Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 444-450

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.444 – ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ


 


“เจ้าน่ะหรือจะจัดการกับเขา?”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน


 


“ฉีหยาน แม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่เจ้าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี” เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา


 


“ข้ารู้ แต่ตอนนี้ พวกเรามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เจ้าต้องการที่จะวางกับดักเขา … เจ้ามิทราบหรือ ว่าตัวหวังหงษ์เต๋าเองก็เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากเช่นกัน เขานับว่าเป็นมือฉมังในสายนี้เลยด้วยซ้ำ … ดูอย่างข้าและสหายเซ่าซี่” เย่หยิงเหมยกล่าว


 


“มันยังมีหนทางอื่นอยู่อีกหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “สถานการณ์ปัจจุบันนี้หากมิใช่เขาตาย ก็คงเป็นข้าที่พินาศ ข้าคงทำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากทุ่มสุดตัว”


 


“แบบนั้นไม่ดีแน่ เจ้าลองทบทวนดูดีๆอีกครั้งเถอะ” เซ่าหวูชุ่ยส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า


 


“ข้าขอหารือกับสหายเซ่าก่อน ฉีหยาน เจ้ารอสักครู่” เย่หยิงเหมยกล่าว


 


ว่าแล้วเธอก็หันมาสบตากับเซ่าหวูชุ่ย จ้องมองกันและกัน สนทนาแลกเปลี่ยนโดยใช้จิตสัมผัสเทวะ


 


—เขาและเธอริเริ่มที่จะช่วยกันเค้นความคิด ค้นหาหนทางที่จะจัดการกับอาจารย์ของตนเอง


 


กู่ฉิงซานเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เขาก็หุบปากลง


 


เขายกเอาถ้วยชาขึ้นมา และจิบมันอย่างช้าๆ


 


สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือ ผู้นำฉีรั่วหยาและผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋ายังไม่ได้กลับมา


 


ภายในนิกายกวงหยางจึงเหลืออยู่แค่สองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า นั่นคือปรมาจารย์ตำหนักเซ่าและปรมาจารย์ตำหนักเย่ แต่บัดนี้ทั้งสองก็ได้เบนเข็มมาอยู่ฝ่ายฉีหยานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


อันที่จริงตั้งแต่แรกเริ่ม สำหรับกู่ฉิงซานแล้ว ก็เป็นปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองคนนี้นี่แหละที่เขารู้สึกว่ากำลังคุกคามชีวิตตนเองมากที่สุด


 


—แถมทั้งสองยังเป็นศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าอีก


 


พอได้ย้อนคิดถึงเรื่องราวอันสลับซับซ้อน พลิกผันไปมานี่แล้ว … เขากลับรู้สึกว่ามันช่างน่าขันเสียจริง


 


อาวุโสสูงสุดไปสังหารผู้นำ


 


ขณะที่ลูกศิษย์ทรยศอาจารย์


 


ในหัวใจของผู้คนในโลกใบนี้ ช่างชั่วร้ายราวกับปีศาจโดยแท้


 


พวกเขาไม่ได้มีเจตนาดีต่อผู้อื่นเลยสักนิด


 


หากหวังหงษ์เต๋าได้รับศิษย์ฝึกหัดที่ดีมา แล้วมอบความรักให้กับพวกเขาอย่างแท้จริง ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญเยี่ยงนี้ ต่อให้ถูกอีกฝ่ายยั่วยวนด้วยโลกใบใหม่ บางทีสองปรมาจารย์ตำหนักก็อาจจะยังคงเลือกยืนอยู่ข้างหวังหงษ์เต๋าก็ได้


 


อย่างไรก็ตาม หวังหงษ์เต๋ามีนิสัยขี้ระแวงเป็นธรรมชาติ เขาบังเกิดความคิดชั่วร้าย และต้องการที่จะควบคุมสาวกของตนให้อยู่ใต้อาญัติโดยสมบูรณ์


 


ดังนั้นบนตัวของศิษย์ทั้งสอง หวังหงษ์เต๋าจึงได้ใช้วิธีการที่โหดร้ายที่สุด


 


วิธีการดังกล่าวนี้ แน่นอนว่าย่อมสามารถทำให้สองศิษย์ไม่กล้าคิดจะลุกฮือขึ้นต่อต้านได้


 


แต่ก็นั่นล่ะนะ เมื่อเรื่องราวได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญ ทุกอย่างก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา


 


แถมตอนนี้หวังหงษ์เต๋าก็ยังไม่ได้อยู่ในนิกายอีก


 


สองศิษย์หัวแก้วหัวแหวนจึงบังเกิดความไม่ซื่อสัตย์ขึ้น โดยคำยุยงปลุกปั่นของกู่ฉิงซาน ที่ได้บอกข้อมูลเกี่ยวกับโลกใหม่ และพวกเขาก็ได้เลือกที่จะทรยศหวังหงษ์เต๋าในจุดนี้ทันที


 


เวลานี้ ในจิตใจของพวกเขามีเพียงแค่ความกระหายที่ต้องการจะกำจัดอาจารย์ตนเท่านั้น


 


กู่ฉิงซานยังคงยกชาดื่มต่อไป และเริ่มทบทวนถึงสถานการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง


 


กล่าวได้ว่าอย่างน้อย เฉพาะในช่วงเวลานี้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมามัวพะวงเกี่ยวกับชีวิตและความตายของตนเองอีกแล้ว


 


หมากตัวต่อไป ก็คือการสมคบคิดว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะสามารถสังหารหวังหงษ์เต๋าได้


 


ขอบเขตลมปราณจิต …


 


เพียงแค่นึกถึงมัน ในสมองของเขาก็แทบไม่อาจหาหนทางออกได้เลย


 


กู่ฉิงซานยังคงยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ


 


ขณะที่หน้ากากสตรีแห่งรากษส ยังคงวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา


 


สถานการณ์ในช่วงเวลานี้นับว่าตึงเครียดมาก ในทุกๆคำกล่าวล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ดังนั้นในช่วงก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจใดๆกับหน้ากากใบนี้มากนัก


 


อย่างไรก็ตาม แม้นี่คือช่วงเวลาว่างเล็กๆน้อยๆที่กู่ฉิงซานพอจะมีเวลาได้ผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วในหัวใจของเขากลับบังเกิดความรู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างน่าฉงน


 


ในปัจจุบัน ลั่วชาเฟิงคือนิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังมิได้หลบลี้หนีไป


 


แล้วสตรีแห่งรากษส คนที่เป็นถึงผู้นำนิกาย กลับดันมามอบหน้ากากใบนี้ให้กับตนเอง


 


ความหมายของการกระทำของเธอคืออะไรกันแน่?


 


หากในหัวใจของสตรีแห่งรากษสมีฉีหยานอยู่จริงๆ เรื่องนี้มันคงทำให้ผู้คนพากันหัวเราะจนฟันร่วงเป็นแน่


 


บอกตรงๆเลยว่า กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน


 


ดังนั้น หน้ากากชิ้นนี้ จะต้องมีความนัยบางอย่างแฝงเอาไว้อย่างแน่นอน


 


และช่วงเวลานี้ อสูรวิญญาณของสตรีแห่งรากษส – จิ้งจอกขาวก็มิได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นคงถึงเวลาแล้วที่ตนจะต้องทำการศึกษาหน้ากากนี้อย่างจริงจัง


 


ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะหยิบหน้ากากสตรีแห่งรากษสขึ้นมา


 


และแทบจะทันที ในวิสัยทัศน์ของเขา หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้กระพริบไหวทันใด


 


กู่ฉิงซานตกใจในทีแรก และอดไม่ได้ที่จะวางหน้ากากลง


 


แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ยกหน้ากากที่ว่าขึ้นมาอีกครั้ง ยื่นมันขึ้นมาตรงหน้า ประสานตาต่อตาและเริ่มแสดงออกถึงความสุขยามเมื่อได้มองมัน


 


ตลอดทั้งกระบวนการก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ตัวหน้ากากไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งการสั่นไหวเพียงเล็กน้อย


 


กู่ฉิงซานจ้องมองหน้ากากอย่างพิถึพิถัน ทำท่าทีราวกับว่ากำลังชื่นชมความงดงามของสตรีแห่งรากษสอยู่


 


ทว่าแท้จริงแล้ว สายตาเขากลับมุ่งความสนใจไปกับหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


แท้จริงแล้วกลับเห็นแค่เพียงในส่วนล่างของหน้าต่างระบบเทพสงคราม ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ที่สาดแสงสีเลือดออกมา


 


บรรทัดแสงตัวอักษรสีเลือดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงใจกลางของหน้าต่างระบบ


 


“คุณได้ค้นพบหน้ากากของสตรีแห่งรากษส”


 


“คุณได้รับใบหน้าของสตรีแห่งรากษส”


 


“ใบหน้าของสตรีแห่งรากษสเป็น ‘วิชาลี้ลับ’และ ‘สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่ง’ , เริ่มทำการแสดงรายละเอียดของวิชาจำเพาะ มีดังต่อไปนี้ :”


 


“วิชา : ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ”


 


“ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ : คุณจะสามารถเรียนรู้ที่จะแยกแยะถึงองค์ประกอบขั้นพื้นฐานที่สุดของทุกสิ่งอย่างได้ และจะได้รับความสามารถในการเปลี่ยนตนเองให้เป็นสสารชนิดนั้นๆ”


 


“คำอธิบาย : คุณจะต้องได้รับส่วนประกอบของวัตถุดังกล่าวมาเสียก่อน จากนั้นจึงทำการแยกแยกแยะถึงคุณสมบัติขององค์ประกอบและกฏเกณฑ์ เพื่อที่จะปลอมตัวอำพรางเป็นวัตถุดังกล่าว”


 


“หมายเหตุ : คำว่าทุกสิ่งอย่างในที่นี้ หมายความว่าสิ่งนั้นจะต้องเป็นวัตถุที่ไม่มีจิตวิญญาณ”


 


“คำเตือน : นี่มิใช่สิ่งประดิษฐ์ที่แท้จริง ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถที่จะได้รับวิชาลี้ลับจากมันได้”


 


บังเกิดความเงียบงันขึ้นบนแท่นเวที กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่ามีเสียงสายฟ้าฟาดลงเข้ากลางเบ้าหูของตัวเอง


 


กู่ฉิงซานพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบบนใบหน้าเอาไว้


 


เขาค่อยๆวางหน้ากากลง ยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง และซดน้ำชาที่เหลือเพียงน้อยนิดในแก้วหมดลงในอึกเดียว


 


-การเคลื่อนไหวของเขามิได้แตกต่างจากเดิมเลย แต่มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเท่านั้นที่ผุดขึ้นมา


 


การแสดงออกของเขาราวกับว่าพึ่งเสร็จสิ้นจากการเพลิดเพลินไปกับการรับชมถึงความงดงามอันหาที่ใดเปรียบ


 


หน้ากากของสตรีแห่งรากษสได้เปิดเผยให้เห็นถึงความงดงามของเธอโดยสมบูรณ์


 


“พวกเจ้าได้ความว่าอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากถามปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง


 


“รอก่อน” เย่หยิงเหมยกล่าว


 


เธอยังคงอยู่ในระหว่างการแลกเปลี่ยนจิตสัมผัสเทวะกับเซ่าหวูชุ่ย


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อได้ออกไปแล้ว ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงต้องเป็นผู้ไปหยิบกาน้ำชามาด้วยตนเอง และรินมันลงบนถ้วย


 


เขายกถ้วยชาที่กำลังร้อนๆและปริ่มไปด้วยชาวิญญาณชั้นดีขึ้นมา


 


หมอกละอองน้ำพวยพุ่งขึ้นจากถ้วย และมันช่วยปกคลุมบดบังใบหน้าของเขาเล็กน้อย


 


เมื่อมาถึงเวลานี้ สีหน้าที่ใช้เล่นละครอยู่ตลอดเวลาของกู่ฉิงซานจึงได้คลายลง


 


ในความเป็นจริงแล้ว บนโลกล่องเวหาใบนี้ จู่ๆเขากลับได้ค้นพบกับวิชาลี้ลับอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน!


 


นี่มันเป็นสิ่งที่ตัวเขามิเคยได้คาดคิดมาก่อนเลย!!


 


ร่างใหญ่อายุ 100000 ปี ได้สอน ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตให้แก่เขา


 


และความลี้ลับของทุก ‘สรรพชีวิต’ นี้ มันจะช่วยให้ตนสามารถแปรสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดก็ได้ที่ ‘มีจิตวิญญาณ’


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้เข้ามายังโลกใบใหม่นี้ จู่ๆตนก็ได้พบเจอกับ ความลี้ลับของทุก ‘สรรพวัตถุ’ อย่างกระทันหัน และการแสดงผลก็มันก็คือ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปรสภาพเป็นวัตถุอื่นใดก็ได้ที่ ‘ไม่มีจิตวิญญาณ’


 


และวิชายุทธเทพสงครามก็ได้ย้ำเตือนให้เขาระวังเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนี้


 


“คำเตือน : นี่มิใช่สิ่งประดิษฐ์ที่แท้จริง ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถที่จะได้รับความลี้ลับจากมันได้”


 


กล่าวได้ว่า ในอีกความหมายนึงก็คือ–


 


หน้ากากหยกวิญญาณที่บางเบาราวกับปีกจั๊กจั่นใบนี้ —แท้จริงแล้วก็คือสตรีแห่งรากษสที่ปลอมตัวมา!


 


เธอได้ใช้ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ แปรสภาพตนเองให้กลายเป็นหน้ากากหยกวิญญาณ และถูกส่งมอบให้เก็บไว้ข้างกายของฉีหยาน!!


 


เธอต้องการที่จะล่วงรู้ถึงเรื่องลับภายในที่เกิดขึ้นกับนิกายกวงหยาง


 


และเธอก็ได้ประสบความสำเร็จแล้ว!


 


เธอไม่เพียงได้ยินถึงเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสสูงสุดผู้นำนิกาย แต่ยังรู้ถึงการร่วมมือกันของสามปรมาจารย์ตำหนัก และการดำรงอยู่ของสองโลกใหม่ — ทั้งหมดได้ผ่านหูเธอไปจนหมดสิ้น


 


สตรีแห่งรากษสได้ยินทุกอย่างเลย!


 


กู่ฉิงซานพยายามยับยั้งอารมณ์ที่กำลังกระชากไปมาอย่างต่อเนื่อง บนใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความรุนแรงเล็กน้อย


 


“ขอขัดจังหว่ะหน่อยนะ”


 


เขาหันไปกล่าวกับทางสองปรมาจารย์ตำหนัก


 


“ก่อนที่พวกเราจะหารือกันต่อ ข้ามีบางสิ่งที่ต้องการจะรบกวนปรมาจารย์ตำหนักเซ่า” เขาเอ่ยต่อ


 


“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม


 


“ข้าอยากจะให้ศิษย์ข้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขึ้นเป็นประทับเทพในทันที สหายเซ่า เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบค่ายกลทั้งหมดในนิกายนี่นา ข้าจึงต้องการให้เจ้าช่วยอำนวยความสะดวกให้สักเล็กน้อย”


 


สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยผ่อนคลายลงทันใด ปากเอ่ยกล่าว “เรื่องนี้ไม่นับว่ายากเย็นอะไร”


 


ว่าแล้วเขาก็โยนตราในมือออกไป


 


ตราที่ว่าลอยไปและมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของ ‘กู่ฉิงซาน’


 


“ขอบเขตประทับเทพอย่างงั้นสินะ ขอให้ข้าได้ขบคิดเกี่ยวกับมันสักครู่ – อืมมม เจ้าคงต้องไปใช้ค่ายกลรูนทมิฬ และค่ายกลที่ว่ามันจะสามารถถูกเปิดใช้งานได้ด้วยตรานั่น เมื่อเปิดใช้งานแล้ว ตัวเจ้าก็จะถูกส่งไปยังกระแสมิติอันเชี่ยวกราด แล้วถึงเวลานั้น ศิษย์เจ้าก็สามารถทำการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ตามสบาย”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม “ข้าทราบถึงเรื่องนี้ดี แต่ศิษย์ข้าน่ะมักจะเป็นตัวชอบสร้างปัญหา เพราะอย่างไรก็ดี เขาน่ะเป็นผู้ฝึกดาบ บางครั้งจึงชอบทำอะไรเสี่ยงๆไม่ยั้งคิดไปบ้าง ข้าละอดเป็นห่วงเขาไม่ได้จริงๆ”


 


“แบบนั้นไม่ดีแน่ มันมิใช่เรื่องน่าตลกเลย” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวด้วยความเคร่งขรึม


 


เมื่อคิดถึง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศแห่งวิถีดาบ ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความเอ็นดูในพรสวรรค์ของอีกฝ่ายขึ้นมา


 


ฉีหยานยังมิได้รับเขาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ และหากมันมิได้อธิบายสิ่งต่างๆให้กับ ‘กู่ฉิงซาน’ เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็ บางทีในระหว่างการก้าวข้ามโทษทัณฑ์ มันอาจจะเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ได้


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซ่าหวุชุ่ยก็กล่าวออกมาว่า “ฉีหยาน เจ้ายังมิได้ยอมรับเขาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการเลย  และตัวเจ้าเองก็คงจะไม่มีเวลามาสอนศิษย์หรอก มันจะดีกว่าไหม หากมอบกู่ฉิงซานให้ข้า แล้วข้าจะสอนสั่งเทคนิคดาบของนิกายให้แก่เขาเอง”


 


“เจ้าไปจัดการมารที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหวังหงษ์เต๋าให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยมาวุ่นวายเรื่องของคนอื่น” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา


 


เซ่าหวูชุ่ยพูดไม่ออกทันที


 


เมื่อเห็นแบบนั้นเย่หยิงเหมยก็เริ่มที่จะไกล่เกลี่ยว่า “มิติที่ว่างเปล่ามันช่างกว้างใหญ่นัก ชนิดที่ว่าไม่สามารถสำรวจขอบเขตของมันได้โดยสมบูรณ์ ขณะที่หากเปิดใช้ค่ายกล มันก็จะทำงานโดยการดึงดูดเขาเข้าไปในพื้นที่แบบสุ่ม หากให้ไปโดยลำพัง ก็คงยากที่จะกลับมาได้ด้วยตนเอง”


 


“ดังนั้น ถ้าหากจะให้ทุกอย่างราบรื่น ให้ตราแก่เขาเพียงอย่างเดียวมันยังไม่พอ แต่เจ้าจะต้องเข้าไปกับเขาด้วย” เธอกระตุ้นเตือน


 


“แน่นอน เรื่องนั้นข้ารู้หรอกน่า” กู่ฉิงซานรับเอาตรามา


 


เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีและเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้ามีเวลาพูดกับข้าแล้วเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าค้นพบวิธีแก้ปัญหาแล้วใช่หรือไม่?


 


เย่หยิงเหมยกล่าว “แท้จริงแล้วเราก็พอจะคิดถึงวิธีที่พอจะสามารถจัดการกับหวังหงษ์เต๋าได้อยู่บ้าง”


 


“มันคือวิธีใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เขามองไปที่เย่หยิงเหมย ทว่าในหางตาของเขาก็ยังคงให้ความสนใจอยู่กับหน้ากากหยกวิญญาณของสตรีแห่งรากษสอยู่


 


หน้ากากที่ถูกวางไว้อยู่บนโต๊ะอย่างเงียบๆ แม้จะมันนิ่งงันไม่ไหวติง …


 


แต่สตรีแห่งรากษสอยู่ที่นี่เสมอมา …


 


และเธอกำลังตั้งใจฟังอย่างจริงจัง เกี่ยวกับแผนการสมคบคิดของสามปรมาจารย์ตำหนักแห่งนิกายกวงหยาง!!!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.445 – แทนที่


 


สีหน้าของเย่หยิงเหมยเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความทรงจำในครั้งอดีต เธอเอ่ยปากออกมาว่า “ในช่วงเวลานานนับปีที่ผ่านพ้น แม้พวกเราถูกควบคุมโดยเขาตลอดมา แต่ในระหว่างนั้นก็มิได้ทิ้งเวลาไปอย่างเสียเปล่า สายตาของพวกเราคอยสอดส่องทุกการกระทำของเขาอยู่ตลอดเวลา และขณะเดียวกันก็ค่อยๆแอบทุ่มทั้งเวลาและทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อตระเตรียมกำจัดเขาอย่างลับๆ”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า และส่งสัญญาณให้ฝ่ายตรงข้ามพูดต่อ


 


เย่หยิงเหมย “ข้าลอบสังเกตจนกระจ่างแจ้งถึงกระบวนท่าของหวังหงษ์เต๋า จึงได้ลอบหลอมสมบัติมนตราที่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้อยู่หลายครั้งขึ้น”


 


เซ่าหวูชุ่ย “ข้าลอบสังเกตจนกระจ่างแจ้งถึงจุดที่บาดเจ็บร้ายแรงมากที่สุดในร่างกายของหวังหงษ์เต๋า และได้ลอบหลอมสมบัติมนตราไว้ชิ้นหนึ่ง และแม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่มันย่อมต้องสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงต่อเขาได้อย่างแน่นอน”


 


เย่หยิงเหมยถอนหายใจ “นี่คือสิ่งที่พวกเราเตรียมการเอาไว้เพื่อที่จะต่อสู้เป็นตายกับเขา”


 


“พวกเจ้าคงลำบากมาไม่น้อยเลยสินะ”


 


กู่ฉิงซานกำลังย้อนคิด ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน


 


สตรีแห่งรากษสคือปรมาจารย์เฟิงแห่งลั่วชาเฟิง แม้ว่าพื้นฐานวรยุทธจะไม่นับว่าเป็นที่สุด แต่เนื่องเพราะเธอสามารถรับสืบทอดมรดกของลั่วชาเฟิงได้ ดังนั้นจึงนับว่ามีอำนาจสูงสุดในลั่วชาเฟิง และสี่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตในนิกายจักต้องเชื่อฟังเธอ


 


จวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ เธอก็ยังคงแฝงกายเป็นหน้ากาก และไม่คิดลงมือเคลื่อนไหวใดๆ


 


ซึ่งกู่ฉิงซานคาดว่าคงจะมีเพียงเหตุผลข้อเดียวเท่านั้น ที่เธอยังคงเลือกที่จะทำเช่นนี้-


 


-เฉกเช่นเดียวกันกับเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยนั่นแหละ! มันเป็นเพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่อาจล่วงรู้พิกัดของสองโลกที่ฉีหยานปกปิดเอาไว้ได้!


 


หากไม่มีพิกัด มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะค้นหา และนั่นหมายถึงไม่สามารถไปยังสองโลกได้!


 


หากไม่มีพิกัด ทั้งสองโลกก็เปรียบดั่งดวงจัทร์ที่สะท้อนอยู่ในแอ่งน้ำ แม้จะมองเห็นด้วยด้วยตาเปล่า ทว่ามิอาจเอื้อมมือไปสัมผัสต้องได้


 


ดังนั้น ถึงแม้ว่าหวูซานจะเปิดเผยถึงการดำรงอยู่ของโลกใหม่แล้วก็ตามที แต่ตัวมันเองก็หาได้รู้พิกัดไม่ ซึ่งสำหรับสองปรมาจารย์ตำหนักและสตรีแห่งรากษสแล้ว ในทางปฏิบัติมันแทบจะไม่มีความหมายใดๆเลย


 


สองปรมาจารย์ตำหนักจึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องร่วมมือกับฉีหยาน


 


ส่วนสตรีแห่งรากษสก็เท่าได้แค่อำพรางตัวต่อไป โดยมีจุดประสงค์เป็นการเฝ้ารอคอยที่จะล้วงความลับของโลกใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น


 


กู่ฉิงซานขบคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ และได้ทำการพิจารณาเล็กน้อยในจิตใจ


 


เขายื่นมือออกไปและกล่าว “จงมอบสมบัติมนตราของเจ้ามา แล้วหวังหงษ์เต๋าจะถูกสังหารลงภายใต้เงื้อมมือของข้าเอง”


 


“เจ้าแน่ใจหรือ? แต่เจ้าเป็นแค่ระดับขีดสุดความว่างเปล่าขั้นต้นเท่านั้นเองนะ” เย่หยิงเหมยมองเขาและกล่าว


 


“ขั้นต้นแล้วอย่างไร? ยังไงข้าก็ไม่เหมือนกับเจ้าที่จะต้องมาคอยกังวลเรื่องไร้สาระมากมายอยู่ดี”


 


“ย้ำอีกครั้ง บนกายเจ้าน่ะมีผนึกต้องห้ามของหวังหงษ์เต๋าอยู่ จึงไม่สามารถลงมืออย่างเต็มกำลังได้ และหากเจ้าไม่สามารถสังหารเขาได้ ก็ย่อมต้องเป็นข้าที่ตกตายลงด้วยน้ำมือของเขา”


 


“ดังนั้น มันจะเป็นการดีกว่าสำหรับข้า หากให้ข้าหาหนทางออกด้วยตัวเอง แบบนี้ข้าจึงจะค่อยสบายใจหน่อย”


 


หลังจากที่สองปรมาจารย์ตำหนักรับฟังอย่างใจเย็น พวกเขาก็ได้โอนเอนไปตามความคิดของฉีหยาน


 


เซ่าหวูชุ่ยกล่าวเสียงหนักอึ้ง “เพื่อป้องกันไม่ให้หวังหงษ์เต๋าล่วงรู้ความลับ พวกเราจึงมิกล้าพกพาสมบัติเหล่านั้นเอาไว้กับตัว แต่ได้ซ่อนมันไว้ที่เกาะลอยฟ้าธรรมดาๆแห่งหนึ่งในอากาศ และประทับตราบนสมบัติมนตราเหล่านั้นเอาไว้ ทำให้นอกเหนือไปจากพวกเรา จะไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้”


 


เย่หยิงเหมยกล่าวอย่างซื่อตรง “ฉีหยาน ขอพูดแบบเปิดอกคุยกันเลยนะ กระทั่งตอนนี้ ตัวข้าเองก็ยังไม่ไว้วางใจเจ้าอยู่ดี”


 


เซ่าหวูชุ่ยพยักหน้าเห็นด้วย


 


“นี่มันเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ”


 


กู่ฉิงซานยกมือขึ้นและกล่าวคำมั่นสาบานว่า “หากเจ้ามอบสมบัติมนตราให้แด่ข้า ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะนำตัวหวังหงษ์เต๋าไปสู่ความตาย หากละเมิดคำมั่นนี้ ขอให้ตนถูกลงทัณฑ์โดยฟ้าดิน”


 


บังเกิดลมวนที่มองไม่เห็นขึ้นรอบตัวกู่ฉิงซาน ตามด้วยเสียงกระหึ่มจากท้องฟ้าเบื้องบน


 


คำมั่นสาบานได้ถูกรับรู้แล้ว


 


เย่หยิงเหมยเมื่อเห็นว่าฟ้าดินเป็นพยานแล้ว รอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าเธอ


 


ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยจ้องมองมาทางกู่ฉิงซานอยู่เนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยคำใด แต่ภายในแววตาของเขาดูเหมือนจะกระพริบไหวไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน


 


ฉีหยานถึงขั้นบีบบังคับให้ชีวิตของตนเองมาถึงทางตัน มิหลงเหลือตัวเลือกใดๆให้ตนเองเลย เพียงเพื่อที่จะให้หวังหงษ์เต๋าตาย


 


กระทั่งฟ้าดินก็ยังเป็นพยานต่อคำมั่นอันร้ายแรงนี้แล้ว เช่นนั้นยังจะมีผู้ใดที่ไม่อาจทำใจเชื่อฉีหยานได้อยู่อีก?


 


“หากเจ้าแสดงความจริงใจออกมาถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ตกลง” เย่หยิงเหมยกล่าว


 


ณ จุดๆนี้ บอกตรงๆว่ากระทั่งตัวเธอเองก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมฉีหยานเล็กน้อย


 


-ช่างเด็ดเดี่ยว และไร้หัวใจ


 


กล้าเปล่งคำสาบถสาบานดั่งพิษร้ายเช่นนี้ แล้วยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่มิยินยอมเชื่อใจเขา?


 


ถึงขั้นยอมโยนตนเองให้ตกที่นั่งลำบาก ดีกว่าปล่อยให้ผู้อื่นไปรับหน้ากับขอบเขตลมปรารณจิตโดยที่ตนไม่สบายใจ


 


เขานี่มันงูพิษที่ไม่สมควรจะยั่วยุโดยแท้!


 


เย่หยิงเหมยรู้สึกว่าตนโชคดีเล็กน้อย


 


-โชคดีที่เธอมิได้ลงมือทำอะไรกับฉีหยานตั้งแต่ตอนแรก


 


“การนำสมบัติมนตราทั้งสองชิ้นกลับมา และปลดตราประทับ มันค่อนข้างที่จะใช้เวลาเล็กน้อย”


 


“จากข่าวกรองของเรา ภายในครึ่งวันท่านอาจารย์จะยังคงไม่กลับมาที่นี่” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวเสียงหม่น


 


“เช่นนั้นก็ดี พวกเจ้าคนหนึ่งแยกไปเอาสมบัติมนตรามาก็แล้วกัน”


 


กู่ฉิงซานลุกขึ้นและกล่าว


 


“แล้วเจ้าจะไปไหน?” เซ่าหวูชุ่นเลื่อนสายตามองตามการเคลื่อนไหวของเขา ปากเอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซานไม่ตอบ แต่กลับเดินไปยังขอบเวทีและกวักมือเรียกฉินรั่ว


 


“นายน้อย?” ฉินรั่วเอ่ยปาก


 


“พวกเรากลับกันเถอะ”


 


“เจ้าค่ะ”


 


ฉินรั่วประคองมือของเขา และเบนกายมายืนเคียงข้าง


 


กู่ฉิงซานหันหน้ากลับมา แล้วพูดว่า “ข้าจะไปเตือนสติกู่ฉิงซาน เกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะตัดผ่าน แล้วจะกลับมาเร็วๆนี้”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าทันใด


 


นั่นสินะ ก็ลูกศิษย์ของฉีหยานกำลังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพนี่นา


 


“เจ้าก็รออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”


 


ว่าแล้ว กู่ฉิงซานก็เดินจากไป


 


แต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดฝีเท้า และหันมาเอ่ยปากอีกครั้งว่า “ศิษย์น้องหยิงเหมยเจ้าไปเอาของที่ว่ามา ส่วนสหายเซ่า เวลานี้เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในนิกาย ดังนั้นเจ้าจะต้องคอยอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องนิกายเอาไว้”


 


เย่หยิงเหมยพยักหน้าเห็นด้วย


 


เวลานี้สองผู้ฝึกยุทธของเขตลมปราณจิตมิได้อยู่ในนิกาย ส่วนตนเองก็กำลังจะออกไป ฉะนั้นแล้วหากบังเอิญถูกลอบโจมตีโดยนิกายอื่นในช่วงเวลานี้ มันคงกลายเป็นเรื่องขบขันอย่างแท้จริง


 


ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งเช่นนี้ ฉีหยานยังสามารถตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ นับว่าสมควรแล้วที่เขาได้รับตำแหน่งเป็นปรมาจารย์ตำหนัก


 


เธอหันไปมองทางเซ่าหวูชุ่ย


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยปาก “ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เจ้าวางใจเถอะ”


 


“เช่นนั้นข้าขอตัวไปนำสมบัติมนตรา” เย่หยิงเหมยกล่าว


 


กู่ฉิงซานหันไปส่งสัญญาณตาให้ฉินรั่ว และเดินกลับไปยังทิศทางลานบ้านของตนเอง


 


ขณะที่เย่หยิงเหมยก็ออกจากค่ายกลที่ปกคลุมอยู่รอบเวที และหายลับไปในท้องฟ้า


 


มีเพียงเซ่าหวูชุ่ยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในเวที เฝ้ารอคอยทั้งสองอย่างใจเย็น


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ


 


แต่แล้วสักพักหนึ่ง เซ่าหวูชุ่ยก็พลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง


 


“บ้าจริง! ดันถูกเจ้าฉีหยานมันหว่านล้อมเอาซะได้”


 


เซ่าหวูชุ่ยบ่นงึงมด้วยความหงุดหงิด


 


“เจ้าบ้านั่นยังไม่ยอมบอกเกี่ยวกับเรื่องที่มันตามตื้อสตรีแห่งรากษสเลย … หรือว่าเขายังมีแผนการอื่นอยู่อีกกันแน่นะ?”


 


เซ่าหวูชุ่ยหันไปมองบริเวณที่นั่งของฉีหยาน


 


บนโต๊ะน้ำชา บัดนี้หน้ากากของสตรีแห่งรากษสได้ถูกนำออกไปแล้วโดยฉีหยาน


 


สีหน้าท่าทีของเซ่าหวูชุ่ยค่อยๆหม่นทะมึนลง


 


เจ้าฉีหยานผู้นี้ เป็นคนที่รับมือได้ยากเย็นยิ่งจริงๆ


 


เกรงว่าบางที ต่อให้ตนเองเอ่ยถามเรื่องนี้ออกไปอีกรอบ อีกฝ่ายก็คงไม่คิดจะเผยเรื่องนี้ออกมาอยู่ดี


 


แต่ยังไงก็ถือว่าโชคดีจริงๆ ที่เจ้างูพิษนั่นกำลังจะไปสู้เป็นตายกับหวังหงษ์เต๋า


 


เซ่าหวูชุ่ยพึมพำ


 


ฉีหยานกำลังทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับหวังหงษ์เต๋า …


 


สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวเขาที่ได้รับผลประโยชน์มิใช่หรือ


 


พอคิดมาถึงจุดนี้ จ้าวหวูชุ่ยก็พยักหน้าเล็กน้อย


 


…..


 


ไม่ต้องรีรอให้เซ่าหวูชุ่ยรอนานนัก


 


ฉีหยานก็กลับมายังเวทีอีกครั้ง แล้วนั่งประจำตำแหน่งตนเอง


 


ขณะที่ฉินรั่วค่อยๆยกชาวิญญาณขึ้น และประกบขอบถ้วยลงบนริมฝีปากของฉีหยาน


 


“ช่างรวดเร็วยิ่งนัก” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว


 


“ศิษย์ข้าเป็นต้นกล้าชั้นยอด ประสาทสัมผัสของเขาสอดคล้องกับเจตจำนงแห่งดาบเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงกระจ่างแจ้งในทุกๆคำแนะนำได้อย่างรวดเร็ว ดูทีแล้วในอนาคต เขาอาจจะเหนือล้ำยิ่งกว่าเจ้าและข้าก็เป็นได้”


 


เซ่าหวูชุ่ยเค้นถาม “แต่การก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณนะ เจ้าได้ตระเตรียมมันไว้ให้ศิษย์เจ้า พร้อมแล้วใช่หรือไม่?”


 


“ข้าจดจำไม่ได้ว่าค่ายกลก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของประทับเทพมันจำต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนเท่าใด ก็เลยหยิบยื่นให้เขาไปแบบส่งๆเรียบร้อยแล้ว” ฉีหยานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


“เหอะ! ข้าขอเดาว่าเจ้าคงไม่คิดจะจดจำเรื่องพวกนี้เสียมากกว่า ข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน มันจำเป็นต้องใช้ทั้งหมดเจ็ดค่ายกล ค่ายกลละ 7 โดยรวมแล้วทั้งสิ้น 49 ศิลาวิญญาณ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง


 


49 ศิลาวิญญาณ?


 


พอได้ยิน ‘ฉานนู่’ ก็ชะงักงันไป และขบคิดเล็กน้อย


 


มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กู่ฉิงซานเอ่ยถามเธอว่า ต้องการศิลาวิญญาณหรือไม่ และเธอก็ได้ให้คำตอบแก่เขาไปว่าไม่ต้องการ


 


ขณะที่ในถุงสัมภาระของกู่ฉิงซาน บางทีอาจจะมีศิลาวิญญาณนับไม่ถ้วนบรรจุอยู่ในกล่อง แล้วกล่องที่ว่านั้นก็มีอยู่มากมายนับร้อยๆ!


 


แต่นี่กลับต้องการแค่ 49 ศิลาวิญญาณ …


 


เมื่อจินตนาการไปถึงความขาดแคลนของทรัพยากรบนโลกใบนี้และได้ยินถึงสิ่งที่เซ่าหวูชุ่ยกล่าว สีหน้าของ ‘ฉานนู่’ ก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่ง


 


ฉีหยานขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงต้องใช้ศิลาวิญญาณมากมายถึงเพียงนั้น?”


 


เซ่าหวูชุ่ยกล่าว “ขอบเขตประทับเทพมิใช่เล็กจ้อย เจ้าจะต้องเติมศิลาวิญญาณเข้าไปในค่ายกลให้ครบ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ค่ายกลเกิดความล้มเหลวขึ้นขณะที่ศิษย์เจ้ากำลังอยู่ในระหว่างการข้ามผ่านโทษทัณฑ์”


 


“เช่นนั้นก็วางใจได้ เพราะข้าได้มอบศิลาวิญญาณให้แก่กู่ฉิงซานไปมากกว่า 100 ชิ้น แม้ว่าเขาจะใช้มันกับค่ายกลข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในระดับที่สูงยิ่งกว่า ศิลาวิญญาณเหล่านั้นก็นับว่ายังมากพออยู่ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อีก”


 


เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


‘นี่ฉีหยานมีศิลาวิญญาณมากมายขนาดนี้เลยหรือ?’


 


พอได้ฟังได้เห็นถึงคำพูดและท่าทีของฉีหยาน มันดูราวกับว่าเจ้าตัวมีศิลาวิญญาณเก็บสำรองไว้มากมายอย่างนั้นแหละ


 


นี่มันไม่ถูกต้อง …


 


จริงอยู่ที่ฉีหยานเป็นคนมือเติบและมักจะใช้สอยศิลาวิญญาณที่ตนมีต่อหน้าสาธารณชน


 


แต่เขาไม่สมควรที่จะมีศิลาวิญญาณเอาไว้ในครอบครองมากมายขนาดนี้นี่นา?


 


แล้วเซ่าหวูชุ่ยก็ได้สติกลับคืน


 


-ใช่แล้ว ต้องเป็นโลกใหม่แน่ๆ!


 


เซ่าหวูชุ่ยกำหมัดของเขา ในหัวใจบังเกิดความกระจ่างชัด


 


ฉีหยานมันมีสองโลกใหม่อยู่ในมือนี่นา!


 


ไม่รีรอให้เซ่าหวูชุ่ยได้ขบคิดต่อ ฉานนู่มิได้เอ่ยตอบอะไรแก่เขา ตนตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเม็ดยารักษาออกมากินจนเกลี้ยง


 


“ครั้งก่อนในโลกใหม่ ข้าได้ต่อกรกับผู้ฝึกดาบจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เลยจำเป็นต้องนั่งสมาธิเพื่อทำการพักฟื้น”


 


“งั้นก็เอาไว้รอศิษย์น้องหยิงเหมยกลับมาก่อนเถอะ แล้วเราค่อยพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอีกที”


 


ฉานนู่นั่งขวาทับซ้าย ทำสมาธิ และเริ่มเข้าสู่สถานะควบคุมลมหายใจรักษาอาการบาดเจ็บ


 


การรักษา นับว่าเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดแล้ว


 


แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์และทักษะของกู่ฉิงซาน แต่ฉานนู่ก็มิได้มีภูมิปัญญาละเอียดอ่อนเท่ากับกู่ฉิงซาน


 


เพราะนั่นเป็นคุณลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล มันย่อมไม่สามารถลอกเลียนด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ได้


 


หากต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ซับซ้อน กู่ฉิงซานจะต้องเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเองเท่านั้น!


 


ดังนั้น ภารกิจหลักของฉานนู่ในตอนนี้ก็คือถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานที่สุด!


 


—ถ่วงเวลาไปจนกระทั่งถึงกู่ฉิงซานสามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตประทับเทพ


 


ทัณฑ์สายฟ้าของก้าวสู่เทพจะเป็นการใช้เวลาตลอดทั้งวันคืน ซึ่งนั่นนับว่าเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธเป็นอย่างมาก


 


ขณะที่ทัณฑ์สายฟ้าของประทับเทพน่ะกินเวลาไม่นานเท่าใดนัก ทว่าความรุนแรงของสายฟ้าจะถูกยกระดับไปจนถึงขั้นน่าหวาดผวา! ผู้ฝึกยุทธอาจถูกสังหารได้ตลอดเวลาหากเขาประมาท


 


ขณะที่เมื่อคุณตัดผ่านเข้าไปยังขอบเขตร่างเทวะ คุณก็จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับนางเซียนไป่ฮั่ว นั่นคือจักต้องทำลายสายฟ้าให้ได้โดยสมบูรณ์ จากนั้นก็พยายามข้ามผ่านทัณฑ์สายลมให้สำเร็จ


 


กู่ฉิงซานกำลังจะเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าของขอบเขตประทับเทพ และเขาจะต้องทำลายมันให้ได้โดยสมบูรณ์ จึงจะข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ!


 


และหากเป็นไปได้ เขาคงต้องเร่งมือทำเวลาให้ดีที่สุด


 


เพราะฉานนู่คงถ่วงเวลาได้ไม่นานนัก


 


เมื่อไหร่ที่เย่หยิงเหมยกลับมา สามปรมาจารย์ตำหนักก็จะเริ่มวางแผนกันอย่างเป็นทางการ และจะเริ่มทำการกำหนดกลยุทธ์ที่จะใช้กำจัดหวังหงษ์เต๋า


 


หากในเวลานั้น กู่ฉิงซานยังไม่กลับมา นั่นหมายความว่าฉานนู่ต้องดำเนินการแทนที่เขาด้วยตัวเธอเอง


 


เธอมีความสามารถและประสบการณ์ของกู่ฉิงซาน และแน่นอนว่ารวมไปถึงทักษะการแสดงด้วยก็จริง แต่เธอไม่สามารถบรรลุทุกการกระทำเฉกเช่นเดียวกันกับกู่ฉิงซานได้


 


สองปรมาจารย์ตำหนักเป็นตัวตนเช่นใดกัน? หากฉีหยานแสดงท่าทีผิดปกติเล็กน้อยออกมา ทุกอย่างก็ย่อมจะถูกเปิดโปงทันที


 


ในขณะนั้นเอง บนเวทีสูง


 


ฉานนู่จึงได้ตัดสินใจเข้าสู่ภวังค์สมาธิอย่างรวดเร็ว


 


เซ่าหวูชุ่ยเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตนเองจริงๆ


 


เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แม้จะหนักใจ แต่ก็ไม่คิดมุ่งความสนใจไปยังอีกฝ่ายอีกต่อไป


 


เดิมทีตนตั้งใจจะวางแผนที่จะยกหัวข้อเรื่องลูกศิษย์ขึ้นมาพูดก่อนเป็นเรื่องแรก แล้วค่อยๆโยงไปเรื่องของโลกใหม่ และจบที่เรื่องของสตรีแห่งรากษส แต่ใครจะรู้ ฉีหยานกลับตอบโต้ด้วยการกระทำเช่นนี้ออกมา


 


นี่มันช่างน่ารำคาญจริงๆ แต่หากอีกฝ่ายอยู่ในสถานะเช่นนี้ ตนก็ไม่สมควรที่จะรบกวนเขา


 


เพราะท้ายที่สุดนี้ จักต้องเป็นฉีหยานที่จะรับมืออย่างเต็มรูปแบบกับหวังหงษ์เต๋า


 


เซ่าหวูชุ่ยหุบปากลง และทิ้งตัวลงบนเก้าอี้


 


เขาจ้องมองการรักษาตัวของฉีหยาน  และขบคิดทุกเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป แต่ผ่านไปสักพักหนึ่ง ความรู้สึกกังวลในจิตใจของตนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง .. เขาไม่อาจทำใจให้สงบได้เลย!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.446 – ก้าวเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่า


 


อีกด้านหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานกำตราในมือแน่น และเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกลที่ใช้ในการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์อย่างรวดเร็ว


 


ฉานนู่ได้ใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แปลงกายตัวเองเป็น ‘ฉีหยาน’ แล้วกลับไปรอที่แท่นเวทีก่อนเป็นอันดับแรก


 


และเธอคงจะถ่วงเวลาได้ไม่นานนัก


 


กู่ฉิงซานจึงต้องเร่งก้าวผ่านโทษทัณฑ์ให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับมา แล้วทำการสลับตัวกับฉานนู่อีกครั้ง


 


กล่าวได้ว่ากระบวนการทั้งหมดของทัณฑ์สายฟ้าในขอบเขตประทับเทพกินเวลาไม่ยาวนานนัก


 


และนั่นคือเหตุผลที่กู่ฉิงซานตัดสินใจที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในช่วงเวลานี้


 


ทว่า ส่วนที่ยากที่สุดในการทะลวงฝ่าประทับเทพ ก็คงมิแคล้วเป็นต้องรับมือกับพลังอำนาจอันใหญ่ยิ่งของสายฟ้า


 


เขาจึงตัดสินใจที่จะยกระดับพื้นฐานวรยุทธขึ้นไปยังประทับเทพ ในช่วงเวลานี้ ช่วงที่เย่หยิงเหมยกำลังไปเอาสมบัติมนตรา และหวังหงษ์เต๋ายังไม่กลับมา


 


ไม่ต้องบอกก็คงจะทราบว่าขณะนี้ กู่ฉิงซานกำลังแข่งอยู่กับเวลา


 


เพราะเรื่องที่ต้องกังวลไม่ใช่มีเพียงเรื่องที่กล่าวมา แต่ยังมีเรื่องของสตรีแห่งรากษสที่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับโลกเทวะแล้วอีกด้วย!


 


แต่ยังไงก็ตาม จริงๆแล้วเธอก็ยังไม่ทราบว่าการปลอมตัวของตนถูกจับได้แล้วโดย ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ของกู่ฉิงซานอยู่ดี


 


ดังนั้น เธอที่ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ จึงยังคงเลือกที่จะเฝ้ารออย่างอดทนต่อไป เพื่อต้องการที่จะลอบสืบว่าสิ่งที่ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสามกำลังจะลงมือต่อไปคืออะไรกันแน่


 


ไม่ว่าจะเป็นหวังหงษ์เต๋า , สตรีแห่งรากษส , สองปรมาจารย์ตำหนัก ทั้งหมดก็ล้วนมีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งกว่ากู่ฉิงซานอยู่ถึง 3 – 4 ขอบเขต!


 


สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!


 


กู่ฉิงซานจะต้องคิดหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เข้าถึงความลับของโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธให้ได้


 


ขณะเดียวกัน เขาก็จะต้องหาหนทางหลบหนีออกไปจากโลกล่องเวหาใบนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นกัน


 


นี่นับว่าเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่เคยพบ ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างแท้จริง


 


สถานที่ตั้งของค่ายกลมากมายในนิกาย จะอยู่ในบริเวณส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า


 


และกู่ฉิงซานมาถึงสถานที่ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว


 


เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ


 


ค่ายกลเหล่านี้มีขนาดที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ทุกอันล้วนมีสีดำสนิท


 


กู่ฉิงซานเลือกที่จะกวาดสายตามองค่ายกลทั้งหมดเสียก่อนเป็นอันดับแรก


 


จากข้อมูลที่ได้รับมา ค่ายกลเหล่านี้โดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่สี่ประเภทที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในมิติที่ว่างเปล่า


 


ประเภทแรก คือที่กำลังส่องแสงแวววาวจางๆ นั่นจะเป็นค่ายกลที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตก้าวสู่เทพ


 


มันคือค่ายกลสำหรับก้าวสู่เทพและขอบเขตที่ต่ำกว่า สาวกในนิกาย ไม่ว่าใครก็สามารถใช้พวกมันได้ตลอดเวลา


 


โดยมีวิธีการใช้งานก็คือ คนในนิกายกวงหยางจะเข้าไปในพื้นที่ค่ายกลขนาดเล็กนี้ จากนั้นก็จะถูกส่งตัวเข้าไปในกระแสมิติที่ว่างเปล่า


 


ซึ่งค่ายกลเหล่านี้ ได้ถูกประกอบเข้าด้วยกันเพื่อรับมือกับทัณฑ์สายฟ้าโดยเฉพาะ มันจะดึงดูดทัณฑ์สายฟ้าให้เข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าที่ผู้ใช้งานถูกส่งตัวออกไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะไม่เป็นการรบกวนมารโลกาให้ตื่นขึ้นหรือสัมผัสถึงได้


 


ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตต่ำกว่าก้าวสู่เทพ จึงสามารถที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลได้อย่างสบายใจ


 


ดังนั้น กล่าวได้ว่าคนที่คิดค้นและติดตั้งค่ายกลพวกนี้ขึ้น นับว่ามีพรสวรรค์ และเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูงอย่างแท้จริง


 


กู่ฉิงซานหันไปมองค่ายกลรูนทมิฬอื่นๆ


 


ขอบเขตประทับเทพจนไปถึงขอบเขตพันวิบัติเป็นประเภทที่สอง ทัณฑ์สายฟ้าของพวกมันจะทรงพลังอย่างยิ่งยวดยิ่ง และรุนแรงเกินกว่าที่ค่ายกลประเภทแรกที่กล่าวมาก่อนหน้านี้จะต้านทานได้


 


กู่ฉิงซานจึงจำเป็นต้องข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลรูนทมิฬนี้


 


ข้างๆค่ายกลรูนทมิฬ ยังคงมีหลงเหลือค่ายกลอยู่อีก 2 ประเภท


 


ประเภทแรกคือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า


 


อีกประเภทย่อมไม่พ้นค่ายกลที่ใช้ในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต


 


สำหรับสองขอบเขตหลัง ค่ายกลได้ถูกแยกตัวออกมาเป็นแต่ละประเภทรับมือกับมันโดยเฉพาะ


 


วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงบนค่ายกลลมปราณจิต


 


นี่คือค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด


 


การจะเปิดใช้งานมัน จำต้องจ่ายศิลาวิญญาณออกไปกว่า 196 ชิ้น


 


ซึ่งปริมาณดังกล่าว สำหรับโลกล่องเวหาแล้วนับว่าเป็นอะไรที่สูงค่ายิ่ง


 


ทว่าสิ่งที่กู่ฉิงซานให้ความสนใจน่ะ มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก


 


แต่เป็นเรื่องที่ -ใช้แค่เพียง 196 ศิลาวิญญาณ ก็จะสามารถเปิดใช้งานค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด แล้วถูกส่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ต่างหาก!?


 


ตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานเริ่มฝึกยุทธมา เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย


 


กระทั่งกงซุนซีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ อีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถจำกัดศิลาวิญญาณไว้แค่ 196 ชิ้น เพื่อทำการเปิดใช้งานค่ายกลขนาดใหญ่ได้เลย


 


กู่ฉิงซานค่อยๆชะลอการเคลื่อนไหวลง ก่อนจะหยุดสำรวจค่ายกลลมปราณจิตอย่างระมัดระวัง


 


เขาได้ทำการเก็บ ‘ตรา’ ที่ใช้เปิดค่ายกลของเซ่าหวูชุ่ยกลับคืน


 


เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลานี้ มันจำเป็นต้องทำเวลาให้ดีที่สุด ต้องเร่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการตัดผ่านวรยุทธโดยทันที ทว่ามองไปยังท่าทีการแสดงออกของกู่ฉิงซานขณะนี้ แท้จริงแล้วกลับดูเหมือนว่าเขาไม่เร่งร้อนเลย?


 


เมื่อเก็บตราไป เขาก็เลือกที่จะหยิบศิลาวิญญาณกว่า 196 ก้อนขึ้นมาแทน และวางมันลงแต่ละค่ายกลขนาดเล็ก ที่เชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์สำหรับลมปราณจิต


 


วูบบบบ!


 


ค่ายกลถูกเปิดใช้งานทันที!


 


นี่คือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต! เป็นค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก!


 


กู่ฉิงซานนำถุงสัมภาระใบหนึ่งออกมาทันที


 


นำออกมาโดยที่เขาไม่คิดจะเหลียวมองมันด้วยซ้ำ และนำพาเจ้าถุงที่ว่านั่นเข้าสู่ใจกลางค่ายกลข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิตกับตนเองด้วยเลยโดยตรง


 


เมื่อค่ายกลสัมผัสถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณของเขา มันก็เริ่มต้นทำงานทันที


 


รูนนับไม่ถ้วนผุดออกมา ก่อนจะควบรวมกันกลายเป็นชุดอักษรที่ยากจะอธิบายในอากาศ


 


ค่ายกลได้ถูกกระตุ้นใช้งานแล้ว!


 


แต่อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับเลือกใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วอย่างกระทันหัน


 


เขาหายวับไปในทันใด ทั้งคนทั้งร่างปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้านนอกค่ายกล


 


ขณะที่ถุงสัมภาระถูกทิ้งไว้ในค่ายกลโดยเขา และพร้อมด้วยการทำงานของค่ายกล มันก็ได้ถูกส่งออก … หายวับไปในทันที


 


กู่ฉิงซานมิได้ใช้ตราที่ได้รับมา


 


—ซึ่งหากไม่ใช้ตราแล้วล่ะก็ มันจะเป็นดั่งที่สองปรมาจารย์ตำหนักได้กล่าวเอาไว้ นั่นคือค่ายกลจะทำการส่งผู้ใช้งานมันออกไปในมิติที่ว่างเปล่าแบบสุ่ม


 


นอกจากนี้ ยังเป็นการสุ่มของค่ายกลลมปราณจิตที่ทรงพลังที่สุด ยิ่งทรงพลัง นั่นหมายความว่ามันก็ยิ่งกินอาณาเขตกว้างขวาง! แถมกู่ฉิงซานยังใช้ศิลาวิญญาณยัดลงไปอย่างเต็มที่ ส่งผลให้พิสัยในการสุ่มของมันกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม


 


ขณะนี้ กระเป๋าสัมภาระได้ถูกส่งออกไปแล้ว และมันหายไปยังสถานที่ใดก็ยังไม่มีใครรู้


 


และช่างน่าสงสารสตรีแห่งรากษสที่ปลอมกายเป็นหน้ากากหยกวิญญาณยิ่งนัก เพราะตัวเธอก็ได้ถูกเก็บไว้ในถุงสัมภาระที่ว่านั่น และมิได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!


 


เธอยังคงเฝ้ารอคอยโอกาสอยู่ และพยายามที่จะติดตาม ลอบล้วงข้อมูลจากฉีหยานและสองปรมาจารย์ตำหนัก เกี่ยวกับความลับของโลกใบใหม่ที่ยังมิได้ล่วงรู้


 


รังสีแสงสวรรค์บนค่ายกลค่อยๆจางหายไป


 


การส่งผ่านได้เสร็จสิ้นลงแล้ว


 


196 ศิลาวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นผุยผง


 


ขณะที่สีหน้าของกู่ฉิงซานดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนเลยว่า ผู้คนจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไร เมื่อถูกเก็บเอาไว้ในถุงสัมภาระ


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวสตรีแห่งรากษสแล้ว นางก็คงจะมีสักวิธีแหละน่า


 


มิฉะนั้นแล้ว นางคงไม่กล้าที่จะปลอมแปลงตนเป็นหน้ากากหรอก


 


ตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ทำได้เพียงคาดหวังว่าตนจะโชคดี ในเรื่องที่ตำแหน่งที่ค่ายกลส่งออกไปนั้นห่างไกลมากพอ … มากพอที่จะทำให้สตรีแห่งรากษสมิอาจย้อนคืนกลับมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง


 


… และหวังว่าความอดทนของสตรีแห่งรากษสจะมากพอเช่นกัน


 


เพราะยิ่งมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่ากว่าเธอจะเริ่มรู้ตัวถึงสถานการณ์ของตนเองก็จะยิ่งล่าช้าออกไปมากขึ้นเท่านั้น


 


กู่ฉิงซานหันกลับมา มองไปยังค่ายกลรูนทมิฬอันก่อนหน้า


 


เขาเดินไปวางศิลาวิญญาณบนรูรอบๆค่ายกล จากนั้นจึงเริ่มทำการเข้าสู่ค่ายกล


 


และแน่นอน ว่าคราวนี้ตนเองได้ตบลงในถุงสัมภาระ นำตราที่พึ่งเก็บไปกลับมาไว้ติดตัว


 


จากนั้น ก็เริ่มทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์


 


ค่ายกลสีดำถูกเปิดใช้งานโดยศิลาวิญญาณ  และคราวนี้พวกมันก็สัมผัสได้ถึงตราในมือของกู่ฉิงซาน พริบตานั้นแสงสว่างก็สาดออกมา และห่อหุ้มเขาในทันใด


 


พร้อมกับกู่ฉิงซานที่หายวับไปจากสถานที่เดิม


 


….


 


นี่คือพื้นที่ภายในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด


 


ด้วยการจัดวางค่ายกลของนิกายกวงหยาง ส่งผลให้ทัณฑ์สายลมมิอาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้


 


แน่นอน ว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า ก็ไม่อาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้เช่นกัน


 


แต่ต่อให้พวกที่พึ่งกล่าวมาพบเจอพื้นที่มิติแห่งนี้ แล้วก้าวเข้ามาในพิสัยค่ายกล พวกมันก็จะถูกค่ายกลตรวจจับได้ทันที


 


และจากนั้นค่ายกลก็จะทำการเคลื่อนย้ายพวกที่ว่า ไปปรากฏตัวยังตำแหน่งของมารโลกาโดยตรง!


 


ต่อให้มอนสเตอร์ที่คิดย่างกรายเข้ามาแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่มันถูกส่งเข้าหามารโลกา มันก็มิแคล้วต้องตกเป็นเพียงอาหารอยู่ดี


 


นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของค่ายกลล่ะ


 


กู่ฉิงซานลอยอยู่ในความว่างเปล่า โดยไม่มีอะไรคอยหยั่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา


 


ล้อมรอบไปด้วยสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด และบ่อยครั้งที่จะมีแสงและเงาสลัวๆสะท้อนออกมาจากทางมัน


 


ภายในวิสัยทัศน์ของเขา เส้นแสงตัวอักษรแถวหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


 


“การก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขอบเขตประทับเทพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า”


 


กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่าน ในจิตใจเริ่มสั่งการนึกคิดเล็กน้อย


 


และภายในเสี้ยววินาที ดาบพิภพและเช่าหยินก็ปรากฏขึ่้นจากในความว่างเปล่า ลอยประกบข้างกายซ้ายขวาของเขา


 


“กำลังจะเริ่มแล้วนะ”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล


 


หากได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ


 


นอกจากนี้ ก่อนหน้า เขายังได้รับรางวัลจากการบรรลุภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ มาแล้วอีกด้วย นั่นหมายความว่าหากเขาเข้าถึงขอบเขตประทับเทพได้แล้ว ตนก็จะสามารถใช้รางวัลที่ว่านั่นเพื่อทำการได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของประทับเทพได้เลยในทันที


 


ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากได้รับความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นมากเพียงไร ผลลัพธ์มันก็จะยิ่งต่างออกไปมากเท่านั้น


 


“เจ้ากำลังจะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์กระนั้นหรือ?”


 


ดาบภพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


 


“ใช่ และในเวลานี้ ข้าคงต้องเร่งมือและมันอาจจะเป็นการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ทุกคราที่ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ เจ้ามันก็เร่งร้อนและโยนตนเองให้ตกอยู่ในอันตรายไปเสียทุกครั้งนั่นแหละ” ดาบพิภพแย้ง


 


อย่างเช่นในโลกเทวะ กู่ฉิงซานได้เลือกโยนตนเองตกสู่ในอันตราย โดยการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ท่ามกลางสนามรบ ใช้ทัณฑ์สายฟ้าในขั้นก่อกำเนิด ฟาดผ่าใส่กองทัพมาร จนพวกมันแตกพ่ายไป


 


ขณะที่ในโลกจริง เขาก็เลือกที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ โดยการใส่หูฟังฟังเพลงท่ามกลางสายฝนเย็นฉ่ำ ตลอดทั้งวันคืนจนสำเร็จ


 


แต่ในเวลานี้ มันคือโทษทัณฑ์ของขอบเขตประทับเทพ ..


 


ขอบเขตที่ในชีวิตก่อนหน้า ไม่มีผู้เล่นคนใดเลยที่จะอาจเอื้อมมาถึง


 


—ด้วยแต้มค่าประสบการณ์ที่จำเป็นต้องใช้มันสูงมากเกินไป … สูงชนิดที่เรียกได้ว่าหมดหวัง


 


แต่ตอนนี้ การที่จะมามัวระลึกย้อนคิดเกี่ยวกับมัน ก็ดูเหมือนจะยังไม่ใช่เวลาอันสมควรนัก


 


สติอารมณ์ของกู่ฉิงซาน รวมไปถึงสภาวะจิตใจราวกับบังเกิดคลื่นระลอกใหญ่ขึ้น


 


เขาถอนหายใจ และเริ่มปรับอารมณ์ของเขาอย่างรวดเร็ว


 


ในฐานะที่เป็นมนุษย์ของโลกจริง นี่คือเหตุการณ์อันสำคัญยิ่งที่จะนำไปสู่การก่อกำเนิดยุคสมัยใหม่!


 


กู่ฉิงซานพร้อมที่จะทุ่มอย่างเต็มกำลังแล้ว


 


เขาเริ่มกินยาประทับเทพที่เซ่าหวูชุ่ยมอบมันให้แก่ฉานนู่จนหมดเกลี้ยง


 


กู่ฉิงซานกางมือทั้งสองออก และคว้าจับสองดาบในแต่ละข้าง


 


ภายในตันเถียนของเขา พลังวิญญาณค่อยๆเติบโตขึ้น ขยายขึ้นเรื่อยๆ


 


-ยาประทับเทพ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแท้จริง


 


ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็สามารถเรียกความสงบกลับคืนมาได้ในที่สุด


 


สีหน้าการแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น


 


“การใช้ค่ายกล เพื่อให้มาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ในมิติอันเชี่ยวกราด กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยพบเคยเห็นวิธีการอันน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้มาก่อนเลย” ดาบพิภพเอ่ยชื่นชมออกมา


 


กู่ฉิงซาน “ในโลกใบนี้มิได้มีมารสวรรค์ , หาได้มีมอนสเตอร์ตนอื่นๆคอยก่อกวนไม่ ดังนั้น พวกเราจึงสมควรที่จะสามารถตัดผ่านได้เร็วขึ้น ไม่สิ ต้องเร็วขึ้นแน่ๆ”


 


“แล้วคราวนี้เจ้าไม่คิดจะเปิดเพลงฟังอีกหรือไร” ดาบพิภพเอ่ยถามอย่างจริงจัง


 


ขณะที่ดาบเช่าหยินฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง เอ่ยสนับสนุน


 


“คราวนี้เราจะไม่ฟังเพลงกันแล้ว แต่เราจะเริ่มกันเลยทันที!”


 


กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาขับเคลื่อนพลังวิญญาณในร่างกายของตน และเปิดฉากทำการโจมตีขอบเขตใหม่อย่างเต็มกำลังในทันที


 


ทันใดนั้นเอง หนึ่งในค่ายกลขนาดเล็กก็เริ่มตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขา บังเกิดแสงสวรรค์ส่องสว่างขึ้น


 


นี่คือการเหนี่ยวนำโทษทัณฑ์ของฟ้าดิน โดยส่งตรงพวกมันจากโลกล่องเวหา นำเข้ามาสู่พื้นที่มิติอันว่างเปล่านี้โดยค่ายกล


 


บังเกิดแสงสายฟ้าสาดสว่างขึ้นผ่านช่องว่างระหว่างโลกกับภายในมิติ


 


ทว่าเมื่อแสงสายฟ้าเหล่านี้ปรากฏขึ้น ยังมิทันได้ควบรวมกัน มันก็ถูกทำลายลงด้วยคมดาบของกู่ฉิงซานซะก่อน


 


อย่างไรก็ตาม สายฟ้ายังคงฟาดผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องจากโลกล่องเวหา ควบรวมกันจนเกิดเป็นแส้สายฟ้าฟาดอันน่าสะพรึงกลัว!


 


สายฟ้าได้ห้อมรอบกายเขาจากทุกทิศทาง!


 


“มาเลย!”


 


กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง


 


ดาบพิภพถูกเหวี่ยงออกไป พุ่งตัดผ่านมิติอย่างรวดเร็ว


 


สายฟ้าที่ฟาดผ่าถูกแตกกระเจิงออกทันทีโดยการปะทะเฉือนของดาบพิภพ


 


พวกมันแตกกระเจิง พรั่งพราว ลอยล่องอยู่กลางอากาศคล้ายดั่งสะเก็ดฝนดาวตกบนฟากฟ้า


 


ราวกับว่าจะรับรู้ได้ถึงพลังของสายฟ้าที่ถูกทำลายออกไป ทันใดอีกหนึ่งค่ายกลขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกันก็เริ่มถูกเปิดใช้งานทันที


 


แสงสายฟ้าที่พึ่งถูกทำลายลงเป็นสายฟ้าเส้นเล็ก มิอาจควบรวมกันได้อีกต่อไป พวกมันได้สลายหายไปจากภายในพื้นที่มิติโดยพลัน


 


“ค่ายกลสามารถกระทำได้ถึงเพียงนี้เชียว? นี่มันชักจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่อง


 


อารยธรรมด้านการฝึกยุทธของโลกล่องเวหานั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของค่ายกลโดยแท้ กล่าวได้ว่าเป็นเพราะค่ายกลนี่แหละ พวกเขาจึงสามารถรอดพ้นจากมารโลกามาได้จนถึงทุกวันนี้


 


นี่แหละ คือพลังของสิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมล่ะ!


 


แต่น่าเสียดายจริงๆ แม้อารยธรรมดังกล่าวจะรุ่งเรืองเพียงใด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามารโลกาแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงตัวตนอ่อนแอไร้ค่าเท่านั้น


 


กู่ฉิงซานกำดาบดาบเช่าหยินไว้ในมือ ทะยานตัวเหินเข้าปะทะกับแสงสายฟ้า


 


บังเกิดรังสีที่แผ่ไอเย็นออกมาจากดาบในมือของเขา หวดเข้าฟาดฟันใส่ทะเลดาวที่เปรียบดั่งบอลสายฟ้าขนาดย่อมระลอกใหม่ที่พึ่งเข้ามา ทั้งเฉือน ทั้งตัดอย่างต่อเนื่อง


 


กู่ฉิงซานในเวลานี้ กล่าวได้ว่าทุ่มสุดตัวเต็มกำลังแล้ว!


 


บอลสายฟ้าทั้งหมดที่พึ่งปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า มิอาจหลบเลี่ยงไปจากรังสีดาบของเขาได้เลย


 


หนึ่งดาบ , สิบดาบ , พันดาบ


 


กู่ฉิงซานทุ่มกำจัดทัณฑ์สายฟ้าตั้งแต่ที่พวกมันปรากฏตัวขึ้นในแรกเริ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้มันฉวยโอกาสก่อตัวเริ่มควบรวมกันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง


 


“ยาวนานเหลือเกิน ที่ข้ามิได้เห็นเจ้าเอาจริงเอาจังเช่นนี้” ดาบพิภพเอ่ยฉวัดเฉวียน


 


“ก็ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ต้องฝืนกันบ้างเป็นธรรมดา”


 


ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ยังคงถือดาบฟาดฟันต่อไป


 


เขาตัด สับ หั่น เฉือน สะบั้น แสงสายฟ้าที่ท่วมท้นไปทั่วบริเวณอย่างไม่หยุดยั้ง!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.446 – ก้าวเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่า


 


อีกด้านหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานกำตราในมือแน่น และเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกลที่ใช้ในการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์อย่างรวดเร็ว


 


ฉานนู่ได้ใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แปลงกายตัวเองเป็น ‘ฉีหยาน’ แล้วกลับไปรอที่แท่นเวทีก่อนเป็นอันดับแรก


 


และเธอคงจะถ่วงเวลาได้ไม่นานนัก


 


กู่ฉิงซานจึงต้องเร่งก้าวผ่านโทษทัณฑ์ให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับมา แล้วทำการสลับตัวกับฉานนู่อีกครั้ง


 


กล่าวได้ว่ากระบวนการทั้งหมดของทัณฑ์สายฟ้าในขอบเขตประทับเทพกินเวลาไม่ยาวนานนัก


 


และนั่นคือเหตุผลที่กู่ฉิงซานตัดสินใจที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในช่วงเวลานี้


 


ทว่า ส่วนที่ยากที่สุดในการทะลวงฝ่าประทับเทพ ก็คงมิแคล้วเป็นต้องรับมือกับพลังอำนาจอันใหญ่ยิ่งของสายฟ้า


 


เขาจึงตัดสินใจที่จะยกระดับพื้นฐานวรยุทธขึ้นไปยังประทับเทพ ในช่วงเวลานี้ ช่วงที่เย่หยิงเหมยกำลังไปเอาสมบัติมนตรา และหวังหงษ์เต๋ายังไม่กลับมา


 


ไม่ต้องบอกก็คงจะทราบว่าขณะนี้ กู่ฉิงซานกำลังแข่งอยู่กับเวลา


 


เพราะเรื่องที่ต้องกังวลไม่ใช่มีเพียงเรื่องที่กล่าวมา แต่ยังมีเรื่องของสตรีแห่งรากษสที่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับโลกเทวะแล้วอีกด้วย!


 


แต่ยังไงก็ตาม จริงๆแล้วเธอก็ยังไม่ทราบว่าการปลอมตัวของตนถูกจับได้แล้วโดย ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ของกู่ฉิงซานอยู่ดี


 


ดังนั้น เธอที่ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ จึงยังคงเลือกที่จะเฝ้ารออย่างอดทนต่อไป เพื่อต้องการที่จะลอบสืบว่าสิ่งที่ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสามกำลังจะลงมือต่อไปคืออะไรกันแน่


 


ไม่ว่าจะเป็นหวังหงษ์เต๋า , สตรีแห่งรากษส , สองปรมาจารย์ตำหนัก ทั้งหมดก็ล้วนมีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งกว่ากู่ฉิงซานอยู่ถึง 3 – 4 ขอบเขต!


 


สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!


 


กู่ฉิงซานจะต้องคิดหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เข้าถึงความลับของโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธให้ได้


 


ขณะเดียวกัน เขาก็จะต้องหาหนทางหลบหนีออกไปจากโลกล่องเวหาใบนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นกัน


 


นี่นับว่าเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่เคยพบ ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างแท้จริง


 


สถานที่ตั้งของค่ายกลมากมายในนิกาย จะอยู่ในบริเวณส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า


 


และกู่ฉิงซานมาถึงสถานที่ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว


 


เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ


 


ค่ายกลเหล่านี้มีขนาดที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ทุกอันล้วนมีสีดำสนิท


 


กู่ฉิงซานเลือกที่จะกวาดสายตามองค่ายกลทั้งหมดเสียก่อนเป็นอันดับแรก


 


จากข้อมูลที่ได้รับมา ค่ายกลเหล่านี้โดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่สี่ประเภทที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในมิติที่ว่างเปล่า


 


ประเภทแรก คือที่กำลังส่องแสงแวววาวจางๆ นั่นจะเป็นค่ายกลที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตก้าวสู่เทพ


 


มันคือค่ายกลสำหรับก้าวสู่เทพและขอบเขตที่ต่ำกว่า สาวกในนิกาย ไม่ว่าใครก็สามารถใช้พวกมันได้ตลอดเวลา


 


โดยมีวิธีการใช้งานก็คือ คนในนิกายกวงหยางจะเข้าไปในพื้นที่ค่ายกลขนาดเล็กนี้ จากนั้นก็จะถูกส่งตัวเข้าไปในกระแสมิติที่ว่างเปล่า


 


ซึ่งค่ายกลเหล่านี้ ได้ถูกประกอบเข้าด้วยกันเพื่อรับมือกับทัณฑ์สายฟ้าโดยเฉพาะ มันจะดึงดูดทัณฑ์สายฟ้าให้เข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าที่ผู้ใช้งานถูกส่งตัวออกไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะไม่เป็นการรบกวนมารโลกาให้ตื่นขึ้นหรือสัมผัสถึงได้


 


ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตต่ำกว่าก้าวสู่เทพ จึงสามารถที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลได้อย่างสบายใจ


 


ดังนั้น กล่าวได้ว่าคนที่คิดค้นและติดตั้งค่ายกลพวกนี้ขึ้น นับว่ามีพรสวรรค์ และเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูงอย่างแท้จริง


 


กู่ฉิงซานหันไปมองค่ายกลรูนทมิฬอื่นๆ


 


ขอบเขตประทับเทพจนไปถึงขอบเขตพันวิบัติเป็นประเภทที่สอง ทัณฑ์สายฟ้าของพวกมันจะทรงพลังอย่างยิ่งยวดยิ่ง และรุนแรงเกินกว่าที่ค่ายกลประเภทแรกที่กล่าวมาก่อนหน้านี้จะต้านทานได้


 


กู่ฉิงซานจึงจำเป็นต้องข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลรูนทมิฬนี้


 


ข้างๆค่ายกลรูนทมิฬ ยังคงมีหลงเหลือค่ายกลอยู่อีก 2 ประเภท


 


ประเภทแรกคือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า


 


อีกประเภทย่อมไม่พ้นค่ายกลที่ใช้ในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต


 


สำหรับสองขอบเขตหลัง ค่ายกลได้ถูกแยกตัวออกมาเป็นแต่ละประเภทรับมือกับมันโดยเฉพาะ


 


วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงบนค่ายกลลมปราณจิต


 


นี่คือค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด


 


การจะเปิดใช้งานมัน จำต้องจ่ายศิลาวิญญาณออกไปกว่า 196 ชิ้น


 


ซึ่งปริมาณดังกล่าว สำหรับโลกล่องเวหาแล้วนับว่าเป็นอะไรที่สูงค่ายิ่ง


 


ทว่าสิ่งที่กู่ฉิงซานให้ความสนใจน่ะ มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก


 


แต่เป็นเรื่องที่ -ใช้แค่เพียง 196 ศิลาวิญญาณ ก็จะสามารถเปิดใช้งานค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด แล้วถูกส่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ต่างหาก!?


 


ตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานเริ่มฝึกยุทธมา เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย


 


กระทั่งกงซุนซีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ อีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถจำกัดศิลาวิญญาณไว้แค่ 196 ชิ้น เพื่อทำการเปิดใช้งานค่ายกลขนาดใหญ่ได้เลย


 


กู่ฉิงซานค่อยๆชะลอการเคลื่อนไหวลง ก่อนจะหยุดสำรวจค่ายกลลมปราณจิตอย่างระมัดระวัง


 


เขาได้ทำการเก็บ ‘ตรา’ ที่ใช้เปิดค่ายกลของเซ่าหวูชุ่ยกลับคืน


 


เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลานี้ มันจำเป็นต้องทำเวลาให้ดีที่สุด ต้องเร่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการตัดผ่านวรยุทธโดยทันที ทว่ามองไปยังท่าทีการแสดงออกของกู่ฉิงซานขณะนี้ แท้จริงแล้วกลับดูเหมือนว่าเขาไม่เร่งร้อนเลย?


 


เมื่อเก็บตราไป เขาก็เลือกที่จะหยิบศิลาวิญญาณกว่า 196 ก้อนขึ้นมาแทน และวางมันลงแต่ละค่ายกลขนาดเล็ก ที่เชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์สำหรับลมปราณจิต


 


วูบบบบ!


 


ค่ายกลถูกเปิดใช้งานทันที!


 


นี่คือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต! เป็นค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก!


 


กู่ฉิงซานนำถุงสัมภาระใบหนึ่งออกมาทันที


 


นำออกมาโดยที่เขาไม่คิดจะเหลียวมองมันด้วยซ้ำ และนำพาเจ้าถุงที่ว่านั่นเข้าสู่ใจกลางค่ายกลข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิตกับตนเองด้วยเลยโดยตรง


 


เมื่อค่ายกลสัมผัสถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณของเขา มันก็เริ่มต้นทำงานทันที


 


รูนนับไม่ถ้วนผุดออกมา ก่อนจะควบรวมกันกลายเป็นชุดอักษรที่ยากจะอธิบายในอากาศ


 


ค่ายกลได้ถูกกระตุ้นใช้งานแล้ว!


 


แต่อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับเลือกใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วอย่างกระทันหัน


 


เขาหายวับไปในทันใด ทั้งคนทั้งร่างปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้านนอกค่ายกล


 


ขณะที่ถุงสัมภาระถูกทิ้งไว้ในค่ายกลโดยเขา และพร้อมด้วยการทำงานของค่ายกล มันก็ได้ถูกส่งออก … หายวับไปในทันที


 


กู่ฉิงซานมิได้ใช้ตราที่ได้รับมา


 


—ซึ่งหากไม่ใช้ตราแล้วล่ะก็ มันจะเป็นดั่งที่สองปรมาจารย์ตำหนักได้กล่าวเอาไว้ นั่นคือค่ายกลจะทำการส่งผู้ใช้งานมันออกไปในมิติที่ว่างเปล่าแบบสุ่ม


 


นอกจากนี้ ยังเป็นการสุ่มของค่ายกลลมปราณจิตที่ทรงพลังที่สุด ยิ่งทรงพลัง นั่นหมายความว่ามันก็ยิ่งกินอาณาเขตกว้างขวาง! แถมกู่ฉิงซานยังใช้ศิลาวิญญาณยัดลงไปอย่างเต็มที่ ส่งผลให้พิสัยในการสุ่มของมันกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม


 


ขณะนี้ กระเป๋าสัมภาระได้ถูกส่งออกไปแล้ว และมันหายไปยังสถานที่ใดก็ยังไม่มีใครรู้


 


และช่างน่าสงสารสตรีแห่งรากษสที่ปลอมกายเป็นหน้ากากหยกวิญญาณยิ่งนัก เพราะตัวเธอก็ได้ถูกเก็บไว้ในถุงสัมภาระที่ว่านั่น และมิได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!


 


เธอยังคงเฝ้ารอคอยโอกาสอยู่ และพยายามที่จะติดตาม ลอบล้วงข้อมูลจากฉีหยานและสองปรมาจารย์ตำหนัก เกี่ยวกับความลับของโลกใบใหม่ที่ยังมิได้ล่วงรู้


 


รังสีแสงสวรรค์บนค่ายกลค่อยๆจางหายไป


 


การส่งผ่านได้เสร็จสิ้นลงแล้ว


 


196 ศิลาวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นผุยผง


 


ขณะที่สีหน้าของกู่ฉิงซานดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนเลยว่า ผู้คนจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไร เมื่อถูกเก็บเอาไว้ในถุงสัมภาระ


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวสตรีแห่งรากษสแล้ว นางก็คงจะมีสักวิธีแหละน่า


 


มิฉะนั้นแล้ว นางคงไม่กล้าที่จะปลอมแปลงตนเป็นหน้ากากหรอก


 


ตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ทำได้เพียงคาดหวังว่าตนจะโชคดี ในเรื่องที่ตำแหน่งที่ค่ายกลส่งออกไปนั้นห่างไกลมากพอ … มากพอที่จะทำให้สตรีแห่งรากษสมิอาจย้อนคืนกลับมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง


 


… และหวังว่าความอดทนของสตรีแห่งรากษสจะมากพอเช่นกัน


 


เพราะยิ่งมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่ากว่าเธอจะเริ่มรู้ตัวถึงสถานการณ์ของตนเองก็จะยิ่งล่าช้าออกไปมากขึ้นเท่านั้น


 


กู่ฉิงซานหันกลับมา มองไปยังค่ายกลรูนทมิฬอันก่อนหน้า


 


เขาเดินไปวางศิลาวิญญาณบนรูรอบๆค่ายกล จากนั้นจึงเริ่มทำการเข้าสู่ค่ายกล


 


และแน่นอน ว่าคราวนี้ตนเองได้ตบลงในถุงสัมภาระ นำตราที่พึ่งเก็บไปกลับมาไว้ติดตัว


 


จากนั้น ก็เริ่มทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์


 


ค่ายกลสีดำถูกเปิดใช้งานโดยศิลาวิญญาณ  และคราวนี้พวกมันก็สัมผัสได้ถึงตราในมือของกู่ฉิงซาน พริบตานั้นแสงสว่างก็สาดออกมา และห่อหุ้มเขาในทันใด


 


พร้อมกับกู่ฉิงซานที่หายวับไปจากสถานที่เดิม


 


….


 


นี่คือพื้นที่ภายในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด


 


ด้วยการจัดวางค่ายกลของนิกายกวงหยาง ส่งผลให้ทัณฑ์สายลมมิอาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้


 


แน่นอน ว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า ก็ไม่อาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้เช่นกัน


 


แต่ต่อให้พวกที่พึ่งกล่าวมาพบเจอพื้นที่มิติแห่งนี้ แล้วก้าวเข้ามาในพิสัยค่ายกล พวกมันก็จะถูกค่ายกลตรวจจับได้ทันที


 


และจากนั้นค่ายกลก็จะทำการเคลื่อนย้ายพวกที่ว่า ไปปรากฏตัวยังตำแหน่งของมารโลกาโดยตรง!


 


ต่อให้มอนสเตอร์ที่คิดย่างกรายเข้ามาแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่มันถูกส่งเข้าหามารโลกา มันก็มิแคล้วต้องตกเป็นเพียงอาหารอยู่ดี


 


นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของค่ายกลล่ะ


 


กู่ฉิงซานลอยอยู่ในความว่างเปล่า โดยไม่มีอะไรคอยหยั่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา


 


ล้อมรอบไปด้วยสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด และบ่อยครั้งที่จะมีแสงและเงาสลัวๆสะท้อนออกมาจากทางมัน


 


ภายในวิสัยทัศน์ของเขา เส้นแสงตัวอักษรแถวหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


 


“การก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขอบเขตประทับเทพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า”


 


กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่าน ในจิตใจเริ่มสั่งการนึกคิดเล็กน้อย


 


และภายในเสี้ยววินาที ดาบพิภพและเช่าหยินก็ปรากฏขึ่้นจากในความว่างเปล่า ลอยประกบข้างกายซ้ายขวาของเขา


 


“กำลังจะเริ่มแล้วนะ”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล


 


หากได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ


 


นอกจากนี้ ก่อนหน้า เขายังได้รับรางวัลจากการบรรลุภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ มาแล้วอีกด้วย นั่นหมายความว่าหากเขาเข้าถึงขอบเขตประทับเทพได้แล้ว ตนก็จะสามารถใช้รางวัลที่ว่านั่นเพื่อทำการได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของประทับเทพได้เลยในทันที


 


ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากได้รับความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นมากเพียงไร ผลลัพธ์มันก็จะยิ่งต่างออกไปมากเท่านั้น


 


“เจ้ากำลังจะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์กระนั้นหรือ?”


 


ดาบภพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


 


“ใช่ และในเวลานี้ ข้าคงต้องเร่งมือและมันอาจจะเป็นการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ทุกคราที่ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ เจ้ามันก็เร่งร้อนและโยนตนเองให้ตกอยู่ในอันตรายไปเสียทุกครั้งนั่นแหละ” ดาบพิภพแย้ง


 


อย่างเช่นในโลกเทวะ กู่ฉิงซานได้เลือกโยนตนเองตกสู่ในอันตราย โดยการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ท่ามกลางสนามรบ ใช้ทัณฑ์สายฟ้าในขั้นก่อกำเนิด ฟาดผ่าใส่กองทัพมาร จนพวกมันแตกพ่ายไป


 


ขณะที่ในโลกจริง เขาก็เลือกที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ โดยการใส่หูฟังฟังเพลงท่ามกลางสายฝนเย็นฉ่ำ ตลอดทั้งวันคืนจนสำเร็จ


 


แต่ในเวลานี้ มันคือโทษทัณฑ์ของขอบเขตประทับเทพ ..


 


ขอบเขตที่ในชีวิตก่อนหน้า ไม่มีผู้เล่นคนใดเลยที่จะอาจเอื้อมมาถึง


 


—ด้วยแต้มค่าประสบการณ์ที่จำเป็นต้องใช้มันสูงมากเกินไป … สูงชนิดที่เรียกได้ว่าหมดหวัง


 


แต่ตอนนี้ การที่จะมามัวระลึกย้อนคิดเกี่ยวกับมัน ก็ดูเหมือนจะยังไม่ใช่เวลาอันสมควรนัก


 


สติอารมณ์ของกู่ฉิงซาน รวมไปถึงสภาวะจิตใจราวกับบังเกิดคลื่นระลอกใหญ่ขึ้น


 


เขาถอนหายใจ และเริ่มปรับอารมณ์ของเขาอย่างรวดเร็ว


 


ในฐานะที่เป็นมนุษย์ของโลกจริง นี่คือเหตุการณ์อันสำคัญยิ่งที่จะนำไปสู่การก่อกำเนิดยุคสมัยใหม่!


 


กู่ฉิงซานพร้อมที่จะทุ่มอย่างเต็มกำลังแล้ว


 


เขาเริ่มกินยาประทับเทพที่เซ่าหวูชุ่ยมอบมันให้แก่ฉานนู่จนหมดเกลี้ยง


 


กู่ฉิงซานกางมือทั้งสองออก และคว้าจับสองดาบในแต่ละข้าง


 


ภายในตันเถียนของเขา พลังวิญญาณค่อยๆเติบโตขึ้น ขยายขึ้นเรื่อยๆ


 


-ยาประทับเทพ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแท้จริง


 


ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็สามารถเรียกความสงบกลับคืนมาได้ในที่สุด


 


สีหน้าการแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น


 


“การใช้ค่ายกล เพื่อให้มาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ในมิติอันเชี่ยวกราด กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยพบเคยเห็นวิธีการอันน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้มาก่อนเลย” ดาบพิภพเอ่ยชื่นชมออกมา


 


กู่ฉิงซาน “ในโลกใบนี้มิได้มีมารสวรรค์ , หาได้มีมอนสเตอร์ตนอื่นๆคอยก่อกวนไม่ ดังนั้น พวกเราจึงสมควรที่จะสามารถตัดผ่านได้เร็วขึ้น ไม่สิ ต้องเร็วขึ้นแน่ๆ”


 


“แล้วคราวนี้เจ้าไม่คิดจะเปิดเพลงฟังอีกหรือไร” ดาบพิภพเอ่ยถามอย่างจริงจัง


 


ขณะที่ดาบเช่าหยินฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง เอ่ยสนับสนุน


 


“คราวนี้เราจะไม่ฟังเพลงกันแล้ว แต่เราจะเริ่มกันเลยทันที!”


 


กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาขับเคลื่อนพลังวิญญาณในร่างกายของตน และเปิดฉากทำการโจมตีขอบเขตใหม่อย่างเต็มกำลังในทันที


 


ทันใดนั้นเอง หนึ่งในค่ายกลขนาดเล็กก็เริ่มตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขา บังเกิดแสงสวรรค์ส่องสว่างขึ้น


 


นี่คือการเหนี่ยวนำโทษทัณฑ์ของฟ้าดิน โดยส่งตรงพวกมันจากโลกล่องเวหา นำเข้ามาสู่พื้นที่มิติอันว่างเปล่านี้โดยค่ายกล


 


บังเกิดแสงสายฟ้าสาดสว่างขึ้นผ่านช่องว่างระหว่างโลกกับภายในมิติ


 


ทว่าเมื่อแสงสายฟ้าเหล่านี้ปรากฏขึ้น ยังมิทันได้ควบรวมกัน มันก็ถูกทำลายลงด้วยคมดาบของกู่ฉิงซานซะก่อน


 


อย่างไรก็ตาม สายฟ้ายังคงฟาดผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องจากโลกล่องเวหา ควบรวมกันจนเกิดเป็นแส้สายฟ้าฟาดอันน่าสะพรึงกลัว!


 


สายฟ้าได้ห้อมรอบกายเขาจากทุกทิศทาง!


 


“มาเลย!”


 


กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง


 


ดาบพิภพถูกเหวี่ยงออกไป พุ่งตัดผ่านมิติอย่างรวดเร็ว


 


สายฟ้าที่ฟาดผ่าถูกแตกกระเจิงออกทันทีโดยการปะทะเฉือนของดาบพิภพ


 


พวกมันแตกกระเจิง พรั่งพราว ลอยล่องอยู่กลางอากาศคล้ายดั่งสะเก็ดฝนดาวตกบนฟากฟ้า


 


ราวกับว่าจะรับรู้ได้ถึงพลังของสายฟ้าที่ถูกทำลายออกไป ทันใดอีกหนึ่งค่ายกลขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกันก็เริ่มถูกเปิดใช้งานทันที


 


แสงสายฟ้าที่พึ่งถูกทำลายลงเป็นสายฟ้าเส้นเล็ก มิอาจควบรวมกันได้อีกต่อไป พวกมันได้สลายหายไปจากภายในพื้นที่มิติโดยพลัน


 


“ค่ายกลสามารถกระทำได้ถึงเพียงนี้เชียว? นี่มันชักจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่อง


 


อารยธรรมด้านการฝึกยุทธของโลกล่องเวหานั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของค่ายกลโดยแท้ กล่าวได้ว่าเป็นเพราะค่ายกลนี่แหละ พวกเขาจึงสามารถรอดพ้นจากมารโลกามาได้จนถึงทุกวันนี้


 


นี่แหละ คือพลังของสิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมล่ะ!


 


แต่น่าเสียดายจริงๆ แม้อารยธรรมดังกล่าวจะรุ่งเรืองเพียงใด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามารโลกาแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงตัวตนอ่อนแอไร้ค่าเท่านั้น


 


กู่ฉิงซานกำดาบดาบเช่าหยินไว้ในมือ ทะยานตัวเหินเข้าปะทะกับแสงสายฟ้า


 


บังเกิดรังสีที่แผ่ไอเย็นออกมาจากดาบในมือของเขา หวดเข้าฟาดฟันใส่ทะเลดาวที่เปรียบดั่งบอลสายฟ้าขนาดย่อมระลอกใหม่ที่พึ่งเข้ามา ทั้งเฉือน ทั้งตัดอย่างต่อเนื่อง


 


กู่ฉิงซานในเวลานี้ กล่าวได้ว่าทุ่มสุดตัวเต็มกำลังแล้ว!


 


บอลสายฟ้าทั้งหมดที่พึ่งปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า มิอาจหลบเลี่ยงไปจากรังสีดาบของเขาได้เลย


 


หนึ่งดาบ , สิบดาบ , พันดาบ


 


กู่ฉิงซานทุ่มกำจัดทัณฑ์สายฟ้าตั้งแต่ที่พวกมันปรากฏตัวขึ้นในแรกเริ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้มันฉวยโอกาสก่อตัวเริ่มควบรวมกันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง


 


“ยาวนานเหลือเกิน ที่ข้ามิได้เห็นเจ้าเอาจริงเอาจังเช่นนี้” ดาบพิภพเอ่ยฉวัดเฉวียน


 


“ก็ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ต้องฝืนกันบ้างเป็นธรรมดา”


 


ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ยังคงถือดาบฟาดฟันต่อไป


 


เขาตัด สับ หั่น เฉือน สะบั้น แสงสายฟ้าที่ท่วมท้นไปทั่วบริเวณอย่างไม่หยุดยั้ง!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.447 – ระบบเงียบงัน


 


ท่ามกลางสะเก็ดสายฟ้าที่สาดแสงดั่งดวงดารา


 


ดวงดาวสายฟ้านับพันหมื่นเริ่มโคจรเป็นวงในมิติที่ว่างเปล่าราวกับพายุกระหน่ำ


 


ขณะเดียวกันใจกลางพายุ ก็ปรากฏร่างของกู่ฉิงซานที่กำลังฟาดฟันคมดาบนับไม่ถ้วนออกไปต้านรับอย่างไม่หยุดยั้ง


 


ขณะที่ดวงดาวสายฟ้าเหลือคณา เริ่มทวีจำนวน โปรยปรายลงมาดั่งห่าฝน


 


ร่างเงาของดาบผลิบานออกมา เชือดเฉือนเข้าห้ำหั่นกับดวงดาวเหล่านั้นเช่นกัน


 


เมื่อต้องพบเจอกับการตอบโต้ดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ดวงดาวทั้งหมดเริ่มที่จะโกรธเกรี้ยวขึ้นมาบ้างแล้ว!


 


ดวงดาวสายฟ้าก้อนเล็กๆเริ่มควบรวมกัน ก่อกำเนิดเป็นดาราสายฟ้าก้อนใหญ่ที่สาดแสงเจิดจ้า ทั้งหมดข้ามผ่านค่ายกลเข้ามาในคราเดียว สะท้อนสะท้านแสงจรัสสีฟ้าไปทั่วบริวเวณ


 


เนื่องจากมันใหญ่เกินไป และมิอาจทำลายได้ในคราเดียว กู่ฉิงซานจึงเลือกที่จะตัดหั่นมันทีละส่วน และทันทีที่เขาวาดดาบไปแยกส่วนเล็กๆของมันนั้นเอง


 


ปัง!


 


ก็บังเกิดเส้นสายฟ้าขนาดเล็กนับไม่ถ้วนแตกตัวออก ฉวัดเฉวียนไปมาดั่งงูที่เลื้อยวนอยู่ในอากาศ โฉบเข้าใส่กับเขา


 


เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด กู่ฉิงซานก็แปรเปลี่ยนตนเป็นเสี้ยวจันทร์สีขาวนวล พรวดออกไปต้านรับเบื้องหน้า


 


รังสีดาบสีนวลดั่งจันทราตัดสะบั้นงูสายฟ้าจนสิ้น แต่ตัดไปหนึ่ง ก็ราวกับงอกมาอีกสอง ค่ายกลมิติในส่วนอื่นเริ่มทำงานอีกครั้ง บ่งบอกว่าโทษทัณฑ์จากภายนอกกำลังจะถูกส่งเข้ามาในไม่ช้า


 


ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮำด้วยความวิตกกังวลออกมา


 


“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะจัดการได้ยากเย็นถึงเพียงนี้”


 


กู่ฉิงซานเหลียวหลังไปมองบอลสายฟ้าระลอกใหม่ที่ซ้อนทับๆกันเข้ามา และเอ่ยปากตอบ


 


จำนวนของสายฟ้ามันมากเกินไป แถมแต่ละพลังอำนาจของสายฟ้า ก็ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าทัณฑ์สายฟ้าใดๆที่เขาเคยพบเจอมาก่อน


 


หลังจากบอลสายฟ้าถูกตัดหั่น มันก็จะกระจายตัวเป็นงูสายฟ้า และเริ่มทำการโจมตีระลอกสองใส่เขา


 


ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ฝึกยุทธจำนวนมากมายเพียงใดที่ต้องตกตายด้วยการโจมตีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้


 


นี่สินะ นี่คือโทษทัณฑ์ของผู้ที่หมายจะย่างกรายเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพจะต้องได้รับ!


 


นี่สินะ เหตุผลที่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ถึงมีเพียงแค่สามปราชญ์เท่านั้นที่ก้าวข้ามมันมาได้สำเร็จ!


 


เวลานี้ กลุ่มก้อนสายฟ้าที่กระพือว่อนอยู่ในมิติที่ว่างเปล่า เพิ่มพูนจำนวนขึ้นจนเกือบจะถึงร้อยกลุ่มแล้ว


 


พวกมันราวกับมีชีวิต คอยว่ายวนรอบกายของกู่ฉิงซาน คล้ายกำลังมองหาจุดอ่อนของเขาอยู่


 


ขณะที่กู่ฉิงซานเองก็ไม่รีรอให้พวกมันเริ่มโจมตี แต่ตนเลือกที่จะเป็นคนเปิดฉากซะเอง


 


“ไปเลย!”


 


รังสีดาบถูกเหวี่ยงฟาดออกไป


 


ดาบเช่าหยินกวาดวนรอบกายกู่ฉิงซาน และระเบิดบอลสายฟ้าทั้งหมดในคราเดียว


 


ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง บอลสายฟ้าที่ว่าเยอะแล้ว ก็แตกตัวเป็นงูสายฟ้าที่เยอะยิ่งกว่า ทั้งหมดโถมทับเข้าใส่กู่ฉิงซานดั่งคลื่นยักษ์


 


มองไปยังงูสายฟ้าที่มืดฟ้ามัวดิน ดาบพิภพก็เปล่งเสียงออกมาทันใด “เจ้าลืมเลือนสิ่งหนึ่งไปหรือเปล่า”


 


“สิ่งใดกัน?”


 


“ก็อุปกรณ์สวมใส่อย่างไรเล่า”


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะเขกกะโหลกตนเอง


 


-เขาคงมัวแต่กังวลเรื่องอื่นมากเกินไป จนลืมเสียสนิทเลย


 


วินาทีต่อมา ชุดเกราะรบสีทองที่ซีดเซียวก็ปรากฏขึ้นบนตัวของเขา


 


นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังได้ทำการเปลี่ยนสมญาเทพสงครามไปเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’ อีกด้วย


 


ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้ทั้งในด้านการป้องกันและความเร็วของเขาเพิ่มพูนขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานกุมดาบในมือแน่น เชิดหน้าขึ้น และทะยานตัวออกไปต้อนรับสายฟ้าเหลือคณาที่ถาโถมลงมา


 


การเคลื่อนไหวของเขาช่างรวดเร็วและทรงประสิทธิภาพยิ่ง มันไม่มีส่วนใดที่สูญเปล่าเลย แถมยังไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อย


 


ทันใดนั้นเอง รังสีดาบและสายฟ้าเหลือคณาก็ปะทะซึ่งกันและกัน


 


กู่ฉิงซานทะยานตัวเข้าไปกลางดงงูสายฟ้า ดาบในมือวูบไหวใช้ออกด้วยเทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!


 


หนึ่งครั้ง


 


สองครั้ง


 


สามครั้ง


 


สิบครั้ง!!!


 


เขาได้ใช้ออกด้วยวาดเงาไปเรื่อยๆจนกระทั่งมันครบสิบครั้ง!


 


ร่างเงาแห่งดาบผลิบานไปทั่วบริเวณชั้นอากาศโดยรอบ ทัณฑ์สายฟ้านับไม่ถ้วนในมิติที่ว่างเปล่าถูกสับสะบั้นจนสิ้น


 


ทัณฑ์สายฟ้าแตกตัวออก แปรสภาพเป็นงูสายฟ้านับไม่ถ้วน โฉบโจมตีไปทางกู่ฉิงซานอย่างบ้าคลั่ง


 


กู่ฉิงซานก็ไม่น้อยหน้า ทุ่มออกเต็มกำลัง เหวี่ยงเทคนิคลับแห่งดาบสวนกลับไป


 


บังเกิดรังสีดาบอันแข็งกล้าดั่งคลื่นที่ซัดสาด


 


ตามด้วยอีกหนึ่งรังสีดาบของสายธารอันยิ่งใหญ่ -ทั้งสองควบรวมกัน ก่อร่างเป็นน้ำหลาก ท่วมโถมทับงูสายฟ้าจนสิ้น


 


บังเกิดเสียงตัดอากาศของรังสีดาบคำรามคำรนไปทั่ว


 


ส่งผลให้ภายในมิติอันเชี่ยวกราดทั้งหมด บัดนี้แทบจะกลายเป็นว่างเปล่า


 


นี่มันเกือบจะเป็นการโจมตีขั้นแตกหักเลยทีเดียว!


 


เพราะหลังจากการปะทะกันในครั้งนี้ ครั้งต่อไปจำนวนสายฟ้าก็ค่อยๆลดน้อยถดถอยลง


 


กู่ฉิงซานก็สามารถตอบโต้กับมันได้ง่ายขึ้น และผ่อนคลายยิ่งขึ้น


 


จนในที่สุด ก็ไม่หลงเหลือสายฟ้าอื่นใดเข้ามาอีกเลย


 


กู่ฉิงซานยืนเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง


 


พอแน่ใจว่าไม่มีมอนสเตอร์หรือมารสวรรค์ปรากฏกายขึ้นจริงๆ


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ปรากฏเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งออกมา


 


“การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขอบเขตประทับเทพได้สิ้นสุดลงแล้ว”


 


พริบตานั้นพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานก็ทะยานขึ้นในฉับพลัน


 


นี่นับว่าเป็นการเพิ่มพูนครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


 


ตัวเขาในตอนนี้ — ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!


 


สองตาหุบต่ำลง กู่ฉิงซานค่อยๆตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเองอย่างเงียบๆ


 


ขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณขยายออกเป็น 400 แต้ม


 


ขณะที่พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า


 


และอายุขัยยืดออกเป็นถึง 1800 ปี!


 


ความคิดและจิตใจของเขากระจ่างแจ้งยิ่งกว่าเดิม – มันให้ความรู้สึกราวก่อนหน้านี้ ในสมองตนถูกครอบคลุมด้วยชั้นกำแพงบางอย่าง


 


ทว่าเวลานี้มันได้พังทลายลงแล้ว เขาเริ่มที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งต่างๆมากมายที่ซ่อนเร้นอยู่ ทุกสิ่งที่ตนมองเห็น ทุกสิ่งที่ตนกำลังจะกระทำ และผลพวงของมันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เขาเริ่มมีลางสังหรณ์เหมือนกับนางเซียนขึ้นมาบ้างแล้ว!


 


กล่าวได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ยกระดับขึ้นมาจนถึงขอบเขตนี้ ผู้ฝึกยุทธจะไม่เพียงมีพลังอำนาจที่มากขึ้น แต่ยังจะสามารถสัมผัสได้ถึงความลึกลับของกฏเกณฑ์ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย!


 


ทว่าผ่านไปสักพัก ความรู้สึกอันน่ามหัศจรรย์เหล่านี้ก็ค่อยๆกระจายหายไป


 


“ขอบเขตประทับเทพ … ”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยงึมงำด้วยอารมณ์


 


ในที่สุด ตนเองก็ได้ก้าวขึ้นมายังระดับที่ตัวเขาในชีวิตก่อนหน้ามิอาจย่างกรายเข้ามาถึงได้เสียที


 


กู่ฉิงซานหยิบตราออกมา ถ่ายเทพลังวิญญาณของตนลงไป และวาดมันไปยังทิศทางของค่ายกล


 


วินาทีต่อมา ตัวเขาก็หายวับไป และถูกส่งกลับมายังโลกล่องเวหาอีกครั้ง


 


……


 


ณ แท่นเวทีที่ใช้หารืออย่างเป็นทางการ


 


ฉีหยานได้ลืมตาขึ้น ขณะเดียวกันก็ผุดลุกและเดินออกไปภายนอก


 


เซ่าหวูชุ่ยเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “นั่นเจ้าจะไปที่ใดกัน?”


 


“ไปยินดีกับศิษย์ข้า” ฉีหยานกล่าว


 


เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟังก็ตกใจ


 


“ทัณฑ์สายฟ้าของขอบเขตประทับเทพจักสามารถข้ามผ่านได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ไม่เพียงแต่จะไม่ล้มเหลว -ไม่สิ หากอ้างอิงจากความแข็งแกร่งของเจ้าเด็กนั่นมันก็พอจะเป็นไปได้ … ”


 


เขากวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า


 


จิตสัมผัสเทวะของขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า แน่นอนว่าย่อมต้องทรงพลังและกว้างขวาง เพียงแค่กวาดมันออกไป เขาก็สามารถค้นพบตัวของกู่ฉิงซานได้ในทันที


 


และยังค้นพบอีกด้วยว่า ความผันผวนทางพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง


 


เซ่าหวูชุ่ยแทบไม่อยากจะเชื่อ เขาถึงขั้นต้องใช้จิตสัมผัสเทวะของตนสำรวจอีกฝ่ายอีกรอบหนึ่ง


 


เป็นขอบเขตประทับเทพจริงๆ!


 


เซ่าหวูชุ่ยมิได้เอ่ยคำใดอยู่เนิ่นนาน


 


ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ “ยุคของพวกเราคงจบลงอย่างที่เจ้าว่าเสียแล้ว รุ่นเยาว์คงจะเหนือล้ำยิ่งกว่ารุ่นของพวกในสักวันหนึ่ง …”


 


กู่ฉิงซานบินไปยังลานห้องพักของฉีหยาน


 


ขณะที่บินไป เขาก็คอยมองหน้าต่างระบบเทพสงครามไปด้วยในตัว


 


ตอนนี้ เขาไม่ต้องการที่จะเสียเวลารีรออีกต่อไป คงจะเป็นการดีกว่าหากแก้เรื่องนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด


 


“ระบบ ฉันต้องการจะใช้รางวัลที่ได้จากภารกิจพิเศษในตอนนี้เลย ช่วยทำให้ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพสงครามในขอบเขตประทับเทพ เสร็จสมบูรณ์ในตอนนี้เลยจะได้ไหม” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ติ๊ง!


 


“ภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ , รางวัลภารกิจ : ระบุภารกิจและส่งผลให้มันลุล่วงได้ทันที”


 


“ตามที่คุณร้องขอ จะเริ่มต้นใช้รางวัลนี้ เพื่อที่จะได้บรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตประทับเทพให้เสร็จสมบูรณ์ทันที”


 


“รางวัลได้ถูกใช้แล้ว”


 


“ระบบกำลังทำการเชื่อมต่อกับรากฐานของโลกในปัจจุบัน เพื่อที่จะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์”


 


“โปรดรอสักครู่”


 


ว่าแล้วเสียงของระบบก็เงียบลง


 


กู่ฉิงซานเฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ระบบก็ยังคงไม่ตอบสนอง


 


โดยไม่ทันจะได้รู้ตัว เขาก็มาถึงลานบ้านของฉีหยานเสียแล้ว


 


ว่านเอ๋อยืนรอเขาอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า


 


“ท่านอาจารย์ข้ายังมิกลับมาหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ข้ามาแล้ว”


 


บนท้องฟ้า ฉีหยานกำลังบินนำหน้าฉินรั่วมา


 


เมื่อทั้งสี่พบหน้ากัน ทั้งหมดก็เข้าไปในลานบ้าน และปิดประตูหน้าทันที


 


ภายในห้อง


 


ร่างของฉีหยานค่อยๆสลายไป และแปรเปลี่ยนเป็นร่างของหญิงสาวในชุดคลุมฟ้าที่งดงาม


 


“ขอแสดงความยินดีกับนายน้อย ที่สามารถยกระดับขึ้นสู่ประทับเทพได้สำเร็จ” ฉานนู่กล่าว


 


“แล้วทางด้านเจ้าเล่า สถานการณ์เป็นเช่นไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ข้าทำตามที่เจ้ากล่าว เมื่อไปถึงก็หลับตาทำสมาธิทันที โดยให้เหตุผลว่ากำลังรักษาตัวอยู่ และเซ่าหวูชุ่ยก็มิได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย”


 


“ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ” กู่ฉิงซานผ่อนคลายลง


 


“แล้วสิ่งที่พวกเราต้องทำต่อไปในตอนนี้คืออะไร?” ฉานนู่เอ่ยถาม


 


“เจ้าก็กลับมาเป็นข้า แล้วข้าก็กลับไปเป็นฉีหยานอีกครั้ง” กู่ฉิงซานตอบ


 


ฉานนู่พยักหน้า และเริ่มต้นใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต


 


เพียงครู่ เธอก็กลายไปเป็นกู่ฉิงซาน


 


ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมทุกประการ แตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ‘กู่ฉิงซาน’ ในเวลานี้ คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพ


 


กู่ฉิงซานแข็งแกร่งขึ้น ฉานนู่ก็จักแข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน


 


และนี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอ ‘ทรงปัญญา’


 


พออีกฝ่ายปลอมกายเสร็จสิ้น กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบขวดน้ำยาตัดแต่งพันธุกรรมอีกขวดออกมา และฉีดเข้าใส่ตนเอง


 


ร่างกายของเขาค่อยๆเปลี่ยนแปลง และกลายเป็นฉีหยานอีกครั้ง


 


ในความเป็นจริงแล้ว ที่จะต้องทำเช่นนี้น่ะ มันเป็นเพราะว่าห้วงอารมณ์ของฉานนู่มันเย็นชาเกินไป แม้ว่าเธอจะสามารถแสดงได้อย่างแนบเนียนก็ตามที แต่มันก็ไม่ถึงขั้นมีสติปัญหานึกคิดระดับเดียวกันกับกู่ฉิงซานได้


 


หากต้องการปกปิดความลับต่อหน้าปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง แล้วบังเอิญเข้าสู่สถานการณ์วิกกฤตและต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาดแล้วล่ะก็ … การแสดงเพียงอย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอ


 


ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าถึงสองคน กู่ฉิงซานจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงให้ฉานนู่เป็นคนตัดสินใจด้วยตนเอง


 


เรื่องนี้ มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สมควรจะทำได้


 


“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราต้องรีบกลับไปยังเวทีหารืออย่างเป็นทางการกันในทันที เผื่อเกิดกรณีที่มีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ฉินรั่วเปิดประตู แล้วทั้งสี่ก็กลับไป


 


กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


แต่กลับเห็นแค่เพียงบนหน้าต่างยังคงเงียบสงบ ไร้ซึ่งตัวแจ้งเตือนและสรรพเสียงใดๆ


 


นี่มันช่างให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างแท้จริง


 


กรณีดังกล่าวนี้ มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย


 


หรือว่าระบบจะเป็นอะไรไปรึเปล่านะ?


 


เขาย้อนนึกไปถึงตอนที่ตนได้รับ ‘ร่างเงาแทนที่’ ระบบก็ทำการเชื่อมต่อกับรากฐานต้นกำเนิดของโลกเทวะเช่นกัน


 


แต่ในตอนนั้น การสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์มันก็เกิดขึ้นเลยในทันที


 


แต่เวลานี้ … มันเกิดอะไรขึ้นกับระบบกันแน่นะ?


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.448 – ความลับของนิกาย


 


“ระบบ?”


 


กู่ฉิงซานเปล่งเสียงเรียกในจิตใจของเขา


 


เงียบ …


 


ไร้ซึ่งเสียงตอบรับกลับมา


 


กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างลับๆ


 


เรื่องแบบนี้ .. มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย


 


อย่างไรก็ตาม แม้เขาต้องการจะตรวจสอบเรื่องนี้มากเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะไตร่ตรองเกี่ยวกับมันอยู่ดี


 


นั่นเพราะ .. นี่คงใกล้จะได้เวลาที่เย่หยิงเหมยจะกลับมาแล้ว


 


สามปรมาจารย์ตำหนักจะต้องเริ่มหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่จะใช้จัดการกับหวังหงษ์เต๋าในไม่ช้า


 


ถ้าหากเขามาสายเกินไป คนที่เหลือก็อาจจะสงสัยได้


 


ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็มาถึงเวทีหารืออย่างเป็นทางการในที่สุด


 


และก็เป็นเวลาที่เหมาะเจาะยิ่งนัก


 


เพราะเย่หยิงเหมยก็กำลังกลับมาพอดีเช่นกัน


 


“นี่คือสองสมบัติมนตราที่พวกเราได้ความพยายามฟูมฟักมันมาเป็นระยะเวลาหลายปี ข้าหวังว่าเจ้าจะมองหาโอกาสที่เหมาะสมที่สุดในยามที่ใช้มันนะ” เย่หยิงเหมยเอ่ยปากออกมา


 


ขณะเดียวกัน เธอผายมือของตัวเองออกไป


 


ตามด้วยกลุ่มก้อนรังสีแสงสีน้ำเงินและแดงที่สาดแสงออกมา พวกมันทั้งสองลอยนิ่งอยู่บนฝ่ามือของเธออย่างเงียบๆ


 


ในส่วนของกลุ่มรังสีแสงสีแดง มันคือเข็มที่บางเบา – ราวกับเส้นผม


 


แม้เข็มแหลมจะลอยนิ่งอยู่เฉยๆในอากาศ ทว่ายามเมื่อสายลมพัดโชยผ่านมัน ก็จะถูกปลายอันแหลมคมเสียดสีจนบังเกิดเสียงหวีดหวิวกังวานไปทั่ว


 


ขณะที่อากาศบริเวณโดยรอบของเข็มแหลม ได้บังเกิดร่องรอยปริร้าวของชั้นมิติ ราวกับว่ามีพลังที่มองไม่เห็นกำลังฉีกกระชากมันอยู่ตลอดเวลา


 


เป็นไปได้มากทีเดียว ว่าเมื่อใดก็ตามที่สมบัติมนตราชิ้นนี้ถูกเปิดใช้งาน พลังอำนาจอันน่าสะพรึงย่อมไม่แคล้วที่จะปะทุออกมา


 


ในขณะที่รังสีแสงสีน้ำเงิน เป็นยันต์ที่วาววับและโปร่งใส ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณภาพของมันยอดเยี่ยมมากเพียงใด


 


กล่าวได้เลยว่านี่คือหนึ่งในยันต์ที่มีคุณภาพดีเลิศที่สุด ที่ถูกแกะสลักขึ้นจากหยกวิญญาณ


 


ซึ่งมันแตกต่างไปจากกลุ่มก้อนรังสีแสงสีแดง ที่มิได้มีรูปร่างหรือเปล่งกลิ่นอายที่มีความพิเศษใดๆออกมา


 


กู่ฉิงซานจับจ้องลงไปยังยันต์หยกวิญญาณ และสัมผัสได้ว่าห้วงอารมณ์ภายในหัวใจตน อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา


 


“นี่คือยันต์ที่ข้าปรับแต่งขึ้น มันสามารถต้านทานการโจมตีของหวังหงษ์เต๋าได้ หรืออีกความหมายนึงก็คือ เจ้าจะต้องใช้โอกาสในช่วงเวลานั้นโจมตีเขา” เย่หยิงเหมยอธิบายออกมา


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าว่าเข้าใจ


 


เย่หยิงเหมยฉกาจที่สุดในด้านปรับแต่งยันต์ และก่อนหน้านี้ในยามเมื่อมอบของรับขวัญในการพานพบกันครั้งแรกแก่ ‘กู่ฉิงซาน’ นางก็ได้มอบยันต์ป้องกันให้แก่เขาไปใบหนึ่งเช่นกัน


 


เห็นได้ชัดว่านางมีความรอบรู้ในศาสตร์แขนงนี้


 


“เอาล่ะ เช่นนั้นที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าวออกมา


 


เย่หยิงเหมยลังเลเล็กน้อย


 


เธอมองไปยังสมบัติมนตราทั้งสองอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งผ่านพ้นไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ยังไม่ยินดีที่จะตัดใจจากมัน


 


“ศิษย์น้องหยิงเหมย” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แผนการในครานี้ เจ้าแค่ต้องจ่ายออกด้วยสิ่งที่อยู่ภายนอก ขณะที่ข้าต้องจ่ายออกด้วยสิ่งภายในอย่างการเดิมพันด้วยชีวิตของตนเองเชียวนา”


 


เซ่าหวูชุ่ย หันไปเอ่ยกับเย่หยิงเหมยผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ให้เขาไปเถอะ หากล้มเหลวเขาก็แค่ตกตาย และนั่นมันก็เป็นเรื่องของเขา อีกอย่างหากปล่อยให้เขาลงมือ หวังหงษ์เต๋าก็จะไม่มีทางค้นพบได้ว่าพวกเราเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”


 


เย่หยิงเหมยแม้จะได้ฟังแล้ว แต่ก็ยังลังเลอยู่ดี


 


นี่คือสมบัติมนตราที่เธอและเซ่าหวูชุ่ยต้องใช้ออกด้วยความพยายามมากมาย ทุ่มเทบากบั่นอยู่หลายปีดีดักจนรังสรรรมันออกมาได้สำเร็จในที่สุด


 


แต่ในเวลานี้ สมบัติมนตราที่ว่ากลับกำลังจะไปตกในมือของผู้อื่น


 


วิสัยทัศน์ของเธอจมอยู่กับสมบัติมนตราทั้งสอง และยังไม่เต็มใจที่จะมอบมันออกไป


 


ในช่วงเวลานั้นเอง จู่ๆสภาพอากาศก็เริ่มมืดครึ้มลงทันใด


 


บนท้องฟ้า พริบตาเดียวตลอดทั้งเกาะก็สูญสิ้นซึ่งความสว่างไสวไปโดยสมบูรณ์


 


ราวกับว่ามันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ทุกสิ่งมีชีวิตตลอดทั้งเกาะพลันหยุดนิ่ง


 


นี่คือกฏที่แต่ละนิกายจะต้องปฏิบัติตาม


 


ที่ต้องบังคับกฏให้ทุกคนหยุดนิ่งในช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ได้มาถึง นั่นก็เป็นเพราะว่าต้องการที่จะป้องกันไม่ให้สายลับจากนิกายอื่น ฉวยจังหวะนี้ สบโอกาสลอบเข้าไปทำลายค่ายกลของนิกายได้ หากมีผู้ใดเคลื่อนกาย มันผู้นั้นก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที


 


ทว่าบนแท่นสูง สามปรมาจารย์ตำหนักกลับยังคงเคลื่อนไหวได้ตามสะดวก


 


อย่างแรกก็เพราะนี่อยู่ภายในนิกาย ซึ่งสภาพแวดล้อมมันจะแตกต่างไปจากเกาะส่วนตัวของฉีหยาน


 


เกาะส่วนตัวของฉีหยาน มีเพียงค่ายกลขนาดเล็กคอยรองรับเท่านั้น


 


ด้วยเหตุนี้เอง ยามที่ ‘ลางร้าย’ ได้มาเยือน ช่วงเวลานั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงอยู่นิ่งๆเฉยๆภายในค่ายกลขนาดเล็กเท่านั้น มิอาจฝืนทำอย่างอื่นได้


 


แต่สำหรับภายในนิกายกวงหยาง ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า มันได้ถูกครอบคลุมโดยค่ายกลทั้งหมด


 


ผู้ฝึกยุทธจึงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวใดๆ


 


อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดนี้ สีหน้าของสามปรมาจารย์ตำหนักก็ยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่ดี


 


เซ่าหวูชุ่ยจั่วยันต์ออกมา และจ้องมองมัน


 


บนยันต์ คำว่าลางร้ายกระพริบไหวไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


 


จนท้ายที่สุดแล้ว คำว่า ‘ลางร้าย’ ก็ได้ครอบคลุมทั่วทุกส่วนของยันต์


 


ช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ได้มาเยือนแล้ว!


 


ตลอดทั้งผืนดิน บังเกิดเสียงคำรามอันหนักหน่วงกังวานขึ้น


 


เสียงคำรามนี้ขจรขจายไปตลอดทั้งโลกหล้า ราวกับเป็นการประกาศว่าทุกชีวิตจักต้องจบลงด้วยความตาย


 


มารโลกาได้ตื่นจากการหลับไหลแล้ว


 


ตลอดทั้งโลกพลันจมลงสู่ความเงียบ


 


ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนมิกล้าที่จะเปล่งเสียงใดๆออกมา


 


ภายในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก เย่หยิงเหมยกำลังตั้งใจฟังเสียงคำรามของมารโลกาอย่างเงียบๆ


 


“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไปเล็กน้อย” เย่หยิงเหมยเอ่ยพึมพำ “สังเกตหรือไม่ว่าครานี้มันตื่นเร็วขึ้นกว่าเดิม?”


 


เซ่าหวูชุ่ยหยิบยันต์ออกมากองหนึ่ง และเริ่มมองดูพวกมันทีละแผ่น ทีละแผ่นอย่างเป็นระมัดระวัง และในที่สุดก็เก็บยันต์ทั้งหมดกลับคืน


 


“เป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ” เขาเอ่ยสนับสนุน “ในช่วงหลายสิบวันที่ผ่านมานี้ ช่วงเวลาที่มันตื่นจากการหลับไหลดูเหมือนว่าจะเร็วขึ้นยิ่งอย่างเดิมครึ่งชั่วยาม หากเทียบกับในครั้งอดีต”


 


ทั้งสองเงียบไป


 


มารโลกาตื่นจากการหลับไหลบ่อยขึ้น และเร็วขึ้น …


 


นี่มิใช่เป็นการบ่งบอกกลายๆว่า วันใดวันหนึ่ง มันจะตื่นขึ้นมาโดยไม่หลับไหลอีกเลยหรอกหรือ?


 


หากเป็นในกรณีเช่นนั้น แล้วผู้ฝึกยุทธจะเผชิญกับมารที่มิอาจต่อต้านตนนี้ได้อย่างไร?


 


ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกมิอาจทำงานได้ตลอดไป หากไม่มีการเติมเต็มศิลาวิญญาณ


 


และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะต้อง … ตาย!


 


กู่ฉิงซานเฝ้ามองทั้งสอง และในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “ไม่ช้าก็เร็ว โลกใบนี้ก็จะดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุด ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าควรทุ่มสุดตัว และเลิกลังเลได้แล้ว”


 


เย่หยิงเหมยหันไปมองเขา ห้วงอารมณ์ภายในจิตใจค่อยๆคลายลงอย่างช้าๆ


 


นั่นสินะ ไม่ช้าก็เร็วโลกใบนี้ก็จะจบสิ้นลงโดยมารโลกา


 


เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสนี้ ต่อสู้แบบทุ่มสุดตัวดูเล่า?


 


“ในเมื่อเจ้าได้เอ่ยคำมั่นสาบานต่อฟ้าดินไปแล้ว ข้าก็ยินดีที่จะมอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่เจ้า ยังไงก็ตาม เจ้าจะต้องจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าหวังหงษ์เต๋าอยู่ในขอบเขตลมปราณจิตมานานนับปี นั่นหมายความว่ากลยุทธ์ของเขาย่อมไร้ที่สุดสิ้น ชนิดที่เจ้ามิอาจจินตนาการได้” เย่หยิงเหมยกล่าว


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยสารภาพ “จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ข้าก็ยังไม่กล้าเอ่ยได้อย่างเต็มปากว่ากระจ่างชัดถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา”


 


“ข้าเองก็มิแตกต่างจากสหายเซ่า” เย่หยิงเหมยกล่าว “แม้ว่าข้าจะใช้เวลาอยู่กับเขามานานปี แต่ข้าก็มิอาจล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาในเชิงลึกเช่นกัน”


 


“ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นโอกาส จงทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลัง อย่าได้ออมแรงไว้โดยเด็ดขาด” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยสั่ง


 


กู่ฉิงซานมองไปยังทั้งสองอย่างระมัดระวัง และพบว่าท่าทีการแสดงออกของทั้งสองบัดนี้ช่างดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างแท้จริง


 


“พวกเจ้าวางใจได้ นี่มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความตายของข้าเช่นกัน ข้าย่อมต้องทุ่มพยายามเต็มกำลัง ลงมือให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักที่เฝ้ามองเขาเอ่ยเช่นนั้น ก็บังเกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา


 


เย่หยิงเหมยค่อยๆวาดมือของตนออกไปอย่างแผ่วเบา


 


หนึ่งแสงสีน้ำเงิน และหนึ่งแสงสีแดง ทั้งสองกลุ่มลอยล่องอย่างช้าๆมาตรงหน้าของกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานรับเอาสมบัติมนตราทั้งสองมาอย่างระมัดระวัง


 


“สหายเซ่า ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”


 


“เจ้าว่ามาสิ”


 


“ข้าได้ทำการสืบทราบข้อมูลเกี่ยวกับหวังหงษ์เต๋ามาบ้างแล้ว และพบว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่เติบโตมาในนิกาย แถมยังได้เก็บสะสมกระบี่ และเทคนิคลับต่างๆที่ตนเคยได้เรียนรู้มา เอาไว้มากมายอีกด้วย”


 


“มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ว่าแต่สิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อคืออะไร?”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “ก็เจ้าน่ะเป็นปรมาจารย์ตำหนักเจียงซี ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งสมบัติทั้งหมดในนิกายนี่นา ดังนั้น ข้าจึงต้องการที่จะให้เจ้าช่วยให้ข้าได้เข้าไปยังตำหนักเจียงซี เพื่อดูสิ่งที่หวังหงษ์เต๋าได้เคยทำการศึกษามา”


 


พอได้ฟัง เซ่าหวูชุ่ยก็บังเกิดความลังเล


 


เทคนิคลับบางส่วนกล่าวได้ว่ามันทรงพลังยิ่ง และหวังหงษ์เต๋าก็ไม่เคยอนุญาตให้คนอื่นๆในนิกายได้แอบดูมันมาก่อนเลย


 


นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสมบัติลับในนิกาย ที่มีเพียงหวังหงษ์เต๋าและตัวเขาเองที่สามารถรับรู้ได้อยู่อีก


 


-เทคนิคลับมากมายที่หวังหงษ์เต๋าจงใจเลือกที่จะปกปิดเป็นการส่วนตัว


 


แล้วตอนนี้ เขาจะสามารถอนุญาตให้ฉีหยานได้เข้าไปดูมันจริงๆน่ะหรือ?


 


ต้องไม่ลืมนะว่าหวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ทั้งวิสัยทัศน์และพรสวรรค์ในความกระจ่างแจ้ง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปสามารถเทียบเปรียบได้


 


ดังนั้น เทคนิคลับที่เขาถึงขั้นลงทุน ศึกษา และพยายามเก็บมันเอาไว้ ย่อมต้องมีค่ามหาศาลอย่างแน่นอน!


 


เซ่าหวูชุ่ยลังเลอยู่นาน จนกระทั่งเย่หยิงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆหัวเราะออกมา


 


“สหายเซ่า จนกระทั่งถึงเวลานี้ เจ้าก็ยังคิดจะทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านอยู่อีกหรือ?”


 


น้ำเสียงของเธอค่อนข้างกล่าวติดตลก


 


เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ก็ทนไม่ไหวต้องพยักหน้าออกมา


 


นั่นสินะ วิชาที่หวังหงษ์เต๋าเก็บสะสมไว้น่ะยากที่จะเรียนรู้ และการที่จะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งย่อมเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่ง


 


วิชาเหล่านั้น ล้วนมิใช่สิ่งที่จะสามารถเรียนรู้ได้ในชั่วข้ามคืนได้!


 


ขณะที่ฉีหยานกำลังจะไปเผชิญหน้ากับตัวตนที่ว่าในไม่ช้า


 


ดังนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ  ฉีหยานจึงต้องเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาต่างๆให้ได้มากที่สุด เพื่อที่อย่างน้อยจะได้มีโอกาสรับมือกับกลยุทธ์ของหวังหงษ์เต๋าได้มากยิ่งขึ้น


 


แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่สำคัญก็คือ หวังหงษ์เต๋าได้ตระเตรียมวิชาต้องห้ามไว้มากมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดอ่านวิชาของตนเองได้เนี่ยสิ


 


นอกเหนือไปจากหวังหงษ์เต๋า ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องใบหยก และหากแตะต้องมัน ใบหยกก็จะกลายเป็นผุยผงทันที


 


หากฉีหยานสัมผัสใบหยกในส่วนนั้น ใบหยกก็จะแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ดี


 


ดังนั้น กล่าวได้ว่านอกเหนือไปจากหวังหงษ์เต๋าแล้ว ก็ไม่มีใครรู้วิธีที่จะควบคุมมารแมลงร้ายที่อยู่ในร่างกายของตนเองได้ แม้กระทั่งตัวฉีหยานเองก็ตาม


 


สรุปแล้ว เซ่าหวูชุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่ากู่ฉิงซานจะสามารถเข้าไปแอบดูเทคนิคลับที่ว่านั่นได้ และใช้มันบังคับควบคุมเขา


 


บางที การที่ถูกร้องขอออกมาเช่นนี้ มันอาจจะเป็นการดีสำหรับตัวเซ่าหวูชุ่ยเช่นกัน


 


“ก็ได้! เจ้าจงรับมันไป!”


 


ว่าแล้วเซ่าหวูชุ่ยก็โยนตราประทับออกไปทางกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานคว้ารับตราประทับ และถือมันไว้ในมือของเขา


 


“เจ้าทำถูกแล้วสหายเซ่า ยิ่งข้าได้รู้เกี่ยวกับวิชาของหวังหงษ์เต๋ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าจักสามารถสังหารเขาได้มากขึ้นเท่านั้น”


 


กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อ “เจ้าจะต้องอ่านวิชาเหล่านี้อย่างรอบคอบ แม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะฉกาจในด้านกระบี่ แต่เขาก็ยังรักที่จะศึกษาในวิชาการควบคุมคนตายเช่นกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้ศึกษามันจนเชี่ยวชาญ และมีวิชาที่ทรงพลังในแขนงนั้นไว้ในครอบครองอยู่มากมาย”


 


“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะศึกษาพวกมันอย่างละเอียดอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


แล้วเขาก็หันไปเอ่ยกับ ‘กู่ฉิงซาน’


 


“ศิษย์ข้า”


 


ฉานนู่ก้าวออกมาข้างหน้า และตอบรับ


 


กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว “ไหนๆเจ้าก็บรรลุขอบเขตประทับเทพแล้ว เจ้าก็มาด้วยกันกับอาจารย์สิ บางทีอาจจะพบเจอกับเทคนิคดาบที่ต้องตาบ้างก็ได้นะ”


 


เทคนิคดาบ?


 


เซ่าหวูชุ่ยเงียบกันไปสักพักหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “หวังหงษ์เต๋ามิได้ครอบครองเทคนิคดาบ เขาเป็นผู้ใช้กระบี่ ..”


 


“มันไม่สำคัญหรอก เพียงแค่ดูมันก็ไม่นับว่าเสียหายนี่ อีกอย่าง จะได้เป็นการเปิดโลกกว้างในมุมมองของศิษย์ข้าอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ฉานนู่พูดต่อทันที “ศิษย์จะทำตามคำแนะนำของท่านอาจารย์”


 


แล้วกู่ฉิงซานก็นำ ‘กู่ฉิงซาน’ เดินออกไป โดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย


 


เซ่าหวูชุ่ยต้องการจะเอ่ยอะไรออกไปมากกว่านี้ แต่กลับเห็นแค่เพียงทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ได้เดินจากแท่นเวทีไปไกลแล้ว


 


—ดูเหมือนว่าต่อให้ตนจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมออกมา แต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะฟังอยู่ดี


 


ริมฝีปากของเซ่าหวูชุ่ยสั่นระริก คำพูดที่กำลังจะเปล่งออกมาจุกแน่นอยู่ในลำคอ จะเปล่งออกมาก็ไม่ได้ จะกลืนลงไปทันที ใจมันก็ไม่รู้สึกไม่ยินยอม …


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.449 – ประจักษ์พยาน


 


ของที่เก็บสะสมไว้ในนิกายกวงหยาง สำหรับกู่ฉิงซานแล้วมันคืออะไรที่สำคัญเป็นอย่างมาก


 


เพราะนั่นคืออารยธรรมการฝึกยุทธที่เหนือล้ำยิ่งกว่าของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะเทคนิคค่ายกลของพวกเขา นับว่าหาที่ใดจะเทียบเปรียบได้


 


กู่ฉิงซานพาฉานนู่ ฉินรั่ว และว่านเอ๋อมาด้วยกัน มุ่งหน้าตรงไปยังคลังสมบัติของโถงเจียงซี


 


ขณะที่ในระหว่างทาง พวกเขามิได้พบเจอกับผู้ใดเลย


 


กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ


 


ช่วงเวลานี้ ตลอดทั่วทั้งเกาะ นอกเหนือไปจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่อาจพบเห็นผู้ใดได้อีกเลย


 


นี่มันช่างแตกต่างกับนิกายกวงหยางที่พวกเขาเข้ามาในตอนแรกเสียเหลือเกิน


 


ความเงียบงันที่ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดนี้ ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะลอยฟ้า


 


ในแต่ละนิกาย เมื่อเกิดช่วงเวลานี้ขึ้น เหล่าผู้ฝึกยุทธจะได้รับคำสั่งขั้นเด็ดขาดให้อยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น


 


แต่ในความเป็นจริง ทุกๆนิกายก็มีค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกที่เปิดใช้งานอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวก็ได้


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ขึ้น แต่ละนิกายก็จำเป็นต้องออกคำสั่งจำกัดพื้นที่ของเหล่าสาวกอยู่ดี


 


เพราะคือแนวทางปฏิบัติที่ได้เรียนรู้มาจากความเจ็บปวดมากมายที่เคยเกิดขึ้นในครั้งอดีต


 


มีเพียงฉีหยานเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฏข้อบังคับดังกล่าว


 


นั่นเพราะเขาเป็นลูกชายของท่านผู้นำ และยังเป็นหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนักที่มีอำนาจมากเป็นพิเศษอีกด้วย


 


“ว่านเอ๋อ”


 


กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าลงทันใด หันไปกล่าวทางว่านเอ๋อ


 


“เจ้าค่ะ นายน้อย”


 


“สถานการณ์เช่นนั้นมันอะไรกัน?”


 


ว่าแล้วกู่ฉิงซานก็ชี้ยังทิศทางหนึ่งและเอ่ยปากออกมา


 


ว่านเอ๋อมองตามไปยังทิศทางที่กู่ฉิงซานชี้ไป


 


ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าใดนักบนท้องฟ้า บังเกิดแสงสีดำวูบไหวจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง


 


แสงสีดำที่สาดออกมา ส่งผลให้ในสายตาสามารถมองเห็นถึงปากใหญ่มากมายที่เต็มไปด้วยซี่ฟันแหลมๆปรากฏขึ้น


 


ปากใหญ่สีดำเหล่านี้มีขนาดเท่ากับสิ่งปลูกสร้างราวๆ4-5ชั้น ขณะที่แต่ละปากบ้างอ้า บ้างหุบ ราวกับกำลังคาดหวังบางสิ่งบางอย่างอยู่


 


นี่คือร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกา


 


ร่างไร้จิตสำนึกเหล่านี้กำลังรายล้อมอยู่รอบเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป


 


เมื่อเห็นถึงฉากนี้ สีหน้าท่าทีของว่านเอ๋อก็เปลี่ยนไปทันที


 


เธออดไม่ได้ที่จะเผลอก้าวถอยหลังกลับไป และคว้าจับมือของฉินรั่ว บีบมันจนแน่น


 


“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว”


 


ฉินรั่วกอดหว่านเอ๋อและปลอมประโลมเบาๆ


 


ขณะที่ทั้งคนทั้งร่างของว่านเอ๋อสั่นกึกๆไม่หยุด และมิอาจเปล่งคำใดออกมาตอบรับคำของฉินรั่วได้


 


“นายน้อย” ฉินรั่วหันไปมองกู่ฉิงซานและอธิบาย “ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาน่ะ จะรับรู้ถึงกลิ่นอายของพลังวิญญาณได้ พวกมันจึงไปล้อมรอบในส่วนที่มีกลิ่นอายเล็ดลอดออกมา และเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ”


 


“รออะไร?”


 


“ก็รอ-”


 


ฉินรั่วยังไม่ทันจะได้เอ่ยจนจบประโยค บนท้องฟ้าก็เริ่มบังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น


 


ในเวลานี้ ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาได้ปกคลุมไปจนเกือบตลอดทั้งเกาะแล้ว


 


แต่ช่างน่าฉงนนัก ที่จู่ๆก็มีเรือเหาะลำหนึ่งแล่นสวนออกมาจากเกาะ


 


เรือเหาะพุ่งผ่านช่องว่างที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างรวดเร็ว และสามารถฝ่าวงล้อมของร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกามาได้อย่างง่ายดาย


 


สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลงและเฝ้ามองถึงฉากนี้อย่างระมัดระวัง


 


แล้วเขาก็ได้ข้อสรุปออกมา ว่าแท้จริงแล้วบนเรือเหาะลำนั้นมีแสงสลัวจางๆของ7-8ค่ายกลกระพริบไหวออกมาเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่านั่นจะต้องเป็นค่ายกลที่ใช้ป้องกันตัวจากร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาเป็นแน่


 


หนึ่งในนั้นคือค่ายกลที่ทำให้ชั้นอากาศโดยรอบของเรือเหาะเกิดความบิดเบือนเป็นระลอกคลื่น


 


ปรากฏการเช่นนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกเกิดการทำงาน


 


มันคงจะเป็นเพราะค่ายกลที่ว่านี้นี่เอง ที่ส่งผลให้ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกามิอาจตระหนักถึงการมีอยู่ของเรือเหาะได้


 


เรือเหาะพุ่งผ่านไป มุ่งหายไปในท้องฟ้าอันกว้างไกล


 


ขณะที่บนเกาะลอยฟ้าดังกล่าว บังเกิดเสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนที่ฟุ้งไปด้วยความสิ้นหวังดังขึ้น


 


“ไม่จริง!!”


 


“ท่านหัวหน้า! ท่านจะทิ้งพวกเราเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะ!”


 


“ขโมยศิลาวิญญาณทั้งหมดของนิกายหลบหนีไป เจ้ามันไม่คู่ควรกับคำว่าผู้นำเลย!”


 


“หวังบิซี! ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นผี ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”


 


ขณะที่เสียงเหล่านั้นปะทุขึ้น ตลอดทั้งเกาะก็บังเกิดเสียงคร่ำครวญอีกมามายตามมา


 


แสงที่รายล้อมอยู่รอบเกาะทรุดโทรมลง และสุดท้ายก็สลายหายไปในความว่างเปล่า


 


ค่ายกลที่คอยปกป้องพวกเขาได้หายไปแล้วโดยสมบูรณ์แล้ว


 


-ปงงงง!


 


ทว่าพริบตานั้นเอง ร่างไร้สติทั้งหมดก็ถูกระเบิดการโจมตีเข้าใส่จนกระจายเป็นซากในฉับพลัน


 


พร้อมกับการปรากฏกายของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่กลางอากาศ ขณะที่ในมือของเขาผายออกด้วยวิชาลับ


 


คลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณของคนผู้นี้ ไม่แตกต่างไปจากเย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยเลย


 


เขาคือผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าขั้นปลาย!


 


ที่เรียกได้ว่ากระทั่งในโลกใบนี้ ก็ยังเป็นตัวตนที่ทรงพลานุภาพยิ่ง!


 


เมื่อเสียง ปงงง! ดับลง ร่างไร้จิตสำนึกทั้งหมดก็ถูกทำลายหายไปในการโจมตีเดียว อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนกลับไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจใดๆเลย


 


เขาตะโกนด้วยความกระวนกระวาย “เหล่าอาวุโสและสาวกทั้งหลาย จงเร่งนำศิลาวิญญาณที่พวกเจ้าซุกซ่อนเก็บเอาไว้กับตัวไปเปิดใช้งานค่ายกลเร็วเข้า มิฉะนั้นโชคชะตาของทุกคนคงมิแคล้วตกตาย!”


 


บนเกาะลอยฟ้า เหล่าผู้ฝึกยุทธมากมายได้ตกอยู่ในความอลหม่าน และเริ่มทำการรวบรวมศิลาวิญญาณทันที


 


“นายน้อย ข้าเกรงว่าพวกเขาคงจะมีเวลาไม่มากพอ” ฉินรั่วกล่าวเสียงต่ำ


 


“เพราะเหตุใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เห็นแค่เพียงท่าทีที่พยายามจะสงบนิ่งของฉินรั่ว ทว่าสีหน้าของเธอกลับเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่กลบไม่มิดออกมา


 


เธอเฉลยว่า “เพราะร่างมีจิตสำนึกของมารโลกากำลังจะมา ซึ่งนั่นหมายความว่ามารโลกาได้ค้นพบพวกเขาแล้ว”


 


ว่านเอ๋อที่ยังสั่นเทาก็กล่าวออกมาเช่นกัน “นายน้อย โปรดรับชมด้วยตาตนเองเถิด นั่นคือ ‘พฤกษาแห่งมารโลกา’ ”


 


กู่ฉิงซานมองออกไป


 


และเห็นแค่เพียงเนื้อสีแดงสดที่สูงตระหง่าน คล้ายคลึงกับพฤกษายักษ์กำลังทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


และเนื้อที่ว่านี้มาจากร่างหลักของมารโลกา ที่อยู่บนพื้นโลก


 


เนื้อพฤกษายักษ์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


จากนั้น พวกมันก็เริ่มที่จะแตกกิ่งก้านสาขา


 


กิ่งก้านที่แยกออกมาเหล่านั้น ถูกปกคลุมไปด้วยผลไม้สีแดงสด


 


“โผล๊ะ!”


 


ผลไม้ที่ว่าเริ่มแยกออก


 


พร้อมกับการปรากฏ ‘หนังมนุษย์’ หลุดลอกออกมา และลอยค้างอยู่กลางเวหา


 


พวกมันเป็นเพียงหนังมนุษย์แห้งๆ ไร้ซึ่งเลือดและเนื้อ ทว่ากลับสามารถเคลื่อนไหว และเหินอากาศไปมาได้มิแตกต่างไปจากผู้ฝึกยุทธเลย


 


หนังมนุษย์มองไปยังเกาะลอยฟ้า และเปล่งเสียงหัวเราะที่แลดูฟั่นเฟือนออกมา


 


ในกระแสเสียงหัวเราะของพวกมัน ฟุ้งไปด้วยความเคียดแค้นอย่างหาที่ใดเปรียบ ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ซึ่งความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง


 


“ยอด ยอดเยี่ยม”


 


หนังมนุษย์ตวาดเสียงดัง


 


ขณะที่เบื้องหลังเขา หนังมนุษย์มากมายที่ติดตามมาก็หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง


 


“ยอด ยอดเยี่ยม”


 


พวกมันทุกตนต่างพากันตะโกนตามเขาออกมา


 


“ในที่สุดก็มีวิญญาณสดใหม่ที่จะต้องมาทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดชั่วนิจนิรันดร์ไปพร้อมกับพวกเราเพิ่มขึ้นอีกซักที” หนังมนุษย์เอ่ยกระซิบ


 


แต่แล้วจู่ๆใต้พื้นดินบังเกิดเสียงสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก


 


เสียงสะเทือนนี้ราวกับกำลังจะกระตุ้นเตือนเล็กน้อย


 


เพราะหลังจากที่ได้ยินมัน หนังมนุษย์ทั้งหมดก็หุบปากของพวกเขาลงทันที


 


ทั้งหมดกลายเป็นภาพติดตา และพรวดลงไปบนเกาะลอยฟ้าอย่างรวดเร็ว


 


ทันใดนั้นตลอดทั้งเกาะก็ตกอยู่ในความโกลาหล


 


ความว่องไวของผู้ฝึกยุทธ มิอาจเทียบเคียงกับหนังมนุษย์ได้เลย


 


เห็นแค่เพียงเงาที่กระพริบผ่าน แล้วผู้ฝึกยุทธก็ถูกคว้าโอบกอดโดยหนังมนุษย์


 


ทันทีที่ถูกจับตัวไว้ เลือดและเนื้อตลอดทั้งร่างกายของผู้ฝึกยุทธก็หายไปโดยสมบูรณ์ และหลงเหลือเพียงหนังมนุษย์ที่เหี่ยวแห้งตนใหม่ปรากฏขึ้นมา


 


ขณะเดียวกันหนังมนุษย์ตนที่พึ่งโอบกอดผู้ฝึกยุทธมา จู่ๆก็บังเกิดถุงใบใหญ่ขึ้นบนหลังของเขา


 


ถุงใหญ่ใบนี้ คือส่วนผสมของเลือดเนื้อ และจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่พึ่งถูกดูดกลืนไปนั่นเอง


 


เพียงแค่สัมผัส … ผู้ฝึกยุทธก็ถูกพวกมันสังหารตายลงได้อย่างง่ายดาย


 


พริบตาเดียว ตลอดทั้งเกาะก็กลายเป็นลานประหาร!


 


ขณะเดียวกัน หนังมนุษย์ตนแล้วตนเล่าที่มีถุงใบใหญ่อยู่บนหลัง ก็ทยอยกันกลับไปยังพฤกษาแห่งมารโลกา


 


พฤกษาแห่งมารโลกาได้เปิดช่องว่างให้หนังมนุษย์ตนที่ว่าบินกลับเข้าไปภายในมัน


 


จนในท้ายที่สุด บนท้องฟ้า ก็เหลือเพียงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงมุ่งมั่นดิ้นรนต่อสู้อยู่


 


ขณะที่ฝูงหนังมนุษย์กระจายตัวกันห้อมล้อม และโถมโจมตีใส่เขาตลอดเวลา


 


“ไม่! มันจะต้องไม่เป็นแบบนี้!”


 


ชายวัยกลางคนเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเสียงที่เขาเปล่งออกมามันกลับช่างฟังดูสับสนและสิ้นหวังโดยแท้


 


เพราะไม่ว่าเขาคิดจะหลบหนีไปยังทิศทางใด ฝูงหนังมนุษย์ก็จะกระโจนไปปิดทาง ขณะที่มีอีกกลุ่มคอยไล่ตามเขามาอย่างกระชั้นชิด


 


ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ชายวัยกลางคนก็ไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไป และถูกเหล่าหนังมนุษย์ปิดล้อมเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์


 


ร่องรอยของความหวาดกลัวบนใบหน้าของว่านเอ๋อเริ่มที่จะเด่นชัดขึ้น


 


ขณะที่กู่ฉิงซานมิอาจละตายตาไปจากการตะลุมบอลเบื้องบนได้เลย จนไม่ทันได้สังเกตุเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ


 


ฉานนู่หันไปมองว่านเอ๋อและเอ่ยถาม “นั่นเจ้าเป็นอะไรไป?”


 


“ร่างหลักของมารโลกากำลังจะเริ่มลงมือแล้ว! มันจะลงมือแล้ว!!”


 


ว่านเอ๋อตอบด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน


 


“อย่ากลัวไปเลยว่านเอ๋อ” ฉินรั่วลูบแผ่นหลังว่านเอ๋อให้ผ่อนคลายลง “มีผู้ฝึกยุทธแค่คนเดียวเท่านั้น มารโลกาจะไม่ลงมือเองหรอก”


 


“จริงๆหรือ?”


 


“หลงเหลือผู้ฝึกยุทธเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตอยู่ มันไม่คุ้มค่าที่จะให้มารโลกาต้องใช้ความพยายามหรอก ไม่ต้องหวาดกลัวไปนะ น้องสาวว่านเอ๋อ”


 


ฉินรั่วกอดเธออย่างอ่อนโยน


 


ว่านเอ๋อไม่ได้จ้องมองไปบนท้องฟ้าอีกต่อไป แต่กลับซุกหน้าลงในอ้อมแขนของฉินรั่วแทน


 


อย่างไรก็ตาม ร่างของเธอก็ยังคงสั่นด้วยความกลัวอยู่ดี


 


เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานและฉานนู่ที่มองมา ฉินรั่วก็ส่งสัญญาณตาให้พวกเขา


 


เธอส่งคำอธิบายผ่านจิตสัมผัสเทวะไปว่า “ทุกคนในโลกของว่านเอ๋อ ได้ถูกจับเป็นหนูทดลองของนิกายกวงหยางเพื่อใช้ทดสอบหาเบาะแสของมารโลกา”


 


“และมีว่านเอ๋อเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้”


 


“แล้วนางรอดชีวิตมาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เพราะการทดสอบหาเบาะแสของมารโลกาได้เสร็จสิ้นลงพอดี ดังนั้นเธอจึงโชคดีที่รอดชีวิตมาได้”


 


“หมายความว่าได้ผลสรุปเกี่ยวกับการทดลองนี้มาแล้วใช่หรือไม่?”


 


“ใช่ นิกายกวงหยางได้ค้นพบว่าการทดลองใช้มนุษย์เป็นสิ่งล่อลวงนี้ ทำต่อไปมันก็ไร้ความหมาย ทุกกลยุทธ์ที่คิดค้นขึ้นมาใช้ต่อต้านมันล้วนล้มเหลว ดังนั้นจึงได้ล้มเลิกการทดลองที่ว่านั่นไป”


 


ทันใดนั้นเอง พื้นโลกก็บังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง


 


ตามด้วยเสียงคำรามแห่งความพิโรธขจรขจายไปทั่วฟ้า


 


ในชั้นอากาศ กลิ่นอายของความตายค่อยๆแข็งกร้าว และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ขณะที่ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าวัยกลางคนบัดนี้นิ่งงัน เลิกที่จะขัดขืนแล้ว


 


ใบหน้าของเขาแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม และยกมือชูขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


“ข้าจางเต๋า ขอให้คำมั่นสาบานต่อสวรรค์และโลกในที่แห่งนี้ ว่าตลอดชีวิตนับจากนี้ไป จะตามจองล้างจองผลาญคนทรยศนิกาย หวังบิซีจะต้อง-”


 


คำสาบานของเขายังไม่ทันครบจบโดยสมบูรณ์


 


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ พริบตาเดียวเขาก็ถูกกระโดดโอบตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา และเริ่มถูกดูดเลือดเนื้อออกไปแล้ว


 


และสิ่งที่โอบกอดเขา มันมิใช่ร่างหนังมนุษย์ที่เหี่ยวแห้ง แต่กลับเป็น ‘ตัวดูด’ ที่มาจากร่างหลักของมารโลกาเลยโดยตรง พวกมันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่ไม่อาจตรวจจับได้ และโถมเข้าปกคลุมผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าเอาไว้โดยสมบูรณ์


 


ช่วงเวลานี้เอง แม้กระทั่งสีหน้าของกู่ฉิงซานก็ยังแปรเปลี่ยนกลับกลาย


 


นี่มันจะว่องไวเกินไปแล้ว!


 


ว่องไวชนิดที่แม้กระทั่งขีดสุดความว่างเปล่าก็ยังมิทันได้ตอบสนอง!


 


หากต้องพบเจอกับความว่องไวอันน่าสะพรึงเช่นนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ย่อมมิอาจหลบเลี่ยงการไล่ล่าของมารโลกาไปได้อย่างแน่นอน


 


ร่างของผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าส่ายไปมาอย่างไร้ทิศทาง


 


แต่กลับเห็นแค่เพียงตัวดูดที่กอดรัดเขาแน่นหนายิ่งขึ้น และเริ่มบิดตัวไปมาอย่างเมามัน


 


ในเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าก็หายไป


 


เขาถูกกลืนกินโดยตัวดูดจนเกลี้ยง ซึ่งคราวนี้ไม่มีหลงเหลือเลยแม้กระทั่งหนังมนุษย์ที่ว่างเปล่า ..


 


เมื่อเผชิญกับฉากอันน่าผวาเช่นนี้ กู่ฉิงซานและฉานนู่ก็นิ่งงันไป จมลงสู่ความเงียบไปพักหนึ่ง


 


มีเพียงฉินรั่วที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


“น้องสาวว่านเอ๋อ มันจบแล้วล่ะ”


 


เธอลูบหัวของว่านเอ๋อ และเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าลองมองดูสิ เห็นหรือไม่ว่ามารโลกามิได้เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ มาเถอะ เลิกหวาดกลัวได้แล้ว”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.450 – ค่ายกลสังเกตการณ์


 


ขณะที่มารโลกากำลังสั่งการโจมตีอยู่นั้นเอง


 


อีกด้านหนึ่ง


 


ภายในกระแสมิติที่เชี่ยวกราดอันไร้ที่สิ้นสุด


 


ที่ๆซึ่งสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหลไม่เคยหยุดพัด


 


สิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดมากมาย , สิ่งปลูกสร้างที่มีรูปทรงลึกลับ แม้กระทั่งการดำรงอยู่บางบางสิ่งที่ล่องลอยอยู่ในกระแสมิติที่บ้างปรากฏตัวขึ้น บ้างผ่านพ้นไป


 


ที่แห่งนี้คือเบื้องหลังของโลกนับไม่ถ้วน


 


มันคือสถานที่แห่งความวุ่นวายที่เกิดจากการพังทลายลงของกระแสมิติและเวลาจากทั่วทุกมุมโลก


 


และท่ามกลางมิติเวลาดังกล่าว ก็ได้ปรากฏป้ายอาญาสิทธิ์สีเขียวมรกตที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยสายลมขึ้น มันล่องลอยออกไปไกลแสนไกลไปทั่วทั้งมิติ


 


ป้ายอาญาสิทธิ์ที่ว่านี้มีขนาดเล็กเกินไป แถมยังมิได้ดูวิเศษวิโสใดๆ  อาจกล่าวว่ามันไม่โดดเด่นมากพอจะดึงดูดความสนใจได้


 


ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในมิติอันเชี่ยวกราดจึงมิคิดจะแยแสมัน


 


ดังนั้น ป้ายอาญาสิทธิ์นี้จึงลอยล่องอยู่เช่นนี้มาเนิ่นนานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว


 


ทุกวี่วันยังคงดำเนินต่อไปอย่างเฉื่อยชา อันที่จริงแล้วมันสมควรที่จะลอยล่องอยู่เช่นนี้ตลอดไป


 


แต่ในวันนี้ ในขณะนั้นเอง จู่ๆก็ได้มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปบังเกิดขึ้น


 


ป้ายอาญาสิทธิ์สีเขียวมรกตพร้อมด้วยสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหลได้บังเอิญ -เจาะเข้าไปยังตำแหน่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างพิเศษภายในมิติอันเชี่ยวกราด


 


หากป้ายอาญาสิทธิ์ที่ว่านี้มีสตินึกคิด มันคงจะต้องสับสนกับสถานการณ์ในปัจจุบันของตนเองอย่างแน่นอน


 


เพราะในสถานที่แห่งนี้ มันไม่มีสิ่งใดเลย


 


ไร้ซึ่งสรรพเสียง ไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้าง ไร้ซึ่งโลก ไร้ซึ่งสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหล ไร้ซึ่งชีวิต ไร้ซึ่งวี่แววของสรรพสิ่งใดๆเลย


 


มีเพียงป้ายอาญาสิทธิ์เท่านั้นที่อยู่ที่นี่


 


ผ่านไปสักพักหนึ่ง


 


ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งกระพริบไหวขึ้นอย่างกระทันหัน


 


หลังจากนั้นไม่นานนัก


 


เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น “ป้ายอาญาสิทธิ์ … ”


 


พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยืดออก และคว้าจับป้ายที่ว่านี้ไว้


 


แล้วสถานที่แห่งนี้ก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่าตามเดิม กลับมาเป็นปกติดั่งที่มันควรจะเป็นโดยสมบูรณ์


 


หลังจากเวลาล่วงเลยไปนาน


 


ทันใดนั้นรอยแยกสีทมิฬก็แหวกออกในความว่างเปล่า


 


ตามต่อด้วยถุงสัมภาระใบหนึ่งที่ลอยออกมาจากรอยแยกที่ว่านั่น


 


แล้วรอยแยกมิติก็หายไปทันที


 


ทุกสิ่งอย่างกลับคืนสู่สภาวะเดิม


 


ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ


 


จู่ๆก็มีถุงสัมภาระถูกส่งมาที่นี่?


 


มันลอยนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในมิติที่ว่างเปล่า


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ


 


แต่แล้วในตอนนั้นเอง ตัวของถุงสัมภาระก็บังเกิดการขยับไหวเล็กน้อย เล็กน้อยจนแทบมิอาจสังเกตเห็นได้


 


ราวกับว่าไม่รับรู้ถึงผลลัพธ์ใดๆ ถุงสัมภาระจึงเริ่งขยับไหวอีกครั้ง


 


เมื่อไร้ซึ่งการตอบรับใดๆอีก คราวนี้ก็มีมือหยกผลุบออกมาจากปากถุงสัมภาระ


 


มือหยกสัมผัสกับตัวถุงสัมภาระ และลูบมันอย่างแผ่วเบา


 


ทันใดนั้นตราประทับเจ้าของ ของถุงสัมภาระก็ถูกลบออกไป


 


และมือหยกก็ตบลงบนถุงสัมภาระ


 


ตามต่อด้วยถุงสัมภาระที่เปิดออกทันที


 


ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


เกือบจะในทันที หญิงสาวที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาวก็ปรากฏขึ้นในมิติที่ว่างเปล่า


 


ทันทีที่หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นเธอก็ตกอยู่ในสภาวะตื่นตัวทันที


 


-สตรีแห่งรากษส


 


ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป และเลือกที่จะปรากฏกายขึ้น


 


สตรีแห่งรากษสคว้าถุงสัมภาระและชำเลืองมองไปรอบๆ


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงจากภายใต้หน้ากากจิ้งจอกขาวก็เปล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


“นี่มันพื้นที่มิติที่แยกตัวออกมา – เหตุใดเราถึงได้เข้ามายังพื้นที่มิติที่แยกตัวออกมากัน?”


 


เสียงของหญิงสาวเริ่มกระวนกระวาย


 


ท่ามกลางความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ในมิติอันเชี่ยวกราด จู่ๆก็บังเกิดบางสิ่งกระพริบผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


สตรีแห่งรากษสหันขวับไปมองในฉับพลัน


 


ทว่ากลับไม่พบถึงสิ่งใด


 


“แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจะต้องเร่งออกไปจากที่นี่โดยเร็ว!”


 


สตรีแห่งรากษสตบลงบนกายตน และนำดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กออกมา


 


พลังวิญญาณถูกถ่ายเทลงไปทันที และตัวดิสก์ค่ายกลก็ถูกกระตุ้นในฉับพลัน


 


อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมา การทำงานของดิสก์ค่ายกลก็ดับลง และหยุดไปโดยสมบูรณ์


 


ดูเหมือนว่ามันจะล้มเหลว


 


สตรีแห่งรากษสเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไม่นะ! พื้นที่มิติแยกตัวแห่งนี้ไม่อนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายมิติอย่างงั้นหรือ!?”


 


ในความว่างเปล่า บังเกิดบางสิ่งกระพริบไหวอย่างรวดเร็วขึ้นอีกครั้ง


 


และคราวนี้ ระยะห่างระหว่างมันกับสตรีแห่งรากษสก็ใกล้กันยิ่งกว่าเดิมมาก


 


เส้นผมของสตรีแห่งรากษสลุกชูชัน


 


เธอตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ใช้มือคว้าจับด้ามกระบี่ยาวที่ใบของมันนวลขาวราวหิมะ ปาดเข้ารอบคอของตนเอง


 


ฉัวะ!


 


หัวร่วงตกลงมาในคราเดียว


 


ขณะที่ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกขาวได้เปล่งประโยคสุดท้ายออกมาอย่างโหดร้าย


 


“ฉีหยาน … เจ้ากล้าดียังไงถึงทำกับเราเช่นนี้ เราจักต้องกลับไปสังหารเจ้าอย่าแน่นอน!”


 


….


 


นิกายกวงหยาง


 


ณ ที่ไหนสักแห่งบนเกาะลอยฟ้า


 


จิ้งจอกขาวกำลังขดตัวนอน จมลงสู่ห้วงหลับไหล


 


แต่จู่ๆทันใดนั้นมันก็ดีดตัวขึ้นอย่างกระทันหัน


 


“ตายแล้ว? จู่ๆก็ตายไปเสียเฉยๆเลย”


 


จิ้งจอกขาวบ่นงึมงำ


 


“พิกลนัก แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ..”


 


จิ้งจอกขาวสะบัดหางของมันเล็กน้อย


 


ทันใดนั้นหางสีขาวนวลหลายหางก็ผุดออกมาร่ายระบำอยู่ในอากาศ


 


แสงสลัวๆกระจายออกมาจากหางของมันและกวาดไปทั่วโลกทั้งใบอย่างรวดเร็ว


 


ดูเหมือนว่าจิ้งจอกขาวจะเปิดใช้งานเทคนิคมนตราบางอย่าง


 


หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง


 


ดวงตาของจิ้งจอกขาวก็หรี่แคบลงเป็นเส้นโค้งบางๆ .. คล้ายกับว่ามันกำลังยิ้มอยู่


 


“ช่างเป็นความบังเอิญที่คาดไม่ถึงยิ่งนัก ที่จู่ๆ ‘ผู้เข้าแข่งขัน’ ก็ไปโผล่ยังพื้นที่มิติที่แยกตัวออก”


 


“แต่การยอมตายที่นั่น .. บางทีมันอาจจะเป็นการดีซะกว่าก็ได้”


 


“-ดูเหมือนว่าการทดสอบแข่งขันในครั้งนี้ มันชักจะน่าสนใจขึ้นมาจริงๆเสียแล้วสิ”


 


มันลุกขึ้นยืน และค่อยๆย่างกรายไปรอบๆลานที่พักอย่างเชื่องช้า


 


ขณะเดียวกัน เบื้องหลังของจิ้งจอกขาว ก็ค่อยๆปรากฏหางยาวสีหิมะผุดขึ้น


 


หนึ่งหาง


 


สองหาง


 


สามหาง


 



 


ทั้งสิ้น 16 หาง


 


จำนวนทั้งสิ้นสิบหกหางได้ผุดออกจากทางด้านหลังของจิ้งจอกขาว


 


ก่อนหน้านี้ที่บนเวทีหารือ ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าทั้งสองมิได้สังเกตเห็นเลยว่า จิ้งจอกขาวจะมีหางมากมายขนาดนี้


 


ทว่าด้วยความรู้ความเข้าใจของพวกเขา หากพวกเขาได้รู้ถึงเรื่องที่พึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้านี้แล้วล่ะก็ ทุกสิ่งอย่างมันจะแตกต่างออกไปจากในตอนแรกทันที


 


หางขาวทั้งหลายเริ่มที่จะขยับไหวเป็นวง เบื้องหลังจิ้งจอกขาว


 


วงที่ว่าได้สาดแสงสีขาวบริสุทธิ์จางๆออกมา และแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นประตูแสงอันริบหรี่


 


บนบานประตูแสง ทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังได้ดังขึ้น


 


เสียงๆนั้นตะโกนออกมาว่า “ข้าจะเหยียบย่ำนิกายกวงหยางให้จมปฐพี จะสังหารฉีหยานให้จงได้! จากนั้นก็จักค่อยบรรลุการทดสอบแข่งขันให้เสร็จสมบูรณ์”


 


“จะทำอะไรก็ตามใจเจ้าแล้วกัน” จิ้งจอกขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “แต่ข้าขอเตือนเจ้าก่อน ว่าสตรีแห่งรากษสทุกรุ่น ทุกยุคสมัย จะมีเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่จักคงสภาพเอาไว้ได้ ดังนั้น เจ้าจึงเหลือโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จะบรรลุการทดสอบให้ได้ด้วยตนเองโดยสมบูรณ์”


 


ความโกรธของอีกฝ่ายได้สลายหายไปทันที ปากกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้หรอกน่า แต่ฉีหยานน่ะมีโลกใบใหม่สองใบอยู่ในมือนะ จะไม่ให้ไปยุ่งกับมันเลยหรือ?”


 


“หากเจ้าสามารถได้รับพิกัดของโลกใหม่ได้ เจ้าก็จะได้รับแต้มรางวัลเพิ่มเติม และนั่นจะเป็นหลักฐานว่าเจ้าได้บรรลุการทดสอบแล้ว” จิ้งจอกขาวกล่าวอย่างแผ่วเบา


 


“เอาล่ะ ข้าจะไปทำการทดสอบให้มันเสร็จสิ้น” แม้ปากจะเอ่ยรับ แต่ดวงตาของอีกฝ่ายก็ยังคงขุ่นเขียวอยู่


 


“ตอนนี้ เจ้าสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกคราแล้ว”


 


“เข้าใจแล้ว”


 


และเสียงของอีกฝ่ายก็หายไป


 


จิ้งจอกขาวยืนนิ่งอยู่กับที่


 


ผ่านไปสักพักหนึ่ง


 


เสียงที่ฟังดูเปี่ยมบารมีก็ดังขึ้น “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าสามารถเริ่มรายงานสถานการณ์มาได้”


 


จิ้งจอกขาวหันไปโค้งกายคารวะทางประตูแสง และเริ่มเอ่ยรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ตั้งแต่ต้น


 


เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว เสียงเปี่ยมบารมีก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“แม้ว่ามันจะเป็นวิธีการที่ชาญฉลาด แต่หนึ่งในผู้แข่งขันแห่งลั่วชาก็ถึงขั้นต้องยินยอมสละร่างกายตนเองไปนี่มัน ..”


 


“ไม่มีผู้ใดสามารถกระทำเช่นนี้มาได้เป็นเวลานานมากแล้ว”


 


เสียงนั้นฟังดูเหมือนจะครุ่นคิด ในขณะเดียวกันก็ทำการตัดสินใจบางอย่างด้วยตัวเอง


 


“เอาเถอะ ตอนนี้เจ้าก็ทำการตรวจสอบคนๆนั้นต่อไปก็แล้วกัน แล้วก็จงตัดสินด้วยตนเองว่าคนๆนั้นมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้แข่งขันแห่งลั่วชาหรือไม่”


 


“เข้าใจแล้ว ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ” จิ้งจอกขาวเอ่ยรับ


 


“ดังนั้น – นี่สินะคือคำที่มักจะกล่าวกันว่าสันติน่ะเป็นเพียงภาพมายาในระยะสั้น สงครามกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้งในไม่ช้า พวกเราต้องการเลือดใหม่ที่ยอดเยี่ยม ขณะที่ฝั่งศัตรูของพวกเราก็เช่นกัน ดังนั้นข้าขอฝากเจ้าด้วย”


 


“รับทราบแล้ว ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง”


 


“จงระมัดระวังอสูรกายที่แท้จริงเอาไว้ให้ดี แล้วพวกเราค่อยพบกันอีกครั้งเมื่อเจ้ากลับมา”


 


“แล้วข้าจะกลับไป”


 


จากนั้น แสงอันริบหรี่ก็ค่อยๆจางหายไป


 


แล้วประตูแสงก็ปิดลง


 


หางของจิ้งจอกขาวกางออกอีกครั้ง และคราวนี้แบ่งออกเป็น 18 หาง


 


มันเดินอย่างเชื่องช้าผ่านลานที่พัก ราวกับว่ากำลังขบคิดถึงวิธีการที่จะกระทำต่อไป


 


ในชั่วขณะหนึ่ง สายตาของจิ้งจอกขาวก็กระพริบไหว


 


“เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ ผู้เข้าแข่งขันแห่งลั่วชา ได้กลับลงมายังลั่วชาเฟิงอีกครั้ง”


 


“ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือชายที่สามารถสังหารผู้เข้าแข่งขันแห่งลั่วชาได้ … ดูเหมือนว่ามันจะถูกเรียกว่า ‘ฉีหยาน’ สินะ?”


 


ทันทีที่เสียงนี้ตกลง


 


ร่างของจิ้งจอกขาวก็หายวับไปทันที มิอาจพบเห็นถึงร่องรอยของมันได้อีกเลย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม