมื่อมาถึง เจ้าตัวก็ทำการปิดประตูลานหน้าบ้าน พร้อมกับเร่งเปิดค่ายกลทั้งสี่ทิศทันที


 


สองเท้าย่ำผ่านสวนและทางเดินยาว ก้าวเข้าสู่ห้องฝึกยุทธของตน


 


เมื่อเข้าไป เขาก็ก้มหน้าลง ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่สักพักหนึ่ง


 


ช่วงเวลานี้ รอบตัวเขาไม่มีผู้ใดคอยกวนใจอีกแล้ว


 


ความคิดและเรื่องราวทั้งหมดที่พึ่งเกิดขึ้น ถูกนำมากองรวมกันไว้ในห้องฝึกยุทธนี้


 


เซ่าหวูชุ่ยยกสองมือขึ้นมาถูไถใบหน้าของตนเอง


 


ทำไปสักพัก เขาจึงค่อยๆผ่อนคลายลง


 


“โลกใบใหม่ … ”


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยพึมพำ


 


ผ่านไปนาน เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความเสียใจ


 


“โง่เง่านัก! เหตุใดเจ้าจึงต้องสาบานว่าจะสังหารหวังหงษ์เต๋าด้วย!”


 


ปัง!


 


กำปั้นที่ฟุ้งไปด้วยความโกรธหวดเข้าใส่กำแพงจุดหนึ่งห้องฝึก เป่าพวกมันจนหายไปทั้งแถบ


 


ขณะเดียวกัน เส้นทางลับก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังกำแพงที่ว่า


 


แม้เส้นทางจะถูกเปิดออกแล้ว แต่เซ่าหวูชุ่ยก็ยังมิก้าวเข้าไป เขายืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจเดินลงไปตามทาง


 


เขาเดินลึกลงไปใต้ดิน จนกระทั่งพบกับค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า


 


ศิลาวิญญาณหลายสิบชิ้นถูกนำออกมา ขณะเดียวกันสีหน้าท่าทีของเซ่าหวูชุ่ยก็แสดงออกถึงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง


 


ศิลาวิญญาณก้อนแล้ว ก้อนเล่าถูกวางลงไป


 


ไม่มีทางเลือก .. ตอนนี้ยังไงก็จำเป็นต้องใช้มัน


 


เซ่าหวูชุ่ยวางศิลาวิญญาณอย่างละ 7 ชิ้นลงในแต่ละจุดที่เชื่อมต่อกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่


 


พอเสร็จสิ้นกระบวนการ ค่ายกลก็ถูกเปิดใช้งานทันที พร้อมกับเสียงฮึมฮำของสายลมที่ส่งเสียงหอนออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


 


เสียงหอนที่ว่านี้ยังคงดำเนินต่อไปสักพักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ


 


จนเซ่าหวูชุ่ยเริ่มกระวนกระวาย


 


“ไม่หรอกน่า … ”


 


เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาสัมผัสลงบนหน้าอก แตะตรงบริเวณหัวใจของตนเอง


 


แต่ไม่ต้องรีรอให้เขาจินตนาการเลยเถิดไปไกล เสียงกระแอมไอด้วยความเจ็บปวดจากภายในค่ายกลก็ดังขึ้นมา


 


เมื่อได้ยินเสียงไอนี้ สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยจึงคลายลงในที่สุด


 


แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเร่งเร้าใดๆ จึงเฝ้ายืนรออย่างเงียบๆ


 


สักพักเสียงไอก็หายไป


 


แล้วถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความโกรธแทน


 


“ข้าเคยบอกไปแล้วมิใช่หรือ ว่าหากไม่มีเรื่องวิกฤตอันใด ก็อย่าได้คิดมารบกวน?”


 


เสียงนี้แม้ดูเหมือนจะเดือดดาล แต่ขณะเดียวกันมันก็แฝงไว้ซึ่งความเจ็บปวดไม่น้อย


 


“ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องรายงานจริงๆ”


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวัง


 


“เรื่องสำคัญ? เหอะ! หากมันสำคัญจริงๆเจ้าก็จงพูดมา”


 


แล้วเซ่าหวูชุ่ยก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างออกไป


 


“ว่าไงนะ! เจ้าบอกว่าฉีหยานมีโลกใหม่ถึงสองใบอยู่ในกำมือกระนั้นหรือ?”


 


อารมณ์ร้อนรุ่มเมื่อครู่ได้สลายหายไปโดยสมบูรณ์ ขณะเดียวกันเสียงที่ถูกส่งผ่านมาจากค่ายกลก็ฟังดูค่อนข้างที่จะตื่นเต้น


 


“เป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ข้าได้ทำการยืนยันแล้ว” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว


 


“ดี .. ดีมาก! ข้าจะรีบกลับไปทันที” เสียงชรากล่าวตอบ


 


“แต่ … อาการบาดเจ็บของท่าน … ”


 


“หาได้สำคัญไม่” อีกฝ่ายหัวเราะหยัน “บิดามันข้ายังสังหารแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าหนุ่มที่ขนพึ่งจะขึ้นเช่นเขา?”


 


แต่แล้วเสียงชราก็เปลี่ยนไป “ว่าแต่เรื่องสมบัติมนตราของเย่หยิงเหมยเล่า ทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ทุกสิ่งอย่างตกอยู่ในเงื้อมมือของข้าแล้ว ฉีหยานต้องการที่จะใช้สองสิ่งนั้นกับท่าน แต่มันย่อมไม่บรรลุผลอย่างแน่นอน”


 


“ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ ว่าแต่เด็กหนุ่มที่อยู่กับฉีหยานเล่า?”


 


“บางทีอาจจะยังคงอยู่ในตำหนักเจียงซี เพื่อตามหาใบหยกเทคนิคฝึกยุทธอยู่”


 


“‘งั้นหรือ เอาล่ะ เจ้าทำหน้าที่ได้ไม่เลวเลย ทีนี้ก็จงไปหยุดเขาเสีย ไม่ว่ายังไงก็ตาม จงอย่าให้เขาล่วงรู้อะไรไปมากกว่านี้”


 


แล้วน้ำเสียงชราก็กลับมาเป็นปกติ “และนั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น ส่วนหลังจากนั้นข้าก็จะส่งเขาไปอยู่กับบิดาเอง”


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้นทันใด “แต่ข้ายังมิได้เค้นความลับจากเขา … ยังมิได้ล่วงรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่เลย”


 


แต่ขณะที่กล่าวถึงจุดนี้ เสียงชราก็ถูกตัดขาดไปเสียก่อน


 


เซ่าหวูชุ่ยยังคงยืนอยู่เบื้องหน้าค่ายกล นิ่งงันไปเป็นระยะเวลานาน


 


ดูเหมือนว่าในสมองของเขากำลังขบคิดอะไรบางอย่าง


 


“ข้าก็แค่พยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เท่านั้นเอง พวกเจ้ามิอาจตำหนิข้า … มิอาจตำหนิข้าได้!”


 


เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง


 


และขณะเดียวกันกับที่เขากำลังบ่น


 


ณ นิกายกวงหยาง


 


บริเวณท้องฟ้าเบื้องบน


 


ภายในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก


 


ร่างๆหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น


 


มันคือร่างของชายชราที่ในแววตาฟุ้งไปด้วยความมืดมน


 


หวังหงษ์เต๋า


 


เขาสวมชุดคลุมยาวสีเทา ขณะที่ตรงบริเวณแขนเสื้อของชุดคลุมเปียกชื้นไปด้วยคราบเลือดสีแดงเข้ม


 


พร้อมกับบาดแผลอันน่าตกใจบนไหล่ของเขา


 


ภายในบาดแผลสาดแสงไปด้วยประกายสีทองราวกับว่าทั้งแสงและแผลถูกยึดติดกันแน่น ดังนั้นบาดแผลดังกล่าวนี้จึงไม่สามารถรักษาหายได้


 


ภายในอากาศ บังเกิดชั้นหมอกเลือดจางๆลอยล่องอยู่รอบปากแผล


 


“ … ฉีรั่วหยา เจ้าไม่จำเป็นต้องทนรอคอยนานเกินควร เพราะอีกประเดี๋ยวหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ข้าผู้ชราก็จักเรียกเจ้ากลับมาอีกครั้งเอง”


 


หวังหงษ์เต๋าเปล่งเสียงกระซิบแห่งความเกลียดชัง ขณะที่มือยื่นออกเพื่อจีบวิชาลับ


 


บังเกิดเฉดเงาสีเทานับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นจากทุกขอบมุมของเกาะลอยฟ้า บินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังหงษ์เต๋า


 


เงาสีเทาค่อยๆก่อรูปขึ้นเป็นร่างศพของผู้ฝึกยุทธที่ภายในแววตาไร้ซึ่งชีวิตชีวา


 


มือของหวังหงษ์เต๋าขยับไหวเล็กน้อย


 


พร้อมกันกับที่มือขยับไหว ปากของศพก็ค่อยๆอ้าออก


 


ตามด้วยละอองสีเทาหม่นที่ค่อยๆลอยออกมาจากปากศพ พวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นกลุ่มก้อนหมอกขนาดใหญ่


 


หมอกสีเทาขนาดใหญ่นี้ค่อยๆแทรกซึมเข้าไปภายในร่างของหวังหงษ์เต๋า


 


“ยอดเยี่ยม … ”


 


แม้หวังหงษ์เต๋าจะส่งเสียงครวญออกมา ทว่าบาดแผลบนไหล่ของเขากลับถูกฟื้นฟูจนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


หลังจากกระทำการทั้งหมดนี้ หวังหงษ์เต่าก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขา


 


“เจ้าสินะคือหวูซาน?” เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง


 


ร่างศพที่คอบิดเป็นเกลียว ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา


 


สองตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง เพ่งตรวจสอบร่างกายของหวูซานอย่างรอบคอบ


 


“หืม? ขอบเขตประทับเทพ? แต่กลับไม่แม้กระทั่งจะดิ้นรนต่อต้าน ถูกบิดคอสังหารตกตายลงโดยที่ไม่คิดจะป้องกันตัวใดๆ”


 


“ขยะแบบนี้ มีชีวิตอยู่ต่อไปก็สิ้นเปลืองพลังงานวิญญาณ”


 


หวังหงษ์เต๋าถอนหายใจ


 


แล้วเขาก็คว้าแมลงสีม่วงซึ่งไม่รู้ว่าไปหยิบมาจากที่ไหนออกมา และโยนมันออกไป


 


แมลงสีม่วงตกลงบนหน้าของหวูซาน และคืบคลานเข้าไปภายในหูของเขาอย่างรวดเร็ว


 


หลายลมหายใจผ่านไปอย่างเงียบๆ


 


แต่แล้วจู่ๆหวูซานก็ค่อยๆเคลื่อนไหว


 


กร๊อบ!


 


เขาบิดคออย่างแรง จนบังเกิดเสียงดังฟังชัด


 


“ไม่จำเป็นต้องพยายามหรอก กระดูกคอของร่างนี้หักไปแล้วอย่างสมบูรณ์ มันไม่สามารถกลับมาเชื่อมต่อกันได้อีกต่อไป” หวังหงษ์เต๋ากล่าว


 


แล้วหวูซานก็หยุดตามที่เขาบอก


 


พร้อมกับลืมตาขึ้น


 


ทว่าดวงตาที่ลืมขึ้น มันกลับไร้ซึ่งรูม่านตา ตลอดทั้งดวงตาล้วนเป็นสีขาวขุ่นทั้งหมด


 


มารแมลงได้เข้ายึดครองร่างศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!


 


“นายท่านต้องการจะทราบสิ่งใด?” หวูซานเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ช้ากว่าปกติ


 


“ฉีหยานได้ค้นพบโลกใหม่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”


 


“เป็นเรื่องจริง”


 


“แล้วเหตุใดมันจึงมิได้นำพาเจ้ามนุษย์ผู้นี้ไปด้วย”


 


“เพราะเขากลัว”


 


“แล้วเหตุใดฉีหยานจึงได้สังหารชายผู้นี้?”


 


“ไม่อาจสรุปให้กระจ่างได้ ทว่าสิ่งสุดท้ายที่รับรู้ได้ก็คือเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยได้ทำการค้นวิญญาณของชายผู้นี้”


 


“หากเป็นในกรณีนั้น นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการฆ่าปิดปาก”


 


หวังหงษ์เต๋าหัวเราะอย่างหนักหน่วง ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่น่าเสียดาย ที่เจ้าเด็กนั่นมันไม่รู้ว่าแม้จะตายไปแล้ว แต่ข้าก็ยังมีวิธีที่จะทำให้คนตายเปิดปากออกมาได้อยู่ดี”


 


“นายท่าน พอแล้วหรือยัง?” หวูซานเอ่ยถาม


 


“ยังมีอีกเรื่อง เจ้าจะต้องบอกพิกัดของโลกใหม่ที่มันปิดบังไว้ให้แก่ข้า” หวังหงษ์เต๋ากล่าว


 


แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวคำตอบ หวูซานกลับหลับตาลง ทั้งคนทั้งร่างเริ่มจมลงสู่สภาวะซบเซา


 


“ดูเหมือนว่าแมลงมารระดับนี้จะทำงานล้วงลึกไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” หวังหงษ์เต๋าบ่นพึมพำ


 


ว่าจบ หวังหงษ์เต๋าก็พ่นละอองเลือดออกมา


 


ละอองเลือดลอยรวมกันในอากาศ กลายเป็นก้อนเม็ดเลือดเล็กๆ


 


ขณะที่หน้าอกของหวังหงษ์เต๋าจู่ๆก็บังเกิดรอยแยกเล็กออก พร้อมกับแมลงมารสีขาวที่บินออกมาจากมัน บินตรงไปยังเม็ดเลือดเพื่อหมายจะกลืนกิน


 


หวังหงษ์เต๋าคว้าจับแมลงขาวเอาไว้ และยัดมันเข้าไปในปากหวูซาน


 


แมลงขาวคืบคลานเข้าไป


 


ชั่วขณะหนึ่ง


 


ดวงตาของหวูซานก็ลืมขึ้นอีกครั้ง


 


เขาเอ่ยปากอีกคราด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ตามความทรงจำของร่างกายนี้ ฉีหยานมิรู้สึกวางใจที่จะบอกกล่าวคนอื่นๆถึงพิกัดของโลกใหม่ ฉะนั้นจึงมีเพียงฉีหยานเท่านั้นที่ล่วงรู้ถึงพิกัดของมัน”


 


หวังหงษ์เต๋าตะลึงงัน


 


“มีเพียงฉีหยานที่ล่วงรู้? เช่นนั้นสิ่งที่เซ่าหวูชุ่ยกล่าว – ไม่สิ นี่มันไม่ถูกต้อง”


 


หวังหงษ์เต๋าย้อนนึกถึงสิ่งที่เซ่าหวูชุ่ยกล่าวอย่างระมัดระวัง


 


ฉีหยานได้สาบานต่อฟ้าดิน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเขาหาได้ทราบถึงพิกัดของโลกใบใหม่ไม่


 


เขาบอกว่าตนได้ซ่อนพิกัดของโลกใหม่ และหากใครก็ตามที่กล้าจะแตะต้องเขา จะไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงพิกัดดังกล่าวได้อีกเลย


 


อย่างไรก็ตาม หวูซานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของฉีหยานกลับกล่าวออกมาว่าพิกัดของโลกใหม่นั้นอยู่ในมือของฉีหยานแน่ๆ


 


หวังหงษ์เต๋าขบคิดสักครู่ แล้วในที่สุดก็ได้ข้อสรุปออกมา


 


สิ่งที่แฝงอยู่ภายในเรื่องราวนี้ แท้จริงแล้วมันง่ายดายยิ่ง


 


สำหรับพิกัดของโลกใหม่ทั้งสอง เรื่องนี้แน่นอนยว่าย่อมอยู่ในมือของฉีหยาน


 


ทว่าคำมั่นสาบานย่อมไม่มีทางโกหก


 


ดังนั้น ความจริงจึงสมควรจะเป็น : ‘เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของตนเอง ฉีหยานจึงได้ฝากฝังพิกัดนี้ให้แก่ผู้อื่นไป’


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉีหยานทำนี้ หวูซานแท้จริงแล้วหาได้ทราบไม่


 


หวูซานเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นมันจึงคิดว่าพิกัดของโลกใหม่อยู่ในมือของเจ้านาย


 


ดูเหมือนว่า เรื่องทั้งหมดสมควรจะเป็นเช่นนี้


 


หวังหงษ์เต๋าพยักหน้า


 


ตลอดทั้งนิกายกวงหยาง ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ตราบใดที่เขาอยากรู้ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถปิดบังเขาได้


 


หวูซานจ้องมองไปทางหวังหงษ์เต๋า


 


หวูซานเอ่ยถาม “จบแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าสามารถกลืนกินศพขอบเขตประทับเทพนี้ได้หรือยัง?”


 


“รออีกประเดี๋ยว”


 


หวังหงษ์เต๋าเอ่ยคำหนึ่ง และใช้มันสมองขบคิดต่อไป


 


เจ้าเด็กฉีหยานผู้นี้ หลักแหลมมีไหวพริบไม่เลวเลยทีเดียว


 


แต่ว่าผู้ใดกัน? ผู้ใดที่เจ้าเด็กหนุมคนนี้มอบความไว้วางใจและฝากฝังพิกัดของโลกใหม่เอาไว้กับตัว?


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.460 – ใกล้ถึงความจริง


 


หวังหงษ์เต๋าเริ่มต้นที่จะคาดเดา


 


ด้วยหลากหลายปีที่ได้ควบคุมนิกายมา เขาจึงเชื่อว่าตนย่อมสามารถสรุปถึงความจริงของเรื่องนี้ได้


 


อย่างแรกเลย-


 


คือฉีหยานที่ตอนนี้อยู่ในตำหนักเจียงซี เคยไปเหยียบโลกใหม่มาแล้วแน่ๆ


 


ขณะที่ผู้ฝึกยุทธที่รู้เรื่องของสองโลกใหม่ ไม่ถูกฉีหยานฆ่าตายก็พาตัวไปด้วย


 


กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่สามารถจัดการใดๆกับพิกัดที่อยู่ในมือตน สถานการณ์เป็นไปตามที่ฉีหยานต้องการทุกประการ


 


ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธที่เข้าไปยังโลกใหม่ ก็ตัดออกไปได้เลย


 


หากอ้างอิงตามแนวคิดนี้ …


 


ผู้ที่รู้ถึงพิกัดของโลกใหม่ที่ยังคงอยู่ในโลกใบนี้


 


มันเป็นใครกัน?


 


ดวงตาของหวังหงษ์เต๋าสั่นไหว


 


ฉีหยานเป็นคนฉลาด  มันไม่โง่พอที่จะมอบพิกัดที่ว่านั่นให้แก่สตรีแห่งรากษสเป็นแน่


 


เช่นนั้น โอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุด ก็คงไม้พ้นเป็นผู้ฝึกยุทธในนิกาย


 


แต่สากวกในนิกายน่ะมีมากมายนัก


 


เว้นแต่จะทำการค้นวิญญาณทีละคน มิเช่นนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสืบหาว่าฉีหยานฝังความลับนี้ไว้กับใคร


 


ผ่านไปนาน


 


หวังหงษ์เต๋าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


เขาต้องยอมรับแล้วจริงๆว่างานนี้มันชักจะตึงมือไม่น้อย


 


ทุกคน นอกเหนือไปจากเซ่าหวูชุ่ย ก็ล้วนมีโอกาสที่จะเป็นคนที่กุมความลับเรื่องพิกัดโลกใหม่ของฉีหยานกันทั้งนั้น


 


ไม่คาดคิดเลย ว่าสถานการณ์มันจะซับซ้อนมากขนาดนี้


 


อย่างไรก็ตาม นั่นคือโลกใหม่ และหวังหงษ์เต๋าก็คิดว่าเรื่องนี้มันคุ้มค่ามากพอแก่การที่จะให้ตนเองเป็นผู้ลงมือตรวจสอบ


 


แม้ราคาที่จะต้องจ่ายออก มันจะร้ายแรงมากก็ตามที


 


สองตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง ปากเอ่ยพึมพำ “ดูเหมือนว่าข้าผู้ชราจะต้องทุ่มเต็มกำลังเพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ซะแล้วสิ”


 


ว่าแล้ว เขาก็เริ่มใช้พลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกาย ควบรวมเข้าด้วยกันที่สองมือ และจีบออกด้วยวิชาลับ


 


แสงสวรรค์เรืองรองผสานเข้าด้วยกันรอบนิ้วของเขา พร้อมกันสาดเส้นแสงสีขาวนวลสดใสออกมา


 


และหวังหงษ์เต๋าก็ได้วาดเส้นแสงนี้ลงบนหน้าผากของหวูซาน


 


ปุ้ง! ศรีษะของหวูซานระเบิดขึ้นทันใด


 


ทว่าท่ามกลางละอองเลือดที่ผสมปนปนไปด้วยสมองและอวัยวะโครงหน้าต่างๆที่กระจายออกไปทุกทิศทาง กลับขยายออกเป็นเงาของแสงสวรรค์ และปรากฏภาพเคลื่อนไหวขึ้นเบื้องหน้าของหวังหงษ์เต๋า


 


มันคือภาพของฉากสุดท้ายที่หวูซานได้เห็น


 


เริ่มจากฝ่ามือของเซ่าหวูชุ่ยที่ถูกปัดออกจากหัวเขา


 


จากนั้นทุกอย่างก็จมลงสู่ความมืดมิด


 


จากนั้นภาพเคลื่อนไหวก็เริ่มกระโดดไปมา จู่ๆมันก็ย้อนกลับไปเป็นภาพของหวูซานในช่วงเวลาที่พึ่งมาถึงเวที และโค้งหมอบคำนับให้แก่ฉีหยาน


 


ต่อไป ภาพก็ย้อนกลับอีก มันคือภาพสาวใช้ของฉีหยานที่มาแจ้งเรื่องการถูกเรียกตัวของหวูซาน


 


และทุกฉากที่ฉายขึ้นบนเงาแสงสวรรค์ ล้วนเป็นฉากที่เกิดจากในมุมมองสายตาของหวูซานทั้งสิ้น


 


แต่ละภาพ แต่ละฉากเหล่านี้ทั้งหมด ล้วนค่อยๆทยอยถอยหลังย้อนกลับไป


 


นี่คือสกิลเทวะของหวังหงษ์เต๋า ‘สัมผัสที่หกยึดวิญญาณ’


 


ใบหน้าของมนุษย์ หรือแม้กระทั่งร่างกายของศพ จะกลายเป็นพาหะที่นำพาข้อมูลมาให้แก่เขา


 


สัมผัสทั้งหกที่เรียกกันว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตสำนึก


 


เมื่อจิตสำนึกจากไป ดวงตาที่เคยเห็น หูที่เคยได้ยิน จมูกที่เคยได้กลิ่น ลิ้นที่เคยรับรส และกายที่เคยสัมผัสก็จะหายตามไปด้วย


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยสกิลเทวะของหวังหงษ์เต๋า มันจะส่งผลให้เขาสามารถหยิบยืมร่างศพของมนุษย์เพื่อลอบเข้าไปสู่สถานะในครั้งที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าเคยทำงานอีกครั้ง และทำการตรวจสอบมันได้


 


ตราบใดที่สัมผัสทั้งห้าของร่างคนตายยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หวังหงษ์เต๋าจะสามารถมองเห็นถึงเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างจากเจ้าของร่างที่พึ่งตายลงไปเมื่อไม่นานมานี้ได้


 


แต่มันคงจะสะดวกกว่านี้ หากหวูซานยังคงมีชีวิตอยู่


 


เพราะร่างกายของมนุษย์ที่ยังมีชีวิต มันจะมีความทรงจำที่ชัดเจนยิ่งกว่า


 


หากเป็นในกรณีนั้น หวังหงษ์เต๋าจะสามารถทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของหวูซานได้ทันที!


 


นี่นับว่าเป็นสกิลเทวะประเภทตรวจสอบที่ยากเย็นนักจึงจะมีบุญตาได้พบเห็น!


 


หวังหงษ์เต๋าจ้องมองไปยังภาพเคลื่อนไหวแต่ละฉากอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆรวบรวมเบาะแสทีละนิด ทีละนิดอย่างช้าๆ


 


ขณะเดียวกัน สีหน้าของเขาก็เริ่มจะซีดลงเรื่อยๆ


 


ต้องไม่ลืมนะว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ ดังนั้นการใช้งานสกิลเทวะนี้ มันจึงเป็นภาระที่ใหญ่กว่าในช่วงเวลาที่เขาใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์


 


อย่างไรก็ตาม เขาหาได้ใส่ใจเรื่องนี้ไม่ ทั้งคนทั้งร่างยังคงกระตุ้นใช้ออกด้วยวิชาลับ และทำการตรวจสอบความทรงจำของหวูซานอย่างใจจดใจจ่อต่อไป


 


แต่แล้วในช่วงเวลาหนึ่งนั้นเอง จู่ๆมือของหวังหงษ์เต๋าก็วูบไหว และจีบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว


 


ฉากภาพเคลื่อนไหว ได้ถูกย้อนกลับไปยังฉากก่อนหน้านี้


 


มันเป็นภาพของฉีหยานที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าหวูซาน และกำลังปรับแต่งดิสก์ค่ายกลอยู่


 


“นายน้อย ทักษะในด้านค่ายกลของท่านก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว สิ่งที่ท่านทำ ผู้น้อยไม่เข้าใจเลยโดยสมบูรณ์” หวูซานตบลงบนหัวตน


 


“ก็เจ้ามันเป็นคนโง่นี่นา ดังนั้นจึงย่อมไม่มีทางเข้าใจเป็นธรรมดา อีกอย่างนี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก มันเป็นจุดที่ยากที่สุดในกระบวนการจัดวางลงในดิสก์ค่ายกล” ฉีหยานกล่าว


 


หวูซานหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ฮี่ฮี่ ค่ายกลเช่นนี้คงมีเพียงผู้เปี่ยมพรสวรรค์โดยธรรมชาติเท่านั้นแลจึงจะเข้าใจได้ ผู้น้อยเป็นเพียงคนหัวทึบ แน่นอนว่าย่อมมิอาจนำมาเทียบเปรียบกับนายน้อยได้”


 


ฉีหยานเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าว “อันที่จริงมันก็เป็นอย่างที่เจ้าว่า เพราะหากเจ้าเข้าใจถึงมันจริงๆ ข้าคงย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่และเฝ้าดูมันอย่างแน่นอน”


 


หวังหงษ์เต๋ามิได้สนใจถึงสิ่งที่ทั้งสองกล่าว


 


เพราะสมาธิทั้งหมดของเขา บัดนี้ทุ่มลงไปในสองตาที่กำลังเฝ้ามองดิสก์ค่ายกลในมือของฉีหยานอยู่


 


ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก!


 


“เจอเสียที”


 


หวังหงษ์เต๋าเอ่ยพึมพำเบาๆ


 


ณ ขณะนี้ จู่ๆเงาแสงสวรรค์ก็เริ่มเลือนลางไป


 


ทันใดนั้น ก็มิอาจมองเห็นถึงสิ่งใดในฉากได้อีกต่อไป ภาพที่ชัดเจนกำลังกระจายหายไป


 


—สัมผัสที่หกยึดวิญญาณกำลังจะถึงขีดจำกัดในไม่ช้า


 


แต่หวังหงษ์เต๋าได้พบกับเป้าหมายแล้ว และยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญยิ่ง ดังนั้นเขาจะไม่ดำเนินการต่อได้อย่างไร?


 


หวังหงษ์เต๋ากัดฟันกรอด และเริ่มกระตุ้นพลังวิญญาณ ใช้ออกด้วยวิชาลับอีกครา!


 


สัมผัสที่หกยึดวิญญาณ รอบที่สอง!


 


ฮูมมม!


 


แสงสวรรค์กลับมาเสถียรอีกครั้ง ขณะเดียวกันฉากภาพก็กลับมาคมชัด


 


แต่ราคาที่ต้องจ่ายออกด้วยการใช้สัมผัสที่หกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รอยแผลตรงไหล่ปริแตก และมีเลือดไหลออกมา


 


หวังหงษ์เต๋าสบถด้วยความเจ็บปวด


 


เขาคลายมือออกจากวิชาลับ ตบลงในถุงสัมภาระ พร้อมกับหยิบขวดยารักษาออกมา


 


แล้วตนก็เคาะๆเอาเม็ดยาทรงเมล็ดข้าวที่อยู่ภายในออกมา โยนเข้าไปในปาก


 


แล้วท่าทีการแสดงออกที่ดูเจ็บปวดของหวังหงษ์เต๋าก็คลายลง


 


เขาเงยหน้าขึ้น มองไปยังแสงสวรรค์ที่มีฉากของฉีหยานที่กำลังทำการปรับแต่งดิสก์ค่ายกลระหว่างสองโลกอีกครั้ง


 


“ช่วงเวลานี้ล่ะ”


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าว


 


แม้ว่าจักต้องทุ่มใช้พลังวิญญาณและทุ่มความพยายามไปเป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุด ผลลัพธ์ของมันก็คุ้มค่ากับราคาที่ได้จ่ายไปเสียที


 


หวังหงษ์เต๋ายกดิสก์ค่ายกลเปล่าๆมาไว้ในมือ ขณะเดียวกันก็จ้องมองฉีหยานชนิดหัวชนฝา


 


เขาจับจ้องทุกการเปลี่ยนแปลงที่ไวว่องบนมือของฉีหยาน และเริ่มต้นเลียนแบบการปรับแต่งดิสก์ค่ายกลไปพร้อมๆกับอีกฝ่าย


 


ฉีหยานเคลื่อนไหวเช่นใด หวังหงษ์เต๋าก็เคลื่อนไหวตาม


 


ฉีหยานปรับแต่งด้วยชุดวิชาลับค่ายกลใด หวังหงษ์เต๋าก็ปรับแต่งตามอย่างกระชั้นชิดด้วยชุดวิชาเดียวกัน


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไป


 


ขณะเดียวกัน ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้น


 


บนใบหน้าของหวังหงษ์เต๋าเริ่มเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น


 


ยังคงหลงเหลืออีกเพียงสองขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญที่สุด และเพียงเท่านี้ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว!


 


ซึ่งในสองขั้นตอนสุดท้าย คือการใส่พิกัดโดยการใช้ปลายนิ้วสัมผัส ตามรูปแบบพิกัดของค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งสองฟากฝั่ง


 


หนึ่งคือพิกัดของโลกล่องเวหา


 


กับอีกหนึ่ง คือพิกัดของโลกใหม่!


 


—ปรมาจารย์ค่ายกลจะมีรูปแบบวิธีการใช้มือแบบเฉพาะเป็นของตนเอง เพื่อทำการระบุพิกัดมิติที่ว่างเปล่า


 


บนฉากเงาแสงสวรรค์


 


เห็นแค่เพียงสองมือของฉีหยานที่วูบไหว


 


เขาเริ่มต้นใช้วิชาลับทำการระบุพิกัดมิติแบบเฉพาะเจาะจง


 


และหวังหงษ์เต๋าก็เคลื่อนมือตามทันที


 


ทุกๆการเคลื่อนไหวของเขาไม่มีอะไรที่ผิดพลาดเลย อันที่จริงแล้วมันเสถียรและรวดเร็วยิ่งกว่าฉีหยานเสียอีก!


 


พิกัดระหว่างสองโลกเสร็จสิ้นไปหนึ่งแล้ว และตอนนี้ยังเหลืออยู่อีกไม่ถึงครึ่ง!


 


ขณะที่สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าเริ่มเผยถึงความปิติที่ปิดไม่มิดออกมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ


 


หลังจากที่ไล่เลียนแบบ ทำตามวิชาของฉีหยานมานาน อีกนิดเดียวค่ายกลก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว


 


และตนเองก็ได้จะได้รับพิกัดของโลกใหม่-


 


-สองโลกใหม่กำลังจะมาอยู่ในกำมือของตนเองแล้ว!


 


แต่ขณะที่หวังหงษ์เต๋ากำลังคิดอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นจู่ๆก็เกิดความผันผวนขึ้นบนฉากเงาแสงสวรรค์


 


ส่งผลให้วิชาลับที่เคลื่อนไหวอยู่ในมือของฉีหยาน ไม่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน


 


สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนกลับกลาย แต่คราวนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้อีกแล้ว


 


เนื่องจากหวูซานได้เสียชีวิตไปแล้ว มันจึงส่งผลให้สกิลเทวะ สัมผัสที่หกยึดวิญญาณของเขาเสื่อมประสิทธิภาพลง ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร


 


ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีทางแก้ได้


 


ยิ่งระยะเวลาในการตายของหวูซานมากขึ้นเท่าใด ประสิทธิภาพของสกิลเทวะนี้ก็จะยิ่งถดถอยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพเบลอเช่นนี้


 


“พลาดไปแค่ … วิชาลับเดียว …ฉีหยานเจ้าระยำหมา! ถึงขั้นลงมือสังหารแม้กระทั่งคนของตัวเอง เป็นเพราะเจ้า! ทุกอย่างมันจึงเป็นเช่นนี้!” หวังหงษ์เต๋าอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา


 


สำหรับในส่วนของการเคลื่อนย้ายมิติ มันจะต้องประณีตและถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วหากพลาดพลั้งไปแม้เพียงน้อย ก็อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดได้


 


ตอนนี้วิชาลับสุดท้ายดันมาขาดหายไป …


 


งั้นคงต้องอ้างอิงจากมือที่ขยับไหวในภาพเบลอๆนั่นเท่านั้น หวังหงษ์เต๋าหวังว่าหากตนโชคดีพอ ความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นตามมามันคงจะไม่ใหญ่มากเกินไปนัก


 


-ตอนนี้คงต้องปรับแต่งดิสก์ค่ายกลให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน


 


หวังหงษ์เต๋าผ่อนลมหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มขยิบตาให้พร้อม แล้วเพ่งมองดูมือที่เคลื่อนไหวของฉีหยานตาไม่กระพริบ


 


ยังคงหลงเหลืออีก 7 ท่าร่างมือ ก็จะรวมกันครบ 1 วิชาลับและดิสก์ค่ายกลก็จะเสร็จสมบูรณ์


 


ทว่า ณ ขณะนั้นแสง ภายในฉากเงาแสงสวรรค์ ก็บังเกิดเสียงของผู้หญิงดังขึ้นทันใด


 


“นายน้อย ข้าสามารถเข้าไปได้หรือไม่?”


 


มือที่วูบไหวของฉีหยานชะงักงันลงทันที


 


“ในเวลาเช่นนี้ นางมาทำไมกัน? หรือว่านางคิดจะ … ”


 


ฉีหยานบ่นพึมพำและก้มลงมองดิสก์ค่ายกลในมือของเขา


 


“ข้าได้ยินมาว่าจื่อหลิวเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่หลักแหลมยิ่ง ดังนั้นนายน้อย ข้าขอแสดงความจงรักภักดีเล็กๆน้อยๆแก่ท่าน โดยการแนะนำว่าท่านสมควรที่จะระมัดระวังนางเอาไว้”


 


หวูซานคว้าโอกาสอันดีนี้ เอ่ยเตือนเขาไปประโยคหนึ่ง


 


สีหน้าของฉีหยานค่อยๆเปลี่ยนเป็นมืดมน


 


“ข้าทราบดีว่านางเป็นปรมาจารย์ค่ายกล หวูซาน เจ้ากลับไปก่อน แล้วให้จื่อหลิวเข้ามา ข้ากับนางมีธุระต้องทำกันในคืนนี้”


 


หวูซานพยักหน้าและกล่าว “ขอรับนายน้อย”


 


แล้วเขาก็เดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาค่อยๆปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง


 


ภายนอกประตู เป็นเด็กสาวที่ใสซื่อและงดงาม


 


เสียงของหวูซานดับก้อง “จื่อหลิวน้อย เจ้าเข้าไปปรนนิบัตินายน้อยได้แล้ว”


 


คิ้วของเด็กสาวขมวดเข้าหากัน ปากเอ่ยเสียงต่ำ “สายตาของเจ้าที่มองข้าช่างน่ารังเกียจนัก อย่านึกนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”


 


แล้วเธอก็เปิดประตูเดินเข้าไป


 


ขณะที่หวูซานยืนเลื่อนสายตาจ้องตามสะโพกของเด็กสาวจนประตูปิดลง จึงค่อยเริ่มเดินจากไปเช่นกัน


 


-ปัง!


 


หวังหงษ์เต๋าระเบิดฝ่ามือจนศพของหวูซานเปลี่ยนเป็นละอองเลือด


 


บัดซบ!


 


เห็นได้ชัดว่าอีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะได้พิกัดของโลกใหม่มาแล้วแท้ๆ!


 


ไอ้สารเลวฉีหยาน! เหตุใดต้องบังเกิดความใคร่เอาตอนนี้ด้วย!


 


ข้าพลาดครั้งใหญ่แล้ว!


 


หวังหงษ์เต๋าจ้องมองดูดิสก์ค่ายกลในมือ หัวใจของเขาคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ


 


ดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้จะไม่มีทางเสร็จสมบูรณ์ หากยังไม่อาจทราบตำแหน่งการวางมือของอีกทั้ง 7 ท่าร่างได้ —มันจะไม่สามารถระบุพิกัดของโลกใหม่ได้!


 


ดิสก์ค่ายกลนี้ไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์


 


ใช้ออกด้วยสัมผัสที่หกยึดวิญญาณถึงสองครา ทว่ากลับยังไม่ได้รับสิ่งใดเลย!!


 


กรามของหวังหงษ์เต๋าขบกันแน่นจนฟันส่งเสียงกรอดๆ


 


ตรงข้ามเขา คือศพของหวูซานที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด


 


และแม้กระทั่งแมลงมารสีขาวที่แฝงกายอยู่ในศพของหวูซาน ก็ยังถูกทำลายลงโดยฝ่ามือของหวังหงษ์เต๋า


 


หวังหงษ์เต๋ามองไปยังซากแมลงขาว และค่อยๆพยายามสงบใจลงอย่างช้าๆ


 


“สูญเสียแมลงมารไปเปล่าๆ … เพียงเพราะข้าไม่สามารถสงบสติอารมณ์กับเจ้าขยะเช่นนี้ได้”


 


เขาพึมพำกับตนเอง


 


หลังจากที่ยืนอยู่คนเดียวกลางอากาศมาสักพัก หวังหงษ์เต๋าก็เริ่มที่จะย้อนคิดรื้อฟื้นกระบวนการทั้งหมดอีกครั้ง


 


จากคำบอกเล่าของเซ่าหวูชุ่ย มาจนกระทั่งถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้จากความทรงจำของหวูซาน


 


หวังหงษ์เต๋าตรวจสอบทุกภาพ ทุกคำ ทุกรายละเอียดยิบย่อย


 


จนกระทั่งมาถึงจุดๆหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ไม่ … นี่มันมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง …”


 


เขาได้สติกลับคืน


 


-ทุกสิ่งอย่างมันผิดพลั้งไปหมดเลย!


 


จากความทรงจำของหวูซาน ฉีหยานเห็นได้ชัดว่าล่วงรู้ถึงพิกัดอย่างชัดเจน


 


เพราะแม้กระทั่งในขณะที่ปรับแต่งดิสก์ค่ายกลในขั้นตอนสุดท้าย ฉีหยานก็ยังไม่แสดงท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย


 


มือของฉีหยานช่างว่องไว และมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง มันไม่แสดงออกถึงความลังเลเลยที่จะวางท่าร่างพิกัดลงบนดิสก์ค่ายกล


 


ชัดเจนว่าฉีหยานย่อมรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่!


 


ทว่าเพราะเหตุใดกัน? เหตุใดฉีหยานที่ได้เปล่งวาจาคำมั่นสาบานต่อฟ้าดิน ว่าตนมิได้ล่วงรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่จึงไม่ถูกลงทัณฑ์?


 


ผู้ฝึกยุทธไม่สามารถปิดซ่อนความจริงจากฟ้าดินได้ หากได้ให้คำมั่นสาบานต่อฟ้าดินแล้ว คำมั่นนั้นย่อมจะต้องถูกตรวจสอบ ว่าเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่อย่างแน่นอน


 


นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าคำกล่าวของฉีหยานเป็นความจริง


 


-เขากำลังบอกความจริง ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ทราบถึงพิกัดของโลกใหม่เป็นแน่


 


แต่จากการค้นความทรงจำ เขาล่วงรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่ชัดๆ!


 


เรื่องราวนี้มันช่างย้อนแย้งกันเองอย่างสิ้นเชิง


 


เรื่องแบบนี้ … จะเกิดขึ้นกับคนๆเดียวได้อย่างไร?


 


หวังหงษ์เต๋าหลับตาลง และส่งเสียงงึมงำครุ่นคิดสักพัก


 


ด้วยนิสัยและห้วงอารมณ์ของฉีหยาน เขาย่อมไม่รู้สึกวางใจหากบอกพิกัดของโลกใหม่ให้แก่คนอื่นๆทราบเป็นแน่


 


อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาชีวิตตนเอาไว้ การกระทำอย่างเช่นการฝากฝังพิกัดโลกใหม่ให้แก่ผู้อื่น ก็นับว่าเป็นกลยุทธที่ดีทีเดียวสำหรับคนที่กำลังหมดหนทางเช่นเขา


 


ทั้งสองด้าน สองประเด็นนี้ ไม่ว่าจะในกรณีใดมันก็ล้วนแล้วแต่สมเหตุสมผล


 


แล้วตกลงมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?


 


หลังจากผ่านไปชั่วขณะ


 


หวังหงษ์เต๋าก็ลืมสองตาขึ้นทันใด ปากเอ่ยพึมพำ “เว้นเพียงแต่ว่า … ฉีหยานจะมีสองคน?”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.461 – จุดสิ้นสุดของนิกายกวงหยาง


 


นี่ก็เป็นระยะเวลานานมากแล้ว ที่ตลอดทั้งนิกายไม่มีสิ่งใดหลบรอดไปจากการสายตาของหวังหงษ์เต๋า


 


แต่ตอนนี้ จู่ๆก็ดันมีฉีหยานคนที่สองปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน?


 


ทันทีที่คิดได้ถึงจุดนี้ แม้กระทั่งคนอย่างหวังหงษ์เต๋าเองก็ยังเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ


 


แน่นอน ว่าเขามิได้หวาดกลัวฉีหยาน แต่เขาหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จักต่างหาก


 


เพราะสิ่งที่ไม่รู้จัก นั่นหมายถึง-


 


-ตัวแปรที่ไม่อาจควบคุมได้


 


หวังหงษ์เต๋าอดไม่ได้ที่จะเหยียดมือไปยังเบื้องหลัง และคว้ากุมด้ามจับกระบี่ประจำกายของตนเอาไว้


 


มันเป็นกระบี่ที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา


 


ในอดีตที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่เฉียนซานเย่ถูกสังหาร เขาก็เคยแสดงอาการคว้ากุมด้ามจับกระบี่ที่อยู่เบื้องหลังแบบนี้เช่นกัน


 


ในช่วงนานปีที่ผ่านพ้น น้อยคนนักที่จะมีความสามารถมากพอที่จะให้เขาชักกระบี่ยาวออกมาอีกครั้งได้


 


ในช่วงเวลาที่ผ่านมาตลอดทั้ง 500 ปี มีเพียงฉีรั่วหยาคนเดียวเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม ฉีรั่วหยามันก็ได้ตายไปแล้ว


 


ตกตายลงภายใต้คมกระบี่ของตนเอง


 


หวังหงษ์เต๋ากุมกระบี่ในมือ ขณะที่หัวใจของเขาค่อยๆสงบลง


 


แล้วเจ้าตัวก็เริ่มใช้สมองตริตรอง


 


มิผิดแล้ว


 


ฉีหยานจะต้องมีสองคนอย่างแน่นอน


 


มีเพียงข้อสรุปนี้ข้อเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างสมเหตุสมผล


 


มิฉะนั้นแล้ว คำมั่นสาบานต่อฟ้าดินย่อมไม่ถูกยอมรับอย่างแน่นอน


 


ชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ


 


ฉีหยานสองคนอย่างงั้นหรือ ….


 


เช่นนั้น แล้วคนใดกันที่เป็นตัวจริง?


 


หรือว่าฉีหยานที่เห็นจากหวูซานจะเป็นตัวปลอม? ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะอีกฝ่ายครอบครองพิกัดของโลกใหม่เอาไว้อย่างชัดเจน


 


หรือว่าฉีหยานอีกคนในเวทีหารือจะเป็นตัวปลอม? ก็ไม่น่าจะใช่เช่นกัน เพราะฝีปากและสมองของเขาหลักแหลมถึงขั้นสามารถโน้มน้าวใจเย่หยิงเหมยได้ – นี่แสดงให้เห็นว่าเขาคุ้นเคยกับเย่หยิงเหมยเป็นอย่างดี จะต้องเคยสนทนากันจนล่วงรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย และวิธีในการที่จะชักชวนเธอ


 


เย่หยิงเหมยน่ะอยู่ภายใต้การควบคุมของหวังหงษ์เต๋ามานานปี นอกเหนือไปจากเซ่าหวูชุ่ยกับฉีหยานแล้ว คนอื่นๆก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย ดังนั้นการที่ฉีหยานรู้จักเธอดี ย่อมบ่งบอกว่าเขาเป็นตัวจริงอย่างแน่นอน


 


….


 


หวังหงษ์เต๋าขบคิดอยู่พักหนึ่ง แต่กลับพบว่ามันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินให้ได้คำตอบที่ชัดเจนแบบเด็ดขาดอยู่ดี


 


ทว่าเมื่อลองคิดกลับกันถึงอีกเรื่องราวหนึ่ง จู่ๆเขาก็หัวเราะขึ้นทันใด


 


ฉีรั่วหยาช่างโง่เง่านัก ที่คิดทำการทะลวงขอบเขตอย่างเต็มรูปแบบ ฆ่าตัวตายชัดๆ


 


อีกฝ่ายคงไม่ทันคิดเลยด้วยซ้ำ ว่าตัวหวังหงษ์เต๋าจะลอบลงมือเช่นนี้


 


แต่ทุกอย่างช่างซับซ้อนยิ่งกว่า เพราะกลับกลายเป็นหวังหงษ์เต๋าเสียเองที่ไม่ทันคาดคิดว่า แท้จริงแล้วบุตรชายของฉีรั่วหยาจะมีลูกเล่นเล็กๆน้อยๆเช่นนี้


 


อย่างไรก็ตาม ฉีหยานเป็นเพียงนายน้อยเสเพลในนิกาย วิสัยทัศน์ของมันผู้นี้ตื้นเขินเกินไป


 


มันยังเด็กเกินไปที่จะมาใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเขา


 


ขณะที่หวังหงษ์เต๋ากำลังคิด เขาก็หยิบยันต์ใบหนึ่งออกมา


 


เขาหันไปเอ่ยปากพูดกับยันต์ “ทำการแจ้งเตือนไป ตอนนี้ในทัน-”


 


แต่ยังไม่ทันกล่าวจนจบประโยค หวังหงษ์เต๋าก็ชะงักไป เขาก้มลงมองชุดคลุมยาวของตนที่เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือด


 


การที่จะต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นในสภาพนี้ มันคงเป็นเรื่องที่น่าอับอายไม่น้อย


 


หวังหงษ์เต๋าจึงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า


 


“หลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยาม ขอให้ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในนิกายไปรวมตัวกันเบื้องหน้าเวทีหารือ ข้ามีบางสิ่งที่ต้องการจะกล่าว”


 


สิ้นเสียง พลังวิญญาณก็ถูกถ่ายเทเข้าไปในยันต์


 


และยันต์ก็ลุกไหม้ แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟพุ่งออกไปทันที


 


หวังหงษ์เต๋าควักแมลงมารออกมาจากอกของเขา


 


เขาก้มลงมองกลุ่มแมลงมาร ปากเอ่ยพึมพำเสียงต่ำกับตนเอง


 


“มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะฝากฝังพิกัดของโลกใหม่ให้ผู้ใดดูแล เพราะตราบใดที่ข้าผู้ชราคนนี้มีอำนาจควบคุมคนในนิกายทั้งหมด สุดท้ายคนที่เจ้าไว้วางใจก็จักถูกเปิดเผยอยู่ดี”


 


“เรื่องนี้จะไม่นับว่าเป็นปัญหาอีกต่อไป”


 


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หวังหงษ์เต๋าก็บังเกิดความลังเลเล็กน้อย


 


ต้องไม่ลืมนะว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญ ทว่าแน่นอน ว่าโลกใหม่ก็สำคัญไม่แพ้กัน และมีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่สำคัญเท่ากับทั้งสองสิ่งที่พึ่งกล่าวมานี้ นั่นก็คือ ‘นิกาย’


 


นิกายแห่งนี้ … นิกายที่ไม่ว่าผู้ใดก็มักจะอ้าปากร้องขอแต่ศิลาวิญญาณ


 


แล้วเหตุใดจึงยังต้องเลี้ยงพวกมันต่อไปให้เปลืองทรัพยากรด้วยเล่า?


 


ฉีรั่วหยาก็ตายไปแล้ว คราวนี้ยังจะมีใครสามารถขัดขวางตัวเขาได้อีก?


 


เมื่อหวังหงษ์เต๋าคิดมาถึงจุดนี้


 


ท่าทีการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง สองมือประสาน ประกบแปรผันท่าร่างวิชาลับอย่างไม่รู้จบ


 


พลังวิญญาณถูกผลักดันเข้าสู่สองมือ เพื่อทำการกระตุ้นออกด้วยวิชาลับอย่างต่อเนื่อง


 


วิชาลับเริ่มทำงาน


 


ภายในช่วงเวลาสั้นๆ


 


ก็เห็นแค่เพียงแมลงมารหลากสีสัน คืบคลานออกมาจากกระเป๋าชุดคลุมตรงเอวของหวังหงษ์เต๋า


 


มันเป็นแมลงมารที่มีขนาดเพียงนิ้วก้อย ร่างของมันส่ายไปมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มออกตัวบินหายไปในท้องฟ้าอันมืดมิดในช่วงเวลา ‘ลางร้าย’


 


แล้วต่อมาหลังจากนั้น แมลงนับไม่ถ้วนก็ค่อยๆคืบคลานตามๆกันออกมาจากกระเป๋าชุดคลุมของหวังหงษ์เต๋า และพากันโบยบิน กระจายไปทั่วทั้งเกาะลอยฟ้า


 


….


 


ภายในห้องอันมืดมิด


 


เย่หยิงเหมยกำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงา และพึ่งเอ่ยรายงานเสร็จสิ้นไป


 


ผ่านไปสักพัก เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น


 


“โลกใหม่อย่างงั้นหรือ? ทำได้ดีมาก ในที่สุดการที่ข้าเลือกที่จะซุ่มซ่อนมากว่า 1000 ปี ก็พอจะได้รับผลประโยชน์กลับคืนมาบ้างเสียที”


 


“เจ้าค่ะ” เย่หยิงเหมยลดศีรษะลงและกล่าว


 


“แต่เจ้ายังไม่ได้ตรวจสอบให้มันชัดเจนเกี่ยวกับความลับของเฉียนซานเย่กับหวังหงษ์เต๋าเลยนี่” เสียงผู้ชายกล่าว


 


“สำหรับเรื่องนั้น ถึงแม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะถูกล่อลวงโดยข้าแล้วก็ตามที ทว่าเขาก็ยังไม่เต็มใจจะไว้วางใจข้าโดยสมบูรณ์ แล้วเผยเงื่อนงำของเรื่องราวที่ว่านั่นออกมาอยู่ดี” เมื่อนึกถึงความหวาดระแวงจนเกินควรของหวังหงษ์เต๋า น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของเย่หยิงเหมยก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว


 


ขณะที่น้ำเสียงของผู้ชายดูจะกำลังขบคิด “ว่าแต่ปริมาณพิษเท่าใดกัน ที่เขาได้รับ?”


 


“เขาตรวจสอบร่างกายของข้าหลายต่อหลายครั้ง และไม่เคยพบพิษใดๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโล่งใจทุกครั้งที่เขาทรมานข้า” เย่หยิงเหมยกล่าวทันที


 


“ไป่น้อย เจ้าก็รู้ดีนี่ว่าคุณสมบัติพิษของนิกายลั่วชาเฟิงเรายอดเยี่ยมเพียงใด? ดังนั้นในกรณีนี้ พิษที่หวังหงษ์เต๋าได้รับจากกายเจ้ามันคงมากพอที่จะแทรกซึมลึก … อ่า ช่างมันเถอะ ในเมื่อแผนการที่วางไว้เป็นไปอย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ก็ดีแล้ว”


 


เสียงของผู้ชายฟังดูจะค่อนข้างพอใจ เขาเอ่ยต่อ “โลกใบนี้กำลังจะล่มสลายลงในไม่ช้า ทางนิกายจึงไม่เต็มใจไปที่รออีกต่อไป”


 


พอได้ฟัง เย่หยิงเหมยเงยหน้าขึ้น จ้องมองเข้าไปในกระจกเงาด้วยความกังวล


 


แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆจากกระจกอยู่ครู่หนึ่ง


 


หัวใจของเย่หยิงเหมยเต้นครึกโครม ปากเอ่ยร่ำร้อง “นายท่าน!”


 


แต่สักพักหนึ่ง เสียงของผู้ชายก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“อย่าพึ่งโวยวายไป เจ้าได้เฝ้าติดตามผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตมานานปี และลอบวางยาพิษเขาได้สำเร็จ ซึ่งนี่จะเท่ากับว่าทางนิกายจะได้มีหุ่นเชิดลมปราณจิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง นี่นับว่าเป็นความสำเร็จที่ดีทีเดียว”


 


“และด้วยเหตุนี้ ทางนิกายจึงไม่ยอมให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานที่เจ้าได้ค้นพบโลกใหม่ถึงสองใบ นี่ก็นับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน”


 


ด้วยประโยคนี้ ส่งผลให้หัวใจของเย่หยิงเหมยที่จมลง ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาอย่างช้าๆ ปากเอ่ยด้วยความปิติ “ท่านกำลังหมายความว่า … ”


 


“สตรีแห่งรากษสได้ส่งผ่านคำสั่งลงมาแล้ว”


 


เสียงของผู้ชายกล่าวด้วยความเคารพลึก


 


“เย่หยิงเหมย ความสำเร็จของเจ้านับว่าไม่น้อยเลย ตำแหน่งอาวุโสในนิกายย่อมต้องมีที่ว่างสำหรับเจ้าอย่างแน่นอน – ยังไงก็ตาม  นายเหนือของพวกเราเอ่ยปากออกมาด้วยตนเองว่าต้องการที่จะเห็นศีรษะของฉีหยาน ดังนั้นก่อนที่จะกลับมายังนิกาย เจ้าจะต้องสังหารเขาเสียและตัดศีรษะของเขานำกลับมาด้วย”


 


“เจ้าค่ะ!” เย่หยิงเหมยขานรับเสียงดังด้วยความสุข


 


…….


 


หวังหงษ์เต๋ากำลังหลับตา ขณะที่ในมือจีบออกด้วยวิชาลับอย่างเงียบๆ


 


นอกเหนือไปจากเย่หยิงเหมย เซ่าหวูชุ่ย และแน่นอนว่ารวมถึงฉีหยานที่อยู่ในห้องลับ ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆในนิกายล้วนไม่มีผู้ใดก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้เลย


 


ดังนั้น ในกรณีนี้ พวกเขาจึงมิทันได้ตระหนักถึงวิชาลับของหวังหงษ์เต๋า


 


หวังหงษ์เต๋าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าผ่อนคลายออกมา


 


แมลงมารได้บินไปตกทั่วทุกภาคส่วนของเกาะลอยฟ้า


 


พวกมันค่อยๆทยอยกันหายไปจากสายตาของหวังหงษ์เต๋า


 


ไม่นานนัก


 


ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งนิกายก็มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของหวังหงษ์เต๋า


 


และทุกคน … ล้วนมีสายตาดั่งปลาตาย ไร้ซึ่งประกายของความมีชีวิตชีวา การแสดงออกบนใบหน้าแข็งค้าง


 


เมื่อต้องเผชิญกับเทคนิคมนตราของผู้ฝึกยุทธขั้นลมปราณจิต ผู้ฝึกยุทธในระดับนี่ลดหลั่นกันมาของนิกาย ก็มิอาจต้านทานใดๆได้


 


พวกเขาทั้งหมดได้ตายลงแล้ว


 


และตอนนี้ ศพทั้งหมดของพวกเขากำลังถูกควบคุมอยู่


 


“ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ มันทำให้ข้าลำบากเสียจริงๆ”


 


“แต่ก็ช่างมันเถิด หากพวกมันยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรนิกายไปโดยเปล่าประโยชน์อยู่ดี เป็นแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะพวกมันจะได้ไม่ต้องล้างผลาญอะไรอีกต่อไป”


 


หวังหงษ์เต๋ากล่าวพลางขมวดคิ้ว


 


เขาปิดตาทั้งสองข้าง วิชาลับในมือแปรผันท่าร่างไม่รู้จบ


 


และเมื่อใดก็ตามที่มือของเขาขยับไหว ศีรษะของผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็จะระเบิดออกทันที


 


ร่างไร้ศีรษะของผู้ฝึกยุทธคนแล้วคนเล่าค่อยๆล้มลงกับพื้น


 


จนในที่สุด ก็ไม่มีผู้ใดยืนหยัดอยู่ได้อีกเลย


 


หวังหงษ์เต๋าเปิดตาของเขาขึ้น


 


“สารเลวเอ๊ย … ”


 


แม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาต้องการอย่างง่ายดาย แต่หวังหงษ์เต๋ากลับไม่เผยถึงความสุขใดๆออกมาเลย


 


เพราะเขาถึงขั้นลงมือสังหารคนทั้งหมด แต่ก็ยังไม่พบถึงคนที่กุมความลับของฉีหยานเอาไว้อยู่ดี!


 


งั้นอาจจะเป็นคนอื่นๆที่ยังรอดอยู่รึเปล่านะ?


 


ไม่ใช่เซ่าหวูชุ่ยแน่ๆ


 


หรือว่าจะเป็นเย่หยิงเหมย?


 


หรือสองสาวใช้ข้างกายของฉีหยาน?


 


อา หญิงสาวที่งดงามโดดเด่น … จะสังหารเลยทันทีคงไม่ดี อันดับแรกก็ลองทำการค้นวิญญาณแล้วเล่นสนุกกับพวกนางก่อนก็แล้วกัน


 


ไม่สิ จะทำแบบนั้นไม่ได้! สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการค้นหาพิกัดของโลกใหม่ต่างหาก!


 


นอกจากนี้ ไม่ว่าจะลองเทียบเปรียบอย่างไร โลกใหม่ก็ยังมีความสำคัญมากกว่าหญิงงาม 1-2 คนอยู่ดี


 


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หวังหงษ์เต๋าก็หยิบยันต์สื่อสารออกมาทันที เพื่อหมายจะเรียกตัวเย่หยิงเหมยมา


 


แต่แล้วจู่ๆเขาก็ต้องชะงักงันไป


 


ยันต์สื่อสารยังคงถูกกุมอยู่ในมือเขา ทว่ามันมิได้ถูกกระตุ้นออกไป


 


“โอ้ นั่นมันปรมาจารย์ตำหนักฉีมิใช่หรือ นานเท่าใดแล้วหนอ ที่พวกเรามิได้พบหน้ากัน?” หวังหงษ์เต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“นั่นสิ มิได้พบเจอกันนานเลยนะ อาวุโสหวัง” ฉีหยานกล่าว


 


ฉีหยานได้ปรากฏกายขึ้นตรงข้ามกับเขาไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป


 


‘นี่ฉีหยานบังเกิดความคิดริเริ่ม กล้าที่จะมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยตนเองอย่างงั้นหรือ!?’


 


ฉากนี้ มันได้เกินความคาดหมายของหวังหงษ์เต๋าไปแล้วโดยสิ้นเชิง


 


“ข้าละรู้สึกสงสัยจริงๆ ว่าด้วยกงการอันใดกันหนอ ที่ถึงขั้นทำให้เจ้าต้องมาหาข้าด้วยตัวเองเช่นนี้?” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยถาม


 


“ข้ามีบางสิ่งบางอย่างจะบอกกับเจ้า”


 


“สิ่งใดกระนั้นหรือ?”


 


“สองศิษย์ทรยศเจ้า”


 


“แล้วเจ้ามีอะไรมายืนยันคำกล่าวนี้?”


 


ฉีหยานหยิบสองสมบัติมนตราขึ้นมา และโยนมันออกไป


 


สมบัติมนตราลอยไปอย่างเฉื่อยชาเข้าหาหวังหงษ์เต๋า


 


หวังหงษ์เต๋าเพ่งมองมัน และกวาดแขนออกไปเบาๆ


 


สองสมบัติมนตราลอยอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย ทว่ามิได้เข้าไปถึงขั้นในระยะสัมผัส


 


หวังหงษ์เต๋าปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดมองพวกมันอย่างรอบคอบ


 


ทั้งสองสิ่งนี้เป็นของจริง


 


ว่าแต่ เหตุใดฉีหยานจึงได้แสดงเจตนาดีต่อเขาโดยการเปิดเผยข้อมูลของตนเองเช่นนี้ล่ะ?


 


“ขอบคุณมากปรมาจารย์ตำหนักฉี สำหรับเรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบด้วยตัวเองในภายหลัง … แล้วเจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”


 


“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ข้าอยากจะขอให้ท่านอาวุโสร่วมมือด้วย”


 


“เรื่องอันใด”


 


“ช่วยมอบชีวิตให้ข้าด้วย”


 


พอประโยคนี้เปล่งออกมา ก็พลันบังเกิดความเงียบงันขึ้นโดยรอบ


 


สองตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง จดจ้องไปยังฝ่ายตรงข้าม


 


ในมือของฉีหยานกำลังกุมดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่บนศีรษะสวมหมวกไม้ไผ่


 


ขอบของหมวกไม้ไผ่ถูกกดลงมาจนต่ำเกินควร จนทำให้ผู้ที่มองมา มิอาจเห็นถึงเค้าโครงหน้าที่แท้จริงของเขาได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม