Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 451-454

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.451 – เศษเสี้ยวรากฐานของโลก


 


ณ ตำหนักเจียงซี


 


นี่คือสถานที่ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดของนิกายถูกเก็บรวบรวมเอาไว้


 


ในส่วนที่ลึกเข้าไปในห้องสมุด


 


กู่ฉิงซานได้ใช้ตราประทับของเซ่าหวูชุ่ยทำการเปิดห้องลับ


 


เขานำฉานนู่ ฉินรั่ว และว่านเอ๋อเข้ามาพร้อมกัน


 


เห็นแค่เพียงใบหยกหลายสิบแถวที่ถูกจับแยกเป็นประเภทต่างๆ จัดวางเรียงๆกันไว้อยู่ภายในห้องนี้


 


กล่าวได้ว่าวิชาลับของตลอดทั้งนิกายได้ถูกนำมารวมกันไว้ที่นี่


 


ในสถานที่ซึ่งอยู่ในความดูแลของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋ามานานนับพันปี


 


ขณะที่ยามปกติแล้ว เขามักจะให้ลูกศิษย์ของตน หรือก็คือ เซ่าหวูชุ่ยเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลพื้นที่แห่งนี้


 


หากผู้อื่นหมายจะเข้ามา มันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้


 


ครั้งหนึ่งฉีรั่วหยาก็เคยต้องการจะเข้ามาที่นี่เช่นกัน แต่เขาก็ถูกขวางไว้โดยหวังหงษ์เต๋าเสียก่อน


 


ส่วนเหตุผลที่หวังหงษ์เต๋ายกมาอ้างก็คือ ตนกำลังจัดโครงสร้างใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับการส่งต่อเหล่าเทคนิคลับให้แก่รุ่นต่อๆไป


 


แต่เมื่อฉีรั่วหยาไม่ยอม หวังหงษ์เต๋าก็กล่าวหาฉีรั่วหยาว่าช่างละโมบ คิดจะเอาวิชาลับของเขาไปล่ะสิ


 


-ฉีรั่วหยาคือผู้นำนิกายกวงหยาง มีสถานะใกล้เคียงกันกับหวังหงษ์เต๋า แต่เขากลับถูกกล่าวหาต่อหน้าสาธารณชน จนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายจึงต้องยอมถอยออกมาอย่างไม่เต็มใจ


 


ตั้งแต่นั้นมา ก็แทบจะไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้เลย


 


แต่ในเวลานี้ กู่ฉิงซานกลับสามารถเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ชนิดที่เรียกได้ว่าหากปูพรมแดงได้ ก็คงจะมีคนมาปูให้เขาในระหว่างทางที่ก้าวเดินแล้ว


 


ภายในห้องลับ


 


กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะไปทั่วพื้นที่ทั้งหมด และในหัวใจของเขาก็บังเกิดความตระหนักชัด


 


ใบหยกแถวแรก มีทั้งสิ้น 73 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับการปรับแต่งยันต์เอาไว้


 


แถวที่สอง มีทั้งสิ้น 96 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับหวูเต๋ากุ่ยชั่ง(หวนคืนไร้ลักษณ์)เอาไว้


 


แถวที่สาม มีทั้งสิ้น 31 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับเทคนิคลับของธาตุทอง


 


แถวที่สี่ มีทั้งสิ้น 164 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับค่ายกล


 


……


 


เวลามีจำกัด และหวังหงษ์เต๋าก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่


 


แต่เซ่าหวูชุ่ยก็รับประกันไว้ว่า หวังหงษ์เต๋าจะไม่กลับมาภายในครึ่งวันนี้


 


อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็ยังมีหวาดระแวงอยู่ในจิตใจ


 


เขามิได้เชื่ออีกฝ่าย 100 %


 


ดังนั้น เพื่อที่จะประหยัดเวลาให้มากขึ้น กู่ฉิงซานจะต้องเริ่มเร่งมือให้เร็วที่สุด โดยการแบ่งหน้าที่กัน


 


“ฉินรั่ว สายตาของเจ้าหลักแหลมเสมอมา ดังนั้นเจ้าจงมาช่วยกันเลือกใบหยกที่บันทึกค่ายกลพร้อมกับข้า ข้าจะต้องเร่งดูพวกมันในตอนนี้ทันที”


 


“เจ้าเองก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลด้วยอย่างงั้นหรือ?” ว่านเอ๋อเอ่ยขัดด้วยความอยากรู้


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า ขณะที่ในหัวใจของแอบพูดออกมาว่า ‘เป็นสิ … ในเร็วๆนี้น่ะนะ’


 


“เข้าใจแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเลือกเอง”


 


แม้จะยังมีข้อสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ฉินรั่วก็ตอบรับคำทันที


 


ทั้งเธอและว่านเอ๋อต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติ


 


ดังนั้นสายตาในการมองวิชาลับของเธอ ย่อมต้องเป็นของแท้อย่างแน่นอน


 


“งั้นข้าก็จะช่วยด้วย!”


 


ว่านเอ๋อพูดออกมาอย่างตื่นเต้น


 


กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และนำใบหยกขนาดใหญ่ที่ภายในว่างเปล่าออกมา ยัดลงในมือว่านเอ๋อ


 


“ไม่ได้หรอกว่านเอ๋อ เจ้ามีงานอื่นที่ต้องทำอยู่นะ – ตอนนี้พวกเรายังไม่มีคนที่จะคอยทำหน้าที่คัดลอกวิชาลับทั้งหมดเลย ฉะนั้นเจ้าจะต้องรับหน้าที่นี้ไป หน้าที่นี้ยิ่งใหย่และสำคัญยิ่ง ข้าจะให้ฉานนู่ช่วยเจ้าด้วย”


 


“เข้าใจแล้ว ข้าทราบถึงภาระที่ต้องแบกรับนี้ดี”


 


ว่านเอ๋อตอบแบบกัดริมฝีปากตนเอง แล้วเดินแยกไปอีกทางกับฉานนู่


 


เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าหญิงสาวทั้งสามเริ่มวุ่นอยู่กับหน้าที่ของตนเองแล้ว กู่ฉิงซานก็กำลังเตรียมที่จะทำการเรียนรู้ศาสตร์เกี่ยวกับค่ายกลบ้าง


 


ทว่าเขาแค่เพียงเดินออกไปหนึ่งก้าว ก็กลับได้ยินเสียง ‘ติ๊ง!’ ขึ้นทันใด


 


ระบบได้กลับมาตอบสนองอีกครั้งแล้ว!


 


กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าทันที


 


ตั้งแต่ครั้งล่าสุดคือช่วงเวลาที่ทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆระบบก็เงียบลง ไม่ตอบสนองใดๆ ราวกับว่าเขาไม่อาจเชื่อมต่อกับมันได้เลย


 


แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าระบบจะกลับมาแล้ว!


 


“เป็นยังไงบ้าง ยังปกติดีอยู่ใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามในทันใด


 


“ขอบใจที่เป็นห่วง ถึงแม้ว่ามันจะอันตรายไปบ้าง แต่ฉันก็ได้ทำการสำรวจรากฐานแหล่งกำเนิดของโลกจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว”


 


ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


“เอาล่ะ เชิญดูที่หน้าจอได้เลย”


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏหลากเส้นแสงตัวอักษรเด้งเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


 


“จากการที่ได้ลองพยายามที่จะสัมผัสถึงรากฐานของโลกใบนี้”


 


“ฉันได้ค้นพบว่ากฏเกณฑ์ของโลกใบนี้เกือบจะถูกกลืนกินไปจนเกือบจะสิ้นแล้วโดยสมบูรณ์”


 


“และหลังจากที่ทำการประเมินกว่า 391 ครั้ง ก็สามารถสรุปได้ว่ารากฐานของโลกใบนี้ไม่เพียงพอที่จะสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ได้”


 


“พิจารณาจากในมุมมองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน คุณจึงมีอยู่สองทางเลือก ดังต่อไปนี้”


 


“หนึ่ง : ล้มเลิกเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ชั่วคราว และเฝ้ารอจนกว่าคุณจะเดินทางไปยังโลกอื่น แล้วจึงค่อยใช้รางวัลแลกเปลี่ยนกับพลังศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง”


 


“สอง : ล้มเลิกเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพไปเลยถาวร โดยใช้ประโยชน์จากรากฐานที่หลงเหลืออยู่ของโลกใบนี้ เพื่อทำการ ‘บังคับวิวัฒนาการ’ – ยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองอยู่ไปอีกขั้นหนึ่ง”


 


กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านคำแนะนำทั้งหมดอย่างรวดเร็ว


 


แล้วเขาก็รำพึงในความคิดออกมา “รากฐานของโลกใบนี้เกือบทั้งหมดได้ถูกกลืนกินไปแล้วโดยมารโลกาอย่างนั้นหรือ?”


 


“ใช่ รากฐานที่ว่านั่นแทบจะว่างเปล่าแล้ว มันหลงเหลืออยู่อีกเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น” ระบบตอบกลับ


 


“แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้กันล่ะ ถ้าหากกฏเกณฑ์ทั้งหมดของโลกได้หายไปโดยสมบูรณ์?”


 


“โลกทั้งใบก็จะล่มสลาย”


 


สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย “เช่นนั้นแล้ว ยังคงเหลือเวลาอีกนานเท่าใดกันกว่าที่โลกจะล่มสลาย?”


 


“มันเป็นเรื่องยากที่จะกล่าว กระบวนการทำลายของโลกนั้นค่อนข้างซับซ้อน มันอาจจะอีกซักราวๆ 2-3 วันนับจากนี้ หรือไม่อย่างมากที่สุดก็ 7 วัน”


 


เจ็ดวัน!


 


แถมยังไม่แน่นอน บางทีโลกอาจจะถูกทำลายลงในเวลาใดก็ได้!


 


เวลามันจะกระชั้นชิดเกินไปแล้ว!


 


กู่ฉิงซานฝืนบังคับตนเองให้สงบลง


 


เขาเอ่ยถามอย่างช้าๆ “แล้วถ้าหากข้าใช้รากฐานของโลกที่เหลืออยู่ ในการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง มันจะมีอิทธิพลใดๆต่อโลกใบนี้หรือไม่?”


 


“ไม่หรอก การล่มสลายของโลกใบนี้น่ะมันได้เกิดขึ้นแล้ว และเศษเสี้ยวเล็กๆที่ว่านั่น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยรวมต่อสถานการณ์ทั้งหมด”


 


กู่ฉิงซาน เอ่ยออกมาทันทีว่า “งั้นก็ดี เช่นนั้นข้าขอเลือกที่จะใช้เศษเสี้ยวอำนาจของรากฐานจากโลกใบนี้มายกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์”


 


“รับทราบ” ระบบตอบกลับ


 


แล้วอีกเส้นบรรทัดแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง


 


“รางวัลจากภารกิจพิเศษ : ‘หวูซานจะต้องตาย’ ได้ถูกใช้งานแล้ว”


 


“เริ่มทำการดึงข้อมูลพลังศักดิ์สิทธิ์ของคุณที่สามารถยกระดับได้”


 


“มีเพียงพลังศักดิ์สิทธิ์เดียวของคุณเท่านั้นที่สามารถยกระดับได้”


 


“พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถยกระดับได้ของคุณก็คือ : สายฟ้าเล่ยเดี๋ยน”


 


“สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรก : สูญสิ้นการควบคุม , เรียนรู้แล้ว”


 


“สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง : ไม่ยอมอ่อนข้อ , เรียนรู้แล้ว”


 


“คุณสามารถวิวัฒนาการพลังศักดิ์สิทธิ์ : สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนเป็นขั้นสามได้”


 


“คุณต้องการที่จะใช้เศษเสี้ยวพลังจากรากฐานของโลกล่องเวหาใบนี้ วิวัฒนาการพลังศักดิ์สิทธิ์ : สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนหรือไม่”


 


กู่ฉิงซานกล่าวทันทีอย่างไม่ลังเล “ต้องการ”


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ความมืดมิดค่อยๆจางหายไป


 


ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพก็เช่นกัน


 


กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


ก็มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนี่นา


 


ไม่ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาอาจจะได้รับจากการสกัดมันจะทรงพลังเพียงใด แต่หากยังไม่สามารถใช้ได้ในทันที มันก็เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น


 


แต่ตอนนี้ เขาจำเป็นต้องคว้าพลังอำนาจทั้งหมดที่มีเอาไว้ในมือ!


 


เพราะนี่คือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด!


 


เมื่อแถบภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ได้หายไป ก็ปรากฏรังสีแสงเข้ามาแทนที่


 


รังสีแสงนี้ปกคลุมไปตลอดทั้งหน้าต่างระบบ และเริ่มทำการแปรเปลี่ยนรูปร่างอย่างต่อเนื่อง


 


เมื่อกู่ฉิงซานจ้องมองรูปร่างของรังสีแสง มันก็นิ่งงันไปในทันที


 


“เริ่มแล้วนะ”


 


ระบบแจ้งเตือน


 


เห็นแค่เพียงกลุ่มแสงสีน้ำเงินสามกลุ่มลอยขึ้นมาจากรังสีแสงที่ว่านั่น


 


สามกลุ่มแสงลอยมาหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน


 


“ร้องขอให้ผู้เล่นเลือกหนึ่งในสามตัวเลือกนี้ เพื่อทำการบรรลุการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล๋ยเดี๋ยน โดยสมบูรณ์”


 


“โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ว่านี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 3 และมันได้มาสัมผัสถึงขีดสุดของกฏเกณฑ์แล้ว แต่ละตัวเลือกที่มีค่อนข้างที่จะทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น โปรดทำการเลือกอย่างระมัดระวังด้วย”


 


ระบบแจ้งเตือนอีกครั้ง


 


“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ


 


เขาเริ่มจากมองไปยังกลุ่มแสงกลุ่มแรกก่อน


 


ทันใดนั้นในสายตาของเขา ใกล้กับกลุ่มแสง ก็บังเกิดตัวอักษรหิ่งห้อยขนาดเล็กหลายบรรทัดปรากฏขึ้นทันใด


 


“พันโลกาฟาดผ่าอสูรกาย : เมื่อใช้สกิลนี้ การโจมตีในครั้งต่อไปของคุณ จะสามารถสร้างความเสียหายแก่เผ่ามารหรืออสูรกายได้เพิ่มขึ้นถึง 1000%”


 


“คำอธิบาย : สายฟ้าเล๋ยเดี๋ยนประกอบไปด้วยพลังของ ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ และหากพลังศักดิ์สิทธิ์ในขั้นที่ 3 ของเล่ยเดี๋ยนถูกเปิดใช้งาน คุณก็จะสามารถบีบอัดพลังของ ‘พันโลกา ฟาดผ่าอสูรกาย’ แล้วระเบิดมันออกมาได้ 1 ครั้ง”


 


สร้างความเสียหาย 1000%! นี่เป็นการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังมากจริงๆ!!


 


กู่ฉิงซานเมื่ออ่านคำอธิบาย เขาถึงขั้นต้องขยี้ตาตัวเอง แต่แล้วสุดท้ายก็ต้องส่ายศีรษะอยู่ดี


 


เพราะเวลานี้เขาจะต้องรับมือกับสิ่งใด? … เขาจะต้องรับมือกับหวังหงษ์เต๋าไง!


 


หวังหงษ์เต๋าคือการดำรงอยู่ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต —เขามิใช่เผ่ามารหรืออสูรกาย!!


 


หากเลือกพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันจะไม่ช่วยเพิ่มโอกาสให้กู่ฉิงซานรอดชีวิตจากในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ไปได้เลยแม้แต่น้อย


 


คงต้องยอมทำใจทิ้งมันไปเท่านั้น


 


หากเวลาไม่กระชั้นชิดมากเกินไป แล้วเปลี่ยนเป็นอยู่ในสถานการณ์อื่น กู่ฉิงซานอาจจะเก็บมันมาพิจารณาอย่างรอบคอบอีกสักหนึ่งหรือสองครั้งก็ได้


 


เขาทำใจสักพัก ก่อนจะเบนสายตาไปมองกลุ่มก้อนแสงที่สอง


 


“จิตสายฟ้า ปราณสัมผัสสวรรค์ : นี่คือกฏเกณฑ์ทั้งหมดของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน คุณจะสัมผัสได้ถึงโชคชะตาที่ไม่รู้จัก และสามารถตระหนักรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นชั่วขณะในระหว่างการต่อสู้”


 


“คำอธิบาย : พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มิใช่เป็นเพียงประเภทพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทพยากรณ์เท่านั้น แต่มันยังเป็นลางสังหรณ์ที่เหมาะสมยิ่งสำหรับการต่อสู้  มันจะช่วยหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตรายร้ายแรงถึงตายได้”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันก็คล้ายคลึงกันกับสัญชาตญาณในการต่อสู้


 


หากคุณเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ คุณก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลในการต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่มีระดับเท่าเทียมกัน


 


แต่น่าเสียดาย … ที่บังเอิญว่าศัตรูที่ต้องเผชิญ มันดันมีระดับเหนือยิ่งกว่าเขาอยู่หลายขุม


 


ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์นี้คอยช่วยเหลือ กู่ฉิงซานก็ไม่รู้สึกว่าตัวเขาเองจะสามารถล่วงรู้การกระทำล่วงหน้าของคู่ต่อสู้ และโค่นล้มอีกฝ่ายลงได้เลย


 


กู่ฉิงซานจึงเหลือบมองไปยังกลุ่มแสงก้อนสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่


 


“ตัดขาดการเชื่อมต่อ : หลังจากที่คุณโจมตีด้วยสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนแล้ว สติของฝ่ายตรงข้ามจะถูกตัดขาดออกไปจากร่างกาย และจะกลับคืนมาเมื่อผ่านพ้นไป 3 วินาที”


 


“คำอธิบาย : นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกยกระดับขึ้นจาก ‘สูญสิ้นการควบคุม’ และ ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ’ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่ได้รับการยกเว้น”


 


“คำอธิบาย : พลังวิญญาณที่จำเป็นต้องจ่ายในการใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มหาศาลจนน่าใจหาย ดังนั้นหากคิดจะใช้มัน โปรดไตร่ตรองให้ดีด้วย”


 


“หมายเหตุพิเศษ : เนื่องเพราะคุณได้ทำการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทเดียวกันนี้มาในสองระดับแรก ดังนั้น คุณจึงโชคดีที่ได้รับสิทธิที่จะสามารถยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ในขั้นสามได้”


 


กู่ฉิงซานมองไปยังพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สาม ทั้งคนทั้งร่างชะงักงันไปเล็กน้อย


 


3 วินาที …


 


3 วินาที!!!


 


เขาเอ่ยถามระบบอย่างเร่งร้อน “ระบบ แล้วถ้าหากฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าฉันหลายเท่าล่ะ พลังศักดิ์สิทธิ์นี้จะยังคงทำงานรึเปล่า?”


 


“ระบบเหนื่อยมากแล้วตอนนี้ เชิญไปอ่านคำแนะนำด้วยตัวคุณเองเถอะ”


 


“งั้นฉันจะเลือกตัดขาดการเชื่อมต่อ”


 


“คุณมั่นใจใช่หรือไม่”


 


“มั่นใจเต็มร้อยเลย”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.452 – วิญญาณสถิต


 


ด้วยการเลือกของกู่ฉิงซาน ตัวระบบจึงได้บังเกิดเสียงดังฟังชัดขึ้น


 


ติ๊ง!


 


“คุณได้เลือกทิศทางการวิวัฒนาการพลังศักดิ์สิทธิ์ของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนแล้ว , พลังศักดิ์สิทธิ์ในขั้นที่สอง : ไม่ยอมอ่อนข้อ กำลังจะถูกยกระดับในไม่ช้า”


 


“คุณได้เลือกพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สาม : ตัดขาดการเชื่อมต่อ”


 


สิ้นประโยคนี้ รังสีแสงยาวเหยียดบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็หายไป


 


ขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของกู่ฉิงซานเริ่มทำการยกระดับขึ้น


 


“ผู้เล่นได้ทำการยกระดับพลังของ ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ , ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ : ตัดขาดการเชื่อมต่อ”


 


“ตัดขาดการเชื่อมต่อ : หลังจากที่คุณโจมตีด้วยสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนแล้ว สติของฝ่ายตรงข้ามจะถูกตัดขาดออกไปจากร่างกาย และจะกลับคืนมาเมื่อผ่านพ้นไป 3 วินาที”


 


กู่ฉิงซานยื่นมือของไป และสัมผัสเบาๆลงบนไหล่ของฉานนู่และว่านเอ๋อ


 


ทว่าฉานนู่กลับไม่มีปฏิกริยาใดๆ เธอเพียงแค่หันมาถามว่า “นี่คือสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนหรือ?”


 


“ใช่ เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทสายฟ้า” กู่ฉิงซานตอบ


 


ขณะเดียวกัน ว่านเอ๋อกลับนิ่งงันไม่ไหวติงอยู่ในสถานที่เดิม


 


“ครบเวลาแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


แล้วว่านเอ๋อก็พลันได้สติกลับคืน


 


“เอ๋? เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้นกับข้า?” เธอเอ่ยออกมาด้วยความสับสน


 


ฉินรั่วที่เห็นถึงเรื่องราวตั้งแต่ต้น ก็ค้นพบเบาะแสได้อย่างง่ายดาย เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากที่นายน้อยยกระดับขึ้น เขาอาจจะได้เรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง เลยทดลองใช้มันกลั่นแกล้งเจ้าเล็กๆน้อยๆน่ะ”


 


ว่านเอ๋อเอ่ยถามต่อทันที “เมื่อครู่ที่ข้าเหม่อลอยไป เวลามันผ่านพ้นไปเท่าใดกัน?”


 


“มันก็ไม่นานนักหรอก เพียงแค่ครึ่งลมหายใจเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ตั้งครึ่งลมหายใจเชียวหรือ!” ว่านเอ๋อหน้าเปลี่ยนสี


 


ต้องไม่ลืมนะว่าเธอเป็นถึงผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตพันวิบัติ จึงตระหนักดีว่า ในช่วงเวลาครึ่งลมหายใจนั้น ผู้ฝึกดาบน่าหวาดกลัวเพียงใด


 


ฉินรั่วถอนหายใจ ปากเอ่ยสรรเสริญ “ไม่คาดคิดเลยว่านายน้อยจะสามารถได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้ หากเป็นในกรณีนี้ โอกาสรอดชีวิตของพวกเราคงจะเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว”


 


กู่ฉิงซานรับรู้ได้ถึงพลังของเล่ยเดี๋ยนในร่างกายที่เพิ่มพูนขึ้น แม้ตนจะรู้สึกสุขใจ แต่ก็กังวลใจในขณะเดียวกัน


 


สุขใจที่ว่านั่นก็คือ ถึงแม้ว่าตนจะไม่สามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ขึ้นมาได้ แต่ก็สามารถควบคุมเวลาของศัตรูได้เพิ่มขึ้นมากถึง 3 วินาที ซึ่งกู่ฉิงซานคิดว่า ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อนี้’ มันไม่ได้เลวร้ายไปกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ชนิดอื่นที่มีให้เลือกเลย


 


สำหรับผู้ฝึกดาบแล้ว 3 วินาทีนับว่ายาวนานยิ่ง


 


อย่างเช่นตัวของกู่ฉิงซาน 3 วินาทีเขาสามารถฟันออกด้วย 7 ดาบ และปลุก7ดารา มังกรแหวกธาราขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย


 


ในอนาคต ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ จะกลายมาเป็นพลังสำคัญ -เป็นไพ่ตายชั้นยอดที่จะเบ่งบานในการต่อสู้ภายภาคหน้าอย่างแน่นอน


 


ส่วนกังวลใจที่ว่านั่นก็คือ กระบวนท่านี้มันกินพลังวิญญาณมากเกินไป


 


การใช้ออกด้วย ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ สำหรับสองคนเมื่อครู่ มันได้กินพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานไปทันทีถึง 30 %!


 


และอย่าลืมนะว่าตอนนี้เขาคือผู้ฝึกยุทธในขอบเขตประทับเทพ!


 


พลังวิญญาณที่จำต้องจ่ายออกเพื่อใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้มากมายจริงๆ ซึ่งมันไม่สะดวกเลยสำหรับการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ


 


ดังนั้น ในยามที่คิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันคงจะเป็นการดีกว่าหากเร่งแก้ปัญหาโดยการจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด


 


กู่ฉิงซานพยายามสงบใจ ระลึกย้อนไปถึงสกิลที่ตนเองมีอีกครั้ง


 


นอกเหนือไปจากสกิลดาบ เขามีสกิลเป็นของตัวเองอยู่เพียง 4 เท่านั้น


 


เริ่มจาก ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ , ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ , ‘ร่างเงาแทนที่’ และสุดท้าย ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’


 


—และจากนี้ไปในไม่ช้า เขาก็จะเริ่มสร้างรูปแบบสกิลเหล่านี้เข้าด้วยกัน ให้มันกลายเป็นกระบวนท่าต่อเนื่อง!


 


กู่ฉิงซานหันไปเอ่ยกับสามสาว “เรามาเริ่มงานกันต่อเถอะ”


 


สามสาวตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มทำการเลือกหยิบใบหยก


 


ส่วนกู่ฉิงซานก็ได้เดินไปยังชั้นวางที่จัดเรียงไปด้วยใบหยกที่บันทึกเกี่ยวกับค่ายกล และนิ่งไป


 


เขาลองสุ่มหยิบมันขึ้นมามั่วๆ และพบว่าระดับความยากง่ายของค่ายกลนั้น ได้ถูกจัดเรียงเอาไว้ตามใบหยก เริ่มจากใกล้ที่คือง่าย ไล่ไปเรื่อยๆเป็นกลาง และยาก ตามลำดับ


 


กู่ฉิงซานจึงเลือกใบหยกที่บันทึกค่ายกลที่ง่ายที่สุดขึ้นมา และเริ่มที่จะทำการเรียนรู้มันอย่างรวดเร็ว


 


“ปัจจุบันนี้ ภายในใบหยกมีองค์ประกอบสำคัญ‘ขั้นพื้นฐาน’ในการจัดตั้งค่ายกล และเก้าชุดค่ายกลพื้นฐาน หากต้องการที่จะเรียนรู้มันโดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณ … คุณต้องการที่จะเรียนรู้มันหรือไม่?”


 


“เรียนรู้”


 


กระแสไอร้อนหลั่งไหลผ่านใบหยกเข้ามาในกายของกู่ฉิงซาน และสุดท้ายก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ


 


กู่ฉิงซานหลับตาลงครู่หนึ่ง เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญขั้นพื้นฐานในการตั้งค่ายกล


 


ไม่นานนัก เขาก็ลืมตาขึ้น


 


จากนั้นก็วางใบหยกในมือลง และเริ่มหยิบใบหยกชิ้นต่อไปขึ้นมา


 


“ปัจจุบันนี้ คือใบหยกที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ‘ขั้นต้น’ในการจัดวางค่ายกล และห้าชุดค่ายกลขั้นต้น หากต้องการที่จะเรียนรู้มันโดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องจ่าย 300 แต้มพลังวิญญาณ … คุณต้องการที่จะเรียนรู้มันหรือไม่?”


 


“เรียนรู้”


 


กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มพยายามทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการจัดตั้งค่ายกลอีกที


 


กล่าวได้ว่าการใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้มันช่างรวดเร็วอย่างแท้จริง แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ดีซะทีเดียวนั่นก็คือ-


 


—สิ่งที่ต้องจ่ายออกมันสูงค่ามากเกินไป


 


เพียงแค่การเรียนรู้ค่ายกลพื้นฐานและขั้นต้น กู่ฉิงซานก็จ่ายออกไปแล้วกว่า 500 แต้มพลังวิญญาณ


 


หากคิดจะเดินทางสายนี้ บอกเลยว่ามันไม่ง่ายซะทีเดียว


 


ต้องรู้นะว่าในโลกแห่งการฝึกยุทธน่ะ ค่ายกลคือหนึ่งในสองจากหกศิลป์ที่ศึกษาเรียนรู้ได้ยากเย็นที่สุด


 


มิฉะนั้นแล้ว ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ปรมาจารย์ค่ายกลอย่างกงซุนซีคงไม่ได้รับเกียรติให้ขึ้นเป็นนายพลชั้นติงหยวนหรอก


 


แม้กระทั่งในโลกใบนี้ ปรมาจารย์ค่ายกลก็ยังเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมมากที่สุด


 


กู่ฉิงซานจ้องมองดูแต้มพลังวิญญาณของตนเอง


 


“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 1103/400”


 


และคงจำเป็นที่จะต้องใช้งานมันต่อไป


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและเริ่มหันไปหยิบใบหยกชิ้นต่อไปอีกครั้ง


 


ทว่าเนื้อหาที่บันทึกไว้ในใบหยกเบื้องหน้านี้มันลึกซึ้งมากเกินไป มันไม่สอดคล้องและเหมาะสมที่จะเรียนรู้กับทักษะการจัดตั้งค่ายกลในปัจจุบันของเขา


 


เขาจึงวางใบหยกในมือลง และเริ่มที่จะทดลองหยิบใบหยกชิ้นอื่นดูแบบมั่วๆขึ้นมาอีกรอบ


 


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆกู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง และตบหัวตัวเองด้วยความโกรธทันที


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อยังคงเฝ้ารอให้ตนช่วยพวกเธอปลดพันธนาการโซ่ตรวนอยู่นี่นา


 


ถ้าหากสามารถแก้โซ่ตรวนที่พันธนาการเอาไว้ได้ พวกเธอก็จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติทันที!


 


และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องจัดการกับหวังหงษ์เต๋า หากมีพวกเธอคอยช่วยเหลือ มันคงจะเป็นกำลังรบที่ดีไม่เลวเลย


 


-อย่างน้อยก็ยังดีกว่าให้ตัวเขาต้องต่อสู้เพียงลำพัง


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่คิดทำการเรียนรู้ค่ายกลอีกต่อไป


 


“ ‘วิชาต้องห้าม’ ตอนนี้ข้าต้องมองหาใบหยกที่บันทึกวิชาต้องห้ามที่ใช้พันธนาการวิญญาณ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ


 


ณ ขณะนั้นเอง ฉานนู่ก็มองมาทางเขา


 


“นายน้อย มีใครบางคนกำลังเฝ้ามองท่านอยู่” ฉานนู่กล่าว


 


“มีคน? กำลังเฝ้ามองข้า?”


 


กู่ฉิงซานแข็งค้างไป


 


สถานที่แห่งนี้คือห้องลับ แล้วคนอื่นๆจะมาได้อย่างไรกัน?


 


เห็นแค่เพียงฉานนู่ที่กำลังถือใบหยก และโยนมันมายังเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


ในขณะเดียวกัน ร่างเงาร่างหนึ่งก็ผุดออกมาจากใบหยกที่ว่า


 


มันเป็นร่างเงาของผู้ฝึกยุทธที่มีหนวดเครายาว ขณะเดียวกันก็ให้บรรยากาศเก่าแก่


 


กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว


 


นั่นมันคือจิตวิญญาณนี่นา


 


—จิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลัง


 


หากผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งตกตายลงอย่างไม่ยินยอม จิตวิญญาณของพวกเขาจะยังคงอยู่ในโลกใบนี้ และคอยมองหาสิ่งของที่เกี่ยวข้องทางใจเป็นที่สถิต และไม่เต็มใจที่จะไปเกิดใหม่


 


และหากจิตวิญญาณทรงพลีงที่ว่านั่น ยังคงดำรงอยู่ในโลกด้วยหัวใจที่ยึดติดอยู่กับสิ่งหนึ่ง มันย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ทั้งกับจิตวิญญาณของตนเองและโลกใบนี้


 


เหมือนดั่งเช่นอุปกรณ์ต่างๆในนิกายร้อยบุปผา ที่กองทิ้งๆรวมกันไว้ในภูเขา


 


และฉินเซี่ยวโหลวเองก็รำคาญสิ่งเหล่านั้นมากที่สุด


 


เพราะสำหรับพวกจิตวิญญาณแล้ว ตราบใดที่สามารถใช้เทคนิคมนตราพิเศษได้ มันก็จะสามารถพึ่งพาวัตถุนั้นๆเป็นสื่อกลาง เพื่อยึดเป็นที่สถิต


 


และเมื่อมีใครบางคนสัมผัสถึงสิ่งที่ว่านั่น วิญญาณที่สถิตอยู่ก็จะฉวยโอกาสเข้ามาสิงสู่ร่างกายของอีกฝ่าย จากนั้นก็ทำการยื้อยุทธกับจิตวิญญาณของผู้ที่สัมผัส เพื่อยึดครองร่างกายของเขา


 


มีตัวอย่างมากมาย ดั่งเช่นว่า บางคนที่เป็นเพียงคนธรรมดา แต่พอได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัตถุเหล่านั้นเข้า  จู่ๆก็พรวดทะยานขึ้นกลายเป็นตัวตนอันแข็งแกร่ง จนทั้งโลกต่างก็ต้องตกตะลึง


 


ทั้งๆที่ในความเป็นจริง … เขาได้ถูกยึดครองร่างกายไปตั้งนานแล้ว


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


กู่ฉิงซานส่งเสียงถามฉานนู่อย่างแผ่วเบา


 


“ข้าบังเอิญไปพบค่ายกลโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่งเข้า และข้าเองก็ดันอยากรู้อยากเห็นเล็กๆน้อยๆ จึงเข้าไปดูมัน แล้วได้พบกับใบหยกชิ้นนี้” ฉานนู่กล่าว


 


ฉานนู่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘แหกกฏ’ อยู่ในร่างกาย ซึ่งมันสามารถแหกทุกกฏเกณฑ์ของตลอดทั้งหมื่นโลกาได้ ดังนั้นการโจมตีจากค่ายกลจึงไม่ทำงานกับเธอ


 


“ยังมิได้ให้เขาสัมผัสกับฉินรั่วหรือว่านเอ๋อใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ไม่นะ ข้าระมัดระวังพอตัวอยู่แล้ว” ฉานนู่ถือใบหยกและกล่าว


 


เช่นนั้นก็ดี พอได้ฟังหัวใจของกู่ฉิงซานก็คลายลงเล็กน้อย


 


แม้ตัวฉินรั่วและว่านเอ๋อจะมีพื้นฐานวรยุทธสูงส่ง แต่พวกเธอก็ถูกผนึกพลังอยู่ หากถูกสิงเข้าคงจะลำบากไม่น้อย


 


ขณะที่ฉานนู่แตกต่างออกไป


 


เนื่องด้วยตัวเธอนั้นเป็นจิตแห่งดาบ จึงไม่มีใครที่จะสามารถยืดครองเธอได้


 


—ก็ผีมนุษย์ตนใดกันเล่าที่จะยินยอมให้ตนกลายเป็นดาบแล้วให้ผู้อื่นคอยใช้สอย?


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.453 – ดาบคู่เอกลักษณ์


 


เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธเครายาวที่ผุดออกมาจากใบหยกและทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา


 


สายตาของเขากวาดผ่านฉินรั่วและว่านเอ๋อ สุดท้ายจึงมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานเพ่งพิจารณาเขา แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็เช่นกัน แล้วทั้งสองก็บังเกิดความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในจิตใจ


 


‘ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้ฝึกดาบ’


 


นี่คือการรับรู้ได้โดยจิตสำนึก ที่แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่มีชีวิตหรือผ่านพ้นตกลงสู่ความตายไปแล้วก็ตามที แต่หากผู้ฝึกดาบมองกันและกัน ก็จะเข้าใจถึงสถานะของอีกฝ่ายได้โดยปริยาย


 


ผู้ฝึกดาบเครายาวที่ลอยอยู่ตรงกันข้ามพยักหน้ายืนยันในการตัดสินใจของตนเอง


 


ขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นของกู่ฉิงซานเริ่มเพิ่มพูนขึ้น


 


“ข้าใคร่ขอเรียนถามถึงนามของท่านผู้ทรงเกียรติจะได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้น เอ่ยถามไปยังอีกฝ่าย


 


“เฉียนซานเย่” ผู้ฝึกยุทธเครายาวกล่าว


 


‘ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก ดูเหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน … ’


 


กู่ฉิงซานค่อยๆย้อนระลึกความทรงจำไปอย่างช้าๆ แล้วก็สามารถจดจำถึงที่มาของชื่อๆนี้ได้ในที่สุด


 


นี่คือชื่อของบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายกวงหยาง!


 


หรือกระทั่งในโลกใบนี้ นาม ‘เฉียนซานเย่’ ก็ยังเปรียบดั่งตัวแทนของตำนาน!


 


ดาบคู่เอกลักษณ์ เฉียนซานเย่


 


เมื่อหลายพันปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่มารโลกายังมิได้ปรากฏตัวขึ้นบนโลกใบนี้


 


ในช่วงเวลานั้น ดวงอาทิตย์ จันทรา และผืนโลก ทุกสิ่งอย่างยังคงมีอยู่


 


ทุกชนิดของตัวตนอัจฉริยะที่โดดเด่นในศาสตร์แขนงต่างๆปรากฏขึ้นออกมาอย่างไม่รู้จบ


 


ในครั้งเมื่อช่วงเวลาที่ทุกนิกายเข้าร่วมประลองการต่อสู้ เฉียนซานเย่แห่งนิกายกวงหยางที่ถือดาบในมือ เผยยิ้มอย่างภาคภูมิต่อหน้าเหล่าฝูงชนที่กำลังรับชม และไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่จะต่อกรกับเขาได้


 


ในยุคสมัยนั้น ด้วยการดำรงอยู่ของเฉียนซานเย่ ส่งผลให้นิกายกวงหยางได้ทะยานขึ้นมามีสถานะสูงสุดหากเทียบเปรียบกับนิกายอื่นๆทั้งหมด!


 


มันเป็นปีที่รุ่งโรจน์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายกวงหยาง


 


“ท่านเป็นผู้นำรุ่นที่เก้าของนิกาย เฉียนซานเย่ กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


 


เฉียนซานเย่เหลือบมองเขาวูบหนึ่ง ปากเอ่ยรับ “เป็นข้า”


 


“ผู้น้อยฉีหยาน เป็นปรมาจารย์ตำหนักในรุ่นนี้ – ว่าแต่เพราะเหตุใดท่านผู้นำเฉียนจึงได้มาอยู่ที่นี่กัน?”


 


กู่ฉิงซานแสดงท่าทีนอบน้อม ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


เฉียนซานเย่ส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับว่ากำลังรู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องมองย้อนกลับไปในช่วงอดีตที่ผ่านพ้นมา


 


เขาถอนหายใจและเอ่ยออกมาในที่สุด “เมื่อ 1500 ปีก่อน หวังหงษ์เต๋าคารวะข้าเป็นอาจารย์ และฝึกยุทธอยู่กับข้าเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 300 ปี”


 


หวังหงษ์เต๋าอีกแล้ว!


 


กู่ฉิงซานกลับกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที


 


ที่แท้ เฉียนซานเย่ก็เป็นอาจารย์ของหวังหงษ์เต๋านี่เอง


 


ว่าแต่ทำไมจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ ถึงได้มาหลบซ่อนอยู่ที่นี่กัน? จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


 


แต่ยังไม่ทันจะได้คิด เฉียนซานเย่ก็พูดต่อเสียก่อน “ในการประลอง ข้าเผลอสังหารสหายไปอย่างไม่ตั้งใจ ขณะเดียวกันตนเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน”


 


“ในช่วงเวลานั้น ตัวข้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง สภาวะจิตใจช่างว้าวุ่น ขณะที่หวังหงษ์เต๋าเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของข้า มันจึงรับหน้าที่รักษาบาดแผลให้แก่ข้า แต่ใครจะรู้ ว่ามันกลับฉวยโอกาสนั้นลอบจู่โจมข้าอย่างไม่ทันตั้งตัวซะนี่”


 


“ข้าเลยตกตายลงอย่างไม่ยินยอม ดังนั้นจึงอาศัยเทคนิคลับ แล้วมาสถิตอยู่ในใบหยกชิ้นนี้ ที่บันทึกเทคนิคดาบเอาไว้”


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็บังเกิดข้อสงสัย จึงเอ่ยถามไปว่า “แต่ท่านเป็นอาจารย์ของเขามิใช่หรือ เขาย่อมต้องรู้ดีสิว่าท่านแข็งแกร่งเพียงใด และหากอยู่กับท่านต่อไปจะได้ผลประโยชน์มากมายขนาดไหน แล้วทำไมจู่ๆเขาถึงได้เลือกที่จะลอบสังหารท่านขณะกำลังรักษาตัวกันล่ะ?”


 


“เพราะข้าแค่ส่งผ่านทักษะกระบี่ให้แก่เขาเท่านั้นน่ะสิ แต่ยังมิได้ส่งผ่านทักษะดาบไปให้เลย” เฉียนซานเย่กล่าว


 


“ข้าจดจำได้ว่า” ฉินรั่วบีบมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ และเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ในอดีตที่ผ่านมา ผู้นำเฉียนถูกเรียกว่า ดาบคู่เอกลักษณ์ และเป็นผู้ฝึกยุทธที่แกร่งสุดในโลกในยุคสมัยนั้น”


 


“เล่าลือกันว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธคนใด หากมีวาสนาได้เรียนรู้ทักษะกระบี่ของเขาได้เพียงหนึ่งหรือสองกระบวนท่า ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว”


 


“แต่หากใครก็ตามที่ได้เรียนทักษะดาบของผู้นำเฉียน มันก็มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว ที่คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่แข็งแกร่งชนิดหาตัวจับได้ยาก”


 


“แต่จากในบันทึกของนิกาย บ่งบอกว่าหลังจากที่เขาได้มอบบทเรียนให้แก่สหายฝึกยุทธของตน ผู้นำเฉียนก็ได้หายตัวไปจากโลกใบนี้ และไม่เคยปรากฏกายขึ้นมาอีกเลย”


 


“ผู้ฝึกยุทธในโลกต่างก็เลื่องลือกันไปว่าผู้นำเฉียนบังเกิดความอัปยศในจิตใจที่สังหารสหาย ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางสู่มิติที่ว่างเปล่า เพื่อออกไปท่องสำรวจโลกใบใหม่”


 


สมองของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋ ปากเอ่ยกล่าว “เพราะหวังหงษ์เต๋ายังไม่ได้รับการส่งผ่านทักษะดาบ ดังนั้นเขาจึงบังเกิดความเกลียดชังขึ้นในหัวใจ เลยพยายามจะสังหารท่าน เพื่อที่จะขโมยทักษะดาบของท่านใช่หรือไม่?”


 


เฉียนซานเย่พยักหน้า และเผยให้เห็นถึงความเสียใจที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของเขา


 


“ในความเป็นจริง หากอ้างอิงจากห้วงสภาวะจิตใจและสติอารมณ์ของหวังหงษ์เต๋าแล้ว ข้าไม่สมควรที่จะสอนสั่งทักษะกระบี่ให้แก่เขาเลย” เฉียนซานเย่กล่าว


 


“จิตใจและสติอารมณ์ของเขาอย่างงั้นหรือ? เพราะเหตุใดกันถึงไม่ควรสอนสั่งทักษะกระบี่แก่เขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ปัจจุบันนี้ นับว่าเป็นโอกาสดีทีเดียวที่จะได้เข้าใจถึงตัวตนของหวังหงษ์เต๋าได้มากขึ้น


 


ใครจะรู้ ว่าแท้จริงแล้วผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายกวงหยาง ในครั้งอดีตจะเคยลอบสังหารอาจารย์ของตนเองอย่างกระทันหัน!


 


การได้รับรู้ถึงเรื่องราวนี้ มันจะช่วยให้ตัวกู่ฉิงซานสามารถเข้าใจตัวตนและรูปแบบการกระทำของหวังหงษ์เต๋าได้มากยิ่งขึ้น


 


มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่จะได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศัตรู


 


เฉียนซานเย่กล่าว “คมกระบี่จะแข็งกล้าหาที่ใดเปรียบ ในยามที่จิตใจของผู้ใช้มันเที่ยงตรงเท่านั้น”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้ารับ


 


เพราะในบรรดาผู้ใช้กระบี่ เขาก็เคยจดจำได้ว่าหนิงเยว่ฉานก็ได้เอ่ยสิ่งที่คล้ายคลึงกันกับคำกล่าวนี้ออกมาเช่นกัน


 


“ใบกระบี่นั้นเที่ยงแท้และเที่ยงธรรม มันเรียบเนียนเป็นเส้นตรง มุ่งออกไปเพียงเบื้องหน้าเท่านั้น มิโค้งงอไปเบื้องหลัง”


 


—หนิงเยว่ฉานน่ะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงกระบี่ เธอมีความคิดและจิตใจที่บริสุทธิ์ แถมเจตกระบี่ก็ยังเที่ยงแท้ และมีความก้าวหน้าที่รวดเร็วยิ่งนัก


 


ตัวกู่ฉิงซานเองก็ชมชอบที่จะคบหากับผู้ใช้กระบี่เป็นอย่างยิ่ง


 


เพราะผู้ที่ใช้กระบี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนซื่อตรง จริงใจ จะรักจะเกลียดก็แสดงออกมาชัดเจน


 


บุคคลที่เรียบง่าย และบริสุทธิ์เช่นนี้แหละ ที่เหมาะสมจะคบหาเป็นสหายอย่างแท้จริง


 


แน่นอน ว่าไม่ใช่แค่เพียงผู้ฝึกยุทธถือกระบี่ แล้วจะมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าผู้ใช้กระบี่ได้


 


ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่เพียงมีดาบอยู่ในมือ ก็จะไม่สามารถถูกนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกดาบเช่นกัน


 


เฉียนซานเย่ถอนหายใจ “จิตใจของหวังหงษ์เต๋านั้นละโมบและหวาดกลัวในความตายมากเกินไป เขาจึงไม่เหมาะสมที่จะใช้กระบี่ แต่เนื่องด้วยเขาเป็นศิษย์ที่ดีของข้า คอยทุ่มเทและภักดีต่อข้ามานับร้อยๆปี ข้าจึงยังคงเก็บเขาไว้ข้างกาย – แต่ใครจะไปคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ ”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ท่านผู้ทรงเกียรติ ในยุคสมัยของท่าน ท่านนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ดังนั้นข้าเชื่อว่าวิสัยทัศน์ในการมองคนของท่านย่อมไม่มีทางผิดพลาดโดยง่ายเป็นแน่ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นอย่างแน่นอน”


 


“เป็นดั่งที่เจ้าว่ามา มันเป็นเรื่องง่ายดายที่จะจับผิดใครสักคนหนึ่งที่เสแสร้งปิดบังความคิดและตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ในยามที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมา หนึ่งปี สองปี หรือเป็นสิบๆปี ทว่าสำหรับหวังหงษ์เต๋า มันติดตามข้าด้วยความมุ่งมั่นและภักดี แถมการแสดงออกก็ดูซื่อตรงและจริงใจ ..ไม่มีข้อบกพร่องใดๆเลยในตลอดช่วงเวลากว่า 300 ปี ที่ผ่านพ้นมา”


 


ว่านเอ๋อกับฉินรั่วมองหน้ากับวูบหนึ่ง ในหัวใจบังเกิดความเย็นเยียบ


 


ชายคนหนึ่ง … เพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง ถึงขั้นยินยอมที่จะเสแสร้งปิดบังทุกการกระทำและแสดงออกที่แท้จริงของตนเองเป็นเวลากว่า 300 ปีเชียวหรือ!?


 


ตั้ง 300 ปี … 300 ปีที่พฤติกรรมของเขามิเคยถูกสงสัยเลย


 


จักต้องมีจิตใจและอุปนิสัยแบบใดกันจึงจะสามารถกระทำเช่นนั้นได้ ..


 


“ผู้นำเฉียน เราควรจะพาท่านออกจากที่นี่ และบอกเรื่องราวนี้ให้แก่โลกภายนอกรู้” ว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะพูดออกมา


 


“มันไม่มีประโยชน์หรอก” เฉียนซานเย่ส่ายหัว


 


“ท่านพูดถูกแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ตลอดทั้งนิกาย หวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้จะมีบางคนทราบถึงความจริงที่ว่านี้ก็ตามที แต่มันคงส่งผลตรงกันข้าม ผู้คนจะยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเขามากยิ่งขึ้นเสียมากกว่า” ฉินรั่วกล่าว


 


“อีกอย่าง โลกใบนี้ก็ใกล้จะล่มสลายแล้ว ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอันตราย คงไม่มีเวลาว่างไปมัวสนใจเรื่องของคนอื่นๆหรอก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ


 


เขาประสานสองกำปั้นไปทางอีกฝ่าย ปากเอ่ยกล่าว “ท่านผู้นำเฉียน มีสิ่งใดที่ข้าสามารถกระทำเพื่อท่านได้หรือไม่?”


 


“ข้ารู้สึกได้ถึงเจตแห่งดาบในกายเจ้า และเจ้ายังมิได้เรียนรู้เทคนิคมนตราใดๆของนิกายกวงหยางเลย ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”


 


“เป็นดังที่ท่านว่า” กู่ฉิงซานยอมรับ


 


“หวังหงษ์เต๋ามิได้เป็นนักดาบที่ดี เขาเป็นผู้ใช้กระบี่และวิชาควบคุมซากศพ ดังนั้นเขาย่อมต้องไม่คิดจะรับผู้ที่เชี่ยวชาญในทักษะดาบเช่นเจ้ามาเป็นลูกศิษย์เป็นแน่”


 


“ถูกต้อง ข้ามิใช่ลูกศิษย์ของเขา”


 


“แต่สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่ต้องห้ามของหวังหงษ์เต๋า แม้กระทั่งผู้นำของรุ่นนี้ก็ยังมิอาจเข้ามายังที่นี่ได้ ชัดเจนว่าภายนอกคงเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ข้ายังมิได้ล่วงรู้ขึ้นสินะ”


 


“ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” กู่ฉิงซานยอมรับ


 


“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มีข้อตกลงบางอย่างที่อยากจะเจรจากับเจ้า”


 


ขณะกล่าว เฉียนซานเย่ก็เผยสีหน้าเด็ดขาดออกมา


 


“เชิญท่านชี้แนะ”


 


“ใบหยกที่ข้าสถิตอยู่นี้ ได้บันทึกเทคนิคดาบที่ทรงประสิทธิภาพเอาไว้ ในอดีตที่ผ่านมา ทุกคราในยามที่ฝึกซ้อมกระบี่เขามักร้องขอที่จะเรียนรู้มัน แต่ด้วยความคิดของข้าที่ว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะศึกษาทักษะดาบ ข้าจึงตอบปฏิเสธไป เพราะคิดว่าการที่สอนสั่งทักษะกระบี่ให้ มันก็เพียงพอแล้วต่อความภักดีของเขา”


 


“เช่นนั้น กล่าวได้ว่าท่านไม่เคยสอนสั่งทักษะดาบแก่เขาเลยสินะ”


 


“ใช่ แม้กระทั่งทักษะกระบี่ก็ยังมิได้สอนสั่งเขาจนครบจบโดยสมบูรณ์”


 


“แล้วจากนั้นเล่า?”


 


“ยามที่ข้าถูกลอบสังหารโดยเขา และล่วงรู้อย่างแน่นอนว่าตนจักต้องตกตาย ข้าจึงเริ่มที่จะทำลายใบหยกที่บันทึกเทคนิคดาบเอาไว้ทั้งหมด”


 


เฉียนซานเย่ชี้ไปยังใบหยกในมือของฉานนู่และกล่าว “หลงเหลือเพียงใบหยกชิ้นนี้ ที่บันทึกเทคนิคดาบสุดท้ายเอาไว้ หลงเหลือเพียงมันเท่านั้นที่ข้าเลือกใช้เป็นกับดัก”


 


“กับดัก?”


 


“ใช่ จิตวิญญาณของข้าได้สถิตอยู่ในใบหยกชิ้นนี้ และถ้าหากใครก็ยามที่ยื่นมือไปคว้าจับมัน ข้าก็จะเข้ายึดครองกายเขาทันที”


 


กู่ฉิงซานลอบรำพึงอย่างลับๆ ‘เป็นอย่างที่คิดจริงๆ’


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.454 – เอ่ยถามดาบ


 


การถูกสิงสู่ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย


 


มันคือการทำลายกฏเกณฑ์ของโลกอย่างรุนแรง และจะส่งผลพวงต่อเส้นทางแห่งโชคชะตาของผู้คนนับไม่ถ้วน ผลกระทบของมันจะขยายออกไปเป็นวงกว้าง ชนิดที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ผู้นำเฉียน การที่ท่านยอมบอกสิ่งนี้กับข้าออกมาตรงๆเช่นนี้ ท่านต้องการอะไรกันแน่?”


 


ท่าทีการแสดงออกของเฉียนซานเย่ดูจะสั่นไหวเล็กน้อย


 


“เดิมทีแล้ว ความตั้งใจของข้าก็คือ ยามเมื่อหวังหงษ์เต๋าเริ่มเปิดใช้งานใบหยกนี้ ตัวข้าก็จะเริ่มทำการสิงสู่กายเขาทันที”


 


“ตราบใดที่หวังหงษ์เต๋าสัมผัสใบหยกชิ้นนี้ ข้าก็จะสามารถเข้าสู่จิตเทวะของเขา จากนั้นก็ซ่อนตัวตน และเมื่อใดก็ตามที่เขากำลังต่อกรกับศัตรู ข้าก็จะฉวยจังหวะนั้นเข้ายึดครองร่างกายของเขา ทำให้ทั้งคนทั้งร่างของเขาสูญเสียการควบคุม เปิดโอกาสให้ศัตรูเข้าโจมตี และพินาศสิ้นไปพร้อมๆกัน”


 


“และหากเขาเลือกที่จะมอบใบหยกนี้ให้แก่ลูกศิษย์ ข้าก็จะสิงสู่ศิษย์ผู้นั้นแทน”


 


“จากนั้น เมื่อยามที่ข้าได้กลายเป็นศิษย์เขา ข้าก็จักหมั่นฝึกฝนจนแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และคอยลอบสังเกตหวังหงษ์เต๋าในทุกๆการเคลื่อนไหว จนกระทั่งค้นพบถึงจุดอ่อนของเขา”


 


“แล้วก็เฝ้ารอ .. เฝ้ารอจนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่ข้ามั่นใจแล้วว่ามีโอกาสมากพอที่จะลอบสังหารเขาได้ สุดท้ายก็จักลงมือและล้างหนี้แค้นด้วยเลือดซะ”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว


 


เฉียนซานเย่ผู้นี้ เป็นถึงดาบคู่เอกลักษณ์ เป็นบุรุษที่มีชื่อเสียงเป็นหนึ่งไม่มีสองในยุคสมัยของเขา


 


ในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ตัวตนที่อยู่ในจุดสูงสุดเช่นนั้น กลับมองแผนการไม่ขาด และดันโดนลูกศิษย์ของตนสังหารจนกระทั่งเป็นฝ่ายตกตายเองเสียนี่


 


—แต่ก็นะ มันเป็นการพลาดท่าให้กับลูกศิษย์ที่ไม่เคยทำอะไรบกพร่องเลยตลอดระยะเวลา 300 ปีที่อยู่ร่วมกันมา


 


เนื่องจากนี่เป็นข้อเสนอของเฉียนซานเย่ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่อาจทำเป็นละเลยมันได้


 


กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “ความอัปยศที่ท่านผู้ทรงเกียรติแบกรับเอาไว้คงจะหนักหนาไม่น้อย แต่แผนการของท่านก็ไม่เลวเลย เพียงแค่มันยังไม่ประสบผลสำเร็จก็เท่านั้นเอง”


 


“ใช่ หวังหงษ์เต๋าแม้เป็นคนละโมบ แต่ขณะเดียวกันเขาก็มีนิสัยขี้ระแวง ดังนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะค้นพบใบหยกชิ้นนี้แล้วก็ตามที แต่ก็ยังมิกล้าที่จะทดลองฝึกฝนอยู่ดี”


 


บนใบหน้าของเฉียนซานเย่เผยร่องรอยของความคาดไม่ถึง “แม้จะได้รับทักษะดาบที่เฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานแล้วก็ตามที ทว่าเจ้าตัวกลับเกิดความสงสัยว่า ‘อาจมีบางสิ่งเกี่ยวกับใบหยกชิ้นนี้ที่มันไม่ปกติก็เป็นได้’ เขาบังเกิดความกลัวว่าข้าจะเตรียมการสังหารเขาไว้อย่างลับๆ ดังนั้นตั้งแต่ที่ได้รับใบหยกมา กระทั่งผ่านพ้นไปกว่า 1000 ปี หวังหงษ์เต๋าก็ยังมิคิดเฉียดกายมาสัมผัสต้องใบหยกแผ่นนี้เลย”


 


“นั่นคงเป็นเพราะเขาได้ลอบสังหารท่าน” กู่ฉิงซานกล่าว “และเขารู้ว่าท่านมีกลยุทธ์มากมายไร้ที่สิ้นสุดไว้คอยแก้แค้น ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะสัมผัสใบหยกชิ้นนี้ ที่อาจจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่านั่นได้”


 


เฉียนซานเย่ถอนหายใจ “นอกจากนี้ เขายังไม่เคยคิดจะมอบเทคนิคดาบนี้ให้แก่ลูกศิษย์ตนเลย จนภายหลังข้าทราบมาว่ากระทั่งศิษย์ตัวเอง เขาก็ยังไม่ไว้วางใจ และได้ใช้วิชาต้องห้ามกับศิษย์ในการควบคุมทุกการกระทำของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง”


 


“ดูเหมือนว่าเขาจะบังเกิดอาการหลอกหลอนภายในจิตใจ จึงหวั่นเกรงศิษย์ของตน ว่าจะกระทำการเฉกเช่นเดียวกันกับที่ตนเคยทำกับอาจารย์เอาไว้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“และนั่นคือเหตุผลที่ใบหยกถูกปิดผนึกเอาไว้ที่นี่ ทำให้ข้าไม่เคยได้รับโอกาสที่จะทำตามแผนการที่ได้วางเอาไว้เลย” เฉียนซานเย่กล่าว


 


“เช่นนั้นสิ่งที่ท่านต้องการจะทำต่อไปคืออะไร? หาร่างสิงสู่อีกใช่หรือไม่?”


 


“ไม่หรอก ข้ากับเจ้ามิได้เป็นปฏิปักษ์ใดๆต่อกัน และอีกอย่าง ตัวเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของเขา” เฉียนซานเย่กล่าวอย่างสัตย์ซื่อ


 


และเอ่ยเสริมอีกว่า “นี่มันก็ล่วงเลยมายาวนานกว่า 1000 ปีแล้ว จิตวิญญาณของข้าได้มาถึงขีดจำกัด และมิอาจฝืนทนรอได้ไหวอีกต่อไปแล้ว”


 


เฉียนซานเย่วาดมือออกไป และใบหยกก็ลอยกลับเข้ามาในมือของเขา


 


“ข้าสัมผัสได้ถึงเจตดาบในกายเจ้า ตัวเจ้าเองเป็นผู้ฝึกดาบใช่ไหมล่ะ”


 


“มิผิด”


 


“เช่นนั้นกล้าให้คำมั่นสาบานต่อฟ้าดินหรือไม่ ว่าเจ้าจักสังหารหวังหงษ์เต๋า”


 


“นั่นคือการแลกเปลี่ยนที่ท่านต้องการงั้นหรือ?”


 


“ถูกต้อง หากเจ้ากล้าสาบาน ข้าจะส่งต่อเทคนิคดาบให้แก่เจ้า”


 


เฉียนซานเย่หยุดไปสักพัก ก่อนจะเริ่มกล่าวต่อ


 


“ข้าสังเกตเห็นว่าเจตดาบของเจ้าช่างบริสุทธิ์ชนิดหาตัวจับได้ยากยิ่ง มันเหมาะสมสำหรับทักษะดาบที่ข้ารังสรรขึ้น ตราบใดที่เจ้-”


 


เฉียนซานเย่ต้องการจะเอ่ยต่อไปอีกไม่กี่คำ ทว่ากู่ฉิงซานก็เปล่งเสียงขัดเขาซะก่อน


 


“ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าให้คำมั่นสาบานว่าจักกำจัดหวังหงษ์เต๋าให้จงได้”


 


ระหว่างสวรรค์และโลก บังเกิดกระแสลมที่มองไม่เห็นโคจรวนรอบกายกู่ฉิงซาน


 


เฉียนซานเย่ชะงักงันไป


 


เจ้าหนุ่มผู้นี้ เหตุใดมันจึงเอ่ยคำมั่นสาบานออกมาราวกับเป็นเพียงเรื่องง่ายดายเช่นนี้?


 


“คำมั่นสาบานมิใช่เรื่องล้อเล่นนะเจ้าหนุ่ม สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว หากละเมิดคำมั่น ผลพวงที่ตามมาจักร้ายแรงยิ่ง” เฉียนซานเย่กล่าวอธิบายอย่างจริงจัง


 


“เรื่องนั้นข้าทราบ แต่ข้าเองก็ยังเลือกที่จะสาบานว่าจักสังหารคนผู้นั้นอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เพราะอะไร?”


 


“เพราะเขาเป็นคนสังหารบิดาข้า ซึ่งเป็นผู้นำนิกายรุ่นนี้”


 


“เหตุใดเขาถึงได้ทำเช่นนั้น?”


 


“เพราะบิดาข้ากำลังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตเดียวกันกับหวังหงษ์เต๋าซึ่งก็คือลมปราณจิต ทว่าตัวหวังหงษ์เต๋าเวลานี้กำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ พวกเขาเป็นศัตรูกัน ดังนั้นหวังหงษ์เต๋าจึงได้สังหารบิดาข้าจนตกตายก่อนที่จะกลายเป็นตนที่ต้องตายลงเสียเอง”


 


กู่ฉิงซานมิได้โกหก – เพราะนี่คือสิ่งที่สองศิษย์รักของหวังหงษ์เต๋าเป็นผู้กล่าวมันออกมาด้วยตนเอง


 


เฉียนซานเย่ตกอยู่ในภวังค์ ลังเลไปสักพักหนึ่ง


 


เบื้องหน้าตนคือผู้ฝึกดาบ ขณะเดียวกันก็มีสาวใช้หน้าตางดงามที่เป็นถึงขอบเขตพันวิบัติถึงสองคน สถานะในนิกายของคนผู้นี้ย่อมมิใช่สามัญอย่างแน่นอน


 


จากรูปการณ์แล้ว อีกฝ่ายมีโอกาสสูงที่จะเป็นถึงปรมาจารย์ตำหนักหรือบุตรชายของผู้นำนิกายจริงๆ


 


แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ฝึกดาบ! ผู้ฝึกดาบที่เปล่งคำมั่นสาบานต่อฟ้าดินไปแล้ว ว่าจักต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าให้จงได้!


 


ฟ้าดินเป็นพยาน คำสาบานไม่สามารถโป้ปดได้


 


บุคคลผู้นี้จักต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน และการโกหกหลอกลวงผู้อื่นด้วยคำที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้มันจะมีประโยชน์อะไร?


 


ยิ่งไปกว่านั้น บิดาของชายผู้นี้ยังเป็นผู้นำนิกายยุคปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็ยังถูกลอบสังหารลงโดยหวังหงษ์เต๋า


 


หากเป็นในกรณีนี้ การที่จะมอบเทคนิคดาบให้แก่เขา มันย่อมจะเป็นการดีกว่า


 


สามปรมาจารย์ตำหนัก สมควรที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า


 


และผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า หากต้องต่อกรกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส … มันก็ยังพอจะมีความเป็นไปได้


 


เฉียนซานเย่ถอนหายใจ และเอ่ยออกมาในที่สุด “หวังหงษ์เต๋าเอ๋ย หวังหงษ์เต๋า สิ่งที่เจ้ากระทำกับข้าในครั้งอดีตที่ผ่านมา ตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่เจ้าจะถูกกระทำเช่นเดียวกันบ้างแล้ว!”


 


“ที่คือเวรกรรม จากกฏแห่งการกระทำอย่างแท้จริง!”


 


ขณะกล่าว เฉียนซานเย่ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากหัวเราะลั่นออกมา


 


นับตั้งแต่ที่ตนได้เลือกเข้ามาสิงสถิตอยู่ในใบหยก ก็เป็นวันนี้นี่แหละที่เขารู้สึกมีความสุขมากที่สุด


 


เฉียนซานเย่กำใบหยกที่บันทึกเทคนิคดาบแน่นขึ้น


 


เขาเฝ้ามองดูกู่ฉิงซาน และพลันตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ฝึกดาบเช่นกันนี่นา


 


ใช่แล้ว เจ้าหนุ่มนี่เป็นผู้ฝึกดาบนี่นา …


 


เฉียนซานเย่เงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่ความคิดภายในจิตใจของเขาค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป


 


“ในขณะที่ข้ากำลังจะหายไป ใคร่ขอเอ่ยถามเจ้าอีกสักคำถามหนึ่งจะได้ไหม” เขาเอ่ยปาก


 


“เชิญกล่าว” กู่ฉิงซานตอบรับ


 


“ข้าสังเกตเห็นว่าเจตดาบของเจ้า มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการสังหาร นอกจากนี้มันยังรุนแรงยิ่ง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากผู้ฝึกดาบบังเกิดความกระหายเลือดมากเกินไป มันจะส่งผลร้ายต่อวิถีดาบของคนผู้นั้นในระยะยาว”


“แน่นอน ข้ารู้”


 


“เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงยังมิเปลี่ยนแปลงเจตดาบของตน?” เฉียนซานเย่เอ่ยถาม


 


“เพราะดาบมีไว้ใช้เพื่อสังหารศัตรู นั่นคือความเป็นจริงที่เรียบง่ายที่สุดสำหรับผู้ฝึกดาบ” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างแผ่วเบา


 


“เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าจักสังหารทุกคนที่สมควรจะถูกฆ่ากระนั้นหรือ?” เฉียนซานเย่ไล่ถามต่อ


 


“ไม่หรอก มันไม่มีใครที่เกิดมาแล้วคู่ควรจะถูกสังหารลงด้วยดาบ”


 


กู่ฉิงซานส่ายศีรษะของเขา “ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกดาบน่ะ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมิใช่ผู้ที่ถูกสังหาร แต่คือผู้ที่ข้าจำต้องปกป้องเอาไว้ต่างหาก”


 


เฉียนซานเย่พอได้ฟังความคิดเห็นนี้ สีหน้าและแววตาของเขาก็เผยถึงการยอมรับ


 


“ นี่แหละ …  นี่แหละคือผู้ฝึกยุทธที่เหมาะสมแก่การถูกเรียนว่าผู้ฝึกดาบที่แท้จริงล่ะ!”


 


เขาบ่นพึมพำ ความคิดในจิตใจก็กลายเป็นกระจ่างชัด


 


“หากเป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่มีคำถามอื่นใดอีก”


 


เฉียนซานเย่จีบมือออกแปรผันสัญลักษณ์ต่างๆอย่างไวว่อง ก่อนจะกระแทกมันลงบนใบหยกจนบังเกิดแสงสว่างจ้า


 


“เมื่อครู่ข้าได้คลายกับดักในใบหยกออกแล้ว”


 


เขากล่าวอย่างช้าๆ “ตอนนี้ ข้ากำลังจะเขียนเทคนิคดาบลงในใบหยก และหวังว่าเจ้าจะสามารถสืบทอดทักษะดาบต่อจากข้าได้”


 


ว่าแล้ว ใบหยกก็ถูกยกขึ้น และแปะลงบนหน้าผากเขา


 


ในช่วงเวลาสั้นๆ ใบหยกก็ยังคงลอยล่องอยู่กลางเวหา ทว่าร่างเงาของเฉียนซานเย่กลับค่อยๆเลือนหายไป


 


“สุดท้าย สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกเจ้าก็คือ ในยามที่ข้ากำลังรักษาตัวอยู่ มันเป็นช่วงเวลาที่มารโลกาได้มาเยือนโลกใบนี้พอดิบพอดี”


 


“และเกี่ยวกับมารโลกา ข้ามีมุมมองบางอย่างที่แตกต่างออกไปและยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเรื่องนี้”


 


ในสายตาของเขา บังความหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย


 


กู่ฉิงซานประสานกำปั้นเข้าหากันทันที “โปรดบอกความคิดเห็นของท่านมาเถิด ข้าจักรับฟังมันด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง”


 


“มันไม่สามารถพูดได้ … อันตรายเกินไป” เฉียนซานเย่ส่ายหัว


 


ว่าแล้วเขาก็หยิบใบหยกอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา และทำท่าทีเหมือนกับว่าจะใส่ข้อมูลบางอย่างลงไป


 


“เมื่อไหร่ที่เจ้าพร้อม ก็ขอให้อ่านใบหยกชิ้นนี้”


 


ขณะกล่าว เสียงของเฉียนซานเย่ก็ค่อยๆแผ่วเบาลง


 


ร่างกายของเขาวูบไหวไปมา ราวกับว่ามิได้มีตัวตนอยู่จริง ขณะเดียวกันก็ค่อยแตกเป็นจุดแสง กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง


 


เขาได้มาถึงช่วงนาทีสุดท้ายของการดำรงอยู่ในร่างจิตวิญญาณแล้ว


 


“อาวุโส นี่ท่าน … ” สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย


 


เฉียนซานเย่ “แม้ว่าเจ้ากับข้าจะรู้จักกันเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ทว่าเจตดาบและห้วงสติอารมณ์ของเจ้า มันได้สะท้อนให้เห็นถึงความคลับคล้ายคลับคลาในวิถีดาบแห่งข้า”


 


เสียงของเขาอ่อนโทรมลง มันเล็กจ้อยจนเกือบจะไม่ได้ยิน


 


“ดังนั้น สิ่งที่ข้าทิ้งไว้เบื้องหลังก่อนจะจากไปนั้นมิใช่เพียงแค่เทคนิคดาบ แต่มันคือวิถีดาบทั้งหมดแห่งข้า!”


 


ร่างกายของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน


 


โดยไม่คาดคิด จู่ๆฝ่ายตรงข้ามกลับเลือกที่จะกระทำเช่นนี้อย่างกระทันหัน!


 


เฉียนซานเย่จ้องมองกู่ฉิงซาน ปากอ้าเผยอเล็กน้อย ทว่าก็ยังมิได้เปล่งคำใดออกมา


 


เขากำลังจะกล่าว แต่ก็ดันเกิดลังเลขึ้นมา


 


อย่างไรก็ตาม


 


กู่ฉิงซานรู้ดีว่าเขาต้องการจะเอ่ยสิ่งใด


 


กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย โค้งคารวะอย่างนอบน้อม ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ข้าจักสังหารหวังหงษ์เต๋า — ด้วยทักษะดาบของท่าน!”


 


เฉียนซานเย่พอได้ฟัง ก็เผยรอยยิ้มแห่งความปิติออกมา


 


จากนั้น เขาก็กลายเป็นจุดแสงสว่างไสว พวกมันวิ่งวนไปมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะพากันทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้าราวกับธารน้ำตกที่พลิกคว่ำ


 


แล้วรังสีแสงเรืองรองดั่งธารน้ำตกก็จางหายไป


 


หนึ่งในตัวตนที่เป็นดั่งตำนาน … ได้จากไปแล้ว


 


ใบหยกค่อยๆลดระดับลงจากกลางอากาศ แล้วลอยมาตกลงใกล้ๆกับมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ


 


“นายน้อย ระวังตัวให้ดี มันอาจจะเป็นกับดักก็เป็นได้” ฉินรั่วขมวดคิ้ว


 


“วางใจเถอะ ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก”


 


ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่มีกับดัก เขาถึงขั้นวางแผนที่จะสิงสู่ลูกศฺิย์ของหวังหงษ์เต๋าเลยเชียวนะ บางที เขาอาจจะยังคงหลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังของใบหยกที่ทิ้งไว้แผ่นนี้ก็ได้นะ” ว่านเอ๋อถามด้วยความสับสน


 


“จะไม่มีอุบายหรือลูกเล่นแบบที่เจ้ากล่าวหรอก” กู่ฉิงซานส่ายหัว


 


น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ท่าทีการแสดงออกมั่นคงไม่หวั่นไหว


 


ฉินรั่วและว่านเอ๋อพอได้ฟัง ก็หันมามองหน้ากันและไม่รู้ว่าสมควรเอ่ยสิ่งใดออกไปดี


 


ขณะที่กู่ฉิงซานกำใบหยกในมือแน่น และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจยืดยาว


 


“เพราะระหว่างผู้ฝึกดาบด้วยกันน่ะ ไม่มีลูกเล่นอะไรทั้งสิ้น พวกเขามีเพียงแค่ดาบเท่านั้น”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม