Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 437-443

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.437 – จิ้งจอกขาว


 


ว่านเอ๋อรีบก้าวนำขึ้นไปเพื่อที่จะเปิดประตูให้เขาอย่างรวดเร็ว


 


แล้วทั้งสี่ก็เดินออกมา


 


และพบกับผู้ฝึกยุทธคนที่มารายงาน เขายังคงยืนรออยู่แม้จะผ่านมาสักพักแล้วก็ตาม


 


นั่นเพราะเจ้าตัวรู้ดี ว่าการหารือในครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตนจึงมิกล้าจากไปหากยังไม่เห็นว่าฉีหยานยังไม่ออกมา และเมื่อเห็นทั้งสี่ออกมา เขาก็รีบนำทางไปทันที


 


หลังจากเดินมาได้สักพัก พวกเขาก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของเกาะลอยฟ้า


 


มันเป็นแท่นเวทีสูงในพื้นที่เปิดโล่ง


 


กู่ฉิงซานมองขึ้นไปบนเวที


 


แม้ว่าจะไม่มีสิ่งใดเป็นรูปธรรมกีดขวางอยู่โดยรอบแท่นเวทีก็ตามที ทว่ามันกลับถูกจัดวางไว้ด้วยค่ายกลปกปักษ์นับหลายสิบ!


 


ซึ่งนี่แค่ในกรณีเผื่อไว้


 


เผื่อไว้ในกรณีที่ยันต์พยากรณ์มีบางอย่างผิดปกติ หรือมารโลกาจู่ๆก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน เหล่าผู้มีอำนาจในนิกายจะได้หลบหนีออกไปได้ก่อนเป็นคนแรกๆ (เพราะค่ายกลที่ว่านี้ถูกตั้งไว้ในตำแหน่งสูง ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่ๆเหล่าตัวตนระดับสูงพำนักอยู่)


 


ยิ่งหลบหนีได้เร็วเท่าไหร่ ไม่ว่าจะหนึ่งนาที หรือหนึ่งวินาที ผลลัพธ์ก็ยิ่งแตกต่างออกไปมากขึ้นเท่านั้น


 


ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะเอาชีวิตรอด!


 


บนเวที ขณะนี้มีคนหลายคนกำลังนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว


 


หนึ่งเป็นหญิงทรงเสน่ห์ในวัยผู้ใหญ่ สวมใส่ชุดคลุมขนนกสีขาวนวลดั่งจันทรา


 


ขณะที่อีกคนเป็นชายร่างใหญ่ที่ดูแข็งแรง ช่วงบนเปลือยเปล่า ปราณและเลือดลมในร่างกายไหลเวียนสูบฉีดจนพวกมันฟุ้งออกมาเป็นหมอกหนา กระจายอยู่รอบตัวเขา


 


ทั้งสองเพียงแค่นั่งอยู่ที่นั่นและมิได้ขยับกายไปไหน ทว่าความผันผวนทางพลังวิญญาณกลับโหมกรรโชกราวกับพายุ ส่งผลให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก


 


นี่คือปรมาจารย์ตำหนักหนิงเยว่ -เย่หยิงเหมย และปรมาจารย์ตำหนักเจียงซี – เซ่าหวูชุ่ย


 


ทั้งสองเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า


 


ขณะที่เบื้องหลังทั้งสอง มีเหล่าผู้ฝึกยุทธหนุ่มสาวยืนกระจัดกระจายตัวกันไปอยู่รอบๆ คาดว่าไม่เป็นลูกศิษย์ก็คงไม่พ้นผู้ติดตาม


 


ทว่าที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นจิ้งจอกขาว


 


มันเป็นจิ้งจอกขาวที่สวมใส่หน้ากากใบหน้าของหญิงสาว ตัวมันกำลังนั่งยองๆอยู่ไกลออกไปจากอีกมุมด้านหนึ่งของแท่นเวที


 


หน้ากากผู้หญิงนี้ดูเหมือนจริงมาก มีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ ครอบครองดวงตาที่ค่อนข้างมีเสน่ห์และดึงดูดเล็กน้อย


 


กู่ฉิงซานยืนอยู่ใต้เวที นิ่งงันไปชั่วขณะ


 


สำหรับปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองเขารู้จักดี แต่จิ้งจอกขาวกลับพึ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรก


 


แต่แล้วในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ปรากฏคำบอกเล่าของฉินรั่วกับว่านเอ๋อผุดขึ้นมาในยามที่เพียงเธอกำลังอธิบายเกี่ยวกับโลกใบนี้


 


เห็นแค่เพียงหน้ากากหญิงสาวบนใบหน้าของจิ้งจอกขาว ปรากฏรอยแต้มคล้ายกลีบดอกบัวสีชมพูอยู่ตรงระหว่างคิ้ว


 


จากข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาโดยฉินรั่วกับว่านเอ๋อ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นมีมีรอยแต้มดังกล่าวนี้


 


ผู้นำแห่งนิกายลั่วชาเฟิง – ลั่วชานู่*


 


*(ลั่วชาเป็นภาษาจีน ภาษาไทยคือ รากษส) (นู่ คือสตรี) = สตรีแห่งรากษส


 


**(รากษส อ่านว่า ราก-สด นะครับมันจะแปลกๆหน่อยเป็นยักษ์ประเภทหนึ่งที่ดุร้ายทรงพลัง และสนแต่การกินเนื้อสิ่งมีชีวิต)


 


***(เพื่อไม่ให้สับสนกับลั่วชาเฟิง เวลาเรียกลั่วชานู่ ผมจะใช้คำว่า สตรีแห่งรากษส นะครับ)


 


ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งสตรีแห่งรากษสในแต่ละรุ่น จักต้องสังหารผู้ฝึกยุทธหญิงระดับสูงกว่า 7 คน และผู้ฝึกยุทธชายอีกกว่า 21 คน เพื่อที่จะได้รับสิทธิ์ในการสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษส


 


และเมื่อได้รับการสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์รากษสแล้ว จะมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ตามมา


 


สิ่งแรกก็คือ ได้รับการยอมรับจากรากษส แล้วสามารถสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสได้ จากนั้น บริเวณหว่างคิ้วของคนดังกล่าวก็จะปรากฏรอยแต้มที่อันเป็นเอกลักษณ์ออกมา


 


สิ่งที่สองก็คือ ถูกรากษส เกลียดชังและปฏิเสธ – ซึ่งผู้ที่ซวยโดนเกลียดชัง จักถูกมอนสเตอร์อันน่าสะพรึงที่ปรากฏกายขึ้นจากในความว่างเปล่ากลืนกินไปทันที


 


ด้วยเหตุนี้ —รากษสจึงได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นเทพเจ้าแห่งวิญญาณชั่วร้าย!


 


หากสามารถได้รับสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสได้อย่างแท้จริง คนผู้นั้นก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นสตรีแห่งรากษส และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตในนิกาย ก็จักต้องก้มหัวและภักดีต่อสตรีแห่งรากษส


 


และผู้ฝึกยุทธที่ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษส ก็จักปรากฏรอยแต้มในตำนานตรงตำแหน่งหว่างคิ้ว


 


ซึ่งนี่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าผู้ฝึกยุทธคนนั้นได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสมาไว้ในครอบครองแล้ว


 


สำหรับพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษส  กล่าวได้ว่ามันมิใช่พลังศักดิ์สิทธิ์จากโลกใบนี้


 


—หมื่นปีมาแล้ว ที่รอยแต้มบนหน้าผากของสตรีแห่งรากษส จะไม่เหมือนกัน ดังนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาก็ย่อมแตกต่างกันเช่นกัน


 


สตรีแห่งรากษสคือสุดยอดปรมาจารย์แห่งลั่วชาเฟิง เป็นผู้ที่มีทั้งความแข็งแกร่งอันเด็ดขาด , สถานะอันสูงส่ง กล่าวได้เลยว่าในรอบหมื่นปี ผู้ฝึกยุทธที่สามารถเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสและขึ้นมาเป็นสตรีแห่งรากษสได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!


 


แต่สำหรับในเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่างล้วนเกือบจะเป็นความลับสุดยอดของลั่วชาเฟิง และมีเพียงน้อยคนนักที่จะได้รู้เรื่องนี้


 


แท้จริงแล้วฉินรั่วกับว่านเอ๋อเองก็ยังไม่สามารถตระหนักได้ว่าสตรีแห่งรากษสในรุ่นนี้ทรงพลังถึงเพียงใด


 


ทว่าการดำรงอยู่ของตัวตนที่แปลกประหลาดเช่นนี้ กล่าวได้ว่าภายในโลกล่องเวหา ล้วนไม่มีผู้ใดที่ต้องการจะเผชิญหน้า


 


และหน้ากากหญิงสาวที่จิ้งจอกขาวสวมใส่อยู่ คงมิแคล้วคือใบหน้าของสตรีแห่งรากษส -นี่พอจะบ่งบอกได้ว่ามันคืออสูรวิญญาณของเธอ


 


นี่แสดงให้เห็นว่าสตรีแห่งรากษส ก็คือแขกที่มาเยือนนิกายกวงหยางและให้ความสนใจเกี่ยวกับการหารืออย่างเป็นทางการในวันนี้


 


และเหตุการณ์นี้ยังได้รับการยินยอมจากพวกระดับสูงในนิกายกวงหยางแล้วอีกด้วย


 


ในหัวใจของฉินรั่วกับว่านเอ๋อบัดนี้กระวนกระวายจนหลุดลอยออกไปไกลแล้ว


 


พวกเธอไม่คาดหวังเลยว่า จู่ๆสตรีแห่งรากษสจะสนใจการหารืออย่างเป็นทางการของนิกาย แล้วส่งอสูรวิญญาณมาเยี่ยมเยือนถึงที่เช่นนี้


 


ในเวลานี้ มันชักจะเป็นการยากยิ่งกว่าเดิมซะแล้วสิ หากไม่ต้องการที่จะถูกเปิดเผย


 


กู่ฉิงซานเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นก้าวสู่เทพ แล้วเขาจะแก้สถานการณ์ปัจจุบันนี้อย่างไรดี?


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะส่งจิตสัมผัสเทวะอันบางเบาออกไปเพื่อเฝ้าสังเกตกู่ฉิงซาน


 


แต่กลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยกพัดขึ้นมา


 


—พัดอันงดงามของฉีหยาน


 


พัดถูกคลี่ออกอย่างช้าๆ หนึ่งมือโบกสะบัดมันเข้าหาตนเองอย่างแผ่วเบา สองเท้าค่อยๆก้าวเดินขึ้นไปบนแท่นเวที


 


“แล้วตาแก่เล่า?”


 


กู่ฉิงซานที่กำลังเดินขึ้นไปเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา


 


ตลอดทั้งนิกายกวงหยาง มีเพียงฉีหยานเท่านั้นที่กล้าเรียกผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าเช่นนั้น


 


“ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้มาที่นี่ แต่ตอนนี้พวกเรามีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าจะต้องหารือ – ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของเจ้า?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซานลูบไล้ใบหน้าของเขา ปากเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา “ ก็แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”


 


เย่หยิงเหมยจ้องมองบาดแผลบนใบหน้าของกู่ฉิงซานอย่างพิถีพิถัน และรู้สึกตะหงิดๆใจเล็กน้อย


 


‘ผู้ใดกันที่สามารถสร้างบาดแผลลึกหลายแผลบนใบหน้าของฉีหยานได้?’


 


อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักเย่หยิงเหมยก็ตระหนักถึงคนแปลกหน้าที่ฉีหยานนำเข้ามาร่วมประชุม


 


วิสัยทัศน์ของเธอถูกดึงดูดโดยคนผู้นั้นทันที


 


‘เอ๊ะ? นี่มันชักจะน่าสนใจซะแล้วสิ’


 


คนอย่างฉีนหยาน ที่มักจะนำสาวใช้ติดตัวไปด้วยทุกที่ ครานี้กลับมีผู้อื่นปะปนเข้ามาด้วย


 


ขณะกำลังขบคิด เย่หยิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยัง ‘กู่ฉิงซาน’


 


ส่วน‘ฉีหยาน’ ก็ถูกละความสนใจออกไป แผนเบี่ยงเบนประสบความสำเร็จอีกครา


 


“เหอะ! เจ้าได้รับคำสั่งอันใดจากท่านผู้นำกัน เหตุใดผู้คนจำนวนหนึ่งในตำหนักซานเหว่ยจึงหายหัวไป แถมตัวเจ้าเองก็ยังได้รับบาดเจ็บอีก?” สองตาของเซ่าหวูชุ่ยหรี่แคบลง ปากเอ่ยตะโกนออกมา


 


คนจากสาขาซานเหว่ยทุกคนได้ถูกย้ำเตือนเอาไว้ว่าห้ามแพร่งพรายสิ่งใด และถูกนำพาไปยังโลกเทวะโดยฉีหยาน


 


และพวกเขาทั้งหมดได้ตกตายลงด้วยน้ำมือของมารสวรรค์แล้ว


 


กู่ฉิงซานเพียงแค่รับฟัง แต่มิได้ตอบสิ่งใดกลับไป


 


เขาเดินผ่านทั้งสองไปอย่างรวดเร็วและนั่งลงบนที่นั่งของเขา


 


“เอาล่ะ ในเมื่อข้าได้มาแล้ว ไหนลองบอกมาซิว่าทำไมการหารืออย่างเป็นทางการในครั้งนี้จึงจัดขึ้นก่อนกำหนด” เขากล่าว


 


“ปรมาจารย์ตำหนักฉี เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า!” เซ่าหวูชุ่ยจ้องมาทางเขา


 


กู่ฉิงซานหุบพัด ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “สหายเซ่า นี่มันเรื่องของตำหนักซานเหว่ย เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ – และอีกอย่างเจ้ามิใช่แม่ข้าเสียหน่อย อย่าถามถึงอะไรจู้จี้จุกจิกให้มากความนัก เพราะมันน่ารำคาญ”


 


“ฉีหยาน เปล่งวาจาก้าวร้าวเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวลงไปนอนจูบกับพื้นด้วยน้ำมือข้าหรือ? อยากลองดูหรือไม่เล่าว่ามันจะมีรสสัมผัสเช่นไร?”


 


เซ่าหวูชุ่ยกำมือแน่น เค้นทุกคำพูดออกมาจากปาก


 


“เจ้าต้องการจะสู้งั้นรึ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรย์ “ก็แล้วจะทำไม เจ้ามันก็แค่พึ่งก้าวขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่า กล้าที่จะมาท้าทายข้าเชียวรึ?”


 


ฉีหยานได้มาถึงขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าแล้ว ซึ่งกระทั่งในโลกใบนี้ ก็ยังนับว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังยิ่ง!


 


อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานเป็นเพียงก้าวสู่เทพขั้นปลาย และยังห่างไกลจากขอบเขตที่ว่านั่นอยู่หลายขุม


 


ขณะเดียวกัน แม้ฉีหยานจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า แต่หากเทียบเปรียบกับเซ่าหวูชุ่ยแล้ว ก็ยังนับว่าด้อยกว่า


 


หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ตัวตนของกู่ฉิงซานก็จะถูกเปิดเผยทันที


 


ฉินรั่วอดไม่ได้ที่จะลอบชำเลืองมองไปทางกู่ฉิงซาน


 


แต่กลับเห็นแค่ว่าเขากำลังแสร้งแสดงท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อยออกมา


 


และการครุ่นคิดของเขา มันก็ได้ดึงดูดความสนใจจากเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยอย่างรวดเร็ว


 


เซ่าหวูชุ่ยกำลังจะเอ่ยปากอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกกู่ฉิงซานชิงตัดหน้าไปเสียก่อน


 


“ข้ารับคำท้าแน่หากเจ้าต้องการจะสู้ แต่ยามนี้คงต้องรอไปก่อน” สีหน้าของเขายังคงแสดงออกถึงความครุ่นคิด ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


 


“เพราะเหตุใด?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยด้วยความสงสัย


 


กู่ฉิงซานขมวดคิ้วและกล่าว “มีแขกผู้มีเกียรติอยู่ที่นี่ ดังนั้นอันดับแรกที่เจ้าต้องทำ มิใช่ว่าคือการสมควรที่จะหาชุดคลุมมาสวมใส่ก่อนหรอกหรือ หากข้าสู้พัวพันกับเจ้าในสภาพเปิดเผยเนื้อหนังเช่นนี้ เกรงว่าแขกผู้มีเกียรติอาจจะเข้าใจผิดได้ ถึงเวลานั้นหากข้าอธิบายสิ่งใดไป มันก็คงจะฟังไม่ขึ้นแล้ว”


 


เซ่าหวูชุ่ยนิ่งงันไป


 


บังเกิดความเงียบขึ้นโดยรอบ


 


บรรดาเหล่าลูกศิษย์ต่างก็พากันลดศีรษะลง เพื่อปกปิดถึงการแสดงออกทางสีหน้าของตน


 


ขณะที่จิ้งจอกขาวยกสองขาของมันขึ้นมาทำท่าทีปิดปากหน้ากากหญิงสาว ทั้งตนทั้งร่างส่ายไปมาด้วยความเหนียมอายเล็กน้อย


 


เซ่าหวูชุ่ยนิ่งงันไปกว่าสองลมหายใจ ก่อนจะเข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายได้สื่อออกมา


 


อ้ายทารกวาจาเราะร้าย!


 


สารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า!!


 


ทั้งคนทั้งร่างของเซ่าหวูชุ่ยพลันระเบิดแรงกดดันออกมา


 


ปัง!


 


เจตนาฆ่าเอ่อล้นราวกับน้ำหลาก ส่งผลให้เหล่าสาวกทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะหวาดเกรง


 


กระทั่งฉินรั่วและว่านเอ๋อก็ยังต้องลดสายตาลง


 


พวกเธอเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติที่ด้อยกว่า แถมยังโดนผนึกความแข็งแกร่งเอาไว้อีก ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเซ่าหวูชุ่ยที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า พวกเธอจึงยิ่งมิกล้าเงยหน้าขึ้น เพราะเกรงว่าคนอื่นจะตรวจพบถึงการแสดงออกที่ผิดปกติของตน


 


กู่ฉิงซานค่อยๆยกชาบนโต๊ะขึ้นมา และจิบอย่างแผ่วเบา


 


“ใครก็ได้ มาที่นี่ที ช่วยมาจัดตั้งค่ายกลปิดล้อม ท่านแขกผู้มีเกียรติจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลพวงจากการต่อสู้ระหว่างข้ากับปรมาจารย์ตำหนักเซ่า”


 


เขายังคงกล่าวอย่างสงบ


 


สองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าจะสู้กัน นั่นย่อมหมายถึงค่ายกลนับไม่ถ้วนที่จะถูกทำลายลง


 


และที่นี่ยังเป็นพื้นที่หลักของนิกายกวงหยางอีก …


 


การต่อสู้ระหว่างพวกเขาย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงที่จะเกิดการทำลายล้างอย่างรุนแรงในนิกายได้!


 


ปรมาจารย์ค่ายกลก้าวเข้ามา และมองไปยังปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


“ปรมาจารย์ตำหนักเซ่า เอ่อท่านลองมองรอบๆแล้วคิดดีๆดูก่อน … ”


 


เขาไม่กล้าที่จะขัดใจฉีหยาน ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าที่จะขัดใจเซ่าหวูชุ่ยเช่นกัน


 


ยามนี้ฉีหยานได้เปล่งวาจาออกมาแล้วว่าหากเซ่าหวูชุ่ยตกลง เขาก็จะเปิดค่ายกลทั้งหมดเพื่อทำการต่อสู้ จากนั้นก็จะไม่มีกล้ามาตำหนิเขาได้อีก


 


เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ เห็นแค่เพียงจิ้งจอกขาวที่เอ่ยปากออกมาทันใด “อันที่จริงแล้วข้าก็สนใจการต่อสู้ระหว่างคนระดับสูงของนิกายกวงหยางอยู่เหมือนกัน ข้าสามารถอยู่ที่นี่เพื่อร่วมรับชมจะได้หรือไม่?”


 


พอได้ยิน แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างของเซ่าหวูชุ่ยก็ซบเซาลงทันที


 


จิ้งจอกขาวคืออสูรวิญญาณของสตรีแห่งรากษส  ไม่ว่ามันจะเดินไปที่ใดในโลกใบนี้ มันก็จะเปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของเธอ


 


หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลั่วชาเฟิงแล้วนั้น เซ่าหวูชุ่ยจำต้องบังคับตนให้สงบลง และพิจารณาให้รอบคอบ


 


–นี่เขาต้องการที่จะต่อสู้ต่อหน้าแขกจากนิกายอื่นจริงๆหรือ


 


การกระทำเช่นนั้น มันน่าเกลียดเกินไปที่จะกล่าว


 


ฉีหยานมันสามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ก็จริง แต่นั่นเพราะมันเป็นคนสารเลวอยู่แล้ว


 


อย่างไรก็ตามสำหรับเซ่าหวูชุ่ย … เขามิอาจทำเช่นนั้นได้


 


ด้วยจิ้งจอกขาวที่มาที่นี่ แถมยังมาในฐานะตัวแทนของสตรีแห่งรากษสที่กำลังให้ความสนใจกับการหารืออย่างเป็นทางการในครั้งนี้อีก


 


กล่าวง่ายๆว่ามันคือตัวแทนที่ถูกส่งมาเยี่ยมเยือนนิกายล่วงหน้า แล้วหลังจากนั้น ผู้คนจากนิกายลั่วชาเฟิงก็จะมาสมทบจริงๆในภายหลัง


 


เมื่อถึงเวลาที่คนอื่นๆได้เดินทางมายังนิกายกวงหยาง แต่แท้จริงแล้วกลับพบเห็นว่าสองปรมาจารย์ตำหนักแห่งนิกายกำลังฆ่าฟันกันเอง แถมยังสร้างความเสียหายต่อพื้นที่หลักของนิกาย นี่มันจะมิเป็นการสร้างเรื่องราวขบขันให้ผู้คนหัวร่อกันจนฟันร่วงหรอกหรือ?


 


ใครๆก็รู้ว่าเจ้าฉีหยานน่ะมันเป็นคนไร้ยางอาย มิสนใจเรื่องนี้หรอก


 


แต่สำหรับเซ่าหวูชุ่ยล่ะ?


 


ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด เขาจำเป็นต้องพิจารณาถึงภาพรวมเป็นหลัก


 


แถมเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันธ์กับท่านอาจารย์อีก …


 


เมื่อตนเองอยู่ต่อหน้าแขกสำคัญ แต่กระทำการไม่ยั้งคิด แล้วนับจากนี้ไปท่านอาจารย์จะมองเขาเป็นตัวอะไร?


 


เซ่าหวูชุ่ยแข็งค้างอยู่ในจุดเดิม


 


“ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง โปรดสงบใจลงก่อน!”


 


เย่หยิงเหมยยืนขึ้นและเข้ามาขวางเซ่าหวูชุ่ย


 


“สหายเซ่า แขกผู้มีเกียรติมาเยือนที่นี่ เรื่องบาดหมางกับปรมาจารย์ตำหนักฉีในตอนนี้ก็ลืมมันไปก่อนเถิด อย่าพึ่งเก็บมาใส่ใจเลย”


 


“ปรมาจารย์ตำหนักฉี เจ้าเองก็ไปรับการรักษาให้หายดีเถอะ ท้ายที่สุดนี้ พวกเราทุกคนล้วนเป็นปรมาจารย์ตำหนัก เป็นขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า เหตุใดจึงต้องสู้กันทุวี่วันด้วยเล่า?”


 


เธอกระตุ้นเตือนทั้งสองฝ่าย


 


“ศิษย์น้องหยิงเหมยกล่าวได้เหมาะสมแล้ว”


 


กูฉิงซานวางถ้วยชาลงราวกับว่าเขาลืมเรื่องราวที่พูดกับเซ่าหวูชุ่ยไปจนสิ้น


 


เขามองไปยังจิ้งจอกขาว และอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตาสำรวจมัน


 


ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจจิ้งจอกขาวเป็นพิเศษ แต่ก็มิได้คิดจะพูดอะไรกับมัน


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับเซ่าหวูชุ่ยแล้ว ตัวเขาขณะนี้ราวกับกำลังยืนอยู่กลางเชือกที่ถูกขึงจนตึงระหว่างยอดเขาสูง เขาไม่รู้ว่าสมควรจะทำเช่นไรดี จะไปต่อก็ไม่ได้ แต่จะให้ถอดใจก็ไม่ยินดีเช่นกัน –บังเกิดช่วงเวลาแห่งความลำบากใจขึ้นครู่หนึ่ง


 


เซ่าหวูชุ่ยทั้งลังเลและครุ่นคิด แต่ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเวลานี้มันไม่เหมาะสมจริงๆ เขาจึงจำต้องโยนความโกรธเอาไว้เบื้องหลัง หย่อนก้นนั่งลงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.438 – กฏน่ะมันไร้ค่า!


 


พอเห็นแบบนั้น ทุกคนที่คอยแอบเฝ้ามองก็พากันถอนสายตากลับคืน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป


 


เซ่าหวูชุ่ยอ้าปากพะงาบๆอยู่หลายครั้ง ทว่าเขากลับไม่สามารถยกเรื่องนี้ขึ้นมาถกเถียงได้อีกเลย


 


ดังนั้น เมื่อเรื่องราวมันไม่เป็นดั่งใจ ส่งผลให้ความโกรธหัวใจของเซ่าหวูชุ่ยคุกรุ่นยิ่งกว่าเดิม


 


เขาคือผู้ฝึกยุทธชั้นยอด เป็นนักสู้หวูเต๋า(วิถียุทธ)ที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า! ภายในนิกาย นอกเหนือไปจากผู้อาวุโสสูงสุดและท่านผู้นำแล้ว ก็เป็นเขานี่แหละที่แข็งแกร่งที่สุด!


 


ในขณะนี้ เซ่าหวูชุ่ยนับว่ากำลังเดือดปุดๆแล้วอย่างแท้จริง


 


เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาด้วยความเกลียดชัง “ปรมาจารย์ตำหนักเย่ เรามาเริ่มการหารือกันอย่างเป็นทางการกันเลยดีกว่า ประเด็นแรก พวกเราจะพูดคุยกันถึงเรื่องของปรมาจารย์ตำหนักฉี”


 


“ข้าอยากจะเห็นจริงๆว่าปรมาจารย์ตำหนักฉีจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร!”


 


เย่หยิงเหมยพอได้ฟัง ก็ลอบถอนหายใจอย่างลับๆ


 


เธอไม่ต้องการเลย ที่จะยั่วยุให้ฉีหยานโกรธในสถานการณ์เช่นนี้


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องราวได้มาถึงจุดนี้แล้ว ก็คงจำเป็นต้องพูด


 


“เอาล่ะปรมาจารย์ตำหนักฉี เจ้ามิได้อยู่ในนิกายจึงยังไม่รู้ถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ .. ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าน่ะได้ก่อเหตุร้ายแรงขึ้น” เย่หยิงเหมยพยายามเรียบเรียงคำพูด


 


“มันคือเรื่องอันใด? พวกเราทุกคนก็ล้วนอยู่ภายใต้ชายคานิกายเดียวกัน ปัญหาเล็กๆน้อยๆก็ปล่อยผ่าน ทำเป็นละเลยไปมิได้หรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ


 


“หากเป็นเรื่องอื่นข้าก็จะทำเป็นปิดหูปิดตาไป ทว่าเหตุการณ์นี้ เป็นการละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของนิกาย และข้าจำเป็นต้องแจ้งแก่เจ้าอย่างเป็นทางการ” เย่หยิงเหมยฝืนยิ้มออกมา


 


เซ่าหวูชุ่ยแทรกหัวข้อสนทนาทันที เขาสาดสายตามายังกู่ฉิงซานและกล่าว “ไม่เพียงแค่จำเป็นต้องแจ้งอย่างเป็นทางการ แต่เหตุการณ์นี้มันร้ายแรงนัก นอกจากนี้ยังมีส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อตัวนิกายอีกด้วย!”


 


“ปรมาจารย์ตำหนักฉี ข้าหวังเจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมตามกฏของนิกายนะ”


 


ขณะกล่าว บนใบหน้าของเซ่าหวูชุ่ยก็เผยถึงรอยยิ้มแย้มแห่งความปิติออกมา


 


“เชิญกล่าว” กู่ฉิงซานตอบรับคำ


 


เย่หยิงเหมยโบกมือและป่าวประกาศ “นำตัวเข้ามาได้!”


 


พร้อมด้วยการโบกมือของเธอ 7-8 ผู้ฝึกยุทธก็ทะยานตัวขึ้นมาบนแท่นเวที


 


ไม่นานนัก สองผู้ฝึกยุทธที่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนก็โดนลากขึ้นมา


 


เมื่อสายตาของสองผู้ฝึกยุทธเห็นฉีหยาน พวกเขาก็ราวกับเห็นพระมาโปรด ทั้งสองเร่งเอ่ยตะโกนทันที


 


“ปรมาจารย์ตำหนัก! ได้โปรดช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วย!”


 


พวกเขาคือคนจากตำหนักซานเหว่ย


 


และทั้งสองยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของเขาอีกด้วย


 


กู่ฉิงซานเหลือบสายตาเย็นชาไปมอง ปากเอ่ยกล่าว “นั่นมันคนของข้ามิใช่หรือ ศิษย์น้องหยิงเหมยเจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่?”


 


เย่หยิงเหมยกล่าว “เมื่อวานนี้ พวกเขาได้ต่อสู้กันเพื่อแย่งตัวชิงสาวใช้ ทั้งสองลงมืออย่างหนักโดยมิได้สนใจสาวใช้ที่แย่งชิงเลย พวกมันประมาทพลั้งเผลอ ปล่อยให้สาวใช้นางนั้นลอบสบโอกาสทำลายค่ายกลจนสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่เกือบที่จะพังทลายลงมา!”


 


“นอกจากนี้ นั่นยังเป็นช่วงเวลาที่อีก1ส่วน4ชั่วยามก็จะเกิดลางร้ายขึ้นอีกด้วย ทว่าโชคดีจริงๆที่ปรมาจารย์ค่ายกลทั้งสามในนิกายได้ร่วมแรงร่วมใจกันซ่อมแซมมันอย่างสุดกำลัง และสามารถติดตั้งค่ายกลกลับคืนสำเร็จก่อนที่ช่วงเวลาลางร้ายจะมาถึงได้ในที่สุด”


 


ดวงตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง


 


สาวใช้?


 


ค่ายกล?


 


สามปรมาจารย์ค่ายกลที่กล่าวมา แสดงว่าในนิกายกวงหยางยังมีเหลืออยู่อีก สามปรมาจารย์ค่ายกลสินะ


 


“แย่งชิงสาวใช้กันงั้นสินะ … ”


 


กู่ฉิงซานมองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองและหัวเราะออกมาเบาๆ


 


“นายน้อย” หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน “มันมิได้ร้ายแรงอย่างที่พวกเขากล่าวนะท่าน ในช่วงเวลานั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น พวกเราก็รีบหยุดจื่อหลิวทันที!”


 


จื่อหลิว?


 


มาได้จังหวะพอดีเลย!


 


แท้จริงแล้วสาวใช้ที่พวกเขาแย่งชิงกันกลับกลายเป็นเด็กสาวผู้แตกฉานในค่ายกลนี่เอง


 


และเธอคือกุญแจสำคัญในการซ่อมแซมค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก!


 


ได้ยินมาว่าเธอเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจดีด้วยนี่นา


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ กล่าวได้ว่าตราบใดที่ช่วยเหลือเธอ เธอก็ย่อมที่จะให้ความร่วมมือในการพาตนเองหลบหนีออกไปจากโลกใบนี้อย่างแน่นอน


 


กู่ฉิงซานไตร่ตรองอย่างเงียบๆ


 


เขายังคงมองไปทางผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองอย่างระมัดระวัง สีหน้าท่าทีแลดูเบื่อหน่ายและไม่แยแส


 


เมื่อเห็นว่านายน้อยของตนไม่ตอบ หนึ่งในนั้นจึงเร่งกล่าวออกมาว่า “นายน้อย แม้ว่าต้นเหตุจะมาจากพวกเรา แต่เรื่องนี้พวกเราได้แก้ไขมันเรียบร้อยแล้วนะท่าน”


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยหยัน “เหอะ! นั่นน่ะหรือคือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าแก้ไข? โดยการสังหารนางเนี่ยนะ? ต่อให้สังหารไป ผลลัพธ์จากฝีมือนางมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี!”


 


สังหารนาง


 


สังหารนาง


 


สังหารนาง


 


จื่อหลิวตายแล้ว …


 


แม้บนใบหน้าของกู่ฉิงซานจะไม่แสดงออกถึงสิ่งใดเลยก็ตาม ทว่าในหัวใจของเขากลับหม่นทะมึนลงอย่างรวดเร็ว


 


ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อตกใจจนพูดไม่ออก ทั้งคนทั้งร่างของพวกเธอสั่นไหว น้ำตาไหลลงมาเป็นสายอย่างมิอาจควบคุมได้


 


ด้วยฐานะที่พวกตนเป็นสาวใช้ ดังนั้นสองสาวจึงไม่เกรงที่จะให้ผู้อื่นเห็นปฏิกริยาดังกล่าว


 


“พวกเจ้า — สังหารนางแล้วจริงๆหรือ?”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยปากถามในที่สุด


 


ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองพยักหน้าอีกครั้ง และอีกครั้ง


 


หนึ่งในสองได้เอ่ยออกมาอย่างชั่วร้ายว่า “ผู้ก่อเหตุได้รับโทษทัณฑ์ร้ายแรงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สมควรที่จะมอบโทษทัณฑ์ใดๆกับพวกเราอีก นายน้อยโปรดช่วยเหลือด้วย!”


 


อีกหนึ่งผู้ใต้บังคับบัญชากล่าว “ใช่แล้วนายน้อย พวกเรารู้ดี! ว่าหากเป็นท่านก็คงจักใช้วิธีเดียวกัน”


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยปากเข้าแทรก “ฉีหยาน นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เจ้าสมควรจะตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี สำหรับค่ายกลแล้วการกระทำใดที่อาจส่งผลร้ายต่อมัน ล้วนมิอาจผ่อนปรนได้”


 


“แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่สองค่ายกลสามัญเท่านั้นเองนะ” ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉีหยานเอ่ยออกมา


 


“ภายในนิกาย ไม่ว่าใครก็ห้ามทำอะไรที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อค่ายกลทั้งสิ้น! ต่อให้มันจะเป็นเพียงค่ายกลสามัญก็ตามที” เย่หยิงเหมยกล่าว


 


เธอเอ่ยเน้นย้ำ “ทุกๆค่ายกลล้วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตลอดทั้งนิกาย ในกรณีที่เกิดปัญหา มันอาจเป็นการชักนำมารโลกามาก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นเหล่าสาวกและปรมาจารย์ทั้งหมดมิถูกกลบฝังไปพร้อมกับนิกายเลยหรอกหรือ?”


 


กู่ฉิงซานหลับตาลงครู่หนึ่ง ขบคิดเกี่ยวกับมันและกล่าว “ไปเรียกหวูซานมา ข้าต้องการจะทราบความจริง”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้า


 


หากอีกฝ่ายต้องการที่จะรับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยละเอียดจากปากของผู้อื่น นั่นย่อมเป็นสิ่งที่พอจะยอมรับได้


 


ฉีหยานเป็นคนขี้สงสัย และเขาจะไม่เชื่อในสิ่งคนอื่นพูด นอกเสียจากว่าเขายินดีที่จะรับฟังคนผู้นั้นเอง


 


ผู้ฝึกยุทธบังคับกฏได้ออกไปทันที


 


แล้วไม่นานนัก ผู้ฝึกยุทธที่ร่างกายอวบหนา อุดมไปด้วยไขมันก็วิ่งเหยาะๆขึ้นมาบนแท่นเวที


 


เขามาหยุดอยู่ตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน พร้อมกับเร่งกระแทกเข่าทั้งสองลงกับพื้นและโค้งหัวลงอย่างนอบน้อมทันที


 


“ท่านปรมาจารย์เรียกหาข้ากระนั้นหรือ?” หวูซานเผยรอยยิ้มแย้มประจบประแจงบนใบหน้า


 


ขณะที่ผู้ฝึกยุทธรอบด้านต่างแสดงออกถึงความรังเกียจ


 


“เอาล่ะ ไหนเจ้าลองเล่ามาซิ ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาเอ่ยเสริมว่า “และเวลานี้ ข้าต้องการที่จะทราบถึงสถานการณ์จริง จงอย่าปิดบังมันกับข้า”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักพอได้ฟัง สายตาก็จับจ้องลงไปยังหวูซาน พร้อมด้วยท่าทีการแสดงออกที่เปลี่ยนไป


 


สีหน้าของหวูซานเดิมทีฟุ้งไปด้วยความไร้ยางอาย ทว่าหลังจากที่ได้ยินประโยคครึ่งหลังของกู่ฉิงซาน การแสดงออกของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไป


 


ดูเหมือนว่านายน้อยกำลังวางแผนอื่นๆอยู่ ดังนั้นในครั้งนี้ตนเองจึงไม่สมควรที่จะทำลพาด


 


“เรียนท่านปรมาจารย์ แท้จริงแล้วเรื่องราวมันเป็นเช่นนี้ … ”


 


แล้วหวูซานก็กล่าวอย่างเป็นกลาง เขาเล่าทุกสิ่งอย่างออกมาด้วยความจริง


 


สถานการณ์ที่ว่ามานี้เหมือนกับที่เย่หยิงเหมยกล่าวทุกประการ


 


พอร่วมฟังจนจบ เย่หยิงเหมยก็เอ่ยออกมาว่า “ตามบทลงโทษที่สอดคล้องกับกฏของนิกาย พวกเขาทั้งสองจะต้องถูกถอดถอนพื้นฐานวรยุทธ ลดตำแหน่งลงไปเป็นคนใช้ และมิอาจก้าวเข้าสู่ตำหนักซานเหว่ยได้อีกตลอดชีวิต”


 


“ปรมาจารย์ตำหนักฉี แล้วเจ้าเล่า มีความคิดเห็นว่าสมควรจะจัดการอย่างไร?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างเพลิดเพลิน


 


เขามองไปทางกู่ฉิงซาน และกำลังตระเตรียมประโยคเด็ดที่จะกล่าวต่อไปเอาไว้ล่วงหน้า


 


หากฉีหยานแก้ตัวให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ตนกับเย่หยิงเหมยจะกล่าวโจมตีเขาทันที เอาให้ฉีหยานหน้าเสียจนไม่กล้านั่งอยู่บนเวทีแห่งนี้อีกเลย


 


และอีกอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีแห่งรากษส ฉีหยานย่อมไม่อาจพลิกลิ้น และท้ายที่สุดนี้ ผลประโยชน์ย่อมต้องเทมาทางฝั่งตนเป็นแน่


 


เซ่าหวูชุ่ยพอคิดมาถึงจุดนี้ มือของเขาก็กำแน่นขึ้นเล็กน้อย และกำลังเฝ้ารอคอยคำตอบของฉีหยาน


 


คนอื่นๆก็หันไปมองฉีหยานด้วยเช่นกัน ทั้งหมดต้องการดูว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร


 


เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ขยับหมวกไม้ไผ่อย่างอ่อนโยน และลดมือลงมาลูบไล้แผลลึกบนใบหน้าของเขา


 


“พอดีว่าข้ากำลังอยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักเมื่อไม่นานมานี้” เขากล่าว


 


ปรมาจารย์ตำหนักขมวดคิ้ว


 


เขาต้องการจะโวยวายแล้วใช่หรือไม่?


 


เรื่องราวเมื่อครู่ยังไม่จบสินะ?


 


“ปรมาจารย์ตำหนักฉี-” เย่หยิงเหมยกำลังจะเอ่ยปากกล่าว


 


แต่กู่ฉิงซานโบกมือเสียก่อน ส่งสัญญาณว่าเธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น


 


เขาผุดลุกขึ้น เดินตรงไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง


 


“นามของสาวใช้นางนั้น เรียกว่ากระไร?” เขาหันกลับมาเอ่ยถาม


 


“จื่อหลิว” ฉินรั่วกล่าว


 


“อา นั่นสินะ ‘จื่อหลิว’ ”


 


กู่ฉิงซานก้มลงเผชิญหน้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง ปากเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “ยามเมื่อข้ามอบนางให้แก่พวกเจ้า ข้าได้บอกอะไรไปจำได้หรือไม่?”


 


สองผู้ใต้บังคับบัญชามองหน้ากันวูบหนึ่ง และเผยท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อยออกมา


 


เพราะพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่นายน้อยกล่าวมันคืออะไร


 


“เอ่อ นายน้อย ท่านกล่าวว่านางคือสาวใช้ของท่าน และตอนนั้นพวกเราทำผลงานได้ดี ดังนั้นท่านจึงมอบนางให้มาสนุกกับพวกเรา” หนึ่งในสองกล่าวออกมา


 


กู่ฉิงซานหันไปทางลูกน้องอีกคนและกล่าว “ข้าพูดเช่นนั้นหรือ?”


 


อีกคนกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เป็นเช่นนั้น นายน้อย เป็นเช่นนั้น ..”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


เขาเดินมาอยู่เบื้องหลังทั้งสอง และยื่นมือออกไปลูบไล้โซ่ตรวนที่พันธนาการพวกเขาเอาไว้


 


นี่เป็นมาตรการสำหรับสาวกที่จะต้องถูกลงโทษ มันมีไว้เพื่อกักขังพื้นฐานวรยุทธและป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหลบหนี


 


แต่ระดับของโซ่ตรวนนี้ มันเป็นโซ่ตรวนที่ระดับต่ำกว่าที่พันธนาการเหล่ากับของสาวใช้


 


อย่างน้อยในช่วงที่เกิด ‘ลางร้าย’ ขึ้น มันก็ไม่รัดพันผู้ฝึกยุทธจนไม่สามารถใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา นอกจากนี้มันยังมิได้ทรมานพวกเขาให้รู้สึกเจ็บปวดใดๆอีกด้วย


 


กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉยเมย “แม้พวกเจ้าจะละเมิดกฏของนิกาย แต่ข้าก็คิดว่ามันหาใช่เรื่องสำคัญอันใดไม่”


 


พอได้ฟัง สีหน้าของชายทั้งสองก็ดูคลายลง


 


ขณะที่เหล่าผู้ฝึกยุทธเริ่มกระซิบกระซาบกันอย่างลับๆ


 


จิ้งจอกขาวยังคงเฝ้ามองมายังฉากนี้อย่างเงียบๆ


 


เพียงได้ยิน เซ่าหวูชุ่ยก็ผุดลุกขึ้นและเริ่มเอ่ยโจมตีเขาทันที “ฉีหยาน! ต่อให้เจ้าจะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ผลกระทบของมันร้ายแรงนัก เจ้าต้องไม่เข้าข้างพวกเขา!”


 


“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าข้างพวกเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ก็สิ่งที่เจ้าเอ่ยมานั่นแหละมันเรียกว่าเข้าข้า-”


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยมาได้ไม่กี่คำ เขาก็พบว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงกลืนคำที่เหลือกลับลงไป


 


เขาจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน เฝ้ารอคำพูดคำพูดประโยคหลังของอีกฝ่าย


 


“ข้าก็แค่กล่าวว่ากฏของนิกายมันหาได้สำคัญไม่ – กฏบ้าๆนั่นมันมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับตำหนักซานเหว่นของข้า”


 


กู่ฉิงซานจ้องสวนกลับไปยังเซ่าหวูชุ่ย ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา


 


คราวนี้ สีหน้าของสองผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงออกถึงความสุขอย่างแท้จริง


 


นี่แหละคือนายน้อยของพวกเขา! ผู้ที่เต็มไปด้วยอำนาจและศักดิ์ศรี!


 


ขณะที่ศักดิ์ศรีของอีกปรมาจารย์ตำหนักราวกับถูกเหยียบย่ำต่อหน้าทุกผู้คนภายใต้ฝ่าเท้าของฉีหยาน!


 


อีกด้านหนึ่ง


 


คิ้วของเย่หยิงเหมยค่อยๆขมวดเข้าหากันอย่างช้าๆ


 


ขณะที่เซ่าหวูชุ่ย ทั้งคนทั้งร่างลุกไหม้ไปด้วยความโกรธ พร้อมที่จะปะทุอยู่รอมร่อแล้ว


 


เขาเตรียมที่จะเข้าต่อสู้ขั้นแตกหักกับฉีหยาน


 


‘ฉีหยานผู้นี้ … มันจงใจแสดงพฤติกรรมหยิ่งยะโส และคนอย่างมันสมควรได้รับ-’


 


เซ่าหวูชุ่ยเพียงแค่นึกคิด ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของกู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง


 


“ดาบเอ๋ย”


 


“ขอรับท่านอาจารย์” ฉานนู่เอ่ยรับคำ


 


พร้อมกับปราณดาบแสนเย็นชาที่กระพริบไหว


 


ตามด้วยสองศพที่ล้มลงกับพื้น


 


ฉีหยานยกมือขึ้นหิ้วหัวของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยมือแต่ละข้าง สีหน้าการแสดงออกของเขายังคงเรียบเฉย ทั้งคนทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยความสงบไม่ไหวติง


 


เขายกทั้งสองหัวที่ว่านั้นขึ้น หันมาเผชิญหน้ากับตนเอง


 


“เฮ้อ .. พวกเจ้าคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำมันไม่ผิดจริงๆน่ะหรือ?”


 


โผล๊ะ!


 


โผล๊ะ!


 


สองหัวถูกทิ้งลงบนพื้นดิน


 


ดาบร่ายรำอยู่ในอากาศดั่งมังกรแหวกธารา ก่อนจะมาตกลงเบื้องหน้าของฉานนู่


 


ฉานนู่เก็บดาบกลับคืน


 


ฝูงชนทั้งหมดที่อยู่ในห้องตะลึงงัน


 


เซ่าหวูชุ่ยมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวทั้งลังเลและสงสัยในเวลาเดียวกัน “เจ้า – เหตุใดจึงทำเช่นนี้?”


 


เย่หยิงเหมยเอ่ยปากออกมาเช่นกัน “ตามกฏของนิกาย โทษที่พวกเขาสมควรได้รับคือการลดตำแหน่งลงไปเป็นคนใช้เท่านั้น แล้วสิ่งที่ปรมาจารย์ตำหนักฉีกระทำหมายความว่ากระไร?”


 


“อย่ามาเอ่ยถึงเรื่องกฏของนิกายต่อหน้าข้าอีก”


 


กู่ฉิงซานคลี่พัดออก โบกมันเบาๆ ขณะเดียวกันก็เดินกลับไป


 


เขาพึ่งจะสังหารผู้คนไปแท้ๆ ทว่าตนกลับแสดงอาการเพียงแค่ยกพัดขึ้นมาโบก แถมน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังไม่สั่นไหว


 


ด้วยทัศนคติอันแสนเลือดเย็นนี้ ส่งผลให้เหล่าสาวกทุกคนในที่แห่งนี้มิกล้าเผยอปาก เปล่งวาจาออกมาแม้เพียงครึ่งคำ


 


“เพียงเพื่อให้ตนเองได้พ้นผิด กลับกล้าที่จะลงทัณฑ์สังหารสาวใช้ของข้า! การกระทำของพวกเจ้ามันทำให้ข้ารู้สึกอารมณ์เสียจริงๆ”


 


ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็กลับไปประจำที่ตน แล้วนั่งลง


 


เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ต้องเอ่ยออกมา “มิใช่ว่าตัวเจ้าเองก็สังหารสาวใช้ของตนอยู่บ่อยๆหรอกหรือ?”


 


“ข้าสามารถทำได้ ทว่าผู้อื่นไม่”


 


“เพราะเหตุใด”


 


“เพราะเหล่าสาวใช้คือสิ่งของของข้า ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดา ที่ข้าจะสามารถจัดการกับพวกนางได้”


 


กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา


 


ณ ขณะนั้นเอง ฉินรั่วก็ก้าวออกมาข้างหน้า คุกสองเข่าลงกับพื้น และยกถ้วยชาขึ้นประกบลงบนริมฝีปากของกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานค่อยๆจิบชาอย่างช้าๆ


 


เขายื่นมือไปบีบคางของฉินรั่ว ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉินรั่ว แล้วเจ้าเล่าต้องการจะแย้งอะไรหรือไม่?”


 


“ไม่เจ้าค่ะ ทุกสิ่งที่นายน้อยกล่าวนับว่าถูกต้องแล้ว” ฉินรั่วก้มหน้าลง เอ่ยเสียงหวาน


 


เย่หยิงเหมยเอ่ยออกมา “แต่กฏของนิกาย … ”


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะคิดเช่นไร สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจพูดมันออกมาได้อยู่ดี


 


เพราะทุกคนก็เห็นกับตา ว่าผู้ที่สมควรจะถูกลงโทษได้ถูกสังหารไปแล้ว


 


เช่นนั้นแล้วกฏของนิกายมันจะมีประโยชน์อะไรอีก?


 


ฉีหยานผู้นี้ หาได้แยแสผู้ใต้บังคับบัญชาของตนไม่ เขาไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา หากแม้นมีใครขัดขวางผลประโยชน์ของเขา ไม่ว่ามันจักเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน เจ้าตัวก็ไม่ลังเลเลยที่จะเผยคมเขี้ยวที่อาบไปด้วยพิษร้ายออกมา และฉกกัดออกไป


 


ใช่แล้วล่ะ ฉีหยานเป็นคนแบบนั้น


 


เย็นชา โหดเหี้ยม และไร้ความปราณี


 


ชายผู้นี้ราวกับงูพิษ ยามเมื่อคลั่ง ไม่เพียงแค่น่าหวาดกลัว … แต่ยังอันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย


 


เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยเหลือบมองกันวูบหนึ่ง


 


แล้วก็เห็นถึงความกลัวอันลึกล้ำ และความกังวลที่ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นจากในแววตาของอีกฝ่าย


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.439 – ล่อลวงใจ


 


ฉินรั่ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ ค่อยๆชันเข่าถอยกลับไปอยู่เบื้องหลังและเฝ้ามองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ


 


กู่ฉิงซานนั่งในท่วงท่าสบายๆและกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่เอ่ยต่อเล่า? หากทุกอย่างมีเพียงเท่านี้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะนะ”


 


เซ่าหวูชุ่ยส่งเสียงฮึฮะในลำคอและกล่าว “แน่นอนว่ายังมีเรื่องอื่นอีก ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าโดยตรงอีกด้วย ทว่าตอนนี้มีผู้คนอยู่มากเกินไป มันยังไม่สะดวกที่จะพูดคุย”


 


เย่หยิงเหมยมิได้กล่าวสิ่งใด เธอหันไปขออภัยกับจิ้งจอกขาวก่อนเป็นอันดับแรก “ข้าต้องขออภัยจริงๆ ทั้งๆที่นี่เป็นการมาเยือนเพียงคราแรกของท่านแท้ๆ แต่กลับต้องให้มาพบเห็นถึงฉากนองเลือดเช่นนี้”


 


จิ้งจอกขาวส่ายหัวและกล่าว “มันเป็นไรหรอก อันที่จริงข้าคิดว่ามันก็ไม่เลวเหมือนกัน ที่นิกายของเจ้าก็มีวิธีจัดการปัญหาคล้ายคลึงกับนิกายของข้า”


 


“เช่นนั้นข้าขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติไปพักผ่อนเสียก่อน เพราะตอนนี้พวกเราจำเป็นที่จะต้องหารือปัญหาเล็กๆน้อยๆภายในนิกาย ซึ่งเกรงว่าเรื่องเหล่านี้มันจะไม่มีค่ามากพอให้ท่านรับฟัง”


 


การปล่อยให้อสูรวิญญาณจากต่างนิกายได้เข้ามารับชมการพิจารณาคดีของนิกายกวงหยาง นี่ก็นับว่าเพียงพอที่จะเป็นการให้เกียรติสตรีแห่งรากษสแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม ทุกนิกายย่อมมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่มิอาจแพร่งพรายออกไปยังภายนอกได้


 


และจิ้งจอกขาวก็ย่อมเข้าใจดี


 


มันลุกขึ้นและหันไปโค้งคำนับให้แก่ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสามทีละคน ทีละคน


 


สามปรมาจารย์ก็เร่งยืนขึ้นรับการคำนับอย่างรวดเร็ว และโค้งคารวะสวนกลับคืน


 


จิ้งจอกขาวได้ถอดหน้ากากของสตรีแห่งรากษสออก “เมื่อครู่ท่านปรมาจารย์เฟิง* เอ่ยปากยกย่องออกมาว่า นางชื่นชมในทัศนคติของปรมาจารย์ตำหนักฉีเป็นอย่างมาก เลยบอกให้ข้ามอบหน้ากากนี้แก่ท่าน”


 


*(เฟิงในที่นี้มาจากลั่วชา ‘เฟิง’ )


 


สีหน้าของเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


สตรีแห่งรากษสสามารถรับชมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมดผ่านทางจิ้งจอกขาว พลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้มิได้พบเห็นได้ยากเย็นอะไร แต่ …


 


นางกลับมอบหน้ากากของตนเองให้แด่ฉีหยาน


 


เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?


 


กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านปรมาจารย์เฟิง เอาไว้ถึงยามที่ท่านมาเยี่ยมเยือน ข้าจักไปทักทายท่านอีกครั้งเป็นการส่วนตัว”


 


ว่าจบเขาก็โบกมือไปทางด้านหลัง


 


ฉินรั่วก้าวออกมาข้างหน้า และรับหน้ากากสตรีแห่งรากษสจากมือจิ้งจอกขาว


 


เพียงจับต้อง ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ


 


แท้จริงแล้วหน้ากากชิ้นนี้สลักขึ้นจากหยกวิญญาณที่มีคุณภาพดีที่สุด แถมมันยังบางเบาราวกับปีกจั๊กจั่น


 


แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญจริงๆนั่นก็คือ หน้ากากชิ้นนี้ เป็นตัวแทนของสตรีแห่งรากษส มันคือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงตัวตนของเธอ


 


จิ้งจอกขาวกล่าว “เจ้าสิ่งนี้คือของส่วนตัวที่ปรมาจารย์เฟิงชมชอบ และนางมักจะให้ข้าพกมันติดตัวอยู่เสมอ ข้าหวังว่าปรมาจารย์ตำหนักฉีจะให้ความเคารพและใส่ใจกับมันเป็นอย่างดี”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ฉินรั่วที่กำลังถือหน้ากาก พอได้ยินคำกล่าวนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขบคิด


 


‘ตามมารยาทแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน มันคงไม่เป็นการดีที่จะส่งมอบหน้ากากให้แก่กู่ฉิงซานโดยตรง’


 


เพราะท้ายที่สุดนี้ปรมาจารย์เฟิงแห่งลั่วชาเฟิงน่ะคือผู้ฝึกยุทธหญิง และหน้ากากนี้ก็เป็นของส่วนตัวของเธอ


 


นอกเหนือจากนั้นจิ้งจอกขาวก็ยังถึงขั้นเน้นย้ำเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวมันเอง


 


ฉะนั้นแล้วการมอบมันถึงมือของกู่ฉิงซาน ไม่เพียงจะดูไม่ใส่ใจ แต่ยังดูไม่สุภาพและไร้มารยาทอีกด้วย


 


และกู่ฉิงซานให้ฉินรั่วก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับหน้ากาก นั่นก็เพียงพอที่จะบอกเจตนาที่เขาจะสื่ออยู่แล้ว


 


อย่างไรก็ตาม แม้การรับของแทนเจ้านายจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ทว่าขณะเดียวกันเธอก็ไม่สมควรที่จะถือมันไว้นานเกินไปเช่นกัน -เพราะยังไงเสีย เธอก็เป็นเพียงสาวใช้ของฉีหยาน


 


ฉินรั่วจึงวางหน้ากากสตรีแห่งรากษสลงบนโต๊ะเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน


 


“นี่เจ้าค่ะ นายน้อย”


 


“อืม เจ้าถอยกลับไปได้แล้ว”


 


กู่ฉิงซานผงกหัวให้เธอเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวรู้งาน และปฏิบัติดั่งที่เขาตั้งใจเป็นอย่างดี


 


จิ้งจอกขาวพอได้เห็นฉากนี้ มันก็รู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย


 


“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” จิ้งจอกขาวกล่าว


 


“พวกเราน้อมส่ง” สามปรมาจารย์ตำหนักเอ่ยพร้อมกัน


 


เมื่อความตั้งใจของจิ้งจอกขาวบรรลุผลแล้ว มันจึงกลับไปพักผ่อนด้วยความพึงพอใจ


 


เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยมองมายังหน้ากาก ในหัวใจบังเกิดความสับสน


 


สตรีแห่งรากษส , ปรมาจารย์แห่งลั่วชาเฟิง ทุกการกระทำและเคลื่อนไหวย่อมมีความหมายแฝงอันลึกล้ำ


 


แล้วการที่นางกระทำเช่นนี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่?


 


เซ่าหวูชุ่ยขบคิดในจิตใจอย่างรวดเร็ว ก่อนละเริ่มเอ่ยปากกล่าว “เอาล่ะ งั้นตอนนี้พวกเราก็มาเริ่มการหารือเรื่องหลักของนิกายกันดีกว่า พวกเจ้าคนอื่นๆถอยออกไปได้แล้ว”


 


ผู้ฝึกยุทธบังคงกฏคนแล้วคนเล่าเริ่มทยอยลงจากเวที และไม่นานทั้งหมดก็จากไปอย่างรวดเร็ว


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อก็ถอยไปเช่นกัน


 


ทว่าฉานนู่กลับยังคงยืนนิ่ง


 


“หือ? เจ้าเด็กนี่มันอะไรกัน?” เซ่าหวูชุ่ยขมวดคิ้วมุ่น


 


“นี่คือศิษย์คนใหม่ของข้า เรียกว่ากู่ฉิงซาน เจ้าก็มาทักทายอาวุโสทั้งสองสิ”


 


กู่ฉิงซานหันไปส่งสัญญาณแก่ฉานนู่


 


“หญิงที่ครอบครองความงามอันน่าทึ่งผู้นี้คือปรมาจารย์เย่หยิงเหมย จากตำหนักหนิงเยว่ , ส่วนข้างๆนั่นคือปรมาจารย์เซ่าหวูชุ่ยที่มั่งคั่งที่สุดจากตำหนักเจียงซี”


 


หลังจากได้ฟังการแนะนำตัวแก่กู่ฉิงซาน สีหน้าของเย่หยิงเหมยก็แสดงออกถึงรอยยิ้มน้อยๆ ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยก็ยังคงจ้องมองฉานนู่อยู่เช่นกัน


 


แต่สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยยังคงสงบนิ่ง


 


เมื่อครู่นี้ฉีหยานกล่าวว่าเขาเป็นผู้มั่งคั่งที่สุด ..


 


ทว่าคำว่ามั่งคั่งนี่ .. ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกอัดอัดใจมากขึ้นเท่านั้น ..


 


ฉานนู่ก้าวมาข้างหน้า โค้งกายคารวะทักทาย “ผู้น้อยกู่ฉิงซาน ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง”


 


“รับเอาขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายเป็นศิษย์ หากตัดสินเพียงพื้นฐานวรยุทธก็ยังไม่นับว่าแย่จนเกินไป” เย่หยิงเหมยกล่าว


 


“เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบสินะ?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม


 


“ขอรับ” ฉานนู่ตอบรับ


 


“จู่ๆเจ้าคิดอะไรถึงได้รับศิษย์อย่างกระทันหันเช่นนี้?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถามซอกแซก


 


“พอแล้วฉาน – ข้าหมายถึงฉิงซาน ในเมื่อเจ้าได้คารวะอาวุโสทั้งสองแล้ว ครานี้เจ้าก็ถอยออกไปได้แล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ขอรับ” ฉานนู่รับคำ


 


เธอประสานกำปั้นไปยังสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าทั้งสองอีกครา ก่อนจะหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังทางลงแท่นเวที


 


เห็นแค่เพียงเซ่าหวูชุ่ยที่จ้องเขม็งตามหลัง ‘กู่ฉิงซาน’ ฝ่ามือหุบเข้าหากันเป็นกำปั้นในทันใด และจู่ๆก็ชกพรวด! ออกไปในชั้นอากาศอย่างแผ่วเบา


 


ฉานนู่หันขวับ!กลับมาอย่างดุดัน ในมือคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วจ้วงแทงมันสวนออกไปข้างหน้าทันที


 


รังสีดาบห้าเฉกที่เปรียบดั่งค้อนปอนด์ระเบิดออกมา ทว่าเพียงปะทะเข้ากับพลังหมัดกลางอากาศ มันก็สลายไปในพริบตา


 


ขณะเดียวกัน หมัดโปร่งใสกลับถูกขัดขวางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อำนาจและแรงกดดันของมันก็ยังคงแรงไม่ตกอยู่ดี


 


พลังหมัดของเซ่าหวูชุ่ยช่างสูงล้ำยิ่ง! มันสามารถบดขยี้เทคนิคลับแห่งดาบฝ่าวารีเชี่ยวของฉานนู่ได้โดยตรง แถมยังคงอานุภาพภายในเอาไว้อีกเหลือเฟือ


 


อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงสองดาบยาวผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าข้างกายเธอ


 


ดาบพิภพและเช่าหยิน


 


ในเสี้ยววินาที สองดาบก็สาดรังสีแสงสีขาวนวลดั่งจันทรา หล่อหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นเสี้ยวจันทร์ขนาดยักษ์ ฟาดฟันออกไปต้อนรับพลังหมัดโปร่งใสนี้


 


เปรี้ยง!


 


บังเกิดเสียงของชั้นอากาศแยกจากกัน พร้อมด้วยการสั่นสะเทือนจางๆที่ก้องกังวานไปตลอดทั้งแท่นเวที


 


พลังหมัดถูกผ่าออกด้วย ‘ตัดจันทรา’ มันแยกออกเป็นสองและสลายตัวกลายเป็นลมกรรโชกอย่างรุนแรง ส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วชั้นอากาศ


 


ด้วยสามเทคนิคลับแห่งดาบ ในที่สุดก็สามารถสลายพลังหมัดของเซ่าหวูชุ่ยได้ในที่สุด


 


‘กู่ฉิงซาน’ ยืนอยู่ในสถานที่เดิม พร้อมกับสองดาบบินที่ลอยล่อง โคจรไปมารอบกายเขา


 


ในมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกาแน่น ปากเอ่ยเสียงเย็น “อาวุโสเซ่า ที่ท่านทำหมายความว่ากระไรกัน?”


 


เซ่าหวูชุ่ยจ้องมองไปยังสองดาบบินที่ลอยอยู่กลางเวหา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นักดาบนิรันดร์! แท้จริงแล้วเจ้าเป็นนักดาบนิรันดร์! ไม่สิ นี่มันไม่ถูกจ้อง ทั้งๆที่เจ้าเป็นเพียงขอบเขตก้าวสู่เทพแท้ๆ…”


 


เย่หยิงเหมยมองไปยังกู่ฉิงซานวูบหนึ่ง ข้อสงสัยในหัวใจได้สลายหายไป


 


“เป็นแค่เพียงก้าวสู่เทพอันเล็กจ้อย ทว่าทักษะดาบกลับทะยานก้าวล้ำขึ้นมาถึงระดับนักดาบนิรันดร์เสียแล้ว ต่อให้เป็นข้าเองก็ตามที หากได้พบเจอกับหยกล้ำค่าเช่นนี้ ก็คงมิแคล้วถูกล่อลวงโดยมันเป็นแน่” เธอถอนหายใจและกล่าวออกมา


 


“ช้าก่อน” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยขัดออกมา


 


กู่ฉิงซานหรี่ตามองเขา


 


“พิธีเคารพอาจารย์เสร็จสิ้นแล้วกระนั้นหรือ? ข้าจดจำได้ว่านิกายข้า หากต้องการที่จะรับศิษย์ จำต้องได้รับการยืนยันจากทางนิกายก่อนมิใช่หรือ” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว


 


“ก็ข้าพึ่งจะกลับมา นอกจากนี้ยังไม่มีเวลาได้ทำสิ่งใดเลย แต่ยังไงก็ตาม เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะเกิดขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เซ่าหวูชุ่ยนิ่งงันไปครู่


 


เขาหันไปกล่าวกับฉานนู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ในเมื่อเจ้ายังเป็นเพียงรุ่นเยาว์ ทว่ากลับสามารถทานรับกำปั้นของข้าได้ ดัวนั้นข้าจึงจะขอมอบของรับขวัญในฐานะที่พานพบกันครั้งแรกให้”


 


“ฉิงซานเอ๋ย ดูเหมือนว่ากำปั้นที่เจ้าทนทานรับมันจักไม่เสียเปล่าซะแล้วซี” กู่ฉิงซานกล่าวกับฉานนู่


 


ระหว่างผู้ฝึกยุทธด้วยกัน การมอบของขวัญให้แก่ผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ที่เรียกกันว่าของรับขวัญในฐานะที่พบพานครั้งแรกนั้น แท้จริงแล้วมารยาทและพิธีกรรมเล็กๆน้อยๆขั้นพื้นฐานที่สุด


 


ถึงแม้ว่าเซ่าหวูชุ่ยกับฉีหยานจะมีความขัดแย่งกันอยู่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังรักษามารยาททางพิธีกรรมนี้กันอยู่บ้าง.


 


“รีบขอบพระคุณอาวุโสเซ่าเร็วซี่ เขาคือผู้ฝึกยุทธชั้นยอดระดับขีดสุดความว่างเปล่าเชียวนะ นอกจากนี้ยังเป็นถึงปรมาจารย์ตำหนักอีก ฉะนั้นแล้ว ของที่เขานำออกมามอบให้เจ้าย่อมต้องมิใช่สิ่งเลวร้ายเกินไปอย่างแน่นอน เพราะหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มันคงจะน่าอับอายไม่น้อยเลยสำหรับเขา”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยไม่กี่คำ เพื่อขุดหลุมพรางใส่เซ่าหวูชุ่ย


 


เซ่าหวูชุ่ยเหล่ตามองเขาวูบหนึ่ง ก่อนที่จะเบนสายตากลับมามองฉานนู่ต่อ


 


ด้วยขอบเขตของเซ่าหวูชุ่ยที่ทรงพลังยิ่ง ดังนั้นยามเมื่อเจ้าตัวได้ส่งกำปั้นออกไปปะทะ เขาจึงได้ค้นพบถึงรากฐานพลังที่แท้จริงของ ‘กู่ฉิงซาน’ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!


 


นี่มันเมล็ดพันธุ์แห่งวิถีดาบ


 


เมล็ดพันธุ์แห่งวิถีดาบตัวจริงเสียงจริง!


 


ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!


 


ที่ต้นกล้าดีๆเช่นนี้ … ดันต้องมาถูกไอ้ขยะอย่างฉีหยานขุดตัดหน้าไปเสียก่อน


 


เซ่าหวูชุ่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย


 


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีกฝ่ายยังมิได้เริ่มพิธีกรรมเคารพอาจารย์ เช่นนั้นเรื่องราวมันก็ง่ายที่จะกล่าว


 


เพราะไม่ว่ายังไง ฉีหยานก็กำลังจะต้อง ‘ตาย’ อยู่แล้ว …


 


และเมื่อเวลานั้นมาถึง …


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซ่าหวูชุ่ยก็ตบลงในถุงสัมภาระ หยิบขวดที่บรรจุเม็ดยาออกมา และโยนมันออกไป


 


ฉานนู่คว้ารับเอาขวดเม็ดยาไว้ในมือของเธอ


 


“เจ้าไม่เพียงเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย แต่ข้ากลับเห็นถึงรากฐานอันลึกล้ำและเต็มไปด้วยพลังวิญญาณของเจ้า – เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังจะทะลวงขอบเขตใหญ่อยู่รอมร่อแล้ว” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว


 


“ดังนั้น ข้าจึงมอบขวดที่ภายในบรรจุเม็ดยาประทับเทพให้ ในยามที่เจ้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ มันจักสามารถช่วยเติมเต็มพลังวิญญาณที่สูญเสียไป และในยามที่เจ้าสามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์สำเร็จ มันก็ยังจะช่วยให้ความผันผวนทางพลังวิญญาณของเจ้ากลับคืนสู่ปกติได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย”


 


คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้นเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม “นับว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่เลวเลย เร่งขอบคุณปรมาจารย์ตำหนักเซ่าเร็วเข้า”


 


“ขอรับ ข้าขอขอบพระคุณปรมาจารย์ตำหนักเซ่า” ฉานนู่กล่าว


 


ส่วนเย่หยิงเหมยก็คว้ายันต์ออกมา และโยนมันออกไป


 


เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายเซ่าก็ได้มอบของรับขวัญให้เจ้าไปแล้ว เช่นนั้นข้าเองก็คงมิอาจน้อยหน้าได้เช่นกัน – นี่เป็นยันต์ประเภทป้องกัน แม้จักใช้ได้เพียงครั้งเดียวก็ตามที ทว่ามันสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าอย่างเต็มกำลังได้หนึ่งครั้ง – สิ่งนี้จะช่วยรับประกันชีวิตของเจ้าได้หนึ่งหน”


 


“โอ้ว ดูนั่นซีปรมาจารย์ตำหนักฉี กำปั้นที่ข้าปล่อยออกไปนับว่าไม่เสียเปล่าอย่างที่เจ้ากล่าวจริงๆด้วย” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


 


“ปรมาจารย์ตำหนักเซ่า กล่าวล้อเล่นอีกแล้ว” กู่ฉิงซานจ้องอีกฝ่าย แต่ก็ยังเผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา


 


เซ่าหวูชุ่ยพยักหน้า และหันไปมอง ‘กู่ฉิงซาน’ อีกครั้ง


 


แต่กลับเห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่แม้จะได้รับสมบัติล้ำค่าจากผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าถึงสองคน แต่สีหน้าของเขากลับสงบนิ่ง ไม่มีกระทั่งร่องรอยการกระเพื่อมของกล้ามเนื้อบนใบหน้าด้วยซ้ำ


 


แต่นั่นมันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉานนู่น่ะเป็นจิตอาร์ติแฟค แถมยังมีอุปนิสัยเย็นชา ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้


 


สองผู้ฝึกยุทธชั้นยอดเฝ้ามองดู ‘กู่ฉิงซาน’ ที่ปราศจากความเย่อหยิ่ง ขณะเดียวกันก็สงบนิ่ง ในหัวใจของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะประเมินอีกฝ่ายไว้สูงยิ่งกว่าเดิม


 


บนใบหน้าของกู่ฉิงซานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าหัวใจของเขากลับตื่นตัว และเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้นอย่างกระทันหัน


 


แม้การที่อาวุโสมอบของรับขวัญให้ตามมารยาทและพิธีกรรมในครั้งนี้จะดูเหมือนกับว่าเป็นเพียงเรื่องปกติ


 


ทว่า .. สิ่งที่สองปรมาจารย์ตำหนักมอบให้ มันเป็นของล้ำค่าเกินไป อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่สมควรที่จะไว้หน้าฉีหยานมากขนาดนี้


 


กล่าวได้ว่าหากฉีหยานตัวจริงมาอยู่ที่นี่ กระทั่งตัวเขาเองก็ยังคงต้องภาคภูมิใจกับมันเป็นแน่


 


แต่ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ


 


—ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองกับฉีหยาน พวกเขาย่อมไม่ต้องการที่จะให้เกียรติฉีหยานถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้ว ทั้งคู่จะทุ่มมอบของรับขวัญที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้แก่รุ่นเยาว์ได้อย่างไร?


 


โดยเฉพาะเซ่าหวูชุ่ย มันถึงขั้นเปล่งวาจาและแสดงทัศนคติที่ดีออกนอกหน้าถึงเพียงนั้น


 


คนเช่นมัน แถมยังมีวรยุทธอยู่ถึงระดับนั้น เหตุใดจึงต้องละทิ้งความไม่พอใจ และหันมาพูดอะไรที่มันระรื่นหูออกมาด้วย?


 


นี่มันมิแตกต่างไปจากสำนวน ‘ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด’ ชัดๆ


 


อย่างไรก็ตาม บนใบหน้าของกู่ฉิงซานก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาโบกมือและกล่าวว่า “เอาล่ะฉิงซาน ถึงเวลาที่เจ้าจักต้องถอยไปก่อนแล้ว เวลานี้สมควรแก่การที่ข้าจะต้องหารืออย่างเป็นทางการกับสองปรมาจารย์ตำหนักเสียที”


 


“ขอรับ”


 


ฉานนู่เอ่ยรับคำหนึ่ง และถอยออกลงจากเวที


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.440 –  ความคิดของฉีหยาน


 


ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องต่างพากันถอยออกไปจนสิ้น


 


บนแท่นเวทีสูง บัดนี้เหลือเพียงสามปรมาจารย์ตำหนักเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม ทั้งสามนิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จากันไปพักหนึ่ง


 


สองปรมาจารย์ค่ายดูเหมือนว่ากำลังขบคิด ว่าพวกเขาสมควรจะกล่าวอะไรต่อไปดี


 


กู่ฉิงซานก็ยังคงปิดปากเงียบเช่นกัน


 


แต่นั่นมันก็เพราะเขามิได้ล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จำต้องพูดคุยกันอย่างลับๆนี้ ดังนั้นหากพูดมากความไปเดี๋ยวมันจะผิดสังเกต


 


เขาจึงใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่แต่ละฝ่ายกำลังเงียบงัน เบนสายตาไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


นั่นเพราะบรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนมันมาสักพักแล้ว


 


กู่ฉิงซานเอาแต่ทุ่มสมาธิอยู่กับการให้ความสำคัญกับการรับมือกับสถานการณ์เมื่อครู่ จนไม่มีเวลาที่จะมองมันเลย


 


“คุณได้สังหารหวังชีเฉิน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย”


 


“คุณได้สังหารซ่งจิ่ว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นกลาง”


 


“เนื่องจากการโจมตีทั้งสองคือการใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่ง และเป็นการสังหารในกระบวนท่าเดียว ดังนั้นคุณจึงได้รับแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดที่มี”


 


“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ : 700 จุด”


 


“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ : 500 จุด”


 


“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 1203/300”


 


มองไปยังหลายบรรทัดแสงหิ่งห้อย ในหัวใจที่หวั่นไหวของกู่ฉิงซานก็ค่อยสงบลงเล็กน้อย


 


ในที่สุด แต้มพลังวิญญาณที่เหือดหายก็เริ่มฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง


 


ในสถานการณ์ปัจจุบัน แต้มพลังวิญญาณคืออำนาจที่มีผลสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!


 


เพราะหากเขาหากต้องการทราบถึงพิกัดของโลกเทวะ มันก็จำเป็นต้องพึ่งพาปรมาจารย์ค่ายกล


 


ทว่าปรมาจารย์ค่ายกลที่เชื่อถือได้ในโลกนี้ – จื่อหลิวน่ะได้ถูกสังหารลงไปเสียแล้ว!


 


และอีกสามปรมาจารย์ค่ายกลที่เหลืออยู่ในนิกายกวงหยาง … ก็ไว้ใจไม่ได้


 


ฉะนั้น หากต้องการกลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กู่ฉิงซานจำต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น


 


เขาจะต้องอาศัย ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ในการเรียนรู้ค่ายกล แล้วจากนั้นก็จะสามารถควบคุมการเคลื่อนย้ายมิติระหว่างสองโลกได้อย่างสมบูรณ์


 


สายตาของกู่ฉิงซานเลื่อนลงไปยังแถบไอค่อนต่างๆของหน้าต่างระบบเทพสงครามที่อยู่เบื้องล่าง


 


ในไอค่อนเหล่านี้ มีเพียงสามปุ่มเท่านั้นที่ได้รับการเปิดเผยและมีไฟส่องออกมา


 


ทั้งสามรายการแยกกันเป็น ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ และ ‘สมญาเทพสงคราม’


 


นอกเหนือไปจากนั้น ไอค่อนอื่นๆทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมโดยสีดำสนิท และไม่สามารถมองเห็นถึงเนื้อหาภายในได้


 


กู่ฉิงซานชำเลืองมองมัน และไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป


 


เพราะตอนนี้ สิ่งแรกที่เขาต้องการ ไม่ว่าอย่างไรก็คือการหลบหนีออกไปจากโลกใบนี้!


 


เขาไม่สามารถเบนสมาธิและความสนใจไปกับอย่างอื่นได้


 


ในที่สุดเย่หยิงเหมยก็เอ่ยปากออกมาว่า “เจ้าทั้งสอง เรื่องต่อจากนี้เกี่ยวพันธ์กับชีวิตและความตายของนิกาย แม้ว่าก่อนหน้านี้ พวกเราจะเคยหารือกันมาครั้งหนึ่งแล้ว และในเมื่อเจ้าเองก็กลับมาพอดิบพอดี แสดงว่าคงจะได้คิดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้วใช่หรือไม่? ข้าก็เลยอยากจะถามเจ้าว่าพร้อมที่จะบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราทั้งสามแล้วหรือยัง?”


 


เคยหารือกันมาก่อนครั้งหนึ่งแล้ว


 


บรรลุข้อตกลง?


 


—ว่าแต่ ประเด็นที่สามปรมาจารย์ตำหนักคุยกันมันคือเรื่องอะไรกัน?


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับฟังสิ่งดังกล่าวนี้ และฉีหยานก็ไม่คิดที่จะบอกเล่ามันให้แก่พวกเธอ


 


ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เย่หยิงเหมยกล่าวนั้นคือเรื่องอันใด


 


“ข้าอยากฟังความคิดเห็นของปรมาจารย์ตำหนักเซ่าเสียก่อน”


 


กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


เซ่าหวูชุ่ยไม่เสียเวลาคิดให้มากความ ปากเอ่ยกล่าวโดยตรง “ข้าไม่เห็นด้วยกับความคิดของเจ้านะฉีหยาน และแนะนำให้เจ้าล้มเลิกความคิดที่ว่านั่นเสีย”


 


เย่หยิงเหมยมิกล่าวสิ่งใด ทำแค่เพียงหันมามองหน้ากู่ฉิงซาน


 


เซ่าหวูชุ่ยกล่าวจบ ก็จ้องมองมาที่เขาเช่นกัน


 


ภายใต้การจับจ้องของสองผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า กู่ฉิงซานแสดงอาการขบคิดเล็กน้อย


 


‘เข้าใจล่ะ ได้เบาะแสข้อแรกมาแล้ว นั่นคือไม่เห็นด้วยกับความคิดของข้าสินะ’


 


หากกล่าวมาเช่นนี้ ข้าก็ยังพอที่จะสามารถกล่าวตอบโต้ได้


 


แต่ใครก็ได้ ช่วยบอกข้าที ว่าความคิดของข้ามันคือเรื่องบัดซบอันใดกัน?


 


“สหายเซ่า”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างจงใจ “ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้าต้องการเพียงแค่พยายามที่จะต่อต้านข้า ดังนั้นจึงมิได้พิจารณาถึงความคิดเห็นของข้าอย่างจริงจัง ไม่คิดหรือว่าเจ้ากำลังอคติต่อข้ามากเกินไปหน่อย”


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยหยันทันที “เหอะ! อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกับเจ้า! ข้าสามารถแยกแยะได้ระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวม!”


 


-ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันคือเรื่องบัดซบอันใด


 


“ไม่เอาน่า เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


คราวนี้เซ่าหวูชุ่ยเพียงจ้องมองเขา แต่มิได้เอ่ยคำใด


 


เย่หยิงเหมยก็เช่นกัน


 


สายตาของทั้งสองจับจ้องมาที่เขา


 


กู่ฉิงซานจึงต้องเป็นคนเอ่ยปากออกมาเอง “งั้นก็ดี หากเจ้ายังคงเลือกที่จะดึงดัน เช่นนั้นแล้วไหนลองอธิบายเหตุผลให้ข้าฟังซิ”


 


เขากล่าวเน้นทุกคำ แสดงออกด้วยท่าทีเป็นจริงเป็นจัง “-หากเจ้า สามารถโน้มน้าวใจข้าได้ บางทีข้าอาจจะพิจารณาถึงเรื่องนี้อีกครั้ง”


 


จากนั้น กู่ฉิงซานก็ปิดปากลง และไม่เอ่ยคำใดอีกเลย


 


ก็เรื่องราวมันยังไม่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงไม่ตั้งใจจะพูดอะไรให้หลุดประเด็นแม้เพียงครึ่งคำ


 


เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ท่าทีการแสดงออกของเขาก็เป็นจริงเป็นจังขึ้น


 


นี่มันเป็นเรื่องเร่งด่วน อีกอย่าง เขาก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใดๆจากท่านอาจารย์เลย ดังนั้นคงหยุดความคิดบ้าๆของฉีหยานเอาไว้ก่อนชั่วคราว


 


“ข้ายอมรับว่าเจ้าหนังเหนียวไม่เลว แถมยังมีพรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ ทว่าสำหรับการดำรงอยู่ของลั่วชาเฟิง มันมิใช่สิ่งที่เราสมควรจะยั่วยุได้” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว


 


“อ่า … ว่าต่อสิ” กู่ฉิงซานเอ่ยรับสั้นๆ


 


‘ลั่วชาเฟิง’ สินะ


 


ในตอนที่เขากลับมายังนิกาย ดูเหมือนว่าเขาก็จะได้พบกับเรือเหาะที่คอยรับส่งสินค้าไปยังลั่วชาเฟิงเหมือนกัน


 


และสินค้าทั้งหมดบนเรือเหาะ ก็ล้วนเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเม็ดยา


 


มันคือการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาสำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ที่ใช้ยื้อชีวิตผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า


 


นอกจากนี้ในปัจจุบัน ลั่วชาเฟิงก็กำลังจะมาเยี่ยมเยือนในเร็วๆนี้อีกด้วย


 


ในสมองของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋ ขณะที่สีหน้าของเขากำลังรับฟังอย่างสงบ


 


เมื่อเซ่าหวูชุ่ยเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังไตร่ตรองถึงคำกล่าวของเขา


 


เจ้าตัวจึงตัดสินใจกล่าวโน้มน้าวต่อไป “หลังจากที่นิกายใหญ่ทั้งหลาย ไม่หลบลี้หนีหายก็ถูกทำลายไปแล้วจนสิ้น หลงเหลือแค่เพียงลั่วชาเฟิงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ครอบครองสามผู้ฝึกยุทธขั้นลมปราณจิตเอาไว้ใช้บดขยี้นิกายอื่นๆได้”


 


“แล้วยังไงต่อ?”


 


กู่ฉิงซานเริ่มแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา


 


สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวเป็นเพียงความรู้ทั่วๆไปของโลกใบนี้ ดังนั้นการที่เขาจะหงุดหงิดมันจึงย่อมเป็นปกติ


 


เซ่าหวูชุ่ยจึงเร่งกล่าวถึงความหมายที่ตนจะสื่อทันที “ดังนั้นข้อเสนอที่ลั่วชาเฟิงมีให้ต่อเจ้า มันคงเป็นเพียงเรื่องโกหก แท้จริงแล้วพวกมันคงแค่ต้องการที่จะทดสอบสถานะความมั่งคั่งของนิกายเราก็เท่านั้น”


 


“ซึ่งข้ากับปรมาจารย์ตำหนักเย่ได้เห็นพ้องต้องกันแล้วว่า หากเลือกที่จะกินเนื้อโดยไม่คิดคายกระดูกเช่นนี้ มันจักต้องเป็นอันตรายต่อนิกายของเราเป็นแน่”


 


กู่ฉิงซานยกชาขึ้นมาจิบ ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังคงสงบเงียบดังเดิม


 


แล้วสิ่งที่ฉีหยานมันจะทำมันคืออะไรกันล่ะเนี่ย?


 


สองปรมาจารย์ตำหนักคัดค้านความคิดของเขาอย่างเป็นเอกฉันท์ และนี่มันคงจะเกี่ยวข้องกับไอ้เรืองที่ว่าตน ‘หนังเหนียว’ เป็นแน่


 


กู่ฉิงซานเค้นสมองคิดอย่างหนัก แต่เขาก็ยังไม่อาจสามารถควานหาความตั้งใจที่แท้จริงของฉีหยานได้


 


สองปรมาจารย์ตำหนักยังคงเฝ้ามองเขา


 


แม้กระทั่งหน้ากากของสตรีแห่งรากษส ก็ยังมองไปทางเขาด้วยรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้า


 


กู่ฉิงซานเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง


 


“สหายเซ่า ในความเป็นจริงแล้วนั่นมันเป็นเพียงความคิดส่วนตัวของเจ้า มิได้มีพื้นฐานของความจริงแอบแฝงอยู่เลย”


 


กู่ฉิงซานส่ายหัว


 


เซ่าหวูชุ่ยหันไปขอความช่วยเหลือจากเย่หยิงเหมย


 


เย่หยิงเหมยกลั้วคอเพื่อที่จะกล่าวให้มันชัดๆ และเอ่ยปากออกมา “แต่เอาจริงๆแล้วข้าก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของสหายเซ่านะ”


 


“โฮ่? ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าก็คิดเหมือนกันกับเขางั้นหรือ?”


 


“ใช่”


 


‘เข้าใจล่ะ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ความคิดเห็นเป็น 2 : 1’


 


“กล่าวอย่างซื่อตรงนะศิษย์น้องหยิงเหมย ข้าว่าเจ้าน่ะมีสติและรู้จักนึกคิดมากกว่าเขา ดังนั้นข้าต้องการฟังความคิดเห็นของเจ้า” กู่ฉิงซานแถต่อ


 


เย่หยิงเหมยมิได้สงสัยในคำถามนี้เลย เธอเอ่ยออกไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “สตรีแห่งรากษสรุ่นนี้กำลังจะทะลวงสู่ขอบเขตลมปราณจิตก็จริง ทว่าเจ้าเป็นเพียงแค่คนที่พึ่งก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ฉะนั้นความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองจึงมิอาจเทียบเปรียบกันได้ นี่คือข้อแรก ”


 


“และข้อสอง ไม่มีผู้ใดเลยที่พบจุดจบที่ดีหากได้เกี่ยวข้องกับสตรีแห่งรากษสแล้ว บ้างไม่สูญเสียทุกสิ่งอย่าง ก็จบลงด้วยความตาย และนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”


 


ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์มาถึงสองข้อ กู่ฉิงซานก็พยักหน้า และยังคงรับฟังข้อเสนอแนะของเย่หยิงเหมยต่อ


 


เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อว่า “ข้อที่สาม ‘เหล่านิกายใหญ่’ ไม่ถูกทำลายก็ฉีกมิติที่ว่างเปล่าหลบหลี้หนีหายไปจากโลกนี้กันจนสิ้นแล้ว เว้นไว้แต่เพียงลั่วชาเฟิงและนิกายของกวงหยางของเรา ดังนั้นข้าจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าสตรีแห่งรากษสต้องการที่จะใช้เจ้าเป็นไม้กระดานในการข้ามมาเพื่อจัดการกับตลอดทั้งนิกายของเรา”


 


เธอสรุป “ดังนั้น เมื่อคนจากลั่วชาเฟิงมาเยือน เราหวังว่าเจ้าจะปฏิเสธข้อเสนอนั้นต่อหน้าทุกผู้คน”


 


“คิดจะให้ข้ากลับคำพูด?” สีหน้าของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง


 


“ข้าได้รับคำข้อเสนอไปแล้ว แต่เจ้ากลับคิดที่จะให้ข้อปฏิเสธมันต่อหน้าสาธารณะชนกระนั้นหรือ เช่นนี้แล้วศักดิ์ศรีของข้าเล่า? เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?”


 


แม้จะได้ข้อมูลมาบ้างแล้ว แต่กู่ชิงซานก็ยังมิกล้าคาดเดาเจ้า ‘ข้อเสนอ’ ที่ว่านี้ ว่าคือสิ่งใดอยู่ดี


 


เจ้าผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าสองคนนี้มันกำลังเอ่ยเรื่องบัดซบอันใดกัน?


 


อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่กู่ฉิงซานเดาผิดแม้เพียงครั้ง และเอ่ยบางคำที่ไม่ถูกต้องออกมา สถานะของเขาก็จะถูกเปิดเผยทันที


 


ในแง่มุมนี้ กล่าวได้ว่าสถานการณ์กำลังตกอยู่ในช่วงที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง


 


เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยเหลือบมองกันวูบหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะกังวลใจเล็กน้อย


 


กระทั่งในเวลานี้ ฉีหยานก็ยังมามัวพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีอยู่อีก


 


“นรกเถอะ! เจ้าคิดว่าตัวเอง-” เซ่าหวูชุ่ยกำลังจะพูด


 


แต่กู่ฉิงซานก็ขัดจังหวะเขาเสียก่อน “ขอกล่าวให้มันชัดเจนนะ หากต้องการให้ข้าละทิ้งความต้องการของตัวเอง -แล้วผลประโยชน์อันใดกันที่ข้าจะได้รับ?”


 


เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยชะงักงันไปในทันใด


 


ใช่สิ ในสายตาของฉีหยานผู้นี้ มันมีแต่เรื่องศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของตนเท่านั้น


 


เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับนิสัยของฉีหยาน


 


“ผลประโยชน์? ผลประโยชน์ของเจ้าก็คือมิต้องตกตายด้วยน้ำมือของสตรีแห่งรากษสอย่างไรเล่า …” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเสียงอู้อี้


 


กู่ฉิงซานยิ้มเย็น เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ แม้จะผ่านไปแล้วครู่หนึ่ง แต่เจ้าตัวก็ยังมิได้เอ่ยคำใดออกมา


 


มองไปยังท่าทีการแสดงออกของเขา คล้ายกับว่าได้สลักคำกล่าวของเซ่าหวูชุ่ยเอาไว้ในจิตใจเรียบร้อยแล้ว


 


“สหายเซ่า อย่าได้กล่าวเช่นนั้น”


 


เย่หยิงเหมยหันไปติอีกฝ่าย


 


“ฉีหยาน คราวนี้มิใช่เรื่องตลกจริงๆ สตรีแห่งรากษสมีเทคนิคลับและพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ซับซ้อน ยากนักที่จะวินิจฉัย กระทั่งพวกเราเองก็ยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้”


 


เย่หยิงเหมยอธิบายอย่างอดทน


 


“นอกจากนี้ เจ้าเองก็ทราบดีว่าร่างกายของผู้อาวุโสสูงสุดจำเป็นต้องพึ่งพาเม็ดยารักษาอันแสนล้ำค่าอยู่ทุกวี่วัน ซึ่งนิกายไม่สามารถทานทนต่อการสูญเสียเช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว”


 


“หากเกิดอะไรผิดพลั้ง และทางลั่วชาเฟิงคิดแค้นพยาบาทพวกเราขึ้นมา สิ่งที่พวกเราต้องรับมือย่อมมิใช่เพียงสตรีแห่งรากษสเพียงผู้เดียวแน่”


 


“ฉีหยาน ข้าหวังว่าเจ้าจะพิจารณาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังและล้มเลิกความคิดนี้เสีย”


 


“ที่ศิษย์น้องหยิงเหมยพูดมาก็มีเหตุผล ทว่าข้าก็ยังมิได้ยินถึงผลประโยชน์อันใดอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา


 


ดวงตาของเขากวาดไปยังทั้งสอง และเห็นแค่เพียงเย่หยิงเหมยที่กำลังพยายามควบคุมตนเองอยู่ ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยดูจะเดือดจะคุมไม่อยู่แล้ว


 


ฉะนั้นในตอนนี้ สมควรแล้วที่จะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์


 


กู่ฉิงซานบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันใด


 


ท่าทีการแสดงออกของเขาดูจริงจังมากขึ้น ปากเอ่ยเสียงทุ้มลึก “สหายเซ่า นี่เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง? ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยปีที่ผ่านพ้นมามากมาย เจ้าสมควรจะเข้าใจข้าดี แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อใจข้าในเรื่องนี้เล่า?”


 


เซ่าหวูชุ่ยเห็นเขาเอ่ยถามอย่างเป็นจริงเป็นจัง ความโกรธในจิตใจตนก็ถดถอยลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่สามารถทนต่อการกระทำของฉีหยานได้อยู่ดี


 


เขายืนขึ้นและอุทานออกมาว่า “งั้นเจ้าก็บอกข้ามาสิ ว่านอกเหนือไปจากการมอบทรัพยากรล้ำค่ามากมายให้กับนางแล้ว ตัวเจ้าเองจะได้รับอะไรกลับคืนมาจากนางบ้าง!?”


 


“ฉีหยาน! เจ้าไม่สามารถตามตื๊อสตรีแห่งรากษสได้อีกต่อไปแล้ว นางมิได้ต้องการคู่ร่วมฝึกยุทธ! เจ้าไม่สามารถปีนป่ายขึ้นมาร่วมเรียงเคียงคู่กับนางได้!”


 


เช่าหวูชุ่ยตะโกนเสียงดัง


 


ขณะที่เย่หยิงเหมยผงักหัวเล็กน้อย


 


โครม!


 


หัวใจของกู่ฉิงซานราวกับร่วงตกลงมาอย่างแรง


 


-ในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าความคิดของฉีหยานคืออะไร


 


ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดจิ้งจอกขาวจึงมองมาที่เขาด้วยสายตาที่แปลกออกไปเล็กน้อย


 


ที่แท้ฉีหยาน ซึ่งก็คือตัวกู่ฉิงซานในตอนนี้ ความจริงแล้วต้องการที่จะจับสตรีแห่งรากษสมาทำเมีย เอ๊ย! เป็นคู่ร่วมฝึกยุทธนี่เอง!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.441 – ปะทะ


 


หลังจากการเล่นลิ้น ยิงประโยคออกไปในเชิงคำถามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้รู้เสียทีว่าไอ้ความคิดของฉีหยานมันคืออะไร!


 


พริบตานั้นเอง ภายในจิตใจของกู่ฉิงซานก็บังเกิดภาพมากมายนับไม่ถ้วนไหลผ่านเข้ามา


 


เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้


 


ในช่วงเวลาที่ตนได้เดินทางกลับมายังนิกาย ภาพของเรือเหาะที่บรรทุกสินค้าอยู่เต็มลำก็ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขาอีกครั้ง


 


นั่นคือทรัพยากรของนิกายที่ใช้แลกเปลี่ยนกับเม็ดยารักษาของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า


 


แลกเปลี่ยนไปมากมายขนาดนั้นทั้งๆที่ในโลกใบนี้ไม่อาจผลิตทรัพยากรเพิ่มเติมได้อีกต่อไปแล้ว …


 


นอกจากนี้ กำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายกวงหยางก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่อีก ส่งผลให้ลั่วชาเฟิงดูแคลนนิกายกวงหยางอยู่ไม่น้อย


 


แถมในสถานการณ์เช่นนี้ ฉีหยานดันต้องการที่จะฝึกยุทธเคียงคู่ร่วมผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างสตรีแห่งรากษสเข้าไปอีก!


 


นี่มันไม่แตกต่างไปจากการเล่นกับไฟ


 


อย่างไรก็ตาม!


 


ฉีหยานแม้ว่าจะเป็นคนโหดเหี้ยม ไร้ความปราณี แต่เขามิใช่คนโง่


 


ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้เขาจะมีตัณหาที่มากล้น ทว่าจากข้อมูลในช่วงหลายปีที่กู่ฉิงซานได้รับมา ตนพบว่าตัวฉีหยานมิเคยทำผิดพลาดเลย


 


แม้กระทั่งกับเด็กสาวผู้งดงามอย่างจื่อหลิว เขาก็ยังระแวงและเลือกที่จะป้องกันตนเองโดยส่งเธอที่เชี่ยวชาญในด้านค่ายกลไปอยู่ที่อื่น


 


ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเขามิใช่แค่เป็นคนฉลาด แต่ยังเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย


 


แล้วในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงอันใหญ่หลวงเยี่ยงนี้ ตัวตนอย่างฉีหยานจะเลือกเข้าไปเสี่ยง และยั่วยุอิทธิพลจากภายนอกโดยไร้ซึ่งเหตุผลได้อย่างไรกัน?


 


เว้นเสียแต่ว่าเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย และจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ..


 


ในระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังขบคิด ช่วงเวลาก็ไหลผ่านเลยไปหลายลมหายใจ


 


สองปรมาจารย์ตำหนักเฝ้าดูฉีหยานอย่างเงียบๆ และเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังดื้อดึงและรั้นที่จะปฏิเสธคำแนะนำ


 


ความโกรธในจิตใจของพวกเขามิอาจระงับได้อีกต่อไป


 


เซ่าหวูชุ่ยทนไม่ไหวจนกำปั้นของเขาเกร็งแน่น


 


ขณะที่ท่าทีการแสดงออกของเย่หยิงเหมยค่อยๆเย็นชาลง


 


แต่ในตอนนั้นเอง กลับได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจของฉีหยานที่ดังขึ้น


 


เขาผุดลุกจากที่นั่ง สองมือไขว้หลัง และค่อยๆเริ่มเดินไปตามขอบเวทีทีละก้าว ทีละก้าวอย่างช้าๆ


 


“ศิษย์น้องหยิงเหมย , สหายเซ่า เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไม่?” เขาเอ่ยถาม


 


สองผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าชะงักงันไป


 


เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องของลั่วชาเฟิงอยู่แท้ๆ แล้วไฉนจู่ๆจึงกระโดดข้ามมาเรื่องของเจ้ากัน?


 


แต่พอถาม ทั้งสองก็มีคำตอบในใจผุดขึ้นมา


 


ก็โง่น่ะสิ-


 


อย่างไรก็ตาม พอได้ลองย้อนคิดดูอย่างถี่ถ้วน ทั้งสองก็ค่อยๆกลืนคำนั้นลงไปอย่างช้าๆ


 


“นั่นก็จริง ถึงแม้ว่าเจ้าจะเลือดเย็น ดื้อรั้น และหยิ่งยะโส แต่ทุกๆการกระทำของเจ้ามันใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลซะทีเดียว … ” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยพึมพำ


 


เย่หยิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะเผลอพยักหน้าตามออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


นับตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา แท้จริงแล้วมีอยู่นับครั้งได้จริงๆที่ฉีหยานทำเรื่องโง่เง่า


 


เขาเป็นคนฉลาดมาก มิฉะนั้นมีหรือที่เขาจะสามารถฝึกยุทธจนก้าวขึ้นมาถึงขีดสุดความว่างเปล่าได้


 


ก็แล้วถ้าอย่างนั้น แล้วเหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?


 


สองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า จมลงสู่ห้วงความคิดโดยพร้อมอย่างมิได้นัดหมาย


 


ความโกรธค่อยๆสลายไป ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามใหม่ขึ้นมาในจิตใจของพวกเขา


 


“ฉีหยาน เจ้าช่วยเปิดอกบอกมาได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงต้องไปตามตื๊อสตรีแห่งรากษส?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่ในสมองกำลังเร่งกรองข้อมูลทั้งหมดอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจาก


 


‘เจ้าสองปรมาจารย์นี่มอบของล้ำค่าให้เพื่อที่จะเอาใจ ‘กู่ฉิงซาน’ ซึ่งเป็นศิษย์ของตน’


 


และถึงแม้ว่าการลอบเอาใจในครั้งนี้จะซุกซ่อนมาในรูปแบบของการมอบของขวัญจากอาวุโส แต่มันก็ชัดเจนมากๆจนกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


อย่างไรก็ตามต่อจากนั้นเซ่าหวูชุ่ยก็ได้ให้ริเริ่มให้คำอธิบายแก่ฉีหยานด้วยตนเอง


 


ตัวตนอย่างผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าเนี่ยนะ จะหันหน้ามาอธิบายให้ศัตรูของตัวเองฟัง? นั่นมันจะมิเป็นการถูกแว้งกัดหรอกหรือ


 


นี่แสดงให้เห็นถึงเบาะแสบางอย่าง


 


‘เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยมีความคิดบางอย่างกับ ‘กู่ฉิงซาน’ ’


 


ความคิดบางอย่าง …


 


ไม่ได้แฮะ ข้อมูลน้อยเกินกว่าที่จะสรุปออกมาเป็นรูปธรรมโดยรวมได้


 


งั้นก็มาเริ่มคิดกันใหม่ตั้งแต่ต้นเลยก็แล้วกัน


 


‘ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อ ‘กู่ฉิงซาน’ มันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ?’


 


‘—ใช่สิ มันคือในตอนที่ข้าบอกว่าพิธีเคารพอาจารย์ยังไม่เสร็จสมบูรณ์’


 


‘กู่ฉิงซาน’ พึ่งถูกนำตัวมาวันแรก ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้ทำพิธีเคารพอาจารย์ กล่าวได้ว่ายังมิได้เป็นศิษย์กับอาจารย์กันอย่างเป็นทางการ


 


แต่ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวพิธีที่ว่านั่นก็คงจะเริ่มทำและเสร็จสมบูรณ์แล้วนี่นา


 


‘กู่ฉิงซาน’ ไม่นานเกินรอก็จะกลายเป็นศิษย์ฝึกหัดของฉีหยาน


 


‘แล้วคนอย่างฉีหยานก็ย่อมไม่ยินดีที่จะมอบศิษย์ฝึกหัดของตนที่นำพามาด้วยตัวเองให้แก่คนอื่นอย่างแน่นอน ตรรกกะนี้มันไม่สอดคล้องกันเลย’


 


ฉะนั้นแล้วสิ่งที่พอจะคิดได้ก็คือ-


 


มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น ที่เซ่าหวูชุ่ยจะสามารถได้รับ ‘กู่ฉิงซาน’ มาเป็นศิษย์ได้ นั่นก็คือ ..


 


‘ฉีหยานได้ตายลงไปแล้ว’


 


ใช่ ไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว นี่สมควรที่จะเป็นคำตอบเดียว


 


หวังหงษ์เต๋าก็ยังมิได้ปรากฏตัวขึ้น


 


นี่มันก็น่าจะชัดเจนแล้ว


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มเย็นเยียบ


 


จากการคาดเดาตามชุดเรื่องราวทั้งหมด คุณจะสามารถเห็นถึงเบาะแสก่อนหน้านี้ และที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ว่ามันสอดคล้องกัน


 


หนึ่งคือ สองปรมาจารย์ตำหนักหวาดกลัวสตรีแห่งรากษส


 


สอง พวกเขามิได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของผู้นำฉีรั่วหยาเลย ไม่เปล่งอะไรออกมาแม้ครึ่งคำจริงๆ


 


ขณะเดียวกันผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าก็ได้หายตัวไป มิได้เข้าร่วมการพิจารณาคดีและการหารือกันอย่างเป็นทางการ


 


แถมยังไม่มีใครรู้ว่าหวังหงษ์เต๋านั้นอยู่ที่ไหนอีก


 


นอกจากนี้ ข้อมูลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ศิลาวิญญาณที่เหล่าสาวกในนิกายสมควรจะได้รับถูกยืดเวลาออกไป


 


นี่คือสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดใช่หรือไม่?


 


กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงเรือบินที่เต็มไปด้วยสินค้าอีกครั้ง


 


แล้วความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน ทุกๆอย่างค่อยๆเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมา


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอีกครั้งและอีกครั้ง


 


เซ่าหวูชุ่ยเริ่มร้อนใจ เขาเอ่ยปากออกมาว่า “ฉีหยาน ปรมาจารย์ตำหนักเย่กำลังเอ่ยถามเจ้าอยู่นะ ไฉนจึงยังมิตอบเล่า?”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยสวนทันควัน “นั่นเป็นเพราะข้ากำลังขบคิดว่าบางทีท่านพ่ออาจจะไม่สามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ไปได้น่ะสิ”


 


พอได้ยินประโยคที่ราวกับอัสนีบาตฟาดใส่นี้ ร่างของสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าก็สั่นสะท้าน และเกือบที่จะเริ่มลงมือทันที


 


แต่สุดท้ายเซ่าหวูชุ่ยก็เอ่ยถามออกมาเสียก่อน “เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”


 


แม้ปากจะเอ่ยถาม ทว่าสายตากลับหุบต่ำลงเพื่อพยายามที่จะปิดซ่อนเจตนาฆ่าของตนเอาไว้


 


“ก็เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขากำลังได้รับบาดเจ็บอยู่น่ะสิ ซึ่งมันไม่ดีเลยที่จะต้องก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในช่วงเวลานี้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เย่หยิงเมยกับเซ่าหวูชุ่ยเหลือบมองกันวูบหนึ่ง


 


ดูเหมือนว่าฉีหยานจะยังไม่รู้ถึงความจริงในเรื่องนี้


 


พอคิดได้เช่นนั้น สองปรมาจารย์ตำหนักก็ค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


“ฉีหยาน เรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะนำมันมาเล่าให้ข้าฟัง” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว


 


ขณะที่เย่หยิงเหมยส่ายศีรษะของเธอ


 


“แต่แท้จริงแล้วนั่นมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ เพราะมันไม่สำคัญเท่าที่กับเรื่องที่พวกเราจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้หรอก” กู่ฉิงซานกล่าวประโยคที่แลดูสับสนออกมา


 


เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยพอได้ยิน ดวงตาของทั้งสองก็เบนเข้ามาสบกัน


 


“พวกเรา?”


 


เย่หยิงเหมยเอ่ยคำหนึ่ง


 


เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “สิ่งที่เจ้าพูดหมายความว่ากระไร? ฉีหยาน สมองของเจ้าใช่พิการไปแล้วหรือไม่ ถึงได้เอ่ยวาจาที่ยากจะเข้าใจเช่นนี้”


 


จู่ๆความโกรธของกู่ฉิงซานก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาก้าวฉับๆตรงไปยังเบื้องหน้าเซ่าหวูชุ่ย และใช้พัดของตนจี้เข้ากับหน้าอกของอีกฝ่าย


 


เขาคำรามลั่น “เซ่าหวูชุ่ย! พวกเรากำลังจะตายภายใต้เงื้อมมือของมารโลกาโดยไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะได้เกิดใหม่! แต่เจ้ากลับยังคงเสแสร้งยามที่อยู่ต่อหน้าข้า!”


 


ประโยคที่เปล่งออกมาเป็นฟืนเป็นไฟนี้ เสียดแทงลึกเข้าไปในจิตใจของเซ่าหวูชุ่ย


 


เขาอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน


 


“ข้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เจ้ากำลังจะสื่อ” เขาบ่นพึมพำ


 


ก็เขายังไม่แน่ใจจริงๆนี่นา ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันเกี่ยวกับเรื่องอะไร


 


อย่างไรก็ตาม ฉีหยานผู้นี้ จะไม่มีวันล้อเล่นเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตและความตายเป็นแน่


 


เย่หยิงเหมยเอ่ยเสียงหม่น “ฉีหยาน เจ้ากำลังหมายความว่าอย่างไร ช่วยพูดให้มันชัดเจนด้วย”


 


กู่ฉิงซานแสยะยิ้มหยัน “เจ้าคิดว่าพวกเราจะสามารถมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้นานเพียงใดกัน?”


 


“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกไป ชีวิตของพวกเรายังดีอยู่” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว


 


—ใช่แล้วล่ะ ของพวกเราน่ะยังดีอยู่ แต่เจ้ากำลังจะตายในไม่ช้า


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยประโยคหลังนี้ในจิตใจของเขา


 


อย่างไรก็ตาม ฉีหยานยังคงกล่าวต่อไปว่า “บิดาข้ากำลังจะตายลงในไม่ช้า ขณะที่นิกายกวงหยางหลงเหลือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งนั่นก็คืออาจารย์เจ้า หวังหงษ์เต๋า”


 


“แล้วหากเป็นเช่นนี้ นิกายกวงหยางจะสามารถต้านทานการโจมตีของลั่วชาเฟิงได้อย่างไร?”


 


สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยหม่อนทะมึนลง ปากเอ่ยกล่าว “ก็นั่นแหละคือเหตุผลที่เราหวังว่าเจ้าจะไม่ยั่วยุ-”


 


“ยั่วยุ? เจ้าบอกว่าข้ากำลังยั่วยุพวกเขาอย่างงั้นหรือ”


 


กู่ฉิงซานหัวเราะราวกับว่าเขาพึ่งได้ยินสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจยิ่ง


 


“นั่นเจ้าหัวเราะทำไม?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม


 


“สำหรับสามผู้ฝึยุทธลมปราณจิตแห่งลั่วชาเฟิง ตราบใดที่พวกเขาต้องการจะสังหารเราจริงๆ เจ้าคิดว่าต่อให้พวกเราไม่ยั่วยุแล้วจะสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือพวกเขาได้กระนั้นรึ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เซ่าหวูชุ่ยอ้าปาก แต่ก็มิอาจเถียงคำใดกลับไปได้


 


เย่หยิงเหมยจึงช่วยอธิบายแทนเขา “แต่อย่างน้อยพวกเราก็มีผู้อาวุโสหวังหงษ์เต๋าอยู่ ไม่จำเป็นต้องเกรง … ”


 


แต่แล้วเย่หยิงเหมยก็มิอาจกล่าวคำต่อไปได้อีก


 


นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าคำกล่าวของตนเองช่างอ่อนแอ ไร้น้ำหนักเหลือเกิน


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า แม้กระทั่งตัวท่านเองก็ยังต้องแขวนชีวิตเอาไว้กับยารักษาจากลั่วชาเฟิงทุกๆวันอยู่เลย


 


ทางลั่วชาเฟิงไม่ต้องทำสิ่งใดด้วยซ้ำ เพียงแค่หยุดการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษา และเฝ้ารออย่างเงียบๆให้ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายกวงหยางตายจากไปอย่างช้าๆก็เพียงพอแล้ว


 


ทั้งสองจมลงสู่ความเงียบ


 


ใช่ นั่นแหละคือสถานการณ์ที่แท้จริงล่ะ


 


นี่คือสถานการณ์ที่ทั้งสามปรมาจารย์ตำหนักจะต้องเผชิญ นอกเหนือไปจากการต่อสู้ภายในของนิกาย


 


กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังทั้งสอง ในหัวใจได้ทำการพิจารณาแล้วอย่างลับๆ


 


หากตนสามารถปั่นหัวทั้งสองจนเรื่องราวมันมาถึงจุดนี้ได้แล้วล่ะก็ การสนทนานับจากนี้ไป สองปรมาจารย์ตำหนักจักต้องรับฟังเขาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอย่างแน่นอน


 


ผ่านไปเป็นเวลานาน เซ่าหวูชุ่ยก็กล่าวออกมาว่า “นี่คือเหตุผลที่เจ้ายั่วยุสตรีแห่งรากษสในรุ่นนี้อย่างงั้นหรือ?”


 


เขายังรั้นใช้คำว่า ‘ยั่วยุ’  ราวกับว่าสิ่งที่ฉีหยานทำทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ใช่เพื่อนิกายอยู่ดี


 


สีหน้าของกู่ฉิงซานยังคงเงียบสงบ เขาเฝ้ามองเซ่าหวูชุ่ยอย่างใจเย็น


 


“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่รึไง?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยออกมาอย่างไม่สบายใจ


 


กู่ฉิงซานยิ้ม


 


“สหายเซ่า จงบอกความจริงแก่ข้ามาเถอะ ว่าทรัพยากรของนิกายที่ใช้แลกเปลี่ยนเม็ดยารักษากับลั่วชาเฟิงน่ะเหลืออยู่เท่าใด?”


 


“แน่นอน ว่ามันยังเหลืออยู่มากพ-” เซ่าหวูชุ่ยเปิดปากกล่าว


 


กู่ฉิงซานโบกมือขัดจังหวะเขา “หยุด! ยามนี้ไม่สมควรที่จะเปล่งวาจาหลอกลวงผู้อื่น นี่มันเกี่ยวของกับชีวิตและความตายของเจ้า ของข้า และข้าหวังว่าเจ้าจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วย”


 


“หากเจ้ามีความซื่อสัตย์ ข้าก็จะบอกเจ้าเกี่ยวกับหนทางที่จะรอดชีวิตไปได้อย่างแท้จริง”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักจ้องมองมาที่เขา


 


“หนทางรอดชีวิต?” เย่หยิงเหมยไตร่ตรอง “ฉีหยานนี่เจ้—”


 


กู่ฉิงซานโบกมือขัดเธอและกล่าว “ลั่วชาเฟิงมีตัวตนสุดแกร่งอย่างสามผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตอยู่ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะมาใส่ใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของเจ้าหรือข้าอย่างงั้นหรือ!?”


 


“ไม่ว่าจะเป็นการดำรงอยู่ของเจ้าหรือข้า มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นภัยต่อพวกเขา เจ้าลองคิดย้อนกลับกันดูซี่ ว่าหากเจ้าเป็นพวกเขา เจ้าจะปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรในการชุบเลี้ยงหรือไม่? หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร?”


 


กู่ฉิงซานหันไปยิ้มให้เย่หยิงเหมยและกล่าวออกมา “ศิษย์น้องหยิงเหมย ข้าเกรงว่าบางทีเมื่อถึงเวลานั้น สามปรมาจารย์ค่ายกลในนิกายคงจะมีชีวิตที่ดีกว่าเจ้าและข้าเสียแล้ว”


 


เย่หยิงเหมยอ้าเผยอปาก แต่แล้วก็ต้องหุบมันลง เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมา


 


ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่ฉีหยานกล่าวมานั้นเป็นความจริง


 


จุดจบของนิกายอื่นๆมากมายนับไม่ถ้วนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน


 


กู่ฉิงซานโน้มตัวมาข้างหน้า ถลีงตาไปทางเซ่าหวูชุ่ยและกล่าว “สหายเซ่า ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง บอกมา ว่าทรัพยากรในนิกายยังหลงเหลืออยู่มากเพียงใด”


 


เขาเอ่ยต่อ “จงบอกความจริงแก่ข้า! แล้วข้าจะบอกว่าหนทางเดียวที่เราจะรอดชีวิตต่อไปได้คืออะไร”


 


เซ่าหวู่ชุ่ยมองมายังกู่ฉิงซาน นิ่งงันไปครู่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากออกมา “ข้าจดจำได้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้เจ้ามิได้อยู่ในนิกาย”


 


“ใช่” กู่ฉิงซานตอบรับ


 


“แถมยังนำผู้คนติดตามไปด้วยอีกเป็นจำนวนมาก ทว่าพวกเขาเหล่านั้นก็มิได้กลับมา” เย่หยิงเหมยเอ่ยเสริม


 


“เช่นนั้นแล้วตัวเจ้าเล่า ไปที่ใดมา?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม


 


“สหายเซ่า เจ้าต้องกล่าวเรื่องของตัวเองออกมาเสียก่อนนะ แล้วข้าจึงจะบอกมัน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แล้วถ้าหากเจ้าโป้ปดข้าล่ะ?”


 


“ฝั่งเจ้ามีสอง แต่ข้ามีหนึ่ง นอกจากนี้แม้ขอบเขตวรยุทธจะเท่ากัน แต่ขั้นของข้าต่ำกว่า”


 


เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟังก็ก้มหน้าลง


 


บรรยากาศโดยรอบแข็งค้าง ราวกับห้วงเวลาหยุดลงชั่วขณะ


 


หลังจากนั้นไม่นานนัก


 


เซ่าหวูชุ่ยค่อยๆเปิดปากออกมาอย่างยากลำบาก เปล่งกระแสเสียงออกมาเพียงไม่กี่คำ


 


“ทรัพยากรน่ะ … มันหลงเหลืออยู่เพียงสามารถแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาได้อีกแค่ครั้งสุดท้ายเท่านั้น”


 


สีหน้าของเย่หยิงเหมยแปรเปลี่ยนไปทันใด


 


เธอเอ่ยเสียงแหบแห้ง “สหายเซ่า! เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น! ข้าจดจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เราคุยกัน เจ้าบอกว่ามันมากพอที่จะทำให้พวกเราอยู่รอดไปได้อีกหลายปีนี่!”


 


เซ่าหวูชุ่ยเอาแต่ก้มหน้า มิเอ่ยสิ่งใด


 


กู่ฉิงซานผ่อนลมหายใจออกมา


 


ดูเหมือนว่าสถานการณ์ภายในนิกายกวงหยางจะไม่สู้ดียิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขนี้ มันได้ส่งผลให้สถานการณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น


 


ตั้งแต่ที่เขาย่างกรายเข้ามาในโลกใบนี้ มีเพียงวินาทีนี้เท่านั้นที่กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงความมั่นใจในตนเอง


 


—ความมั่นใจที่จะสามารถเอาชีวิตรอดอยู่ต่อไป!


 


กู่ฉิงซานปากเอ่ยเสียงกระซิบ “สหายเซ่า คงมิแคล้วเป็นหวังหงษ์เต๋าสินะที่บอกให้เจ้าพูดแบบนี้เพื่อให้จิตใจของทุกผู้คนยังคงวางใจน่ะ ถูกต้องไหม?”


 


เซ่าหวูชุ่ยยังคงมิกล่าวสิ่งใด แต่กลับผงกหัวเพียงเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆจนเรียกได้ว่าหากไม่ตั้งใจมองก็จะไม่สังเกตเห็น


 


สีหน้าของเย่หยิงเหมยเริ่มซีดเผือด


 


เธอราวกลับตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงเปล่งเสียงเล็ดรอดออกมาจากฟันที่ขบแน่น “เขาหลอกลวงกระทั่งข้า … ”


 


“หวังหงษ์เต๋าได้แขวนชีวิตตนเองเอาไว้กับเม็ดยารักษา หากเขาต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป เขาจักต้องผลาญทรัพยากรของนิกายทั้งหมด จนกระทั่งไม่เหลือสิ่งใดเลย”


 


เขาถอนหายใจ “และในหัวใจเจ้า ย่อมตระหนักชัดดี ว่าไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน”


 


แล้วพวกเขาก็เงียบไป


 


นี่มันเป็นสัญชาติญาณทั่วไปของมนุษย์ ที่ในยามวิกฤตยังมาไม่ถึง พวกเขาก็มักจะจินตนาการไปเองว่าทุกสิ่งน่ะมันเป็นเพียงเรื่องโกหก


 


กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูทั้งสอง ขณะที่ในสมองเริ่มเค้นความคิดอีกครั้ง


 


บางที .. แค่บางทีนะ มันอาจจะไม่ใช่เพียงแค่จินตนาการก็ได้


 


บางทีหวังหงษ์เต๋าคงจะใช้วิธีการบางอย่าง เพื่อทำให้พวกเขาหวาดกลัว และมิกล้าคิดจะต่อต้านเสียมากกว่า


 


หากเป็นในกรณีนั้น นับจากนี้ไปหากพวกเขายังคงมิคิดทำอะไรซักอย่าง ทุกอย่างคงมิแคล้วมาถึงจุดจบ


 


สถานการณ์ได้มาถึงจุดที่ต้องเห็นถึงความจริงแล้ว


 


ขณะที่กู่ฉิงซานมั่นใจแน่ๆแล้ว ในตอนนั้นเอง เซ่าหวูชุ่ยก็เงยหน้าขึ้นอย่างแรง จ้องมองเขาและเอ่ยปากออกมา “ข้าได้กล่าวออกมาอย่างสัตย์ซื่อแล้ว”


 


“ข้ารู้” กู่ฉิงซานรับคำ


 


“ในความเป็นจริงแล้วตัวข้าเองก็ค่อนข้างจะสิ้นหวัง ดังนั้นข้าจึงยอมรับความเสี่ยงเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้เจ้าทราบ -หากท่านอาจารย์ได้ตระหนักว่าข้าเปิดเผยความลับนี้แล้วล่ะก็ เขาจะต้องไม่ปล่อยข้าเอาไว้อย่างแน่นอน” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว


 


“มันสมควรเป็นเช่นนั้น” กู่ฉิงซานกล่าวเห็นด้วย


 


“ฉะนั้น ปรมาจารย์ตำหนักฉี ถึงคราเจ้าแล้วที่จะต้องแสดงความจริงใจต่อเรา” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว


 


กู่ฉิงซานมองไปยังเซ่าหวูชุ่ย


 


ขณะเดียวกันเซ่าหวูชุ่ยก็มองมาที่เขาเช่นกัน


 


ในแววตาที่จ้องเขม็งของเซ่าหวูชุ่ยมันสาดประกายไปด้วยความหวัง ทั้งคนทั้งร่างเริ่มหนักอึ้งและตึงเครียด


 


ตนเองได้ปล่อยให้คนอย่างฉีหยานล่วงรู้ถึงเรื่องราวภายในของนิกาย ท่านอาจารย์ย่อมไม่มีทางที่จะไม่ปล่อยตนไปแน่


 


และหากในเวลานี้ฉีหยานยังคงคิดละเล่นปาหี่กับตนเองอีกเหมือนดั่งคราวก่อนๆ เซ่าหวูชุ่ยสาบานเลยว่าเขาจะทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีสังหารฉีหยานลงตรงนี้ ณ จุดนี้เลยทันที


 


“จริงๆแล้วข้ารู้หนทาง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ขณะที่คำพูดอยู่ในปาก สายตาของเขาก็เบนออกไปมองรอบๆสถานที่


 


เซ่าหวูชุ่ยเห็นเช่นนั้นจึงฝืนยิ้มออกมาและกล่าวว่า “จงวางใจ เวลานี้ค่ายกลทั้งหมดกำลังเปิดอยู่”


 


ประโยคข้างบนนี้มีบ่งบอกถึงความนัยที่แฝงเอาไว้ ว่าบางครั้งค่ายกลในที่นี่ก็มิได้ถูกเปิดขึ้นทั้งหมดอย่างสมบูรณ์อย่างที่ทุกๆคนเข้าใจกัน


 


ความขาดแคลนของนิกาย … เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างน่าตกตะลึง!


 


กู่ฉิงซานเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าทั้งสอง ปากเอ่ยกล่าวเสียงกระซิบที่แสนจะแผ่วเบาราวกับยุงบินเพียงไม่กี่คำ


 


“อันที่จริง … ข้าได้ค้นพบโลกใบใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.442 – โอกาสสุดท้ายที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้


 


โลกใบใหม่-


 


ฉีหยานได้ค้นพบถึงโลกใบใหม่แล้ว?


 


เซ่าหวูชุ่ยผุดลุกขึ้นทันใด ปากเอ่ยตะโกนลั่น “นี่มันเป็นไปไม่ได้! ในช่วงหลายปีนับไม่ถ้วนที่ผ่านพ้นมา โลกทั้งหมดที่สามารถค้นหาได้ถูกค้นพบไปจนหมดสิ้นแล้ว”


 


“แล้วถ้าหากมันเป็นเรื่องจริงเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เย่หยิงเหมยเอ่ยเสียงทะมึน “ทางลั่วชาเฟิงได้ส่งสามผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตเข้าไปในกระแสมิติอันเชี่ยวกราดยาวนานกว่า 100 ปี แต่ก็หาได้ค้นพบโลกใบใหม่ไม่”


 


“แล้วหากสิ่งที่ข้ากล่าวเป็นเรื่องจริงเล่า?” กู่ฉิงซานยังคงย้ำคำเดิมอย่างหนักแน่น


 


สองปรมาจารย์ตำหนักจ้องค้างมาที่เขา


 


กู่ฉิงซานมองไปทางเย่หยิงเหมย สลับกับไปมองเซ่าหวูชุ่ย ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


 


สองปรมาจารย์ตำหนักกำลังสับสนอย่างเห็นได้ชัด


 


ท่าทีการแสดงออกของฉีหยานช่างดูสงบและผ่อนคลายไม่เหมือนกับคนที่กำลังโกหกอยู่เลย นี่หรือว่าเขาจะได้ค้นพบโลกใบใหม่แล้วจริงๆ?


 


หากเป็นเรื่องจริง ทุกสิ่งอย่างในตอนนี้มันก็จะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


 


เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยถามเย่หยิงเหมย “เจ้าคิดว่ายังไง?”


 


เย่หยิงเหมยส่ายหัวของเธอและกล่าวอย่างช้าๆ “ปรมาจารย์ตำหนักฉี แม้ว่าจะมีโลกใบใหม่อยู่จริงๆ แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องเปิดเผยมันแก่เราด้วย?”


 


เธอเอ่ยต่อ “เนิ่นนานมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้ามันก็ไม่ได้ดีเด่สักเท่าไหร่ ยังห่างไกลเกินกว่าจะเรียกว่าสนิทสนม ข้าทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆว่าเจ้าจะเต็มใจเปิดเผยเรื่องอันสำคัญยิ่งนี้แก่พวกเรา”


 


“ใช่! นั่นแหละคือสิ่งที่สมควรจะเป็น!” เสียงของเซ่าหวูชุ่ยดังแทรกขึ้นมา


 


กู่ฉิงซานกล่าวอธิบายอย่างเฉยเมย “หากเจ้าคิดแบบนั้น ในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ผิดซะทีเดียว”


 


“ ‘ไม่ผิด’ อย่างงั้นหรือ?” เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะย้อนถาม


 


“ในยามที่ข้าได้ค้นพบโลกใบใหม่เป็นครั้งแรก ข้าก็ไม่ต้องการที่จะบอกพวกเจ้าจริงๆ”


 


แม้ทั้งสองคนเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าที่มีชีวิตอยู่มาเป็นพันๆปี , มีพื้นฐานวรยุทธที่เหนือกว่าตน นอกจากนี้ยังเป็นผู้รับหน้าที่บริหารจัดการกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกนิกายตลอดมานับพันปี แต่อย่างไรเสีย … พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง


 


ฉะนั้นแล้ว ถ้าหากคุณต้องการที่จะให้ทั้งสองคนเชื่อใจ คุณจะต้องทุ่มออกด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี


 


กู่ฉิงซานเมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ได้ยกมือขึ้น


 


เขาคว้าจับขอบหมวกไม้ไผ่ที่บดบังใบหน้า และค่อยๆเสยมันขึ้นช้าๆ


 


แล้วใบหน้าของเขาก็ได้รับการเปิดเผยสู่สายตาของทั้งสองปรมาจารย์ตำหนักโดยสมบูรณ์


 


เห็นแค่เพียงรอยบาดลึกของคมดาบมากมายวิ่งผ่านไปตามแก้มของเขา และลากยาวลงมาจนถึงคาง


 


และเมื่อถึงตำแหน่งนี้ แผลคมดาบก็ได้ถูกเบี่ยงเป็นเส้นโค้งออกไปเล็กน้อย


 


ร่องรอยบาดแผลจากดาบ วิ่งไปรวมกันตรงช่วงคอของเขา แล้วจึงเริ่มเบี่ยงทิศทางออกไป


 


ดูเหมือนว่า ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉีหยานจะสามารถหลบเลี่ยงคมดาบนี้ได้อย่างทันท่วงที


 


มิฉะนั้นแล้ว หากอ้างอิงจากรอยคมดาบนี้ มันคงจะสะบั้นตัดศีรษะเขาจนแยกจากลำตัวไปแล้วโดยตรง


 


หรืออีกความหมายนึงก็คือ ฉีหยานเกือบจะโดนสังหารนั่นเอง


 


สองปรมาจารย์ตำหนักพอได้เห็นก็ตกใจ


 


หมวกไม้ไผ่ยังมิได้ถูกถอดออกโดยสมบูรณ์ มันจึงกดกลิ่นอายของฉีหยานเอาไว้ต่ำมากๆ ดังนั้นสองปรมาจารย์ตำหนักจึงสามารถมองเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาได้ ทว่ากลับไม่สามารถตรวจสอบพื้นฐานวรยุทธของเขาได้อย่างชัดเจน


 


ดูจากลักษณะนี้ แท้จริงแล้วบอกได้เลยว่าฉีหยานน่ะเกือบถูกฆ่าตาย


 


แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ฉีหยานก็ถูกทำลายใบหน้าจนเสียโฉม


 


-ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเลือกที่จะสวมใส่หมวกไม้ไผ่ และปฏิเสธที่จะแสดงใบหน้าที่แท้จริงของตนเองออกมา!


 


เย่หยิงเหมยพยักหน้าแสดงท่าทีว่าตนนั้นเข้าใจ


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยอย่างงงงวย “ … เจ้าเป็นถึงขีดสุดความว่างเปล่าเชียวนะ ต่อให้จะเป็นเพียงขั้นแรกก็ตามทีเถอะ แต่มันก็ยังแข็งแกร่งมากอยู่ดี แล้วอะไรกันที่จะสามารถ … ”


 


เย่หยิงเหมยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกขึ้นมา “ผู้ใดกันที่กล้ากระทำกับเจ้าเช่นนี้? ในช่วงเวลาที่แม้กระทั่งลั่วชาเฟิงก็ยังมีสัมพันธ์อันดีกับเจ้า”


 


ตรงข้ามกับพวกเขา เห็นแค่เพียงการแสดงออกของฉีหยานที่เผยถึงความชิงชังและกระหายเลือดออกมา


 


ฉีหยานลดหมวกไม้ไผ่มาปิดลงอีกครา เพื่อปิดบังแผลลึกอันน่าตกใจบนใบหน้าอีกครั้ง


 


“เห็นถึงเพียงนี้แล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่กระจ่างใจอีกหรือ?” เขาเอ่ยถาม


 


สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าพร้อมกัน


 


“เมื่อครู่ การกระทำของข้าก็ได้ตอบคำถามนั้นของพวกเจ้าไปแล้วอย่างไรเล่า” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว


 


เขายืนนิ่งงันอยู่ที่นั่น มิคิดเอ่ยอธิบายสิ่งใดอีกต่อไป


 


สองประมาจารย์ตำหนักอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดตริตรอง


 


ปรากฏตัวแต่ละครา ฉีหยานมันจะลงมือหนักข้อเสมอ


 


อย่างในตอนนี้ที่เขากำลังตามตื๊อสตรีแห่งรากษส


 


แต่กลับมีคนมาทำให้ใบหน้าของเขาเสียโฉม


 


ซึ่งดูก็รู้ว่าฉีหยานมิได้ต้องการให้มันเกิดขึ้น


 


เพียงเท่านี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงปัญหาแล้ว


 


“ฉะนั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นหนามแหลมจากโลกใหม่ที่ทิ่มแทงเข้าหาเจ้าใช่หรือไม่?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ


 


แม้ปากจะไม่เอ่ยตอบ แต่กลับเห็นแค่เพียงเจตนาฆ่าบนร่างกายของฉีหยานที่ทะยานสูงขึ้นทันใด


 


เขาอดไม่ได้ที่ที่จะจิกนิ้วทั้งห้าลงบนฝ่ามือ เกร็งมันแน่นจนเป็นกำปั้น


 


เย่หยิงเมยเฝ้ามองในทุกๆอากัปกริยาและการเคลื่อนไหวของเขาที่แสดงออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ปากเอ่ยพึมพำ “ไม่น่าแปลกใจเลย … ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมข้าถึงไม่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า หากอิงตามบาดแผลบนตัวเจ้า ก็พอจะบอกได้แล้วว่าคนของตำหนักซานเหว่ย คงไม่สามารถกลับมายังโลกใบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว”


 


เซ่าหวูชุ่ยกล่าวออกมา “ไม่เพียงลงมือกระทำการอย่างผลีผลาม แต่ยังพาสาวกไปเป็นศพในโลกใหม่เช่นนี้ ฉีหยานเอ๋ย เจ้านี่มันช่างเลินเล่อเสียจริง”


 


ถึงแม้ว่าคำกล่าวที่เปล่งออกมาจะฟังดูผ่อนคลาย ทว่าในดวงตาของพวกเขากลับสาดประกายสดใสอย่างมิอาจปกปิดได้


 


คิ้วที่ยับย่นของพวกเขาค่อยๆคลายลง วิสัยทัศน์แลดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย


 


โลกใบใหม่


 


นี่มันเปรียบเสมือนดั่งความมั่งคั่ง และทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์


 


ด้วยคำนี้ ทำให้พวกเขาได้นึกถึงวันคืนเก่าๆที่ผ่านพ้นมา


 


แม้ว่ายังมิอาจล้วงลึกได้ถึงขั้นสุดท้ายของความจริง ทว่าเมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางโลกอันสิ้นหวังนี้ พวกเขาก็ยังยินดีที่จะแช่ตัวเองให้ดื่มด่ำไปกับอดีตที่ผ่านพ้นมา


 


“อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งเท่าใดกัน?” เซ่าหวูซุ่ยเอ่ยสอบสวน


 


“มีอยู่คนหนึ่งที่ข้ามิอาจรับมือได้ มันคือผู้ฝึกดาบขีดสุดความว่างเปล่าขั้นกลาง”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักพอได้ฟัง ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นทันที


 


ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกดาบที่กล่าวได้ว่าไร้คู่ต่อกรในด้านการสังหาร แต่ด้วยขอบเขตของอีกฝ่ายต่ำกว่าพวกตนเล็กน้อย แถมยังมีตัวคนเดียวด้วยแล้ว ….


 


ต่อให้ฉีหยานมิอาจเอาชนะเพียงลำพังได้ ทว่าหากทั้งสามร่วมมือกัน ตีวงปิดล้อมแล้วล่ะก็ ย่อมที่จะสามารถกำจัดผู้ฝึกดาบคนนี้ได้อย่างแน่นอน


 


“หากมันเป็นเรื่องจริง ข้าก็ไม่มีปัญหาใดๆ และยินดีที่จะติดตามไปกับเจ้า” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวทันที


 


“ข้าก็เช่นกัน” เย่หยิงเหมยกล่าว


 


กู่ฉิงซานยื่นนิ้วชี้ของเขาออกไปแล้วส่ายมันไปมา ด้านหน้าทั้งสอง


 


“ทว่ายังมีเรื่องสำคัญที่จักต้องจัดการก่อนเป็นอันดับแรก” เขากล่าว


 


“เรื่องอันใด?”


 


“พวกเจ้าจะต้องร่วมมือกับข้าก่อน ในการลงมือสังหารหวังหงษ์เต๋า”


 


กู่ฉิงซานไม่รีรอให้ทั้งสองตอบสนองกลับมา เขาเร่งกล่าวต่อว่า “อีกไม่นานบิดาข้าคงจะล้มเหลวในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ และคนแรกที่หวังหงษ์เต๋าจะสังหารคงมิแคล้วต้องเป็นข้า ดังนั้น เขาจึงจำเป็นที่จะต้องตายเสียก่อน”


 


สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยเปรเปลี่ยนกลับกลาย เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “อ้ายสารเลว! นี่เจ้าต้องการจะให้ข้าทรยศต่อท่านอาจารย์อย่างงั้นหรอ!”


 


“สหายเซ่า เจ้าหุบปากซะ!” กู่ฉิงซานตะโกนด้วยความโกรธ


 


“สิ่งที่หวังหงษ์เต๋ามอบให้แด่เจ้ามันมีอะไรบ้างในช่วงหลายปีมานี้? เจ้าได้อำนาจแท้จริงมาในมือหรือไม่ เขาได้ให้อะไรดีๆแก่เจ้าบ้าง? กล่าวได้ว่าแม้ตัวเจ้าจะเป็นถึงปรมาจารย์ของตำหนักเจียงซี แต่แท้จริงแล้วการจะเบิกใช้ทรัพยากรใดๆของตำหนักเจียงซี ทั้งหมดจำต้องได้รับความเห็นชอบจากเขาเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆก็ตาม  ”


 


เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาก็ชักกระตุกไม่หยุด ราวกับว่ามันกำลังจะปริแตกออกในวินาทีถัดไป


 


กู่ฉิงซานเดินเข้ามา และวางสองมือลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ปากเอ่ยกล่าวด้วยความจริงใจ “สหายเซ่า โลกกำลังจะมาถึงจุดจบ แต่พวกเราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป! เจ้าไม่สามารถใส่ใจกับคนอื่นๆได้อีกต่อไปแล้ว เจ้าสมควรที่จะพิจารณาถึงชีวิตและความตายของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก!”


 


สองหูของเซ่าหวูชุ่ยยังคงรับฟัง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไปทั้งๆอย่างนั้น


 


“อย่าพลิกลิ้นให้มากความดีกว่าฉีหยาน รู้หรือไม่ว่าในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถใช้กำลังบีบบังคับเจ้า ให้ยอมคายพิกัดของโลกแห่งนั้นออกมาเลยก็ได้ มิรู้หรือ?” เย่หยิงเหมยกล่าวขึ้นทันใด


 


เธอผุดลุกขึ้น พร้อมด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็นปะทุออกมา


 


เซ่าหวูชุ่ยได้สติกลับคืน


 


“ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าไม่คิดเลยหรือว่าตัวข้าเองก็ได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้แล้วเหมือนกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างนุ่มนวล


 


เขายกสองมือขึ้น ปากเอ่ยคำมั่นสาบานออกมาว่า “แท้จริงแล้วตัวข้าเองก็ไม่ทราบถึงพิกัดของโลกใหม่เช่นกัน และหากมีอะไรผิดพลั้งหรือมดเท็จไปจากคำกล่าวนี้ ขอให้ข้าถูกสังหารลงโดยทัณฑ์สายฟ้า จิตวิญญาณหลีกลี้ ดวงวิญญาณสลายหายไป”


 


บังเกิดลมที่มองไม่เห็นหมุนรอบตัวเขาอย่างอ้อยอิ่งเป็นเวลานาน


 


แล้วสักพักก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง


 


สวรรค์และโลกเป็นพยานและรับรู้ถึงคำมั่นสาบานแล้ว


 


“เจ้าเองก็ไม่ทราบถึงพิกัดของมันจริงๆหรือนี่?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างไม่รู้ว่าสมควรจะตอบสนองเช่นไรดี


 


ขณะที่เย่หยิงเหมยหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ และลดศีรษะลงด้วยความเศร้าหมอง


 


“มันมีโลกใบใหม่อยู่จริงๆ เพียงแต่ข้าไม่อาจทราบถึงตำแหน่งที่ตั้งของมันด้วยตนเองก็เท่านั้น”


 


กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ


 


“ยังไงก็ตาม ตราบใดที่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้นกับข้า พิกัดของโลกใหม่ก็จะถูกทำลายลงทันที”


 


“เมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะต้องตายด้วยกันทั้งหมด ขณะที่หวังหงษ์เต๋าก็เอาแต่พึ่งพาทรัพยากรของนิกายเพื่อยืดชีวิตตัวเองออกไปอีกไม่กี่วัน”


 


“หากพวกเจ้าต้องการผลลัพธ์เช่นนี้ ก็ลงมือกับข้าได้เลย”


 


เจตนาฆ่าของเย่หยิงเหมยถูกเก็บกลับคืน มันสลายไปไม่หลงเหลือ


 


เธอเงยหน้าขึ้นและจับจ้องมายังกู่ฉิงซาน


 


“ฉีหยาน เจ้ามันเขี้ยวลากดิน เล่ห์เหลี่ยมช่างแพรวพราวเกินไปเสียจริง” เธอถอนหายใจออกมา


 


ขณะที่กู่ฉิงซานได้เผยถึงโฉมหน้าที่ดูจริงใจออกมาอีกครั้ง


 


“ศิษย์น้องหยิงเหมย ข้าจะขอกล่าวอย่างเปิดอกคุยกัน หวังว่าศิษย์น้องจะไม่ตำหนิข้านะ”


 


“เชิญชี้แนะ”


 


“ข้าจดจำได้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจ้ากำลังจะได้แต่งงานกับสาวกที่แท้จริงจากนิกายใหญ่คนหนึ่ง ทว่าในนาทีสุดท้าย หวังหงษ์เต๋ากลับกระโจนออกมา และตัดสินใจที่จะหยุดการแต่งงานของเจ้า”


 


“ซึ่งข้ามิได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่ากลับรู้ถึงเรื่องที่ว่า ภายหลังจากนั้น สาวกที่แท้จริงคนที่ว่ากลับหายตัวไปอย่างไร้เหตุผล”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว ขณะเดียวกันก็จ้องมองท่าทีการแสดงออกของเย่หยิงเหมย


 


เห็นแค่เพียงวิสัยทัศน์ของเย่หยิงเหมยที่เบนออกอากาศที่ว่างเปล่าตรงจุดไหนสักแห่ง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไม่ไหวติง


 


เธอจิกริมฝีปากแน่น ราวกับว่ากำลังลิ้มรสถึงความขมขื่นบางอย่าง


 


กู่ฉิงซานกระซิบอย่างแผ่วเบา “ด้วยวันเวลาที่ล่วงเลยผ่านมา อย่าบอกนะว่าเจ้ามิได้เกลียดเขา?”


 


เย่หยิงเหมยหันหน้าหนีไปอีกฝั่งทันที


 


เธอยกมือขึ้นมาแตะตรงหน้าอกเบาๆ ขณะที่สังเกตได้อย่างชัดเจนว่ามันกระเพื่อมแรงยิ่งขึ้น แต่ก็มิได้เอ่ยคำใดตอบกลับมา


 


เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเสียงทะมึน “ฉีหยาน เจ้านี่มันช่างเป็นมนุษย์จอมเจ้าเล่ห์! แต่ละวาจาที่พ่นออกมาดั่งพิษร้าย! ข้าจะไม่เชื่อคำเจ้าแล้ว ข้าไม่เชื่อว่ามันจะมีโลกใหม่อยู่จริงๆ!”


 


“สหายเซ่า เจ้าไม่ต้องมาทดสอบข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญมากที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของพวกเราโดยตรง”


 


“ดังนั้น เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ข้าก็จะขอพิสูจน์มันให้พวกเจ้ากระจ่างใจในตอนนี้เลยทันที” กู่ฉิงซานกล่าว


 


สองปรมาจารย์ตำหนักต่างหันมามองเขาเป็นสายตาเดียวโดยมิได้นัดหมาย


 


ในแววตาของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความหวัง ที่ราวกับคนใกล้จะจมน้ำตาย ไม่ว่าจะพบสิ่งใดก็ขอคว้าจับเอาไว้ก่อนอย่างเต็มกำลัง


 


กู่ฉิงซานที่เห็นถึงสีหน้าการแสดงออกของอีกฝ่าย ก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง สักพักก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในจิตใจ


 


“รอประเดี๋ยว”


 


กู่ฉิงซานกล่าว และเดินออกไปจากแท่นเวทีนอกพิสัยค่ายกล หันไปกล่าวกับฉินรั่ว “จงไปตามหวูซานมา”


 


“เจ้าค่ะ” ฉินรั่วขานรับคำหนึ่งและถอยจากไป


 


หลังจากนั้นไม่นาน หวูซานก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าสามปรมาจารย์ตำหนัก


 


เขาคุกเข่าลงก่อนเลยเป็นอันดับแรก และโขกศีรษะขึ้นลงไปทางกู่ฉิงซาน


 


“นายน้อย ท่านเรียกหาข้า มีอะไรให้รับใช้หรือ?”


 


บนใบหน้าของหวูซานเต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มประจบประแจง ทว่าขณะเดียวกันมันก็แสดงให้เห็นถึงความสงสัยอย่างมิอาจระงับได้


 


เพราะทั้งสามปรมาจารย์ตำหนักต่างพากันจ้องมองเขาอยู่เฉยๆ มิได้ขยับกายใดๆเลย


 


และหวูซานเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน


 


กู่ฉิงซานส่งสัญญาณไปทางสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า


 


“เจ้าอาจจะไม่เชื่อคำข้า แต่เจ้าสมควรจะรู้ว่าจิตเทวะของมนุษย์จะไม่สามารถบิดเบือนได้ มิฉะนั้นแล้วห้วงสติอารมณ์ และสภาวะจิตใจของคนผู้นั้นจะเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าพร้อมกัน


 


หากจิตเทวะของมนุษย์มีปัญหา มันจักต้องไม่สามารถปิดซ่อนความจริงที่ว่านั่นจากสายตาของพวกเขาได้


 


ดวงตาของหวูซานยังคงกระจ่างชัด บ่งบอกว่าจิตเทวะของเขายังมั่นคง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธที่ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ


 


กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว “นี่คือผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของข้า มันได้ติดตามรับใช้ข้ามานาน และข้าก็ได้บอกความลับหลายสิ่งแก่มันตั้งมากมาย ดังนั้นพวกเจ้าสามารถตรวจสอบจากเขาได้ เกี่ยวกับความทรงจำของโลกใหม่ที่ข้าว่า”


 


“จงตรวจค้นความทรงจำจากจิตเทวะของเขาซะ – เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบิดเบือนได้ แล้วพวกเจ้าก็จะได้รู้เสียที ว่าเรื่องที่ข้ากล่าวมันเป็นเพียงเรื่องโป้ปดหรือไม่”


 


“โปรดดูมันด้วยตาของตัวเอง”


 


เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยหันมาสบตากันและกัน และทั้งสองก็เริ่มสั่นไหวเล็กน้อย


 


“ขอให้ข้าได้ตรวจสอบก่อนก็แล้วกัน”


 


เซ่าหวูชุ่ยมิอาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป เขาชิงกล่าวก่อนเป็นคนแรก


 


“แน่นอน ตามที่เจ้าต้องการ” เย่หยิงเหมยไม่ปฏิเสธ


 


ร่างของเซ่าหวูชุ่ยวูบไหว หายไปจากตำแหน่งเดิม


 


ยังไม่ทันจะได้เห็นถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ร่างของหวูซานก็นิ่งค้างไปทั้งๆอย่างนั้นแล้ว


 


เพราะเซ่าหวูชุ่ยได้กางนิ้วทั้งห้าออก และกดมันลงเหนือหัวของหวูซานเป็นที่เรียบร้อย


 


วิธีที่ง่ายและดีที่สุดในการค้นความทรงจำของบุคคลก็คือการใช้วิชาค้นวิญญาณ


 


เซ่าหวูชุ่ยหลับตาลง ทั้งคนทั้งร่างดูเหมือนจะหายลึกเข้าไปในห้วงความคิด


 


ช่วงเวลาหนึ่ง ตลอดทั้งแท่นเวทีก็เงียบสงบลง


 


เย่หยิงเหมยที่มักจะใจเย็นเสมอมา ขณะนี้กลับอดรนทนไม่ไหว


 


เธอเอ่ยถาม “สหายเซ่า สรุปว่ารู้หรือยัง ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?”


 


เธอมองไปที่เซ่าหวูชุ่ย สลับกับไปมองกู่ฉิงซาน


 


เซ่าหวูชุ่ยมิเอ่ยคำใด แต่ยังคงค้นความทรงจำของหวูซานต่อไป


 


ขณะที่กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง


 


—เขาสงบก็เพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่ตนคาดหวัง!


 


ก่อนหน้านี้ในโลกเทวะ ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ทำการค้นวิญญาณจากจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธนิกายกวงหยาง จนได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของหวูซาน


 


และตั้งแต่นั้นมา ระบบก็ได้ปล่อยภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ ออกมา


 


หวูซานเป็นพยานเพียงคนเดียว ที่รู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ


 


อย่างไรก็ตาม ที่หวูซานรู้นอกเหนือจากนั้นมีเพียงแค่ว่าฉีหยานนำกำลังคนบุกไปยังโลกเทวะเป็นจำนวนเท่าใดก็แค่นั้น


 


หวูซานมิได้ไปยังโลกเทวะ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาและแม้กระทั่งตัวฉีหยานเองได้พบเจอกับสิ่งใด


 


เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในโลกเทวะน่ะหลงเหลือเพียงจิตอาร์ติแฟคเท่านั้น , ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอบเขตสูงสุดของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธน่ะอยู่เพียงแค่ประทับเทพ


 


—แม้กระทั่งเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้น ยามเมื่อฉีหยานได้เข้าไปสู่ในโลกเทวะครั้งล่าสุด หรือการที่นางเซียนไป่ฮั่วสามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะได้นั้นก็ไม่ล่วงรู้


 


กู่ฉิงซานได้บอกสองปรมาจารย์ตำหนักว่าตัวเองเพียงคนเดียวมิอาจต่อการกับโลกใหม่ได้ และจำต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา


 


ขณะที่ในความทรงจำของหวูซาน มันก็รับรู้เพียงแค่เรื่องราวที่เหมาะเจาะกับคำโกหกนี้พอดิบพอดี!


 


และนั่นแหละคือจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดล่ะ!


 


หวูซานผู้นี้สามารถใช้เป็นตัวพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของโลกใหม่ได้ แต่แท้จริงแล้วเขากลับไม่รู้เลยว่าคนในโลกใหม่นั้นแข็งแกร่งหรือว่าอ่อนแอ


 


เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ


 


ในช่วงเวลาหนึ่ง จู่ๆสีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยก็ผ่อนคลายลงทันใด


 


พร้อมทั้งปรากฏรอยยิ้มที่มิอาจควบคุมได้ค่อยๆแพร่กระจายไปทั่วใบหน้าของเขา


 


เซ่าหวูชุ่ยลืมตาขึ้น ตลอดทั้งใบหน้าฟุ้งไปด้วยความบ้าคลั่ง “เป็นเรื่องจริง! เขามิได้โกหก! และยิ่งไม่กว่านั้น-”


 


เขายังไม่ทันได้เอ่ยจบ ก็เห็นแค่เพียงมือของเย่หยิงเหมยที่ฉกออกไป ปัดมือของเขาออก และใช้มือตนเองวางลงเหนือหัวของหวูซาน


 


เป็นเวลานาน ก่อนที่จะได้ยินเสียงอันนุ่มนวลของเธอพึมพำออกมา “สองโลก … โลกใหม่ที่มิใช่เพียงหนึ่ง แต่มีถึงสอง … ”


 


ทั้งคนทั้งร่างของเธอราวกับได้รับชีวิตใหม่


 


กู่ฉิงซานที่กำลังเฝ้ามองอยู่ได้เอ่ยออกมาทันใด “ศิษย์น้องหยิงเหมย , สหายเซ่า ตอนนี้พวกเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”


 


เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยพยักหน้าพร้อมกัน


 


การดำรงอยู่ของโลกใบใหม่นี้ ชัดเจนแล้วว่ามีอยู่จริง


 


พอทั้งสองได้พิสูจน์จนเสร็จสิ้นลงแล้ว กู่ฉิงซานก็เดินเข้ามา และวูบ! จ้วงมือเข้าตะครุบหวูซาน


 


“คนของข้าได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ที่นี้ก็ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนเสียที”


 


ว่าจบ เขาก็ค่อยๆบิดมือตนเองอย่างอ่อนโยน


 


กร๊อบ!


 


ลำคอของหวูซานโค้งงอจนผิดรูป


 


และกู่ฉิงซานก็ชักมือออกพลางสะบัดออกไป


 


ร่างของหวูซานถูกโยนลงจากแท่นเวทีสูง กลิ้งไถลลงไปบนพื้น ไร้ซึ่งการดำรงอยู่แห่งชีวิตอีกต่อไป


 


สองประมาจารย์ตำหนักชะงักงันในเวลาเดียวกัน


 


แต่ไม่ช้า พวกเขาก็ได้สติกลับคืนมา และเริ่มตอบสนองอย่างรวดเร็ว


 


“ยังมีผู้อื่นภายในนิกายที่รู้เรื่องนี้อีกหรือไม่?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม


 


“ไม่มีอีกแล้ว คนอื่นๆของข้ายังอยู่ที่โลกใหม่ และมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ถึงสถานการณ์” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อว่า “การกระทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว เรื่องของโลกใหม่เป็นอะไรที่สำคัญยิ่ง พวกเราจักต้องไม่ให้คนอื่นๆล่วงรู้”


 


“แน่นอน”


 


กู่ฉิงซานแสดงท่าทีไม่แยแส ปากเปล่งวาจายืนยันออกมา “หวังหงษ์เต๋าคือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ในขอบเขตลมปราณจิต เมื่อเขากลับมา เขาจะต้องใช้วิธีการบางอย่างที่เราไม่รู้อย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะบังคับให้พาตัวหวูซานมาหาตนเองก็ได้”


 


“หวังหงษ์เต๋าเป็นคนที่มีนิสัยขี้ระแวงโดยธรรมชาติ เป็นไปได้สูงว่าเขาจะเค้นความลับจากหวูซาน ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกพวกเราเรียกตัวเข้ามาพบ”


 


“และถ้าหากเขาลงมือกับหวูซาน เรื่องของโลกใหม่ก็คงจะไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักรับฟัง ขณะเดียวกันก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่รู้ตัว


 


“นั่นสินะ เราจะต้องไม่ปล่อยให้หวังหงษ์เต๋าล่วงรู้ถึงเรื่องนี้” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเห็นด้วย


 


หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับแผนการแล้วล่ะก็ ฉีหยานมักจะระมัดระวังเสมอ


 


แต่สิ่งที่เช่าหวูชุ่ยไม่ทราบก็คือ ประโยคที่เขาพึ่งกล่าวไปนี้ ได้ทำให้ในหัวใจของกู่ฉิงซานเกิดการคาดเดาถึงบางอย่างขึ้นเล็กน้อย


 


“สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าต้องสูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้ไป” เย่หยิงเหมยมองกู่ฉิงซาน และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดเล็กน้อย


 


ทว่ากลับเห็นแค่เพียงสีหน้าของฉีหยาน ที่แสดงออกมาประมาณว่า ‘ถูกต้องแล้ว ยามนี้เจ้าติดหนี้ข้าเรียบร้อย’


 


“ศิษย์น้องหยิงเหมย มันไม่เป็นอะไรหรอก หวูซานมีบทบาทเพียงเล็กๆน้อยๆในชีวิตข้าเท่านั้น”


 


“เขาสมควรตายโดยปราศจากซึ่งความเสียใจ”


 


กู่ฉิงซานกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส


 


น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนว่านี่เป็นเรื่องปกติ ที่พบเจอได้บ่อยครั้ง


 


เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยตกอยู่ในความเงียบ


 


ฉีหยานเป็นคนที่โหดเหี้ยม ไร้ความปราณี และมักจะกระทำการที่คิดว่ามันเป็นหนทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตนเสมอ


 


แม้เรื่องนี้จักต้องเก็บเป็นความลับ แต่ฉีหยานก็ยังลงมือกับคนสนิทของตนอย่างไม่ลังเล


 


หากฉีหยานสามารถครอบครองโลกทั้งสองใบได้โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้วล่ะก็ พวกเขา -ในฐานะปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองก็คงจะไม่มีทางล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ได้เป็นแน่


 


ทันทีที่คิดถึงจุดนี้ สองปรมาจารย์ตำหนักก็รู้สึกโชคดีเล็กน้อย


 


แต่กลับได้ยินเพียงเสียงของฉีหยานที่ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“ศิษย์น้องหยิงเหมย สหายเซ่า ตอนนี้พวกเจ้าก็ได้เห็นถึงความจริงใจของข้าแล้ว”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้า


 


โลกใหม่มีอยู่อย่างแน่นอนและแท้จริง


 


แถมฉีหยานยังถึงขั้นสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของตน เพียงเพื่อรักษาความลับของโลกใหม่เอาไว้อีกด้วย


 


ความจริงใจที่เขาแสดงออกมานี้ … นับว่าเพียงพอแล้ว


 


“เวลานี้ พวกเจ้าก็โปรดจงให้ความร่วมมือกับข้าในการสังหารหวังหงษ์เต๋า เพื่อรับประกันให้ข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย”


 


“-นี่คือโอกาสสุดท้ายที่พวกเจ้าจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.443 – ความจริงที่ซ่อนอยู่


 


กู่ฉิงซานเอ่ยย้ำอีกครั้งว่าต้องการสังหารหวังหงษ์เต๋า ทว่าคราวนี้เซ่าหวูชุ่ยมิได้คำรามสวนกลับมาด้วยความโกรธอีกต่อไป


 


อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันเซ่าหวูชุ่ยก็มิได้ให้คำตอบใดๆกลับมาเช่นกัน อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าบนใบหน้าของเขามิได้ตอบสนองๆใดเลยต่างหาก ทั้งความตื่นเต้นและความโกรธที่ผสมปนเปกันเมื่อครู่มันได้จางหายไปจนหมดสิ้น สีหน้านิ่งค้างกลายเป็นว่างเปล่า


 


เขามองไปยังกู่ฉิงซานด้วยแววตาล้ำลึก


 


– คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ราวกับเป็นคนอื่นที่มิใช่ฉีหยานเลย


 


“หยิงเหมย เจ้าคิดว่าพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเสียงต่ำ


 


เย่หยิงเหมยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


 


“ในเมื่อเรื่องราวมันได้มาถึงจุดนี้แล้ว ทั้งเจ้าและข้าคงไม่อาจปล่อยให้เขาตายได้อีกต่อไป” เธอกล่าว


 


“เช่นนั้นแล้วเราจะสามารถพิจารณาให้ฉีหยานล่วงรู้เรื่องนั้นด้วยจะได้หรือไม่?” เซ่าหวูชุ่ยถาม


 


“แน่นอนว่าย่อมได้ เพราะท้ายที่สุดนี้ โลกใบใหม่นั้นอยู่ในกำมือของเขา”


 


“งั้นเชิญเจ้าบอกมันแก่เขาก่อนก็แล้วกัน”


 


“เข้าใจแล้ว”


 


หลังจากเสร็จสิ้นการสนทนาเล็กน้อยๆ ทั้งสองก็หันมาทางกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว


 


กู่ฉิงวานขมวดคิ้วแน่น เขาไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร


 


เย่หยิงเหมย เอ่ยปากออกมาด้วยความลังเล “ฉีหยาน … ”


 


เธอถกปกคอเสื้อที่ร้อยเรียงไปด้วยขนนกสีจันทร์กว้างออกอย่างช้าๆ เปิดเผยให้เห็นถึงไหล่ละมุนออกมา


 


มันเป็นผิวที่เนียนละเอียด แม้จะขาวนวลแต่กลับระคนม่วง?


 


แต่นั่นไม่ใช่จุดสำคัญที่ต้องเพ่งมอง


 


เพราะบริเวณชั้นผิวของเย่หยิงเหมย มันได้ถูกปกคลุมได้ด้วยอักษรรูนสีดำ


 


รูนเหล่านั้นกำลังบิดเบือน และกระโดดไปมาราวกับว่าพวกมันมีชีวิต ขณะเดียวกันก็ดูน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง


 


อักษรรูนควบรวมกันก่อร่างเป็นกระบวนโซ่ตรวนบนผิวกายของเย่หยิงเหมย ขณะเดียวกันมันก็แผ่พลังอำนาจออกมาอยู่ตลอดเวลา


 


สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


“นี่มันผนึกต้องห้าม … แบบนี้มันไม่ถูกต้อง เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ผู้ใดกันที่จะสามารถลงผนึกต้องห้ามกับเจ้าได้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เย่หยิงเหมยกล่าว “ก็แล้วเจ้าคิดว่ายังมีใครอีกเล่าที่สามารถทำมันได้?”


 


กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปไม่กี่ลมหายใจ


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”


 


เขาถอนหายใจยาวออกมา


 


การแสดงออกอันอ่อนโยนของเย่หยิงเหมยได้หายไป


 


เธอนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน สงบเงียบจนน่าหวาดกลัว


 


“เนิ่นนานมาแล้ว ช่วงเวลาที่ข้ายังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแก่นทองคำ ท่านอาจารย์ได้ลงผนึกต้องห้ามบนตัวข้า นับตั้งแต่นั้นมา ข้าก็มิอาจต่อต้านเขาได้อีกเลย ด้วยผนึกนี้ เขาสามารถบงการข้าได้ดั่งใจนึก กล่าวได้ว่า หากข้าต้องการจะตาย เขาก็สามารถบังคับให้ข้าทนมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเจ็บปวดได้ ในทางตรงกันข้าม หากเขาต้องการให้ข้าตาย ข้าก็มิอาจปฏิเสธได้เลย


 


“ในวันเดือนปีที่ผ่านพ้น ในแต่ละช่วงเวลาที่ข้าทะลวงฝ่าขอบเขตพื้นฐานวรยุทธ หวังหงษ์เต๋าก็จะคอยเสริมอานุภาพของผนึกต้องห้ามนี้บนร่างกายข้าเสมอมา”


 


“ฉะนั้น นับตั้งแต่ครั้งอยู่ในช่วงแก่นทองคำ ตัวข้าก็สูญสิ้นซึ่งอิสระภาพไปแล้วตลอดกาล และจะต้องเชื่อฟังทุกสิ่งอย่างที่เขาพูดและบัญชา”


 


เย่หยิงเหมยเอ่ยปากกล่าว และค่อยขยับชายปกเสื้อกลับคืนอย่างช้าๆ


 


เธอเอ่ยเสียงกระซิบ “ข้าไม่มีหนทางที่จะสามารถโจมตีหวังหงษ์เต๋าได้เลย”


 


กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ และทันใดนั้นในหัวใจของเขาก็เริ่มเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นเล็กน้อย


 


หลังจากต่อสู้มาร่วมสองชีวิต กู่ฉิงซานกล้าบอกได้เลยว่าเขาได้พบเห็นศัตรูมาแล้วมากมายหลายประเภท


 


แต่ศัตรูที่น่ารังเกียจดั่งเช่นหวังหงษ์เต๋าผู้นี้ นับว่าเป็นตัวตนที่พบเจอได้ยากยิ่ง


 


“เช่นนั้นก็ลืมมันเถอะ ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าไม่ต้องลงมือหรอก”


 


กู่ฉิงซานมองไปทางเซ่าหวูชุ่ยและกล่าว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็เหลือแค่เราสองแล้-”


 


เซ่าหวูชุ่ยส่ายหัวและกล่าว “ตามร่างกายของข้ามีแมลงมารอยู่กว่า 81 ตัว หากแม้นข้าบังเกิดความนึกคิดชั่วร้ายเกี่ยวกับเขาแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถสั่งให้ข้าตายได้ทันที”


 


สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยกลายเป็นกลัดกลุ้มมากขึ้น “ข้าได้กลายเป็นผีดิบในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า กลายเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเขาแล้วตลอดกาล”


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสอง


 


ในขณะนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมสองขีดสุดความว่างเปล่าทั้งคู่นี้ถึงยินดีที่จะเปิดเผยความลับแก่ตนเอง


 


เพราะตราบใดที่สามารถหนีไปยังโลกใหม่ได้ ต่อให้หวังหงษ์เต๋าคิดจะควบคุมทั้งสอง เขาก็ไม่สามารถที่จะทำมันได้อีกต่อไป


 


เพราะโลกใหม่มิใช่โลกเดิม มันย่อมมีกฏกณฑ์และกำแพงอุปสรรคที่แตกต่างจากกันและกัน


 


เมื่อไหร่ที่ทั้งสองได้ไปอยู่ในโลกใหม่ หวังหงษ์เต๋าก็จะไม่สามารถกระตุ้นผนึกต้องห้ามของเย่หยิงเหมย หรือไม่สามารถสั่งการแมลงมารที่อยู่ในกายของเซ่าหวูชุ่ยได้อีกต่อไป


 


กระบวนการนี้เปรียบดั่งตะเกียงไฟที่คอยสาดแสงนำทางให้แก่ผู้ฝึกยุทธ


 


เมื่อผู้ฝึกยุทธออกจากโลกใบนี้ มันก็จะดับลงทันที คล้ายคลึงกันกับในกรณีที่ผู้ฝึกยุทธได้เสียชีวิตลงไปแล้วนั่นเอง


 


หากข้ามผ่านระหว่างสองโลก ตะเกียงไฟที่ว่านั่นจะไม่สามารถตรวจจับถึงตัวตนของผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในโลกอื่นได้


 


ดังนั้น การย้ายไปยังโลกใบใหม่ คือโอกาสเดียวเท่านั้นที่เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้!


 


มันเป็นโอกาสเดียวที่พวกเขาจะหลุดจากการควบคุมของหวังหงษ์เต๋า


 


หากมิใช่เพราะว่าพวกเขาคือตัวตนในระดับขีดสุดความว่างเปล่าแล้วล่ะก็ ทั้งสองคงจะแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้าไปแล้ว


 


แต่พวกเขาไม่สามารถลงมือได้นี่สิ


 


ในเมื่อผลลัพธ์มันพลิกผันออกมาเป็นแบบนี้ แล้วกู่ฉิงซานสมควรจะใช้วิธีการใดในการรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ดี?


 


กู่ฉิงซานหยิบชาวิญญาณขึ้นมาแล้วค่อยๆจิบมันเบาๆ


 


แล้วก็นึกขึ้นได้ถึงหน้ากากสตรีแห่งรากษส


 


กู่ฉิงซานก้มลงมองไปที่หน้ากาก


 


หน้ากากนี้ทำจากหยกวิญญาณที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพดีที่สุด


 


ภายใต้การสำรวจอย่างรอบคอบด้วยจิตสัมผัสเทวะ คุณจะสามารถเห็นได้ถึงทุกรายละเอียดและหยกวิญญาณภายในหน้ากาก


 


มันเป็นแค่หน้ากากจริงๆ


 


ในตอนที่จิ้งจอกขาวมอบหน้ากากให้แก่ตนเอง เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยก็ปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าใส่มันไปแล้ว


 


และตนเองก็ยังได้ทำการตรวจสอบมันอย่างรอบคอบด้วยจิตสัมผัสเทวะแล้วเช่นกัน


 


มันก็เป็นแค่หน้ากาก และไม่มีความผิดปกติใดๆ


 


แต่การที่สตรีแห่งรากษสมอบหน้ากากนี้ให้ตนเอง แท้จริงแล้วมันจะมีความนัยอะไรแฝงเอาไว้กันแน่นะ?


 


กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่หน้ากาก


 


บนหน้ากาก สตรีแห่งรากษสกำลังจ้องมองสวนกลับมาเข้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แววตาและการแสดงออกของเธอดูมีชีวิตชีวาและเหมือนจริงมาก


 


ลืมมันเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


กู่ฉิงซานล้มเลิกความคิดนั้นไป และเริ่มที่จะมาพิจารณาถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา


 


แม้ว่าทุกสิ่งที่วางไว้มันจะยังไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ช่วยให้กู่ฉิงซานผ่อนคลายมากขึ้น


 


เพราะอย่างน้อยสำหรับตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้สะสางภารกิจที่มันคั่งค้างมานานได้เสียที


 


กู่ฉิงซานถอนสายตาจากหน้ากาก แล้วมองไปยังช่วงบนของหน้าต่างระบบเทพสงคราม เพื่ออ่านเส้นแสงหิ่งห้อยมากมายที่ปรากฏขึ้น


 


“คุณได้สังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นแรก หวูซาน”


 


“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ 400 แต้ม”


 


“แต้มพลังวิญญาณในปัจจุบัน : 1603/300”


 


“ภารกิจพิเศษ : หวูซานจะต้องตาย”


 


“คำอธิบายภารกิจ :  โปรดทราบว่าในโลกใบใหม่ที่คุณไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงนี้ ยังมีอีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธที่ยังคงรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธและโลกเทวะ”


 


“รางวัลภารกิจ : ผู้เล่นสามารถระบุภารกิจอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จสมบูรณ์ได้เลยในทันที”


 


“คำอธิบาย : ตอนนี้คุณสามารถรับรางวัลจากภารกิจนี้ได้แล้ว”


 


สายตาของกู่ฉิงซานตกลงไปช่วงล่างของหน้าต่างระบบเทพสงคราม ใจกลางความมืดมิด


 


‘ระบบ , ถ้าอย่างนั้นฉันสามารถใช้มันเพื่อให้บรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพเลยได้ไหม?’


 


เขาเอ่ยถามในจิตใจอย่างเงียบๆ


 


ติ๊ง!


 


ระบบตอบสนองเสียงดังฟังชัด


 


“คุณจะต้องบรรลุไปถึงขอบเขตประทับเทพเสียก่อนจึงจะสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพได้ นี่คือกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติของการฝึกยุทธ มันคือเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีของภารกิจ”


 


พอได้ยิน กู่ฉิงซานก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย


 


อย่างไรก็ตาม นี่มันก็ยังเป็นสามัญสำนึกที่พอจะยอมรับได้ หากตนเองไม่ได้อยู่ในขอบเขตประทับเทพ แล้วจะไปใช้พลังของขอบเขตประทับเทพได้อย่างไร? ยังมิอาจเข้าใจถึงกฏของฟ้าดินได้แท้ๆ แล้วจะไปสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง?


 


ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเร่งข้ามผ่านโทษทัณฑ์ให้มันเร็วขึ้นกว่าที่คิดซะแล้ว


 


กู่ฉิงซานลอบไตร่ตรองอย่างลับๆ


 


“ฉีหยาน แล้วตอนนี้เจ้าคิดจะทำยังไงต่อไป?”


 


เซ่าหวูชุ่ยเห็นเขาจมลงไปในความคิดอยู่พักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังมิได้เอ่ยคำใด จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา


 


กู่ฉิงซานกล่าวอย่างลังเลว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไม่สามารถลงมือได้ เช่นนั้นพวกเราก็คงจะต้องมาช่วยกันพยายามค้นหาวิธีแก้ไขสถานการณ์กัน อาจจะเป็นการวางกับดักที่สามารถสังหารหวังหงษ์เต๋า -อะไรแบบนี้ก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


ทั้งสามยอมรับความคิดของกันและกัน แต่ก็มิได้กล่าวอะไรออกมา


 


นี่เป็นปัญหาที่สำคัญยิ่ง


 


—หวังหงษ์เต๋าย่อมไม่นิ่งดูดายปล่อยให้ฉีรั่วหยาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จเป็นแน่


 


ดังนั้นตอนนี้เขาสมควรที่จะมุ่งหน้าไปยังมิติที่ว่างเปล่า เพื่อขัดขวางการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของฉีรั่วหยา


 


สองประมาจารย์ตำหนักมองกู่ฉิงซานที่แสดงออกถึงใบหน้าที่สงบ แล้วอดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย


 


“ฉีหยาน เหตุใดเจ้าจึงไม่เร่งไปแจ้งให้บิดาของเจ้ารู้เรื่องเล่า?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถาม


 


“หรือว่าเจ้าและบิดาจะรู้อยู่แล้วว่าหวังหงษ์เต๋ากำลังจะไป?” เซ่าหวูชุ่ยก็ถามออกมาเช่นกัน


 


กู่ฉิงซานกลับยิ้มออกมา


 


“เรื่องนั้นปล่อยให้พวกเขาเป็นคนจัดการกันเองเถอะ” เขากล่าวอย่างแผ่วเบา


 


“เจ้าหมายความว่ายังไง?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม


 


“สองวันก่อน บิดาของข้าได้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์”


 


“แต่กระบวนการทั้งหมดของทัณฑ์สายฟ้าในขอบเขตลมปราณจิตจะกินเวลาแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน ดังนั้นยามนี้ มันจึงสมควรแก่เวลาที่เขาจะต้องกลับมาแล้ว”


 


“แต่วันนี้ ข้าได้กลับมาที่โลกของเรา ทว่ากลับมิได้ยินข่าวคราวอันใดเลย หวังหงษ์เต๋าเองก็ยังไม่ได้กลับมาเช่นกัน นี่พอจะบ่งบอกได้ถึงเรื่องราวบางอย่างได้”


 


“นั่นคือ หนึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บในขั้นลมปราณจิต กับอีกหนึ่งคือผู้ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์ไปยังลมปราณจิต หากทั้งสองต่อสู้กันทั้งวันคืนจริงๆ ยามนี้ผลลัพธ์ก็น่าจะออกมาแล้ว กล่าวได้ว่าต่อให้ข้าเลือกที่จะลงมือในตอนนี้มันก็สายเกินไปอยู่ดี”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักผงกหัวเล็กน้อย


 


สิ่งต่างๆล้วนเป็นจริงเหมือนกับที่ฉีหยานกล่าวมา


 


ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้โจมตีหรือว่าผู้ถูกลอบโจมตี พวกเขาก็ย่อมต้องระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มกำลัง และผลแพ้ชนะก็สมควรที่จะถูกตัดสินออกมาได้อย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานกล่าว “ตั้งแต่ที่เขาไม่ได้กลับมา แถมหวังหงษ์เต๋าเองก็ไม่ได้กลับมาเช่นกัน นั่นย่อมแสดงว่าจะมีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้อยู่สามกรณี”


 


“ในกรณีแรก คือบิดาของข้าชนะ แต่เขาจำต้องเร่งพักฟื้นทันทีและมิอาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้ และนั่นเป็นกรณีที่ดีที่สุด เพราะหลังจากที่เขาเรียกคืนเรี่ยวแรงและกลับมา พวกเจ้าสามารถร่วมมือกับข้าและบิดา ออกเดินทางไปยังโลกใหม่ด้วยกันได้เลยในภายหลัง”


 


“แต่ยังไงก็ตาม สถานการณ์ที่ว่ามานี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะหวังหงษ์เต๋าได้เฝ้ารอมาหลายวันแล้ว เขาคงจะวางแผนละเอียดยิบและเตรียมการมาแล้วเป็นอย่างดีอย่างแน่นอน”


 


“ดังนั้นพวกเราจึงต้องมากล่าวกันถึงในกรณีที่สอง นั่นคือหวังหงษ์เต๋าชนะ แต่เขายังไม่กลับมา เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บ และจำต้องรักษาตัวทันที”


 


“ในกรณีที่สาม คือพวกเขาตายลงทั้งคู่และไม่มีใครสามารถกลับมาได้”


 


กู่ฉิงซานมองสองปรมาจารย์ตำหนัก ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นในกรณีแรกและกรณีที่สาม ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร”


 


“ทว่าหากเป็นในกรณีที่สอง ก็คงจำเป็นต้องระมัดระวังตัวไว้”


 


สองปรมาจารย์ตำหนักเฝ้ามองเขาที่กำลังวิเคราะห์ถึงสถานการณ์อย่างใจเย็น ในหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม


 


แต่ฝ่ายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายน่ะ นั่นมันคือพ่อของเขานะ!


 


ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นผู้ที่สามารถตัดสินเป็นตายของเขาได้ทุกเมื่อเช่นกัน!


 


สองปรมาจารย์ตำหนักลองจินตนาการดูว่า หากเป็นตนเองที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะยังสามารถใจเย็นได้เหมือนดั่งคนตรงหน้าหรือไม่


 


“ข้ากับหยิงเหมยไม่สามารถลงมือได้ … ” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวด้วยความลังเล


 


“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็แค่ต้องช่วยกันวางแผนนิดๆหน่อยๆ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าลงมือ แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเอาชีวิตของเขาให้จงได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เซ่าหวูชุ่ยส่ายหัว “ไม่เคยมีกับดักหรือวิธีการใดๆ ที่จะสามารถใช้สังหารขอบเขตลมปราณจิตได้ในคราวเดียว”


 


เย่หยิงเหมยยังกล่าวทับอีกด้วยว่า “แม้ว่าจะมีการจัดตั้งค่ายกลกับดักขนาดใหญ่ขึ้น และแม้ว่าตัวเขาจะได้รับบาดเจ็บก็ตามที แต่ในที่สุดก็ต้องมีคนที่คอยรับมือเผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัว หรือรับบทเป็นตัวล่ออยู่ดี”


 


กู่ฉิงซานผ่อนลมหายใจ


 


“สำหรับเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”


 


ในที่สุดเขาก็กล่าวออกมา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม